ติดต่อประสานงาน: รองศาสตราจารย์ ดร. จารมุ าศ เมฆสัมพนั ธ์ ภาควิชาชีววิทยาประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 2565 แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์ (คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
50 ถนนพหลโยธิน เขตจตจุ ักร กรงุ เทพฯ 10900 / E-mail: [email protected]
แมก่ ลอง
และการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
รองศาสตราจารย์ ดร. จารมุ าศ เมฆสัมพนั ธ์
ภาควิชาชีววิทยาประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ISBN 978-616-278-717-1
ผูเ้ ขียน: รศ.ดร.จารมุ าศ เมฆสัมพนั ธ์ (กรกฎาคม 2565)
จัดทาโดย : ภาควิชาชีววิทยาประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
E-mail: [email protected]
คานา
นับเป็นโชคดีอย่างยิ่ง ที่ผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมประชุม แลกเปลี่ยน เรียนรู้
หารือ และรับฟังข้อชี้แนะ จากท่านอาจารย์สุรจิต ชิระเวทย์ ในช่วงที่ทำโครงการ
ศึกษาวิจัย ด้านการพัฒนานโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากร อาทิ “โครงการ
พัฒนานโยบายการจัดการประมงอย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานระบบนิเวศสังคม
ภายใต้ธรรมาภิบาลที่ดีเพื่อความยั่งยืนทางการประมงในพื้นที่อ่าวไทยตอนใน” และ
“โครงการบูรณาการฐานข้อมูลและองค์ความรปู้ จั จบุ นั ดา้ นสถานการณ์และปัญหาของ
ทรัพยากรปลาทูในอ่าวไทยเพื่อการบริหารจัดการประมงอย่างยั่งยืน” ตั้งแต่ช่วงปี
พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา
โอกาสดังกล่าว ทำให้ได้ค่อย ๆ เรียนรู้ และซึมซับ เอาความภาคภูมิใจใน
สายน้ำแมก่ ลอง ตลอดจนไดเ้ หน็ ถงึ ความทุ่มเท ทั้งแรงกาย แรงใจ ทท่ี า่ นไดด้ ำเนินการ
มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในการรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงปัญหาที่เกิด
ขึ้นกับระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมทางน้ำ และหาทางพัฒนาความร่วมมือ เพื่อช่วยกัน
แก้ปัญหา ดูแลรักษาแหล่งน้ำและทรัพยากรธรรมชาติที่เรามี ตลอดจนพยายาม
สร้างสรรค์แนวทางการใช้ประโยชน์ท่ีเหมาะสม ด้วยฐานความรู้ ความเข้าใจ ในวิถี
วัฒนธรรม ภมู ปิ ญั ญาของบรรพชน และธรรมชาตขิ องแต่ละพ้นื ทีอ่ ยา่ งแท้จรงิ
ข้อเขียนที่ท่านอาจารย์สุรจิต ชิระเวทย์ ได้เขียนไว้ในหนังสือ “คนแม่กลอง”
ดังที่กล่าวว่า “สมุทรสงคราม เป็นเมืองปากน้ำแห่งสุดท้ายของภาคกลาง ที่เคย
อดุ มสมบรู ณ์สุดยอด กำลงั ตกอยู่ในสถานการณ์ทนี่ ่าเป็นห่วง” และ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
“อ่าวไทยตัว ก ไม่ใช่พื้นที่น้ำเปล่า แต่ยังคุณค่ามหาศาล เราจึงจำเป็น
ที่จะต้องรักษาวิถีชีวิต แบบแผน การประกอบอาชีพ ของบรรพบุรุษเอาไว้ คิด และ
ต่อสู้ รักษาบ้านเมืองแห่งนี้ไว้ โดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ โดยอาศัยภูมิปัญญา
ทีม่ ีคุณค่า และประณีตลึกซึง้ ของบรรพบรุ ษุ เพ่อื ให้เกิดหนทางทแ่ี ตกต่าง”
นับเป็นการจุดประกาย ให้เกิดการศึกษาวิจัยต่อยอดในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง
ทั้งนี้ เพื่อตอบคำถาม ถึงสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง ในช่วงระยะเวลาหลายทศวรรษ
ที่ผ่านมาจนถึงระยะปัจจุบัน และปัญหาที่เป็นผลกระทบจากกิจกรรมการใช้ประโยชน์
ซึ่งครอบคลุมระบบนิเวศต่าง ๆ ตั้งแต่เขตต้นน้ำ ลงมาจนถึงพื้นที่เขตทะเล นอกจากน้ี
ยังเพื่อเป็นการรวบรวมและประมวลความรู้ และสังเคราะห์แนวทางในการขับเคลื่อน
เพื่อการแก้ปญั หาท่ีเกิดข้ึนกับระบบนเิ วศทางน้ำได้อย่างเหมาะสม และนำไปสู่การดำรง
ไว้ซึ่งเสถียรภาพ ในการใช้ระบบนิเวศทางน้ำที่เรามี ได้อย่างสมดุล อย่างรู้คุณค่า และ
เอือ้ อำนวยให้เกิดประโยชน์อย่างย่ังยนื ตอ่ ไปได้
การลงพื้นท่ีเพื่อการศึกษาวิจัย ยังทำให้มีโอกาสได้หารือ และแลกเปลี่ยน
เรียนรู้กับทาง “ประชาคมคนรักแม่กลอง” ซึ่งประกอบด้วยท่านผู้รู้ ในหลากหลาย
สาขาอาชีพ (อาทิ คุณปรีชา เจี๊ยบหยู คุณปัญญา โตกทอง คุณวรเดช เขียวเจริญ
คุณชัยยันต์ อยู่ศิริ คุณวิสูตร นวมศิริ คุณบุญยืน ศิริธรรม คุณชิษณุวัฒน์ มณีศรีขำ
คุณเกตุแก้ว สำเภาทอง คุณศุภโชค ศาลากิจ คุณมนัส บุญพยุง คุณชัยสิทธิ์ นันทธนา)
และรวมทั้งอีกหลายท่าน ท่ีกรุณาให้คำแนะนำในงานภาคสนามเป็นอย่างดี ซึ่งผู้เขียน
ใคร่ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงในแรงบันดาลใจท่ีได้รับ ตลอดจนข้อมูลความรู้ท่ี
แต่ละท่านกรุณาถ่ายทอด แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และให้แนวคิด ที่เป็นประโยชน์
อยา่ งมากมาย
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
หนังสือ “แม่กลองและการพัฒนาเชิงอนุรักษ์” เล่มนี้ เป็นการประมวล
ข้อมูลความรู้เชิงบูรณาการ ซึ่งเป็นผลงานการศึกษาวิจัย จากทางภาคส่วนของ
มหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมทั้งผลงานวิชาการจากทางองค์กรภาครัฐ ตลอดจนงานเขียน
หนังสือ และบทความกึ่งวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง รวม
112 เรื่อง ท่ีได้นำมาประมวลและร้อยเรียงเข้าด้วยกัน โดยผสมผสานกับแนวคิด และ
ประสบการณ์ ที่ได้รบั จากผรู้ ้ใู นพื้นทล่ี ุ่มนำ้
ในตัวเล่ม ประกอบด้วยเนื้อหาที่ไล่เรียงตั้งแต่ - บทที่ 1 - ลักษณะสำคัญของ
ลุ่มน้ำแม่กลอง - บทที่ 2 - คุณค่าและความเชื่อมโยงของระบบนิเวศทางน้ำ
- บทที่ 3 - สถานการณ์คุณภาพน้ำ มลภาวะ และปัญหายูโทรฟิเคชัน - บทที่ 4 -
ถอดบทเรียนจากปัญหา เรียนรู้ภูมิปัญญาชุมชน และ - บทที่ 5 – บทสังเคราะห์
แนวทางการพฒั นาเชงิ อนุรกั ษ์ โดยทั้งน้ี ไดจ้ ัดแบ่งตามประเด็นหลัก ๆ ไว้ ตามลำดับ
เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นเรื่องราว และเกิดความสะดวกในการพิจารณานำประเด็น
ที่สนใจ ไปประยุกตใ์ ชป้ ระโยชนใ์ นโอกาสท่ีเหน็ สมควร
ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลความรู้เหล่านี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการ
เติมเตม็ ความรู้ความเขา้ ใจ ในลักษณะทางธรรมชาตขิ องระบบนเิ วศลุ่มน้ำ คุณลกั ษณะ
ของปัจจัยสิ่งแวดล้อมทางน้ำ ตลอดจนสถานภาพของทรัพยากรสิ่งมีชีวิตทางน้ำ ที่เรา
มีในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลองได้มากขึ้น และจะช่วยสร้างสรรค์ให้สังคมในวงกว้าง
ได้ตระหนักถึงคุณค่าของระบบนิเวศลุ่มน้ำต่าง ๆ ท่ีเราอาศัยพึ่งพาอยู่ อันจะนำไปสู่
ความร่วมมือและช่วยเหลือกัน ตามกำลัง ตามความสามารถ ในการอนุรักษ์ ดูแล
และใชป้ ระโยชน์พืน้ ท่ีลุม่ นำ้ ที่เรามี ไดอ้ ย่างเหมาะสม และค้มุ คา่ ทสี่ ุดสบื ต่อไป
จารุมาศ เมฆสมั พนั ธ์
17 กรกฎาคม 2565
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
สารบัญ
บทที่ 1 ลักษณะสาคัญของล่มุ นา้ แมก่ ลอง 1
1.1) ท่ตี ้ัง ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ และคณุ ภาพนำ้ 2
1.2) ประชากร เศรษฐกิจสังคม และการใชป้ ระโยชน์ทดี่ ิน 8
1.3) วสิ ยั ทัศน์ ยทุ ธศาสตร์ และแผนพัฒนาดา้ นแหลง่ นำ้ 12
1.4) ศักยภาพ ปัญหา ขอ้ จำกดั และแนวทางในการพฒั นา 16
บทท่ี 2 คณุ ค่าและความเชื่อมโยงของระบบนเิ วศทางน้าจากพ้นื ท่ีต้นน้าส่ชู ายฝั่ ง 24
2.1) ลักษณะจำเพาะของระบบนิเวศแหล่งนำ้ ไหล การเช่ือมโยงจากต้นน้ำถงึ ปลายน้ำ28
2.2) คุณคา่ ของระบบนิเวศแหล่งน้ำไหล 37
2.3) ทรพั ยากร และการเปลี่ยนแปลงในแหลง่ นำ้ 47
2.4) ปรมิ าณนำ้ ผลกระทบ และแนวทางการบรหิ ารจัดการ 54
บทท่ี 3 สถานการณ์คณุ ภาพน้า มลภาวะ และปั ญหายูโทรฟิ เคชันในระบบนิเวศทางนา้ 63
3.1) การเปลย่ี นแปลงระบบนิเวศทางน้ำและผลกระทบท่ีเกดิ ขึ้น 64
3.2) สถานการณ์คุณภาพน้ำและดนิ พนื้ ทอ้ งน้ำ 68
3.2.1) ออกซเิ จนละลายน้ำ 69
3.2.2) แร่ธาตอุ าหารในน้ำ 77
3.2.3) คลอโรฟิลล์ในน้ำ 81
3.2.4) ความเป็นกรด-เบสของนำ้ 82
3.2.5) การบริโภคออกซิเจนโดยจลุ ินทรยี ใ์ นนำ้ 83
3.2.6) ของแข็งแขวนลอยในน้ำ 84
3.2.7) โคลฟิ อรม์ แบคทเี รียในน้ำ 87
3.2.8) อัตราการไหลและความเร็วของน้ำ 88
3.2.9) สถานการณค์ ณุ ภาพนำ้ ภาพรวมในพ้ืนที่ปากแมน่ ้ำ 89
3.2.10) สถานการณค์ ณุ ภาพดนิ พน้ื ท้องน้ำ 92
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
3.3) มลภาวะทางน้ำและศักยก์ ารบำบดั มลภาวะ 97
3.4) ปญั หายูโทรฟิเคชนั ในระบบนิเวศแมน่ ้ำ 106
3.5) แนวคดิ เพ่อื การอนุรักษด์ ูแลแหลง่ นำ้ 111
บทที่ 4 ถอดบทเรยี นจากปั ญหา เรียนรภู้ มู ิปั ญญาชมุ ชน 114
4.1) ปญั หาด้านการผลิตพืชผลทางการเกษตร 116
4.2) ปญั หาด้านการจัดการพน้ื ท่คี ูคลองและระบบชลประทาน 121
4.3) ปญั หาการทว่ มของน้ำและมุมมองทางออก 125
4.4) ปญั หาการรกุ ลำ้ ของน้ำเคม็ และแนวทางแก้ไข 127
4.5) ปัญหาในพืน้ ทเี่ ขตน้ำกร่อยและแนวทางการพฒั นา 131
4.6) แนวทางการฟืน้ ฟูระบบนิเวศป่าชายเลน 134
4.7) นาเกลือและบทบาทต่อระบบนเิ วศลมุ่ น้ำแม่กลองตอนลา่ ง 137
4.8) แนวคิดเพื่อการบริหารจัดการ 142
บทท่ี 5 บทสังเคราะห์แนวทางการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์ 146
5.1) แนวคดิ เบื้องต้นในการพัฒนาเชิงอนรุ กั ษ์ 147
5.2) แนวทางการบริหารจัดการจากบนลงล่าง 156
5.3) แนวทางการจดั การจากล่างข้นึ บน 163
5.4) แนวทางจดั การคขู่ นาน 166
5.5) สรปุ ผลการประมวลความรู้ในภาพรวม 170
บรรณานกุ รม 172
เกี่ยวกับผูเ้ ขียน 184
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
บทท่ี 1
ลักษณะสาคัญของล่มุ น้าแมก่ ลอง
Important Characters of Mae Klong Watershed
สายน้ำแม่กลอง ที่เรามักจะพูดถึงกัน เป็นส่วนที่สำคัญของลุ่มน้ำแม่กลอง
สายน้ำแม่กลองในตอนปลาย ซึ่งไหลมาจนถึงเขตจังหวัดสมุทรสงคราม และไหลลงสู่
อ่าวไทยตอนใน แท้ที่จริงมีพื้นที่ต้นน้ำอยู่ในเขตเทือกเขาสูง ในเขตอำเภออุ้มผาง
จังหวัดตาก (ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำแควใหญ่) และในเขตอำเภอสังขละบุรี
จังหวัดกาญจนบุรี (ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำแควน้อย) สายน้ำแม่กลอง ท่ีก่อเกิด
จากการไหลรวมกัน ของแม่น้ำแควใหญ่และแม่น้ำแควน้อย ได้ไหลผ่านพื้นที่จังหวัด
กาญจนบุรี จงั หวดั ราชบุรี แลว้ ลงสู่อา่ วไทย ที่อำเภอเมือง จงั หวดั สมทุ รสงคราม
