The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การจัดการประมง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Fish_KU, 2022-10-12 05:38:57

การจัดการประมง

การจัดการประมง

87

ตำรำงท่ี 3 - 5 เครอื่ งมือทำกำรประมงหลักของแตล่ ะกลมุ่ สัตวน์ ้ำ

กลุ่มสตั วน์ า เครื่องมอื ทาการประมงหลกั

อ่าวไทย ทะเลอนั ดามนั

อวนลาก อวนรุนเคย อวนครอบ อวนลาก อวนครอบหมึก

สัตว์นาหนา้ ดิน หมกึ ลอบ คราดหอย ลอบ แผงยกปูจกั จ่นั
และเบด็ ราว และเบด็ ราว

ปลากะตกั อวนล้อมจับปลากะตัก อวนครอบ อวนล้อมจับปลากะตัก และ
ปลากะตกั และอวนช้อน/ยก อวนครอบปลากะตกั
ปลากะตัก

ปลาผิวนา อวนลอ้ มจับ อวนช้อนปลา อวนลอ้ มจับ และอวนตดิ ตา
จะละเม็ด และอวนตดิ ตา

ผลการประเมิน MSY ในปี 2560 ซ่ึงใช้เป็นจุดอ้างอิงในการออกใบอนุญาตทาการประมง
พาณิชย์ ปกี ารประมง 2561 - 2562 มดี งั นี (ตารางที่ 3 - 6)

ตำรำงที่ 3 - 6 สรปุ ผลกำรประเมนิ ผลผลิตสงสุ ทย่ี งั่ ยืน (MSY) และระ ับกำรลงแรงประมง ปี 2560

กลมุ่ สตั ว์นา MSY ปรมิ าณการลงแรง ผลจบั ปี ปริมาณการ สถานะการลงแรงประมง
(ตัน) ประมงท่ีระดบั 2560 ลงแรงประมง
อ่ำว ทย (ตนั ) ตา่ กว่าระดบั MSY 2.28%
สัตวน์ าหนา้ ดิน MSY ปี 2560 ตา่ กว่าระดับ MSY 208.69
ปลากะตัก 462,512 ต่ากว่าระดับ MSY 21.32%
ปลาผิวนา 795,869 22.80 ลา้ น ชม. 108,212 22.29 ล้าน ชม.
ทะเลอนั ำมัน 201,564 171,378 วนั 199,507 55,518 วัน ตา่ กวา่ ระดับ MSY 60.20%
สัตวน์ าหน้าดิน 250,739 135,882 วนั 111,999 วัน ต่ากวา่ ระดับ MSY 184.79%
ปลากะตัก 140,130 ตา่ กว่าระดับ MSY 58.03%
ปลาผวิ นา 240,916 5.69 ล้าน ชม. 13,570 3.55 ลา้ น ชม.
33,194 55,101 วนั 121,400 19,348 วัน
118,755 71,260 วนั 45,094 วัน

88

1. ฝ่งั อ่ำว ทย
1.1 สัตว์นำ้ หน้ำ นิ
ข้อมูลท่ีใช้ในการประเมินคือ ข้อมูลในปี 2518 - 2560 ผลการประเมินพบว่า MSY

มคี า่ เท่ากบั 795,869 ตนั ปรมิ าณการลงแรงประมงท่รี ะดบั MSY เท่ากับ 22.80 ล้านชั่วโมง ผลจับสัตวน์ า
หน้าดินในปี 2560 เท่ากับ 462,512 ตัน และปริมาณการลงแรงประมงในปี 2560 เท่ากับ 22.29
ล้านช่ัวโมง ต่ากว่าปริมาณการลงแรงประมงที่ระดับ MSY 0.51 ล้านชั่วโมง หรือต่ากว่าร้อยละ 2.28
(ภาพที่ 3 - 21)

ภำพท่ี 3 - 21 กำรประเมนิ ผลผลิตสงสุ ท่ีย่ังยืน (MSY) ของสตั ว์น้ำหนำ้ ินฝงั่ อำ่ ว ทย ปี 2560
1.2 ปลำกะตัก
ข้อมูลท่ีใช้ในการประเมินคือ ข้อมูลในปี 2539 - 2560 ผลการประเมินพบว่า MSY มีค่า

เท่ากับ 201,564 ตนั ปรมิ าณการลงแรงท่ีระดับ MSY เท่ากับ 171,378 วัน ผลจับปลากะตักในปี 2560
เท่ากับ 108,212 ตัน และปริมาณการลงแรงประมงในปี 2560 เท่ากับ 55,518 วัน ต่ากว่าปริมาณ
การลงแรงประมงทร่ี ะดบั MSY 115,860 วัน หรือต่ากวา่ ร้อยละ 208.69 (ภาพท่ี 3 - 22)

89

ภำพท่ี 3 - 22 กำรประเมินผลผลติ สงสุ ทย่ี ่ังยนื (MSY) ของปลำกะตกั ฝ่ังอ่ำว ทย ปี 2560
1.3 ปลำผวิ น้ำ
ขอ้ มลู ทใี่ ช้ในการประเมนิ คือ ข้อมูลในปี 2536 - 2560 ผลการประเมินพบว่า MSY มีค่า

เท่ากับ 250,739 ตัน ปริมาณการลงแรงประมงที่ระดับ MSY เท่ากับ 135,882 วัน ผลจับปลาผิวนา
ในปี 2560 เทา่ กับ 199,507 ตนั และปริมาณการลงแรงประมงในปี 2560 เท่ากับ 111,999 วัน ต่ากว่า
ปริมาณการลงแรงประมงท่ีระดบั MSY 23,883 วนั หรอื ตา่ กว่าร้อยละ 21.32 (ภาพที่ 3 - 23)

ภำพท่ี 3 - 23 กำรประเมนิ ผลผลติ สงสุ ที่ยงั่ ยืน (MSY) ของปลำผิวน้ำฝ่ังอ่ำว ทย ปี 2560

90

2. ฝง่ั ทะเลอนั ำมัน
2.1 สตั วน์ ้ำหนำ้ นิ
ขอ้ มลู ทใ่ี ช้ในการประเมนิ คือ ข้อมูลในปี 2525 - 2560 ผลการประเมินพบว่า MSY มีค่า

เท่ากบั 240,916 ตนั ปรมิ าณการลงแรงประมงที่ระดับ MSY เท่ากับ 5.69 ล้านชั่วโมง ผลจับสัตว์นา
หน้าดินในปี 2560 เท่ากับ 140,130 ตัน และปริมาณการลงแรงประมงในปี 2560 เท่ากับ 3.55
ล้านช่วั โมง ตา่ กวา่ ปรมิ าณการลงแรงประมงที่ระดับ MSY 2.14 ล้านช่ัวโมง หรือต่ากว่าร้อยละ 60.20
(ภาพที่ 3 - 24)

ภำพที่ 3 - 24 กำรประเมินผลผลิตสงสุ ที่ย่งั ยนื (MSY) ของสตั ว์นำ้ หนำ้ ินฝ่ังทะเลอนั ำมนั ปี 2560
2.2 ปลำกะตกั
ข้อมูลท่ีใช้ในการประเมินคือ ข้อมูลในปี 2535 - 2560 ผลการประเมินพบว่า MSY มีค่า

เทา่ กบั 33,194 ตัน ปริมาณการลงแรงทีร่ ะดบั MSY เทา่ กบั 55,101 วัน ผลจับปลากะตักในปี 2560
เท่ากับ 13,570 ตัน และปริมาณการลงแรงประมงในปี 2560 เท่ากับ 19,348 วัน ต่ากว่าปริมาณ
การลงแรงประมงท่ีระดับ MSY 35,753 วัน หรือตา่ กว่ารอ้ ยละ 184.79 (ภาพท่ี 3 - 25)

2.3 ปลำผิวน้ำ
ขอ้ มลู ทใ่ี ช้ในการประเมินคือ ข้อมูลในปี 2536 - 2560 ผลการประเมินพบว่า MSY มีค่า

เท่ากับ 118,755 ตัน ปริมาณการลงแรงประมงท่ีระดับ MSY เท่ากับ 71,260 วัน ผลจับปลาผิวนา
ในปี 2560 เท่ากับ 121,400 ตัน และระดับการลงแรงประมงในปี 2560 เท่ากับ 45,094 วัน ต่ากว่า
ปริมาณการลงแรงประมงที่ระดบั MSY 26,166 วนั หรอื ต่ากวา่ ร้อยละ 58.03 (ภาพท่ี 3 - 26)

91

ผลการประเมิน MSY ปี 2560
ผลจับและการลงแรงประมง
ปี 2560

ภำพท่ี 3 - 25 กำรประเมนิ ผลผลิตสงสุ ที่ย่ังยืน (MSY) ของปลำกะตกั ฝั่งทะเลอนั ำมนั ปี 2560

ภำพท่ี 3 - 26 กำรประเมนิ ผลผลติ สงสุ ทยี่ งั่ ยนื (MSY) ของปลำผิวน้ำฝ่ังทะเลอัน ำมนั ปี 2560

92

ผลการประเมนิ MSY ขา้ งต้นใช้เป็นฐานในการกาหนด TAC เมือ่ คณะกรรมการนโยบายการประมง
แห่งชาตเิ ห็นชอบคา่ TAC แลว้ กรมประมงจะนา TAC มาจัดสรรให้กับเรือประมงทุกลา ทังเรือประมง
พนื บ้านและพาณชิ ย์ การจดั สรรปริมาณสัตว์นาจะจัดสรรให้กับเรือประมงพืนบ้านเป็นลาดับแรก โดยจัดสรร
ปริมาณสัตว์นาแยกกลุ่มสัตว์นาตามเครื่องมือทาการประมงที่ใช้ จากนันจัดสรรให้กับเรือประมงพาณิชย์ท่ีใช้
เคร่อื งมอื ทาการประมงประสิทธิภาพต่าแยกกล่มุ สัตว์นาตามเคร่อื งมือทาการประมงดังนี 1) กล่มุ สตั วน์ าหนา้ ดิน
ประกอบด้วยเครื่องมือชนิดลอบปลา ลอบปู ลอบหมึก ลอบหมึกสาย อวนครอบหมึก อวนรุนเคย คราด
หอยลาย คราดหอยแครง คราดหอยอน่ื เบ็ดราว เบด็ มอื และแผงยกปูจักจ่ัน และ 2) กลุ่มปลาผิวนา
ประกอบด้วยเคร่ืองมือประเภทอวนติดตา และอวนช้อนปลาจะละเม็ด ส่วนเคร่ืองมือทาการประมงกลุ่มปลา
กะตักทุกชนดิ จัดเป็นเครอ่ื งมือประสทิ ธิภาพสงู โดยเรอื ประมงพาณชิ ย์ท่ไี ดร้ ับอนุญาตให้ใช้เคร่ืองมือทาการ
ประมงประสิทธิภาพต่าจะไม่กาหนดจานวนวันทาการประมง เรือประมงพาณิชย์ที่ขออนุญาตให้ใช้เครื่องมือ
ทาการประมงประสิทธิภาพสูงจะได้รับการจัดสรรปริมาณสัตว์นาเป็นลาดับสุดท้าย โดยแยกกลุ่มสัตว์นา
ตามเครื่องมอื ทาการประมงดังนี 1) กลุ่มสตั วน์ าหน้าดิน ประกอบด้วยเครื่องมือชนิดอวนลากคู่ อวนลาก
แผ่นตะเฆ่ และอวนลากคานถ่าง กลุ่มปลากะตัก ประกอบด้วยเคร่ืองมือชนิดอวนล้อมจับปลากะตัก
อวนครอบปลากะตัก และอวนช้อน/ยกปลากะตัก และ 2) กลุ่มปลาผิวนามีเครื่องมือชนิดล้อมล้อมจับ
เพียงชนิดเดียว ปริมาณสัตว์นาที่ได้รับการจัดสรรจะระบุไว้ในใบอนุญาตทาการประมงพาณิชย์ทุกฉบับ
ส่วนเรือท่ีได้รับใบอนุญาตทาการประมงเรือประกอบเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้า (เรือปั่นไฟ) จะไม่ได้รับการจัดสรร
ปริมาณสตั วน์ า

ถึงแม้วา่ เรือประมงแต่ละลาได้รับการจัดสรรปริมาณสัตว์นาตามท่ีระบุไว้ในใบอนุญาตทาการประมง
แต่ในปัจจุบันกรมประมงจะยังไม่ควบคุมผลจับสัตว์นาของเรือประมงแต่ละลา เรือประมงพาณิชย์ที่ได้รับ
อนุญาตให้ใช้เครื่องมือทาการประมงประสิทธิภาพสูง จะถูกกาหนดจานวนวันทาการประมงตามค่า TAC
โดยในปีการประมง 2561 - 2562 เรือท่ีใช้เครื่องมือทาการประมงประสิทธิภาพสูงแต่ละชนิดได้รับวันทาการ
ประมงตามตารางท่ี 3 - 7 ทังนีเพ่ือควบคุมปริมาณการจับสัตว์นาให้สอดคล้องกับปริมาณสัตว์นาท่ีได้รับ
การจดั สรร และควบคมุ ปรมิ าณการลงแรงประมงไมใ่ หเ้ กินระดับ MSY

93

ตำรำงท่ี 3 - 7 จำนวนวนั ทำกำรประมง (ปี/วัน) ของเรอื ท่ีใชเ้ ครื่องมอื ทำกำรประมงแตล่ ะชนิ
ปกี ำรประมง 2561 - 2562

ชนิ เครอ่ื งมือ อำ่ ว ทย ทะเลอนั ำมัน
อวนลากแผน่ ตะเฆ่ 240 270
อวนลากคานถ่าง 240 270
อวนลากคู่ 240 270
อวนล้อมจับ 240 255
อวนครอบ/ชอ้ น/ยกปลากะตัก 255 225
อวนล้อมจับปลากะตัก 255 225

นอกจากนี กรมประมงยังกาหนดมาตรฐานเคร่ืองมือทาการประมงเพ่ือควบคุมประสิทธิภาพ
ของเครื่องมอื ทาการประมง โดยการกาหนดลักษณะ ความยาว และ/หรือจานวนของเครอ่ื งมอื ทาการประมง
รายละเอียดตามตารางท่ี 3 - 8

ตำรำงที่ 3 - 8 กำรกำหน มำตรฐำนเครือ่ งมือทำกำรประมง

ลำ ับที่ ชนิ เคร่ืองมือ มำตรฐำนเครือ่ งมือ

1 อวนล้อมจับ ขนาดตาอวนตลอดทังผืนต้องไมต่ า่ กวา่ 2.5 เซนติเมตร

2 อวนล้อมจับปลากะตกั ขนาดตาอวนตลอดทังผนื ต้องมากกวา่ 0.6 เซนตเิ มตร
1. ความยาวของคร่าวล่างตอ้ งไมเ่ กิน 60 เมตร
3 อวนลากแผน่ ตะเฆ่ 2. ขนาดของตาอวนกน้ ถุงไมน่ อ้ ยกว่า 4 เซนติเมตร
3. ขนาดตาอวนของถงุ รองอวนก้นถุง ไมน่ อ้ ยกว่า 7 เซนติเมตร
4. ความยาวของอวนก้นถงุ

- เรอื ขนาดน้อยกวา่ 20 ตันกรอส ความยาวของอวนกน้ ถุงตอ้ ง
ไม่นอ้ ยกวา่ 3 เมตร

- เรือขนาดตงั แต่ 20 ตันกรอสขนึ ไป ความยาวของอวนก้นถุง
ตอ้ งไมน่ อ้ ยกวา่ 4 เมตร
5. จานวนถงุ รองอวนกน้ ถงุ ไม่เกนิ 1 ถุง
6. กรณอี วนก้นถงุ ใช้ด้ายคขู่ นาดด้ายไมเ่ กนิ ทบั 30
7. ไม่ใชเ้ ชือกหรอื วัสดุใด ๆ ร้อยตาอวนหรอื พันรอบกน้ ถงุ
8. ไมม่ ีวสั ดุใด ๆ ซ้อนในถงุ อวนกน้ ถุง เวน้ แตส่ ามารถมเี นืออวนปิดท้าย
ก้นถุง (ลิน) ขนาดตาอวนไม่น้อยกว่า 4 เซนตเิ มตร และมคี วามยาว
ไมเ่ กนิ 60 เซนตเิ มตร

94

ลำ บั ที่ ชนิ เครอ่ื งมือ มำตรฐำนเครื่องมอื

4 อวนลากแผ่นตะเฆ่ 9. กรณที ่มี ีเสน้ เชือกประคองกน้ ถุง เพอื่ ปอ้ งกนั ก้นถุงแตก
ให้เยบ็ ตดิ กับเนืออวนกน้ ถงุ ตามแนวความยาวได้ การเยบ็ ติด
5 อวนลากคู่ ตอ้ งเปน็ ลักษณะเสน้ เชือกประคองก้นถุงหย่อน ทังดา้ นบน
และดา้ นล่าง โดยตอ้ งมีจานวนเส้นเชือกประคองกนั ถุงทังหมด
ไมเ่ กนิ 8 เส้น

1.จานวนอวนทใ่ี ช้ขณะทาการประมงต้องไมเ่ กนิ 8 ปาก
2. คานประกอบทาการประมงไม่เกนิ 2 คาน
3. ความยาวคานข้างละไมเ่ กิน 7.5 เมตร
4. ขนาดตาอวนไมน่ ้อยกวา่ 4 เซนติเมตร
5. ขนาดตาอวนถุงรองอวนไมน่ ้อยกวา่ 7 เซนติเมตร
6. จานวนถงุ รองอวนไมเ่ กิน 1 ถุง
7. ไมใ่ ชเ้ ชอื กหรือวสั ดุอืน่ ใดร้อยตาอวนหรือพันรอบก้นถุง
8. ไมม่ วี ัสดุใด ๆ ซ้อนในถุงอวนกน้ ถงุ
1. ขนาดตาอวนก้นถุงตอ้ งไมน่ ้อยกว่า 4 เซนตเิ มตร
2. ความยาวครา่ วลา่ งไม่เกิน 100 เมตร
3. ขนาดตาอวนรองก้นถงุ ตอ้ งไม่น้อยกวา่ 7 เซนตเิ มตร
4. ความยาวอวนกน้ ถุงตอ้ งไมน่ ้อยกวา่ 6 เมตร
5. จานวนถงุ อวนรองตอ้ งไม่เกิน 1 ถุง
6. กรณีอวนก้นถงุ ใชอ้ วนโปลเี อทธิลนี ด้ายคู่ ขนาดดา้ ยไม่เกิน
ทับ 30
7. ไมใ่ ช้เชอื กหรือวสั ดุอ่ืนใด ร้อยตาอวนหรือพนั รอบก้นถุง
8. ไม่มวี สั ดุใด ๆ ซ้อนในถงุ อวนก้นถุง เวน้ แตส่ ามารถมเี นือ
อวนปิดทา้ ยกน้ ถงุ (ลิน) ขนาดตาอวนไมน่ ้อยกว่า 4 เซนติเมตร
และมีความยาวไมเ่ กิน 60 เซนตเิ มตร
9. กรณีทมี่ ีเสน้ เชือกประคองก้นถงุ เพื่อป้องกันก้นถุงแตก
ให้เย็บติดกับเนอื อวนกน้ ถุงตามแนวความยาวได้ การเยบ็ ตดิ
ต้องเป็นลกั ษณะเสน้ เชือกประคองกน้ ถุงหย่อนทงั ด้านบนและ
ด้านล่าง โดยตอ้ งมีจานวนเส้นเชอื กประคองกนั ถุงทังหมด
ไม่เกิน 8 เส้น

