The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การจัดการประมง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Fish_KU, 2022-10-12 05:38:57

การจัดการประมง

การจัดการประมง

137

1) สถำนกำรณก์ ำรเพำะเลียงปลำนำกรอ่ ย
การเพาะเลย้ี งปลานา้ กรอ่ ย ข้อมลู สถติ ิปี 2560 มีจานวนฟาร์มเล้ียงปลาน้ากร่อยเฉพาะท่ีมี

ผลผลิตในรอบปี มีทั้งหมด 10,592 ฟาร์ม พ้ืนที่เล้ียง 13,529 ไร่ ผลผลิต 22,455 ตัน คิดเป็น
มูลค่า 3,119 ล้านบาท ชนิดปลาน้ากร่อยที่เพาะเลี้ยงเชิงเศรษฐกิจ ได้แก่ ปลากะพง และปลากะรัง
โดยมีแหล่งเลี้ยงที่สาคัญอยู่ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา นครศรีธรรมราช และปัตตานี สาหรับการเลี้ยง
ปลากะรังผลผลิตส่วนใหญ่ได้จากการเพาะเลี้ยงในพื้นท่ีจังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน เช่น พังงา กระบี่
สตลู ระนอง และตรงั ซง่ึ เปน็ การเลย้ี งในกระชัง

1.1) จำนวนฟำร์มเลียงปลำนำกรอ่ ย
จานวนฟาร์มเลยี้ งปลานา้ กร่อยเฉพาะทม่ี ผี ลผลิตในรอบปี 2560 มีท้ังหมด 10,592 ฟาร์ม

จาแนกตามชนดิ เปน็ ฟาร์มเล้ียงปลากะรัง 3,042 ฟาร์ม หรือร้อยละ 27.92 ของจานวนฟาร์มเล้ียงปลา
น้ากร่อยท้ังหมด โดยฟาร์มเล้ียงปลากะรัง แบ่งเป็นฟาร์มท่ีเล้ียงในบ่อ 218 ฟาร์ม และฟาร์มที่เล้ียง
ในกระชัง 2,824 ฟาร์ม และเป็นฟารม์ เล้ียงปลากะพง 7,550 ฟาร์ม หรือร้อยละ 71.28 ของจานวน
ฟารม์ เลีย้ งปลาน้ากรอ่ ยทั้งหมด โดยฟารม์ เลีย้ งปลากะพงแบง่ เปน็ ฟารม์ ท่เี ลีย้ งในบ่อ 1,896 ฟารม์ และฟาร์ม
ทีเ่ ลย้ี งในกระชงั 5,654 ฟารม์ โดยสัดส่วนของจานวนฟารม์ เลย้ี งปลานา้ กร่อยรวมท้ังประเทศจาแนกตาม
ชนิดและประเภทการเล้ียง ได้แก่ ฟาร์มเล้ียงปลากะรังในบ่อ ฟาร์มเลี้ยงปลากะรังในกระชัง ฟาร์มเลี้ยง
ปลากะพงในบ่อ และฟาร์มเล้ียงปลากะพงในกระชัง คิดเป็นร้อยละ 2.06 26.66 17.90 และ 53.38
ตามลาดบั (ตารางที่ 4 - 5)

138

ตำรำงที่ 4 - 5 จำนวนฟำรม์ เลียงปลำนำกร่อย จำแนกตำมชนิดปลำท่ีเลียงและประเภทกำรเลียง
ปี 2551 - 2560

ชนดิ ปลำท่เี ลียง 2551 2552 2553 2554 ปี (Year) 2557 2558 2559 2560
Species (2011) (2012) (2013) (2014) (2017) (2017) (2017) (2017)
2555 2556
รวม (Total) 11,988 11,765 11,276 11,017 (2015) (2016) 11,553 10,696 10,979 10,592
กะรงั (Grouper) 4,927 4,750 4,019 3,925 4,089 3,324 3,451 3,042
เลีย้ งในบอ่ (pond) 336 300 329 302 11,328 11,305 329 316 284 218
เลย้ี งในกระชัง (cage) 4,591 4,450 3,690 3,623 4,076 3,950 3,760 3,008 3,167 2,824
กะพง (Seabass) 7,061 7,015 7,257 7,092 298 348 7,464 7,372 7,528 7,550
เลย้ี งในบอ่ (pond) 633 696 1,137 1,346 3,778 3,602 1,507 1,703 1,790 1,896
เลยี้ งในกระชัง (cage) 6,428 6,319 6,120 5,746 7,252 7,355 5,957 5,669 5,738 5,654
1,442 1,620
5,810 5,735

ท่มี า : สถิติฟารม์ เล้ยี งปลาน้ากร่อย ประจาปี 2560

จงั หวดั ท่ีมีจานวนฟารม์ เล้ยี งปลานา้ กรอ่ ยมากทส่ี ดุ คือ ปตั ตานี มีจานวน 1,764 ฟาร์ม
หรือร้อยละ 16.65 ของจานวนฟาร์มเลี้ยงปลาน้ากร่อยท้ังหมด จาแนกเป็นฟาร์มเล้ียงปลากะพงในบ่อ
123 ฟาร์ม และฟารม์ เล้ยี งปลากะพงในกระชัง 1,641 ฟารม์ จงั หวัดทม่ี จี านวนฟาร์มเลี้ยงปลาน้ากร่อย
มากเปน็ อันดับสอง คอื สตลู มีจานวน 1,180 ฟาร์ม หรือร้อยละ 11.14 ของจานวนฟาร์มเล้ียงปลา
น้ากรอ่ ยทั้งหมด จาแนกเป็นฟารม์ เล้ียงปลากะรงั ในบอ่ 107 ฟารม์ ฟารม์ เล้ียงปลากะรังในกระชัง 397
ฟารม์ และฟารม์ เลย้ี งปลากะพงในบอ่ 107 ฟาร์ม และฟารม์ เลี้ยงปลากะพงในกระชัง 569 ฟาร์ม จังหวัด
ท่มี ีจานวนฟาร์มเลยี้ งปลานา้ กร่อยมากเป็นอันดับสาม คอื ตรงั มีจานวน 1,093 ฟาร์ม หรอื ร้อยละ 10.32
ของฟาร์มเล้ียงปลาน้ากร่อยท้ังหมด จาแนกเป็นฟาร์มเลี้ยงปลากะรังในกระชัง 773 ฟาร์ม ฟาร์มเลี้ยง
ปลากะพงในกระชัง 320 ฟารม์

1.2) เนอื ทเ่ี ลยี งปลำนำกรอ่ ย
ในปี 2560 มเี นื้อทเ่ี ลีย้ งปลาน้ากรอ่ ยเฉพาะท่ีมผี ลผลติ รวมทั้งสิน้ 13,529 ไร่ จาแนก

เปน็ เนอ้ื ทเ่ี ลี้ยงปลากะรัง 717 ไร่ โดยเน้ือท่ีเลยี้ งปลากะรังแบ่งเป็นเนือ้ ท่ีเลี้ยงในบ่อ 598 ไร่ และเน้ือที่
เลยี้ งในกระชัง 119 ไร่ และเป็นเนื้อท่ีเลี้ยงปลากะพง 12,812 ไร่ โดยเน้ือท่ีเล้ียงปลากะพงแบ่งเป็นเน้ือที่
เลย้ี งในบ่อ 12,563 ไร่ และเนือ้ ทเี่ ลีย้ งในกระชงั 249 ไร่ (ตารางที่ 4 - 6) โดยสัดส่วนของเน้ือที่เล้ียง
ปลาน้ากร่อยภาพรวมทัง้ ประเทศจาแนกตามชนิดและประเภทการเลี้ยง ได้แก่ เนื้อที่เล้ียงปลากะรังในบ่อ
เนอ้ื ที่เล้ียงปลากะรงั ในกระชัง เนอ้ื ทเ่ี ลยี้ งปลากะพงในบอ่ และเน้ือท่ีเลี้ยงปลากะพงในกระชัง คิดเป็นร้อยละ
4.42 0.88 92.86 และ 1.84 ตามลาดบั (ภาพที่ 4 - 5)

139

ตำรำงที่ 4 - 6 เนือที่เลยี งปลำนำกรอ่ ย จำแนกตำมชนดิ ปลำทเี่ ลียงและประเภทกำรเลียง ปี 2551 - 2560

หน่วย (Unit) : ไร่ (Rai)

ชนิดปลำทเ่ี ลียง 2551 2552 2553 2554 ปี (Year) 2557 2558 2559 2560
Species (2011) (2012) (2013) (2014) 2555 2556 (2017) (2017) (2017) (2017)
5,034 5,328 7,989 8,275 (2015) (2016) 9,178 10,673 10,711 13,529
รวม (Total) 1,166 1,056 903 853 9,170 9,169 899 873 784 717
กะรัง (Grouper) 952 859 735 690 738 887 751 744 655 598
เลย้ี งในบ่อ (pond) 572 738
เลีย้ งในกระชัง (cage) 214 197 168 163 148 129 129 119
กะพง (Seabass) 3,868 4,272 7,086 7,422 166 149 8,279 9,800 9,927 12,812
เลี้ยงในบอ่ (pond) 3,546 3,956 6,758 7,136 8,432 8,282 7,979 9,507 9,649 12,563
เลี้ยงในกระชัง (cage) 8,132 7,994
322 316 328 286 300 293 278 249
300 288

ที่มา : สถติ ิฟารม์ เลี้ยงปลาน้ากร่อย ประจาปี 2560

กะพงเลียงใน กะรงั เลียงในบอ่ กะรงั เลยี งในกระชัง
กระชัง (Grouper pond (Grouper cage

(Seabass cage culture) culture)
4.42% 0.89%
culture)

1.84%

กะพงเลยี งในบ่อ
(Seabass pond

culture)
92.86%

ภำพที่ 4 - 5 เนือทเ่ี ลียงปลำนำกร่อย จำแนกตำมชนดิ ปลำและประเภทกำรเลยี ง ปี 2560

140

จังหวัดท่ีมีเนื้อที่เลี้ยงปลาน้ากร่อยมากท่ีสุด คือ ฉะเชิงเทรา มีพื้นที่ 2,492 ไร่
หรือร้อยละ 18.42 ของเน้ือที่เลี้ยงปลาน้ากร่อยท้ังหมด จาแนกเป็นเนื้อท่ีเล้ียงปลากะพงในบ่อ 2,480 ไร่
และเน้ือท่ีเล้ียงปลากะพงในกระชัง 12 ไร่ จังหวัดที่มีเน้ือที่เลี้ยงปลาน้ากร่อยมากเป็นอันดับสอง คือ
นครศรีธรรมราช มีพื้นท่ี 2,200 ไร่ หรือร้อยละ 16.26 ของเนื้อท่เี ล้ยี งปลานา้ กรอ่ ยท้งั หมด จาแนกเป็น
เน้ือท่ีเล้ียงปลากะพงในบ่อ 2,191 ไร่ และเนื้อท่ีเลี้ยงปลากะพงในกระชัง 9 ไร่ จังหวัดที่มีเน้ือที่เลี้ยง
ปลาน้ากร่อยมากเป็นอันดับสาม คือ สมุทรปราการ มีพ้ืนท่ี 2,171 ไร่ หรือร้อยละ 16.05 ของเน้ือที่
เลีย้ งปลาน้ากรอ่ ยท้ังหมด ซึ่งเป็นการเลย้ี งปลากะพงในบอ่ ท้ังหมด

1.3) ผลผลติ ของฟำร์มเลยี งปลำนำกรอ่ ย
ในปี 2560 ผลผลิตของฟาร์มเล้ียงปลาน้ากร่อยมีปริมาณท้ังส้ิน 22,455 ตัน

โดยผลผลิตเฉล่ียต่อเนื้อท่ีเล้ียงของการเล้ียงปลากะรังในบ่อเท่ากับ 599 กิโลกรัม/ไร่/ปี ปลากะรังในกระชัง
เท่ากับ 13,807 กิโลกรัม/ไร่/ปี ปลากะพงในบ่อเท่ากับ 962 กิโลกรัม/ไร่/ปี และปลากะพงในกระชัง
เท่ากับ 33,610 กิโลกรัม/ไร่/ปี จาแนกเป็นปริมาณผลผลิตของปลากะรัง 2,001 ตัน โดยปริมาณ
ผลผลิตของปลากะรังแบ่งเป็นผลผลิตท่ีได้จากการเลี้ยงในบ่อ 358 ตัน และผลผลิตที่ได้จากการเล้ียง
ในกระชัง 1,643 ตัน และเป็นปริมาณผลผลิตของปลากะพง 20,454 ตัน โดยปริมาณผลผลิตของ
ปลากะพง แบ่งเป็นผลผลิตท่ีได้จากการเล้ียงในบ่อ 12,085 ตัน และผลผลิตที่ได้จากการเล้ียงในกระชัง
8,369 ตัน (ตารางท่ี 4 - 7) โดยสัดส่วนของปริมาณผลผลิตจากฟาร์มเลี้ยงปลาน้ากร่อยรวมท้ังประเทศ
จาแนกตามชนิดและประเภทการเลี้ยง ได้แก่ ผลผลิตของปลากะรังที่เลี้ยงในบ่อ ผลผลิตของปลากะรัง
ท่ีเล้ียงในกระชัง ผลผลิตของปลากะพงท่ีเล้ียงในบ่อ และผลผลิตของปลากะพงท่ีเล้ียงในกระชัง คิดเป็น
ร้อยละ 1.59 7.32 53.82 และ 37.27 ตามลาดับ (ภาพท่ี 4 - 6)

ตำรำงท่ี 4 - 7 ปริมำณผลผลิตปลำนำกรอ่ ย จำแนกตำมชนิดปลำทีเ่ ลียงและประเภทกำรเลยี ง
ปี 2551 - 2560

หนว่ ย (Unit) : ตัน (Ton)

ชนิดปลำทีเ่ ลียง 2551 2552 2553 2554 ปี (Year) 2557 2558 2559 2560
Species (2011) (2012) (2013) (2014) (2017) (2017) (2017) (2017)
2555 2556
รวม (Total) 15,993 17,814 20,205 18,883 (2015) (2016) 19,087 19,508 19,219 22,455
กะรัง (Grouper) 3,179 2,996 2,790 2,726 2,586 2,258 2,042 2,001
เล้ียงในบ่อ (pound) 519 358 307 303 22,155 19,256 294 285 271 358
เลย้ี งในกระชัง (cage) 2,660 2,638 2,483 2,423 2,837 2,495 2,292 1,973 1,771 1,643
กะพง (Seabass) 12,814 14,818 17,415 16,157 290 286 16,501 17,250 17,177 20,454
เล้ียงในบอ่ (pound) 1,961 2,040 5,479 5,091 2,547 2,209 5,396 7,034 7,273 12,085
เลี้ยงในกระชงั (cage) 10,853 12,778 11,936 11,066 19,318 16,761 11,105 10,216 9,904 8,369
5,187 5,233
14,131 11,528

ทีม่ า : สถิตฟิ าร์มเลี้ยงปลานา้ กรอ่ ย ประจาปี 2560

141

กะรังเลยี งในบอ่ กะรงั เลยี งในกระชงั
(Grouper pond (Grouper cage

culture) culture)
1.59% 7.32%

กะพงเลียงในกระชงั กะพงเลียงในบ่อ
(Seabass cage (Seabass pond

culture) culture)
37.27% 53.82%

ภำพท่ี 4 - 6 ปรมิ ำณผลผลติ ปลำนำกร่อย จำแนกตำมชนิดปลำและประเภทกำรเลียง ปี 2560

จังหวัดที่มีผลผลิตปลาน้ากร่อยมากที่สุด คือ ฉะเชิงเทรา มีผลผลิต 4,920 ตัน
หรือร้อยละ 21.91 ของผลิตปลาน้ากร่อยทั้งหมด จาแนกเป็นผลผลิตปลากะพงที่เล้ียงในบ่อ 4,441 ตัน
และผลผลิตปลากะพงท่ีเล้ียงในกระชัง 479 ตัน จังหวัดท่ีมีผลผลิตปลาน้ากร่อยมากเป็นอันดับสอง คือ
ปัตตานี มีผลผลิต 4,772 ตัน หรือร้อยละ 21.25 ของผลิตปลาน้ากร่อยท้ังหมด จาแนกเป็นผลผลิต
ปลากะพงท่ีเล้ียงในบ่อ 876 ตัน และผลผลิตปลากะพงที่เล้ียงในกระชัง 3,896 ตัน จังหวัดท่ีมีผลผลิต
ปลาน้ากร่อยมากเป็นอันดับสาม คือ สุราษฎร์ธานี มีผลผลิต 1,795 ตัน หรือร้อยละ 7.99 ของผลผลิต
ปลาน้ากร่อยทั้งหมด จาแนกเป็นผลผลิตปลากะพงท่ีเลี้ยงในกระชัง 31 ตัน ผลผลิตปลากะพงท่ีเลี้ยงในบ่อ
1,578 ตนั และผลผลิตปลากะพงที่เลย้ี งในกระชัง 186 ตัน

