ภาพที่ 3-5 ลกั ษณะของดนิ ตะกอนท่มี คี วามหลากหลายในพื้นที่ล่มุ นำ้ แมก่ ลอง
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
93
ดินตะกอนยังมีบทบาท ในด้านของการเป็นแหล่งสะสมและกักเก็บธาตุอาหาร
ตลอดจนเป็นแหล่งให้แร่ธาตุอาหารแก่มวลน้ำเบื้องบน เนื่องจากดินตะกอนเป็นพื้นที่
ที่มีผู้ย่อยสลายต่าง ๆ อย่างมากมาย และผู้ย่อยสลายเหล่านั้น ทำหน้าที่เปลี่ยนรูป
สารอินทรีย์ที่มีการตกทับถม ลงมาในบริเวณพื้นท้องน้ำ ให้เปลี่ยนเป็นรูปสารอนินทรีย์
ซึ่งแพลงก์ตอนพืช และพรรณไม้น้ำต่าง ๆ สามารถนำมาใช้ในการผลิตในแหล่งน้ำ
ได้อีกครง้ั (จารมุ าศ 2548)
ปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอน นอกจากจะส่งผลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์
ในดินตะกอนแล้ว ยังมีผลในเชิงอาหารให้กับสัตว์หน้าดิน และให้แร่ธาตุอาหารที่เป็น
ประโยชน์ต่อการเจริญของแพลงก์ตอนพืชอีก อย่างไรก็ตาม การตกตะกอนของ
อินทรีย์สารที่มากเกินควร (ภาพที่ 3-5) อาจมีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพ
ทางเคมีของดินตะกอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดสภาพไร้ออกซิเจนในดิน และการ
สะสมของซลั ไฟด์อยา่ งตอ่ เนื่อง ซง่ึ มคี วามเป็นพษิ ต่อสิ่งมชี วี ติ ตา่ ง ๆ ได้
ระดับของซัลไฟด์ในดินตะกอน สามารถใช้เป็นปัจจัยที่บ่งบอกถึง
ความสามารถ ในการรองรับการดูดซึมของสารอินทรีย์ ที่เป็นของเสียลงสู่ดินตะกอนได้
ดินตะกอนพื้นบ่อเลี้ยงปลาที่มีซัลไฟด์มากกว่า 1.7 มิลลิกรัมต่อกรัมน้ำหนักดินแห้ง บ่ง
บอกถึงสภาวะวิกฤต ภายในสิ่งแวดล้อมของบ่อเลี้ยงปลา นอกจากนี้ วรรณา (2531)
พบว่าปรมิ าณไฮโดรเจนซัลไฟด์ 0.01-0.05 มิลลกิ รมั ตอ่ ลติ ร จะเปน็ พิษตอ่ สัตว์น้ำ
สถานการณ์คุณภาพดินในล่มุ น้าแม่กลอง
ผลการศึกษาในช่วงปี 2549 – 2551 พบว่าพื้นที่แม่น้ำแม่กลองตอนบน
ตอนกลาง และพน้ื ที่นำ้ กรอ่ ย พบ ปริมาณซัลไฟด์ในดินตะกอน สูงสุด 0.13, 0.18 และ
0.34 มิลลิกรัมต่อกรัมน้ำหนกั ดินแห้ง ตามลำดับ (บุณฑริกา 2554) ทั้งนี้ พบว่าปริมาณ
ซัลไฟด์ในดินตะกอน มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับปริมาณสารอินทรีย์ในดิน
(พบปริมาณสารอินทรยี ส์ งู สดุ ประมาณ 12 %)
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
94
นอกจากนี้ ยังพบว่าดินพื้นท้องน้ำในเขตจังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัด
ราชบุรี มีแนวโน้มการสะสมของซัลไฟด์ที่ค่อนข้างสูงกว่าบริเวณอื่น ซึ่งมักพบว่าเป็น
พื้นท่ีใกล้เขตชุมชนหนาแน่น หรือเป็นบริเวณที่น้ำไหลช้า รวมทั้งพื้นที่อับที่พบการ
ตกตะกอนสะสมของอินทรียส์ ารตา่ ง ๆ ได้ค่อนข้างสงู
การศึกษาติดตามสถานการณ์การสะสมของ ปริมาณซัลไฟด์ในดินตะกอน
ในพื้นที่เขตปากแม่น้ำแม่กลอง ระยะปัจจุบัน (คณะประมง 2562) พบว่าปริมาณของ
ซัลไฟด์ในดินมีค่าแตกต่างกันไป ตามลักษณะทางสัณฐานวิทยาและการใช้พื้นที่ใน
แตล่ ะบริเวณของปากแม่นำ้ โดยทว่ั ไป มกั พบระดบั ของซัลไฟดใ์ นดนิ ตะกอนค่อนข้างต่ำ
ในบริเวณที่ห่างฝั่งออกไป รวมทั้งในบริเวณท่ีมีการขุดร่องน้ำบ่อย ๆ หรือเป็นบริเวณ
ทมี่ ีกระแสน้ำไหลแรง
อย่างไรก็ตาม พบว่าในบางบริเวณที่อยู่ใกล้ร่องน้ำลึก ทางตอนกลางของ
ปากแม่น้ำแม่กลอง สามารถพบการสะสมของซัลไฟด์ในดินตะกอนท่ีสูงกว่า 0.200
มิลลิกรัมต่อกรัมน้ำหนักดินแห้ง ในทุกช่วงฤดูกาลในรอบปีได้ ซึ่งทั้งนี้ พบว่าเป็นบริเวณ
ที่มีการตกตะกอนของสารอินทรีย์จากมวลน้ำได้มาก โดยพบลักษณะการสะสมของ
สารอินทรีย์ในดินตะกอนได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังพบการรวมตัวกันของเลน
ละเอียด (มขี นาดเล็กกว่า 63 ไมโครเมตร) ได้มาก โดยเฉพาะในชว่ งปลายฤดนู ำ้ หลาก
ในภาพรวมพบว่า ปริมาณซลั ไฟดใ์ นดินตะกอน ในปากแมน่ ำ้ แมก่ ลอง มีระดับ
ท่ีแตกต่างกันไปตามพื้นที่ย่อยต่าง ๆ ในเขตปากแม่น้ำ นอกจากนี้ ยังพบว่าปริมาณ
ซัลไฟด์ในดิน มีความผันแปรไปตามช่วงเวลา โดยมีแนวโน้มการสะสมในดินตะกอน
ได้สูงที่สุด ในช่วงปลายฤดูน้ำหลาก (เดือนธันวาคม) และสะสมต่ำสุด ในช่วงต้นฤดู
น้ำหลาก (เดือนเมษายน) ในขณะที่ ปริมาณสารอินทรีย์ในดินตะกอน มีค่าเฉล่ีย
สูงสุดในช่วงตน้ ฤดนู ำ้ หลาก และมแี นวโนม้ ที่ลดลงในช่วงปลายฤดนู ้ำหลากของแตล่ ะปี
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
95
อนงึ่ เมือ่ พจิ ารณาเปรยี บเทยี บปริมาณซลั ไฟด์ในดินตะกอนของพื้นท่ปี ากแม่นำ้
แม่กลอง กับพื้นที่ปากแม่น้ำอื่นๆ (อาทิ ปากแม่น้ำท่าจีน ปากแม่น้ำเจ้าพระยา และ
ปากแม่น้ำบางปะกง) ที่อยู่ในเขตอ่าวไทยตอนในเช่นเดียวกัน เราพบว่าปริมาณซัลไฟด์
ในดนิ ตะกอนของปากแมน่ ำ้ แม่กลอง มรี ะดับเฉล่ยี ต่ำท่สี ดุ ซง่ึ โดยส่วนใหญ่ มกั พบระดับ
ของซัลไฟด์ในดิน ที่ต่ำกว่า 0.200 มิลลิกรัมต่อกรมั น้ำหนักดินแหง้ ซึ่งสะท้อนให้เหน็ ถงึ
มลพิษของซัลไฟดใ์ นดนิ ในระดับท่ีต่ำ (ตารางท่ี 3-2; จารมุ าศและเชษฐพงษ์ 2553)
ตารางที่ 3-2 การประเมินระดบั ของปญั หามลพษิ ทางดินตะกอนจากระดบั ของซัลไฟด์
ในดิน สำหรับพ้ืนทแี่ มน่ ้ำที่ไหลลงอา่ วไทยตอนในและเขตปากแมน่ ำ้ ท่เี กี่ยวขอ้ ง
ท่ีมา: ปรับปรงุ จาก จารุมาศและเชษฐพงษ์ (2553)
ระดับของซลั ไฟดร์ วมในดนิ ผลการประเมนิ ระดบั ของปญั หา
(มิลลกิ รัมตอ่ กรมั น้ำหนักดินแห้ง) มลพษิ ทางดินตะกอน
ไม่มกี ารสะสมมลพิษ
0.000-0.003 การสะสมมลพษิ ตำ่ มาก
0.003-0.009 การสะสมมลพิษต่ำ
0.009-0.027
0.027-0.122 การสะสมมลพษิ ปานกลาง
0.122-0.365 การสะสมมลพิษคอ่ นข้างสูง
0.365-1.094
การสะสมมลพิษสงู
> 1.094 การสะสมมลพิษสงู มาก
ทั้งนี้ อาจเนื่องจากการที่ปากแม่น้ำแม่กลองมีมวลน้ำที่ไหลถ่ายเทได้ดี และมัก
พบปริมาณออกชิเจนละลายน้ำที่ค่อนข้างสูง ซึ่งส่งผลให้กระบวนการย่อยสลายของ
สารอินทรีย์ที่สะสมในดิน เกิดในรูปแบบที่ใช้ออกชิเจน (Aerobic decomposition)
เป็นหลัก โอกาสของการเกิดซัลไฟด์สะสมในดินตะกอน จึงน้อยกว่าในพื้นที่อื่น ๆ
ซึ่งสถานการณ์ในภาพรวมสะท้อนให้เห็นว่า ดินพื้นท้องน้ำในเขตปากแม่น้ำแม่กลอง
สว่ นใหญ่ยงั คงมีสถานภาพทีด่ ี และมีโอกาสในการใหผ้ ลผลติ ทรัพยากรในพนื้ ที่ได้ตอ่ ไป
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
96
3.3) มลภาวะทางน้าและศักย์การบาบดั มลภาวะ
ในประเทศไทย ได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานสำหรับปัจจัยคุณภาพน้ำประเภท
ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไปภายใต้ลักษณะของพื้นที่ (อาทิ มาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินและ
มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่ง) และตามลักษณะจำเพาะของการใช้ประโยชน์ (อาทิ
มาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม) การกำหนดดังกล่าวดำเนินการโดย
คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ภายใต้การดำเนินการของสำนักจัดการคุณภาพน้ำ
กรมควบคุมมลพษิ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม
การพิจารณาสถานการณ์มลภาวะ จึงเป็นการประเมินคุณภาพแหล่งน้ำ
จากระดับของ “มลพิษ” หรือ “สารพิษ” ที่มีในแหล่งน้ำ ทั้งท่ีเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
และที่ถูกพัดพาหรือปนเปื้อนเข้าสู่แหล่งน้ำโดยอิทธิพลจากมนุษย์ ซึ่งการประเมิน
สถานการณ์มลภาวะในเบื้องต้น จำเป็นต้องตรวจวัดระดับมลพิษ แล้วนำค่าที่ตรวจพบ
เปรียบเทยี บกบั ค่ามาตรฐานทก่ี ำหนด
ในการพิจารณาสถานการณ์มลภาวะของพื้นที่แหล่งน้ำในเขตชายฝั่งทะเล
(อ้างอิงค่ามาตรฐานจากประกาศของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง กำหนด
มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเลชายฝั่ง) พบว่าสารพิษในกลุ่ม “สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช”
แสดงระดับความเป็นอันตราย มากกว่าสารพิษประเภท “โลหะหนัก” อย่างน้อย 10
เทา่ ขึน้ ไป (ตารางที่ 3-3)
ด้วยเหตุดังกล่าว การเฝ้าระวังติดตามปัญหาของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืช จึง
นับว่าเป็นเรื่องท่ีทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญอย่างจริงจัง ซึ่งในประเทศไทยยังพบ
ปัญหาการใช้สารป้องกันกำจัดศัตรูพืชอยู่ในแทบทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในพื้นที่ราบลุ่ม
น้ำภาคกลาง และทุกพื้นที่ที่มีการทำเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก และพบรายงาน
การศึกษาในพื้นที่ลุ่มน้ำท่าจีนและลุ่มนำ้ แม่กลอง ที่แสดงให้เห็นถึงการพบการปนเปื้อน
ของสารปอ้ งกันกำจัดศตั รูพืช ในระดับสงู จนนา่ เป็นห่วง (ภิญญาและคณะ 2539, 2542)
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
97
ตารางที่ 3-3 ระดับมาตรฐานของสารพิษประเภทโลหะหนกั และสารป้องกนั กำจดั
ศัตรูพชื บางชนิด สำหรบั นำ้ ทะเลชายฝ่ัง ท่ีควบคุมให้ไมค่ วรมีเกินระดบั ที่กำหนด
(ที่มา: ปรับปรงุ จากมาตรฐานคณุ ภาพน้ำทะเล กรมควบคมุ มลพษิ , 2549)
กลุ่มของสารพษิ ชนดิ ของสารพิษ ระดบั มาตรฐาน
(µg/L)
โลหะหนกั ปรอท (Hg) < 0.1
แคดเมยี ม (Cd) <5
สารปอ้ งกัน ทองแดง (Cu) <8
กำจดั ศตั รพู ืช ตะกั่ว (Pb) < 8.5
(ทมี่ ีคลอรีน) สารหนู (As) < 10
สังกะสี (Zn) < 50
สารปอ้ งกัน โครเรยี มรวม (Cr) < 100
กำจัดศัตรพู ชื เหล็ก (Fe) < 300
(ชนดิ อนื่ ) ดดี ีที (DDT) < 0.0010
ดลิ ดริน (Dieldrin) < 0.0019
เอนดริน (Endrin) < 0.0023
คลอเดน (Chlordane) < 0.0040
เอ็นโดซัลฟาน (Endosulfan) < 0.0087
ไดเอรอน (Diuron) ตรวจไม่พบ
มาลาไธออน (Malathion) ตรวจไม่พบ
พาราไธออน (Parathion) ตรวจไมพ่ บ
โปรพานิล (Propanil) ตรวจไมพ่ บ
คาร์บาริล (Carbaryl) ตรวจไมพ่ บ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
98
มวลน้ำที่ไหลมาจากระบบนิเวศแม่น้ำ ที่พบการปนเปื้อนของสารป้องกันกำจัด
ศัตรูพืชดังกล่าว ยังได้ไหลสู่พื้นที่ตอนล่าง และไหลลงเขตอ่าวไทยตอนในตลอดเวลา
นับเป็นสถานการณ์ปัญหา ที่สามารถส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง จากการสะสมของ
สารพิษเหล่านั้น ซึ่งเข้าไปในห่วงโซ่อาหารของระบบนิเวศปากแม่น้ำ และทำให้เกิดการ
สะสมสารพิษ ในทรัพยากรสัตว์น้ำที่เราจะนำมาบริโภคกัน ซึ่งนับเป็นปัญหาท่ีควร
หาทางแกไ้ ข ตง้ั แตใ่ นพื้นท่ตี ้นทางทกี่ อ่ ปญั หา และในตลอดเสน้ ทางที่เชอื่ มโยงกันลงมา
สถานการณ์การปนเป้ื อนโลหะหนักในเขตปากแมน่ ้าแม่กลอง
สำหรับการศึกษาติดตามสารมลพิษในน้ำ ในกลุ่มของ โลหะหนัก ได้แก่
แคดเมียม ตะกั่ว ทองแดง และสังกะสี โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลองตอนล่าง
ในเขตปากแม่น้ำ ในช่วงประมาณ 3 – 5 ปีที่ผ่านมา (คณะประมง 2562) ซึ่งเป็น
การศึกษาติดตามผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ ตลอดจนบทบาท
ของปัจจัยทางนิเวศอุทกวิทยาในพื้นที่ปากแม่น้ำ พบว่าการเคลื่อนตัวของน้ำ และ
ปริมาณมวลน้ำจากแผ่นดิน จัดเป็นปัจจัยสำคัญที่มีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงของ
สารโลหะหนกั ต่าง ๆ ในระบบนเิ วศทางนำ้
ผลการศึกษาพบว่า ปริมาณโลหะหนักในน้ำ (แคดเมียม ตะกั่ว ทองแดง และ
สังกะสี) ในพื้นที่ปากแม่น้ำแม่กลอง ในช่วงเดือนเมษายน (ตัวแทนช่วงต้นฤดูน้ำหลาก)
เดือนกรกฎาคม (ตัวแทนช่วงกลางฤดูน้ำหลาก) และธันวาคม (ตัวแทนช่วงปลายฤดูน้ำ
หลาก) ในปี พ.ศ. 2560 – 2561 สว่ นใหญ่ยงั มีค่าไมเ่ กินเกณฑ์คุณภาพนำ้ ชายฝ่งั ทะเล
ทัง้ น้ี พบว่าปรมิ าณ แคดเมยี ม ในน้ำและดนิ ตะกอนมคี า่ ต่ำกว่าระดบั ท่สี ามารถ