95

ลำ บั ที่ ชนิ เครื่องมือ มำตรฐำนเครือ่ งมอื

6 คราดหอยลาย ระยะหา่ งระหว่างซค่ี ราดต้องไมน่ ้อยกว่า 1.2 เซนติเมตร

7 คราดหอยแครง ปัจจุบนั ยงั มไิ ดม้ กี ารกาหนดมาตรฐานของเคร่ืองมอื ชนิดนี
กาหนดให้ขนาดของตาอวนต้องมากกว่า 0.6 เซนตเิ มตร
8 คราดหอยอนื่ เนอื อวนตอ้ งมีขนาดตาอวนไม่น้อยกวา่ 3.2 เซนติเมตร
กาหนดให้ขนาดของตาอวนตอ้ งมากกว่า 0.6 เซนตเิ มตร
9 อวนช้อนปลาจะละเม็ด ขนาดตนั กรอสของเรือประมงเป็นตวั กาหนดความยาวของ
เคร่อื งมอื ประมงอวนติดตาที่อนญุ าตใหใ้ ช้ได้ โดยมีขอ้ กาหนด
10 อวนช้อน/ยกปลากะตกั ดงั นี
1. เรอื ประมงขนาด 10 - 30 ตนั กรอส อนุญาตให้ใช้ความ
11 อวนครอบหมกึ ยาวอวนไม่เกนิ 20,000 เมตร
2. เรือประมงขนาดมากกวา่ 30 ตันกรอสขึนไป อนญุ าตให้
12 อวนครอบปลากะตกั ใชค้ วามยาวอวนไมเ่ กนิ 30,000 เมตร
กาหนดใหถ้ ุงอวนจะต้องทาด้วยเนืออวนชนิดโพลเี อทีลนี
13 อวนติดตา (Polyethylene, PE) โพลเี อไมด์ (Polyamide, PA) หรอื
โพลเี อสเตอร์ (Polyester, PES) และมีขนาดตาอวนไม่เกนิ
14 อวนรุนเคย 2x2 มิลลิเมตร
15 ลอบปลา ใชข้ นาดตันกรอสของเรือประมงเป็นตวั กาหนดจานวนของ
เคร่อื งมอื ประมงลอบปลาที่อนญุ าตให้ใช้ไดด้ ังนี
16 ลอบหมึก 1. เรอื ประมงขนาด 10 - 29.99 ตันกรอส อนุญาตให้ใช้
ไมเ่ กิน 200 ลกู
2. เรือประมงขนาด 30 - 39.99 ตนั กรอส อนญุ าตใหใ้ ช้
ไม่เกิน 250 ลกู
3. เรอื ประมงขนาด 40 ตนั กรอสขนึ ไป อนญุ าตให้ใช้
ไม่เกนิ 300 ลูก
ใช้ขนาดตนั กรอสของเรอื ประมงเป็นตวั กาหนดจานวนของ
เคร่อื งมือประมงลอบหมกึ ที่อนญุ าตใหใ้ ช้ได้ ดงั นี
1. เรือประมงขนาด 10 - 29.99 ตนั กรอส อนญุ าตให้ใชไ้ ด้
ไม่เกนิ 320 ลูก

96

ลำ บั ท่ี ชนิ เคร่อื งมือ มำตรฐำนเคร่อื งมอื
2. เรอื ประมงขนาด 30 ตนั กรอสขนึ ไป อนุญาตให้ใชไ้ ด้
17 ลอบปู ไม่เกนิ 400 ลกู
กาหนดใหข้ นาดตาอวนของลอบโดยวัดจากอวนหุม้ ลอบดา้ น
18 ลอบหมกึ สาย ทอ้ งของลอบต้องไม่ต่ากว่า 2.5 นิว นอกจากนียังมีการใช้
ขนาดตนั กรอสของเรือประมงเป็นตัวกาหนดจานวนของ
19 เบด็ มอื เครอื่ งมอื ประมงลอบปูท่ีอนญุ าตใหใ้ ช้ได้ ดงั นี
20 เบ็ดราว 1. เรอื ขนาด 10 - 29.99 ตันกรอส สามารถใชล้ อบในการ
21 แผงยกปจู ักจ่นั ทาการประมงได้ไมเ่ กินครงั ละ 3,500 ลูก
22 เรือประกอบเคร่ืองกาเนดิ ไฟฟ้า 2. เรือขนาด 30 ตนั กรอสขนึ ไป สามารถใชล้ อบในการทา
การประมงได้ไมเ่ กินครงั ละ 4,500 ลกู
(เรือปั่นไฟ) ใชข้ นาดตันกรอสของเรือประมงเปน็ ตวั กาหนดจานวนของ
เครือ่ งมือประมงลอบหมกึ สายที่อนุญาตใหใ้ ช้ได้ ดงั นี
1. เรอื ประมงขนาด 10 - 24.99 ตันกรอส สามารถใชล้ อบ
หมึกสายในการทาการประมงได้ไมเ่ กนิ ครังละ 20,000 ลูก
2. เรอื ประมงขนาด 25 ตนั กรอสขึนไป สามารถใช้ลอบ
หมึกสายในการทาการประมงได้ไม่เกินครงั ละ 27,500 ลูก

ปัจจุบันยังมิได้กาหนด

97

เอกสำรอำ้ งองิ

Fox Jr, W. W. (1970). An exponential surplus ‐ yield model for optimizing
exploited fish populations. Transactions of the American Fisheries Society,
99, 80-88.

Sparre, P. and S. C. Venema. (1998). Introduction to tropical fish stock
assessment. FAO Fisheries Technical Paper 306/1 Rev. 2. FAO, ROME.
407 pp.

9988

99

ทรัพยากรสัตว์นาจืดเป็นทรัพยากรธรรมชาติในกลุ่มท่ีสามารถเกิดใหม่ทดแทนได้ การใช้ประโยชน์
อย่างมีการบริหารจัดการที่เหมาะสมจะทาใหส้ ามารถนาทรพั ยากรมาใช้ได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งประเทศไทย
เป็นประเทศหน่ึงท่ีตังอยู่ในภูมิประเทศท่ีมีแหล่งนาและทรัพยากรสัตว์นาอุดมสมบูรณ์มาตังแต่ในอดีต
ตามหลักฐานการตังถ่ินฐานแหล่งชุมชนจะอาศัยพึ่งพิงอยู่กับแหล่งนาหรือลานาเป็นหลัก ชุมชนได้อาศัย
นาและทรัพยากรสตั วน์ าเป็นแหล่งอาหาร สัตว์นาจึงถือเป็นเป็นแหล่งทรัพยากรหลักที่หล่อเลียงประชากร
มายาวนานจนมีการสืบทอดเป็นวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตมากมาย กรมประมงเป็นหน่วยงานท่ีมี
ภารกิจเกี่ยวกับการศึกษา วิจัย และพัฒนาด้านการประมง เพื่อการจัดการทรัพยากรประมง ควบคุมการทา
ประมง การผลิตสัตว์นา และผลิตภัณฑ์ประมงท่ีมีมาตรฐานให้มีปริมาณเพียงพอต่อการบริโภค
ภายในประเทศ ตลอดจนการใช้ทรพั ยากรประมงยั่งยืน โดยการกาหนดแนวทางการพัฒนาและบริหารจัดการ
ทรัพยากรประมงนาจืดให้มีปริมาณกาลังผลิตสัตว์นา ความมั่นคงของระบบนิเวศและความหลากหลาย
ทางชีวภาพสัตวน์ าเพิม่ ขนึ (กรมประมง, 2554)

พระรำชกำหน กำรประมง พ. . 2558 และทแี่ ก้ ขเพ่ิมเตมิ
การบริหารจัดการด้านการประมงและการดาเนินงานตามภารกิจท่ีเกี่ยวข้องทางด้านการประมง

นาจืดให้เป็นไปตามพระราชกาหนดการประมงฯ ซ่ึงได้ระบุไว้อย่างชัดเจนถึงการกาหนดทิศทางของการ
จัดการประมง การอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์นาให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของ
ผทู้ ี่เกย่ี วข้อง และมกี ารใชห้ ลักฐานทางวทิ ยาศาสตรป์ ระกอบ เพ่ือใหก้ ารบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์นาอยู่ใน
ภาวะท่เี หมาะสมและสามารถทาการประมงได้อย่างย่งั ยนื โดยมีรายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปนี

มำตรำ 4 บทบัญญตั แิ ห่งพระราชกาหนดนมี งุ่ หมายเพอ่ื การจดั ระเบียบการประมงในประเทศไทย
และในนา่ นนาทัว่ ไป เพ่ือป้องกนั มิใหม้ ีการทาการประมงโดยไมช่ อบด้วยกฎหมาย เพ่ือรักษาทรัพยากรสัตว์นา
ให้อยู่ในภาวะท่ีเป็นแหล่งอาหารของมนุษยชาติอย่างย่ังยืน และรักษาสภาพส่ิงแวดล้อม ให้ดารงอยู่ในสภาพ
ที่เหมาะสม ภายใต้วัตถุประสงค์ เพ่ือให้การบริหารจัดการด้านการประมงและการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์นา
ใหเ้ ปน็ ไปตามหลักธรรมาภิบาล มีการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอย่างครบถ้วนและถูกต้อง ให้ความช่วยเหลือ
หรอื สนับสนนุ ชุมชน ประมงท้องถ่ิน และมีการใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุดเพ่ือให้การบริหารจัดการ
ทรัพยากรสัตว์นา นาไปสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อมที่ย่ังยืน สอดคล้องกับแนวทาง
การรกั ษาสมดลุ ของระบบนิเวศ และหลักการป้องกันล่วงหน้าเพื่อรักษาหรือฟ้ืนฟูทรัพยากรสัตว์นา ให้อยู่
ในระดับท่ีสามารถก่อให้เกิดผลิตผลสูงสุดของสัตว์นาที่สามารถทาการประมงได้อย่างยั่งยืน ป้องกันและขจัด
การทาการประมงทเี่ กินศกั ย์การผลติ และขดี ความสามารถในการทาการประมงส่วนเกิน ตลอดจนควบคุม
มใิ หก้ ารทาการประมงมผี ลบ่ันทอนความย่ังยืนของทรัพยากรสตั วน์ า

100

มำตรำ 5 ในพระราชกาหนดนี

“สัตว์น้ำ” หมายความว่า สัตว์ท่ีอาศัยอยู่ในนาเป็นปกติ สัตว์จาพวกสะเทินนาสะเทินบก
สตั ว์ท่อี าศยั อย่ใู นบรเิ วณนาทว่ มถงึ สัตว์ที่มกี ารดารงชีวิตส่วนหนึ่งอยใู่ นนา สัตว์ที่มีวงจรชีวิตช่วงหน่ึงที่อาศัย
อยู่ในนาเฉพาะช่วงชีวิตที่อาศัยอยู่ในนารวมทังไข่และนาเชือของสัตว์นา และสาหร่ายทะเล ซาก หรือส่วน
หนึ่งส่วนใดของสัตว์นาเหล่านัน และให้หมายความรวมถึงพันธ์ุไม้นาตามท่ีรัฐมนตรี ประกาศกาหนด
และซากหรอื สว่ นหนงึ่ ส่วนใดของพันธไ์ุ มน้ านนั ด้วย

“กำรประมง” หมายความว่า การทาการประมง การเพาะเลียงสัตว์นา การดูแลรักษา
สตั วน์ า การแปรรปู สตั ว์นาและหมายความรวมถึงการกระทาใด ๆ ทเ่ี ปน็ การสนบั สนุนการทาการประมง

“ทำกำรประมง” หมายความว่า ค้นหา ล่อ จับ ได้มา หรือเก็บสัตว์นาหรือการ
กระทาใด ๆ ท่มี จี ุดม่งุ หมายเพอ่ื ลอ่ จบั ได้มา หรอื เก็บสตั ว์นาในที่จบั สตั วน์ า

“ที่จับสัตว์น้ำ” หมายความว่า ท่ีท่ีมีนาขังหรือไหล และหาดทังปวงท่ีเป็นสาธารณสมบัติ
ของแผ่นดิน รวมทังป่าไม้และพืนดินท่ีมีนาท่วมตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
หรอื ที่ดินของเอกชนรวมทังทะเล

“น่ำนนำ้ ภำยใน” หมายความวา่ ท่ีจบั สตั ว์นาภายในราชอาณาจกั รท่มี ใิ ชท่ ะเล

“ประมงน้ำจื ” หมายความวา่ การทาการประมงในทจ่ี ับสตั ว์นาทอ่ี ย่ใู นน่านนาภายใน

“เคร่ืองมือทำกำรประมง” หมายความว่า เครื่องกลไก เครื่องใช้ เครื่องอุปกรณ์
สว่ นประกอบ อาวธุ เสา และหลักทใี่ ช้ทาการประมง

หมว 2 กำรบรหิ ำรจั กำร ้ำนกำรประมง
มำตรำ 12 บทบัญญัติในหมวดนีมีวัตถุประสงค์ เพ่ือกาหนดนโยบายและกากับดูแล

การบริหารจัดการด้านการประมงและการอนุรักษ์ทรพั ยากรสตั วน์ าให้เปน็ ไปตามหลักธรรมาภบิ าล และส่งเสรมิ
การมีส่วนร่วมของผู้ท่เี ก่ียวขอ้ ง เพอ่ื ให้การบริหารจัดการทรพั ยากรสตั วน์ าอยู่ในภาวะทเ่ี หมาะสม และสามารถ
ทาการประมงได้อย่างย่ังยืน โดยใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ท่ีดีท่ีสุด และคานึงถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจ
สงั คม และสงิ่ แวดลอ้ ม ภายใตแ้ นวทางการรักษาสมดุลของระบบนิเวศและหลกั การปอ้ งกันล่วงหน้า ตลอดจน
เพื่อรักษาหรือฟ้ืนฟูระดับทรัพยากรสัตว์นาให้อยู่ในระดับที่สามารถก่อให้เกิดผลิตผลสูงสุดของสัตว์นา
ท่ีสามารถทาการประมงได้อย่างยั่งยืน โดยมีการป้องกันและขจัดการทาการประมงที่เกินศักย์การผลิต
และขีดความ สามารถในการทาการประมงส่วนเกิน เพ่ือควบคุมมิให้การทาการประมง มีผลบ่ันทอน
ความยั่งยืนของทรพั ยากรสัตว์นา

101

มำตรำ 19 คณะกรรมการมีอานาจหน้าท่ีกาหนดนโยบายและกากับการบริหารจัดการ
การประมง โดยการกาหนดนโยบายการพัฒนาการประมงในน่านนาไทยให้สอดคล้องกับปริมาณของ
ทรัพยากรสัตว์นาและขีดความสามารถในการทาการประมง กาหนดนโยบายการพัฒนาการเพาะเลียงสัตว์นา
ของประเทศ กาหนดปริมาณสูงสุดของสัตว์นาที่จะทาการประมงในน่านนาไทย กาหนดแนวทางในการ
บริหารจดั การทรพั ยากรสัตว์นาใหอ้ ยู่ในภาวะท่ีเหมาะสม และสามารถทาการประมงได้อยา่ งยัง่ ยนื

มำตรำ 21 การมุ่งให้เกิดการสงวน รักษา และป้องกันสัตว์นามิให้สูญพันธ์ุ และให้
สามารถใช้ประโยชน์แหล่งทรัพยากรสัตว์นาได้อย่างยั่งยืน เกิดความสมดุลของระบบนิเวศและความ
หลากหลายทางชีวภาพ มีมาตรการป้องกันมิให้มีการทาการประมงจนเป็นการรบกวนหรือขัดขวาง
กระบวนการของธรรมชาติในการใช้เวลาผลิตและฟ้ืนฟูกาลังการผลิตอย่างเพียงพอ เพ่ือให้ การทา
การประมงสอดคล้องกับการผลิตสูงสุดของธรรมชาติและสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างย่ังยืน มีแนวทาง
ให้ผู้ประกอบอาชพี การประมงและอาชีพอื่นท่ีเก่ียวข้องกับการประมง ได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และป้องกัน
แหล่งทรัพยากรประมงและทรัพยากรสัตว์นา ให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมและสามารถทาการประมงได้
อยา่ งยงั่ ยืน

มำตรำ 22 แนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์นา ต้องครอบคลุมแนวทาง
การสง่ เสรมิ มาตรการการอนรุ กั ษแ์ ละบริหารจัดการการทาการประมงอย่างย่ังยืน และแนวทางการป้องกัน
การแสวงหาประโยชน์เกินควรจากทรัพยากรสตั ว์นา

มำตรำ 24 แผนบริหารจัดการการประมงต้องครอบคลุมแนวทางการฟ้ืนฟูทรัพยากร
สัตว์นาให้กลับส่สู ภาวะปกติตามธรรมชาติ แนวทางการป้องกนั มใิ ห้มกี ารจบั สัตวน์ าที่ยังโตไม่ได้ขนาด แนวทาง
การพัฒนาข้อมูลเกีย่ วกับการประมง แนวทางการเสรมิ สร้างการบริหารจัดการการประมง

มำตรำ 25 เพ่ือส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสนับสนุนชุมชนประมงท้องถ่ินในการจัดการ
การบารุงรักษา การอนรุ กั ษ์ การฟื้นฟู และการใช้ประโยชน์อย่างย่ังยืนจากทรัพยากรสัตว์นาภายในท่ีจับ
สัตว์นาในเขตประมงนาจืด ให้กรมประมงดาเนินการให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการมีส่วนร่วม
ของชุมชนประมงท้องถิ่นในการจัดทานโยบาย สนับสนุนให้มีการรวมกลุ่มและจัดให้มีการขึนทะเบียน
องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีประกาศกาหนด ให้คาปรึกษาแก่ชุมชนประมง
ทอ้ งถ่นิ ในการจดั การ การบารุงรักษา การอนุรักษ์ การฟ้ืนฟู และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์นา
รวมทังช่วยเหลือและสนับสนุนการดาเนินงาน โครงการหรือกิจกรรมของชุมชนในเร่ืองดังกล่าว เผยแพร่
ความรู้หรือข้อมูลข่าวสารเก่ียวกับการจัดการ การบารุงรักษา การอนุรักษ์ การฟ้ืนฟู และการใช้ประโยชน์
จากทรพั ยากรสัตวน์ า

