The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวทางปฏิบัติในการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมกับกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา เป็นรายงานการติดตามผลดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว สังคม ภาวะผู้สูงอายุ และการเรียนรู้วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์แนวปฏิบัติของเครือข่ายพระนักพัฒนา และกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา ในการสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ของพื้นที่ต้นแบบ (Model) ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา และประเมินผลกระทบของพื้นที่ต้นแบบ (Model) ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by MCU Books, 2021-03-02 08:59:40

เครือข่ายพระนักพัฒนากับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์

แนวทางปฏิบัติในการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมกับกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา เป็นรายงานการติดตามผลดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว สังคม ภาวะผู้สูงอายุ และการเรียนรู้วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์แนวปฏิบัติของเครือข่ายพระนักพัฒนา และกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา ในการสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ของพื้นที่ต้นแบบ (Model) ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา และประเมินผลกระทบของพื้นที่ต้นแบบ (Model) ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา

Keywords: คุณภาพชีวิต, เครือข่ายพระนักพัฒนา, ชุมชนพื้นที่สูง

เครอื ข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพันธ์ุ

พระครูสมุห์วลั ลภ ฐิตสํวโร,ดร.
สาขาวชิ ารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตเชยี งใหม่

ข้อมลู ทางบรรณานกุ รมของหอสมดุ แหง่ ชาติ
เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของกลุ่มชาติพันธุ์
พระครูสมหุ ์วลั ลภ ฐติ สํวโร,ดร./เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ

ราชวิทยาลัย,
2564
188 หนา้ : ภาพประกอบ
1.ชาตพิ ันธุ์. 2.คณุ ภาพชีวิต. 3.พระนักพฒั นา
ISBN

ภาพประกอบ: พระสร้อย ชยานนโฺ ท, ณัฐพล แสนเมอื งมา
ออกแบบศิลป์: ภัชรบถ ฤทธ์ิเตม็

©ลิขสิทธิ์: มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตเชียงใหม่

ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200 โทร.053-278967

คํานํา

แนวทางปฏิบัติในการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตท่ี
เหมาะสมกับกลุ่มชาติพันธ์ุบนพื้นท่ีสูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา เป็น
รายงานการติดตามผลดําเนินงานด้านส่ิงแวดล้อม เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว
สังคม ภาวะผู้สูงอายุ และการเรียนรู้วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธ์ุบนพ้ืนท่ีสูงของ
เครือข่ายพระนักพัฒนา เพื่อนําไปสู่การวิเคราะห์แนวปฏิบัติของเครือข่ายพระ
นักพัฒนา และกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธ์ุบนพ้ืนที่สูงของ
เครือข่ายพระนักพัฒนา ในการสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ของพื้นที่ต้นแบบ
(Model) ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่าย
พระนักพัฒนา และประเมินผลกระทบของพื้นท่ีต้นแบบ (Model) ในการพัฒนา
คุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา ในขั้นตอน
สุดท้าย คือ การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้นักวิจัยรุ่นใหม่ สําหรับนิสิตของมหาวิทยาลัย
ท่ีมีภูมิลําเนาอยู่พื้นท่ี ในชื่อโครงการว่า “วิจัยบัณฑิตคืนถิ่น” และจัดตั้งศูนย์การ
เรียนรู้นักวิจัยรุ่นใหม่ สําหรับพระบัณฑิตอาสาในโครงการฯ ในชื่อโครงการว่า
“วิจัยอาศรมบณั ฑติ ”

หนังสือเล่มน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือเผยแพร่ ดําเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม
เศรษฐกิจ การท่องเท่ียว สังคม ภาวะผู้สูงอายุ และการเรียนรู้วัฒนธรรมของกลุ่ม

ชาติพันธ์ุบนพ้ืนที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา หวังเป็นอย่างย่ิงว่า เน้ือหาใน
หนังสือเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาเรียนรู้ของนิสิตนักศึกษาและผู้สนใจ
ตอ่ ไป

พระครสู มุห์วัลลภ ฐติ สํวโร,ดร.
มกราคม 2564

สารบญั

บทที่ 1 บทนํา 1
บทท่ี 2 บทบาทพระสงฆใ์ นการพัฒนาสงั คม 9
บทท่ี 3 ประสบการณก์ ารพัฒนาบนพื้นทส่ี ูงในประเทศ 21
บทที่ 4 พระสงฆ์กบั การพฒั นาบนพ้นื ท่สี ูง 44
บทที่ 5 การพัฒนาพน้ื ทสี่ งู ของเครอื ข่ายพระนกั พฒั นา 68
บทท่ี 6 บทสรุป 154
บรรณานกุ รม 151

เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพันธุ์

บทท่ี 1
บทนำํ

-1-

เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ิตของกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ

ในพื้นที่สูง คือพื้นที่บนภูเขำ หรือพื้นท่ีท่ีมีควำมสูงกว฽ำระดับน้ํำทะเล 500
เมตรข้ึนไป หรือเป็นพ้ืนที่ท่ีอยู฽ระหว฽ำงภูเขำ ต้ังอย฽ูหรือติดต฽อกับเขตพื้นที่ปุำ
ไม฾ ส฽วนใหญ฽เป็นท่ีอย฽ูของชำติพันธุแต฽ำง ๆ และชนกล฽ุมน฾อยต฽ำงๆ โดยเป็น
ท่ีตั้งบ฾ำนเรือนและท่ีทํำมำหำกิน พ้ืนที่สูงส฽วนใหญ฽ตั้งอย฽ูทำงตอนบนของประเทศ
ไทย ครอบคลุมพื้นท่ีประมำณ 93,690.85 ตร.กม. ประกอบด฾วย 9 จังหวัด คือ
เชียงรำย เชียงใหม฽ แม฽ฮ฽องสอน ลํำพูน ลํำปำง แพร฽ พะเยำ น฽ำน อุตรดิตถแ มี
จํำนวนประชำกร 6,169,843 คน (รำยงำนสํำรวจประชำกร พ.ศ.2557) มีควำม
หนำแน฽นเฉล่ีย 66 คน/ตร.กม. พ้ืนที่ตั้งชุมชนส฽วนใหญ฽ยังเป็นพื้นที่ปุำต฾นนํ้ำลํำ
ธำร ประมำณรอ฾ ยละ 88 ของหมบ฽ู ฾ำนมกี ำรคมนำคมทคี่ อ฽ นข฾ำงทุรกันดำร

ในด฾ำนสังคม ประชำกรบนพ้ืนท่ีสูงประกอบด฾วยชำติพันธุแท่ีเรียกว฽ำชำวเขำ
9 เผ฽ำ คือ แม฾ว เย฾ำ มูเซอ ลีซอ อีก฾อ กะเหร่ียง ลัวะ ถิ่น และขมุ และชนกล฽ุม
น฾อยอื่นๆ เช฽น เช฽น ผีตองเหลือง ปะหล฽อง ปำงตอง คะฉ่ิน ไทยใหญ฽ มอญ จีน
ฮ฽อ ฯลฯ ซึ่งจำกข฾อมูลกำรสํำรวจประชำกรชำวเขำเชิงลึกท้ัง 20 จังหวัดใน
ประเทศไทย (กองสงเครำะหแชำวเขำ กรมประชำสงเครำะหแ, 2551) พบว฽ำ มี
จํำนวนประชำกร 964,916 คน 139,797 หลังคำเรอื น 3,829 หมู฽บ฾ำน/กล฽ุมบ฾ำน
โดยส฽วนใหญ฽อำศัยกระจำยอย฽ูในจังหวัดภำคเหนือ 13 จังหวัด จํำนวน 851,282
คน หรือร฾อยละ 88.22 ของประชำกรชำวเขำท้ังประเทศ โดยจังหวัดเชียงใหม฽ มี
ชำวเขำมำกที่สุด จำํ นวน 244,291 คน (ร฾อยละ 25.31)

ภูมิภำคเอเชียอำคเนยแ (South-east Asia Region) ประกอบด฾วย 10
ประเทศ คอื ไทย พม฽ำ ลำว กมั พชู ำ เวยี ดนำม มำเลเชีย อินโดนีเซีย บรูไน และ
ฟิลิปปินสแ กล฽ุมประเทศเหล฽ำน้ีนับว฽ำมีควำมหลำกหลำยทำงวัฒนธรรม สังคม
เศรษฐกิจและกำรเมืองแห฽งหนึ่งของโลก เม่ือย฾อนกลับไปส฽ูประวัติศำสตรแที่ผ฽ำนมำ
เร่ิมต฾นต้ังแต฽ยุคล฽ำอำณำนิคมโดยจักรวรรดิตะวันตก สงครำมโลกครั้งที่ 1 และ 2
ยุคสงครำมเย็นโดยสองข้ัวอํำนำจใหญ฽คือสหรัฐอเมริกำและอดีตสหภำพโซเวียต สู฽
ยุคฟองสบู฽แตกจวบจนถึงปใจจุบัน ท฽ำมกลำงกระแสกำรพัฒนำทำงเศรษฐกิจในยุค
โลกำภิวัตนแและกำรเคล่ือนตัวในโลกยุคเทคโนโลยีสำรสนเทศ เป็นส฽วนหน่ึงท่ี
ผลักดันประเทศไทยให฾เข฾ำส฽ูกระแสกำรพัฒนำในฐำนะประเทศโลกที่ 3 และกำร
เขำ฾ ส฽ูควำมรว฽ มมือทำงเศรษฐกจิ ทง้ั ในระดบั ภูมิภำคและระดบั โลก

-2-

เครอื ขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชีวติ ของกลุ่มชาติพันธ์ุ

เนื่องจำกประเทศไทยมีชำยแดนติดต฽อกับหลำยประเทศในภูมิภำคหลำย
ประเทศ ไดแ฾ ก฽ พมำ฽ ลำว กัมพูชำ และมำเลเชยี มีระยะทำงกว฽ำ 2,000 กิโลเมตร
ซ่ึงทั้ง 4 ประเทศดังกล฽ำวมีกำรดํำเนินนโยบำยทำงกำรเมืองและเศรษฐกิจท่ี
แตกต฽ำงกันอย฽ำงมำก ซ่ึงทํำให฾กำรจัดควำมสัมพันธแในระดับภูมิภำคมีควำม
ยำกลำํ บำก โดยเฉพำะปใญหำเรอื่ งชนกล฽มุ นอ฾ ย

ประเด็นที่เก่ียวเน่ืองกับโครงกำรพัฒนำทำงเศรษฐกิจในภูมิภำค ประเด็น
เ รื่ อ ง ช ำ ติ พั น ธุแ แ ล ะ ก ำ ร พั ฒ น ำ เ ป็ น ส฽ ว น ห นึ่ ง ท่ี มั ก ถู ก ห ยิ บ ย ก เ ป็ น เ รื่ อ ง สํ ำ คั ญ
เน่ืองจำกปริมำณชนกล฽ุมน฾อยในภูมิภำคท้ัง 5 ประเทศ คือ ไทย ลำว พม฽ำ
กัมพูชำและเวียดนำม มจี ำํ นวนรวมกันถงึ 19.8 ลำ฾ นคน1

ในกรณีประเทศไทย กำรสํำรวจประชำกรชนกล฽ุมน฾อยในพ้ืนท่ีสูงหรือ
ชำวเขำอย฽ำงเป็นทำงกำรครั้งแรกเกิดข้ึนเมื่อมีมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 24 เมษำยน
พ.ศ.2527 กํำหนดให฾มีโครงกำรสํำรวจประชำกรชำวเขำ โดยสํำนักงำนสถิติ
แห฽งชำติ สํำนักงำนคณะกรรมกำรวิจัยแห฽งชำติ กรมตํำรวจ กรมกำรปกครองและ
กรมประชำสงเครำะหแ ระหว฽ำงปี พ.ศ. 2528 – 2531 ปรำกฏว฽ำมีประชำกร
ชำวเขำชำติพันธแุต฽ำงๆ อำศัยอยู฽บนพ้ืนท่ีสูง ในพื้นที่ 20 จังหวัด จํำนวน 3,535
หมบ฽ู ำ฾ น 95,838 ครวั เรือน 554,172 คน

หลังจำก พ.ศ. 2531 เป็นต฾นมำมีกำรสํำรวจเกิดข้ึนโดยกองสงเครำะหแ
ชำวเขำ ในปี พ.ศ. 2538 และ 2540 ซึ่งถือเป็นข฾อมูลกลำงใช฾อ฾ำงอิง และด฾วย
ช฽วงเวลำท่ีเปลี่ยนไปทํำให฾ข฾อมูลขำดควำมถูกต฾องเป็นปใจจุบัน กองสงเครำะหแ
ชำวเขำ กรมประชำสงเครำะหแ จึงดํำเนินกำรสํำรวจจัดเก็บและรวบรวม ข฾อมูล
ชุมชนและจํำนวนประชำกรบนพ้ืนท่ีสูง เพื่อจัดทํำทํำเนียบชุมชนบนพ้ืนท่ีสูงใน
ประเทศไทยปี 2545 ข้ึนไว฾เปน็ ฐำนขอ฾ มูลทีถ่ ูกตอ฾ งและเปน็ กลำงสำํ หรับหน฽วยงำน
และองคกแ รทั้งภำครฐั และเอกชน โดยไดน฾ ิยำมควำมหมำยของคำํ ต฽ำงๆ ไว฾ ดงั นี้

ชุมชนบนพื้นที่สูง หมำยถึง ชุมชนที่ชำวเขำชำติพันธแุต฽ำงๆ อย฽ูอำศัยทํำ
กินได฾แก฽ กะเหร่ียง แม฾ว เย฾ำ มูเซอ ลีซอ อีก฾อ ลัวะ ถิ่น ขมุ และมลำบรี รวมทั้ง
พื้นท่ีที่ชนกล฽ุมน฾อยอ่ืนๆ เช฽น ปะหล฽อง ตองส฾ู จีนฮ฽อ ไทยใหญ฽ ไทยลื้อ คนไทย
พื้นรำบ ขน้ึ ไปอยู฽อำศยั ทํำกินในพน้ื ท่สี งู

1 ปนัดดำ บณุ ยสำระนยั . กลม฽ุ ชำตพิ นั ธสุแ ว฽ นนอ฾ ยในภมู ภิ ำคเอเชยี อำคเนย,แ (เชยี งใหม:฽ โชตนำพร้นิ จำํ กดั
2544), หนำ฾ 22.