1.4) มลู คำ่ ผลผลิตจำกฟำร์มเลยี งปลำนำกรอ่ ย
ในปี 2560 ผลผลิตจากฟาร์มเลี้ยงปลาน้ากร่อยมีมูลค่ารวมท้ังส้ิน 3,119 ล้านบาท

จาแนกเป็นมลู คา่ ผลผลิตจากฟารม์ เล้ยี งปลากะรัง 483 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.49 ของมูลค่าผลผลิต
จากฟาร์มเลี้ยงปลาน้ากร่อยทั้งหมด โดยมูลค่าผลผลิตจากฟาร์มเลี้ยงปลากะรังแบ่งเป็น มูลค่าผลผลิตที่ได้
จากการเล้ียงในบ่อ 82 ล้านบาท และมูลค่าผลผลิตที่ได้จากการเลี้ยงในกระชัง 401 ล้านบาท และเป็น
มลู คา่ ผลผลติ จากฟารม์ เลย้ี งปลากะพง 2,636 ล้านบาท หรือร้อยละ 84.51 ของมูลค่าผลผลิตจากฟาร์ม
เลี้ยงปลาน้ากร่อยท้ังหมด โดยมูลค่าผลผลิตจากฟาร์มเล้ียงปลากะพงแบ่งเป็น มูลค่าผลผลิตที่ได้จากการ
เลี้ยงในบ่อ 1,509 ลา้ นบาท และมูลค่าผลผลิตท่ีได้จากการเล้ียงในกระชัง 1,127 ล้านบาท (ตารางที่ 4 - 8)
โดยสัดส่วนของมูลค่าผลผลิตจากฟาร์มเล้ียงปลาน้ากร่อยรวมท้ังประเทศจาแนกตามชนิดและประเภทการเล้ียง
ได้แก่ มูลค่าผลผลิตปลากะรังที่เล้ียงในบ่อ มูลค่าผลผลิตปลากะรังท่ีเล้ียงในกระชัง มูลค่าผลผลิตปลากะพง
ทเ่ี ลี้ยงในบอ่ และมลู คา่ ผลผลติ ปลากะพงที่เลี้ยงในกระชัง คิดเป็นร้อยละ 2.63 12.86 48.38 และ 36.13
ตามลาดับ (ภาพท่ี 4 - 7)

142

ตำรำงที่ 4 - 8 มูลค่ำผลผลติ ปลำนำกร่อย จำแนกตำมชนดิ ปลำที่เลยี งและประเภทกำรเลียง ปี 2551 - 2560

ชนดิ ปลำที่เลยี ง 2551 2552 2553 2554 ปี (Year) 2557 2558 2559 2560
Species (2011) (2012) (2013) (2014) (2017) (2017) (2017) (2017)
2555 2556
รวม (Total) 2,188 2,338 2,720 2,559 (2015) (2016) 2,607 2,727 2,713 3,119

กะรงั (Grouper) 701 638 698 680 3,068 2,612 577 540 484 483
เลย้ี งในบอ่ (pound) 108 76 69 65 62 66 62 82
เลย้ี งในกระชัง (cage) 593 562 629 615 654 566 515 474 422 401
กะพง (Seabass) 1,487 1,700 2,022 1,879 55 61 2,030 2,187 2,229 2,636
เลย้ี งในบ่อ (pound) 210 197 570 539 599 505 593 825 887 1,509
เลี้ยงในกระชัง (cage) 1,277 1,503 1,452 1,340 2,414 2,074 1,437 1,362 1,342 1,127
546 560
1,868 1,514

ทีม่ า : สถติ ฟิ าร์มเลีย้ งปลาน้ากรอ่ ย ประจาปี 2560

กะพงเลยี งในบอ่ กะพงเลียงในกระชงั
(Seabass pond culture) (Seabass cage culture)

48.38% 36.13%

กะรังเลียงในบอ่
(Grouper pond culture)

2.63%

กะรังเลยี งในกระชงั
(Grouper cage culture)

12.86%

ภำพท่ี 4 - 7 มลู ค่ำกำรเลยี งปลำนำกร่อย จำแนกตำมชนิดปลำและประเภทกำรเลยี ง ปี 2560

จงั หวดั ทีม่ ีมลู ค่าผลผลติ ปลาน้ากร่อยมากที่สดุ คือ ฉะเชิงเทรา มีมูลค่า 659 ล้านบาท
หรือร้อยละ 21.13 ของมูลค่าผลผลิตน้ากร่อยท้ังหมด จาแนกเป็นมูลค่าผลผลิตปลากะพงท่ีเลี้ยงในบ่อ
594 ล้านบาท และมูลค่าผลผลิตปลากะพงท่ีเลี้ยงในกระชัง 65 ล้านบาท จังหวัดที่มีมูลค่าผลผลิต
ปลาน้ากร่อยมากเป็นอันดับสอง คือ ปัตตานี มีมูลค่า 586 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.79 ของมูลค่า
ผลผลิตปลาน้ากร่อยท้ังหมด จาแนกเป็นมูลค่าผลผลิตปลากะพงที่เลี้ยงในบ่อ 95 ล้านบาท และมูลค่า
ผลผลิตปลากะพงที่เลี้ยงในกระชัง 491 ล้านบาท จังหวัดท่ีมีมูลค่าผลผลิตปลาน้ากร่อยมากเป็นอันดับสาม
คือ สุราษฎร์ธานี มีมลู คา่ 223 ลา้ นบาท หรอื ร้อยละ 7.15 ของมลู ค่าผลผลติ นา้ กร่อยทั้งหมด จาแนก
เป็นมลู คา่ ผลผลิตปลากะรังทีเ่ ล้ียงในกระชงั 8 ลา้ นบาท มลู ค่าผลผลิตปลากะพงท่ีเลี้ยงในบ่อ 190 ล้านบาท
และมูลค่าผลผลิตปลากะพงท่ีเล้ยี งในกระชัง 25 ล้านบาท

143

ภำพท่ี 4 - 8 บ่อเลียงปลำกะพงขำว

ภำพที่ 4 - 9 กำรจับและกำรคดั ขนำดปลำกะพงขำว
2) กำรเพำะเลียงปลำนำกร่อยภำยใต้บริบทของพระรำชกำหนดกำรประมง พ.ศ. 2558
และที่แก้ไขเพิม่ เติม

กิจการการเพาะเลี้ยงปลาน้ากร่อย แบ่งประเภทของการเล้ียงเป็น 2 ประเภท คือ การเล้ียง
ในบ่อ และการเล้ียงในกระชัง ซึ่งการเลี้ยงสัตว์น้าในกระชังถูกกาหนดให้เป็นกิจกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า
ควบคุม ตามความในมาตรา 76 แหง่ พระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 และกฎกระทรวงกาหนดกจิ การ
การเพาะเล้ียงสัตว์น้าให้เป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าควบคุม พ.ศ. 2559 ลงวันท่ี 3 พฤษภาคม 2559
โดยมีข้อกาหนดท่ีต้องดาเนินการเมื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าในกระชัง ถูกกาหนดให้เป็นกิจการการเพาะเล้ียง
สัตว์นา้ ควบคุม และทาการเพาะเล้ียงสัตวน์ ้าในท่จี บั สตั วน์ ้าซง่ึ เป็นสาธารณสมบตั ิของแผน่ ดิน ดังน้ี

1) ต้องประกอบกิจการภายในพ้ืนท่ีเขตเพาะเล้ียงสัตว์น้าสาหรับกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า
ควบคุม ประเภท การเพาะเลี้ยงสัตว์น้าในกระชัง ตามความในมาตรา 77 ซ่ึงประกาศกาหนดโดย
คณะกรรมการประมงประจาจังหวดั โดยอาศยั อานาจหนา้ ทีต่ ามความในมาตรา 28 (3)

144

2) ต้องปฏบิ ัติตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีปฏิบตั ทิ ี่อธิบดีประกาศกาหนด ตามความในมาตรา 78
3) ตอ้ งทาการขออนญุ าตทาการเพาะเล้ยี งสตั วน์ ้าในทจี่ ับสตั ว์นา้ ซึ่งเป็นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดนิ
ตามความมาตรา 79 เนอื่ งจากการเพาะเล้ียงสัตวน์ ้าในกระชงั ส่วนใหญ่ มกั ประกอบกจิ การในทจี่ ับสัตว์น้า
ซงึ่ เป็นสาธารณสมบตั ขิ องแผ่นดนิ

ในการน้ี ได้มีการออกกฎกระทรวงฯ และประกาศฯ ท่ีเก่ียวข้องกับการเพาะเล้ียงสัตว์น้า
ในทจ่ี ับสตั วน์ ้าซ่ึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดนิ ตามความในมาตรา 79 ดังต่อไปน้ี

3.1) กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้ทาการเพาะเล้ียงสัตว์น้าในที่จับสัตว์น้า
ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2559 ลงวนั ท่ี 3 พฤษภาคม 2560

3.2) ประกาศกรมประมง เรื่อง แบบคาขอรับใบอนุญาต ใบรับคาขอ ใบอนุญาต คาขอโอน
ใบอนุญาต และคาขอรับใบแทน ใบอนุญาตให้ทาการเพาะเล้ียงสัตว์น้าในที่จับสัตว์น้าซ่ึงเป็นสาธารณสมบัติ
ของแผน่ ดิน พ.ศ. 2560 ลงวันท่ี 15 สงิ หาคม 2560

4) ตอ้ งปฏิบัตติ ามกฎหมายอืน่ ท่เี กยี่ วข้อง เชน่
4.1) กระทรวงคมนาคม กรมเจ้าท่า เช่น พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้าไทย

กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศตา่ ง ๆ โดยเฉพาะประเดน็ สง่ิ ลว่ งลา้ ลาน้า
4.2) กรมชลประทาน กรณีเกษตรกรทาการเพาะเลี้ยงในพื้นท่ีท่ีอยู่ในการกากับดูแล

ของกรมชลประทาน เช่น เขือ่ น อ่างเกบ็ น้า คลองชลประทาน เปน็ ต้น
ตามทไ่ี ดม้ กี ารบงั คบั ใชพ้ ระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2558

และไดม้ บี ทเฉพาะกาลตามมาตรา 175 ซ่ึงกล่าวไว้ว่า ผู้ใดทาการเพาะเล้ียงสัตว์น้าในท่ีจับสัตว์น้าซ่ึงเป็น
สาธารณสมบัติของแผ่นดินอยู่ในวันก่อนที่พระราชกาหนดนี้ใช้บังคับ ให้ย่ืนคาขอรับใบอนุญาต
ตามพระราชกาหนดน้ีภายใน 180 วัน นับแต่วันที่พระราชกาหนดน้ีใช้บังคับ และเมื่อได้ยื่นคาขอแล้ว
ให้ทาการเพาะเล้ยี งสตั วน์ า้ ต่อไปได้ จนกวา่ จะไดร้ ับแจง้ คาส่งั ไมอ่ นญุ าต

145

เอกสำรอำ้ งองิ

กรมประมง. 2560. คู่มือปฏิบัติงาน การเพาะเลี้ยงสัตว์น้าในท่ีจับสัตว์น้าซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
กรณีการเพาะเล้ียงสัตว์น้าในกระชัง สาหรับเจ้าหน้าท่ีกรมประมง. กองบริหารจัดการทรัพยากร
และกาหนดมาตรการ.

กรมประมง. 2562. สถติ ิผลผลิตการเล้ียงกุ้งทะเล ประจาปี 2560. เอกสารฉบบั ที่ 3/2562 กลุ่มวิจัยและ
วิเคราะหส์ ถติ กิ ารประมง กองนโยบายและยุทธศาสตรพ์ ฒั นาการประมง.

กรมประมง. 2562. สถิติฟาร์มเล้ียงปลาน้ากร่อย ประจาปี 2560. เอกสารฉบับท่ี 2/2562. กลุ่มวิจัยและ
วิเคราะห์สถติ กิ ารประมง กองนโยบายและยุทธศาสตรพ์ ัฒนาการประมง.

146

1) สถำนกำรณ์กำรเพำะเลยี งหอยทะเล
การเพาะเลี้ยงหอยทะเลที่สาคัญเชิงเศรษฐกิจ ได้แก่ หอยแครง หอยแมลงภู่ และหอยนางรม

จากข้อมูลสถิติของกรมประมงปี 2560 จะเห็นว่า มีจานวนฟาร์มเล้ียงหอยทะเลท้ังส้ิน 5,055 ฟาร์ม
คิดเป็นพื้นที่เลี้ยง 66,614 ไร่ ผลผลิต 98,256 ตัน มูลค่า 4,276.2 ล้านบาท ประกอบด้วยหอยแมลงภู่
50,472 ตนั (รอ้ ยละ 51.36) หอยแครง 25,862 ตัน (ร้อยละ 26.32) และหอยนางรม 21,922 ตัน
(ร้อยละ 22.31) เม่ือพิจารณาข้อมูลในช่วงปี 2546 - 2560 จะเห็นว่าปี 2553 ผลผลิตหอยทะเลทุกชนิด
ลดลงประมาณร้อยละ 40 - 60 จากปี 2552 (ภาพที่ 4 - 10) ท้ังนี้ เน่ืองจากได้รับผลกระทบในระหว่าง
การเลย้ี ง เช่น ปญั หาน้าจดื ไหลลงในแหล่งเลีย้ ง โดยเฉพาะหอยแครงและหอยแมลงภู่ทีม่ แี หล่งเลย้ี งอยูบ่ รเิ วณ
ชายฝั่งต้ืน ๆ ทาให้ไม่สามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของความเค็ม และไม่สามารถทนทาน
อยูใ่ นสภาวะน้าจืดไดเ้ ป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังประสบปัญหาโรคระบาดในหอยแมลงภู่ จึงทาให้ผลผลิต
เสียหายจานวนมาก ประกอบกับแหล่งลูกพันธุ์หอยแครงธรรมชาติได้ลดน้อยลง ทาให้อัตราการขยายตัว
ของผลผลิตหอยทะเลตงั้ แต่น้ันมาไม่มากนัก

ภำพท่ี 4 - 10 ผลผลิตหอยทะเลจำกกำรเพำะเลยี ง ปี 2546 - 2560

147

1) จำนวนฟำร์มเลยี งหอยทะเล
จานวนฟารม์ เล้ียงหอยในปี 2560 (เฉพาะที่มีผลผลิต) ใน 22 จังหวัดชายทะเลและ

กรุงเทพมหานคร มที ั้งสนิ้ 5,055 ฟาร์ม ลดลงจากปี 2559 ซงึ่ มีจานวน 5,838 ฟาร์ม คิดเป็นร้อยละ
13.41 (ภาพท่ี 4 - 11) โดยจาแนกเปน็ ฟารม์ เลี้ยงหอยแครง 1,907 ฟารม์ หรือร้อยละ 37.72 ของจานวน
ฟาร์มเล้ยี งหอยท้ังหมด ลดลงจากปี 2559 คดิ เป็นรอ้ ยละ 25.91 ฟารม์ เลย้ี งหอยแมลงภู่ 2,163 ฟาร์ม
หรอื รอ้ ยละ 42.78 ของจานวนฟาร์มเลี้ยงหอยทั้งหมด เพ่ิมข้ึนจากปี 2559 คิดเป็นร้อยละ 1.35 และ
ฟาร์มเล้ียงหอยนางรม 985 ฟาร์ม หรือร้อยละ 19.48 ของจานวนฟาร์มเล้ียงหอยท้ังหมด (ตารางที่ 4 - 9
และภาพที่ 4 - 12) ลดลงจากปี 2559 คิดเป็นร้อยละ 12.83 ท้ังนี้ไม่นับรวมจานวนฟาร์มเล้ียงหอยมุก
เน่ืองจากไม่มีผลผลิตเพ่ือการบริโภค และไม่นับรวมจานวนโป๊ะท่ีเก็บรวบรวมหอยแมลงภู่ตามแนวธรรมชาติ
เน่ืองจากไม่มีการแจงนับเป็นจานวนฟาร์ม โดยจังหวัดที่มีจานวนฟาร์มเล้ียงหอยมากที่สุด 3 อันดับแรก
คือ สมุทรสงคราม มีจานวน 1,131 ฟาร์ม หรือร้อยละ 18.87 ของจานวนฟาร์มเล้ียงหอยท้ังหมด
สรุ าษฎร์ธานี 937 ฟารม์ หรอื รอ้ ยละ 15.63 ของจานวนฟาร์มเลย้ี งหอยทงั้ หมด และเพชรบุรี 841 ฟาร์ม
หรือรอ้ ยละ 14.03 ของจานวนฟาร์มเลย้ี งหอยทั้งหมด