ด้วยลักษณะทางภูมิประเทศที่หลากหลาย จากบริเวณเทือกเขาสูง จนถึง
พื้นท่ีราบทางตอนล่างสุดของลุ่มน้ำ ซึ่งมีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเล สูงจาก
ระดับน้ำทะเลประมาณ 2-3 เมตร ในเขตจังหวัดสมุทรสงคราม ทำให้ลุ่มน้ำแม่กลอง มี
ลักษณะที่โดดเด่นหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะทางภูมิสัณฐานวิทยา ที่
หลากหลาย ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ศักยภาพด้านปริมาณน้ำ ซึ่ง
ส่งผลถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของชุมชน ตลอดจนลักษณะในการประกอบ
อาชพี และการใช้ประโยชน์ในพ้ืนท่ีได้อย่างมากมาย ทง้ั น้ี มีประเดน็ สำคัญต่าง ๆ ท่ีเป็น
องค์ความรู้พื้นฐาน สำหรับการประยุกต์ใช้ในการวางแผน เพื่อพัฒนาพื้นท่ีเชิงอนุรักษ์
ดังรายละเอียด ตอ่ ไปน้ี
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
1
1.1) ที่ตั้ง ลักษณะภมู ิประเทศ และคุณภาพน้า
ลุ่มน้ำแม่กลอง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศไทย ขอบเขตของลุ่มน้ำ
เริ่มจากอำเภออุ้มผาง ซึ่งอยู่ทางตอนล่างของเขตจังหวัดตาก ลงมาทางทิศใต้ จนถึงเขต
ติดต่อระหว่างจังหวัดราชบุรี เพชรบุรี และนครสวรรค์ มีพื้นที่ลุ่มน้ำรวมทั้งสิ้น
30,228.12 ตารางกโิ ลเมตร ครอบคลุมพน้ื ท่ี 8 จงั หวดั ไดแ้ ก่ ตาก อุทยั ธานี กาญจนบุรี
สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร (สำนักงานทรัพยากรน้ำ
แหง่ ชาติ 2564)
ลุ่มน้ำแม่กลองมีลักษณะวางตัวตามแนวทิศเหนือถึงใต้ โดยทิศเหนือติดกับ
ลุ่มน้ำสาละวิน ทิศตะวันตกติดเทือกเขาตะนาวศรี (ซึ่งเป็นเทือกเขาสูงชันแบ่งเขต
ชายแดนไทยกับประเทศพม่า) ทิศตะวันออกติดกับลุ่มน้ำท่าจีน และลุ่มน้ำสะแกกรัง
ส่วนทางทศิ ใต้ติดกับลุ่มน้ำเพชรบุรี-ประจวบคีรีขนั ธ์ และอา่ วไทย
ล่มุ น้าแมก่ ลองตอนบนและล่มุ น้าแมก่ ลองตอนล่าง
ลุ่มน้ำแม่กลอง สามารถแบ่งตามสภาพภูมิประเทศ ได้เป็น 2 บริเวณ คือ
บริเวณลุ่มน้ำแม่กลองตอนบน และลุ่มน้ำแม่กลองตอนล่าง บริเวณลุ่มน้ำแม่กลอง
ตอนบน เริ่มตั้งแต่เขตอำเภอเมืองกาญจนบุรี ที่ลำน้ำแควใหญ่และแควน้อย
ไหลมาบรรจบกัน ขึ้นไปยังที่สูงในเทือกเขาที่เป็นต้นน้ำ ส่วนบริเวณลุ่มน้ำแม่กลอง
ตอนล่าง คอื แนวสองฝ่ังแม่นำ้ แม่กลอง จากเขตอำเภอเมอื งกาญจนบรุ ไี ปจนถึงอา่ วไทย
ความแตกต่างของลุ่มน้ำแม่กลองสองบริเวณดังกล่าว คือ ทางตอนบนของ
ลุ่มน้ำ มีสภาพภูมิประเทศเป็นที่สูง เป็นบริเวณที่ลำน้ำแควใหญ่และแควน้อย ไหลผ่าน
ซอกเขาและที่ราบระหว่างเขา ไหลออกมาบรรจบกัน โดยสภาพภูมิประเทศสองฝ่ัง
แม่น้ำแควใหญ่เป็นป่าเขา จึงมีแหล่งที่สงวนไว้เป็นอุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
หลายแห่ง อาทิ เขตรักษาพนั ธุ์สัตว์ปา่ ห้วยขาแข้ง และอุทยานแห่งชาติเอราวัณ (ภาพที่
1-1)
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
2
ภาพท่ี 1-1 ลักษณะของพ้ืนทีแ่ มน่ ้ำแควใหญใ่ นแนวเขตอทุ ยานแห่งชาติเอราวณั
สำหรับสภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปของลุ่มน้ำแควน้อย จะเป็นภูเขาใหญ่น้อย
เรียงสลับซับซ้อนและสูงชัน บางแห่งเป็นหน้าผาสูง บางแห่งเป็นที่ราบ ลำน้ำแควน้อย
ไหลผ่านภูมิประเทศที่สวยงาม มีน้ำตก ลำห้วยและลำธารเล็ก ๆ ไหลลงลำน้ำเกือบ
ตลอดเส้นทาง
ในขณะที่สภาพภูมิประเทศทางตอนล่าง มีลักษณะเป็นที่ราบลุ่มกว้างขวาง อยู่
สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเพียง 1-2 เมตร ซึ่งเมื่อเข้าใกล้ทะเล จะมีลักษณะเป็นท่ี
ราบชายฝั่ง มีความลาดเอียงน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งพื้นทีล่ ุ่มน้ำแม่กลองตอนล่างนี้ มี
แมน่ ำ้ สายหลัก คอื แม่น้ำแมก่ ลอง ซงึ่ เกิดจากแมน่ ำ้ สาขาที่สำคญั 2 สาย คือ แมน่ ำ้ แคว
ใหญ่ และ แม่น้ำแควน้อย ไหลมาบรรจบกัน มีทิศทางการไหลจากทิศเหนือลงมาทิศใต้
มีความยาวแมน่ ำ้ ประมาณ 589 กโิ ลเมตร (เรมิ่ นับจากตน้ น้ำของแมน่ ้ำแควใหญ่ ส้ินสุด
ที่ปากแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม) ภายในลุ่มน้ำแม่กลอง มีรายละเอียดของ
แม่น้ำสายหลกั ดงั ต่อไปนี้
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
3
ภาพท่ี 1-2 ลกั ษณะลำน้ำทไ่ี หลลงพนื้ ทรี่ บั นำ้ ตอนบนของอา่ งเก็บน้ำเข่ือนศรนี ครนิ ทร์
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
4
ภาพท่ี 1-3 ลกั ษณะลำน้ำทไ่ี หลลงพนื้ ทรี่ ับน้ำตอนบนของอ่างเก็บน้ำเข่ือนวชริ าลงกรณ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
5
ภาพที่ 1-4 ลกั ษณะลำนำ้ แม่กลองตอนล่างที่เป็นระบบนิเวศสามนำ้ ในเขตอำเภอเมือง
จังหวดั สมุทรสงคราม ซง่ึ ไหลลงพ้ืนท่ีอ่าวไทยตอนใน
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
6
แม่น้าแควใหญ่ มีความยาวลำน้ำประมาณ 449 กิโลเมตร มีต้นกำเนิด
จากเทือกเขาบรเิ วณตำบลโมโกร อำเภออมุ้ ผาง จงั หวดั ตาก ไหลผ่านอำเภออุ้มผาง ลงสู่
พื้นท่ีอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ (ภาพที่ 1-2) ที่อำเภอศรีสวัสดิ์ มีความลาดชันลำน้ำ
เฉลย่ี 1:240
สว่ นทางดา้ นท้ายของอา่ งเก็บน้ำเข่ือนศรนี ครนิ ทร์ แม่น้ำแควใหญ่ไหลผ่าน
ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ เข้าสู่ตำบลช่องสะเดา อำเภอเมืองกาญจนบุรี ผ่าน
เขื่อนท่าทุ่งนา อำเภอเมืองกาญจนบุรี มาบรรจบห้วยตะเพิน ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาที่ตำบล
ลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี แล้วจึงไหลมาบรรจบแม่น้ำแควน้อย ที่ตำบล
ปากแพรก แม่นำ้ แควใหญ่มคี วามลาดชนั ลำน้ำเฉล่ีย 1:1,500
แม่น้าแควน้อย มีความยาวลำน้ำประมาณ 379 กิโลเมตร มีต้นกำเนิด
จากเทือกเขาบรเิ วณตำบลไล่โว่ อำเภอสังขละบุรี ไหลผ่านตำบลหนองลู ลงส่อู า่ งเก็บน้ำ
เขื่อนวชิราลงกรณ (ภาพที่ 1-3) มีความลาดชันลำน้ำเฉลี่ย 1:70 ส่วนทางด้านท้ายของ
อ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ แม่น้ำแควน้อยไหลผ่านอำเภอทองผาภูมิ อำเภอไทรโยค
อำเภอดา่ นมะขามเต้ีย และอำเภอเมอื งกาญจนบรุ ี โดยไหลมาบรรจบกบั แมน่ ้ำแควใหญ่
ทีต่ ำบลปากแพรก แม่นำ้ แควนอ้ ยมีความลาดชนั ลำนำ้ เฉลี่ย 1:3,800
แมน่ ้าแม่กลอง มคี วามยาวลำน้ำประมาณ 140 กโิ ลเมตร จากจุดบรรจบ
แม่น้ำแควใหญ่และแม่น้ำแควน้อย ไหลผ่านอำเภอท่าม่วง และอำเภอท่ามะกา จังหวัด
กาญจนบุรี อำเภอบ้านโป่ง อำเภอโพธาราม และอำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี
อำเภอบางคนที อำเภออัมพวา และอำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม
(ภาพที่ 1-4) แล้วไหลลงสู่อ่าวไทย ท่ีบริเวณอำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัด
สมทุ รสงคราม แม่นำ้ แมก่ ลองมคี วามลาดชันลำนำ้ เฉลีย่ 1:9,000
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
7
คุณภาพน้าผวิ ดิน
คุณภาพน้ำผิวดิน มีความแตกต่างไปตามพื้นที่ของลุ่มน้ำ โดยในพื้นท่ีแม่น้ำ
แควใหญ่และแม่น้ำแควน้อย มีคุณภาพน้ำผิวดินอยู่ในเกณฑ์พอใช้ถึงดีมาก ในแม่น้ำ
แม่กลองตอนบน ตั้งแต่บริเวณบ้านปากแพรก จังหวัดกาญจนบุรี ถึงบริเวณสะพาน
วัดใหม่ชำนาญ จังหวัดราชบุรี มีคุณภาพน้ำผิวดินส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์พอใช้ถึงดี
อย่างไรก็ตาม แม่น้ำแม่กลองตอนล่าง และเขตเมืองสมุทรสาคร มีคุณภาพน้ำผิวดิน
สว่ นใหญอ่ ยูใ่ นเกณฑ์เสอ่ื มโทรมถงึ พอใช้
คณุ ภาพน้าใต้ดิน
พื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง มีแหล่งน้ำบาดาลที่สำคัญครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 3,000
ตารางกิโลเมตร โดยพบชั้นน้ำในตะกอนหินร่วน มีความหนาระหว่าง 50-200 เมตร
อย่างไรก็ตาม ในบริเวณปากแม่น้ำแม่กลอง ซึ่งเป็นพื้นที่เขตน้ำกร่อย พบว่าคุณภาพ
ของน้ำบาดาล อยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงไม่ดี ทั้งนี้ เนื่องจากการแทรกซ้อนของน้ำทะเล
ซึ่งเป็นลักษณะทางธรรมชาติของพน้ื ที่ในเขตนำ้ กรอ่ ย
1.2) ประชากร เศรษฐกิจสังคม และการใช้ประโยชน์ท่ีดิน
ประชากรและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจสังคม
จากรายงานช่วงปี พ.ศ. 2562 พบว่าในลุ่มน้ำแม่กลอง มีประชากร รวม
5,307,236 คน (กรมการปกครอง 2562) ซึ่งเมื่อพิจารณาตามสัดส่วนจำนวนครัวเรือน
แล้ว พบว่าส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม (ร้อยละ 70) รองลงมา คือ อาชีพ
รบั จา้ งและค้าขาย (ร้อยละ 20 และ 10 ตามลำดบั )
สำหรบั อาชพี เกษตรกรรมนัน้ พบทั้งการทำไร่ (รอ้ ยละ 60) ทำนา (ร้อยละ 20)
ทำสวน (ร้อยละ 13.5) เลี้ยงสัตว์ (ร้อยละ 5) และการประมง (ร้อยละ 1.5) ทั้งน้ี
ประชากรในล่มุ นำ้ แมก่ ลอง มรี ายได้เฉลยี่ 105,701 บาท/คน/ปี
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
8
ในด้านเศรษฐกิจของพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลองนั้น พบว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด
ในปี พ.ศ. 2562 มีมูลค่า 107,144 ล้านบาท เป็นภาคการเกษตร ร้อยละ 23.18
(24,840 ล้านบาท) และนอกภาคการเกษตรร้อยละ 76.82 (82,304 ล้านบาท) ผลผลิต
ทางการเกษตรที่สำคัญได้แก่ อ้อย มันสำปะหลัง ข้าว ยางพารา ด้านการเลี้ยงสัตว์
ได้แก่ โค ไก่ กระบือ สุกร ส่วนด้านอุตสาหกรรม เป็นอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่อง
จากการเกษตร (เช่น อุตสาหกรรมอ้อย) ซึ่งในภาพรวมพบว่า มีผลิตภัณฑ์ต่อหัว
ของจังหวดั (GPP Per Capita) ในช่วงปพี .ศ. 2562 จำนวน 129,304 บาท/คน/ปี
การใช้ประโยชน์ท่ีดินในภาพรวม
ลุ่มน้ำแม่กลองมีพื้นท่ีรวม 18.89 ล้านไร่ ข้อมูลปัจจุบัน (พ.ศ. 2564) พบว่า
โดยส่วนใหญ่มีสภาพเป็นป่า (12.69 ล้านไร่; 67.20 %) รองลงมาเป็นพื้นที่เกษตรกรรม
(4.53 ล้านไร่; 24.0 %) สำหรับพื้นที่แหล่งน้ำ และที่อยู่อาศัย-สิ่งปลูกสร้าง พบว่าใน
ลุ่มน้ำแม่กลองมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน (0.62 ล้านไร่; 3.3 % และ 0.56 ล้านไร่; 3.0 %,
ตามลำดบั ) ส่วนพน้ื ท่อี น่ื ๆ นอกจากน้นั อาทิ พน้ื ที่รกรา้ ง บอ่ หนิ โผล่ ทล่ี ุม่ ช้ืนแฉะ พบ
ประมาณ 0.41 ล้านไร่ (2.2 %) และพบพืน้ ที่อตุ สาหกรรมในสัดส่วนทตี่ ่ำทสี่ ดุ คือ 0.06