102

มำตรำ 28 คณะกรรมการประมงประจาจังหวัดมีอานาจหน้าที่ รวบรวมข้อเสนอแนะ
และเสนอแนวทางในการส่งเสริมอาชีพการประมง การจัดการ การบารุงรักษา การอนุรักษ์ การฟ้ืนฟู
และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรสัตว์นาขององค์กรชุมชน ประมงท้องถิ่นในเขตพืนที่ที่รับผิดชอบ
เสนอต่อคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาจัดทานโยบาย พิจารณาและเสนอแนวทางในการพัฒนาหรือ
แก้ไขปัญหาการประมง หรือการจัดการการบารุงรักษา การอนุรักษ์ การฟ้ืนฟู และการใช้ประโยชน์
ในท่ีจับสัตว์นาในเขตพืนที่ท่ีรับผิดชอบเสนอต่อรัฐมนตรี คณะกรรมการ หรืออธิบดี ออกประกาศ
ตามมาตรา 56 มาตรา 71 และมาตรา 77 โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดาเนินการอื่น
ตามท่ีรัฐมนตรหี รอื คณะกรรมการมอบหมาย

มำตรำ 31 ผู้ใดจะทาการประมงนาจืดในท่ีจับสัตว์นาที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
โดยใช้เครื่องมือทาการประมงตามที่อธิบดีประกาศกาหนด ต้องได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าท่ี
โดยไม่ใชบ้ งั คับกบั การทาการประมงในทเ่ี พาะเลียงสัตว์นา

หมว 5 มำตรกำรอนุรกั ษ์และบรหิ ำรจั กำร

มำตรำ 55 บทบัญญัติในหมวดนีมีวัตถุประสงค์เพ่ือการอนุรักษ์และบริหารจัดการ
ให้เกิดความสมดุลทางธรรมชาติและรักษาทรัพยากรสัตว์นาและระบบนิเวศไว้อย่างยั่งยืน ตามหลัก
การปอ้ งกนั ล่วงหน้า โดยผทู้ าการประมงตอ้ งไมฝ่ า่ ฝืนและปฏิบัติตามบทบัญญัตใิ นหมวดนี

มำตรำ 56 ห้ามมิให้ผู้ใดจับสัตว์นาในเขตพืนที่รักษาพันธุ์สัตว์นาตามที่รัฐมนตรี
หรือคณะกรรมการประมงประจาจังหวัดโดยอนุมัติรัฐมนตรีประกาศกาหนด เว้นแต่เป็นการกระทา
เพ่ือประโยชน์ในทางวิชาการหรือเพื่อการบารุงรักษาพันธ์ุสัตว์นา และได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดี
หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย

มำตรำ 58 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทาการ ปล่อย เท ทิง ระบาย หรือทาให้วัตถุอันตราย
ตามที่รัฐมนตรีประกาศกาหนดลงสู่ที่จับสัตว์นา กระทาการใด ๆ อันทาให้สัตว์นาในท่ีจับสัตว์นามึนเมา
ปล่อย เท ทิง ระบาย หรือทาให้ส่ิงใดลงสู่ท่ีจับสัตว์นาในลักษณะที่เป็นอันตรายแก่สัตว์นา ทาให้ท่ีจับ
สัตว์นาเกิดมลพิษในลักษณะทีเ่ ป็นอนั ตรายแก่สัตวน์ า

มำตรำ 59 ผู้ใดโดยเจตนาหรือโดยประมาททาให้ท่ีจับสัตว์นาเกิดมลพิษในลักษณะ
ท่ีน่าจะเป็นอันตรายแก่สัตว์นา ต้องรับผิดในค่าใช้จ่ายทังปวงในการช่วยเหลือหรือป้องกันชีวิตสัตว์นา
และทาใหท้ ่ีจบั สตั ว์นาฟน้ื ฟูกลบั สูส่ ภาพตามธรรมชาติ ทงั นี ตามท่ีอธิบดกี าหนด

มำตรำ 60 ห้ามมิใหผ้ ู้ใดใชก้ ระแสไฟฟา้ ทาการประมง หรอื ใชว้ ัตถุระเบิดในที่จับสัตว์นา
ในกรณีท่ีทางราชการมคี วามจาเป็นต้องใชว้ ตั ถุระเบดิ ในท่ีจับสตั ว์นา ใหก้ ระทาได้เมื่อได้รับอนุญาตเป็นหนังสือ
จากอธบิ ดีและได้ดาเนินการป้องกันมิให้เกิดความเสยี หายแกส่ ัตวน์ าเกนิ สมควรแล้ว

103

มำตรำ 62 ห้ามมิให้ผู้ใดทาการแก้ไขเปลี่ยนแปลงท่ีจับสัตว์นาที่เป็นสาธารณสมบัติ
ของแผน่ ดนิ ให้ผิดไปจากสภาพที่เปน็ อยู่ เวน้ แต่จะไดร้ ับอนุญาตเปน็ หนงั สอื จากพนักงานเจ้าหน้าท่ี

มำตรำ 63 ห้ามมิให้ผู้ใดติดตัง วาง หรือสร้างเข่ือน ฝาย ทานบ รัว ส่ิงปลูกสร้าง
เคร่ืองมือท่ีเป็นตาข่าย หรือเครื่องมือทาการประมงอ่ืนใด หรือกระทาการใดในที่จับสัตว์นาอันเป็นการกัน
ทางเดินของสัตว์นาหรือเป็นอุปสรรคในการเจริญเติบโตของสัตว์นา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นหนังสือ
จากพนักงานเจ้าหนา้ ท่ี

มำตรำ 67 ห้ามมิให้ผู้ใดใช้หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อใช้ซ่ึงเครื่องมือทาการประมง
ดงั ตอ่ ไปนี เคร่อื งมือโพงพาง รัวไซมานหรือกันซู่รัวไซมาน เคร่ืองมือลี่ และวิธีการคล้ายคลึงกับเครื่องมือ
ลอบพับได้หรือไอ้โง่ ที่มีช่องทางเข้าของสัตว์นาสลับซ้ายขวาอยู่ทางด้านข้าง หรือเครื่องมืออื่นที่มีลักษณะ
ใช้สาหรับดักสัตว์นา เคร่ืองมืออวนลากที่มีช่องตาอวนก้นถุงเล็กกว่าขนาดที่อธิบดีประกาศกาหนด
เครื่องมอื อวนรุนที่ใช้ติดกับเรือยนต์ เว้นแตเ่ ป็นอวนรุนเคย

มำตรำ 70 ห้ามมิให้ผู้ใดทาการประมงในระยะเวลาฤดูสัตว์นามีไข่และวางไข่ เลียงตัวอ่อน
หรือระยะเวลาอน่ื ใดท่ีจาเปน็ ต่อการคมุ้ ครองสตั ว์นา ตามที่รัฐมนตรปี ระกาศกาหนด

มำตรำ 71 ให้รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการประมงประจาจังหวัดมีอานาจออกประกาศ
ดังต่อไปนี เคร่ืองมือทาการประมงตามรูปแบบของเคร่ืองมือ วิธีการทาการประมง พืนที่ทาการประมง
และเง่ือนไขอน่ื ที่หา้ มใช้ทาการประมงในทีจ่ ับสัตว์นา พืนท่ีท่ีจะให้ใช้เคร่ืองมือทาการประมงที่ต้องใช้วิธีลงหลัก
ปัก ผูก ขึง รัง ถ่วง หรือวิธีอื่นใด อันทาให้เครื่องมือนันอยู่กับท่ีในเวลาทาการประมง การกาหนด
ของคณะกรรมการประมงประจาจังหวัดเม่ือได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีแล้ว ให้ใช้บังคับได้ภายในเขตพืนที่
ทรี่ บั ผดิ ชอบ และเฉพาะในเขตประมงนาจืด

การนาพระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม มาเป็นแนวทางเพื่อใช้
ในการจัดการประมงนาจืดที่มีการนาทรพั ยากรประมงมาใชป้ ระโยชน์ที่แตกต่างกันในแต่ละพืนท่ี ซึ่งมีความ
หลากหลายและความเฉพาะเจาะจงของแต่ละพืนที่ การจัดการการจับสัตว์นาจากแหล่งนาแบ่งออกเป็น
2 รูปแบบ ดังนี

1) การจดั การการจบั สัตวน์ าจากแหลง่ นาปดิ

2) การจัดการการจับสตั ว์นาจากแหล่งนาเปิด

104

แหล่งน้ำปิ (Closed water body) หรือแหล่งน้ำนิ่ง (Lentic or Standing water)
มีทางติดต่อกับแม่นา ลาธาร หรือบริเวณท่ีมีนาท่วมถึง ในบางแห่งแหล่งนาปิดอาจได้รับนาจากนาฝน
แต่เพียงอย่างเดียวเท่านัน แต่บางแห่งก็ได้รับนาจากการท่วมท้นของแม่นาและการไหลลงมาโดยขึนลงของนา
โดยนาจะเคลือ่ นทไ่ี ด้สว่ นใหญเ่ กดิ จากกระแสลม แหล่งนานิ่งที่สาคัญ ได้แก่ อ่างเก็บนาขนาดใหญ่ ทะเลสาบ
บึง หนอง บอ่ แหล่งนาทว่ ม เป็นต้น (กังวาลย์ และคณะ, 2562)

1) อำ่ งเกบ็ น้ำขนำ ใหญ่
อา่ งเก็บนาขนาดใหญ่จัดอยู่ในประเภทแหล่งนาน่ิง แต่พืนท่ีตอนบนมีบริเวณพืนที่ต่อเน่ือง

กบั ลานาหลักซงึ่ มพี ืนท่นี าไหล เป็นแหล่งนาที่มนษุ ยส์ ร้างขนึ เพือ่ วตั ถุประสงค์ต่าง ๆ กัน ส่วนใหญ่เป็นแหล่งนา
เกิดใหม่มีอายุไม่มากนกั อยู่ระหว่าง 10 - 50 ปี มีพืนท่กี วา้ งมีระดบั ความลกึ คอ่ นข้างมาก โดยเฉพาะอ่างเก็บนา
ท่ีตังอยู่ในพืนท่ีอุทยานแห่งชาติหรือป่าสงวนที่อยู่บริเวณเทือกเขาท่ีสูงชัน เช่น อ่างเก็บนาเขื่อนภูมิพล
อ่างเก็บนาเข่ือนเข่ือนสิริกิต์ิ อ่างเก็บนาเข่ือนรัชชประภา อ่างเก็บนาเขื่อนศรีนครินทร์ อ่างเก็บนาเขื่อน
บางลาง และอ่างเก็บนาเข่ือนวชิราลงกรณ์ เป็นต้น โดยปกติจะมีการแบ่งชันนาในอ่างเก็บนา มีระดับ
ความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างต่า มีการเปล่ียนแปลงของกาลังผลิตสัตว์นาน้อยหรือไม่เปล่ียนแปลงมากนัก
ถ้าปริมาณการลงแรงทาการประมงไมม่ ากเกนิ กว่ากาลงั ผลิตของสัตวน์ าในแหล่งนา

2) หนอง บง ทะเลสำบน้ำจื ขนำ ใหญ่
พนื ทแ่ี หล่งนาประเภทแหลง่ นานงิ่ หรอื แหล่งนาปิด แต่อาจมีทางเชอื่ มต่อกบั แมน่ าหรอื บริเวณ

พืนที่นาท่วมขัง บางพืนท่ีอาจได้รับนาฝนเพียงอย่างเดียว มีขนาดพืนที่และรูปร่างแตกต่างกันไป และมี
ช่อื เรยี กไดห้ ลายแบบ เช่น ทะเลสาบ หนองบงึ กวา๊ น ทุ่ง หรือบ่อ เป็นต้น ส่วนใหญ่เป็นท่ีราบท้องกระทะ
ดังเชน่ บงึ บอระเพ็ด หนองหาร กว๊านพะเยา โดยทั่วไปมีการทับถมของตะกอนค่อนข้างมากและมีวิวัฒนาการ
มายาวนาน แหล่งนาในประเทศไทยมักเป็นแหล่งนาท่ีค่อนข้างตืนเขินและมีพรรณไม้นาขึนหนาแน่นมาก
มีความอุดมสมบูรณ์มาก (Eutrophication) ชนิดพันธ์ุปลาท่ีอาศัยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่สามารถเจริญเติบโต
ได้ดีในนานิ่ง แต่กจ็ ะมีความแตกต่างกันได้อย่างกว้างขวาง ทังชนิด ขนาด และความชุกชุม โดยจะขึนอยู่กับ
ระดบั ความอดุ มสมบรู ณ์ของแต่ละแหล่งนา สภาพแหล่งนา และความหนาแนน่ ของการทาการประมง

105

3) แหลง่ น้ำขนำ กลำง ขนำ เลก็ หรือแหลง่ นำ้ สำธำรณะ
แหล่งนาจดื มที งั เกดิ ขนึ เองตามธรรมชาติและจากการสรา้ งขนึ ของมนุษย์ เพ่อื ใชป้ ระโยชน์

ในการอุปโภคบริโภค ทาการเกษตร อุตสาหกรรม ผลิตกระแสไฟฟ้า และการคมนาคม นอกจากนี
แหลง่ นาสาธารณะต่าง ๆ ยังเป็นแหล่งทาการประมงท่ีสาคัญ ดังนันข้อมูลพืนฐานต่าง ๆ เก่ียวกับแหล่งนาปิด
จึงมีความสาคัญและจาเป็นต้องใช้ในการวางแผนพัฒนาและการบริหารจัดการแหล่งนา เพ่ือให้ทรัพยากร
สัตว์นามีความยั่งยืนและคงความหลากหลายทางชีวภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชนรอบบริเวณแหล่งนา
มากที่สดุ

106

พ้ืนท่ีของแหล่งน้ำเปิ หรือแหล่งน้ำ หล มีลักษณะมาจากต้นนาท่ีอาจมีขนาดเล็ก และ
จะค่อย ๆ ใหญ่ขึน ไม่มีการปิดกัน หรืออาจปิดกันแต่ไม่ถาวรตลอด หรือเกิดจากการไหลมาการบรรจบกัน
ของแมน่ ากลายเปน็ แม่นาสายใหม่ ประเภทของแหล่งนาไหล ได้แก่ แม่นา ลาธาร คู คลอง เป็นต้น
ซ่งึ แหล่งนาไหลสามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ เขต 2 เขตหลัก (กงั วาลย์ และคณะ, 2562) คือ

1) เขตน้ำ หลเช่ียว (Rapid zone) บริเวณนีมักตืน พืนล่างของแหล่งนาจะสะอาด
เพราะกระแสนาพัดพาตะกอนไปหมด พืชท่ีขึนในบริเวณนีเป็นกลุ่มสาหร่าย (Algae) ซึ่งยึดเกาะแน่น
กับส่งิ หน่งึ ส่งิ ใด ลาต้นหรือใบสามารถลไู่ ปตามกระแสนาได้

2) เขตน้ำ หลเอ่ือย (Pool zone) บริเวณนานมี ักลกึ กระแสนาไหลช้า ๆ พืนล่างของ
แหล่งนามีตะกอนทบั ถมกันอยู่ พืชที่ขึนบรเิ วณนจี ะมรี ากหยง่ั ลึกไม่แน่นหนา

ประเภทแหล่งนาที่พบกระจายอยู่ในพืนท่ีลุ่มนาของประเทศไทย สามารถจาแนกตาม
ลกั ษณะทางกายภาพและนเิ วศวิทยาแหล่งนา ในปัจจบุ นั ประเทศไทยมแี หล่งนาแบบแม่นา ลาธาร ห้วย
และคลอง ที่มีความสาคัญด้านการประมงนาจืดอยู่จานวนไม่น้อยกว่า 74 ลานา รวมความยาวของ
ลานามากกว่า 15,300 กิโลเมตร ซึ่งกระจายอยู่ในพืนท่ีภาคเหนือ 17 แห่ง พืนท่ีภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ 22 แห่ง พืนท่ีภาคกลาง 23 แห่ง และพืนท่ีภาคใต้ 12 แห่ง ในส่วนของแหล่งนาประเภท
อ่างเก็บนา หนอง บงึ และทะเลสาบนาจืดขนาดใหญ่ พบมจี านวนรวม 36 แหง่ (ตารางที่ 3 - 9)

107

ตำรำงที่ 3 - 9 ข้อมลลักษณะกำยภำพของแมน่ ำ้ ลำธำรที่มีควำมสำคญั ทำงกำรประมงน้ำจื ของ ทย

ภำค ชื่อแม่นำ้ แหลง่ /เขำตน้ นำ้ หลลงส่แมน่ ำ้ ควำมยำว (กม.)
เจา้ พระยา 740
เหนือ นา่ น หลวงพระบาง เจ้าพระยา 715
735
ปงิ แดนลาว นา่ น 385
คง 300
ยม ผปี นั นา ปงิ 290
โขง 240
เมย ถนนธงชยั (ในพมา่ ) โขง 215
เมย 200
วงั ผปี นั นา กก 185
นา่ น 180
กก แดนลาว (ในพม่า) คง (ในพมา่ ) 170
ปิง 150
อิง กวา๊ นพะเยา ปิง 135
ปงิ 105
ยวม ถนนธงชยั ปิง 95
โขง 70
ลาว ผปี ันนา กก 765
มลู 641
แควนอ้ ย เพชรบรู ณ์ โขง 420
โขง 275
ปาย ถนนธงชยั ชี 210
มูล 210
แจม่ ถนนธงชัย มลู 200
มูล 195
ตน่ื ถนนธงชัย ชี 180
พอง 180
แมแ่ ตง แดนลาว มูล 165
ชี
กวง ผีปนั นา

สาย แดนลาว (ในพมา่ )

ฝาง ผีปันนา

ตะวันออกเฉยี งเหนือ ชี เพชรบูรณ์

มลู สันกาแพง

สงคราม ภผู าเหล็ก ภูผาหกั ภเู พลนิ

พอง เพชรบรู ณ์

ลาปลายมาศ พนมดงรัก

ลาตะคอง ดงพญาเยน็

ลาเซ ภตู ากแดด

ลาปาว หนองหาน

เชญิ เพชรบูรณ์

ลาโดมใหญ่ พนมดงรัก

ยงั ภูถาบึง ภูโคกยกั ษ์

108

ภำค ชอ่ื แม่น้ำ แหลง่ /เขำตน้ น้ำ หลลงส่แม่น้ำ ควำมยำว (กม.)

