ส่งเสริมการพัฒนาใด ๆ ที่จะเป็นการทำลายระบบนิเวศปากแม่น้ำ หรือไปส่งเสริม
ให้ผู้คนต้องออกไปทำประมงในท่ีห่างไกลออกไปโดยใช่เหตุ เราควรใช้ศักยภาพของ
พื้นที่ปากแม่น้ำที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด โดยใช้ประโยชน์อย่างอนุรักษ์ ฟื้นฟู ดูแล และมี
ความพอเหมาะพอเพียง โดยสอดคล้องกับลกั ษณะธรรมชาติของแต่ละบริเวณทีม่ ีน้ัน ๆ
คุณค่าของระบบนิเวศสามน้าในล่มุ น้าแมก่ ลอง
สายน้ำแม่กลอง มีลักษณะเป็นแม่น้ำสายใหญ่ ซึ่งตอนปลายได้ไหลลัดเลาะลง
มาตามพื้นที่ราบของจังหวัดสมุทรสงคราม โดยมีคูคลองตามธรรมชาติหลายสาย ท่ี
เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายอย่างกว้างขวาง จังหวัดสมุทรสงคราม จึงเป็นจังหวัดที่
อุดมสมบรู ณ์ มแี ม่น้ำลำคลองเปน็ จำนวนมากกว่า 300 สาย
ลำคลองเหล่านี้ เป็นเส้นทางสัญจรที่สำคัญตั้งแต่อดีต ตราบจนถึงปัจจุบัน
ถึงแม้มีการจัดสร้างถนนหนทางมากขึ้น ในพื้นที่บ้านที่อยู่ลึกเข้าไป ยังอาศัยคูคลองเปน็
เส้นทางสัญจรมาอย่างต่อเนื่อง ประโยชน์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของคูคลองที่มีอยู่ ก็คือ
การช่วยผันน้ำเข้าสู่ท้องร่องสวนในพื้นที่ภายในเขตจังหวัด ซึ่งเป็นการช่วยในการ
กระจายมวลน้ำ และเอื้อประโยชน์ต่อการผลิตพืชผลทางการเกษตรมาอย่างต่อเนื่อง
คูคลองอีกหลาย ๆ แห่ง ยังช่วยผันน้ำไปสู่พื้นที่จังหวัดใกล้เคียง (อาทิ คลองดำเนิน
สะดวก ทชี่ ว่ ยผันน้ำจากแม่น้ำแม่กลองไปสพู่ ้นื ทีอ่ ำเภอบา้ นแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร) ได้
อกี ด้วย
จังหวดั สมทุ รสงคราม ได้ช่ือว่า เป็น “เมืองสามนำ้ ” (สุรจิต 2557) กล่าวคือ การ
เป็นเมืองที่ประกอบด้วยพื้นที่ทั้ง น้ำจืด น้ำกร่อย และ น้ำเค็ม มาอยู่รวมกัน ซึ่งระดบั
น้ำที่ขึ้นลงในพื้นที่ ได้รับอิทธิพลตามจังหวะการโคจรของโลก และดวงจันทร์ ลักษณะ
ดังกล่าว จึงมีบทบาทเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านเรือน หรือ
การประกอบอาชีพ เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของพื้นที่ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลง
ของมวลนำ้ ตามธรรมชาตทิ ี่เกิดข้ึน
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
43
ทางตอนเหนือของจังหวัดสมุทรสงคราม ในแถบอำเภอบางคนที จัดเป็น “พื้นท่ี
น้ำจืด” ส่วนในเขตอำเภออัมพวา และอำเภอเมืองสมุทรสงครามทางตอนบน ได้รับ
อิทธิพลจากน้ำทะเล จึงมีสภาพเป็น “พื้นที่น้ำกร่อย” หรือที่เรียกว่า ลักจืดลักเค็ม
และสำหรับในเขตพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสงครามตอนล่าง ใกล้ปากแม่น้ำ รวมทั้ง
แถบชุมชนยี่สาร และบ้านคลองโคน ได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเลอย่างชัดเจน จึงจัดเป็น
“พน้ื ท่นี ำ้ เคม็ ”
ลักษณะของพื้นที่ที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การประกอบอาชีพของผู้คนท้องถิ่น จึง
ขึ้นอยู่กับสภาวะของน้ำเป็นหลัก (ภาพที่ 2-6) โดยในพื้นที่น้ำเค็ม อาชีพหลักก็จะเป็น
การทำประมง ทำนากุ้ง และนาเกลือ ส่วนในพื้นที่เขตน้ำกร่อยและน้ำจืด อาชีพหลักก็
จะเปน็ การทำสวนผลไม้ จำพวกสวนมะพร้าว สม้ โอ ลิน้ จ่ี ฯลฯ
ผู้คนในพื้นที่ต่างเรียนรู้ และเข้าใจในระบบธรรมชาติ และใช้ภูมิปัญญาที่สั่งสม
สืบทอดต่อกันมาเพื่อยังประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพ อาทิ ชาวสวนผลไม้ใช้วิธี
ยกร่องสวน ให้ต้นไม้อยู่เหนือน้ำ ขณะเดียวกันก็ได้แร่ธาตุและสารอาหารต่าง ๆ ที่ไหล
มากับแม่น้ำในรูปแบบของดินตะกอน ซึ่งช่วยเพิ่มตะกอนใหม่สู่พื้นที่ในทุก ๆ ปี และ
ดินตะกอนเหล่านั้น จะไหลรวมกันไปยังบริเวณปากแม่น้ำ กลายเป็นอาหารธรรมชาติ
และอินทรีย์สารที่ก่อประโยชน์ต่อสัตว์ทะเล ขณะที่แรงหนุนของน้ำทะเลจากด้านล่าง
ก็ช่วยให้น้ำในร่องสวนไม่เน่าเสีย เพราะส่งผลให้น้ำเกิดการเคลื่อนที่หมุนเวียน
ได้เปน็ ประจำ
ระบบนิเวศสามน้ำของพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งเป็นเขตของลุ่มน้ำ
แม่กลองตอนล่างนี้ หากประเมินในเชิงมูลค่าทางนิเวศวิทยา และมูลค่าทาง
เศรษฐศาสตร์ ที่ก่อให้เกิดผลทั้งทางตรง (ในเชิงผลผลิตทางการเกษตร การประมง
ฯลฯ) และทางอ้อม (ในเชิงคุณภาพชีวิต การพัฒนาการท่องเที่ยว ตลอดจนการ
พัฒนาภาคส่วนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ) ในทั้งหมดทั้งมวลแล้ว เราจะพบว่า
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
44
ลุ่มน้ำแม่กลองตอนล่างนี้ นับเป็นบริเวณที่ยังคุณค่าอย่างมหาศาลต่อชุมชนในพื้นท่ี
ตลอดจนสงั คมและเศรษฐกจิ ในเชิงมหภาคของประเทศไทย
ภาพที่ 2-6 ลักษณะการใช้ประโยชนจ์ ากระบบนเิ วศที่มีความหลากหลาย
ท่พี บในพืน้ ทีล่ มุ่ น้ำแม่กลองตอนลา่ ง
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
45
ภาพท่ี 2-7 ลักษณะการเก็บเก่ยี วผลผลิตหอยแครงจากการเพาะเลี้ยงในพืน้ ท่ปี ากแมน่ ำ้
ซง่ึ สะท้อนความอุดมสมบูรณข์ องระบบนิเวศลุ่มนำ้ แมก่ ลองทีเ่ ป็นเขตนำ้ กร่อย
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
46
นอกจากนี้ หากเราพิจารณาอย่างถ่องแท้ จะพบว่าคุณค่าของระบบนิเวศ
สามน้ำนั้น นอกจากจะครอบคลุมไปถึงบทบาทของตัวระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม
ในพื้นที่ ในการยังผลผลิตทรัพยากรอย่างอุดมสมบูรณ์ ในเขตพื้นที่แม่น้ำจนถึงพื้นที่
ปากแมน่ ำ้ (ภาพที่ 2-7) ระบบนเิ วศสามน้ำทเ่ี รามี ยังมีบทบาทเชอ่ื มโยงไปสู่เสถียรภาพ
ในการผลิตทรัพยากรสัตว์น้ำของพื้นที่ในเขตทะเล โดยเฉพาะพื้นที่ในเขตอ่าวไทยตอน
ใน (จารุมาศ 2563) ซึ่งเป็นบริเวณแหล่งทรัพยากรทางทะเลที่อดุ มสมบูรณ์ และมีความ
เชื่อมโยงกับระบบนิเวศสามน้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นประเด็นที่ทุกภาคส่วน
ควรคำนงึ ถงึ ความสำคญั ดงั กลา่ วอยเู่ สมอ
2.3) ทรัพยากร และการเปลี่ยนแปลงในแหล่งน้า
ผลผลิตทรัพยากรมีชีวิตจากสายน้าแมก่ ลอง
ในลุ่มน้ำแม่กลอง มีทรัพยากรสิ่งมีชีวิตทางน้ำที่โดดเด่น และมีคุณค่าอยู่
มากมาย ผลการศึกษาด้านชนิดและปริมาณแพลงก์ตอนพืชในพื้นที่สายน้ำแม่กลอง
ในช่วงปี พ.ศ. 2548 – 2551 ตั้งแต่ตอนบนที่เป็นบริเวณของแม่น้ำแควน้อย จังหวัด
กาญจนบุรี ลงมาตามเสน้ ทางจนถึงพ้ืนทีจ่ ังหวัดราชบรุ ี และสมทุ รสงครามซึ่งครอบคลุม
จนถึงเขตปากแม่น้ำ พบชนิดของ “แพลงก์ตอนพืช” ที่หลากหลาย รวม 62 ชนิด
(บุณฑริกา 2554) โดยมีสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (Trichodesmium) ซึ่งเป็น
แพลงก์ตอนพชื กลุ่มเดน่ ท่ีสามารถพบแพร่กระจายไดท้ ่ัวไปในพน้ื ทีแ่ ม่นำ้ แม่กลอง
ในการศกึ ษานพ้ี บว่า ปรมิ าณแพลงก์ตอนพชื ในเขตแมน่ ้ำแม่กลองตอนบน มคี ่า
ในชว่ ง 125 – 25,850 หน่วยตอ่ ลติ ร โดยส่วนใหญเ่ ปน็ สาหรา่ ยสเี ขยี วแกมน้ำเงนิ (40.7
%) และไดอะตอม (40.3 %) ส่วนในเขตแม่น้ำแม่กลองตอนกลาง มีค่าในช่วง 350 –
13,900 หน่วยต่อลิตร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน (45.4 %) และ
สาหร่ายสีเขียว (26.8 %) ขณะท่ีในเขตแม่น้ำแม่กลองตอนล่าง ซึ่งเป็นพื้นที่น้ำกร่อย
มคี า่ ในชว่ ง 200 – 186,400 หนว่ ยต่อลติ ร ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นกลุม่ ไดอะตอม (91.1 %)
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
47
ผลการศึกษาในภาพรวมยังสะท้อนให้เห็นว่า ปริมาณของแพลงก์ตอนพืชท่ี
ปรากฏนั้น มีการเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงฤดูกาล และมักจะมีค่าสูงสุดในช่วงฤดูแล้งที่มี
ปริมาณน้ำต้นทุนลดต่ำลง นอกจากนี้ ยังพบว่าปัจจัยด้านปริมาณธาตุอาหาร ที่เพิ่ม
สูงขึ้นในแต่ละบริเวณ (โดยฉพาะในเขตตอนล่างของพื้นที่ลุ่มน้ำ) มีบทบาทต่อ
การเพ่มิ ขนึ้ ของปริมาณแพลงก์ตอนพืชในแมน่ ำ้ ได้
สำหรับการศึกษาด้าน “ประชากรปลา” พบว่าแม่น้ำแม่กลองทางตอนลาง
ตง้ั แต่อําเภออัมพวา จนถึงอําเภอเมอื ง จงั หวัดสมุทรสงคราม พบปลาประมาณ 25 ชนิด
(สันทนาและคณะ 2532) ซึ่งมีทั้งปลาน้ำจืด และปลาน้ำกร่อย โดยชนิดปลาที่พบได้
ทั่วไป ได้แก่ ปลาตะเพียนขาว ปลากดเหลือง ปลาดุกดาน ปลาดุกอุย ปลาไหล ปลา
หมอไทย และปลาชอน สวนปลาที่พบเฉพาะบางแห่ง ได้แก่ ปลาไสตัน ปลากระตักขาว
ปลาแมว ปลาตะกรับ ปลาจวด ปลาอุก ปลาดอกหมาก ปลาเขือ ปลาอีกง และปลา
ดุกทะเล (ปลากลุ่มหลังนี้ เปนปลาน้ำกร่อย ท่ีสามารถเข้ามาอาศัยอยูในแม่น้ำแม่กลอง
ได้ เน่ืองจากมนี ำ้ ทะเลไหลเวยี นเข้ามาเป็นระยะ ๆ)
ในการศกึ ษาระยะตอ่ มา ยงั ได้พบว่าแม่นำ้ แม่กลองในเขตจงั หวดั สมุทรสงคราม
มีความอุดมสมบูรณ์สูงมาก โดยพบพันธุ์ปลาถึง 37 ชนิด (สำนักนโยบายและแผน
สิ่งแวดล้อม 2539) นอกจากนี้ การสำรวจลูกปลาวัยอ่อนในพื้นที่ปากแม่น้ำแม่กลอง
ในช่วงปี พ.ศ. 2547 – 2548 พบการกระจายของลูกปลาวัยอ่อน 19 ครอบครัว โดย
เป็นกลุ่มปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจถึง 10 ครอบครัว (ประมุข 2550) ซึ่งกลุ่ม
ลูกปลาที่พบมากที่สุด คือ ลูกปลาบู่ (59 %) และรองลงมา คือ ลูกปลาหลังเขียว (37
%) นอกจากนี้ ยังพบลูกปลาเศรษฐกิจอื่น ๆ อาทิ ลูกปลาแป้น ลูกปลาสีกุน ลูกปลา
ข้างลาย ลูกปลาจวด ลูกปลากุเราสี่เส้น และลูกปลาเห็ดโคน กระจายอยู่ทั่วไปในพื้นท่ี
อกี ดว้ ย
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
48
ความหลากหลายทางชนิดของปลาวัยอ่อนในพื้นที่ปากแม่น้ำแม่กลองดังกล่าว
สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศปากแม่น้ำได้เป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อเราพิจารณา
ถึงความชุกชุมที่มีตามรายเดือน จะพบว่าในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ช่วงเดือน
มกราคม พ.ศ. 2548) สามารถพบความชุกชุมของปลาวัยอ่อนในพื้นที่ปากแม่น้ำ
ภาพรวมมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (ประมาณ 12 ตัวต่อลูกบาศก์เมตร) โดยในช่วงเวลาดังกล่าว
ในบางบริเวณสามารถพบความชุกชุมของปลาวัยอ่อนสูงสุด ถึงประมาณ 84 ตัว
ต่อลูกบาศกเ์ มตร
สำหรับการสำรวจพรรณปลาของลุ่มน้ำแม่กลอง ที่อยู่ในเขตจังหวัดกาญจนบุรี
มีรายงานการศึกษาในพื้นที่ชุ่มน้ำแควใหญ่ตอนล่าง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ
ในช่วงปี พ.ศ. 2555 ซึ่งพบพรรณปลารวมทั้งหมด 30 ชนิด (สิทธิ 2557) โดยมีปลา
กลุ่มหลักในวงศ์ปลาตะเพียน (อาทิ ปลาตะเพียนน้ำตก ปลาซิวใบไผ่ ปลาหนามหลัง
ปลาพลวง และปลาสร้อยนกเขา) รองลงมา คือ วงศ์ปลาแขยง (อาทิ ปลาแขยงเขา
ปลาแขยงหนิ และปลากดเหลอื ง)
ซึ่งเมื่อพิจารณาในภาพรวมของพื้นที่ชุ่มน้ำแควใหญ่ตอนล่าง จะพบว่า
ปลาหนามหลังและปลาสร้อยนกเขา มีการกระจายในพื้นที่โดยรวมได้มากที่สุด
ส่วนพันธุ์ปลาบางชนิด (อาทิ ปลาค้อ ปลาดัก ปลาแขยงเขา และปลาน้ำหมึก) (ภาพท่ี
2-8) สามารถพบได้เฉพาะถ่ินในแหล่งต้นน้ำลำธารเท่านั้น
ผลการศึกษาพรรณปลาในพื้นที่ชุ่มน้ำแควใหญ่ตอนล่าง ได้สะท้อนให้เห็น
ถึงความจำเป็นในการอนุรักษ์ดูแลพื้นที่เปราะบาง ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร
ตามธรรมชาติ ท่ยี ังคงความอดุ มสมบรู ณ์ นอกจากนี้ ยงั สะท้อนถึงปัญหาทางนิเวศวิทยา
ของแหล่งน้ำ ที่พบความเสื่อมโทรมลงในบางพื้นที่ (อาทิ ห้วยสลักพระ และห้วยลำอีซู
ตอนปลาย) ซึ่งจำเป็นต้องเร่งรัดในการแก้ไขปัญหา (โดยเฉพาะปัญหาการสะสม
ของตะกอนอินทรียส์ ารท่มี ากเกนิ ควร บริเวณในลำหว้ ยและตอนหน้าของฝายกน้ั นำ้ )
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
49
ภาพท่ี 2-8 พนั ธุป์ ลาที่พบได้เฉพาะถิ่น ในแหล่งต้นน้ำลำธารของล่มุ น้ำแมก่ ลอง
(ภาพบนซา้ ย; ปลาค้อ Nemacheilus masyae, ภาพบนขวา; ปลาดกั Amblyceps
mangois, ภาพล่างซ้าย; ปลาแขยงเขา Batasio tigrinus, และภาพลา่ งขวา;
ปลาน้ำหมึก Opasarius bernatziki) (ภาพโดย: ดร.สันติ พ่วงเจริญ)
ในการนี้ ได้มีข้อเสนอแนะให้ทางภาครัฐ เพื่อเร่งหาทางปรับปรุงรูปแบบของ
ฝายกั้นน้ำให้เหมาะสมขึ้น โดยควรให้สามารถระบายตะกอนที่ทับถมอยู่ ออกไปในช่วง