ตรวจวัดได้ ส่วนปริมาณ ตะก่วั ในนำ้ พบสูงท่ีสดุ 7.0 ppb (มีคา่ มธั ยฐาน 2.0 ppb) ซ่ึง
ไม่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล (8.5 ppb) ปริมาณ ทองแดง ในน้ำ พบสูงที่สุด
6.5 ppb (มคี ่ามัธยฐาน 2.5 ppb) ซึ่งไมเ่ กนิ ค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล (8.0 ppb)
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
99
ส่วนปริมาณ สังกะสี ในน้ำ พบสูงที่สุด 62.5 ppb (มีค่ามัธยฐาน 25.5 ppb)
ซึ่งมีค่าเกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล (50.0 ppb) เฉพาะในพื้นที่ตอนในสุดของ
ปากแม่นำ้ แม่กลอง
ในภาพรวมพบว่า บริเวณที่มีการสะสมของสารตะกั่ว สังกะสี และทองแดง ได้
มากนั้น มักเป็นบริเวณที่มีการสะสมของสารอินทรีย์ในดินตะกอนที่สูงด้วย นอกจากนี้
ผลการวิเคราะห์ความเสี่ยงจากการปนเปื้อนพบว่า ปากแม่น้ำแม่กลอง มีแนวโน้มด้าน
ความเสี่ยงทางด้านการปนเปื้อน ของสารโลหะหนักต่าง ๆ เพิ่มข้ึน (ตารางที่ 3-4)
โดยเฉพาะปญั หาดา้ นตะกัว่ ที่มีความเป็นพษิ สงู ซึ่งมโี อกาสสะสมเพม่ิ ขนึ้ ไดอ้ ยา่ งตอ่ เนื่อง
ตารางที่ 3-4 ระดับของโลหะหนกั (ppm) ประเภทแคดเมยี ม ตะกว่ั ทองแดง และ
สังกะสี ท่ีพบในดินพน้ื ท้องน้ำของปากแม่นำ้ แมก่ ลองในการศกึ ษาต่าง ๆ ที่ผ่านมา
แคดเมยี ม ตะกัว่ ทองแดง สังกะสี แหลง่ ข้อมลู
nd-0.8 7.3-34.6 2.0-14.5 10.9-49.0 พฤหสั (2550)
2.4 29.4 16.6 59.9 สาโรจน์ (2552)
nd 54.8 12.6 47.5 พรศรแี ละคณะ (2559)
nd 22.2-50.6 4.0-40.4 17.8-119.3 คณะประมง (2562)
*nd หมายถึง ปริมาณนอ้ ยมากจนไมส่ ามารถตรวจวัดได้
การศึกษาพลวัตของโลหะหนักที่ละลายในน้ำ ยังชี้ให้เห็นว่า พื้นที่ต้นทาง ท่ีมี
การสรางสารพิษประเภทโลหะหนัก คือ บริเวณของชุมชนเมือง ในเขตของตัวอําเภอ
โดยเฉพาะอําเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม อําเภอเมือง อําเภอโพธาราม จังหวัด
ราชบุรี และอําเภอทามะกา อําเภอทามวง จังหวัดกาญจนบุรี ในบริเวณดังกลาวจึงควร
ทำการเฝาระวังอยางต่อเนื่อง และเพิ่มมาตราการในการจัดการสิ่งแวดลอม โดยเฉพาะ
การจดั การระบบบาํ บัดน้ำทง้ิ จากบานเรือนและโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวดมาก
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
100
ถึงแม้ว่าผลการศึกษาในระยะปัจจุบัน ยังพบระดับของโลหะหนักในน้ำและใน
ดินตะกอน ที่ไม่เกินค่ามาตรฐาน โดยยังไม่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและทรัพยากร
ประมงอย่างเฉียบพลัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสารแคดเมียม ตะกั่ว ทองแดง และ
สังกะสี เป็นมลสารที่สามารถถ่ายทอดเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร เกิดการสะสม และการเพิ่ม
ปริมาณในทรัพยากรสัตว์น้ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบในระยะยาวได้ ดังนั้น เราจึงควรมี
มาตรการในการควบคุมการปล่อยโลหะหนักลงสู่พื้นที่ปากแม่น้ำ และเฝ้าระวังใน
สถานการณ์การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ โดยหาทางจัดการต้นเหตุของปัญหาอย่างรัดกุม
และมีประสทิ ธิภาพต่อไป
แนวทางกาหนดประเภทของมลพษิ ท่ีสาคัญเพอ่ื การติดตาม
การพิจารณากำหนดประเภท หรือชนิดของมลพิษในแหล่งน้ำไหลหนึ่ง ๆ เพ่ือ
การศึกษาติดตามสถานการณ์ด้านมลภาวะนั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงทำเลที่ตั้งและ
ลักษณะการใช้ประโยชน์ของชุมชนโดยรอบพื้นที่แหล่งน้ำ ว่าจะมีโอกาสได้รับมลพิษ
ประเภทใดเปน็ หลัก
สำหรับสารพิษในกลุ่ม สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช จำเป็นต้องศึกษาติดตาม
ในพื้นที่ที่มีโอกาสรับน้ำทิ้งจากกิจกรรมการเกษตร โดยเฉพาะการทำนา หรือทำสวน
ผักผลไม้โดยรอบแม่น้ำ หรือสามารถประเมินจากข้อมูล ด้านสัดส่วนการใช้ประโยชน์
ในพื้นที่เพื่อการเกษตรกรรม หากมีมากกว่า 70 % มักจะพบปัญหามลภาวะทางน้ำ
จากการปล่อยน้ำเสียที่มีการปนเปื้อนของสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้หลายชนิด
นอกจากนี้ ยังจะพบการชะล้างของสารอินทรีย์สารที่สูง และพบการปนเปื้อนของ
แร่ธาตอุ าหารพืช ซง่ึ มาจากการใชป้ ุ๋ยในพ้ืนที่เหล่าน้นั ไดอ้ กี ดว้ ย
สำหรับสารพิษประเภท โลหะหนัก ควรติดตามในพื้นที่แหล่งน้ำที่มีความ
เกี่ยวข้อง หรือมีโอกาสรับน้ำทิ้งจากระบบอุตสาหกรรมด้านเครื่องจักรกล โรงงาน
กลั่นน้ำมัน โรงงานถลุงแร่และโลหะ โรงงานอัลลอยด์ โรงงานชุบโลหะ โรงงานทำสี
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
101
ฟอกย้อม และโรงงานผลิตแบตเตอรี่ เป็นต้น โรงงานดังกล่าวอาจกระจายตัวแทรกไป
กับโรงงานด้านการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร หรืออยู่ใกล้เคียงแหล่งชุมชน
โดยรอบแม่นำ้
พื้นที่โดยรอบของแม่น้ำ ที่มีการใช้ประโยชน์ในกิจกรรมทางการเกษตร
โดยทั่วไป พบว่ามีการปนเปื้อนของตะกั่วและปรอทได้บ้าง แต่อยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ
เมื่อเทียบกับในแหล่งอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม สามารถการปนเปื้อนของตะก่ัว
และปรอท ในแหล่งชุมชนที่อาศัยกันอย่างหนาแน่น ได้มากกว่าแหล่งเกษตรกรรม
(ตีรณรรถ 2549)
ปัจจัยคุณภาพสิ่งแวดล้อมทางน้ำอื่น ๆ ที่สามารถแสดงความเป็นพิษได้
และเกี่ยวข้องกับลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่โดยรอบ ในรูปแบบของการเป็นแหล่ง
ชุมชน หรือเป็นพื้นที่การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ได้แก่ ปัจจัยทางด้านแอมโมเนีย และ
ซัลไฟด์ ในน้ำ ปัจจัยคุณภาพน้ำดังกล่าว ได้มีการกำหนดระดับมาตรฐานว่า ควรมีได้
ไมเ่ กนิ 100 ไมโครกรัมไนโตรเจนตอ่ ลิตร และ 10 ไมโครกรมั ตอ่ ลิตร ตามลำดบั
อนึ่ง น้ำทิ้งจากชุมชน รวมทั้งโรงงานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ มีบทบาทต่อ
ปริมาณตะกอนแขวนลอยที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ขยะพลาสติก ขยะโฟม และ
สิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ก็นับเป็นของเสียที่ถูกทิ้งลงสู่แหล่งน้ำ และทำให้เกิดปัญหามลภาวะได้
อย่างไรก็ตาม ลักษณะแหล่งน้ำที่มีปัญหาเช่นนี้ มักเป็นบริเวณของแม่น้ำในตอนกลาง
หรือตอนลา่ งท่ใี กล้เขตปากแม่นำ้ ซง่ึ เปน็ บริเวณทมี่ ีชมุ ชนอาศัยอยู่อย่างหนาแนน่
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการศึกษาประเมินคุณภาพน้ำด้วยลักษณะ
ของมลพิษที่มีนั้น เป็นการศึกษาติดตาม “ระดับ” แล้วเทียบเคียงกับ “ค่ามาตรฐาน”
ทก่ี ำหนดไว้ อยา่ งไรกต็ าม ปัจจยั คุณภาพน้ำบางประเภท อาทิ ปรมิ าณออกซิเจนละลาย
น้ำ (ค่าดีโอ) ที่โดยทั่วไปเรามักมองว่าเป็นปัจจัยเชิงบวก และก่อประโยชน์ต่อความ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
102
เปน็ อยูข่ องส่งิ มชี วี ิต อย่างไรกต็ าม หากคา่ ดโี อมีระดับที่สงู มากเกินควร ก็สามารถทำให้
เกิดผลกระทบในทางลบต่อแหลง่ น้ำได้
ยกตัวอย่างเช่น ในการศึกษาสมดลุ นเิ วศในพื้นทีป่ ากแม่น้ำทา่ จีน (จารุมาศและ
คณะ 2557) ซึ่งพบ ระดับออกซิเจนละลายน้ำทีส่ ูงมาก เกินจุดอิ่มตัวไปหลายเท่า โดย
มีค่าสูงสุดถึงประมาณ 16 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกิดในสภาวะที่มีแพลงก์ตอนพืช
เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างหนาแนน่ (เกิดปรากฏการณน์ ำ้ ทะเลเปลี่ยนสี) ผลกระทบในทางลบ
มักจะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่ไม่มีแสง ซึ่งเกิดกระบวนการหายใจของ
แพลงก์ตอนทีม่ ีปรมิ าณมาก และทำให้ระดับออกซเิ จนละลายนำ้ ในพื้นท่ีนน้ั ลดระดับลง
อย่างรวดเร็ว นับเป็นปัญหาต่อสัตว์น้ำ และจัดว่าเป็น “มลภาวะ” ที่มีบทบาทที่
สำคญั มาก ต่อสัตว์น้ำทเ่ี คลื่อนที่ไดน้ ้อย รวมทั้งสตั วน์ ้ำเพาะเลี้ยงอยู่ในเขตพืน้ ท่ีจำเพาะ
ด้วยเหตุดังกล่าว การใช้ค่ามาตรฐานที่กำหนดขอบเขตความเหมาะสมของ
ปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ โดยพิจารณาเพียงระดับต่ำสุด อาจไม่เพียงพอต่อการ
ประเมินสถานการณ์ได้อย่างรัดกุม และอาจเป็นปัญหาต่อการอนุรักษ์ดูแลพื้นท่ี และ
บริหารจัดการไดอ้ ยา่ งทนั ทว่ งที
ศักย์การบาบัดมลภาวะของระบบนิเวศแม่น้า
ในการพิจารณาด้านศักย์การบำบัดมลภาวะ ของระบบนิเวศแม่น้ำแต่ละ
บริเวณนั้น จะทำให้เราทราบถึงความสามารถในการ รองรับมลภาวะ หรือการ
รองรับปัญหาการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำ ที่จะเกิดขึ้นของแต่บริเวณ ได้ว่ามีมากน้อย
เพียงใด ซึ่งจะช่วยในการวางแผน เพื่อการอนุรักษ์ ดูแล หรือฟื้นฟูระบบนิเวศใน
แตล่ ะบรเิ วณไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และทันต่อเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ข้ึน
ตัวอย่างกรณีศึกษาศักยภาพในการบำบัดมลภาวะในรูปออร์โธฟอสเฟตใน
ระบบนิเวศแม่น้ำท่าจีน ตั้งแต่พื้นที่ตอนบน ในเขตจังหวัดชัยนาท ลงมาถึงพื้นท่ี
ตอนกลาง ในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครปฐม จนถึงพื้นที่ปากแม่น้ำในเขต
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
103
จังหวัดสมุทรสาคร (Thaipichitburapa et al. 2010) พบว่าอัตราการไหลของน้ำ มี
บทบาทสำคัญมากต่อการเปลี่ยนแปลงศักยภาพการบำบัดมลภาวะของระบบนิเวศ
แมน่ ำ้ ทัง้ น้ี พบวา่ ในพนื้ ทตี่ อนกลาง (จังหวัดสุพรรณบุร)ี ซึง่ มอี ตั ราการไหลของนำ้ ลดลง
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายฤดูน้ำหลาก (จาก 24.67 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เป็น 16.82 ล้าน
ลูกบาศก์เมตรต่อวัน) ทำให้ระบบนิเวศแม่น้ำ ลดประสิทธิภาพในการบำบัดมลภาวะ
จากเดิมถึงประมาณ 60 % ในทางตรงกันขา้ ม พนื้ ท่ีในเขตจังหวดั นครปฐม (ท่ีโดยปกติ
พบปัญหาการสะสมของมลภาวะที่สูงมาก) เมื่อมีมวลน้ำสมทบที่ไหลลงมามากขึ้น
ในช่วงปลายฤดูน้ำหลาก (จาก 35.78 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เป็น 51.27 ล้าน
ลูกบาศกเ์ มตรต่อวนั ) ไดส้ ่งผลให้ประสิทธิภาพในการบำบัดมลภาวะ เพิ่มขน้ึ ถึง 70 %
สำหรับการศึกษาในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง โดยวิเคราะห์การถ่ายเทของแร่ธาตุ
อาหาร บนหลักการของการจัดทำโมเดลเขตวิเคราะห์ (Box model) ตามเขตจังหวัด
และตามส่วนย่อยต่าง ๆ ของแม่น้ำ ตามลำดับลงมา จากพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี จนถึง
สมุทรสงคราม และเขตปากแม่น้ำตอนล่างสุด (บุณฑริกา 2554) ก็ทำให้เราทราบว่า
อัตราการไหลของน้ำ มีบทบาทสำคัญมาก ต่อการเปลี่ยนแปลงศักยภาพในการ
บำบัดมลภาวะของระบบนิเวศแม่น้ำ ทั้งนี้ เนื่องจากทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน ถ่ายเท
หรอื การเจือจางของสารมลพิษ ที่เข้ามาสู่เส้นทางของสายน้ำจากพ้นื ทโี่ ดยรอบ
นอกจากนี้ พบว่าแต่ละบริเวณย่อย มีความสามารถในการรองรับมลพิษที่
แตกต่างกัน ทั้งนี้ มีแหล่งกำเนิดมลพิษที่สำคัญ อยู่ในพื้นที่ตอนกลางและตอนล่างของ
ลุ่มน้ำ โดยในเขตจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นบริเวณที่มีการระบายสารไนโตรเจนที่
ละลายนำ้ และฟอสเฟต (23.86 และ 4.03 ตันตอ่ วนั ตามลำดับ) ออกมาไดม้ ากทสี่ ดุ
ปัจจัยด้าน ออร์โธฟอสเฟต ถูกพบว่าเป็นดัชนีที่เหมาะสมในการสะท้อนถึง
ระดับมลพิษที่เกิดขึ้น และพบว่าจำนวนของกิจกรรมการใช้ประโยชน์พื้นท่ีตอนกลาง
และตอนล่าง โดยส่วนใหญ่ มีค่าเกินความสามารถในการรองรับมลพิษของระบบนิเวศ
