The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pongkaseam peerapun, 2023-08-13 07:04:56

ICS

ICS

Keywords: ICS

โครงสร้างระบบบัญชาการเหตุการณ์ระดับจังหวัด (Incident Command System, ICS) ประกอบ ด้วยภารกิจด้านข้อมูลและยุทธศาสตร์ (Information and Strategy Section) ภารกิจด้านปฏิบัติการ (Operation Section) และภารกิจด้านการสนับสนุน(Support Section) โดย • ภารกิจด้านข้อมูลและยุทธศาสตร์ (Information and Strategy Section) ประกอบด้วย • ตระหนักรู้สถานการณ์ (SAT) • แผน • วิชาการ • ภารกิจด้านปฏิบัติการ (Operation Section) ประกอบด้วย • สอบสวนควบคุมโรค • ดูแล รักษาผู้ป่วย • การแพทย์ฉุกเฉิน • สุขภาพจิต • ปฏิบัติการด้านวัคซีน • เฝ้าระวังเชิงรุก • กักกันผู้มีความเสี่ยง • ห้องปฏิบัติการด้านสาธารณสุข • ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ • สื่อสารความเสี่ยง • อนามัยสิ่งแวดล้อม • อื่นฯ • ภารกิจด้านการสนับสนุน(Support Section) ประกอบด้วย • โลจิสติกส์และสำรองเวชภัณฑ์ • กำลังคน • กฎหมาย • การเงิน • ประสานงาน


• ธุรการ • สนับสนุนด้านไอที • จัดการศูนย์ปฏิบัติการ


ในกลุ่มภารกิจปฏิบัติการอาจจะประกอบด้วยหน่วยย่อยเพื่อที่จะปฏิบัติภารกิจให้บรรลุวัตุประสงค์ ซึ่งหน่วยย่อยนั้นมีด้วยกัน 3 แบบ คือ แบบที่ 1 ชุดปฏิบัติการผสม (Task Forces) คือ การรวมกลุ่มของทรัพยากรหลายชนิด ที่มีการสื่อสาร ร่วมกันปฏิบัติงานภายใต้การกำกับดูแลของหัวหน้าชุดปฏิบัติการผสม เช่น ฝ่ายสนับสนุน หน่วยปฏิบัติการควบคุม โรคฝ่ายค้นหาผู้ประสบภัยและกู้ชีพ ฝ่ายวางแผน หรือ ฝ่ายสนับสนุน ซึ่งประกอบไปด้วย นักวิชาการการเงิน นักทรัพยากรบุคคล นักจัดการงานทั่วไป


แบบที่ 2 ได้แก่ชุดปฏิบัติการ (Strike teams) คือ กลุ่มของทรัพยากรที่เป็นแบบและชนิดเดียวกัน ที่ มีการสื่อสารร่วมกันและปฏิบัติการภายใต้การกำกับดูแลของหัวหน้าชุดปฏิบัติการ เช่น หน่วยสถานการณ์ หน่วยเอกสารและธุรการ หน่วยแพทย์ที่มาจากหลากหลาย รพ.


ให้ซักถามผู้เรียนว่า ชุดปฏิบัติการผสม (Task Forces) กับ ชุดปฏิบัติการ (Strike teams) แตกต่าง กันอย่างไร? พร้อมทั้งสุ่มผู้เรียน 2-3 คนให้ลองแสดงความคิดเห็น แนวทางการเฉลย: ชุดปฏิบัติการผสม (Task Forces) คือ การรวมกลุ่มภารกิจของทรัพยากรหลาย ชนิด แต่ชุดปฏิบัติการ (Strike teams) คือ กลุ่มภารกิจของทรัพยากรที่เป็นแบบและชนิดเดียวกัน


และแบบที่ 3 ได้แก่ ทรัพยากรเดี่ยว (Single Resource) เราอาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงบุคคล คนเดียวเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วอาจเป็น บุคคล หรือเครื่องมือและบุคลากรที่ควบคุมเครื่องมือนั้น หรืออาจจะ เป็นกลุ่มของบุคคลที่มีหัวหน้ากำกับดูแลก็ได้ เช่น เจ้าหน้าที่ประสานงาน เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย รถฉุกเฉิน


การจัดโครงสร้างระบบบัญชาการเหตุการณ์เป็นการจัดโครงสร้างตาม functional responsibility ดังนั้น ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร และผู้บัญชาการเหตุการณ์ควรพิจารณา activate กลุ่มภารกิจต่างๆ เท่าที่ จำเป็น (ไม่จำเป็นต้อง activate ทุกกลุ่มภารกิจที่แนะนำในหน่วยการเรียนรู้นี้) ตามสถานการณ์เท่านั้น การจัดโครงสร้างของกลุ่มภารกิจต่างๆ ควรคำนึงถึงหลักการ modular organization และ manageable span of control ด้วย ในทางปฏิบัติอาจมีการยุบรวมงานบางงาน ให้เป็นงานเดียวกันได้ (อยู่ในกลุ่มภารกิจเดียวกัน มี หัวหน้า คนเดียวกัน) หากงานนั้น ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้บุคลากรปฏิบัติงานในภารกิจนั้น ๆ มากนัก หน้าที่ของกลุ่มภารกิจใดๆ อาจมีแตกต่างกันได้ขึ้นอยู่กับลักษณะของภัย ผู้บัญชาการเหตุการณ์เป็นผู้ ทำหน้าที่ตัดสินใจมอบหมายหน้าที่ที่ชัดเจนให้กับกลุ่มภารกิจ


