The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pongkaseam peerapun, 2023-08-13 07:04:56

ICS

ICS

Keywords: ICS

หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 ภารกิจ หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บัญชาการเหตุการณ์


หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 ว่าด้วยเรื่อง บทบาทหน้าที่ของผู้บัญชาการเหตุการณ์ความเป็นผู้นำ การบริหาร จัดการ และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าสำหรับผู้บัญชาการเหตุการณ์ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ในบทนี้เพื่อให้ผู้เรียน สามารถอธิบายบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของ • การบัญชาการ บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บัญชาการเหตุการณ์ • ความเป็นผู้นำและการบริหารจัดการ • การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า สำหรับผู้บัญชาการเหตุการณ์ พร้อมทั้งสามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ในการปฎิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ในภาวะฉุกเฉิน ผู้บริหารองค์กรต้องจัดการทรัพยากรบุคคลให้เหมาะสม เพื่อให้มีบุคลากรเพียงพอใน การปฏิบัติภารกิจสำคัญจำเป็น และภารกิจจัดการภาวะฉุกเฉิน เน้นย้ำ ** หากไม่มีการระดมสรรพกำลัง ก็ไม่มีการปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉิน No surge capacity plan = No Emergency Operation**


ในส่วนการบัญชาการเหตุการณ์จะกล่าวถึงเนื้อหา 5 ด้าน ดังนี้ 1. ระบบบัญชาการเหตุการณ์ 2. การแต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์ 3. บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้บัญชาการเหตุการณ์ 4. การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ (Management by objectives: MBO) 5. สิ่งที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์ต้องคำนึงถึงในการจัดการสาธารณภัย (4C)


การแต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์ ผู้บังคับบัญชาสูงสุดขององค์กรจะเป็นผู้แต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์ (ในส่วนของกระทรวง สาธารณสุข) ระดับเขตสุขภาพ – ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้แต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์ ระดับจังหวัด – นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้แต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์ ผู้บัญชาการเหตุการณ์มีหน้าที่ต้องรายงานผลละอุปสรรคของการปฏิบัติต่อผู้บังคับบัญชา ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงาน มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบทั้งต่อสถานการณ์ ฉุกเฉิน และภารกิจอื่นๆ ที่เป็นภารกิจประจำซึ่งเป็น core business ขององค์กรด้วย (ตาม Business Continuity Plan)


ผู้บริหารสูงสุดจำเป็นต้องแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์หรือไม่ ก่อนจะตอบคำถามนี้จะต้องเข้าใจว่าผู้บริหารสูงสุดขององค์กรมีความรับผิดชอบที่จะต้องบริหาร จัดการให้ทั้งการจัดการภาวะฉุกเฉินและการทำงานประจำขององค์กรสามารถดำเนินไปได้อย่างดีที่สุด ผู้ บริหารสูงสุดขององค์กรจึงไม่ได้มีความรับผิดชอบเพียงแค่การจัดการภาวะฉุกเฉินเท่านั้น การทุ่มเทสรรพกำลัง ทั้งหมดทั้งหมดลงไปกับการจัดการภาวะฉุกเฉินเพียงด้านเดียวอาจทำให้การจัดการงานประจำบางอย่าง ประสบปัญหาหรือไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดได้เช่นในกรณีการจัดการการระบาดใหญ่ ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หากหน่วยงานทางสาธารณสุขไม่จัดระบบการดูแลงานประจำให้ดีจะพบว่า มีผู้ป่วยหรือประชาชนจำนวนหนึ่งไม่สามารถได้รับบริการปกติ (เช่น การควบคุมเบาหวาน การควบคุมความ ดันหรือการคัดกรองมะเร็ง) ที่มีประสิทธิภาพได้ก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขตามมาอีกมากมาย การบริหารจัดการองค์กรในภาวะฉุกเฉินที่พึงประสงค์คือ หน่วยงานมีผู้รับผิดชอบบริหารจัดการ ภาวะฉุกเฉิน (ผู้บัญชาการเหตุการณ์) เต็มเวลา และในขณะเดียวกันก็มีผู้รับผิดชอบบริหารจัดการงานประจำที่ สำคัญจำเป็นขององค์กร (ผู้บริหารแผนดําเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง) เต็มเวลาเช่นกัน ดังนั้น การพิจารณาว่าผู้บริหารสูงสุดขององค์กรควรแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์หรือไม่จึง ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของการบริหารจัดการงานประจำขององค์กรและความซับซ้อนของการบริหารจัดการ ภาวะฉุกเฉิน หากองค์กรมีขนาดใหญ่มาก งานประจำมีความซับซ้อนสูง ประกอบกับงานจัดการภาวะฉุกเฉินก็ มีความรุนแรงและมีความซับซ้อนสูงเช่นกัน ผู้บริหารสูงสุดอาจพิจารณามอบหมายให้ผู้ที่มีความเหมาะสมที่ สามารถดูแลการจัดการภาวะฉุกเฉินได้เต็มเวลาหรือเกือบเต็มเวลาเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ได้


เมื่อองค์กรได้มีการสถาปนาศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (activate EOC) และมีการแต่งตั้งผู้ บัญชาการเหตุการณ์ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินควรสามารถปฏิบัติงานได้โดยเร็ว (ภายใน 120 นาที) ผู้ บัญชาการเหตุการณ์และผู้เกี่ยวข้องต่างๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งจัดระบบงาน ระดมบุคลากร และ ทรัพยากรต่างๆ เข้ามาปฎิบัติงานตามระบบบัญชาการเหตุการณ์ของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ซึ่งขั้นตอนดัง กล่าวจะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วหากองค์กรมีมาตรฐานการปฎิบัติสำหรับการสถานปนาศูนย์ปฏิบัติ การภาวะฉุกเฉิน มีแผน hazard specific plan และมีแผนจัดสรรกำลังคนในภาวะฉุกเฉินที่มีความชัดเจน กลุ่มภารกิจด้านการสนับสนุนจำเป็นต้องเข้ามาปฎิบัติงานอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับกลุ่มภารกิจด้าน ปฏิบัติการ เพื่อจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็น จัดระบบด้านเทคโนโลยีดิจิทัล จัดระบบงานด้านเอกสาร และการจัดกา รด้านโลจิสติกส์ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ควรจัดให้มีการประชุมเพื่อสรุปสถานการณ์การกำหนดบทบาทหน้าที่ของกลุ่ม ภารกิจต่างๆ การมอบหมายงาน การกำหนดตารางปฎิบัติงาน และ การกำหนดมาตรฐานการปฎิบัติงานให้มี ความชัดเจนตั้งแต่ระยะแรก