-3-

เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของกลุม่ ชาติพนั ธ์ุ

“พ้ืนท่ีสูง” ตำมระเบียบสํำนักทะเบียนกลำง กรมกำรปกครอง ว฽ำด฾วยกำร
พิจำรณำลงรำยกำรสถำนะบุคคลในทะเบียนรำษฎรให฾แก฽บุคคลบนพ้ืนท่ีสูง พ.ศ.
2543 ใหค฾ วำมหมำยไว฾ว฽ำ พ้ืนท่ีท่ีเป็นทีอ่ ยู฽ของชำวเขำเผ฽ำต฽ำงๆ และชนกลุ฽มน฾อย
หรือเป็นที่ตั้งบ฾ำนเรือนและที่ทํำกินท่ีมีควำมลำดชันโดยเฉลี่ยมำกกว฽ำร฾อยละ 35
หรือมคี วำมสูงกวำ฽ ระดับนํ้ำทะเล 500 เมตรข้ึนไป ในจังหวัดต฽ำงๆ 20 จังหวัด คือ
จังหวัดกำญจนบุรี กํำแพงเพชร เชียงรำย เชียงใหม฽ ตำก น฽ำน ประจวบคีรีขันธแ
พะเยำ พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณแ แพร฽ แม฽ฮ฽องสอน รำชบุรี เลย ลํำปำง
ลํำพูน สโุ ขทยั สพุ รรณบรุ ี และอทุ ยั ธำนี

หมู฽บ฾ำนทถ่ี กู ตอ฾ งตำมกฎหมำย หมำยถึง หมู฽บ฾ำนชุมชนบนพื้นที่สูงท่ีจัดตั้ง
ถกู ตอ฾ งตำมพระรำชบัญญัติลักษณะกำรปกครองท฾องท่ี พ.ศ. 2457

กล฽ุมบ฾ำน หมำยถึง ชุมชนบนพื้นท่ีสูงซึ่งตั้งบ฾ำนเรือนอย฽ูรวมกันเป็นกล฽ุม
โดยไม฽ได฾รับกำรจัดต้ังเป็นหม฽ูบ฾ำนถูกต฾องตำมกฎหมำย แต฽รวมอยู฽กับหม฽ูบ฾ำนหลัก
ทถ่ี กู ต฾องตำมกฎหมำย โดยมีลักษณะกำรต้ังชุมชนต฽ำงกันไปเป็น กลุ฽มบ฾ำน หย฽อม
บำ฾ น หรอื ปฺอกบำ฾ น

ประเภทชุมชนบนพื้นทีส่ งู หมำยถึง กำรจํำแนกประเภทชุมชนบนพ้ืนที่สูง
โดยอำศยั ข฾อมูลทรัพยำกรดิน ข฾อมูลเศรษฐกจิ และสังคม นํำมำประเมินตำมเกณฑแ
แผนแม฽บทกำรพัฒนำชุมชน สิ่งแวดล฾อมและกำรควบคุมพืชเสพติดบนพ้ืนที่สูง
ฉบบั ท่ี 1 พ.ศ. 2535 - 2539 ดังน้ี

ชุมชนประเภทท่ี 1 เป็นชุมชนที่มีกำรจัดต้ังหม฽ูบ฾ำนอย฽ำงถำวร โดยมี
คณุ สมบัตทิ ่เี หมำะสม ดังนี้

1) เป็นชุมชนขนำดใหญ฽ที่มีขนำดประมำณ 50 หลังคำเรือนข้ึนไป (หรือ
ภำยในรัศมี 2 กิโลเมตร รวมกันแล฾วมำกกว฽ำ 50 หลังคำเรือน) มีกำรตั้งบ฾ำนเรือน
ตลอดจนท่ีทํำกินในลักษณะม่ันคงถำวรในบริเวณ นั้นๆ โดยไม฽มีกำรอพยพ
เคลื่อนย฾ำยไมต฽ ่ำํ กว฽ำ 20 ปี

2) ที่ดินมีควำมเหมำะสมทำงกำรเกษตรโดยพิจำรณำตำมหลักวิชำกำร
และหลกั กำรอนรุ กั ษแทรพั ยำกรธรรมชำติและส่งิ แวดล฾อม

3) อยน฽ู อกเขตพ้นื ที่ลม฽ุ นำํ้ ชั้นที่ 1 หรือเขตอุทยำนแห฽งชำติ หรือเขตรักษำ
พนั ธแุสตั วปแ ุำ หรอื เขตห฾ำมล฽ำสัตวแ

4) มหี นว฽ ยงำนของรัฐเข฾ำไปดํำเนินกำรอยำ฽ งถำวรหรือตอ฽ เนื่อง

-4-

เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของกล่มุ ชาติพนั ธ์ุ

5) มกี ำรคมนำคมโดยทำงรถยนตเแ ขำ฾ ไปถงึ ท่อี ยู฽อำศยั
ชมุ ชนประเภทท่ี 2 เป็นชุมชนที่มีศักยภำพจะจัดต้ังเป็นหม฽ูบ฾ำนถำวร โดย
มีคุณสมบตั ิท่เี หมำะสมดังน้ี
1) ชุมชนท่ีจัดตงั้ ต฾องไม฽เกดิ ผลเสียต฽อควำมม่ันคงแห฽งชำติด฾ำนกำรปูองกัน
ประเทศ
2) เป็นชุมชนท่ีมขี นำดประมำณ 25-50 หลังคำเรือน (หรือภำยในรัศมี 2
กโิ ลเมตร รวมแล฾วประมำณ 25-50 หลังคำเรือน) ไม฽มีกำรอพยพเคลื่อนย฾ำยไม฽ตํ่ำ
กว฽ำ 10 ปี หรือถ฾ำตํ่ำกว฽ำ 10 ปี แต฽มีกำรสร฾ำงบ฾ำนเรือนตลอดจนท่ีทํำกินใน
ลกั ษณะมั่นคงถำวรในบรเิ วณนน้ั ๆ
3) ดินมีควำมเหมำะสมทำงกำรเกษตร โดยพิจำรณำตำมหลักวิชำกำรและ
หลักกำรอนรุ กั ษแทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละสงิ่ แวดล฾อม
4) ลักษณะของชุมชนต฾องสอดคล฾องกับ พรบ. ลักษณะกำรปกครองท฾องท่ี
พ.ศ. 2457 และ พรบ. หมบ฽ู ำ฾ นอำสำพฒั นำและปูองกนั ตนเอง พ.ศ. 2522
ชุมชนประเภทที่ 3 เป็นชุมชนท่ีไม฽มีศักยภำพที่จะต้ังเป็นหม฽ูบ฾ำนถำวร
(ขำดคุณสมบัตขิ อ฾ หน่งึ ขอ฾ ใดของกลม฽ุ 2)
ชุมชนประเภทท่ี 4 เป็นชุมชนท่ีจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษตำมนโยบำยของทำง
รำชกำร โดยไดร฾ บั อนมุ ตั ิจำกคณะรฐั มนตรี
ชมุ ชนประเภทท่ี 5 หมำยถงึ กล฽มุ ท่ียงั ไมไ฽ ด฾จํำแนกประเภทชมุ ชน
เขตพ้ืนที่ หมำยถึงขอบเขตกำรอย฽ูอำศัย ทํำกินของชุมชนต้ังอยู฽ในเขต
พ้ืนทท่ี ่ีรำชกำรกํำหนดเปน็ พ้ืนที่หวงห฾ำมของทำงรำชกำร ดงั นี้
เขตท่ี 1 หมำยถงึ อย฽ใู นเขตปำุ สงวนแหง฽ ชำติ
เขตท่ี 2 หมำยถึง อยู฽ในเขตอทุ ยำนแหง฽ ชำติ
เขตท่ี 3 หมำยถึง อยใู฽ นเขตรกั ษำพันธสแุ ตั วแปำุ
เขตที่ 4 หมำยถึง อยู฽ในเขตห฾ำมลำ฽ สตั วแ
เขตท่ี 5 หมำยถงึ อยนู฽ อกเขตปำุ / พน้ื ทก่ี นั ออก / เขตนิคมชำวเขำ
เขตท่ี 6 หมำยถึง อยใ฽ู นเขตปุำเตรยี มกำรสงวน
เขตที่ 7 หมำยถงึ อย฽ใู นเขตพ้นื ทีส่ งวนรำชกำรทหำร
ชำติพันธุแ หมำยถึง กำรสืบทอดทำงสำยโลหิต เชื้อชำติ ภำษำ ควำมเช่ือ
วิถีกำรดํำรงชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ของกล฽ุมชนใดกลุ฽มชนหนึ่งต้ังแต฽อดีตถึง

-5-

เครอื ข่ายพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาติพนั ธ์ุ

ปใจจบุ ัน โดยท่ัวไปใช฾คํำว฽ำ “เผ฽ำ” เพ่ือแยกกลุ฽มชนท่ีแตกต฽ำงกันอย฽ำงชัดเจนออก
จำกกนั

ชำวเขำ หมำยถึง กลุ฽มชนชำติส฽วนน฾อยท่ีอำศัยถำวรอย฽ูในพ้ืนท่ีสูงและ
ทุรกันดำรของภำคเหนือ และตะวันตกเฉียงใต฾ของประเทศไทย มีภำษำ ค฽ำนิยม
ควำมเชื่อ ประเพณีวัฒนธรรม แตกต฽ำงจำกชำวไทยพื้นรำบ อำจจํำแนกได฾โดย
จํำแนกตำมลักษณะควำมสัมพันธแทำงภำษำ จํำแนกได฾ดังนี้ กล฽ุมภำษำม฾ง-เย฾ำ
ได฾แก฽ ชำวเขำชำติพันธุแ แม฾ว เย฾ำ กล฽ุมภำษำทิเบต – พม฽ำ ได฾แก฽ ชำวเขำชำติ
พันธแุ กะเหร่ียง ลีซอ มูเซอ และอักข฽ำ (อีก฾อ) กล฽ุมภำษำมอญ – เขมร ได฾แก฽
ชำวเขำชำติพันธแุ ลัวะ ถน่ิ ขมุ

จํำแนกตำมลกั ษณะกำรตั้งถิน่ ฐำนท่อี ยู฽อำศัย จำํ แนกได฾ดังนี้
กล฽ุมอำศัยอย฽ูในท่ีตํ่ำหรือหุบเขำและทํำกำรเพำะปลูกแบบนำดํำและ ไร฽
หมนุ เวียนไดแ฾ ก฽ ชำวเขำชำติพันธแุกะเหรี่ยง ลวั ะ ถ่ินและขมุ
กล฽ุมอำศัยอยู฽บนที่สูงหรือสันเขำ (ควำมสูงเฉล่ียประมำณ 1,000 เมตร
เหนือระดับ นำํ้ ทะเล) ได฾แก฽ ชำวเขำชำติพนั ธแุ แม฾ว เย฾ำ ลีซอ มเู ซอและอีก฾อ
“ชำวเขำ” ตำมระเบียบสํำนักทะเบียนกลำง กรมกำรปกครอง ว฽ำด฾วยกำร
พิจำรณำลงรำยกำรสถำนะบุคคลในทะเบียนรำษฎรให฾แก฽บุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ.
2543 ใช฾คำํ วำ฽ “ชำวไทยภเู ขำ” หมำยควำมว฽ำ กลุ฽มชำติพันธุแด้ังเดิมท่ีอำศัยทํำกิน
หรอื บรรพชนอำศยั ทำํ กินอย฽ูบนพื้นท่ีสูงในรำชอำณำจักร ซึ่งมีวัฒนธรรม ประเพณี
ควำมเชอ่ื ภำษำและกำรดํำเนินชีวิต ท่ีมีเอกลักษณแเฉพำะตัว ประกอบด฾วย 9 ชำติ
พนั ธหุแ ลักคือ (1) กะเหรี่ยง หรือซ่ึงอำจเรียกว฽ำ ปกำเกอะญอ (สกอวแ) โพล฽ง(โปวแ)
ตองส฾ู(ปะโอ) บะแก (บะเว) (2) ม฾ง หรือซึ่งอำจเรียกว฽ำแม฾ว (3) เม่ียน หรือซ่ึง
อำจเรียกว฽ำ เย฾ำ,อวิ้ เมี่ยน (4) อำขำ฽ หรอื ซ่ึงอำจเรยี กว฽ำอีก฾อ (5) ลำห฽ู หรือซึ่งอำจ
เรียกว฽ำ มูเซอ (6) ลีซู หรือซึ่งอำจเรียกว฽ำ ลีซอ (7) ลัวะ หรือซึ่งอำจเรียกว฽ำ
ละเวือะ ละว฾ำ ถิ่น มัล ปรัย (8) ขมุ (9) มลำบรี หรือซ่ึงอำจเรียกว฽ำ คน
ตองเหลือง
รำษฎรบนพื้นที่สูง คือ ประชำกรท่ีอำศัยอย฽ูในชุมชนบนพ้ืนที่สูง ซึ่งกรม
พัฒนำสังคมและสวัสดิกำร จะ ได฾ให฾บริกำรจำกศูนยแพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำ

-6-

เครือขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของกล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ

14 แห฽ง คือ จังหวัดกำญจนบุรี กํำแพงเพชร เชียงรำย เชียงใหม฽ ตำก น฽ำน
พะเยำ พษิ ณุโลก เพชรบรู ณแ แพร฽ แมฮ฽ ฽องสอน ลํำปำง ลำํ พูน และอทุ ัยธำนี2

ตลอดเวลำท่ีผำ฽ นมำ รฐั บำลได฾ให฾ควำมสํำคัญกับกำรพัฒนำพื้นที่สูงมำอย฽ำง
ต฽อเนื่อง โดยในช฽วง พ.ศ.2498-2512 รัฐให฾ควำมสํำคัญในกำรแก฾ไขปใญหำด฾ำน
ควำมมั่นคงและด฾ำนสวัสดิกำร ซึ่งหน฽วยงำนหลักท่ีดํำเนินกำร คือ ตํำรวจตระเวน
ชำยแดน และกรมประชำสงเครำะหแ และต฽อมำ พ.ศ.2512-2534 เน฾นกำรแก฾ไข
ปใญหำกำรปลูกฝ่ิน ควบค฽ูกับกำรแก฾ไขปใญหำด฾ำนควำมมั่นคงเป็นหลัก ต฽อมำจึง
เน฾นกำรพัฒนำในเชิงบูรณำกำรมำกข้ึน อย฽ำงไรก็ตำม ปใจจุบันพ้ืนท่ีสูงยังคงมี
ปญใ หำที่จํำเปน็ ในกำรแก฾ไขหลำยประกำร อำจจํำแนกสรุปไดด฾ งั น้ี

(1) ปใญหำกำรทำํ ลำยทรพั ยำกรธรรมชำติ จำกกำรแผ฾วถำงพ้ืนที่ทํำกินใหม฽
ทํำให฾เกิดกำรบุกรุกพ้ืนท่ีปุำเพ่ิมขึ้น ทํำให฾เกิดควำมขัดแ ย฾งในกำรใช฾
ทรัพยำกรธรรมชำติระหว฽ำงชมุ ชนบนพนื้ ท่ตี น฾ น้ำํ และพนื้ ทท่ี ฾ำยน้ํำ รัฐและชำวบำ฾ น

(2) ปใญหำควำมยำกจน (จำกกำรสํำรวจของมหำวิทยำลัยเชียงใหม฽ ,
2547) พบว฽ำ เกษตรกรทั่วไปมีรำยได฾เฉล่ียเพียงปีละ 31,126 บำทต฽อครัวเรือน
ซ่ึงตํ่ำกว฽ำค฽ำเฉลี่ยรำยได฾ของเกษตรกรในภำคเหนือกว฽ำเท฽ำตัว (69,373 บำทต฽อ
ครัวเรอื นต฽อปี)

(3) ปใญหำกำรเกษตรท่ีใช฾สำรเคมี ทํำให฾เกิดกำรปนเป้ือน และส฽งผล
กระทบต฽อระบบทรัพยำกรนํ้ำและผู฾ท่ีอย฽ูอำศัยบนพื้นรำบ และส฽งผลกระทบถึง
พื้นดินเสื่อมโทรม โดยเฉพำะในระบบกำรทํำกำรเกษตรแบบตัดและเผำ ผนวกกับ
ควำมลำดชัน ทำํ ใหห฾ นำ฾ ดนิ ทอ่ี ดุ มสมบรู ณแถูกชะล฾ำง

(4) ปใญหำผู฾สูงอำยุขำดผ฾ูดูแล เนื่องจำกกำรอพยพของประชำกรแรงงำน
ไปประกอบอำชีพในเมืองมำกข้นึ ทํำให฾ขำดแคลนแรงงำนในชุมชน

(5) ปใญหำสูญเสียอัตลักษณแทำงด฾ำนชำติพันธแุ สังคมและวัฒนธรรมใน
อนำคต เนอื่ งจำกปใจจบุ ันสังคมของชมุ ชนชำวเขำเปิดสู฽สงั คมภำยนอกมำกข้ึน กำร
แพร฽ระบำดของยำเสพติด โรคเอดสแ รวมทั้งปใญหำด฾ำนควำมม่ันคงตำมแนว
ชำยแดน

2กรมพัฒนำสงั คมและสวสั ดิกำร, รำษฎรบนพนื้ ทีส่ งู , [Online]. Available:
http://www.dsdw2016.dsdw.go.th/page.php?module=service&pg=servicedetail&ser_id=2
[14 มกรำคม 2561].

