ทั้งนี้ พบโครงการเพียงประมาณ 1-2 โครงการ ที่มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนา
ในเชิงคุณภาพของระบบนิเวศแหล่งน้ำ (อาทิ โครงการฟื้นฟูและปรับปรุงคลองพิกุล
และคลองไทย ในเขตตำบลบางช้าง และโครงการขุดลอกร่องน้ำคลองฉู่ฉี่ ถึงร่องน้ำ
ตะเขน้ อน ในเขตตำบลบางจะเกรง็ )
ซึ่งหากวิเคราะห์ในภาพรวมของการบริหารจัดการอย่างสมดุล และนำไปสู่
การพัฒนาเมืองอย่างมีประสิทธิผลในระยะยาว “โครงการพัฒนาเชิงคุณภาพของ
ระบบน้ำ” นับเป็นเรื่องจำเป็นที่ทุกภาคส่วนควรหันมาให้ความสำคัญมากยิ่งข้ึน
เพราะปัจจุบัน สภาพปัญหาเชิงคุณภาพของน้ำเกิดเพิ่มขึ้น และได้สะท้อนให้เห็นจาก
รายงานผลการศึกษาวิจัยต่าง ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งหากจะทำการพัฒนาชุมชน
อย่างยั่งยืน การพัฒนาเพียงด้านที่เป็นระบบเครือข่ายการส่งน้ำย่อมไม่เพียงพอ
เนื่องจาก“เราจำเป็นต้องมีน้ำที่คุณภาพดี และไม่เป็นปัญหาต่อการนำไปใช้
ประโยชน”์ ด้วย
“โครงการฟื้นฟูและพัฒนาระบบนิเวศคูคลอง” นอกจากจะสร้างประโยชน์
ต่อผู้คนในจำนวนทีม่ าก อย่างชัดเจนกว่าโครงการด้านอื่น ๆ แล้ว ยังนับเป็นโครงการ
ที่ส่งเสริมการเพิ่มรายได้ให้เกิดในชุมชนท้องถิ่น และก่อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ
ในหลายภาคสว่ น ซงึ่ เกิดผลดีต่อเศรษฐกจิ ในภาพรวมของพ้ืนท่ีไดใ้ นระยะยาว
อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องวิเคราะห์/ปรับปรุงการเขียนรายละเอียดใน
แผนงานให้รัดกุม โดยเฉพาะการกำหนดแผนด้าน พื้นที่ ซึ่งควรระบุให้ชัดเจน และ
ครอบคลุมเครือข่ายของระบบน้ำให้ทั่วถึงมากที่สุด นอกจากนี้ ยังควรกำหนดแผน
ด้าน ระยะเวลาการ ในดำเนินการ ให้มีระยะเวลาที่ต่อเนื่อง และเหมาะสม ซึ่งควร
จัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็นเร่งด่วนของปัญหาที่พบ ทั้งนี้ เพื่อการ
ดำเนินการที่มีประสิทธิภาพ และเกิดผลงานท่ีเป็นรูปธรรมได้อย่างต่อเนื่องไป มิใช่
แค่การดำเนนิ การในช่วงระยะเวลาส้นั ๆ เท่าน้นั
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
143
นอกจากนี้ ในอนาคตควรมีการพิจารณา วิเคราะห์ “ลำดับความสำคัญ”
ของโครงการต่าง ๆ กันเพิ่มเติม โดยสามารถประยุกต์ใช้เทคนิค การประเมินผล
กระทบ (IMPACT) ในทางเศรษฐศาสตร์ มาช่วยประเมินระดับการเปลี่ยนแปลงทาง
เศรษฐกิจของชุมชนที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะสามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
เทคนิคการประเมินดังกล่าวนับเป็นวิธีสากล ที่มีการยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งใน
การนี้ ทางหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดสรรโครงการ ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้
เพอ่ื ชว่ ยในการจดั ลำดบั ความสำคัญของโครงการตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม
อนึ่ง การได้เรียนรู้ในสถานการณ์และปัญหา ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง
ทำให้ตระหนักได้ว่าสภาพของสิ่งแวดล้อมที่ถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามกระแสของ
การพัฒนาสังคมเมืองที่รวดเร็วเกินไปนั้น มีผลกระทบเชื่อมโยงไปสู่ระบบนิเวศแม่น้ำ
ลำคลอง ซึ่งทำให้ศักยภาพในการรองรับมวลน้ำมีน้อยลง ศักยภาพในการรองรับของ
เสียมีความลดลง เกิดการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต การประกอบอาชีพ นอกจากนี้
ยังส่งผลกระทบต่อการให้ความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติของพื้นที่สวนทางการเกษตร
ทำให้การผลิตพืชผลมีข้อจำกัดมากขึ้น และเกิดผลกระทบต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ
ในพืน้ ทีล่ มุ่ นำ้ ทางตอนล่างอย่างตอ่ เนอื่ ง
การขาดความเข้าใจที่แท้จริงจากภาครัฐ ดูเหมือนจะเป็นประเด็นปัญหาหน่ึง
ที่มีความสำคัญมาก ในประเด็นดังกล่าวนี้ คุณบุญยืน ศิริธรรม ผู้แทนจากประชาคม
คนรักแม่กลอง ได้กล่าวในที่ประชมุ ระดมความคิดเห็น ณ กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ ตำบล
แพรกหนามแดง (เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2565) ว่า การท่ีพวกเราเผชิญกับปัญหา
ตา่ ง ๆ อยมู่ ากมายนั้น เกิดเนือ่ งจาก “คนคิด กับ คนใช้ เป็นคนละคนกนั ”
ในการนี้ พบว่าชุมชนในพื้นที่ มีความรู้ในลักษณะทางกายภาพของพื้นที่
คุณภาพสงิ่ แวดลอ้ ม และบริบทที่มีต่องานอาชพี ของตนเป็นอย่างดี อย่างไรกต็ าม ชุมชน
ส่วนใหญ่ ยังมีความกังวลถึง “การคิดของผู้วางนโยบาย” ที่มักขาดความรอบคอบ ซ่ึง
อาจเพราะข้อจำกัดของความรู้จากงานวิชาการ และการขาดประสบการณ์ในพื้นที่จริง
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
144
ซ่งึ ทำใหก้ ารพัฒนาพ้นื ทโี่ ดยภาครฐั ในหลากหลายด้านทีผ่ า่ นมา มักกลายเป็นการพัฒนา
ท่ีกลบั ส่งผลกระทบให้เกดิ การทำลายระบบนเิ วศและสง่ิ แวดลอ้ ม ไปอย่างน่าเสยี ดาย
ด้วยเหตุดังกล่าว การบูรณาการองค์ความรู้ทางวิชาการ ร่วมกับประสบการณ์
ของผู้รู้จากหลายภาคส่วน ที่มุ่งเน้นการผสาน และเชื่อมโยงความรู้ร่วมกับภูมิปัญญา
ของชุมชน หรือปราชญ์ในพื้นที่ท้องถิ่นอย่างครบถ้วน นับเป็นเร่ืองที่ควรให้ความสำคัญ
ซึ่งหากเราพิจารณาประเด็นด้านมุมมอง แนวทาง ทางออก ทางแก้ปัญหา ที่ได้ประมวล
มาในเนื้อหาบทนี้ อย่างรอบคอบ และเปิดใจยอมรับ จะรู้ว่าภูมิปัญญาของผู้รู้ในชุมชน
รวมทั้งแนวคิด และมุมมองทางออก จากประสบการณ์ที่มีค่าต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่อนำมา
ผสมผสาน หรือสร้างสรรค์อย่างเหมาะสม จะสามารถพัฒนาแนวทางเพื่อการจัดการ
เชิงอนรุ ักษท์ ด่ี ี และก่อประโยชน์กลับมาสู่ชมุ ชนอยา่ งยงั่ ยนื ได้
การพฒั นาที่ดี เรายงั ควรพิจารณาแนวคดิ ดา้ น “ความพอเพยี ง ความพอด”ี ซงึ่
สุรจิต (2557) ได้กล่าวฝากไว้ว่า “ความพอเพียง เป็นเรื่องในจิตใจ ของแต่ละคน
พิจารณา แต่แนวทางก็คือ ทำ เท่าท่เี ราทำไหว ดูแลไหว เกดิ ความสขุ ตามอตั ภาพ”
รวมทั้งได้ให้ข้อคิดแนะนำในการพัฒนาที่ดี ว่า เราควรคำนึงถึง
“ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่พัวพันอยู่ ว่าจะสามารถรองรับได้
และควรใหผ้ ้คู นในทอ้ งถิ่น สามารถดำเนินการไดเ้ อง เป็นหลัก”
ซึ่งในภาพรวมพบว่า การพัฒนาใด ๆ ก็ตาม เราจำเป็นต้องมีกระบวนการคิด
ที่ดี และมีกระบวนการปฎิบัติ ที่ทั้งภาครัฐ ผู้ประกอบการ และชุมชน ตลอดจน
ทกุ ภาคส่วนท่เี ก่ยี วขอ้ ง รว่ มกันพิจารณา รว่ มสร้างความเข้าใจ และขบั เคลอื่ นไปดว้ ยกัน
ทั้งนี้ เพื่อช่วยสร้างสรรค์ให้เป็นการพัฒนาท่ีมีคุณค่า เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และ
ต่อเนื่อง และสามารถส่งเสริมเสถียรภาพของทรัพยากรธรรมชาติ ตลอดจนสิ่งแวดล้อม
ที่งดงามท่ีเรามอี ยใู่ นลุม่ นำ้ ให้เกิดความอยา่ งยัง่ ยืนไดต้ อ่ ไป
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
145
บทท่ี 5
บทสังเคราะห์แนวทางการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
Synthesis of Conservative management Approach
“การพัฒนาเชิงอนุรักษ์” ประกอบไปด้วยกระบวนการด้านการรักษา การ
ควบคุมดูแล การฟื้นฟู และการพัฒนาในพื้นที่ลุ่มน้ำ ตลอดจนบริบททางสังคมที่
เกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อพิจารณาถึง เป้าหมายของ “การพัฒนาเชิงอนุรักษ์สำหรับพื้นที่
ลุ่มน้ำแม่กลอง” พบว่าเป้าหมายท่ีจำเป็น คือ การสร้างสรรค์กระบวนการท่ีก่อให้เกิด
การใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ตลอดจนทรัพยากรที่มีในเขตลุ่มน้ำแห่งนี้ ได้อย่างเหมาะสม
และสมดุลกับศักยภาพทางธรรมชาติที่มี ซึ่งนับเป็นการส่งเสริมให้ระบบนิเวศและ
ส่งิ แวดลอ้ มในพน้ื ทล่ี ุม่ น้ำเกิดความม่นั คง เกดิ เสถยี รภาพในการผลิตได้อย่างต่อเน่อื ง ซ่ึง
จะจรรโลงให้ชุมชนเกิดคุณภาพชีวิตที่ดี มีคุณภาพ และนำไปสู่ความยั่งยืนในการ
ใชป้ ระโยชน์โดยชมุ ชนทอ้ งถ่ิน ตลอดจนผคู้ นในสังคมวงกวา้ งที่เกีย่ วขอ้ งตอ่ ไปได้
“ทำอย่างไร จึงจะเกิดการพัฒนาเชิงอนุรักษ์ สำหรับพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง
ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม” นบั เปน็ ประเดน็ คำถามสำคญั ทก่ี ระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความพยายามในการ
ประมวลและวิเคราะห์ความรู้ต่าง ๆ ที่มี ซึ่งมาจากทั้งการสืบค้นข้อมูลทางวิชาการที่มี
การศึกษาและรายงานไว้ และการปรึกษาหารือกับปราชญ์ชุมชน ผู้รู้ ผู้ชำนาญการ
ในสาขาอาชีพต่าง ๆ ในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังเกิดการประมวลความรู้จากการจัดเวที
สัมมนาระดมความคิดเห็น ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มุมมอง แนวคิด ผ่าน
ประสบการณ์ที่หลากหลาย ของตัวแทนจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
146
เกษตรกรผู้ประกอบการในสาขาอาชีพทางสวนเกษตร การประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์
น้ำ การทำนาเกลือ ผู้ประกอบการร้านอาหาร รีสอร์ท ตลอดจนผู้นำกลุ่มและตัวแทน
จากชุมชน องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ตลอดจนผู้แทนจากองค์กรทางศึกษาวิจัย
ทม่ี บี ทบาทดา้ นการขับเคลอ่ื นสังคมชมุ ชนในพ้ืนท่ี
การสังเคราะห์แนวทางเพื่อการพัฒนาเชิงอนุรักษ์สำหรับลุ่มน้ำแม่กลองครั้งนี้
นับเป็นการสร้างสรรค์และพัฒนาความคิด ที่ได้จากการประมวลและต่อยอดความรู้ที่มี
มา โดยมุ่งเน้นการตระหนักรู้ใน “คุณค่าและความสำคัญของระบบนิเวศ” ภายใต้
เป้าหมายเพื่อการพัฒนายุทธศาสตร์เชิงนโยบาย ตลอดจนการกำหนดแนวทางและ
แผนปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง สำหรับการบริหารจัดการระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของ
ลุ่มน้ำแม่กลองให้เกดิ อย่างเหมาะสม มปี ระสทิ ธภิ าพ และกอ่ ประโยชน์ทย่ี งั่ ยนื ตอ่ ชมุ ชน
ในการนี้ นับเป็นการสืบสานแนวคิดเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งได้กล่าวถึง
โดย ศาสตราจารย์ ดร. เสน่ห์ จามริก (สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
2547) ท่ีเน้นให้ทุกคนได้ร่วมเรียนรู้และตระหนักในแนวทางสำคัญ 3 ประการ ที่จะ
นำไปสู่การพัฒนาอย่างยัง่ ยนื ประกอบด้วย
1) การสร้างความมั่นคงให้ระบบนิเวศ เนื่องจากระบบนิเวศเป็นรากฐานของ
ชวี ติ ซ่ึงจำเปน็ ตอ้ งฟื้นกลบั มาใหไ้ ด้
2) การสร้างใหร้ ะบบนเิ วศ เปน็ ระบบนิเวศทีเ่ อ้ือประโยชนต์ ่อทกุ ๆ อาชพี และ
3) การสร้างการประสานงานที่ดี และเป็นการยึดมั่นอยู่ในความพอเพียง เพ่ือ
สามารถใชร้ ะบบนิเวศให้กอ่ ประโยชน์ได้สูงสดุ
5.1) แนวคิดเบ้อื งต้นในการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
ความรู้ความเข้าใจทางนิเวศอุทกวิทยา นับเป็นเครื่องมือ ที่ทำให้เกิดหลักฐาน
ทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน ที่จะตอบว่า “เท่าไร” “ที่ไหน” และ “เมื่อไร” ที่ผลกระทบ
จากการใชป้ ระโยชน์ไดเ้ กิดข้นึ กบั ทรพั ยากร หรอื ส่ิงแวดล้อมในระบบนเิ วศ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
147
สิ่งสำคัญหนึ่งที่ควรตระหนักในการอนุรักษ์ คือ ประเด็นท่ี การอนุรักษ์
จะเน้นความสำคัญของผล ที่จะก่อเกิดต่อคุณภาพของทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ใน
วันข้างหน้า ซึ่งอาจนับตั้งแต่จากวันพรุ่งนี้ไป หรือในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น โดย
เก่ยี วข้องกบั อนาคตของผูค้ น ในรุ่นลกู หลานของเรา