ล้านไร่ (0.3 %) เท่านั้น อนึ่ง เมื่อพิจารณาในภาพรวมจะพบว่า บริเวณที่เป็นแหล่ง
เกษตรกรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลองในปัจจุบัน ได้ลดจากช่วงปี พ.ศ. 2546 ลงไปมาก
ซง่ึ เดิมพบสดั สว่ นของพน้ื ทเ่ี กษตรกรรมประมาณ 29 % (สิทธชิ ยั 2548)
การใช้ประโยชน์ท่ีดินเพอื่ การเกษตร
ในด้านการใชป้ ระโยชนท์ ่ดี นิ เพอ่ื การเกษตร 4.53 ลา้ นไรน่ น้ั พบว่ามกี ารใช้เป็น
พื้นท่ีปลูกพืชไร่ (อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ไม้ยืนต้น ไม้ผล และนาข้าว
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 51.66, 15.23, 12.80, และ 11.70 ตามลำดับ นอกจากนี้
ยงั มกี ารใชเ้ ป็นพ้นื ท่ีการเกษตรอ่นื ๆ และการเพาะเล้ียงสตั วน์ ำ้ รอ้ ยละ 5.30 และ 3.31
ตามลำดับ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
9
เมื่อพิจาณาถึงพืชเศรษฐกิจต่าง ๆ พบว่าในลุ่มน้ำแม่กลองมีการปลูกอ้อย
จำนวนมาก โดยมีพื้นท่ีประมาณ 1.07 ล้านไร่ พบบริเวณลุ่มน้ำสาขาหว้ ยตะเพิน ลุ่มน้ำ
สาขาแควใหญ่ตอนล่าง ลุ่มน้ำแควน้อยตอนล่าง ลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำภาชี หรือบริเวณ
อำเภอท่าม่วง โพธาราม จอมบึง บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี อำเภอบ่อพลอย หนองปรือ
จงั หวัดกาญจนบุรี เป็นต้น โดยมโี รงงานน้ำตาลหลายแห่งในพื้นทลี่ ่มุ นำ้ แมก่ ลอง
สำหรับการปลูกข้าว พบพื้นที่รวมประมาณ 0.53 ล้านไร่ ส่วนใหญ่อยู่บริเวณ
พ้ืนที่ชลประทานตอนล่างของลุ่มน้ำ สว่ นพืชผกั ต่าง ๆ พบการปลูกหลงั นาในพื้นท่ีทมี่ ีน้ำ
ชลประทานหรือมีแหล่งนำ้ อน่ื ๆ (อาทิ ในเขตอำเภอดำเนนิ สะดวก และอำเภอโพธาราม
จังหวัดราชบุรี) อย่างไรก็ตาม มักพบปัญหาด้านศัตรูพืช และการใช้สารเคมีในการ
ปอ้ งกันและกำจดั ศัตรพู ืชในจำนวนมาก
การใช้ประโยชน์ท่ีดินทางอุตสาหกรรม
สำหรับดา้ นอุตสาหกรรม ลมุ่ นำ้ แมก่ ลองจัดอยู่ในเขตส่งเสรมิ การลงทุนเขตที่ 2
และนับเป็นลุ่มน้ำที่มีศักยภาพ ในการเป็นศูนย์กลางการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ
ในภูมิภาคตะวันตก (กรมโรงงานอุตสาหกรรม 2562) ปัจจุบัน พบโรงงานอุตสาหกรรม
รวม 1,588 โรงงาน มีคนงานรวม 33,393 คน
อุตสาหกรรมสำคัญในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิต
พลังงานไฟฟ้า อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมการผลิตกระดาษและผลิตภัณฑ์จาก
กระดาษ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากจำนวนโรงงานในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง
พบว่าโรงงานผลิตภัณฑ์จากพืช และโรงงานด้านอุตสาหกรรมอาหารนั้น พบได้ใน
ปรมิ าณที่มากทีส่ ุด
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
10
พ้นื ที่อนรุ กั ษ์ตามกฎหมายและพ้นื ที่ช่มุ น้าที่สาคัญ
ในลุ่มน้ำแม่กลอง มีพื้นที่อนุรักษ์ตามกฎหมาย รวมทั้งสิ้น 16,287.70 ตาราง
กิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 53.88 ของพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง ซึ่งประกอบด้วย อุทยาน
แห่งชาติ 9 แห่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 5 แห่ง และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า 5 แห่ง (กรม
อุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช 2563) ซึ่งในลุ่มน้ำแม่กลอง ยังมีพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งมี
ความสำคัญระดับชาติ ได้แก่ พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
สลักพระ อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ ที่ราบลุ่มภาคกลางตอนล่าง และอ่าวไทย
และยังมีพื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งมีความสำคัญระดับนานาชาติ ได้แก่ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
ห้วยขาแข้ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร แม่น้ำแควน้อย แม่น้ำแควใหญ่ และ
แมน่ ้ำแม่กลอง นอกจากน้ี พน้ื ที่ดอนหอยหลอด เขตจงั หวัดสมุทรสงคราม (ภาพท่ี 1-5)
ยงั จัดเปน็ พ้ืนทชี่ ุ่มน้ำ ซ่ึงมคี วามสำคัญระหวา่ งประเทศ (Ramsar site) อกี ด้วย
ภาพท่ี 1-5 ความอดุ มสมบรู ณ์ของดอนหอยหลอด ในเขตตอนลา่ งสุดของลุ่มนำ้ แม่กลอง
ซง่ึ เปน็ พื้นท่ีชมุ่ นำ้ ที่มีความสำคญั ในระดบั นานาชาติ (Ramsar site)
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
11
1.3) วิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์ และแผนพฒั นาด้านแหล่งน้า
วิสัยทัศน์กล่มุ จังหวัดราชบรุ ี กาญจนบรุ ี สพุ รรณบรุ ี
“ศุนย์กลางสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม และบริการเพื่อสุขภาพครบวงจร การ
ท่องเที่ยวหลากหลาย เชื่อมโยงอารยธรรม ทวารวดี การค้าและการลงทุนระดับสากล
ท่ีมีความสามารถในการแข่งขนั และการคา้ ผา่ นแดนสู่เอเชยี ”
มีประเด็นยุทธศาสตร์ 4 ดา้ น ดงั น้ี
• ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1
พัฒนาสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ ให้ได้คุณภาพมาตรฐาน
ยกระดับสูก่ ารเป็นศูนย์กลาง สขุ ภาพครบวงจร
• ประเด็นยทุ ธศาสตร์ที่ 2
ส่งเสริมอัตลักษณ์การทอ่ งเที่ยว เชื่อมโยงกลุม่ จังหวัดอารยธรรมทวารวดี ไปยัง
แหล่งท่องเท่ียวในภมู ิภาค อาเซียน และยกระดับการทอ่ งเทย่ี วให้มีชอ่ื เสียง
• ประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ที่ 3
พัฒนาและส่งเสริมการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ให้มีศักยภาพผลักดัน
เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ นำไปสู่ การกระตุ้นให้เกิดการค้าการลงทุน
เชือ่ มโยงการคา้ ส่เู อเชยี
• ประเด็นยทุ ธศาสตร์ที่ 4
ยกระดับการผลิตภาคเกษตรกรรม พาณิชยกรรม อุตสาหกรรม สินค้าชุมชน
และภาคแรงงาน ปรบั เปลี่ยน กระบวนการผลิตโดยเนน้ วิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยี
และนวตั กรรม สู่ประเทศไทย 4.0 การคา้ การลงทนุ เชื่อมโยงการคา้ สู่เอเชีย
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
12
วิสัยทัศน์กล่มุ จังหวัดสมทุ รสงคราม สมทุ รสาคร
“เป็นฐานการผลิตภาคการเกษตรและอาหารปลอดภัย อุตสาหกรรมที่เป็น
มิตรต่อสิ่งแวดล้อม แหล่งท่องเที่ยวชั้นนำเชิงธรรมชาติ และศิลปะวัฒนธรรมอัน
ทรงคณุ ค่า”
มีประเด็นยุทธศาสตร์ 4 ด้าน ดงั นี้
• ประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ที่ 1
พฒั นาคณุ ภาพการผลติ สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรให้ได้มาตรฐาน
• ประเด็นยทุ ธศาสตร์ที่ 2
เพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 ให้เป็น
ศูนยก์ ลางการท่องเท่ยี วระดับนานาชาติ
• ประเดน็ ยุทธศาสตร์ที่ 3
รักษาและฟนื้ ฟูทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มเพอื่ การใช้ประโยชนอ์ ย่างยั่งยนื
• ประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ที่ 4
เสริมสรา้ งขีดความสามารถด้านการค้าการลงทนุ และการคา้ กบั ประเทศเพื่อนบา้ น
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
13
วิสัยทัศน์จังหวัดสมทุ รสงคราม
“เมืองแห่งวิถีชีวิต 3 น้ำอย่าง ยั่งยืน แหล่งผลิตอาหารทะเลและ การเกษตร
ปลอดภัยเพิ่มมูลค่า ผลผลิตให้มีมูลค่าสูง มุ่งเน้นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และพร้อม
รับตอ่ การเปลี่ยนแปลง”
มปี ระเด็นยุทธศาสตร์ 4 ด้าน ดังน้ี
• ประเด็นยุทธศาสตรท์ ี่ 1
การเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวรูปแบบ
หลากหลายสอดคล้องกับวถิ ชี ีวิตอยา่ งยง่ั ยนื
• ประเดน็ ยทุ ธศาสตร์ที่ 2
การพัฒนาคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัย และเพิ่มขีดความสามารถในการ
แขง่ ขนั สินคา้ เกษตรและประมง
• ประเดน็ ยทุ ธศาสตรท์ ี่ 3
การยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างความสมดุล เท่าเทียม และมั่นคง ในการ
ดำรงชวี ิตของประชาชน
• ประเด็นยุทธศาสตรท์ ี่ 4
สร้างเสริมประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ
สิง่ แวดล้อมอยา่ งมสี ว่ นรว่ มทุกภาคสว่ น
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
14
แผนพฒั นาด้านแหล่งน้าในพ้นื ท่ีล่มุ น้าแม่กลอง
โครงการด้านการพฒั นาแหล่งน้า
ในลุ่มน้ำแม่กลอง พบโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ (ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจนถึงปี
พ.ศ. 2561) เป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 14 โครงการ (ความจุเก็บกักรวม
26,660 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่ชลประทานรวม 2.34 ล้านไร่) โครงการพัฒนา
แหล่งน้ำขนาดกลาง 18 โครงการ (ความจุเก็บกักรวม 145 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นท่ี
ชลประทานและพื้นที่รับประโยชน์รวม 129,611 ไร่) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเลก็
และสูบน้ำด้วยไฟฟ้า 251 โครงการ (ความจุเก็บกักรวม 36 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่
ชลประทานและพื้นที่รับประโยชน์รวม 343,639 ไร่) สำหรับในอนาคตต่อไป จะมี
โครงการพฒั นาแหล่งน้ำอีก 20 โครงการ (ความจุเกบ็ กกั รวม 96.51 ล้านลกู บาศก์เมตร
มพี ้ืนท่ชี ลประทาน รวม 83,640 ไร่ และพน้ื ที่รับประโยชนร์ วม 65,585 ไร)่
โครงการด้านการป้ องกันน้าท่วม
กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ได้จัดทำโครงการวางผังและ
มาตรการบรรเทาอุทกภัยลุ่มน้ำแม่กลอง (พ.ศ. 2558) โครงการวางผังระบบระบายน้ำ
เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จังหวัดกาญจนบุรี (พ.ศ. 2561) โครงการศึกษาความ
เหมาะสมและสำรวจออกแบบรายละเอียดระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชน จังหวัด
กาญจนบุรี (พ.ศ. 2561) และ โครงการศึกษาความเหมาะสมและสำรวจออกแบบ
รายละเอียด ระบบป้องกันน้ำท่วมและระบบระบายน้ำหลัก เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วม
พนื้ ท่ชี มุ ชนล่มุ นำ้ ภาคกลาง ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2562)
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
15
1.4) ศักยภาพ ปั ญหา ข้อจากัด และแนวทางในการพฒั นา
ศักยภาพของพ้นื ท่ีล่มุ น้าแม่กลอง