แม่น้ำไปแล้ว ทั้งนี้ ในพื้นที่ตอนกลาง (จังหวัดราชบุรี) จัดเป็นพื้นที่ที่มีการเพิ่มของ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
104
ชุมชนอย่างหนาแน่น และพบการเปลี่ยนแปลงของระดับออร์โธฟอสเฟต ในแนวโน้มที่
เพมิ่ สงู ขนึ้ อยา่ งชดั เจน เมือ่ เปรยี บเทียบกับพื้นทตี่ อนบน
ส่วนในพื้นท่ีเขตน้ำกร่อย (จังหวัดสมุทรสงคราม) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความ
หนาแน่นของประชากรสูงสุด และเป็นบริเวณที่มีความเจริญของชุมชนและมีการ
ขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรมมากที่สุด พบว่าระดับออร์โธฟอสเฟตมีแนวโน้มที่
สูงขึ้น โดยมีค่าเกินกว่าค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำที่กำหนด (1.45 ไมโครโมลาร์)
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการเฝ้าระวัง ตลอดจนพิจารณาหาทางฟื้นฟู
สถานภาพแหล่งน้ำในพื้นที่เขตน้ำกร่อยน้ี โดยการบำบัด หรือควบคุมระดับของมลพิษ
ในพ้นื ท่ีอย่างเรง่ ดว่ น ซ่ึงในการน้ี ไดม้ ีแนวทางเสนอแนะเพือ่ ใหห้ าทางลดจำนวนโรงงาน
ให้น้อยลง (โดยเฉพาะประเภทอุตสาหกรรมการเกษตร และอุตสาหกรรมอาหาร) เพื่อ
ควบคมุ สถานการณค์ ุณภาพน้ำ และอนรุ ักษร์ ะบบนเิ วศในระยะยาว
อนึ่ง เมื่อพิจารณาลักษณะของระบบนิเวศและสถานการณ์ของคุณภาพน้ำ
ในภาพรวม พบว่า ระบบนิเวศของสายน้ำแม่กลองที่มี เปรียบเสมือนเป็นพื้นที่บำบัด
ทางธรรมชาติ ซงึ่ มกี ารหมุนเวียนของน้ำไปตามโครงสรา้ งของคู คลอง ลำประโดงต่าง ๆ
ในระบบนิเวศแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ซึ่งมีการตกตะกอนของของแข็งแขวนลอยต่าง ๆ
รวมทั้งมีการเกิดของผลผลิตในน้ำ โดยกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งลักษณะ
ดังกล่าว จะสามารถช่วยฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมทางน้ำได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การ
ดูแลรักษาระบบนิเวศทางน้ำให้อยู่ในสมดุลที่ดี จะเป็นส่วนสำคัญในการรักษา
คณุ ภาพนำ้ ให้มีสภาพท่ีดี เพือ่ เปน็ ฐานในการผลติ ทรพั ยากรสัตว์น้ำอยา่ งยง่ั ยืนต่อไปได้
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
105
3.4) ปั ญหายูโทรฟิ เคชันในระบบนิเวศแม่น้า
ในทุก ๆ ประเทศที่มีการพัฒนาและการขยายตัวทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
และการขยายพื้นที่ทำการเกษตรและการตั้งถิ่นฐานของสังคมเมือง ปัญหาคุณภาพน้ำ
ในแหล่งน้ำธรรมชาติมักจะเกิดสืบเนื่องตามมา ทั้งนี้ เนื่องจากแหล่งน้ำมีโอกาสได้รับ
นำ้ ทิ้งจากการใชป้ ระโยชนข์ องชมุ ชนในรปู แบบต่าง ๆ มากขึ้น
โดยทั่วไป ปัญหาเบื้องต้นในแหล่งน้ำมักเกิดจากการที่จุลินทรีย์ในมวลน้ำ
ทำการย่อยสลายสารอินทรีย์ที่ย่อยสลายได้ง่าย ที่ปนเปื้อนเข้ามาในมวลน้ำนั้น และทำ
ให้เกิดปัญหาการลดลงของออกซิเจนละลายน้ำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่
ของสิง่ มชี วี ิตในระบบนิเวศทางน้ำ
นอกจากนี้ ปัญหาคุณภาพน้ำซึ่งในปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นปัญหาที่
เกดิ ข้นึ ในแทบทุก ๆ แหลง่ น้ำของโลก กค็ ือ ปัญหายโู ทรฟเิ คชัน ซ่งึ เป็นการเพ่ิมจำนวน
ของผผู้ ลติ ข้ันต้นในกลุ่มของแพลงกต์ อนพืช หรอื พรรณพชื ภายในแหลง่ นำ้ (ภาพที่ 3-6)
การเพิ่มจำนวนที่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ และปัญหาของการควบคุมได้ยากนั้น เกิดขึ้น
เนื่องจากการที่แหล่งน้ำได้รับแร่ธาตุอาหาร ลงมาอย่างมากเกินควร ทำให้กระตุ้นการ
เจริญเติบโตจนหนาแน่น และเกิดผลกระทบอย่างต่อเน่ืองในแหล่งน้ำ โดยเฉพาะปญั หา
การขาดออกซิเจน การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีผลต่อเสถียรภาพใน
ห่วงโซ่อาหารและผลผลิตทางการประมง ทำให้สถานการณ์ความอุดมสมบูรณ์และ
ความหลากหลายทางชีวภาพของแหล่งน้ำลดต่ำลง แหล่งน้ำเกิดปัญหาความ
เส่อื มโทรมลงอยา่ งยากตอ่ การฟื้นฟใู นที่สดุ
ในการศึกษาตดิ ตามแหล่งนำ้ ทม่ี ีการเกิดยูโทรฟเิ คชนั พบว่า ปญั หาทร่ี นุ แรง คือ
การเกิด สภาวะการขาดออกซิเจน ในแหล่งน้ำ โดยเฉพาะบริเวณใกล้พื้นท้องน้ำ
นอกจากนี้ ยังทำให้ระดับของก๊าซหลายชนิด (อาทิ มีเทน) ถูกปลดปล่อยออกมาสู่
บรรยากาศของโลกมากขึ้น และส่งผลต่อการเปลี่ยนรูปของมลพิษ ที่เป็นสารประกอบ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
106
อินทรีย์ และโลหะต่าง ๆ นับเป็นผลกระทบที่เกิดกับกระบวนการทางชีวเคมี และ
นเิ วศวทิ ยาภายในแหลง่ นำ้ น้ัน
ภาพท่ี 3-6 ลักษณะของปญั หาการเพ่มิ จำนวนพชื พรรณทม่ี ากเกนิ ไปในพืน้ ทแ่ี มน่ ้ำ
การที่มีแหล่งของน้ำทิ้งจากบ้านเรือนจำนวนมาก ทำให้ระดับของ
ปริมาณ ฟอสฟอรัสในแหล่งน้ำ เพิ่มขึ้นได้อย่างชัดเจน ในระยะหลัง ยังพบว่า
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
107
ฟอสฟอรัสในแหล่งน้ำมีระดับเพิ่มขึ้นในบริเวณที่รับน้ำจากกิจกรรมทางการเกษตร
เนอื่ งมาจากสาเหตุจากการชะล้างหน้าดนิ ที่ถกู ปรับเปลี่ยนพื้นท่ี การเพิ่มความหนาแน่น
ในการทำฟาร์มปศุสัตว์ และการทิ้งน้ำเสียจากฟาร์ม ตลอดจนการใช้ปุ๋ยในการปลูกพืช
ที่มีส่วนผสมของฟอสฟอรสั
อนึ่ง ความเข้มข้นของแร่ธาตุอาหาร ทั้งไนโตรเจนและฟอสฟอรัสจะชัดเจนข้ึน
เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูกาลที่มีปริมาณน้ำต้นทุนน้อย หรือในช่วงที่น้ำ มีอัตราการไหลต่ำลง
จากภาพรวมดังกล่าว เราควรให้ความสำคัญกับการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่
แหล่งน้ำ ซึ่งสามารถเริ่มได้จากการจัดสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในชุมชนขนาดเล็ก ๆ
ตามลำดบั ขึ้นไป
ปัญหายูโทรฟิเคชัน อาจก่อผลกระทบที่ไม่เด่นชัดต่อสุขภาพของมนุษย์เรา
โดยตรง (ยกเว้นการสะพรั่งของแพลงก์ตอนพืชที่ทำให้เกิดสารพิษที่เป็นอันตราย)
อย่างไรก็ตาม กระบวนการยูโทรฟิเคชันมีบทบาทต่อสมดุลของธรรมชาติ และการผลิต
ทรัพยากรชีวภาพในแหล่งน้ำ ซึ่งเราสามารถพบปัญหาการเพิ่มของสาหร่ายปกคลุม
หน้าดิน หรือการลดจำนวนของพรรณไม้ชายน้ำขนาดใหญ่ที่มีรากยึดเกาะ และปัญหา
การลดระดับความหลากหลายทางชีวภาพ ของทรัพยากรมีชีวิตในแหล่งน้ำนั้น ๆ
ตามมา นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในแหล่งน้ำ ยังสร้ าง
ผลกระทบต่อสภาวะทางเศรษฐกิจในด้านที่เกี่ยวข้องได้ ยกตัวอย่างเช่น ในพื้นท่ี
อ่างเก็บน้ำและตามแม่น้ำ สาหร่ายและพรรณไม้น้ำที่เพิ่มจำนวนของอย่างหนาแน่น
มีผลกระทบในทางลบต่อการท่องเทย่ี วในพนื้ ทีอ่ ย่างชดั เจน
ปญั หาภายในแหล่งนำ้ ที่เกดิ ข้นึ ยังมีผลตอ่ มูลค่าทางเศรษฐกจิ ของ พนื้ ทช่ี ายน้ำ
ที่ได้รับผลกระทบ อนึ่ง ในกรณีที่แหล่งน้ำนั้นใช้เพื่อประโยชน์ในการผลิตน้ำประปา
ปัญหายูโทรฟิเคชัน ซึ่งทำให้แพลงก์ตอนพืชเพิ่มจำนวนอย่างหนาแน่น ยังมีผลกระทบ
ต่อระบบการผลิตน้ำ ซึ่งทำให้เราต้องเพิ่มต้นทุนและระยะเวลา ในการทำความสะอาด
นำ้ ดบิ เพ่มิ มากขนึ้ ตามไปดว้ ย
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
108
ระดับของแร่ธาตุอาหาร ที่พบในสถานการณ์ของยูโทรฟิเคชันของแม่น้ำ โดย
ส่วนใหญ่แล้วจะมีระดับที่สูงมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อการจำแนกประเภทของแหล่ง
น้ำ หรือสถานการณ์ของยูโทรฟิเคชันในน้ำนิ่ง (เขตทะเลสาบและอ่างเก็บน้ำ) ซึ่งเราไม่
สามารถนำมาเทียบเคยี งกันได้
อนงึ่ ในการพิจารณาระดบั ของแร่ธาตุอาหาร ในรูปฟอสฟอรสั ในแมน่ ำ้ เราควร
พิจารณารูปของฟอสฟอรัส ที่พรรณไม้น้ำจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้โดยตรง
นอกจากนี้ ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญอื่น ๆ อาทิ ลักษณะในการเคลื่อนตัวของมวลน้ำ
หรือความเร็วของน้ำในแม่น้ำ เพราะจะมีบทบาทต่อโอกาสการใช้ของแร่ธาตุอาหาร
และการเจรญิ เติบโตของพรรณไมน้ ำ้ ตา่ ง ๆ ในแมน่ ้ำไดด้ ว้ ย
ปั จจัยทางนิเวศอุทกวิทยาและแนวทางแก้ไขปั ญหายูโทรฟิ เคชัน
ปัญหายูโทรฟิเคชันได้รับการตระหนักถึงการส่งผลกระทบต่อคุณภาพ
สิ่งแวดล้อมทางน้ำและทรัพยากรในแหล่งน้ำในระดับภูมิภาคและระดับโลก มีองค์กรทง้ั
ภาครัฐ หน่วยงานราชการ มหาวิทยาลัย ตลอดจนองค์กรภาคเอกชน ซึ่งเป็นศูนย์การ
เรียนรู้และการอนุรักษ์ด้านต่าง ๆ ให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน และมี
องค์กรระดับภูมิภาค อาทิ Council of European Committee (2000) ได้พัฒนา
กรอบยุทธศาสตร์เพื่อการบริหารจัดการคุณภาพน้ำของภูมิภาคยุโรป ภายใต้แผน
The Water Framework Directive of the European Community (WFD) ขึ้นมา
โดยมีเปา้ หมายในการแกไ้ ขปญั หาของคณุ ภาพนำ้ ผิวดนิ ที่เกยี่ วข้องอยา่ งจริงจงั
ที่ผ่านมาพบว่า ในพื้นที่ปากแม่น้ำและเขตชายฝั่ง เกิดปัญหายูโทรฟิเคชัน
จากการเพิ่มแร่ธาตุไนโตรเจนและฟอสฟอรัส มากกว่าการเพิ่มของธาตุซิลิคอน
ผลการศึกษาดังกล่าว ทำให้ทางประเทศแถบยุโรปและอเมริกา มีความพยายามในการ
ควบคุมปริมาณฟอสฟอรัสในแหล่งที่มาจากระบบน้ำทิ้งที่ชัดเจนต่าง ๆ (โดยเฉพาะ
มีการห้ามการใช้ผงซักฟอกที่มีฟอสเฟตเป็นองค์ประกอบ) ซึ่งผลจากการควบคุม
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
109
อย่างเข้มงวด ส่งผลให้ระดับของฟอสเฟตในน้ำทิ้งเหล่านั้น ลดลงได้ถึงประมาณ 50 %
(Dodds 2002)
สำหรับในประเทศไทย มีองค์กรภาครัฐที่รับผิดชอบทั้งทางตรงและทางอ้อม
(อาทิ มีกฎระเบียบและมาตรการต่าง ๆ) ในด้านการติดตาม แก้ปัญหา และฟื้นฟู
สถานการณ์มลภาวะทางน้ำ อาทิ กรมควบคุมมลพิษ กรมชลประทาน และกรม
ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การพุ่งเป้าไปที่ปัญหา
ยูโทรฟิเคชันยังไม่เด่นชัด ส่วนใหญ่ยังเป็นการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาทางด้าน
สารพษิ ต่าง ๆ ทจี่ ะเข้าสู่แหลง่ น้ำ การแกป้ ญั หาดา้ นปรมิ าณนำ้ ท่ไี มเ่ พยี งพอ สำหรับการ
อุปโภคบรโิ ภคและการผลิต ในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมในฤดูแล้ง หรือการที่น้ำ
มมี ากเกินไป
ปัจจัยที่เราควรให้ความสำคัญ เพื่อควบคุมปัญหาหรือติดตามสถานการณ์
ยูโทรฟิเคชันที่เกิดขึ้นในระบบนิเวศแหล่งน้ำมีหลายด้าน ซึ่งนอกจากจะขึ้นอยู่กับ
ปริมาณเซลล์ต้นทุนของแพลงก์ตอนพืช ว่ามีมากน้อยเพียงใดแล้ว ยังขึ้นอยู่กับปัจจัย
ด้าน อัตราการถ่ายเทมวลน้ำ (ท่ีเชื่อมโยงกับ ระยะเวลา ที่แพลงก์ตอนพืชจะคงตัวอยู่
ในระบบนเิ วศ) นอกจากนี้ ยังขนึ้ อยกู่ บั ความเขม้ ข้นของแร่ธาตุอาหาร องค์ประกอบทาง
ชีวภาพในการเกิดทดแทนที่ ปัจจัยจำกัดทางด้านแสง ความเร็วในการไหลของน้ำ
ตลอดจนลกั ษณะทางโครงสรา้ งและนิเวศวทิ ยาของแหล่งน้ำแตล่ ะบริเวณอกี ดว้ ย
ในภาพรวมพบว่าแนวคิดด้านการแก้ปัญหายูโทรฟิเคชันที่สำคัญ คือ การ
แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยเฉพาะการ ควบคุมปริมาณแร่ธาตุอาหาร ที่เข้าสู่แหล่งน้ำ ซ่ึง
ควรประยุกต์ใช้ข้อมูลความรู้เชิงสหวิชาการ เพื่อประเมินระดับที่ควรควบคุม ตลอดจน
ควรหาเทคนิควิธีการ ในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบ และเหมาะสมกับ
สภาพของแหลง่ น้ำ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
110
อนึ่ง ในการบริหารจัดการ ควรควบคุมดูแลปัจจัย ทั้งทางด้านกายภาพ (อาทิ
การไหลของน้ำ) และทางด้านเคมี (แร่ธาตุอาหารในน้ำ) และควรหาทางประยุกต์ใช้
องค์ประกอบทางชีวภาพที่มี (สาหร่าย พรรณไม้น้ำต่าง ๆ) เพื่อการช่วยฟื้นฟูภายใน