การอนุรักษ์ (Conservation) แตกต่างจาก การเก็บรักษา (Preservation)
โดยที่การเก็บรักษานั้น มักเน้นความสำคัญในการป้องกันการดูแลสิ่งมีชีวิต ที่ใกล้
สูญพันธุ์ หรือการดูแลทรัพยากรธรรมชาติที่มีจำกัด หรือกำลังจะหมดไป โดยอาจมีการ
ใช้กฎระเบียบหรือมาตรการควบคุมการใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งรวมถึง
มาตรการการป้องกันดูแลในเขตพ้ืนที่ที่มีความจำเพาะ (อาทิ เขตต้นน้ำลำธารที่มีความ
เปราะบาง)
ส่วนการอนุรักษ์ทรัพยากรหรือระบบนิเวศแหล่งหนึ่งแหล่งใด เป็นแนวทางที่
ยังเอื้อให้ผู้คนได้ใช้ประโยชน์ในทรัพยากร หรือระบบนิเวศนั้น ๆ ได้ ขณะเดียวกัน ก็มี
การบริหารจัดการในลักษณะของการควบคุม หรือการเฝ้าระวังการใช้ประโยชน์ ที่จะไม่
กอ่ ให้เกดิ ความเสื่อมโทรม หรือเสียสมดลุ ในทรพั ยากรหรอื ระบบนเิ วศ หรอื ทำใหเ้ กิดผล
กระทบในทางลบต่อปริมาณ หรือคุณภาพของทรัพยากรที่จะเกิดต่อไปในอนาคต
ซงึ่ โดยทัว่ ไป ในการอนรุ ักษ์สิ่งแวดลอ้ มนน้ั มแี นวทางดำเนินการโดยวธิ ีการต่าง ๆ อาทิ
▪ การให้การศึกษาเผยแพร่ความรู้ การประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนวงสังคม
ตระหนักถงึ ความสำคญั ของปัญหาทจี่ ะเกดิ ขนึ้
▪ การปรบั ปรงุ คุณภาพหรือสภาพแวดล้อมในพน้ื ท่ใี ห้เหมาะสม
▪ การจัดการเพ่อื ลดอตั ราการเสือ่ มสญู หรือการนำกลับมาใช้ใหม่
▪ การใชส้ ิ่งทดแทนในทรพั ยากรทร่ี ่อยหรอลงไป
▪ การสำรวจหาทรัพยากรใหม่ ๆ
▪ การป้องกนั ปัญหาความเส่ือมโทรมในสภาพส่ิงแวดล้อม
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
148
▪ การป้องกันไม่ให้วัตถุเป็นพิษ ไปปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์อาศัย
หรอื ในระบบนิเวศทีเ่ ป็นฐานการผลติ ทรพั ยากร
ในการวางแผนเพื่อการอนุรักษ์ การกำหนดเป้าหมาย (ภาพที่ 5-1) นับเป็น
หัวใจของการบริหารจัดการ ที่จะทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้เห็นภาพในการพัฒนา และ
เกิดแนวทางในการดแู ลทรพั ยากร และสง่ิ แวดลอ้ มร่วมกัน
กำหนดเป้ำหมำยของกำรอนุรกั ษ์
ประเภท/ลกั ษณะ กำหนดปจั จยั ตดิ ตำม กำรตอบสนองต่อ
ของผลกระทบทเ่ี กดิ ปญั หำ/ควำมรุนแรง
ควำมจำเพำะ กำหนดระดบั ควำมจำเพำะ
เชงิ พน้ื ท่ี สำหรบั กำรควบคุม เชงิ เวลำ/ฤดูกำล
ประเมนิ สถำนภำพ
วเิครำะห์แนวทำงกำรจดั กำร
เสนอแนวทำงกำรบรหิ ำรจดั กำร
ดำ้ นกำรอนุรกั ษ์ ดำ้ นกำรฟ้ืนฟู ด้ำนกำรพฒั นำ
ภาพท่ี 5-1 แนวคิดในการบรู ณาการองคค์ วามรู้ เพอื่ กำหนดแนวทาง
การบริหารจัดการทรพั ยากรและสิง่ แวดลอ้ มทางนำ้ เชิงอนรุ ักษ์
ท่ีมา: ปรับปรงุ จาก จารมุ าศ (2564)
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
149
การกำหนดเป้าหมายของการอนุรักษ์ ควรมีความจำเพาะเจาะจงกับพื้นที่ใน
ระบบนิเวศแหล่งน้ำอย่างชัดเจน โดยคำนึงถึงความแตกต่าง ตามช่วงเวลาหรือฤดูกาล
ปัญหาที่เป็นเป้าหมายหลัก ควรชัดเจน และเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้าง ทั้งนี้ เพื่อการ
กำหนด ปัจจัยหลัก ที่จะใช้ในการศึกษาติดตามได้อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องต่อ
สถานการณป์ ัญหา ตลอดจนความเปล่ยี นแปลงท่ีจะเกดิ ข้นึ ต่อไปได้
สำหรับการกำหนดปัจจัยเพื่อใช้ในการศึกษาติดตาม ควรเป็นปัจจัยที่สามารถ
ใชส้ ะทอ้ นสถานการณแ์ ละการเปล่ียนแปลง ซ่ึงเกดิ จากปัญหาทีส่ นใจไดอ้ ย่างชดั เจน ซึ่ง
การคดั เลอื กปัจจัยติดตามทเี่ หมาะสม ควรคำนึงถึง คุณลักษณะ ของปจั จัยท่ดี ี อาทิ
1) มคี วามสมั พนั ธก์ ับปัญหาหรือสามารถสะทอ้ นผลจากปัญหาได้อย่างชัดเจน
(อาทิ การเลือกใช้ปัจจัยด้านปริมาณของแพลงก์ตอนพืชในน้ำ หรือ
คลอโรฟิลล์ในน้ำ เพื่อสะท้อนปัญหาจากการรับน้ำทิ้งจากแหล่งทำ
การเกษตร)
2) มีความสะดวกในการเรียนรู้ ทำความเข้าใจ หรือสามารถถ่ายทอดเทคนิค
การตรวจวดั ให้ผทู้ ่มี สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งในการศกึ ษาติดตามผลได้
3) มีคุณค่าทางนิเวศวิทยา ที่เชื่อมโยงกับระบบนิเวศโดยรวม โดยไม่ควรมี
เพยี งประโยชน์ทางดา้ นเศรษฐกิจเท่านน้ั
4) สามารถนำเสนอในเชิง“ปริมาณ” ได้ โดยสามารถวัด และแสดงระดับ
ออกมาได้อยา่ งชัดเจน
5) มี “ความอ่อนไหว” สูง มีศักยภาพในการสะท้อนสภาวะการเปลี่ยนแปลง
แมเ้ พียงเลก็ นอ้ ยไดด้ ี หรือตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขนึ้ ได้อยา่ งชัดเจน
6) มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการติดตามตรวจสอบไม่สูงมาก เพื่อการประหยัด
งบประมาณ และเกิดการศกึ ษาตดิ ตามในวงกว้างได้
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
150
สำหรบั การศึกษาตดิ ตาม การปนเปอื้ นของวัตถมุ พี ิษ ทีป่ นเปื้อนเขา้ มาสู่ระบบ
นิเวศแหล่งน้ำ (อาทิ สารป้องกันกำจัดวัชพืชที่มีการใช้ในพื้นที่การเกษตรโดยรอบ
แหล่งน้ำ) การศึกษาติดตามระดับสารพิษจำเพาะชนิด ที่ตรวจพบ “ภายในร่างกาย”
ของสิ่งมีชีวิตทางน้ำ นับเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจกันมาก เนื่องจากโดยทั่วไป
เราอาจไม่สามารถตรวจพบระดับของสารพิษนั้นได้โดยตรง ในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อน
ระดับปานกลางถึงต่ำ แต่หากพื้นที่แหล่งน้ำนั้นได้รับการปนเปื้อนจากสารพิษมาแล้ว
อย่างต่อเนื่อง จะสามารถตรวจพบการสะสมของสารพิษได้ในเซลล์ หรือในร่างกาย
ของส่ิงมชี วี ิตทางน้ำทอ่ี าศยั อยใู่ นบริเวณนน้ั ๆ ได้
เมื่อปัจจัยติดตาม ได้ถูกพิจารณาอย่างถ้วนถี่ และกำหนดขึ้นมาอย่างเหมาะสม
การศึกษาสถานการณ์ปัญหาและการประเมินแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงก็จะดำเนินการ
ได้อย่างรัดกุม และสามารถสื่อสารด้านสถานการณ์ความเป็นไปสู่ประชาสังคม
ในวงกว้างได้อย่างเข้าใจ ยังผลให้ตระหนักในปัญหาร่วมกัน และนำไปสู่การสร้างความ
ร่วมมือในการแก้ไขปัญหาต่อไปได้
สำหรบั การกำหนดระดับของปัจจยั ทยี่ อมใหม้ ีได้สงู สดุ ควรคำนงึ ถงึ สถานภาพ
ตามธรรมชาติของปัจจัย ว่าในสภาพแหล่งน้ำบริเวณที่สนใจนั้น มีระดับความเข้มข้น
พื้นฐานตามธรรมชาติ (Based-line concentration) เป็นเท่าไร ซึ่งโดยทั่วไปพบว่า
ระดับความเข้มข้นพื้นฐาน ได้รับอิทธิพลจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ อุทกวิทยา
ภูมิอากาศ รวมถึงรูปแบบในการใช้พื้นที่โดยรอบแหล่งน้ำ ซึ่งทำให้แหล่งน้ำแต่ละ
บรเิ วณ มรี ะดบั พื้นฐานของปัจจยั ทแี่ ตกตา่ งกนั ออกไป
ยกตัวอย่างในพื้นที่แม่น้ำแม่กลอง พบว่าปริมาณของแร่ธาตุอาหารทั้งในกลุ่ม
ของไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และซิลิคอน ในแต่ละส่วนของแม่น้ำตามเขตจังหวัดที่ไหล
ผ่าน 3 จังหวัด มีความแตกต่างกันออกไป โดยมีค่าเฉลี่ยที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในแม่น้ำ
ตอนล่าง ลงไปเป็นลำดับ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
151
นอกจากนี้ ระดับของแพลงก์ตอนพืชที่พบในน้ำ (ซึ่งตรวจวัดโดยค่าของ
คลอโรฟิลล์เอ) ก็มีความสอดคล้องกัน ซึ่งมีค่าสูงขึ้นนับสิบเท่า ในบริเวณใกล้เขต
ปากแม่น้ำ ความแตกต่างของปัจจัยสิ่งแวดล้อมทางน้ำ ตามเขตย่อยของแม่น้ำ
ในลักษณะเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความจำเพาะในระดับของปัจจัยที่แตกต่างกันไปตาม
พ้ืนท่ี ซึ่งเราจำเป็นพิจารณา และวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงอย่างจำเพาะเจาะจง
สำหรบั แตล่ ะเขตของระบบนิเวศแม่นำ้ หน่ึง ๆ
คำถามว่า “มากเท่าไร ถึงเกินระดับสมดุล” เป็นคำถามสำคัญที่กระตุ้นให้
นักวิชาการที่เกี่ยวข้องพยายามไตร่ตรองหาคำตอบ ท่ีจะสามารถนำไปสู่การบริหาร
จัดการ หรือกำหนดแผนการควบคุมดูแลแหล่งน้ำอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ เนื่องด้วย
ธรรมชาติของระบบนิเวศแต่ละแห่ง มีการปรับตัวเพื่อรักษาสมดุลอยู่ตลอดเวลา โดย
การปรับตัวนั้น เกิดตั้งแต่หนว่ ยย่อยของสิ่งมชี ีวิตขนาดเล็ก และในประชากรกลุ่มต่าง ๆ
ที่ใหญ่ขึ้น จนถึงระดับประชาคมขนาดใหญ่ ที่มีกลุ่มสิ่งมชี ีวิตที่หลากหลายและเชื่อมโยง
กนั โดยระบบของสายใยอาหาร และการถา่ ยทอดของพลังงาน
อย่างไรก็ตาม เพื่อความสะดวกในการประเมินการตอบสนองของปัจจัยท่ี
กำหนด โดยทั่วไป เราจะถือว่าการเปลี่ยนแปลงจากระดบั ความเข้มขน้ พ้ืนฐาน ในช่วงท่ี
ไม่เกิน +25 % ของระดับเดิมนั้น จัดเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เรายอมรับได้ หรืออนุโลม
ให้เกิดขึ้นได้ในแหล่งน้ำ ซึ่งช่วง +25 % ดังกล่าว อาจเรียกว่าเป็น “การผันแปรตาม
ธรรมชาติ” ของปจั จัยตา่ ง ๆ ที่มีในแหล่งน้ำ
ในทางตรงกันข้าม หากระบบนิเวศเกิดการเปล่ียนแปลงอยา่ งชดั เจน และทำให้
ระดับของปัจจัยที่สนใจ เกิดการเพิ่มขึ้น หรือลดลง เกินกว่า 25 % ของระดับเดิม ย่อม
สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันต่อระบบนิเวศท่ีสูง จนเกินขอบเขตของความเป็นปกติ
ไปแล้ว ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงมวลทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตกลุ่มต่าง ๆ ซ่ึง
สะทอ้ นปัญหาทีเ่ ข้ามาได้
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
152
เทคนิควิธีการสาคัญเพอ่ื การอนรุ ักษ์ระบบนเิ วศแมน่ ้า
แม่น้ำ นับเป็นแหล่งน้ำไหลที่สำคัญของประเทศ ซึ่งมีบทบาทต่อการพัฒนา
อาชีพทางการเกษตร และเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของสังคมไทยมาช้านาน อย่างไรก็ตาม
ด้วยการปล่อยปละละเลย ในการควบคุมการใช้ประโยชน์ของพื้นที่แผ่นดินโดยรอบ
ผนวกกับปัญหาการทิ้งน้ำเสีย ขยะ และสิ่งปฏิกูลลงสู่แม่น้ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้แม่น้ำ
เขา้ สสู่ ถานการณ์ที่เส่ือมโทรมลงมาเร่ือย ๆ นบั เปน็ ระยะเวลาหลายทศวรรษ โดยเฉพาะ
ในพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลาง รวมถึงแม่น้ำสายหลักที่กระจายอยู่ในเขตภูมิภาคต่าง ๆ
ที่อยู่ใกล้แหล่งชุมชน หรือบริเวณที่มีการใช้ประโยชน์เพื่อกิจกรรมการเกษตรและ
อตุ สาหกรรมอยา่ งหนาแน่น
ในการบริหารจัดการแม่น้ำเชิงคุณภาพที่ผ่านมา มีการประยุกต์ใช้แนวทางการ
ควบคุมระดับของ “ไนโตรเจนและฟอสฟอรัสในน้ำทิ้ง” เพื่อแก้ปัญหาการเพิ่มความ
หนาแน่นของแพลงก์ตอนพืชและพรรณไม้ในแหล่งน้ำ นอกจากนี้ ยังมีการใช้ระดับของ
คลอโรฟิลล์เอ ซึ่งสะท้อนปริมาณแพลงก์ตอนพืชในน้ำ มาเป็นดัชนีทางชีวภาพเพื่อ
ติดตามการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศแม่น้ำ อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่ อาทิ ในเขต
ลุ่มน้ำตอนบน เรามักพบข้อจำกัด ทั้งนี้ เนื่องจากผลผลิตขั้นต้นหลักของพื้นท่ี ไม่ได้
เกิดจากแพลงก์ตอนพชื แต่เป็นสารอนิ ทรีย์จากแหล่งกำเนิดภายนอก ที่ถูกพัดพาเข้ามา
ซึ่งในกรณีดังกล่าว การควบคุมแหล่งของสารอินทรีย์จากภายนอก จึงเป็นเรื่องที่ควรให้
ความสำคัญดว้ ย
สำหรับในด้าน “อัตราการไหลของน้ำ” การศึกษาที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่า
การควบคุมอัตราการไหลของน้ำ ด้วยเขื่อนกั้นน้ำ หรือประตูระบายน้ำเพื่อการ
ชลประทาน มีบทบาทที่ทำให้ระดับออกซิเจนละลายน้ำลดต่ำลง ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ
ต่อความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตทางน้ำในบริเวณที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพื้นที่ปลายน้ำ
ทีเ่ ชื่อมโยงกนั
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
153
การปิดกั้นส่วนของแม่น้ำ ยังทำให้ตะกอนซากพืชซากสัตว์ที่ไหลลงมาเกิดการ