การจัดการภาวะฉุกเฉินโดยอาศัยโครงสร้างและระบบการทำงานของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินไม่ใช่ การเข้ามาประชุมกันวันละหนึ่งครั้ง และผู้บัญชาการเหตุการณ์ก็ไม่ใช่ประธานการประชุมดังกล่าวซึ่งเข้ามา ประชุมแล้วลุกหายไปเมื่อการประชุมจบ การจัดการภาวะฉุกเฉินเป็นงานเต็มเวลาซึ่งจำเป็นต้องมีการมอบหมายบุคลากรเข้ามาทำงานจัดการ ภาวะฉุกเฉินอย่างชัดเจน และศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน คือ สถานที่ทำงานของบุคลากรฉุกเฉินดังกล่าว ผู้บัญชาการเหตุการณ์เป็นผู้รับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้องกับภาวะฉุกเฉินทั้งหมด และเป็นผู้ร่วมปฏิบัติ งานกับบุคลากรฉุกเฉินในระบบบัญชาการเหตุการณ์และในศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินแบบเต็มเวลาหากเป็น ช่วงเวลาใดที่คุณผู้บัญชาการเหตุการณ์ไม่สามารถปฏิบัติงานบัญชาการเหตุการณ์ได้ผู้บัญชาการเหตุการณ์ สามารถมอบหมายให้รองผู้บัญชาการเหตุการณ์คนใดคนหนึ่งปฎิบัติหน้าที่แทนได้ ผู้บัญชาการเหตุการณ์มีหน้าที่จะต้องรายงานสถานการณ์การปฎิบัติและผลการปฎิบัติต่อผู้บริหาร สูงสุดขององค์กรอย่างสม่ำเสมอตามกรอบเวลาที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรกำหนด และหากองค์กรมีการจัดตั้ง กลุ่มประสานงานพหุภาคีผู้บัญชาการเหตุการณ์มีความรับผิดชอบที่จะต้องนำเสนอสถานการณ์การปฎิบัติ และผลการปฏิบัติต่อกลุ่มประสานงานพหุภาคีตามที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรมอบหมาย


ความรับผิดชอบของผู้บัญชาการเหตุการณ์ • ความรับผิดชอบสูงสุดของผู้บัญชาการเหตุการณ์คือ ความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของ ผู้ปฏิบัติงานในระบบบัญชาการเหตุการณ์ • รับผิดชอบการปฏิบัติและหน้าที่ทั้งหมดจนกว่าจะมีการแต่งตั้งและมอบหมายงานให้เจ้า หน้าที่ เช่น ในกรณีที่ไม่มีการจัดตั้งกลุ่มภารกิจด้านการวางแผนหรือไม่ได้มีการมอบหมาย ภารกิจด้านการวางแผนให้กับผู้ใด ผู้บัญชาการเหตุการณ์จะต้องรับผิดชอบภารกิจด้านการ วางแผนด้วยตัวเอง เป็นต้น • ผู้บัญชาการเหตุการณ์เป็นผู้ที่มีรับผิดชอบเต็มต่อผลการปฏิบัติในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน • ผู้บัญชาการเหตุการณ์รับผิดชอบต่อข้อมูลที่ใช้ในการเผชิญเหตุ • ผู้บัญชาการเหตุการณ์มีความรับผิดชอบข้อมูลที่ใช้สื่อสารสู่สาธารณชน ดังนั้น ผู้บัญชาการ เหตุการณ์จึงจำเป็นต้องจัดระบบให้มีการตรวจสอบข่าวสาร และจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจ สุดท้าย (หากไม่ได้มีการมอบอำนาจการตัดสินใจดังกล่าวให้กับผู้ใด) ว่าข่าวสารใดสามารถ สื่อสารสู่สาธารณะชนได้ • ผู้บัญชาการเหตุการณ์รับผิดชอบการดำเนินการของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน • ผู้บัญชาการเหตุการณ์รับผิดชอบผลของการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


ภารกิจของผู้บัญชาการเหตุการณ์ • เป็นผู้นำในการตอบสนองเหตุการณ์ทั้งหมด (Leader) • มอบหมายอำนาจสั่งการให้กับผู้อื่น (Assignment) • รับคำแนะนำจากผู้บริหาร/หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ (อาจผ่านทางกลไกกลุ่มประสานงาน พหุพาคี) • ประเมินผลลัพท์และผลกระทบ ของสถานการณ์รวมทั้งผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ (Assessment)


บทบาทหน้าที่ของผู้บัญชาการเหตุการณ์ประกอบด้วย 1. กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการบัญชาการเหตุการณ์ 2. ติดตามสถานการณ์ของเหตุการณ์ 3. จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมตามแผนปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (Incident Action Plan, IAP) โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งการดำเนินการ ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 4. ติดตาม ประเมิน และแก้ไขปัญหา การดำเนินงานในส่วนต่างๆ ของระบบบัญชาการ เหตุการณ์


บทบาทหน้าที่ของผู้บัญชาการเหตุการณ์ (ต่อ) 5. บริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ ของระบบบัญชาการเหตุการณ์สำหรับการตอบโต้ เหตุการณ์รวมถึงบริหารจัดการทีมที่พื้นที่ได้รับการจัดสรรมาจากหน่วยงานอื่น ๆ และ อาสาสมัครที่เข้ามาช่วยเหลือ 6. ประสานระดับนโยบายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายนอกองค์กร 7. ตัดสินใจ ยกระดับ – ลดระดับ ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน 8. บัญชาการ สั่งการ และรับรายงานจากกลุ่มภารกิจต่างๆ ในระบบบัญชาการเหตุการณ์ 9. เสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน


การมอบหมายบทบาทของผู้บัญชาการเหตุการณ์ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ควรตั้งกลุ่มภารกิจต่าง ๆ เท่าที่จำเป็นต่อเหตุการณ์ หากกลุ่มภารกิจใดยังไม่มี ความจำเป็นจะต้องจัดตั้งก็ไม่ควรจะตั้งกลุ่มภารกิจนั้น ๆ ขึ้นมา ผู้บัญชาการเหตุการณ์ต้องเข้าใจว่าบุคลากร ที่เข้ามาปฏิบัติงานในระบบบัญชาการเหตุการณ์และศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน เป็นบุคลากรที่ได้มาจากคน ทำงานในภาวะปกติ หากผู้บัญชาการเหตุการณ์ไม่ได้จัดตั้งกลุ่มภารกิจที่จำเป็นต่อการดำเนินงาน ผู้บัญชาการเหตุการณ์ จะเป็นผู้รับผิดชอบบทบาทนั้น ๆ เอง The Incident Commander only creates “those Sections that are needed.” If a Section is not staffed, the Incident Commander will personally manage those functions.