ภำพที่ 4 - 11 จำนวนฟำรม์ และเนือที่ (เฉพำะทีม่ ีผลผลติ ) ปี 2551 - 2560

148

ตำรำงที่ 4 - 9 จำนวนฟำร์มเลียงหอย (เฉพำะที่มีผลผลติ ) ชนิดต่ำง ๆ ปี 2560

รำยกำร รวม หอยแครง หอบแมลงภู่ หอยนำงรม
Item Oyster
Total Bloody Cockle Gteen Mussel
จำนวนฟำร์ม (No. of Farm) 1,220
รอ้ ยละ (Percentage) 5,994 2,651 2,123 20.35

100.00 44.23 35.42

หอยแมลงภู่ หอยแครง
(Green mussel) (Bloody Cockle)

35.42% 44.23%

หอยนำงรม
(Oyster)
20.35%

ภำพที่ 4 - 12 จำนวนฟำรม์ เลียงหอย (เฉพำะท่ีมผี ลผลติ ) ชนิดต่ำง ๆ ปี 2560

2) เนอื ที่เลียงหอยทะเล

เนอ้ื ทีเ่ ลี้ยงหอยในปี 2560 (เฉพาะท่ีมีผลผลิต) มีทั้งส้ิน 66,614 ไร่ (ตารางท่ี 4 - 10
และภาพที่ 4 - 13) ลดลงจากปี 2559 ทม่ี เี นื้อท่ี 88,714 คิดเป็นรอ้ ยละ 24.91 โดยจาแนกเป็นเนื้อท่ี
เล้ยี งหอยแครง 49,726 ไร่ หรือรอ้ ยละ 74.64 ของเน้ือท่ีเลี้ยงหอยทั้งหมดลดลงจากปี 2559 คิดเป็น
ร้อยละ 30.44 เนื้อท่ีเลี้ยงหอยแมลงภู่ 12,397 ไร่ หรือร้อยละ 18.61 ของเนื้อท่ีเล้ียงหอยท้ังหมด
ลดลงจากปี 2559 คิดเป็นร้อยละ 5.86 (ไม่นับรวมเนื้อท่ีเลี้ยงหอยแมลงภู่ตามแนวธรรมชาติ) และเนื้อท่ี
เล้ียงหอยนางรม 4,491 ไร่ หรือร้อยละ 6.74 ของเนื้อที่เลี้ยงหอยทั้งหมด เพิ่มข้ึนจากปี 2559 คิดเป็น
ร้อยละ 10.77 โดยจังหวัดท่ีมีเน้ือที่การเล้ียงหอยมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ จังหวัดสมุทรสงคราม
17,878 ไร่ หรือร้อยละ 26.82 ของเน้ือท่ีเล้ียงหอยทั้งหมด รองลงมาเป็นจังหวัดสุราษฎร์ธานี 14,690
ไร่ หรือร้อยละ 22.05 ของเน้ือท่ีเลี้ยงหอยท้ังหมด และจังหวัดสมุทรสาคร 7,534 ไร่ หรือร้อยละ
11.30 ของเน้อื ท่เี ลย้ี งหอยทงั้ หมด

149

ตำรำงที่ 4 - 10 เนอื ที่เลยี งหอย (เฉพำะท่มี ผี ลผลิต) ชนิดต่ำง ๆ ปี 2560

รำยกำร รวม หอยแครง หอยแมลงภู่ หอยนำงรม
Item Total Bloody Green Oyster
Cockle Mussel
เนือ้ ที่ (ไร่) Area (Rai) 66,614 49,726 12,397 4,491
รอ้ ยละ Percentage 100.00% 74.64% 18.61% 6.74%

หอยแมลงภู่ หอยนำงรม
(Green Mussel) (Oyster)
6.74%
18.61%

หอยแครง
(Bloody Cockle)

74.64%

ภำพที่ 4 - 13 เนือทเี่ ลียงหอย (เฉพำะท่มี ผี ลผลติ ) ชนดิ ตำ่ ง ๆ ปี 2560

3) ผลผลติ หอยทะเล
ผลผลิตในรอบปี 2560 มีท้ังส้ิน 118,400 ตัน ลดลงจากปี 2559 ซึ่งมีผลผลิต

168,700 ตนั หรอื ร้อยละ 29.81 โดยเป็นผลผลิตจากการเพาะเล้ียง 98,256.07 ตัน หรือร้อยละ 82.98
ของผลผลิตทั้งหมด (ตารางที่ 4 - 11 และภาพท่ี 4 - 14) เม่ือจาแนกผลผลิตออกตามชนิดสัตว์น้าจะเป็น
ผลผลิตหอยแครง 25,826 ตันหรือร้อยละ 26.32 ของผลผลิตท้ังหมด ลดลงจากปี 2559 คิดเป็นร้อยละ
42.33 ผลผลิตหอยแมลงภู่ 50,472 ตัน หรือร้อยละ 51.36 ของผลผลิตท้ังหมด ลดลงจากปี 2559
คิดเป็นร้อยละ 41.76 และผลผลิตหอยนางรม 21,922 ตัน หรือร้อยละ 22.31 ของผลผลิตท้ังหมด
เพิ่มขึ้นจากปี 2559 คิดเป็นร้อยละ 23.21 (ตารางที่ 4 - 12 และภาพที่ 4 - 15) โดยจังหวัดท่ีมีผลผลิต
มากท่ีสุด 3 อันดับแรก คือ จังหวัดสมุทรสงคราม 22,806 ตัน หรือร้อยละ 23.21 ของผลผลิตทั้งหมด
จังหวัดชลบุรี 17,008 ตันหรือร้อยละ 17.30 ของผลผลิตทั้งหมด และจังหวัดชุมพร 14,469 ตัน
หรอื ร้อยละ 14.72 ของผลผลิตทง้ั หมด

150

ตำรำงท่ี 4 - 11 ปริมำณผลผลติ ของหอยทังหมดในปี 2560 จำแนกเป็นจำกกำรเพำะเลียงและจำกธรรมชำติ

รำยกำร รวม เพำะเลียง ธรรมชำติ
Item Total Culture Collect from

ปริมาณ (ตนั ) Quantity (Ton) 118,400 98.256 Natural
รอ้ ยละ Percentage 100.00 82.98 20,144
17.02

ปีกโป๊ะ
(Bamboo Stake Trap)

17.02%

เพำะเลยี ง
(Culture)
82.98%

ภำพที่ 4 - 14 ปริมำณผลผลติ ของหอยทังหมดในปี 2560
จำแนกเปน็ จำกกำรเพำะเลียงและจำกธรรมชำติ

151

ตำรำงที่ 4 - 12 ปรมิ ำณผลผลติ ของหอยชนดิ ต่ำง ๆ ปี 2560

รำยกำร รวม หอยแครง หอยแมลงภู่ หอยนำงรม
Item Total Bloody Green Oyster
Cockle Mussel
ปริมาณ (ตนั ) Quantity (Ton) 98,256 25,862 50,472 21,922
รอ้ ยละ Percentage 100.00% 26.32% 51.36% 22.31%

หอยนำงรม หอยแครง
(Oyster) (Bloody Cockle)
22.31%
26.32%

หอยแมลงภู่
(Green Mussel)

51.36%

ภำพที่ 4 - 15 ปรมิ ำณผลผลติ ของหอยชนิดต่ำง ๆ ปี 2560

4) มลู คำ่ ผลผลติ หอยทะเล
ในปี 2560 มีมูลค่าผลผลิตหอยท้ังหมด 5,222.0 ล้านบาท ลดลงจากปี 2559 ที่มี

มูลค่า 6,006.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 13.06 โดยจาแนกเป็นมูลค่าผลผลิตจากการเพาะเลี้ยง 4,276.20
ล้านบาท หรือร้อยละ 81.88 ของมูลคา่ ท้งั หมด และจากธรรมชาติ 945.80 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.11
ของมูลคา่ ท้งั หมด (ตารางท่ี 4 - 13 และภาพที่ 4 - 16) เมื่อจาแนกมูลค่าตามชนิดสัตว์น้าจะเป็นมูลค่า
ผลผลิตหอยแครง 2,660.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 50.94 ของมูลค่าท้ังหมด ลดลงจากปี 2559 คิดเป็น
ร้อยละ 28.70 มูลค่าผลผลิตหอยแมลงภู่ 625.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.97 ของมูลค่าท้ังหมด ลดลง
จากปี 2559 คิดเปน็ ร้อยละ 1.83 และมูลคา่ ผลผลติ หอยนางรม 990.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.97
ของมูลค่าท้ังหมด เพ่ิมขึ้นจากปี 2559 คิดเป็นร้อยละ 46.76 (ตารางท่ี 4 - 14 และภาพที่ 4 - 17)

152

ตำรำงที่ 4 - 13 มูลคำ่ ของหอยรวมทังหมดในปี 2560 จำแนกเป็นจำกกำรเพำะเลยี งและจำกธรรมชำติ

รำยกำร รวม เพำะเลยี ง ธรรมชำติ
Item Total Culture Collect from

มลู ค่า (ลา้ นบาท) Value (Million Bath) 5,222 4,276.20 Natural
ร้อยละ Percentage 100.00 81.88 945.80
18.11

ปีกโป๊ะ
(Bamboo Stake Trap)

18.11%

เพำะเลียง
(Culture)
81.88%

ภำพที่ 4 - 16 มลู คำ่ ของหอยรวมทงั หมดในปี 2560 จำแนกเปน็ จำกกำรเพำะเลยี งและจำกธรรมชำติ

153

ตำรำงที่ 4 - 14 มลู คำ่ ของหอยชนิดตำ่ ง ๆ ปี 2560

รำยกำร รวม หอยแครง หอยแมลงภู่ หอยนำงรม
Item Total Bloody Green Oyster
Cockle Mussel
4,276.2
มลู ค่า Value (Million Bath) 100.00 2,660.0 625.4 990.7
(ล้านบาท) Percentage 62.20 14.62 23.16
ร้อยละ

หอยแมลงภู่ หอยนำงรม
(Green Mussel) (Oyster)
23.16%
14.62%

หอยแครง
(Bloody Cockle)

62.20%

ภำพที่ 4 - 17 มลู ค่ำของหอยชนิดตำ่ ง ๆ ปี 2560

154

2) กำรเพำะเลียงหอยทะเลภำยใต้บริบทของพระรำชกำหนดกำรประมง พ.ศ. 2558
และท่แี ก้ไขเพิม่ เติม

กิจการการเพาะเลี้ยงหอยทะเล ได้ถูกกาหนดให้เป็นกิจกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าควบคุม
โดยกฎกระทรวงกาหนดกจิ การเพาะเลีย้ งสตั ว์นา้ ให้เป็นกิจการเพาะเลีย้ งสตั วน์ ้าควบคุมตามประกาศกรมประมง
เร่ือง ข้อกาหนดให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเลี้ยงหอยทะเลซึ่งเป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าควบคุม
ภายในเขตเพาะเลีย้ งสัตว์น้าตามมาตรา 77 แห่งพระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 ต้องแจง้ การประกอบ
กิจการ พ.ศ. 2562 โดยต้องมีประกาศคณะกรรมการประมงประจาจังหวัด เร่ือง การกาหนดเขตเพาะเลี้ยง
สัตว์น้าสาหรับกิจการการเพาะเล้ียงสัตว์น้าควบคุม ประเภท การเลี้ยงหอยทะเลตามมาตรา 77 กล่าวว่า
เพ่ือประโยชน์ในการเพาะเลี้ยงหอยทะเลซ่ึงเป็นกิจการการเพาะเล้ียงสัตว์น้าควบคุมให้มีคุณภาพ ไม่มี
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรืออันตรายต่อผู้บริโภคหรือต่อกิจการของบุคคลอ่ืน อาศัยอานาจตามความ
ในมาตรา 78 (1) แห่งพระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 อธิบดีกรมประมงออกประกาศให้ผู้ประกอบ
กิจการการเพาะเลี้ยงหอยทะเลภายในเขตเพาะเล้ียงสัตว์น้าที่คณะกรรมการประมงประจาจังหวัดประกาศ
กาหนด โดยอาศัยอานาจตามมาตรา 77 แห่งพระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 ตามประกาศ
กรมประมง เร่ือง ข้อกาหนดให้ผู้ประกอบกิจการการเล้ียงหอยทะเลซ่ึงเป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า
ควบคุมภายในเขตพ้ืนที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้าตามมาตรา 77 แห่งพระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558
ต้องปฏิบัติในเร่ืองที่กาหนดตามประกาศตามมาตรา 78 พร้อมท้ังต้องปฏิบัติตามกฎกระทรวงการขออนุญาต
และการอนุญาตให้ทาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าในท่ีจับสัตว์น้าซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2559
ซึ่งตราข้ึนโดยอาศัยอานาจตามความในมาตรา 6 (1) และมาตรา 7 (1) แห่งพระราชกาหนดการประมง
พ.ศ. 2558 โดยท่ีประกาศกรมประมง เรื่อง ข้อกาหนดให้ผู้ประกอบกิจการการเล้ียงหอยทะเลซึ่งเป็น
กิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าควบคุมภายในเขตพื้นท่ีเพาะเล้ียงสัตว์น้าตามมาตรา 77 แห่งพระราชกาหนด
การประมง พ.ศ. 2558 ต้องปฏิบัติในเร่อื งทกี่ าหนดตามประกาศตามมาตรา 78 พร้อมทั้งต้องปฏิบัติตาม
กฎกระทรวงการขออนุญาต และการอนุญาตให้ทาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าในท่ีจับสัตว์น้าซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ
ของแผ่นดิน พ.ศ. 2559 ซึ่งตราข้ึนโดยอาศัยอานาจตามความในมาตรา 6 (1) และมาตรา 7 (1)
แห่งพระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 กล่าวว่า เพ่ือประโยชน์ในการเพาะเลี้ยงหอยทะเลซ่ึงเป็น
กิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าควบคุม ให้มีคุณภาพไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรืออันตรายต่อผู้บริโภค
หรือต่อกิจการของบุคคลอื่น อาศัยอานาจตามความในมาตรา 78 แห่งพระราชกาหนดการประมง
พ.ศ. 2558 อธิบดีกรมประมงออกประกาศให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเลี้ยงหอยทะเลภายในเขต
เพาะเล้ียงสัตว์น้าท่ีคณะกรรมการประมงประจาจังหวัดประกาศกาหนด โดยอาศัยอานาจตามมาตรา 77
แห่งพระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 ต้องปฏิบัติหรือห้ามมิให้ปฏิบัติไว้ดังต่อไปนี้

155

ข้อ 1 ข้อกาหนดตามมาตรา 78 (5) กาหนดให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเลี้ยงหอยทะเล
ตอ้ งจัดการนา้ ท้งิ หรอื ของเสยี จากการเพาะเลีย้ งหอยทะเลตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการดงั ต่อไปนี้

(1) ต้องมีการจัดการน้าท้ิงให้เป็นไปตามค่ามาตรฐานควบคุมการระบายน้าทิ้งเป็นไปตาม
บัญชีแนบท้ายประกาศนี้

(2) ห้ามมิให้ทิ้งหรือปล่อยให้ดินเลนไหลออกจากพ้ืนท่ีสถานประกอบกิจการลงสู่แหล่งน้า
สาธารณะ พืน้ ทีส่ าธารณะ หรือพ้ืนท่ีของบุคคลอ่ืนโดยไมไ่ ด้รับความยนิ ยอมจากบุคคลนั้น