หน้าน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เนื่องจากปัญหาดังกล่าว มีบทบาทสำคัญต่อการ
เปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศต้นน้ำลำธาร ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรสัตว์น้ำ
ทอ่ี าศัยอยไู่ ดอ้ ยา่ งชัดเจน
ปั จจัยที่มบี ทบาทต่อการเปล่ียนแปลงของทรพั ยากร
ทรัพยากรสัตว์น้ำในระบบนิเวศเม่น้ำ สามารถกระจายพันธุ์ในพื้นที่กว้างข้ึน
และทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากรเพิ่มขึ้นมาได้ ด้วยธรรมชาติของ
ปรากฏการณ์ท่วมหลากของมวลน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นได้ในระบบนิเวศลุ่มน้ำในพื้นท่ีราบต่ำ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
50
โดยมักพบในช่วงต้นฤดูฝนถึงกลางฤดูฝน ซึ่งจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อ
ระบบนเิ วศแมน่ ้ำในวงกวา้ งได้
ในระบบนิเวศแม่น้ำของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลางที่
ประกอบด้วยกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา และกลุ่มลุ่มน้ำฝั่งตะวันตก (อาทิ ลุ่มน้ำแม่กลอง
และลุ่มน้ำเพชรบุรี) นับเป็นบริเวณท่ีจะเกิดปรากฏการณ์ท่วมหลากของมวลน้ำได้ง่าย
และก่อให้เกิดการพัดพาของตะกอนอินทรีย์สาร ลงมาสู่พื้นที่ปากแม่น้ำในปริมาณ
มหาศาล
ในพื้นที่แม่น้ำ ปริมาณการไหลของน้ำท่ีมีการผันแปรที่สูง จะส่งผลให้สิ่งมีชีวิต
ที่อาศัยอยู่เกิดการปรับตัวได้ดี โดยเฉพาะในพฤติกรรมด้านการกินอาหาร การ
เจริญเติบโต และการขยายพันธุ์ และปริมาณการไหล มักจะเป็นปัจจัยที่มีบทบาทต่อ
ทรัพยากรปลาในแม่น้ำ ได้อย่างชัดเจนมากกว่าปัจจัยด้านอื่น ๆ (อาทิ การแข่งขัน การ
ถูกล่า หรือแหล่งอาหาร ฯลฯ) “การท่วมหลากของมวลน้ำ” ที่เป็นการเพิ่มปริมาณ
การไหลของน้ำในระบบนิเวศแม่น้ำ ยังเป็นการกระตุ้นหรือเป็นสัญญาณทางธรรมชาติ
ที่ทำให้เกิดการผสมพันธุ์และวางไข่ของปลาได้หลากหลายชนิด (อาทิ ปลาสร้อยขาว
ปลาตะเพียน ปลากระมัง) ซึ่งส่งผลให้เกิดการกระจายทางทั้งทางชนิด และปริมาณ
ของทรัพยากรสัตว์น้ำให้กิดอย่างอุดมสมบูรณ์ และกระจายไปครอบคลุมสู่พื้นที่
ลำนำ้ ยอ่ ยของลุ่มน้ำ
เมื่อพิจารณาในทางตรงข้าม หากระบบนิเวศแม่น้ำได้เกิดสภาวะความแล้ง ที่
ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำลดระดับลงมาก ซึ่งน้ำไม่สามารถกระจายไปสู่พื้นที่โดยรอบ
รวมทั้ง ในกรณีที่เกิดผลกระทบจากการสร้างสิ่งกีดขวางลำน้ำ หรือการทำกำแพง
คอนกรีตที่สูง กันขอบตลิ่งโดยรอบ อย่างที่เห็นได้มากขึ้นในปัจจุบัน (ภาพที่ 2-9)
ลักษณะดังกล่าว นับเป็นการตัดทอนโอกาส ในการขยายพันธุ์ของปลาที่มีในแหล่งน้ำ
ธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำลำคลอง ในด้านท่ีจะเป็นแหล่งผลิต
อาหารโปรตีนทมี่ คี ณุ ค่าให้แก่มนุษยเ์ รานน้ั เกิดการเส่ือมโทรมลงไปเป็นลำดับ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
51
ภาพที่ 2-9 ลักษณะการสรา้ งสิ่งกีดขวางทางนำ้ และการทำกำแพงกันขอบตลงิ่
ซ่ึงทำให้เกดิ ผลกระทบระบบนเิ วศและทรพั ยากรสตั ว์น้ำ
นอกจากนี้ หากพื้นท่ีแม่น้ำมีปริมาณการไหลน้อยลงมาก (ซึ่งอาจเกิดจาก
สภาวะความแห้งแล้งตามธรรมชาติ หรือจากการจดั สรรนำ้ ไปใช้ เพ่อื การอปุ โภคบริโภค
ที่ขาดการคำนึงถึงการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ) พื้นที่แม่น้ำจะเกิดสภาวะของการ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
52
แห้งขอด ซึ่งจะทำให้ระดับของอุณหภูมิน้ำ รวมทั้งความเข้มข้นของแร่ธาตุอาหารในน้ำ
เพิ่มสูงข้ึนได้อย่างเด่นชัด ในสภาวะดังกล่าว เรามักจะพบการเพิ่มจำนวนพรรณไม้น้ำ
อย่างหนาแน่น ในขณะที่สิ่งมีชีวิตทางน้ำหลายชนิด จะอยู่ในสภาวะความตึงเครียด
เนื่องจากปัญหาคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมลง ตลอดจนปัญหาการถูกจำกัดอยู่ในที่แคบลง
ซงึ่ เกดิ สภาวะการแก่งแยง่ ท่ีมากข้ึน และเกิดการถกู ล่าได้ง่ายขนึ้
สภาวการณ์ที่ระบบนิเวศแม่น้ำเกิดความเสื่อมโทรมลงเช่นนี้ มักสะท้อนให้เหน็
ภาพของการเกิด “ชนิดเด่น” ของสิ่งมีชีวิตขึ้นมา สิ่งมีชีวิตเหล่านั้น มักจะเป็นชนิดท่ี
ปรับตัวได้ดี ทนทานสูง หรือมีวงชีวิตสั้น และสามารถเพิ่มปริมาณขึ้นมาได้ง่าย (อาทิ
สัตว์หน้าดินพวกหนอนแดง ที่พบในที่ตื้นที่มีซากอินทรีย์สารทับถมอยู่มาก) ใน
ขณะเดียวกัน หากเราพิจารณาถึง “ความหลากหลายทางชนิด” ก็มักจะพบว่า ระบบ
นิเวศมีความหลากหลายทางชนิดลดต่ำลง เนื่องจากสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมทั้งทรัพยากร
สตั วน์ ำ้ ท่เี คยมี ได้ลดจำนวนลงไปอยา่ งมาก
ในระบบแม่น้ำ “ความเร็วของน้ำ” ยังเป็นปัจจัยที่ยอมรับกันว่ามีบทบาท
สำคัญที่สุดต่อสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่เป็นผู้ผลิตอาหารในแหล่งน้ำ (อาทิ สาหร่ายที่ยึด
เกาะตามพื้นผิววัสดุต่าง ๆ) ความเร็วของน้ำท่ีพอเหมาะ จะทำให้สาหร่ายถูกกัดเซาะ
และหลุดลอยออกไปได้ ความเร็วของน้ำยังมีบทบาทต่ออัตราการดูดซับแร่ธาตุอาหาร
โดยสาหร่ายทีข่ ึ้นในพื้นท่ีแมน่ ้ำ โดยพบว่าความเร็วน้ำประมาณ 15 เซนติเมตรต่อวินาที
จะส่งผลให้สาหร่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะพวกที่เป็นเส้นสาย สามารถดูดซับเอาแร่ธาตุ
อาหารจากน้ำได้ดีที่สุด ด้วยเหตุดังกล่าว สาหร่ายที่เป็นเส้นสายจึงมักไม่พบในพื้นท่ี
น้ำแรง หรือในบริเวณตอนต้นของแม่น้ำลำธาร แต่มักพบในเขตที่น้ำเบาลง ในขณะที่
สาหร่ายพวกที่มีเมือกเคลือบ ซึ่งสามารถยึดติดกับผิววัตถุได้ดี (อาทิ ไดอะตอม) ก็จะ
สามารถต้านทานต่อแรงน้ำได้มากกว่า และเจริญเติบโตในบริเวณที่น้ำไหลค่อนข้างแรง
ไดด้ ีกว่า
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
53
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงในอัตราการไหล ไม่ว่าจะเกิดจากลักษณะความชันของ
พื้นท่ี ผลกระทบจากปริมาณน้ำท่าตามช่วงฤดูกาล หรือจากกิจกรรมของมนุษย์ (อาทิ
การก่อสร้างสิ่งกีดขวางเส้นทางน้ำ) ล้วนแล้วแต่มีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงความ
หนาแน่น หรือการเกดิ ทดแทนท่ีของส่งิ มชี วี ติ ตง้ั แต่กลมุ่ ของสาหรา่ ยขนาดเล็ก ไปจนถึง
ทรัพยากรสัตวน์ ำ้ ต่าง ๆ ทอ่ี าศัยอยู่ในระบบนิเวศแมน่ ำ้
ในภาพรวมเราพบว่า ความรู้ความเข้าใจในผลกระทบของปริมาณการไหลของ
น้ำ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับ “ระบบนิเวศแม่น้ำที่ถูกควบคุม” โดย
มนุษย์ เนื่องจากความรู้ความเข้าใจเหล่านี้ จะนำไปสู่การควบคุม “อัตราไหลต่ำสุด”
ที่จะสามารถรักษาสมดุลของระบบนิเวศแม่น้ำ รวมทั้งควบคุม “อัตราไหลสูงสุด” ที่จะ
ไม่เปน็ การทำลายระบบนเิ วศแมน่ ำ้ จนถึงระดับทยี่ ากจะฟน้ื ฟตู อ่ ไปได้
2.4) ปริมาณน้า ผลกระทบ และแนวทางการบรหิ ารจัดการ
แม่น้ำแม่กลอง นับเป็นแหล่งน้ำที่มีความสำคัญ และมีการใช้น้ำเบื้องต้นเพื่อ
การเกษตรกรรม และการอุปโภคของชุมชน ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำเป็น
อย่างมาก อย่างไรก็ตาม สภาพภูมิอากาศในบริเวณลุ่มน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ก่อใหเ้ กิดความไม่แนน่ อนของปรมิ าณน้ำ บางปีนำ้ กห็ ลาก ท่วมบ้านช่องไร่นาของชมุ ชน
โดยรอบพื้นที่ลำน้ำ บางปีก็ขาดแคลนมวลน้ำต้นทุน จนทำให้เกษตรกรรวมทั้งผู้
ประกอบอาชีพทีเ่ กีย่ วข้องอ่นื ๆ เกิดความเดอื ดร้อน
ประเด็นสาเหตุสำคญั ประการหน่ึง ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในบริเวณลุม่ น้ำแมก่ ลอง
คือ มีการปริมาณน้ำหลากจำนวนมากจากตอนบนในช่วงปีที่มีฝนตกชุก ซึ่งพบว่าอัตรา
การไหลของน้ำในแม่น้ำแม่กลอง (ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาณจนบุรี) มีค่าสูงสุดถึง
มากกว่า 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที นอกจากน้ี ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ประกอบ อาทิ
น้ำทา่ ท่ีไหลบา่ มาจากภูเขาทางทิศตะวนั ตกของล่มุ น้ำ และบางคร้ัง ยังมีอทิ ธิพลจากการ
ข้นึ ลงของน้ำทะเลเข้ามาผสมผสานอีกด้วย
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
54
ด้วยเหตุดังกลา่ ว จงึ มคี วามพยายามในการพัฒนาลุ่มน้ำแมก่ ลอง ซงึ่ ทางภาครฐั
ได้ดำเนนิ มาอย่างตอ่ เนื่องเป็นลำดับ โดยมีการกอ่ สร้างเข่ือนอเนกประสงค์ขึ้นหลายแห่ง
ได้แก่ เขื่อนวชิราลงกรณ (กั้นแม่น้ำแควน้อย) เขื่อนศรีนครินทร์ (กั้นแม่น้ำแควใหญ่)
เขื่อนท่าทุ่งนา และเขื่อนแม่กลอง (กั้นแม่น้ำแม่กลอง) ซึ่งจากรายงานของทาง
กรมชลประทาน (2550) พบว่าเขื่อนแม่กลองมีกิจกรรมการใช้น้ำเพื่อ 4 เป้าหมายหลัก
ประกอบด้วย 1) เพื่อการเกษตรฤดูฝนและฤดูแล้ง ในเขตชลประทานลุ่มน้ำแม่กลอง
ได้แก่ พื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี สมุทรสงคราม
และสมุทรสาคร โดยส่งน้ำเข้าคลองส่งน้ำไปพื้นที่เพาะปลูก ทั้งฝั่งซ้ายและขวา
ของแม่น้ำแม่กลอง โดยทำการระบายน้ำแตกต่างไปตามพื้นที่และฤดูกาล 2) เพื่อหล่อ
เลี้ยงลำน้ำแม่กลอง 3) เพื่อช่วยเหลือแม่น้ำท่าจีน โดยระบายน้ำผ่านทางคลองท่าสาร-
บางปลา และผ่านคลองจระเข้สามพัน และ 4) เพื่อการประปานครหลวง โดยส่งน้ำ
ไปยงั พ้นื ท่ีกรงุ เทพมหานคร
พื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง ครอบคลุมบริเวณตั้งแต่จังหวัดกาญจนบุรีจนถึงจังหวัด
สมุทรสงคราม มีชุมชนขนาดต่าง ๆ ตั้งอยู่ตลอดแนวแม่น้ำ มีการประกอบกิจกรรมและ
ประกอบอาชีพต่าง ๆ ของประชาชน ซึ่งเน้นทางด้านเกษตรกรรม นอกจากชุมชนแล้ว
บริเวณริมฝั่งแม่น้ำ หรือลำคลองขนาดใหญ่ที่น้ำไหลลงสู่แม่น้ำแม่กลอง ยังมีโรงงาน
อุตสาหกรรมหลายประเภทและหลายขนาด ตั้งอยู่อย่างมากมาย ซึ่งความหนาแน่นของ
โรงงานอุตสาหกรรมท่ีสูง จะพบในเขตจังหวัดราชบุรี รองลงมา คือ จังหวัดกาญจนบุรี
และจังหวัดสมทุ รสงคราม ตามลำดบั
ท้ังน้ี พบว่าโรงงานอุตสาหกรรมทตี่ ง้ั อย่รู มิ นำ้ มมี ากกว่า 100 โรง (จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย 2539) สำหรับในสว่ นของชุมชนทอี่ าศยั อยู่รมิ แม่นำ้ แมก่ ลองน้ัน พบว่าทุก
ชมุ ชนตา่ งใชน้ ้ำจากแม่นำ้ แม่กลองเพ่ือการอุปโภคบรโิ ภคทง้ั สิน้
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
55
อน่งึ ดว้ ยการทีใ่ นพ้ืนที่ลมุ่ นำ้ แม่กลอง มลี ักษณะทางอทุ กวิทยาท่ีแตกต่างกันไป
ตามพื้นที่เป็นอย่างมาก ลักษณะดังกล่าวจึงส่งผลให้พบปริมาณน้ำฝนรายปี มีช่วงพิสัย
ที่ค่อนข้างกว้าง โดยมีฝนเฉลี่ยรายปีเท่ากับ 1,414.4 มิลลิเมตร ส่วนในด้านปริมาณ
น้ำท่า พบค่าเฉลี่ยรายปี เท่ากับ 14,246 ล้านลูกบาศก์เมตร (โดยมีค่าเฉลี่ยในฤดูฝน
และในฤดูแล้ง เท่ากับ 11,955 และ 2,290 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ) (สำนักงาน
ทรัพยากรนำ้ แหง่ ชาติ 2564)
ในช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา (ในปี พ.ศ. 2546) พบว่าในพื้นที่ลุ่มน้ำโดยรวม
มีความต้องการใช้น้ำประมาณ 1,397 ล้านลูกบาศก์เมตร (สิทธิชัย 2548) อย่างไรก็ตาม
เมื่อพิจารณาข้อมูลในระยะปัจจุบัน (สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ 2564) พบว่า
มีความต้องการใช้น้ำที่สูงขึ้นถึงประมาณ 2.6 เท่า (3,601 ล้านลูกบาศก์เมตร) ในการนี้
เป็นการใช้น้ำในด้านการเกษตร (3,306 ล้านลูกบาศก์เมตร) ด้านอุตสาหกรรม (130
ล้านลกู บาศก์เมตร) และ ด้านการอปุ โภคบริโภค (110 ล้านลกู บาศก์เมตร) ตามลำดบั
ปรมิ าณน้าท่าและบทบาทต่อระบบนิเวศปากแม่น้า
การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่เขตปากแม่น้ำ และพื้นที่ทะเลในอ่าวไทยตอนใน
โดยเฉพาะการเกิดปัญหายูโทรฟิเคชัน และสถานการณ์ต่อเนื่อง ซึ่งมักจะพบ
แพลงก์ตอนพืชเพิ่มจำนวนอย่างหนาแน่น ซึ่งเรามักพบเห็นได้บ่อยครั้งขึ้น ในช่วงระยะ
10 ปี ที่ผ่านมานี้ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทร่วม ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณ
“นำ้ ท่า” ซึ่งไหลลงแต่ละพ้นื ที่ปากแมน่ ำ้ ได้เป็นอย่างดี
สมดุลในเชิงปริมาณของแพลงก์ตอนพืช ซึ่งเป็นฐานของผลผลิตอินทรีย์สาร