กลุ่มภารกิจสอบสวนควบคุมโรคและภัย (Joint Investigation Team) แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ปฏิบัติงาน ประจำศูนย์ปฏิบัติการ • จัดระบบการปฏิบัติการภาคสนามในการปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน • ตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์เครื่องมือ และกระบวนการปฏิบัติงาน (JAS: Job Action Sheet) • รวบรวมความรู้มาตรฐาน มาตรการในการปฏิบัติงานภาคสนาม รวมถึงมาตรการด้านความ ปลอดภัย • จัดทำรูปแบบการรายงาน จากJIT ภาคสนามให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ • การประสานงาน (ระบบเชื่อมประสานข้อมูล) กับ JIT ภาคสนามเพื่อรายงานไปยัง SAT และ IC กลุ่มที่ 2 ปฏิบัติงานภาคสนาม • กำหนดมาตรการความปลอดภัยของบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน • ประเมินขนาด ความรุนแรง การกระจาย ของปัญหา (Rapid Assessment) และสรุปผลแจ้ง ศูนย์ปฏิบัติการผ่าน Situation Awareness • ปฏิบัติการควบคุมสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ • รายงานสถานการณ์และปัญหาอุปสรรค หรือร้องขอการสนับสนุนเพิ่มเติมกับศูนย์ บัญชาการผ่าน Situation Awareness เป็น Real time • รายงานผลการปฏิบัติงานและประเมินผลการปฏิบัติงานให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์ทราบ


ภาพนี้เป็นตัวอย่าง ของประเภทภัยที่เป็นโรคระบาด หรือโรคติดต่ออันตราย เจ้าพนักงานควบคุมโรค ติดต่อ จะเป็นผู้มีอำนาจตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 เช่น - เมื่อมีเหตุสงสัย มีข้อมูลหรือหลักฐานว่า มีโรคอันตรายโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง หรือโรคระบาด ให้เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อแจ้งคณะกรรมการโรคติดต่อ จังหวัดหรือคณะกรรมการโรคติดต่อ กรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณีและรายงานข้อมูลนั้นให้กรมควบคุมโรคทราบโดยเร็ว - การนำศพหรือซากสัตว์ซึ่งตายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าตายด้วยโรคติดต่ออันตราย หรือโรคระบาด ไปรับการตรวจ หรือจัดการทางการแพทย์หรือจัดการด้วยประการอื่นใด เพื่อป้องกันการแพร่ของโรค สำหรับ CDCU คือ หน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคติดต่อ (Communicable disease control unit) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการทํางาน ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ ด้านเฝ้าระวัง-ป้องกัน-ควบคุมโรคอย่างครอบคลุม ในทุกโรคและภัย


ความสัมพันธ์ของผู้บัญชาการเหตุการณ์กับเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ มาตรา 34 เมื่อเกิดโรคติดต่ออันตราย/โรคระบาด หรือมีเหตุสงสัยว่าได้เกิดโรคติดต่ออันตราย/โรค ระบาดในเขตพื้นที่ ให้เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อมีอำนาจดำเนินการเอง/ออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ใด ดำเนินการ • ให้ผู้ที่เป็นหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาด/ผู้สัมผัสโรค/ เป็น พาหะมารับการตรวจ/รักษา/ชันสูตรทางการแพทย์ • แยกกัก/กักกัน/คุมไว้สังเกต ณ สถานที่ที่กำหนด • ให้ผู้มีความเสี่ยงที่จะติดโรคได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค • นำศพหรือซากสัตว์ไปรับการตรวจ/จัดการ เพื่อป้องกันการแพร่ของโรค • ให้เจ้าของ/ผู้ครอบครอง/ผู้พักอาศัยในบ้าน โรงเรือน สถานที่ พาหนะกำจัดความติดโรค/ • แก้ไขปรับปรุงสุขาภิบาลให้ถูกสุขลักษณะ


มาตรา 34 เมื่อเกิดโรคติดต่ออันตราย/โรคระบาด หรือมีเหตุสงสัยว่าได้เกิดโรคติดต่ออันตราย/โรค ระบาดในเขตพื้นที่ ให้เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อมีอำนาจดำเนินการเอง/ออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ใด ดำเนินการ (ต่อ) • ให้เจ้าของ/ผู้ครอบครอง/ผู้พักอาศัยในบ้าน โรงเรือน สถานที่ พาหนะ กำจัดสัตว์/แมลง/ตัว อ่อนของแมลงที่เป็นสาเหตุการเกิดของโรค • ห้ามผู้ใดกระทำการใด ๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ • ห้ามผู้ใดเข้าไปหรือออกจากที่เอกเทศ • เข้าไปในสถานที่/พาหนะที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีโรค เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรค • สอบสวนโรค และหากพบว่ามีโรคติดต่ออันตราย/โรคระบาดเกิดขึ้น ให้แจ้งคณะกรรมการ โรคติดต่อจังหวัด/กทม. และรายงานกรมควบคุมโรคให้ทราบโดยเร็ว


หน้าที่หลักของกลุ่มภารกิจด้านการเฝ้าระวังเชิงรุก (Active Surveillance) ประกอบด้วย • จัดทำแผนการเฝ้าระวังเชิงรุกให้ประชากรทั่วไป และประชากรกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ • ดำเนินการเฝ้าระวังให้เป็นไปตามแผน • กำกับให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ดำเนินการเฝ้าระวังได้อย่างเหมาะสม • ประสานข้อมูลผลการดำเนินงานและสถานการณ์กับกลุ่มภารกิจตระหนักรู้สถานการณ์ ภาพตัวอย่างการเฝ้าระวังเชิงรุก (Active Surveillance) จากการระบาด COVID-19 พื้นที่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร


กลุ่มภารกิจที่ 3 ในผู้ปฏิบัติการหลัก ได้แก่ กลุ่มภารกิจการจัดการและดูแลรักษาผู้ป่วย (Case Management) มีหน้าที่ • ดำเนินการตามมาตรฐานแนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยตลอดจนแนวทางในการป้องกันการติด เชื้อ • ประสานกับห้องปฏิบัติการทางสาธารณสุขเพื่อจัดทำแนวทางการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ ที่เหมาะสม • ประสานและ/หรือจัดเตรียมสถานที่สำหรับการคัดกรอง แยกกัก รักษาผู้ป่วย • ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยแบบองค์รวม (holistic care) • จัดระบบการให้การดูแลรักษาเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานกรณีที่เจ้าหน้าที่เจ็บป่วย หรือบาดเจ็บ จากการปฏิบัติงาน • ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์และการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลแก่สถาน พยาบาลอื่นๆ ที่รับดูแลรักษาผู้ป่วย • จัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาผู้ป่วย เพื่อพัฒนาระบบการรักษา พยาบาล ให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น • บริหารจัดการ และดูแลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนาม


กลุ่มภารกิจห้องปฏิบัติการด้านสาธารณสุข (Public health laboratory) มีหน้าที่สำคัญ ดังนี้ • ประสานงานกับกลุ่มภารกิจต่างๆ ในระบบบัญชาการเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องมีการตรวจทาง ห้องปฏิบัติการ ให้สามารถทำการตรวจตัวอย่างได้ตามระยะเวลาที่กำหนด • จัดทำแนวทางการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เหมาะสม • ติดตามการรายงานข้อมูลผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ • **กรณีโรคติดต่ออันตรายภายใน 3 ชั่วโมง** • รายงานผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการให้กับกลุ่มภารกิจตระหนักรู้สถานการณ์และกลุ่มภาร กิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็ว


กลุ่มภารกิจสื่อสารความเสี่ยง หรือ Risk Communication มีหน้าที่หลักดังต่อไปนี้ 1. เฝ้าระวังข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆทุกช่องทาง และประเมินการรับรู้ของสาธารณะ (Public perceptions) เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงและจัดทำแผนการสื่อสารความเสี่ยงที่เหมาะสมและรวดเร็ว 2. เฝ้าระวังข่าวลือ จากช่องทางต่างๆ และตอบโต้อย่างเหมาะสม และรวดเร็ว 3. เก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองโรคและภัยสุขภาพ อย่างเป็นระบบและเป็นปัจจุบัน ให้กลุ่มภารกิจเข้าถึงข้อมูลได้เพื่อตอบสนองการปฏิบัติการ 4. จัดทำข้อมูลข่าวสาร ประเด็นข่าว (Press release) ประเด็นสาร (Talking point) ที่ถูกต้องแม่นยำ และ ครบถ้วน เหมาะกับสถานการณ์และกลุ่มภารกิจเป้าหมาย 5. ดำเนินการสื่อสารความเสี่ยงผ่านช่องทางต่างๆ รวมทั้งผลิตสื่อ เพื่อเผยแพร่ด้วยรูปแบบและภาษา ที่เหมาะสม 6. พัฒนาเครือข่ายและช่องทางส่งต่อข้อมูลในการตอบสนองการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ภายใต้ ระบบบัญชาการเหตุการณ์ 7. จัดทำทำเนียบผู้บริหาร โฆษก วิทยากร สื่อมวลชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแถลงข่าว ให้ข่าว สื่อมวลชน และให้ความรู้ประชาชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


หน้าที่หลักของกลุ่มภารกิจสื่อสารความเสี่ยง (ต่อ) 8. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข เพื่อดำเนินการสื่อสารความเสี่ยง 9. ประเมินผลและรายงานผลการดำเนินงานสื่อสารความเสี่ยงต่อผู้บัญชาการเหตุการณ์ การสื่อสารความเสี่ยงในสถานการณ์ฉุกเฉิน ต้องสื่อสารข่าวสารถูกต้อง รวดเร็ว และเชื่อถือได้โดย การสื่อสารในสถานการณ์ฉุกเฉิน ควรสื่อสารไปในทิศทางเดียวกัน โดยผ่านผู้ที่ได้รับมอบหมาย/โฆษก


กลุ่มภารกิจด้านบริหารจัดการและการบริการวัคซีน มีหน้าที่ที่สำคัญดังนี้ 1. จัดทำแผนการบริหารจัดการและการบริการวัคซีน ให้เหมาะสมกับแผนการกระจายวัคซีนของกระทรวง สาธารณสุข 2. ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ 3. ดำเนินการตามให้บริการวัคซีนให้เป็นไปตามแผนการบริหารจัดการ และการบริการวัคซีน 4. กำกับติดตาม วางแผนประสานงานการดำเนินการจัดสรร กระจายวัคซีน และระบบ logistic ให้เป็นไป ตามเป้าหมาย


หน้าที่ที่สำคัญสำหรับกลุ่มภารกิจด้านบริหารจัดการและการบริการวัคซีน (ต่อ) 5. สนับสนุนการดำเนินงานในระดับพื้นที่ให้สามารถดำเนินงานตามนโยบาย 6. จัดระบบการเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์จากการได้รับวัคซีนให้เหมาะสม 7. รวมรวม จัดการ วิเคราะห์ และนำเสนอข้อมูลด้านการบริหารจัดการ และการฉีดวัคซีนให้ผู้บัญชาการ เหตุการณ์และกระทรวงสาธารณสุขทราบตามเวลาที่กำหนด 8. รายงานความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานต่อผู้บริหาร เพื่อติดตามและให้ข้อเสนอแนะ


หน้าที่หลักของกลุ่มภารกิจช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤติประกอบด้วย • จัดทำแผนการประเมินระดับสุขภาพจิตในกลุ่มประชากรสำคัญๆ เช่น บุคลากรทางการ แพทย์ผู้ติดเชื้อ ผู้สัมผัส และ ประชาชนทั่วไป กลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง เป็นต้น • ดำเนินการตามแผนการประเมินระดับสุขภาพจิตในกลุ่มประชากรสำคัญ ๆ • บริหารจัดการ จัดระบบ ดูแล และรักษาผู้มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตอย่างเหมาะสม • รวมรวม จัดการ วิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลด้านสุขภาพจิตอย่างเหมาะสม