ข้อ 2 ข้อกาหนดตามมาตรา 78 (7) กาหนดให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเลี้ยงหอยทะเล
ในเขตทจี่ ับสัตว์น้าซ่ึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ต้องมีการป้องกันผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมหรืออันตราย
ต่อผู้บริโภคหรือกจิ การของบุคคลอน่ื ตามหลักเกณฑแ์ ละวธิ กี ารดังต่อไปนี้

(1) ห้ามใช้ยางรถ เสาคอนกรีต กระสอบปุ๋ย หรืออุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดอันตรายหรือ
สง่ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของแหล่งน้ามาใช้ในกจิ การการเพาะเลยี้ งหอยทะเล

(2) ห้ามท้ิงขยะมูลฝอย หรือส่ิงปฏิกูลใด ๆ ลงในท่ีจับสัตว์น้า กรณีท่ีมีที่พักอาศัยชั่วคราว
ต้องจัดใหม้ ถี งั บาบดั น้าเสีย

(3) ต้องเว้นระยะห่างระหว่างแปลงไม่น้อยกว่า 5 เมตร อย่างน้อย 2 ด้าน ด้านละ
ไมน่ อ้ ยกว่า 6 เมตร โดยใหเ้ รอื ผา่ นเข้าออก รวมทัง้ กระแสนา้ ถา่ ยเทได้สะดวกหรือเปิดช่องเขา้ ออกแปลง

ข้อ 3 ประกาศนใ้ี หม้ ีผลใช้บงั คบั เมื่อพ้นกาหนดเก้าสบิ วันนบั แต่วนั ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นตน้ ไป

นอกจากน้ี เกษตรกรผู้เพาะเล้ียงหอยทะเลยังต้องดาเนินการตามมาตรา 91 กาหนดให้
อธิบดมี อี านาจกาหนดให้ผู้ประกอบกิจการการเพาะเล้ียงสัตว์น้าควบคุมตามมาตรา 76 ต้องจัดทาหนังสือ
กากับการซ้อื ขายสตั ว์นา้ ให้แก่ผซู้ อื้ ตามแบบและรายการที่อธบิ ดีประกาศกาหนด เม่ือผู้ซ้อื สตั ว์นา้ ตามวรรคหน่ึง
ขายหรอื ส่งมอบสตั ว์นา้ นน้ั ใหบ้ ุคคลอ่ืน ให้กรอกขอ้ มูลในแบบรายการตามวรรคหนึ่ง ระบุผู้ซื้อ หรือผู้รับมอบ
สัตว์น้าน้ันทุกทอดไป เพ่ือประโยชน์ในการสืบค้นแหล่งที่มาของสัตว์น้าและผลิตภัณฑ์สัตว์น้าที่ได้จากการ
เพาะเล้ียงสตั ว์นา้ อธิบดมี ีอานาจกาหนดใหผ้ ู้ประกอบกจิ การการเพาะเล้ียงสัตว์นา้ ควบคุมตามมาตรา 76 ตอ้ ง
จัดทาหนังสือกากับการซ้ือขายสัตว์น้าให้แก่ผู้ซื้อ ตามแบบและรายการท่ีอธิบดีประกาศกาหนด เม่ือผู้ซื้อ
สัตว์น้าตามวรรคหน่ึงขายหรือส่งมอบสัตว์น้าน้ันให้บุคคลอื่น ให้กรอกข้อมูลในแบบรายการตามวรรคหนึ่ง
ระบุผ้ซู อื้ หรือผรู้ บั มอบสตั ว์นา้ นั้นทกุ ทอดไป

156

ภำพท่ี 4 - 18 พืนที่แปลงเลยี งหอยแมลงภู่แบบปักหลกั ไม้
ภำพที่ 4 - 19 พนื ที่แปลงเลียงหอยแครง

157

ภำพท่ี 4 - 19 พนื ที่แปลงเลียงหอยแครง (ต่อ)

ภำพท่ี 4 - 20 พนื ที่แปลงเลยี งหอยนำงรม

158

ภำพท่ี 4 - 21 กำรตรวจสอบ บนั ทกึ ท่มี ำของหอยท่นี ำขึนจำกเรอื มำสง่ ท่สี ะพำนปลำ

159

160

1) สถำนกำรณก์ ำรเพำะเลยี งสัตวน์ ำจดื

1.1) กงุ้ ก้ำมกรำม
จากสถิตกิ รมประมงปี 2560 พบว่ากุ้งก้ามกรามเป็นสตั วน์ ้าจืดที่มีผลผลิต เป็นอันดับที่สี่

รองจากปลานิล ปลาดุก และปลาตะเพียนขาว มีผลผลิต 21,415 ตัน มูลค่า 4,937,689,000 บาท
มีผู้เลี้ยงจานวน 5,726 ฟาร์ม จานวน 66,266 ไร่

1.2) ปลำนลิ
จากสถติ กิ รมประมงปี 2560 พบว่าปลานิลเป็นสัตว์น้าจืดที่มีผลผลิต และผู้เลี้ยงจานวน

มากท่ีสดุ มผี ลผลิต 217,928 ตัน มูลค่า 9,975,402,000 บาท แบง่ เปน็
การเลย้ี งในบอ่ 383,276 ตนั
การเลย้ี งในนา 3,048 ตนั
การเลยี้ งในรอ่ งสวน 4,430 ตนั
การเล้ยี งในกระชงั 22,509 ตัน

มผี ู้เลยี้ งจานวน 302,382 ฟารม์ จานวน 783,330 ไร่ แบ่งเปน็
การเลี้ยงในบอ่ จานวน 495,540 ฟาร์ม เน้อื ที่ 761,476 ไร่
การเลย้ี งในนา 1,874 ฟารม์ เนอ้ื ที่ 11,453 ไร่
การเล้ียงในร่องสวน จานวน 2,954 ฟารม์ เนอ้ื ที่ 5,414 ไร่
การเลีย้ งในกระชัง จานวน 4,383 ฟาร์ม เนอ้ื ที่ 511 ไร่

1.3) ปลำดุก
จากสถิติกรมประมงปี 2560 พบว่าปลาดุกเป็นสัตว์น้าจืดท่ีมีผลผลิตเป็นอันดับสองรอง

จากปลานิล มีผลผลิต 105,144 ตัน มลู คา่ 4,617,648,000 บาท แบ่งเป็น
การเลีย้ งในบอ่ 103,445 ตนั
การเลย้ี งในนา 262 ตนั
การเลี้ยงในรอ่ งสวน 955 ตนั
การเลย้ี งในกระชงั 482 ตัน

มผี ู้เลี้ยงจานวน 93,652 ฟาร์ม จานวน 95,326 ไร่ แบง่ เป็น
การเลี้ยงในบอ่ จานวน 91,816 ฟารม์ เนือ้ ที่ 93,538 ไร่
การเลี้ยงในนา 255 ฟารม์ เนือ้ ที่ 628 ไร่
การเลย้ี งในร่องสวน จานวน 1,285 ฟารม์ เนือ้ ท่ี 1,149 ไร่
การเล้ียงในกระชงั จานวน 296 ฟารม์ เน้ือที่ 11 ไร่

161

1.4) ปลำกล่มุ Cyprinidae (ปลำตะเพยี นขำว, ปลำนวลจนั ทร์เทศ, ปลำยส่ี ก)

1.4.1) ปลำตะเพียนขำว
จากสถิติกรมประมงปี 2560 พบว่าปลาตะเพียนขาวเป็นสัตว์น้าจืดที่มีผลผลิตเป็น

อนั ดับ 3 รองจากปลานลิ และปลาดกุ
มีผลผลติ 23,647 ตัน มูลคา่ 1,028,300,000 บาท แบ่งเป็น
การเลี้ยงในบ่อ 22,029 ตนั
การเลย้ี งในนา 583 ตัน
การเลย้ี งในรอ่ งสวน 781 ตัน
การเลี้ยงในกระชัง 254 ตนั

มผี เู้ ลีย้ งจานวน 73,048 ฟารม์ จานวน 76,055 ไร่ แบง่ เป็น
การเล้ยี งในบอ่ จานวน 71,325 ฟารม์ เน้อื ที่ 70,691 ไร่
การเลี้ยงในนา 637 ฟาร์ม เนอ้ื ที่ 2,993 ไร่
การเลี้ยงในรอ่ งสวน จานวน 1,055 ฟาร์ม เน้ือท่ี 2,360 ไร่
การเลี้ยงในกระชงั จานวน 31 ฟารม์ เน้ือท่ี 11 ไร่

1.4.2) ปลำยส่ี กเทศ
จากสถิติกรมประมงปี 2560 พบว่าปลายี่สกเทศมีผลผลิต 1,417 ตัน มูลค่า

46,985,000 บาท มผี เู้ ลย้ี งจานวน 2,095 ฟารม์ จานวน 3,145 ไร่ ส่วนใหญเ่ ป็นการเลีย้ งในบอ่

1.4.3) ปลำนวลจันทร์เทศ
จากสถิตกิ รมประมง ปี 2560 พบวา่ ปลานวลจันทร์เทศ มีผลผลิต 329 ตัน มูลค่า

15,008,000 บาท มีผเู้ ล้ยี งจานวน 1,292 ฟาร์ม จานวน 1,399 ไร่ ส่วนใหญเ่ ปน็ การเลี้ยงในบอ่

2) กำรเพำะเลียงสัตว์นำจืดภำยใต้บริบทของพระรำชกำหนดกำรประมง พ.ศ. 2558
และท่ีแกไ้ ขเพ่ิมเติม

2.1) พระรำชกำหนดกำรประมง พ.ศ. 2558 และท่แี กไ้ ขเพิ่มเติม พ.ศ. 2560

จากอนบุ ัญญตั ิ ตามพระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติมท่ีได้กล่าว
มาข้างต้น สาหรับเกษตรกรท่ีเลี้ยงสัตว์น้าจืด อาทิ ปลานิล ปลาดุก ปลาตะเพียนขาว ปลายี่สกเทศ
ปลานวลจันทร์เทศ และกุ้งก้ามกราม หากเลี้ยงในบ่อดิน นา ร่องสวน จะเห็นได้ว่าไม่ต้องดาเนินการ
ตามมาตราใดเลย เว้นแต่จะเป็นการเลี้ยงในกระชัง ซ่ึงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าในกระชังถูกประกาศ
กาหนดให้เป็นกิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าควบคุม ตามความในมาตรา 76 และกฎกระทรวงกาหนด
กิจการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าให้เป็นกิจการการเพาะเล้ียงสัตว์น้าควบคุม พ.ศ. 2559 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม
2559 ซ่งึ จะตอ้ งดาเนนิ การ ดังน้ี

162

1) ต้องประกอบกิจการในเขตเพาะเล้ียงสัตว์น้าตามมาตรา 77 ซ่ึงประกาศกาหนดโดย
คณะกรรมการประมงประจาจังหวัดตามอานาจหน้าทที่ รี่ ะบไุ วใ้ นมาตรา 28 (3)

2) ตอ้ งปฏบิ ัตติ ามหลกั เกณฑ์และวธิ ปี ฏบิ ตั ทิ ี่อธิบดีประกาศกาหนดตามความในมาตรา 78
3) ในกรณีที่การเพาะเลี้ยงสัตว์น้าในกระชังดาเนินการเล้ียงในท่ีจับสัตว์น้าซึ่งเป็น
สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ต้องขออนุญาตตามความในมาตรา 79 แห่งพระราชกาหนดการประมง
พ.ศ. 2558 อีกทั้งยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายของหน่วยงานอื่นท่ีกากับดูแลที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ในพนื้ ทตี่ า่ ง ๆ เช่น พระราชบญั ญตั กิ ารเดินเรอื ในน่านนา้ ไทย ในประเดน็ ของส่ิงล่วงล้าลานา้ เปน็ ต้น
โดยได้มีการออกกฎกระทรวงฯ และประกาศฯ ที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเล้ียงสัตว์น้าในที่จับ
สัตวน์ า้ ซงึ่ เปน็ สาธารณสมบัตขิ องแผน่ ดิน ตามความในมาตรา 79 ไว้ดังน้ี

1) กฎกระทรวงการขออนุญาต และการอนญุ าตใหท้ าการเพาะเลย้ี งสตั ว์น้าในที่จับสตั ว์นา้
ซง่ึ เปน็ สาธารณสมบัติของแผ่นดนิ พ.ศ. 2559 ลงวนั ที่ 3 พฤษภาคม 2560

2) ประกาศกรมประมง เร่อื ง แบบคาขอรับใบอนญุ าต ใบรบั คาขอ ใบอนญุ าต คาขอโอน
ใบอนุญาต และคาขอรับใบแทน ใบอนุญาตให้ทาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าในท่ีจับสัตว์น้าซึ่งเป็นสาธารณสมบัติ
ของแผน่ ดนิ พ.ศ. 2560 ลงวนั ที่ 15 สิงหาคม 2560

สาหรับ “พนกั งานเจ้าหนา้ ท”ี่ ให้มอี านาจอนุญาตตามมาตรา 79 ไดแ้ ก่ นายอาเภอ
ตามคาสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณท์ ี่ 907/2559 เรื่อง แต่งต้ังพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกาหนด
การประมง พ.ศ. 2558 ข้อ 3 (2) นายอาเภอให้มีอานาจหน้าที่ปฏิบัติการตามมาตรา 79 ภายใน
เขตทอ้ งทร่ี ับผดิ ชอบ

2.2) ระเบียบกรมประมงที่สำคญั ที่เกย่ี วข้องกับกำรเพำะเลียงสตั วน์ ำจืด
2.2.1 ระเบียบกรมประมง ว่าด้วยการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้าและ

ผปู้ ระกอบการดา้ นการประมง พ.ศ. 2556 ลงวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556
โดยมีรายละเอียดในหลักเกณฑ์ วิธีการ ขั้นตอนการขึ้นทะเบียน อายุทะเบียน การสิ้น

สภาพทะเบียน และการต่ออายุทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้า ซึ่งจะทาให้ภาครัฐมีข้อมูลพื้นฐาน
ของเกษตรกรผู้เพาะเล้ยี งสัตวน์ ้า เพอื่ ใช้ในการดาเนนิ การโครงการต่าง ๆ ท่เี ป็นประโยชนต์ อ่ เกษตรกร

2.2.2 ระเบียบกรมประมง ว่าด้วยการออกใบรับรองการปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้า
ทด่ี สี าหรับการผลติ สตั วน์ า้ (จี เอ พี) (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2561 ลงวนั ที่ 8 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2561

โดยมีรายละเอียดปรับปรุงเพ่ิมเติม ระเบียบกรมประมงว่าด้วยการออกใบรับรอง
การปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าที่ดีสาหรับการผลิตสัตว์น้า (จี เอ พี) พ.ศ. 2553 ลงวันที่ 29 มกราคม
พ.ศ. 2553 ในหัวข้อที่สาคัญ ได้แก่ นิยามผู้ตรวจประเมิน ยาสัตว์/สารเคมี/ยาสัตว์ และสารเคมีตกค้าง
สถานที่ย่ืนขอใบรับรองหลักฐานประกอบการยื่นขอ ระยะเวลาการแจ้งผลการประเมิน การตัดสินตามเกณฑ์
ค่ามาตรฐานของยาและสารเคมีตกค้าง การดาเนินการแก้ไขของฟาร์มในกรณีที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
การพักใช้ใบรบั รอง

163

2.2.3 ระเบยี บกรมประมง ว่าด้วยการออกใบรบั รองการปฏิบัติทางการเพาะเล้ียงสัตว์น้าท่ีดี
สาหรับการผลติ สตั วน์ ้า (จี เอ พี) (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2556 ลงวนั ที่ 2 ธนั วาคม พ.ศ. 2556

โดยมีรายละเอียดปรับปรุงเพ่ิมเติม ระเบียบกรมประมง ว่าด้วยการออกใบรับรอง
การปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าท่ีดีสาหรับการผลิตสัตว์น้า (จี เอ พี) พ.ศ. 2553 ลงวันท่ี 29 มกราคม
พ.ศ. 2553 ในหัวข้อที่สาคัญ ได้แก่ สถานท่ีย่ืนขอใบรับรองฯ อายุใบรับรองฯ การตรวจติดตามฟาร์ม
หลังจากการไดร้ บั การรบั รอง ใบรบั รองฯ

2.2.4 ระเบียบกรมประมง ว่าด้วยการออกใบรับรองการปฏิบัติทางการเพาะเล้ียงสัตว์น้าที่ดี
สาหรบั การผลิตสตั ว์น้า (จี เอ พี) พ.ศ. 2553 ลงวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