มีแหล่งต้นน้ำลำธารที่มีความสำคัญระดับประเทศ ได้แก่ แม่น้ำแควน้อย
แม่น้ำแควใหญ่ แม่น้ำลำภาชี แม่น้ำแม่กลอง ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาแหล่งน้ำและ
พลังงานไฟฟ้าพลังน้ำ รองรับการผลิตไฟฟ้าเพื่อการพัฒนาประเทศ และเสริมสร้าง
ความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์ต่อการชลประทาน
การบรรเทาอุทกภัย การประมง และการท่องเท่ยี ว
เป็นแหล่งน้ำต้นทุน ทั้งบริเวณภาคตะวันตก และภาคกลาง โดยมีโครงการ
ชลประทานแม่กลองใหญ่ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ และศักยภาพใน
การพัฒนาด้านการเกษตร และมีการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร ไปสู่ลุ่มน้ำย่อย
ที่ขาดแคลน และลุ่มน้ำใกล้เคียง
ปัจจุบันลุ่มน้ำแม่กลอง มีศักยภาพของทรัพยากรน้ำเพียงพอสําหรับความ
ต้องการใช้น้ำในลุ่มน้ำ โดยเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ สามารถควบคุม
ปริมาณน้ำในลุ่มน้ำได้ถึง ร้อยละ 65 และมีปริมาณน้ำเพียงพอ สําหรับการใช้น้ำนอก
ลุ่มน้ำ อาทิ เพื่อการชลประทานฤดูแล้งของโครงการเจ้าพระยาฝ่ังตะวันตกตอนล่าง
การผลกั ดันน้ำทะเล ตลอดจนการผลติ น้ำประปาสาํ หรับกรงุ เทพมหานครและปรมิ ณฑล
มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายของพันธุ์พืช และ
พันธุ์สัตว์ มีพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญในระดับนานาชาติ (ดอนหอยหลอด ซึ่งเป็น
แรมซาร์ไซด์ ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง และมีคุณค่าสำหรับการใช้ประโยชน์
ของมนษุ ย)์
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
16
พื้นที่ต้นน้ำมีสภาพธรรมชาติที่มีธรณีสัณฐาน เป็นทั้งแหล่งน้ำ ถ้ำ น้ำตก
แก่ง เกาะกลางน้ำ ซึ่งมีศักยภาพในการรองรับการพัฒนาท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และการ
ท่องเทีย่ วแบบผจญภยั
มีศักยภาพในการรองรับการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม
ชุมชนมีการต้ังถนิ่ ฐานและใชช้ วี ติ ริมน้ำ ซง่ึ มคี วามผกู พนั กับสายนำ้ ทงั้ การใช้น้ำเพื่อการ
อปุ โภคบริโภค การเกษตรกรรม การสัญจรทางน้ำ ตง้ั แตอ่ ดีตจนถึงปจั จบุ นั
มีศักยภาพในการปลูกพืชเศรษฐกิจหลัก Top 5 ของประเทศ ได้แก่ ข้าว
ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมีศักยภาพในการ
บริหารจัดการการผลิต การแปรรูป การตลาดแบบครบวงจร เพื่อเชื่อมโยงความมั่นคง
ด้านอาหาร อาหารสตั ว์ อตุ สาหกรรมแปรรปู และพลงั งาน
มีศักยภาพในการพัฒนาพลังงานทดแทน เช่น พลังงานน้ำพลังงานลม
พลังงานแสงอาทิตย์ และมีทรัพยากรแร่ที่มีค่า สามารถรองรับการพัฒนาโครงสร้าง
พนื้ ฐาน และพัฒนาอุตสาหกรรม
พื้นที่ลุ่มน้ำได้รับผลประโยชน์จากนโยบายที่สำคัญระดับประเทศ ได้แก่
ยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ และยุทธศาสตร์การ
พัฒนาภาคเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งได้กำหนดไว้ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12
นอกจากนี้ ยังได้รับผลประโยชน์จากนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ในรูปแบบ
คลัสเตอร์ของจงั หวัดกาญจนบุรี ซึง่ อยใู่ นคลสั เตอร์ด้านอตุ สาหกรรมเกษตรแปรรูป และ
ดา้ นสง่ิ ทอและเคร่ืองนุง่ หม่
มีโครงการด้านทางหลวงขนาดใหญ่ของประเทศ เช่น แผนพัฒนาโครงข่าย
ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (ช่วงบางใหญ่-บ้านพุน้ำร้อน กาญจนบุรี) โครงการพัฒนา
เส้นทางถนนเชื่อมโยงระหว่างบ้านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี กับเมืองทวาย
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
17
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โครงข่ายทางหลวงอาเซียนในประเทศไทย (บ้านพุน้ำ
ร้อน ชายแดนไทยพม่า ไปสิ้นสุดที่อำเภอหาดเล็ก จังหวัดตราด) และโครงการเส้นทาง
รถไฟระหว่างท่าเรือแหลมฉบัง-ท่าเรือน้ำลึกทวาย เป็นต้น นโยบายดังกล่าวสามารถ
ดึงดดู นกั ลงทุนในภาคอตุ สาหกรรม และยังจะทำใหต้ ลาดแรงงานขยายตัวเพ่มิ ขน้ึ
อยู่ในแนวศูนย์กลางระเบียงเศรษฐกิจของภาคตะวันตก ซึ่งมีศักยภาพใน
การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและเมืองประตูการค้า บริเวณจังหวัดกาญจนบุรี และยัง
เป็นพื้นที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจและการขนส่งกับกรุงเทพฯ และจังหวัดชายฝั่งทะเล
ตะวันออก ที่เชื่อมโยงกบั แผนงานพฒั นาระเบียงเศรษฐกิจตะวนั ออก (EEC) อีกดว้ ย
ปั ญหาของพ้นื ที่ล่มุ น้าแม่กลอง
มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินไปเป็นชุมชนที่อยู่อาศัย
ตลอดจนพื้นที่อุตสาหกรรมและการค้า นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มการตั้งถิ่นฐานของ
ประชากรขยายตัวมานอกเขตเทศบาล และการอุตสาหกรรมต่อเนื่องจากภาค
การเกษตรท่เี พมิ่ มากขน้ึ ด้วย
มีการบุกรุกหรือรุกล้ำพื้นที่ป่าต้นน้ำ เพื่อทำการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
และทำเหมืองแร่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ และแหล่งน้ำต้นน้ำ
ลำธาร จําเป็นต้องมีโครงการอนุรักษ์และฟ้ืนฟูป่าต้นน้ำ (อาทิ ป่าที่ถูกบุกรุกในพื้นที่
อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี) และพบปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินซ้อนทับกับพื้นท่ี
ปา่ ไม้ เนือ่ งจากพ้ืนทกี่ ว่าร้อยละ 70 ของลมุ่ นำ้ เป็นพ้นื ท่ีปา่
พื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง จัดอยู่ในแนวรอยเลื่อนที่มีพลัง จึงมีโอกาสเสี่ยง
ที่จะได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติเช่นแผ่นดินไหว หลุมยุบ และการลื่นไถลของดนิ
รวมทั้งมีปัญหาการพังทลายและการสูญเสียหน้าดิน จากการปลูกพืชในที่ลาดชัน และ
ปัญหาการกดั เซาะ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
18
พบปัญหาการทรุดตัวของแผ่นดนิ จากการใช้น้ำใต้ดินเกนิ ศักยภาพในลุ่มน้ำ
แม่กลองตอนล่าง และพบการเกิดแผ่นดินทรุดบริเวณที่ลุ่มปากแม่น้ำ ซึ่งส่งผลต่อ
การระบายน้ำในฤดูฝน
มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย ใน 2 ลักษณะคือ 1) น้ำป่าไหลหลากและ
น้ำท่วมฉับพลันจากฝนตกหนัก ในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลองตอนบน 2) ปัญหาน้ำท่วม
และนำ้ ลน้ ตล่ิง ในเขตท่ีราบล่มุ แม่นำ้ แม่กลองตอนลา่ ง เนอ่ื งจากมพี น้ื ทล่ี ำนำ้ ลดลง และ
เส่อื มโทรมลงไป
มีปัญหาด้านคุณภาพน้ำที่มีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง รวมทั้งการปนเปื้อนของ
น้ำใต้ดิน และมลภาวะจากภาคเกษตรกรรม (อาทิ จากการเลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูก
และการเพาะเล้ยี งสตั วน้ำ) โดยเฉพาะในบริเวณตอนล่างและปากแม่นำ้
นอกจากนี้ ที่ราบริมแม่น้ำแม่กลองในเขตจังหวัดราชบุรีและสมุทรสงคราม มี
ปัญหาน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนน้ำเสียจากฟาร์มสุกร (ซึ่งพบจํานวน
สุกรในหนาแน่นมากที่สุดในเขตจังหวัดราชบุรี) และมีปัญหาการเสื่อมโทรมของพื้นที่
ชายฝั่งทะเลบริเวณปากแม่น้ำ โดยพื้นที่จังหวัดสมุทรสงครามเป็นบริเวณที่พบปัญหา
อยา่ งชดั เจน
มีการขาดน้ำในลุ่มน้ำสาขาและพื้นที่ต้นน้ำ โดยเฉพาะบริเวณด้าน
ตะวันออกเฉียงเหนือ (เขตติดต่อกับลุ่มน้ำท่าจีน อำเภอเลาขวัญ และ อำเภอห้วย
กระเจา) พื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดสุพรรณบุรี มีปัญหาการ
ขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร เนื่องจากการมีพื้นท่ี
การเกษตรมาก
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
19
มีสภาพขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่นอกเขตชลประทาน เนื่องจาก
ขาดแหล่งเกบ็ กกั น้ำและการพัฒนาระบบกระจายน้ำอยา่ งทวั่ ถึง อน่ึง ในพืน้ ที่ลมุ่ นำ้ หว้ ย
ตะเพินและลําภาชี มีสภาพขาดแคลนน้ำเนื่องจากสภาพภูมิประเทศ อย่างไรก็ตาม
พน้ื ที่มีศักยภาพสาํ หรับการพัฒนาแหล่งเกบ็ กกั น้ำในลักษณะที่เปน็ โครงการขนาดเลก็ ได้
พบปัญหาการบริหารจัดการระบบลุ่มน้ำและการจัดการน้ำ ท่ีไม่สัมพันธ์กัน
ขาดประสิทธิภาพในการดําเนินงานภายใต้ระบบจังหวัด ทั้งน้ี เนื่องจากการขาดการ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้ การมีหน่วยงานหลักจำนวนมากเกินไป และการทำงานที่ยังขาด
การประสานงานอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
พรมแดนด้านตะวันตกที่ติดต่อกับสหภาพเมียนมาร์ มีทั้งจุดผ่านแดนถาวร
จุดผ่อนปรน และช่องทางธรรมชาติ ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงภัยทางด้านความมั่นคง (อาทิ
ปัญหาการเขา้ เมือง และปญั หายาเสพตดิ )
ข้อจากัดของพ้นื ท่ีล่มุ น้าแมก่ ลอง
พื้นที่ลุ่มน้ำด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือเปน็ พื้นที่อับฝน มีปริมาณน้ำฝนน้อย
จึงทำให้เกิดความแห้งแล้ง ทั้งนี้ เกิดจากอิทธิพลของเทือกเขาตะนาวศรีท่ีขวางกั้น
ทิศทางลมมรสุม ทำให้มีฝนน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ลุ่มน้ำ
แควน้อย)
การขยายพื้นที่ชลประทานเพิ่มเติมทําได้จํากัด ยกเว้นพัฒนาลุ่มน้ำย่อย
(ลําภาชี ลำตะเพิน) หรือบริเวณท้ายเขื่อนแควน้อย โครงการชลประทานมักกระจุกตัว
ในพื้นท่ีทางตอนล่าง ทำให้ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ของพื้นที่ทางตอนล่าง มีค่าสูงกว่าในพื้นท่ี
ทางตอนบนมาก
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
20
ในปัจจบุ ัน ลุ่มน้ำแม่กลองในภาพรวมท้ังลุ่มน้ำ มีศักยภาพของทรัพยากรนำ้
เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญในการจัดสรรน้ำของพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง มี 3
ด้าน ได้แก่ 1) การใช้น้ำหลักเพื่อการชลประทานและการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ 2) การผัน
น้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองไปสนับสนุนลุ่มน้ำลุ่มน้ำท่าจีนและลุ่มน้ำเจ้าพระยา และ 3) การ
ใช้น้ำเพื่อปกป้องระบบนิเวศปากแม่น้ำ (ในช่วงฤดูแล้ง มีความต้องการน้ำเพื่อรักษา
ระบบนิเวศประมาณ 5,400 ล้านลูกบาศก์เมตร และเพื่อผลักดันน้ำเค็มอีกประมาณ
1,500 ลา้ นลูกบาศกเ์ มตร)