ขั้นต้น ที่เกิดในระบบนิเวศปากแม่น้ำนั้น นับเป็นหัวใจของระบบนิเวศปากแม่น้ำ และ
เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ ซึ่งมีบทบาทเชื่อมโยงกับระดับของออกซิเจนละลายน้ำ และ
เก่ยี วขอ้ งกบั กระบวนการทางชวี เคมอี ื่น ๆ อกี มากมายในแหลง่ นำ้ ท้ังน้ี การเพมิ่ ปริมาณ
ของแพลงก์ตอนพืช มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับ ระยะเวลาในการคงค้าง ของมวลน้ำ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
56
หรือ ระยะเวลาพำนักน้ำ ในบริเวณหนึ่ง ๆ ซึ่งหากมีระยะเวลาที่ยาวนานพอ ก็จะทำให้
แพลงก์ตอนพืชสามารถแบ่งเซลล์ และเพิ่มจำนวนอย่างตอ่ เน่ืองไปได้
ด้วยเหตุดังกล่าว การศึกษาปัจจัยชี้วัดทางอุทกวิทยา ในด้าน “ระยะเวลา
พำนักน้ำ” จึงมีความสำคัญสำหรับการประเมินสถานภาพ และโอกาสการเปลีย่ นแปลง
ความสมดลุ ในเชิงปริมาณของแพลงกต์ อนพชื ทม่ี อี ยู่ภายในระบบนเิ วศปากแม่นำ้
ผลการศึกษาด้าน ระยะเวลาพำนักน้ำ ของระบบนิเวศปากแม่น้ำแม่กลอง (ซ่ึง
ประเมินจากการแพร่กระจายของสารอนุรักษ์ โดยพิจารณาจากปัจจัยร่วมทางด้าน
กระแสลม ปรมิ าณน้ำทา่ การขึ้นลงของนำ้ และลกั ษณะทางสัณฐานวทิ ยา) (ตารางที่ 2-
1) พบว่า ธรรมชาติของปากแม่น้ำแม่กลองนั้น มีระยะเวลาการพำนักน้ำที่นานที่สุด
เมือ่ เปรียบเทยี บระหวา่ งพ้ืนที่ 4 ปากแมน่ ำ้ หลกั ในเขตอา่ วไทยตอนใน
การที่ปากแม่น้ำแม่กลองมีระยะเวลาพำนักน้ำที่ค่อนข้างนานกว่านั้น
เนื่องมาจากลักษณะทางสัณฐานวิทยาของพื้นที่ ที่พบการมีร่องน้ำหลักที่ค่อนข้างลึก
และมีร่องน้ำแยกเป็นฝั่งทางตะวันออกและทางตะวันตกของแม่น้ำอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ยังมีการแบ่งเขตย่อยไปตามแนวดอน ที่กระจายตัวในรูปแบบท่ีหลากหลาย
ซึ่งทำให้มวลน้ำมีโอกาสคงค้าง หรือเกิดการไหลวนอยู่ในพื้นที่ปากแม่น้ำ ได้นานกว่า
บรเิ วณปากแมน่ ำ้ อนื่ ๆ
ถึงแม้วา่ ปากแม่น้ำแมก่ ลอง จะมีระยะเวลาพำนกั น้ำท่คี อ่ นข้างนาน แต่อย่างไร
ก็ตาม พบว่าในพื้นที่ปากแม่น้ำแม่กลอง มีการไหลลงของ ปริมาณน้ำท่า ที่ค่อนข้างสูง
ตลอดระยะเวลาช่วงต่าง ๆ ในรอบปี (ตารางที่ 2-1) ซึ่งสามารถพบอัตราการไหล ที่สูง
กว่าแมน่ ำ้ เจ้าพระยา ท้งั ในช่วงฤดูแล้ง และปลายฤดูนำ้ หลาก (โดยมีคา่ สงู สุดท่ีประมาณ
750 ลกู บาศก์เมตรต่อวินาที)
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
57
การมีปากแม่น้ำแม่กลองมีปริมาณน้ำท่าที่ค่อนข้างสูงดังกล่าว ส่งผลให้มวลน้ำ
ในภาพรวมเกิดการเคลื่อนตัวได้ดี และช่วยบรรเทาเบาบางปัญหาเชิงคุณภาพน้ำได้
นอกจากน้ี ยงั พบวา่ การเกิดสถานการณ์ที่แพลงก์ตอนพชื เพ่ิมจำนวนอย่างมาก หรือเกิด
ปัญหาปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีนั้น มีน้อยครั้งเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่ปากแม่น้ำ
อน่ื ๆ
ตารางท่ี 2-1 ผลการประเมนิ ปริมาณน้ำทา่ และระยะเวลาพำนกั น้ำเฉลีย่ ของปากแมน่ ำ้
ในพน้ื ทอ่ี ่าวไทยตอนใน ตามระยะเวลาต่าง ๆ ในชว่ งปี พ.ศ. 2560 – 2561
ท่มี า: ปรับปรุงจาก คณะประมง (2562)
ปากแม่นำ้ ปริมาณน้ำทา่ (ลูกบาศกเ์ มตรตอ่ วินาที)
แม่กลอง เมย. 2560 กค. 2560 ธค. 2560 เมย. 2561 กค. 2561
ท่าจีน
เจา้ พระยา 452.1 369.8 290.0 753.2 369.8
บางปะกง 95.0 174.0 9.0 180.5 174.0
94.6 417.4 185.4 160.1 417.4
ปากแมน่ ้ำ 42.7 222.3 42.9 80.3 222.3
แมก่ ลอง ระยะเวลาพำนกั เฉลย่ี (ช่ัวโมง)
ทา่ จนี
เจา้ พระยา เมย. 2560 กค. 2560 ธค. 2560 เมย. 2561 กค. 2561
บางปะกง
65 86 80 71 72
64 49 71 71 29
63 32 24 71 23
39 16 42 36 14
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
58
ด้วยลักษณะดังกล่าว พื้นที่ปากแม่น้ำแม่กลองจึงนับเป็นบริเวณที่มีความพิเศษ
ที่ได้รับผลเชิงบวกจากปริมาณน้ำท่าที่ไหลลงมา ซึ่งในมวลน้ำ มีความอุดมสมบูรณ์
ไปด้วยอินทรีย์สาร นอกจากนี้ ในพื้นที่ปากแม่น้ำยังมีปริมาณของแพลงก์ตอนพืช
อยู่ในสมดุลท่ีมีเสถียรภาพ คุณภาพน้ำโดยรวมในปัจจัยอื่น ๆ จึงมีความแปรปรวนน้อย
และมีแนวโน้มที่อย่ใู นสถานการณ์ที่ดีตอ่ ไปได้
แนวทางการบริหารจัดการน้าในพ้นื ที่ล่มุ น้า
แหล่งน้ำต้นทุนของลุ่มน้ำแม่กลอง พบว่ามีปริมาณน้ำต้นทุนสุทธิเฉล่ีย 12,638
ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี (กรมทรัพยากรน้ำ 2546) โดยมีแหล่งที่มาสําคัญ จาก 2 แหล่ง
ด้วยกัน ประกอบด้วยปริมาณน้ำท่ีไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเข่ือนศรีนครินทร์ และเขื่อน
วชิราลงกรณ ในสัดส่วนประมาณ 78 % (9,892 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี) และปริมาณ
น้ำที่ไหลเข้าระหวางเส้นทางของเขื่อนศรีนครินทร-ท่าทุ่งนา และเขื่อนวชิราลงกรณ/
ทา่ ทงุ่ นา-แมก่ ลอง ในสดั สว่ นประมาณ 22 % (2,746 ลานลกู บาศกเ์ มตรต่อปี)
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างน้ำต้นทุน ที่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเข่ือน
ศรีนครินทร์ และน้ำต้นทุนท่ีไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ จะพบว่าปริมาณ
นำ้ ต้นทุนท่ีไหลเข้าอา่ งเก็บน้ำเขอื่ นศรนี ครนิ ทร์ มีศักยภาพในการใช้มากกวา่ โดยเฉพาะ
ในช่วงทอ่ี ่างเกบ็ น้ำเขอื่ นวชริ าลงกรณเกดิ สภาวะแหง้ แล้งตดิ ต่ออกันยาวนาน นอกจากน้ี
เมื่อพิจารณาจากความจุของอ่างเก็บน้ำ จะพบว่าอ่างเก็บน้ำเข่ือนวชิราลงกรณ
มีปริมาตรเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของอางเก็บน้ำเขื่อนศรีนครินทร์ ขณะที่มีปริมาณน้ำ
ที่ไหลเขา้ สงู กวา่ ซึ่งทำให้ประสบปัญหาในการบริหารจัดการในช่วงที่นำ้ มากได้
ด้วยเหตุดังกล่าว การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จึงได้มีมาตรการที่จะ
เพิ่มสัดส่วนการใชน้ำจากอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณให้มากขึ้น ทั้งน้ี เพื่อสำรองน้ำ
ในอา่ งเกบ็ นำ้ เขอ่ื นศรีนครินทร์ ไวใ้ ชป้ ระโยชนใ์ นระยะยาว
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
59
อนึ่ง ยังพบว่าประมาณ 87 % ของปริมาณน้ำต้นทุนรายปีเฉลี่ย จะเกิดขึ้น
ในช่วงฤดูฝน และมักเกิดปัญหาในช่วงฤดูแล้ง ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการเสนอมาตรการใน
การปฏิบัตงิ านอ่างเก็บน้ำของลุ่มน้ำแมก่ ลอง ในช่วงท่ีปรมิ าณน้ำต้นทุนของระบบมีน้อย
ด้วยการควบคุมปริมาณน้ำที่ปล่อยรายวันจากเข่ือนท่าทุ่งนาให้คงที่ รวมท้ังให้ทำการ
เพ่ิมระดับน้ำเก็บกักของเข่ือนแม่กลอง เพ่ือให้สามารถกระจายน้ำไปใช้ในโครงการ
ชลประทานแม่กลองใหญ่ได้อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะอยางย่ิงในช่วงเวลาท่ีมคี วามต้องการ
นำ้ จากระบบในปริมาณทีม่ าก
นอกจากนี้ ควรพัฒนาการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่อ่างเก็บน้ำให้มี
ประสิทธิภาพมากขึ้น โดยส่งเสริมการดำเนินการด้านแบบจําลองการปฏิบัติงานระบบ
อ่างเก็บน้ำให้เกิดความสมบูรณ์มากที่สุด ทั้งนี้ ควรมีการพัฒนาแบบจําลองย่อย อาทิ
แบบจําลองฝน-น้ำท่า (เพ่ือคาดการณ์ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าอ่างสุทธิ ที่มีความถูกต้อง
และแม่นยำ) แบบจําลองสําหรับคาดการณ์ปริมาณการไหลด้านข้าง ให้มีความ
สอดคล้องกับลักษณะทางกายภาพของระบบมากขึ้น แบบจําลองความเชื่อมโยง
พฤติกรรมและพลวัตของน้ำในระบบ รวมถึงแบบจําลองสําหรับประเมินปริมาณ
ความตอ้ งการน้ำ ให้มคี วามยดื หยุ่นต่อสถานการณ์ตาง ๆ ทีเ่ ปลยี่ นแปลงไปอีกดว้ ย
ในการบริหารจัดการในระยะยาว ควรมีการตรวจสอบและติดตามผลของการ
บริหารจัดการน้ำ ทางด้านท้ายน้ำของเขื่อนแม่กลอง โดยครอบคลุมถึงสภาพปัญหา
ในระดับพื้นที่ (อาทิ ปัญหาด้านคุณภาพน้ำ ปัญหาการแย่งชิงน้ำ และปัญหาการรุกล้ำ
ของน้ำทะเล) รวมถึงศึกษาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม ท่ีเกิดจากปัญหาดังกล่าว
ตลอดจนเร่งพัฒนานโยบายและมาตรการความช่วยเหลือจากภาครัฐ และส่งเสริม
การ มีสว่ นรว่ มของทุกภาคฝ่ายทเี่ ก่ยี วข้อง เพอ่ื บรรเทาปญั หาท่ีกิดข้นึ ท้งั น้ี เพอ่ื ผลักดนั
ให้มีองค์กรร่วมรับผิดชอบในทุกระดับ และเกิดการพัฒนาการบริหารจัดการน้ำ
เชิงบูรณาการได้อยา่ งแทจ้ รงิ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
60
ในปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา ทางคณะอนุกรรมการบริหารจัดการลุ่มน้ำ แม่
กลอง ได้มีการพิจารณาให้การจัดสรรมวลน้ำได้เกิดความเป็นธรรมกับทุก ๆ ฝ่าย ใน
การนี้ ได้มีการจัดสรรน้ำเพ่ือการผลักดันน้ำเค็ม และคำนึงถึงเป้าหมายในการรักษา
ระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ให้มามีความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ รองจากการอุปโภค
บริโภค หลังจากนั้นต่อมา มาตรการในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของลุ่มน้ำ
แม่กลอง ก็ได้นําแนวคิดในการบริหารจัดการน้ำแบบผสมผสาน มาประยุกต์ใช้ให้เป็น
รูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยมีการผสมผสานการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำ ทั้งทางด้าน
ปริมาณ และคุณภาพ ที่เน้นประสิทธิภาพของการบริหารจัดการสิทธิ์ของผู้ใช้น้ำ
ตลอดจนการรักษาสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศทางท้ายน้ำ ทั้งนี้ เป็นการผสมผสาน
การทํางาน ระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กรมชลประทาน การ
ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแหงประเทศไทย องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมี
การผสมผสานภาคส่วนของการใช้น้ำ ทั้งภายใน และภายนอกลุมน้ำอย่างเป็นระบบ
มากข้ึน ตลอดจนมกี ารสนบั สนุนกลไกการมสี ่วนรวมของผมู้ สี ว่ นได้สว่ นเสยี มากขึน้ ด้วย
อนึ่ง เนื่องจากแนวโน้มของปริมาณความต้องการน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง
มีแนวโน้มที่สูงขึ้น จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการรวมระดมความคิด และวางแผน
บริหารจัดการ ในระหว่างลุ่มน้ำต่าง ๆ ที่มีความเชื่อมโยงถึงกัน ทั้งนี้ เพื่อหาแนวทาง
ในการสร้างความสมดุล ระหว่างปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่ และปริมาณความต้องการ
การใช้น้ำ ในประเด็นที่มีความจำเป็น และร่วมมือกันในการพัฒนาแผนบริหารจัดการ
ท้งั ในระยะส้นั และระยะยาวทเ่ี หมาะสม
มมุ มองเพอื่ การบรหิ ารจัดการในภาพรวม
เมื่อพิจารณาข้อมูลความรู้ในภาพรวมดังที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าในการ
บริหารจัดการน้ำต้นทุนที่เรามี ทั้งในเชิงปริมาณ และคุณภาพ เพื่อให้เกิดเสถียรภาพ
ในการใช้ประโยชน์และสร้างสรรค์ประโยชน์ได้อย่างแท้จริงนั้น เราจำเป็นต้องคำนึงถึง
การดำเนินการที่จะช่วยรักษาคุณค่าของระบบนิเวศ ให้เกิดควบคู่ไปกับการพัฒนาทาง
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
61
เศรษฐกิจของพื้นที่ โดยควรวางแผนบริหารจัดการ หรือพัฒนาโครงสร้างของเมืองที่
เหมาะสม พอดี พอเพียง โดยคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการดูแล
คุณภาพชวี ิตของชมุ ชน เพอื่ ใหเ้ กิดเป็นสงั คมทีม่ ่นั คง และกอ่ ประโยชนส์ ขุ ต่อมวลชน
ในการนี้ การส่งเสริมให้ผู้คนในสังคม ได้มีโอกาสรับรู้ในคุณค่าของระบบนิเวศ
และสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน จะทำให้ผู้คนเกิดความรู้ และตระหนักถึงคุณค่าของระบบ
นิเวศและสิ่งแวดล้อม ที่ช่วยเอ้ือประโยชน์ตอ่ การมีชวี ิตอยู่ของทุก ๆ คน และทำให้ผู้คน
ในสังคม เกิดความพยายามในการดูแลรักษาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่มี ด้วยความ
ทุ่มเท และความรว่ มมือกันเปน็ อยา่ งดี
นอกจากนี้ หากความรู้ความเข้าใจในคุณค่าของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม
ได้เกิดการยอมรับ จากภาคส่วนที่เป็น “นักการเมือง” รวมทั้ง “หน่วยงานที่มีบทบาท
หน้าท่ีโดยตรงในการบริหารจัดการ” ก็จะทำให้เกิดการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