ทับถมในบริเวณตอนหน้าของเขื่อน นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดปัญหาที่พรรณไม้น้ำ (อาทิ
ผักตบชวา) ซึ่งเจริญเติบโตและขยายจำนวนจนหนาแน่น เกิดการระบาดอย่างมาก
จนไปกดี ขวาง หรอื ปดิ ก้ันการสญั จรทางน้ำ
อนึ่ง ประตูกั้นน้ำในพื้นที่แม่น้ำบริเวณตอนล่าง ที่สร้างขึ้นจากแนวคิดเพ่ือ
ป้องกันปัญหาจากการรุกล้ำของน้ำเค็มนั้น ยังมักก่อให้เกิดปัญหาแรงดันของน้ำทะเล
ที่ขึ้นมามาก และไปกัดเซาะพื้นที่ริมฝั่งบริเวณท้ายประตูกั้น ทำให้เกิดการกัดเซาะ
พังทลายของพื้นที่ริมฝั่งได้เป็นบริเวณกว้าง ปัญหาดังกล่าว สร้างผลกระทบต่อทั้ง
ชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบแหล่งน้ำ และมีผลต่อสิ่งมีชีวิตทางน้ำ ทั้งทางตรงและทางออ้ ม
ดังนั้น ในการบริหารจัดการแม่น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องบริหารจัดการ
ลกั ษณะของ “การไหลของน้ำ” อย่างเหมาะสม โดยควรให้ความระมัดระวงั เป็นพิเศษ
การฟื้นฟูคุณภาพสิ่งแวดล้อมทางน้ำในแม่น้ำโดย การขุดลอกหรือการดูด
โคลนเลน ที่สะสมในเส้นทางลำน้ำ นับเป็นการฟื้นฟูระบบแม่น้ำที่มีความจำเป็น
เน่ืองจากจะสง่ เสริมใหน้ ำ้ เกิดการไหลถ่ายเทนำ้ ได้ดี ลดปญั หาการสะสมของอินทรีย์สาร
และมลภาวะที่อาจปนเปอ้ื นในพ้นื ที่ อย่างไรกต็ าม การดำเนนิ การในบรเิ วณท่ีมีเขื่อนก้ัน
เส้นทางน้ำ มักสร้างปัญหาการขาดออกซิเจนในแม่น้ำได้อย่างรวดเร็ว และเป็นอันตราย
อยา่ งรนุ แรงตอ่ ทรพั ยากรสิง่ มีชีวติ ทางน้ำ (จารมุ าศและคณะ 2556)
ด้วยเหตุดังกล่าว ในการดำเนินการจึงควรประสานงานกับทุกภาคส่วนที่
เกี่ยวข้องล่วงหน้า เพื่อหาทางจัดการปัญหาเลนและน้ำเสียที่กระจายขึ้นมา ให้สามารถ
ถ่ายเทออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ อนึ่ง การขุดลอกเลนในแม่น้ำตอนล่างท่ีใกล้เขต
ปากแม่น้ำ ยังควรคำนึงถึงอิทธิพลจากการขึ้นลงของน้ำทะเล โดยทั้งนี้ ไม่ควร
ดำเนินการในช่วงที่เป็น “น้ำตาย” ซึ่งน้ำจากเขตทะเลแทบจะคงระดับเดิม หรือขึ้นลง
ได้น้อยมาก เพราะในสภาวะดังกล่าว จะทำให้ปัญหาน้ำเสียที่เกิดจากการขุดลอกพื้นท่ี
คงตัวอยู่ในบรเิ วณน้นั นานเกนิ ควร และเป็นอนั ตรายต่อทรัพยากรสิ่งมชี ีวติ ทางนำ้ ได้
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
154
ในด้านการฟื้นฟูระบบนิเวศแม่น้ำที่เกิดปัญหายูโทรฟิเคชัน (อาทิ ในบริเวณที่
พบการแพร่ระบาดของผักตบชวาอย่างหนาแน่น) การจัดเก็บผักตบชวาขึ้นจากน้ำ
นับเป็นเรื่องที่จำเป็น โดยเฉพาะในบริเวณที่ทำให้น้ำลดการเคลื่อนตัว มีการบดบังแสง
หรือลดการแลกเปลี่ยนออกซิเจน รวมทั้งในบริเวณที่เกิดปัญหาการกีดขวางการสัญจร
ทางน้ำ
อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่แม่น้ำที่พบการกระจายของ พรรณไม้ใต้น้ำ อย่างเป็น
ธรรมชาตินั้น “การขุดลอก” หรือ “ทำความสะอาดแม่น้ำ” โดยนำพรรณไม้ใต้น้ำ
ออกจากระบบนิเวศทางน้ำจนแทบหมด กลับจะส่งผลเสียต่อระบบนิเวศ (พิชาศิษฐ์
2556, Sangmek and Meksumpun 2014) ทั้งนี้ เนื่องจากมีผลการศึกษาวิจัยที่
ชี้ให้เห็นว่า พรรณไม้ใต้น้ำมีบทบาทสำคัญมาก ในการผลิตออกซิเจนให้มวลน้ำ โดยมี
ศักยภาพการผลิตออกซิเจนได้มากกว่า 40 % ของออกซิเจนโดยรวม ที่พบในระบบ
นิเวศแม่น้ำ ในการนี้ เราควรจัดการให้มีพรรณไม้น้ำคงเหลือ ประมาณ 1 ใน 3 ส่วน
ของพน้ื ท่แี ม่นำ้ แตล่ ะบริเวณ ทั้งนี้ เพ่ือให้พรรณไม้นำ้ ยงั คงมบี ทบาทในการรักษาสมดลุ
ของคณุ ภาพนำ้ ในระบบนเิ วศแม่นำ้ ให้ดีตอ่ ไปได้
แนวทางการบริหารจัดการพ้นื ท่ีล่มุ น้าแมก่ ลอง
เมื่อพิจารณาและสังเคราะห์ข้อมูลความรู้ในภาพรวมที่มีมา พบว่าเราควร
สร้างสรรค์ “แนวทางการบริหารจัดการพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง” ให้ครอบคลุมในเนื้อหา
3 ด้าน ที่จำแนกตามลักษณะของงานและบริบทของผู้คนหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน
การดำเนินการ ซึ่งประกอบด้วย 1) แนวทางบริหารจัดการจากบนลงล่าง 2) แนวทาง
บริหารจัดการจากล่างขึ้นบน และ 3) แนวทางบริหารจัดการแบบคู่ขนาน โดยมี
รายละเอียดของแนวทางต่าง ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหารจัดการ
ดังตอ่ ไปน้ี
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
155
5.2) แนวทางการบริหารจัดการจากบนลงล่าง
(Top-down Management Approach)
แนวทางการบริหารจัดการจากบนลงล่าง (Top-down Management
Approach) เป็นการพิจารณาโดยเน้นในส่วนงานของภาครัฐ หรือภาคส่วนที่เป็นผู้
บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งควรมีเป้าหมายสำคญั ที่จะนำไปสู่ “การพัฒนาการบริหารจัดการ
เชิงนโยบาย” (Policy Administration Development) ที่มีประสิทธิภาพ และ
ก่อใหเ้ กิดผลอยา่ งเปน็ รปู ธรรม ซง่ึ ควรประกอบด้วยแนวทางสำคญั ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
แนวทางการบรหิ ารจัดการเพอื่ ป้ องกันน้าเค็มรกุ ล้า
1) หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการจัดสรรน้ำ จำเป็นต้องเข้าใจในระบบการขึ้นลง
ของนำ้ ในพ้นื ท่รี ะบบนิเวศสามน้ำ และประยกุ ต์ใช้ความรู้ เพื่อการจัดสรรนำ้ ท่มี ี
จำกัดได้อย่างเหมาะสม อาทิ การปล่อยน้ำมวลจืดลงมาในช่วงที่น้ำทะเลขึ้นสูง
ทั้งนี้ เพื่อให้มวลน้ำจืดได้มาช่วยเจือจางความเค็มของน้ำกร่อยที่ถูกผลักดัน
ขึ้นมา นอกจากนี้ ยังจะทำให้น้ำในภาพรวมได้มีระดับที่ยกสูงขึ้น และ
ผู้ประกอบการสวนเกษตรต่าง ๆ สามารถกกั เก็บน้ำนั้นไว้ในพืน้ ท่ีร่องสวน หรือ
คูคลองทมี่ ีในพนื้ ทข่ี องตนได้
2) เร่งรัดการทบทวนผลกระทบจากการโครงการป้องกันน้ำเค็ม ในด้านการทำให้
กั้นขวางการไหลขึ้นลงของน้ำ ซึ่งทำให้การเกิดภาวะน้ำแช่ขัง น้ำเน่าเสีย และ
วางแผนแก้ไข จัดความสำคัญตามโครงสร้างและปัญหาของพื้นที่ ทั้งนี้ ควร
ส่งเสริมกิจกรรมการฟื้นฟูระบบนิเวศคูคลองที่เหมาะสม ให้เกิดขึ้นภายใน
ชมุ ชนแต่เขตพื้นท่ี
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
156
แนวทางการบรหิ ารจัดการเพอื่ แก้ปั ญหาน้าท่วม
1) เร่งรัดการจัดการแก้ไขขนาดของประตูชลประทาน เพื่อให้มีความกว้างและ
ความลึกใกล้เคยี งกับพืน้ ทล่ี ำคลองน้ัน ๆ ทง้ั น้ี เพอื่ ให้มวลน้ำสามารถไหลข้ึนลง
ได้ทัน อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันควรให้ทำการเปิดบานประตูไว้ทั้งหมดก่อน
ยกเว้นกรณีที่ฝนแล้งจัดและน้ำเหนือเขื่อนมีน้อย ให้พิจารณาปิดในช่วงท่ี
เหมาะสม
2) เร่งศึกษาวิเคราะห์ผังเส้นทางสายน้ำตามธรรมชาติที่มี และกำหนด
แนวทางการบรรเทาเบาบางปญั หานำ้ ท่วม ให้สอดคล้องกบั ธรรมชาตขิ องพ้นื ที่
3) ฟื้นฟูแม่น้ำ ลำคลอง แพรก และลำประโดงต่าง ๆ ในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง
โดยเฉพาะในตอนล่าง เขตจังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อเร่งส่งเสริมประสิทธิภาพ
ในการช่วยแผ่การกระจายมวลน้ำออกในแนวราบ และให้มวลน้ำ สามารถ
กระจายเขา้ ไปสูพ่ ้ืนท่ตี ามระบบนเิ วศทางธรรมชาตใิ หไ้ ดม้ ากที่สดุ
แนวทางการบริหารจัดการเพอ่ื แก้ปั ญหาด้านคณุ ภาพของน้า
1) ส่งเสริมให้มีมวลน้ำจืด หรือมีปริมาณน้ำท่า ปล่อยลงมาในพื้นที่แม่น้ำแม่กลอง
จนถึงเขตตอนล่างให้มากขึ้น และเร่งรัดการบริหารจัดการลำน้ำ ตลอดจนการ
ใชส้ ัดสว่ นน้ำจากแตล่ ะภาคสว่ น ให้เกดิ อย่างเหมาะสม สมดุล และคุม้ ค่าทส่ี ดุ
2) เร่งรัดการดำเนินการเพื่อติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะคุณภาพน้ำในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ในแนวคลองวัดประดู่
คลองสาขาต่าง ๆ ที่รับน้ำจากจังหวัดราชบุรี รวมทั้งบริเวณคลองสาขาที่ได้รับ
น้ำจากคลองดำเนินสะดวก ซึ่งมีโอกาสเสื่อมโทรมได้ง่าย ทั้งนี้ เพื่อการบริหาร
จัดการและแกไ้ ขปัญหาได้อย่างเหมาะสมและทนั ทว่ งที
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
157
3) เร่งรัดการแก้ไขปัญหาจากการที่ถนน ประตูชลประทาน หรือสะพานมา
กีดขวางทางน้ำ โดยหาทางฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่ ให้น้ำสามารถเดินทางได้
สะดวกท่ีสุด
4) เร่งรัดการแก้ปัญหาการสะสมของเสียบริเวณด้านหน้าของประตูชลประทาน
ควรแก้ไขให้เป็นประตูแบบฝายน้ำล้น หรือระบายน้ำจากด้านบน ไม่ใช่แบบ
กว้านขึ้นจากด้านล่าง และดำเนินการบำบัดของเสียที่สะสมเป็นระยะ ๆ และ
ปรับเปลี่ยนไปใช้เทคนิควิธีการที่เหมาะสม (เปลี่ยนจากการ ขุดลอก ลำคลอง
เป็นการ “ดูดลอกลำคลอง” ซึ่งเป็นการใช้วิธีดูดเลน เอาของเสียที่สะสมก้น
คลองขนึ้ มาได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ)
5) เร่งรัดการฟื้นฟูลำคลอง แพรก และลำประโดงต่าง ๆ ในพื้นที่ลุ่มน้ำตอนกลาง
และตอนล่าง เพื่อส่งเสริมให้แต่ละพื้นที่มีศักยภาพในการบำบัดน้ำด้วยตนเอง
และเปน็ การส่งเสรมิ ความอุดมสมบูรณข์ องทรัพยากรสัตวน์ ้ำในระบบนิเวศทาง
ธรรมชาติให้กลับคืนมา
6) กระตุ้นการสื่อสารในสังคมวงกว้าง เพื่อให้ผู้ใช้ประโยชน์ (Users) จากพื้นท่ี
ลุ่มน้ำ หรือ คนปลายทาง ที่มีบทบาทต่อสภาวะเศรษฐกิจ การรับซื้อผลผลิต
หรือการท่องเที่ยวในพื้นที่ ได้สามารถรับรู้ถึงข้อมูลข่าวสาร และปัญหาทาง
คุณภาพน้ำ มลภาวะ หรือการปนเปื้อนที่เกิดขึ้นในพื้นที่จริง ทั้งนี้ เพื่อให้เกิด
การสะท้อนกลับไปสู่การบริหารจัดการตนเอง หรือการเร่งรัดการควบคุม
ปญั หาโดยภาคสว่ นท่ีเปน็ ผ้กู ่อมลพษิ นน้ั
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
158
แนวทางการบริหารจัดการน้าระยะยาว
1) พัฒนายุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการลุ่มน้ำ ทั้งในระดับจังหวัด และ
ระหว่างจังหวัดที่มีการเชื่อมโยงของสายน้ำที่ต่อเนื่องกัน ทั้งนี้ ควรพิจารณา
จากลักษณะการไหลของน้ำเป็นหลัก ไม่ใช่เป็นการจัดแบ่งพื้นที่ตามเขตการ
ปกครอง
2) วิเคราะห์ แนวทางและทางเลือก ในการบริหารจัดการระบบการไหลของน้ำ
เพ่ือการแกป้ ัญหาเชิงปรมิ าณ และเชงิ คุณภาพของน้ำอย่างมีประสิทธภิ าพ โดย
คำนึงถึงความสมดุลในแต่ละภาคส่วน และก่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้คน
ทอ้ งถน่ิ
3) เร่งส่งเสริม การดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก ซึ่งในแต่ละเขต
พื้นที่หรือภายในเครือข่ายชุมชนหนึ่ง ๆ สามารถดำเนินการได้เอง นอกจากน้ี
ควรเป็นโครงการพัฒนาที่ตอบโจทย์ปัญหาในชุมชนอย่างแท้จริง และสามารถ
ขับเคล่อื นใหเ้ กิดขึน้ อยา่ งเปน็ รปู ธรรม
4) ให้ความสำคัญกับ “พื้นที่นอกเขตชลประทาน” ด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากพื้นท่ี
หลายส่วนในลุ่มน้ำ อยู่ นอกเขตชลประทาน อย่างไรก็ตาม บริเวณดังกล่าว
ประกอบไปด้วยคูคลองตามธรรมชาติเป็นจำนวนมาก และมีศักยภาพในการ
เป็นพื้นที่รับน้ำ และช่วยแผ่กระจายมวลน้ำออกได้ ซึ่งนับเป็นการบรรเทา
เบาบางปัญหาการท่วมของน้ำที่อาจเกิดขึ้นในบางช่วงฤดูกาล พื้นที่คูคลอง
ตามธรรมชาติดังกล่าว จำเป็นที่จะต้องได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากหน่วยงานที่
เกี่ยวขอ้ ง เพือ่ การอนุรกั ษแ์ ละฟนื้ ฟอู ย่างต่อเนอื่ ง
5) ส่งเสริม การปลุกจิตสำนึก ให้ผู้คนตลอดเส้นทางสายน้ำ และเน้นการจัดทำ
ส่ือข้อมูลความรู้ ที่ให้ความเข้าใจ และมีความกระชับ ชัดเจน เพื่อปลุกให้
ภาคประชาชน ตลอดจนสังคมวงกว้าง ตระหนักถึงคุณค่า และรับรู้ถึงผลเสีย
ต่าง ๆ ทจี่ ะตามมาหากเราไมส่ ามารถดแู ลได้อยา่ งเหมาะสม
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
159
6) กำหนดมาตรการหรือ กฎระเบียบชุมชน ในแต่ละเขตท้องถิ่น เพื่อช่วยดูแล
ระบบนเิ วศอย่างเหมาะสม และกำกับดูแลการใชป้ ระโยชนใ์ นพน้ื ท่อี ย่างจรงิ จัง