การมอบหมายบทบาทของผู้บัญชาการเหตุการณ์ นอกจากนี้ผู้บัญชาการเหตุการณ์อาจแต่งตั้ง “รองผู้บัญชาการเหตุการณ์ (Deputy IC)” เพื่อมา ควบคุม กำกับ ติดตามกลุ่มภารกิจต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ให้เกิด manageable span of control หรือ รวมกลุ่มภารกิจต่างๆ เป็นส่วนๆ แล้วแต่งตั้ง “หัวหน้าส่วน (Section Chief)” เพื่อกำกับ ติดตาม การดำเนินงานภายในส่วน เช่น รองผู้บัญชาการเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย รองผู้บัญชาการด้านการสื่อสาร ความเสี่ยง รองผู้บัญชาการเหตุการณ์ด้านประสานงาน เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ควรพิจารณาถึงช่วงการควบคุมที่เหมาะสมและหลักการเอกภาพของการ บัญชาการเหตุการณ์และควรพิจารณาให้เข้าได้กับบริบทของพื้นที่ตนเอง


การมอบหมายบทบาทด้านความปลอดภัย การดูแลความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ในกลุ่มภารกิจต่างๆ ทั้งส่วนที่ปฏิบัติการภาคสนาม และส่วน ที่อยู่ภายในศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) เป็นความรับผิดชอบสำคัญของผู้บัญชาการเหตุการณ์ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ควรกำหนดให้ทุกกลุ่มภารกิจพัฒนา protocol ด้านความปลอดภัยของตนเองขึ้นมา และนำมาใช้อย่างเคร่งครัด ผู้บัญชาการเหตุการณ์อาจแต่งตั้งรองผู้บัญชาการเหตุการณ์ (หรืออาจเรียกว่า เจ้าหน้าที่ความ ปลอดภัย - safety officer) ในฐานะเป็น command staff เพื่อรับผิดชอบด้านความปลอดภัยทั้งหมด หากไม่ได้แต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์จะเป็นผู้รับผิดชอบในบทบาทนั้นเอง โดยงานด้านความปลอดภัย ควรประกอบด้วย: • จัดตั้งระบบและกลไกในการประเมิน สื่อสาร และบรรเทาความเสี่ยงของผู้ปฏิบัติงาน • กำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน • หยุดยั้งหรือป้องกันการปฏิบัติงานที่อาจก่อให้เกิดอันตราย


การใช้ระบบบัญชาการเหตุการณ์ในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข • ผู้บัญชาการเหตุการณ์ ต้องเข้าใจระบบบัญชาการเหตุการณ์ บทบาทหน้าที่และ ความรับผิดชอบของแต่ละกลุ่มภารกิจอย่างแตกฉาน • ใช้ระบบบัญชาการเหตุการณ์เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการสถานการณ์ • เข้าใจเป้าหมายในการปฏิบัติของตนเองอย่างแท้จริง • ประเมินสถานการณ์ประเมินผลกระทบของสถานการณ์ปัญหา • ประเมินทรัพยากร • หาทางเลือกในการแก้ปัญหา • แผนเผชิญเหตุที่เข้าใจตรงกัน มีเป้าหมาย วัตถุประสงค์เดียวกัน • ประเมินผลการปฏิบัติและปรับแผนฯ


1. การประเมินความเสี่ยง 2. ปฐมพยาบาล และการให้การรักษา ณ ที่เกิดเหตุ 3. การอพยพเคลื่อนย้ายผู้ป่วย 4. การจัดการผู้ป่วยจำนวนมาก 5. การสุขาภิบาลในค่ายผู้อพยพ 6. การระบุบุคคลที่เสียชีวิต 7. การเฝ้าระวัง ป้องกัน สอบสวนและควบคุมโรค


ตัวอย่างภารกิจด้านการสาธารณสุขในภาวะฉุกเฉิน (ต่อ) 8. การฟื้นฟูบูรณะระบบบริการทางการแพทย์ 9. การสนับสนุน ส่งเสริมสุขภาพอนามัยชุมชน 10.การดูแล เยียวยา และฟื้นฟูด้านสุขภาพจิตแก่ผู้ประสบภัยและผู้เกี่ยวข้อง


สิ่งที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์พึงระลึกถึงเสมอในการจัดการเหตุฉุกเฉิน มี 5 ประการ ได้แก่ 1. เจ้าหน้าที่เผชิญเหตุ 2. เหตุการณ์ 3. หัวหน้า (ผู้บังคับบัญชา) 4. ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 5. สื่อมวลชน


สิ่งที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์พึงระลึกถึงเสมอในการจัดการเหตุฉุกเฉิน 5 ประการ ได้แก่ 1.เจ้าหน้าที่เผชิญเหตุ การกระทำใดๆที่ส่งผลกระทบต่อเจ้าหน้าที่เผชิญเหตุ จะต้องรีบเข้าดำเนินการแก้ไขทันที เพื่อความ ปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ซึ่งถือเป็นความสำคัญสูงสุด ผู้บัญชาการเหตุการณ์ต้องเข้าจัดการกับเรื่องหรือประเด็น ต่าง ๆ ทันทีไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะอาจลุกลามขยายขยายตัวจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ยาก ต่อการแก้ไขได้


สิ่งที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์พึงระลึกถึงเสมอในการจัดการเหตุฉุกเฉิน 5 ประการ ได้แก่ (ต่อ) 2. เหตุการณ์ การจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น วัตถุประสงค์ที่กำหนดมีความเป็นไปได้หรือไม่ ทรัพยากร ที่จำเป็นต้องใช้มีเพียงพอในการปฏิบัติงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์การปฏิบัติหรือไม่ เป็นคำถามที่ผู้บัญชาการ เหตุการณ์ต้องถามตัวเองตลอดเวลา