โดยมีรายละเอียดให้ยกเลิก ระเบียบกรมประมง ว่าด้วยการออกใบรับรองการปฏิบัติ
ทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้าที่ดีสาหรับการผลิตสัตว์น้า (จี เอ พี) พ.ศ. 2548 และ (ฉบับท่ี 4) พ.ศ. 2551
โดยมีแนวทางปฏิบัตใิ นรายละเอียด 7 ข้อ ไดแ้ ก่ สถานท่ี การจดั การทั่วไป ปัจจัยการผลิต การจัดการ
ดแู ลสขุ ภาพสัตว์น้า สุขลกั ษณะฟาร์ม การเกบ็ เกยี่ วและการขนส่ง และการเก็บข้อมลู

2.2.5 ระเบียบกรมประมง ว่าด้วยการข้ึนทะเบียนสถานประกอบการส่งออกสัตว์น้า
พ.ศ. 2557 ลงวันที่ 30 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2557

โดยมีรายละเอียดให้ สถานท่ีเพาะพันธ์ุสัตว์น้า อนุบาลสัตว์น้า สถานที่พักบรรจุ
เพอื่ การจาหนา่ ยพนั ธุส์ ัตวน์ ้าเพอ่ื การส่งออก ใหป้ ฏบิ ัติให้ไดร้ ับหนงั สอื สาคัญการขึ้นทะเบยี นสถานประกอบการ
เพาะเล้ยี งสตั วน์ า้ เพ่ือการสง่ ออก ตามแบบ สอ. 3 หรือสถานประกอบการรวบรวมสัตว์น้าเพื่อการส่งออก
ตามแบบ สอ. 4 ประกอบด้วย การยื่นคาขอขึ้นทะเบียนสถานประกอบการ การตรวจประเมินสถาน
ประกอบการ การออกหนงั สอื สาคญั การควบคุมและการตรวจติดตาม

เมื่อพจิ ารณากฎหมาย ระเบยี บ และการกาหนดมาตรฐานสินคา้ เกษตรที่สาคัญและเกีย่ วข้อง
กับการเพาะเล้ียงสัตว์น้าจืด พบว่าส่วนราชการท่ีเก่ียวข้องได้กาหนดมาตรการต่าง ๆ ให้ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้า
ปฏิบัติเพื่อให้การผลิตอาหารมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ มีการเฝ้าระวัง
ปอ้ งกนั และควบคุมโรคใหเ้ ปน็ ไปตามข้อกาหนดขององค์กรระหว่างประเทศและประเทศผู้นาเข้า ตลอดจน
มีข้อมูลพื้นฐานของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้า เพื่อใช้ในการดาเนินการโครงการต่าง ๆ ตามนโยบาย
ของรัฐ อันจะเป็นประโยชนต์ ่อผบู้ ริโภค ส่งิ แวดลอ้ ม และเกษตรกรผู้เพาะเล้ียงสัตว์น้าเอง ตลอดจนเป็นการ
สร้างความเช่ือม่ันต่อประเทศผู้นาเข้า และส่งผลให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้าของไทยมีความย่ังยืนในท่ีสุด
แต่อย่างไรก็ตาม การสร้างการรับรู้ ความเข้าใจให้เกษตรกรเข้าใจในมาตรการต่าง ๆ ซึ่งมีท้ังท่ีเป็นกฎหมาย
บังคับ และภาคสมัครใจ และมีการส่วนร่วมในข้ันตอนต่าง ๆ ของเกษตรกร จะเป็นแนวทางสาคัญท่ีจะ
ผลักดันให้มาตรการสาเรจ็ ตามวัตถุประสงค์

164

165

ชื่อ นายคณศิ ร์ นาคสังข์
วฒุ ิ วิทยาศาสตรบัณฑิต (ประมง) เพาะเล้ียงสตั ว์น้า

MSc. Rural Extension Studies
PhD. Rural Studies
ตำแหน่ง ผ้อู ้านวยการกองควบคมุ ตรวจสอบเรือประมง สินคา้ สตั วน์ า้

และปัจจยั การผลติ
หนว่ ยท่ีเขยี น บทท่ี 5

ช่อื นางสาวภัทรนษิ ฐ์ เรอื งวุฒวิ ทิ ย์
วุฒิ วทิ ยาศาสตรบณั ฑติ (ประมง) ชีววทิ ยาประมง
ตำแหน่ง นักวิชาการประมงปฏบิ ัติการ

กลมุ่ วเิ คราะหแ์ ละพัฒนาระบบการตรวจสอบเรอื ประมง
สินคา้ สตั วน์ า้ และปัจจยั การผลติ
หน่วยทีเ่ ขยี น บทท่ี 5

166

บทนำ

ในแตล่ ะปีประเทศไทยมกี ารนา้ เข้าสนิ คา้ สตั วน์ ้าจากต่างประเทศเปน็ จา้ นวนมาก ทัง้ ในรูปแบบของสด
แชเ่ ย็น และผลิตภณั ฑแ์ ชแ่ ข็ง น้าเขา้ มาเพอ่ื วตั ถุประสงค์บรโิ ภคภายในประเทศ และเปน็ วัตถุดบิ เพ่อื ใช้ในการ
แปรรูปสง่ ออกไปขายยังตา่ งประเทศ โดยปริมาณการนา้ เข้ารวมต้ังแต่เดือนมกราคม 2558 ถึงเดือนตุลาคม
2563 ทั้งส้ิน 10,833,025.58 ตัน (ตารางท่ี 5 - 1) คิดเป็นมูลค่ารวม 711,789.63 ล้านบาท โดยกลุ่ม
สัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าท่ีน้าเข้าปริมาณสูงท่ีสุด ได้แก่ กลุ่มปลา ร้อยละ 84 (9,346,547.14 ตัน)
ได้แก่ ปลาทูน่าท้องแถบ ปลาทูลัง ปลาทูน่าครีบเหลือง ปลาซาร์ดีน และปลาซาบะ กลุ่มหมึก ร้อยละ
10.93 (976,697.92 ตนั ) ได้แก่ หมึกกล้วย หมึกกล้วยยักษ์ หมึกกระดอง หมึกสาย และหมึกหอม และ
กล่มุ กงุ้ รอ้ ยละ 1.68 (188,300.44 ตนั ) ได้แก่ เคย กุ้งแดง ก้งุ ขาว กุ้งทราย และกุ้งตะกาด เป็นต้น
(ภาพที่ 5 - 1)

ตำรำงท่ี 5 - 1 ขอ้ มูลปริมำณกำรกำรนำเข้ำ จำแนกตำมกลมุ่ สัตว์นำ้ ตัง้ แตเ่ ดอื นมกรำคม 2558 ถึงเดอื น
ตลุ ำคม 2563 (ไม่รวมพอ่ แมพ่ ันธุ์ ลกู พันธส์ุ ตั ว์นำ้ และสตั ว์น้ำเล้ยี งสวยงำม)

(ปริมาณ : ตนั )

กลุม่ สัตวน์ ้ำ 2558 2559 2560 2561 2562 2563 รวม

ปลา 1,450,325.52 1,412,669.74 1,743,737.69 1,750,211.01 1,799,827.23 1,189,775.95 9,346,547.14

หมกึ 185,511.32 147,710.81 149,678.76 160,237.18 178,775.35 154,784.51 976,697.92

กุ้ง 23,258.90 25,728.45 43,488.51 35,196.88 36,791.29 23,836.41 188,300.44

หอย 20,611.00 16,656.87 23,862.32 36,547.79 40,242.54 26,011.39 163,931.91

ปู 9,007.54 15,285.00 18,319.93 24,969.59 27,014.27 16,013.82 110,610.14

สัตวน์ า้ อนื่ ๆ 7,307.57 7,881.57 8,513.35 9,351.31 7,910.61 5,973.61 46,938.02

ผลรวม 1,696,021.84 1,625,932.44 1,987,600.57 2,016,513.76 2,090,561.29 1,416,395.68 10,833,025.58
ทั้งหมด

167

กุ้ง หอย ปู
1.68% 1.84% 1.13%

หมึก สตั ว์น้ำอืน่ ๆ
10.93% 0.42%

ปลำ
84.00%

ภำพท่ี 5 - 1 สดั ส่วนปรมิ ำณกำรนำเขำ้ จำแนกชนิดตำมกล่มุ สตั วน์ ำ้

การค้าขายระหว่างประเทศต้องปฏิบัติตามพันธกรณี และข้อตกลงท่ีก้าหนดโดยองค์การการค้าโลก
(WTO) เพอ่ื ใหป้ ระเทศท่เี ปน็ สมาชิกไดร้ บั ความปลอดภัยจากการบรโิ ภคสนิ คา้ ท่นี า้ เข้าจากต่างประเทศ รวมถึง
การป้องกันการแพร่ระบาดของแมลงหรือเช้ือโรคจากสัตว์และพืชท่ีน้าเข้า องค์การการค้าโลกได้ก้าหนด
ขอ้ ตกลงวา่ ดว้ ยมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช หรือ SPS (Agreement on the Application of
Sanitary and Phytosanitary Measures) ในสว่ นของประเทศไทยได้น้ามาตรฐานและแนวทางในการควบคุม
ตรวจสอบการนา้ เข้าสง่ ออกสนิ คา้ สัตวน์ า้ ตามมาตรการ SPS ขององค์การ CODEX และ OIE โดยใช้เคร่ืองมือ
ทางกฎหมายเป็นกลไกในการก้ากับควบคุมตรวจสอบ ได้แก่ พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 และ
พระราชบญั ญตั ิโรคระบาดสตั ว์ พ.ศ. 2558 และปัจจบุ ันประเทศไทยให้ความส้าคัญกับการป้องกันและแก้ไข
การท้าประมงผิดกฎหมาย หรือ IUU Fishing โดยมีพระราชก้าหนดการประมง พ.ศ. 2558 และฉบับ
แก้ไขเพ่ิมเติม เป็นกลไกส้าคัญในการด้าเนินการ ส้าหรับการจัดการน้าเข้า - ส่งออกสัตว์น้า กรมประมง
มีการควบคุมตรวจสอบตลอดสายการผลิต โดยมีขั้นตอนและกระบวนการในการควบคมุ ตรวจสอบ ดังน้ี

116688

169

ในการควบคุมตรวจสอบการนา้ เขา้ สัตว์น้าหรอื ผลิตภณั ฑส์ ัตวน์ ้า ผู้น้าเขา้ จะต้องขออนุญาตล่วงหน้า
กอ่ นการน้าเขา้ มาในราชอาณาจักรทุกครัง้ ซ่งึ กระบวนการควบคุมการนา้ เข้าสนิ คา้ สตั วน์ า้ สามารถแบ่งออกเป็น
2 กระบวนการ ดังนี้

5.1.1 กระบวนกำรออกใบอนุญำต (ก่อนกำรนำเข้ำ)
5.1.1.1 ผู้ใดประสงค์นา้ เขา้ สัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าต้องย่ืนค้าขออนุญาตพร้อมเอกสาร

ประกอบการน้าเข้าผา่ นระบบ Fisheries Single Window (FSW) ก่อนวันน้าเข้ามาในราชอาณาจักร ดังนี้
1) ค้าขออนุญาตใหน้ ้าเขา้ สัตว์น้าและผลติ ภณั ฑส์ ัตว์น้า (DOF 1) ตามพระราชก้าหนด

การประมง พ.ศ. 2558 และค้าขออนุญาตน้าสัตว์/ซากสัตว์เข้า - ออกผ่านราชอาณาจักรไทย (ร. 1/1)
ตามพระราชบญั ญัตโิ รคระบาดสตั ว์ พ.ศ. 2558

2) สา้ เนาใบก้ากับการซ้อื ขาย (Invoice)
3) ส้าเนาใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (Airway Bill) หรือใบตราส่งสินค้าทางทะเล
(Bill of Lading)
4) ส้าเนาใบรับรองการจับสัตว์น้า (Catch Certificate) หรือเอกสารอ่ืนใดท่ีแสดงได้ว่า
สัตวน์ ้าหรอื ผลติ ภัณฑ์สัตว์น้าไม่ได้มาจากการท้าการประมงท่ีผิดกฎหมาย จากประเทศต้นทาง ที่ออกโดย
หน่วยงานภาครัฐ หรือหน่วยงานท่ีภาครัฐรับรองได้แก่ ส้าเนาการแจ้งน้าสินค้าออกจากประเทศต้นทาง
(Custom Clearance) หรือส้าเนาใบขนสินค้าขาออก (Custom Declaration) หรือใบรับรองให้ส่งออก
สัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้า (Export Permit) หรือหนังสือรับรองถิ่นก้าเนิดของสินค้า (Certificate
of Origin, Form D E A J เปน็ ตน้ ) หรือหนังสอื รับรองสุขภาพสตั วน์ ้า (Health Certificate)
5) ส้าเนาใบอนุญาตน้าหรือสั่งอาหารเข้ามาในราชอาณาจักร (อ. 7) หรือใบอนุญาต
น้าหรือส่ังอาหารเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะคราว (อ. 14) และใบอนุญาตผลิตอาหาร (อ. 2)
กรณีน้าเข้ามาเพ่ือผลิตตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ในพิกัด 0302 0303 และ 0306 ยกเว้น
หมึกและหอยตามประกาศส้านักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง การถ่ายโอนภารกิจให้หน่วยงาน
ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบการนา้ เข้าสนิ คา้ อาหาร ลงวันที่ 29 เมษายน 2559
6) ส้าเนาหนังสือรับรองชนิดพันธ์ุ กรณีปลาฉลามมีชีวิตและซาก และเปลือกหอย
เฉพาะท่ผี ่านกรรมวิธแี ปรสภาพ แปรรูปทอ่ี อกโดยหนว่ ยงานของรัฐประเทศต้นทางหรือหน่วยงานท่ีรัฐมอบหมาย
เวน้ แต่เปน็ การน้าเข้าท่มี าจากการท้าการประมงในทะเลนอกน่านนา้ ทไ่ี มผ่ า่ นการขึ้นท่าของรัฐใด
7) กรณนี า้ เขา้ ปลาทูน่า ต้องแสดงส้าเนา Captain statement, Fisheries Certificate
of Origin และ Dolphin Safe
8) กรณีสัตว์ป่าคุ้มครอง ส้าเนาใบอนุญาตให้น้าเข้าหรือให้ส่งออกซึ่งสัตว์ป่าหรือซาก
ของสัตว์ป่า (สป. 5) หรือออกให้แก่ชนิดสัตว์ป่าและซากของสัตว์ป่าท่ีมิใช่สัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง
และมิใช่สัตว์ป่าบัญชีท้ายอนุสัญญา CITES (สป. 6) (กรณีสัตว์น้าท่ีเป็นสัตว์ป่าตามพระราชบัญญัติสงวน
และคมุ้ ครองสตั ว์ป่า พ.ศ. 2535)

170

9) กรณีสัตว์ป่าบัญชีท้ายอนุสัญญา CITES ส้าเนาใบอนุญาตให้น้าเข้าหรือให้ส่งออก
ซึ่งสัตวป์ า่ หรือซากของสัตว์ป่า (สป. 5) ฉบับจริง และส้าเนา CITES export permit จากประเทศต้นทาง
ทม่ี ี Official endorsement

5.1.1.2 เจ้าหน้าท่ีจะตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของค้าขอและเอกสารประกอบ
การน้าเข้ากอ่ นการออกใบอนุญาต

กรณีตรวจสอบแล้วมีเหตุอันควรสงสัยจะท้าการตรวจสอบยืนยัน (Verify) ข้อมูล
ที่เกี่ยวข้องและเอกสารประกอบการนา้ เข้ากับหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานที่รัฐให้การรับรอง เพื่อให้
เชื่อม่ันได้ว่าสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าน้ันได้มาจากการท้าการประมงโดยชอบด้วยกฎหมาย หากได้รับ
การยนื ยนั ผลการตรวจสอบแล้วขอ้ มูลไม่ถกู ต้องหรือไมส่ อดคล้อง เจ้าหนา้ ทจ่ี ะปฏิเสธค้าขอ