กลุ่มภารกิจด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ (Point of Entry) มีหน้าที่หลัก ดังนี้ • ตรวจคัดกรองผู้เดินทางที่มาจากพื้นที่เสี่ยง • สาธิตฝึกปฏิบัติการดำเนินงานตามมาตรฐานการควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศแก่เจ้า หน้าที่ร่วมปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉิน • ควบคุมกำกับให้มีการดำเนินงานตามมาตรฐาน IHR2005 Point of Entry (ภาวะฉุกเฉิน) ตามมาตรฐานคู่มือพัฒนาสมรรถนะหลักช่องทางเข้าออกระหว่างประเทศ IHR 2005 • จัดทำฐานข้อมูลผู้เดินทางและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และส่งต่อข้อมูลให้ SAT


กลุ่มภารกิจการกักกันโรค (Quarantine) มีหน้าที่ที่สำคัญดังนี้ • ร่วมจัดตั้งสถานที่กักกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด • ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการสถานที่กักกัน และกำกับดูแลสถานที่ กักกัน ให้ดำเนินงานตามมาตรฐานการปฏิบัติ (SOP) • ดูแลสวัสดิภาพ ติดตามประเมินสภาวะสุขภาพของผู้เข้ารับการกักกันโรค และรายงานสภาวะ สุขภาพของผู้รับการกักโรคให้ผู้เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว • ติดตาม/ประเมินผล การดำเนินงานตามมาตรฐานแนวทางการกักกันผู้สัมผัส/ผู้ป่วยยืนยัน • รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลผลการดำเนินงานตามมาตรฐานการกักกันผู้เดินทางและผู้สัมผัสโรค เสนอต่อผู้บัญชาการเหตุการณ์


ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ (MERT/mini MERT) มีหน้าที่หลัก คือ • ประเมินสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าพื้นที่ (rapid health assessment) • จัดระบบ บริหารจัดการ และให้การรักษาพยาบาลตามลำดับความรุนแรงแก่ผู้ประสบเหตุ หรือผู้ป่วยฉุกเฉิน • จัดระบบการดูแลและส่งต่อผู้ป่วยที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ • ประเมินสถานการณ์และบันทึกเหตุการณ์ระหว่าง หรือสิ้นสุดการปฏิบัติเพื่อเป็นหลักฐาน และเพื่อขอความช่วยเหลือเพิ่มเติม หรือส่งต่อให้หน่วยปฏิบัติการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องที่มารับ ช่วงต่อ


ทีมปฏิบัติการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม (Special Environmental Health Response Team : SEhRT) มีหน้าที่หลัก คือ • ประเมินสถานการณ์ ประสานพื้นที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อวิเคราะห์ประเมิน สถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เกิดเหตุ • ดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เกี่ยวข้อง ตามประเภทของภัยที่เกิดขึ้น • ดำเนินการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว • สรุปรายงานสถานการณ์ การปฏิบัติและผลการปฏิบัติในพื้นที่ให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์และ ทีมตระหนักรู้สถานการณ์ทราบ


หากเหตุการณ์หรือภารกิจนั้นๆจำเป็นต้องมีทีมปฏิบัติที่นอกเหนือจากนี้ ก็สามารถจัดตั้งขึ้นให้มี ความเหมาะสม จำเป็นได้เช่น ในเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตพร้อม ๆ กันจำนวนมาก เช่น สึนามิแผ่นดินไหว และ ตึกถล่ม ควรมีการจัดตั้งกลุ่มภารกิจพิสูจน์อัตลักษณ์ผู้เสียชีวิต เป็นต้น


ท่านสามารถอธิบายบทบาทและหน้าที่ของกลุ่มภารกิจต่อไปนี้ได้หรือไม่ 1. กลุ่มภารกิจปฏิบัติการสอบสวนควบคุมโรคในพื้นที่ (Joint Investigation Team) 2. กลุ่มภารกิจด้านการเฝ้าระวังเชิงรุก (Active surveillance) 3. กลุ่มภารกิจด้านการจัดการและดูแลรักษาผู้ป่วย (Case Management) 4. กลุ่มภารกิจด้านห้องปฏิบัติการด้านสาธารณสุข 5. กลุ่มภารกิจสื่อสารความเสี่ยง (Risk Communication) 6. กลุ่มภารกิจด้านบริหารจัดการและการบริการวัคซีน 7. ทีมช่วยเหลือเยียวยาจิตใจผู้ประสบภาวะวิกฤต (MCATT) 8. กลุ่มภารกิจด้านด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ (Point of Entry) 9. กลุ่มภารกิจปฏิบัติการกักกันโรค (Quarantine) 10. ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์ (MERT/mini MERT) 11. ทีมปฏิบัติการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม (SEhRT) 12. กลุ่มภารกิจพิเศษอื่นๆ


หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 บทบาทหน้าที่ด้านการสนับสนุน


ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 6 นี้จะกล่าวถึงภารกิจด้านสนับสนุนซึ่งมีทั้งหมด 8 กลุ่มภารกิจ บทบาทหน้าที่ของกลุ่มภารกิจด้านการสนับสนุน ซึ่งมีส่วนสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทีมปฏิบัติการหลัก ถ้า จะเปรียบเทียบกับเรือบรรทุกเครื่องบิน ก็คือ ทุกคนบนเรือสำคัญไม่แพ้กัน ไม่ใช่มีเพียงแต่นักบินเท่านั้นที่ สำคัญ ไม่มีพ่อครัว แม่ครัว เรือก็ออกไปรบไม่ได้เช่นกัน วัตถุประสงค์หน่วยการเรียนรู้ที่ 6: บทบาทหน้าที่ของกลุ่มภารกิจด้านสนับสนุน เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถอธิบายบทบาท หน้าที่และการบริหารจัดการ สำหรับภารกิจด้าน การสนับสนุน ซึ่งประกอบด้วย: 1. ภารกิจสำรองวัสดุ เวชภัณฑ์และส่งกำลังบำรุง (Stockpiling and Logistics) 2. ภารกิจกฎหมาย (Legal) 3. ภารกิจการเงินและงบประมาณ (Finance) 4. ภารกิจจัดสรรกำลังคนในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Personnel Staffing) 5. ภารกิจกลุ่มภารกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (IT support) 6. ภารกิจการจัดการศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC Management) 7. ภารกิจประสานงานและเลขานุการ (Liaison) 8. ภารกิจด้านบริหารจัดการ (Administration)