ลาชี พนมดงรกั มูล 160

หว้ ยขะยูง พนมดงรกั มูล 145

ลาเชิงไกร ดงพญาเยน็ มลู 140

เลย ภูกระดงึ โขง 130

ลาโดมน้อย พนมดงรกั มลู 130

ลาพระเพลงิ สันกาแพง มลู 120

หว้ ยเซบก จงั หวัดอานาจเจริญ มูล 115

ลาคนั ฉู เพชรบรู ณ์ ชี 105

ลานางรอง พนมดงรกั ลาปลายมาศ 90

ลานากา่ หนองหาร สกลนคร โขง 90

พรม เพชรบูรณ์ เชญิ 80

กลาง แม่กลอง ถนนธงชัย อ่าวไทย 520

ป่าสกั เพชรบรู ณ์ เจา้ พระยา 500

เจ้าพระยา ปิง + น่าน ทป่ี ากนาโพ อา่ วไทย 360

ท่าจนี เจา้ พระยา อา่ วไทย 300

แควใหญ่ ตะนาวศรี แม่กลอง 290

แควนอ้ ย ตะนาวศรี แม่กลอง 270

บางปะกง สนั กาแพง อ่าวไทย 230

เพชรบุรี ตะนาวศรี อา่ วไทย 230

สะแกกรัง ถนนธงชัย เจ้าพระยา 180

ปราณบุรี ตะนาวศรี อา่ วไทย 160

นอ้ ย เจ้าพระยา เจ้าพระยา 145

ภาษี ตะนาวศรี แควน้อย 120

นครนายก ดงพญาเยน็ นางรอง - ท่าด่าน 100

ลพบรุ ี เจ้าพระยา ป่าสัก 85

ห้วยมวกเหลก็ ดงพญาเย็น ปา่ สกั 75

ประจนั ตคาม ดงพญาเยน็ นครนายก 61

พระปรง เขาสอยดาว ปราจีนบรุ ี 170

จันทบรุ ี จันทบรุ ี อ่าวไทย 100

ตราด จันทบุรี - บรรทัด อ่าวไทย 97

109

ภำค ช่อื แมน่ ้ำ แหลง่ /เขำต้นนำ้ หลลงส่แมน่ ้ำ ควำมยำว (กม.)

หนมุ าน ดงพญาเยน็ ปราจนี บุรี 89

ประแสร์ จนั ทบุรี อา่ วไทย 80

ระยอง จนั ทบรุ ี อ่าวไทย 70

คลองใหญ่ บรรทัด อา่ วไทย 40

ใต้ ตาปี นครศรีธรรมราช อ่าวไทย 232

คริ ีรัฐ (พมุ ดวง) ภเู ก็ต ตาปี 190

สายบุรี สนั กาลาคีรี อ่าวไทย 123

ปตั ตานี สนั กาลาครี ี อ่าวไทย 170

หลงั สวน ภเู ก็ต อา่ วไทย 135

ชมุ พร ตะนาวศรี อา่ วไทย 50

ท่าตะเภา ตะนาวศรี อา่ วไทย 33

โก - ลก สันกาลาครี ี อ่าวไทย 120

ตรงั นครศรีธรรมราช - บรรทดั ทะเลอนั ดามัน 80

ปะเหลียน บรรทดั ตรัง 58

กระบรุ ี ตะนาวศรี ทะเลอนั ดามนั 100

คลองอตู่ ะเภา สันกาลาครี ี ทะเลสาบสงขลา 90

ทีม่ า : สมหญงิ และคณะ, 2554

กำรแบ่งแหล่งน้ำเปิ แบบลุ่มน้ำ คานึงถึงสภาพอุทกวิทยา สภาพภูมิศาสตร์ ระบบนิเวศ การตัง
ถ่ินฐาน การผังเมือง ผังนา และเขตการปกครอง ด้วยเหตุนีในปี พ.ศ. 2561 สานักงานทรัพยากรนา
แห่งชาติ ทบทวนการแบ่งพืนทลี่ ุ่มนาทเ่ี หมาะสมสาหรับการบรหิ ารจัดการทรพั ยากรนา และผลกระทบจากการ
แบง่ พนื ทล่ี มุ่ นาขึนเพ่อื ให้การจัดแบ่งลมุ่ นามปี ระสิทธภิ าพยิง่ ขนึ จาก 25 ลุ่มนาหลัก 254 ลุ่มนาสาขา แบ่งเป็น
22 ลุ่มนาหลัก 353 ลุ่มนาสาขา (ตารางที่ 3 - 10) ซ่ึงในระบบนิเวศวิทยามีปลาเป็นส่วนหน่ึงหรือตัวบ่งชี
ความสมดุลทางธรรมชาติท่ีดี โดยที่เราจะทราบได้จากสภาพของความหลากหลายทางชีวภาพของชนิดปลา
ทีม่ ีอยู่และแนวโน้มความเปล่ียนแปลงในการใช้ประโยชน์อย่างย่ังยืน ประเทศไทยตังอยู่ระหว่างเส้นละติจูด
5° 45’ ถึง 20° 30’ เหนือ และเส้นลองติจูด 97° 30’ ถึง 105° 45’ ตะวันออก มีความกว้างสุด
จากตะวันตกถึงตะวันออกประมาณ 800 กิโลเมตร และความยาวประมาณ 1,500 กิโลเมตร ครอบคลุม
พนื ที่ประมาณ 513,517 ตารางกิโลเมตร เปน็ แหลง่ ที่มีความหลากหลายของชนิดปลานาจืดและสัตว์นาต่าง ๆ
มากแห่งหนึ่งของโลก จัดอยู่ในพืนท่ีวิกฤติของความหลากหลายทางชีวภาพอินโดเบอร์มา เพราะอยู่ในบริเวณ

110

ทเ่ี ป็นรอยต่อของเขตชีวภูมิศาสตร์บนแผ่นดิน 3 แห่ง คือ เขตอินโดเบอร์มีส (ภาคเหนือและด้านตะวันตก)
อินโดไชนิล (ภาคกลาง และตะวันออกเฉียงเหนือ) และซุนดาอิก (ภาคใต้) และมีความหลากหลาย
ของภมู นิ เิ วศนาจืดถึง 9 ภูมินิเวศ

ในประเทศไทยพบปลานาจืดอย่างน้อย 858 ชนิด จาก 81 วงศ์ อันดับตะเพียน ค้อ อีด
(Order Cypriniformes) มีความหลากชนิดมากที่สุดพบอย่างน้อย 408 ชนิดจาก 12 วงศ์ วงศ์ท่ีมี
จานวนชนดิ มากที่สุด คือ วงศ์ปลาตะเพียน ซิว สร้อย (Cyprinidae) พบอย่างน้อย 261 ชนิด รองลงมา
คือ วงศ์ปลาค้อ (Nemacheilidae) พบ 65 ชนิด และต่อมาคืออันดับปลาหนัง (Order Siluriformes)
พบอย่างน้อย 190 ชนิดจาก 14 วงศ์ วงศ์ที่มีจานวนชนิดมากท่ีสุด คือ วงศ์ปลากด แขยง (Bagridae)
พบ 34 ชนิด ปลาในกลุ่ม Percomorpha พบอย่างน้อย 190 ชนิด จาก 33 วงศ์ กลุ่มวงศ์ที่มี
จานวนชนิดมากที่สุด คือ กลุ่มปลาบู่ 5 วงศ์ พบอย่างน้อย 64 ชนิด รองลงมาคือกลุ่มปลาหมอ แรด
สลิด (Suborder Anabantoidei) พบอย่างน้อย 33 ชนิด จาก 3 วงศ์กลุ่มปลากระดูกอ่อน
(Elasmobrancher) พบ 13 ชนิด จาก 3 วงศ์ ปลาอันดับกะตัก หลังเขียว (Clupeiformes) 19
ชนิด จาก 3 วงศ์ และกลุ่มเล็กอื่น ๆ พบ 38 ชนิดจาก 12 วงศ์ ในรายช่ือทังหมดนีมีชนิดที่ยังไม่เคย
มรี ายงานมากอ่ น รวมถึงชนิดที่ยงั ไมท่ ราบช่ืออย่างน้อย 70 ชนดิ (Vidthayanon, 2017)

ปรมิ ำณกำรจับสัตวน์ ้ำจื จำกแหล่งนำ้ ธรรมชำติ
จากรายงานสถิติปริมาณการจับสัตว์นาจืดจากแหล่งนาธรรมชาติปี 2540 - 2562 พบว่า

ในปี 2540 - 2548 ปริมาณการจับสัตว์นาจืดจากแหล่งธรรมชาติมีระดับคงท่ี จากนันในปี 2549 - 2551
มีแนวโน้มการจับเพิ่มมากขึนและลดลงในปี 2552 - 2553 แล้วเพ่ิมขึนอีกครังในปี 2554 - 2556 แล้วมี
แนวโน้มลดลงอยู่ในระดับที่คงที่ในปี 2557 - 2560 และในปี 2562 พบว่ามีปริมาณการจับลดลงต่าสุด
(ตารางท่ี 3 - 11)

111

ตำรำงท่ี 3 - 10 กำรแบ่งลุ่มน้ำ (สำนกั งำนทรพั ยำกรน้ำแหง่ ชำติ, 2561)

ลุ่มนำ้ เ มิ ลุ่มนำ้ ใหม่ แมน่ ้ำที่มคี วำมสำคัญ ทะเลสำบ หนอง บง และ
ในลมุ่ น้ำ อ่ำงเก็บน้ำ
รหสั ช่อื ลุ่มน้ำ รหสั ชอื่ ลมุ่ นำ้
ขนำ ใหญ่ที่สำคัญในลมุ่ นำ้

01 สาละวิน 01 สาละวนิ สาละวนิ ปาย ยวม เมย -

หว้ ยแม่ละเมา

02 โขง 02 โขงเหนือ โขง องิ ลาว เลย หว้ ยโมง กวา๊ นพะเยา หนองหาร

หว้ ยหลวง สงคราม นากา่ เขอ่ื นหว้ ยหลวง เขอ่ื นนาอนู

นาพุง เขอ่ื นนาพุง

03 กก 03 โขงตะวันออก กก ลาว หนองหลวง

เฉียงเหนอื

04 ชี 04 ชี ชี พรม เชญิ พอง ลาปาว เขื่อนจฬุ าภรณ์ เขอื่ นอบุ ลรัตน์

ลานายัง เขือ่ นลาปาว หนองหานกมุ ภวาปี

แกง่ ละว้า บึงละหาน

05 มลู 05 มลู มูล ลาตะคอง ลาพระเพลิง เขอ่ื นลาตะคอง เข่อื นลาพระเพลิง

ลามนู บน ลาปายมาศ เขอ่ื นลาแซะ เขือ่ นลามลู บน

ห้วยสาราญ ลาเซบก เขือ่ นสิรนิ ธร เข่อื นลาปลายมาศ

ลาเซบาย ลาโดมใหญ่ เขื่อนลานางรอง

06 ปิง 06 ปิง ปงิ แมแ่ ตง แมแ่ จม่ แม่ตนื่ เข่ือนภูมิพล เขื่อนแมง่ ดั

เขอื่ นแมก่ วง

07 วัง 07 วงั วัง แมจ่ าง เขื่อนกว่ิ ลม เขือ่ นกิว่ คอหมา

เขอ่ื นแม่จาง

08 ยม 08 ยม ยม งาว แมต่ า้ แมห่ มอก -

แม่ลาพนั

09 น่าน 09 นา่ น นา่ น วา้ แควน้อย เขื่อนสิรกิ ติ ์

เขื่อนแควนอ้ ยบารงุ แดน บงึ สีไฟ

10 เจา้ พระยา 10 เจ้าพระยา เจ้าพระยา น้อย ลพบรุ ี บึงบอระเพ็ด บงึ จาลัง

11 สะแกกรัง 11 สะแกกรัง สะแกกรัง หว้ ยทบั เสลา เขอ่ื นทับเสลา

12 ปา่ สัก 12 ป่าสกั ป่าสัก ลาสนธิ หมวกเหล็ก เขอื่ นป่าสักชลสิทธิ์ เขือ่ นกุดตาเพชร

13 ทา่ จนี 13 ทา่ จนี ท่าจนี เขอ่ื นกระเสียว

14 แม่กลอง 14 แมก่ ลอง แมก่ ลอง แควน้อย เขื่อนศรนี ครนิ ทร์

แควใหญ่ เขอื่ นวชิราลงกรณ์

112

ลมุ่ น้ำเ ิม ลมุ่ นำ้ ใหม่ แมน่ ้ำทม่ี คี วำมสำคัญ ทะเลสำบ หนอง บง
ในลมุ่ น้ำ และอ่ำงเกบ็ น้ำ
รหสั ช่อื ลุ่มนำ้ รหัส ชื่อลุ่มน้ำ
ขนำ ใหญท่ ี่สำคญั ในลุม่ น้ำ

15 ปราจนี บุรี 15 บางปะกง ปราจนี บรุ ี หนุมาน เข่ือนพระปรง เขือ่ นหว้ ยโสมง

พระปรง ห้วยโสมง

คลองพระสทึง

16 บางปะกง นครนายก บางปะกง เขอ่ื นขุนดา่ นปราการชล

17 โตนเลสาป 16 โตนเลสาป ห้วยพรมโหด เขื่อนท่ากระบาก

18 ชายฝง่ั ทะเล 17 ชายฝง่ั อา่ วไทย จันทบรุ ี เวฬุ ประแสร์ เข่อื นบางพระ เขอื่ นประแสร์

ตะวนั ออก ตะวันออก เขอื่ นดอกกราย

เขือ่ นหนองปลาไหล

19 เพชรบรุ ี 18 ชายฝง่ั อ่าวไทย เพชรบุรี เขอ่ื นแก่งกระจาน

20 ชายฝั่งทะเล ตะวันออก ปราณบรุ ี เขอ่ื นปราณบุรี ทุ่งสามร้อยยอด

ประจวบ

คีรีขันธ์

21 ภาคใตฝ้ ง่ั สายบุรี บางนรา โก - ลก พรุควนเครง็

ตะวนั ออก ปากพนงั หลงั สวน

ทา่ ตะเภา ชุมพร

22 ตาปี 19 ภาคใต้ฝง่ั ตะวนั ออก ตาปี พมุ ดวง เขอ่ื นรัชชประภา

ตอนบน

23 ทะเลสาบ 20 ภาคใตฝ้ ่ังตะวันออก คลองอตู่ ะเภา ทะเลสาบสงขลา ทะเลนอ้ ย

สงขลา ตอนกลาง

24 ปัตตานี 21 ภาคใต้ฝั่งตะวันออก ปัตตานี เข่อื นบางลาง พรโุ ต๊ะแดง

ตอนล่าง

25 ภาคใต้ฝง่ั 22 ภาคใต้ฝัง่ ตะวนั ตก ตรงั ปะเหลียน ละงู -

ตะวันตก กระบุรี

113

ตำรำงท่ี 3 - 11 ปรมิ ำณกำรจบั สัตวน์ ำ้ จื จำกแหล่งนำ้ ธรรมชำติ จำแนกตำมชนิ สตั วน์ ำ้ ทสี่ ำคญั
ปี 2540 - 2562

พ. . รวม ปลำ ปลำ กุ ปลำชอ่ น ปลำสลิ ปลำ กงุ้ สตั ว์น้ำ
ตะเพยี น เบญจพรรณ อืน่

2540 205 25.3 3.4 24.1 0.3 148.9 2 1

2541 202.3 44.4 10.9 16.7 1.5 127.3 1.4 0.1

2542 206.9 45.5 12.1 18 0.5 130.3 0.4 0.1

2543 201.5 41 19.6 20.5 0.7 119.4 0.2 0.1

2544 202.5 43.4 14.1 18.3 0.5 125.8 0.3 0.1

2545 198.7 44.3 8 18.3 1.1 126.4 0.5 0.1

2546 198.4 38.9 13.8 24.1 2 117.4 0.9 1.3

2547 203.7 40 6.8 19.6 2.5 133 0.6 1.2

2548 198.8 48.3 6.8 12.6 1.1 124.5 4.5 1

2549 214 17.4 2.9 7.9 3 168.2 5.6 9

2550 225.6 13.7 2.1 6.6 0.9 196.2 3.5 2.6

2551 228.6 41.8 11.7 20.3 5.1 146.3 3.2 0.2

2552 206.8 46 14.1 25.5 4.5 115.3 1 0.4

2553 209.3 40.9 11 22.4 4.7 128.4 0.9 1

2554 224.7 41 12.9 24.8 3.3 140.7 1 1

2555 219.4 36.2 12.5 24.7 3.1 140.9 1.2 0.8

2556 210.3 21.7 8.5 14.3 4 159.4 1.5 0.9

2557 181.8 21.5 8.4 14.9 2.9 132 1.1 1

2558 184.1 21.1 8.3 15 2.9 134.6 1.2 1

2559 188.9 21.6 8.6 15.2 3 138.3 1.3 0.9

2560 192.6 30.9 8 14.5 2.1 133.4 1.6 2.1

2561 143.9 24.9 7.6 12 3.1 91.4 2.2 2.7

2562 116.5 21.9 5.8 7.9 - 46 1.5 1.2

รวม 4,564.30 771.7 217.9 398.2 52.8 3,024.10 37.6 29.8

114

ปริมำณและมลคำ่ สัตวน์ ้ำท่ีจบั จ้ ำกธรรมชำตเิ ปน็ รำยภำคและจังหวั
จากผลการประเมินปรมิ าณสตั วน์ าจืดทจี่ บั ได้จากธรรมชาติทงั หมดทวั่ ประเทศปี 2562 มีปริมาณ

ทังสนิ เท่ากับ 116,465.02 ตัน ซง่ึ ปรมิ าณลดลงคดิ เปน็ ร้อยละ 19.02 เมื่อเทียบกับปี 2561 (ตารางที่
3 - 12) เม่ือพิจารณาเป็นรายภาคพบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปริมาณการจับสัตว์นาจืดจากธรรมชาติ
สูงสดุ เทา่ กบั 53,215.87 ตัน คดิ เป็นรอ้ ยละ 45.70 ของปริมาณสัตวน์ าทงั หมด และรองลงมาคือภาคเหนอื
มีปริมาณการจับสัตว์นาจืดจากธรรมชาติ เท่ากับ 35,620.31 ตัน คิดเป็นร้อยละ 30.58 ของปริมาณ
สัตว์นาทังหมด ส่วนภาคตะวันตกมีปริมาณการจับสัตว์นาจืดจากธรรมชาติน้อยที่สุดเท่ากับ 5,302.51 ตัน
คิดเป็นร้อยละ 4.55 ของปริมาณสัตว์นาทังหมด เมื่อพิจารณาเป็นรายจังหวัดพบว่าจังหวัดนครราชสีมา
มปี รมิ าณการจับสตั วน์ าจดื จากธรรมชาตสิ ูงสุดเท่ากับ 8,134.09 ตัน คิดเป็นร้อยละ 6.98 ของปริมาณ
สตั วน์ าทังหมด และรองลงมาเปน็ จังหวดั กาฬสินธุ์ มีปริมาณการจบั สตั วน์ าจืดเท่ากบั 6,765.51 ตัน คดิ เป็น
ร้อยละ 5.81 ของปริมาณสัตว์นาทังหมด และจังหวัดที่มีปริมาณการจับสัตว์นาจืดเป็นอันดับที่สาม คือ
จงั หวัดพิษณโุ ลก มีปรมิ าณการจับเท่ากับ 6,206.77 ตัน คิดเป็นร้อยละ 5.33 ของปริมาณสัตว์นาทังหมด
ส่วนจังหวัดที่มีปริมาณการจับสัตว์นาจืดจากธรรมชาติน้อยท่ีสุด คือ ระนอง มีปริมาณเท่ากับ 13.10 ตัน
คิดเป็นร้อยละ 0.01 ของปริมาณสตั วน์ าทังหมด