5.1.1.3 เมื่อข้อมูลค้าขอถูกต้องครบถ้วนแล้วจะออกใบอนุญาตให้น้าเข้าสัตว์น้า ผลิตภัณฑ์
สัตว์นา้ หรอื อาหารนา้ เขา้ (DOF 2) ซง่ึ เป็นไปตามมาตรา 92 และมาตรา 65 พระราชก้าหนดการประมง
พ.ศ. 2558 และใบแจง้ อนุมตั นิ ้าสัตว์หรอื ซากสตั ว์เข้าและผา่ นราชอาณาจักร (ร. 6) ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 31
พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 โดยใบอนุญาตและใบแจง้ อนุมัตมิ ีอายุ 60 วนั นับจากวันท่ีมี
ผลบงั คับใช้และสามารถใช้งานได้เพียงครงั้ เดยี ว

5.1.1.4 ผนู้ า้ เข้าจะต้องด้าเนนิ การชา้ ระค่าธรรมเนยี มใบอนุญาต DOF 2 ฉบับละ 200 บาท
ใหเ้ ปน็ ทีเ่ รยี บรอ้ ยก่อน จงึ จะได้รบั ใบอนุญาตและใบแจง้ อนมุ ัติ ผนู้ ้าเข้าจะต้องน้าเลขที่ใบอนุญาต (DOF 2)
และใบแจ้งอนุมัติ (ร. 6) ดังกล่าวเพื่อไปด้าเนินการพิธีการศุลกากรโดยการจัดท้าใบขนสินค้าขาเข้า
ตามพระราชบญั ญตั ิศลุ กากร พ.ศ. 2560

5.1.2 กระบวนกำรตรวจสอบ (ณ วนั นำเข้ำ)
5.1.2.1 กำรแจง้ ตรวจสินค้ำ
1) เมื่อผู้น้าเข้าได้รับใบขนสินค้าขาเข้าเป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว ให้ด้าเนินการย่ืนขอแจ้ง

ตรวจสินค้า เพอ่ื ให้ระบบประมวลผลและประเมินความเสี่ยงในการเปิดตรวจสินค้าและนัดหมายเจ้าหน้าที่
ในการตรวจสอบสินคา้ ณ วันนา้ เขา้

2) ระบบจะประเมินความเสี่ยงในการเปิดตรวจสินค้าอยู่ภายใต้หลักบริหารจัดการ
ความเส่ียง โดยอาศัยกฎหมายที่เก่ียวข้องในการก้าหนดเงื่อนไขและมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันสัตว์น้า
หรอื ผลิตภณั ฑส์ ัตว์น้าที่มาจากการท้าการประมงที่ผิดกฎหมาย มีความเส่ียงของโรคระบาดสัตว์ ไม่มีคุณภาพ
และมาตรฐานซ่ึงอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคภายในประเทศและป้องกันการลักลอบน้าเข้าสัตว์ป่าสงวน
สัตวป์ ่าค้มุ ครอง ซงึ่ กา้ หนดให้ระบบจะประมวลผลความเสี่ยงของสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าเป็น 3 ระดับ
ได้แก่ สูง กลาง และต่้า และสุ่มตรวจสินค้าโดยวิธีสุ่มอย่างเป็นระบบ (Systematic Random Sampling)
โดยสามารถสั่งตรวจสินคา้ ณ สถานประกอบการ หรอื ดา่ นตรวจประมงไดต้ ามความเหมาะสม และสภาพ
ของแต่ละพ้ืนท่ีซ่ึงถือเป็นการลดดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่และสามารถบริหารจัดการการตรวจสอบสินค้า
ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

171

5.1.2.2 กำรตรวจปลอ่ ยสินคำ้
1) เมื่อสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ามาถึงราชอาณาจักร ผู้น้าเข้าต้องแสดงใบแจ้งตรวจ

สินค้า ใบอนุญาต และเอกสารประกอบการอนุญาตฉบับจริงต่อเจ้าหน้าท่ีด่านตรวจประมง เพ่ือให้เจ้าหน้าที่
ตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนและสอดคล้องของใบแจ้งตรวจสินค้า ใบอนุญาตและเอกสารประกอบ
การอนุญาตกับชนดิ และปริมาณของสตั วน์ ้าหรือผลติ ภัณฑส์ ตั ว์น้าน้าเข้าใหเ้ ป็นไปตามท่ีไดร้ ับอนญุ าต

2) สัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้ามีความเส่ียงต้องอายัด/กักกันหรือตรวจพิสูจน์โรค/
สารตกคา้ งทางห้องปฏิบัติการ เจา้ หนา้ ท่จี ะพจิ ารณาด้าเนนิ การแตล่ ะกรณี ดงั นี้

(1) กรณไี ม่เปิดตรวจ จะไม่มกี ารสมุ่ ตวั อย่างสนิ ค้า และดา้ เนนิ การตรวจปล่อยสินค้าได้
(2) กรณีเปิดตรวจ ส้าหรับสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าท่ีมีความเส่ียงสูง เช่น
กงุ้ ทะเล และปลาคาร์พที่มคี วามเสีย่ งดา้ นโรคระบาดสัตว์น้าและสารปนเปื้อนสารตกค้าง เจ้าหน้าท่ีจะเปิดตรวจ
สนิ คา้ ทุกคร้ังท่มี กี ารน้าเขา้ ณ สถานประกอบการ หรือด่านตรวจประมงแล้วแต่กรณี และด้าเนินการอายัด/
กักกันสตั วน์ า้ หรอื ผลติ ภัณฑ์สตั วน์ ้า เพื่อสุ่มตัวอย่างตรวจพิสูจน์ทางห้องปฏิบัติการเพ่ือให้มั่นใจได้ว่าสัตว์น้า
หรอื ผลิตภณั ฑ์สัตวน์ ้านน้ั ไมม่ โี รคระบาดหรอื เปน็ พาหะของโรคระบาด หรือมีคุณภาพมาตรฐานซึ่งปลอดภัย
ตอ่ ประชาชนผู้บรโิ ภค
(3) กรณีเปิดตรวจส้าหรับสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าท่ีมีความเส่ียงกลางและต่้า
เจา้ หน้าทจี่ ะเปดิ ตรวจสนิ คา้ ตามผลการสุม่ เปิดตรวจตามการประมวลผลจากระบบ และสุ่มตัวอย่างแบบสุ่ม
(Random monitoring) ตรวจพิสจู น์ทางหอ้ งปฏิบตั กิ าร
3) หลังจากเจ้าหนา้ ท่ีด่านตรวจประมงพิจารณาผลการตรวจสอบสตั ว์นา้ หรอื ผลิตภัณฑ์
สตั ว์นา้ เปน็ ทีเ่ รียบรอ้ ยและเป็นไปตามที่ได้รับอนุญาตให้น้าเข้าแล้วน้ัน เจ้าหน้าที่จะด้าเนินการอนุมัติตรวจ
ปล่อยสินคา้ และออกใบอนญุ าตน้าสัตวห์ รอื ซากสัตว์เขา้ ในราชอาณาจกั ร (ร. 7) และหนงั สือกา้ กับการจ้าหน่าย
สัตว์น้านา้ เข้า (IMD) หากผลการตรวจสอบไม่ถูกต้อง หรือตรวจพบโรคระบาดสัตว์น้าและพบสารตกค้าง
เจา้ หน้าทจี่ ะพิจารณาส่งคืนสนิ ค้าหรือทา้ ลาย หรอื ดา้ เนนิ การทางกฎหมาย

กฎหมำยที่เกยี่ วขอ้ งกับกำรนำเขำ้

1. กฎกระทรวงและประกาศส้าคญั ตามพระราชกา้ หนดการประมง
1.1 กฎกระทรวงการขออนุญาตให้น้าเข้า ส่งออก น้าผ่าน เพาะเลี้ยง หรือมีไว้ในครอบครอง

ซ่ึงสัตว์น้าบางชนิด พ.ศ. 2559
1.2 กฎกระทรวงก้าหนดสัตว์นา้ ท่หี า้ มมไี ว้ในครอบครอง พ.ศ. 2559
1.3 กฎกระทรวงกา้ หนดค่าอากรและค่าธรรมเนียมเก่ียวกับการประมง พ.ศ. 2559
1.4 ประกาศกรมประมง เรื่อง ก้าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขในการขออนุญาต

และการอนญุ าตน้าเข้าสัตวน์ ้าหรอื ผลิตภณั ฑส์ ัตว์นา้ พ.ศ. 2560
1.5 ประกาศกรมประมง เร่ือง ก้าหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต

172

และการอนุญาตน้าเข้า กรณีการน้าเข้าปลาทูน่าแช่แข็งบรรจุตู้คอนเทนเนอร์ท่ีมีการคัดแยกชนิดและปริมาณ
ไมช่ ัดเจน พ.ศ. 2563

1.6 ประกาศกรมประมง เร่ือง กา้ หนดสถานทอ่ี ื่นในการยน่ื คา้ ขอรบั ใบอนุญาตให้น้าเข้า - ส่งออก
หรือน้าผ่านสตั วน์ ้า พ.ศ. 2563 (มาตรา 65)

1.7 ประกาศกรมประมง เรื่อง ก้าหนดแบบค้าขอรับใบอนุญาต ใบอนุญาต ค้าขอรับใบแทน
ใบอนุญาตและเอกสารหลักฐานท่ีต้องใช้ประกอบการยื่นขออนุญาตให้น้าเข้า ส่งออกหรือน้าผ่านสัตว์น้า
พ.ศ. 2563

2. กฎหมำยอ่นื ๆ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง
2.1 พระราชบัญญตั โิ รคระบาดสตั ว์ พ.ศ. 2558
2.2 พระราชบัญญตั ิอาหาร พ.ศ. 2522
2.3 พระราชบัญญตั ิสงวนและคมุ้ ครองสัตวป์ า่ พ.ศ. 2562
2.4 พระราชบัญญตั ิศลุ กากร พ.ศ. 2560
2.5 กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตให้น้าเข้า ส่งออก น้าผ่าน เพาะเลี้ยง หรือมีไว้

ในครอบครองซง่ึ สัตว์น้าบางชนิด พ.ศ. 2559
2.6 ประกาศกรมประมง เร่ือง การเชื่อมโยงข้อมูลใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์เพ่ือการผ่านพิธีการ

ศลุ กากรแบบไร้เอกสาร พ.ศ. 2559

3. ระเบยี บและประกำศท่เี กย่ี วกับกำรนำเขำ้ กุ้งทะเล
3.1 ระเบยี บกรมประมง ว่าดว้ ยการนา้ เข้ากงุ้ ทะเลเขา้ มาในราชอาณาจักร 2553
3.2 ระเบียบกรมประมง เร่ือง การขึ้นทะเบียนฟาร์มเพาะเล้ียงกุ้งทะเลเพ่ือการน้าเข้า

เพาะพนั ธุ์ 2557
3.3 ประกาศกรมประมง เร่ือง การพิจารณาประกาศหรือรับรองแหล่งการเพาะเล้ียงกุ้งขาว

ทีน่ า้ เขา้
3.4 ประกาศกรมประมง เร่ือง ก้าหนดชนิดของโรคท่ีต้องมีการรับรองการปลอดเช้ือ SPF

เพม่ิ เตมิ
3.5 ประกาศกรมประมง เร่ือง การนา้ เขา้ กุ้งทะเลสวยงามเข้ามาในราชอาณาจักร
3.6 ประกาศกรมประมง เรอ่ื ง การขออนญุ าตนา้ เขา้ ลกู กุ้งทะเลเข้ามาในราชอาณาจักร
3.7 ประกาศกรมประมง เรือ่ ง การขออนญุ าตนา้ เข้าลกู ก้งุ ทะเลเขา้ มาในราชอาณาจกั ร ฉบับที่ 2
3.8 ประกาศกรมประมง เร่ือง งดออกหนังสืออนุญาตให้น้าสัตว์น้าบางชนิดเข้ามา

ในราชอาณาจักร ประเภทกุง้ ทะเล
3.9 ประกาศกรมประมง เรื่อง งดออกหนังสืออนุญาตให้น้าสัตว์น้าบางชนิดเข้ามา

ในราชอาณาจักร ประเภทกงุ้ ทะเล (ฉบับที่ 2)

173

3.10 ประกาศกรมประมง เรื่อง การนา้ สตั วน์ ้าบางชนิดเข้ามาในราชอาณาจักร ประเภทกุ้งทะเล
พ.ศ. 2557

3.11 ประกาศกรมประมง เรื่อง ยกเลิกประกาศกรมประมง เรอ่ื ง การอนุญาตใหน้ า้ เข้ากุง้ ทะเล
จากสาธารณรัฐอินโดนเี ซยี เข้ามาในราชอาณาจกั ร

3.12 ประกาศกรมประมง เรื่อง งดการออกใบอนุญาตและหนังสืออนุญาตให้น้าสัตว์น้า
และผลิตภณั ฑส์ ตั ว์น้า (เพมิ่ เตมิ ) พ.ศ. 2560

3.13 ประกาศกรมปศุสัตว์ เร่ือง ชะลอการน้าเข้าหรือนาผ่านราชอาณาจักรซ่ึงกุ้งทะเล
หรือซากกุ้งทะเลจากสาธารณรฐั เอกวาดอร์ และสาธารณรัฐมาดากัสการ์ พ.ศ. 2564

4. ประกำศทเ่ี ก่ียวกับกำรนำเข้ำปลำคำรพ์
4.1 ประกาศกรมประมง เรื่อง การอนุญาตให้น้าปลาตระกูลคาร์พเข้ามาในราชอาณาจักร

ภายใต้ระบบการกักกันโรค
4.2 ประกาศกรมประมง เรื่อง การพิจารณาประกาศรับรองแหล่งหรือสถานประกอบการ

เพาะเลีย้ งปลาตระกูลคาร์พ เพือ่ การนา้ เข้าภายใต้ระบบการกักกนั โรค
4.3 ประกาศกรมประมง เร่ือง การปรับปรุงเงื่อนไขการอนุญาตให้น้าปลาคาร์พเข้ามาใน

ราชอาณาจกั รภายใตร้ ะบบการกักกนั โรค

ภำพที่ 5 - 2 กระบวนกำรอนญุ ำตและตรวจสอบกำรนำเข้ำสัตวน์ ำ้ และผลติ ภณั ฑ์สตั วน์ ้ำ

174

175

ปริมาณการส่งออกสัตว์น้าและผลิตภัณฑ์สัตว์น้าของไทยไปยังต่างประเทศรวมต้ังแต่เดือนมกราคม
2558 ถึงเดือนตุลาคม 2563 ท้งั หมด 5,439,275.66 ตัน (ตารางที่ 5 - 2) คิดเปน็ มลู ค่ารวม 1,046,366.53
ล้านบาท โดยกลุ่มสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าท่ีส่งออกปริมาณสูงที่สุด ได้แก่ กลุ่มปลาร้อยละ 65.38
(3,556,383.08 ตัน) ได้แก่ ปลาทูน่าท้องแถบ ปลาทรายแดง ปลากะตัก ปลาทูน่าครีบเหลือง และ
ปลาซาร์ดีน กลุ่มกุ้งร้อยละ 25.42 (1,382,465.19 ตัน) ได้แก่ กุ้งขาว กุ้งกุลาด้า กุ้งแดง กุ้งก้ามกราม
และกุ้งตะกาด กลุ่มหมึกร้อยละ 5.83 (317,144.36 ตัน) ได้แก่ หมึกกล้วย หมึกกระดอง หมึกสาย
หมึกหอม และหมกึ ยักษ์ โดยสว่ นใหญจ่ ะอยู่ในรูปของผลติ ภณั ฑบ์ รรจุกระปอ๋ ง แชเ่ ย็น แชแ่ ข็ง และปรุงแต่ง
(ภาพที่ 5 - 3)

ตำรำงที่ 5 - 2 ข้อมลู ปริมำณกำรกำรส่งออก จำแนกตำมกล่มุ สตั ว์นำ้ ตงั้ แตเ่ ดือนมกรำคม 2558 ถึงเดือน

ตุลำคม 2563 (ไม่รวมพ่อแมพ่ ันธ์ุ ลูกพนั ธ์สุ ัตว์น้ำ และสตั วน์ ้ำเลยี้ งสวยงำม)