-7-

เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธ์ุ

ปใญหำเหล฽ำนี้เป็นปใญหำที่เป็นอย฽ูและเร้ือรังมำนำน อีกท้ังปใจจุบันยังมี
ปใญหำเกิดใหม฽อีกมำก จึงจํำเป็นต฾องมีกำรวำงแผนในกำรแก฾ไขและพัฒนำอย฽ำง
เร฽งด฽วน ดังนั้น ในฐำนะที่มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย วิทยำเขต
เชียงใหม฽ ได฾ตระหนักถึงพันธกิจในกำรบริกำรวิชำกำรแก฽สังคมและภำรกิจในกำร
สร฾ำงประโยชนแเก้ือกูลต฽อสังคมไปส฽ูชนทุกระดับช้ัน จึงตระหนักเห็นถึงปใญหำของ
กล฽ุมชำติพันธุแบนพื้นท่ีสูง จึงได฾จัดต้ังโครงกำรพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำข้ึน
ตั้งแต฽ปี พ.ศ.2543 เป็นต฾นมำ โดยมีเปูำหมำยหลัก คือ กำรนํำพระบัณฑิตอำสำ
ไปปฏิบัติศำสนกิจบนพ้ืนท่ีสูง จำกกำรคัดเลือกนิสิตจำกมหำวิทยำลัยมหำจุฬำลง
กรณรำชวิทยำลัย วิทยำเขตต฽ำง ๆ ท่ีอำสำสมัครมำเป็นพระบัณฑิตนักพัฒนำบน
พ้ืนที่สูงในเขตทุรกันดำร โดยมีกระบวนกำรทํำงำนท่ีเน฾นควำมต฽อเน่ืองม่ันคงและ
กำรทํำงำนแบบเชิงรุกมำกกว฽ำเชิงรับ กระจำยตัวอยู฽ในหมู฽บ฾ำนชำวเขำในเขต
ภำคเหนือตอนบน ได฾แก฽ จังหวัดเชียงใหม฽ ลํำปำง แม฽ฮ฽องสอน ลํำพูน เชียงรำย
แพร฽ น฽ำน ตำก และพะเยำ

จำกกำรดำํ เนนิ งำนของโครงกำรพระบัณฑิตอำสำฯ ที่ผ฽ำนมำ ทํำให฾องคแกร
ในชุมชน ทัง้ หนว฽ ยงำนรำชกำรให฾กำรตอบรับและให฾ควำมรว฽ มมือในกำรทํำงำนเป็น
อยำ฽ งดี โดยเฉพำะกำรพฒั นำคุณภำพชีวิตของกลุ฽มชำติพันธแุบนพ้ืนท่ีสูง เพรำะกำร
ทํำงำนมกี ำรประสำนควำมสัมพันธแอย฽ำงใกล฾ชิด ใช฾หลักพุทธธรรมเป็นเคร่ืองมือใน
กำรพัฒนำผ฽ำนกิจกรรมพัฒนำที่หลำกหลำย ทํำให฾อำศรมพระบัณฑิตอำสำฯ เป็น
จดุ ศนู ยรแ วมทำงจติ ใจและเป็นแหล฽งเรียนรู฾ของชำวบ฾ำน รวมไปถึงกำรมีส฽วนในกำร
ยกระดบั กำรศึกษำของเยำวชนในหมู฽บำ฾ นให฾ดีขนึ้ และมีกิจกรรมท่ีม฽ุงหวังให฾บัณฑิต
นํำควำมรูท฾ ่ไี ดร฾ บั กลับไปพฒั นำหม฽ูบ฾ำนของตนเอง ในปใจจุบัน มีหมู฽บ฾ำนท่ีต฾องกำร
พระบัณฑิตอำสำฯ ในเขตภำคเหนือตอนบน โดยเฉพำะตำมรอยตะเข็บชำยแดน
มำกกว฽ำ 100 หมูบ฽ ำ฾ น จำกกำรประสำนควำมรว฽ มมอื กับกองทพั ภำคท่ี 3 กองกํำลัง
ผำเมือง กองกํำกบั กำรตำํ รวจตระเวนชำยแดนที่ 33 และองคแกรภำคีตำ฽ งๆ

-8-

เครอื ขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ

บทท่ี 2

บทบำทพระสงฆแในกำรพฒั นำสงั คม

-9-

เครือข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกล่มุ ชาติพันธุ์

ศ ำสนำได฾รับกำรยอมรับนับถือจำกมนุษยแเพียงใดก็อยู฽ที่ว฽ำศำสนำยังมี
ประโยชนแช฽วยสนองควำมต฾องกำรของมนุษยแในกำรแก฾ไขปใญหำของพวก
เขำไดม฾ ำกเพียงใด ข฾อน้หี มำยควำมวำ฽ กำรดํำรงอย฽เู จริญขึน้ หรือเสื่อมลงหรือสิ้นไป
ของศำสนำข้ึนอยู฽กับประโยชนแท่ีมีต฽อสังคมเป็นสํำคัญ3 ลักษณะควำมสัมพันธแ
ระหว฽ำงมนุษยกแ บั ศำสนำ หรือระหว฽ำงควำมสัมพันธแระหว฽ำงสังคมกับศำสนำเช฽นนี้
เป็นควำมสัมพันธแเชิงโครงสร฾ำงหน฾ำที่ ซึ่งแต฽ละองคแประกอบหรือแต฽ละสถำบันที่
ประกอบข้ึนเป็นโครงสร฾ำงสังคม จะต฾องทํำหน฾ำที่ของตนทั้งในภำวะท่ีพึงกระทํำ
ไปตำมปกติวิสัยและในภำวะที่ต฾องยึดหยุ฽นหรือปรับตัวให฾เข฾ำกับสภำพควำม
เปลี่ยนแปลงท่ีเกิด ข้ึนท้ังภำยในและภำยนอก โครงสร฾ำงสังคมเพ่ือกำรรักษำ
สังคมโดยสว฽ นรวมให฾คงอย฽ไู ด฾และเป็นไปเพือ่ กำรจดั ระเบียบสงั คมใหม฾ ัน่ คง

พระพุทธศำสนำก็อยู฽ในฐำนะสถำบันหนึ่งในสังคมไทย และมีควำม
เกี่ยวข฾องสัมพันธแกับชีวิตของคนไทย และควำมมั่นคงของสังคมไทยอย฽ำงแนบ
แน฽น พุทธศำสนำเป็นสถำบันสังคมที่มีควำมหมำยและเป็นสัญลักษณแควำมเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชำติ เป็นท่ีมำและถ฽ำยทอดวัฒนธรรมและ
ขนบธรรมเนียมประเพณีของชำติ ซ่ึงกล฽ำวโดยสรุปถึงบทบำทหน฾ำท่ีของพุทธ
ศำสนำตอ฽ สังคมไทยได฾ดงั น้ี4

1. พระพุทธศำสนำทํำหน฾ำท่ีเป็นพลังท่ีสร฾ำงสรรคแบูรณำกำรของสังคม
เปน็ สถำบนั ที่ถ฽ำยทอดและปลูกฝใงวัฒนธรรม และจริยธรรมทำงสังคม ก฽อให฾เกิด
ควำมร฾สู ึกร฽วมเป็นอันหนง่ึ อันเดยี วกันทำงวฒั นธรรมและควำมรส฾ู ึกเปน็ ชำติ

2. พระพุทธศำสนำมีอิทธิพลต฽อทัศนคติของค฽ำนิยม และมีบทบำทสํำคัญ
ในกำรกํำหนดทิศทำงควำมสัมพันธแ และกำรกระทํำต฽อกันระหว฽ำงสมำชิกในสังคม
ตลอดจนหนำ฾ ทเ่ี ปน็ กลไกคอบควบคุมพฤติกรรมของสมำชกิ ในสงั คมอกี ดว฾ ย

3. พระพุทธศำสนำไม฽เพียงจะมีหลักกำรเกี่ยวกับธรรมชำติและปใญหำทำง
ศีลธรรมเท฽ำน้ันแต฽ยังเก่ียวข฾องกับกำรเท฽ำเทียมในโอกำสทำงสังคมและควำม
ยุติธรรมเพือ่ ประโยชนแสขุ ของมวลชนทัง้ หมำย

3 พระรำชวรมุนี, บทบำทใหม฽ของสถำบันสงฆ,แ (กรุงเทพมหำนคร : มลู นิธิโกมลคีมทอง, 2527), หน฾ำ 224.
4 สมบูรณแ สุขสํำรำญ และ พลศักด์ิ จิระไกรศิริ, พระพุทธศำสนำ: พระสงฆแกับวิถีชีวิตสังคมไทย,
(กรงุ เทพมหำนคร : สํำนักงำนเสรมิ สรำ฾ งเอกลักษณแแ ห฽งชำติ, 2526), หนำ฾ 7- 8.

-10-

เครือขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลุ่มชาติพนั ธ์ุ

ก ำ ร นํ ำ แ น ว คิ ด พุ ท ธ ศ ำ ส น ำ กั บ สั ง ค ม ไ ท ย ม ำ ใ ช฾ เ พื่ อ ก ำ ร อ ธิ บ ำ ย ถึ ง
ควำมสัมพันธแระหว฽ำงพระพุทธศำสนำต฽อสังคมไทย ท่ีมีพระสงฆแและวัดเป็น
สัญลกั ษณแของพระพุทธศำสนำ โดยเฉพำะพระสงฆแ ซ่ึงถือเป็นกำรจํำลองอุดมคติ
ของพระพุทธศำสนำออกมำในรูปวิถีและบุคคล ดังน้ันเม่ือสังคมเกิดกำร
เปล่ียนแปลงท้ังในเชิงบวกและเชิงลบท่ีส฽งผลกระทบต฽อวิถีชีวิตผู฾คนในสังคม
พระสงฆแจึงจํำเป็นต฾องมีบทบำทในกำรจรรโลงและช฽วยเหลือสังคมในลักษณะต฽ำง
ๆ ซ่ึงเป็นกำรปรับประยุกตแวิธีกำรอบรมกล฽อมเกลำคนให฾ดํำรงตนตำมกรอบคํำ
สอนทำงพระพทุ ธศำสนำ

บทบำทพระสงฆใแ นสังคมไทย
คำํ ส่ังสอนในพระพุทธศำสนำท้ังฝุำยธรรมและฝุำยวินัย ได฾กํำหนดใช฾ชีวิต

ของพระสงฆแเกี่ยวเนื่องและผูกพันอยู฽กับสังคมโดยพ้ืนฐำนเดียวกัน ซ่ึงอำจแยกได฾
เป็น 2 ส฽วนคือควำมสัมพันธแภำยในสังคมสงฆแระหว฽ำงพระสงฆแด฾วยกันเอง ดัง
จะปรำกฏจำกบทบัญญัติต฽ำงๆ ในวินัยของพระสงฆแท่ีมีกำรอยู฽ร฽วมกันเป็นวัด
กำรกำํ หนดเขตสิมำอโุ บสถ กำรปวำรณำ กำรกรำนกฐนิ พุทธบัญญัติท่ีทํำให฾สงฆแ
เป็นใหญ฽ในกิจกำรต฽ำงๆ ซ่ึงได฾เรียกว฽ำ สังฆกรรม มีกำรอุปสมบท กำรระงับ
อธิกรณแ และข฾อกํำหนดเกี่ยวกับควำมสัมพันธแระหว฽ำงบุคคลมีกำรเคำรพกันตำม
อำวุโส ฯลฯ ส฽วนด฾ำนควำมสัมพันธแกับคฤหัสถแ พระสงฆแถูกกํำหนดให฾ฝำกชีวิต
ควำมเป็นอยู฽ไว฾กับคฤหัสถแเร่ิมต้ังแต฽อำหำรซึ่งพระสงฆแเป็นอยู฽ด฾วยกำรบิณฑบำต
คืออำหำรท่ีคฤหัสถแถวำย ตลอดจนถึงปใจจัย 4 อย฽ำงอื่น ๆ และกำรเป็นอย฽ูท่ี
ตอ฾ งอำศยั คฤหัสถแเป็นประจำํ เป็นข฾อบังคับในตัวให฾ชีวิตของพระสงฆแผูกพันอย฽ูกับ
สังคมคฤหัสถแ ควำมผูกพันนี้มิได฾กํำหนดแต฽ในฝุำยวินัยอย฽ำงเดียวเท฽ำน้ันแม฾
ในทำงธรรมก็มพี ุทธพจนแตรัสสอนและเตือนให฾พระสงฆแระลึกเสมอ ในภำวะนี้เพ่ือ
ก฽อให฾เกิดควำมสํำนึกในกำร ปฏิบัติและหน฾ำท่ีควำมรับผิดชอบของตน5 โดยนัยน้ี
พระสงฆแจึงมีหน฾ำท่ีจะต฾องช฽วยเหลือผู฾อื่นให฾พ฾นจำกควำมทุกขแด฾วยอำศัยเมตตำและ
กรุณำธรรม

อีกท้ังพระวินัย ยังได฾บัญญัติกำรรักษำควำมสัมพันธแระหว฽ำงพระสงฆแกับ
ประชำชนให฾อยู฽ในสถำนภำพที่ถูกต฾องและม่ันคง ให฾สถำบันสงฆแอยู฽อย฽ำงมีเกียรติ

5 พระรำชวรมนุ ี, บทบำทใหมข฽ องสถำบันสงฆแ, อำ฾ งแล฾ว, หนำ฾ 18-19.

-11-

เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ิตของกลุ่มชาติพันธุ์

เป็นที่เคำรพเทิดทูน ทํำกำรอนุเครำะหแประชำชนด฾วยคุณธรรมหวังประโยชนแสุข
แก฽ประชำชนแท฾จริงไม฽ใช฽เพ่ืออำมิสหรือกลำยเป็นกำรคลุกคลีกับคฤหัสถแ ท้ังยังได฾
บัญญัติลงโทษแก฽ผ฾ูทํำลำยควำมสัมพันธแอันดีระหว฽ำงพระภิกษุและคฤหัสถแ เช฽น
ให฾สงฆแพิจำรณำลงสำรณียกรรมแก฽ภิกษุผู฾ทํำควำมผิดแก฽คฤหัสถแ ฯลฯ ดังนั้น
หน฾ำที่ควำมผูกพันทำงสังคมของพระสงฆแจึงเกิดจำกองคแประกอบ 3 ประกำร
คือ

1. กำรดำํ รงชีวิตของพระสงฆแต฾องอำศยั ปจใ จัย 4 ทช่ี ำวบ฾ำนถวำย
2. สภำวะและเหตกุ ำรณใแ นสงั คม ยอ฽ มมีผลเกย่ี วข฾องกบั กำรบํำเพ็ญสมณะ
ธรรม
3. โดยคุณธรรม คือ เมตตำ กรณุ ำ จะต฾องชว฽ ยเหลอื ใหผ฾ ู฾อนื่ พน฾ ทกุ ขแ
ด฾วยพระวินัยดังกล฽ำว ได฾ชี้ให฾เห็นถึงบทบำทของสงฆแด฾ำนกำรสงเครำะหแ
พัฒนำสังคม แต฽อย฽ำงไรก็ตำม ยังคงมีควำมเห็นที่แตกต฽ำงต฽อบทบำททำงสังคม
ของสงฆแ ดังเช฽น ผลของกำรศึกษำค฾นคว฾ำของ สุภำพรรณ ณ บำงช฾ำง ท่ี
พบว฽ำ มีควำมคิดเห็นเกี่ยวกับบทบำทของพระสงฆแในกำรพัฒนำชนบทแตกต฽ำง
กันอย฽ำงน฾อยเป็น 2 ทำง คือ ควำมคิดเห็นในเชิงสนับสนุนบทบำทำงสังคมของ
พระสงฆแ ทเี่ หน็ วำ฽ ในสภำพสังคมปใจจบุ ัน พระพุทธศำสนำควรจะหันมำสนใจกำร
พัฒนำสังคม โดยเฉพำะสังคมชนบทซึ่งมีปใญหำเร่ืองควำมยำกจนและควำม
เจ็บปุวย อันเป็นปใญหำเร฽งด฽วนท่ีต฾องกำรแก฾ไขปรับปรุง พระภิกษุสงฆแจึงควรหัน
มำสนใจในบทบำทกำรพัฒนำในแนวน้ีให฾มำกข้ึน ส฽วนเรื่องของจิตใจ ถ฾ำพระมัว
สนใจเรื่องเหล฽ำน้ีเพียงอย฽ำงเดียว ก็จะไม฽ทันต฽อควำมทุกขแท่ีชำวบ฾ำนประสบอยู฽
ผลของแนวคิดเช฽นนี้ ทํำให฾เกิดกระบวนกำรสนับสนุน ส฽งเสริมให฾พระสำมำรถ
พัฒนำชนบทในด฾ำนวตั ถไุ ด฾ เชน฽ มีกำรจัดโครงกำรอบรมพระเพื่อส฽งเสริมสัมมำชีพ
โครงกำรอบรมพระหมอ เป็นต฾น6 ตัวอย฽ำงแนวคิดน้ี เช฽น ในคันฉ฽องส฽องศำสนำ
สลุ ักษณแ ศิวลกั ษณแ ไดแ฾ สดงควำมเห็นว฽ำ “… ควรจะมกี ำรอบรมพระภิกษุสงฆแให฾
มีควำมร฾ูควำมเข฾ำใจสภำพสังคม เน฾นหนักไปในทำงควำมเป็นผู฾นํำ ร฾ูจัก
ศิลปวัฒนธรรม นโยบำยกำรบริหำรประเทศและควำมรู฾ในกำรพัฒนำสังคม
เพื่อให฾ท฽ำนรู฾เท฽ำทันสังคมแบบใหม฽ ให฾ท฽ำนร฾ูจักกำรนํำควำมร฾ูใหม฽ ๆ ไป

6 สุภำพรรณ ณ บำงชำ฾ ง, กำรประยุกตแหลกั พทุ ธธรรมมำใช฾ในกำรพฒั นำชำวชนบท, (กรุงเทพมหำนคร :
จุฬำลงกรณมแ หำวทิ ยำลยั , 2527), หน฾ำ 18.