ภารกิจด้านการสนับสนุนการปฏิบัติงานจัดการภาวะฉุกเฉิน มีหลายหลายขึ้นอยู่กับลักษณะของภัยที่ เกิดขึ้น โดยทั่วไป เราสามารถจัดแบ่งภารกิจด้านการสนับสนุนในโครงสร้างระบบบัญชาการเหตุการณ์ได้ดังนี้ 1. ภารกิจสำรองวัสดุ เวชภัณฑ์และส่งกำลังบำรุง (Stockpiling and Logistics) 2. ภารกิจกฎหมาย (Legal) 3. ภารกิจการเงินและงบประมาณ (Finance) 4. ภารกิจจัดสรรกำลังคนในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Personnel Staffing) 5. ภารกิจกลุ่มภารกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (IT support) 6. ภารกิจการจัดการศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC Management) 7. ภารกิจประสานงานและเลขานุการ (Liaison) 8. ภารกิจด้านบริหารจัดการ (Administration)


ภารกิจการสำรองวัสดุเวชภัณฑ์และส่งกำลังบำรุง (Stockpiling and Logistics) มีหน้าที่ ดังนี้ • จัดทำแผน สรรหา ทรัพยาการที่สำคัญสำหรับการจัดการภาวะฉุกเฉิน เช่น สถานที่ และสิ่ง อำนวยความสะดวก สำรองคลังเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์เทคโนโลยีและสารสนเทศ (IT) อุปกรณ์และระบบสื่อสาร เสบียงและอุปกรณ์ยังชีพ วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ และยานพาหนะ ตามแผนที่กำหนด • จัดทำแผน กระจาย ควบคุม กำกับ ดูแล และจัดส่งเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์ เทคโนโลยีและสารสนเทศ (IT) อุปกรณ์และระบบสื่อสาร เสบียง และอุปกรณ์ยังชีพ ยาน พาหนะ วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ สถานที่และสิ่งอำนวย ความสะดวก ตามแผนที่กำหนด • จัดทำแผน สรรหา จัดตั้งสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับทีมปฏิบัติการ และศูนย์ พักพิงสำหรับผู้ประสบภัย รพ.สนาม สถานที่กักโรค/แยกโรค (Quarantine/Isolation) • สนับสนุนยานพาหนะรับส่งทีมปฏิบัติการที่ได้รับการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย และพร้อม สนับสนุนทีมปฏิบัติงานเพิ่มเติม • จัดทำเอกสาร ทะเบียน และบัญชีควบคุมรายการสิ่งของและงบประมาณที่ได้รับบริจาคจาก บุคคลหรือหน่วยงานภายนอก


ตัวอย่าง : การดำเนินงาน กลุ่มภารกิจการสำรองวัสดุ เวชภัณฑ์และส่งกำลังบำรุง (Stockpiling and Logistics) ของหน่วยงานระดับจังหวัด • ตั้งคณะทำงานกลุ่มภารกิจสำรองวัสดุ เวชภัณฑ์ และส่งกำลังบำรุง (Stockpiling and Logistics) • จัดประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมในการจัดหาทรัพยากร และคาดการณ์ชนิด/ทรัพยากรที่ จำเป็นต้องใช้ในแต่ละภัย พร้อมทั้งแนวทางการขนส่ง หากทราบว่าต้องเกิดสาธารณภัย แน่ชัด ควรจัดหาทรัพยากรล่วงหน้าโดยในการประชุมแต่ละครั้ง อาจเชิญกลุ่มภารกิจ ตระหนักรู้สถานการณ์ หรือกลุ่มภารกิจยุทธศาสตร์ มาช่วยให้ข้อมูลสถานการณ์สาธารณภัย ณ ปัจจุบัน เพื่อช่วยในการวางแผนการคาดการณ์การใช้ทรัพยากรได้แม่นยำยิ่งขึ้น • จัดหาทรัพยากร และขนส่งตามแผนที่วางไว้ • กำกับและติดตามทรัพยากรตลอดการขนส่งจนกว่าจะถึงปลายทางผู้รับ • ประเมินผลการเตรียมความพร้อม และถอดบทเรียน เพื่อโอกาสในการพัฒนา


ภารกิจการสำรองวัสดุ เวชภัณฑ์และส่งกำลังบำรุง (Stockpiling and Logistics) ดูแลครอบคลุม หลายด้าน ไม่เพียงแต่เวชภัณฑ์ ยา หรือวัคซีนเท่านั้น กลุ่มนี้ที่จริงแล้วต้องดูแลทรัพยากรทั้งหมดที่จำเป็น สำหรับการปฏิบัติการ (ที่ไม่ใช่คน) ทุกเรื่อง ได้แก่ •อุปกรณ์ป้องกันตัว •เครื่องมือสื่อสาร •พาหนะ •คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ •ห้องแยกความดันลบ •เครื่องช่วยหายใจ ฯลฯ


เครื่องมื่อหนึ่งที่มีความสำคัญมากในการจัดการกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข คือ การนำกฎหมาย มาใช้และการบังคับใช้กฏหมายอย่างเหมาะสม ในบางกรณีการนำกฎหมายมาใช้และการควบคุมให้ ประชาชนปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆ ตามกฎหมายมีความซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง เช่น ในกรณีที่มีการระบาด ใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ผ่านมา ดังนั้น ในกรณีที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์มีความจำเป็นต้องนำ กฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้ในภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ผู้บัญชาการเหตุการณ์ควรจัดตั้งกลุ่มภารกิจกฎหมาย ขึ้นมา โดยกลุ่มภารกิจกฎหมายควรมีบทบาทหน้าที่ดังนี้ • ทบทวน รวบรวม วิเคราะห์พร้อมจัดทำฐานข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายที่มีความเกี่ยวข้องกับศูนย์ ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน และงานตอบโต้ภาวะฉุกเฉินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง • ร่าง ปรับปรุง หรือเพิ่มกฎระเบียบ ให้เอื้อต่อการปฏิบัติงาน • เป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายให้กับผู้บัญชาการเหตุการณ์ (IC) และกลุ่มภารกิจต่าง ๆ • ประสานงานชี้แจงและถ่ายทอดกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ผู้ปฏิบัติงานเข้าใจ และปฏิบัติได้ถูกต้อง • ประเมินผลกระทบของกฎหมายที่บังคับใช้ • ช่วยจัดทำคำร้องเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย • ช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามแต่กรณี