ลักษณะของการใช้น้ำต้นทุนร่วมกันดังกล่าว จำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยน
ข้อมลู และการวางแผนบรหิ ารจดั การร่วมกันอย่างรัดกมุ อยา่ งไรก็ตาม ในปัจจุบันพบว่า
แนวทางการบริหารงานตามระบบของแต่ละจังหวดั มีความแตกตา่ งจากแนวทางบรหิ าร
พนื้ ทต่ี ามลักษณะทางชลศาสตรข์ องลุ่มน้ำ ซ่ึงเปน็ ขอ้ จำกดั ในการบริหารจดั การน้ำอย่าง
เหมาะสม
สถานการณใ์ นภาพรวมและแนวทางการพฒั นา
สถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง พบว่าเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพท้ัง
ด้านเศรษฐกิจการค้า การเกษตร และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังมีความหลากหลาย
ในการใช้ประโยชน์พื้นที่ ซึ่งมีทั้งชุมชนเมือง ศูนย์กลางการค้าการบริการ พื้นที่อนุรักษ์
พื้นที่ทรัพยากรป่าไม้และแหล่งน้ำ พื้นที่ชุมชนการเกษตรและที่ราบการเกษตรเชิงเขา
พน้ื ที่ปา่ ชายฝงั่ ทะเล ตลอดจนพนื้ ที่ทางการประมง และทรพั ยากรชายฝั่ง อย่างไรก็ตาม
พบว่าการพัฒนาที่ผ่านมาส่งผลให้พื้นที่ชุมชนและการท่องเที่ยวมีการเติบโตอย่าง
รวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ก็พบแนวโน้มของปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภค และน้ำเพื่อ
การเกษตร และปัญหาการบุกรุกพืน้ ทป่ี า่ ไม้ และพ้นื ท่ีปา่ ชายเลนมากขนึ้ เรอ่ื ย ๆ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
21
เมื่อพิจารณาถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลองในอนาคต
พบว่าโดยรวมได้รับอิทธิพลจากนโยบายของรัฐ ซึ่งตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของ
กระแสโลก ซ่ึงจะมุ่งเนน้ การพัฒนาทางเศรษฐกิจ ท้ังภาคเกษตรกรรม ภาคอตุ สาหกรรม
ภาคบริการ และการท่องเที่ยว นอกจากนี้ จะเป็นการเชื่อมโยงสู่เศรษฐกิจในระดับ
อนุภูมิภาคและภูมิภาค โดยตามยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ในพื้นที่ลุ่มน้ำ
แม่กลอง มุ่งส่งเสริมจังหวัดในพื้นที่ให้เป็นเมืองเกษตรอุตสาหกรรมปลอดภัย ซึ่ง
สามารถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตและแปรรูปภาคเกษตร ควบคู่ไปกับ
การอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม
นอกจากนี้ ยังมุ่งส่งเสริมศักยภาพด้านการท่องเที่ยว (การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม)
รวมทั้งส่งเสริมการพฒั นาการคา้ และการลงทนุ ระดับสากล และการคา้ ผ่านแดนสู่เอเชีย
การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจของภาคตะวันตก ที่มีจังหวัดในพื้นที่ลุ่มน้ำ
แม่กลองอยใู่ นแนวศนู ย์กลาง ตลอดจนการวางแผนพฒั นาพ้นื ทใ่ี ห้เช่ือมโยงกับกรุงเทพฯ
และจังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันออก ภายใต้โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก
จะส่งผลทำให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์มารองรับ นโยบาย
ดังกล่าว สามารถดึงดูดนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรม และจะทำให้ตลาดแรงงานมีการ
ขยายตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ไปเป็นที่อยู่อาศัย และพื้นที่อุตสาหกรรมมากขึ้น การค้า จะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึน้ มากกว่า
การเกษตร และมีแนวโน้มการตั้งถิ่นฐานของประชากร ขยายตัวไปนอกเขตเทศบาล
มากยิง่ ขน้ึ ด้วย
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
22
สำหรับในเชิงของการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง ใน
ภาพรวมปัจจุบันพบว่า มีปริมาณน้ำค่อนข้างพอเพียง โดยเขื่อนศรีนครินทรและเขื่อน
วชิราลงกรณ สามารถควบคุมปริมาณน้ำในลุ่มน้ำได้ถึงร้อยละ 65 อย่างไรก็ตาม พบว่า
การใช้น้ำยังมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลไม่ดีพอ นอกจากนี้ การบริหารจัดการน้ำ
ยังมีปัญหาด้านการกระจายตัว และปัญหาด้านความเท่าเทียมกันในการใช้น้ำของ
ผู้อยู่ต้นน้ำและท้ายน้ำ ซึ่งหากในระยะต่อจากนี้ มีความต้องการใช้น้ำรวมทุกกิจกรรม
เพ่ิมมากขึน้ ถึงประมาณรอ้ ยละ 70 ของปรมิ าณน้ำทา่ ในลุ่มนำ้ (ไม่รวมความตอ้ งการน้ำ
เพื่อการเกษตรนอกเขตพื้นที่ชลประทาน) ซึ่งนับเป็นระดับใกล้เคียงกับค่าเฉล่ีย
ของปริมาณน้ำต้นทุนที่มี ก็อาจเกิดปัญหาในภาพกว้างต่อการจัดสรรน้ำให้เพียงพอ
โดยเฉพาะในปีที่มีปริมาณน้ำท่าต่ำลงกว่าค่าเฉลี่ยเดิม ซึ่งอาจจะทำให้เราขาดแคลน
มวลน้ำในอนาคตอนั ใกลน้ ไ้ี ด้
ด้วยเหตุดังกล่าว การบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำ และ
ส่งเสริมประสิทธิภาพในการจัดส่งน้ำ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ และนอกจากประเด็นในด้าน
ปริมาณน้ำแล้ว การเร่งรัดแก้ปัญหาในด้านคุณภาพของน้ำ มลภาวะ และปัญหาด้าน
ความเสอื่ มโทรมของระบบนิเวศและทรัพยากร ในพ้ืนทีล่ ่มุ น้ำทเี่ กิดข้ึน ยังนับเปน็ เร่ืองท่ี
ทุกภาคส่วนควรพิจารณาร่วมกันอย่างจริงจัง เพื่อการวางแผนบริหารจัดการลุ่มน้ำ
ได้อย่างเหมาะสม และเกิดความยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ตาม
เปา้ ประสงค์ ทที่ ุกภาคสว่ นตอ้ งการให้เกดิ ขน้ึ ต่อไป
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
23
บทท่ี 2
คณุ ค่าและความเช่ือมโยงของระบบนเิ วศทางนา้
จากพ้นื ที่ต้นน้าส่ชู ายฝ่ั ง
Worth and Linkage of Aquatic Ecosystem from
Upstream through Coastal Zone
“นิเวศวิทยา ดูเหมือนจะยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับผู้คนทั่วไป อาจ
เพราะว่าจับต้องได้ยาก และเมื่อลองจินตนาการแล้ว ก็รู้สึกยังไกลตัว ไม่เห็น
ผลกระทบ ทจี่ ะมาเกิดข้ึนกบั ตนเองไดอ้ ย่างชัดเจน”
ทรรศนะหรอื มุมมองดังกล่าว เกิดเนื่องจากในสังคมปัจจุบันของเรา การพัฒนา
ฐานความรู้ มักไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทัน กับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในยุคโลกาภิวัฒน์
ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนท่ีเกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว โดยมุ่งเน้นการพัฒนาให้เกิดสังคมเมือง
ซึ่งมีโครงสร้างทางกายภาพท่ีทันสมัย และมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาทางเศรษฐกิจ ซึ่ง
ต้องการเห็นภาพของการเปลี่ยนแปลงในเชิงรูปธรรม อาทิ การปรับโครงสร้างผังเมือง
หรือกระตุ้นผลผลิตที่มีมูลค่าสูงทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้น เพื่อบรรลุตามเป้าหมาย หรือ
ตัวชวี้ ัดท่ีกำหนด
แต่เมื่อเราหันมา ค่อย ๆ พิจารณาลักษณะทางธรรมชาติในบ้านเมืองของเรา
จะพบว่าพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย (รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเขตร้อน
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
24
เช่นเดียวกันน้ี) มักจะมีลักษณะของระบบนิเวศแหล่งน้ำที่ซับซ้อน และประกอบด้วย
ทรัพยากรธรรมชาติ ซ่ึงมคี วามหลากหลายทางชีวภาพทีส่ งู มาก อยเู่ ปน็ พ้นื ฐาน
โดยทั่วไป ธรรมชาติของประเทศในภูมิภาคเขตร้อน มักจะมีลักษณะของระบบ
นิเวศที่มีความจำเพาะ ข้อมูลความรู้จากหนังสือ Fish for Life (Kulbicki 2005) ได้
กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นลักษณะทางกายภาพ ภูมิสัณฐานวิทยา ตลอดจนองค์ประกอบ
ทางเคมี หรือทรัพยากรสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ระบบนิเวศภูมิภาคในเขตร้อนมักจะมี
“ความต้านทานการเปลี่ยนแปลงสูง” (High resistance) ในขณะเดียวกัน ก็เป็น
ระบบนเิ วศทม่ี ีลักษณะของ “ความยดื หยนุ่ ต่ำ” (Low resilience)
สภาวะของธรรมชาติดังกล่าว จึงสะท้อนให้เราเห็นถึงภาพที่ระบบนิเวศ
มักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้ช้า หรือเกิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งอาจจะทำให้
เราติดตามการเปล่ียนแปลงได้ยาก หรอื เห็นผลไมช่ ดั เจน อย่างไรกต็ าม หากระบบนิเวศ
และทรัพยากรท่ีเรามี ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต้นบางอย่างมาอย่างต่อเนื่อง หรือมี
ระยะเวลาท่ียาวนานพอ จนทำให้ระบบนิเวศและทรัพยากรเกิดการเปล่ียนแปลง
ไปอย่างมาก จนเกิดความเสื่อมโทรมลงไปแล้ว ก็จะเป็นเรื่องยาก ท่ีเราจะฟื้นฟู
หรือปรบั เปลีย่ นระบบนิเวศและทรัพยากรตา่ ง ๆ ให้กลบั มาเหมอื นดงั เดมิ
ด้วยธรรมชาติของระบบนิเวศในภูมิภาคเขตร้อนนี้ การรณรงค์ให้ผู้คนในภาค
ส่วนต่าง ๆ ทั้งภาคส่วนที่เป็นผู้ออกระเบียบมาตรการหรือนโยบายทางการอนุรักษ์
ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนชุมชน สังคม และผู้คนที่จะต้องดำเนินตาม
นโยบายที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ นั้น ได้ร่วมกันให้ความสำคัญกับการดำเนินการอย่างจริงจัง
จึงอาจจะเป็นเรื่องยาก ทั้งนี้ เนื่องจากการรับรู้ในเชิงประจักษ์ ถึงผลกระทบจากการ
เปลยี่ นแปลง หรอื การตระหนกั ถึงความเสื่อมโทรมท่คี ่อย ๆ เกดิ ขึ้นนน้ั มักใช้ช่วงเวลาที่
ยาวนานกวา่ 3 – 5 ปี ขน้ึ ไป
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
25
การประมวลความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม และ
ผลกระทบที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเขตร้อนในทางวิชาการ เราจึงจำเป็นต้องใช้ฐานข้อมูล
จำนวนมาก ที่มีช่วงระยะเวลาของการศึกษาในพื้นที่หนึ่ง ๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย
ประมาณ 10 – 20 ปี มาวิเคราะห์ และประมวลผล เพอื่ ใหเ้ ห็นถึงความเปน็ ไป ตลอดจน
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัจจัยเหตุต่าง ๆ ในการนี้ หากทำการวิเคราะห์ผลในเชิง
การอนุมาน หรือทำนายสภาวการณ์ที่จะเกิดในระยะต่อ ๆ ไป ยังจะก่อให้เกิดมุมมอง
เชิงรุก เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากร หรือวางแผนบริหารจัดการระบบนิเวศของเขตลุ่มน้ำ
ต่าง ๆ ที่มีในพื้นที่บ้านเมืองของเรา ให้คงความอุดมสมบูรณ์ และสามารถใช้ประโยชน์
ได้อยา่ งคุ้มคา่ ต่อไปได้
คำถาม ที่เป็นโจทย์เหนี่ยวนำ ให้ทุกคนหันมาตระหนักถึงความสำคัญของ
ระบบนิเวศทางน้ำ มักจะเป็นคำถามว่า “ปีนี้ เราจะมีน้ำพอไหม... น้ำจะท่วมไหม...
หรอื ภาคส่วนต่าง ๆ ในพน้ื ท่ี จะตอ้ งเตรียมการรับมือกนั ชว่ งไหน ทำอย่างไรดี ...”