-12-

เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ

ประยุกตแใช฾ เช฽น ท฽ำนอํำนำจแนะนํำผู฾ใหญ฽บ฾ำนได฾ว฽ำ อํำเภอไหนมีปุ฻ยแจกฟรี
บ฾ำงจะได฾เรียกร฾องเอำมำให฾ชำวบ฾ำนแทนที่จะให฾นำยอํำเภอบำงคนหำเศษหำเลย
ด฾วยกำรขำยเอำเงินเข฾ำกระเป฻ำอีกต฽อหนึ่ง ท฽ำนอำจเรียนร฾ูวิธีกำรปฐมพยำบำล
นอกเหนือจำกกำรใช฾ยำกลำงบ฾ำนอนั ทำ฽ นชํำนำญอยู฽แลว฾ …”

ส฽วนควำมคิดเห็นอีกแนวหนึ่ง ไม฽เห็นด฾วยเกี่ยวกับบทบำทของพระภิกษุ
สงฆแในกำรพัฒนำสังคมด฾ำนวัตถุ ตัวอย฽ำงแนวคิดของท฽ำนพุทธทำสที่ว฽ำ “…พระ
ไม฽ควรร฽วมมือเกี่ยวกับงำนสังคมสงเครำะหแ หรือกำรพัฒนำอะไรของประชำชน
โดยตรง เพรำะมนั เปน็ เร่ืองซ้ำํ รอยบ฾ำง เปน็ เรื่องเอำมะพร฾ำวไปขำยสวนบ฾ำง พระ
จะไปเกี่ยวข฾องกับประชำชนเหล฽ำน้ีได฾ในฝุำยที่ทํำให฾ประชำชนเหล฽ำนี้ มีควำม
เจริญก฾ำวหน฾ำและปลอดภัยในทำงจิตวิญญำณ ประคับประคองในด฾ำนจิติวิญญำณ
เสมอไม฽ใชไ฽ ปรว฽ มงำนกำรอะไร ในกำรไปช฽วยสร฾ำงวัตถุชำวบ฾ำนเสียเอง แต฽ไปเป็น
ผ฾ูพิทักษแชำวบ฾ำนไม฽ให฾เกิดควำมทุกขแร฾อน ควำมโง฽ ควำมหลง ในกำรประกอบกำร
งำนของตน…”

พระรำชวรมุนี ได฾เคยวิเครำะหแแนวคิด 2 ทำงน้ี ในลักษณะที่ประสำน
ควำมคิด 2 แนวข฾ำงต฾น กล฽ำวคือ บทบำทของพระสงฆแในฐำนะผ฾ูนํำชุมชนนั้น
อำจกลำ฽ วได฾ว฽ำ มบี ทบำทเปน็ 2 ทำง คอื

1. บทบำทหลัก หรือบทบำทโดยตรงของพระภิกษุสงฆแ คือ กำรเป็น
ผน฾ู ํำชมุ ชนในทำงด฾ำนจติ ใจ เสริมศีลธรรม สติปใญญำท่ีถูกต฾องแก฽ชุมชน บทบำท
นี้เป็นบทบำทสํำคัญยิ่ง เป็นรำกฐำนของควำมเจริญควำมสุขของสังคมอย฽ำง
แท฾จริง สังคมไทยทุกวันน้ีมีปใญหำเร่ืองศำสนำ ศีลธรรมมำกและบทบำทหลัก
ของพระภิกษุกเ็ ปน็ งำนหนกั และยำกย่งิ หำกว฽ำมีคณุ ค฽ำอยำ฽ งลน฾ เหลือ

2. บทบำทรอง ในบำงกรณีอำจมีบทบำทอื่นท่ีพระภิกษุสงฆแอำจจํำเป็น
และเก่ียวข฾อง เช฽น ในฐำนะท่ีพระเป็นผู฾ที่ได฾รับควำมศรัทธำจำกชำวบ฾ำน อำจ
แนะนํำประชำชนในท฾องถิ่นให฾เห็นลู฽ทำงของกำรพัฒนำด฾ำนวัตถุอำจให฾ท่ีวัดเป็น
สถำนท่ีรวมกล฽ุม เป็นต฾น เพรำะต฾องยอมรับว฽ำในสังคมไทย วัดนอกจำกจะเป็น
ที่ส฽งเสริมทำงด฾ำนจิตใจแล฾ว บำงครั้งยังเป็นสถำนพยำบำลรักษำผู฾เจ็บปุวย เป็น
สถำนสงเครำะหแท่ีคนยำกจนมำอำศัยเลี้ยงชีวิตและศึกษำเล฽ำเรียน เป็นที่พักคน
เดินทำง เป็นสโมสรให฾ชำวบ฾ำนมำพบปะกันเป็นสถำนที่จัดเทศกำล เป็นที่ไกล฽
เกลี่ยข฾อพิพำท เป็นที่ใช฾รักษำปใญหำชีวิตของประชำชน เป็นศูนยแกลำงกำร

-13-

เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ิตของกลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ

บรหิ ำรหรอื กำรปกครองท่ีกํำนันผู฾ใหญ฽บ฾ำนจะเรียกลูกบ฾ำนมำประชุมชน บอกแจ฾ง
กิจกรรมต฽ำง ๆ อย฽ำงไรก็ตำม พระภิกษุต฾องแยกให฾ถูกว฽ำอะไรเป็นบทบำทหลัก
อะไรเป็นบทบำทรอง และกำรดํำเนินบทบำทรองก็ควรให฾ควำมสัมพันธแกับ
เปูำหมำยหลักกิจกรรมทั้งหมดในกำรพัฒนำจึงจะไม฽นอกล฽ูนอกทำงท่ีพระภิกษุพึง
กระทำํ 7

สํำหรับแนวคิดเร่ืองบทบำทของพระสงฆแในสังคมไทยได฾นํำมำใช฾เพ่ือ
อธิบำยถึงแนวคดิ รปู แบบวธิ กี ำรและปใจจัยสนับสนนุ กำรแสดงบทบำทพัฒนำสังคม
ของพระสงฆแนกั พัฒนำ

แนวคดิ กำรพัฒนำตำมแนวพทุ ธธรรม
ด฾วยควำมจริงแท฾ว฽ำ พระพุทธศำสนำเป็นศำสนำแห฽งกำรกระทํำ เป็น

ศำสนำแห฽งควำมเพียรพยำยำม ไม฽ใช฽ศำสนำแห฽งกำรอ฾อนวอน ร฾องขอ เป็น
ศำสนำที่สอนแต฽ควำมจริงที่เป็นประโยชนแ และเป็นสิ่งท่ีปฏิบัติกันได฾ในปใจจุบัน
และกำรสอนของสมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ฾ำ ม฽ุงผลในทำงปฏิบัติเพื่อควำมดับ
ทุกขแ มิใช฽เป็นคํำสอนท่ีนอนนิ่งอย฽ูแต฽ในทฤษฎี ดังนั้นกำรนํำหลักคํำสอนทำง
พุทธศำสนำไปปรับใช฾เพื่อกำรพัฒนำคน จึงต฾องมีกำรศึกษำและทํำควำมเข฾ำใจให฾
ถอ฽ งแท฾เพือ่ กำรนำํ ไปใช฾อย฽ำงเหมำะสม ดังเช฽น

สุภำพรรณ ณ บำงช฾ำง และคณะ กล฽ำวว฽ำเปูำหมำยกำรพัฒนำศำสนำ
ศลี ธรรม คอื กำรสร฾ำงคนในชุมชนให฾มคี ณุ ภำพชีวติ ดำ฾ นจติ ใจและพฤติกรรมท่ีมี
ลักษณะเปน็ สขุ หรือลดละควำมทกุ ขแ และสำมำรถนํำเอำคุณภำพส฽วนน้ันไปสร฾ำง
คุณภำพด฾ำนอื่นของท้ังตนเองและของคนในชุมชนให฾เกิดกำรอย฽ูร฽วมกันด฾วย
ควำมสขุ สนั ติ มนี ้ํำใจตอ฽ กัน ทั้งน้ีต฾องมีเปูำหมำยที่จะส฽งเสริมให฾คนในชุมชนมี
โอกำสทีจ่ ะพัฒนำคณุ ภำพไปไดส฾ ูงสุดตำมศักยภำพของแต฽ละบคุ คลด฾วย8

วีระ สมบูรณแ สรุปหลักกำรในกำรประยุกตแพุทธธรรมมำใช฾ในกำรพัฒนำ
ชนบท ไว฾วำ฽

7 พระรำชวรมนุ ี, บทบำทใหม฽ของสถำบนั สงฆแ, อำ฾ งแล฾ว, หนำ฾ 21 – 22.
8 สุภำพรรณ ณ บำงช฾ำง, กำรประยกุ ตหแ ลกั พุทธธรรมมำใชใ฾ นกำรพัฒนำชำวชนบท, (กรุงเทพมหำนคร :
จุฬำลงกรณมแ หำวทิ ยำลัย, 2527), หน฾ำ 155-158.

-14-

เครอื ข่ายพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกลมุ่ ชาตพิ ันธุ์

1. ศำสนำม฽ุงที่จะขจดั ทุกขแของมนษุ ยแ หรอื ใหม฾ นุษยแไดร฾ ูจ฾ กั ขจดั ทุกขแของ
ตนได฾มำกที่สุด ดังนั้น ในกำรพัฒนำท่ีจะมุ฽งไปที่กำรมองให฾เห็นปใญหำของแต฽ละ
ท฾องถิ่น มองหำเหตุของปใญหำ ตั้งเปูำหมำยท่ีจะขจัดปใญหำเหล฽ำนั้น และร฽วมกัน
หำทำงออกจำกปใญหำ

2. เปูำหมำยของกำรพัฒนำควรเน฾นที่หลักกำรพ่ึงตนเอง มิใช฽อำศัย
ทรพั ยำกรจำกท่อี ื่น

3. กำรพัฒนำควรแก฾ไขปใญหำควำมยำกจนและขำดปใจจัยในกำรดํำรงชีพ
ให฾เกิดควำมกนิ อยูพ฽ อดี

4. กำรพัฒนำควรเน฾นควำมค฽อยเป็นค฽อยไป หรือวิวัฒนำกำรอย฽ำงเป็น
ลํำดบั มำกกว฽ำที่จะเป็นกำรกระโดดจำกสภำพหนึง่ โดยทันที

5. กำรพัฒนำตอ฾ งไมเ฽ ป็นกำรทำํ ลำยทรัพยำกรธรรมชำติ
6. กำรพัฒนำไม฽ควรเน฾นระบบพัฒนำที่ใหญ฽โต แต฽ควรเน฾นจุดเล็ก ๆ คือ
หมบ฽ู ำ฾ นหรอื ชมุ ชน
7. กำรพัฒนำควรปรับกำรศึกษำให฾สอดคล฾องกับสภำพของชุมชนให฾มำก
ที่สุด หลักสูตรกำรศึกษำควรเป็นหลักสูตรที่เกิดขึ้นจำกสภำพควำมเป็นจริงในแต฽
ละหม฽บู ำ฾ น
8. กำรพัฒนำไม฽ควรจะปฏิเสธวิทยำกำรสมัยใหม฽ แต฽ควรจะนํำมำใช฾ใน
ระดับกลำง ให฾เคร่ืองมือเคร่ืองจักรกลเหล฽ำนั้นเกื้อกูลกำรทํำงำนของมนุษยแมิใช฽
ทํำลำยคุณค฽ำของมนษุ ยแ
9. กำรพัฒนำมิใช฽ม฽ุงที่ผลทำงวัตถุ แต฽ควรมุ฽งผลทำงจิตใจเพื่อกำรพัฒนำ
ควำมเปน็ มนุษยแใหส฾ ูงขึ้น9
พินิจ ลำภธนำนนทแ ให฾ควำมเห็นว฽ำปรัชญำกำรพัฒนำชนบทในพุทธ
ศำสนำมุ฽งให฾ควำมสํำคัญต฽อกำรพึ่งตนเองของคนในชุมชนเป็นสํำคัญประกำรหน่ึง
และอีกประกำรหนึ่งแนวทำงกำรดํำเนินชีวิตตำมหลักพุทธรรมนั้น เน฾นควำม
เป็นอยู฽ที่เป็นสุขกับควำมเรียบง฽ำยสอดคล฾องกับธรรมชำติ ซึ่งจะนํำคนให฾รู฾จักกำร
ดํำรงชีวิตอยู฽อย฽ำงประหยัด ไม฽ฟุมเฟือยจนเกินเหตุ ทั้งไม฽ทํำลำยธรรมชำติเพื่อ

9 อ฾ำงใน พินิจ ลำภธนำนนทแ, พระสงฆแในชนบทภำคอีสำนกับกำรพัฒนำตำมหลักกำรพึ่งตนเอง,
(กรุงเทพมหำนคร : ภำควิชำสังคมวทิ ยำและมำนษุ ยวิทยำ บัณฑติ วิทยำลยั จฬุ ำลงกรณแมหำวิทยำลยั , 2527),
หนำ฾ 70-71.

