The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pongkaseam peerapun, 2023-08-13 07:04:56

ICS

ICS

Keywords: ICS

ICS 100 หลักสูตรการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (Public health emergency management, PHEM) ระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Incident Command System,ICS) และศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operations Center, EOC) สำหรับบุคลากรสาธารณสุขระดับจังหวัด (ICS100) เอกสารสำหรับผู้เข้ารับการอบรม รุ่นที� 1 วันที� 15 – 16 พฤษภาคม 2566 รุ่นที� 2 วันที� 25 – 26 พฤษภาคม 2566 รุ่นที� 3 วันที� 15 – 16 มิถุนายน 2566 ณ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กองสาธารณสุขฉุกเฉิน (กสธฉ.) กรมควบคุมโรค กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน (ครฉ.) ICS PHEM EOC Public health emergency management Incident Command System Emergency Operations Center


หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 แนะนำหลักสูตร การจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (Public health emergency management, PHEM) ระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Incident Command System, ICS) และ ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operations Center, EOC)


ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่หลักสูตรการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ระบบบัญชาการเหตุการณ์ และศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ปัจจุบัน สาธารณภัย และภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข เกิด ขึ้นบ่อยครั้งและมีความรุนแรงเพิ่มขี้น เช่น การระบาดของโรคซาร์สในปี 2545 การะบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ H5N1 ในปี 2546 การเกิดสึนามิในภาคใต้ในปี 2547 การเกิดน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 การระบาดโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขเหล่านี้ไม่เพียงจะมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศอีกด้วย การเตรียมความพร้อมระบบจัดการภาวะฉุกเฉินจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในทุกระบบ สาธารณสุขในปัจจุบัน การจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขที่ดีจะช่วยลด “ภัย” ช่วยลดผลกระทบจากภัย และช่วยปกป้องชีวิตและสุขภาวะให้กับประชาชนได้ ระบบการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ระบบบัญชาการเหตุการณ์ และศูนย์ปฏิบัติการ ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่นานาชาติยอมรับ มีงานวิจัยมากมายที่แสดงถึง ประสิทธิผลและประสิทธิภาพที่ดีกว่าการใช้โครงสร้างการทำงานเดิมในภาวะปกติและระบบปกติในการจัดการ กับปัญหา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เล็งเห็นความสำคัญของเรื่องนี้จึงได้มีนโยบายที่จะเร่งรัดพัฒนาระบบดังกล่าว ให้พร้อมใช้งานได้โดยเร็ว จึงได้มีการจัดทำหลักสูตรนี้ขึ้น สำหรับผู้บริหารระดับจังหวัด


เป้าหมายของหลักสูตร คือ การสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการภาวะฉุกเฉินทาง สาธารณสุข ระบบบัญชาการเหตุการณ์ และศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ให้กับผู้บริหาร กระทรวงสาธารณสุขระดับจังหวัด ความรู้จากหลักสูตรนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ท่านสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วน ความเข้าใจจะทำให้เราเข้าใจว่าทำไมเราจึงต้องดำเนินการในระบบหรือในรูปแบบดังกล่าวฯ และยังจะช่วยให้ ทุกคนตระหนักและเข้าใจถึงความจำเป็นที่ทุกคนต้องร่วมด้วยช่วยกันในภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ด้วยความหวังว่าผู้บริหารระดับจังหวัดจะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ได้อย่างถูกต้องสำหรับการ ทำงานในปัจจุบัน และในอนาคต


โดยหลักสูตรนี้มีวัตถุประสงค์ทั่วไป คือ ต้องการให้ผู้ผ่านการอบรมสามารถอธิบาย • เหตุผลความจำเป็นที่ต้องมีระบบการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข • ความหมายและหลักการของระบบบัญชาการเหตุการณ์และศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทาง สาธารณสุข • หลักการพื้นฐานของการจัดการในภาวะฉุกเฉินตามระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Basic Incident Management Characteristics) • หน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละกลุ่มภารกิจของระบบบัญชาการเหตุการณ์ • โครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข • ลักษณะของแผน ชนิดของแผน และลำดับชั้นของแผนสำหรับการปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทาง สาธารณสุข • ภารกิจและความรับผิดชอบของผู้บัญชาการเหตุการณ์


โดยหลักสูตรนี้แบ่งเป็น 8 หน่วยการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ที่กำลังบรรยายอยู่นี้เป็นการให้ภาพรวมของหลักสูตรว่าจะมีการเรียนการสอน อะไรบ้าง หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 จะเป็นการปูพื้นฐานให้ท่านเข้าใจความหมายของคำศัพท์ และระบบต่างๆ ที่ เกี่ยวข้องทั้งระบบการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ระบบบัญชาการเหตุการณ์ ศูนย์ปฏิบัติการ ภาวะฉุกเฉิน และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้บทนี้จะกล่าวถึงระบบบัญชาการเหตุการณ์ที่กระทรวง สาธารณสุขได้เลือกที่จะนำมาใช้ด้วย หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 จะอธิบายถึงหลักการพื้นฐานของระบบบัญชาการเหตุการณ์ ซึ่งได้มาจากการ สรุปบทเรียนของการทำงานในระบบบัญชาการเหตุการณ์มาอย่างยาวนาน ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่าขณะ ที่เราทำงานในภาวะฉุกเฉินเราควรปฏิบัติอย่างไร หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 ถึงหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 จะกล่าวถึงภารกิจของกลุ่มต่างๆ ในระบบบัญชาการ เหตุการณ์โดยหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 จะกล่าวถึงภารกิจด้านข้อมูลและยุทธศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 จะกล่าวถึงภารกิจด้านปฏิบัติการ หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 จะกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ด้านการ สนับสนุน หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 จะกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ ภารกิจ และความรับผิดชอบของผู้บัญชาการ เหตุการณ์และหน่วยการเรียนรู้ที่ 8 เป็นบทสรุป และแนวทางการนำไปใช้


หลักสูตรนี้จะใช้เวลาอบรมประมาณ 1 วัน หรือประมาณ 8 ชั่วโมง ส่วนใหญ่ของกระบวนการเรียนการสอนจะเป็นการบรรยายในห้องเรียน การดูวิดีโอ แลการอภิปรายร่วมกัน ผู้จัดการฝึกอบรมได้จัดเตรียมเอกสารประกอบการเรียนการสอนไว้ให้ด้วย โดยจะมีการทดสอบความรู้ก่อนและหลังการฝึกอบรม ข้อสอบจำนวน 30 ข้อ


การประเมินว่าผู้เรียนผ่านหลักสูตรหรือไม่จะอาศัยการประเมิน 2 วิธีได้แก่ 1. การพิจารณาว่าผู้เรียนได้เข้าเรียนครบถ้วนหรือไม่ผู้เรียนที่จะผ่านการประเมินจะต้องเข้า เรียนตลอดช่วงเวลาที่กำหนด และ 2. ผู้เรียนจะต้องทำคะแนนสอบได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 หรือจะต้องตอบคำถามได้ถูกต้องไม่ น้อยกว่า 24 ข้อจาก 30 ข้อนั่นเอง ***ขอความร่วมมือให้ผู้เรียนงดใช้โทรศัพท์และอุปกรณ์สื่อสารระหว่างเข้าอบรม และขอให้เข้าเรียนครบตาม เวลาที่กำหนด


หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ระบบจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน และระบบบัญชาการเหตุการณ์ (PHEM, IMS, ICS &EOC Overview)


หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ระบบจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน ศูนย์ ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน และระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Public Health Emergency Management (PHEM), Incident Management System (IMS), Emergency Operations Center (EOC) and Incident Command System (ICS) Overview) จะกล่าวถึง ความหมาย คำจำกัดความของภาวะฉุกเฉิน ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข สาธารณภัย หรือภัยพิบัติรวมถึงการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (Public Health Emergency Management) ระบบจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน (Incident Management System, IMS) ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operations Centre, EOC) และระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Incident Command System, ICS)


เราจะเริ่มต้นด้วยการดูความหมายของคำว่า “ภาวะฉุกเฉิน” และ “ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข” ภาวะฉุกเฉิน หมายถึง ภาวะวิกฤตหรือความรุนแรงบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยทันทีหรือโดยไม่คาดคิด เป็นภาวะที่จำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว ทันท่วงที ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข – ภาวะฉุกเฉินที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อประชาชน โดยการทำให้เกิดการ เจ็บป่วย การบาดเจ็บ หรือการเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ในภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขนั้นก่อให้เกิดสภาวะที่ปริมาณงานมากกว่ากำลังทรัพยากรที่มีอยู่ (ปริมาณงาน > กำลังทรัพยากร) ดังนั้น ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขในที่นี้อาจไม่จำเป็นต้องเข้าเกณฑ์ 2 ใน 4 ตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulation 2005, IHR 2005) เสมอไป


ดังนั้น เมื่อปริมาณงานเกินกำลังทรัพยากรในภาวะปกติที่จะรับมือได้ เราจึงประกาศเป็นภาวะฉุกเฉิน เพื่อ • ให้มีการจัดสรรหรือปรับเกลี่ย (re-allocate) ทรัพยากร ใหม่และ/หรือ • การปรับโครงสร้างองค์กร (re-arrange) องค์กรใหม่เป็นการชั่วคราวเพื่อรับมือเหตุการณ์ • ที่สำคัญ >> ต้องมีการเกณฑ์กองหนุน (surge capacity) หรือกำลังคนเพิ่มเติมเข้ามาสนับ สนุนการทำงาน


สำหรับงานสาธารณสุข เมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้นหน่วยงานด้านสาธารณสุขมีความจำเป็นที่จะต้องดูแล รับผิดชอบทั้งงานประจำของหน่วยงาน และจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการภาวะฉุกเฉินด้วย กล่าวอีกนัย หนึ่ง นั่นคือ งานประจำเดิมก็ยังต้องดูแลบริหารจัดการให้สามารถดำเนินการไปได้อย่างเหมาะสม ในขณะ เดียวกัน ก็จะต้องบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้งานทั้ง 2 ส่วน นั่นคือ งานประจำและงานจัดการภาวะฉุกเฉินสามารถดำเนินการไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพ หน่วยงานมีความจำเป็นจะต้องปรับรูปแบบการบริหารจัดการภายในขององค์กรใหม่และจะ ต้องมอบหมายผู้รับผิดชอบงานทั้งสองส่วนนี้อย่างชัดเจน นอกจากนี้หน่วยงานยังจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมาย การดำเนินงาน และติดตามผลการดำเนินงานของทั้งงานประจำและงานจัดการภาวะฉุกเฉินอย่างเป็นระบบอีก ด้วย


สาธารณภัย หรือภัยพิบัติหมายถึง ภัยที่เกิดกับสาธารณชนหรือคนหมู่มาก ภัยที่ก่อให้เกิดความสูญเสีย ทั้งต่อชีวิต ทรัพย์สินและสิ่งอื่น ๆ อย่างรุนแรงจนเกินความสามารถของบุคคล ครอบครัว ชุมชน จะสามารถ จัดการแก้ไขปัญหาได้เอง จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากภายนอก แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้แบ่งภัยเป็น 2 ด้าน ได้แก่ สาธารณภัย และภัยด้านความมั่นคง สาธารณภัยประกอบด้วย 14 ประเภทภัย คือ 1. อุทกภัยและดินโคลนถล่ม 2. ภัยจากพายุหมุนเขตร้อน 3. ภัยจากอัคคีภัย 4. ภัยจากสารเคมีและวัตถุอันตราย 5. ภัยจากการคมนาคมและขนส่ง 6. ภัยแล้ง 7. ภัยจากอากาศหนาว 8. ภัยจากไฟป่าและหมอกควัน 9. ภัยจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่ม 10. ภัยจากคลื่นสึนามิ 11. ภัยจากโรคระบาดในมนุษย์ 12. ภัยจากโรค แมลง สัตว์ศัตรูพืชระบาด 13. ภัยจากโรคระบาดสัตว์และสัตว์น้ำ 14. ภัยจากเทคโนโลยีสารสนเทศ ส่วนภัยด้านความมั่นคง ประกอบด้วย 4 ประเภทภัย คือ 1. ภัยจากการก่อวินาศกรรม 2. ภัยจากทุ่นระเบิดกับระเบิด 3. ภัยทางอากาศ 4. ภัยจากการชุมนุมประท้วงและก่อการจลาจล ส่วนภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขสามารถ แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 5 กลุ่มโรคและภัยสุขภาพ ได้แก่


1. ภัยจากโรคติดต่อ 2. ภัยจากสารเคมี 3. ภัยจากรังสี 4. ภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ 5. ภัยจากอุบัติเหตุและการบาดเจ็บ คำอธิบาย 1. โรคติดต่อ คือ เหตุการณ์การแพร่ระบาดอย่างผิดปกติของโรคติดต่อเฉียบพลัน เช่น ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ไข้หวัดนก โรคซาร์ส โรคชิคุนกุนยา โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โค วิด 19 หรือแม้แต่โรคที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลและโรคประจำถิ่นที่มีการแพร่ระบาดอย่างผิดปกติเช่น ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ทั้งนี้รวมถึงโรคที่ประกาศไว้ในกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR) ให้เป็นภาวะฉุกเฉิน ทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ เป็นต้น 2. เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและอุบัติภัย คือ เหตุการณ์ที่ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บและเสีย ชีวิตได้ เช่น ตึกถล่มอุบัติเหตุจากการขนส่งและโดยสาร การจลาจล สงคราม อุบัติเหตุจากการปฏิบัติงาน เป็นต้น 3. โรคและภัยสุขภาพที่มากับภัยธรรมชาติเช่น น้ำท่วม ลมพายุ ดินโคลนถล่ม หรือสึนามิผู้ประสบ ภัยจะเผชิญกับโรคระบาดและภัยสุขภาพ เช่น โรคฉี่หนู อุจจาระร่วง อาหารเป็นพิษ ไฟฟ้าช็อต/ไฟฟ้าดูด การเสียชีวิตจากการจมน้ำการขาดยาหรือการรักษาที่จำเป็นเนื่องจากไม่สามารถเดินทางไปโรงพยาบาลได้เป็นต้น 4. ภัยสุขภาพที่เกิดจากสารเคมีคือ เหตุการณ์ที่ส่งผลถึงการบาดเจ็บและการเสียชีวิตของบุคคลที่เกิด จากการมีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพปนเปื้อนออกมาในสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ด้วยกัน เช่น การรั่วไหลออกจากโรงงานอุตสาหกรรม การก่อการร้ายด้วยอาวุธชีวภาพ/อาวุธเคมีหรืออาจเกิดขึ้น เองตามธรรมชาติเช่น การปนเปื้อนของสารหนูในธรรมชาติในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้น 5. ภัยสุขภาพที่เกิดจากกัมมันตภาพรังสีและนิวเคลียร์คือ เหตุการณ์ที่ส่งผลถึงการบาดเจ็บและการ เสียชีวิตของบุคคลจำนวนมาก ซึ่งเกิดจากรั่วไหลของกัมมันตรังสีและนิวเคลียร์ซึ่งอาจเกิดได้จากการกระทำ ของมนุษย์หรือเกิดขึ้นภายหลังภัยพิบัติทางธรรมชาติ


ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ” (Public Health Emergency of International Concern, PHEIC) หมายถึง เหตุการณ์ทางสาธารณสุขที่พิจารณาแล้วว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งตามกฎอนามัย ระหว่างประเทศก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อประเทศอื่นๆและอาจต้องตอบโต้โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ “ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ” หมายถึง เหตุการณ์การเกิดโรคและภัยสุขภาพ” ซึ่งมี ลักษณะเข้าได้กับเกณฑ์อย่างน้อย 2 ใน 4 ประการ ดังนี้ •ทำให้เกิดผลกระทบทางสุขภาพอย่างรุนแรง •เป็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติหรือไม่เคยพบมาก่อน •มีโอกาสที่จะแพร่ไปสู่ประเทศอื่นๆ •มีความเสี่ยงต่อการจำกัดการเคลื่อนที่ของผู้คนหรือสินค้า ***แต่สำหรับบางโรค องค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากประเทศใดพบผู้ป่วยเพียงรายเดียว ก็จำเป็นต้องรายงานไปยังองค์การนามัยโลก เช่น โรคไข้ทรพิษ โปลิโอมัยอิไลติสสายพันธุ์ธรรมชาติไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ และซาร์ส เป็นต้น ซึ่งทางองค์การอนามัยโลก จะได้พิจารณาจากสถานการณ์ที่เกิดโรคต่อไปว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศหรือไม่


“การจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข” (Public Health Emergency Management, PHEM) คือ กระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ของการจัดการเหตุการณ์การเกิดโรคและภัยคุกคามสุขภาพอย่างรวดเร็ว และเป็นระบบ ครอบคลุมทุกระยะตั้งแต่การดำเนินการป้องกัน และลดผลกระทบ (Prevention & Mitigation) การเตรียมความพร้อมรองรับภาวะฉุกเฉิน (Preparedness) การตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (Response) และการฟื้นฟูหลังเกิดภาวะฉุกเฉิน (Recovery) โดยต้องมีการมอบหมายกลุ่มงานต่าง ๆ ภายใน หน่วยงานรับผิดชอบบทบาทหน้าที่ทั้งหมด ทั้ง 4 ระยะ มีรายละเอียดดังนี้ 1. การดำเนินการป้องกันและลดผลกระทบ (Prevention and Mitigation) เป็นระยะที่ต้องดำเนิน กิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยลดโอกาสการเกิดเหตุการณ์และลดผลกระทบของโรคและภัยสุขภาพที่เป็นภาวะฉุกเฉิน หรือทำให้เหตุการณ์นั้นส่งผลกระทบน้อยลง ซึ่งรวมถึงการจัดวางระบบการจัดการภาวะฉุกเฉิน ทาง สาธารณสุขให้มีสมรรถนะและมีขีดความสามารถ เพื่อเตรียมการเผชิญสาธารณภัยต่าง ๆ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เป็นการลดความรุนแรงและลดความสูญเสียจากภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ยกตัวอย่างเช่น •เฝ้าระวังเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจพัฒนากลายเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข •ประเมินความเสี่ยงของเหตุการณ์และดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดโอกาสการแพร่กระจาย •แจ้งเตือนประชาชนให้เกิดการป้องกันตนเอง •เสริมสร้างภูมิคุ้มกันสำหรับโรคที่มีวัคซีน 2. การเตรียมความพร้อมรองรับภาวะฉุกเฉิน (Preparedness) เป็นระยะที่ต้องเตรียมความพร้อม แนวทางปฏิบัติในการรับมือกับภาวะฉุกเฉินที่จะเกิดขึ้นในทุกด้านก่อนเกิดเหตุการณ์ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ยกตัวอย่างเช่น •ประเมินความเสี่ยงโรคและภัยสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อจัดลำดับความสำคัญของโรค •จัดทำขีดความสามารถเป้าหมายของหน่วยงานเมื่อต้องตอบโต้ต่อเหตุฉุกเฉิน •จัดหาทรัพยากรพร้อมทำแผนที่ทรัพยากร •จัดทำแผนระดับ Operational plan ที่จำเป็นได้แก่ AHP, HSP, BCP •ดำเนินการซ้อมแผนพร้อมทั้งถอดบทเรียน จัดทำ AAR และ Improvement Plan


3. การตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (Response) เป็นระยะที่ดำเนินการเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขขึ้น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตามแผนจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ยกตัวอย่างเช่น •ยกระดับ EOC ตามแผนที่วางไว้เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินเพื่อบัญชาการเหตุการณ์ •จัดทำ IAP และดำเนินการตอบโต้ทางยุทธวิธี •ทบทวนผลการปฏิบัติงานและพัฒนายุทธวิธีในการตอบโต้ •ลดระดับ EOC เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผน 4. การฟื้นฟูหลังเกิดภาวะฉุกเฉิน (Recovery) เป็นระยะที่ความเสียหาย และความสูญเสีย จากเหตุการณ์ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ได้รับการแก้ไขและบรรเทาแล้ว มีการฟื้นฟูให้พื้นที่กลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งหลังจากดำเนินการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินแล้ว ผู้รับผิดชอบเหตุการณ์ภาวะฉุกเฉินต้องเตรียมการหลังฟื้นฟูยก ตัวอย่างเช่น •ถอนกำลังทรัพยากรจากพื้นที่ปฏิบัติการ •ชดเชย และบำรุงรักษาทรัพยากรที่ใช้ในการปฏิบัติงาน •ฟื้นฟูสภาพร่างการและจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน •ถอดบทเรียน จัดทำ AAR และ Improvement Plan จากเหตุการณ์จริง การจัดการภาวะฉุกเฉินที่ดีเริ่มต้นตั้งแต่ภาวะปกติหน่วยงานจำเป็นต้องจัดระบบและมอบหมายให้มี ผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน หากรอจนเกิดภาวะฉุกเฉินแล้วจึงค่อยมาจัดระบบ หรือมาเตรียมตัว จะทำให้การตอบโต้ ล่าช้า ไม่ทันการณ์และก่อให้เกิดความสูญเสียได้


ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข สึนามิประเทศญี่ปุ่น วันที่ 11 มีนาคม 2554 ณ โรงพยาบาลอิชิโนมากิในประเทศญี่ปุ่น ได้มีการบันทึกการตอบโต้ ภาวะฉุกเฉินขณะประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ “Great Eastern Earthquake “ซึ่งเกิดขึ้นบริเวณตะวัน ออก ของเกาะฮอนชู มีความรุนแรงระดับ 9 ริกเตอร์ นับ เป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่สุดในโลกสมัยใหม่เป็น อันดับที่ 3 (ระดับ 9.5 ริกเตอร์ในจีน ปี1960 และระดับ 9.3 ริกเตอร์ในสุมาตรา ปี 2004:ที่มา BBC News) สร้าง ความเสียหายให้กับญี่ปุ่นอย่างมหาศาล ผู้บรรยายสามารถถามคำถามเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมได้แลกเปลี่ยน เช่น • ประเด็นการจัดการของเขามีอะไรที่สนใจบ้าง • เขาเริ่มต้นด้วยอะไรก่อน - เขาเริ่มด้วยการประเมินความเสียหาย หรือประเมินผลกระทบที่ โรงพยาบาลได้รับก่อน ตรวจสอบกำลังคนที่อาสาสมัครมาช่วยงานเพิ่มเติม จัดสถานที่ให้ เหมาะสมกับการรับผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก สำรวจทรัพยากรที่โรงพยาบาลมีเช่น จำนวนเตียง เป็นต้น เจ้าหน้าที่แต่งตัวเตรียมพร้อมเหมาะสม มีการขอให้พยาบาลเวรเช้ายังคงปฏิบัติงาน ต่อ .... • สังเกตหรือไม่ว่าเขาจัดการอย่างไรกับผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยผ่าตัดที่เป็น elective case ที่ กำลังรอการผ่าตัดอยู่ - โรงพยาบาลขอให้ผู้ป่วยนอกกลับบ้าน และเลื่อนการผ่าตัดแบบ elective ออกไปก่อน


กรณีที่สถานการณ์โรคและภัยสุขภาพนั้นขยายวงกว้างกลายเป็นสาธารณภัย ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 ซึ่งจังหวัดมีการประกาศพื้นที่ภัยพิบัติและตรงกับสถานการณ์ในภารกิจ กระทรวงสาธารณสุข จะมีการร่วมรับผิดชอบกับหน่วยงานราชการอื่นๆ โดยแบ่งระดับสาธารณภัยและมีผู้ อำนวยการ (ผู้บัญชาการ) ทั้ง 4 ระดับ ได้แก่ ระดับ 1 สาธารณภัยขนาดเล็ก ขอบเขตจะอยู่ภายในอำเภอโดยตามกฎหมายจะมีนายอำเภอ เป็นผู้อำนวยการอำเภอหรือผู้บัญชาการเหตุการณ์ของอำเภอนั้น ๆ ระดับ 2 สาธารณภัยขนาดกลาง ขอบเขตจะอยู่ภายในจังหวัก/กรุงเทพฯ โดยตามกฎหมายจะมี ผู้ว่าราชการจังหวัด/กรุงเทพฯ เป็นผู้อำนวยหรือผู้บัญชาการเหตุการณ์ของจังหวัดนั้น ๆ ระดับ 3 สาธารณภัยขนาดใหญ่ ขอบเขตจะขยายเป็นระดับประเทศโดยตามกฎหมายจะมีรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติในภาพรวม ระดับ 4 สาธารณภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง ขอบเขตจะขยายเป็นระดับประเทศ โดยตามกฎหมาย จะมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แห่งชาติในภาพรวม


ตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยแห่งชาติ มีกลไกในการจัดการสาธารณภัยตั้งแต่ภาวะปกติ ในแต่ละระดับผ่านองค์กรปฏิบัติการในการจัดการภาวะฉุกเฉินหรือ EOC เช่น • ในระดับท้องถิ่นจะมีกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อปท. • ในระดับอำเภอจะมีกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอำเภอ • ในระดับจังหวัดจะมีกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด • โดยในส่วนกลางจะมีกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยกลาง โดยมีกรม ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นผู้ควบคุมดูแล และเมื่อมีภาวะฉุกเฉินเกิดขึ้นในแต่ละระดับจะมีการ Activate EOC โดยจะมีการเปลี่ยนชื่อเป็นศูนย์ ปฏิบัติการหรือศูนย์บัญชาการแล้วแต่ระดับ สำหรับสาธารณภัยในระดับประเทศซึ่งก็คือระดับ 3 และ 4 จะมี การตั้งกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ส่วนหน้า) เป็น EOC ในระดับประเทศ


เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น การตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน อาศัยกรอบการทำงานตามระบบการจัดการ เหตุการณ์ฉุกเฉินเป็นสำคัญ ซึ่งระบบการจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ • การบริหารจัดการทรัพยากร • การบัญชาการและการประสานงาน • การสื่อสาร และการบริหารจัดการข้อมูล ซึ่งในส่วนของการบัญชาการและการประสานงาน มีองค์ประกอบย่อย 4 องค์ประกอบ ดังต่อไปนี้ • ระบบบัญชาการเหตุการณ์ (ICS) • ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) • กลุ่มผู้ประสานงานหลายหน่วยงาน (MAC Group) • ระบบข้อมูลร่วม (JIS)


กลุ่มประสานงานพหุภาคี เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินเป็นโครงสร้าง ที่อยู่ นอกระบบบัญชาการเหตุการณ์มักทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดนโยบายในการจัดการกับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้น ในประเทศไทย กลุ่มประสานงานพหุภาคี มักมีการจัดตั้งเป็นคณะกรรมการโดยมีผู้บริหารหรือผู้แทน องค์กรที่เกี่ยวข้อง องค์กรที่ได้รับผลกระทบ และองค์กรที่สนับสนุนทรัพยากรในการจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งอาจรวมถึงภาคเอกชน ภาคประชาสังคม องค์กรสาธารณะประโยชน์และภาคประชาชนร่วมอยู๋ในกลุ่มประ สานงานฯ หรือคณะกรรมการฯ กลุ่มประสานงานพหุภาคี ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย สนับสนุนการตัดสินใจในกำหนดทรัพยากร ที่สำคัญ และการกระจายทรัพยากร ทำหน้าที่ตัดสินใจร่วมกันในลักษณะพหุภาคี และตัดสินใจร่วมกับ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ในการจัดการเหตุการณ์ **กลุ่มประสานงานพหุภาคีไม่มีส่วนเข้าไปร่วมปฏิบัติในระบบบัญชาการเหตุการณ์ ตัวอย่าง - ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)


ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (EOC) เป็นสถานที่ที่ใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกันของกลุ่ม ภารกิจต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการบริหารสั่งการ ประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล และจัดสรร กระจายทรัพยากร ให้เกิดขึ้นอย่างสะดวกรวดเร็วในภาวะฉุกเฉิน และเพื่อให้ข้อสั่งการต่าง ๆ ของผู้บัญชาการเหตุการณ์ได้รับการ ปฏิบัติอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้งานที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ ยังคงอยู่ที่ หน่วยงานที่รับผิดขอบในเรื่องนั้น ๆ โดยจะไม่ดึงงานที่มีอยู่แล้วจากกองต่าง ๆ มาไว้ที่เดียวกัน และจะไม่สร้างงาน ที่ซ้ำซ้อนกับที่กองอื่น ๆ ทำอยู่แล้วขึ้นมาใหม่ ประกอบไปด้วย 1) ห้องบัญชาการเหตุการณ์ 2) ห้องทำงานของผู้บัญชาการเหตุการณ์ (ปฏิบัติงานเต็มเวลา) จนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย 3) ห้องศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (EOC) มีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้ • กำลังคนที่มีสมรรถนะ (Staff) • ห้องและอุปกรณ์ (Stuff): คอมพิวเตอร์เครื่องมือระบบสื่อสาร ฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง • ระบบงาน (System): แผนปฏิบัติการ มาตรฐานการปฏิบัติงาน (SOP) และงบประมาณ


ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operations Centre, EOC): หมายถึง สถานที่ทาง กายภาพ หรือเสมือนที่ซึ่งบุคลากรจากหลายหน่วยงานเข้ามาปฏิบัติงานร่วมกันเพื่อจัดการปัญหาภัยและภัย คุกคามที่ใกล้เข้ามา และเพื่อให้การจัดการภาวะฉุกเฉินสามารถดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยงาน จำเป็นต้องจัดสรรบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรม และได้รับมอบอำนาจ หรือเป็นผู้แทนของหน่วยงานเข้าปฏิบัติ หน้าที่ภายในศูนย์ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินจำเป็นต้องมีอุปกรณ์เครื่องมือ อย่างเหมาะสมเพียงพอ และจะ ต้องมีกลไกการประสานงานไปยังจุดเกิดเหตุ หนัาที่สำคัญประการหนึ่งของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน คือ ให้การสนับสนุนเหตุการณ์โดยการ จัดสรร และส่งทรัพยากรไปยังจุดเกิดเหตุ ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินสามารถจัดตั้งขึ้นได้ในทุกระดับของหน่วยงานทั้งที่ส่วนกลาง ระดับจังหวัด หรือในพื้นที่เกิดเหตุ


ในองค์กรใด ๆ ต้องสามารถแบ่งภารกิจเป็น 2 ประเภท คือ • ภารกิจสำคัญจำเป็น ไม่สามารถหยุดการทำงานได้ หากต้องหยุดการทำงานจะก่อให้เกิดผล เสียต่อประชาชนอย่างร้ายแรง • ภารกิจที่สามารถหยุดดำเนินงานลงได้ชั่วคราว ระบบการจัดการภาวะฉุกเฉินจำเป็นต้องมีแผนระดมทรัพยากรมาใช้ในการปฏิบัติงานเพิ่มเติมจากที่มี อยู่ในภาวะปกติโดยเฉพาะแผนการระดมกำลังคน (surge capacity plan) ซึ่งโดยทั่วไป องค์กรสามารถระดม กำลังคนมาจากบุคลากรที่ปฏิบัติงานในภารกิจที่สามารถหยุดปฏิบัติงานได้เป็นการชั่วคราวโดยไม่ก่อให้เกิดผล เสียร้ายแรงต่อองค์กร ในภาวะฉุกเฉิน ผู้บริหารองค์กรต้องจัดการทรัพยากรบุคคลให้เหมาะสม เพื่อให้มีบุคลากรเพียงพอ ในการปฏิบัติภารกิจสำคัญจำเป็น และภารกิจจัดการภาวะฉุกเฉิน


สถานที่และอุปกรณ์ที่จำเป็น (Stuff) สำหรับการจัดการภาวะฉุกเฉิน ควรประกอบด้วย • สถานที่อุปกรณ์เครื่องมือ สิ่งอำนวยความสะดวก และห้องทำงานสำหรับกลุ่มภารกิจต่างๆ • โครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์เทคโนโลยีดิจิทัล • ฐานข้อมูลที่มีความรวดเร็ว ถูกต้อง ทันสถานการณ์และสามารถเชื่อมโยงได้ • อุปกรณ์และระบบแสดงผลการประมวลข้อมูลข่าวสาร • อุปกรณ์และระบบสื่อสาร ทั้งหลักและสำรอง


นี่คือตัวอย่างศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินของศูนย์ป้องกันควบคุมโรค สหรัฐอเมริกา จะได้เห็นว่า การจัดห้อง EOC ไม่ได้เน้นเพื่อ function การประชุม แต่เป็นจัดห้องเพื่อเน้นการทำงาน ร่วมกัน แต่ละโต๊ะคือ working station สำหรับเจ้าหน้าที่แต่ละคน และทุกคนจะสามารถมองเห็นจอภาพ แสดงภาพรวมของสถานการณ์และการปฏิบัติการ (common operating pictures) ได้อย่างชัดเจน


นี่คือตัวอย่างศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินของศูนย์ป้องกันควบคุมโรค ประเทศเกาหลีใต้ซึ่งจะเห็น หลักการการจัดศูนย์ปฏิบัติการในลักษณะเดียวกัน


ระบบงาน (System) ของการัจดการภาวะฉุกเฉิน ซึ่งในที่รวมถึงแผนในระดับต่างๆ มาตรฐานการ ปฏิบัติงาน (Standard Operating Procedure, SOP) และงบประมาณ ก่อนเกิดเหตุฉุกเฉินหน่วยงานสาธารณสุขจำเป็นที่จะต้องมีการจัดทำแผนปฏิบัติการ มาตรฐาน การปฏิบัติงาน พร้อมทั้งดำเนินการฝึกซ้อมแผน โดยแผนปฏิบัติการที่สำคัญที่จะเป็นกรอบในการทำงาน ของการจัดการภาวะฉุกเฉินคือ • All-Hazards Plan (AHP) • Hazard Specific Plans ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินอาศัยระบบบัญชาการเหตุการณ์ร่วมกับการใช้แผนเผชิญเหตุเพื่อตอบโต้ต่อ สถานการณ์ฉุกเฉิน และเพื่อให้ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หน่วยงานจำเป็นต้องจัด ให้มีการทบทวนการปฏิบัติงาน และสรุปบทเรียนจากการดำเนินงาน (After Action Review, AAR) รวมถึง การจัดทำแผนปรับปรุงระบบงานจากผลการสรุปบทเรียนการดำเนินงาน


ระบบบัญชาการเหตุการณ์หมายถึง ระบบการบริหารจัดการที่ใช้เพื่อการบังคับบัญชา สั่งการ ควบคุม และประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในสถานการณ์เฉพาะ ระบบดังกล่าวเป็นระบบปฏิบัติการเพื่อการ ระดมทรัพยากรไปยังที่เกิดเหตุ เพื่อบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินให้สามารถปกป้องชีวิต ทรัพย์สินและสิ่งแวดล้อม ได้อย่างบรรลุเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ ระบบบัญชาการเหตุการณ์เป็นกรอบแนวคิดมาตรฐานในการปฏิบัติเพื่อจัดการเหตุการณ์ทุกประเภท ทั้งที่เป็นเหตุการณ์ฉุกเฉิน หรือเหตุการณ์ในภาวะปกติ • เป็นระบบที่สนับสนุนการให้มีการนำข้อมูลที่แม่นยำมาใช้ในการดำเนินงาน มีการวางแผน และคำนวณค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ • เป็นระบบที่สามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานได้อย่างสอดคล้องกับความซับซ้อน ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น • เป็นโครงสร้างที่ผสมผสานทรัพยากรทุกชนิดเข้าด้วยกันทั้งเครื่องมือ อุปกรณ์ รวมทั้งกำลัง คนจากหน่วยต่าง ๆ ทั้งตำรวจ ทหาร หน่วยการแพทย์ NGO เป็นต้น อนึ่ง ในภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข บุคลากรทางสาธารณสุขจำนวนหนึ่งจะปรับบทบาทหน้าที่ จากการรับผิดชอบงาน “ที่ปฏิบัติประจำ” ในภาวะปกติ และไปปฏิบัติหน้าที่ภายใต้โครงสร้างของระบบ บัญชาการเหตุการณ์เพื่อจัดการกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขตามที่ได้รับมอบหมาย การมีระบบบัญชาการเหตุการณ์ที่มีความชัดเจนตั้งแต่ต้น จะช่วยให้บุคลากรที่เข้าไปปฏิบัติงาน ในกลุ่มภารกิจต่างๆ ในระบบบัญชาการเหตุการณ์มีความเข้าใจกรอบบทบาทหน้าที่ของตัวเองชัดเจน และ สามารถปรับตัวเข้าในการปฏิบัติในภาวะฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังช่วยให้การฝึกอบรมบุคลากร ที่จะเข้ามารับผิดชอบงานในกลุ่มภารกิจต่างๆ มีความจำเพาะเจาะจงและเหมาะสมกับภารกิจที่จะได้รับมอบ หมายในภาวะฉุกเฉินอีกด้วย