ตำรำงที่ 3 - 12 ปริมำณและมลค่ำสตั ว์นำ้ จื ทีจ่ ับ ้จำกธรรมชำติ จำแนกเป็นรำยภำค ปี 2561 - 2562

ภำค ปี 2561 (ปรมิ าณ : ตนั )
ภาคเหนอื 39,228.2
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื 75,788.8 ปี 2562
ภาคกลาง 9,335.7 35,620.3
ภาคตะวันออก 6,087.5 53,215.9
ภาคตะวนั ตก 5,433.8 8,407.1
ภาคใต้ 7,950.8 5,768.4
143,824.8 5,302.5
รวม 8,150.8
116,465.0

ปริมำณสัตว์น้ำจื ที่จบั จ้ ำกธรรมชำติ จำแนกตำมประเภทแหลง่ นำ้

เมือ่ พิจารณาปรมิ าณสัตว์นาท่ีจับได้จากธรรมชาติจาแนกตามประเภทแหล่งนา พบว่าครัวเรือน
ประมงนาจืดจับสัตว์นาจืดจากแหล่งนาประเภทหนอง บึง และอ่ืน ๆ มากท่ีสุดเท่ากับ 44,639.80 ตัน
คิดเป็นร้อยละ 38.33 ของปริมาณสัตว์นาทังหมด (ตารางท่ี 3 - 13) ซ่ึงครัวเรือนประมงนาจืดในภาค
ตะวันออกเฉยี งเหนือมกี ารจับสตั ว์นาจดื จากหนอง บึง และอ่ืน ๆ มากที่สุดเท่ากับ 28,814.45 ตัน สาหรับ

115

แหล่งนาที่ครวั เรือนประมงมีการจับสัตว์นาจืดได้รองลงมาเป็นแหล่งนาประเภทแม่นา ลาคลอง ห้วย มีปริมาณ
สัตว์นาจืดท่ีจับได้เท่ากับ 41,859.19 ตัน คิดเป็นร้อยละ 35.94 ของปริมาณสัตว์นาทังหมด ซ่ึงครัวเรือน
ประมงนาจืดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการจับสัตว์นาจืดจากแม่นา ลาคลอง ห้วย มากท่ีสุดเท่ากับ
14,924.78 ตัน และแหล่งนาประเภทอ่างเก็บนามีปริมาณการจับสัตว์นาจืดเป็นอันดับท่ีสามเท่ากับ
26,394.96 ตัน คิดเป็นร้อยละ 22.66 ของปริมาณสัตว์นาทังหมด ซึ่งครัวเรือนประมงนาจืดในภาคเหนือ
มีการจับสัตว์นาจืดจากอ่างเก็บนามากท่ีสุดเท่ากับ 9,325.57 ตัน ส่วนแหล่งนาท่ีมีปริมาณการจับ
สัตว์นาจืดจากธรรมชาติน้อยท่ีสุด คือ แหล่งนาประเภทบ่อล่อ มีปริมาณเท่ากับ 1,418.37 ตัน คิดเป็น
ร้อยละ 1.22 ของปริมาณสัตว์นาทังหมด ซ่ึงครัวเรือนประมงนาจืดในภาคเหนือมีการจับสัตว์นาจืดจาก
บอ่ ลอ่ มากท่สี ุดเท่ากับ 967.06 ตัน

ตำรำงท่ี 3 - 13 ปรมิ ำณสัตวน์ ำ้ จื ทจี่ ับ จ้ ำกธรรมชำติ จำแนกตำมประเภทแหลง่ น้ำ ปี 2562

ภำค ปี 2561 (ปริมาณ : ตนั )
ภาคเหนอื 39,228.2
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื 75,788.8 ปี 2562
ภาคกลาง 9,335.7 35,620.3
ภาคตะวนั ออก 6,087.5 53,215.9
ภาคตะวนั ตก 5,433.8 8,407.1
ภาคใต้ 7,950.8 5,768.4
143,824.8 5,302.5
รวม 8,150.8
116,465.0

ปริมำณสัตว์นำ้ จื ท่ีจบั จ้ ำกธรรมชำติ จำแนกตำมประเภทแหลง่ น้ำ
เม่ือพิจารณาปริมาณสัตว์นาที่จับได้จากธรรมชาติจาแนกตามชนิดของสัตว์นาทังหมด พบว่า

กลุ่มปลา มีปริมาณการจับทังสิน 112,857.19 ตัน คิดเป็นร้อยละ 96.90 ของปริมาณสัตว์นาทังหมด
โดยปลาตะเพียนมีปริมาณการจับมากท่ีสุดคือ 21,907.38 ตัน คิดเป็นร้อยละ 18.81 ของปริมาณสัตว์นา
ทังหมด รองลงมาคือปลานิล มีปริมาณเท่ากับ 17,358.91 ตัน คิดเป็นร้อยละ 14.90 ของปริมาณสัตว์นา
ทังหมด และอนั ดบั ที่สามคือปลาสรอ้ ยขาว มปี รมิ าณเท่ากับ 10,166.73 ตัน คิดเป็นร้อยละ 8.73 ของ
ปรมิ าณสตั ว์นาทงั หมด สาหรับสัตว์นากลุ่มกุ้ง ประกอบด้วยกุ้งก้ามกรามและกุ้งอ่ืน ๆ โดยปริมาณการจับ
กุ้งก้ามกรามเทา่ กับ 938.06 ตนั คิดเป็นรอ้ ยละ 0.81 ของปริมาณสัตว์นาทังหมด และปริมาณกุ้งอื่น ๆ
เทา่ กับ 1,455.70 ตนั คดิ เป็นร้อยละ 1.25 ของปริมาณสัตว์นาทังหมด ส่วนกลุ่มสัตว์นาอื่น ๆ ประกอบด้วย
กบ หอยโข่ง หอยขม ตะพาบนา ปูนา และสัตว์นาอ่ืน ๆ มีปริมาณเท่ากับ 1,214.07 ตัน คิดเป็นร้อยละ
1.04 ของปรมิ าณสตั ว์นาทงั หมด

116

กำรจั กำร ำ้ นกำรประมงน้ำจื
ปจั จุบนั กรมประมงไดด้ าเนินการจัดการด้านการประมงนาจืดในแหล่งนาตามพระราชกาหนด

การประมง พ.ศ. 2558 และท่แี ก้ไขเพิม่ เติมดงั ต่อไปนี

1) กำรจั กำรทรัพยำกรประมงน้ำจื โ ยชุมชนประมงมีส่วนร่วม ทรัพยากรสัตว์นา
มีความสาคัญย่ิงต่อมนุษย์ในการนาขึนมาใช้ประโยชน์และบริโภคในชีวิตประจาวัน ปัจจุบันมีประชากร
เพ่ิมมากขึน ทาให้การใช้ประโยชน์สัตว์นาเพิ่มมากจนเป็นสาเหตุให้ทาประมงเกินศักยภาพการผลิต
ทังนี อีกสาเหตุท่ีสาคัญคือการลักลอบทาการประมงด้วยวิธีผิดกฎหมาย ทาให้เกิดการสูญเสียของ
ทรัพยากรสัตว์นาอย่างมาก การดาเนินงานท่ีผ่านมา กรมประมงได้ใช้มาตรการอย่างจริงจัง เพ่ือที่จะดูแล
จัดการทรัพยากรสัตว์นาในแหล่งนาธรรมชาติ เพ่ือให้คงอยู่ในระดับรักษาความสมดุลและมีเพ่ิมมากขึน
โดยดาเนินการทังการศึกษาวิจัย การปล่อยพันธ์ุสัตว์นา การบูรณะฟื้นฟูที่อยู่อาศัยสัตว์นา การออก
มาตรการการควบคุมการทาประมงให้อยู่ภายใต้กฎหมาย ตลอดทังการเฝ้าระวังตรวจตราปราบปราม
ผู้ลักลอบทาประมงผิดกฎหมาย แต่ผลผลิตสัตว์นายังคงอยู่ในระดับลดน้อยถอยลง โดยสาเหตุท่ีสาคัญ
คือการขาดการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงท่ีแท้จริงจากประชาชน ซ่ึงกรมประมง
มบี ทบาทภารกิจในการส่งเสริม การมสี ่วนรว่ มและเสรมิ สร้างความเข้มแขง็ ใหแ้ กช่ าวประมง ในการบริหาร
จัดการการประมงนาจืด โดยอาศัยแนวคิดที่ว่าหัวใจสาคัญของความสาเร็จในการบริหารจัดการทรัพยากร
ประมง คือ ชุมชนเกิดความหวงแหนและรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของทรัพยากรประมง โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์นาในแหล่งนาด้วยตนเอง
เกิดสานึกการทาประมงอย่างรับผิดชอบ ใช้ประโยชน์สัตว์นาในแหล่งนาเพ่ือการยังชีพและสร้างรายได้
ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยจัดทากิจกรรมการจัดการทรัพยากรประมงนาจืดโดยชุมชนประมง
มีส่วนร่วม เช่น สร้างแหล่งอนุรักษ์ แหล่งฟ้ืนฟูและแหล่งอาศัยพันธุ์สัตว์นา เป็นต้น โดยมีเจ้าหน้าที่
ให้ความช่วยเหลือสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ร่วมกันคิด วางแผน ร่วมกันปฏิบัติ ร่วมกันแก้ไข
ปัญหา จนสามารถสร้างชุมชนประมงนาจืด ให้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงท่ีมีความ
เข้มแข็ง อันจะเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงอย่างย่ังยืน เป็นการสนับสนุน
พระราชกาหนดการประมงฯ ตามมาตรา 4 12 19 21 24 25 63 และ 71

2) กำรกำหน พื้นที่และระยะเวลำฤ สัตว์น้ำจื มี ข่ เนื่องจากประกาศกระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ เรื่อง กาหนดฤดูปลามีไข่ และกาหนดชนิด ขนาด เคร่ืองมือ และวิธีใช้เคร่ืองมือทาการ
ประมง ได้ประกาศใชม้ าตงั แต่วนั ที่ 17 เมษายน 2507 อนญุ าตให้ใช้เครื่องมือทาการประมงในช่วงเวลา
ดังกล่าวได้บางเคร่ืองมือ ทาให้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประมง และเป็นการยาก
ต่อการนาไปบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปัจจุบันขาดรายละเอียดและไม่เช่ือมโยงกับชีวประวัติสัตว์นา
ในแต่ละพืนที่ ทาให้เกิดผลเสียต่อความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์นา ซึ่งไม่เป็นไปตามจุดประสงค์หลัก
ของการออกกฎหมายฉบับนี จากเหตุผลดังกล่าว กรมประมงซ่ึงมีหน้าที่ความรับผิดชอบหลักในการจัดทา

117

แผนจัดการทรัพยากรประมงในแหล่งนาจืด ภายใต้การมีส่วนร่วมของภาครัฐ ชุมชน และหน่วยงาน
ท่ีเก่ียวข้อง จึงได้นาเสนอรูปแบบการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์นาในแหล่งนาจืด ให้เหมาะสมต่อ
สภาพแหล่งนาและท้องถิ่นท่ัวประเทศ กรมประมงได้ปรับปรุงมาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์นาจืด
ในฤดูปลามีไข่ รวมทังกาหนดชนิด ขนาด เครื่องมือ และวิธีใช้ เคร่ืองมือทาการประมงนาจืดของ
ประเทศไทย และได้เห็นชอบออกประกาศกรมประมงเร่ืองการกาหนดพืนที่และระยะเวลาฤดูสัตว์นาจืดมีไข่
หรือวางไข่ เลยี งตวั อ่อน และกาหนดเครอ่ื งมอื วิธีทาการประมงและเง่ือนไขการทาประมง ภายหลังการออก
ประกาศฯ กรมประมงได้ดาเนินการศึกษาวิจัย เพื่อติดตามประเมินผลทังในมิติของช่วงเวลาและพืนที่
ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร เพ่ือนามาใช้กาหนดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง มาตรการในการออก
ประกาศกรมประมงฯ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึน โดยสอดคล้องกับพระราชกาหนดการประมงฯ
ตามมาตรา 4 12 21 และ 71

3) กำรควบคุมประเภท ขนำ และประสิทธิภำพของเคร่ืองมือประมง เป็นการป้องกัน
การทาการประมงที่ทาลายและมีผลกระทบต่อสัตว์นาอย่างรุนแรง อาทิเช่น การใช้สารพิษ ยาเบ่ือเมา
หรือไฟฟ้า เป็นต้น และห้ามทาการประมงอวนลากในแม่นา ลาคลอง และหนองบึงต่าง ๆ เนื่องจาก
แหล่งนาเหล่านีมีเนือที่จากัดและกาลังการผลิตไม่สูงเมื่อเทียบกับในทะเล ปัจจุบันการประมงนาจืด
ของประเทศไทยมีการปรับเปล่ียนเพ่ือให้เข้ากับสถานการณ์ทรัพยากรประมงท่ีลดลง การเปล่ียนแปลง
สภาพภูมิอากาศ และราคา ต้นทุนวัสดุท่ีนามาทาเครื่องมือประมงท่ีสูงขึน ซ่ึงชาวประมงนาจืด
ของประเทศไทยมีการปรับตัวและพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องมือประมง วิธีการทาประมงและเรือประมง
อย่างต่อเน่ือง เพื่อปรับตัวกับสถานการณ์ทรัพยากรประมงที่เปล่ียนแปลงในแต่ละปี จากปริมาณทรัพยากร
สัตว์นาทลี่ ดลง จงึ ทาใหม้ ีการลงทนุ และลงแรงทาการประมงท่ีมากขึน การปรับตัวของชาวประมงท่ีเกิดขึน
คือ การดัดแปลงและพัฒนาเครื่องมือประมงเพ่ือให้สามารถจับให้ได้มากขึน ส่งผลให้เคร่ืองมือบางชนิด
เข้าข่ายเป็นเครื่องมือประมงที่ทาลายล้างทรัพยากรประมงเป็นอย่างมาก หรือเครื่องมือบางชนิดอาจอยู่ใน
ประเภทเครื่องมือที่ผิดกฎหมายและไม่มีการควบคุม การใช้งาน ซึ่งยังขาดการรายงาน และขาดการควบคุม
กรมประมงจึงได้ติดตามลักษณะรูปแบบเคร่ืองมือประมงท่ีมีการพัฒนาเหล่านีอย่างต่อเน่ือง เพื่อรวบรวม
เป็นข้อมูลทางวิชาการและสนับสนุนในการกาหนดมาตรการจัดการทรัพยากรประมงให้มีความเหมาะสม
กับพืนที่ ปริมาณ และเวลา และเพื่อใช้ประโยชน์อย่างย่ังยืนต่อไปในอนาคต (ตารางท่ี 3 - 14)
โดยสอดคล้องกับพระราชกาหนดการประมงฯ ตามมาตรา 4 31 63 และ 67

4) กำรประเมินสภำวะทรัพยำกรสัตว์น้ำในแหล่งน้ำจื ้วยกำรประเมินค่ำผลผลิตสงสุ
ทีย่ ่ังยนื ทรพั ยากรสัตวน์ าถือเปน็ ทรพั ยากรทที่ กุ คนมีสทิ ธ์ใิ ช้ประโยชนร์ ่วมกนั ไม่มีใครมีสิทธ์ิเด็ดขาดในการใช้
แต่ถ้ามีการใช้ทรัพยากรสัตว์นามากเกินไปจนถึงระดับท่ีไม่สามารถขยายพันธุ์ได้อีก ผลผลิตสัตว์นาก็จะ
ลดนอ้ ยถอยลง ถงึ แม้วา่ จะสามารถเกิดใหม่ทดแทนไดภ้ ายใต้ระยะเวลาและสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม แต่การ
บริหารจัดการทรัพยากรก็ยังเป็นเป้าหมายที่ช่วยให้เกิดการใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์นาอย่างยั่งยืนและมี
ประสิทธิภาพสูงสุดดังนัน การประเมินสภาวะทรัพยากรสัตว์นาในแหล่งนาจืดด้วยการประเมินค่าผลผลิต

118

สูงสุดที่ยั่งยืน (Maximum Sustainable Yield : MSY) จึงมีความสาคัญที่จะต้องดาเนินการ โดยมี
วตั ถุประสงค์พนื ฐาน เพื่อให้คาแนะนาในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์นา โดยการประเมินค่าผลผลิตสูงสุด
ที่ย่ังยืน (MSY) ของปลาแต่ละชนิด (Singles pecies) ท่ีเปน็ ตัวแทนในแต่ละแหล่งนาได้อย่างเหมาะสม
ทังนี เพราะทรัพยากรสัตว์นาเป็นทรัพยากรที่มีปริมาณจากัด แต่สามารถเพ่ิมจานวนขึนมาใหม่ทดแทน
ส่วนท่ีสูญเสียไปได้ จึงอาจกล่าวได้ว่าการประเมินสภาวะทรัพยากรสัตว์นาเป็นการแสวงหาระดับการใช้
ประโยชน์ทเ่ี ออื อานวยใหเ้ กิดผลผลิตสูงสุดในเชิงนาหนักจากการทาประมงในระยะยาว ส่วนการท่ีใช้คาว่า
“ในระยะยาว” เพราะแม้ว่าเราจะสามารถได้ผลผลิตสูงสุดในปีใดปีหน่ึง โดยการเพ่ิมระดับการลงแรงประมง
โดยฉับพลันในปีนัน ๆ แต่หลังจากนันผลผลิตจะลดต่าลงเป็นเวลาหลายปีต่อเน่ืองกัน เน่ืองจากทรัพยากร
สัตว์นาถูกจับหรือใช้ประโยชน์มากเกินไป การบริหารจัดการประมงท่ีดีจึงไม่ควรตังเป้าหมายที่ผลผลิตสูงสุด
เพียงปีเดียว แต่ควรมียุทธศาสตร์ทางการประมงที่จะทาให้ได้ผลผลิตสูงหลาย ๆ ปีต่อเน่ืองกัน จึงจะบรรลุ
วัตถุประสงค์ของการบริหารจัดการประมงให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยสอดคล้องกับพระราชกาหนด
การประมงฯ ตามมาตรา 4 12 19 21 22 24 และ 63