-15-

เครอื ขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลมุ่ ชาติพันธุ์

สนองควำมเห็นแก฽ตัวและควำมอยำกทำงวัตถุของคน อันเป็นกำรชี้แนะทั้งทำง
สังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพำะอย฽ำงย่ิงในทำงเศรษฐกิจนี้ได฾มีผ฾ูนํำเอำหลักพุทธ
รรมมำวิเครำะหแและแยกแยะออกมำเป็นแนวทำงกำรพัฒนำเศรษฐกิจที่เรียกว฽ำ
กำรพฒั นำตำมหลักพุทธเศรษฐศำสตรแ หรือกำรพัฒนำตำมหลักเศรษฐศำสตรแของ
ชำวพทุ ธ10

นธิ ิ เอียวศรีวงศแ ไดน฾ ำํ เสนอเปูำหมำยของกำรทํำงำนของพระสงฆแในกำร
สัมมนำบทบำทของพระสงฆใแ นกำรบริกำรสงั คม ไว฾ว฽ำ บริกำรสังคมที่พระภิกษุใน
พุทธศำสนำทํำได฾แต฽ทํำน฾อยมำก คือกำรเสนอทำงเลือกใหม฽ตำมแนวทำง
พระพุทธศำสนำแก฽สังคม เน่ืองจำกถูกครอบงํำจำกทุนนิยม วัตถุนิยม และกำร
บรโิ ภคนิยม ทำงเลอื กใหม฽ต฾องไปให฾พน฾ จำกกำรครอบงํำจำกทั้ง 3 ส฽วนนี้ ต฾อง
รื้อฟื้นพลังของพระพุทธศำสนำกลับมำเป็นตัวหลักในกำรนํำในกำรพัฒนำ
ประเทศ11

ปรีชำ เป่ียมพงศแสำน กล฽ำวว฽ำกำรแสวงหำแบบจํำลองกำรพัฒนำ
ท฽ำมกลำงวิกฤติกำรณแทำงควำมคิดและควำมอับจนของกำรพัฒนำตำมแบบจํำลอง
ของตะวันตก ผลักดนั ใหห฾ ลำยกลุ฽มหวนไปหำปรัชญำตะวันออก โดยเฉพำะอย฽ำง
ย่ิง พุทธปรัชญำในบำงประเทศ เช฽น ศรีลังกำ ได฾มีกำรนํำเอำแนวคิดบำงอย฽ำง
ของชำวพุทธมำใช฾ในกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีอุดมกำรณแอยู฽ 4
ประกำรคือ มีกำรแบ฽งปในทรัพยำกรให฾แก฽เพ่ือนมนุษยแในชุมชน ใช฾หลัก
เศรษฐศำสตรแแห฽งควำมรักในกำรอย฽ูร฽วมกันในสังคม ทํำงำนเพ่ือช฽วยเหลือกันทำง
เศรษฐกิจ และยึดหลักควำมเสมอภำคทำงสังคม ทั้ง 4 หลักนี้เป็นหลักของ
พุทธปรชั ญำ12

กำญจนำ แก฾วเทพ ได฾ศึกษำแนวคิดในกำรทํำงำนพัฒนำขององคแกรพัฒนำ
เอกชน ซึ่งมีแนวคิดสํำคัญ 5 ชุดแนวคิด ได฾แก฽ แนวคิดในงำนพัฒนำแบบ
พุทธศำสนำ แนวคิดในงำนพัฒนำแบบคริสศำสนำ แนวคิดในงำนพัฒนำเชิง

10 พนิ ิจ ลำภธนำนนทแ, พระสงฆแในชนบทภำคอีสำนกับกำรพัฒนำตำมหลักกำรพ่ึงตนเอง, อ฾ำงแล฾ว, หน฾ำ
71-72.
11 นธิ ิ เอยี วศรวี งศแ, วฒั นธรรมควำมจน, (กรงุ เทพมหำนคร : แพรวสํำนักพมิ พแ, 2542), หนำ฾ 133-185.
12 ปรชี ำ เป่ียมพงศสแ ำนตแ, วิถใี หมแ฽ ห฽งกำรพัฒนำ: วิธวี ิทยำศกึ ษำสงั คมไทย, (กรุงเทพมหำนคร : โครงกำร
พัฒนำตํำรำ ศนู ยบแ ริกำรเอกสำรวิชำกำร คณะเศรษฐศำสตรแ จุฬำลงกรณแมหำวทิ ยำลัย,2543), หนำ฾ 17-18.

-16-

เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชีวติ ของกลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ

วัฒนธรรมชุมชน และได฾สรุปแนวคิดที่สำมำรถเป็นจุดร฽วมขององคแได฾ 4
ประกำรใหญ฽ ๆ คอื

1. กำรตกลงร฽วมกันเร่ืองควำมหมำยของกำรพัฒนำ น฽ำจะหมำยถึงกำร
ปรับปรุงควำมเป็นอยู฽ให฾ดีขึ้น โดยเปูำหมำยท่ีสํำคัญที่สุดคือ กำรพัฒนำคน อัน
หมำยถึงกำรพัฒนำทั้งด฾ำนศักยภำพ ควำมสำมำรถและคุณธรรม ดังนั้นจึง
จำํ เปน็ ตอ฾ งมีกำรพฒั นำดำ฾ นจติ สํำนึกและยกระดบั ควำมสำมำรถของตัวบุคคล

2. กระบวนกำรพัฒนำต฾องมีรำกฐำนอยู฽ที่ชุมชน ซ่ึงจะต฾องสอดคล฾องกับ
วิถชี ีวติ และวฒั นธรรมของชุมชน

3. กำรพัฒนำควรมีวิถีทำงจำกเบื้องล฽ำงสู฽เบื้องบน คือต฾องเร่ิมจำกสภำพ
ควำมเป็นจริงของชุมชน เริ่มจำกส่ิงท่ีชุมชนมี และดํำเนินกำรรวมท้ังตัดสินใจ
จำกชมุ ชน

4. กระบวนกำรพัฒนำจํำเป็นต฾องมีมิติทำงกำรเมืองในควำมหมำยท่ีว฽ำ
จะต฾องช฽วยให฾ประชำชนมีพลังควำมสำมำรถในกำรจัดกำรกับโครงสร฾ำงอํำนำจใน
สังคมเพ่อื กำรจัดสรรผลประโยชนจแ ำกกำรพฒั นำนน้ั 13

กำญจนำ แก฾วเทพ กล฽ำวถึงงำนพัฒนำที่เร่ิมโดยพระภิกษุว฽ำในอดีต
สถำบันศำสนำและภิกษุมีบทบำทสํำคัญเป็นแกนกลำง ดังท่ีได฾มีกำรสํำรวจว฽ำ
สถำบันทำงศำสนำมีบทบำทในสังคมถึง 11 ประกำร คือ เป็นสถำนศึกษำด฾ำน
วชิ ำกำร เปน็ สถำนสงเครำะหแบคุ คลยำกจน เป็นสถำนพยำบำล เป็นที่พักพิงคน
เดินทำง เป็นสโมสรท่ีพบปะพักผ฽อนหย฽อนใจ เป็นสถำนที่จัดมหรสพบันเทิง
เปน็ สถำนทไ่ี กล฽เกลย่ี กรณีพพิ ำท เป็นศนู ยแกลำงด฾ำนศิลปวัฒนธรรม เป็นคลังเก็บ
พัสดุของส฽วนรวม เป็นศูนยแกลำงบริหำรชุมชน เป็นที่ประกอบพิธีกรรม แต฽ว฽ำ
เม่ือสังคมไทยได฾ก฾ำวเข฾ำสู฽โลกสมัยใหม฽ท่ีมีกำรพัฒนำซ่ึงเป็นแต฽ทำงโลก และ
ละเลยมติ ทิ ำงธรรม นั้นผลกระทบประกำรหน่ึงที่เกิดข้ึนคือ ทํำให฾สถำบันศำสนำ
เกือบจะหมดบทบำทลงไป คงเหลือบทบำทด฾ำนประกอบพิธีกรรมเท฽ำนั้น ในอีก
ด฾ำนหนึ่งบุคลำกรในพุทธศำสนำก็ต฾องสูญเสียภำวะผ฾ูนํำทำงปใญญำไป เนื่องจำก
พระสงฆปแ ฏิเสธและไมส฽ นใจศึกษำควำมรู฾และเทคนคิ วทิ ยำกำรสมัยใหม฽14

13 กำญจนำ แกว฾ เทพ, ภำพรวมของกำรพฒั นำองคกแ รชมุ ชน, (กรุงเทพมหำนคร: สํำนักงำนกองทุนสนับสนุน
กำรวิจยั , 2540), หนำ฾ 126-127.
14 เร่ืองเดียวกนั , หน฾ำ 162-164.

-17-

เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ

โดยนัยนี้ กำรพัฒนำตำมแนวพุทธธรรม ซ่ึงเป็นกำรพัฒนำคนในฐำนะท่ี
เป็นทรัพยำกรมนุษยแ ม฽ุงช฽วยให฾สังคมมีทุน มนุษยแมีคุณภำพ ท่ีจะก฽อให฾เกิดผล
ในกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมหรือเรียกง฽ำย ๆ ว฽ำพัฒนำให฾เป็นนักผลิต ซ่ึง
พร฾อมท่ีจะสนองควำมต฾องกำรของสังคม ส฽วนกำรพัฒนำคนในฐำนะผ฾ูมีควำมเป็น
มนุษยแ จะช฽วยให฾บุคคลมีคุณสมบัติพร฾อมท่ีจะดํำเนินชีวิตแห฽งปใญญำเพื่อควำมดี
งำม หรือเรียกส้ันๆ ว฽ำ พัฒนำให฾เป็นบัณฑิตผ฾ูสำมำรถนํำชีวิตและสังคมไปสู฽
สันติสุข

โดยสรุป กำรพัฒนำสงั คมตำมหลักพระพุทธศำสนำ จึงสำมำรถนํำมำใช฾ใน
กำรอธิบำย แนวคิดกำรพัฒนำตำมหลักธรรมทำงพุทธศำสนำ ดังน้ันกำรพัฒนำ
ควำมเป็นมนุษยแจึงเป็นสำระแก฽นแท฾ ซึ่งผันแปรต฽อสภำพแวดล฾อมแห฽งกำลเทศะ
ของยุคสมัยและบนฐำนของควำมเป็นมนุษยแรวมทั้งนํำหลักธรรมทำงศำสนำไป
ประยุกตแใช฾ให฾สนองควำมตอ฾ งกำรของยคุ สมัยอย฽ำงไดผ฾ ล

กำรประยุกตแหลักธรรมสํำหรับนักพฒั นำ
ผลกำรพัฒนำตำมแนวตะวันตกที่เน฾นกำรเป็นสังคมอุตสำหกรรม และ

ควำมทันสมัย ทํำให฾ขำดควำมสอดคล฾องกับสภำพสังคมและวัฒนธรรมไทย ขำด
กำรมีส฽วนร฽วมของชุมชนไม฽สนองตอบควำมต฾องกำรของประชำชน และเพื่อให฾
บรรลุผลตำมวัตถุประสงคแของกำรพฒั นำคอื คุณภำพชีวิตของประชำชนส฽วนใหญ฽ที่
ดีข้ึนโดยรวม บนพื้นฐำนของกำรทํำงำนด฾ำนกำรพัฒนำสังคมอย฽ำงมีจริยธรรม
จึงมีกำรนํำเสนอแนวทำงกำรพัฒนำโดยนํำหลักธรรมคํำสอนของศำสนำพุทธมำ
ประยุกตแใชใ฾ นกำรดำํ เนินงำนพัฒนำสังคม ดังเชน฽ สุ ท ธิ ชั ย ยั ง สุ ข ไ ด฾
กล฽ำวถึง แนวทำงประยุกตแหลักธรรมทำงพุทธศำสนำเพ่ือเพิ่มประสิทธิภำพกำร
พฒั นำสงั คมไวด฾ งั นี้

นักพัฒนำสงั คมทีด่ ี ควรมลี ักษณะ 3 ประกำรตำมหลักปำปณิกธรรม 315
คือ หลักพ฽อค฾ำ, องคแคุณของพ฽อค฾ำ ได฾แก฽ (1) จักขุมำ คือ มีปใญญำมองกำรณแ
ไกล ร฾ูวิธีกำรพัฒนำและสำมำรถใช฾ประโยชนแจำกแหล฽งทรัพยำกรในสังคมได฾อย฽ำง
ดีเพื่อตอบสนองควำมต฾องกำรของกลุ฽มเปูำหมำย (2) วิธูโร คือ กำรจัดกำรธุระ

15 อง.ฺ ติก. (ไทย) 20/459/146.

-18-

เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ

ได฾ดีมีควำมเช่ียวชำญเฉพำะทำง และ (3) นิสสยสัมปในโน คือ เป็นผู฾มีมนุษย
สัมพนั ธทแ ่ดี ี สำมำรถระดมพลงั ควำมรว฽ มมอื จำกชมุ ชนได฾

นอกจำกนัน้ นกั พัฒนำควรมีวิธกี ำรพฒั นำตำมหลักอธิปไตย 316 คือ ต฾อง
บริหำรตำมหลักธรรมำธิปไตย คือ กำรถือธรรมหรือหลักกำรเป็นสํำคัญ ยึดเอำ
ควำมสํำเร็จของงำนเป็นที่ต้ังพร฾อมรับฟใงคํำแนะนํำจำกทุกฝุำย โดยยึดหลักธรรม
กำรพฒั นำทเ่ี รียกว฽ำ พละ 417 ได฾แก฽

1. ปใญญำพละ คือ กํำลังควำมร฾ูหรือควำมฉลำด ซ่ึงควรต฾องร฾ูตนคือต฾อง
วิเครำะหแและพัฒนำตนเอง ร฾ูคนคือ ต฾องรู฾จักจริตหรือลักษณะของคนเพ่ือกำร
มอบหมำยงำนได฾อย฽ำงเหมำะสมและกำรร฾ูงำนคือ รอบร฾ูเกี่ยวกับงำนท่ีรับผิดชอบ
เพื่อประโยชนแในกำรพัฒนำงำน ท้ังนี้โดยต฾องพัฒนำปใญญำอย฽ูเสมอตำมหลัก
ปใญญำ 318 คือ สุตมยปใญญำคือ กำรรอบรู฾จำกกำรรับฟใงข฾อมูล ด฾วยกำรอ฽ำนฟใง
เพ่ือมีข฾อมูลประกอบกำรตัดสินใจ จินตำมยปใญญำ คือ กำรวิเครำะหแข฾อมูลท่ี
ได฾รับด฾วยกำรคิดอย฽ำงไตร฽ตรอง (อุปำยมนสิกำร) กำรคิดอย฽ำงมีระเบียบและมี
เหตผุ ล (ปถมนสิกำร) และกำรคิดในแง฽สร฾ำงสรรคแ (อปุ ปำทกมนสิกำร)

2. วิริยพละ คือ กํำลังแห฽งควำมเพียรหรือควำมขยันโดยมีกํำลังใจท่ี
เข฾มแข็งมีปใญญำแม฾จะต฾องเผชิญกับปใญหำ ซ่ึงเป็นลักษณะที่เรียกว฽ำ สังขำริก
วิริยะ คือ ไม฽ยอมแพ฾แม฾เจออุปสรรค และต฾องปลุกใจตนเองผู฾อ่ืนให฾ทํำงำนต฽อไป
ดว฾ ยควำมขยัน

3. อนวัชชพละ คือ กํำลังกำรทํำงำนที่ไม฽มีโทษหรือควำมสุจริต คือต฾อง
ปฏบิ ตั หิ นำ฾ ท่ดี ฾วยควำมซือ่ สัตยแสุจรติ

4. สังคหพละ คอื กำํ ลงั กำรสังเครำะหแหรือมนุษยสัมพันธแ คือ กำรสำมำรถ
ผกู ใจเพือ่ นร฽วมงำนและผู฾ใต฾บงั คับบัญชำ ตำมหลักสังคหวตั ถุ 419 ได฾แก฽ ทำนคือ
กำรใหม฾ ีจติ ใจโอบอ฾อมอำรเี ผื่อแผ฽ ปยิ วำจำรคือ กำรพดู จำไพเรำะ อัตถจริยำ คือ
กำรทํำตัวใหเ฾ ป็นประโยชนแ และสมำนตั ตำคอื กำรวำงตนสมำํ่ เสมอ

อีกท้ังกำรที่นักพัฒนำต฾องทํำงำนกับคนหม฽ูมำก จึงจํำเป็นต฾องยึดมั่นใน
หลกั พรหมวหิ ำร อันได฾แก฽ กำรมีเมตตำ ได฾แก฽ มคี วำมรักหวังดีท่ีปรำรถนำให฾ผ฾ูอื่น

16 ที.ปำ. (ไทย) 11/228/231; อง.ฺ ตกิ . (ไทย) 20/479/186.
17 อง.ฺ นวก. (ไทย) 23/209/376.
18 ท.ี ปำ. (ไทย) 11/228/231; อภ.ิ วิ. (ไทย) 35/804/438.
19 ที.ปำ. (ไทย) 11/140/167; 267/244; องฺ.จตุกกฺ . (ไทย) 21/32/42.