ซึ่งเมื่อพิจารณาให้ถ่องแท้ จะพบว่าส่วนใหญ่เป็นความกังวล ถึงผลกระทบใน
ระยะสั้น หรือเป็นปัญหาเฉพาะหน้า ตามช่วงฤดูกาล ตามรายเดือน หรือ รายปีนั้น ๆ
โดยยังขาดการคิดคำนึง ให้ครอบคลุมไปถึงระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น นอกจากนี้ ยังขาด
ข้อคำถาม ในด้านผลจาก มวลน้ำ และ คุณภาพของน้ำ ที่จะสามารถก่อให้เกิด
ผลกระทบต่อทรพั ยากรธรรมชาติ รวมทั้งต่อการผลิตพืชผลทางการเกษตร และทางการ
ประมง ในชว่ งระยะทย่ี าวนานขึ้น อาทิ ในชว่ ง 5 – 10 ปี ตอ่ จากนี้ ซ่งึ นบั เปน็ ประเด็นท่ี
ระบบนิเวศทางน้ำ จะมีบทบาทความสำคัญต่อการดำเนินอาชีพ และเกี่ยวข้องโดยตรง
ตอ่ คณุ ภาพชวี ิตของผู้คนในพ้นื ที่ลมุ่ น้ำ
จากประเด็นดังที่กล่าวข้างต้น การวางแผนระยะยาว ในเรื่องของ มวลน้ำ
และ คณุ ภาพของนำ้ ตลอดจนการรักษาระบบนเิ วศทางนำ้ ใหม้ ีเสถียรภาพยาวนานที่สุด
นับเป็นเรื่องท่ีจำเปน็ ที่เราทุกคนควรไตร่ตรองอย่างพินจิ พิเคราะห์ และร่วมกันวางแผน
อย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตาม การวางแผนระยะยาวดังกล่าว จำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
26
ข้อมูลย้อนหลังที่มี และประมวลความรู้ในภาพรวม โดยผนวกเอาความรู้ ทั้งจากงาน
ทางวชิ าการ งานวจิ ัยในพน้ื ที่ รว่ มกับองคค์ วามร้ทู ีม่ าจากประสบการณ์ของผูร้ ู้ ตลอดจน
ภูมิปัญญาของชุมชนในท้องถิ่น โดยควรตระหนักว่า “ยิ่งคิดวางแผนไกล ยิ่งต้องมอง
ยอ้ นกลับ ไปใหไ้ กล” เท่าทเ่ี ราจะทำได้
ในการพัฒนาความคิดในแง่มุมต่าง ๆ นั้น มีโจทย์คำถามสำคัญที่ควรคำนึงถึง
อาทิ
1) เราควรดูแลรักษาระบบนิเวศอย่างไร และอนุรักษ์ทรัพยากรหลักชนิดใด ให้
คงอยู่ไวใ้ นพ้นื ท่ีล่มุ นำ้ แห่งน้ี
2) เราควรมีแผนการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อย่างไร ควรใช้ได้เท่าไร จึงจะ
สามารถดำรงไว้ซึ่งทรัพยากร อาชีพ และคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คนในท้องถิ่นในระยะ
ยาว และ
3) ควรมีใครบ้าง ที่จะมาร่วมรับผิดชอบในการดำเนินการ หรือมามีบทบาท
เก่ียวข้องกับการจัดการน้ำ และระบบนิเวศทางน้ำ เพ่ือให้เกิดประสทิ ธผิ ลตามเป้าหมาย
ได้อย่างเปน็ รปู ธรรม
การวางแผนบริหารจัดการระบบนิเวศ และสิ่งแวดล้อมทางน้ำในระยะยาว
อย่างรัดกุม จะสร้างสรรค์ให้เกิดการพัฒนาเชิงอนุรักษ์ที่มีประสิทธิภาพ และส่งเสริม
เสถียรภาพ ในการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางน้ำ ให้เกิดได้อย่างยั่งยืน ซึ่งในการนี้
เราจำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านลักษณะความเชื่อมโยงของน้ำในระบบนิเวศ ในตลอด
เส้นทางการไหลภายในลุ่มน้ำ และความรู้ในด้านสถานการณ์ การเปลี่ยนแปลง และ
คุณค่าของน้ำและทรัพยากรทางน้ำท่ีเรามี ตลอดจนควรทราบแนวทาง หรือทางเลือก
ในการจัดสรรน้ำอย่างรัดกุม เพื่อการดูแลคุณภาพน้ำอย่างเหมาะสม ซึ่งในภาพรวม
ความรู้พื้นฐานที่สำคัญ ประกอบไปด้วยประเด็นที่เกี่ยวข้องในด้านธรรมชาติของระบบ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
27
นเิ วศแหลง่ น้ำไหล ด้านทรัพยากรมีชีวติ ทางน้ำ และด้านการบริหารจดั การทรัพยากรน้ำ
ซึ่งมีรายละเอียด ดงั ต่อไปนี้
2.1) ลักษณะจาเพาะของระบบนิเวศแหล่งน้าไหล
การเชื่อมโยงจากต้นน้าถึงปลายน้า
ธรรมชาติของแหล่งน้าไหล
ระบบนิเวศแหล่งน้ำไหล เช่น ในพื้นที่แม่น้ำ มีลักษณะทางธรรมชาติท่ีแตกต่าง
จากระบบนิเวศอื่น ๆ ที่เห็นได้เด่นชัดที่สุด คือ การที่มวลน้ำภายในมีการเคลื่อนตัว
อยู่ตลอดเวลา การไหลของมวลน้ำในพื้นที่แม่น้ำ มักมีทิศทางไปในทางเดียวกันในเขต
พื้นที่ของลำน้ำช่วงหนึ่ง ๆ ซึ่งความเร็วในการไหลของน้ำมักจะมีค่าสูง ในบริเวณ
แนวกลางรอ่ งน้ำ และลดต่ำลงในบรเิ วณใกลข้ อบฝง่ั หรือในบรเิ วณทพี่ บส่งิ กดี ขวาง
ลักษณะทางสัณฐานวิทยา อาทิ ความกว้าง ความลาดชัน และสิ่งกีดขวางทาง
กายภาพท่มี ใี นลำน้ำ เปน็ ปจั จัยสำคญั ที่ทำใหค้ วามเรว็ ในการไหลของน้ำเปล่ียนแปลงไป
ความเร็วในการไหลของน้ำยังได้รับอิทธิพลจากการเสียดทานหรือแรงต้านที่มาจาก
บริเวณพื้นท้องน้ำ (ซึ่งอาจเป็นพื้นโคลน ทรายหรือหิน ที่แตกต่างกันไปในแต่ละแห่ง)
นอกจากนี้ การเจริญของพรรณไม้น้ำอย่างหนาแน่น ก็นับเป็นปัจจัยที่มีผลทำให้
ความเรว็ ในการไหลของนำ้ ลดลงได้ (ภาพท่ี 2-1)
ลักษณะการเคลื่อนตัวของน้ำดังกล่าว มีความสำคัญมาก โดยจะมีบทบาท
ความเชื่อมโยงไปสู่การเปลี่ยนแปลงสภาพของแหล่งที่อยู่อาศัยของทรัพยากรทางน้ำ มี
บทบาทต่อลักษณะการถ่ายทอดพลังงานและอาหาร การหมุนเวียนแร่ธาตุ และ
กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีหรือธรณีเคมีในแหล่งน้ำ ซึ่งมีผลกระทบต่อ
ความหลากหลายทางชนิด และความเป็นอยู่ของทรัพยากรสิ่งมีชีวิตทางน้ำทุกประเภท
ท่มี ีในแหล่งน้ำท่เี ราพจิ ารณาน้นั ๆ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
28
ภาพท่ี 2-1 ลักษณะทางสณั ฐานวทิ ยาและสิง่ กีดขวางทางกายภาพตามลำนำ้
ที่มีบทบาทต่อลักษณะไหลและคุณภาพของมวลนำ้
การเคลอื่ นตวั ของมวลนำ้ อยา่ งต่อเนอื่ ง เกิดข้นึ ตงั้ แตช่ ั้นน้ำทีอ่ ยผู่ ิวบนสุด ลงไป
ถงึ บริเวณทช่ี ิดกับพืน้ ท้องนำ้ ทางดา้ นล่าง หากเรามีโอกาสได้ลงไปสมั ผสั และพิจารณาถึง
การเปลี่ยนแปลงด้วยตนเองอย่างจริงจังแล้ว จะเห็นได้ว่าในระบบของแม่น้ำมีการ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
29
เคลื่อนตัวของมวลน้ำทั้งในแนวราบ ในลักษณะการเคลื่อนเป็นเส้นทางตามลำน้ำ และ
การเคลือ่ นในแนวดิ่ง ท่ีมกี ารหมนุ วนลงแลว้ หมนุ กลับข้ึนมาเปน็ ระลอก ๆ
เมื่อพิจารณาบริเวณแม่น้ำโดยทั่วไป เรามักเห็นลักษณะของน้ำเพียงบริเวณ
ผิวหน้าน้ำ ซึ่งอาจเห็นถึงลักษณะของโครงสร้างของแม่น้ำ หรือพบความแตกต่าง
ระหว่างขอบฝั่งด้านหนึ่งกับอีกด้านหนึ่ง อย่างไรก็ตาม นับเป็นเรื่องสำคัญที่เราควร
จินตนาการให้เห็นภาพ ในมิติที่เชื่อมโยงต่อไปด้วยว่า ภายในสายของแม่น้ำแต่ละ
บรเิ วณนัน้ นับเปน็ บา้ น หรือเปน็ แหล่งทีอ่ ยูอ่ าศยั ของสง่ิ มชี ีวติ อย่างหลากหลาย ซ่ึงเป็น
ระบบนเิ วศทม่ี ีความสมดลุ อยใู่ นตัวเอง
อย่างไรก็ตาม มวลของน้ำที่ไม่หยุดนิ่ง จะมีการไหลเรื่อยลงไป ตามความ
ลาดชันของพืน้ ท่ี จากท่สี ูงลงสูท่ ่ีต่ำ โดยในระหว่างทางทีน่ ำ้ มีการเคลื่อนตัวไปนน้ั จะเกดิ
กระบวนการเคลื่อนย้ายถ่ายเท ของมวลสารต่าง ๆ ตามลักษณะทางกายภาพและทาง
เคมีของสารที่มี ในขณะเดียวกัน มวลสารอีกหลายประเภทในน้ำ ที่มีบทบาทต่อการ
เจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต (อาทิ แร่ธาตุอาหารที่ละลายน้ำ) ก็จะถูกสิ่งมีชีวิตในกลุ่มของ
พืชน้ำและแพลงก์ตอนพืชต่าง ๆ ดึงไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต เกิดการสร้างอินทรีย์สาร
ใหม่ ๆ ซึ่งหลังจากนั้น เมื่อเน่าเปื่อยหรือตายลงไป ก็สามารถหมุนเวียนกลับมาเป็น
สารอนนิ ทรยี ์ได้อกี โดยการถกู ยอ่ ยสลายเป็นวฎั จกั รเรื่อย ๆ ไปตามเสน้ ทางของสายนำ้
เมื่อเราเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงตามเส้นทางดังกล่าว จะตระหนักได้ว่าการ
เกิดของทรัพยากรสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ และความเป็นไป หรือการเปลี่ยนแปลงตามเส้นทาง
ของสายน้ำ ได้รับอิทธิพลทั้งจากปัจจัยด้านอัตรการไหล และคุณภาพของมวลน้ำ
ในแตล่ ะบริเวณ ซึง่ เรมิ่ ตง้ั แตจ่ ดุ กำเนดิ ของแม่นำ้ ลงมาจนถงึ พ้นื ทป่ี ลายน้ำ
จุดกำเนิดของแม่น้ำ ซึ่งอยู่ในเขตของพื้นที่ป่าต้นน้ำ ที่มีความอุดมสมบูรณแ์ ละ
มีความชุ่มชื้นสูง มักมีลักษณะเป็นลำห้วยน้ำตก หรือลำธารขนาดเล็ก การไหลของน้ำ
ในระบบนิเวศลำธารต้นน้ำในพื้นที่ป่านั้น ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากปริมาณน้ำฝนที่ตก
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
30
ลงมา และเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับสภาพความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ซึ่งบางครั้งเราอาจ
ไม่พบการไหลของน้ำเลย หากพื้นที่ป่าไม้ได้เกิดความเสื่อมโทรมลงไป หรือเป็นช่วงท่ี
เกดิ สภาวะของความแห้งแล้ง ซงึ่ มวลนำ้ ในลำธารต้นนำ้ จะแหง้ เหือดลงไปได้
น้ำจากลำห้วยน้ำตก หรือจากลำธารสายเล็ก ๆ จะไหลลงมาตามระดับของช้ัน
ความสงู ในพ้นื ท่มี ารวมตัวกนั ในแนวร่องเขา หรอื บรเิ วณที่ต่ำกว่า และเกดิ เป็นลำธารน้ำ
ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีมวลน้ำมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะไหลไปบนผิวดินแล้ว ยังเริ่มเกิด
เครือข่ายของน้ำใต้ดินที่อิ่มตัว และเชื่อมโยงสู่กัน และสามารถไหลไปรวมกับลำธาร
ขนาดเล็กอื่น ๆ ตามลักษณะทางภูมิสัณฐานวิทยาของพื้นท่ี เกิดเป็นภาพของลำน้ำย่อย
สายต่าง ๆ ที่ไหลรวมกัน แล้วกลายเป็นสายของแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งโดยรวม
ทำให้เกิดเครือข่ายของระบบลุ่มน้ำหนึ่ง ๆ ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันลงมา ทั้งน้ี
ลักษณะทางคุณภาพของมวลน้ำที่มี ยังเกิดจากอิทธิพลของการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง
ทางกายภาพของลำน้ำ และการใช้ที่ดินโดยรอบแหล่งน้ำที่เป็นกิจกรรมของชุมชน ซ่ึง
รวมทั้งการทิ้งนำ้ เสยี สารมลพษิ และสิง่ ปฏิกูลตา่ ง ๆ เข้าสูล่ ำนำ้ อกี ด้วย (ภาพที่ 2-2)
ภาพที่ 2-2 ลักษณะของการทง้ิ น้ำเสยี และกจิ กรรมทมี่ ผี ลกระทบตอ่ สถานการณ์
เชิงคุณภาพของระบบนิเวศทางน้ำ (ภาพโดย: ดร.บุณฑริกา ทองดอนพมุ่ )
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
31
แม่น้ำในพื้นที่ตอนล่างจะมีขนาดท่ีใหญ่ขึ้น มีมวลน้ำมากขึ้น ซึ่งในบางบริเวณ
ที่ค่อนข้างราบ แม่น้ำก็จะแผ่กว้างและตื้นขึ้น พร้อมทั้งมีอัตราไหลที่ลดลงไป แม่น้ำใน
พื้นท่ีตอนลา่ งสว่ นใหญ่นั้น มักไม่สะทอ้ นอทิ ธิพลของปริมาณนำ้ ฝน เหมอื นลำธารในเขต
ป่าต้นน้ำอีกต่อไป แต่การเปลี่ยนแปลงของอัตราไหล รวมทั้งระดับน้ำ จะได้รับอิทธิพล
จากปัจจัยที่ผสมผสานกันหลายอย่าง อาทิ จากลักษณะความลาดชันของพื้นที่
องค์ประกอบพื้นท้องน้ำหรือสิ่งกีดขวางในน้ำ และการบริหารจัดการน้ำเพื่อใช้ในการ