ตำรำงท่ี 3 - 14 กำรจำแนกเคร่อื งมือประมงนำ้ จื ในประเท ทย

ประเภทเคร่ืองมอื ประมง ชอื่ เครือ่ งมอื ประมง
คราด คราดหอย

เคร่อื งมอื แทง บิด งับ ฉมวก, ปืนยงิ กงุ้ , ปืนยงิ ชะโด, ปืนยงิ บก, ปืนยงิ นง่ั รา้ น, ส้อม, ส้อมแทงปลาไหล

เคร่ืองมือประมงดกั จับ ไซ, ปบี๊ กงุ้ ฝอย, ไซซิ่งกุง้ ฝอย, ไซดักกุ้ง, ไซนอน, ไซนง่ั , ไซหวั หม,ู ตมุ้ , ตมุ้ ลาน,
เครือ่ งมอื ประมงเบด็ เตลด็ ตุม้ ปลาไหล, โทง, บังปลาไหล, ลอบ, ลอบกบ, ลอบกงุ้ , ลอบกงุ้ ฝอย, ลอบนอน,
ลอบพับ, ลอบยืน, ลอบเรดาห,์ ลัน, ส่อน, หลุมลอ่ ปลา, อจี ู้, จั่น, จั่นดกั ปลากด,
ชุดดกั ปลา, ซอ่ น/ทอ่ ดักปลา

ขา, ข้อง, โค่นผนี อ้ ย, ช้อนขาคีม, ดวง/กร่า, ตะขอ้ งไม้ไผ่สาน, สอด

เบ็ด เบด็ คนั , เบ็ดตกกุ้ง, เบด็ ทุ่น, เบด็ ธง, เบด็ ปกั , เบ็ดฝรง่ั , เบ็ดมือ, เบด็ ไม้ตกปลา
ชะโด, เบด็ ระแวง, เบ็ดราว, เบ็ดลอก, เบ็ดพวง

อวนครอบ ส่มุ , แห, แหญปี่ นุ่ , แหเพลา

อวนช้อน หรือ อวนยก ชอ้ น, ยอขนั ชอ่ , ยอยก, แพสะด้งุ , สวงิ , สวงิ ครอบกบ, สวงิ ไม่มีดา้ ม

ข่ายตดิ ตา ข่าย, ขา่ ยสองชนั , ขา่ ยไหล, ข่ายปลาบกึ

119

5) กำรประเมินผลกำรเพิม่ ผลผลิตสัตวน์ ำ้ ตอ่ หนว่ ยกำรประมง (CPUE) ผลผลิตสัตว์นาจืด
ที่มีในแหล่งนาธรรมชาตโิ ดยเฉพาะแหลง่ นาท่มี ีความสาคญั กบั ชุมชน เช่น แหล่งนาขนาดใหญ่ อ่างเก็บนา
หรือแมน่ าสายหลัก ถอื วา่ เป็นแหล่งทรัพยากรประมงอันทรงคุณค่าก่อให้เกิดแหล่งอาหารโปรตีนต่อชุมชน
เกดิ การจ้างงาน และการสร้างรายได้ ประเทศไทยได้พัฒนาทังทางดา้ นเศรษฐกิจและสังคมได้ส่งผลให้ทรัพยากร
สัตว์นาท่ีมีในแหล่งนาธรรมชาติถูกนามาใช้ประโยชน์มากขึน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการบริโภคสัตว์นา
ของประชากรทเ่ี พิม่ ขนึ จนทาใหท้ รัพยากรสัตว์นาในแตล่ ะแหล่งนามีแนวโนม้ ลดลงอย่างมาก ปัญหาดังกล่าวนี
นบั วันจะทวีความรุนแรงเพ่ิมมากขึน การประเมนิ ปรมิ าณสตั ว์นาต่อหน่วยการลงแรงประมงมีวัตถุประสงค์
เพอื่ ประเมินปรมิ าณความชกุ ชุมและความหลากหลายของทรพั ยากรสัตว์นาในแหล่งนา ประเมินโครงสร้าง
และการกระจายของประชากรสัตว์นา ประเมินครัวเรือนและผู้ใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์นาที่อาศัยรอบ
แหล่งนา และประเมินปริมาณผลจับและมูลค่าสัตว์นาของชาวประมง ซึ่งเป็นวิธีการหน่ึงที่ใช้บ่งชีถึงปริมาณ
ความชุกชุม และการกระจายของประชากรสัตว์นาท่ีมีในแต่ละแหล่งนา และการศึกษาสภาวะเศรษฐกิจ
สังคม และการใช้ทรัพยากรสตั ว์นา จะทาให้ทราบถึงจานวนผ้ใู ช้ประโยชน์สัตว์นา ลักษณะการทาประมง
เคร่อื งมือประมง ปรมิ าณผลการจบั สตั ว์นา รวมถึงสภาพเศรษฐกิจสังคมของชุมชนชาวประมงในแต่ละแหล่งนา
ซ่ึงข้อมูลดังกล่าวมีความจาเป็นอย่างยิ่งต่อการวางแผน และกาหนดมาตรการในการบริหารจัดการทรัพยากร
สัตว์นาของแต่ละแหล่งนาให้มีประสิทธิภาพมากย่ิงขึน โดยสอดคล้องกับพระราชกาหนดการประมงฯ
ตามมาตรา 4 12 19 21 22 24 และ 63

6) กำรอนุรกั ษช์ นิ พนั ธุ์สัตวน์ ำ้ ประจำถิน่ สัตวน์ ำ้ หำยำก และใกล้สญพนั ธ์ุ ประเทศไทย
ปจั จุบันความหลากหลายของชนดิ พันธุแ์ ละปรมิ าณสตั วน์ าจดื ลดลงเป็นจานวนมาก เนื่องจากการทาการประมง
เกนิ ขนาด การเปลีย่ นแปลงลุ่มนาเพอ่ื การพัฒนา สภาพแวดล้อมที่เส่ือมโทรมลง รวมถึงสภาพภูมิอากาศ
ทีเ่ ปล่ยี นแปลงเหล่านีส่งผลต่อการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพ ดังนัน เพ่ือเป็นการฟ้ืนฟูความ
หลากหลายทางชวี ภาพของสัตวน์ าจืดใหค้ งอยู่อย่างยงั่ ยนื และมีปรมิ าณเพ่ิมขึน กรมประมงจึงไดจ้ ัดทาโครงการ
อนรุ กั ษส์ ตั วน์ าประจาถิน่ สัตวน์ าหายากและใกล้สูญพันธ์ุ เพื่อรวบรวมสัตว์นาจากลุ่มนาในภูมิภาคของไทย
นามาศึกษาเพาะพันธุ์และเลียงนอกถ่ินอาศัย ปล่อยสัตว์นาประจาถ่ินและสัตว์นาหายากใกล้สูญพันธุ์
สแู่ หลง่ นาเดมิ เพอ่ื อนุรกั ษ์ คงความหลากหลาย และเพม่ิ ปรมิ าณสตั ว์นาในแหลง่ นา เกบ็ ตัวอย่างสัตว์นา
ประจาถิ่นและสัตว์นาหายากใกล้สูญพันธ์ุนาเข้าธนาคาร DNA และห้องเก็บตัวอย่างสัตว์นาอ้างอิง
โดยสอดคล้องกับพระราชกาหนดการประมงฯ ตามมาตรา 12 21 และ 25

7) กำรเพิ่มผลผลิตในแหล่งนำ้ ธรรมชำติ ว้ ยวธิ กี ำรปลอ่ ยพนั ธส์ุ ตั วน์ ำ้ ผลผลิตสัตว์นาจดื
ในแหลง่ นาธรรมชาติทวั่ ทกุ ภาค เช่น เข่ือน อ่างเก็บนา ทงั ทม่ี ีพนื ท่ขี นาดกลางและขนาดเล็ก เป็นแหล่ง
ทรัพยากรประมงอันมีคุณค่าก่อให้เกิดประโยชน์ด้านต่าง ๆ ทังแหล่งอาหารโปรตีนของประชาชน และการ
สร้างรายได้ต่อชุมชน เป็นแหล่งพึ่งพิงแก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยทังในพืนท่ีเมืองและชนบท ทังนี จากการ
เพ่ิมขึนของประชากรในประเทศ ส่งผลให้ความต้องการบริโภคสัตว์นาจืดในแหล่งนาธรรมชาติมีปริมาณ
ท่ีมากขึนตามไปด้วย และในทางกลับกันสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศของแหล่งนามีแนวโน้มเส่ือมโทรมลง

120

ทรัพยากรสัตว์นาจืดที่เป็นพ่อแม่พันธุ์มีจานวนลดน้อยลง ทาให้ผลผลิตสัตว์นามีจานวนลดลงตามไปด้วย
ปญั หาดังกล่าวทวีความรนุ แรงเพ่ิมมากขนึ หากไมม่ ีมาตรการและโครงการในการช่วยเหลือป้องกันการลดลงของ
ประชากรสตั วน์ าดังกลา่ วอาจนาไปสกู่ ารลดลงของทรัพยากรประมงจนไม่อาจฟ้ืนฟูได้ ด้วยเหตุนี กรมประมง
จึงได้ดาเนินการเพม่ิ ผลผลิตสัตวน์ าในแหล่งนาที่สาคัญของกรมชลประทานท่กี ระจายอยทู่ ั่วประเทศ ในช่วง
เวลาที่เหมาะสมคอื ฤดหู ้ามทาการประมงตามประกาศกรมประมง ซึง่ ชว่ งเวลาดงั กลา่ วเปน็ ช่วงเวลาทมี่ นี าหลาก
หรอื มีระดบั นาเพม่ิ สงู ขนึ จึงเปน็ โอกาสท่ีเพิ่มจานวนทรพั ยากรสัตวน์ าจดื ใหเ้ พ่มิ มากขึนในช่วงเวลาดังกล่าว
อีกทังยังเป็นการประสานสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน และหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นท่ีอยู่รอบบริเวณ
พืนที่แหล่งนา ซ่ึงจะก่อให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรประมงให้มีความยั่งยืน และสามารถใช้ประโยชน์
สบื ไปในอนาคต โดยสอดคล้องกบั พระราชกาหนดการประมงฯ ตามมาตรา 12 และ 25

8) กจิ กรรมขุ ลอกและกำจั วัชพืชในแหลง่ นำ้ ธรรมชำตขิ นำ ใหญ่ กรมประมงมีนโยบาย
พัฒนาแหล่งนาธรรมชาตขิ นาดใหญ่ ซงึ่ อยู่ภายใต้การกากับดูแล ได้แก่ บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์
กว๊านพะเยา จังหวัดพะเยา และหนองหาร จังหวัดสกลนคร โดยใช้เครื่องจักรกลประเภทเรือขุดของ
กรมประมงดาเนนิ การขดุ ลอกแหลง่ นาธรรมชาตมิ าโดยตลอด เนอ่ื งจากแหลง่ นาธรรมชาตขิ นาดใหญใ่ นปัจจุบัน
มีภาวะการตกตะกอนดินจานวนมาก จนทาให้เกิดการตืนเขินและเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ทาให้กักเก็บนา
ได้ปริมาณน้อยลง ส่งผลให้สัตว์นาในแหล่งนาขาดท่ีอยู่อาศัยและแหล่งเพาะพันธุ์ที่เหมาะสม ทาให้มีจานวน
สตั วน์ าลดลงอย่างต่อเน่อื ง จึงต้องดาเนินการขุดลอกต่อไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพ่ิมท่ีอยู่อาศัยของสัตว์นา
อันเปน็ การเพิ่มผลผลติ ทางการประมง อนรุ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติอันสาคัญของประเทศ และฟ้ืนฟูระบบ
นิเวศใหม้ คี วามสมบรู ณ์ โดยสอดคล้องกบั พระราชกาหนดการประมงฯ ตามมาตรา 55 และ 62

9) กจิ กรรมธนำคำรผลผลติ สัตวน์ ำ้ แบบมสี ่วนรว่ ม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มนี โยบาย
ในการบริหารจัดการผลผลิตการเกษตร เพื่อให้ชุมชนเกษตรกรในแต่ละพืนท่ีมีความเข้มแข็ง สามารถบริหาร
จัดการสินผลผลิตการเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือสนองต่อความม่ันคงด้านอาหารและสร้างรายได้
ในครวั เรือน จงึ มนี โยบายให้ดาเนินกิจกรรมธนาคารสินค้าเกษตร เพื่อเป็นเคร่ืองมือในการบริหารผลผลิต
ด้านการเกษตร กรมประมงจึงได้ดาเนินงานกิจกรรมธนาคารสินค้าเกษตร (สนับสนุนธนาคารผลผลิตสัตว์นา
แบบมีส่วนร่วม) โดยการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการผ่านระบบธนาคารสินค้าเกษตร เพ่ือให้ชุมชน
เกษตรกรสามารถบริหารจัดการผลผลิตสัตว์นา แลก ยืมคืน ผลผลิตจากสัตว์นาหรือรายได้ท่ีเกิดจาก
โครงการฯ ให้เกดิ ประสิทธิภาพสงู สดุ การดาเนินงานกจิ กรรมธนาคารสนิ ค้าเกษตร (สนบั สนุนธนาคารผลผลิต
สัตว์นาแบบมีส่วนร่วม) ดาเนินการโดยอาศัยแหล่งนาชุมชนเป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการ โดยความ
รว่ มมอื ของชุมชนในพนื ทเ่ี ป้าหมาย เนน้ การใหค้ วามรู้ดา้ นการเพาะเลียงสตั วน์ าและการปล่อยเลียงในแหล่งนา
ชุมชน เป้าหมายโครงการฯ เพื่อเป็นแหล่งผลิตอาหารสัตว์นาของชุมชน ให้มีเพียงพอต่อการบริโภค
และสร้างรายได้ เพ่ือความม่ันคงทางอาหารให้กับชุมชน และการดารงชีวิตของราษฎรให้อยู่ดีกินดี ชุมชน
มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ราษฎรในชุมชนมีผลผลิตสัตว์นาเพียงพอ
ต่อการบริโภค สามารถสร้างรายได้และลดรายจ่ายในครัวเรือน ทาให้ชุมชนมีความรู้ด้านการเพาะเลียง

121

สัตว์นาจืด สามารถบริหารจัดการแหล่งนาในชุมชนในการเพิ่มผลผลิตสัตว์นาจืด และเป็นธนาคารผลผลิต
สตั ว์นาแบบมีส่วนร่วม เพิ่มศักยภาพด้านการพัฒนา การเพาะเลียงสัตว์นาและการบริหารแหล่งนาชุมชน
เพ่ือเพิ่มผลผลิตสัตว์นาจืด และการทางานร่วมกับชุมชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาด้านการเพาะเลียงสัตว์นาจืด
อย่างมีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน โดยสอดคล้องกับพระราชกาหนดการประมงฯ ตามมาตรา 4 12
19 21 24 25 63 และ 71

122

เอกสำรอ้ำงอิง

กรมประมง. 2554. การพฒั นาและบรหิ ารจดั การดา้ นการประมงนาจดื ของไทย. เอกสารเผยแพรค่ ณะทางาน
บรหิ ารจดั การทรัพยากรสัตวน์ าจืดให้มีความยั่งยืนและคงความหลากหลาย กรมประมง. 96 หน้า.

กังวาลย์ จันทรโชติ, จิราภัษ อัจจิมางกูร, มณช์นิศาษ์ ศรีสมวงศ์, ศันสนีย์ หวังวรลักษณ์, และอุไรรัฒท์
เนตรหาญ. 2562. การประมงทั่วไป. พิมพ์ครังท่ี 4. คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์,
กรงุ เทพฯ. 139 หน้า.

Chavalit Vidthayanon. 2017. Checklist of Freshwater Fishes in Thailand. Office of
Natural Resources and Environmental Policy and Planning, Bangkok, Thailand.
305 pp.

112233

124

ชื่อ นางสาวจุฑารตั น์ กติ ติวานิช
วฒุ ิ Ph.D. (Environmental Dynamics Management)

มหาวทิ ยาลัยฮิโรชิมา
ตำแหน่ง นกั วชิ าการประมงชานาญการพเิ ศษ
หน่วยทเ่ี ขียน ตอนท่ี 4.1 เรอ่ื งที่ 4.1.1 - 4.1.2

ชือ่ นายธเนศ พมุ่ ทอง
วุฒิ วทบ. (การจัดการประมง) มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

วทม. (เพาะเลีย้ งสตั ว์นา้ ) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ตำแหนง่ ผู้อานวยการกองวิจัยและพฒั นาการเพาะเลย้ี งสัตวน์ ้าจดื
หนว่ ยทเี่ ขยี น ตอนที่ 4.1 เร่อื งท่ี 4.1.3

ช่ือ นายณฐั พงค์ วรรณพฒั น์
วุฒิ วทบ. (ประมง) ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ตำแหนง่ ผู้เชยี่ วชาญดา้ นการเพาะเล้ยี งสัตวน์ า้ จืด
หนว่ ยทเี่ ขยี น ตอนท่ี 4.2

125

พระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม พ.ศ. 2560 หมวด 6 การส่งเสริม
การเพาะเล้ียงสัตว์น้า มีวัตถุประสงค์เพ่ือส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าให้เป็นแหล่งผลผลิตของสัตว์น้า
อีกทางเลือกหนง่ึ ซึ่งสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ในการบรหิ ารจดั การทรัพยากรสัตว์น้าให้เกิดความยั่งยืน คานึง
ถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว และการรักษาความสมดุลในระบบนิเวศ รวมท้ัง
สร้างความม่ันใจในการบริโภคสัตว์น้าที่ได้จากการเพาะเลี้ยง ท้ังในด้านคุณภาพและสุขอนามัยที่ได้มาตรฐาน
พระราชกาหนดการประมงไดก้ าหนดคานยิ ามที่เกย่ี วขอ้ งกบั การเพาะเล้ยี งสัตว์น้าตามมาตรา 5 ดงั นี้

“สตั ว์นำ” หมายความว่า สัตวท์ ีอ่ าศัยอยใู่ นนา้ เปน็ ปกติ สตั วจ์ าพวกสะเทนิ น้าสะเทนิ บก สตั วท์ ี่อาศยั
อยูใ่ นบริเวณน้าท่วมถึง สัตว์ที่มีการดารงชีวิตส่วนหน่ึงอยู่ในน้า สัตว์ที่มีวงจรชีวิตช่วงหน่ึงที่อาศัยอยู่ในน้า
เฉพาะช่วงชีวิตที่อาศยั อยูใ่ นนา้ รวมท้งั ไขแ่ ละน้าเชื้อของสัตว์น้า และสาหร่ายทะเล ซากหรือส่วนหนึ่งส่วนใด
ของสัตวน์ า้ เหล่าน้ัน และใหห้ มายความรวมถึงพันธไ์ุ มน้ า้ ตามท่รี ฐั มนตรปี ระกาศกาหนด และซากหรือส่วนหนึ่ง
ส่วนใดของพันธ์ุไมน้ า้ นัน้ ด้วย