-19-

เครอื ขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของกล่มุ ชาตพิ นั ธุ์

มีควำมสุข กำรมีกรุณำคือ มีควำมสงสำรเห็นใจปรำรถนำให฾ผู฾อื่นพ฾นทุกขแ ด฾วย
กำรเปดิ ใจกว฾ำงรบั ฟใงปใญหำของผูอ฾ น่ื กำรมมี ทุ ติ ำคือ ควำมรู฾สึกพลอยช่ือชมยินดี
เมื่อผ฾ูอ่ืนมีควำมสุข และกำรมีอุเบกขำคือ ควำมรู฾สึกวำงเฉยไม฽ลํำเอียงเข฾ำข฾ำงคน
ใดคนหนง่ึ คือ มีควำมยตุ ิธรรมในกำรใหร฾ ำงวลั และลงโทษ

สํำหรับแนวคิดในกำรประยุกตแหลักธรรมเพ่ือกำรพัฒนำดังกล฽ำว ถูก
นํำมำใช฾ในกำรอธิบำยกำรเชื่อมโยงแนวคิดทำงพุทธศำสนำกับแนวทำงกำรพัฒนำ
สังคม ซ่ึงพระสงฆแนักพัฒนำเป็นผู฾มีควำมรอบรู฾ท่ีล฽ุมลึก มีจิตสำธำรณะ มีสติ มี
ควำมเข฾ำใจในธรรมชำติของสังคมและผ฾ูร฽วมงำน และที่สํำคัญคือ เป็นผู฾ใช฾
จริยธรรมในกำรปฏิบัติงำนพัฒนำ ท้ังนี้เพ่ือควำมสํำเร็จในกำรพัฒนำงำนตำม
เปำู หมำยทีก่ ํำหนด

-20-

เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของกลุม่ ชาตพิ ันธุ์

บทที่ 3

ประสบกำรณกแ ำรพัฒนำบนพ้นื ทส่ี งู ในประเทศ

-21-

เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกล่มุ ชาติพนั ธุ์

เนื่องด฾วยประชำกรชนกล฽ุมน฾อยส฽วนใหญ฽กระจำยตัวและต้ังถ่ินฐำนในบริเวณ
ภูเขำสงู ซง่ึ เปน็ พื้นทท่ี มี่ ีควำมยำกลํำบำกต฽อกำรพัฒนำ จึงเป็นพ้ืนท่ีที่ไม฽ได฾รับ
กำรพัฒนำอย฽ำงทั่วถึงจำกทำงรัฐบำล ส฽งผลต฽อควำมไม฽เท฽ำเทียมในกำรพัฒนำ
ระหว฽ำงพ้ืนท่ีรำบและพื้นที่สูง และเป็นปใญหำท่ีรัฐเล็งเห็นว฽ำมีปใญหำมำกมำยที่
เกิดขึ้นในพ้ืนที่สูง เช฽น ปใญหำกำรใช฾ทรัพยำกรธรรมชำติ ปใญหำกำรเคลื่อนย฾ำย
ของชนกลุม฽ นอ฾ ยบรเิ วณชำยแดน ปญใ หำยำเสพติด ปใญหำแรงงำนต฽ำงด฾ำว เป็นต฾น
ซ่งึ จะส฽งผลตอ฽ ควำมมน่ั คงของรฐั

รัฐไทยเร่ิมให฾ควำมสนใจกล฽ุมชนบนพ้ืนท่ีสูงมำตั้งแต฽ปี พ.ศ.2478 โดย
กระทรวงศึกษำธิกำรได฾จัดตั้งโรงเรียนในหมู฽บ฾ำนนำยเลำตเำ อ.อุ฾มผำง จ.ตำก และ
หมู฽บ฾ำนบ฽อหลวง อ.ฮอด จ.เชียงใหม฽ ต฽อมำ พ.ศ.2494 ได฾เริ่มจัดส฽งตํำรวจ
ตระเวนชำยแดนเข฾ำไปสรำ฾ งควำมสมั พนั ธแในพื้นที่ และมกี รมประชำสงเครำะหแเป็น
หน฽วยสนับสนุน พ.ศ.2498 ควำมสนใจกลุ฽มชนบนพ้ืนที่สูงมีควำมชัดเจนมำกข้ึน
โดยเม่ือปี พ.ศ.2495 กระทรวงมหำดไทยพิจำรณำเห็นควำมสํำคัญในกำร
สงเครำะหแแ ละพัฒนำหม฽ูบ฾ำนในพื้นท่ีสูง เช฽นเดียวกับหมู฽บ฾ำนในพ้ืนท่ีรำบ อย฽ำงไร
ก็ดีควำมสนใจของรัฐบำลดังกล฽ำวยังเป็นรูปแบบควำมคิดเท฽ำนั้น จนกระท่ังในปี
พ.ศ. 2499 รัฐบำลสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครำม ได฾แต฽งต้ังคณะกรรมกำรข้ึนชุด
หน่ึง เรียกว฽ำ “คณะกรรมกำรสงเครำะหแประชำชนไกลคมนำคม” คณะกรรมกำร
ชุดนี้มีปลัดกระทรวงมหำดไทยเป็นประธำนกรรมกำรมีหน฾ำท่ีพิจำรณำดํำเนินกำร
พัฒนำชำวเขำทำงภำคเหนือ กำรให฾ควำมช฽วยเหลือเป็นไปในลักษณะกำรสังคม
สงเครำะหแเป็นส฽วนใหญ฽ เช฽น แจกเคร่ืองน฽ุงห฽ม อำหำร และยำรักษำโรค ประกอบ
กับในขณะนั้นปญใ หำต฽ำงๆ ทีเ่ กดิ ขนึ้ ยงั ไมช฽ ัดเจนมำกนกั

ต฽อมำ ในปี พ.ศ. 2501 รัฐบำลสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชตแ ได฾ประกำศ
ยกเลิกกำรเสพฝ่ินและกำรจํำหน฽ำยฝิ่นทั่วรำชอำณำจักรพร฾อมกับได฾นํำมำตรกำร
ปูองกันและปรำบปรำมกำรปลูกค฾ำฝิ่นออกมำใช฾ ในขณะนั้นแหล฽งปลูกฝ่ินท่ีสํำคัญ
คือ บริเวณภูเขำทำงภำคเหนือที่มีประชำชนส฽วนหนึ่งอำศัยและปลูกฝ่ินอย฽ู
ประกอบกับมีกำรแทรกซึมของลัทธิคอมมิวนิสตแทำงภำคตะวันออกเฉียงเหนือมำก
ข้ึน ดังนั้นในปี พ.ศ. 2502 รัฐบำลชุดเดียวกันน้ีจึงได฾แต฽งต้ังคณะกรรมกำร
สงเครำะหแชำวเขำข้ึน โดยมีรัฐมนตรีว฽ำกำรกระทรวงมหำดไทยเป็นประธำน

-22-

เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ

กรรมกำร คณะกรรมกำรชุดนี้มีหน฾ำที่วำงแผนและควบคุมกำรดํำเนินงำนพัฒนำ
แ ล ะ ส ง เ ค ร ำ ะ หแ ช ำ ว เ ข ำ ใ ห฾ เ ป็ น ไ ป ต ำ ม วั ต ถุ ป ร ะ ส ง คแ แ ล ะ น โ ย บ ำ ย ข อ ง รั ฐ บ ำ ล
คณะกรรมกำรสงเครำะหแชำวเขำพิจำรณำแล฾วเห็นว฽ำควรจะได฾รวบรวมประชำชนท่ี
กระจัดกระจำยให฾รวมกันเป็นหลักแหล฽งในพ้ืนที่ท่ีกํำหนดโดยดํำเนินกำรในรูปนิคม
สรำ฾ งตนเอง และเพื่อให฾กำรสงเครำะหแในด฾ำนอื่นๆ ควบคู฽กันไป คณะกรรมกำรชุด
นี้จึงได฾อนุมัติให฾จัดตั้งนิคมสร฾ำงตนเองและสงเครำะหแชำวเขำขึ้นในท฾องที่จังหวัด
ต฽ำงๆ 4 แห฽งคือ ดอยมูเซอ จังหวัดตำก ดอยเชียงดำว จังหวัดเชียงใหม฽ ดอยภู
ลมโล จังหวัดเพชรบูรณแ พิษณุโลก และเลย และที่ม฽อนแสนใจ จังหวัดเชียงรำย
ท้ังน้ีเพื่อต฾องกำรรวบรวมชำวเขำให฾มำอย฽ูที่เดียวกันจ ะได฾สะดวกต฽อกำรให฾กำร
สงเครำะหแและพัฒนำด฾ำนอำชีพ ปูองกันกำรอพยพโยกย฾ำย และท่ีสํำคัญคือเพ่ือ
ควบคุมกำรปลูกฝ่ินของชำวเขำ แต฽กำรดํำเนินงำนในระยะแรกไม฽ประสบผลสํำเร็จ
เนื่องจำกไม฽สำมำรถนํำมำอยู฽รวมกันได฾ เพรำะแต฽ละกลุ฽มก็มีวัฒนธรรมและ
ประเพณีที่แตกต฽ำงกันออกไป และที่สํำคัญคือกล฽ุมต฽ำงๆ ต฾องกำรแยกกันอย฽ูเป็น
อิสระ นอกจำกนี้เจ฾ำหน฾ำที่ผ฾ูปฏิบัติงำนเองก็ยังไม฽มีควำมร฾ูเก่ียวกับชำวเขำอย฽ำง
เพียงพอ ทำํ ให฾กำรติดต฽อส่ือสำรมคี วำมยำกลํำบำก

วันที่ 3 มถิ นุ ำยน พ.ศ.2502 ได฾เริม่ มกี ำรใช฾คำํ วำ฽ “ชำวเขำ” เป็นครั้งแรก
รัฐบำลเร่ิมให฾ควำมสนใจต฽อประชำชนในพ้ืนท่ีสูงอย฽ำงจริงจังในระดับชำติ โดย
จดั ตัง้ “คณะกรรมกำรสงเครำะหแชำวเขำ” เพื่อดํำเนินนโยบำยแก฾ไขปใญหำหลัก 4
ประกำรคือ ปใญหำกำรทํำลำยทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล฾อมบนพื้นท่ีสูง
ปใญหำกำรปลูกฝิ่น ปใญหำควำมม่ันคง และปใญหำมำตรฐำนกำรครองชีพต่ํำ โดย
มอบหมำยให฾กรมประชำสงเครำะหแ เป็นหน฽วยงำนหลักเข฾ำไปดํำเนินงำนในพื้นที่ที่
มีกำรจัดต้ังนิคมสร฾ำงตนเองชำวเขำ และต฽อมำมีกำรจัดต้ังคณะอนุกรรมกำร
สงเครำะหชแ ำวเขำในระดบั จงั หวัดทม่ี ีชำวเขำอำศยั อย฽ู

ในช฽วงประมำณ พ.ศ.2503 ชำวเขำได฾กลำยเป็นผ฾ูก฽อปใญหำ 4 ข฾อหำ
สํำคัญคือ เป็นส฽วนหน่ึงของกลุ฽มพรรคคอมมิวนิสตแ กำรทํำลำยปุำไม฾ และตัวกำร
สํำคัญของปใญหำยำเสพติด เนื่องจำกชำวเขำหลำยพื้นท่ีปลูกฝ่ิน เป็นผ฾ูไม฽มี
กำรศกึ ษำ เนอื่ งจำกพูดอำ฽ นเขยี นภำษำไทยไม฽ได฾ และไม฽ใช฽ผ฾นู บั ถอื ศำสนำพทุ ธ20

20 ปนัดดำ บณุ ยสำระนยั . อ฾ำงแลว฾ , หน฾ำ 134.

-23-

เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาตพิ ันธุ์

ดังนั้น เพื่อให฾มีแหล฽งกลำงในกำรประสำนงำนเกี่ยวกับชำวเขำ ในปี พ.ศ.
2506 ต฽อมำมีชื่อเรียกว฽ำ “ศูนยแพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำ” โดยจัดส฽ง
เจ฾ำหน฾ำท่เี กษตรฯ อนำมัย และครเู ขำ฾ ไปปฏิบัติงำนในพนื้ ที่ เพือ่ ดำํ เนินงำนพัฒนำ
และส฽งเสริมอำชีพชำวเขำด฾ำนกำรเกษตร ดูแลเกี่ยวกับสุขภำพอนำมัยและ
ดํำเนินกำรสอนภำษำไทย ซ่ึงเป็นแบบนอกระบบยังไม฽มีกำรสอบเทียบช้ัน
นอกจำกน้ียังมีตํำรวจตระเวนชำยแดนเข฾ำไปเสริมในด฾ำนกำรศึกษำ เป็นครูช฽วย
สอนในโรงเรียนตํำรวจตระเวณชำยแดนรัฐบำลจัดต้ังกองสงเครำะหแชำวเขำข้ึนอยู฽
กับกรมประชำสงเครำะหแ พร฾อมกันนั้นกไ็ ด฾มีกำรจัดตั้งคณะอนุกรรมกำรสำขำต฽ำงๆ
ข้ึนอกี 6 คณะ คอื

1. คณะอนุกรรมกำรตรวจสภำพพนื้ ที่
2. คณะอนกุ รรมกำรสงเครำะหชแ ำวเขำสว฽ นจงั หวัด
3. คณะอนกุ รรมกำรสำขำกำรศกึ ษำ
4. คณะอนกุ รรมกำรสงเครำะหแอำชพี
5. คณะอนุกรรมกำรสำขำอนำมัย
6. คณะอนุกรรมกำรสำขำจัดตงั้ ศนู ยวแ จิ ัยชำวเขำ21
ในเดือนพฤษภำคม พ.ศ. 2506 คณะกรรมกำรสงเครำะหแชำวเขำได฾มีมติ
ให฾จัดตั้งศูนยแวิจัยชำวเขำขึ้นในมหำวิทยำลัยเชียงใหม฽ เพ่ือศึกษำหำข฾อมูลพ้ืนฐำน
ทำงเศรษฐกิจและสังคมของชำวเขำ ในปีเดียวกันนี้เองคณะกรรมกำรสงเครำะหแ
ชำวเขำได฾มีมติให฾จัดต้ังศูนยแพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำเพ่ิมขึ้นจำกนิคมสร฾ำง
ตนเองฯ พอมำในปี พ.ศ. 2508 ได฾มีกำรส฽งพระธรรมจำริกออกไปเผยแพร฽พุทธ
ศำสนำแก฽ทำงชำวเขำตำมหมู฽บ฾ำนต฽ำงๆ ท่ีอยู฽ห฽ำงไกลจำกชุมชนรวมทั้งได฾ส฽ง
นักศกึ ษำและครทู ี่อำสำสมัครออกไปสอนหนังสอื ชำวเขำท่จี ังหวดั ตำก หลังจำกที่ได฾
แบ฽งสำยงำนออกเป็นหน฽วยงำนย฽อยๆ ที่มีหน฾ำที่เฉพำะแล฾ว คณะกรรมกำร
สงเครำะหแชำวเขำก็เปล่ียนช่ือเป็นคณะกรรมกำรชำวเขำและได฾กํำหนดนโยบำย
กำรทํำงำนระยะแรก ดังนี้
1. ให฾ทํำกำรศึกษำคน฾ ควำ฾ เกยี่ วกบั ชำวเขำ เพอ่ื นำํ ขอ฾ มูลด฾ำนต฽ำง ๆ มำวำง
แผนพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำ

21 กล฽ุมประสำนงำนจัดสวัสดิกำรแก฽ชุมชนบนพื้นที่สูง, กลุ฽มประสำนงำนจัดสวัสดิกำรแก฽ชุมชนบนพื้นท่ีสูง
[Online].Available: http://www23.brinkster.com/hilltribe/commu2.htm# [๒๕๔๖]..