สิ่งที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์พึงระลึกถึงเสมอในการจัดการเหตุฉุกเฉิน 5 ประการ ได้แก่ (ต่อ) 3. หัวหน้า (ผู้บังคับบัญชา) ทุก ๆ คนมีหัวหน้า และหัวหน้าจำเป็นต้องรับรู้สถานการณ์ที่เป็นปัจจุบัน ดังนั้นการแจ้งข้อมูล เหตุการณ์ที่สำคัญให้กับหัวหน้าของตน เพื่อรับรู้สถานการณ์ที่เป็นปัจจุบันที่สุด เป็นเรื่องสำคัญ ผู้บัญชาการ เหตุการณ์ต้องสร้างกลไก กระบวนการที่ตนเองจะสามารถรายงานข้อมูล ข่าวสารสำคัญให้ผู้บังคับบัญชา ของตนทราบได้อย่างรวดเร็วซึ่งอาจเป็นกระบวนการที่ไม่เป็นทางการ


สิ่งที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์พึงระลึกถึงเสมอในการจัดการเหตุฉุกเฉิน 5 ประการ ได้แก่ (ต่อ) 4. ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ทั้งผู้ประสบภัย กลุ่มการเมืองทุกระดับ ผู้ได้รับผลกระทบ ฯลฯ ทุก กลุ่มควรได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และเหมาะสมอย่างต่อเนื่อง ผู้บัญชาการเหตุการณ์ต้องสร้างช่องทาง การสื่อสาร แบบ 2 ทาง กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้รับทราบ ข้อกังวล ความห่วงใย ความสงสัย และชี้แจงประเด็นต่าง ๆ ให้เป็นที่เข้าใจร่วมกัน จะป้องกันข่าวลือ ข่าวเท็จ อันนำไปสู่การต่อต้านการปฏิบัติ งานได้ในที่สุด


สิ่งที่ผู้บัญชาการเหตุการณ์พึงระลึกถึงเสมอในการจัดการเหตุฉุกเฉิน 5 ประการ ได้แก่ (ต่อ) 5. สื่อมวลชน สื่อมวลชนทุกแขนงเป็นหน้าต่างสู่สาธารณชนทั่วไป นอกเหนือจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่อเหตุการณ์ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ จึงต้องมีความเข้าใจการปฏิบัติงานของสื่อมวลชน จุดสนใจ และมีทักษะในการสื่อสาร ในภาวะฉุกเฉินเป็นอย่างดี


สรุป • ผู้บัญชาการเหตุการณ์สถานการณ์เป็นผู้นำในการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน • ควรมีความรู้และเข้าใจระบบบัญชาการสถานการณ์ • วิเคราะห์สถานการณ์ทรัพยากร ปัญหา ได้อย่างเหมาะสม • กำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ในการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉินได้ • นำและร่วมจัดทำแผนปฏิบัติการ • ประเมินผลและปรับแผน ตามสถานการณ์ • การดำเนินงานให้คำนึงถึงกฎหมายและบทบาทหน้าที่ที่ควรคำนึงถึง • การบริหารจัดการคนนอกพื้นที่ (คนข้างนอกมาช่วย ) • หน้าที่ของIC ที่มีความชัดเจน (การดูแลเจ้าหน้าที่ให้มีความปลอดภัย การสนับสนุนทีมในการปฏิบัติ งาน)


หน่วยการเรียนรู้ที่9 สรุปบทเรียน และ แนวทางการน าไปใช้


โดยหลักสูตรนี้มีวัตถุประสงค์ทั่วไป คือ ต้องการให้ผู้ผ่านการอบรมสามารถอธิบาย • เหตุผลความจ าเป็นที่ต้องมีระบบการจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข • ความหมายและหลักการของระบบบัญชาการเหตุการณ์และศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทาง สาธารณสุข • หลักการพื้นฐานของการจัดการในภาวะฉุกเฉินตามระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Basic Incident Management Characteristics) • หน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละกลุ่มภารกิจของระบบบัญชาการเหตุการณ์ • โครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ที่จ าเป็นส าหรับศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข • ลักษณะของแผน ชนิดของแผน และล าดับชั้นของแผนส าหรับการปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทาง สาธารณสุข • ภารกิจและความรับผิดชอบของผู้บัญชาการเหตุการณ์


เราจะเริ่มต้นด้วยการดูความหมายของค าว่า “ภาวะฉุกเฉิน” และ “ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข” ภาวะฉุกเฉิน หมายถึง ภาวะวิกฤตหรือความรุนแรงบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยทันทีหรือโดยไม่คาดคิด เป็นภาวะที่จ าเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างรวดเร็ว ทันท่วงที ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข – ภาวะฉุกเฉินที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อประชาชน โดยการท าให้เกิดการ เจ็บป่วย การบาดเจ็บ หรือการเสียชีวิตเป็นจ านวนมาก ในภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขนั้นก่อให้เกิดสภาวะที่ปริมาณงานมากกว่าก าลังทรัพยากรที่มีอยู่ (ปริมาณงาน > ก าลังทรัพยากร) ดังนั้น ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขในที่นี้อาจไม่จ าเป็นต้องเข้าเกณฑ์2 ใน 4 ตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulation 2005, IHR 2005) เสมอไป


ส าหรับงานสาธารณสุข เมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินขึ้นหน่วยงานด้านสาธารณสุขมีความจ าเป็นที่จะต้องดูแล รับผิดชอบทั้งงานประจ าของหน่วยงาน และจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการภาวะฉุกเฉินด้วย กล่าวอีกนัย หนึ่ง นั่นคือ งานประจ าเดิมก็ยังต้องดูแลบริหารจัดการให้สามารถด าเนินการไปได้อย่างเหมาะสม ใน ขณะเดียวกัน ก็จะต้องบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้งานทั้ง 2 ส่วน นั่นคือ งานประจ าและงานจัดการภาวะฉุกเฉินสามารถด าเนินการไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพ หน่วยงานมีความจ าเป็นจะต้องปรับรูปแบบการบริหารจัดการภายในขององค์กรใหม่ และ จะต้องมอบหมายผู้รับผิดชอบงานทั้งสองส่วนนี้อย่างชัดเจน นอกจากนี้หน่วยงานยังจ าเป็นต้องก าหนด เป้าหมายการด าเนินงาน และติดตามผลการด าเนินงานของทั้งงานประจ าและงานจัดการภาวะฉุกเฉินอย่าง เป็นระบบอีกด้วย


“การจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข” (Public HealthEmergency Management, PHEM)คือ กระบวนการและขั้นตอนต่างๆ ของการจัดการเหตุการณ์การเกิดโรคและภัยคุกคามสุขภาพอย่างรวดเร็วและ เป็นระบบ ครอบคลุมทุกระยะตั้งแต่การด าเนินการป้องกัน และลดผลกระทบ (Prevention & Mitigation) การเตรียมความพร้อมรองรับภาวะฉุกเฉิน (Preparedness) การตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (Response) และการ ฟื้นฟูหลังเกิดภาวะฉุกเฉิน (Recovery) โดยต้องมีการมอบหมายกลุ่มงานต่าง ๆ ภายในหน่วยงานรับผิดชอบ บทบาทหน้าที่ทั้งหมด ทั้ง 4 ระยะ มีรายละเอียดดังนี้ 1. การด าเนินการป้องกันและลดผลกระทบ (Prevention and Mitigation) เป็นระยะที่ต้องด าเนิน กิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยลดโอกาสการเกิดเหตุการณ์และลดผลกระทบของโรคและภัยสุขภาพที่เป็นภาวะฉุกเฉิน หรือท าให้เหตุการณ์นั้นส่งผลกระทบน้อยลง ซึ่งรวมถึงการจัดวางระบบการจัดการภาวะฉุกเฉิน ทาง สาธารณสุขให้มีสมรรถนะและมีขีดความสามารถ เพื่อเตรียมการเผชิญสาธารณภัยต่าง ๆ ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เป็นการลดความรุนแรงและลดความสูญเสียจากภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ยกตัวอย่างเช่น •เฝ้าระวังเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่อาจพัฒนากลายเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข •ประเมินความเสี่ยงของเหตุการณ์และด าเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดโอกาสการแพร่กระจาย •แจ้งเตือนประชาชนให้เกิดการป้องกันตนเอง •เสริมสร้างภูมิคุ้มกันส าหรับโรคที่มีวัคซีน 2. การเตรียมความพร้อมรองรับภาวะฉุกเฉิน (Preparedness) เป็นระยะที่ต้องเตรียมความพร้อม แนวทางปฏิบัติในการรับมือกับภาวะฉุกเฉินที่จะเกิดขึ้นในทุกด้านก่อนเกิดเหตุการณ์ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ยกตัวอย่างเช่น


•ประเมินความเสี่ยงโรคและภัยสุขภาพอย่างสม่ าเสมอเพื่อจัดล าดับความส าคัญของโรค •จัดท าขีดความสามารถเป้าหมายของหน่วยงานเมื่อต้องตอบโต้ต่อเหตุฉุกเฉิน •จัดหาทรัพยากรพร้อมท าแผนที่ทรัพยากร •จัดท าแผนระดับ Operational plan ที่จ าเป็นได้แก่ AHP, HSP, BCP •ด าเนินการซ้อมแผนพร้อมทั้งถอดบทเรียน จัดท า AAR และ Improvement Plan 3. การตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (Response) เป็นระยะที่ด าเนินการเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขขึ้น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องด าเนินการตามแผนจัดการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ยกตัวอย่างเช่น •ยกระดับ EOC ตามแผนที่วางไว้เปิดศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินเพื่อบัญชาการเหตุการณ์ •จัดท า IAP และด าเนินการตอบโต้ทางยุทธวิธี •ทบทวนผลการปฏิบัติงานและพัฒนายุทธวิธีในการตอบโต้ •ลดระดับ EOC เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผน 4. การฟื้นฟูหลังเกิดภาวะฉุกเฉิน (Recovery) เป็นระยะที่ความเสียหาย และความสูญเสีย จาก เหตุการณ์ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ได้รับการแก้ไขและบรรเทาแล้ว มีการฟื้นฟูให้พื้นที่กลับสู่ภาวะปกติซึ่ง หลังจากด าเนินการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินแล้ว ผู้รับผิดชอบเหตุการณ์ภาวะฉุกเฉินต้องเตรียมการหลังฟื้นฟู ยกตัวอย่างเช่น •ถอนก าลังทรัพยากรจากพื้นที่ปฏิบัติการ •ชดเชย และบ ารุงรักษาทรัพยากรที่ใช้ในการปฏิบัติงาน •ฟื้นฟูสภาพร่างการและจิตใจของผู้ปฏิบัติงาน •ถอดบทเรียน จัดท า AAR และ Improvement Plan จากเหตุการณ์จริง การจัดการภาวะฉุกเฉินที่ดีเริ่มต้นตั้งแต่ภาวะปกติหน่วยงานจ าเป็นต้องจัดระบบและมอบหมายให้มี ผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน หากรอจนเกิดภาวะฉุกเฉินแล้วจึงค่อยมาจัดระบบ หรือมาเตรียมตัว จะท าให้การตอบโต้ ล่าช้า ไม่ทันการณ์และก่อให้เกิดความสูญเสียได้


เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้น การตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน อาศัยกรอบการท างานตามระบบการจัดการ เหตุการณ์ฉุกเฉินเป็นส าคัญ ซึ่งระบบการจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินมีองค์ประกอบที่ส าคัญ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ • การบริหารจัดการทรัพยากร • การบัญชาการและการประสานงาน • การสื่อสาร และการบริหารจัดการข้อมูล ซึ่งในส่วนของการบัญชาการและการประสานงาน มีองค์ประกอบย่อย 4 องค์ประกอบ ดังต่อไปนี้ • ระบบบัญชาการเหตุการณ์(ICS) • ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) • กลุ่มผู้ประสานงานหลายหน่วยงาน (MAC Group) • ระบบข้อมูลร่วม (JIS)


ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (EOC) เป็นสถานที่ที่ใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกันของกลุ่ม ภารกิจต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการบริหารสั่งการ ประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล และจัดสรร กระจายทรัพยากร ให้เกิดขึ้นอย่างสะดวกรวดเร็วในภาวะฉุกเฉิน และเพื่อให้ข้อสั่งการต่าง ๆ ของผู้บัญชาการเหตุการณ์ได้รับการ ปฏิบัติอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งให้งานที่อยู่ในความรับผิดชอบของหน่วยงานต่าง ๆ ยังคงอยู่ที่ หน่วยงานที่รับผิดขอบในเรื่องนั้น ๆ โดยจะไม่ดึงงานที่มีอยู่แล้วจากกองต่าง ๆ มาไว้ที่เดียวกัน และจะไม่สร้างงาน ที่ซ้ าซ้อนกับที่กองอื่น ๆ ท าอยู่แล้วขึ้นมาใหม่ ประกอบไปด้วย 1) ห้องบัญชาการเหตุการณ์ 2) ห้องท างานของผู้บัญชาการเหตุการณ์(ปฏิบัติงานเต็มเวลา) จนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย 3) ห้องศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (EOC) มีองค์ประกอบที่ส าคัญ ดังนี้ • ก าลังคนที่มีสมรรถนะ (Staff) • ห้องและอุปกรณ์(Stuff): คอมพิวเตอร์เครื่องมือระบบสื่อสาร ฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง • ระบบงาน (System): แผนปฏิบัติการ มาตรฐานการปฏิบัติงาน (SOP) และงบประมาณ