อย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้การกำหนดนโยบายและแผนปฏิบัติการที่รอบคอบและรัดกุม
เกิดการกำหนดแผนพัฒนา ทั้งระยะสั้น และระยะยาว ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะนำไปสู่
การขับเคลือ่ นสงั คมในภาพกว้าง ได้อยา่ งมปี ระสิทธิผลตอ่ ไป
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
62
บทท่ี 3
สถานการณ์คุณภาพน้า มลภาวะ และ
ปั ญหายูโทรฟิ เคชันในระบบนิเวศทางน้า
Water Quality, Pollution, and Eutrophication
Status of Aquatic Ecosystem
ในการศึกษาระบบนิเวศแม่น้ำ โดยส่วนใหญ่ดำเนินการบนพื้นฐานความรู้
ความเข้าใจ ในปัจจัยที่เป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งได้แก่ ปริมาณการไหล
(หรือความเร็วของน้ำ) ลักษณะพื้นท้องน้ำ ปริมาณของแข็งแขวนลอยในน้ำ อุณหภูมิ
ของน้ำ ปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ และปริมาณแร่ธาตุอาหารที่มีในระบบนิเวศแม่น้ำ
ฯลฯ ในท่ามกลางปัจจัยดังกล่าว ปริมาณการไหล ปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ และ
ปริมาณแร่ธาตุอาหาร นับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในลำดับต้น ๆ ต่อการเปลี่ยนแปลง
ของคุณภาพน้ำ ตลอดจนทรัพยากรชีวภาพที่เกี่ยวข้อง ส่วนปัจจัยด้านอุณหภูมิของน้ำ
โดยเฉพาะสำหรับในประเทศเขตร้อนเช่นในไทยเรานั้น จัดเป็นปัจจัยที่มีการ
เปลี่ยนแปลงคอ่ นขา้ งนอ้ ย ซ่ึงมักจะมีบทบาทต่อทรัพยากรทางนำ้ ไม่เด่นชัด
ในการวางแผนพัฒนาระบบนิเวศลุ่มน้ำแม่กลองอย่างรอบคอบและรัดกุม
ความรู้ด้านสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม
สถานการณ์และปัญหาด้านมลภาวะทางน้ำ ปัญหาจากการใช้ประโยชน์ ตลอดจน
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่ในเขตลุ่มน้ำที่เชื่อมโยงกัน ทั้งระบบ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
63
นิเวศตอนบน ตอนกลาง และตอนล่างที่เป็นเขตน้ำกร่อย นับเป็นเรื่องท่ี มี
ความสำคัญ นอกจากนี้ ความรู้ในด้านเกณฑ์ ค่ามาตรฐาน รวมถึงแนวทางในการ
พิจารณา “ระดับสูงสุด” ของปัจจัย หรือ “ระดับท่ียอมรับได้” ของปัญหา เพื่อการ
กำหนดแผนเรง่ ดว่ น ในการแก้ปญั หาคุณภาพนำ้ ให้เกดิ อย่างเหมาะสม ยังเป็นเรอ่ื งที่
มีความสำคญั ซง่ึ ในภาพรวมมรี ายละเอยี ดในประเดน็ ท่ีสำคญั ตา่ ง ๆ ดังต่อไปนี้
3.1) การเปล่ียนแปลงระบบนิเวศทางน้าและผลกระทบท่ีเกิดข้ึน
อิทธิพลจากมนุษย์เรา ที่ดำเนินกิจกรรมการใช้พื้นที่โดยรอบแหล่งน้ำเพื่อการ
อยู่อาศัย การทำการเกษตร และอุตสาหกรรม ตลอดจนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทาง
กายภาพของระบบลำนำ้ ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการผันนำ้ มาใช้ประโยชน์
นับเป็นสิ่งที่ทำให้ระบบแม่น้ำลำธาร เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางคุณภาพน้ำและ
ทรัพยากรมีชีวิต การปรับเปลี่ยนพื้นที่ลุ่มน้ำโดยการจัดสร้างเขื่อน หรือทำนบกั้นขวาง
ลำน้ำ ยังเป็นกิจกรรมจากมนุษย์ ซึ่งมีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศแม่น้ำได้
อยา่ งชัดเจน (จารุมาศ 2564)
“การสร้างเขื่อน” โดยทั่วไปให้ประโยชน์ในการลดอิทธิพลของการเกิดนำ้ ท่วม
หลากในพ้นื ทีต่ อนลา่ งของลุ่มนำ้ และสามารถปรับเส้นทางนำ้ หรือจดั สรรมวลนำ้ เพ่ือใช้
ประโยชนใ์ นดา้ นการชลประทานเพอื่ การเกษตร และเพอ่ื การผลติ กระแสไฟฟา้ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนระบบนิเวศพื้นที่ลำน้ำธรรมชาติมาเป็นเขื่อน โดย
ปรับเป็นลักษณะของการเก็บกักน้ำไว้นั้น สร้างผลกระทบต่อคุณภาพของมวลน้ำที่ไหล
ลงมา โดยมักจะทำให้คุณภาพน้ำในบริเวณท้ายเขื่อนเปลี่ยนไป (โดยเฉพาะการเกิด
ปัญหาการลดลงของออกซิเจนละลายน้ำ) ทั้งนี้ เนื่องจากการเกิดระบบนิเวศใหม่ ท่ี
แตกต่างจากความเปน็ ธรรมชาติเดิมของแมน่ ้ำทเี่ คยเปน็ (พชิ าศิษฐแ์ ละคณะ 2554)
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
64
ทางด้านตอนบนของเขื่อน สายน้ำที่ไหลลงมาจะปะทะกับมวลน้ำที่ถูกกักเก็บ
ในเขื่อน ซึ่งทำให้สายน้ำนั้นเกิดการเคลื่อนที่ช้าลงเรื่อย ๆ ตามลำดับ จนเปลี่ยนเป็น
รูปแบบของน้ำที่นิ่ง หรือแทบไม่มีการเคลื่อนที่เลย ในบริเวณตอนกลาง และตอนล่าง
ของพื้นท่อี า่ งเกบ็ น้ำ
การเกิดสภาพของระบบน้ำนิ่ง จากการปิดกั้นขวางทางเดินของน้ำดังกล่าว จะ
ทำให้น้ำโดยเฉพาะในเขตลึก หรือบริเวณที่ถูกเก็บกักนาน มีคุณภาพน้ำเปลี่ยนแปลงไป
ซึ่งในภาพรวม มักจะทำให้ระดับของออกซิเจนละลายน้ำลดต่ำลง เกิดตะกอนและซาก
อินทรีย์สารตกทับถม และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชาคมสัตว์น้ำ
นอกจากนี้ พรรณปลาที่เคยเป็นชนิดหลักในแหล่งน้ำไหลจะลดจำนวนลง และเกิดการ
เจริญทดแทนท่ี ด้วยกลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวได้ กับสภาพความเป็นอยู่ใน
ระบบนเิ วศแบบใหม่น้นั
สำหรับกิจกรรมทางด้าน “การใช้ที่ดิน” โดยรอบแหล่งน้ำ โดยเฉพาะการถาง
พื้นท่ีสำหรับใช้เป็นที่ทำกิน ท่ีอยู่อาศัย หรือการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำพื้นที่ปลูกพืช
นับเป็นกิจกรรมที่ทำให้น้ำซึ่งไหลบ่าจากอิทธิพลของน้ำฝน เพิ่มความรุนแรงมากขึ้น
และเกิดการไหลเซาะเป็นร่องน้ำ หรือลำธารน้ำที่ไหลเชี่ยวในช่วงเกิดพายุฝน และ
ขณะเดียวกัน ก็จะทำให้บริเวณหน้าดินที่ว่างเปล่าเหล่านั้น เกิดความแห้งแล้งลงไปได้
อย่างรวดเร็วในช่วงที่ฝนทิ้งช่วง หรือเมื่อเข้าสู่ฤดูแล้ง ลักษณะการใช้ที่ดินดังกล่าว
จัดเป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบัน ซึ่งสร้างผลกระทบต่อคุณภาพน้ำและทรัพยากรในพื้นท่ี
แมน่ ำ้ ตลอดจนระบบลมุ่ น้ำทม่ี คี วามเชอ่ื มโยงตอ่ กันเปน็ เครือขา่ ยในวงกวา้ งไดด้ ว้ ย
จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า กิจกรรมของมนุษย์ มีบทบาทต่อแม่น้ำเป็น
อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในตัวแม่น้ำเอง ยังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงจากแระบวนการ
ทางธรรมชาติ (อาทิ พายุ กระแสลม ความชื้น และอุณหภูมิของอากาศ) ที่เปลีย่ นแปลง
ไปอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากกระบวนการทางกายภาพ
และกระบวนการทางชีวภาพ ที่อยู่ภายในระบบนิเวศของแม่น้ำนั้น (อาทิ การกัดเซาะ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
65
ขอบฝั่ง การเกิดสันดอน การเจริญเติบโตของพรรณไม้น้ำต่าง ๆ) ซึ่งการเปลี่ยนแปลง
ตามธรรมชาติเหล่านี้ ก็นับว่ามีบทบาทที่ส่งผลต่อคุณภาพของน้ำ รวมทั้งปริมาณการ
ไหลของน้ำ ในช่วงต่าง ๆ ของระบบแม่นำ้ ได้เชน่ กนั
ผลการศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงตามเวลา ของปริมาณการไหลในพื้นท่ี
แม่น้ำลำธาร ทำให้เราทราบว่า ในช่วงเวลาที่พิจารณาหนึ่ง ๆ ไม่ว่าจะสั้น หรือยาว
“ปริมาณการไหลของน้ำ”จะไม่เคยคงที่เลย และบางวันอาจพบปริมาณที่ขึ้น ๆ ลง ๆ
เป็นพลวัตของการเปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เฉพาะตัว ซึ่งโดยทั่วไป มวลน้ำก็จะเพิ่มขึ้น
อย่างชัดเจน เมื่อเข้าสู่ช่วงต้นฤดูฝนถึงกลางฤดูฝน (โดยเฉพาะในพื้นที่ลำธารต้นน้ำ)
ส่วนในกรณที ี่เปน็ พื้นที่ของแม่น้ำสายใหญ่ ๆ ซึ่งมีพื้นท่ีรับน้ำกวา้ ง หรือเกิดจากการไหล
รวมมาจากแม่น้ำย่อยหลายสายมาประกอบกัน ปริมาณการไหลของน้ำก็จะเพิ่มขึ้น
อย่างชัดเจน เม่อื เข้าสูช่ ว่ งกลางฤดฝู นถงึ ปลายฤดฝู น ซ่งึ จะเปน็ ระยะเวลาที่แตกต่างจาก
เขตต้นน้ำ
นอกจากลักษณะของการเปลี่ยนแปลงไปปริมาณการไหลไปตามช่วงเวลาแล้ว
แม่น้ำยังมีการเปลี่ยนแปลงของขนาด หรือพื้นที่ ที่ครอบคลุมขึ้นไปยังบริเวณขอบฝั่ง
ด้านข้าง อย่างไม่สม่ำเสมออีกด้วย โดยทั้งนี้ การเพิ่มของปริมาณน้ำจากอิทธิพลของ
น้ำท่าที่เพิ่มมากข้ึน (อาทิ จากการปล่อยน้ำจากเขื่อน หรือจากสภาวะที่มีน้ำท่วม
เฉียบพลัน) ก็จะทำให้แม่น้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ขอบฝั่ง โดยมักจะถูกท่วมสูงข้ึน
หรือลดระดับต่ำลงไปได้ ซึ่งเราจะสังเกตเห็นแนวของน้ำที่ยกระดับขึ้นสูง จากเศษซาก
ของพรรณไม้ หรือกิ่งไม้แห้งต่าง ๆ ในแนวสูงสุดที่น้ำเพิ่มระดับขึ้นไป นอกจากนี้ อาจ
สังเกตได้จากลักษณะของการกัดเซาะพังทลายบริเวณตลิ่งชายน้ำ ที่อาจเปลี่ยนรูปทรง
และความลาดชนั ไปได้
ในพื้นที่แม่น้ำแม่กลอง กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (2550) ได้กล่าวถึง
ปญั หาท่ีพบต่าง ๆ วา่ มผี ลต่อระบบนเิ วศทางน้ำ ดงั ตอ่ ไปนี้
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
66
1) การกระจายตัวของประชากรและการตั้งถิ่นฐานของประชาชน โดยเฉพาะ
ในเขตเมอื งตามแนวริมแม่นำ้ ซ่ึงมีการระบายของเสยี และการทิ้งขยะมูลฝอยลงในแม่น้ำ
ซึ่งปัจจุบันพบว่า พื้นท่ีส่วนใหญ่ยังไม่มีระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อรวมน้ำเสียทั้งหมด
จากครัวเรือน น้ำเสียจึงไหลผ่านท่อระบายน้ำ ลงสู่แม่น้ำแม่กลอง โดยคาดว่าหากใน
อนาคตเมื่อชุมชนมีการขยายตัวมากขึ้น และยังไม่มีการจัดทำระบบบำบัดน้ำเสียรวม
จะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศโดยรวมของแม่น้ำ และจะมีผลต่อการประกอบอาชีพ
ของชาวประมง รวมทั้งกระทบต่อการขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำประจำถิ่นในบริเวณ
ปากแมน่ ำ้ แมก่ ลอง ตลอดจนก่อความเดือดรอ้ นรำคาญ ใหก้ บั ผตู้ ้งั บ้านเรือนรมิ แม่น้ำได้
2) การปล่อยน้ำเสียจากกระบวนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งจาก
แหล่งโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง บริเวณจังหวัดราชบุรี และจังหวัด
กาญจนบุรี ได้ระบายน้ำเสียจากกระบวนการผลิตลงสู่แม่น้ำแม่กลองเป็นระยะ ๆ ซึ่ง
ก่อให้เกิดปัญหาน้ำเสียรุนแรง นอกจากนี้ ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม ยังมีโรงงาน
อุตสาหกรรมขนาดเล็ก โรงงานอุตสาหกรรมอาหาร และโรงงานน้ำตาล โรงงานต่าง ๆ
เหลา่ นี้ นับวา่ มีผลต่อการเนา่ เสียของนำ้ ในแมน่ ำ้ แม่กลองดว้ ยเช่นกัน
3) การปล่อยน้ำเสียจากโรงงานฆ่าสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสุกร โดยไม่ผ่านระบบการ
บำบัดน้ำเสีย ทำให้มูลสัตว์ถูกชะล้างลงสู่แม่น้ำ ทั้งนี้ น้ำทิ้งที่เกิดจากกิจกรรมเหล่านี้
ส่วนใหญ่ประกอบด้วยสารอินทรีย์ในปริมาณที่สูงมาก ซึ่งสารอินทรีย์เหล่าน้ัน มี
ผลกระทบต่อการลดลงของปริมาณออกซิเจนละลายในแหล่งน้ำ และส่งผลให้เกิดการ
เน่าเสียของแหลง่ นำ้ อยา่ งรนุ แรงตามมาได้
4) การเกษตรกรรม เนื่องจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้าน
การเกษตร เกษตรกรจึงหันมาใช้ปุ๋ยและสารเคมี เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรกัน
มากขึ้น ซึ่งการใช้ในปริมาณที่สูง โดยไม่สามารถกำจัดสารที่ตกค้างออกไปได้หมด ย่อม
ทำให้สารพิษ และสารเคมีต่าง ๆ ถูกพัดพาลงสู่แม่น้ำแม่กลอง เกิดภาวะมลพิษในแม่นำ้
แมก่ ลองข้ึนมาได้
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
67
ในภาพรวมพบว่า หากการขยายตัวของกิจกรรมการใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ
บริเวณโดยรอบพื้นที่แม่น้ำแม่กลอง ยังขาดแนวทางในด้านการจัดการและการดูแลที่ดี
ย่อมจะส่งผลกระทบต่อศักยภาพของพื้นที่แม่น้ำแม่กลอง ทั้งในด้านคุณภาพน้ำ
คณุ ภาพดินตะกอน และทรพั ยากรส่ิงมีชีวิตท่ีอาศัยอย่ใู นพน้ื ที่ลำน้ำไดอ้ ย่างแนน่ อน
3.2) สถานการณ์คณุ ภาพน้าและดินพ้นื ท้องน้า
ปัจจัยคุณภาพน้ำ ที่ได้รับการกล่าวถึงและกำหนดเป็นมาตรฐานคุณภาพน้ำที่มี
เหมือนกันในแทบทุกภูมิภาคของโลก ได้แก่ ปัจจัยด้านปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ
ความเป็นกรด-เบส การบริโภคออกซิเจนโดยจุลินทรีย์ในน้ำ และปริมาณโคลิฟอร์ม
แบคทีเรีย เปน็ ตน้
นอกจากนี้ ปัจจุบันในหลายประเทศ ได้มีการกำหนดค่ามาตรฐานของสาร
ไนโตรเจนและฟอสฟอรัสในน้ำ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาจากการเพิ่มของแรธ่ าตุ