กล่มุ สัตวน์ ้ำ 2558 2559 2560 2561 2562 2563 (ปริมาณ : ตนั )
ปลา 386,330.02 353,404.73 329,408.84 744,909.98 943,716.28 798,613.23 รวม
กุ้ง 352,692.69 336,767.44 207,376.34 173,266.13 183,908.05 128,454.53
หมึก 72,748.95 68,374.04 53,171.12 39,877.17 45,382.56 37,590.53 3,556,383.08
หอย 12,854.09 12,323.66 14,290.51 31,942.76 22,486.65 21,163.05 1,382,465.19
ปู 4,827.12 6,473.63 6,052.36 4,077.43 4,637.68 3,967.16 317,144.36
1,638.04 2,373.22 5,259.88 7,903.09 13,075.79 7,936.94 115,060.71
สตั วน์ ้าอน่ื ๆ 30,035.37
38,186.95

ผลรวมท้งั หมด 831,090.90 779,716.71 615,559.06 1,001,976.54 1,213,207.01 997,725.44 5,439,275.66

หมึก หอย ปู สตั ว์นำ้ อื่น ๆ
5.83% 2.12% 0.55% 0.70%

กุง้ ปลำ
25.42% 65.38%

ภำพที่ 5 - 3 สดั ส่วนปริมำณกำรส่งออกจำแนกชนิดตำมกลุ่มสตั วน์ ้ำ

176

การควบคุมตรวจสอบการส่งออกสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้า จะต้องขออนุญาตล่วงหน้า
กอ่ นการสง่ ออกนอกราชอาณาจกั รทุกครงั้ ซ่งึ สามารถแบง่ ออกเป็น 2 กระบวนการ ดงั นี้

5.2.1 กระบวนกำรออกใบอนญุ ำต (ก่อนกำรกำรสง่ ออก)
5.2.1.1 ผ้ใู ดประสงคส์ ่งออกสตั วน์ า้ หรอื ผลติ ภณั ฑส์ ัตว์น้าต้องย่ืนค้าขออนุญาตพร้อมเอกสาร

ประกอบการส่งออกผา่ นระบบ Fisheries Single Window (FSW) กอ่ นวนั ออกนอกราชอาณาจกั ร ดงั นี้
1) คา้ ขอแจ้งด้าเนินการส่งออกสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์นา้ (DOF 3) ตาม

พระราชก้าหนดการประมง พ.ศ. 2558 และค้าขออนุญาตน้าสัตว์/ซากสัตว์เข้า - ออกผ่านราชอาณาจักรไทย
(ร. 1/1) ตามพระราชบัญญตั ิโรคระบาดสตั ว์ พ.ศ. 2558

2) สา้ เนาใบกา้ กบั การซ้ือขาย (Invoice)
3) ส้าเนาใบตราส่งสินค้าทางอากาศ (Airway Bill) หรือใบตราส่งสินค้าทางทะเล
(Bill of Lading)
4) สา้ เนาค้าขอใบรับรองสขุ อนามยั หรือสา้ เนาใบรับรองสขุ อนามัยเฉพาะกรณี ดังน้ี

(1) กรณีสง่ ออกสัตว์นา้ หรอื ผลิตภัณฑ์สัตว์น้าที่อยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 03
ตอนท่ี 1604 และตอนท่ี 1605 ยกเว้นสัตว์น้าและผลิตภณั ฑ์สตั ว์นา้ ท่ไี ด้มาจากหอยสองฝา

(2) กรณีสง่ ออกสตั วน์ า้ หรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าท่ีอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 03
และตอนที่ 16 ไปราชอาณาจกั รซาอดุ อี าระเบีย สหพันธรฐั รสั เซีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน

(3) กรณสี ่งออกสัตวน์ ้าหรือผลิตภัณฑส์ ัตวน์ ้าในอนั ดับ Siluriformes เพื่อการบริโภค
ไปสหรัฐอเมริกา

(4) สา้ เนาค้าขอใบรบั รองการแปรรูปสัตว์น้าหรือส้าเนาค้าขอใบรับรองการจับสัตว์น้า
เฉพาะกรณีสง่ ออกสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าที่อยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 03 ตอนที่ 1604 และ
ตอนท่ี 1605 ยกเว้นสัตวน์ า้ และผลิตภัณฑ์สัตวน์ ้าทีไ่ ด้มาจากหอยสองฝา

5) หนังสือรบั รองตนเองของผู้สง่ ออกหรือหนงั สือรับรองตนเองของผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้า
หรือแปรรูปสตั ว์น้าในการแจง้ แหลง่ ที่มาของสัตว์น้าหรือผลิตภณั ฑ์สัตวน์ า้ ในการส่งออก ยกเว้นกรณีส่งออก
สัตวน์ ้าหรือผลิตภณั ฑ์สตั ว์น้าท่ีอยู่ในพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 03 ตอนท่ี 1604 และตอนที่ 1605 ยกเว้น
สตั วน์ ้าและผลติ ภัณฑ์สตั วน์ ้าท่ไี ดม้ าจากหอยสองฝา

5.2.1.2 เจ้าหน้าท่ีจะตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของค้าขอและเอกสารประกอบ
การสง่ ออกกอ่ นการออกใบอนญุ าต

5.2.1.3 เมื่อถูกต้องครบถ้วนแล้วจะออกใบแจ้งด้าเนินการส่งออกสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์
สตั วน์ ้าตามพระราชกา้ หนดการประมง (DOF 4) ซ่ึงเป็นไปตามมาตรา 92 และมาตรา 65 พระราชก้าหนด
การประมง พ.ศ. 2558 และใบอนุญาตน้าสัตว์หรือซากสัตว์ออกนอกราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติ
โรคระบาดสตั ว์ พ.ศ. 2558 (ร. 9) ซ่งึ เปน็ ไปตามมาตรา 31 พระราชบญั ญตั ิโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558
โดยใบอนุญาตและใบแจ้งอนุมัติมีอายุ 15 วัน นับจากวันท่ีมีผลบังคับใช้และสามารถใช้งานได้เพียงครั้งเดียว

177

5.2.1.4 หลังจากได้รับใบอนุญาตและใบแจ้งอนุมัติ ผู้ส่งออกจะต้องน้าเลขท่ีใบอนุญาต
(DOF 4) และใบแจง้ อนุมัตนิ า้ (ร. 9) ดงั กล่าวเพอ่ื ไปดา้ เนินการพิธีการศุลกากรโดยการจัดท้าใบขนสินค้า
ขาออกตามพระราชบัญญตั ศิ ลุ กากร พ.ศ. 2560

5.2.2 กระบวนกำรตรวจสอบ (ณ วนั ส่งออก)
5.2.2.1 กำรแจง้ ตรวจสนิ คำ้
1) เม่ือผ้สู ง่ ออกไดร้ ับใบขนสินค้าขาออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้ด้าเนินการย่ืนขอแจ้ง

ตรวจสนิ ค้าเพอื่ ใหร้ ะบบประมวลผลและประเมินความเส่ียงในการเปิดตรวจสินค้า และนัดหมายเจ้าหน้าท่ี
ในการตรวจสอบสนิ ค้า ณ วนั สง่ ออก

2) ระบบจะประเมินความเส่ียงในการเปิดตรวจสินค้าอยู่ภายใต้หลักบริหารจัดการ
ความเสี่ยง โดยอาศัยกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องในการก้าหนดเงื่อนไขและมาตรการต่าง ๆ เพ่ือป้องกันสัตว์น้า
หรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าที่ไม่ทราบแหล่งที่มา มีความเสี่ยงของโรคระบาดสัตว์น้าไม่มีคุณภาพและมาตรฐาน
มาผลิตส่งออกไปยังประเทศคู่ค้า และป้องกันการลักลอบส่งออกสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง ซ่ึงส่งผล
กระทบต่อภาพลักษณ์และอุตสาหกรรมส่งออกได้ ซ่ึงก้าหนดให้ระบบประมวลผลความเส่ียงของสัตว์น้า
หรอื ผลิตภณั ฑ์สตั ว์น้าเป็น 3 ระดบั ได้แก่ สงู กลาง และต้่า และสุ่มตรวจสินค้าโดยวิธีสุ่มอย่างเป็นระบบ
(Systematic Random Sampling) โดยสามารถส่ังตรวจสินคา้ ณ สถานประกอบการ หรือด่านตรวจ
ประมงได้ตามความเหมาะสมและสภาพของแต่ละพ้ืนท่ี ซึ่งถือเป็นการลดดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่และสามารถ
บรหิ ารจัดการการตรวจสอบสนิ คา้ ได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ

5.2.2.2 กำรตรวจปล่อยสนิ คำ้
1) ผูส้ ง่ ออกตอ้ งแสดงใบแจ้งตรวจสนิ ค้า ใบอนุญาตและเอกสารประกอบการอนุญาต

ฉบับจริงต่อเจ้าหน้าท่ีด่านตรวจประมง เพ่ือให้เจ้าหน้าท่ีตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนและสอดคล้อง
ของใบแจ้งตรวจสินค้า ใบอนุญาตและเอกสารประกอบการอนุญาต กับชนิดและปริมาณของสัตว์น้า
หรือผลติ ภณั ฑ์สัตว์นา้ สง่ ออกก่อนออกนอกราชอาณาจกั ร

2) เจ้าหน้าทจ่ี ะพจิ ารณาผลการประมวลจากระบบและด้าเนินการแต่ละกรณี ดงั นี้
(1) กรณีไม่เปดิ ตรวจ เจ้าหน้าทีจ่ ะด้าเนนิ การตรวจปลอ่ ยสินค้า
(2) กรณีเปิดตรวจ ส้าหรับสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าท่ีมีความเส่ียงสูง เช่น

ปลาสวยงามท่ีมีความเส่ียงด้านโรคระบาดสัตว์น้า และสารปนเปื้อนสารตกค้าง หรือการลักลอบส่งออก
สัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครอง เจ้าหน้าที่จะเปิดตรวจสินค้าทุกคร้ังก่อนการส่งออก ณ สถานประกอบการ
หรือด่านตรวจประมงแลว้ แตก่ รณี

(3) กรณีเปิดตรวจส้าหรับสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าที่มีความเส่ียงกลางและต้่า
เจ้าหน้าท่ีจะเปิดตรวจสินค้าตามผลการสุ่มเปดิ ตรวจตามการประมวลผลจากระบบแบบ Random monitoring

178

3) หลังจากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจประมงพิจารณาผลการตรวจสอบสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์
สัตว์น้าเป็นท่ีเรียบร้อยและเป็นไปตามที่ได้รับอนุญาตให้ส่งออกแล้วนั้น เจ้าหน้าท่ีจะด้าเนินการอนุมัติ
ตรวจปล่อยสินค้า หากผลการตรวจสอบไม่ถูกต้อง หรือไม่สามารถแสดงแหล่งท่ีมาของสัตว์น้าได้
เจ้าหน้าทจ่ี ะไมอ่ นุญาตให้สง่ ออกหรือด้าเนินการทางกฎหมาย

กฎหมำยทเี่ ก่ียวข้องกับกำรสง่ ออก

1. ระเบยี บและประกำศที่เกีย่ วข้องกับกำรสง่ ออกตำมพระรำชกำหนดกำรประมง
1.1 ประกาศกรมประมง เร่ือง การส่งออกสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าเพ่ือการบริโภค

ไปสหภาพยุโรป พ.ศ. 2560
1.2 ประกาศกรมประมง เรื่อง การส่งออกสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าเพื่อการบริโภค

ไปนอกราชอาณาจกั รยกเว้นสง่ ออกไปสหภาพยโุ รป พ.ศ. 2560
1.3 ประกาศกรมประมง เร่ือง หลักเกณฑ์และข้อปฏิบัติในการส่งออก หรือน้าผ่านสัตว์น้า

หรือผลิตภัณฑ์สัตวน์ ้า พ.ศ. 2561
1.4 ประกาศกรมประมง เรื่อง งดการใช้ประกาศกรมประมง เรื่อง หลักเกณฑ์และข้อ

ปฏิบัติในการส่งออกหรือ นา้ ผา่ นสัตว์น้า หรอื ผลติ ภณั ฑส์ ตั ว์นา้ พ.ศ. 2561 เพิ่มเติม
1.5 ประกาศกรมประมง เรื่อง การส่งออกสัตว์น้าหรือผลิตภัณฑ์สัตว์น้าเพ่ือการบริโภค

ไปนอกราชอาณาจกั รยกเว้นสง่ ออกไปสหภาพยโุ รป (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2563
1.6 ประกาศกรมประมง เรือ่ ง การจัดท้าหลกั ฐานเพ่อื สืบค้นส้าหรับผู้ผลิตภัณฑ์สัตว์น้าหรือ

แปรรูปสตั ว์น้าท่นี ้าสตั วน์ ้าเขา้ มาเปน็ วัตถุดิบส่งออกไปสหภาพยโุ รป พ.ศ. 2560
1.7 ระเบียบกรมประมง ว่าด้วยการออกใบรับรองสุขภาพซากสัตว์น้าเพ่ือการส่งออก

นอกราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2550

2. กฎหมำยอ่นื ๆ ที่เก่ียวขอ้ ง
2.1 พระราชบัญญัตโิ รคระบาดสตั ว์ พ.ศ. 2558
2.2 พระราชบญั ญัตสิ งวนและคุม้ ครองสตั วป์ ่า พ.ศ. 2562
2.3 พระราชบัญญัตศิ ุลกากร พ.ศ. 2560

179

ภำพที่ 5 - 4 กระบวนกำรอนญุ ำตและตรวจสอบกำรสง่ ออกสตั ว์นำ้ และผลิตภณั ฑส์ ตั วน์ ำ้

180

เอกสำรอ้ำงองิ

กรมประมง. 2553. รวมกฎหมายล้าดบั รองทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับการนา้ เขา้ สง่ ออกสตั ว์น้า. 200 หน้า.
กรมประมง. 2561. คู่มอื การปฏิบตั ิงานการตรวจสอบสัตว์น้าหรอื ผลติ ภัณฑ์สตั ว์นา้ นา้ เข้า. 224 หน้า.
กรมประมง. 2563. คมู่ ือการขอแจง้ ตรวจสนิ ค้าส้าหรบั ผปู้ ระกอบการ. 16 หนา้ .

181

182

ชอื่ นางสาวสวุ ิมล กรี ติวริ ิยาภรณ์
วฒุ ิ วทิ ยาศาตรมหาบณั ฑิต การจัดการความปลอดภยั อาหาร

สถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ เจ้าคณุ ทหารลาดกระบงั
ตำแหน่ง ผู้อานวยการกองวิจยั และพฒั นาเทคโนโลยี

อตุ สาหกรรมสัตว์นา
หน่วยทีเ่ ขยี น บทท่ี 6

183

กำรแปรรูปสินค้ำสตั วน์ ำของไทย

สินคา้ สัตว์นาเปน็ สนิ ค้าเกษตรท่ีมคี วามสาคญั ตอ่ เศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างสูง ประเทศไทย
มีการแปรรปู สตั วน์ าเป็นผลิตภัณฑต์ า่ ง ๆ หลากหลายชนดิ เพ่อื เพิม่ มลู ค่า ยืดอายกุ ารเก็บรักษา พัฒนารูปแบบ
ผลิตภัณฑใ์ ห้สอดคลอ้ งต่อความต้องการของผู้บริโภค และขยายช่องทางตลาดให้กว้างขวางย่ิงขึน การแปรรูป
สัตว์นามีทังเพื่อการบริโภคภายในประเทศและส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยสินค้าที่ส่งออกไปจาหน่าย
ยังต่างประเทศส่วนใหญ่อยู่ในรูปสินค้าแช่เยือกแข็งและอาหารบรรจุกระป๋อง เน่ืองจากระยะเวลาในการ
ขนส่งซ่ึงใช้ทางเรือเป็นส่วนใหญ่ต้องใช้เวลานาน สถานประกอบการแปรรูปท่ีเกี่ยวข้องมีทังขนาดกลางถึง
ขนาดใหญ่ และต้องปฏิบัติตามข้อกาหนดสุขลักษณะรวมทังข้อกาหนดท่ีเก่ียวข้องอ่ืน ๆ ของประเทศผู้นาเข้า
สาหรับสินค้าสัตว์นาแปรรูปเพ่ือการบริโภคภายในประเทศ ส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์จาพวกสด แช่เย็น
ตากแห้ง และหมักดอง แต่ด้วยสภาวะการดารงชีพท่ีเปล่ียนไปในปัจจุบัน สินค้าจาพวกแช่เยือกแข็งและ
บรรจุกระป๋องจึงเป็นที่นิยมของผู้บริโภคมากขึน สถานประกอบการแปรรูปมีทังที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรม
ขนาดย่อม ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ รวมทังกลุ่มแปรรูปต่าง ๆ ท่ีได้รับการส่งเสริมอาชีพจากหน่วยงาน
ราชการ เช่น กลุ่มวสิ าหกจิ ชุมชน กลุม่ แม่บ้าน กล่มุ โอท็อป เปน็ ตน้