-24-

เครอื ข่ายพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ

2. จดั หำทด่ี ินใหช฾ ำวเขำเข฾ำทํำกิน เพอื่ ให฾อยูอ฽ ำศยั เปน็ หลักแหล฽ง
3. สง฽ เสรมิ ใหช฾ ำวเขำทํำกำรเพำะปลูก เล้ียงสัตวแ และผลิตสินค฾ำตำมควำม
ต฾องกำรของตลำด เพื่อให฾เลิกกำรปลูกฝ่ิน อันเป็นผลเสียหำยแก฽เศรษฐกิจและ
ควำมมน่ั คงของประเทศ
4. ส฽งเสริมให฾ชำวเขำมีควำมรู฾และสนใจทํำกำรเกษตรกรรม เพื่อหยุดยั้ง
กำรทำํ ไรเ฽ ลื่อนลอยเปน็ กำรทำํ ลำยปำุ ไมต฾ ฾นนำ้ํ ลํำธำร
5. ปรับปรุงกำรคมนำคมขนส฽งเพ่ืออํำนวยควำมสะดวกแก฽ชำวเขำที่จะนํำ
สนิ ค฾ำไปจํำหนำ฽ ย
6. ให฾กำรรักษำพยำบำลแกช฽ ำวเขำท่ีเจบ็ ปุวย และแนะนํำให฾พัฒนำอนำมัย
ในหมบู฽ ำ฾ น
7. สง฽ เสริมให฾ชำวเขำมีควำมรักและหวงแหนผืนแผ฽นดินไทยท่ีตนอำศัยอยู฽
และใหเ฾ กดิ ควำมรส฾ู ึกเป็นพวกเดียวกับคนไทย
8. สง฽ เสริมใหช฾ ำวเขำรูจ฾ กั กำรปูองกันหม฽ูบ฾ำนและเป็นกํำลังรักษำควำมสงบ
เรียบรอ฾ ยและควำมม่นั คงปลอดภัยชำยแดน
9. สง฽ เสริมกำรศกึ ษำขน้ั มลู ฐำนแกเ฽ ดก็ และผูใ฾ หญ฽ชำวเขำ
10. จดั หำเคร่ืองอุปโภคและบรโิ ภคที่จํำเป็นแก฽ชำวเขำ
11. ส฽งเสรมิ ให฾ชำวเขำมกี ำรช฽วยเหลือตนเองและชว฽ ยเหลอื ซึง่ กันและกนั 22
ตํำรวจตระเวนชำยแดน นับเป็นหน฽วยงำนเร่ิมแรกที่เข฾ำไปมีส฽วนเกี่ยวข฾อง
กับชุมชนพื้นที่สูง จำกกำรปฏิบัติหน฾ำท่ีดูแลปใญหำด฾ำนควำมมั่นคงและมีส฽วนใน
กำรจัดกำรศึกษำในช฽วงแรกก็ได฾ดํำเนินงำนพัฒนำกำรเกษตรบนพื้นท่ีสูงอย฽ำงเป็น
ทำงกำรขึ้น โดยได฾รับควำมช฽วยเหลือจำกองคแกำรยูซอม (USOM ปใจจุบัน
เปลี่ยนเป็น USAID) ของสหรัฐอเมริกำเป็นผู฾ริเริ่มนํำสัตวแเล้ียงไปแจกจ฽ำยชำวเขำ
พร฾อมทั้งให฾กำรอบรมทำงด฾ำนกำรเพำะปลูกและสัตวแเลี้ยงเบ้ืองต฾นแก฽ชำวเขำ
ต฽อมำภำยหลังรัฐบำลให฾ควำมสนใจชำวเขำอย฽ำงจริงจัง จึงได฾ส฽งหน฽วยงำนอ่ืนๆ
เข฾ำไป พร฾อมทั้งนํำพืชชนิดใหม฽ทยอยเข฾ำไปให฾ชำวเขำทดลองปลูก เช฽น กรมกสิ
กรรมไดน฾ ํำกำแฟไปให฾ชำวเขำท่ีอย฽นู คิ มดอยมูเซอ จังหวัดตำก และบ฾ำนมูเซอห฾วย
ตำก จังหวัดเชียงใหม฽ทดลองปลูก กรมประชำสงเครำะหแได฾นํำพันธุแล้ินจี่ไปให฾
ชำวเขำท่ีอำํ เภอฝำง จงั หวดั เชยี งใหม฽ และอํำเภอแม฽สำย จังหวัดเชียงรำย ทดลอง

22 กลุม฽ ประสำนงำนจัดสวสั ดิกำรแกช฽ ุมชนบนพ้นื ที่สูง, อำ฾ งแลว฾ .

-25-

เครอื ข่ายพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกลุม่ ชาตพิ นั ธุ์

ปลกู พรอ฾ มทง้ั สง฽ เสริมกำรเลีย้ งววั เนื้อทด่ี อยมูเซอ นอกจำกนี้ยังได฾ทดลองเอำพืชยืน
ต฾นจํำพวกมะม฽วง กำแฟ และพชื ไรอ฽ ่นื ๆ ให฾ทดลองปลกู

ต฽อมำ ในปี พ.ศ.2512 รัฐได฾ดํำเนินกำรเก่ียวกับงำนพัฒนำชำวเขำโดย 4
กระทรวงหลัก คือ กระทรงมหำดไทย กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงศึกษำธิกำร และ
กระทรวงสำธำรณสุข ต฽อมำเกิดสถำนกำรณแควำมว฽ุนวำยทำงกำรเมือง ภำครัฐไม฽มี
ควำมไว฾วำงใจต฽อกลุ฽มชำวเขำ อันเน่ืองมำจำกเป็นพื้นที่ที่ภำครัฐยังไม฽สำมำรถเข฾ำ
ไปดูแลได฾ท่ัวถึง กำรติดต฽อส่ือสำรมีควำมยำกลํำบำก ทํำให฾ไม฽สำมำรถสร฾ำงควำม
เข฾ำใจต฽อกันได฾ ประกอบกับรัฐบำลในขณะน้ันมีควำมหวำดวิตกว฽ำชำวเขำจะเป็น
กลุ฽มที่เป็นภัยต฽อควำมมั่นคงโดยเข฾ำร฽วมกลุ฽มกับกองกํำลังคอมมิวนิสตแท่ีต฽อต฾ำน
รัฐบำลในขณะน้ัน รัฐบำลจึงจัดชุดปฏิบัติกำรเข฾ำไปในพ้ืนท่ีที่รัฐจัดว฽ำเป็นพ้ืนท่ี
ล฽อแหลมต฽อควำมม่ันคงของชำติ และมีมำตรกำรในจัดกำรพัฒนำให฾ชำวเขำตั้งถ่ิน
ฐำนให฾เปน็ หลักแหล฽งเพ่อื ประโยชนใแ นควบคมุ ดแู ล ให฾เลกิ ปลูกฝน่ิ และบกุ รุกปุำ

นโยบำยเก่ียวกับชำวเขำก฽อนหน฾ำน้ีเป็นกำรดํำเนินงำนท่ัวๆ ไปท่ีมี
ขอบเขตกำรทำํ งำนอย฽ำงกว฾ำงๆ ดังนั้นในปี พ.ศ. 2512 คณะกรรมกำรชำวเขำจึง
ได฾กํำหนดนโยบำยให฾มีลักษณะท่ีแคบลง โดยกํำหนดเป็นนโยบำยระยะส้ันและ
ระยะยำว คอื

นโยบำยระยะส้ัน ได฾แก฽กำรจัดส฽งเจ฾ำหน฾ำที่ให฾เข฾ำถึงชำวเขำที่อย฽ูตำมจุด
ล฽อแหลมให฾ทั่วถึงโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อผูกพันชำวเขำให฾มีควำมสํำนึกในชำตินิยม
และจงรักภักดีต฽อประเทศชำติ รวมท้ังเป็นกํำลังปูองกันกำรแทรกซึมของ
คอมมวิ นิสตแ

ใ น บ ริ เ วณ พ้ื น ท่ี ท่ี ป ร ะ กำศ เ ป็ น เ ขต แ ท ร ก ซึ ม ข องค อ ม มิ ว นิ ส ตแ แ ล ะ มี กำ ร
ปรำบปรำมอยู฽นั้น หลังจำกกำรปรำบปรำมส้ินสุดลง และฝุำยทหำร ตํำรวจ
สำมำรถเข฾ำควบคุมแลว฾ จงึ ส฽งให฾หนว฽ ยงำนพลเมอื งเขำ฾ รับผิดชอบต฽อไป

ส฽วนพื้นท่ีที่ยังมิได฾ประกำศเขตแทรกซึมและมีพฤติกำรณแของคอมมิวนิสตแ
แต฽ยังไม฽ถึงขั้นใช฾อำวุธนั้น จํำเป็นต฾องดํำเนินกำรในลักษณะปูองกัน โดยให฾
หนว฽ ยงำนพลเรอื นทร่ี บั ผิดชอบจัดส฽งเจ฾ำหน฾ำที่เข฾ำไปพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำ
เป็นกำรด฽วน

-26-

เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพนั ธุ์

นโยบำยระยะยำว ได฾แก฽กำรพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำให฾อยู฽อำศัยและ
ทํำมำหำกินเป็นหลักแหล฽งแน฽นอน เลิกกำรปลูกฝ่ินและบุกรุกพ้ืนที่ปุำ ในกำร
ดํำเนินตำมนโยบำยดงั กลำ฽ ว ได฾กํำหนดวธิ ดี ํำเนนิ กำรไว฾ 3 วิธดี ังนี้

1. แนะนํำและชักชวนชำวเขำท่ีอยู฽กระจัดกระจำย ให฾เข฾ำมำรวมกันเป็น
หม฽ูบ฾ำนในบริเวณทเี่ หมำะสม เพือ่ กำรดแู ลของเจ฾ำหน฾ำที่

2. ชำวเขำที่อย฽ูรวมกันเป็นหม฽ูบ฾ำนก็สนับสนุนให฾อยู฽ทํำกินต฽อไปไม฽ต฾อง
เคลื่อนย฾ำย โดยให฾ส฽งเจำ฾ หนำ฾ ทใ่ี นรปู หน฽วยเคล่ือนท่เี ข฾ำไปปฏบิ ตั งิ ำน

3. ชำวเขำที่ไม฽ต฾องกำรอยู฽บนภูเขำหรือต฾องกำรอพยพหนีภัยคอมมิวนิสตแ
ลงมำอยู฽บนพ้ืนรำบก็ให฾จัดต้ังศูนยแอพยพชำวเขำข้ึน เพื่อจะได฾อย฽ูรวมกันเป็นกล฽ุม
ก฾อน และให฾กำรสงเครำะหแเท฽ำท่ีจะจํำเป็นเพื่อจะได฾ดํำเนินชีวิตผสมผสำนเป็นคน
ไทยตอ฽ ไป

ในปี พ.ศ. 2512 โครงกำรในพระบรมรำชำนุเครำะหแ (ปใจจุบันคือ
โครงกำรหลวงภำคเหนือ) ได฾รับกำรสนับสนุนจำกกระทรวงเกษตร สหรัฐอเมริกำ
พรอ฾ มด฾วยควำมร฽วมมือจำกเจ฾ำหน฾ำที่ของหน฽วยงำนที่เก่ียวข฾องกับชำวเขำ อำจำรยแ
จำกมหำวิทยำลัยร฽วมกันทํำกำรทดลองปลูกพืชเมืองหนำวบนภูเขำ จำกน้ันก็นํำ
ควำมรู฾ที่ได฾ไปอบรมเจ฾ำหน฾ำท่ีส฽งเสริมหน฽วยงำนรำชกำร และหน฽วยงำนเอกชน
เพ่ือที่จะได฾นํำไปแนะนํำชำวเขำให฾ทํำกำรปลูกต฽อไป ในขณะเดียวกันก็ได฾ขยำย
งำนกำรเกษตรบนพืน้ ท่สี ูงใหข฾ ยำยวงกวำ฾ งขนึ้ ต฽อเนื่องมำในปี พ.ศ.2516 องคแกำร
สหประชำชำติได฾ให฾ควำมช฽วยเหลือโครงกำรปลูกพืชทดแทนกำรปลูกฝิ่น โดยนํำ
พืชท่ีสำมำรถปลูกบนพื้นท่ีสูงไปให฾ชำวเขำปลูก เช฽น กำแฟ พืชตระกูลถั่ว ได฾แก฽
ถว่ั แดง ถว่ั ปน่ิ โต ถ่วั เนวี

กล฽ำวโดยสรุป นโยบำยปี พ.ศ. 2512 เน฾นในเร่ืองควำมมั่นคงในพ้ืนที่ที่
ชำวเขำอำศัยอย฽ูและดํำเนินรูปแบบพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำเป็นหลัก แต฽ใน
ระยะหลังปรำกฏว฽ำมีหน฽วยงำนท่ีดํำเนินกำรเกี่ยวกับชำวเขำเพ่ิมมำกขึ้น ประกอบ
กับมีปใญหำรีบด฽วนต฾องแก฾ไข อำทิ อัตรำกำรเพ่ิมข้ึนของจํำนวนประชำกร กำรถือ
สญั ชำติ เป็นต฾น

ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2517 จึงได฾มีออกระเบียบกระทรวงมหำดไทยว฽ำด฾วย
กำรพิจำรณำลงรำยกำรสัญชำติไทยให฾แก฽ชำวเขำ พ.ศ.2517 โดยกํำหนด
หลักเกณฑแในกำรพิจำรณำว฽ำ ต฾องเป็นชำวเขำที่ได฾รับกำรจดทะเบียนรำษฎร

-27-

เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของกล่มุ ชาติพันธ์ุ

ชำวเขำไว฾แล฾ว หรืออย฽ูในควำมดูแลของหน฽วยงำนรำชกำร เช฽น กรม
ประชำสงเครำะหแ ตํำรวจตระเวนชำยแดน และยังมีเง่ือนไขอ่ืนๆ เช฽น ต฾องเกิดใน
ประเทศไทยและบรรลนุ ติ ิภำวะแล฾ว ต้ังถิน่ ฐำนในเขตประเทศไทยไม฽น฾อยกว฽ำ 5 ปี
มีอำชีพสุจริต ไม฽เคยกระทํำผิดต฽อควำมม่ันคงแห฽งชำติหรือกระทํำผิดกฎหมำยถึง
ต฾องโทษจํำคุก และกระทรวงมหำดไทยได฾เสนอนโยบำยและวิธีกำรดํำเนินงำน
พัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำ ปี พ.ศ. 2519 เพื่อให฾เหมำะสมกับสถำนกำรณแที่
เป็นอย฽ู ปรำกฏว฽ำได฾รับควำมเห็นชอบจำกคณะรัฐมนตรี และยังคงใช฾ปฏิบัติอย฽ูใน
ปใจจุบันน้ี คณะรัฐมนตรีได฾มีมติเห็นชอบในวันท่ี 6 กรกฎำคม พ.ศ.2519 ให฾ใช฾
“นโยบำยรวมพวก” (Integration Policy) ม฽ุงเน฾นให฾ชำวเขำเป็นพลเมือง ตำม
มำตรฐำนคุณภำพพลเมืองท่ีดีของรัฐ โดยได฾ริเริ่มโครงกำรจัดทํำทะเบียนชำวเขำ
เพอื่ พิจำรณำลงสญั ชำตไิ ทยในทะเบยี นบ฾ำนให฾แก฽ชำวเขำ รณรงคแให฾มีกำรวำงแผน
ครอบครัวเพ่ือลดอัตรำกำรเพ่ิมของประชำกรชำวเขำ และได฾เริ่มกำรพัฒนำโดย
กํำหนดเขตพ้ืนที่ท่ีเรียกว฽ำ กำรพัฒนำเป็นเขตพ้ืนท่ีโดยระบบสมบูรณแแบบ (Zonal
Integration Development)23