ระบบงาน (System) ของการัจดการภาวะฉุกเฉิน ซึ่งในที่รวมถึงแผนในระดับต่างๆ มาตรฐานการ ปฏิบัติงาน (Standard Operating Procedure, SOP) และงบประมาณ ก่อนเกิดเหตุฉุกเฉินหน่วยงานสาธารณสุขจ าเป็นที่จะต้องมีการจัดท าแผนปฏิบัติการ มาตรฐาน การปฏิบัติงาน พร้อมทั้งด าเนินการฝึกซ้อมแผน โดยแผนปฏิบัติการที่ส าคัญที่จะเป็นกรอบในการท างาน ของการจัดการภาวะฉุกเฉินคือ • All-Hazards Plan (AHP) • Hazard Specific Plans ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินอาศัยระบบบัญชาการเหตุการณ์ร่วมกับการใช้แผนเผชิญเหตุเพื่อตอบโต้ต่อ สถานการณ์ฉุกเฉิน และเพื่อให้ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หน่วยงานจ าเป็นต้องจัด ให้มีการทบทวนการปฏิบัติงาน และสรุปบทเรียนจากการด าเนินงาน (After Action Review, AAR) รวมถึง การจัดท าแผนปรับปรุงระบบงานจากผลการสรุปบทเรียนการด าเนินงาน


หลักการพื้นฐานของการจัดการในภาวะฉุกเฉินตามระบบบัญชาการเหตุการณ์ (Basic Incident Command Characteristics) เป็นหลักการทั่วไปที่ผู้ปฏิบัติงานในระบบบัญชาการเหตุการณ์จะต้องยึดถือและ ปฏิบัติเพื่อให้การท างานในภาวะฉุกเฉินเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เป็นระบบ มีเอกภาพ มีประสิทธิภาพ และ ปลอดภัย หลักการพืืนฐานของระบบบัญชาการเหตุการณ์ประกอบด้วยหลักการพื้นฐาน 14 หลักการ ได้แก่ •การใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายในการบัญชาการ •โครงสร้างองค์กรแบบโมดูลาร์(Modular) •การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์ •การจัดท าแผนเผชิญเหตุ •ช่วงการควบคุมที่เหมาะสม •การจัดพื้นที่ปฏิบัติการ •การจัดการทรัพยากรครบวงจร •การบูรณาการด้านการสื่อสาร •การแต่งตั้งและการถ่ายโอนอ านาจการบัญชาการ •การบัญชาการร่วม •สายการบังคับบัญชาและเอกภาพของการบัญชาการ •ความรับผิดชอบ •การส่งบุคลากรและอุปกรณ์ลงพื้นที่ •การจัดการข่าวสารและข่าวกรอง


โครงสร้างระบบบัญชาการเหตุการณ์ระดับจังหวัด (Incident Command System, ICS) ประกอบด้วยภารกิจด้านข้อมูลและยุทธศาสตร์(Information and Strategy Section) ภารกิจด้าน ปฏิบัติการ (Operation Section) และภารกิจด้านการสนับสนุน(Support Section) โดย • ภารกิจด้านข้อมูลและยุทธศาสตร์(Information and Strategy Section) ประกอบด้วย • ตระหนักรู้สถานการณ์(SAT) • แผน • วิชาการ • ภารกิจด้านปฏิบัติการ (Operation Section) ประกอบด้วย • สอบสวนควบคุมโรค • ดูแล รักษาผู้ป่วย • การแพทย์ฉุกเฉิน • สุขภาพจิต • ปฏิบัติการด้านวัคซีน • เฝ้าระวังเชิงรุก • กักกันผู้มีความเสี่ยง


• ห้องปฏิบัติการด้านสาธารณสุข • ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ • สื่อสารความเสี่ยง • อนามัยสิ่งแวดล้อม • อื่นฯ • ภารกิจด้านการสนับสนุน(Support Section) ประกอบด้วย • โลจิสติกส์และส ารองเวชภัณฑ์ • ก าลังคน • กฎหมาย • การเงิน • ประสานงาน • ธุรการ • สนับสนุนด้านไอที • จัดการศูนย์ปฏิบัติการ


ผู้บริหารสูงสุดจ าเป็นต้องแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์หรือไม่ ก่อนจะตอบค าถามนี้จะต้องเข้าใจว่าผู้บริหารสูงสุดขององค์กรมีความรับผิดชอบที่จะต้องบริหาร จัดการให้ทั้งการจัดการภาวะฉุกเฉินและการท างานประจ าขององค์กรสามารถด าเนินไปได้อย่างดีที่สุด ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรจึงไม่ได้มีความรับผิดชอบเพียงแค่การจัดการภาวะฉุกเฉินเท่านั้น การทุ่มเทสรรพ ก าลังทั้งหมดทั้งหมดลงไปกับการจัดการภาวะฉุกเฉินเพียงด้านเดียวอาจท าให้การจัดการงานประจ าบางอย่าง ประสบปัญหาหรือไม่สามารถด าเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดได้เช่นในกรณีการจัดการการระบาดใหญ่ ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หากหน่วยงานทางสาธารณสุขไม่จัดระบบการดูแลงานประจ าให้ดีจะพบว่า มีผู้ป่วยหรือประชาชนจ านวนหนึ่งไม่สามารถได้รับบริการปกติ(เช่น การควบคุมเบาหวาน การควบคุมความ ดันหรือการคัดกรองมะเร็ง) ที่มีประสิทธิภาพได้ก่อให้เกิดปัญหาทางสาธารณสุขตามมาอีกมากมาย การบริหารจัดการองค์กรในภาวะฉุกเฉินที่พึงประสงค์คือ หน่วยงานมีผู้รับผิดชอบบริหารจัดการภาวะ ฉุกเฉิน (ผู้บัญชาการเหตุการณ์) เต็มเวลา และในขณะเดียวกันก็มีผู้รับผิดชอบบริหารจัดการงานประจ าที่ส าคัญ จ าเป็นขององค์กร (ผู้บริหารแผนด าเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง) เต็มเวลาเช่นกัน ดังนั้น การพิจารณาว่าผู้บริหารสูงสุดขององค์กรควรแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์หรือไม่จึง ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของการบริหารจัดการงานประจ าขององค์กรและความซับซ้อนของการบริหารจัดการ ภาวะฉุกเฉิน หากองค์กรมีขนาดใหญ่มาก งานประจ ามีความซับซ้อนสูง ประกอบกับงานจัดการภาวะฉุกเฉินก็ มีความรุนแรงและมีความซับซ้อนสูงเช่นกัน ผู้บริหารสูงสุดอาจพิจารณามอบหมายให้ผู้ที่มีความเหมาะสมที่ สามารถดูแลการจัดการภาวะฉุกเฉินได้เต็มเวลาหรือเกือบเต็มเวลาเข้ามาท าหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ได้ เมื่อองค์กรได้มีการสถาปนาศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (activate EOC) และมีการแต่งตั้ง ผู้บัญชาการเหตุการณ์ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินควรสามารถปฏิบัติงานได้โดยเร็ว (ภายใน 120 นาที) ผู้บัญชาการเหตุการณ์และผู้เกี่ยวข้องต่างๆ จึงจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งจัดระบบงาน ระดมบุคลากร และ