ภารกิจการเงินและงบประมาณ (Finance) มีหน้าที่ ดังนี้ • วางแผนงบประมาณสำหรับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินในภาวะฉุกเฉิน • จัดทำระบบธุรการการเงิน งบประมาณ สนับสนุนภารกิจของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน • สนับสนุนงบประมาณให้ทีมปฏิบัติงานได้ทันเวลา • ติดตามการเบิกจ่ายงบประมาณและรายงานให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์ทราบ • ตรวจสอบบันทึกเวลาปฏิบัติงานและจ่ายค่าตอบแทนตามเวลา • สรุปรายงานทางการเงิน และวิเคราะห์ต้นทุนการดำเนินการและความคุ้มค่า • จัดทำประกันชีวิต ดำเนินการเรียกร้อง ดูแลชดเชยค่าเสียหายสำหรับอุบัติเหตุและ การบาด เจ็บจากการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข


ตัวอย่าง : การดำเนินงาน ภารกิจการเงินและงบประมาณ (Finance) ของหน่วยงานระดับจังหวัด ใน การขอรับการสนับสนุนงบประมาณ 1) ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 2) กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี 3) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 4) งบประมาณจากแหล่งอื่น เช่น งบเงินกู้งบบริจาคฯ


ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ภารกิจด้านการจัดสรรกำลังคนในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Personnel Staffing) มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากกลุ่มภารกิจด้านการจัดการกำลังคนในภาวะฉุกเฉินจะช่วยให้ ระบบบัญชาการเหตุการณ์มีกำลังคนที่เหมาะสมอย่างเพียงพอกับการปฏิบัตินอกจากนี้การที่กลุ่มภารกิจด้าน การจัดสรรกำลังคนในภาวะฉุกเฉินทำหน้าที่ด้านการจัดทำทะเบียน กำกับ และดูแลผู้เข้ามาปฏิบัติงานในระบบ บัญชาการเหตุการณ์จึงทำให้กลุ่มภารกิจนี้มีความสำคัญสำหรับการสนับสนุนให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับค่าตอบแทน อย่างเหมาะสมตามความเป็นจริงอีกด้วย ความสามารถในการจัดการกำลังคนในภาวะฉุกเฉินให้มีประสิทธิภาพ เริ่มตั้งแต่การที่หน่วยงานมี เตรียมความพร้อมด้านกำลังคนในภาวะปกติซึ่งในภาวะปกติผู้รับผิดชอบงานด้านกำลังคนควร •จัดทำฐานข้อมูลกำลังคน พร้อมระบุสมรรถนะของบุคลากรให้เป็นปัจจุบัน ซึ่งสมรรถนะนี้อาจ เป็นทั้งสมรรถนะที่เกี่ยวข้องกับการจัดการภาวะฉุกเฉิน และสมรรถนะอื่นๆ เช่น สามารถพูด ภาษาของประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นต้น •จัดทำแผนพัฒนากำลังคน และมีระบบกำกับติดตามประเมินผล เพื่อให้กลุ่มภารกิจที่สำคัญๆ มีกำลังคนเพียงพอในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น การคาดประมาณจำนวนบุคลากรที่จำเป็น สำหรับงานตระหนักรู้สถานการณ์และการจัดการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรให้เพียงพอทั้งใน เชิงคุณภาพและในเชิงปริมาณ เป็นต้น •จัดทำแผนระดมสรรพกำลังทรัพยากรคน (Surge Capacity Plan) เพื่อใช้สำหรับการระดม คนในสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ แผนระดมสรรพกำลังทรัพยากรคนเป็นแผนที่จะกำหนดว่าเมื่อ เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น บุคลากรคนไหนจะต้องไปปฏิบัติงานใดในระบบบบัญชาการ เหตุการณ์อนึ่ง ควรเป็นแผนที่ได้รับการปรับปรุงอยู่เสมอ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่ เปลี่ยนแปลงไปของกำลังคน •ประสานจัดการอบรมเจ้าหน้าที่ เพื่อเตรียมความพร้อมตามภารกิจที่เกี่ยวข้อง ก่อนการปฏิบัติ งาน


เม่ือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้น กลุ่มภารกิจจัดสรรกำลังคนในภาวะฉุกเฉิน มีหน้าที่ดังนี้ •จัดหากำลังคนเข้าทำงานตอบโต้ภาวะฉุกเฉินตามที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์และผู้บริหารสูงสุด ของหน่วยงานกำหนด •จัดทำ พัฒนา และประเมินระบบการสร้างแรงจูงใจ •กำหนดตัวชี้วัดร่วมของแต่ละกลุ่มงานเพื่อให้เกิดการทำงานอย่างบูรณาการ •ประสานจัดการอบรมเจ้าหน้าที่ สำหรับการปฏิบัติงานตามภารกิจที่เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ก่อนส่งเจ้าหน้าที่ไปการปฏิบัติงานจริง (ฝึกซ้อม หรือซักซ้อมทำความเข้าใจก่อนเข้าปฏิบัติงาน จริง) เช่น กรณีที่มีทีมสอบสวนควบคุมโรคจากจังหวัดอื่นเข้ามาร่วมปฏิบัติงานสอบสวน ควบคุมโรคติดต่ออันตราย อาจต้องมีการทบทวนและฝึกอบรมเพิ่มเติม เพื่อให้ทีมจากนอก พื้นที่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างปลอดภัยและเป็นไปตามมาตรฐานการปฏิบัติที่ทางพื้นที่เกิด เหตุกำหนด เป็นต้น •จัดทำทะเบียน กำกับ และดูแลจำนวนผู้เข้ามาปฏิบัติงานระบบบัญชาการเหตุการณ์ทั้งหมด นั่นคือ กลุ่มภารกิจจัดสรรกำลังคนในภาวะฉุกเฉินจะต้องสามารถรับรู้อยู่ตลอดเวลาว่า ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ระบบบัญชาการเหตุการณ์มีผู้ปฏิบัติงานกี่คน อยู่ในกลุ่มภารกิจใดบ้าง ภารกิจละกี่คน ความสามารถในการติดตามและจัดทำหลักฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการเบิกจ่ายค่าตอบแทนให้กับเจ้าหน้าที่