ชลประทาน หรอื เพ่ือใชใ้ นการอุปโภคบรโิ ภคสำหรบั ชุมชนโดยรอบ
ลักษณะของพ้นื ท้องน้าและบทบาทภายในล่มุ น้า
เมื่อพิจารณาถึงลักษณะของดินพื้นท้องน้ำ เราจะพบว่ามีองค์ประกอบของ
อนุภาค ลักษณะของพื้นผิว ตลอดจนความมีเสถียรภาพตามช่วงฤดูกาล ที่แตกต่างกัน
ไป ปัจจัยทางดินพื้นท้องน้ำ นับเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสนใจศึกษาติดตามในระบบ
นิเวศของแหล่งน้ำด้วย ทั้งน้ี เนื่องจากดินพื้นท้องน้ำ มีอิทธิพลเชื่อมโยงไปสู่ประชาคม
ของทรัพยากรสิง่ มชี วี ติ ตลอดจนมีผลตอ่ คุณสมบัติทางเคมขี องน้ำในแต่ละบรเิ วณ
การแพร่กระจายทางขนาดของอนุภาคในพื้นท้องน้ำ แสดงลักษณะทั่วไป
ที่สะท้อนระยะทาง จากต้นน้ำ สู่ปลายน้ำ ได้เป็นอย่างดี โดยเรามักจะพบก้อนหิน
ขนาดใหญ่ ในพื้นท่ีส่วนต้นของแม่น้ำที่มีน้ำไหลแรง แต่เมื่อเข้ามาสู่พื้นท่ีทางปลายน้ำ
หรือบริเวณที่มีน้ำไหลช้าลง ก็จะพบอนุภาคที่มีขนาดเล็กในสัดส่วนที่มากขึ้น ส่วน
อนุภาคที่ละเอียด มักพบในเขตที่ความเร็วน้ำลดลงมากพอที่อนุภาคเหล่าน้ัน
จะตกตะกอนลงได้ โดยมักเป็นบริเวณท่ีน้ำนิ่ง หรือในแอ่งที่น้ำหมุนวนในแนวข้างตล่ิง
ของแม่น้ำ หรือบริเวณที่มีวัตถุกำบัง การสะสมของอนุภาคขนาดเล็ก สามารถสะท้อน
การเพิ่มขึ้นของอินทรีย์สารในน้ำ โดยอนุภาคขนาดเล็กมักมีความผันแปรได้มากกว่า
อนุภาคขนาดใหญ่ ทั้งนี้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในความเร็วของน้ำเพียงเล็กน้อย
ก็จะทำใหเ้ กดิ การพัดพาออกไป หรือเปล่ียนแปลงลกั ษณะของการทบั ถมไปได้
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
32
ภาพท่ี 2-3 ลกั ษณะความแตกตา่ งของขนาดอนุภาค ที่พบไดใ้ นพื้นท้องนำ้ ของลุ่มนำ้
แมก่ ลอง (ภาพซ้าย เป็นกอ้ นหนิ ขนาดต่าง ๆ ภาพกลาง เป็นทรายหยาบ
สว่ นภาพขวา เปน็ โคลนปนทราย ตามลำดับ)
องค์ประกอบของขนาดอนุภาคในพื้นที่แม่น้ำแม่กลอง (ภาพท่ี 2-3) นับเป็น
ตัวอย่างหนึ่งของการผันแปรไปตามพื้นท่ีแต่ละบริเวณ ตามเส้นทางของแม่น้ำ
นอกจากนี้ ยังพบความแตกต่างของขนาดอนุภาคในแนวภาคตัดขวางของลำน้ำ
ได้อีกด้วย ซึ่งทั้งน้ี เกิดจากความเร็วของน้ำในแต่ละบริเวณ ที่มีความแตกต่างกันไป
นั่นเอง
โดยทั่วไป แม่น้ำในแต่ละบริเวณมักมีลักษณะของพื้นท้องน้ำทางกายภาพ
ที่เปลี่ยนแปลงไป ตามเวลาได้ค่อนข้างน้อย (เกิดจากอิทธิพลของอัตราการไหลของน้ำ
หรือปริมาณน้ำตามธรรมชาติ) อย่างไรก็ตาม หากมีการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหัน อาทิ
การเกิดน้ำทว่ มหลาก จะเปน็ ปรากฏการณท์ ีส่ ามารถเปลยี่ นสภาพบรเิ วณตล่ิงของแม่น้ำ
ทำให้เกดิ การกัดเซาะ พังทลาย และเกดิ การพดั พาเอากรวดทรายเข้าส่รู ะบบนิเวศแม่น้ำ
ได้ สภาวะที่เกิดน้ำท่วมหลากดังกล่าว มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแม่น้ำ ซ่ึง
หากมีการทับถมที่สูงเกินไป เรามักจะพบการเกิดสัตว์หน้าดินขนาดเล็ก ที่มีความ
ทนทานต่อการเปลี่ยนแปลง เจริญขึ้นมาทดแทนสัตว์ในกลุ่มหอยสองฝา และทำให้
เกดิ ผลกระทบต่อทรัพยากรหอยเศรษฐกจิ ตา่ ง ๆ ท่มี ใี นพื้นทไี่ ด้
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
33
ดินพื้นท้องน้ำในระบบนิเวศลุ่มน้ำ มีทั้งองค์ประกอบของสารอนินทรีย์
และสารอินทรีย์ผสมผสานกันอยู่ พื้นท้องน้ำของแม่น้ำลำธารในบริเวณต้นน้ำ
มักเป็นก้อนหินขนาดใหญ่จำนวนมาก และมีก้อนกรวด และทรายขนาดต่าง ๆ โดยมี
สารอนินทรยี ป์ ระกอบกนั เปน็ โครงสร้างหลักของพน้ื ท้องน้ำ ผสมผสานกบั ซากพรรณพชื
ที่เป็นอินทรีย์สารซึ่งเข้ามาเติมเต็มจากป่าไม้และพื้นที่โดยรอบ เมื่อลำน้ำไหลเบาลง
เข้าสู่ตอนกลางและตอนล่างของระบบนิเวศลุ่มน้ำ เราสามารถพบการตกตะกอน
ของอินทรีย์สารที่เกิดจากซากพรรณไม้ใต้น้ำ รวมทั้งแพลงก์ตอนพืชที่เกิดขึ้นในมวลน้ำ
ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ และส่งผลให้ดินพื้นท้องน้ำในพื้นที่ทางตอนล่าง มีปริมาณ
อนิ ทรียส์ ารในดนิ ทม่ี ากขึน้ เป็นลำดบั ลงมาตามเส้นทางของสายนำ้
อนง่ึ การประเมนิ ลักษณะทางคุณภาพและปริมาณของสารอินทรีย์ที่ตกตะกอน
ทับถมกัน หรือสะสมอยู่ในรูปแบบของซากพืชซากสัตว์ กิ่งไม้ ใบไม้ นับเป็นเรื่องท่ี
จำเป็นสำหรับอธิบายความอุดมสมบูรณ์ของปริมาณอาหาร หรือความเหมาะสมของ
แหล่งที่อยู่อาศัยบริเวณพื้นท้องน้ำ ซึ่งโดยทั่วไป เราพบว่าตะกอนที่มีขนาดเล็ก (< 1
มิลลิเมตร) มักมีคุณลักษณะในเชิงการเป็น “แหล่งอาหาร” มากกว่าเป็นแหล่งที่อยู่
อาศัยของสัตว์พื้นท้องน้ำ ในทางตรงกันข้าม ตะกอนที่มีขนาดใหญ่ รวมทั้งเศษกิ่งไม้
ใบไม้ หรือซากพืช ก็จะมีคุณลักษณะในการเป็น “แหล่งที่อยู่อาศัย” มากกว่าแหล่ง
อาหาร
การจำแนกขนาดดังกล่าวอาจมีข้อจำกัด เนื่องจากกิ่งไม้ ใบไม้ ที่มีขนาดใหญ่
สามารถเป็นอาหารที่ดีได้ด้วย (โดยเฉพาะสำหรับแมลงน้ำบางกลุ่ม ซึ่งอาศัยกัดแทะ
หรือกินสาหร่ายบนผิววัตถุ หรือกินซากใบไม้เป็นอาหาร) อย่างไรก็ตาม การพิจารณา
วัตถุพื้นท้องน้ำที่เป็นสารอินทรีย์ โดยจำแนกไปตามขนาดนั้น นับว่าเป็นประโยชน์
ต่อการศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงระยะยาว ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่โอกาสในการเกิด
ของประชาคมของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งประยุกต์ใช้ในการทำนายการเกิดทดแทนที่
โดยสงิ่ มีชีวิตชนิดอืน่ ๆ ไปตามชว่ งเวลา หรอื ตามฤดูกาลภายในของแหลง่ น้ำแตล่ ะพืน้ ที่
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
34
สำหรับพื้นท้องน้ำที่มีองค์ประกอบของพรรณไม้น้ำ หรือมีสาหร่ายขนาดใหญ่
เจริญเติบโตอยู่ มักจะอยู่ในสถานะของการเป็นแหล่งท่ีอยู่อาศัย หรือเป็นพื้นที่กำบัง
กระแสน้ำที่ดีสำหรับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กต่าง ๆ ได้มาอาศัยอยู่ พรรณไม้น้ำเหล่านั้น ยังมี
อิทธิพลต่อการตกตะกอนของอินทรีย์สารขนาดเล็ก และส่งผลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์
ของแหลง่ น้ำต่อไปได้
ความเช่ือมโยงจากต้นน้าจนถึงพ้นื ท่ีเขตทะเล
ธรรมชาติของแหล่งน้ำไหลประเภทแม่น้ำลำธารนั้น เราจะพบว่าสัตว์ไม่มี
กระดูกสนั หลังต่าง ๆ ในน้ำ โดยเฉพาะพวกที่เปน็ ผู้บริโภคมีจำนวนประชากรในปริมาณ
ที่มากกว่าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เป็นอาหาร นอกจากนี้ ยังพบว่าผลผลิตของปลา มักจะมี
คา่ ที่สงู มากเกนิ กว่าปริมาณสัตว์ไม่มีกระดกู สันหลังตา่ ง ๆ ที่มใี นนำ้ อย่างเห็นไดช้ ดั
ลักษณะท่ีปรากฏเช่นน้ี สะท้อนให้เห็นลักษณะของปิรามิดห่วงโซ่อาหาร ที่ฐาน
ของปิรามิดด้านล่าง มีขนาดเล็กกว่าปริมาณผลผลิตที่อยู่ในช่วงชั้นบน (เป็นลักษณะ
ของปิรามิดแบบกลับหัว) ข้อมูลความรู้นี้ ทำให้เราทราบว่าระบบนิเวศของแม่น้ำตาม
ธรรมชาติ มแี หล่งของอินทรยี ส์ ารอื่น ๆ ในน้ำ ทถ่ี ูกพดั พาเข้ามาจากภายนอกระบบของ
แมน่ ้ำ ซึง่ หมายถึง การทแี่ หลง่ แม่น้ำของเรา จำเปน็ ต้องมีการเติมเตม็ ความอดุ มสมบูรณ์
มาจากซากพืช ซากสัตว์ และอินทรีย์สารจากแผ่นดิน ที่ถูกชะล้างหรือพัดพาเข้าสู่
แหล่งน้ำ เพื่อให้เกิดเป็นฐานของอินทรีย์สารในระบบนิเวศแม่น้ำ ที่เพียงพอสำหรับ
การผลิตทรพั ยากรสัตวน์ ำ้ ท่ีสำคัญต่าง ๆ ต่อไปได้
สำหรับในระบบนิเวศแม่น้ำตอนถัดลงมา ที่มวลน้ำเคลื่อนตัวช้าลง ภายในน้ำ
จะเกิดการสร้างอินทรีย์สารในตัวเองได้เพิ่มขึ้น จากการเจริญของผู้ผลิตขั้นต้น ที่เป็น
พวกสาหร่ายและพรรณไม้น้ำ อย่างไรก็ตาม ในแม่น้ำตอนปลายสุด ที่มวลน้ำมักจะมี
ความขุ่นมากขึ้น ผู้ผลิตขั้นต้นดังกล่าวมักไมส่ ามารถเจริญเติบโตได้ดี ซึ่งโดยทั่วไปเราจะ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
35
พบแพลงก์ตอนพืช ที่เป็นกลุ่มของสาหร่ายขนาดเล็กที่ล่องลอยอยู่ในมวลน้ำ เกิดการ
เจริญทดแทนท่ีข้นึ มา
พื้นที่ตอนปลายสุดของระบบนิเวศแม่น้ำ เป็นบริเวณที่มีการใช้ประโยชน์จาก
มนุษย์อย่างหนาแน่น ซึ่งมักเป็นแหล่งชุมชน ตลอดจนเป็นพื้นที่ทำการเกษตร หรือ
ประกอบกิจกรรมทางอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทำให้มีโอกาสได้รับอินทรีย์สารที่มาจาก
แหลง่ ภายนอกเหล่านัน้ ไดต้ ลอดเวลาด้วย (ภาพที่ 2-4)
ภาพที่ 2-4 ลกั ษณะพืน้ ที่ทางตอนลา่ งของลุม่ น้ำแมก่ ลอง ทพี่ บการสะสมของ
สารอนิ ทรยี ใ์ นน้ำในปริมาณมาก และมกั เกดิ ปญั หาต่อระดับออกซเิ จนละลายน้ำ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
36
ลักษณะเช่นนี้ ทำให้ในระบบนิเวศแม่น้ำตอนปลายสุด มักมีการใช้ปริมาณ
ออกซิเจนเพื่อการย่อยสลาย ที่สูงกว่าออกซิเจนที่เกิดจากการผลิตโดยแพลงก์ตอนพชื ท่ี
มี และทำใหแ้ หล่งนำ้ ขาดออกซเิ จน ในบางชว่ งเวลาได้
อนึ่ง การเปลี่ยนแปลงสภาพระบบนิเวศอย่างชัดเจน อาทิ การตัดไม้ทำลายป่า
ในเขตพื้นท่ีป่าต้นน้ำ การสร้างเขื่อนหรือสิ่งกีดขวางเส้นทางการไหลของน้ำ ในพื้นท่ี
ลำน้ำตอนกลาง นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระบบนิเวศของแมน่ ้ำในภาพรวม ได้รับการ
กระทบกระเทือน โดยเฉพาะประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำ ความเร็วของน้ำ
ตลอดจนปริมาณอินทรีย์สารที่เป็นอาหารธรรมชาติในน้ำ ซึ่งเหล่านี้ จะส่งผลต่อ
การเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำ และทำให้เกิดผลกระทบต่อสมดุลการผลิตทรัพยากร
สตั วน์ ำ้ ในระบบนิเวศแม่น้ำอย่างตอ่ เน่อื งไปได้
ความรู้ความเข้าใจในโครงสร้างของแม่น้ำ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงตาม
เสน้ ทางของระบบแมน่ ้ำ ดงั ที่กลา่ วมาขา้ งต้น จะทำใหเ้ ราสามารถวางแผนศึกษาติดตาม
สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่เขตต่าง ๆ ของแม่น้ำได้อย่างรัดกุม โดยสามารถจำแนก
ไปตามระบบลุ่มน้ำส่วนต่าง ๆ และประเมินผลกระทบจากปัจจัยเหตุ ที่มีความแตกต่าง
กันออกไป ทั้งนี้ เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ทั้งด้านปริมาณน้ำ และด้าน
คณุ ภาพน้ำ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธผิ ลต่อไป
2.2) คณุ ค่าของระบบนิเวศแหล่งน้าไหล