7) ส่งเสริมการดำเนินการเพื่อการ จัดทำระบบบำบัดน้ำเสีย ของครัวเรือน
รวมถึงรีสอร์ท และสถานประกอบการต่าง ๆ ซึ่งทั้งนี้ ควรผลักดันให้เป็น
ประกาศจังหวัด เพื่อกำหนดเป็นระเบียบหรือข้อบังคับด้านการจัดทำระบบ
บำบัดน้ำเสยี ใหเ้ กดิ ขึ้นอยา่ งเปน็ รูปธรรม
8) ส่งเสริมการเชื่อมโยง ความรู้เรื่องระบบนิเวศ การจัดการน้ำ และการจัดการ
อาชีพ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและระบบนิเวศแบบองค์รวม โดยควรพิจารณา
ส่งเสริมหรือฟื้นฟูอาชีพภายในท้องถิ่น รวมทั้งอาชีพดั้งเดิมที่เป็นอัตลักษณ์
สำคัญของแตล่ ะพน้ื ทีใ่ นล่มุ นำ้ ด้วย
9) เร่งพัฒนาระบบและกลไกในการแก้ไข ปัญหาด้านขยะชุมชน ตลอดจนปัญหา
ดา้ นสารมลพษิ ท่ีมใี นพ้นื ท่ี ให้เกดิ ประสทิ ธิผลอยา่ งเปน็ รปู ธรรม
10) ส่งเสริมการประเมินคุณค่าของระบบนิเวศ ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม และ
คุณภาพชีวิตของผู้คนในลุ่มน้ำรวมทั้งประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง
ออกมาเป็น มูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ ที่ทำให้ทุกภาคส่วนสามารถตระหนักใน
ความสำคัญได้อย่างชัดเจน
อนึ่ง เมื่อพิจาณาด้านปัญหาที่พบในการดำเนินงานโดยองค์กรทางภาครัฐ ซึ่ง
วิเคราะห์โดยการตรวจสอบย้อนกลับจากข้อมูลความรู้ที่ประมวลได้จนถึง ณ ปัจจุบัน
พบว่าประเดน็ จุดออ่ นที่มักมีการระบถุ ึง คือ ด้านความต่อเนอื่ ง และความจรงิ จัง ในการ
ดำเนินงาน นอกจากนี้ ยังมีประเด็นด้านงบประมาณที่ควรจัดสรร เพื่อสนับสนุนและ
ส่งเสริมกิจกรรมด้านการบำบัดน้ำเสีย และด้านการบังคับใช้กฏหมายที่มีประสิทธิภาพ
เพ่อื ควบคมุ การใชป้ ระโยชนท์ รัพยากร ตลอดจนเพ่อื ควบคมุ ปัญหามลภาวะทม่ี ีในชมุ ชน
ซึ่งในภาพรวม ได้ส่งผลกระทบให้คุณภาพน้ำและทรัพยากรธรรมชาติที่มีในพื้นท่ีลุ่มน้ำ
จนถงึ เขตปากแม่น้ำ ไดเ้ กิดความเส่อื มโทรมลงไปอยา่ งตอ่ เนือ่ ง
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
160
ตัวอย่างปัญหา ที่พบในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2562 ซึ่งทางองค์กรภาครัฐ ได้มี
การออกกฏหมายด้านที่ดิน ซึ่งระบุว่าการครอบครองพื้นที่ป่ารกร้าง หรือครอบครอง
บริเวณที่ไม่ได้มีการใช้ประโยชน์อย่างชัดเจน จำเป็นต้องเสียภาษีที่ดินที่สูงขึ้นนั้น ส่งผล
กระทบให้เกิดการทำลายป่าชายเลนในแนวใกล้ปากแม่น้ำแม่กลอง และปรับเปลี่ยน
พื้นที่ไปเพื่อการก่อสร้างต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก นับเป็นความสูญเสียพื้นที่ป่าชายเลน
ตลอดจนระบบนเิ วศและทรัพยากรทางธรรมชาติ ทไี่ มส่ ามารถแกไ้ ขกลบั มาได้ดงั เดิม
ณ ปจั จุบัน เรายงั พบประเดน็ ดา้ นการบรหิ ารจัดการภายใต้หนว่ ยงานภาครฐั ที่
เกิดขึ้นภายใต้หลายองค์กร แต่ขาดประสิทธิผลที่เป็นรูปธรรม ซึ่งทำให้เกิดภาพสะท้อน
กลับมาว่า ความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการน้ำ ภายในหน่วยงานภาครัฐที่
เก่ียวขอ้ งตา่ ง ๆ นา่ จะยังมีจดุ ออ่ นทส่ี มควรพจิ ารณาและหาทางแก้ไข
นอกจากนี้ ในบางพื้นที่ที่เป็น แหล่งกำเนิดมลพิษที่ชัดเจน ในลุ่มน้ำแม่กลอง
อาทิ ฟารม์ สกุ ร ในเขตจงั หวดั ราชบุรี (ซงึ่ เป็นแหล่งทีม่ าของปญั หานำ้ เสยี ในปรมิ าณทสี่ ูง
มาก) ก็ยังคงเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ และเกิดต่อเนื่องยาวนานมา นับ 20 ปี ประเด็น
เหล่านี้ นับเป็นเรื่องที่ทำให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จำเป็นต้องหันกลับมาพิจารณาตนเอง
และเร่งรัดประสิทธิภาพในการทำงาน ตลอดจนควรสร้างเครือข่ายและพัฒนาความ
ร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับชุมชนในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการ
ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขนึ้
ในการจัดทำยุทธศาสตร์ หรือโครงการต่าง ๆ เพื่อการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่
แม่น้ำ คูคลอง แพรกสาธารณะต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมนั้น ควรเน้นการ
สง่ เสรมิ ให้เกิด การดำเนินการจากจุดเล็ก ๆ ในแตล่ ะพ้ืนทชี่ ุมชน โดยสนับสนุนให้เกิด
กิจกรรมด้านการฟื้นฟูสายน้ำของชุมชน อย่างชัดเจน เป็นรูปธรรม และมีประสิทธิผล
ขณะเดียวกัน ควรรณรงค์ด้านการเติมเต็มความรู้และประสบการณ์ของผู้ที่มีบทบาท
ในการจัดทำยุทธศาสตร์ หรือโครงการต่าง ๆ โดยส่งเสริมให้มีการลงพื้นที่ศึกษา
แลกเปลี่ยน เรียนรู้ ในพื้นที่จริงให้มากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจาก องค์ความรู้ที่ชัดเจนและ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
161
ถูกต้อง เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอยา่ งยิ่ง ในการจัดทำยุทธศาสตรเ์ พื่อการพัฒนาที่ดี
ซึ่งการตระหนักรู้ในคุณค่าของพื้นที่ และเข้าใจในลักษณะตามธรรมชาติของพื้นที่
อย่างแท้จริง ผนวกกับการมีความเชื่อมั่นและศรัทธา ในภูมิปัญญาของบรรพชนที่สั่งสม
กันมา จะสามารถสร้างสรรค์แนวคิดที่ดี และนำไปสู่การกำหนดแผนการบริหารจัดการ
ลุม่ น้ำ ได้อยา่ งเหมาะสมทส่ี ุดต่อไป
อนึ่ง ในการประมวลความรู้ทางด้านการบริหารจัดการที่ผ่านมา เราพบว่า
ในการกำหนด “แผนปฏิบัติการเพื่อการพัฒนาอย่างมีประสิทธิผล” นั้น จำเป็นต้องมี
คณุ ลักษณะท่ีสำคัญ อยา่ งนอ้ ย 10 ประการ (กุณฑลทพิ ย์ 2556) ดังต่อไปนี้
1) มีรากฐานมาจากปัญหาที่แท้จริง และขับเคลื่อนด้วยโอกาสการแก้ปัญหาท่ี
เป็นไปได้
2) ขน้ึ อยู่กบั การปฏบิ ตั ทิ ส่ี ามารถจะทำได้จรงิ
3) เน้นการมีส่วนรว่ ม การส่งเสรมิ การสร้างความสามัคคี และการเป็นหุน้ ส่วน
ซงึ่ กันและกนั
4) อาศัยความร้คู วามชำนาญ และภมู ปิ ญั ญาของท้องถิ่น
5) ไม่ข้ึนอยู่กบั ข้อมูลท่ีสมบูรณแ์ บบ แต่อาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่ง่ายต่อการ
เขา้ ใจ
6) เปน็ โครงการทมี่ ีขนาดเล็ก
7) เป็นการวางแผนแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำและพัฒนาไปเรื่อย ๆ มากกว่า
การวางแผนแบบสมบูรณ์
8) เป็นจุดเริ่มต้นหลาย ๆ จุด มากกว่าเป็นผลสุดท้าย โดยเน้นความต่อเนื่อง
การริเรม่ิ กระบวนการใหม่ ๆ และการดำเนินการท่ีเป็นรปู ธรรม
9) รวดเร็ว แต่ไม่เร่งรีบ และไม่ควรใช้ระยะเวลายาวนานกว่าระยะเวลาการ
ดำรงตำแหน่งของผู้ว่าราชการจังหวัด หรือฝ่ายบริหารที่มีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้อง
โดยตรง และ
10) สามารถเหน็ ผลไดอ้ ยา่ งเป็นรปู ธรรม
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
162
5.3) แนวทางการจัดการจากล่างข้ึนบน
(Bottom-up Management Approach)
แนวทางการบริหารจัดการจากล่างขึ้นบน (Bottom-up Management
Approach) เป็นประเด็นที่เน้นในส่วนงานที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนท้องถิ่น หรือเกิดข้ึน
จากพื้นที่ส่วนย่อยที่ขับเคลื่อนการดำเนินการต่าง ๆ ขึ้นด้วยตนเอง ซึ่งทั้งนี้พบว่า เรา
ควรมีเป้าหมายสำคัญที่จะนำไปสู่ “การพัฒนาสมรรถนะชุมชน” (Community-
based Competency Development) เพ่อื ใหเ้ กิดประสทิ ธิผลของงานตา่ ง ๆ ได้อย่าง
เป็นรูปธรรม ซึ่งทั้งนี้ แนวทางการบริหารจัดการจากล่างขึ้นบน ควรประกอบด้วย
ประเดน็ สำคัญในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1) ส่งเสริม การสื่อสารที่ดีและมีประสิทธิภาพ ซึ่งก่อประโยชน์เพื่อให้ภายใน
ชุมชนได้รบั ความรใู้ หม่ ๆ อย่างชดั เจน ตลอดจนเปน็ การสรา้ งสรรค์ให้ผู้คน
ในชุมชนเกิดมโนทัศน์ที่ดี เข้าใจตรงกัน และมีจิตอาสาในการอนุรักษ์ ดแู ล
และช่วยกันฟืน้ ฟแู หล่งนำ้
2) ส่งเสริมให้แต่ละเขตพื้นท่ี สามารถ “บริหารจัดการน้ำ” ได้ด้วยตนเอง
ซึ่งทั้งนี้ จำเป็นต้องกำหนดแบบแผนการดำเนินการ มีระบบกลไกการ
ดำเนินการ โดยมีเป้าหมายที่จะทำในแต่ละช่วงเวลา ตลอดจน มีขั้นตอน
การดำเนนิ การท่เี ปน็ รปู ธรรม
3) ส่งเสริม การศึกษาวิจัยและสำรวจระบบเส้นทางของสายน้ำ คูคลอง
และลำประโดงที่มีในแต่ละพื้นที่ ให้เข้าใจอย่างชัดเจนร่วมกัน เพื่อกำหนด
แนวทางการบริหารจัดการและจัดลำดับงานได้อย่างเหมาะสม และเกิด
ประสิทธิผลไดต้ ามเป้าประสงค์
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
163
4) รักษาคูคลอง เส้นทางสายน้ำที่มีต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ทั้งนี้
เนื่องจากพ้ืนทที่ างธรรมชาติเหล่านี้ เป็นแหลง่ สรา้ งอาหารใหช้ ุมชนในพ้ืนที่
และยังเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการพัฒนา
อุตสาหกรรมทางอาหารที่เกี่ยวขอ้ งได้อยา่ งหลากหลาย
5) เร่งรัดกิจกรรมเพื่อการ ฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่คูคลองตามธรรมชาติ เพ่ือ
การรองรับการขึ้นลงของน้ำและการไหลเวียนของน้ำทะเล ซึ่งจะก่อให้เกิด
การแก้ไขปัญหาเชิงปริมาณและคุณภาพของมวลน้ำ และส่งเสริมให้เกิด
การเพิ่มของผลผลิตของสัตว์น้ำ ทั้งในเขตพื้นที่น้ำจืด น้ำกร่อย และเขต
ทะเลได้
6) ส่งเสริมศักยภาพของพื้นที่ป่าชายเลนที่ยังคงมีอยู่ ให้มีความสมบูรณ์มาก
ยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งผลิตสัตว์น้ำ และเป็น
แหลง่ บำบดั น้ำท่ยี งั คณุ คา่ ต่อชมุ ชนในระบบนเิ วศลมุ่ น้ำ
7) สร้างสรรค์มุมมอง รวมทั้งวิธีปฏิบัติที่เหมาะสม ในการอนุรักษ์แหล่งน้ำท่มี ี
ในลุ่มน้ำภาพรวม ภายใต้ความเข้าใจในเป้าหมาย และความต้องการท่ี
จำเป็นในชีวิต ซึ่งทั้งนี้ ควรให้ครอบคลุม ตั้งแต่ “คนต้นน้ำ” ลงมาจนถึง
“คนปลายนำ้ ” เพอ่ื ใหเ้ กิดการใช้ประโยชนใ์ นพื้นทแ่ี หล่งนำ้ อย่างเก้ือกูลกัน
ตลอดจนเกิดเครอื ขา่ ยที่ดี ทเี่ ข้าใจและร่วมมือกันอย่างต่อเนอ่ื ง
8) ส่งเสริมกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดการ “เพิ่มมูลค่า” ให้ท้องถิ่น และเน้นการ
พัฒนาอย่างเหมาะสม ค่อยเป็นค่อยไป โดยมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิต
และ “รากฐานวัฒนธรรมท้องถิ่น” ที่เป็นเอกลักษณ์ หรือเป็นธรรมชาติ
ตามวิถีวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชุมชนในท้องถิ่นนั้น ๆ ทั้งนี้ กิจกรรมท่ี
เกิดขึ้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการ “รักษาระบบนิเวศ” ไปพร้อม ๆ
กัน เพราะระบบนิเวศที่มั่นคง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมให้เกิด
กิจกรรมทด่ี ีได้อยา่ งต่อเนื่องสืบไป
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
164
9) ผลักดันให้องค์ความรู้ที่อยู่ในตัวชาวบ้าน เป็นหัวใจในการพัฒนา ซึ่งไม่ใช่
เป็นการพฒั นาเชงิ เด่ยี ว หรอื การเดนิ เขา้ สู่ระบบผูกขาดใด ๆ
10) รณรงค์ความตระหนักรู้ในคุณค่าของธรรมชาติและทรัพยากรที่มีจำกัด
และส่งเสริมให้ประกอบอาชีพต่าง ๆ ด้วยความ “ปราณีปราศรัย” ต่อ
ธรรมชาติ ไม่ควรโลภ ทะเยอทะยาน หรือทำอะไรที่เกินตัว เกินฐานะของ
ทรพั ยากรที่จะรองรบั ได้
อนึ่ง ในการวิเคราะห์ตัวอย่างของการขับเคลื่อนสังคมและชุมชน ที่ก่อ
ประโยชน์ให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่าง
เหมาะสม คมุ้ ค่า และเกิดการดูแลแหล่งนำ้ ที่มี เพอื่ ให้เกิดประโยชนไ์ ด้อย่างยาวนานน้ัน
พบวา่ “ความรว่ มมือของผู้คนในพนื้ ท่ี” มคี วามสำคญั เป็นอยา่ งยิ่งต่อการพัฒนา
การดำเนินกิจกรรมที่เกิดจากความมุ่งมั่นและความร่วมมืออย่างจริงจังภายใน
ชุมชน ที่เราเรยี กว่า การ “ระเบิด จากข้างใน” มีความสำคญั เปน็ อย่างยิ่งตอ่ การพฒั นา
อย่างต่อเนื่อง และทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันพบว่า หลาย ๆ พื้นที่
ยังขาดความร่วมมือ และความทุ่มเทที่เพียงพอ ซึ่งจำเป็นต้องสร้าง “ความตระหนักรู้”