การนำระบบเหตุการณ์มาใช้ในการจัดการกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1. เพื่อสร้างความปลอดภัยทั้งผู้ปฏิบัติงานและผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ทั้งหมด 2. บรรลุวัตถุประสงค์ของเหตุการณ์ • เพื่อหยุดยั้งและ/หรือลดผลกระทบจากภาวะฉุกเฉินหรือสถานการณ์รุนแรงจากโรคและภัยสุขภาพ • เพื่อให้เหตุการณ์ฉุกเฉินกลับสู่สภาวะปกติในระยะเวลาที่สั้นที่สุด 3. เพื่อระดมทรัพยากร และบริหารจัดการอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ


ประโยชน์ของระบบบัญชาการเหตุการณ์ • ระบบบัญชาการเหตุการณ์สามารถจัดการเหตุการณ์ที่วางแผนไว้ล่วงหน้า หรือสถานการณ์ฉุกเฉิน อย่างเป็นระบบ ดีกว่าการใช้ระบบการทำงานแบบปกติ สามารถปรับเปลี่ยนบทบาทภารกิจได้ตาม บริบทได้อย่างเหมาะสม (มีความยืดหยุ่น) • เสริมสร้างให้เกิดการประสานงานและการปฏิบัติงานจากหลายหน่วยงาน ให้สามารถทำงานร่วมกัน ได้อย่างเป็นระบบและรวดเร็ว ภายใต้การบัญชาการเหตุการณ์อย่างเป็นเอกภาพ (Unity of Command) ***โดยหลักการว่า ผู้ปฏิบัติงานแต่ละคนจะรับคำสั่งจากหัวหน้าโดยตรงเพียงคนเดียว • มีกระบวนการวางแผนที่เป็นระบบ มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้เกิดการตอบโต้ต่อเหตุการณ์เชิงรุก บนพื้นฐานของความปลอดภัย • ช่วยให้เกิดการบูรณาการการสนับสนุนด้านทรัพยากรและการบริหารแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ในภาคสนาม • ลดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน ทำให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ และประหยัด


บทบาท 5 ด้านที่สำคัญจองระบบบัญชาการเหตุการณ์ประกอบด้วย 1. การบัญชาการเหตุการณ์ได้แก่การกำหนดวัตถุประสงค์ของเหตุการณ์กลยุทธ์และการจัดลำดับ ความสำคัญ และดูแลรับผิดชอบภาพรวมของเหตุการณ์ 2. การปฏิบัติการ ได้แก่การกำหนดยุทธวิธีและทรัพยากรที่ต้องใช้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของ เหตุการณ์และการดำเนินการตอบโต้ปฏิบัติการตามยุทธวิธี 3. การวางแผน ได้แก่การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล การติดตามทรัพยากร และการดูแลจัดการ เอกสารสำหรับการวางแผน 4. การส่งกำลังบำรุง ได้แก่การให้บริการสนับสนุนทรัพยากรและสิ่งจำเป็นต่างๆ ที่กลุ่มภารกิจต่างๆ ต้องการ 5. การเงินและการบริหารจัดการ ได้แก่การรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ค่าตอบแทน ค่าสินไหม ค่าชดเชย และการเงินต่างๆ และการจัดซื้อจัดจ้างทรัพยากรที่จำเป็น


แนวคิดและหลักการออกแบบระบบบัญชาการเหตุการณ์จะเน้นที่ความสามารถของระบบบัญชาการ เหตุการณ์ที่จะตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักการพื้นฐานของ ระบบบัญชาการเหตุการณ์เป็นแนวทางสำคัญ การจัดแบ่งกลุ่มภารกิจต่างๆ ของระบบบัญชาการเหตุการณ์อาศัยการแบ่งงานให้ครอบคลุมตาม หน้าที่ความรับผิดชอบ (functional responsibility) ของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินที่จะต้องดำเนินการต่อ ภาวะฉุกเฉินเป็นหลัก ระบบบัญชาการเหตุการณ์ปฏิบัติงานโดยการรวมอำนาจไว้ที่ตัวผู้บัญชาการเหตุการณ์ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปได้อย่างรวดเร็วจึงจำเป็นต้องมีสายการบังคับบัญชาที่สั้นที่สุด


โครงสร้างระบบบัญชาการเหตุการณ์ระดับจังหวัด (Incident Command System, ICS) ประกอบด้วยภารกิจด้านข้อมูลและยุทธศาสตร์ (Information and Strategy Section) ภารกิจด้านปฏิบัติ การ (Operation Section) และภารกิจด้านการสนับสนุน(Support Section) โดย • ภารกิจด้านข้อมูลและยุทธศาสตร์ (Information and Strategy Section) • ตระหนักรู้สถานการณ์ (SAT) • แผน • วิชาการ • ภารกิจด้านปฏิบัติการ (Operation Section) • สอบสวนควบคุมโรค • ดูแล รักษาผู้ป่วย • การแพทย์ฉุกเฉิน • สุขภาพจิต • ปฏิบัติการด้านวัคซีน • เฝ้าระวังเชิงรุก • กักกันผู้มีความเสี่ยง • ห้องปฏิบัติการด้านสาธารณสุข • ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ • สื่อสารความเสี่ยง • อนามัยสิ่งแวดล้อม • อื่นฯ • ภารกิจด้านการสนับสนุน(Support Section) • โลจิสติกส์และสำรองเวชภัณฑ์ • กำลังคน • กฎหมาย • การเงิน • ประสานงาน