อาหารในแหล่งน้ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการขยายจำนวนของพรรณไม้น้ำหรือการ
สะพรั่งของแพลงก์ตอนพืช ตลอดจนปัญหาจากปรากฏการณ์น้ำเปลี่ยนสี ซึ่งจะเกิด
ผลกระทบตอ่ ความเปน็ อย่ขู องทรัพยากรในแหล่งนำ้ ได้
ในระบบนิเวศของแหล่งน้ำโดยทั่วไป พบว่าปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ และ
ค่าความเป็นกรด-เบสของน้ำ มีความสำคัญในระดับต้น ๆ ปัจจัยดังกล่าว จึงมักได้รับ
การศึกษาตดิ ตาม และพิจารณากนั อย่างรอบคอบ
ในสำหรับพื้นที่ชายฝั่งทะเลและเขตปากแม่น้ำ ยังพบว่าปัจจัยทางด้านการ
บริโภคออกซิเจนโดยจุลินทรีย์ในน้ำ การใช้ออกซิเจนทางเคมีของน้ำ ปริมาณตะกอน
แขวนลอย และการปนเปื้อนของโคลิฟอร์มแบคทีเรีย เป็นปัจจัยชี้วัดเพิ่มเติมที่สำคัญ
ซึ่งสะท้อนผลกระทบจากชุมชนโดยรอบแหล่งน้ำ เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้ ได้รับอิทธิพล
จากปญั หาการทิ้งนำ้ เสีย รวมท้ังส่งิ ปฏกิ ลู ตา่ ง ๆ ทีม่ าจากพน้ื ท่โี ดยรอบ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
68
สถานการณ์คุณภาพน้ำของลุ่มน้ำแม่กลอง โดยทั่วไปพบว่า อยู่ในระดับ
ปานกลาง (ตามเกณฑ์คุณภาพน้ำผิวดินประเภทที่ 3 กรมควบคุมมลพิษ 2543) ซึ่งใน
เขตพื้นที่แม่น้ำแควน้อย และแม่น้ำแควใหญ่ พบคุณภาพน้ำที่ดีกว่าทางแม่น้ำแม่กลอง
ตอนล่าง ซึ่งมีการปนเป้ือนจากแหล่งชุมชนในพื้นที่โดยรอบแม่น้ำ มากกว่าพื้นที่ทาง
ตอนบน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาความเสื่อมโทรมของคุณภาพน้ำในภาพรวม มีแนวโน้มที่จะ
เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่ข้อมูลความรู้ ที่แสดงถึงปัญหาด้าน คุณภาพของน้ำใน
พื้นที่แม่น้ำแม่กลอง ยังเป็นเรื่องที่มีการกล่าวถึงค่อนข้างน้อย โดยส่วนใหญ่ ผู้คนยัง
พิจารณาเพยี งการจัดการที่ ปรมิ าณนำ้ เปน็ หลัก
ในการประเมินด้านคุณภาพน้ำนั้น เราพบว่า ออกซิเจนละลายน้ำ เป็นปัจจัยที่มี
ความสำคัญที่สุด เนื่องจากมีบทบาทต่อความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตทางน้ำทุกชนิด
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านปริมาณ แร่ธาตุอาหารในน้ำ นับป็นปัจจัยที่เราควรให้
ความสำคัญด้วย เนื่องจากเป็นสาเหตุของปญั หายูโทรฟิเคชันในแหล่งน้ำ โดยยังมปี ัจจยั
รองอื่น ๆ ที่สะท้อนความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศทางน้ำได้ ซึ่งทั้งนี้ มีรายละเอียด
ของปัจจัยต่าง ๆ และสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมทางน้ำของพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง
พอสังเขป ดังนี้
3.2.1) ออกซิเจนละลายน้า
ออกซเิ จนละลายน้ำ เป็นปัจจัยท่มี คี วามจำเป็นอยา่ งยิ่งยวดต่อระบบการหายใจ
ของสิ่งมีชีวิตทางน้ำทุกชนิด นอกจากนี้ ยังมีบทบาทต่อการหมุนเวียน หรือวัฏจักรของ
สารอินทรีย์ในพื้นที่แม่น้ำ ระดับของออกซิเจนละลายน้ำเปลี่ยนแปลงตามอิทธิพล
ของอุณหภูมิในบรรยากาศ และอุณหภูมิของน้ำ ทั้งนี้พบว่า อัตราการละลายของ
ออกซิเจน จะลดลงเม่ืออุณหภมู ิของนำ้ สงู ขึน้ (โดยเฉพาะในชว่ งของฤดูรอ้ น)
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
69
ในพื้นที่แม่น้ำลำธารเขตต้นน้ำ ที่น้ำมีการไหลอย่างรุนแรง หรือมวลน้ำมีการ
ผสมผสานและเคลื่อนตัวได้ดีนั้น ระดับของออกซิเจนละลายน้ำมักมีค่าสูง ถึงประมาณ
ระดบั อมิ่ ตัวท่ีจะละลายได้ ณ อุณหภูมิของนำ้ ในพ้ืนที่ ซ่ึงระดบั ดงั กลา่ ว เกดิ จากบทบาท
ของกระบวนการทางกายภาพในแมน่ ้ำเป็นหลัก (ภาพที่ 3-1)
ภาพที่ 3-1 ลกั ษณะของกระบวนการทางกายภาพที่เกิดในพืน้ ที่ลำธารตา่ ง ๆ
ซึ่งส่งผลตอ่ การเพิ่มปรมิ าณของออกซิเจนละลายน้ำ
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
70
อย่างไรก็ตาม เมื่อแม่น้ำมีการเคลื่อนตัวไหลลงมาตอนล่างเรื่อย ๆ มวลของน้ำ
มักมีความเร็วที่ชะลอตัวลง จะพบว่าระดับของออกซิเจนละลายน้ำก็มักจะต่ำลงกว่า
ระดับที่อิ่มตัว ซึ่งในพื้นที่ลำน้ำทางตอนล่าง นอกจากกระบวนการทางกายภาพที่ทำให้
เกิดการเคลื่อนตัวของน้ำแล้ว เราพบว่ากระบวนการทางชีวภาพ (อาทิ การสังเคราะห์
ด้วยแสงของผู้ผลิตขั้นต้น) ก็จะเข้ามามีบทบาทในระดับของออกซิเจนละลายน้ำท่ี
เกิดขึ้นในพื้นที่แม่น้ำแต่ละแห่งมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการลดลงของออกซิเจน จาก
กระบวนย่อยสลายสารอินทรีย์ที่เกดิ การสะสมในบรเิ วณตา่ ง ๆ
ในเขตพื้นที่ท่ีน้ำไหลช้าลงมาก เราอาจสังเกตพบการเปลี่ยนแปลงของระดับ
ออกซิเจนละลายน้ำในรอบวัน ซึ่งเพิ่มสูงจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ที่มากข้ึน
ในช่วงบ่ายของแต่ละวัน แต่จะลดต่ำลงด้วยกระบวนการหายใจที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงเวลากลางคืน สำหรับในพื้นที่แม่น้ำลำธารที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง มักพบการ
แปรผันของปรมิ าณออกซิเจนในรอบวนั ไดม้ ากกว่าพืน้ ที่แมน่ ้ำทม่ี ีความอดุ มสมบรู ณต์ ำ่
ภาพที่ 3-2 ตัวอย่างของพรรณไม้นำ้ ตา่ ง ๆ ทเ่ี ป็นผผู้ ลติ ออกซิเจนท่สี ำคญั ในแหลง่ น้ำ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
71
ในระบบแม่น้ำลำธารที่มีน้ำค่อนข้างใส ผู้ผลิตออกซิเจนชนิดหลักในแหล่งน้ำ
มักเป็นพวกพรรณไม้น้ำ หรือสาหร่ายที่ยึดเกาะกับผิววัตถุบริเวณพื้นท้องน้ำ (ภาพที่ 3-
2) ยกตัวอย่างเช่น ในแม่น้ำเพชรบุรี ซึ่งมีลักษณะคุณภาพน้ำที่ค่อนข้างดี พื้นที่มักเปิด
โล่ง น้ำค่อนข้างใส และมีอัตราการไหลเฉลี่ยมากกว่า 20 เซนติเมตรต่อวินาที ในพื้นท่ี
แม่น้ำนี้ พบว่าระดับของออกซิเจนละลายน้ำมีการแปรผันในรอบวัน เนื่องจากอิทธิพล
ของกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ที่เกิดอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงเวลากลางวัน
พรรณไม้น้ำหลักจำพวก สันตะวา ดีปลีน้ำ และสาหร่ายหางกระรอก มีบทบาทในการ
ให้ออกซิเจนเข้าสู่ระบบแม่น้ำ ได้สูงสุดถึงประมาณ 40 % ของแหล่งที่มาโดยรวม
(Sangmek and Meksumpun 2014)
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแม่น้ำโดยทั่วไป มักจะถูก ควบคุมอัตราการไหล โดย
ระบบชลประทานเพื่อการเกษตร นอกจากนี้ ในบางช่วงเวลาที่เกิดปัญหาน้ำท่วมหลาก
ในพื้นที่รับน้ำตอนบน ยังมีการผันน้ำเข้ามาในปริมาณมาก และในบางช่วงของลำน้ำท่ี
ผ่านเขตเมือง ยังได้รับน้ำท้ิงท่ีปลอ่ ยลงมาจากชุมชน ปริมาณของออกซิเจนละลายน้ำจึง
มีทิศทางที่ไม่แน่นอน ซึ่งจะส่งผลต่อเสถียรภาพ ของประชาคมของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่
ในระบบนิเวศทางน้ำ โดยอาจเกิดการลดจำนวน การเปลี่ยนแปลงทางชนิดหลัก หรือ
เกดิ การทดแทนที่ด้วยชนดิ อน่ื ๆ ได้ตลอดเวลา
ในภาพรวมแล้วพบว่า การประเมินสถานการณ์มลภาวะ หรือการเปลี่ยนแปลง
สถานภาพความอุดมสมบรู ณ์ ในพ้ืนที่แม่น้ำท่ีถูกควบคุมอัตราการไหล จึงทำได้ค่อนขา้ ง
ยาก ต่างกับพื้นที่แม่น้ำลำธารตามธรรมชาติ ที่มีลักษณะของการไหลไปตามธรรมชาติ
ทีค่ อ่ ยเปน็ ค่อยไป และมีความสมำ่ เสมอกว่า
ในระบบนิเวศแหล่งน้ำไหล โดยเฉพาะในพื้นที่แม่น้ำตอนต้น พบว่าระดับของ
ออกซิเจนละลายน้ำ มักจะไม่เป็น “ปัจจัยจำกัด” ยกเว้นเพียงบางบริเวณเท่านั้น ท่ี
ออกซิเจนอาจมีบทบาทท่ีเพ่ิมมากขน้ึ (อาทิ บริเวณใกล้พ้ืนทอ้ งน้ำท่ีอยู่ถัดจากชั้นดินที่มี
สารอินทรีย์สูง ในพื้นที่แอ่งแนวชายตลิ่งที่อัตราการไหลของน้ำต่ำมาก หรือในบริเวณที่
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
72
น้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้น) ทั้งนี้ อิทธิพลดังกล่าว มักจะสัมพันธ์กับปัจจัยทางกายภาพ
และชีวภาพในระบบนิเวศของแหล่งน้ำ ซึ่งเกี่ยวข้องกับลักษณะการไหล และการ
หมุนเวียนของมวลน้ำทเ่ี ปลยี่ นไป
สำหรับในส่วนปลายน้ำ ในสภาวะปัจจุบันเราพบการใช้ประโยชน์พื้นท่ี
โดยรอบแม่น้ำที่เพิ่มมากขึ้น มักพบการปล่อยน้ำเสียที่มีสารอินทรีย์ปนเปื้อนสูง
โดยเฉพาะน้ำทิ้งจากบ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรม รวมทั้งจากการทำปศุสัตว์ และ
กิจกรรมทางการเกษตรต่าง ๆ ซึ่งเหล่านี้ นับเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ปริมาณของ
ออกซิเจนละลายนำ้ ในพ้นื ทแ่ี ม่น้ำตอนล่าง ได้รบั ผลกระทบในทางลบได้อยา่ งชดั เจน
ออกซิเจนละลายน้าและบทบาทต่อส่ิงมชี ีวิตในพ้นื ที่แมน่ ้า
ออกซิเจนละลายน้ำ นับเป็นปัจจัยที่มีความโดดเด่นและมีความสำคัญต่อความ
เป็นอยู่ ตลอดจนพฤติกรรม และความอยูร่ อดของสิ่งมีชีวติ ทุกชนดิ ทีอ่ าศัยอยู่ในน้ำ เม่ือ
พิจารณาในกลุ่มของสัตว์น้ำจำพวกปลาที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำไหล พบว่าออกซิเจน
ละลายน้ำมีบทบาทต่อความเร็วในการว่ายน้ำของปลา โดยเฉพาะในกลุ่มปลาแซลมอน
(Hynes, 1970)
ส่วนปลาในครอบครวั ปลาตะเพียน (Family Cyprinidae อาทิ ปลาสร้อย ปลา
ตะเพียน และปลากะมงั ) จะมีความสามารถในการอาศัยอยู่ในพื้นที่แม่น้ำ ที่มีระดบั ของ
ออกซิเจนละลายน้ำเฉลี่ยต่ำกว่าปลาในเขตต้นน้ำ (อาทิ ผลการศึกษาในพื้นที่ลุ่มน้ำ
บางปะกง; อภิชาติและอภิรดี 2551) ดังนั้น ปัญหาจากการลดต่ำลงของออกซิเจน
ละลายน้ำ จึงมีความแตกต่างกันไป ขึ้นกับชนิดของปลาในแต่ละบริเวณ อย่างไรก็ตาม
ในพื้นที่แม่น้ำที่มีปริมาณออกซิเจนที่ค่อนข้างต่ำ (2 – 3 มิลลิกรัมต่อลิตร) หากแต่ยังมี
อตั ราการไหล หรอื มกี ารถ่ายเทของนำ้ อยู่อยา่ งตอ่ เน่อื ง พบวา่ ปญั หาท่เี กิดผลกระทบต่อ
ความเปน็ อยู่ของปลา กจ็ ะบรรเทาลงไปได้
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
73
ด้วยข้อมูลความรู้ดังกล่าว การพิจารณาระดับของออกซิเจนละลายน้ำ
เพียงปัจจัยเดียว อาจทำให้การวิเคราะห์สถานการณ์ของแหล่งน้ำ หรือการประเมินผล
กระทบที่จะเกิดกับประชาคมสิ่งมีชีวิต เป็นไปได้อย่างไม่รัดกุม ซึ่งในระบบนิเวศแม่น้ำ
ปัจจัยด้านความเร็วของน้ำ (หรือปริมาณการไหล) นับเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ควรนำมา
พิจารณาร่วมด้วย นอกจากนี้ ปรากฏการณ์ที่ความเร็วของน้ำ สามารถผันแปรตาม
ลักษณะทางภูมิสัณฐานวิทยาของลำน้ำ (อาทิ การพบน้ำหมุนวนหรือแทบหยุดน่ิง
ในบริเวณขอบฝั่ง หรือแอ่งตกตะกอนด้านข้างตลิ่ง) และตามความลึกของน้ำ
(โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสิ่งกีดขวางหลายประเภท) ยังเป็นเรื่องที่ควรนำมาพิจารณา
ประกอบ เพอื่ การตดั สินใจที่รัดกุมมากข้ึนตอ่ ไป
การกำหนด ค่ามาตรฐาน สำหรับปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved
oxygen; ค่าดีโอ) นั้น แต่แรกเริ่มเป็นการให้ความสำคัญกับการประมงและ
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นหลัก ค่ามาตรฐานดังกล่าวนับเป็นค่าที่ถูกให้ความสำคัญ
ตั้งแต่ระยะแรก ๆ ของการพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานทางด้านคุณภาพน้ำขึ้นมา ทั้งน้ี
เนือ่ งจาก คา่ น้ีมคี วามสำคญั ตอ่ ความเป็นอยขู่ องสง่ิ มีชวี ติ ทางน้ำโดยตรง
ในแหล่งน้ำดมี าก ท่ีมีค่าออกซเิ จนละลายน้ำสูงกวา่ 6.5 มิลลกิ รมั ต่อลิตร ขึ้นไป
จะสามารถพัฒนาใช้เป็นพื้นที่ที่ลงอาบน้ำได้ และมนุษย์เราสามารถนำน้ำมาใช้ในการ
อุปโภคบริโภคได้ นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งน้ำที่ดีมาก สำหรับการนำน้ำมาใช้ในระบบ
อุตสาหกรรม และกิจกรรมทางการประมง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสัตว์น้ำที่มีถิ่น
ที่อยู่อาศัยดั้งเดิมอยู่ในแหล่งน้ำสะอาด สำหรับการอนุรักษ์สถานภาพสิ่งแวดล้อม
ทางธรรมชาตินั้น มีการกำหนดปริมาณออกซิเจนละลายน้ำไว้ว่า ไม่ควรให้มีค่าต่ำกว่า
2 มิลลิกรัมต่อลิตร ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการเกิดสภาวะการเน่าเสียเนื่องจากการย่อยสลาย
แบบไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งระดับดังกล่าว สอดคล้องกับค่าที่กำหนดสำหรับแหล่งน้ำผิวดิน
ของประเทศไทย (กรมควบคุมมลพษิ 2553)
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
74
อนึ่ง เมื่อพิจารณาถึงแหล่งน้ำไหลประเภทแม่น้ำ จะพบว่าลักษณะจำเพาะใน