แม่น้ำเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรน้ำ ซึ่งเป็นตัวแปรที่สำคัญในการแลกเปลี่ยน
ถ่ายเท ทำให้เกิดสมดุลของระบบน้ำบนผิวโลก แม่น้ำยังเป็นกลจักรสำคัญในการ
เคลื่อนย้ายถ่ายเทเอาแร่ธาตุต่าง ๆ จากผืนแผ่นดิน เข้าสู่เขตชายฝั่งและเขตทะเล และ
ทำใหแ้ ผ่นดนิ ชายฝั่งคอ่ ย ๆ เกดิ การเปลี่ยนแปลง
น้ำในแม่น้ำสามารถใช้ในการอุปโภคบริโภคในครัวเรือน ใช้เพื่อการดำรงชีวิต
การคมนาคมขนส่ง การผลิตพลังงานไฟฟ้า และการผลิตพืชผลทางการเกษตร เพ่ือ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
37
การจำหนา่ ย ทำให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนโดยรอบ นอกจากนี้
ในมวลของน้ำเอง ยังมีการผลิตทรัพยากรทางชีวภาพภายในห่วงโซ่อาหารของระบบ
นิเวศทางน้ำ ก่อให้เกิดทรัพยากรสัตว์น้ำตามธรรมชาติ ที่เราสามารถใช้เป็น
อาหารโปรตนี ท่ีมีคณุ คา่ ต่อมนุษยเ์ รา
เมื่อพิจารณาถึงคุณค่าของแม่น้ำหรือระบบนิเวศแหล่งน้ำไหลต่าง ๆ อย่าง
ถ่องแท้แล้ว นอกจากประโยชน์ ซึ่งเกิดจากการท่ีมนุษยเ์ รานำน้ำมาใช้ในการดำเนินชวี ิต
น้ำยังมีคุณค่าในด้านการพัฒนาของสังคมเมือง มีคุณค่าในการสืบสานวัฒนธรรม
ตลอดจนมีคุณค่าในเชิงนามธรรม ท่ีสร้างสรรค์ให้เกิดความสุขทางจิตใจ ต่อผู้ที่มีโอกาส
ไดพ้ บเหน็ หรือไดส้ ัมผัสแหลง่ นำ้ ไหลทีง่ ดงาม
คณุ ค่าทางด้านนิเวศวิทยาและส่ิงแวดล้อม
แหล่งน้ำไหล จัดเป็นแหล่งน้ำผิวดินแหล่งแรก ที่กำเนิดขึ้นจากความ
อุดมสมบูรณ์ของสภาพป่าต้นน้ำลำธารในเขตที่สูง และยังประโยชน์ต่อการผลิต
ทรัพยากรมชี วี ติ ในลำดบั ของห่วงโซ่อาหารและสายใยอาหารในระบบนิเวศ ซง่ึ กอ่ ให้เกิด
การขับเคลื่อนพลวัตของอนินทรีย์สาร ตลอดจนการเคลื่อนย้ายถ่ายเทของพลังงาน ที่
เชื่อมโยงกัน ทั้งระหว่างสิ่งมีชีวิตด้วยกัน และสิ่งมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อม การตระหนัก
ถึงคุณค่าทางด้านนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม จะทำให้เกิดความเข้าใจในการอนุรักษ์
แหลง่ นำ้ รวมท้งั การบรหิ ารจดั การนำ้ เชิงคุณภาพไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
น้ำ จัดเป็นสารตั้งต้น ที่มีความจำเป็นในกระบวนการสังเคราะห์สารอินทรีย์
โดยกลุ่มผู้ผลิตขั้นต้นต่าง ๆ ในน้ำ โดยเฉพาะสาหร่าย พรรณไม้น้ำ และแพลงก์ตอนพชื
ที่อยู่ในแหล่งน้ำ น้ำ ยังเป็นสารตั้งต้นในขั้นตอนการสังเคราะห์โปรตีน เป็นจุดกำเนิด
ของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กต่าง ๆ จนกระทั่งก่อให้เกิดห่วงโซ่อาหารทางน้ำที่อุดมสมบูรณ์
และเกิดเป็นทรัพยากรสัตว์น้ำที่หลากหลาย ที่ส่งผลให้มนุษย์เราได้มีอาหาร และ
สามารถดำรงชีวิตอยู่มาจนถงึ ปัจจุบันนไี้ ด้
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
38
ในพื้นที่แม่น้ำ การเคลื่อนตัวของของแข็งขนาดเล็ก ท่ีแขวนลอยอยู่ในมวลน้ำ
ซึ่งถูกนำพาโดยการไหลของน้ำลงมา ยังช่วยส่งเสริมให้ตะกอนดิน และซากพืช ซากสัตว์
ต่าง ๆ เกิดการกระจายตัวจากแหล่งกำเนิดเดิม ลงมาในพื้นที่ราบต่ำ แล้วเกิดการ
ตกตะกอนสะสม เป็นโครงสร้างทางธรณีวิทยาของผืนแผ่นดินชายน้ำในรูปแบบต่าง ๆ
นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดการพัฒนาของที่ราบลุ่มชายฝั่ง ตลอดจนดินดอนสามเหลี่ยม
ปากแม่น้ำ ซึ่งนับเป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ (ภาพท่ี 2-5) เนื่องจากการมี
สารอินทรีย์และแร่ธาตุอาหารที่สูง ลักษณะในภาพรวมดังกล่าว นับเป็นกระบวนการที่
เชอ่ื มโยงจากผนื แผ่นดิน สู่ทอ้ งทะเล และมหาสมุทร นับแตอ่ ดตี มาจนถงึ ปัจจบุ ัน
ภาพท่ี 2-5 ลกั ษณะทร่ี าบลมุ่ ชายฝ่ัง และดนิ ดอนสามเหล่ยี มปากแม่นำ้ แมก่ ลอง ซึง่ เปน็
บรเิ วณท่ีมีคณุ คา่ ในดา้ นความอุดมสมบรู ณแ์ ละความหลากหลายของทรัพยากรสตั วน์ ำ้
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
39
มวลน้ำ ที่มีการไหลอยู่ในแหล่งน้ำไหลต่าง ๆ โดยเฉพาะในลำธารต้นน้ำ
และในบริเวณแม่น้ำที่มีความลาดชันค่อนข้างสูง ซึ่งส่วนใหญ่มักมีความเร็วของน้ำสูงถึง
40 – 80 เซนติเมตรต่อวินาทีนั้น ยังมีบทบาทต่อการเคลื่อนย้ายอนุภาคของแข็ง
ที่กระจายอยู่ในบริเวณดินพื้นท้องน้ำ ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นท้องน้ำ
และส่งผลต่อการเกิดของประชากรสิ่งมีชีวิตพื้นท้องน้ำ ที่จำเพาะกับแต่ละพื้นที่อีกด้วย
(จารมุ าศและคณะ 2553)
เมื่อพิจารณาลงไปถึง “แพลงก์ตอนพืช” ที่ถูกนำพามาพร้อมกับมวลน้ำ
จากแหล่งน้ำตอนบน ลงสู่พื้นที่ทางตอนล่างนั้น เราสามารถพบการเปลี่ยนแปลงใน
โครงสร้างของประชาคม ทั้งเชิงคุณภาพ (องค์ประกอบทางชนิด) และปริมาณ (ความ
หนาแน่นที่พบ) ตามระยะทางในแม่น้ำ โดยในแต่ละบริเวณ เซลล์แพลงก์ตอนพืช
จะสามารถเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นทวีคูณ หากอยู่ในสภาวะที่มีแร่ธาตุอาหารมากเพียงพอ
และมีระดบั แสงทีเ่ หมาะสม
ซึ่งโดยทั่วไป เราจะพบความเข้มของสีน้ำเพิ่มมากขึ้น ตามระยะทางสู่ปลายน้ำ
ซึ่งหมายถึง การเพิ่มความหนาแน่นของเซลล์แพลงก์ตอนพืช ที่สอดคล้องกับปริมาณ
แร่ธาตุอาหารทีเ่ พิ่มมากขึน้ ในพื้นท่ีเขตปากแมน่ ้ำ ผนวกกับลักษณะการไหลของมวลนำ้
ที่ช้าลงเรือ่ ย ๆ นนั่ เอง
อนึ่ง เมื่อพิจารณาคุณค่าของแม่น้ำ ในประโยชน์ด้านการรักษาสมดุลธรรมชาติ
เราพบว่าการมีแหล่งน้ำไหล ที่มวลน้ำยังคงไหลลงมาสู่พื้นที่ทางตอนล่างได้อย่าง
ต่อเนื่อง นับเป็น “ระบบแห่งการทำความสะอาดตัวเอง” ที่ดีมาก ทั้งนี้ เนื่องจาก
มวลน้ำที่ไหลลงมา จะสามารถชะล้างเอาความสกปรกให้เบาบางลง และช่วยเจือจาง
สารมลพิษที่เป็นอันตราย ให้มีระดับความเข้มข้นที่ต่ำลง นอกจากนี้ ยังช่วยนำพา
สารต่าง ๆ ให้เคลื่อนตัวและทำปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงรูปแบบไป หรือไหลรวมออกไป
สรู่ ะบบทะเล ทหี่ า่ งไกลจากแหลง่ ชุมชนได้
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
40
อย่างไรกต็ าม ลักษณะดงั กล่าวสะท้อนให้เห็นว่า “อัตราการไหลของนำ้ ” เป็น
ปัจจยั สำคัญท่ีมีบทบาทต่อกระบวนการเปลย่ี นแปลงของระบบนเิ วศแหลง่ นำ้ ไหล ดังน้ัน
การชะลอตัวในความเร็วของน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากอิทธิพลทาง
สัณฐานวิทยาตามธรรมชาตขิ องพ้ืนท่ี หรือเป็นผลกระทบจากการสร้างเข่ือน หรือทำนบ
ก้นั ขวางทางเดินของนำ้ ในรูปแบบต่าง ๆ ยอ่ มสง่ ผลกระทบให้ประสทิ ธภิ าพในการบำบดั
มลภาวะของระบบนิเวศแม่น้ำลดต่ำลง ซึ่งในทางตรงกันข้าม จะกระตุ้นให้เกิดสภาวะ
การสะสมสารมลพิษได้เพิ่มขึ้น และท้ายที่สุด จะเป็นผลเสียต่อคุณภาพชีวิตของชุมชน
โดยรอบ ตลอดจนการใชป้ ระโยชน์ทีเ่ ก่ียวขอ้ งในพื้นท่ลี ุ่มน้ำยอ่ ยต่าง ๆ ตอ่ ไปได้
ด้วยเหตุนี้ การให้ความสำคัญในการ “อนุรักษ์รูปแบบและปริมาณการไหล
ของนำ้ ในระบบนิเวศแมน่ ้ำ” โดยตระหนกั วา่ นน่ั คอื ส่งิ สำคัญ ท่ีกอ่ ใหเ้ กดิ คุณประโยชน์
ทั้งในเชิงนิเวศวิทยา สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตแก่เราทุกคน จึงนับว่าเป็นประเด็น
ที่จำเป็นมาก นอกจากนี้ ควรรณรงค์ให้สังคมในวงกว้างได้เกิดความรู้ความเข้าใจ
และพัฒนาจิตสำนึกในเชิงอนุรักษ์ให้เกิดขึ้นร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อจะได้พัฒนาใช้ประโยชน์
ในพื้นที่แม่น้ำอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง ซึ่งจะเป็นการรักษาศักยภาพทางนิเวศวิทยา
ของระบบนเิ วศแมน่ ้ำท่ีเรามี ให้เกิดความยง่ั ยืนต่อไปได้
คณุ ค่าทางด้านการผลิตทรพั ยากรสัตว์น้า
ในประเทศไทย แม่น้ำส่วนใหญ่ที่ไหลจากเทือกเขาสูงผ่านลงสู่ที่ราบต่ำ มักจะ
ไหลลงสูพ่ ้ืนทชี่ ายฝั่งทะเล เกดิ เป็นบรเิ วณที่มวลนำ้ จืด มีการผสมผสานกับน้ำทะเล และ
เกิดการพัฒนาของระบบนิเวศปากแม่น้ำ (ซึ่งเป็นระบบนิเวศน้ำกร่อย) ขึ้นมา ซึ่งระบบ
นิเวศน้ำกร่อย จัดเป็นระบบนิเวศทางน้ำที่นับว่ามีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร
ทางธรรมชาติ และมีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ เนื่องจาก
เป็นบริเวณที่มีการสะสมของตะกอนอินทรีย์สาร และยังได้รับแร่ธาตุอาหารที่มาจาก
เขตแผ่นดินอยา่ งมากมาย
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
41
ลักษณะดังกล่าว ก่อให้เกิดการขับเคลื่อนภายในระบบนิเวศทางน้ำ เกิดการ
ถ่ายทอดอาหาร และพลังงานภายในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งส่งผลให้เกิดการผลิตทรัพยากร
สัตว์น้ำอยา่ งมากมาย ที่ยังประโยชน์ตอ่ ชุมชนและสงั คม ไดอ้ ย่างตอ่ เนื่องมาจนปัจจบุ นั
การศกึ ษาทผ่ี ่านมา พบวา่ ระบบนิเวศปากแมน่ ้ำ เปน็ พ้นื ท่ีให้ผลผลิตขั้นต้นท่ีสูง
มาก เมื่อเปรียบเทียบกับระบบนิเวศอื่น ๆ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากข้อมูลความรู้ในตาราง
ดา้ นล่างนี้ (ตารางที่ 2-1) จะพบวา่ ระบบนเิ วศปากแม่น้ำ 1 ไร่ ใหผ้ ลผลิตเท่ากับนาข้าว
ประมาณ 3 ไร่ (Kupchella and Hyland 1993) ทั้งนี้ ผลผลิตทรัพยากรประมง 1 ตัน
เกิดมาจากการส่งต่อของผลผลิตขั้นต้น ประมาณ 400 ตัน ซึ่งหากสามารถรักษา
คุณภาพน้ำให้ดี และเอื้ออำนวยต่อความเป็นอยู่ของทรัพยากรสัตว์น้ำ เราจะช่วย
สง่ เสริมให้เกิดผลผลติ ทางประมงทด่ี ี ได้อย่างตอ่ เนือ่ งในพน้ื ทป่ี ากแม่น้ำท่ีเรามอี ยู่
ตารางท่ี 2-1 ระดับของผลผลติ ข้นั ต้น (กิโลกรัมแคลลอรีตอ่ ตารางเมตรตอ่ ป)ี ซงึ่
เปรยี บเทยี บในระหว่างระบบนิเวศตา่ ง ๆ ทวั่ โลก
ทม่ี า: ปรบั ปรงุ จาก Kupchella and Hyland (1993)
ลกั ษณะของระบบนิเวศ ระดับผลผลิตขน้ั ต้น
ปากแม่น้ำ (Estuary) 14,000 - 35,000
นาขา้ ว (Rice Crops) 4,000 - 14,000
ทงุ่ หญา้ (Grass Land) 700 - 12,000
เขตไหล่ทวีป (Continental Shelf)
มหาสมุทรเขตลึก (Deep Ocean) 700 - 4,000
ทะเลทราย (Dessert) 400 - 1,000
300 - 700
นอกจากนี้ การศึกษาด้านทรัพยากรประมงที่ผ่านมา ยังพบว่าระบบนิเวศ
ปากแม่น้ำ เป็นบริเวณที่ให้ผลผลิตทรัพยากรประมงต่อพื้นท่ีได้สูงที่สุด เมื่อเทียบกับ
แหล่งน้ำทางตอนนอกอื่น ๆ (คณะประมง 2562) ด้วยเหตุดังกล่าว เราทุกคนจึงไม่ควร
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
42