“กำรเพำะเลยี งสตั วน์ ำ” หมายความว่า การเล้ียงสตั วน์ ้าหรอื การเพาะพันธ์ุสัตว์น้าท้ังโดยวิธีธรรมชาติ
วิธผี สมเทียม หรือวิธีอ่ืนใดในท่เี พาะเลย้ี งสตั วน์ ้า ทัง้ น้ี ไม่วา่ จะเปน็ การกระทาในชว่ งใดของวงจรชวี ติ สัตวน์ ้าน้ัน

“ท่เี พำะเลียงสตั ว์นำ” หมายความวา่ บ่อ คอก กระชัง หรือท่ีท่ีใช้เพาะเล้ียงสัตว์น้าลักษณะอื่นใด
ไม่ว่าจะอยู่ในท่ีดินของเอกชน หรือในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือในท่ีจับสัตว์น้าใด ๆ ที่ผู้ขุด ผู้สร้าง
ผู้จัดทา เจ้าของ หรอื ผคู้ รอบครองมีความมงุ่ หมายโดยตรงที่จะใช้ทาการเพาะเลยี้ งสตั ว์น้า

หมวด 6 กำรส่งเสริมกำรเพำะเลยี งสัตว์นำ

มำตรำ 73 บทบัญญัติในหมวดน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือส่งเสริมการเพาะเล้ียงสัตว์น้า เพ่ือเป็น
แหลง่ ผลผลิตของสัตว์น้าอกี ทางเลือกหนง่ึ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้า
ให้เกิดความยั่งยืนโดยคานึงถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อมในระยะยาว และการรักษา
ความสมดุลในระบบนิเวศ รวมท้ังสร้างความมั่นใจในการบริโภคสัตว์น้าที่ได้จากการเพาะเล้ียง ทั้งในด้าน
คุณภาพและสุขอนามัยทไี่ ด้มาตรฐาน

มำตรำ 74 เพ่ือประโยชน์ในการรักษาคุณภาพและคุ้มครองผู้บริโภคให้ปลอดภัยในการบริโภค
สัตว์น้า ให้ผู้เพาะเล้ียงสัตว์น้าดาเนินการให้ถูกต้องตามมาตรฐานสินค้าเกษตรท่ีคณะกรรมการมาตรฐาน
สินค้าเกษตรตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานสินคา้ เกษตรประกาศกาหนด

ให้เป็นหน้าที่ของกรมประมงในอันท่ีจะส่งเสริม พัฒนา และแนะนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า
ให้ถกู ตอ้ งตามมาตรฐานตามวรรคหนง่ึ และมิให้มผี ลกระทบต่อระบบนิเวศและความสมบูรณ์ของทรัพยากร
สตั ว์นา้ และออกหนงั สอื รับรองความชอบด้วยมาตรฐานของการเพาะเล้ียงสัตว์น้าให้แก่ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้า
ทีด่ าเนินการโดยถกู ตอ้ งตามมาตรฐานดงั กลา่ วเมอ่ื ได้รบั การรอ้ งขอ

126

มำตรำ 75 ผูใ้ ดประสงค์จะขอหนังสือรับรองการไดม้ าตรฐานการเพาะเลยี้ งสัตวน์ า้ ตามมาตรา 74
หรือขอให้กรมประมงตรวจรับรองชนิด ลักษณะ คุณภาพ หรือแหล่งกาเนิดของสัตว์น้าใด หรือขอให้
ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างดนิ น้า สัตวน์ ้า หรือปจั จัยการผลติ เปน็ การเฉพาะราย ให้ยื่นคาขอและชาระค่าใชจ้ ่าย
ในการออกหนังสอื รบั รองหรือตรวจสอบตามระเบยี บท่ีอธบิ ดกี าหนด

มำตรำ 76 เพื่อประโยชน์ในการกากับดูแลการเพาะเล้ียงสัตว์น้าให้มีคุณภาพ ป้องกัน
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรืออันตรายต่อผู้บริโภค หรือต่อกิจการของบุคคลอื่น ให้ออกกฎกระทรวงกาหนด
ชนิดหรือลักษณะของสัตว์น้า หรือประเภท รูปแบบ ขนาด หรือวัตถุประสงค์ของกิจการการเพาะเล้ียง
สัตว์นา้ ใหเ้ ป็นกจิ การการเพาะเลี้ยงสตั วน์ ้าควบคมุ ได้

มำตรำ 77 ภายใต้บังคับมาตรา 79 ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบกิจการการเพาะเล้ียงสัตว์น้า
ควบคุมนอกเขตพื้นท่ที ีค่ ณะกรรมการประมงประจาจงั หวัดประกาศกาหนดใหเ้ ป็นเขตเพาะเลย้ี งสัตว์นา้

มำตรำ 78 ให้อธิบดีมีอานาจประกาศกาหนดให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเล้ียงสัตว์น้า
ควบคุมภายในเขตเพาะเลยี้ งสตั ว์นา้ ตามมาตรา 77 ตอ้ งปฏบิ ตั ใิ นเรอื่ ง ดงั ต่อไปนี้

(1) กาหนดให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า ต้องแจ้งการประกอบกิจการการ
เพาะเลีย้ งสตั ว์นา้ ต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ีตามวธิ ีการท่กี าหนด

(2) กาหนดแหลง่ ที่มาของสัตว์นา้ ทห่ี ้ามนามาใชใ้ นการเพาะเลี้ยงสตั ว์น้า
(3) กาหนดประเภท ลักษณะ และคุณภาพอาหารของสัตว์น้าท่ีห้ามใช้ในการเพาะเล้ียง
สัตว์นา้
(4) กาหนดชนิดและปริมาณของยา เคมีภัณฑ์ หรือสารอันตรายอื่นใด ที่ห้ามใช้
ในการเพาะเล้ยี งสตั วน์ ้า
(5) กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการจัดการน้าทิ้งหรือของเสียจากการเพาะเล้ียง
สัตว์นา้
(6) กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการป้องกัน มิให้น้าจากการเพาะเล้ียงสัตว์น้า
รัว่ ไหลออกจากทเ่ี พาะเลย้ี งสตั ว์น้า
(7) กาหนดเรื่องอื่นใดท่ีจาเป็นในการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรืออันตราย
ตอ่ ผบู้ รโิ ภคหรอื ตอ่ กิจการของบุคคลอนื่

มำตรำ 79 ห้ามมิให้ผู้ใดทาการเพาะเล้ียงสัตว์น้าในท่ีจับสัตว์น้าซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ
ของแผน่ ดนิ เวน้ แตจ่ ะได้รบั ใบอนุญาตจากพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี

ให้นาบทบัญญตั ิในมาตรา 44 มาใช้บงั คบั กบั การโอนใบอนญุ าตตามวรรคหน่ึงด้วยโดยอนโุ ลม

มำตรำ 91 เพ่ือประโยชน์ในการสืบค้นแหล่งท่ีมาของสัตว์น้าและผลิตภัณฑ์สัตว์น้าท่ีได้จาก
การเพาะเลย้ี งสตั ว์น้า อธบิ ดมี อี านาจกาหนดให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าควบคุมตามมาตรา 76
ต้องจัดทาหนงั สือกากบั การซ้ือขายสัตว์น้าใหแ้ ก่ผูซ้ ื้อ ตามแบบและรายการทีอ่ ธิบดปี ระกาศกาหนด

127

เม่ือผู้ซ้ือสัตว์น้าตามวรรคหนึ่งขายหรือส่งมอบสัตว์น้านั้นให้บุคคลอ่ืน ให้กรอกข้อมูลในแบบ
รายการตามวรรคหน่ึงระบผุ ้ซู ื้อหรือผู้รบั มอบสัตว์น้านนั้ ทุกทอดไป

บทเฉพำะกำล

มำตรำ 175 ผู้ใดทาการเพาะเล้ียงสัตว์น้าในที่จับสัตว์น้าซ่ึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
อยู่ในวันก่อนวันท่ีพระราชกาหนดน้ีใช้บังคับ ให้ย่ืนคาขอรับใบอนุญาตตามพระราชกาหนดน้ีภายใน
หน่ึงร้อยแปดสิบวันนับแต่วันท่ีพระราชกาหนดนี้ใช้บังคับ และเม่ือได้ยื่นคาขอแล้ว ให้ทาการเพาะเลี้ยง
สัตวน์ ้าตอ่ ไปไดจ้ นกว่าจะไดร้ ับแจง้ คาส่ังไมอ่ นญุ าต

บทกำหนดโทษ

มำตรำ 149 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 77 หรือมาตรา 79 หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 (1) (5)
(6) หรือ (7) ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท และปรับวันละหน่ึงหมื่นบาท
ตลอดระยะเวลาท่ีมีการฝ่าฝืน รวมท้ังต้องดาเนินการฟื้นฟูหรือชาระค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูที่จับสัตว์น้า
หรือสภาพสง่ิ แวดล้อมทไ่ี ด้รับผลกระทบจากการดาเนินการให้กลับสู่สภาพตามธรรมชาติ

มำตรำ 150 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 78 (2) (3) หรือ (4) ต้องระวางโทษปรับต้ังแต่
สามหมืน่ บาทถงึ สามแสนบาท

มำตรำ 156 เจ้าของท่าเทียบเรือประมง ผู้ประกอบกิจการแพปลา ผู้ประกอบกิจการ
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้าท่ีต้องมีการควบคุม หรือผู้ซ้ือสัตว์น้าจากบุคคลดังกล่าวผู้ใดไม่จัดทาหนังสือกากับ
การซื้อขายสัตว์น้าหรือจัดทาเอกสารหรือกรอกข้อมูลอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษปรับต้ังแต่หน่ึงหม่ืนบาท
ถงึ หน่ึงล้านบาท

128

129

จากข้อมูลทางสถิติของกรมประมงในช่วงปี พ.ศ. 2543 - 2560 พบว่าปริมาณสัตว์น้าจากการ
เพาะเล้ยี งสัตว์น้าชายฝ่งั มกี ารขยายตวั อย่างรวดเร็วจาก 467,070 ตัน ในปี พ.ศ. 2543 เป็น 817,700 ตัน
ในปี 2555 อย่างไรก็ตาม ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2556 เป็นต้นมา ผลผลิตเริ่มลดลง ทั้งน้ี เนื่องจากการเล้ียง
กงุ้ ทะเลประสบปญั หาโรคตายดว่ น (AHPND/EMS) ซึ่งจะสังเกตได้ว่าปริมาณสัตว์น้าจากการเพาะเลี้ยง
สัตว์น้าชายฝั่งร้อยละ 60 โดยประมาณน้ันเป็นผลผลิตจากการเพาะเล้ียงกุ้งทะเล ดังน้ัน เมื่อเกิดปัญหา
ในการผลิตกุ้งทะเล จึงส่งผลกระทบต่อภาพรวมของการเพาะเล้ียงสัตว์น้าชายฝั่งของประเทศ นอกจากนี้ยังมี
สัตว์น้าชายฝ่ังเศรษฐกิจชนิดอื่น ๆ เช่น ปลากะพงขาว ปลากะรัง หอยนางรม หอยแครง หอยแมลงภู่
ปทู ะเล เป็นตน้ (ภาพท่ี 4 - 1)

ผลผลิตสตั วน์ ำ (ตนั )

1,000,000

800,000

600,000

400,000

200,000

0

ปี พ.ศ.

ภำพท่ี 4 - 1 ผลผลิตสตั ว์นำจำกกำรเพำะเลียงสัตวน์ ำชำยฝง่ั ปี 2543 - 2560
2560
2559
2558
2557
2556
2555
2554
2553
2552
2551
2550
2549
2548
2547
2546
2545
2544
2543

130

1) สถำนกำรณ์กำรเพำะเลียงกุ้งทะเล
การพัฒนาการเพาะเล้ียงกุ้งทะเล เร่ิมต้นจากการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดาตั้งแต่ปี 2507 และมี

การขยายตวั อยา่ งรวดเรว็ ทาใหไ้ ทยกลายเป็นผู้นาในการผลติ และส่งออกกุ้งของโลก อย่างไรก็ตาม ในปี 2545
การเล้ยี งก้งุ กลุ าดาได้เกิดปัญหาโรคระบาด ขาดแคลนพอ่ แมพ่ ันธุ์ และอัตราการเจริญเตบิ โตต่า ทาใหเ้ กษตรกร
หันมาเลย้ี งกุ้งขาวแวนนาไม เกิดการขยายตัวของผู้เล้ียงและผลผลิตจานวนมาก โดยเฉล่ียผลผลิตกุ้งประมาณ
ปีละ 500,000 ตัน จนกระท่ังปลายปี 2555 เริ่มเกิดปัญหาโรคตายด่วน (AHPND/EMS) ส่งผลให้ผลผลิต
กงุ้ ทะเลจากการเพาะเล้ียงลดลงประมาณร้อยละ 50 เหลือเพียง 250,000 - 270,000 ตัน และกระทบ
ต่อเนื่องถึงต้นปี 2559 ต่อมาการเพาะเล้ียงกุ้งทะเลเร่ิมฟื้นตัวดีข้ึน จากข้อมูลสถิติปี 2560 มีผลผลิต
กุ้งทะเล 359,697 ตนั

1.1) จำนวนฟำร์มเลียงกุ้งทะเล
การเลยี้ งก้งุ ทะเลให้ผลตอบแทนต่อหน่วยการลงทุนสูง จึงทาให้เกษตรกรหันมาเลี้ยงกุ้งทะเล

กันเปน็ จานวนมาก ปี 2551 จานวนฟาร์มเล้ียงกุ้งทะเลท่ัวประเทศมีจานวนถึง 25,041 ฟาร์ม และในปี
2556 เน่ืองจากสถานการณ์โรค EMS ทาใหจ้ านวนฟารม์ เลย้ี งกงุ้ ทะเลทัว่ ประเทศลดลงเหลือ 21,668 ฟาร์ม
จากน้ันจานวนฟาร์มเล้ียงยังคงมีจานวนไม่ต่างกันมากนัก โดยปี 2560 มีจานวน 21,561 ฟาร์ม เมื่อ
พิจารณาจานวนฟาร์มเล้ียงกุ้งทะเลจาแนกตามแหล่งเลี้ยง ในปี 2560 พบว่า ภาคกลางมีจานวนฟาร์ม
มากเป็นอันดับหนึ่ง มีจานวนถึง 9,304 ฟาร์ม คิดเป็นร้อยละ 43.15 ของจานวนฟาร์มกุ้งท้ังหมด
จังหวัดที่มีจานวนฟาร์มกุ้งมากในภาคน้ี ได้แก่ จังหวัดสมุทรปราการ และสมุทรสาคร แหล่งเลี้ยงที่มี
จานวนฟาร์มกุ้งมากเป็นอันดับสอง คือ ภาคตะวันออก มีจานวน 6,726 ฟาร์ม คิดเป็นร้อยละ 31.20
ของจานวนฟาร์มกุ้งท้ังหมด จังหวัดที่มีจานวนฟาร์มกุ้งมากในภาคน้ี ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา และจันทบุรี
ภาคใต้ฝ่ังอ่าวไทยมีจานวนฟาร์มกุ้งเป็นอันดับสาม มีจานวน 3,950 ฟาร์ม คิดเป็นร้อยละ 18.32 ของ
จานวนฟาร์มกุ้งท้ังหมด จังหวัดที่มีจานวนฟาร์มกุ้งมากในภาคนี้ ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช และสงขลา
ภาคใตฝ้ ่งั อนั ดามนั มีจานวนฟาร์มกุง้ นอ้ ยทส่ี ุด จานวน 1,581 ฟาร์ม คิดเป็นร้อยละ 7.33 ของจานวน
ฟาร์มกุ้งทงั้ หมด (ตารางที่ 4 - 1)

131

ตำรำงที่ 4 - 1 จำนวนฟำรม์ เลยี งกุ้งทะเล จำแนกตำมแหลง่ เพำะเลยี ง ปี 2551 - 2560

แหล่งเพำะเลยี ง 2551 2552 2553 2554 ปี (Year) 2557 2558 2559 2560
Zone of Culture (2008) (2009) (2010) (2011) 2555 2556 (2014) (2015) (2016) (2017)
(2012) (2013)
รวม Total 25,041 25,131 23,333 23,675 21,071 21,082 21,550 21,561
ภาคตะวนั ออก East 11,190 10,461 8,494 8,148 23,832 21,668 6,820 6,841 6,819 6,726
ภาคกลาง Middle 4,386 5,324 7,825 8,547 7,689 6,846 9,123 9,038 9,193 9,304
ภาคใต้ฝง่ั อา่ วไทย GOT 6,940 6,940 5,001 4,804 9,064 8,864 3,580 3,673 3,970 3,950
ภาคใต้อันดามัน IO 2,525 2,406 2,013 2,176 4,960 4,212 1,548 1,530 1,568 1,581
2,119 1,746

ทมี่ า : สถติ ิผลผลิตการเลีย้ งกุ้งทะเล ประจาปี 2560

1.2) เนอื ที่เลียงกุง้ ทะเล
เน้อื ทเ่ี ลย้ี งกงุ้ ทะเลทง้ั ประเทศปี 2560 มีจานวน 294,683 ไร่ จาแนกเป็นเนื้อท่ีเล้ียงแบบ

กึง่ พัฒนาจานวน 83,253 ไร่ และแบบพัฒนาจานวน 211,430 ไร่ คิดเปน็ รอ้ ยละ 28.25 และ 71.75
ของเน้อื ท่เี ล้ยี งท้งั หมดตามลาดับ เมื่อพิจารณาจากเนื้อท่เี ลีย้ งแยกตามแหลง่ เลี้ยงในปี 2560 พบวา่ ภาคกลาง
มีเนอื้ ท่ีเลยี้ งมากเป็นอันดบั หนึ่ง คอื 158,366 ไร่ คดิ เป็นรอ้ ยละ 53.74 ของเนื้อที่เล้ียงทั้งหมด ภาคตะวันออก
มีเนื้อท่ีเลี้ยงมากเป็นอันดับสอง คือ 62,601 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 21.24 ของเน้ือท่ีเล้ียงท้ังหมด โดยมี
การเลย้ี งกุ้งทะเลมากในจังหวัดฉะเชิงเทราและจันทบุรี อันดับสามเป็นภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย มีเนื้อท่ีเลี้ยงจานวน
48,205 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 16.36 ของเนื้อท่ีเลี้ยงทั้งหมด จังหวัดที่มีเนื้อท่ีเล้ียงมากในภาคนี้ ได้แก่
จังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช ส่วนภาคใต้ฝั่งอันดามันที่มีเน้ือที่เล้ียงจากัด จะมีเน้ือที่เลี้ยง
นอ้ ยท่สี ุดเพียง 25,511 ไรเ่ ท่านน้ั คิดเปน็ รอ้ ยละ 8.66 ของเนื้อทเ่ี ลี้ยงทงั้ หมด (ตารางที่ 4 - 2)

ตำรำงท่ี 4 - 2 เนือทีฟ่ ำรม์ เลียงกงุ้ ทะเล จำแนกตำมแหล่งเพำะเลียง ปี 2551 - 2560