ตัวอย่าง : การดำเนินงานภารกิจจัดสรรกำลังคนในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Personnel Staffing) ของ หน่วยงานระดับจังหวัด ภาวะปกติ • จัดทำทะเบียน/ทำเนียบผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณภัยต่างๆ พร้อมหน่วยงานและเบอร์โทรศัพท์ที่ สามารถติดต่อประสานงานได้ให้เป็นปัจจุบันมากที่สุด และควรอัพเดตทะเบียนเป็นประจำทุกปี • จัดอบรมหลักสูตรและพัฒนาทักษะต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการจัดการภาวะฉุกเฉินให้แก่เจ้าหน้าที่เป็น ประจำตามกลุ่มภารกิจ เพื่อให้กลุ่มภารกิจต่างๆ สามารถมีเจ้าหน้าที่ที่สามารถปฏิบัติงานได้จริงใน สถานการณ์ฉุกเฉินอย่างเพียงพอ ภาวะฉุกเฉิน • จัดหาผู้เชี่ยวชาญ/บุคลากรจากทำเนียบที่จัดทำไว้ ให้เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่ของแต่ละกลุ่ม ภารกิจ • จัดทำทะเบียน กำกับ และดูแลจำนวนผู้เข้ามาปฏิบัติงานระบบบัญชาการเหตุการณ์ทั้งหมด


ในปัจจุบัน งานเทคโนโลยีดิจิทัลมีความสำคัญมากขึ้นในการจัดการภาวะฉุกเฉิน ความสามารถและ สมรรถนะในการจัดการเทคโนโลยีดิจิทัลที่ดีจะช่วยให้การจัดการภาวะฉุกเฉินมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย ภารกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลจึงเป็นภารกิจ ด้านการสนับสนุนที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยทั่วไป ภารกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (IT support) มีหน้าที่ดังนี้ •ออกแบบและจัดทำระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้เจ้าหน้าที่ในระบบบัญ ชการเหตุการณ์ที่ปฏิบัติงานในศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินและในภาคสนามสามารถใช้งานได้ อย่างสะดวกและคล่องตัว รวมถึงมีความปลอดภัย (cyber security) จากการโจมตีจากแฮ็ก เกอร์ต่างๆ •ให้คำปรึกษาและร่วมกับกลุ่มภารกิจอื่นๆ พัฒนาระบบฐานข้อมูลสำหรับการจัดการ ภาวะฉุกเฉิน •พัฒนา ปรับปรุง และดำเนินการสำรองฐานข้อมูลที่สำคัญสำหรับการปฏิบัติงานของศูนย์ ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน •จัดทำระบบรายงานสถานการณ์โรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน โดยแสดงผลเป็น Real time dashboard •จัดทำระบบ data visualization เพื่อรายงานสถานการณ์การจัดการภาวะฉุกเฉิน เพื่อ สนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหาร •พัฒนาแผนที่เพื่อรายงานสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินอย่างเหมาะสม (GIS/data engineer) ทั้ง ในระดับพื้นที่ ระดับประเทศ และระดับโลก (กรณีที่จำเป็น) •พัฒนาระบบเว็บไซต์และสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อแพร่ข้อมูลสำคัญสู่หน่วยงานภายนอก และประชาชน •บริหารจัดการระบบการประชุมทางไกลผ่านทางจอภาพ (Video conference)


ภารกิจการจัดการศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC Management) ทำหน้าที่เสมือนทีมผู้ช่วยผู้ บัญชาการเหตุการณ์มีความรู้ทางวิชาการสามารถตอบโจทย์และช่วยกลุ่มภารกิจต่างๆ ขับเคลื่อนงานและแก้ ปัญหางานเฉพาะหน้าได้มีหน้าที่หลักในการขับเคลื่อน ผลักดันข้อสั่งการต่างๆ ของผู้บัญชาการเหตุการณ์สู่ การปฏิบัติ ภารกิจการจัดการศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC Management) มีหน้าที่ทำงานให้งานของศูนย์ ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินสามารถเดินไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งมีกรอบหน้าที่การทำงาน ดังนี้ • ประสานการทำงานของกลุ่มภารกิจต่าง ๆ ภายในศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน • กำกับ ดูแลให้การปฏิบัติของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินเป็นไปอย่างราบรื่น • วิเคราะห์ ประเมิน ติดตามผลการดำเนินงานของภารกิจสำคัญต่างๆ ตามข้อสั่งการให้บรรลุ ตามวัตถุประสงค์ พร้อมทั้งช่วยขับเคลื่อนผลักดันข้อสั่งการ และจัดการเรื่องสำคัญที่จำเป็น ต้องได้รับการ implement ให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่เหมาะสม รวมถึงการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ • ให้คำปรึกษา ข้อเสนอแนะทางวิชาการในการขับเคลื่อนกระบวนการแก้ปัญหา และจัดการ สถานการณ์นั้นๆ • สนับสนุนการจัดทำมาตรฐานการปฏิบัติงาน (standard operating procedure: SOP) ของ กลุ่มภารกิจต่าง ๆ และตรวจสอบความถูกต้องสอดคล้องกันของมาตรฐานการปฏิบัติงาน • ปฏิบัติงานด้านจัดการศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินตามที่ได้รับมอบหมาย