ระบบนิเวศ ให้เกิดอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ไม่ควรลืมความสำคัญของชุมชนโดยรอบ
แหล่งน้ำ ซึ่งควรให้การส่งเสริมความรู้ และความตระหนักถึงปัญหาที่เกิดร่วมกัน ซึ่งจะ
ก่อให้เกดิ การขับเคล่ือนเพือ่ การแก้ปญั หายูโทรฟเิ คชนั และคุณภาพน้ำที่เกี่ยวข้องอืน่ ๆ
ได้อย่างเป็นรูปธรรม
3.5) แนวคิดเพอื่ การอนรุ กั ษ์ดแู ลแหล่งน้า
ระบบนิเวศแม่น้ำ จัดเป็นระบบนิเวศที่ได้รับแหล่งที่มาของสารอินทรีย์จาก
ภายนอกระบบเป็นหลัก สารอินทรีย์ต่าง ๆ ที่เข้าสู่แหล่งน้ำ จะถูกย่อยสลายด้วย
จุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ ซึ่งทำให้เกิดระบบการหมุนเวียนสาร
อย่างไรก็ตาม ยังมีเส้นทางการย่อยสลาย หรือการทำให้สารอินทรีย์มีขนาดเล็กลง ด้วย
กล่มุ ของผบู้ รโิ ภคตา่ ง ๆ ซ่งึ เปน็ สัตวไ์ มม่ ีกระดูกสันหลงั ขนาดเล็กท่มี ีในแหลง่ น้ำ
ในสภาวะปัจจุบัน เราพบปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพธรรมชาติในพื้นท่ี
แม่น้ำลำธารมากขึ้น สาเหตุหนึ่งเกิดเนื่องจากความจำเป็นในการนำเอาทรัพยากรน้ำ
มาใช้ประโยชน์อย่างมากขึ้น รวมทั้งมีการปล่อยน้ำเสีย สิ่งปฏิกูล และสารมลพิษ
ลงสูแ่ หล่งนำ้ มากขน้ึ ทกุ วนั ดว้ ย
ผลกระทบหลกั ทเี่ กิดข้ึน ต่อลักษณะทางนเิ วศอุทกวทิ ยาของแหลง่ นำ้ ก็คือ การ
เพิ่มของสารอินทรีย์ ปริมาณของแข็งแขวนลอย และปริมาณแร่ธาตุอาหารในน้ำ และ
ส่งผลกระทบต่อระดับของออกซิเจนละลายน้ำ ทำให้บางพื้นที่ โดยเฉพาะในเขต
“ปลายนำ้ ” มีสถานการณ์คณุ ภาพนำ้ ทม่ี แี นวโนม้ ท่ีนา่ เป็นหว่ ง
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
111
ในภาพรวมจะเห็นได้ว่า ความรู้ความเข้าใจแค่เพียงว่า ในพื้นที่แม่น้ำลำธาร
มีทรัพยากรสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่บ้าง หรือ มีลักษณะปรากฏของคุณภาพน้ำในแต่ละพื้นที่
หรือในช่วงเวลาต่าง ๆ อย่างไร อาจยังไม่เพียงพอที่จะใช้ประเมินผลกระทบ หรือ
ประเมนิ โอกาสในความเสอ่ื มโทรม และการเกิดทดแทนที่ของทรัพยากรท่มี ี
การหาแนวทางที่เหมาะสมในการปรับสมดุลธรรมชาติ เพื่อฟื้นคืน
สภาพแวดลอ้ มในระบบแหล่งน้ำ ให้เอ้ืออำนวยตอ่ การดำรงไว้ซ่ึงทรัพยากรมีชีวิตทางน้ำ
ตอ่ ไปได้นน้ั เราจึงจำเป็นต้องประมวลความรูใ้ นศาสตรท์ เี่ ก่ียวขอ้ งหลาย ๆ สาขา เข้ามา
ผนวกรวมกัน ทั้งนี้ เพื่อการอธิบายถึง “สาเหตุ” และ “การเปลี่ยนแปลง” ท่ีวิเคราะห์
ออกมาในเชิง “ปริมาณ” เพื่อให้สามารถวางแผนการจัดการที่เก่ียวข้อง ได้อย่างเป็น
รปู ธรรม
ซึ่งจากภาพรวมในการประมวลองค์ความรู้ที่ผ่านมา พบว่าการประเมิน
สถานการณ์ของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศทางน้ำในด้านต่าง ๆ ดังกล่าว
นอกจากจะต้องพิจารณาจากระดับของปัจจัยสิ่งแวดล้อมทางน้ำที่ปรากฏแล้ว ยัง
จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลความรู้ในลักษณะการตอบสนองในกลุ่มของสิ่งมีชีวิต (หรือ
ทรัพยากรชีวภาพทส่ี ำคัญในระบบนิเวศ) ที่มตี ่อปจั จยั สิ่งแวดล้อมตา่ ง ๆ น้ันมาใชใ้ นการ
วเิ คราะหร์ ว่ มกนั ด้วย
นอกจากนี้ ยังควรวิเคราะห์ตามลักษณะจำเพาะของกลุ่มพื้นที่ หรือประเภท
ของแหล่งน้ำ รวมทั้งคำนึงถึงความจำเพาะใน เป้าหมายของการใช้ประโยชน์ จาก
แหลง่ น้ำทีส่ นใจ มาประกอบการพจิ ารณา
โดยทั้งนี้ เราสามารถประเมินสภาวการณ์ของแหล่งน้ำใน ด้านคุณภาพน้ำ
เบื้องต้น (ซึ่งเชื่อมโยงกับสภาพความเป็นอยู่ หรือความเหมาะสมในการใช้ประโยชน์
จากแหล่งน้ำ) ออกเป็นด้านต่าง ๆ อาทิ มีความเหมาะสม ไม่เหมาะสมเล็กน้อย
ไมเ่ หมาะสมปานกลาง หรือ ไมเ่ หมาะสมมาก
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
112
ส่วนในการประเมินสภาวการณ์ทางด้าน ความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำ
สามารถจำแนกออกเปน็ ระดบั ความอดุ มสมบรู ณท์ ี่; มีคา่ ตำ่ มาก มคี า่ ต่ำ มคี า่ ปานกลาง
มีค่าสูง จนถึงสภาวะที่สูงเกินไป จนระบบเสียสมดุล (หรือเกิดความเสื่อมโทรมลงไป)
และ สำหรับสถานการณ์ด้าน มลภาวะของแหล่งน้ำ สามารถจำแนกออกเป็น
สถานการณ์ท่ี ไม่พบมลภาวะ มลภาวะต่ำ มลภาวะปานกลาง มลภาวะรุนแรง หรือ
มลภาวะรนุ แรงมาก เปน็ ตน้
ความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของแหล่งน้ำ และการจำแนกสถานการณ์
แหล่งน้ำอย่างชัดเจนดังกล่าว จะช่วยในการประเมินศักย์การรองรับมลภาวะ หรือ
โอกาสการรับมือจากสภาวะความกดดันต่าง ๆ และนำไปสู่การประเมินรูปแบบ และ
ปริมาณการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในระบบนิเวศได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะสามารถ
ต่อยอดไปสู่การวางแผนบริหารจัดการเพื่อการอนุรักษ์ดูแลแหล่งน้ำ ให้มีคุณภาพน้ำทีด่ ี
และสามารถให้ผลผลิตทรัพยากรธรรมชาติ ไดอ้ ย่างมีเสถียรภาพสบื ตอ่ ไป
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
113
บทท่ี 4
ถอดบทเรียนจากปั ญหา เรียนรภู้ มู ปิั ญญาชมุ ชน
Study from Problems, Learning from Community Wisdoms
การเรียนรู้ในแต่ละปัญหาที่เกิดขึ้นมา อาจจะก่อให้เกิดความท้อใจ หรือไป
ลดทอนพลังใจในการทำงานเชิงอนุรักษ์ อย่างไรก็ตาม การหันกลับไปพิจารณาถึง
ปัญหา ซึ่งแต่ละพื้นที่ หรือแต่ละกลุ่มอาชีพ ได้กล่าวถึงกันนั้น นับเป็นเรื่องที่มี
ความจำเป็นมาก เพราะสิ่งเหล่านั้น คือ “ความเป็นจริง” ที่เกิดขึ้นกับสังคม และ
เกิดข้นึ มาภายในลุม่ น้ำท่เี ราสนใจ
ซึ่งเมื่อลองพิจาณาอย่างถ่องแท้ จะพบว่าปัญหาแทบทุกอยา่ ง มีความเกี่ยวพนั
อย่างแนบแน่นกับกระบวนการคิด หรือทัศนคติของผู้คนในชุมชน รวมทั้งการได้รับ
อิทธิพลจากบริบทของภาครัฐ ที่มีส่วนขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรือที่เรียก
กันว่าเปน็ “การพัฒนา” เพ่ือใหบ้ ้านเมอื งกา้ วไปไปสู่สงั คมโลกาภวิ ฒั น์
ปัญหาที่เกี่ยวกับสถานการณ์สิ่งแวดล้อมทางน้ำ ทรัพยากร และการจัดการ
ระบบนเิ วศของล่มุ น้ำแม่กลองในระยะปจั จบุ นั ซึ่งได้แลกเปลย่ี นเรยี นรู้ จากคณะผู้แทน
ของ ประชาคมคนรักแม่กลอง (อาทิ คุณปัญญา โตกทอง คุณวรเดช เขียวเจริญ
คุณปรีชา เจี๊ยบหยู คุณชัยยันต์ อยู่ศิริ คุณบุญยืน ศิริธรรม คุณชิษณุวัฒน์ มณีศรีขำ
คุณเกตุแก้ว สำเภาทอง คุณศุภโชค ศาลากิจ และคุณชัยสิทธิ์ นันทธนา) ณ กลุ่มสัจจะ
สะสมทรัพย์แพรกหนามแดง ในเขตอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อวันที่ 10
มกราคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา (ภาพที่ 4-1) สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของผู้แทน
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
114
กลุ่มอาชีพต่าง ๆ ที่มาร่วมช่วยกันคิดถึงปัญหา ท่ีพบหลากหลายด้านมาก โดยเฉพาะ
ปัญหาสำคัญพื้นฐาน คือ การที่ผู้คนส่วนใหญ่ ยังขาดความรู้ความเข้าใจ เรื่องระบบ
นิเวศ น้ำจืด น้ำกรอ่ ย นำ้ เคม็ วา่ สำคญั เพียงใด และมคี วามสมั พันธ์เชอื่ มโยงกนั อย่างไร
ภาพที่ 4-1 การประชมุ แลกเปลยี่ นเรียนรู้สถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อมทางนำ้ และ
การจัดการระบบนิเวศลุ่มน้ำแม่กลอง ณ กลมุ่ สจั จะสะสมทรพั ย์แพรกหนามแดง
อำเภออมั พวา จังหวดั สมุทรสงคราม (10 มกราคม พ.ศ. 2565)
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
115
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาทางด้านการเปลี่ยนวิถีชีวิตของชุมชน ที่กลายเป็น
ลักษณะของชุมชนเมืองเพิ่มมากขึ้น ปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ของ
ที่ดินในพื้นที่โดยรอบสายน้ำ ส่งผลกระทบให้พื้นที่รองรับน้ำ คู คลอง และลำประโดง
ต่าง ๆ หายไปอย่างตอ่ เนอ่ื ง จากการพัฒนาเชิงโครงสร้างของสงั คมเมือง
ปัจจุบัน ยังพบปัญหาท่ีแหล่งน้ำธรรมชาติขาดการดูแลรักษา คุณภาพน้ำใน
ลำคลองและแหล่งน้ำต่าง ๆ เสื่อมโทรมมากขึ้น สัตว์น้ำมีปริมาณลดลง และมีปัญหา
ขยะในแม่น้ำลำคลอง ปัญหาน้ำเสียจากพื้นที่กลางน้ำ สู่พื้นที่ปลายน้ำ ปัญหาการขาด
ระบบบำบัดที่เพียงพอ การขาดมวลน้ำต้นทุนท่ีเพียงพอ ซึ่งในภาพรวม เป็นการสะท้อน
สภาพการสะสมของปัญหาที่เกิดจากการแก้ไขที่ปลายเหตุ ยังไม่ได้แก้ไขไปที่ต้นเหตุ
อย่างจริงจัง นอกจากนี้ ยงั ขาดการบรหิ ารจัดการ ที่ครอบคลุมทง้ั ระบบลุ่มน้ำ ให้เกดิ ขึ้น
อย่างมปี ระสิทธิภาพ
อนึ่ง หากวิเคราะห์ในสถานการณ์ ปัญหา ตลอดมุมมองทางออก หรือวิธีการ
แก้ไข ไปตามลักษณะความต้องการ ในการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศทางน้ำในพื้นที่
ซึ่งมีลักษณะต่าง ๆ กันไป เราสามารถแจกแจงรายละเอียด ด้านสถานการณ์ ปัญหา
และมุมมองทางออกจากผู้รู้ในประเด็นด้านต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร
จดั การในระยะตอ่ ไปได้ ตามระละเอยี ด ดังต่อไปนี้
4.1) ปั ญหาด้านการผลิตพชื ผลทางการเกษตร
การผลิตพืชผลทางการเกษตรด้วยอาชีพการทำสวน นับเป็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของ
ผู้คนส่วนใหญ่ในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลองตอนกลางถึงตอนล่าง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโดยตรง
กับปริมาณและคุณภาพน้ำในพ้ืนที่ลุ่มน้ำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการทำสวนของผู้คนใน
เขตพื้นที่ลุ่มน้ำทางตอนล่างนั้น ได้รับผลกระทบอย่างมากจากกการเปลี่ยนแปลง
เส้นทางของลำน้ำตามธรรมชาติ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
116
ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงที่มีการสร้างอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ โดยขณะที่เขื่อนได้
ก่อสร้างแลว้ เสร็จในปี พ.ศ. 2524 ซึ่งเป็นการก้ันปิดเส้นทางการไหลของแม่น้ำแควใหญ่
(ภาพที่ 4-2) เพื่อทำการเกบ็ กักน้ำในพนื้ ที่อ่างเกบ็ น้ำให้ค่อย ๆ เพิ่มสูงข้ึนอย่างต่อเนื่อง
ในระยะ 3 ปแี รก ทำใหก้ ารไหลลงมาของมวลน้ำจืดจากแม่นำ้ สพู่ ื้นที่ลุ่มน้ำทางตอนลา่ ง
เกดิ การหยดุ ชะงกั ลง
*
*ภาพท่ี 4-2 ตำแหน่งของอ่างเก็บนำ้ เขอ่ื นศรนี ครินทร์ ในบรเิ วณลุม่ น้ำแม่กลอง
ซึ่งเป็นการจัดสรา้ งบนเสน้ ทางการไหลของแม่นำ้ แควใหญ่ ในเขตจังหวดั กาญจนบุรี
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
117
นับเป็นช่วงเวลาการกักเก็บน้ำในอ่างเก็บน้ำไว้ อย่างค่อนข้างนานและต่อเนื่อง
ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 – 2526 ซึ่งส่งผลให้พื้นที่การทำสวน และกิจกรรมทางการเกษตร
ต่าง ๆ ในเขตลุ่มน้ำทางตอนกลางและตอนล่าง เกิดการขาดมวลน้ำจืดตามธรรมชาติ
ทีไ่ หลลงมา กอ่ ให้เกิดสภาวะความแหง้ แลง้ และเกิดผลกระทบอย่างหนกั ตอ่ การทำสวน
ข้อมูลความรู้จากการสัมภาษณ์ คุณชัยยันต์ อยู่ศิริ ผู้แทนคณะอนุกรรมการ
ทรพั ยากรน้ำ จงั หวัดสมุทรสงคราม (วนั ท่ี 21 มกราคม พ.ศ. 2565) พบวา่ ในชว่ งทไี่ มม่ ี
มวลน้ำจืดไหลลงมา ผืนแผ่นดินได้ขาดความชุ่มชื้นตามธรรมชาติที่เคยมี ทำให้ดิน
เกิดความแห้งแล้งลงไปเรื่อย ๆ จนบริเวณผิวหน้าดินได้แห้งลง กลายเป็นฝุ่นผง
อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผลจากการเปลี่นนแปลงดังกล่าว ทำให้พืชผลที่สำคัญต่าง ๆ ในพื้นท่ี
ชุมชน (อาทิ มะพรา้ ว และกลว้ ย) ได้ตายลงไปอย่างมากมาย
ผลกระทบจากปัญหาการขาดน้ำต้นทุนจากแม่น้ำแควอย่างเพียงพอ ยังทำให้
น้ำในพื้นที่แม่น้ำแม่กลองแทบไม่เคลื่อนตัว นอกจากนี้ ในช่วงหน้าน้ำทะเลหนุนสูง
ยังก่อให้ปัญหาเกิดการรุกล้ำของน้ำเค็ม เข้าไปยังพื้นที่แนวร่องสวนต่าง ๆ ได้ชัดเจน
มากขึ้น (โดยเฉพาะพื้นที่สวนมะพร้าวทางตอนกลางและตอนล่างของลุ่มน้ำ) ในช่วง