ในการบริหารจัดการแปรรูปสินค้าสัตว์นาของไทย พระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558
และที่แก้ไขเพ่ิมเติม พ.ศ. 2560 ได้ครอบคลุมการจัดการส่วนแปรรูปไว้ 2 ประเด็น ได้แก่ การตรวจสอบ
ย้อนกลับหรือการสืบค้น เพื่อให้ความมั่นใจว่าสัตว์นาที่นามาแปรรูปไม่ได้มาจากการทาประมงที่ผิดกฎหมาย
และอีกประเด็นคือสุขลักษณะในการผลิต ซ่ึงเกี่ยวข้องกับมาตรฐานความปลอดภัยอาหารตามหลักสากล
เพื่อให้ความมั่นใจว่าสินค้าที่แปรรูปและจาหน่ายได้มาตรฐานความปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
ดังนัน พระราชกาหนดการประมงจึงกาหนดให้โรงงานต้องมาจดแจ้งการประกอบกิจการกับกรมประมง
ในลาดับแรก เพื่อกากับดูแลสองประเด็นดังกล่าว ดังจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป โดยผู้ประกอบการ
ทเี่ กี่ยวขอ้ งตอ้ งดาเนนิ การตามพระราชกาหนดการประมงนี ได้แก่ ผปู้ ระกอบการโรงงานที่มีกิจการแปรรูป
สัตวน์ าตามคานิยามในพระราชกาหนดการประมงดังนี

โรงงำน หมายถึง อาคาร สถานท่ี หรือยานพาหนะที่ใช้เคร่ืองจักรมีกาลังรวมตังแต่ห้าแรงม้า
หรือกาลังเทยี บเท่าตงั แต่ห้าแรงม้าขึนไป หรอื ใช้คนงานตงั แต่เจด็ คนขนึ ไปโดยใชเ้ ครอื่ งจกั รหรอื ไม่ก็ตาม สาหรับ
บรรจุ แปรรปู เกบ็ รกั ษาสตั วน์ า หรือนาสัตวน์ าทแ่ี ปรรูปแลว้ หรอื ทย่ี ังมไิ ด้แปรรูปมาบรรจุหีบห่อ แต่ไม่รวมถึง
เรอื ประมง เรือบรรทุกสินคา้ และกิจการแพปลาตามกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบยี บกิจการแพปลา

กำรแปรรูปสัตว์นำ หมายถึง การกระทาใด ๆ ท่ีเป็นการเปลี่ยนสภาพสัตว์นา สาหรับใช้เพ่ือ
การอุปโภคหรือบริโภค แตไ่ มร่ วมถึงการบรรจหุ ีบหอ่ สัตวน์ าโดยไมม่ กี ารเปล่ียนสภาพของสัตว์นา หรือการ
เปล่ียนสภาพสตั วน์ าเพือ่ บริการใหแ้ ก่ผูบ้ ริโภคโดยตรง

184

1. กำรจดแจง้
พระราชกาหนดการประมงฯ มาตรา 10/1 ได้กาหนดให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องแจ้ง

ให้พนักงานเจ้าหน้าทีท่ ราบ กอ่ นดาเนินการประกอบกิจการโรงงานตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศ
กาหนด เว้นแตไ่ ดแ้ จ้งหรอื รับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานแล้ว ซ่ึงต่อมา
กรมประมงได้ออกประกาศ เร่ือง “หลักเกณฑ์และวิธีการท่ีผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องแจ้งให้พนักงาน
เจ้าหน้าที่ทราบก่อนดาเนินการประกอบกิจการโรงงาน พ.ศ. 2560” เพ่ือให้การปฏิบัติตามกฎหมายมีความ
ชัดเจนขึน โดยประกาศฯ กาหนดให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยการประมง 2 กรณี
ต่อไปนี ท่ีตอ้ งแจง้ ให้กรมประมงทราบ ไดแ้ ก่

(1) ผปู้ ระกอบกิจการโรงงานที่มไิ ดแ้ จง้ หรือรบั ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมาย
วา่ ด้วยโรงงาน ซ่งึ ประกอบกจิ การอยแู่ ล้ว ณ วันที่ประกาศนีมีผลใช้บังคับ กรณนี หี มายถึง โรงงานใดท่ปี ระกอบ
กจิ การแปรรปู สตั วน์ าอย่แู ลว้ และมกี าลงั เครือ่ งจกั รหรอื จานวนคนงานไมเ่ ข้าหลักเกณฑก์ ฎหมายว่าดว้ ยโรงงาน
ของกรมโรงงาน แต่เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมายว่าด้วยการประมง ต้องแจ้งให้กรมประมงทราบการประกอบ
กิจการแปรรูปสตั ว์นาดังกลา่ ว

(2) ผ้ปู ระกอบกิจการโรงงานท่มี ิได้แจ้งหรือรบั ใบอนุญาตประกอบกจิ การโรงงานตามกฎหมาย
ว่าด้วยโรงงาน และประสงคจ์ ะประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยการประมง ต้องแจ้งให้กรมประมง
ทราบก่อนดาเนินการประกอบกิจการโรงงาน หรือกล่าวอีกนัยหน่ึง หมายถึงโรงงานใหม่ท่ีมีกาลังเครื่องจักร
หรอื จานวนคนงานไมเ่ ขา้ หลักเกณฑก์ ฎหมายว่าดว้ ยโรงงานของกรมโรงงาน แตเ่ ขา้ หลกั เกณฑต์ ามกฎหมาย
วา่ ดว้ ยการประมง หากประสงค์จะดาเนินกิจการแปรรปู สัตว์นาตามที่กฎหมายกาหนด ต้องแจ้งให้กรมประมง
ทราบก่อนดาเนนิ กจิ การ

ทังนี ผู้ประกอบกิจการทังสองกรณีท่ีต้องดาเนินการตามกฎหมายนี ครอบคลุมทังบุคคล
ธรรมดาและนิติบุคคล เมื่อได้แจ้งการประกอบกิจการแล้ว กรมประมงจะออกหนังสือรับแจ้งตามแบบ
ท้ายประกาศฯ ให้แกผ่ แู้ จ้งภายในสามวนั นับแตว่ นั ทีไ่ ดร้ ับแจง้

2. กำรตรวจสอบย้อนกลบั
มาตรา 90 แห่งพระราชกาหนดการประมง ได้กาหนดให้ผู้เก่ียวข้องต่าง ๆ ในการทาประมง

มีหน้าท่ีรวบรวมและจัดทาหลักฐานเพื่อการสืบค้น เพ่ือประกอบการตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมาย
ของสัตว์นาหรอื ผลติ ภัณฑส์ ัตวน์ าท่ไี ดจ้ ากการประมง ดังนนั ผปู้ ระกอบการในแตล่ ะขันตอน ตังแต่เรือประมง
แพปลา ผู้รวบรวม ผู้แปรรูปสัตว์นา ต้องมีหลักฐานเอกสารท่ีสามารถแสดงให้เห็นถึงแหล่งที่มาของสัตว์นาได้
ในส่วนของผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์นาหรือแปรรูปสัตว์นาท่ีอยู่ในบัญชีรายช่ือท่ีกรมประมงรับรองให้ส่งออก

185

ไปยงั ตา่ งประเทศ กาหนดใหป้ ฏิบตั ติ ามประกาศกรมประมง เร่ือง กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดทา
หลกั ฐานเพ่อื การสบื คน้ ของผ้ผู ลิตผลติ ภณั ฑ์สตั ว์นาหรือแปรรปู สัตวน์ า พ.ศ. 2558 ดงั นี

(1) ให้ผผู้ ลิตผลิตภัณฑ์สัตว์นาหรือแปรรูปสัตว์นาท่ีอยู่ในบัญชีรายช่ือท่ีกรมประมงรับรอง
ซึง่ ใชว้ ตั ถุดิบสัตว์นาจบั จากธรรมชาติ ยกเวน้ สตั วน์ าจดื หอยฝาเดียว และหอยสองฝา ในการผลิตผลิตภัณฑ์
สัตว์นาหรอื แปรรูปสตั ว์นา ต้องจดั ทาคู่มือเพ่ือแสดงระบบการจัดทาหลักฐานเพ่ือการสืบค้น ครอบคลุมตังแต่
แหล่งท่ีมาของวัตถุดิบสัตว์นา การขนส่ง การจัดเก็บ กระบวนการผลิต และการส่งออก ให้กรมประมง
พิจารณาให้ความเห็นชอบ ในกรณีท่ีมีการเปล่ียนแปลงระบบการจัดทาหลักฐานเพ่ือการสืบค้น ต้องส่งคู่มือ
ท่ีมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลในการจัดทาระบบจัดทาหลักฐานเพ่ือการสืบค้นให้กรมประมง เพื่อพิจารณา
ให้ความเหน็ ชอบ

(2) ในคู่มือต้องแสดงรายละเอียดครอบคลุมถึงวิธีการคัดเลือกวัตถุดิบสัตว์นา วิธีการ
ขนถ่ายวัตถุดิบสัตว์นาเข้าสู่โรงงานและการแยกรุ่นวัตถุดิบสัตว์นา การรับและคัดแยกวัตถุดิบสัตว์นา ระบบ
การจดั เก็บวัตถุดบิ สัตวน์ าและการบง่ ชี ระบบเบิกจา่ ยวัตถุดิบสัตว์นา ซึ่งต้องแสดงถึงชนิดและนาหนักสัตว์นา
ที่นาไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สัตว์นา วิธีการตรวจสอบหลักฐานเพ่ือการสืบค้น ซึ่งต้องบ่งชีหรือแสดงความ
เชื่อมโยง สอดคล้องกันของเอกสารหรือบันทึกการผลิตต่าง ๆ ให้ครอบคลุมตังแต่การรับวัตถุดิบสัตว์นาจนถึง
การส่งออกผลิตภัณฑ์สัตว์นา และรายละเอียดสุดท้ายท่ีต้องแสดงในคู่มือคือ วิธีการแสดงความเชื่อมโยง
ของนาหนักวตั ถุดบิ สัตว์นากบั นาหนักสตั วน์ าในผลติ ภัณฑ์สตั วน์ า

(3) นอกจากนี ผ้แู ปรรปู สตั ว์นาตอ้ งจดั ทาสรปุ ข้อมูลชนิดและนาหนกั วัตถดุ บิ สัตวน์ าที่รับเขา้
และผลิตภัณฑ์สัตว์นาที่ส่งออกแยกตามชนิดสัตว์นาท่ีใช้ และจัดเก็บหลักฐานและเอกสารหรือบันทึก
ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับการตรวจสอบหลักฐานเพอื่ การสืบค้น เปน็ ระยะเวลาไม่น้อยกว่าสามปี และไม่น้อยกว่าอายุของ
ผลิตภัณฑ์สัตว์นา กล่าวโดยสรุปคือ โรงงานที่ประกอบกิจการแปรรูปสัตว์นาที่มีเครื่องจักรหรือจานวน
แรงงานตามหลกั เกณฑท์ ่กี รมประมงกาหนด และอย่ใู นบัญชีรายช่ือที่กรมประมงรบั รองให้ส่งออกผลิตภัณฑ์
สัตว์นาไปต่างประเทศตามชนิดสัตว์นาท่ีกาหนดในประกาศฯ ข้างต้น ต้องจัดทาคู่มือเพ่ือแสดงระบบ
การจัดทาหลักฐานเพื่อการสบื คน้ พรอ้ มเก็บรกั ษาเอกสารและบันทกึ ทเี่ ก่ียวข้องเพื่อการตรวจสอบ

3. สขุ ลกั ษณะกำรผลิต
ในการผลิตผลติ ภณั ฑส์ ัตว์นา กรมประมงมีอานาจหน้าท่ีในการส่งเสริมผู้ประกอบกิจการให้ปฏิบัติ

ตามมาตรฐานสากลด้านสุขอนามัย เพ่ือให้สินค้ามีความปลอดภัยต่อการบริโภค มีคุณภาพดี ผู้บริโภคมั่นใจ
และเปน็ การส่งเสรมิ การค้าอยา่ งยัง่ ยนื โดยในมาตรา 98 ของพระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 ระบุว่า
ใหเ้ ปน็ หนา้ ทีข่ องกรมประมงในการจัดทามาตรฐานด้านสุขอนามัยในการจับการดูแลรักษาสัตว์นา การแปรรูป
สัตว์นา การเก็บรักษา การขนส่งหรือขนถ่ายสัตว์นาและผลิตภัณฑ์สัตว์นา เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบกิจการ
การประมงนาไปใช้ปฏิบัติในกิจการของตน ให้ได้สัตว์นาและผลิตภัณฑ์สัตว์นาท่ีได้รับการรับรองคุณภาพ
ว่าได้มาตรฐานด้านสุขอนามัย และมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคในระดับต้นนา ได้แก่ การเพาะเลียงสัตว์นา

186

กรมประมงไดอ้ อกระเบียบว่าดว้ ยการออกใบรบั รองการปฏิบตั ทิ างการเพาะเลียงสัตว์นาท่ีดีสาหรับการผลิต
สัตว์นา (จี เอ พี) 2553 และฉบับเพ่ิมเติม 2556 และ 2561 ซึ่งครอบคลุมสุขลักษณะในการผลิตสัตว์นา
การบริหารจัดการฟาร์ม และการป้องกันโรค เป็นต้น ผู้ประกอบกิจการสามารถร้องขอหนังสือรับรอง
สุขลักษณะในการผลิตตามมาตรฐานที่กรมประมงกาหนดได้ โดยจะมีการตรวจประเมินสุขลักษณะ
ตามมาตรฐานทีเ่ กีย่ วขอ้ ง และออกใบรับรองใหเ้ ม่ือผ่านการตรวจประเมินแล้ว

ในกรณีท่ีเป็นสินค้าสัตว์นาส่งออก ปัจจุบันประเทศไทยส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ในปี
2558 - 2562 มากกว่า 100 ประเทศ เฉลย่ี ปลี ะ 1.6 ล้านตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 212,000 ล้านบาท
โดยสินค้าหลัก ได้แก่ ปลากระป๋อง 40.8% ปลาอ่ืน ๆ 14.6% กุ้ง 12.1% หมึก 3.4% และอ่ืน ๆ อีก
29.1% (กรมประมง, 2563) กรมประมงในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบ (Competent Authority) มีหน้าท่ี
กากับดูแลและรับรองสินค้าสัตว์นาส่งออก ให้บริการตรวจรับรองโรงงานแปรรูปสัตว์นาทางด้านสุขลักษณะ
การผลติ (Good Manufacturing Practice) และระบบคุณภาพความปลอดภัยการผลิต การวิเคราะห์
อันตรายและจุดควบคุมวิกฤต (Hazard Analysis Critical Control Point) ตามข้อกาหนดของประเทศ
ผู้นาเข้า เช่น กลุ่มสหภาพยุโรป ออสเตรเลีย จีน และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง และสุ่มตัวอย่าง
ผลติ ภณั ฑ์เพ่อื ตรวจวิเคราะห์ทางด้านจุลนิ ทรยี ์ เคมี และกายภาพ เพ่ือการออกใบรับรองสุขอนามัยให้กับ
สินค้าที่ส่งออกทุกรุ่น โดยเจ้าหน้าท่ีจะดาเนินการตรวจสอบสถานประกอบการตามมาตรฐานและความถ่ี
ท่กี าหนด และโรงงานทีต่ รวจผา่ นแล้วจะไดร้ ับการขนึ บัญชกี ารรับรองของกรมประมงเพ่ือแสดงสถานะสามารถ
สง่ ออกไปยังต่างประเทศได้

อย่างไรก็ตาม ในกรณีท่ีสถานประกอบการไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามมาตรฐานซ่ึงเป็นไปตาม
พันธกรณีทีป่ ระเทศไทยมีอยู่ ผู้ประกอบกิจการการประมงหรือผู้ผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์นาต้องแก้ไขให้ถูกต้อง
หรอื หยุดดาเนินการเปน็ เวลาตามท่ีกาหนด ดังทีร่ ะบุในมาตรา 99 ของพระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558


Click to View FlipBook Version