ภารกิจประสานงานและเลขานุการ (Liaison) เป็นอีกภารกิจหนึ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับ การปฏิบัติงานของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินและระบบบัญชาการเหตุการณ์ผู้บัญชาการเหตุการณ์อาจ พิจารณามอบหมายให้รองผู้บัญชาการเหตุการณ์คนใดคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากลุ่มภารกิจนี้เนื่องจาก หัวหน้ากลุ่มภารกิจนี้มีหน้าที่สำคัญประการหนึ่ง นั่นคือ การเป็นผู้แทนผู้บัญชาการเหตุการณ์เข้าร่วมประชุม กับหน่วยงานภายนอกอื่นๆ เพื่อนำเสนอสถานการณ์การปฏิบัติและผลการปฏิบัติตลอดจนการนำข้อสั่งการ หรือประเด็นที่หน่วยงานอื่นต้องการการสนับสนุนมาแจ้งให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์รับทราบ ซึ่งในการเข้าร่วม ประชุมกับหน่วยงานอื่น (เช่น เข้าร่วมประชุมกับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินระดับจังหวัด) ผู้บัญชาการ เหตุการณ์ควรมอบอำนาจในการตัดสินใจให้กับหัวหน้ากลุ่มภารกิจประสานงานและเลขานุการด้วยตามความ เหมาะสม อนึ่ง ในทางปฏิบัติหากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดในฐานะหัวหน้าสูงสุดของหน่วยงานสามารถ เข้าร่วมประชุมศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินระดับจังหวัดร่วมกับหัวหน้ากลุ่มภารกิจประสานงานและเลขานุการ ได้เป็นครั้งคราวจะทำให้การปฏิบัติงานระหว่างศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินของจังหวัดกับศูนย์ปฏิบัติการ ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขมีความราบรื่นมากยิ่งขึ้น หน้าที่อื่นของกลุ่มภารกิจนี้มีดังนี้ • จัดทำทำเนียบเครือข่ายเพื่อการประสานงานทั้งหน่วยงานภายในและภายนอกศูนย์ปฏิบัติ การภาวะฉุกเฉิน • ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกศูนย์ปฏิบัติการ ภาวะฉุกเฉิน • ติดตามและตระหนักรู้สถานการณ์ การปฏิบัติ และผลการปฏิบัติของศูนย์ปฏิบัติการ ภาวะฉุกเฉิน • ประสานจัดการประชุม จัดทำปฏิทินการปฏิบัติงานของระบบบัญชาการเหตุการณ์ และทีม ย่อยของระบบบัญชาการเหตุการณ์ • สรุปรายงานการประชุม ข้อสั่งการ ผลการดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรค และสื่อสารข้อสั่งการ ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว


ภารกิจด้านบริหารจัดการ (Administration) มีหน้าที่ ดังนี้ • สนับสนุนด้านบริหารจัดการและอำนวยความสะดวกในทุกๆด้าน ให้กับกลุ่มภารกิจต่าง ๆ • ดำเนินการด้านระบบสารบรรณของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน และระบบบัญชาการ เหตุการณ์ • จัดระบบการให้บริการยานพาหนะในภารกิจของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน • จัดเตรียมอาคารสถานที่ ห้องประชุม พร้อมระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสารภายใน และงานซ่อม บำรุง สนับสนุนภารกิจ EOC


มีคำถามที่น่าสนใจที่อยากให้ผู้เข้ารับการอบรมได้ลองคิด และลองตอบดูโดยอาศัยความรู้ที่ได้จาก “หลักการพื้นฐานของระบบบัญชาการเหตุการณ์” จังหวัดควรจัดให้มีกลุ่มภารกิจด้านการสนับสนุนกี่กลุ่มภารกิจ จำเป็นต้องตั้งให้มี 8 กลุ่มภารกิจหรือไม่ หากตั้งไม่ครบ 8 กลุ่มภารกิจ ควรมีการมอบหมายความรับผิดชอบงานอย่างไร


ในสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินที่อาจมีความรุนแรงไม่มากนัก หรือในสถานการณ์ที่จังหวัดมีข้อจำกัด ด้านทรัพยากรบุคคล อาจทำให้จังหวัดไม่สามารถจัดหาบุคลากรมาจัดตั้งเป็น 8 กลุ่มภารกิจสำหรับภารกิจด้าน การสนับสนุนทั้ง 8 ด้านข้างต้นได้ ในกรณีเช่นนี้ หน่วยงานระดับจังหวัดสามารถพิจารณาจัดตั้งกลุ่มภารกิจ สำหรับภารกิจด้านการสนับสนุนขึ้นมาจำนวนหนึ่งตามความเหมาะสม โดยหน่วยงานระดับจังหวัดสามารถ พิจารณาปรับรวมกลุ่มภารกิจที่มีบทบาทคล้ายคลึงกันเป็นกลุ่มภารกิจเดียวได้ อย่างไรก็ดี ศูนย์ปฏิบัติการ ภาวะฉุกเฉินและระบบบัญชาการเหตุการณ์ควรมีผู้รับผิดชอบภารกิจด้านการสนับสนุนครบทุกด้าน ตัวอย่าง กลุ่มภารกิจการจัดการศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC Management) กลุ่มภารกิจ ประสานงานและเลขานุการ (Liaison) และกลุ่มภารกิจด้านบริหารจัดการ (Administration) สามารถปรับ รวมกลุ่มภารกิจกันได้เพราะมีบทบาทคล้ายคลึงกัน


กรณีที่มีบางภารกิจที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์ไม่ได้มอบหมายให้มีผู้รับผิดชอบ ตามหลักการของระบบ บัญชาการเหตุการณ์หมายความว่า ผู้บัญชากการเหตุการณ์จะเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดการกับภารกิจ นั้นๆ เอง


หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการเรียนรู้ระหว่างกัน


Click to View FlipBook Version