ระยะเวลาดังกล่าว พ้ืนที่สวนมะพร้าวที่มีเป็นจำนวนมาก (โดยเฉพาะทางเขตอำเภอ
อัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม) ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ซึ่งปัญหาจากวิกฤตความ
แห้งแล้งด้วยการขาดมวลน้ำจืดนั้น ได้ทำให้ลำต้นของมะพร้าวคอดกิ่ว แห้งลง
พบยอดมะพร้าวดว้ นกุด และเกดิ การยืนต้นตายไป นบั เปน็ บรเิ วณกวา้ ง
พื้นที่สวนมะพร้าวที่ได้รับผลกระทบ และเกิดการตายลงจากสภาวการณ์
ดงั กล่าว ครอบคลมุ บรเิ วณทก่ี ว้างมาก คดิ เป็นพน้ื ที่ถงึ ประมาณ 5,000 ไร่ กอ่ นท่ีระบบ
นำ้ ในพนื้ ทีธ่ รรมชาตเิ หล่าน้ัน จะเรม่ิ เขา้ ส่สู ภาวะปกติ ในชว่ งประมาณปี พ.ศ. 2530
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
118
เมอ่ื พิจารณาลักษณะการเปล่ยี นแปลงของพน้ื ที่ในช่วงประมาณ 20 ปีท่ีผ่านมา
(ช่วงปี พ.ศ. 2545 – 2564) จะพบลักษณะการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ตามเส้นทางคูคลอง
อยา่ งตอ่ เน่อื ง ทั้งที่เกดิ เนื่องจากเกิดการต้นื เขิน จากการเพ่ิมจำนวนของผักตบชวา หรือ
วัชพืชต่าง ๆ ที่เจริญขึ้นมาอย่างหนาแน่น และเกิดจากการใช้พื้นที่อย่างไม่ระมัดระวัง
โดยมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ หรือถมคูคลองที่มี เพื่อการสร้างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ อย่าง
มากมาย นอกจากนี้ ในพื้นที่คูคลองบางแห่ง ยังพบปัญหาความเสื่อมโทรมของ
คุณภาพน้ำ พบปัญหาด้านน้ำเสียจากกิจกรรมการแปรรูปพืชผลทางการเกษตร
ตลอดจนยังมนี ้ำท้งิ จากรสี อรท์ และครัวเรอื นต่าง ๆ ท่มี ีโดยรอบแหล่งน้ำ
การถ่ายเทของน้ำตามเส้นทางคูคลองที่เชื่อมโยงกันอยู่นั้น ปัจจุบัน ยังพบ
ข้อจำกัดอยู่มาก ยกตัวอย่างในตำบลบางสะแก อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
ซึ่งครอบคลุมเนื้อที่ประมาณ 5,000 ไร่ พื้นที่ในเขตตำบลบางสะแก นับเป็นบริเวณที่มี
พื้นที่รับน้ำได้ถึงประมาณ 30 ตารางกิโลเมตร ทั้งนี้ เนื่องจากการมีคูคลองธรรมชาติ
รวมท้ังลำประโดงต่าง ๆ อย่เู ป็นจำนวนมาก (ภาพท่ี 4-3)
พ้นื ทด่ี งั กล่าว เปน็ ประโยชนใ์ นการช่วยรบั และกระจายมวลนำ้ และชะลอไม่ให้
มวลน้ำไหลลงทะเลเร็วเกินไป อย่างไรก็ตาม ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา พบว่าพื้นที่
คูคลองลำประโดงจำนวนมาก ได้ถูกถม ปิดตัน เพื่อก่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัย โดยการ
รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และส่งผลกระทบให้พื้นที่โดยรวม เกิดสภาวะน้ำไม่มีที่ระบาย เกิดน้ำ
ทว่ มขนึ้ ได้เสมอ โดยเฉพาะในชว่ งหน้าน้ำ
ลักษณะของปรากฏการณ์ทีเ่ กดิ ขึ้นดังกล่าว สะท้อนให้เห็นผลกระทบจากการท่ี
ลุ่มน้ำตอนกลางและตอนลา่ ง เกดิ การเปล่ยี นแปลงลักษณะการใช้พืน้ ท่โี ดยรอบแหลง่ นำ้
นอกจากนี้ ปัญหาในเชิงคุณภาพน้ำ ยังเกิดจากการขาดมวลน้ำจืดต้นทุนจากแม่น้ำ
อย่างเพียงพอ ประเด็นปัญหาด้านการเสื่อมโทรมคุณภาพของน้ำ จึงเกิดสืบเนื่องต่อมา
รวมทั้งปญั หาการทนี่ ้ำมีความเคม็ ทส่ี ูงขนึ้ ในพน้ื ที่ตอนล่าง ซึ่งพบไดบ้ อ่ ยครัง้ ขนึ้
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
119
ภาพท่ี 4-3 ลกั ษณะของแม่น้ำคคู ลองตามธรรมชาติ รวมทัง้ ลำประโดงในสวนผลไม้
ในพ้นื ทเี่ ขตตำบลบางสะแก อำเภอบางคนที จังหวดั สมุทรสงคราม
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
120
นอกจากนี้ การที่น้ำไม่สามารถไหลเข้าออกตามธรรมชาติแบบเดิม ยังทำให้
พื้นดินในบริเวณที่มีการทำสวนผลไม้ หรือการทำสวนเกษตรต่าง ๆ เกิดการขาดแร่ธาตุ
และตะกอนสารอินทรีย์ ที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ไปทีละเล็กทีละน้อย
ส่งผลกระทบให้พื้นที่ดินในลุ่มน้ำ เริ่มขาดความอุดมสมบูรณ์ และทำใหเ้ กดิ ความจำเป็น
ท่จี ะต้องใชป้ ุ๋ยเคมี ในปรมิ าณทม่ี ากข้นึ ไปเป็นลำดบั
อนึ่ง ปัญหาการที่น้ำในร่องสวน ขาดการไหลเวียนเติมเต็มต่างไปจากเดิมน้ัน
ส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกเกิดการ “การขาดตะกอน” ที่ประกอบไปด้วยอนุภาคดิน ปุ๋ย
แร่ธาตุ ตลอดจนซากพืชซากสัตว์ และสารอินทรีย์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้พื้นที่เพาะปลูก
ในบริเวณกว้าง ขาดความอุดมสมบูรณ์และเปลี่ยนไปจากสภาพเดิม ประเด็นดังกล่าว
นับเป็นปัญหาเกิดที่สืบเนื่อง จากการบริหารจัดการมวลน้ำ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบ
ในทางลบ ต่อการประกอบอาชีพทางด้านการผลิตพืชผลทางการเกษตร ซึ่งนับเป็น
อาชพี หลกั ของลุ่มนำ้ แมก่ ลอง ที่ชุมชนมีการใชป้ ระโยชน์พ้นื ทใ่ี นสัดสว่ นท่ีมากท่สี ดุ
4.2) ปั ญหาด้านการจัดการคคู ลองและระบบชลประทาน
คนแมก่ ลองด้งั เดมิ มกี ารใช้น้ำเพอื่ การอปุ โภคบรโิ ภค รวมทัง้ ใชเ้ ส้นทางคูคลอง
ธรรมชาติในการเดนิ ทางและการขนส่งทางเรือ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการตัดถนนในระยะ
หลัง ผู้คนส่วนใหญ่จึงหันมาให้ความสำคัญกับถนน มากกว่าสายน้ำ นอกจากนี้ การ
ปรับเปลี่ยนพื้นทีเ่ พื่อทำถนนหนทาง ทำให้จำเปน็ ต้องปรับ “คูคลอง” ให้เหลือเปน็ เพยี ง
“ท่อลอด” ใต้ท้องถนน โดยมักมีขนาดเล็กลงจากเดิมมาก ซึ่งทำให้เส้นทางน้ำ
ตามธรรมชาติเสื่อมโทรม หรือค่อย ๆ หายไป และเกิดปัญหาต่อการไหลของน้ำในพื้นท่ี
คลองซอยเดิม หรอื ในลำประโดงท่ีมีเดิม
ข้อมูลความรู้จากการสัมภาษณ์ คุณมนัส บุญพยุง กำนันตำบลบางสะแก
อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม (เมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2565) พบว่าการ
เปลี่ยนแปลงมุมมองของผู้คน หรือการที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นความสำคัญของคูคลอง
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
121
หรือลำประโดงต่าง ๆ นั้น อาจเกิดเนื่องจากการที่คนเราเริ่มไม่ได้ใช้เส้นทางตามสายนำ้
หลังจากที่มีเส้นทางถนนที่ตัดใหม่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ การพัฒนาสังคมเมือง ยังทำ
ใหเ้ กดิ อาชพี อืน่ ทแี่ ตกตา่ งไปจากเดมิ ซึง่ มกั จะทำใหก้ ารตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของการ
อนรุ กั ษด์ ูแลสายน้ำคอ่ ย ๆ ลดลงไป และยากต่อการเขา้ ใจโดยผูค้ นสังคมในวงกวา้ ง
ลุ่มน้ำแม่กลองตอนล่าง ในเขตจังหวัดสมทุ รสงคราม พบปัญหาด้าน “ท่อลอด”
ท่ียังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ กระจายไปเกือบทั่วทุกพื้นที่ในเขตจังหวัด นอกจากน้ี
ยังพบปัญหาที่สืบเนื่องจากการพัฒนาพื้นท่ี เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว (อาทิ การ
จัดสร้างตลาดน้ำขึ้นที่ตำบลอัมพวา ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2549) ซึ่งทำให้พื้นที่ต่าง ๆ
ในบริเวณใกล้เคียงได้เกิดการซื้อขายที่ดินเพิ่มมากขึ้น โดยมีกลุ่มคนจากพื้นที่อื่น ๆ ได้
เข้ามาซื้อพื้นที่สวนผลไม้ หรือพื้นที่ทางการเกษตรแนวใกล้ชายน้ำ เพื่อนำไปจัดสร้าง
รีสอร์ท ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ได้มีการถมพื้นที่คูคลองในหลากหลายบริเวณ ซึ่งเป็นลักษณะ
ของการถมที่ แบบ “ไม่เว้นช่องน้ำ” นอกจากนี้ ยังพบการจัดสร้างที่พักอาศัย ศาลา
หรือสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ยื่นเข้าไปในเขตแม่น้ำ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดข้ึน
ตอ่ รูปแบบการไหลของนำ้ หรือคณุ ภาพน้ำในภาพรวมของพนื้ ที่ ซ่ึงไหลเช่ือมโยงกนั อยู่
ผลจากการประมวลความรู้พบว่า การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญต่อระบบนิเวศ
ทางน้ำในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม นอกจากจะเกิดจากการที่พื้นที่คูคลอง ได้มีการ
ลดจำนวนลงไปมาก โดยเหลืออยู่ประมาณร้อยละ 40 ของปริมาณเมื่อ 20 ปี ที่ผ่านมา
ยังพบว่า คูคลองหลายแห่งที่มี ได้ถูกปิดกั้นด้วยประตูชลประทาน หรือประตูกั้นทางน้ำ
ท่มี ขี นาดแคบกว่าเส้นผ่านศนู ยก์ ลางเดิมของคูคลองน้ัน
การก่อสร้างประตูชลประทานที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่พบว่าทำให้เกิดปัญหา
ต่อระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรทางน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลองทางตอนล่าง
เป็นอย่างมาก การก่อสร้างประตูชลประทานดังกล่าว เกิดขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์หลัก
เพอ่ื ป้องกนั น้ำเคม็ รกุ ลำ้ ซง่ึ นอกจากจะพบวา่ เปน็ การแกป้ ัญหาทีไ่ ม่สอดคล้องกบั สภาพ
ตามธรรมชาติ และไม่ตอบโจทย์กับสาเหตุหลักแล้ว การก่อสร้างประตูชลประทานที่มี
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
122
“ขนาดของบานประตูไม่เหมาะสม” (โดยมีขนาดเล็กกว่าขนาดคลองเดิม) ทำให้
ไม่สามารถระบายน้ำ ได้อย่างสอดคล้องกับปริมาณน้ำ หรือลักษณะการผลักดันมวลน้ำ
ทเ่ี กิดการขน้ึ ลง โดยอทิ ธพิ ลของทะเล ทม่ี ีตามธรรมชาตขิ องพ้ืนที่น้นั ๆ ได้
พื้นที่คูคลองบริเวณที่อยู่ด้านหน้าของบานประตู ยังเป็นบริเวณที่มวลน้ำจืดซึ่ง
ไหลลงมาปะทะแนวบานประตู มีอัตราของการตกตะกอนที่สูงขึ้น ซึ่งทำให้เริ่มน้ำใส
โดยขาดตะกอนทีด่ อี ย่างเพียงพอ ลักษณะดงั กลา่ วจัดเปน็ การลดทอนความอดุ มสมบรู ณ์
ของมวลน้ำ ที่จะไหลเข้าไปสู่พื้นที่ร่องสวนโดยรอบ นอกจากนี้ กลายเป็นบริเวณ
ตกตะกอนของสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ทำใหค้ ุณภาพน้ำเสอ่ื มโทรมลงได้ (ภาพที่ 4-4)
ภาพที่ 4-4 ลักษณะพืน้ ทลี่ ำนำ้ ท่พี บปญั หาการระบายนำ้ เสียและการสะสมของเสยี
จนเกดิ ปัญหาความเสื่อมโทรมของคุณภาพส่ิงแวดล้อม (ภาพโดย: ประชาคมคนรักแม่กลอง)
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
123
การแก้ปัญหาของระบบนิเวศทางน้ำซึ่งมีข้อจำกัดต่าง ๆ นั้น นอกจากจะ
เกดิ จากการท่ผี ้คู นส่วนใหญ่ ยงั ขาดความตระหนกั ร้ใู นลกั ษณะของธรรมชาติ และคุณคา่
ที่มีของระบบนิเวศแม่น้ำลำคลองแล้ว ยังเกิดจาก “บริบทในเชิงการถือครองพื้นท่ี”
ทั้งนี้ เนื่องจากพื้นที่แม่น้ำ คู คลอง และลำประโดงสายย่อยต่าง ๆ นั้น มีหลากหลาย
ฝา่ ยที่มามบี ทบาทเกย่ี วข้องกัน
สำหรับคคู ลองตามธรรมชาติ จัดเป็นพืน้ ท่ีสาธารณะท่รี ับนำ้ จากแม่น้ำสายหลัก
เขา้ ไปสู่เครอื ขา่ ยสายนำ้ ในเขตแผน่ ดิน พื้นท่ีคคู ลองโดยทัว่ ไป จึงเป็นบริเวณทห่ี น่วยงาน
ท้องถิ่น (อาทิ องค์การบริหารส่วนตำบล) สามารถเข้าไปดำเนินการบริหารจัดการ หรือ
ให้การดูแลได้ โดยสามารถเข้าไปฟื้นฟู หรือจัดทำกิจกรรมบูรณะพื้นที่ หรือแก้ปัญหา
ต่าง ๆ ที่เกิดขน้ึ ไดอ้ ย่างสะดวก
อย่างไรก็ตาม หากเป็นพื้นที่ลำประโดง หรือเป็นร่องน้ำย่อยที่อยู่ภายในพื้นที่
สวนต่าง ๆ นั้น มักเป็น “พื้นที่ส่วนบุคคล” โดยเป็นของเอกชนแต่ละราย ซึ่งอาจมี
เจ้าของพื้นที่ทั้ง 2 ฝั่งของลำประโดง มีสิทธิ์ถือครองคนละครึง่ หรือใช้ประโยชน์ร่วมกัน
อยู่ พื้นที่ในลักษณะดังกล่าว จัดเป็นบริเวณที่หน่วยงานภาครัฐไม่สามารถเข้าไป
บริหารจัดการโดยพลการได้ และจำเป็นที่จะต้องได้รบั ความเห็นชอบ หรือความร่วมมอื
จากเจ้าของพน้ื ทแ่ี ต่ละแหง่ ในการดำเนนิ การใด ๆ
ยกตัวอย่างในพื้นท่ีตำบลบางสะแก อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
พบว่าพื้นที่ตำบลบางสะแก 1 ตำบลนั้น มีลำประโดงอยู่ถึงประมาณ 61 ลำประโดง ซ่ึง
จำเป็นจะต้องได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟู และจำเป็นต้องดำเนินการไปพร้อม ๆ กัน