แต่ละส่วนของแม่น้ำ มีบทบาทมากต่อการกำหนดลักษณะของคุณภาพน้ำ และมี
บทบาทต่อสถานการณ์ความเป็นอยู่ของสิ่งมีชีวิตทางน้ำ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางด้าน
ออกซิเจนละลายน้ำ ก็ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการประเมิน
ความเหมาะสมของคุณภาพนำ้ ตอ่ การดำรงชวี ติ และการอยู่อาศยั ของทรัพยากรสตั วน์ ำ้
ในการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า หากในพื้นที่แม่น้ำมีระดับของออกซิเจนละลายน้ำ
โดยเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูง (ในช่วงประมาณ 4 – 6 มิลลิกรัมต่อลิตร) และแปรผันน้อย
ปัจจยั แวดล้อมอืน่ ๆ ก็จะมีอิทธิพลตอ่ ความเปน็ อย่ขู องส่ิงมชี ีวติ ทางน้ำไม่เดน่ ชัด
อย่างไรก็ตาม หากในพื้นท่ีบางบริเวณมีระดับเฉลี่ยของออกซิเจนละลายน้ำท่ี
ต่ำ (ต่ำกว่า 3 มิลลิกรัมต่อลิตร) สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ มักมีสภาวะความเครียดสูง หรือ
อ่อนแอลงได้ ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยแวดล้อมอื่น อาทิ มีอัตราการไหลของ
น้ำที่ลดลง มีความขุ่นเพิ่มขึ้น หรือมีปริมาณตะกอนแขวนลอยเพิ่มมากขึ้น จะทำให้
เกดิ ผลกระทบต่อสิ่งมีชวี ติ ทม่ี ไี ดง้ ่าย และเกิดปญั หาตา่ ง ๆ ตามมาได้
ลักษณะจำเพาะท่ีเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลักและปัจจัยร่วมดังกล่าว เป็นตัวอย่าง
ที่ทำให้เห็นว่า เราไม่อาจกำหนดเกณฑ์ที่ตายตัว สำหรับประเมินการเปลี่ยนแปลง
ผลกระทบจากปัจจัยหนึ่ง ๆ ได้อย่างจำเพาะเจาะจง ทั้งนี้ เนื่องจากโอกาสในการเกิด
ผลกระทบในแต่ละบริเวณของลุ่มน้ำนั้น มีความแตกต่างกันไป ตามลักษณะของ
ปจั จยั พืน้ ฐานหลัก ในบรเิ วณที่เราสนใจ
ปรมิ าณออกซิเจนละลายน้าในพ้นื ท่ีแม่น้าแม่กลอง
ผลการศึกษาคุณภาพน้ำในพื้นที่แม่น้ำแม่กลองในภาพรวม ซึ่งครอบคลุมพื้นท่ี
จงั หวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี และจังหวัดสมุทรสงคราม พบว่าคุณภาพน้ำของแม่น้ำ
แม่กลองมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล โดยมีปริมาณออกซิเจนละลายน้ำที่เป็นปกติ
ในชว่ งแม่นำ้ ตอนบน
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
75
อย่างไรกต็ าม ปรมิ าณออกซิเจนละลายในน้ำมกั มกี ารเปลี่ยนแปลงอย่างชดั เจน
ในบริเวณสถานีสำรวจของพื้นที่ตอนบนที่ตั้งอยู่เหนือเขื่อนแม่กลอง ตลอดจนบริเวณ
พื้นที่ชุมชนเมืองต่าง ๆ (ในเขตจังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี และจังหวัด
สมุทรสงคราม) นอกจากนี้ ยังมักตรวจพบระดับของออกซิเจนในน้ำที่ต่ำกว่าระดับ
มาตรฐาน โดยเฉพาะพื้นที่ในบริเวณแม่น้ำทางตอนล่าง และในเขตปากแม่น้ำ ซึ่งมีค่าท่ี
ต่ำกว่ามาตรฐานคุณภาพน้ำเพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (น้อยกว่า 4 มิลลิกรัมต่อลิตร)
อย่างชดั เจน
อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ใกล้ปากแม่น้ำ ที่ได้รับอิทธิพลจากการขึ้นของน้ำทะเล
พบว่าในช่วงที่น้ำขึ้น มวลน้ำจะนำพาเอาแพลงก์ตอนพืชจากเขตทะเลเข้ามาได้มากข้ึน
ซงึ่ ในชว่ งดงั กล่าว ทำใหร้ ะดับของออกซิเจนละลายนำ้ มคี ่าเพมิ่ ขึน้ เป็นช่วง ๆ ในรอบวัน
ได้ โดยในระยะปัจจุบัน พบว่าพื้นที่ปากแม่น้ำแม่กลองบริเวณต่าง ๆ มีปริมาณ
ออกซิเจนละลายน้ำที่เปลี่ยนแปลงในช่วงกว้างขึ้น ประมาณ 2 – 9 มิลลิกรัมต่อลิตร
(คณะประมง 2562) ซึ่งถึงแม้ว่าสถานการณ์ปัญหาท่ีออกซิเจนละลายน้ำมีค่าต่ำ มักจะ
พบได้ไม่ชดั เจน เท่ากับในพน้ื ทีป่ ากแมน่ ้ำท่าจีนหรือปากแม่น้ำเจา้ พระยา อย่างไรก็ตาม
ตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นมา พื้นที่ปากแม่น้ำแม่กลอง ตลอดจนคลองสาขาต่าง ๆ
ของลุ่มน้ำทางตอนล่าง มีปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ ที่ต่ำกว่า 4 มิลลิกรัมต่อลิตร อยู่
บ่อยครั้ง ซึ่งนับเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง และสะท้อนภาพความเสื่อมโทรมของ
แหลง่ น้ำทีม่ ากข้ึนตามลำดับ
อนึ่ง การลดลงของปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ ในบริเวณแม่น้ำทางตอนล่าง
และในเขตปากแม่น้ำนั้น ส่วนใหญ่เกิดเนื่องจากการมีสารอินทรีย์ปนเปื้อนอยู่ในมวลนำ้
ในปริมาณมาก และเกิดการใช้ออกซิเจนโดยบทบาทของกลุ่มแบคทีเรีย ที่ทำการย่อย
สลายสารอินทรีย์ที่มีอยู่อย่างตลอดเวลา สถานการณ์ดังกล่าว แสดงถงึ สภาพปัญหาของ
มวลน้ำเสีย ที่พัดพาลงมาสู่ระบบนิเวศปากแม่น้ำ ซึ่งประกอบด้วยน้ำทิ้งจากชุมชน
บ้านเรือน และแหล่งโรงงานอุตสาหกรรม ที่ตั้งอยู่รายรอบแหล่งน้ำที่เรามี นอกจากนี้
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
76
ยังเกิดจากการปล่อยน้ำเสียจากฟาร์มปศุสัตว์ ลงมาในคูคลองรับน้ำบางแห่ง ซึ่งทำให้
แหลง่ นำ้ โดยรอบเกิดสภาวะการขาดออกซเิ จนอย่างรนุ แรงตามไปดว้ ย
สถานการณ์ปัญหาด้านการลดต่ำลงของออกซิเจนละลายน้ำดังที่กล่าวมา
นับเป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่งยวด ต่อความเป็นอยู่ของทรัพยากรสัตว์น้ำ และสิ่งมีชีวิต
ทางน้ำทุกชนิด สถานการณ์ปัญหาเหล่านี้ อาจสามารถบรรเทาเบาบางในบางช่วงได้
ด้วยการเร่งการระบายน้ำ เอามวลน้ำที่ดีลงมาช่วยบรรเทาเบาบางปัญหา และการใช้
เครือ่ งมอื ทางกายภาพเพ่ือเพ่มิ ออกซเิ จนใหแ้ หลง่ น้ำ
อย่างไรก็ตาม การพิจารณาแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ นับเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนควร
คำนึงถึง และหาทางร่วมมือกัน เพราะจะเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว เพื่อให้
ทรัพยากรในแหลง่ น้ำไดม้ เี สถยี รภาพ และเกิดความเป็นอยทู่ ีด่ ีได้ตอ่ ไป
3.2.2) แรธ่ าตอุ าหารในน้า
ในแหลง่ น้ำ พบสารละลายอยู่มากมายที่ถูกพัดพาให้เคลือ่ นย้ายไปตามลักษณะ
การไหลของน้ำ พร้อม ๆ กับการเกิดกระบวนการที่เปลี่ยนรูปร่าง เกิดปฏิกิริยาทาง
ชีวเคมี หรือมีการถูกใช้ไปหรือเติมเพิ่มเข้ามา ในระบบนิเวศของแหล่งน้ำไหลอย่าง
ตลอดเวลา (จารุมาศ 2564) การเกิดสารละลายต่าง ๆ ภายในระบบนิเวศแม่น้ำ ได้รับ
อิทธิพลจากทั้งการพัดพาลงมา (Runoff) จากแผ่นดินโดยรอบ การรับน้ำ หรือมวลสาร
ทม่ี าพร้อมกับการตกลงมาของหยาดน้ำฟ้า (Precipitation) การไหลเข้ามาจากแหล่งน้ำ
ใต้ดิน (Ground waters) ตลอดจนการรับน้ำทิ้งที่มาจากการใช้ประโยชน์โดยชุมชน
(Domestic discharges) รวมทั้ง กิจกรรมทางการเกษตรและอุตสาหกรรมต่าง ๆ
(Agricultural and industrial discharges)
สารละลายในนำ้ ทีน่ บั วา่ มคี วามเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่และการเปลีย่ นแปลง
ของประชากรของสิ่งมีชีวิตทางน้ำ โดยเฉพาะการมีบทบาทโดยตรงต่อระบบการผลิต
ขั้นต้น (โดยผู้ผลิตขั้นต้นต่าง ๆ อาทิ สาหร่าย พรรณไม้น้ำ และแพลงก์ตอนพืชในน้ำ)
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
77
ซึ่งทำใหเ้ กดิ ความอุดมสมบูรณ์ของทรพั ยากรทางน้ำ ทีม่ นุษย์เราจะนำไปใชป้ ระโยชน์ได้
ต่อไปนั้น เป็นสารละลายในน้ำ ที่จัดเป็น “สารอาหารพืช” หรือ ที่เรานิยมเรียกกันว่า
เปน็ “แรธ่ าตอุ าหาร” (Nutrients) นนั่ เอง
เมื่อพิจารณาในพื้นที่ลำธารและแม่น้ำที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก จะพบว่าความ
เขม้ ขน้ ของสารอนินทรยี ท์ ้งั ไนโตรเจนและฟอสฟอรสั ได้รับอทิ ธิพลจากการใช้ประโยชน์
ในที่ดินโดยรอบอย่างชัดเจน ทั้งนี้ แทบไม่พบว่าลักษณะทางธรณีวิทยาจะมีบทบาท
ต่อความเข้มข้นแต่อย่างใด และพบอีกว่าพื้นที่ทำกิจกรรมทางการเกษตร โดยเฉพาะ
การปลูกพืชผล ซึ่งมีการใช้ปุ๋ยนั้น มีบทบาทชัดเจนต่อระดับของสารอนินทรีย์ไนโตรเจน
อย่างไรก็ตาม ในลำธารเขตป่าไม้ ที่มีโครงสร้างทางธรณีวิทยาของแผ่นดินที่จำเพาะ
อาจส่งผลให้ระดับของฟอสเฟตมีค่าสูงตามธรรมชาติ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการใช้ที่ดิน หรือการ
ปล่อยนำ้ เสยี จากชมุ ชนใด
ตัวอย่างเช่น ในการศึกษาสถานการณ์คุณภาพน้ำของลำธารต้นน้ำ ในอุทยาน
แห่งชาติแก่งกระจาน (จารุมาศและคณะ 2552) สามารถพบระดับของแอมโมเนียม
ไนโตรเจนที่ค่อนข้างสูง (ค่าสูงสุดมากกว่า 25 ไมโครโมลาร์) ซึ่งไม่ถือว่าเป็นเรื่อง
ผิดปกติ ทั้งนี้ เนื่องจากมวลน้ำในพื้นที่เหล่านั้น โดยส่วนใหญ่ มีแหล่งที่มาจากน้ำใต้ดิน
รวมทั้งมีลำห้วยหรือแอ่งน้ำขนาดเล็ก ที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุอาหาร ที่เกิดจากการย่อย
สลายของใบไมก้ ง่ิ ไม้ และซากพืชซากสัตว์ ทีท่ ับถมลงมาอยู่ ไดต้ ลอดเวลา
ถึงแม้ว่าในบางขณะ หรือบางช่วงของแม่น้ำ จะพบระดับความเข้มข้นของ
แร่ธาตุอาหารหลักในแม่น้ำลำธารมีค่าสูง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ของแหล่งน้ำนิ่ง
ประเภททะเลสาบ จะพบว่าอยู่ในระดับที่อาจมากพอที่สามารถกระตุ้นให้เกิดปัญหา
ยูโทรพิเคชันได้แล้วนั้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความจำเพาะของระบบน้ำไหล ซึ่งมี
กระแสน้ำเคลื่อนตัวหมุนเวียนไปอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งยังมีการเคลื่อนที่อย่างไม่มี
ทศิ ทาง และไหลลงไปตามลำดับความลาดชนั ของพื้นที่ ปญั หายโู ทรพิเคชนั ในลักษณะที่
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
78
ทำให้แพลงก์ตอนพืชเกิดการเพิ่มจำนวน หรือการพบสาหร่ายเกิดได้อย่างหนาแน่น
ในพื้นทีแ่ มน่ ำ้ จึงเป็นไปได้คอ่ นข้างยาก และถกู ควบคมุ ดว้ ยปัจจยั รว่ มอื่น ๆ ด้วย
อนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง สารละลายฟอสฟอรัส และ สารละลาย
ไนโตรเจน ในภาพรวมแล้วเราพบว่า สารละลายฟอสฟอรัส นับเป็น “ปัจจัยจำกัด”
(Limiting factor) ที่มีบทบาทต่อการยับยั้ง หรือกระตุ้นการเจริญเติบโตของสาหร่ายที่
พบในพนื้ ทแ่ี มน่ ้ำลำธารได้มากกวา่
ปริมาณแรธ่ าตอุ าหารในพ้นื ท่ีล่มุ น้าแม่กลอง
การศึกษาปริมาณแรธ่ าตุอาหารในพื้นทีล่ ุ่มน้ำแม่กลอง ที่ครอบคลุมบริเวณ 38
สถานี สำรวจในเขตแม่น้ำตั้งแต่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี ถึงจังหวัด
สมุทรสงคราม ในช่วงปี พ.ศ. 2548 - 2551 (บุณฑริกา 2554) พบว่าความเข้มข้นของ
แอมโมเนียมในน้ำจะมีปริมาณเพิ่มข้ึนเมือ่ เข้าสู่พื้นที่ปากแมน่ ้ำ โดยเฉพาะในเขตอำเภอ
เมืองสมุทรสงคราม ซึ่งในช่วงกลางฤดูน้ำหลาก (เดือนกันยายน) ปี พ.ศ. 2548 พบ
ระดับของแอมโมเนียมสูงที่สุด เท่ากับ 76.5 ไมโครโมลาร์ ส่วนระดับของแอมโมเนียม
สูงสุดในพื้นที่ตอนบน และตอนกลาง มีค่าเท่ากับ 19.0 และ 35.7 ไมโครโมลาร์
ตามลำดบั
ซึ่งในภาพรวมพบว่า พื้นที่ตอนบน มีแนวโน้มการสะสมน้อยกว่าในพื้นท่ี
ตอนกลาง และพื้นที่น้ำกร่อยตอนล่าง ลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงสถานภาพการ
ปนเปอื้ นที่เกดิ จากกจิ กรรมการใช้ประโยชนข์ องพน้ื ที่ ที่ส่งผลตอ่ ระบบนิเวศของแมน่ ำ้
สำหรับระดับความเข้มข้นของไนไตรท์และไนเตรท มีค่าที่ต่ำกว่าแอมโมเนียม
โดยมีค่าสูงสุดในพื้นที่ตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง เท่ากับ 23.6, 21.3 และ 24.8
ไมโครโมลาร์ ตามลำดับ ทั้งนี้ ระดับความเข้มข้นของไนไตรท์และไนเตรท มีค่าสูงข้ึน
ในช่วงกลางฤดูน้ำหลากเช่นเดียวกัน โดยมีแหล่งที่มาสำคัญจากกิจกรรมทางการเกษตร
(โดยเฉพาะในเขตจังหวัดสมุทรสงคราม ที่มีการใช้ประโยชน์พื้นที่ด้านเกษตรกรรม
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
79
ประมาณ 85 % ของพื้นที่) การใช้ปุ๋ยเคมีที่มีองค์ประกอบของธาตุไนโตรเจนในพื้นที่
เกษตรกรรมโดยรอบพื้นที่แม่น้ำนั้น เมื่อเกิดการชะล้างโดยน้ำฝนผ่านพื้นท่ี จะทำให้
สารละลายไนโตรเจนต่าง ๆ ถูกกระจายลงสแู่ หล่งน้ำได้
การศึกษาในระยะหลัง ช่วงประมาณ 3 – 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการศึกษา
ติดตามกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ ทั้งในช่วงฤดูแล้ง ช่วงต้น
มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และช่วงมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ตลอดจนบทบาทของ