เนื้อท่ี (ไร่) / Area (rai)

แหล่งเพำะเลียง ปี (Year)
Zone of Culture
2551 2552 2553 2554 2555 2556 2557 2558 2559 2560
รวม Total (2008) (2009) (2010) (2011) (2012) (2013) (2014) (2015) (2016) (2017)
ภาคตะวนั ออก East 342,235 330,068 318,192 362,645 367,624 311,589 295,568 299,844 307,120 294,683
ภาคกลาง Middle 107,562 90,079 94,978 99,551 93,779 77,233 76,721 77,470 74,969 62,601
ภาคใต้ฝ่งั อา่ วไทย GOT 87,135 92,328 107,662 151,085 162,894 154,619 158,469 158,532 160,118 158,366
ภาคใตอ้ ันดามัน IO 104,138 104,138 76,530 70,165 70,673 48,710 37,760 41,213 46,714 48,205
43,400 43,523 39,022 41,844 40,278 31,027 22,618 22,629 25,319 25,511

ทม่ี า : สถิตผิ ลผลติ การเลี้ยงกงุ้ ทะเล ประจาปี 2560

132

1.3) ผลผลิตกงุ้ ทะเล
จากการสารวจผลผลติ ของฟารม์ เลี้ยงกุ้งทะเลปี 2560 พบว่ามีปริมาณกุ้งที่ผลิตได้รวมท้ังสิ้น

359,697 ตัน เป็นกุ้งขาวแวนนาไมมากที่สุดถึง 346,309 ตัน คิดเป็นร้อยละ 96.22 ของปริมาณ
การผลิตทั้งหมด อันดับสองเป็นกุ้งกุลาดาจานวน 12,962 ตัน คิดเป็นร้อยละ 3.60 ของผลผลิตสัตว์น้า
รวมทัง้ หมด นอกน้ันเปน็ กุ้งแชบ๊วย กงุ้ โอคัก และกุ้งอน่ื ๆ ปริมาณ 129,111 และ 186 ตนั ตามลาดับ

เม่ือพิจารณาผลผลิตกุ้งทะเลแยกตามแหล่งเล้ียงในปี 2560 พบว่าภาคตะวันออกมีผลผลิต
มากเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีผลผลิต 104,119 ตัน คิดเป็นร้อยละ 28.94 ของผลผลิตทั้งหมด มีผลผลิต
เฉลี่ย 1,663 กิโลกรัม/ไร่/ปี โดยจันทบุรีเป็นจังหวัดท่ีมีผลผลิตมากท่ีสุดในภาคนี้และมากเป็นอันดับสอง
ของประเทศ มีผลผลิต 35,609 ตัน คิดเป็นร้อยละ 9.90 ของผลผลิตท้ังหมด ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยมีผลผลิต
มากเป็นอันดับสอง โดยมีผลผลิต 94,816 ตัน คิดเป็นร้อยละ 26.36 ของผลผลิตท้ังหมด มีผลผลิต
เฉล่ีย 1,967 กิโลกรัม/ไร่/ปี จังหวัดท่ีมีผลผลิตมากในภาคน้ี ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี สงขลา
และนครศรีธรรมราช มีผลผลิต 40,463 18,280 และ 17,302 ตัน คิดเป็นร้อยละ 11.25 5.08 และ
4.81 ของผลผลิตท้ังหมดตามลาดับ ซึ่งสุราษฎร์ธานีเป็นจังหวัดที่มีทั้งปริมาณผลผลิตมากเป็นอันดับหน่ึง
ของประเทศ ภาคกลางมีผลผลิตมากเป็นอันดับสาม โดยมีผลผลิต 90,707 ตัน คิดเป็นร้อยละ 25.22
ของผลผลติ ท้ังหมด มผี ลผลติ เฉลีย่ 573 กโิ ลกรัม/ไร่/ปี

การเล้ียงกงุ้ ในพ้ืนทภี่ าคกลาง มีทั้งการเลี้ยงแบบกึ่งพัฒนาซ่ึงใช้พื้นท่ีมากแต่ปล่อยลูกพันธ์ุ
ด้วยความหนาแน่นต่า และการเลี้ยงแบบพัฒนา รวมถึงในบางพื้นที่การเลี้ยงแบบพัฒนาจะเป็นการเล้ียง
กุ้งขาวแวนนาไมรวมกับสัตว์น้าอ่ืน เช่น กุ้งก้ามกราม ปลานิล โดยเฉพาะการเลี้ยงในระบบความเค็มต่า
จึงทาให้ ผลผลิต/ไร่/ปี ในภาพรวมมีค่าค่อนข้างต่า ภาคใต้ฝ่ังอันดามันเป็นภาคท่ีมีผลผลิตและมูลค่าต่าสุด
โดยมผี ลผลิต 70,055 ตนั คดิ เป็นรอ้ ยละ 19.48 ของผลผลิตท้งั หมด มีผลผลติ เฉลี่ย 2,746 กิโลกรัม/ไร่/ปี
โดยจังหวัดที่มีผลผลิตมากที่สุดในภาคน้ี คือ จังหวัดตรัง มีผลผลิต 23,125 ตัน คิดเป็นร้อยละ 6.43
ของผลผลิตทัง้ หมด (ตารางที่ 4 - 3)

133

ตำรำงที่ 4 - 3 ผลผลิตของฟำร์มเลยี งก้งุ ทะเล จำแนกตำมแหล่งเพำะเลียง ปี 2551 - 2560

ปรมิ าณ (Quantity) : ตัน (Ton)

แหลง่ เพำะเลียง ปี (Year) 2557 2558 2559 2560
Zone of Culture (2014) (2015) (2016) (2017)
2551 2552 2553 2554 2555 2556
(2008) (2009) (2010) (2011) (2012) (2013)

รวม Total 506,602 575,098 559,644 611,194 609,552 325,395 279,907 294,740 334,434 359,697
ภาคตะวนั ออก East 139,766 168,458 172,700 182,652 154,925 85,684 90,459 92,342 97,026 104,119
ภาคกลาง Middle 76,533 78,779 85,382 108,862 116,030 74,940 79,605 78,190 84,063 90,707
ภาคใต้ฝ่งั อา่ วไทย GOT 157,906 192,974 168,010 178,018 198,898 84,220 59,494 69,738 89,330 94,816
ภาคใตอ้ นั ดามนั IO 132,397 134,887 133,552 141,662 139,699 80,551 50,349 54,470 64,015 70,055

ท่มี า : สถิติผลผลิตการเลี้ยงก้งุ ทะเล ประจาปี 2560

1.4) มูลคำ่ กุ้งทะเลจำกฟำรม์ เพำะเลียง
มูลค่าก้งุ ทะเลจากฟาร์มเพาะเล้ยี งในปี 2560 มมี ูลคา่ รวมทงั้ ส้นิ 61,851 ลา้ นบาท เม่ือ

จาแนกมูลค่าตามชนิดกุ้งทะเล โดยกุ้งขาวแวนนาไม มีมูลค่า 58,627.37 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 94.79
ของมลู คา่ การผลิตท้ังหมด กุ้งกุลาดามีมูลค่า 3,154.30 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 5.10 ของมูลค่าการผลิต
ท้ังหมด นอกจากน้ันเป็นกุ้งแชบ๊วย กุ้งโอคัก และกุ้งอ่ืน ๆ มีมูลค่า 37.89 12.47 และ 19.62 ล้านบาท
ตามลาดับ คิดเป็นร้อยละ 0.06 0.02 และ 0.03 ของมูลค่าการผลิตทั้งหมดตามลาดับ เมื่อพิจารณา
มูลค่าผลผลิตกุ้งทะเลแยกตามแหล่งเล้ียงในปี 2560 พบว่า ภาคตะวันออกมีมูลค่ามากเป็นอันดับหน่ึง
มมี ูลคา่ 17,339 ลา้ นบาท คิดเปน็ รอ้ ยละ 28.03 ของมูลค่ารวมท้ังหมด โดยจันทบุรีเป็นจังหวัดท่ีมีผลผลิต
และมลู คา่ มากทสี่ ดุ ในภาคนี้และมากเป็นอันดับสองของประเทศ มีมูลค่า 5,876 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ
9.50 ของมูลค่ารวมทง้ั หมด ภาคใตฝ้ ั่งอ่าวไทยมมี ลู ค่ามากเปน็ อันดบั สอง มมี ูลคา่ 16,981 ล้านบาท คิดเปน็
รอ้ ยละ 27.46 ของมูลคา่ รวมท้งั หมด จังหวัดท่ีมีผลผลิตและมูลค่ามากในภาคน้ี ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
สงขลา และนครศรีธรรมราช มีมูลค่า 7,426 3,183 และ 3,024 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.01
5.15 และ 4.89 ของมูลค่ารวมทั้งหมดตามลาดับ ซ่ึงสุราษฎร์ธานีเป็นจังหวัดที่มีท้ังปริมาณผลผลิต
และมูลคา่ มากเป็นอันดบั หนงึ่ ของประเทศ ภาคกลางมีผลผลิตและมูลค่ามากเป็นอันดับสาม มีมูลค่า 14,732
ลา้ นบาท คดิ เปน็ รอ้ ยละ 23.82 ของมูลค่ารวมท้ังหมด ภาคใต้ฝั่งอันดามันเป็นภาคที่มีผลผลิตและมูลค่า
ตา่ สุด มีมูลค่า 12,799 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20.69 ของมูลค่ารวมท้ังหมด โดยจังหวัดท่ีมีผลผลิต
และมูลค่ามากท่สี ดุ ในภาคนี้ คอื จงั หวดั ตรัง มีมูลคา่ 3,937 ล้านบาท คดิ เปน็ ร้อยละ 6.37 ของมูลค่า
รวมท้งั หมด (ตารางที่ 4 - 4)

134

ตำรำงท่ี 4 - 4 มลู ค่ำกุง้ จำกฟำรม์ เลยี งกุ้งทะเล จำแนกตำมแหลง่ เพำะเลียง ปี 2551 - 2560

มูลค่า (Value) : ล้านบาท (Million Baht)

แหลง่ เพำะเลยี ง 2551 2552 2553 2554 ปี (Year) 2557 2558 2559 2560
Zone of Culture 2555 2556
(2008) (2009) (2010) (2011) (2014) (2015) (2016) (2017)
รวม Total 50,757 61,259 59,910 76,351 (2012) (2013) 52,318 47,172 55,870 61,851
ภาคตะวนั ออก East 14,261 17,888 19,091 21,913 76,793 58,964 16,743 14,752 16,021 17,339
ภาคกลาง Middle 6,852 8,168 8,933 12,888 19,100 15,431 14,398 11,921 13,357 14,732
ภาคใตฝ้ ง่ั อ่าวไทย GOT 16,446 20,343 16,887 22,906 13,311 13,183 11,206 11,401 15,261 16,981
ภาคใตอ้ นั ดามนั IO 13,198 14,860 14,999 18,644 25,157 15,335 9,971 9,098 11,231 12,799
19,225 15,015

ท่มี า : สถติ ผิ ลผลิตการเล้ียงกงุ้ ทะเล ประจาปี 2560

ภำพท่ี 4 - 2 บ่อเลยี งกุ้งทะเล
ภำพท่ี 4 - 3 กำรจัดกำรระหวำ่ งกำรเลียง

135

ภำพท่ี 4 - 4 กำรจับก้งุ ทะเล
2) กำรเพำะเลียงกุ้งทะเลภำยใต้บริบทของพระรำชกำหนดกำรประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไข
เพิม่ เติม

กิจการการเพาะเลยี้ งกงุ้ ทะเลถกู กาหนดใหเ้ ป็นกจิ การการเพาะเล้ียงสัตว์น้าควบคุม เพ่ือประโยชน์
ในการกากับดูแลการเพาะเล้ียงกุ้งทะเลให้มีคุณภาพ ป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรืออันตรายต่อผู้บริโภค
หรือต่อกิจการของบุคคลอ่ืน โดยมีกฎกระทรวงกาหนดกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าให้เป็นกิจการเพาะเลี้ยง
สตั ว์น้าควบคมุ พ.ศ. 2559 ออกตามความในมาตรา 6 (1) และมาตรา 76 แห่งพระราชกาหนดการประมง
พ.ศ. 2558 กาหนดให้การเพาะเล้ียงกุ้งทะเลเป็นกิจการการเพาะเล้ียงสัตว์น้าควบคุม โดยมีข้อกาหนดท่ีต้อง
ดาเนนิ การ ดังน้ี

1) ต้องประกอบกิจการภายในพ้ืนท่ีเขตเพาะเล้ียงสัตว์น้าสาหรับกิจการการเพาะเล้ียงสัตว์น้า
ควบคุม ประเภทการเพาะเล้ียงกุ้งทะเล ตามความในมาตรา 77 ซึ่งประกาศกาหนดโดยคณะกรรมการ
ประมงประจาจงั หวัด โดยอาศยั อานาจหน้าท่ีตามความในมาตรา 28 (3) โดยแต่ละจังหวัดต้องมีประกาศ
คณะกรรมการประมงประจาจังหวัด กาหนดเขตเพาะเลี้ยงสัตว์น้าสาหรับกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าควบคุม
ประเภท การเพาะเลย้ี งกุ้งทะเล

2) ตอ้ งปฏิบตั ติ ามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบตั ทิ ่ีอธบิ ดีประกาศกาหนด ตามความในมาตรา 78
ให้อธิบดีมีอานาจประกาศกาหนดให้ผู้ประกอบการการเพาะเล้ียงสัตว์น้าควบคุมในเขตเพาะเล้ียงสัตว์น้า
ตามมาตรา 77 ตอ้ งปฏบิ ตั ิ โดยได้มปี ระกาศกรมประมง เรื่อง ข้อกาหนดให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเล้ียง
กุง้ ทะเลซึ่งเป็นกิจการการเพาะเล้ยี งสัตวน์ า้ ควบคุมภายในเขตเพาะเล้ียงสัตว์น้าตอ้ งปฏบิ ัติ ดงั นี้

2.1) ประกาศกรมประมง เร่ือง ข้อกาหนดให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล
ซึง่ เป็นกจิ การการเพาะเล้ียงสตั วน์ ้าควบคุมภายในเขตเพาะเลี้ยงสัตว์น้า ตามมาตรา 77 แห่งพระราชกาหนด
การประมง พ.ศ. 2558 ตอ้ งแจ้งประกอบกจิ การ พ.ศ. 2562 (ข้อกาหนดตามมาตรา 78 (1))

136

2.2) ประกาศกรมประมง เร่ือง ข้อกาหนดให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล
ซ่ึงเป็นกิจการการเพาะเล้ียงสัตว์น้าควบคุมภายในเขตเพาะเลี้ยงสัตว์น้า ตามมาตรา 77 แห่งพระรากาหนด
การประมง พ.ศ. 2558 ต้องปฏบิ ตั ิ พ.ศ. 2562 ประกอบดว้ ย

2.2.1) ข้อกาหนดตามมาตรา 78 (4) หา้ มมิให้ใชย้ า และเคมีภัณฑ์ ตามบัญชีแนบท้าย
หมายเลข 1 ในการเพาะเลยี้ งกุ้งทะเล

2.2.2) ข้อกาหนดตามมาตรา 78 (5) กาหนดใหผ้ ูป้ ระกอบกิจการการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล
ต้องจัดการนา้ ท้ิงหรือของเสียจากการเล้ยี งกุ้งทะเลตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้

- ตอ้ งมีการจดั การนา้ ทิ้งให้เปน็ ไปตามค่ามาตรฐานควบคุมการระบายน้าทิ้งเป็นไปตาม
บญั ชีแนบทา้ ยหมายเลข 2

- ห้ามมิให้ทิง้ หรือปล่อยใหด้ นิ เลนไหลออกจากพ้ืนทส่ี ถานประกอบกิจการลงสู่แหล่งน้า
สาธารณะ พนื้ ที่สาธารณะ หรอื พนื้ ท่ีของบุคคลอ่ืนโดยไม่ได้รบั ความยินยอมจากบุคคลนั้น

2.2.3) ขอ้ กาหนดตามมาตรา 78 (6) กาหนดให้สถานประกอบกิจการการเพาะเลี้ยง
กุ้งทะเลต้องดาเนินการป้องกันน้าจากการเพาะเลี้ยงกุ้งทะเล มิให้รั่วไหลออกสู่บริเวณภายนอกพื้นที่
สถานประกอบกิจการ หากตรวจพบให้ดาเนินการแก้ไขภายในสีส่ ิบแปดชั่วโมง

3) ต้องจัดทาหนังสือกากับการซื้อขายสัตว์น้าให้แก่ผู้ซ้ือ เพื่อประโยชน์ในการสืบค้นแหล่งที่มา
ของสัตว์น้าและผลิตภัณฑ์สัตว์น้าท่ีได้จากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า ตามความในมาตรา 91 อธิบดีมีอานาจ
กาหนดให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเล้ียงสัตว์น้าควบคุมตามมาตรา 76 ต้องต้องจัดทาหนังสือกากับ
การซื้อขายสัตว์น้าให้แก่ผู้ซื้อ ตามแบบและรายการที่อธิบดีประกาศกาหนด โดยได้มีประกาศกรมประมง
เรื่อง การจัดทาหนังสือกากับการซื้อขายสัตว์น้าสาหรับกิจการการเพาะเล้ียงสัตว์น้าควบคุม ประเภท
การเพาะเลย้ี งกุ้งทะเล ให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าควบคุมประเภทการเพาะเล้ียงกุ้งทะเล หรือ
ผู้ซ้ือกุ้งทะเล หรือผู้รับมอบกุ้งทะเลที่ประสงค์จะขายหรือส่งมอบกุ้งทะเลให้บุคคลอื่น ต้องจัดทาหนังสือ
กากับการซ้อื ขายสตั วน์ ้าให้แก่ผ้ซู ้ือหรือผ้รู บั มอบกุ้งทะเล ตามแนบท้ายประกาศน้ี

4) ต้องปฏบิ ัตติ ามกฎหมายอน่ื ท่เี กย่ี วขอ้ ง เชน่
4.1) พระราชบัญญตั ิส่งเสริมและรักษาคุณภาพสงิ่ แวดลอ้ มแห่งชาติ พ.ศ. 2535
4.2) พระราชบัญญตั มิ าตรฐานสนิ คา้ เกษตร พ.ศ. 2551
4.3) พระราชบัญญตั ยิ า พ.ศ. 2510 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเตมิ
4.4) พระราชบัญญตั ิควบคุมคุณภาพอาหารสตั ว์ พ.ศ. 2558
4.5) พระราชบัญญัติควบคุมโรคระบาดสตั ว์ พ.ศ. 2558
4.6) พระราชบญั ญตั วิ ัตถอุ ันตราย พ.ศ. 2535
4.7) พระราชบัญญัตคิ ุม้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541
4.8) อน่ื ๆ


Click to View FlipBook Version