ทั้งระบบ เพื่อให้ระบบนิเวศคูคลองและสายน้ำต่าง ๆ ได้คงศักยภาพในการรองรับน้ำ
และสามารถส่งต่อสายน้ำที่มีคุณภาพดี ให้กระจายไปยังชุมชน ตลอดจนบริเวณแหล่ง
ทม่ี ีการปลกู พชื และทำกิจกรรมทางการเกษตรต่าง ๆ โดยรอบได้
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
124
ด้วยลักษณะที่ซับซ้อนในเชิงพื้นท่ีดังกล่าว เราจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องหาทางบริการจัดการ โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี
ซึง่ หากเกดิ ความไม่เข้าใจกนั การขาดความตระหนกั รใู้ นคุณค่าของเสน้ ทางน้ำ หรือหาก
ขาดความร่วมมือจากเจ้าของพื้นที่บริเวณลำประโดงย่อย ๆ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง
ย่อมจะส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม และเกิดปัญหาในระยะยาว
ตอ่ ไปได้
4.3) ปั ญหาการท่วมของน้าและมมุ มองทางออก
ในปัจจุบัน คูคลองหลายบริวณเกิดการตื้นเขิน เนื่องจากขาดการดูแลรักษา
รวมท้ังเกิดจากการเปลย่ี นแปลงรปู แบบการใช้ประโยชน์ในพน้ื ทร่ี ่องสวน ไปเปน็ หมบู่ า้ น
จดั สรร หรือสร้างพน้ื ท่ีอย่อู าศยั แหล่งชมุ ชนตา่ ง ๆ ซ่ึงทำใหเ้ กดิ การปดิ ก้ันพืน้ ท่ีธรรมชาติ
ของการไหลแบบเดิมไป และในภาพรวมได้ทำให้เกิดปัญหาด้านการระบายน้ำ มวลน้ำ
ที่ไหลเอ่อลงมาในช่วงหน้าน้ำ มักไม่สามารถระบายออกหรือแผ่กระจายออกไป ตาม
แนวระนาบของระบบลมุ่ นำ้ ไดเ้ หมือนเดิม
“ปัญหาน้ำท่วม” ในหลาย ๆ พื้นที่ ที่กล่าวว่าเกดิ จาก “น้ำทะเลหนุน” นั้น ไม่
น่าใช่สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาเป็นสาเหตุหลัก ของปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มน้ำ ทาง
ตอนลา่ ง ทั้งน้ี เนอ่ื งจาก สภาวะน้ำทะเลหนุน เป็นลกั ษณะทีเ่ กดิ ตามธรรมชาติ และเป็น
เช่นนี้มานับเป็นร้อยปีแล้ว ด้วยข้อมูลความรู้ในภาพรวม เราพบว่าการเปลี่ยนแปลงใน
พื้นที่ โดยขาดการวางผังเมอื งสำหรับการระบายน้ำที่ดี การขาดความตระหนกั ถึงคณุ คา่
ของคูคลองลำประโดงต่าง ๆ รวมทั้งการปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดสร้างสิ่งก่อสร้างต่าง
ๆ ในพื้นที่แหล่งน้ำ ดังที่ได้กล่าวถึงข้างต้น นับเป็นปัญหาสำคัญ ซึ่งย้อนกลับมา
กอ่ ให้เกดิ ผลกระทบในทางลบ ตอ่ ความเป็นอย่แู ละคณุ ภาพชีวิตของผคู้ นได้
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
125
ในการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ ที่มีการขายที่ทำกินให้บุคคลต่างถิ่นที่มาหาท่ี
จับจอง และเกิดการถมพื้นที่เพื่อการจัดทำรีสอร์ท หรือที่พักอาศัยเพิ่มมากขึ้นอย่าง
ชัดเจน โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น นับเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องรณรงค์ให้ผู้ที่
เข้ามาซื้อที่ร่องสวนในเขตลุ่มน้ำแม่กลอง (โดยเฉพาะในเขตตอนกลางและตอนล่าง ที่
จัดว่าเป็นเขต “เมืองสามน้ำ”) ได้เข้าใจความหมายและความสำคัญของคู คลอง ร่อง
สวน ลำประโดง และหันมาร่วมมือร่วมใจในการฟื้นฟูร่องน้ำ ตลอดจนช่วยกันอนุรักษ์
พื้นที่เส้นทางน้ำให้คงไว้ในรูปแบบเดิมเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ เพื่อการอนุรักษ์พื้นที่ และ
การดูแลพื้นที่ของเมืองสามน้ำในภาพรวม ที่จำเป็นต้อง “มีที่ให้น้ำอยู่” ได้คงอยู่ไว้
เพอ่ื ศักยภาพทด่ี ีในการเป็นท่ีอยอู่ าศยั และเป็นทท่ี ำกนิ ท่เี หมาะสมตอ่ ไปได้
ในขณะเดียวกัน ชุมชนที่อาศัยอยู่เดิม ก็จำเป็นที่จะต้องสละเวลา และทุ่มเท
แรงกายแรงใจ ในการปรับปรุงพื้นที่ลำประโดงของตนเอง รวมถึงการช่วย “แขกแรง”
เพื่อรวมพลงั กันทำกิจกรรมต่าง ๆ (อาทิ การกำจดั ผกั ตบชวา การลอกร่องสวน และการ
ปรับปรุงพื้นที่โดยเอาดินไปถมแนวคันปลูกพืชในพื้นที่ให้สูงขึ้นระดับหนึ่ง) ทั้งนี้ เพ่ือ
แก้ปัญหาน้ำท่วมขังสูงในบางฤดูกาล ที่เกิดเนื่องจากในภาพรวม มีพื้นที่ ที่จะให้น้ำอยู่
ลดปรมิ าณลงไปอยา่ งมากนนั่ เอง
อนึ่ง แนวทางการแก้ไขปัญหาที่สามารถทำให้การบริหารจัดการน้ำในเขตพ้ืนท่ี
หรือเขตตำบลหน่ึง ๆ ประสบความสำเรจ็ ควรประกอบด้วย
1) การมีความรู้ด้าน “ขนาดและลักษณะการไหล” ของระบบคคู ลอง ตลอดจน
ลำประโดงในพนื้ ทีน่ ัน้ ๆ อย่างชดั เจน
2) การมี “แผนการดำเนินการ” อย่างเป็นรูปธรรมที่กำหนดตามลำดับ
ความสำคัญ
3) การมี “งบประมาณในการดำเนินการ” ที่สอดรับกับความประสงค์ของ
ชมุ ชน ตลอดจนภมู ปิ ัญญาในการบรหิ ารจดั การ เพอื่ ให้เกดิ ประสทิ ธิผลอย่างแทจ้ รงิ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
126
สำหรับมุมมองใน การแก้ปัญหาด้านน้ำท่วม ที่มีการเสนอให้ “พัฒนาคัน
ป้องกันนำ้ ท่วมชุมชน” รวมทั้ง “เพิ่มประสิทธภิ าพหรือขยายขนาดของอ่างเก็บน้ำ” หรอื
การกอ่ สรา้ ง “คลองผนั นำ้ หลาก” นนั้ อาจเป็นแนวทางการแก้ปัญหาทไ่ี ม่ตรงจดุ และจะ
กอ่ ให้เกิดการกักกนั มวลน้ำ ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบตามมาได้อยา่ งต่อเนอื่ ง
นอกจากนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพของการระบายน้ำ โดยมุ่งเน้นไปที่การจัดการ
“อาคารระบายน้ำ” อาจไม่ใช่วิธีการแก้ไขที่เหมาะสม ทั้งนี้ เนื่องจากการระบายน้ำที่ดี
ขึ้นอยู่กับแผนการปฏิบัติการด้านการระบายน้ำ ที่จะสามารถวิเคราะห์สถานการณ์
เชิงรุก เพื่อการเตรียมความพร้อม ในการรับมือกับสภาวะที่มวลน้ำเพิ่มปริมาณอย่าง
กระทันหันได้
การก่อสร้างที่มุ่งเป้าไปที่อาคารระบายน้ำดังกล่าว อาจเป็นการใช้งบประมาณ
ทางภาครัฐที่สูงมาก ซึ่งงบประมาณจำนวนนั้น ควรจะต้องพิจารณานำไปใช้ในด้านอื่น
ที่เหมาะสมกว่า อาทิ ใช้ในการขุดลอกคูคลองตามธรรมชาติ รวมทั้งการขุดลอก
ท่อระบายน้ำต่าง ๆ ที่มี ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ ให้เกิดได้อย่าง
เต็มท่ี ตามศกั ยภาพทางธรรมชาตทิ ่ีเออื้ อำนวยอยู่ไดอ้ ยา่ งสงู สดุ ซึ่งในภาพรวมจะกอ่ เกิด
ประโยชนไ์ ดม้ ากกว่า
4.4) ปั ญหาการรกุ ล้าของน้าเค็มและแนวทางแก้ไข
การเกิด ปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำ ประเด็นที่ควรมุ่งเน้นเพื่อการบริหารจัดการ คือ
ต้องใหม้ ีการผันน้ำจดื ลงมาอยา่ งเพียงพอ ยกตวั อยา่ งกรณปี ญั หาในช่วงปี พ.ศ. 2558 ที่
ทางจังหวัดราชบุรีประสบกับปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำ และเกิดผลกระทบต่อพืชผลทาง
การเกษตรอย่างมากนั้น ผลการศึกษาวิเคราะห์พบว่า เป็นปัญหาที่สืบเนื่องจากสาเหตุ
หลัก คือ ปริมาณน้ำท่า หรือมวลน้ำจืด ที่ไหลลงมาในเขตปลายน้ำ มีปริมาณท่ีลดต่ำลง
กว่าระดับปกตอิ ยา่ งมาก
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
127
ซึ่งหากเราพิจารณาเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลง ค่าความเค็ม ของแม่น้ำ
แม่กลองในแต่ละปี จะพบว่า “ค่าความเค็มของน้ำ” ในสถานีตรวจวัดบริเวณสวนผ้ึง
จังหวัดราชบุรี มีค่าผกผันอย่างชัดเจน กับ “ปริมาณน้ำท่า” ที่ผันลงมาจาก
เขื่อนแม่กลอง ดังนั้น การผันน้ำที่มากเพียงพอลงมา จะเป็นการลดค่าความเค็มของน้ำ
ในพื้นท่ีลุ่มน้ำแมก่ ลองทางตอนล่างได้
ด้วยเหตุดังกล่าว การแก้ปัญหาการรุกล้ำของความเค็มในระยะยาว หากใช้
วิธีการตามมาตรการของการจัดทำสิ่งก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็น “อาคารควบคุมความเค็ม”
“คันกั้นน้ำเค็ม” หรือ การจัดการลักษณะร่องน้ำ (อาทิ “การขุดลอกสันดอนลำน้ำ”) จะ
เปน็ การแก้ปญั หาท่ไี มต่ รงจุด และอาจกอ่ ผลกระทบในทางลบเพ่มิ มากขึ้นได้
อนึ่ง การคิดแก้ปัญหาโดยการก่อสร้าง “ประตูกั้นน้ำเค็ม” นั้น ด้วย
ประสบการณ์ของกรณีศึกษาหลากหลายแห่ง เราได้พบว่าเป็นวิธีการท่ี “ไม่เหมาะสม”
เป็นอย่างยิ่ง ในหนังสือ เรื่อง นิเวศสามน้ำ ซึ่งเผยแพร่ในช่วงปี พ.ศ. 2547 นั้น
คุณสุรชัย แซ่ด่าน ตัวแทนจากอำเภอปากพนัง ได้ทำการยกตัวอย่าง และอภิปรายถึง
ปัญหาในการทำประตูกั้นน้ำเค็ม ที่ลุ่มน้ำปากพนัง โดยกล่าวว่า “ปัญหาที่ประตู
ระบายน้ำ และทฤษฎีแยกน้ำจืดน้ำเค็มน้ัน ไม่ถูกต้อง ไม่มีที่ไหนในโลกทำ เพราะมัน
เป็นเร่ืองทผี่ ดิ ธรรมชาติ”
ประสบการณ์ของผู้รู้ในพื้นท่ี ดังตัวอย่างข้างต้น สะท้อนให้เราได้หันมา
พิจารณา และคำนึงถึงปัญหาและผลกระทบ ท่ีอาจจะเกิดขึ้นในระยะยาว หากเรา
แก้ปัญหาในบริเวณระบบนิแวศน้ำกร่อยของลุ่มน้ำแม่กลอง อย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม
ซึ่งในการนี้ เราควรพิจารณาอย่างพินิจพิเคราะห์ และส่งเสริม มาตรการด้านการ
ระบายน้ำ เพื่อการแก้ปัญหาให้เกิดอย่างคุ้มค่าที่สุด โดยคำนึงถึงความเหมาะสมในเชิง
ปริมาณ และ ช่วงเวลา สำหรับการระบายมวลน้ำจืดลงมา ให้สอดรับกับแรงผลักดัน
จากการขึ้นตามธรรมชาติของระบบทะเล (โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำตอนล่าง) ซึ่งจะเป็น
การ ประหยัดมวลน้ำ และเกดิ ประสทิ ธิผลตามเปา้ ประสงค์ทีก่ ำหนดได้
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
128
เมื่อพิจารณาข้อมูลความรู้ ตลอดจนข้อเสนอแนะจากการสัมภาษณ์ อาจารย์
ปรีชา เจี๊ยบหยู ผู้แทนจากประชาคมคนรักแม่กลอง ณ เตาตาลมิตรปรีชา ตำบล
บ้านปรก อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม (วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2565) พบว่า
เทคนิคสำคัญสำหรับการแก้ปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำ คือ ควรส่งเสริมการ “ใช้น้ำ พยุงน้ำ”
ซึ่งในการนี้ ปราชญ์ชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลองอีกหลายท่าน ได้มีความเห็นที่
สอดคล้องกัน สำหรับการแก้ปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำ โดยควรให้ทาง เขื่อนแม่กลอง ทำการ
ระบายน้ำลงมา ในช่วงที่น้ำทะเลหนุนสูง ทั้งนี้ แนวคิดของการ “ใช้น้ำ พยุงน้ำ” คือ
การใช้มวลน้ำเค็ม ตอนน้ำขึ้น ดันให้ฐานของน้ำทั้งระบบไหลย้อนขึ้นมา และมีระดับ
ฐานของน้ำที่สูงขึ้น โดยจะสามารถรองรับมวลน้ำจืดที่ปล่อยลงมา โดยระดับน้ำจืดท่ี
ถูกยกสูงขึ้นจากแรงผลักดันของมวลน้ำทะเลดังกล่าว จะมีระดับที่สูงพอ จนสามารถ
กระจายเข้าสู่พื้นท่ีคู คลอง ลำประโดง โดยรอบได้ง่าย ซึ่งจะทำให้เกษตรกรผู้ทำสวน
ต่าง ๆ สามารถเปิดร่องสวนเพื่อรับน้ำจืด และเก็บกักมวลน้ำจืดนั้นไว้ในพื้นที่ ลักษณะ
ดังกล่าว ยังจะส่งผลให้พื้นดินในพื้นที่สวนต่าง ๆ อิ่มตัวไปด้วยมวลน้ำจืด ซึ่งจะเป็นการ
ปอ้ งกันปัญหาดนิ เคม็ เกินไปได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพอีกด้วย
ลักษณะของการ ใช้น้ำ พยุงน้ำ ดังกล่าว นับเป็นการช่วยทำให้มวลน้ำจืดได้มี
ระดับท่ียกสูงขึ้น และสามารถไหลเข้าไปในพื้นที่ร่องสวน ซึ่งจะทำให้ชุมชนในพื้นที่
สามารถกักเก็บน้ำไว้ในร่องสวนบริเวณต่าง ๆ ได้โดยง่าย นับเป็นการสร้างเสริมให้
ผืนดินในพื้นที่ ได้เกิดความอิ่มตัวด้วยน้ำจืด ซึ่งนับเป็นการป้องกันปัญหาผลกระทบ
จากความเค็มของน้ำที่ขึ้นจากเขตทะเลได้เป็นอย่างดี ซึ่งในการนี้ เราไม่จำเป็นที่จะต้อง
ปลอ่ ยนำ้ จดื ลงมาตลอดทง้ั วนั
อนึ่ง การปล่อยให้มวลน้ำจืด ได้ไหลลงมาถึงลุ่มน้ำตอนล่าง และไหลลงสู่พื้นที่
ปากแม่น้ำตา่ ง ๆ จนถึงพื้นท่ีอา่ วไทยอยา่ งพอเพยี ง ไม่ใช่เรือ่ ง “เสียของ” เหมือนกับการ
ที่หลายภาคส่วนอาจเข้าใจผิดกันอยู่ โดยไม่เข้าใจในธรรมชาติ ความสมดุลของระบบ
นเิ วศ และความเป็นอย่ขู องทรพั ยากรในแหล่งน้ำ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
129
ผลการศึกษาวิจัยด้านบทบาทของปัจจัยทางนิเวศอุทกวิทยา ต่อระบบนิเวศ
และทรพั ยากรทางน้ำ ในบรเิ วณปากแมน่ ำ้ สายหลักที่ไหลลงอ่าวไทยตอนใน (ปากแม่น้ำ