เพื่อให้เกิดพลังการขับเคลื่อนที่มากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การอนุรักษ์ การฟื้นฟู และร่วมกัน
แกป้ ญั หาในพื้นที่ได้อย่างตอ่ เนื่องและเปน็ รูปธรรม
การขับเคลื่อนพลังของมวลชนในพื้นที่ เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันอย่างเต็มท่ี
นั้น พบวา่ ผู้นำ จำเปน็ ตอ้ งมคี วาม “ต้งั ใจจรงิ ” และมคี วาม “โปร่งใส” ในการดำเนนิ งาน
นอกจากนี้ จำเป็นต้องสร้างสรรค์ให้เกิดกิจกรรมกลุ่มในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
โดยเนน้ ถงึ ความสอดคล้องกบั วิถชี มุ ชน ตลอดจนศักยภาพของชุมชนในพื้นที่น้นั
สำหรับการพัฒนาเมือง ที่มีเป้าหมายให้สมุทรสงคราม เป็น “ครัวโลก” ที่ยัง
ผลผลิตทางการเกษตรต่าง ๆ โดยสามารถให้ผลผลิตด้านพืช ผัก ผลไม้ ที่หลากหลาย
และก่อประโยชน์ต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่กว้างขวางออกไปได้ โดยสามารถ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
165
ครอบคลุมไปจนถึงระดับมหภาคนั้น นับเป็นเป้าหมายที่จำเป็นและมีคุณค่า อย่างไร
ก็ตาม ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าภาคการเกษตรซึ่งเป็นผู้ผลิตในพื้นท่ี
ภาคอุตสาหกรรมอาหารซึ่งเป็นผู้แปรรูปและเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนภาค
ส่วนด้านโลจิสติกส์และการตลาดซึ่งมีบทบาทในการกระจายผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ควรสร้าง
ความตระหนักรู้ร่วมกันในความสำคัญของการมีระบบน้ำ มีระบบนิเวศที่ดี และ
จำเป็นต้องเร่งรณรงค์ในการอนุรักษ์ดูแล และฟื้นฟูสภาพที่เสื่อมโทรมอย่างเร่งด่วน
โดยอาศยั ความเขา้ ใจ และความท่มุ เทของทุกภาคสว่ นร่วมกนั
ซึ่งในภาพรวมพบว่า การตระหนักรู้ ถึง “คุณค่าของพื้นที่” ให้ชัดเจน มากกวา่
การพิจารณาเพียง “มูลค่า” ของพื้นที่ นับเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และนับเป็นรากฐาน
ของการพัฒนาที่ก่อให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีและมั่นคงของชุมชนท้องถิ่น ตลอดจนสังคม
ในวงกว้างที่เช่อื มโยงกันอยู่
5.4) แนวทางจัดการค่ขู นาน
(Parallel Management Approach)
แนวทางการบริหารจัดการค่ขู นาน (Parallel Management Approach) เป็น
ประเด็นที่เน้นในส่วนงานที่ขับเคลื่อนโดยองค์กรทางการศึกษาวิจัยต่าง ๆ รวมทั้งภาค
ส่วนทางวิชาการ ในหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ หรือองค์กรทาง
การศึกษา อาทิ มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ซึ่งทั้งนี้ ควรมีเป้าหมายสำคัญที่จะนำไปสู่ “การ
พัฒนาและประยุกต์ใช้องค์ความรู้” (Knowhow and Implication Development)
เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา การวางแผน การพัฒนา หรือการฟื้นฟูความ
เสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นในระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการ
พัฒนาทางคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมของพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง ได้อย่างสอดคล้อง
กันไป
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
166
ผลการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า การกำหนดแนวทางการพัฒนาอย่างเหมาะสม
และสมดุลกับสภาพทางธรรมชาตินั้น ควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับ “ความต้องการ
ของชุมชน” ด้วย เนื่องจากจะเป็นแนวทางที่ก่อให้เกิดความยั่งยืน ควบคู่ไปกับการ
อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ให้เป็นแหล่งอาหารของผู้คน แนวทางการพัฒนาที่
เหมาะสม เกดิ ได้จากความตระหนกั รใู้ นประเด็นสำคัญ อาทิ
1) ความตระหนักรู้ในความสำคัญของทุนทางนิเวศ ทุนทางสังคมในท้องถ่ิน
และภมู ปิ ัญญาอนั ชาญฉลาดของบรรพชน และ
2) ความตระหนักรู้ในคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของ
ชุมชน และเข้าใจในความสำคัญของพื้นที่ ที่เป็นบ่อเกิดของทรัพยากร
ชวี ภาพท่หี ลากหลาย ซึง่ ยงั เป็นแหล่งอาหารของโลก
ความตระหนักรู้ดังกล่าว จะทำให้เกิดความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมรักษา
พื้นที่ และปกป้องไม่ให้กระแสรุนแรงของการพัฒนา ถาโถมเข้ามาล่วงล้ำทำลายพื้นที่
หวงแหนอย่างรวดเร็วเกินไป นอกจากนี้ จะทำให้เกิดความพยายามในการรักษาต้นทุน
ทางทรัพยากร โดยปกปักษ์รักษาสิ่งเหล่านั้นไว้ ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต
อย่างยาวนานทีส่ ดุ
การวิจัยชุมชน ที่มีการดำเนินการไปในพื้นที่แต่ละเขตของลุ่มน้ำ ได้ทำให้
นักวิจัยได้เรียนรู้วัฒนธรรม วิถีชีวิต ความพยายามในการปรับตัวให้อยู่รอด และ
สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติโดยรอบชุมชน และในกระบวนการเรียนรู้
ที่ค่อยๆ เกิดร่วมกันกับชุมชน ยังทำให้ผู้คนในชุมชนเองได้เรียนรู้ตนเอง ได้ตระหนักถึง
ทุนทางนิเวศ ทุนทางสังคมในท้องถิ่น และภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของบรรพชน ในการ
ใช้ทุนทางทรัพยากรและปกปักษ์รักษาสิ่งเหล่านี้ ให้เกิดประโยชน์ต่อการจรรโลง
การดำเนินชีวิต โดยสามารถใช้ “ทรัพย์ในดินและในน้ำ” อันเป็นมรดกจากผู้คน
รุ่นกอ่ น มาถึงลกู หลาน ไดอ้ ย่างมีค่ายงิ่ (อนชุ าตแิ ละคณะ 2550)
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
167
การศึกษาดังกล่าวยังทำให้ทราบว่า การเรียนรู้ และเปิดใจยอมรับ ในประเด็น
ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องทรัพยากรชายฝั่ง เรื่องห่วงโซ่อาหาร เรื่องพื้นที่ชุมชน และ
เรื่องคุณภาพน้ำที่เปลี่ยนแปลงไป จะทำให้ตระหนักว่า ความรู้ดังกล่าวไม่ใช่ประเด็น
ที่เฉพาะผู้คนในพื้นที่เล็ก ๆ ควรจะปกปักษ์รักษาเท่านั้น แต่จำเป็นที่ทุกฝ่ายโดยรอบ
ต้องร่วมมือรว่ มใจกนั และหาทางปกปกั ษร์ ักษาไว้ให้ดี และยาวนานท่สี ดุ
ในปัจจุบัน นอกจากการคุกคามโดยโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐ ที่เสี่ยง
ต่อการล่มสลายของพื้นที่แล้ว ชุมชนยังเผชิญกับการคุกคามจากระบบทุนนิยมที่
หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลทำให้ชีวิตที่เรียบง่าย ผูกพันกับธรรมชาติและ
กิจกรรมทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย เริ่มสูญสลายหรือปรับเปลี่ยนไปตามกระแส
ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเพื่อปกปักษ์อนุรักษ์รักษาพื้นที่ต่าง ๆ ไว้ ซึ่งรวมถึง
การเลือก การต่อรอง และ การตัดสินชี้ขาด ที่จะปกป้องทรัพยากรของท้องถิ่น ถือเป็น
อำนาจของประชาชนในชุมชนอยา่ งชอบธรรม
การพัฒนา ที่เต็มไปด้วยความหวังดีของภาครัฐ ที่มักคิดอยู่เสมอว่า
อุตสาหกรรมจะช่วยให้ชาวบ้านสบายขึ้น มีฐานะและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม
มีหลาย ๆ บทเรียนที่ผ่านมา ที่พบว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ซึ่งประเด็นปัญหาดังกล่าว ทำให้
ชุมชนในบางพื้นที่ ได้หันมาร่วมแรงร่วมใจกัน จัดทำโครงการพัฒนาชุมชนขึ้นมา โดย
ขอให้ภาครัฐให้การสนับสนุน เพื่อเป้าหมายในการอนุรักษ์แหล่งน้ำและ
ทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งจริงจงั
ซึ่งในภาพรวมพบว่า แนวทางการบริหารจัดการคู่ขนาน ที่มีเป้าหมายเพื่อ
“การพฒั นาและประยุกต์ใชอ้ งค์ความรู้” ในระยะตอ่ ไป ให้เกดิ ได้อยา่ งมีประสิทธผิ ลน้ัน
ควรประกอบดว้ ยประเดน็ การศึกษาวิจัยทสี่ ำคัญต่าง ๆ ดังน้ี
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
168
1) การศึกษาวิเคราะห์ ศักยภาพตามธรรมชาติของแหล่งน้ำ ณ ปัจจุบัน ท้ัง
เชิงปริมาณ (อาทิ พ้ืนท่ีรองรบั น้ำ ปรมิ าณน้ำ) และเชิงคุณภาพ (อาทิ ศักย์
การบำบัดตัวเองจากภาระมลพิษ ศักยก์ ารใหผ้ ลผลติ ทรัพยากรสตั ว์นำ้ )
2) การประเมิน ความต้องการในการใช้มวลน้ำ เพื่อการรักษาระบบนิเวศ
และห่วงโซ่อาหาร ที่สามารถสร้างสรรค์ให้เกิดพรรณสัตว์น้ำ พืชน้ำ ที่ให้
คุณประโยชน์ต่อการอุปโภคบริโภคในครัวเรือน และยังประโยชน์ทาง
เศรษฐกจิ การท่องเทีย่ ว และอตุ สาหกรรมทเี่ กีย่ วขอ้ งในพ้ืนท่ี
3) การศึกษาวิเคราะห์ ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
วฒั นธรรม อาชพี และวิถีชีวติ ตลอดจนผลกระทบต่อสมรรถนะ และความ
เข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นที่ค่อย ๆ สูญหายไป จากการพัฒนาเมืองที่
เกิดขึ้นในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนี้ เพื่อการเรียนรู้ถึงปัญหา และสังเคราะห์
แนวทางในการพัฒนาที่เหมาะสม
4) การศกึ ษาวเิ คราะหเ์ ปรยี บเทียบ มูลคา่ ทางเศรษฐกิจ ของพรรณพชื ในเขต
การชลประทาน กับพืช สัตว์ และทรัพยากรที่มีในคูคลองตามธรรมชาติ
ทั้งนี้ เพื่อการเรียนรู้ถึงปัญหา การเปลี่ยนแปลง และแนวทางในการฟื้นฟู
และพัฒนาอย่างเหมาะสม
5) ศึกษาและพัฒนา ตัวชี้วัดคุณค่าของพื้นท่ี ที่เหมาะสม และสังเคราะห์
แนวทางการขับเคลื่อนสังคม ภายใต้การความเข้าใจอันดี และความ
รว่ มมือของทกุ ภาคสว่ นทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
6) สังเคราะห์รูปแบบหรือ เทคนิควิธีการบริหารจัดการ ที่สามารถก่อให้เกิด
การพัฒนาที่ดี หรือก่อประโยชน์ต่อผู้คนและสังคมในท้องถิ่นได้อย่างเป็น
รูปธรรม
7) สังเคราะห์ทิศทาง การพัฒนาผังเมือง ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละเขตพื้นท่ี
เพื่อเสถียรภาพทางสังคม คุณภาพชีวิต และความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ตลอดจนเป็นการรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติทมี่ ไี ดอ้ ย่างย่ังยืนทีส่ ดุ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
169
5.5) สรปุ ผลการประมวลความร้ใู นภาพรวม
ในภาพรวมของการประมวลความรู้ที่มีมา พบว่าปัญหา เชิงคุณภาพ และ
เชิงปริมาณ ของมวลน้ำ ในเขตลุ่มน้ำแม่กลอง ที่มีการใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย
มีทิศทางที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นไปตามสภาวการณ์ของสังคมเมือง ที่เกิดการ
พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่ขาดความรอบคอบ ขาดการควบคุมการใช้ประโยชน์ในพื้นท่ี
อย่างเหมาะสม
ด้วยเหตุดังกล่าว ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องรณรงค์เพื่อการสร้าง
ความรู้ความเข้าใจร่วมกัน และส่งเสริม การปลุกจิตสำนึก ให้ชุมชนและสังคม ได้
ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ดูแลระบบนิเวศของคูคลอง และสิ่งแวดล้อม
ทางธรรมชาติ เพื่อให้พื้นที่ของเราจะสามารถยังประโยชน์ต่อไป ได้อย่างคุ้มค่า และ
ยาวนานเท่าท่ีจะเป็นไปได้
นอกจากนี้ การบริหารจัดการที่ครอบคลุมไปถึงพื้นท่ี แหล่งต้นน้ำ ที่เป็น
แหล่งกำเนิดของแม่น้ำลำธาร นับเป็นเรื่องที่ควรเร่งรัดการดำเนินการไป พร้อม ๆ กับ
การฟนื้ ฟูและอนุรักษพ์ ้นื ทรี่ บั น้ำทางตอนกลาง และตอนล่างของระบบลมุ่ น้ำ
การบริหารจัดการน้ำตอ่ จากนี้ เรายังควรระมัดระวัง ไม่ใหเ้ กดิ การใช้ทรพั ยากร
น้ำ ที่จะนำไปสู่ ความเหลื่อมล้ำ ที่มากขึ้น ทั้งนี้ ควรพิจารณาการใช้น้ำในระบบลุ่มน้ำ
ต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง และพยายามรักษา สมดุลน้ำ ตามธรรมชาติที่มีอย่างดีที่สุด
ทั้งนี้ ควรมีการจัดทำแผนการใช้น้ำอย่างรัดกุม และครอบคลุมการใช้ประโยชน์จากน้ำ
ทุกภาคส่วน โดยมีตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับฐานรากในการผลิตทรัพยากรธรรมชาติ หรือ
พืชผลทางการเกษตรท่จี ำเพาะตามเขตพ้นื ท่ี