• ธุรการ • สนับสนุนด้านไอที • จัดการศูนย์ปฏิบัติการ


ระดับของการแผน สามารถแบ่งการวางแผนออกได้เป็น 3 ระดับ คือ 1. แผนระดับยุทธศาสตร์หรือ กลยุทธ์ (Strategic plan) 2. แผนระดับปฏิบัติการ (Operational plan) 3. แผนระดับยุทธวิธีหรือ กลวิธี (Tactical plan) ระดับยุทธศาสตร์/กลยุทธ์ (Strategic) เป็นแผนระดับสูงสุดขององค์กร มักจะระบุแนวทางอย่างกว้าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะก่อให้เกิดแผน ชนิดอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นแผนระยะยาว ระดับปฏิบัติการ (Operational) เป็นแผนที่กำหนดบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบ, ภารกิจ, การบูรณาการ, และการดำเนินการ ซึ่งเป็นแผนที่สอดคล้องกับแผนระดับยุทธศาสตร์ เช่น แผนปฏิบัติการสำหรับทุกภัยอันตราย (All-Hazards Plan) แผนประคองกิจการ (Business Continuity Plan) แผนระดมทรัพยากรด้านกำลังคน (Surge capacity Plan) ระดับยุทธวิธี/กลวิธี (Tactical) เป็นแผนที่กำหนดจุดมุ่งหมายระยะสั้น ซึ่งถ่ายทอดมาจากแผนปฏิบัติการ องค์ประกอบของแผน ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ เป้าหมาย กิจกรรม ขั้นตอนการปฏิบัติงาน งบประมาณ และผู้รับผิดชอบ เช่น แผนเผชิญเหตุ (Incident Action Plan) 25 แผนรับมือภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ระดับของแผน แผนที่ระดับจังหวัดควรมี ระดับยุทธศาสตร(Strategic) เนนที่เปาหมาย วัตถุประสงคของนโยบายและ แนวทางโดยรวมขององคกร เปาหมาย/ จุดสิ้นสุดแผนยุทธศาสตรเพื่อรับมือการระบาดใหญของโรคติดตอ ระดับปฏิบัติการ (Operational) บทบาท หนาที่ความรับผิดชอบ ภารกิจ การบูรณาการ และการดําเนินการ วัตถุประสงค • แผนประคองกิจการ (BCP) • แผนระดมสรรพกําลัง (Surge Capacity Plan) • แผนปฎิบัติการทุกภัยอันตราย(All Hazards Plan, AHP) • แผนปฎิบัติการเฉพาะโรค, (Hazard Specific Plan, HSP) ระดับยุทธวิธี(Tactical) บุคลากร เครื่องมือ อุปกรณ การบริหารจัดการทรัพยากร และพันธกิจ กิจกรรม แผนเผชิญเหตุ(Incident Action Plan, IAP)


จากแผนภาพแสดงให้เห็นถึงกรอบการตอบโต้ต่อทุกโรคทุกภัย ซึ่ง ในแผนปฏิบัติการสำหรับทุกภัย อันตราย (All-Hazards Plan) จะคลอบคลุมสมรรถนะของหน่วยงาน ที่จะต้องตอบโต้สาธารณภัยในทุกด้าน โดยในแต่ละด้านจะมีการทำแผนที่จำเพาะต่อโรคหรือภัยสุขภาพที่สำคัญในพื้นที่ซึ่งเรียกว่า Hazard Specific Plan ซึ่งได้มาจากการประเมินความเสี่ยงและจัดลำดับความสำคัญของโรคและภัยสุขภาพ เช่น แผนที่จำเพาะ ต่อโรคไข้หวัดนก แผนที่จำเพาะต่อโรคติดเชื้อไวรัสซิกา แผนที่จำเพาะต่อโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ตะวันออกกลาง ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มีการใช้ระบบบัญชาการเหตุการณ์เข้ามาจัดการปัญหา จำเป็นที่จะต้อง มีการทำแผนเผชิญเหตุที่เฉพาะของแต่ละเหตุการณ์ในแต่ละห้วงระยะเวลาปฏิบัติการ (Operational period)


แผนปฏิบัติการสำหรับทุกภัยอันตราย (AHP) เป็นกรอบแนวทางที่หน่วยงานจัดทำเพื่อเตรียมความ พร้อมต่อภาวะฉุกเฉิน และวางแผนในการปฏิบัติการตอบโต้ต่อโรคและภัยสุขภาพที่ส่งผลกระทบทาง สาธารณสุข ซึ่งเป็นภัยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือมนุษย์เป็นผู้กระทำ แผนปฏิบัติการสำหรับทุกภัยอันตรายไม่ได้อธิบายรายละเอียดทุกกิจกรรมในการตอบโต้ แต่จะระบุ ถึง • แนวคิดสำหรับการปฏิบัติการ • โครงสร้างหน่วยงานที่รับผิดชอบ • การบังคับบัญชา ควบคุม ประสานงาน • การรวบรวม วิเคราะห์และกระจายข้อมูล • แผนการติดต่อสื่อสาร • การบริหารจัดการ การเงิน และการส่งกำลังบำรุง • ภาคผนวก: แนบแผนจำเพาะต่อโรคและภัยสุขภาพ (Hazard Specific Plan)


ระบบข้อมูลร่วม (Joint Information System, JIS) บูรณาการข้อมูลจากเหตุการณ์ข้อมูลจากการ ปฏิบัติและข้อมูลเพื่อสาธารณะ เพื่อให้ได้ระบบข้อมูลที่ตรงกัน แม่นยำ รวดเร็ว เข้าถึงได้ง่าย สำหรับ ประชาชนทั่วไป และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ กิจกรรมของกลุ่มผู้รับชอบระบบข้อมูลร่วมประกอบด้วย • การพัฒนาและการส่งต่อข้อความ • ร่วมกันพัฒนาข้อความที่หน่วยงานและองค์กรต่างๆ จะสามาระถร่วมมือกันเผยแพร่ออกไป ในวงกว้าง • ให้คำแนะนำ ร่วมพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการสื่อสาร และร่วมดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ ด้านการสื่อสาร • ให้คำแนะนำเกี่ยวกับประเด็นสาธารณะที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดการเหตุการณ์ • จัดการข่าวปลอมที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ระบบข้อมูลร่วมดำเนินการกิจกรรมเหล่านี้เพื่อสนับสนุนภารกิจของผู้บัญชาการเหตุการณ์


ในที่นี้การแบ่งระดับความรุนแรงของสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นไปตามทรัพยากรบุคคลที่จำเป็นต้อง ระดมมาช่วยกันจัดการกับภาวะฉุกเฉินภายในจังหวัด เพื่อให้ • เจ้าหน้าที่ทุกคนในจังหวัดเข้าใจว่า ในภาวะฉุกเฉิน ทุกคนจะทำงาน “แบบเดิม” ต่อไปไม่ได้ไม่ว่าจะ เป็น emergency staffs หรือ essential staffs • มีการเตรียม surge capacity plan และ business continuity plan ให้ความสอดคล้องกับ all hazards plan • สะดวกกับการระดมคนมาช่วยกันทำงานจัดการภาวะฉุกเฉินในจังหวัด โดยแต่ละระดับ มีลักษณะ งานและกำลังคนดังนี้ โดยแบ่งเป็น 1. ภาวะปกติ • ดำเนินการติดตามและประเมินสถานการณ์การจัดทำแผน การสำรองเวชภัณฑ์อุปกรณ์และเครื่อง มือ และการซ้อมแผน • โดยผู้รับผิดชอบ ได้แก่ กลุ่มตระหนักรู้สถานการณ์ผู้จัดการงานตระหนักรู้สถานการณ์ผู้จัดการศูนย์ ปฏิบัติการ ผู้ปฏิบัติงานหลักในศูนย์ปฏิบัติการ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน 2. ภาวะฉุกเฉินระดับ 1 • เฝ้าระวังใกล้ชิดขึ้น ทำการวิเคราะห์ Mission ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ พัฒนาแผน เผชิญเหตุและเตรียมพร้อมกำลังคน • โดยมีการระดมสรรพกำลังตามเกณ์ ดังนี้ กำลังคนเหมือนกับภาวะปกติ แต่เพิ่มมีการแจ้งและเพิ่ม จำนวนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาร่วมติดตามและประเมินสถานการณ์ 3. ภาวะฉุกเฉินระดับ 2


• มีการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์และปฏิบัติงานตามโครงสร้างของระบบบัญชาการเหตุการณ์ และปฏิบัติการฉุกเฉินตามแผนเผชิญเหตุ • โดยมีการระดมสรรพกำลังตามเกณ์ดังนี้กำลังคนเหมือนระดับที่ 1 พร้อมทั้งมีการเพิ่มกำลังคนเข้า มาในระบบบัญชาการเหตุการณ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ10 ของกำลังคนของแต่ละหน่วยงาน 4. ภาวะฉุกเฉินระดับ 3 • มีการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์และปฏิบัติงานตามโครงสร้างของระบบบัญชาการเหตุการณ์และ ปฏิบัติการฉุกเฉินตามแผนเผชิญเหตุ • โดยมีการระดมสรรพกำลังตามเกณ์ดังนี้กำลังคนเหมือนระดับที่ 1 พร้อมทั้งมีการเพิ่มลังคนเข้ามา ในระบบบัญชาการเหตุการณ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของกำลังคนของแต่ละหน่วยงาน 5. ภาวะฉุกเฉินระดับ 4 • มีการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์และปฏิบัติงานตามโครงสร้างของระบบบัญชาการเหตุการณ์และ ปฏิบัติการฉุกเฉินตามแผนเผชิญเหตุ • โดยมีการระดมสรรพกำลังตามเกณ์ดังนี้ให้ทุกหน่วยงานหยุดการปฏิบัติงานที่ไม่ใช่งานที่สำคัญและ จำเป็นต้องดำเนินการ เพื่อให้บุคลากรทั้งหมดเข้าร่วมปฏิบัติการฉุกเฉิน


หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 หลักการพื้นฐานของระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Basic Incident Command Characteristics) ยินดีต้อนรับสู่หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 หลักการพื้นฐานของระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Basic Incident Command Characteristics)


วัตถุประสงค์ของหน่วยการเรียนรู้นี้คือ เพื่อให้ผู้เรียน 1. มีความรู้ความเข้าใจ และสามารถอธิบายหลักการพื้นฐานของระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Basic Incident Command Characteristics) ได้ทั้ง 14 หลักการ 2. สามารถอธิบายความรับผิดชอบของผู้ปฏิบัติงานในฐานะเจ้าหน้าที่ในระบบบัญชาการเหตุการณ์ได้


หลักการพื้นฐานของการจัดการในภาวะฉุกเฉินตามระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Basic Incident Command Characteristics) เป็นหลักการทั่วไปที่ผู้ปฏิบัติงานในระบบบัญชาการเหตุการณ์จะต้องยึดถือและ ปฏิบัติเพื่อให้การทำงานในภาวะฉุกเฉินเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เป็นระบบ มีเอกภาพ มีประสิทธิภาพ และ ปลอดภัย หลักการพื้นฐานของระบบบัญชาการเหตุการณ์ประกอบด้วยหลักการพื้นฐาน 14 หลักการ ได้แก่ 1) การใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายในการบัญชาการ 2) โครงสร้างองค์กรแบบโมดูลาร์ (Modular) 3) การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ 4) การจัดทำแผนเผชิญเหตุ 5) ช่วงการควบคุมที่เหมาะสม 6) การจัดพื้นที่ปฏิบัติการ 7) การจัดการทรัพยากรครบวงจร 8) การบูรณาการด้านการสื่อสาร 9) การแต่งตั้งและการถ่ายโอนอำนาจการบัญชาการ 10) การบัญชาการร่วม 11) สายการบังคับบัญชาและเอกภาพของการบัญชาการ 12) ความรับผิดชอบ 13) การส่งบุคลากรและอุปกรณ์ลงพื้นที่ 14) การจัดการข่าวสารและข่าวกรอง


หลักการพื้นฐานแรกของระบบบัญชาการเหตุการณ์ คือ การใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายในการบัญชาการ ผู้ ปฏิบัติงานในระบบบัญชาการเหตุการณ์ควรใช้ภาษาภาษาทั่ว ๆ ไปที่ทุกคนในทีมสามารถเข้าใจได้ (Common terminology) แทนการใช้ภาษาเฉพาะวงการ/อาชีพ/หน่วยงาน เช่น ภาษาวิทยุคำย่อต่าง ๆ เป็นต้น ผู้ปฏิบัติ งานควรหลีกเลี่ยงการบัญญัติหรือสร้างคำศัพท์หรือสร้างคำย่อขึ้นมาใหม่ ควรจัดทำมาตรฐานการเรียกชื่อสิ่งต่างๆ ให้ชัดเจน อาทิชื่อตำแหน่ง ชื่อวัสดุ เครื่องมือ อุปกรณ์หรือ การใช้ภาษาทั่วไป ทั้งนี้การวางมาตรฐานดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถสื่อสารและเข้าใจตรงกัน ลดความผิดพลาด ตลอดจนประหยัดเวลาในการปฏิบัติงานอีกด้วย


 ทำไมต้องใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และหลีกเลี่ยงการใช้คำย่อ การใช้คำย่ออาจก่อให้เกิดความไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิดได้ง่าย แม้ในกลุ่มบุคลากรสาธารณสุขด้วย กันเอง เช่น การใช้คำว่า HI หรือ CI อาจทำให้บุคลากรสาธารณสุขมีความเข้าใจไม่ตรงกันหรือเข้าใจคลาด เคลื่อนได้ Home Isolation หมายถึง การแยกกักตัวที่บ้านสำหรับผู้ป่วย House Index (HI) หมายถึง ร้อยละของบ้านที่สำรวจพบลูกน้ำยุงลาย ซึ่ง HI อาจหมายถึง Home Isolation vs House index Community Isolation หมายถึง ศูนย์แยกโรคชุมชน Container Index (CI) คือ ร้อยละของภาชนะขังน้ำที่พบลูกน้ำยุงลาย ซึ่ง CI อาจหมายถึง Community Isolation vs Container index จากตัวอย่างข้างต้น การใช้ตัวย่ออาจทำให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความสับสนและเข้าใจผิดได้


การใช้ภาษาวิทยุ เพื่อรักษาความลับบางอย่างจากบุคคลภายนอก ตัวอย่างเช่น ว.24 นี้เกิดเหตุว.40 ที่หน้ากระทรวงสาธารณสุข ทีมกู้ภัยอยู่ ณ จุดเกิดเหตุ ทีมกู้ภัย ขอ ว.7 ทีมกู้ชีพ ทีมกู้ชีพแจ้ง ว.00 เนื่องจากขณะนี้กำลัง ว.50 อยู่ แต่สำหรับในภาวะฉุกเฉินแม้เราจะมีการใช้วิทยุสื่อสารในการปฏิบัติงาน แต่หากมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจภาษา วิทยุสื่อสาร ก็จะส่งผลให้เจ้าหน้าที่ในองค์กรไม่เข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อได้


Click to View FlipBook Version