ลักษณะทางนิเวศอุทกวิทยาในพื้นที่ปากแม่น้ำแม่กลอง (คณะประมง 2562) พบว่า
ความแรงของมรสุม การเคลื่อนตัวของน้ำ ปริมาณมวลน้ำจากแผ่นดิน ตลอดจน
โครงสร้างของพื้นที่ จัดเป็นปัจจัยหลักที่มีบทบาทอย่างชัดเจน ต่อการเปลี่ยนแปลง
คุณภาพสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางน้ำ โดยทั้งนี้ พบว่าปริมาณาแร่ธาตุอาหารใน
พื้นที่ปากแม่น้ำ อาทิ สารอนินทรีย์ไนโตรเจนละลายน้ำ และออร์โธฟอสเฟต มีค่าเฉล่ีย
ที่สูงมากขึ้นในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งมีมวลน้ำจากแผ่นดินน้อยลง และมีแนวโน้มของการเพ่ิม
สงู ขึ้นตามรายปอี ีกด้วย
ในส่วนของออร์โธฟอสเฟตนั้น พบความเข้มข้นสูงที่สุด ในเขตน้ำกร่อยของ
พื้นท่ีจังหวัดสมุทรสงคราม (มากกว่า 2 ไมโครโมลาร์) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบ
ที่เกิดจากการใช้ประโยชน์พื้นที่ ทั้งทางด้านการเกษตร น้ำทิ้งจากชุมชน ตลอดจน
สิ่งปนเปื้อนที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมโดยรอบ นอกจากนี้ ยังเกิดจากการจำกัด
ในเชิงการไหลของมวลน้ำ หรอื การขาดปรมิ าณน้ำระบายอย่างเพียงพอในบางบรเิ วณ
ในภาพรวมพบวา่ พ้ืนทล่ี ุ่มน้ำแม่กลองทางตอนล่าง ถงึ เขตปากแม่นำ้ มปี ริมาณ
ออร์โธฟอสเฟตที่สูงเกินกว่าเกณฑ์ของ ASEAN Marine Water Quality (0.48 ไมโคร
โมลาร์; Chongprasith et al. 1999) และมีคา่ สูงกวา่ เกณฑค์ ณุ ภาพน้ำของกรมควบคมุ
มลพิษ (1.45 ไมโครโมลาร์) เพื่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง (กรมควบคุมมลพิษ
2549)
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
80
ทั้งนี้ ระดับความเข้มข้นออร์โธฟอสเฟต เพียง 1 ไมโครโมลาร์ จัดเป็นระดับท่ี
ก่อให้เกิดปัญหาการสะพรั่งของพืชน้ำ (ปัญหายูโทรฟิเคชัน) ในระบบนิเวศน้ำกร่อยได้
(Meksumpun and Meksumpun 2010)
สถานการณ์ท่ีระดับของออร์โธฟอสเฟตมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว สะท้อนถึง
ปัญหาความเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำที่มีมากขึ้น ซึ่งควรได้รับการพิจารณาร่วมกัน เพื่อ
หาทางแก้ปญั หา และฟน้ื ฟรู ะบบนเิ วศแหล่งนำ้ อยา่ งเหมาะสมต่อไป
3.2.3) คลอโรฟิ ลล์ในน้า
ในพื้นท่ีลุม่ น้ำแม่กลองนนั้ พบว่าความเข้มข้นของคลอโรฟลิ ล์ มีค่าเพ่ิมมากกว่า
10 เท่า เมื่อเข้าสู่เขตพื้นที่ตอนล่างของเขตน้ำกร่อย (มากกว่า 10 ไมโครกรัมต่อลิตร)
ซึ่งเป็นสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นถึงการสะพรั่งของแพลงก์ตอนพืช และมีสีของน้ำ
ที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน (โดยสามารถความหนาแน่นของแพลงก์ตอนพืช มากกว่า
100,000 หน่วยตอ่ ลติ ร ได)้
ผลการศึกษาด้านบทบาทของแร่ธาตุชนิดต่าง ๆ ที่เข้าสู่ลุ่มน้ำ ในพื้นที่ทาง
ตอนกลางและตอนล่างของลุ่มน้ำแม่กลอง ต่อปริมาณแพลงก์ตอนพืชในรูปของ
คลอโรฟิลล์เอ (บณุ ฑริกา 2554) พบวา่ คลอโรฟลิ ล์เอ (Chl) ตอบสนองตอ่ ความเข้มข้น
ของ แอมโมเนียม (N) ฟอสเฟต (P) และซิลิเกต (Si) ที่มีในน้ำ อย่างมีนัยสำคัญ (ตาม
สมการ; Chl = 0.11N + 0.30P + 0.03Si) โดยมีระดับความสัมพันธ์ที่สูงถึง 77 % ผล
การศึกษาดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถงึ อิทธพิ ลของแรธ่ าตุชนดิ ตา่ ง ๆ ที่มีตอ่ การเพ่มิ ความ
หนาแน่นของแพลงก์ตอนพืช ซึ่งหากเราสามารถควบคุมระดับอนินทรีย์ไนโตรเจน
ที่ละลายน้ำและออร์โธฟอสเฟต ให้มีความเข้มข้นไม่เกิน 20 และ 1 ไมโครโมลาร์
ตามลำดับ ก็จะสามารถอนุรักษ์สภาพตามธรรมชาติของแพลงก์ตอนพืช ในพื้นที่ ให้มี
ค่าเฉล่ยี ของคลอโรฟิลลต์ ามสมดลุ เดมิ (ประมาณ 4.4 ไมโครกรมั ต่อลิตร) เอาไวไ้ ด้
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
81
ในพื้นที่น้ำกร่อย เขตจังหวัดสมุทรสงครามนั้น มักพบระดับความเข้มข้นของ
คลอโรฟิลล์ที่สูงขึ้น (ตั้งแต่ 10 ไมโครกรัมต่อลิตร ขึ้นไป) โดยจัดเป็นระดับเริ่มต้นของ
การสะพรง่ั ของแพลงกต์ อนพืช ซ่งึ แสดงใหเ้ หน็ การเปลย่ี นสขี องน้ำ ท่เี ปน็ ผลกระทบจาก
การที่ในพื้นที่แม่น้ำแม่กลองตอนล่างนี้ มีสารอนินทรีย์ไนโตรเจนและออร์โธฟอสเฟต
ฟอสฟอรัสที่สูงมากเกินควร ซึ่งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องพิจารณา และหาทาง
ควบคุมดแู ล และฟื้นฟูสภาพทางธรรมชาติเทา่ ทจี่ ะทำไดก้ ันตอ่ ไป
3.2.4) ความเป็ นกรด-เบสของน้า
โดยทั่วไประดับของความเป็นกรด-เบส (pH; ค่าพีเอช) ในแหล่งน้ำประเภท
แม่นำ้ จะมคี ่าเท่ากบั 7 (ส่วนในเขตปากแม่นำ้ จะมีคา่ เฉล่ียอยู่ระหว่าง 7.5 - 8.5) ระดับ
พีเอชดังกล่าว ถูกให้ความสำคัญมาแต่ดั้งเดิม เนื่องจากมีบทบาทต่ออุตสาหกรรม
การผลิตน้ำประปาในประเทศ ทั้งน้ี หากค่าพีเอชสูงเกินกว่า 8.5 จะมีผลกระทบต่อ
ระบบการเติมคลอรีนเพื่อทำความสะอาดน้ำ และเพื่อให้การนำน้ำมาใช้ในระบบ
ดังกล่าวเกิดประสิทธิภาพ หน่วยงานที่ควบคุมระบบจะเฝ้าระวังมิให้ค่าพีเอชมีการ
แปรผันอยนู่ อกพสิ ยั ระหว่าง 6.5 - 8.5
ในกรณีที่น้ำมีค่าพีเอชอยู่นอกพิสัยดังกล่าว นอกจากมีผลกระทบต่อการทำ
น้ำประปาแล้ว ยังจะทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวหนัง และเยื่อตาของมนุษย์เรา
และทำให้เกิดผลกระทบในทางลบตอ่ การเจริญเติบโตของพชื และสตั ว์ตา่ ง ๆ ที่อาศัยอยู่
ในน้ำ
ค่าพีเอชที่ต่ำของน้ำ หากเป็นพื้นที่ที่มีการปลูกข้าวแล้ว รากของข้าวจะได้รับ
ความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง โดยจะเกิดการละลายของเกลือออกมาจาก
โครงสรา้ งเซลล์ ขณะทคี่ ่าพเี อชที่สงู จะทำให้บรเิ วณใบมสี ซี ดี จางจนขาว โดยท่ัวไปพบว่า
ค่าพเี อชทท่ี ำให้พืชเจรญิ เติบโตไดอ้ ยา่ งปกติ จะอย่ใู นช่วง 6.5 - 7.5 ดังนัน้ ค่ามาตรฐาน
คุณภาพน้ำของปัจจัยพีเอชสำหรับเป้าหมายในการใช้ประโยชน์จากน้ำเพื่อการกสิกรรม
จึงมกั ถูกกำหนดใหอ้ ยใู่ นชว่ งของ 6.5 - 7.5 นน่ั เอง
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
82
ความเป็ นกรด-เบสของน้าในพ้นื ที่ล่มุ น้าแมก่ ลอง
ในลุ่มน้ำแม่กลอง พบว่าค่าพีเอชของน้ำค่อนข้างคงที่ มีความแปรปรวนใน
แต่ละพื้นที่ค่อนข้างน้อย ผลการศึกษาในพื้นที่ลำธารน้ำตก และในเขตอุทยานแห่งชาติ
ต่าง ๆ มักสะท้อนให้เห็นค่าพีเอชที่สูงกว่า 7.5 ซึ่งเป็นตามธรรมชาติของพื้นที่ เกิดจาก
อิทธิพลจากลักษณะทางธรณีวิทยาที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาหินปูน (จารุมาศและคณะ
2555) อย่างไรก็ตาม ค่าพีเอชมีแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นเล็กน้อย ใน
บริเวณพื้นท่ีตอนบนที่ตั้งอยู่เหนือเขื่อนแม่กลอง และในบริเวณรอยต่อของพื้นที่
ตอนกลางและเขตน้ำกร่อยตอนล่างสุด ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการไหลของน้ำ
รวมทงั้ เกิดจากการเพ่มิ จำนวนพรรณไม้ อนิ ทรียส์ าร และแพลงกต์ อนขึน้ มาในแหลง่ น้ำ
การเพิ่มของค่าพีเอชที่สูงขึ้นเล็กน้อย (ประมาณ 8 - 8.5) ยังพบได้ในบริเวณท่ี
ได้รับอิทธิพลจากการขึ้นลงของน้ำทะเล (เป็นลักษณะทางธรรมชาติของน้ำทะเล)
สำหรับค่าพีเอชที่พบสูงขึ้นได้มาก (ประมาณ 8.5 – 9) มักพบในช่วงปรากฏการณ์
น้ำทะเลเปลี่ยนสี ในเขตปากแม่น้ำตอนกลางถึงตอนนอก (จารุมาศ 2563) ซึ่งบริเวณ
ดังกล่าว สามารถพบปริมาณแพลงก์ตอนพืชที่มีความหนาแน่นสูงมาก โดยหากทำการ
ตรวจวดั คา่ พีเอชในช่วงกลางวัน หรือชว่ งที่มีแสงแดดจดั แพลงก์ตอนพืชเหล่าน้ันจะเกิด
กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ซ่ึงส่งผลใหค้ ่าพีเอชของนำ้ เพิม่ สงู ข้นึ ได้
3.2.5) การบรโิ ภคออกซิเจนโดยจุลินทรีย์ในน้า
การบริโภคออกซิเจนโดยจุลินทรีย์ในน้ำ (Biochemical oxygen demand;
ค่าบีโอดี) เป็นค่าที่ถูกกำหนดให้ใช้พิจารณาสำหรับแหล่งน้ำประเภทแม่น้ำ เนื่องจาก
ความจำเป็นในการติดตามตรวจสอบด้านศักยภาพในการบำบัดตัวเองตามธรรมชาติ
ของแหล่งน้ำ ซึ่งในขณะเดียวกัน ยังสะท้อนสภาวะการปนเปื้อนของอินทรีย์สาร
ในมวลน้ำ
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
83
โดยทั่วไปแหล่งน้ำที่มีค่าบีโอดีที่น้อยกว่า 1 มิลลิกรัมต่อลิตร เป็นแหล่งน้ำท่ี
ค่อนข้างเป็นธรรมชาติที่สะอาดมาก ยังไม่ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมของมนุษย์ และ
เป็นแหล่งน้ำที่มีศักยภาพในการส่งเสริมเป็นแหล่งอนุรักษ์ เพื่อการดูแลให้เป็นแหล่งน้ำ
สะอาด หรือเพื่อการสงวนไว้ซึ่งทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำ
ในกรณีที่ระดับของบีโอดีในน้ำที่นำมาใช้เพื่อการผลิตน้ำดื่ม มีค่าสูงเกินกว่า 3 มิลลิกรมั
ต่อลิตร กระบวนการผลิตจะถูกกระทบกระเทือน เนื่องจากปัญหาการตกตะกอนและ
การกรองทรายที่จำเป็นต้องเพิ่มมากขึ้น ทำให้ต้นทุนทั้งด้านวัตถุดิบและเวลาสูงขึ้นได้
ดังนั้น ในกรณีที่แหล่งน้ำมีเป้าหมายในการถูกนำมาใช้เพื่อประโยชน์ในการผลิตน้ำด่ืม
ควรจะควบคุมคา่ บโี อดใี นระดับไมเ่ กนิ 2 – 3 มลิ ลิกรัมตอ่ ลติ ร
สำหรับในแหล่งน้ำที่มีเป้าหมายเพื่อการอนุรักษทรัพยากรประมง หากเป็นใน
พื้นที่ลำธารน้ำสะอาด เราจำเป็นที่จะต้องควบคุมค่าบีโอดีให้ต่ำ เนื่องจากปลาในเขต
ต้นน้ำลำธาร ชอบอาศัยในน้ำที่มีค่าบีโอดีต่ำกว่า 2 มิลลิกรัมต่อลิตร ส่วนในกรณีที่เป็น
การอนุรักษ์ปลาในแหล่งน้ำอื่น ๆ โดยทั่วไปก็มักจะกำหนดระดับให้เอื้อต่อความเป็นอยู่
หรอื ไมเ่ กดิ ปญั หาตอ่ ระดบั ออกซิเจนในนำ้ โดยใหม้ คี า่ ท่ตี ่ำกว่า 3 มิลลิกรมั ต่อลติ ร
3.2.6) ของแข็งแขวนลอยในน้า
ปรมิ าณของแขง็ แขวนลอยในน้ำ มีแนวโนม้ ท่ีเพิม่ ขึ้นในพน้ื ทปี่ ากแมน่ ้ำแม่กลอง
ได้อย่างชัดเจน (ภาพที่ 3-3) ซึ่งจะมีค่าที่สูงกว่าในระบบนิเวศของลำน้ำทางตอนบน
ซึ่งโดยทัว่ ไปปรมิ าณของแข็งแขวนลอย (Suspended solids) ในแม่นำ้ ควรมีคา่ ตำ่ กว่า
25 มิลลิกรัมต่อลิตร ทั้งนี้ เพื่อป้องกันปัญหาผลกระทบที่จะเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศ
ความเข้มข้นในปริมาณของแข็งแขวนลอยที่สูงเกินไป จะมีผลต่อระบบการทำงานของ
เหงือกปลา และส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในน้ำ
(โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติกรรมการหาอาหารแบบกรองกิน) นอกจากนี้ ปริมาณของแข็ง
แขวนลอยยังมีบทบาทต่อกิจกรรมการใช้น้ำเพื่อทำการเกษตร ทั้งนี้เนื่องจากค่าที่สูง
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
84
จะไปลดขนาดของช่องว่างระหว่างอนุภาคดินตะกอน ซึ่งจะขัดขวางการแพร่ผ่าน
ของสารต่าง ๆ ในดินได้
ภาพท่ี 3-3 ลกั ษณะของของแข็งแขวนลอย ทเ่ี กิดจากการฟงุ้ กระจายของผวิ หน้าดนิ
บรเิ วณปากแม่นำ้ โดยอทิ ธพิ ลจากการข้ึนลงของน้ำทะเล และคลน่ื ลมในพืน้ ที่
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
85
ปริมาณของแข็งแขวนลอยในพ้นื ท่ีล่มุ น้าแม่กลอง
การศึกษาปริมาณของแข็งแขวนลอยในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่กลอง ที่ครอบคลุม
บริเวณ 38 สถานี สำรวจในเขตแม่น้ำตัง้ แต่จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี ถึงจังหวัด
สมุทรสงคราม ในช่วงปี พ.ศ. 2548 - 2551 (บุณฑริกา 2554) พบค่าในช่วงกว้าง
โดยปริมาณของแข็งแขวนลอยค่าสูงในเขตพื้นที่ตอนล่างและบริเวณปากแม่น้ำ และ
สะท้อนให้เห็นถึงของเสียในรูปสารอินทรีย์ หรือสารอนินทรีย์ที่แขวนลอยในมวลน้ำ
ท่ีมาจากการใช้ประโยชน์ในกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของพ้ืนท่โี ดยรอบ
ตารางท่ี 3-1 การเปลีย่ นแปลงของปริมาณของแขง็ แขวนลอยในมวลน้ำ
ของพืน้ ท่ปี ากแม่น้ำแม่กลอง ในช่วงปี พ.ศ. 2548 – 2560
ที่มา: ปรับปรุงจาก คณะประมง (2562)
ปที ศี่ กึ ษา ปรมิ าณของแขง็ แขวนลอย (mg/L) แหลง่ ท่มี า
2548 ต้นฤดนู ้ำหลาก กลางฤดูน้ำหลาก บณุ ฑรกิ า (2554)
2549 ชยารตั น์ (2550)
2549 31 – 110 9 - 19 บณุ ฑรกิ า (2554)
2550 บุณฑริกา (2554)
2551 4 – 43 4 - 65 บณุ ฑริกา (2554)
2560 คณะประมง (2562)
9 – 187 -
30 – 96 36 - 65
8 – 33 -
55 – 339 28 - 196
ในงานศึกษาวิจัยระยะปัจจุบัน พบว่าปริมาณของแข็งแขวนลอยในน้ำมี
แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ปากแม่น้ำแม่กลอง รวมทั้งในเขตน้ำกร่อยที่ได้รับอิทธิพลของ
การขึ้นลงของน้ำทะเล โดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูน้ำหลาก ซึ่งพบสูงสุดถึงประมาณ 340
มลิ ลกิ รมั ตอ่ ลติ ร (ตารางที่ 3-1: คณะประมง 2562, จารมุ าศ 2563) โดยพบวา่ หากเป็น
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
86
ในช่วงที่น้ำเกิดและอยู่ในช่วงแล้งของรอบปี การขึ้นลงของน้ำทะเลจะส่งผลให้เกิดการ
กัดเซาะของผิวหน้าดินเลน ที่มีในพื้นที่ดอนต่าง ๆ ในเขตปากแม่น้ำ ให้ฟุ้งกระจาย
ขึ้นมา (ภาพที่ 3-4) และทำให้น้ำเกิดความขุ่นสูงขึ้น จากการที่มีปริมาณของแข็ง
แขวนลอยเพม่ิ ขนึ้ มาอย่างชัดเจนได้
3.2.7) โคลฟิ อร์มแบคทเีรยี ในน้ำ
โดยปกตโิ คลฟิ อรม์ แบคทเี รีย (Coliform bacteria) โดยตวั ของมันเอง ไมไ่ ด้กอ่
ผลกระทบโดยตรงต่อมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ระดับที่ปรากฏจะสามารถใช้เป็นตัวชี้วัด
“โอกาส” ในการพบแบคทีเรียอื่น ที่จะก่อให้เกิดโรคต่อมนุษย์เราได้ ด้วยเหตุดังกล่าว
ปริมาณโคลิฟอร์มแบคทีเรียจึงไม่ควรพบในน้ำที่คนเราใช้ดื่มกิน นอกจากนี้ น้ำดิบจาก
แหล่งน้ำที่ดี ซ่ึงเหมาะสมในการนำมาฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนเพื่อการบริโภคนั้น ควรมี
ปรมิ าณโคลฟิ อรม์ แบคทีเรียแรกเร่ิมไมเ่ กิน 50 MPN/100 มลิ ลลิ ิตร
อยา่ งไรก็ตาม ในกรณีท่ีสามารถบำบัดนำ้ ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพสูงมากขึน้ โคลิ
ฟอร์มแบคทเี รียแรกเริ่ม ทกี่ ำหนดสำหรบั ระบบอุตสาหกรรมการผลิตน้ำดืม่ อาจอนุโลม
ให้มีได้ ไม่เกิน 2,500-5,000 MPN/100 มิลลิลิตร ส่วนการใช้น้ำเพื่อนำมาอาบน้ัน
ระดับมาตรฐานได้ถูกกำหนดให้มีไม่เกิน 1,000 MPN/100 มิลลิลิตร ทั้งนี้ เพื่อความ
ปลอดภยั ของผูใ้ ชน้ ้ำ เป็นสำคญั (กรมควบคุมมลพิษ 2549)
จากข้อมูลความรู้ด้านเกณฑ์หรือมาตรฐานคุณภาพน้ำที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า
การประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อประเมินว่าแหล่งน้ำธรรมชาติที่เราสนใจอยู่ในสถานการณ์
คุณภาพน้ำที่ดี ปานกลาง หรือกำลังเสื่อมโทรมลงอย่างไรนั้น จะขึ้นอยู่กับเป้าหมาย
ในการใช้ประโยชน์ หรือผ้ใู ชป้ ระโยชนจ์ ากแหลง่ นำ้ นนั้ เป็นสำคญั
ในกรณีที่นำเกณฑ์หรือมาตรฐานคุณภาพน้ำ สำหรับปัจจัยทางด้านออกซิเจน
ละลายน้ำ ค่าความเป็นกรด-เบส และปริมาณตะกอนแขวนลอย มาใช้พิจารณา มักเป็น
กรณีที่ให้ความสำคัญกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำเป็นหลัก ในขณะที่การประยุกต์ใช้
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
87
เกณฑ์สำหรับปัจจัยทางด้าน การปนเปื้อนของโคลิฟอร์มแบคทีเรีย มาประเมินคุณภาพ
นำ้ กม็ กั จะเปน็ การใหค้ วามสำคัญในการนำน้ำ มาใช้ประโยชน์เพอ่ื มนษุ ย์เรามากกว่า
3.2.8) อัตราการไหลและความเร็วของน้า
ปัจจัยด้านอัตราการไหลและความเร็วของน้ำ นับเป็นปัจจัยที่ควบคุม
กระบวนการเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ ทางเคมี ตลอดจนลกั ษณะความหลากหลายทาง
ชีวภาพของสิ่งมีชีวิต ปัจจัยด้านอัตราการไหลและความเร็วของน้ำจะมีความแตกต่าง
ไปตามฤดูกาลอย่างชัดเจน โดยมีระดับที่ต่ำลงในช่วงหน้าแล้ง และเพิ่มสูงขึ้นในช่วง
ฤดูฝน หรือในชว่ งฤดูนำ้ หลาก
การเปลี่ยนแปลงของปัจจัยดังกล่าว มีบทบาทต่อการเคลื่อนย้าย และการตก
สะสมของอินทรีย์สารที่ถูกพัดพาลงมาในบริเวณต่าง ๆ ของแม่น้ำ และยังเกี่ยวข้องกับ
การแพร่กระจายของแร่ธาตุอาหารในมวลน้ำ โดยมักพบความเข้มข้นของแร่ธาตุอาหาร
ในพื้นที่แม่น้ำตอนล่าง มากกว่าในลำธารเขตต้นน้ำ ทั้งนี้ เนื่องจากอิทธิพลจากการ
กัดเซาะ และชะล้างจากพื้นที่แผ่นดินโดยรอบที่ไหลรวมลงมา และจากเขตชุมชน พื้นที่
ทำการเกษตร ปศุสัตว์ และอตุ สาหกรรมที่มกี ารปล่อยทง้ิ น้ำลงมาสพู่ ืน้ ที่แมน่ ำ้
ลักษณะการไหลของน้ำที่มีความเร็วลดระดับลง เมื่อกลายมาเป็นสภาพของ
แม่น้ำทีอ่ ยใู่ นพืน้ ที่ราบ และมคี วามลาดชนั ตำ่ มวลน้ำจะมกี ารเคล่อื นตวั ช้าลงตามลำดับ
ความแตกต่างในลักษณะการไหลของน้ำส่วนต่าง ๆ ในแม่น้ำที่ลดหลั่นกันลงมานั้น
เสมือนการมีกรอบทางด้านอุทกวิทยา ที่ทำให้แต่ละพื้นที่แม่น้ำ มีลักษณะทางกายภาพ
ทางเคมี และองค์ประกอบในชนิด และปริมาณของสิง่ มีชวี ติ ที่แตกต่างกนั ไป
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ทำให้มีการจัดแบ่งระบบแม่น้ำ ออกเป็น 3 ส่วน
ประกอบด้วยระบบแม่น้ำตอนบน ตอนกลาง และตอนล่าง ตามลำดับ แนวคิดในการ
จัดแบ่งส่วนนี้ ทำให้นักนิเวศวิทยาสามารถวิเคราะห์รูปแบบการแพร่กระจาย และการ
ตอบสนองตอบของสิ่งมีชีวิตในแต่ละส่วนได้ชัดเจนขึ้น และยังทำให้สามารถกำหนด
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
88
ปจั จยั สงิ่ แวดล้อม ทส่ี ามารถใชเ้ ปน็ ดัชนชี ี้วัด ซึ่งสะทอ้ นภาพการตอบสนองของสิ่งมีชวี ิต
ไดเ้ หมาะสม และสอดคลอ้ งกบั สภาพธรรมชาตใิ นแต่ละสว่ นไดอ้ ย่างรัดกุมขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราพิจารณาสถานการณ์ความอุดมสมบูรณ์แหล่งน้ำ
ประเภทลำธารต้นน้ำ ซึ่งเป็นระบบแม่น้ำตอนบน จะพบว่าบริเวณที่มีการไหลของน้ำ
ที่แรง จะมีการเกิดความหนาแน่นของแพลงก์ตอนพืชในมวลน้ำท่ีต่ำ และมักพบผู้ผลิต
ขั้นต้นในกลุ่มสาหร่าย หรือพรรณไม้น้ำท่ียึดเกาะกับพื้นท้องน้ำได้ดี มากกว่าการพบ
ปริมาณของแพลงก์ตอนพืช ด้วยเหตุดังกล่าว การประยุกต์ใช้ระดับความหนาแน่นของ
สาหร่ายที่ขึ้นบริเวณพื้นท้องน้ำ รวมทั้งซากพรรณพืชใต้น้ำที่ถูกพัดพาลงมา จึงใช้
ประเมินระดบั ความอดุ มสมบูรณ์ของพ้ืนท่ีระบบแม่น้ำตอนบนในเบ้อื งตน้ ได้
นอกจากนี้ เนื่องจากพื้นที่ลำธารและแม่น้ำขนาดเล็กส่วนใหญ่ มีการเกิดของ
ผลผลิตภายในห่วงโซ่อาหาร ที่พัฒนาจากอินทรีย์สารซึ่งถูกพัดพาลงมาจากบริเวณ
โดยรอบ มากกวา่ จากการผลิตของผผู้ ลิตข้ันต้นภายในลำธารน้ำ
ดังนั้น การติดตามระบบนิเวศแม่น้ำลำธาร โดยเฉพาะด้านความอุดมสมบูรณ์
ในภาพรวมของพื้นท่ี จึงมีความแตกต่างจากการประเมินระบบนิเวศของแม่น้ำ
ทางตอนล่าง ซึ่งเราควรพิจารณาจากระดับของอินทรีย์สาร ที่ถูกพัดพาเข้าสู่ระบบลำ
ธารในแต่ละบรเิ วณ มากกว่าประเมนิ จากมวลชีวภาพ ของผู้ผลติ ขั้นต้นที่มใี นพนื้ ทน่ี น้ั ๆ
3.2.9) สถานการณ์คุณภาพน้าภาพรวมในพ้นื ท่ีปากแม่น้า
ผลการศึกษาติดตามประชากรของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ๆ ในพื้นที่เขตปากแม่น้ำ
แม่กลอง (อัจฉราภรณ์ 2552) พบว่า แพลงก์ตอนพืชในปากแม่น้ำ ส่วนใหญ่เป็นการ
ผสมผสานของแพลงก์ตอนพืชชนิดต่าง ๆ ในกลุ่มไดโนแฟลคเจลเลท (อาทิ Noctiluca
และ Ceratium) และกลุ่มไดอะตอม (อาทิ Chaetoceros และ Nitzschia) โดยในช่วง
ปี พ.ศ. 2524 – 2544 พบชนิดเดน่ คอื Noctiluca scintillan
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
89
อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังจากนั้น (ปี พ.ศ. 2547 – 2551) พบการเพิ่มความ
หลากหลายทางชนิดและปริมาณของแพลงก์ตอนพืชที่มากขึ้น นอกจากนี้ ยังพบไดโน
แฟลคเจลเลท ชนิดที่สามารถสร้างสารพิษ อาทิ Dinophysis caudata (สร้างสารพิษ
ประเภท Diarrhetic Shellfish Poisoning; DSP) ซ่ึงมผี ลกระทบต่อทางเดนิ อาหาร ทำ
ให้เกดิ อาการทอ้ งร่วง อาเจียน ปวดศรี ษะ และสามารถกอ่ ใหเ้ กิดมะเรง็ ในระบบทางเดิน
อาหารได้
ผลจากการศึกษาดังกล่าวยังได้ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์
คณุ ภาพน้ำในพนื้ ท่ี โดยเฉพาะ การลดลงของปริมาณตะกอน ท่ีพัดพาลงมา ซ่ึงเปน็ การ
ลดปรมิ าณของเขง็ แขวนลอยรวม (Total Suspended Solids; TSS) ทแี่ ต่เดมิ เคยมคี า่
สูงมากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อลิตร ได้ลดลงอย่างมาก จนน้ำมีลักษณะที่ใสขึ้น และ
นับเป็นสาเหตุที่สำคัญหนึ่งของการเกิดแพลงก์ตอนบลูม หรือการเกิดปรากฏการณ์
นำ้ ทะเลเปลีย่ นสี (Red Tides) ไดอ้ ยา่ งบอ่ ยครั้งขนึ้ ในพ้ืนท่ปี ากแมน่ ำ้
อนึ่ง ในพื้นท่ีปากแม่น้ำแม่กลอง ที่ประกอบด้วยดอนหอยหลอด และบริเวณท่ี
เชื่อมต่อโดยรอบนั้น นับเป็นบริเวณท่ีได้รบั ทั้งอิทธิพลจากมวลนำ้ จืด ซึ่งพัดพามวลสาร
มาจากพ้นื ทีต่ อนบนของแม่นำ้ และอทิ ธิพลจากกระบวนการข้ึนลงของนำ้ ทะเล ได้อย่าง
ผสมผสานกัน เราจะพบการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยคุณภาพน้ำ ที่มีความแตกต่างกัน
ในแต่ละช่วงเวลาอย่างชัดเจน โดยพบว่า ค่าความเค็ม มีการเปลี่ยนแปลงตามบริเวณที่
สำรวจและฤดูกาล โดยในช่วงฤดูน้ำหลาก ค่าความเค็มจะมีค่าต่ำมาก ในขณะท่ี
ค่าออกซิเจนละลายน้ำ พบความแปรปรวนสูง และบางครั้งพบค่าท่ีลดต่ำจนถึงระดับที่
ไม่เหมาะสมตอ่ การเพาะเล้ยี งสัตวน์ ำ้ (< 4 มิลลกิ รัมตอ่ ลติ ร; กรมควบคมุ มลพษิ 2549)
ในพื้นที่ดอนหอยหลอด (ภาพที่ 3-4) โดยทั่วไปมักพบปริมาณคลอโรฟิลล์เอ
และของแข็งแขวนลอยในน้ำที่ค่อนข้างสูง (ประมาณ 50 ไมโครกรัมต่อลิตร และ 60
มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลำดับ) นอกจากนี้ ในช่วงที่เกิดปรากฏการณ์น้ำเปลี่ยนสี มักพบ
แพลงก์ตอนพืชสกุล Noctiluca เป็นชนิดเด่น โดยพบค่าคลอโรฟิลล์เอได้สูงสุด
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ ักษ์
90
ประมาณ 140 ไมโครกรัมต่อลิตร (เดือนพฤษภาคม ปี พ.ศ. 2548; บุณฑริกา 2554)
ในพื้นที่ปากแม่น้ำ บริเวณใกล้เคียงแหล่งชุมชน ยังพบระดับของแอมโมเนียมท่ีสูงถึง
58 ไมโครโมลาร์ (ชยารัตน์ 2550) ซึ่งนับว่าเป็นสาเหตุสำคัญหนึ่ง ที่กระตุ้นการ
เพิ่มจำนวนของแพลงก์ตอนพืชในพื้นที่ได้ โดยสภาพของปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี
ที่ทำให้เกิดสีของน้ำทีแ่ ตกต่างจากเดิมอย่างชัดเจนน้ัน มักสะท้อนปัญหาในการลดต่ำลง
ของออกซเิ จนละลายน้ำ และพบการตายของสตั วน์ ำ้ ในพ้ืนท่ีเกดิ ตามมาเสมอ
ภาพที่ 3-4 ลกั ษณะทางธรรมชาติของนำ้ และดนิ พ้นื ทอ้ งนำ้ ในพื้นที่ดอนหอยหลอด
แม่กลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
91
ในภาพรวมพบว่า ของการศึกษาเชิงปริมาณของแพลงก์ตอนพืช เพื่อการ
บริหารจัดการที่ทันท่วงทีนั้น ดูจะยังเป็นปัญหาในการตัดสินใจ และจำเป็นที่จะต้อง
ศึกษาเพิ่มเติม ทั้งนี้ เนื่องจากเอกสารอ้างอิงด้านแนวทางที่เราใช้อยู่ ส่วนใหญ่น้ัน
ยังเป็นการอ้างอิงจากการศึกษาวิจัยของต่างประเทศ ที่มีลักษณะทางภูมิอากาศ
คุณภาพน้ำ และสภาพทางนเิ วศอุทกวทิ ยาท่แี ตกตา่ งไปมาก
หากพิจารณาในระดับของคลอโรฟิลล์เอ หรือสีของน้ำที่เปลี่ยนแปลงอย่าง
ชัดเจน จะพบว่าการเกิด ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี มักพบในช่วงที่วันที่มีแดดจัด
และในสภาพน้ำที่ใส อย่างน้อย 2 – 3 วัน ต่อเนื่องกัน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทะเล
เปลี่ยนสี ดังกล่าว สามารถบรรเทาเบาบางลงได้ ในสภาวะทางธรรมชาติท่ีมีกระแสนำ้ ท่ี
แรงขึ้น หรือมีลมพัดแรง หรือการส่งเสริมให้ในพื้นท่ีได้มีน้ำระบาย และไหลเวียนถา่ ยเท
ได้ดี ทั้งน้ี เนื่องจากจะทำให้แพลงก์ตอนพืชเหล่านั้นกระจายตัวออก โดยไม่สะสมอยู่
เป็นกลุ่มก้อนที่หนาแน่น (อัจฉราภรณ์และณิฐฐารัตน์ 2546, อัจฉราภรณ์ 2552) ซึ่ง
โดยทั่วไป ในพื้นที่ปากแม่น้ำแม่กลอง เราพบว่า มีช่วงระยะเวลาของการเกิด
ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสที ่ีไม่นานมาก (ประมาณ 1 – 2 วัน) เทา่ น้ัน เน่อื งจาก ใน
เขตปากแมน่ ้ำแม่กลองมีการเคลอ่ื นตัวของมวลน้ำทีค่ อ่ นขา้ งดี เมอ่ื เปรียบเทียบกับพ้ืนที่
ปากแม่นำ้ อ่นื ๆ ในเขตอ่าวไทยตอนใน
3.2.10) สถานการณ์คณุ ภาพดินพ้นื ท้องน้า
ดินตะกอน เกิดจากการพังทลายของหิน หรือพื้นดินบริเวณใกล้แหล่งน้ำ
ที่ถกู กดั เซาะ รวมถึงโครงสร้างทเ่ี ปน็ ของแข็งของส่ิงมชี วี ติ ทถี่ ูกพัดพาเขา้ มา หรือเกิดขนึ้
ภายในแหล่งน้ำน้นั เอง ซ่งึ วตั ถุเหล่านร้ั ไดเ้ กิดการตกตะกอน และทับถมลงมาบนพน้ื ทอ้ ง
นำ้ อนภุ าคทตี่ กทับถมนัน้ อาจเปน็ ไดท้ ั้งสารอนิ ทรีย์ หรอื สารอนนิ ทรีย์ (ภาพท่ี 3-5)
แมก่ ลองและการพฒั นาเชิงอนรุ กั ษ์
92