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
170
ในภาพรวมของประมวลสถานการณ์ปัญหาในแหล่งน้ำต่าง ๆ ที่ผ่านมา ยังได้
แนวคิดสำคัญวา่ ศาสตร์ทางนเิ วศวิทยาต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมา เป็นเพียงแค่ “เครื่องมือ”
ที่ใช้ในการหาหลักฐาน หรือใช้ติดตามความเป็นไป อย่างไรก็ตาม การจะขับเคลื่อน
เพื่อการบริหารจดั การอย่างใดอย่างหน่ึงน้ัน ย่อมต้องอาศยั “กระบวนการทางสงั คม”
ด้านต่าง ๆ เข้ามาร่วมมีบทบาท ซึ่งเราควรเร่งรัดการดูแลแหล่งน้ำขนาดเล็กที่มี
ในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ โดยอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และความร่วมมือจากชุมชน
ตลอดจนการกระตุ้นโดยการ “ระเบิด จากข้างใน” เพื่อสร้างการสนับสนุนจาก
หน่วยงานภาครฐั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง ให้เกิดข้ึนอย่างเปน็ รูปธรรม
นอกจากนี้ ยังต้องอาศัยแรงผลักดันทาง เศรษฐกิจ และ การเมือง การ
ปกครอง ที่จะทำให้ผู้คนในสังคมวงกว้างได้ยอมรับ และนำไปสู่การพัฒนาแหล่งน้ำ
ในเชิงมหภาคอยา่ งเปน็ รปู ธรรม
ด้วยความรู้ความเข้าใจดังกล่าว การบริหารจัดการเชิงอนุรักษ์ ในทุก ๆ ด้าน
ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ลุ่มน้ำ จึงควรให้ความสำคัญ ในการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ
ของ ผู้คน หรอื ชุมชนโดยรอบลุม่ นำ้ ท่ีนบั เปน็ หัวใจ ในการขบั เคลอ่ื นทกุ ๆ อยา่ ง
และท้ายที่สุด ในการพัฒนาสมรรถนะของชุมชนที่เข้มแข็ง เรายังต้องการ
ผู้นำ ในการขับเคลื่อน ที่มีวิสัยทัศน์ก้าวไกล มีความกล้าในการตัดสินใจ และมี
ความคิดเชิงรุก ทั้งนี้ เพื่อช่วยส่งเสริมและผลักดันการบริหารจัดการลุ่มน้ำที่เรามี
ให้คงความงดงาม และยังคุณค่า เพื่อเอื้ออำนวยต่อการใช้ประโยชน์ ให้ชุมชน
และสังคมในวงกวา้ ง ได้อย่างหลากหลาย และคมุ้ ค่าทีส่ ดุ สืบต่อไป
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
171
บรรณานกุ รม
กัญญาณัฐ สุนทรประสิทธิ์. 2544. การวิเคราะห์ศักย์การผลิตสัตว์น้ำเพื่อการจัดการทรัพยากร
สัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญในอ่างเก็บน้ำเขื่อนเขาแหลม จังหวัดกาญจนบุรี. วิทยานิพนธ์
ปรญิ ญาโท. มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. กรงุ เทพฯ.
กุณฑลทิพย พานิชภักดิ์. 2556. บ้าน เรือน เมืองสามน้ำ. ศูนย์นวัตกรรมสิ่งแวดล้อมสถาปัตย์. คณะ
สถาปัตยกรรมศาสตร์. จฬุ าลงกรณมหาวทิ ยาลยั . 238 หน้า.
เกษม จันทร์แก้ว. 2556. การจัดการสิ่งแวดล้อมแบบผสมผสาน. พิมพ์ครั้งที่ 3. สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ISBN 978-616-556-124-2. 295 หนา้ .
เกษมสนั ต์ จณิ ณวาโส. 2551. เมอื ง 3 นำ้ และ 3 ระบบนเิ วศ. รัฏฐาภริ กั ษ์ 50(4): 60-69.
กองประสานการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม สำนักงานนโยบายและแผนส่งิ แวดล้อม.
2538. รายงานสถานภาพทรัพยากรชายฝั่งทะเลจังหวัดสมุทรสงคราม. สำนักงานนโยบาย
และแผนสิง่ แวดลอ้ ม. กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละสง่ิ แวดลอ้ ม.
กรมควบคุมมลพิษ. 2549. มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล. สำนักจัดการคุณภาพน้ำ กรมควบคุมมลพิษ
กระทรวงทรัพยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม.
กรมควบคุมมลพิษ. 2558. ประกาศกรมควบคุมมลพิษ “กำหนดเกณฑ์คุณภาพตะกอนดินชายฝ่ัง
ทะเล”. กรมควบคุมมลพษิ . กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม.
กรมชลประทาน. 2541. 96 ปี กรมชลประทาน. โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
ISBN 974-7605-69-4. 113 หนา้ .
กรมชลประทาน. 2560. สถติ ย์ในฤทยั ราษฎร์ ปราชญ์แห่งน้ำ 115 ปี กรมชลประทาน. กรมชลประทาน.
ISBN 978-616-358-243-0. 160 หน้า.
กรมชลประทาน. 2563. ขอ้ มลู อ่างเก็บนำ้ ในประเทศไทย. ศนู ย์ปฏิบัตกิ ารจดั สรรน้ำ สำนักอุทกวิทยา
และบริหารนำ้ กรมชลประทาน.
กรมทรัพยากรนำ้ . 2563. ปรมิ าณนำ้ ในอา่ งเกบ็ น้ำในประเทศไทย. กรมทรพั ยากรนำ้ .
กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. 2557. การพัฒนาและบริหารจัดการด้านการประมง
น้ำจดื ของไทย. สำนักวิจยั และพฒั นาประมงน้ำจืด. กรมประมง. 90 หน้า.
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
172
กังวาลย์ จันทรโชติ. 2551. การจัดการประมงโดยชุมชน. สำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย.
กรุงเทพฯ. 86 หน้า.
คณะประมง. 2562. รายงานฉบับสมบูรณ์ แผนวิจัย เรื่อง การพัฒนานโยบายการจัดการประมง
อย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานระบบนิเวศสังคมภายใต้ธรรมาภิบาลที่ดีเพื่อความยั่งยืน
ทางการประมงในพื้นที่อ่าวไทยตอนใน. คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และ
สำนักงานพัฒนาการวจิ ัยการเกษตร (องค์การมหาชน).
คณะอนุกรรมการด้านที่ดินและน้ำ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ. 2547. นิเวศสามน้ำ.
สำนกั งานคณะกรรมการสทิ ธมิ นุษยชนแห่งชาติ. 198 หนา้ .
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์. 2548. ดินตะกอน. ภาควิชาชีววิทยาประมง คณะประมง
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ 146 หนา้ .
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์. 2552. รายงานผลการปฏิบัติงานโครงการติดตามผลการศึกษา
ขีดความสามารถในการรองรับการใช้ประโยชน์ด้านนันทนาการในอุทยานแห่งชาติ
(การศึกษาวิจัยระบบนิเวศทางน้ำและคุณภาพน้ำในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเอราวัณ จังหวัด
กาญจนบุรี และอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจงั หวัดเพชรบุรี). ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยาน
แห่งชาติที่ 1 กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พชื .
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์. 2557. กู้วิกฤตปลาทูด้วยฐานความรู้ของสังคมไทย. Agriculture @ Risk
เล่มที่ 2. สำนกั งานกองทนุ สนับสนุนการวิจยั . 22 หนา้ .
จารมุ าศ เมฆสัมพันธ.์ 2559. สายน้ำเพชร สายน้ำแห่งชวี ติ . คณะประมง มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์.
68 หนา้ . (ISBN 978-616-278-347-0)
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์. 2563. นิเวศอุทกวิทยาของอ่างเก็บน้ำเพื่อการบริหารจัดการเชิงอนุรักษ์.
คณะประมง มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร.์ 302 หนา้ . (ISBN 978-616-278-593-1)
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์. 2563. เส้นทางปลาทูอ่าวไทย ผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมทางน้ำ.
คณะประมง มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. 60 หนา้ . (ISBN 978-616-278-557-3)
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์. 2564. จากต้นน้ำถึงปากแม่น้ำ บทบาททางนิเวศอุกวิทยาและการจัดการ
เชิงอนุรักษ์. คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. 404 หน้า. (ISBN
978-616-278-606-8)
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ และเชษฐพงษ์ เมฆสัมพันธ์. 2553. การพัฒนาเกณฑ์คุณภาพน้ำและ
ดินตะกอนพื้นท้องน้ำเพื่อประเมินสถานการณ์ยูโทรฟิเคชันและมลภาวะทางน้ำ:
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
173
กรณีศึกษาระบบนิเวศแม่น้ำและปากแม่น้ำในพื้นที่แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำ
บางปะกง และแม่น้ำเวฬุ. วารสารวชิ าการวศิ วกรรมสง่ิ แวดลอ้ มไทย 24(1): 129-138.
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ เชษฐพงษ์ เมฆสัมพันธ์ และ แสงเทียน อัจจิมางกูร. 2554. การบูรณาการ
องค์ความรู้ทางนิเวศอุทกวิทยาเพื่อประเมินมูลค่าทางนิเวศวิทยาของระบบนิเวศ
ปากแม่น้ำและแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง: กรณีศึกษาปากแม่น้ำท่าจีน จังหวัด
สมทุ รสาคร. วารสารวิจัยเทคโนโลยกี ารประมง 5(1): 99-108.
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ ทวีป บุญวานิช สุชาดา บุญภักดี แสงเทียน อัจจิมางกูร และศันศนีย์
หวังวรลักษณ์. 2556. เส้นทางปลาทูไทย คุณค่า อนาคต และความเสี่ยง. ศูนย์วิจัยเพ่ือ
การพัฒนาชายฝัง่ คณะประมง มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์ 224 หนา้ .
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ พิชาศิษฐ์ แสงเมฆ วรรณศิริ ชื่นนิยม ภัทราวุธ ไทยพิชิตบูรพา และนิตยา
ฤทธิ์นิ่ม. 2552. รายงานฉบับสมบูรณ์ “โครงการศึกษากระทบจากการท่องเที่ยวต่อ
ทรพั ยากรทางน้ำ ในพ้นื ทอ่ี ุทยานแห่งชาตเิ อราวัณ จังหวดั กาญจนบรุ ี และอุทยานแหง่ ชาติ
แก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เพื่อประเมินขีดความสามารถในการรองรับการใช้ประโยชน์
ด้านนันทนาการในเขตอุทยาน”. กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตว์ปา่ และพนั ธ์ุพืช.
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ พิชาศิษฐ์ แสงเมฆ วรรณศิริ ชื่นนิยม ภัทราวุธ ไทยพิชิตบูรพา และนิตยา
ฤทธิ์นิ่ม. 2555. กระบวนทัศน์ด้านขีดความสามารถทางนิเวศวิทยาของแหล่งน้ำและ
การประยุกต์ใชค้ วามรเู้ พอื่ การบรหิ ารจัดการเชงิ อนุรักษ์: กรณศี ึกษาอทุ ยานแห่งชาตินำ้ ตก
เอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี. ใน บทคัดย่อการประชุมวิชาการ นเรศวรวิจัย ครั้งที่ 8
มหาวทิ ยาลยั นเรศวร จ.พิษณโุ ลก, 28-29 กรกฎาคม 2555.
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ พิชาศิษฐ์ แสงเมฆ วรรณศิริ ชื่นนิยม ภัทราวุธ ไทยพิชิตบูรพา นิตยา ฤทธิ์นิ่ม
และธรรมนูญ เต็มไชย. 2554. รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการติดตามผลการศึกษา
ขีดความสามารถในการรองรับการใช้ประโยชน์ด้านนันทนาการในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ
เอราวัณ (การศึกษาวิจัยระบบนิเวศและคุณภาพสิ่งแวดล้อมทางน้ำ). ศูนย์ศึกษาและวิจัย
อุทยานแห่งชาติที่ 1 กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ร่วมกับคณะประมง
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ ภัทราวุธ ไทยพิชิตบูรพา ณิศรา ถาวรโสตร์ พิชาศิษฐ์ แสงเมฆ และเชษฐพงษ์
เมฆสมั พนั ธ.์ 2556. การเปลย่ี นแปลงเชงิ พนื้ ทข่ี องปัจจยั ช้วี ัดมลภาวะทางนำ้ ในระบบนิเวศ
ลุ่มน้ำท่าจีน: ผลศึกษาติดตามระยะยาวในรอบ 9 ปี. ใน บทคัดย่อการประชุมวิชาการ
ประมง ครั้งท่ี 8 มหาวทิ ยาลัยแม่โจ้ จ.เชยี งใหม่, 4-6 ธันวาคม 2556.
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
174
จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ ภัทราวุธ ไทยพิชิตบูรพา พิชาศิษฐ์ แสงเมฆ นิตยา ฤทธิ์นิ่ม และธรรมนูญ
เต็มไชย. 2553. การบูรณาการองค์ความรู้ด้านนิเวศอุทกวิทยาเพื่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศ
ทางน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติ: กรณีศึกษาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี
และประจวบคีรีขันธ์ และอุทยานแห่งชาติเอราวัณเขตจังหวัดกาญจนบุรี. ใน เอกสาร
ประกอบการประชุมวิชาการ อุทยาน นันทนาการ และการท่องเที่ยว ครั้งที่ 2. คณะ
วนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์ วันท่ี 21-22 มกราคม 2553.