เจ้าพระยา ปากแม่น้ำบางปะกง ปากแม่น้ำแมก่ ลอง และปากแม่น้ำท่าจีน) และในพ้ืนท่ี
อ่าวไทยตอนใน (คณะประมง 2562) รวมทั้งผลการวิเคราะห์บทบาทของสิ่งแวดล้อม
ทางนำ้ ตอ่ ทรัพยากรปลาทใู นพน้ื ที่อา่ วไทยตอนในและอา่ วไทยฝงั่ ตะวนั ตกที่เช่ือมโยงกัน
(จารุมาศ 2563) พบว่า “มวลน้ำท่าที่พอเพียง มีคุณค่ามหาศาล ต่อการอนุรักษ์ดูแล
ทั้งคณุ ภาพส่ิงแวดลอ้ มทางน้ำ และทรัพยากรสตั ว์นำ้ ของอา่ วไทย”
ภาพท่ี 4-5 ผลผลิตทรัพยากรสตั ว์นำ้ ทห่ี ลากหลายในพ้นื ท่อี ่าวไทยตอนใน ซึ่งเกดิ จาก
ประโยชน์ทผ่ี สมผสานของมวลนำ้ ท่า ซงึ่ ไหลลงมาโดยแมน่ ำ้ ตา่ ง ๆ จากเขตแผน่ ดนิ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
130
อนึ่ง นอกจากการท่ีในเขตปลายน้ำ ยังต้องการน้ำลงมาอย่างเพียงพอ ในช่วง
ฤดูแล้งแล้ว ยังพบว่าในช่วงประมาณปลายปี (ที่เริ่มเข้าฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ)
นบั เป็นชว่ งระยะเวลาท่ีเรายังจำเปน็ ต้องมมี วลน้ำ ไหลลงสู่อา่ วไทยตอนในอยา่ งต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่ระบบนิเวศปากแม่น้ำและพื้นที่อ่าวไทยตอนใน มักเกิดสภาวะ
การน้ำสะสมของน้ำเน่าเสียในระดับลึกได้มาก นอกจากนี้ ยังเป็นช่วงที่กระแสน้ำ
เปลี่ยนทิศทาง และมักเกิดการหมุนวนของน้ำเสียไปกระทบต่อความเป็นอยู่
ของทรัพยากรสัตว์น้ำที่มีการเพาะเลี้ยงในพื้นที่ใกล้ฝั่ง ซึ่งการมีมวลน้ำจืดที่ไหลลงมา
อย่างเพียงพอ จะช่วยบรรเทาเบาบางปัญหาด้านคุณภาพน้ำ และทำให้ระบบนิเวศ
ทางน้ำได้เกิดเสถียรภาพ ในการให้ผลผลิตทรัพยากรสัตว์น้ำที่หลากหลาย (ภาพที่ 4-5)
ซึ่งให้คุณค่าต่อชุมชน และยังประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจต่อหลายภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง
ไดอ้ ีกด้วย
4.5) ปั ญหาในพ้นื ท่ีเขตน้ากรอ่ ยและแนวทางการพฒั นา
ในพ้ืนท่ีลุ่มน้ำแม่กลองตอนล่างสุดที่อย่ชู ิดชายฝง่ั ทะเล ซงึ่ เปน็ เขตน้ำกร่อยและ
แนวปากแม่น้ำนั้น เป็นพื้นที่กว้างใหญ่ของแนวป่าชายเลน ที่โอบล้อมเขตปากแม่น้ำ
ทางตอนล่างอยู่ พื้นที่ป่าชายเลนนั้น ให้คุณค่าทั้งการเป็นแหล่งทรัพยากรสัตว์น้ำ
เศรษฐกิจทสี่ ำคญั มากมายหลายชนดิ และยงั เปน็ แหลง่ ที่มีความอดุ มสมบูรณข์ องอาหาร
ทางธรรมชาติ ตลอดจนเป็นพื้นที่อนุบาลของทรัพยากรสัตว์น้ำวัยอ่อนที่มีความสำคัญ
และมบี ทบาทเปน็ อยา่ งย่ิงต่อสภาวะทรัพยากรประมงของพืน้ ทอ่ี า่ วไทยตอนใน
ระบบนิเวศป่าชายเลนที่มี ยังเป็นบริเวณที่มีศักยภาพในการช่วยกรองของเสีย
และบำบัดสารปนเปื้อนจากเขตแผน่ ดนิ ที่ลงสูร่ ะบบนเิ วศปากแม่น้ำ (จารุมาศและคณะ
2560) ซึ่งนับเป็นระบบนิเวศท่ีช่วยควบคุมดูแลคุณภาพน้ำ ให้มีความสมดุล และอยู่ใน
สภาพทีด่ ีอย่างต่อเนอ่ื งได้
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
131
สถานการณ์ปั ญหาในพ้นื ที่ปากแม่น้า
ในหนังสือ เรื่อง “แดนปลาทู ถิ่นหอยหลอด วิถีแม่กลอง” ซึ่งเผยแพร่ในช่วงปี
พ.ศ. 2552 นั้น คุณวิสูตร นวมศิริ (ผู้นำศูนย์ศกึ ษาเรยี นรู้ธรรมชาติ โรงเรียนป่าชายเลน
บ้านบางแก้ว) ได้กล่าวย้ำถึงความสำคัญ ของพื้นที่ป่าชายเลนต่อทรัพยากรชายฝั่ง ว่า
“เราเติบโตมาได้ก็เพราะทรัพยากรชายฝั่ง ป่าชายเลน มีความสำคัญมาก ๆ จากรุ่น
พ่อ แม่ มาสรู่ ่นุ เรา”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงประมาณ 10 ปี ที่ผ่านมา พบรายงานสถานการณ์ของ
ความเสื่อมโทรมของพื้นที่ป่าชายเลน ทั้งในเชิงปริมาณ ซึ่งมีพื้นที่ลดน้อยลงไปอย่าง
ชัดเจน และในเชิงคุณภาพ ซึ่งสะท้อนในปริมาณของคุณภาพน้ำและผลผลิตทรัพยากร
ประมงทลี่ ดน้อยถอยลงไปอย่างมาก
ในประเด็นดังกล่าว มีผู้รู้หลากหลายท่าน ได้ย้ำให้พวกเราทราบถึงสถานการณ์
และปัญหาต่าง ๆ ที่พบในพื้นที่ป่าชายเลนของลุ่มน้ำแม่กลอง โดยมีการกล่าวถึง
สภาวการณส์ ำคญั ตา่ ง ๆ อาทิ
คุณไพบูลย์ รัตนพงศ์ธร (ผู้นำศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลน บ้านคลองโคน) กล่าวว่า
“ปัจจุบันอาชีพหมดไป เพราะกระแสความเจริญ ได้เข้ามาสู่คลองโคน ซึ่งพรากสิ่ง
ที่ดีงามไปจากที่นี่ คนรุ่นใหม่ทิ้งถิ่นฐานไปทำงานในโรงงานต่างจังหวัด ทรัพยากร
ประมงเสื่อมโทรมร่อยหรอ เพราะการทำประมงไม่ถูกวิธี ใช้อวนตาถ่ี และมลพิษ
ในนำ้ ”
คุณภาณุวัฒน์ คงรักษา (ประธานกลุ่มอนุรักษ์ฟื้นฟูดอนหอยหลอด ในเขต
ตำบลบางจะเกร็ง) กลา่ วว่า “ปัจจุบัน เกดิ ผลกระทบจากการเปล่ียนแปลงสภาพพ้ืนท่ี
และคณุ ภาพแหล่งนำ้ ปลาจาระเม็ด ปลาหมอทะเล ได้หายไป และทรพั ยากรสัตวน์ ้ำ
ต่าง ๆ ลดลงไปอย่างมาก”
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
132
นอกจากนี้ สถานการณ์ใน พื้นที่ดอนหอยหลอด ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่
สำคัญของปากแม่น้ำแม่กลอง (ภาพที่ 4-6) ในช่วงปี พ.ศ. 2548 – 2549 พบการเกิด
สภาวะวิกฤตที่จำนวนหอยหลอดลดลงมาก ซึ่งก่อนหน้า ในช่วงปี พ.ศ. 2540 ที่เคยมี
ปริมาณ 30-40 ตัวต่อตารางเมตร ได้ลดลงเหลือเพียงประมาณ 4 ตัวต่อตารางเมตร ซ่ึง
ระยะหลังจากนั้น ยังพบปัญหาการลดลงไปอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี พ.ศ. 2550 –
2551 สามารถพบปรมิ าณหอยหลอดไดเ้ พียง 0.5 ตวั ตอ่ ตารางเมตร เทา่ นน้ั
ภาพท่ี 4-6 ลักษณะของดอนหอยหลอด โครงสรา้ งดนิ ต่าง ๆ และทรัพยากรหอยในพ้นื ท่ี
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
133
ในพื้นที่ดอนหอยหลอด ยังมี “ปัญหาผลกระทบจากการคราดหอยลาย” ซ่ึง
ทางชุมชนทีด่ ูแลพืน้ ท่ีในภาพรวม จึงได้จัดทำข้อตกลงร่วมกันขึ้นมา โดยกำหนดใหพ้ ้ืนที่
บริเวณดอน แนวหน้าศาลกรมหลวงชุมพรฯ ให้เป็นพื้นที่ห้ามทำประมงคราดหอยลาย
(ยกเว้นในช่วงที่น้ำแห้ง มีการอนุญาตให้ใช้เครื่องมือขุดตักลักษณะคล้ายทัพพีเพ่ือ
หาหอยได้) ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณดังกล่าว เป็นพื้นท่ีต้นกำเนิดของหอยหลอดขนาดเล็ก
รวมทัง้ กลุม่ หอยกระปุกอีกดว้ ย
ข้อสังเกตุอื่น ๆ ที่สำคัญ ซึ่งได้มีการกล่าวถึงในช่วงเวลานั้น คือ การพบว่า
การสร้างเขื่อนต่าง ๆ ในบริเวณเขตต้นน้ำ ทำให้ปริมาณ ตะกอนมาถึงเขตปากแม่น้ำ
ได้ลดน้อยลง ทั้งนี้ ในสภาวะน้ำหลากเดิมก่อนที่จะมีการสร้างเขื่อน มักจะพบตะกอน
ใหม่ไหลลงมา สูงได้ถึงประมาณหัวเข่า แต่ในระยะหลัง เราจะไม่พบลักษณะของ
เนินตะกอนเช่นนั้นอีกแล้ว พื้นที่ดอนที่เคยอุดมสมบูรณ์ในทุก ๆ ปี เกิดความราบรียบ
ไม่มีตะกอนสารอนิ ทรยี ์มาสะสม และมวลนำ้ ทีพ่ อจะมีตะกอนบา้ ง มกั มที ศิ ทางการไหล
พัดพาไปทางฝั่งตะวนั ตกมากขน้ึ
4.6) แนวทางการฟ้ื นฟูระบบนิเวศป่ าชายเลน
จากสถานการณ์ปัญหาของระบบนิเวศป่าชายเลนและทรัพยากรปากแม่น้ำ
พบวา่ ควรเรง่ ดำเนนิ การในประเดน็ ต่าง ๆ อาทิ
• ส่งเสริมการปลูกป่าชายเลน เพื่อให้เป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำ ซึ่งเป็นการ
ส่งเสริมการเจริญพันธุ์ สร้างรายได้ให้ชุมชน และทำให้ลูกหลานไม่ทิ้ง
บ้านเกดิ เพราะมีงานให้ทำในชมุ ชน
• รณรงค์การควบคุมการทำประมงอย่างเหมาะสม โดยเน้นการห้ามใช้อวน
ตาถี่ และไม่จบั ปลาขนาดเล็ก หรือปลาทีม่ ไี ข่
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
134
• ส่งเสริมในการจัดการด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างเหมาะสม ทั้งน้ี
จำเป็นต้องให้กิจกรรมที่เกิดนั้น อยู่ภายใต้ความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติ
และเป็นการดแู ลแหลง่ นำ้ ส่ิงแวดลอ้ ม ทอ่ี ยอู่ าศัย ให้ดไี ปพรอ้ ม ๆ กนั ดว้ ย
ยกตัวอย่างกิจกรรมการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนในเขตพื้นที่บ้านบางแก้ว อำเภอ
เมืองสมุทรสงคราม ซึ่งมีการริเริ่มการปลูกป่าชายเลน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 จนถึง
ปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีการจัดสร้างแนวไม่ไผ่ชะลอคลื่น กันน้ำกัดเซาะป้องกันแนว
ชายฝั่ง ซึ้งในพื้นที่นี้ได้มีการปลูกเสริมพันธุ์ไม้ป่าชายเลนต่าง ๆ อาทิ แสม และโกงกาง
ใบใหญ่ ไว้อย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันคลื่นลมและฟ้ืนฟรู ะบบนิเวศชายฝั่ง ซึ่งในภาพรวม
ของกิจกรรม ได้ส่งผลให้ทรัพยากรสัตว์น้ำเกิดการฟื้นฟู กลับมาเพิ่มมากขึ้น เกิดเป็น
รายได้ให้ชุมชน และที่สำคัญ คือ ทำให้เกิดการส่งเสริมสัมพันธภาพในชุมชนขึ้นมา เกิด
การพูดคยุ แลกเปลยี่ น เกดิ ความรกั ใครใ่ นชมุ ชนของพืน้ ที่ตนเองไดม้ ากขนึ้
เมื่อพิจารณาข้อมูลความรู้ จากการสัมภาษณ์ คุณวิสูตร นวมศิริ ณ โรงเรียน
ธรรมชาติวิทยาป่าชายเลน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม (เมื่อวันที่ 24 กุมภาพนั ธ์
พ.ศ. 2565) พบว่า ประเด็นในการ “ขยายพื้นที่ป่าชายเลน” เพื่อให้เกิดประสิทธิผล
อย่างเป็นรูปธรรมนั้น ความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของพื้นที่อย่างถ่องแท้ นับเป็น
เรื่องที่สำคัญ ทั้งนี้ ควรมีการวิเคราะห์ลักษณะคุณภาพดินที่เหมาะสม และให้
ความสำคัญกับการคัดเลอื กพันธ์ไุ มเ้ บกิ นำ ทจ่ี ะนำมาใช้ปลกู และขยายพันธุใ์ นพน้ื ที่
ในการนี้ พบว่า การใช้ไม้เบิกนำ อย่างเช่น แสม เพื่อนำไปขยายพันธุ์ในแนว
นอกสุด เป็นเรื่องที่เหมาะสม กว่าการปลูกด้วยฝัก หรือต้นอ่อนของโกงกางใบใหญ่
นอกจากนี้ ในพื้นที่บ้านบางแก้วระยะปัจจุบัน ยังพบว่าเทคนิคการขยายพันธุ์ที่ได้ผลดี
ที่สุดนั้น เป็นการใช้ต้น “แสม” ที่มีขนาดกลาง (มีความสูงของต้น ประมาณ 1.5 เมตร)
ซึ่งสามารถล้อมเอามาจากพื้นที่ป่าชายเลนธรรมชาติด้านใน ไปใช้เพื่อลงปลูกในแนว
ดา้ นนอก ซ่งึ การใช้ตน้ แสมขนาดกลาง จะให้ผลการเจรญิ เตบิ โตท่ีดกี ว่า และมีอัตราการ
รอดสูงทส่ี ดุ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
135
การขยายพื้นที่ป่าชายเลนที่ได้ผลดีนั้น ยังจำเป็นต้องเอาใจใส่ดูแล และเลือก
พื้นที่ที่เหมาะสม นอกจากนี้ ควรเน้นใน การใช้กิ่งพันธ์ุ หรือต้นตอที่มาจากพื้นถิ่น
เพราะเป็นเรื่องที่จำเป็น ทั้งนี้ เนื่องจากตามประสบการณ์ของผู้นำชุมชนในท้องที่ได้
พบว่า หากมีการใช้กล้าไม้จากแหล่งที่มาอื่น ๆ อาทิ จากแหล่งพันธุ์ทางภาคใต้ ซึ่งมี
ลักษณะจำเพาะที่เจริญในพื้นที่ความเค็มที่สูงกว่า เมื่อนำมาขยายพันธุ์ในพื้นที่เขต
ปากแม่น้ำเขตอ่าวไทยตอนในนี้ มักจะเจริญงอกงามได้ไม่ดี ทั้งนี้ เนื่องจากในพื้นที่
เขตอ่าวไทยตอนในเรามักจะมีค่าความเค็มที่แปรปรวน และมีระดับที่ค่อนข้างต่ำกว่า
พน้ื ท่ีทางภาตใต้
ลักษณะ การเคลื่อนที่ของมวลน้ำและลม นับเป็นอีกปัจจัยที่มีบทบาทต่อการ
ขยายพื้นที่ป่าชายเลนเป็นอย่างยิ่ง พื้นที่ป่าเกิดใหม่ที่อยู่บริเวณปากทางเข้าออก
ของ ลำคลองขนาดใหญ่ รวมทั้งใกล้บริเวณคลองรับน้ำทิ้งจากบ่อกุ้ง ซึ่งมักจะมีการ
ปล่อยมวลน้ำลงมาอย่างมากเป็นช่วง ๆ นั้น มักเป็นพื้นที่ที่มีหน้าดินแน่นแข็ง เนื่องจาก
ตะกอนละเอียดที่สะสมอยู่ ได้ถูกพัดพาออกไปเรื่อย ๆ และเป็นผลให้พรรณไม้
ป่าชายเลนที่เกิดใหม่ เจริญเติบโตได้ไม่ดี มักจะเสื่อมโทรมลง หรือเจริญเติบโตได้ช้า
เมอื่ เปรียบเทียบกบั ในพ้นื ท่ที างดา้ นข้างของปากแม่น้ำท่มี กี ระแสน้ำเบาลงไป
ปัจจัยทางด้านคลื่นลม ยังมีความสำคัญมากโดยเฉพาะในช่วงที่มีลมสลาตัน
พัดมา (ประมาณเดือนมีนาคม เดือนเมษายน และเดือนพฤษภาคม) ของแต่ละรอบปี
ซึ่งพื้นที่ปากแม่น้ำแม่กลองมักจะได้รับลมที่แรงขึ้น และทำให้บริเวณขอบฝั่งเกิดการ
กัดเซาะไดอ้ ย่างมาก นบั เปน็ ช่วงที่ไม่เหมาะตอ่ การขยายพื้นที่ปา่ ชายเลน
อนึ่ง เมือ่ พิจารณาในแนวคดิ ภาพรวม เพอ่ื การจดั การดา้ นการอนรุ ักษ์และฟื้นฟู