ทรัพยากรต่างๆ เข้ามาปฎิบัติงานตามระบบบัญชาการเหตุการณ์ของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ซึ่งขั้นตอน ดังกล่าวจะสามารถด าเนินการได้อย่างรวดเร็วหากองค์กรมีมาตรฐานการปฎิบัติส าหรับการสถานปนาศูนย์ ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน มีแผน hazard specific plan และมีแผนจัดสรรก าลังคนในภาวะฉุกเฉินที่มีความ ชัดเจน กลุ่มภารกิจด้านการสนับสนุนจ าเป็นต้องเข้ามาปฎิบัติงานอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับกลุ่มภารกิจด้าน ปฏิบัติการ เพื่อจัดหาอุปกรณ์ที่จ าเป็น จัดระบบด้านเทคโนโลยีดิจิทัล จัดระบบงานด้านเอกสาร และการ จัดการด้านโลจิสติกส์ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ควรจัดให้มีการประชุมเพื่อสรุปสถานการณ์การก าหนดบทบาทหน้าที่ของกลุ่ม ภารกิจต่างๆ การมอบหมายงาน การก าหนดตารางปฎิบัติงาน และ การก าหนดมาตรฐานการปฎิบัติงานให้มี ความชัดเจนตั้งแต่ระยะแรก


ความรับผิดชอบของผู้บัญชาการเหตุการณ์ • ความรับผิดชอบสูงสุดของผู้บัญชาการเหตุการณ์คือ ความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของ ผู้ปฏิบัติงานในระบบบัญชาการเหตุการณ์ • รับผิดชอบการปฏิบัติและหน้าที่ทั้งหมดจนกว่าจะมีการแต่งตั้งและมอบหมายงานให้ เจ้าหน้าที่ เช่น ในกรณีที่ไม่มีการจัดตั้งกลุ่มภารกิจด้านการวางแผนหรือไม่ได้มีการมอบหมาย ภารกิจด้านการวางแผนให้กับผู้ใด ผู้บัญชาการเหตุการณ์จะต้องรับผิดชอบภารกิจด้านการ วางแผนด้วยตัวเอง เป็นต้น • ผู้บัญชาการเหตุการณ์เป็นผู้ที่มีรับผิดชอบเต็มต่อผลการปฏิบัติในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน • ผู้บัญชาการเหตุการณ์รับผิดชอบต่อข้อมูลที่ใช้ในการเผชิญเหตุ • ผู้บัญชาการเหตุการณ์มีความรับผิดชอบข้อมูลที่ใช้สื่อสารสู่สาธารณชน ดังนั้น ผู้บัญชาการ เหตุการณ์จึงจ าเป็นต้องจัดระบบให้มีการตรวจสอบข่าวสาร และจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจ สุดท้าย (หากไม่ได้มีการมอบอ านาจการตัดสินใจดังกล่าวให้กับผู้ใด) ว่าข่าวสารใดสามารถ สื่อสารสู่สาธารณะชนได้ • ผู้บัญชาการเหตุการณ์รับผิดชอบการด าเนินการของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน • ผู้บัญชาการเหตุการณ์รับผิดชอบผลของการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


การมอบหมายบทบาทของผู้บัญชาการเหตุการณ์ ผู้บัญชาการเหตุการณ์ควรตั้งกลุ่มภารกิจต่าง ๆ เท่าที่จ าเป็นต่อเหตุการณ์หากกลุ่มภารกิจใดยังไม่มี ความจ าเป็นจะต้องจัดตั้งก็ไม่ควรจะตั้งกลุ่มภารกิจนั้น ๆ ขึ้นมา ผู้บัญชาการเหตุการณ์ต้องเข้าใจว่าบุคลากร ที่เข้ามาปฏิบัติงานในระบบบัญชาการเหตุการณ์และศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน เป็นบุคลากรที่ได้มาจาก คนท างานในภาวะปกติ หากผู้บัญชาการเหตุการณ์ไม่ได้จัดตั้งกลุ่มภารกิจที่จ าเป็นต่อการด าเนินงาน ผู้บัญชาการเหตุการณ์ จะเป็นผู้รับผิดชอบบทบาทนั้น ๆ เอง The Incident Commander only creates “those Sections that are needed.” If a Section is not staffed, the Incident Commander will personally manage those functions.


การจัดการภาวะฉุกเฉินโดยอาศัยโครงสร้างและระบบการท างานของศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินไม่ใช่ การเข้ามาประชุมกันวันละหนึ่งครั้ง และผู้บัญชาการเหตุการณ์ก็ไม่ใช่ประธานการประชุมดังกล่าวซึ่งเข้ามา ประชุมแล้วลุกหายไปเมื่อการประชุมจบ การจัดการภาวะฉุกเฉินเป็นงานเต็มเวลาซึ่งจ าเป็นต้องมีการมอบหมายบุคลากรเข้ามาท างานจัดการ ภาวะฉุกเฉินอย่างชัดเจน และศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน คือ สถานที่ท างานของบุคลากรฉุกเฉินดังกล่าว ผู้บัญชาการเหตุการณ์เป็นผู้รับผิดชอบงานที่เกี่ยวข้องกับภาวะฉุกเฉินทั้งหมด และเป็นผู้ร่วม ปฏิบัติงานกับบุคลากรฉุกเฉินในระบบบัญชาการเหตุการณ์และในศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินแบบเต็มเวลา หากเป็นช่วงเวลาใดที่คุณผู้บัญชาการเหตุการณ์ไม่สามารถปฏิบัติงานบัญชาการเหตุการณ์ได้ผู้บัญชาการ เหตุการณ์สามารถมอบหมายให้รองผู้บัญชาการเหตุการณ์คนใดคนหนึ่งปฎิบัติหน้าที่แทนได้ ผู้บัญชาการเหตุการณ์มีหน้าที่จะต้องรายงานสถานการณ์การปฎิบัติและผลการปฎิบัติต่อผู้บริหาร สูงสุดขององค์กรอย่างสม่ าเสมอตามกรอบเวลาที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรก าหนด และหากองค์กรมีการจัดตั้ง กลุ่มประสานงานพหุภาคีผู้บัญชาการเหตุการณ์มีความรับผิดชอบที่จะต้องน าเสนอสถานการณ์การปฎิบัติ และผลการปฏิบัติต่อกลุ่มประสานงานพหุภาคีตามที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรมอบหมาย


ระดับของการแผน สามารถแบ่งการวางแผน ได้3 ระดับ คือ 1. ระดับยุทธศาสตร์(Strategic) 2. ระดับปฏิบัติการ (Operational) 3. ระดับกลยุทธ์(Tactical) ระดับยุทธศาสตร์ เป็นแผนระดับสูงสุดขององค์กร มักจะระบุแนวทางอย่างกว้างๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะก่อให้เกิดแผน ชนิดอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นแผนระยะยาว ระดับปฏิบัติการ เป็นแผนที่ก าหนดบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบ, ภารกิจ, การบูรณาการ, และการด าเนินการ ซึ่งเป็นแผนที่สอดคล้องกับแผนระดับยุทธศาสตร์ ระดับกลยุทธ์(Tactical) เป็นแผนที่ก าหนดจุดมุ่งหมายระยะสั้น ซึ่งถ่ายทอดมาจากแผนปฏิบัติการ องค์ประกอบของแผน ประกอบด้วยวัตถุประสงค์ เป้าหมาย กิจกรรม ขั้นตอนการปฏิบัติงาน งบประมาณ และผู้รับผิดชอบ


ในส่วนแผนที่จังหวัดควรมีได้แก่ ระดับปฏิบัติการ: แผนประคองกิจการ (BCP)/ แผนระดมสรรพก าลัง (Surge Capacity Plan)/ แผนปฎิบัติ การทุกภัยอันตราย (All Hazards Plan, AHP) แผนปฎิบัติการเฉพาะโรค (Hazard Specific Plan, HSP) ซึ่ง แผนเหล่านี้จังหวัดต้องจัดท าก่อนที่จะเกิดภาวะฉุกเฉิน โดยมอบหมายกลุ่มงานที่เกี่ยวข้องในโครงสร้างปกติ จัดท าเพื่อเตรียมความพร้อม ระดับกลยุทธ์(Tactical): แผนเผชิญเหตุ (Incident Action Plan) เป็นแผนที่กลุ่มภารกิจการวางแผน (Planning) จัดท าเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว โดย IAP จะมีความเฉพาะเจาะจงกับเหตุการณ์นั้นๆ


ในที่นี้การแบ่งระดับความรุนแรงของสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นไปตามทรัพยากรบุคคลที่จ าเป็นต้อง ระดมมาช่วยกันจัดการกับภาวะฉุกเฉินภายในจังหวัด เพื่อให้ • เจ้าหน้าที่ทุกคนในจังหวัดเข้าใจว่า ในภาวะฉุกเฉิน ทุกคนจะท างาน “แบบเดิม” ต่อไปไม่ได้ไม่ว่า จะเป็น emergency staffs หรือ essential staffs • มีการเตรียม surge capacity plan และ business continuity plan ให้ความสอดคล้องกับ all hazards plan • สะดวกกับการระดมคนมาช่วยกันท างานจัดการภาวะฉุกเฉินในจังหวัด โดยแต่ละระดับ มีลักษณะ งานและก าลังคนดังนี้ โดยแบ่งเป็น 1. ภาวะปกติ • ด าเนินการติดตามและประเมินสถานการณ์การจัดท าแผน การส ารองเวชภัณฑ์อุปกรณ์และ เครื่องมือ และการซ้อมแผน • โดยผู้รับผิดชอบ ได้แก่ กลุ่มตระหนักรู้สถานการณ์ผู้จัดการงานตระหนักรู้สถานการณ์ผู้จัดการศูนย์ ปฏิบัติการ ผู้ปฏิบัติงานหลักในศูนย์ปฏิบัติการ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน 2. ภาวะฉุกเฉินระดับ 1


• เฝ้าระวังใกล้ชิดขึ้น ท าการวิเคราะห์Mission ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ พัฒนาแผน เผชิญเหตุและเตรียมพร้อมก าลังคน • โดยมีการระดมสรรพก าลังตามเกณ์ ดังนี้ ก าลังคนเหมือนกับภาวะปกติ แต่เพิ่มมีการแจ้งและเพิ่ม จ านวนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาร่วมติดตามและประเมินสถานการณ์ 3. ภาวะฉุกเฉินระดับ 2 • มีการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์และปฏิบัติงานตามโครงสร้างของระบบบัญชาการเหตุการณ์ และปฏิบัติการฉุกเฉินตามแผนเผชิญเหตุ • โดยมีการระดมสรรพก าลังตามเกณ์ดังนี้ก าลังคนเหมือนระดับที่ 1 พร้อมทั้งมีการเพิ่มก าลังคนเข้า มาในระบบบัญชาการเหตุการณ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ10 ของก าลังคนของแต่ละหน่วยงาน 4. ภาวะฉุกเฉินระดับ 3 • มีการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์และปฏิบัติงานตามโครงสร้างของระบบบัญชาการเหตุการณ์และ ปฏิบัติการฉุกเฉินตามแผนเผชิญเหตุ • โดยมีการระดมสรรพก าลังตามเกณ์ดังนี้ก าลังคนเหมือนระดับที่ 1 พร้อมทั้งมีการเพิ่มลังคนเข้ามา ในระบบบัญชาการเหตุการณ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของก าลังคนของแต่ละหน่วยงาน 5. ภาวะฉุกเฉินระดับ 4 • มีการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์และปฏิบัติงานตามโครงสร้างของระบบบัญชาการเหตุการณ์และ ปฏิบัติการฉุกเฉินตามแผนเผชิญเหตุ • โดยมีการระดมสรรพก าลังตามเกณ์ดังนี้ให้ทุกหน่วยงานหยุดการปฏิบัติงานที่ไม่ใช่งานที่ส าคัญและ จ าเป็นต้องด าเนินการ เพื่อให้บุคลากรทั้งหมดเข้าร่วมปฏิบัติการฉุกเฉิน


Click to View FlipBook Version