จารมุ าศ เมฆสัมพนั ธ์ แสงเทียน อัจจมิ างกูร เชษฐพงษ์ เมฆสัมพันธ์ อไุ รรตั น์ เนตรหาญ และจันทรา
ศรีสมวงศ์. 2555. บูรณาการความรู้นิเวศอุทกวิทยา ชีววิทยาประชากร และชุมชน
เพื่อพัฒนาการเลี้ยงหอยแครงอย่างมีประสิทธิภาพ: กรณีศึกษาอ่าวบางตะบูน จังหวัด
เพชรบุรี. ใน บทคัดยอ่ การประชมุ วิชาการประมง ครง้ั ท่ี 7 มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่,
6-8 ธันวาคม 2555.
จีรยา ม่วงสีงาม จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ และรภัชร์ เม่งช่วย. 2562. ผลกระทบของสภาวะความ
แห้งแล้งในระบบนิเวศอ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ต่อการเพิ่มปริมาณของสาหร่ายสีเขียว
แกมนำ้ เงินชนดิ ท่มี ีความเปน็ พษิ . วารสารวทิ ยาศาสตรบ์ รู พา ปที ่ี 24 (ฉบับที่ 3).
จุฑาทิพย์ ศรีโปฎก. 2555. วิถีสถานเมืองสามน้ำ. วิทยานิพนธ์สาขาวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์
คณะสถาปตั ยกรรมศาสตร.์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร.์ กรุงเทพฯ.
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2539. รายงานฉบับสมบูรณ์ “โครงการการทำแผนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ธรรมชาติ บริเวณดอนหอยหลอด จังหวัดสมุทรสงคราม”. สำนักบริการวิชาการ
จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. สำนักงานนโยบายและแผนส่งิ แวดล้อม. กระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและส่งิ แวดลอ้ ม. กรงุ เทพฯ.
จรัญ จันทลักขณา และผกาพรรณ สกุลมั่น. 2550. ภูมิปัญญาชาวบ้าน และ สำนวนไทยจากไร่นา.
พิมพ์ครั้งที่ 1. สาขาวิชาส่งเสริมการเกษตรและสหกรณ์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ISBN 978-974-8102-84-9. 280 หน้า.
ชัยยะ พึ่งโพธิ์สภ. 2550. การประยุกต์ใช้แบบจำลอง AISP เพ่ือบริหารและจัดการน้ำในโครงการ
ชลประทานแม่กลองใหญ.่ วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาโท. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์ กรุงเทพฯ.
ชาลี ครองศักดิ์ศิริ ปราโมทย์ โศจิศุภร และอนุกูล บูรณประทีปรัตน์. 2552. ระยะเวลาพำนัก
ของมวลสารอนุรักษ์ในอ่าวปากพนัง วารสารวทิ ยาศาสตรบ์ ูรพา 14(2). หนา้ 3-15.
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
175
ชยารัตน์ ตันธนะสฤษด์ิ. 2550. ความสัมพันธร์ ะหวา่ งปัจจัยส่ิงแวดล้อมและศักย์การผลติ หอยหลอด
(Solen spp.) บริเวณดอนหอยหลอด จังหวัดสมุทรสงคราม. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท.
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร.์
ณิฏฐารัตน์ ปภาวสิทธิ์. 2558. แหลมใหญ่ - สมุทรสงคราม: แหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลน.
บริษทั ปิโตรเลียมประเทศไทยจำกดั (มหาชน).
ดิเรก ฮุ่นตระกูล. 2531. การประเมินปัญหาและศักยภาพของดินเค็มในบริเวณลุ่มน้ำแม่กลอง.
วิทยานิพนธป์ รญิ ญาโท. มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ.
ดวงนภา วานิชสรรพ์. 2551. การศึกษาผลกระทบของน้ำท้ิงจากฟาร์มเลี้ยงสกุ รในเขตจังหวัดราชบุรี
ที่มีต่อคุณภาพน้ำและการบริหารจัดการน้ำ ในเขตฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแม่กลอง.
วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญาโท. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์ กรุงเทพฯ.
ทวนทอง จุฑาเกตุ. 2556. นิเวศวิทยาประชาคมแหล่งน้ำ: ข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล. สาขา
ประมง คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. ISBN 978-974-523-317-1.
270 หน้า.
ธีรพงษ์ ตั้งตรงหฤทัย. 2549. แบบจำลองทางคณิตศาสตร์สำหรับการกระจายความเค็มในแม่น้ำ
แม่กลอง. วิทยานพิ นธป์ ริญญาโท. มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์
ธวัชชัย นาอุดม อนุกูล บูรณประทีปรัตน์ กิตติยา หอมหวน และประสาร อินทเจริญ. 2556.
การเปลี่ยนแปลงเชิงเวลาและพื้นที่ของคุณภาพน้าทะเลบริเวณอ่าวไทยตอนบนใน
สองฤดกู าล ช่วงปี พ.ศ. 2552. วารสารวทิ ยาศาสตร์บูรพา 18: 32-42.
นัคเรศ สอนสุภาพ. 2550. การวิเคราะห์การแพร่กระจายและโครงสร้างประชาคมของสัตว์
พื้นท้องน้ำเพื่อประเมินความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อน
วชิราลงกรณ และอา่ งเกบ็ น้ำเข่ือนศรีนครินทร์ จงั หวัดกาญจนบรุ ี. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท.
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร.์
นัคเรศ สอนสุภาพ จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ และเชษฐพงษ์ เมฆสัมพันธ์. 2550. การศึกษาเปรียบเทยี บ
ชนิด ปริมาณและรูปแบบการแพร่กระจายของสัตว์พื้นท้องน้ำ เพื่อประเมินความ
อุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำ ในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณและอ่างเก็บน้ำเขื่อน
ศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี. ใน เรื่องเต็มการประชุมทางวิชาการครั้งที่ 45
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ (สาขาประมง). 30 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2550.
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
176
บุญส่ง ศรีเจริญธรรม และนฤพล สุขุมาสวิน. 2558. การวิจัยด้านการประมงน้ำจืดของประเทศไทย.
การวิเคราะห์ผลงานวิจัยเพื่อหาทิศทางการขับเคลื่อนงานวิจัยด้านการประมงน้ำจืด .
สถาบนั วิจัยและพัฒนาทรพั ยากรประมงนำ้ จืด กรมประมง.
บุณฑริกา ทองดอนพุ่ม. 2554. การพัฒนาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อการประเมิน
ขีดความสามารถในการรองรับมลพิษของระบบนิเวศปากแม่น้ำแม่กลอง. วิทยานิพนธ์
ปรญิ ญาเอก. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์ กรุงเทพฯ.
ประมุข ฤาแก้วมา. 2550. ชนิดและการแพร่กระจายของลูกปลาวัยอ่อนบริเวณปากแม่น้ำแม่กลอง
จงั หวดั สมุทรสงคราม. วิทยานิพนธป์ ริญญาโท. มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. กรงุ เทพฯ.
ปรวดี อัศวมานะศักดิ์ สันติ พ่วงเจริญ และจารุมาศ เมฆสัมพันธ์. 2562. ลักษณะทางสัณฐานวิทยา
และอุทกวิทยาเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรประมงในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนอุบลรัตน์.
ใน เรื่องเต็ม การประชุมวิชาการพะเยาวิจัย ครั้งที่ 8 มหาวิทยาลัยพะเยา จังหวัดพะเยา,
25 – 26 มกราคม 2562.
พัชรา เพ็ชร์พิรุณ กําพล ลอยชื่น และดาเรศ รุ่งสฤษศักดิ์. 2542. ปริมาณโลหะหนักในแม่น้ำ
แมก่ ลอง. เอกสารวิชาการฉบับที่ 17/2542. กองสิ่งแวดลอ้ มประมง. กรมประมง.
พิชาศิษฐ์ แสงเมฆ. 2550. บทบาทของสัณฐานวิทยาและนิเวศวิทยาบางประการของอ่างเก็บน้ำ
ที่มีต่อสถานภาพของดินพื้นท้องน้ำ: กรณีศึกษาอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ
และอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท.
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. กรงุ เทพฯ.
พิชาศิษฐ์ แสงเมฆ จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ และเชษฐพงษ์ เมฆสัมพันธ์. 2550. การประเมินความ
อุดมสมบูรณ์ของดินพื้นท้องน้ำ ในอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณและอ่างเก็บน้ำเขื่อน
ศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี. ใน เรื่องเต็มการประชุมทางวิชาการครั้งที่ 45
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ (สาขาประมง). 30 มกราคม – 2 กมุ ภาพันธ์ 2550.
พิทักษ์ ยุวานนท์. 2547. การระบายน้ำท้ายเขื่อนแม่กลองกับคุณภาพน้ำ. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท.
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. กรงุ เทพฯ.
พรพิมล กดทรัพย์. 2550. การประเมินศักย์การผลิตและสถานภาพความอุดมสมบูรณข์ องแหล่งน้ำ
จากการบูรณาการฐานข้อมูลแพลงก์ตอนพืชและพรรณไม้น้ำ: กรณีศึกษาในพื้นท่ี
อ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณและอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี.
วทิ ยานพิ นธป์ รญิ ญาโท. มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ.
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
177
พรพิมล กดทรัพย์ จารุมาศ เมฆสัมพันธ์ และเชษฐพงษ์ เมฆสัมพันธ์. 2550 การประเมินความ
อุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำจากฐานข้อมูลมวลชีวภาพของพรรณไม้น้ำ: กรณีศึกษาพื้นท่ี
อ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี. ใน เรื่องเต็มการประชุมทางวิชาการ
คร้ังที่ 45 มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ (สาขาประมง). 30 มกราคม – 2 กมุ ภาพนั ธ์ 2550.
พฤหัส จันทร์นวล. 2550. พลวัตของโลหะหนัก: กรณีศึกษาความสัมพันธร์ ะหว่างปริมาณโลหะหนกั
และคุณภาพดินตะกอนในแม่น้ำแม่กลอง. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท.
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์ กรุงเทพฯ.
มณฑิรา อรรคทิมากูล. 2559. ผลกระทบจากการจัดการน้ำที่มีต่ออาชีพผู้เลี้ยงหอยแครง ตำบล
คลองโคน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท.
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์ กรงุ เทพฯ.
รัชนีกรณ์ ศิริพรกิตติ. 2534. ประมาณสารอินทรีย์ในน้ำและดินตะกอนของลุ่มน้ำแม่กลอง.
วิทยานพิ นธป์ ริญญาโท. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร.์ กรุงเทพฯ.
ศิริพร บญุ ดาว. 2548.ความสัมพันธร์ ะหว่างชนิดและปริมาณของแพลงกต์ อนพชื กบั แพลงก์ตอนสัตว์
บริเวณปากแม่น้ำแม่กลอง. จังหวัดสมุทรสงคราม. วิทยานิ พนธ์ปริญญาโท.
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร.์ กรงุ เทพฯ.
ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 2 (จังหวัดสมุทรสาคร). 2552. แดนปลาทู ถิ่นหอย
หลอด วิถีแม่กลอง. สำนักอนุรักษท์ รัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเล
และชายฝง่ั . 160 หนา้ .
ศรีสุวรณ เกษมสวัสดิ์ ศิวพันธุ์ ชูอินทร์ และรชาดา บัวไพร. 2555. รายงานการวิจัย เรื่อง คุณภาพ
น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างยั่งยืน ในเขตพื้นที่อำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม.
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสนุ ันทา.
สันทนา ดวงสวัสดิ์ ชัยชนะ ชมเชย บุญเลิศ เกิดโกมุต และโสภณ์ นิยะโต. 2532. การศึกษาชนิด
การแพร่กระจาย และฤดูวางไข่ของปลาในแม่น้ำแม่กลอง. สถาบันประมงน้ำจืดแหงชาติ
กรมประมง. กรงุ เทพฯ. 29 หนา้ .
สิทธิ กุหลาบทอง. 2555. นิเวศวิทยาและแนวทางการบริหารจัดการแหล่งต้นน้ำ เพื่อการอนุรักษ์
ทรัพยากรประมงในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ พื้นที่ชุ่มน้ำแควใหญ่ตอนล่าง จังหวัด
กาญจนบรุ ี. วิทยานพิ นธป์ ริญญาโท. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ.
สุเจน กรรพฤทธิ์. 2555. เขื่อนไม่ใช่คำตอบสุดท้ายบทเรียนการจัดการน้ำ. สารคดี 28(33): 147-
165.
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
178
สุนันท์ ทวยเจริญ วัลลพ คุ้มสุภา และสุนิตย์ ปัทถาพงษ์. 2537. ปริมาณสารโลหะหนักตกค้าง
ในหอยหลอด ในน้ำทะเล และในดินตะกอนบริเวณแหล่งเลี้ยงตัวหอย จังหวัด
สมุทรสงคราม. เอกสารวิชาการ ฉบับที่ 2. ศูนย์พัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝ่ัง
สมุทรสาคร. กองเพาะเลยี้ งสัตว์นำ้ ชายฝง่ั กรมประมง. กรุงเทพฯ.
สุพิมาลย์ นาคสุวรรณ. 2535. องค์ประกอบชนิดและปริมาณของแพลงก์ตอนพืชตามชั้นคุณภาพ
ลุ่มน้ำบริเวณลุ่มน้ำแม่กลอง. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
กรงุ เทพฯ.
สุพตั ร อมรชยั โรจน์กุล และบญุ ส่ง ศรธี รรมเจริญ. 2540. สภาวะทรัพยากรประมงและผลจับสัตว์น้ำ
ในอ่างเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี. สถาบันวิจัยประมงน้ำจืด กรมประมง.
กรเุ ทพฯ.
สุรจิต ชิรเวทย์. 2555. เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนไม่เอาถ่าน (หิน). วารสารสังคมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั วลยั ลกั ษณ์ 5(5): 105-140.
สุรจิต ชิรเวทย์. 2557. คนแม่กลอง. พิมพ์ครั้งที่ 7. บริษัท ส.เอเซียเพรสจำกัด. กรุงเทพฯ. 232
หน้า.
สุวรรณี อยู่เต็มสุข. 2549. การศึกษาคุณภาพน้ำและสภาพด้านอุทกศาสตร์ตามแนวคันป้องกัน
น้ำเค็มจังหวัดสมุทรสงคราม.วิทยานิพนธ์ปริญญาโท. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
กรงุ เทพฯ.
ส่วนแหลง่ น้ำทะเล สำนักจัดการคุณภาพนำ้ กรมควบคุมมลพษิ . 2547. รายงานสถานการณค์ ุณภาพ
สิ่งแวดล้อมทางทะเล จังหวัดสมุทรสงคราม. กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงวิทยาศาสตร์และ
สิง่ แวดล้อม.
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. 2564. 22 ลุ่มน้ำในประเทศไทย และพระราชกฤษฎีกากำหนด
ลุ่มนำ้ พ.ศ. 2564. สำนักงานทรพั ยากรนำ้ แห่งชาติ.
สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม. 2539. โครงการ “การทําแผนการอนุรักษสิ่งแวดล้อม
ธรรมชาตบิ รเิ วณดอนหอยหลอดจังหวัดสมุทรสงคราม. สาํ นักบริการวชิ าการ, จฬุ าลงกรณ
มหาวิทยาลยั .
สํานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม. 2542. พื้นที่ชุ่มน้ำภาคกลางและภาคตะวันออก.
กระทรวงวิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยแี ละส่งิ แวดล้อม.