ระบบนิเวศป่าชายเลน ตลอดจนทรัพยากรในพื้นที่ปากแม่น้ำแม่กลอง เราพบว่า
การขับเคลื่อนการบริหารจัดการท่ีมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องเริ่มจากการสร้างความรู้
ความเขา้ ใจ ในความสำคญั ของระบบนเิ วศและส่งิ แวดลอ้ ม
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
136
นอกจากนี้ ยังควรสร้างความเข้าใจในประโยชน์และความเชื่อมโยงของพื้นท่ี
โดยรวม (ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ระบบนิเวศน้ำจืด น้ำกร่อย และเขตปากแม่น้ำ) ให้เกิดข้ึน
ท้งั ในภาครฐั และภาคประชาชน และจากนั้น ควรสง่ เสรมิ กจิ กรรม ทจี่ ะวเิ คราะห์ปัญหา
ร่วมกันอย่างจริงจัง โดยความร่วมมือจากเครือข่ายชุมชน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
และเร่งรัดการจัดทำแผนงาน ด้านการดูแลระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม
ให้เกิดข้นึ สำหรับพ้นื ทแ่ี ตล่ ะแห่งตอ่ ไป
4.7) นาเกลือและบทบาทต่อระบบนิเวศล่มุ น้าแม่กลองตอนล่าง
การประมวลข้อมูลความรู้ ที่ได้รับจากการสัมภาษณ์ คุณเกตุแก้ว สำเภาทอง
ผู้แทนของสมาพันธ์ “ชมุ นุมเกลอื ทะเลไทย” ณ นาเกลือสำเภาทอง อำเภอเมือง จงั หวัด
สมุทรสงคราม (เมื่อวันท่ี 21 มกราคม พ.ศ. 2565) พบว่า พื้นที่การทำนาเกลือในลุ่มนำ้
แม่กลองตอนล่าง ในเขตจังหวัดสมุทรสงครามปัจจุบันที่มีนั้น มีประมาณ 62,000 ไร่
(โดยหากประเมินด้วยแผนท่ีภาพถ่ายทางอากาศ จะมีประมาณ 80,000 ไร่) ซึ่งสามารถ
ให้ผลผลิตเกลือต่อไร่ ประมาณ 10 เกวียน (1,600 กิโลกรัม) นับเป็นผลผลิตเกลือรวม
ทง้ั หมด 992,000 ตัน หรือ ประมาณ 1 ล้านตนั ต่อปี
จังหวัดสมุทรสงคราม จึงจัดเป็นแหล่งผลิตเกลือที่สำคัญอันดับต้น ๆ ของ
ประเทศไทย มีการส่งขายเกลือไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศ และยังมีประวัติศาสตร์ของ
การผลิตเกลอื ทีย่ าวนาน โดยอาศัยภูมิปัญญาอันทรงคณุ คา่ ของบรรพบรุ พุ ซง่ึ ได้สบื ทอด
ต่อเนื่องกันมา เป็นวิถีชีวิตการประกอบอาชีพที่สอดคล้องกับธรรมชาติของพื้นท่ี
โดยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการขนส่งเกลือไปตามเส้นทางของคูคลอง หรือแม่น้ำ
สายต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงในเขตจังหวัดภายในลุ่มน้ำแม่กลอง และยังกระจายไปสู่พื้นท่ี
หลายจังหวดั ครอบคลมุ ไปถงึ เขตจงั หวดั ต่าง ๆ ในบรเิ วณลุ่มน้ำเจา้ พระยา และกระจาย
สู่ทกุ ภูมภิ าคของประเทศ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
137
สถานการณ์ในการทานาเกลือ
ปจั จบุ ันพืน้ ทีก่ ารทำนาเกลือ ท่ีสำคญั ของจงั หวดั สมุทรสงคราม อย่ใู นเขตตำบล
บางแก้ว อำเภอเมืองสมุทรสงคราม (ภาพที่ 4-7) ซึ่งเป็นพ้ืนที่นำ้ กร่อยทางตอนล่าง อยู่
ชิดแนวปากแม่น้ำแม่กลองฝั่งตะวันออก โดยมีครัวเรือนที่ประกอบอาชีพทำนาเกลือ
คดิ เป็นสดั ส่วนประมาณร้อยละ 10 ของครวั เรอื นทม่ี ที ้ังหมดในพ้นื ทตี่ อนลา่ ง
ภาพท่ี 4-7 ลักษณะของการทำนาเกลือในเขตตำบลบางแกว้ อำเภอเมืองสมุทรสงคราม
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
138
การทำ นาเกลือบริเวณบางแก้ว ได้สืบทอดเทคนิควิธีการ อันชาญฉลาดจาก
รุ่นบรรพบุรุษ โดยมีการใช้พื้นที่ในการทำนาเกลือมานานกว่า 80 ปี ซึ่งแต่เดิมในช่วง
แรกเริ่มนั้น การขนส่งเกลือที่ผลิตได้ จะใช้เส้นทางตามคลองขุด หรือแพรกต่าง ๆ (อาทิ
คลองขุดตาเลิ้น แพรกด้วน) เพื่อการลำเลียงเกลือจากแต่ละพื้นที่นา ไปสู่คลองสาขา
(อาทิ คลองหมื่นหาญ คลองบางบ่อ คลองบางจะเกร็ง) ซึ่งจะเชื่อมต่อเส้นทางของเกลอื
ไปสู่เส้นแม่น้ำสายหลัก (แม่น้ำแม่กลอง) นอกจากนี้ ยังกระจายผลผลิตเกลือไปตาม
จังหวัดใกล้เคียง อาทิ จังหวัดสมุทรสาคร เพชรบุรี รวมทั้งพื้นที่ที่ไกลออกไปในหลาย
ภูมภิ าคของประเทศ
ในระยะปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่โดยรอบ ทำให้เส้นทางคูคลอง
และระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องเกิดข้อกำจัดขึ้นมา อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการตัดถนนเพ่ิม
ขึ้นมาใหม่ (อาทิ ถนนพระราม 2 และถนนในเขตตำบล และหมู่บ้าน) การขนส่งเกลือที่
ได้จึงปรับไปใช้เส้นทางขนส่งทางบกแทน ซึ่งทำให้สามารถกระจายผลผลิตเกลือไปสู่
ผู้บริโภคที่ต้องการใช้ (ในการผลิตพืชผลทางการเกษตร และในระบบอุตสาหกรรมการ
ผลิตอาหารประเภทต่าง ๆ อาทิ โรงงานทำน้ำปลา โรงงานทำผักดอง) ได้อย่างสะดวก
และรวดเรว็ ข้นึ
คำขวัญของการทำนาเกลือ “ขวัญข้าว เท่าหัวเรือ ขวัญเกลือ เท่าหัวแพ”
สะท้อนให้เห็นถึงการตระหนกั ถึงคุณค่าทีย่ ิ่งใหญ่ของการผลติ “เกลือ” ว่ามีความสำคญั
ในระดับที่สูงมาก โดยสูงได้ทัดเทียม หรือมากกว่าการผลิต “ข้าว” ซึ่งคนไทยเราทั่วไป
ตระหนักถึงความหมายความสำคัญ ที่มีต่อความเป็นอยู่ และวิถีวัฒนธรรมในการ
ดำเนินชวี ติ ท่ีสืบต่อมาช้านาน
ในการผลิตเกลือของผู้ประกอบการตามวิถีทางธรรมชาตินั้น มีความเคารพ
นับถือใน “แม่พระเพลิง” ซึ่งถือเป็นแหล่งพลังในการทำให้น้ำทะเลเกิดกลายเป็นเกลือ
ขึ้นมา และสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็น ที่จะต้องมีช่วงของการได้รับ แสงแดด
ทเี่ หมาะสม และพอเพยี ง
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
139
สำหรับการผลิตเกลือโดยทั่วไปนั้น แต่ละพื้นที่นา จำเป็นต้องได้รับแสง
อย่างน้อย 25 – 30 แดด (วัน) อย่างต่อเนื่องกัน และมักจะทำในช่วงที่ฝนแล้ง คือ ใน
เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม ถึง เมษายน ของแต่ละปี ทั้งนี้ ในการผลิตเกลือ
ตามวิถีทางธรรมชาติ นอกจาก แสงแดด แล้ว ยังจำเป็น ต้องมีองค์ประกอบอื่น ๆ
ซึ่งในภาพรวม จำเป็นต้องอาศัยความเหมาะสมของปัจจัย 4 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย
ดิน น้ำ ลม และ แดด มาผนวกกัน ถึงจะส่งผลให้เกิดการผลิตเกลือได้อย่างสัมฤทธิ์ผล
ในแตล่ ะช่วงปไี ด้
นาเกลือและบทบาทต่อระบบนเิ วศล่มุ น้าทางตอนล่าง
การทำนาเกลือ นับว่ามีความสำคัญต่อ ระบบนิเวศปากแม่น้ำ เป็นอย่างมาก
และส่งผลไปถึงคุณภาพของน้ำทะเล ตลอดจนระบบนิเวศในเขตปากแม่น้ำ ซึ่งมี
คำกลา่ วถงึ ความสำคัญของพื้นทนี่ าเกลือว่า “ไมม่ ีนาเกลือ ทะเลจะพัง”
คุณเกตุแก้ว สำเภาทอง ให้สัมภาษณ์เมื่อ วันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2565 ว่า
หากจะเปรียบกับร่างกายมนุษย์เรา “ปาก” นับเป็นสว่ นที่นำพาอาหารเข้าสู่ร่างกาย
พื้นที่นาเกลือ ก็เปรียบเสมือนส่วนที่เป็นบริเวณ “เหงือก” ส่วนบริเวณที่เป็น “ฟัน”
นั้น ก็คือ พื้นที่ป่าชายเลนอันทรงคุณค่า ที่เราทุกคนพยายามอนุรักษ์ดูแลให้คงอยู่
ในพ้นื ที่ปากแม่น้ำแห่งนี้
ความเชื่อมโยงและเกื้อกูลกัน เกิดจากการที่ทั้ง 2 พื้นท่ี มีความสัมพันธ์กันท้ัง
ในเชิงกายภาพ และในเชิงคุณภาพ ในเชิงกายภาพ หมายถึง การที่มีลักษณะของพื้นที่
ป่าชายเลน อยู่ต่อเนื่องหรือถัดจากพื้นที่ที่มีการทำนาเกลือ ซึ่งพื้นที่นาเกลือนั้น เสมือน
แนวกันชนไม่ให้เกิดการปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ท่ีดินในพื้นที่ ให้กลายไปเป็น
โรงงานอุตสากรรม หมู่บ้านจัดสรร หรือแหล่งชุมมชนเมือง ซึ่งนับเป็นการป้องกันการ
รุกล้ำผืนปา่ ใหป้ า่ ชายเลนไดม้ ีสภาพคงอยู่ และพฒั นาอดุ มสมบรู ณใ์ นตวั เองต่อไปได้
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
140
ส่วนความสัมพันธ์กันในเชิงคุณภาพ หมายถึง การที่ทั้ง 2 พื้นที่นั้นอาศัยพึ่งพา
ซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาในประเด็นด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมทางน้ำ ซ่ึง
ชาวนาเกลือ มักกลา่ วว่า “น้ำ ใหช้ ีวติ ให้เกลือ” เพราะการทำนาเกลือ จำเปน็ ท่จี ะต้อง
ดึงน้ำมาจากเขตทะเล โดยผ่านเส้นทางแพรกคูคลองธรรมชาติที่มีในผืนป่าชายเลน ซึ่ง
ภายในธรรมชาติของผืนป่าตามเส้นทางการไหลเข้าออกของน้ำ ย่อมเกิดกระบวนการ
บำบัดน้ำที่ไหลวนในเขตปากแม่น้ำ มีการใช้แร่ธาตุอาหารไปตามเส้นทาง จึงเป็นการ
ชว่ ยรกั ษาคณุ ภาพนำ้ ที่จะนำไปใช้ในการผลติ เกลือ
ในทางกลับกัน การทำนาเกลือก็มสี ่วนสำคัญยิ่งในการรกั ษาคุณภาพนำ้ ซึง่ ทั้งน้ี
เกิดในขั้นตอนการตกผลึกเกิดเป็นเกลือ ที่เป็นการดึงเอาแร่ธาตุในน้ำทะเล ให้ออกมา
จากมวลน้ำ นอกจากนี้ ในขั้นตอนการทำนาเกลือช่วงต้น ๆ ที่มีการดึงน้ำทะเลเข้ามาใน
บ่อเก็บกักและพักน้ำไว้ก่อนนั้น ยังนับเป็นการส่งเสริมกระบวนการบำบัดน้ำในระบบ
นเิ วศปากแมน่ ำ้ โดยทำให้เกิดการตกตะกอนความขุ่นของมวลนำ้ ลง เกดิ การเพิม่ ขึ้นของ
พรรณพืชใต้น้ำ ซึ่งช่วยเพิ่มออกซิเจนในพื้นที่บ่อต่าง ๆ และยังส่งเสริมการเจริญพันธ์ุ
ของประชากรสัตว์นำ้ ได้หลากหลายชนดิ
การทำนาเกลือ จึงเป็นการส่งเสริมกระบวนการบำบัดน้ำในพื้นที่ปากแม่น้ำ
และอนุรักษ์คุณภาพน้ำในระบบนิเวศพื้นที่ชายฝั่งและเขตป่าชายเลน ให้คงสภาพ
ทเ่ี หมาะสมตอ่ ไปได้
สถานการณ์ปั ญหาและความร่วมมอื เพอ่ื การหาทางออก
ถึงแม้อาชีพการทำนาเกลือ จะยังคุณค่าเพียงใด ผลกระทบจากการ
เปลี่ยนแปลงทางการใช้พื้นที่ สภาวะแวดล้อม และความกดดันทางเศรษฐกิจในระยะ
ปจั จบุ นั กท็ ำใหเ้ กดิ ความสน่ั คลอนในอาชีพ มเี กษตรกรหลายรายจำเปน็ ตอ้ งเลิกอาชพี นี้
ไปอย่างน่าเสียดาย
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
141
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีความพยายามในการรักษาอาชีพการทำนาเกลือ
ซงึ่ จากความมุ่งมน่ั ต้ังใจของเกษตรกรผู้ประกอบการ ทมี่ คี วามรักในอาชพี และตระหนัก
ถึงความสำคัญของพื้นที่นาเกลือ ที่มีต่อชีวิต และความเป็นอยู่ของผู้คนนับไม่ถ้วน และ
ยังความเชอื่ มโยงต่อคุณภาพของระบบนเิ วศและทรพั ยากรธรรมชาตใิ นพื้นทีป่ ากแม่นำ้
ความพยายามต่าง ๆ ยงั พบอุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะด้านการควบคุมระดบั
“ราคา” ของเกลือ เพื่อให้ไม่ตกต่ำ และเกษตรกรผู้ผลิตยังจะพอสามารถดำเนินการอยู่
ได้ และด้านการขาดองคก์ รภาครัฐที่จะเข้ามาช่วยรบั ผิดชอบหรอื ดูแลอย่างจริงจัง
ในการแก้ปัญหานี้ เกษตรกรผู้ประกอบอาชีพการทำนาเกลือจากหลากหลาย
พื้นที่ จึงได้มีความพยายามในการรวมกลุ่มกันขึ้น และจัดตั้งเป็นสมาพันธ์ “ชุมนุมเกลือ
ทะเลไทย” โดยเป็นสมาพันธ์ที่เกิดจากการรวมกลุ่มของชาวสหกรณ์เกลือทะเล
หลายแห่ง ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาความเข้มแข็ง พร้อมเพรียง ในการดำเนินการ โดยเฉพาะ
การร่วมผลักดันเพื่อแก้ปัญหาในด้านราคา และการหาทางพัฒนาในด้านผลิตภัณฑ์ที่
สามารถเพิ่มมูลค่า เพื่อให้อาชีพการทำนาเกลือนี้ ได้สืบทอดสู่รุ่นลูกหลาน อยู่เคียงคู่
กับพื้นที่ปากแม่น้ำ และก่อให้เกิดผลดีต่อระบบนิเวศและทรัพยากรธรรมชาติที่มีใน
พืน้ ทลี่ มุ่ นำ้ แมก่ ลองไดต้ อ่ ไป
4.8) แนวคิดเพอื่ การบรหิ ารจัดการ
ในระยะปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงปีงบประมาณ 2565 แต่ละจังหวัดมีการ
เร่งรัดให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ลุ่มน้ำ วางแผนพัฒนาโครงการต่าง ๆ โดยมี
เป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง
ในเขตจังหวัดสมุทรสงคราม มีความพยายามในการพัฒนาโครงการนับสิบกว่าเรื่อง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในด้านเนื้อหาสาระของโครงการ พบว่าโครงการส่วนใหญ่
เปน็ งานดา้ นการกอ่ สร้าง ซ่อมแซม วางท่อ หรอื ขยายพื้นทชี่ ลประทาน เพือ่ ประโยชน์
ในการจัดการน้ำในเชิงปริมาณ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
142