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
179
วิกันดา ชัยบุตร. 2541. การศึกษาปริมาณโลหะหนักบางชนิดในน้ำ ดินตะกอน และเนื้อเย่ือ
ส่วนต่างๆ ของปลาบางชนิดในแม่น้ำแม่กลอง. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท. มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร.์ กรุงเทพฯ.
วิโรจน์ สธนเสาวภาคย์. 2525. การศึกษาลักษณะของดินตามลำดับภูมิประเทศในบริเวณลุ่มน้ำ
แม่กลอง. วิทยานิพนธ์ปรญิ ญาโท. มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์. กรุงเทพฯ.
วอร์ด, ไดแอน เรนส์. สงครามน้ำ. 2556. ปัญญา ชีวิน ผู้แปล. สำนักพิมพ์มติชน. กรุงเทพมหานคร.
336 หนา้ . (ISBN 978-974-02-1223-2)
วราภรณ์ ทนงศักดิ์. 2547. การประเมินภาระมลพิษในลุ่มน้ำแม่กลอง. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท,
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ กรุงเทพฯ.
อัจฉรา มะโนจิตต์. 2559. ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่งชุมชนคลองโคน
อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม. วารสารชุมนุมสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา 1(1): 241-
262.
อัจฉราภรณ์ เป่ียมสมบูรณ์. 2552. การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและความชุกชุมของ
แพลงก์ตอนพืชที่อาจก่อให้เกิดอันตรายบริเวณชายฝั่งจังหวัดสมุทรสาคร-สมุทรสงคราม.
ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน กรมทรัพยากรทางทะเลและ
ชายฝั่ง.
อัจฉราภรณ์ เปี่ยมสมบูรณ์ และ ณิฐฐารัตน์ ปภาวสิทธิ์. 2546. ผลกระทบของการเกิดปรากฏการณ์
น้ำทะเลเปลี่ยนสี. การตรวจเฝ้าระวังการเกิดปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีในประเทศไทย.
สว่ นแหลง่ นำ้ ทะเล สำนกั จดั การคณุ ภาพนำ้ กรมควบคุมมลพษิ .
อารียา ฤทธิมา. 2549. การปฏิบัตงานระบบอ่างเก็บน้ำบนพื้นฐานความน่าเชื่อถือได้ของลุ่มน้ำ
แมก่ ลอง. วิทยานิพนธป์ ริญญาเอก. มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. กรงุ เทพฯ.
อำพร ศักดิ์เศรษฐ. 2544. การประเมินผลผลิตขั้นต้นเพื่อการจัดการทรัพยากรประมงในอ่างเก็บน้ำ
เขื่อนเขาแหลม จังหวัดกาญจนบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
กรงุ เทพฯ.
อนุชาติ พวงสำลี และธีรนงค์ สกุลศรี. 2550. บทเรียนชุมชนคนลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง. สำนักงาน
ประสานงานกลางเครือข่ายการวิจัยบูรณาการลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง. มหาวิทยาลัยมหิดล.
84 หนา้ .
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
180
อนุชาติ พวงสำลี สิทธฺพงษ์ ดิลกวณิช และฉัตรชัย ลือชาพงศ์ทิพย์. 2550. พลิกฟื้นท่าจีนแม่กลอง
สู่สังคมภูมิปัญญา. สำนักงานกลางเครือข่ายการวิจัยบูรณาการลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง.
คณะสิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์. มหาวทิ ยาลยั มหิดล. 74 หน้า.
อรพรรณ โลหะสาร. 2556. การใช้ประโยชน์ที่ดินบนพื้นที่หาดเลนงอกใหม่ในการเลี้ยงหอยแครง
ตำบลคลองโคน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท. มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร.์ กรุงเทพฯ.
Benke, A. C., T. C. Van Arsdall, Jr., D. M. Gillespie and F. K. Parish. 1984. Invertebrate
productivity in a subtropical blackwater river: The importance of habitat md
life history. Ecol. Monogr. 54(1): 25-63.
Bram, E. and W. Anthony. 1983. Cadmium and lead through an agricultural food chain.
Texas A. and M. Univ., Sci. Total Environ. 28: 295-307.
Chongprasith, P., Wiliratanadilok, W. and Utoomprurkporm, W. 1999. ASEAN marine
water quality criteria for phosphate. ASEAN-Canada CPMS-II Cooperative
Programme on Marine Science. Department of Pollution Control, Thailand
Dodds, W. K. 2002. Freshwater Ecology: Concepts and Environmental Applications.
Academic Press, UK. 829 pp.
Douglas, M. S. 1988. The Everglades, River of Grass. Pineapple Press. Sarasota, Florida
USA.
Horner, R. R., E. B. Welch, and Veenstra, R. B. 1983. Development of nuisance
periphytic algae in laboratory stream in relation to enrichment and velocity.
In R. G. Wetzel (ed.), Periphyton of Freshwater Ecosystem. Hydrobiol.17: 121-
134.
Horner, R. R., E. B. Welch., M. R. Seeley, and J. M. Jacoby. 1990. Response of
periphyton to changes in current velocity, suspended sediment and
phosphorus concentration. Freshwater Biol. 24: 215-232.
Hungspreugs, M. and C. Yuangthong. 1983. A history of metal pollution in the upper
Gulf of Thailand. Mar. Poll. Bull. 14: 465-469.
Mainstone, C. P., W. Parr. 2002. Phosphorus in rivers – ecology and management. Sci.
Total. Environ. 282-283: 25-47.
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
181
McGarrigle, M.L. 1993. Aspects of river eutrophication in Ireland. Ann. Limnol. 29: 355-
364.
Moss, B. 2010. Ecology of Freshwaters: A View for the Twenty-first Century. 4th Edition.
Wiley-Blackwell, UK. 470 pages.
OECD. 1982. Eutrophication of Waters: Monitoring, Assessment and Control. Organization
of Economic Co-operation and Development (OECD), Paris.
Poungcharean, S. 2006. Distribution and early-life development of Thai river sprat
Clupeichthys aesarnensis Wongratana larvae in Pasak Jolasid Reservoir, Lop
Buri Province, Thailand. Kasetsart J. (Nat. Sci.) 40(1): 188-195.
Sangmek, P. and C. Meksumpun. 2014. Influence of eco-hydrological factors on
aquatic plant succession in a regulated river: A case study of the Phetchburi
River, Thailand. Wat. Environ. J. 65(11): 1994-2002.
Sangmek, P. and C. Meksumpun. 2015 . Influence of Eco-hydrological Factors on
Aquatic Plant Succession in a Regulated River: A Case Study of the Petchburi
River, Thailand. Water and Environment Journal 29 (2): 243-251.
Sharply, A. N., S. C. Chapra, R. Wedwpohl, J. T. Sims, T. C. Daniel and K. R. Reddy.
1994. Managing agricultural phosphorus for protection of surface waters:
Issues and options. J. Environ. Qual. 23: 437-451.
Srisomwong, S., S. Meksumpun, S. Wangvoralak, N. Thawonsode, and C. Meksumpun.
2018. Production Potential of Tidal Flat for Blood Clam (Anadara granosa)
Culture in Bang-tabun Bay, Phetchaburi Province. Science Asia 44: 388-396.
Thaipichitburapa, P., Meksumpun C. and S. Meksumpun. 2010. Province-based Self-
Remediation Efficiency of the Tha Chin River Basin, Thailand. Water Science
and Technology 62(3): 594-602.
Thapanand, T., T. Jutagatee, P. Wongrat, T. Lekcholayut, C. Meksumpun, S.
Janekitkarn, A. Rodloi, J. Moreau and L. Wongrat. 2009. Trophic relationships
and ecosystem characteristics in a newly-impounded man-made lake in
Thailand. Fisheries Management and Ecology 16: 77–87.
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
182
Thongdonphum, B., S. Meksumpun, C. Meksumpun, B. Sawasdee and P. Kasemsiri.
2013. Predictive model for biochemical component of phytoplankton in the
river and estuarine systems of the Mae Klong River, Thailand. International
Journal of Environmental and Rural Development 4-1: 13-18.
Thongdonphum, B., Meksumpun S. and C. Meksumpun. 2011. Nutrient loads and their
impacts on chlorophyll a in the Mae Klong River and estuarine ecosystem:
An approach for nutrient criteria development. Water Science and
Technology 64(1): 178-188.
Vudhivanich, V., S. Ngernprasertsri, H. Sugiyama, H. Maita and M. Satoh. 1998. Existing
rules for operation of Srinagarind and Khao Laem reservoirs and their effects
on water management of Mae Klong irrigation system, pp. 16-37. In Proceeding
of the Workshop on Sustainable Development of Agricultural Infrastructure
and Organizational Management of Chao Phraya and Mae Klong Basins.
Kasetsart University, Bangkok, Thailand.
Ward, D. R. 2002. Water Wars: Drought, Flood, Folly and the Politics of Thirst.
Riverhead Book, Penguin Group (USA) Inc.
Wilson, T. D., D. Lisle, J. Schooler, S. D. Hodges, K. J. Klaaren, and S. J. LaFleur. 1993.
Introspecting about reasons can reduce post-choice satisfaction. Pers. Soc.
Psychol. Bull. 19: 331-339.
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
183
เกี่ยวกับผูเ้ ขียน
รองศาสตราจารย์ ดร. จารมุ าศ เมฆสัมพนั ธ์
ภาควิชาชีววิทยาประมง คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
การศึกษา จบการศึกษาระดับปริญญาตรี วท.บ.
(ป ร ะ ม ง ) (เ ก ี ยร ต ิ น ิ ย ม อ ั น ด ั บ 1) ค ณ ะ ป ร ะ ม ง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2530 และระดับ
ปริญญาโทและปริญญาเอก ในสาขา Environmental
Sciences จ า ก Kagawa University แ ล ะ Ehime
University ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2534 และ พ.ศ.
2537 ตามลำดับ
การทางาน รบั ราชการทค่ี ณะประมง มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ตั้งแตป่ ี พ.ศ. 2537
ปจั จุบันรับผิดชอบงานสอนในรายวิชาตา่ ง ๆ ดังนี้
ระดับปริญญาตรี วิชาหลักนเิ วศวทิ ยาและสิ่งแวดลอ้ มทางนำ้
ระดับปริญญาโท วิชากระบวนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์การประมง วิชาบทบาททางนิเวศ
อุทกวิทยาในระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด วิชานิเวศวิทยาดินตะกอนเชิงประยุกต์เพื่อการ
ประเมินสถานภาพพ้นื ทอ้ งนำ้ และวชิ าสมั มนา
ระดบั ปริญญาเอก วิชาภาพรวมของการประมงโลก วิชาการออกแบบงานวิจัยและสถิติ
ขั้นสูงทางการประมง วิชาการเปลี่ยนแปลงของโลกและผลกระทบเชิงฟังก์ชันต่อระบบนิเวศ
ทางน้ำ และวิชาสัมมนา
งานวิจัยและหนังสือ ดำเนินโครงการวิจัยมา 47 โครงการ มีผลงานตีพิมพ์รวม 204 เรื่อง;
ในวารสารระดับนานาชาติ 47 เรื่อง ในเอกสารการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ 49 เรื่อง
ในเอกสารการประชุมวิชาการระดับประเทศ 67 เรื่อง ตีพิมพ์ในวารสารระดับประเทศ 12 เรื่อง
เขียนบทความทางวิชาการ 19 เรื่อง เขียนตำราและหนังสือ 10 เล่ม (อาทิ ตำรา: ดินตะกอน
หนังสือ: กู้วิกฤตปลาทูด้วยฐานความรู้ของสังคมไทย, เส้นทางปลาทูอ่าวไทย ผลกระทบจากปัญหา
สิ่งแวดล้อมทางน้ำ, จากต้นน้ำถึงปากแม่น้ำ บทบาททางนิเวศอุกวิทยาและการจัดการเชิงอนุรักษ์,
นเิ วศอุทกวทิ ยาของอา่ งเก็บน้ำเพ่อื การบรหิ ารจดั การเชิงอนรุ กั ษ์ )
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
184
โครงการวิจัยในพ้นื ท่ีล่มุ น้าแมก่ ลองที่ได้ดาเนินการมา
❖ แผนวิจัยการพัฒนาศักย์การผลิตทรัพยากรประมงของดอนหอยหลอดและการพัฒนา
ศักยภาพในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรแม่น้ำแม่กลอง (แหล่งทุน-สำนักงานคณะกรรมการวิจัย
แหง่ ชาติ พ.ศ. 2548 − 2550)
❖ แผนวิจัยทรัพยากรประมง ระบบนิเวศ และการจัดการประมง อ่างเก็บน้ำเขื่อน
วชิราลงกรณ และเขื่อนศรีนครินทร์ จังหวัดกาญจนบุรี (แหล่งทุน-สำนักงานคณะกรรมการ
วจิ ัยแหง่ ชาติ พ.ศ. 2549 − 2550)
❖ แผนวิจัยผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศอุทกวิทยาต่อศักย์การผลิตทรัพยากร
หอยแครงในพื้นที่อ่าวบางตะบูน จังหวัดเพชรบุรี (แหล่งทุน-สำนักงานคณะกรรมการ
วิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2554 − 2555)
❖ โครงการสังเคราะห์ทิศทางงานวิจัยเพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของ
ทรัพยากรปลาทูในอ่าวไทย (แหลง่ ทนุ -สำนกั งานกองทนุ สนับสนนุ การวจิ ัย พ.ศ. 2554 − 2555)
❖ ชุดโครงการวิจัย การพัฒนานโยบายการจัดการประมงอย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐาน
ระบบนิเวศ-สังคมภายใต้ธรรมาภิบาลที่ดีเพื่อความยั่งยืนทางการประมงในพื้นท่ี
อ่าวไทยตอนใน (แหลง่ ทุน-สำนกั งานพฒั นาการวิจัยการเกษตร พ.ศ. 2560 − 2562)
❖ ชุดโครงการวิจัย สถานภาพและการตอบสนองต่อปัจจัยแวดล้อมของผลผลิตพื้นฐาน
ในห่วงโซ่อาหารทางน้ำของระบบนิเวศอ่าวไทยตอนใน (แหล่งทุน-สำนักงานพัฒนาการวิจัย
การเกษตร พ.ศ. 2560 − 2562)
❖ โครงการวิจัยบูรณาการฐานข้อมูลและองค์ความรู้ปัจจุบันด้านสถานการณ์และปัญหา
ของทรัพยากรปลาทูในอ่าวไทย เพื่อการบริหารจัดการประมงอย่างยั่งยืน (แหล่งทุน-
ฝา่ ยพฒั นาความย่ังยนื เครือเจรญิ โภคภัณฑ์ พ.ศ. 2561 – 2562)
………………………………………………………………………………………………………………………….......................................………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
185
นบั เป็นเรื่องสำคญั ท่นี กั วทิ ยำศำสตร์ นกั วชิ ำกำร กลุม่ ทที่ ำงำน
เพอ่ื สงิ่ แวดลอ้ ม และสำธำรณชน ต้องทำงำนเชอื่ มโยงกนั มนั ยงั ไมส่ ำยเกินไป
เรำควรทำงำน เพอ่ื ให้นกั กำรเมอื ง ผูบ้ ริหำร หรือ ผูม้ บี ทบำทในกำรบริหำรจดั กำร
ได้มองเหน็ และรู้ ว่ำ นำ้ มคี วำมสำคญั ต่อผูค้ น มำกเพยี งใด
และเรำควรพยำยำมสร้ำงสรรค์ ให้ภำคสว่ นทเ่ี กี่ยวขอ้ ง
ได้หนั มำสนใจปั ญหำ ในมุมทก่ี ว้ำงมำกข้นึ
WATER WARS Drought, Flood, Folly, and the Politics of Thirst
Diane Raines Ward (2002)
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
186