สํำหรบั สำระสำํ คัญของนโยบำยปี พ.ศ. 2519 มดี ังนี้
1. กำรใช฾นโยบำยรวมพวก (Integration policy) เป็นวิธีหนึ่งที่จะช฽วย
ใหช฾ ำวเขำสำมำรถปรบั ตวั และผสมผสำนเขำ฾ กับคนไทยได฾
2. เพอ่ื แก฾ปใญหำทก่ี ำํ ลังประสบอยู฽ จํำต฾องทํำให฾ชำวเขำเป็นพลเมืองไทยที่
มีคุณภำพสำมำรถช฽วยเหลือตนเองได฾ ดังนั้นจึงต฾องส฽งเสริมในด฾ำนอำชีพ เพ่ือให฾
ชำวเขำมีรำยได฾เพม่ิ พูนขึ้นเพ่อื จะไดม฾ ีมำตรฐำนควำมเปน็ อยท฽ู ี่ดีขนึ้
3. ให฾เร฽งรัดกำรทํำทะเบียนชำวเขำ ตำมระเบียบกระทรวงมหำดไทย ว฽ำ
ด฾วยกำรพิจำรณำสญั ชำติไทยในทะเบยี นบ฾ำนแกช฽ ำวเขำ พ.ศ.2517
4. จํำนวนประชำกรชำวเขำท่ีเพิ่มขึ้นอย฽ำงรวกเร็วน้ัน จะเป็นตัวเร฽งให฾
ปใญหำชำวเขำทวีควำมรุนแรงและสลับซับซ฾อนย่ิงข้ึน จึงจํำเป็นต฾องลดอัตรำกำร
เพิ่มประชำกรชำวเขำ โดยเรง฽ วำงแผนครอบครัวให฾ได฾ผลแพร฽หลำย
และไดม฾ ีกำํ หนดขัน้ ตอนกำรดำํ เนนิ กำรไว฾ดังนี้
1. กํำหนดเขตพ้ืนท่ีพัฒนำ (Development zones) ให฾เน฾นงำนทั้งใน
พื้นที่ที่ชำวเขำตั้งอยู฽เดิมและพ้ืนท่ีที่ชำวเขำละทิ้งไปแล฾ว โดยจัดดํำเนินกำรพัฒนำ

23 ปนดั ดำ บุณยสำระนัย, อ฾ำงแล฾ว, หนำ฾ 139-147.

-28-

เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ

ในลักษณะโครงกำรสมบรู ณแแ บบคอื กํำหนดให฾ชำวเขำอยู฽รวมกันเป็นกล฽ุมก฾อน แล฾ว
จักดํำเนินกำรพัฒนำอำชีพ กำรศึกษำ กำรอนำมัย กำรวำงแผนครอบครัว กำร
สังคมสงเครำะหแ และกำรพัฒนำเศรษฐกิจขั้นพื้นฐำนโดยทํำกำรไปพร฾อมๆ กันใน
เวลำและพ้ืนท่ีเดียวกันซึ่งลักษณะกำรดํำเนินงำนเช฽นน้ีทํำให฾สำมำรถควบคุมกำร
อพยพของชำวเขำอย฽ำงได฾ผล รวมทั้งยังสำมำรถติดตำมกำรเคล่ือนไหวของ
ชำวเขำท่จี ะมีผลกระทบตอ฽ กำรเมอื งและควำมมน่ั คงของประเทศได฾อย฽ำงใกล฾ชดิ

2. สํำหรับพื้นที่ท่ีมิได฾เป็นเขตพัฒนำให฾จัดหน฽วยเคลื่อนท่ีออกไป
ปฏิบัติงำนในหม฽ูบ฾ำนชำวเขำ โดยกำรให฾ควำมช฽วยเหลือเพ่ือเสริมสร฾ำง
ควำมสัมพันธแอันดีกับชำวเขำ ในขณะเดียวกันก็จัดกำรสํำรวจข฾อมูลเบื้องต฾นเพ่ือ
นํำมำใช฾ในกำรวำงแผนพัฒนำต฽อไป ในกรณีที่พ้ืนที่นั้นไม฽เหมำะสมจะจัดทํำเป็น
พน้ื ท่พี ฒั นำกค็ วรชักจูงใหช฾ ำวเขำเขำ฾ มำอย฽ใู นเขตพื้นท่ีพัฒนำ

3. สว฽ นคนไทยที่ตง้ั บำ฾ นเรือนและประกอบอำชีพอย฽ูในเขตพ้ืนที่พัฒนำและ
เขตปฏบิ ตั งิ ำนหนว฽ ยเคลื่อนทีก่ ็ให฾ทํำกำรพัฒนำ และสงเครำะหเแ ชน฽ กนั

เนื่องจำกกำรดํำเนินงำนพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำได฾มีหน฽วยงำนหลำย
แหง฽ ท้งั ภำครัฐบำลและเอกชนท่ีเข฾ำมำจดั กำร จงึ จํำเป็นต฾องมีกรรมกำรควบคุมดูแล
และประสำนงำนให฾กำรดํำเนินงำนพัฒนำชำวเขำเป็นไปอย฽ำงได฾ผลตำมนโยบำยท่ี
ไดว฾ ำงไว฾ รฐั จงึ ไดจ฾ ดั ตั้งคณะกรรมกำรฝุำยต฽ำง ๆ ข้นึ คือ

1. คณะกรรมกำรชำวเขำ คณะรัฐมนตรีได฾แต฽งต้ังขึ้นโดยมีรัฐมนตรีว฽ำกำร
กระทรวงมหำดไทย เป็นประธำนกรรมกำร และมีกรรมกำรจำกหน฽วยงำนต฽ำง ๆ
20 ท฽ำน มีอธิบดีกรมประชำสงเครำะหแเป็นเลขำธิกำร ให฾รับผิดชอบและกํำหนด
นโยบำยและมีหน฾ำท่ีพิจำรณำอนุมัติโครงกำรต฽ำงๆ เกี่ยวกับชำวเขำ หรือกำร
ดํำเนินงำนของหน฽วยงำนรัฐบำลและเอกชนท่ีอำจจะกระทบกระเทือนต฽อชำวเขำ
ต฾องได฾รับอนุมัติจำกคณะกรรมกำรชุดนีก้ ฽อน

2. คณะอนุกรรมกำรชำวเขำ คณะกรรมกำรชำวเขำได฾แต฽งตั้ง
คณะอนกุ รรมกำรชำวเขำ ซ่ึงในปจใ จุบนั มี 4 คณะ คอื

2.1 คณะอนุกรรมกำรนโยบำยและแผนงำนเกี่ยวกับชำวเขำ มีรอง
เลขำธิกำรคณะกรรมกำรพฒั นำเศรษฐกจิ และสงั คมแห฽งชำติเป็นประธำนกรรมกำร

2.2 คณะอนุกรรมกำรชำวเขำด฾ำนกำรศึกษำ มีอธิบดีกรมกำรศึกษำ
นอกโรงเรียนเป็นประธำน เพ่ือพิจำรณำสนับสนุนให฾หน฽วยงำนจัดกำรศึกษำแก฽

-29-

เครอื ขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์

ชำวเขำได฾สอดคล฾องไม฽ซํ้ำซ฾อนกัน รวมทั้งแก฾ไขปใญหำและอุปสรรคในกำร
ปฏบิ ัติงำน

2.3 คณะอนุกรรมกำรชำวเขำด฾ำนควำมมั่นคง มีเลขำธิกำรสภำควำม
ม่ันคงเป็นประธำน มหี น฾ำทีว่ ิเครำะหแปใญหำและควำมเคลื่อนไหวของชำวเขำและผู฾
ทเี่ ข฾ำไปดำํ เนินกำรกบั ชำวเขำ

2.4 คณะกรรมกำรจัดที่ดินเพ่ือกำรครองชีพ มีอธิบดีกรมปุำไม฾เป็น
ประธำน มหี นำ฾ ท่ีพจิ ำรณำและกํำหนดมำตรกำรแก฾ปใญหำกำรใช฾ที่ดินบนภูเขำ และ
จดั ทดี่ นิ ทำํ กนิ ให฾แก฽ชำวเขำเพ่ือปูองกันกำรโยกย฾ำย

3. คณะกรรมกำรชำวเขำส฽วนจังหวัด มีหน฾ำที่พิจำรณำแผนกำรดํำเนินงำน
และควบคุมกำรปฏิบัติงำนเกี่ยวกับชำวเขำในจังหวัดน้ัน ๆ มีผู฾ว฽ำรำชกำรจังหวัด
เปน็ ประธำนมที งั้ หมด 22 จงั หวัด

หลังจำกที่คณะรัฐมนตรีได฾อนุมัตินโยบำยกำรพัฒนำชำวเขำแบบกำรรวม
พวก (Integration policy) เม่อื ปี พ.ศ.2519 แล฾ว ทำงกรมประชำสงเครำะหแจึง
ได฾กํำหนดกำรพัฒนำโดยแบ฽งเป็นเขตพ้ืนท่ีระบบสมบูรณแแบบข้ึน คือ กำรพัฒนำ
ชำวเขำจะกํำหนดเป็นกล฽ุมพ้ืนท่ีที่อำศัยอย฽ูใกล฾เคียงกันหรือลุ฽มนํ้ำเดียวกัน โดย
แนะนํำวิธีกำรทํำกินของชำวเขำ ให฾เน฾นถึงกำรใช฾ประโยชนแที่ดินแบบถำวร ซ่ึง
กํำหนดจำกควำมลำดชันของพื้นท่ีและเน฾นกำรปลูกพืชอำหำรก฽อนกำรปลูกพืช
เศรษฐกิจ สำํ หรับข฾อกำํ หนดควำมลำดชนั และพชื ทีป่ ลูก มดี ังนี้

- ควำมลำดชัน 0 – 1 องศำ สำมำรถปลูกอะไรก็ได฾ แต฽ควรคํำนึงถึง
อำหำรหลักกอ฽ นและเหน็ ว฽ำควรทำํ เป็นนำดํำ

- ควำมลำดชัน 2 – 20 องศำ เป็นพื้นที่ท่ีต฾องมีกำรอนุรักษแ เพื่อจะปลูก
พืชต฾องทํำเป็นแบบข้ันบันได พืชท่ีปลูกควรเป็นพืชอำหำรและพืชเศรษฐกิจ ถ฾ำมี
กำรพฒั นำเรอ่ื งชลประทำนก็ควรจะปลกู ขำ฾ ว โดยทํำนำแบบขั้นบันได

- ควำมลำดชัน 21 – 35 องศำ ลักษณะพ้ืนที่ที่มีควำมลำดชันสูงเช฽นนี้ไม฽
เหมำะสํำหรับกำรปลกู พืชไร฽ ทั้งพชื อำหำรและพืชเศรษฐกจิ หำกเหมำะสํำหรับกำร
ปลกู ผลไม฾ยืนต฾นรวมทั้งกำรปลูกปุำ เพ่ือเอำไม฾มำทํำประโยชนแใช฾สอย เช฽น หุงต฾ม
อำหำร เป็นต฾น

-30-

เครือข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธ์ุ

ส฽วนพื้นท่ีท่ีสูงกว฽ำ 35 องศำ จะต฾องสงวนปุำไม฾ไว฾สํำหรับเป็นแหล฽งต฾นน้ํำ
ลำํ ธำรหำ฾ มตดั ไมใ฾ ดๆ ทงั้ ส้นิ 24

สำํ หรบั หนว฽ ยงำนท่ีเข฾ำไปดำํ เนนิ งำนตำมโครงกำร ได฾แก฽
กรมประชำสงเครำะหแ ซึ่งเป็นหน฽วยงำนที่ดํำเนินกำรพัฒนำและสงเครำะหแ
ชำวเขำมำแต฽แรกเร่ิมนั้น ได฾กระจำยหน฽วยงำนย฽อยไปตำมจังหวัดต฽ำง ๆ ที่มี
ชำวเขำอำศัยอย฽ู โดยจัดตั้งศูนยแพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำจังหวัดมีท้ังส้ิน 13
จังหวัด คือ เชียงใหม฽ เชียงรำย แม฽ฮ฽องสอน ตำก ลํำปำง ลํำพูน เพชรบูรณแ
พะเยำ กำญจนบุรี น฽ำน แพร฽ กํำแพงเพชร และอุทัยธำนี ศูนยแแต฽ละแห฽งได฾จัด
หน฽วยพัฒนำ และสงเครำะหแชำวเขำออกไปประจํำอยู฽ตำมหมู฽บ฾ำนชำวเขำ มี
ทัง้ หมด 222 หนว฽ ย
นอกจำกน้ีกรมประชำสงเครำะหแยังได฾จัดต้ังโครงกำรพิเศษข้ึนอีก 2
โครงกำรเพือ่ ทํำกำรพัฒนำกำรเกษตรบนทีส่ ูงโดยเฉพำะ คือ
โครงกำรพฒั นำเศรษฐกจิ และสงั คมบนพืน้ ทสี่ งู ซง่ึ ใช฾เงินกู฾จำกธนำคำรโลก
ชนิดไม฽ต฾องเสียดอกเบ้ียมำดํำเนินงำน และให฾เจ฾ำหน฾ำที่หน฽วยพัฒนำ และ
สงเครำะหแชำวเขำเคลื่อนท่ีเป็นผู฾ปฏิบัติงำน โดยทํำกำรพัฒนำแบบแบ฽งเขตพื้นที่
มีท้ังหมด 8 เขต และครอบคลุม 5 จังหวัด คือ เชียงใหม฽ 2 เขต เชียงรำย 2
เขต แม฽ฮ฽องสอน 2 เขต ลํำปำง 1 เขต และน฽ำนอีก 1 เขต โครงกำรนี้เป็นกำร
ส฽งเสริมให฾ชำวเขำร฾ูจักทํำกำรเกษตรแบบข้ันบันได ท้ังกำรทํำนำ และกำรปลูก
กำแฟ มพี น้ื ที่ปฏิบัตกิ ำรรำว 3,000 ไร฽ ขณะเดยี วกันก็ดํำเนินงำนพัฒนำสังคมร฽วม
ไปด฾วย
โครงกำรไทย–นอรเวยแ เป็นโครงกำรต฽อเน่ืองจำกโครงกำรปลูกพืชทดแทน
บนพ้ืนที่สูง และกำรตลำดไทย – สหประชำชำติ ซ่ึงสิ้นสุดโครงกำรในปี พ.ศ.
2528 และรัฐบำลนอรเวได฾เข฾ำมำรับช฽วงต฽อ และได฾ดํำเนินงำนตำมหม฽ูบ฾ำน
ชำวเขำที่กระทํำอยู฽เดิมเกี่ยวกับกำรพัฒนำกำรเกษตรบนท่ีสูง และกำรตลำด ซ่ึงมี
หมบ฽ู ำ฾ นหลัก 5 หมูบ฽ ำ฾ น และหม฽บู ฾ำนบริวำร 25 หมู฽บำ฾ น
กรมส฽งเสรมิ กำรเกษตร ดํำเนินงำนสง฽ เสรมิ กำรเกษตรแก฽ชำวเขำทุกรูปแบบ
เป็นลักษณะผสมผสำน โดยจัดตั้งศูนยแส฽งเสริมกำรเกษตรท่ีสูงในหม฽ูบ฾ำนหลัก และ
หม฽ูบ฾ำนบริวำรที่รับผิดชอบ มีทั้งหมด 79 หม฽ูบ฾ำน และมี 3,825 ครอบครัว เพื่อ

24 กลม฽ุ ประสำนงำนจดั สวสั ดกิ ำรแก฽ชุมชนบนพ้ืนทส่ี ูง, อำ฾ งแลว฾ .

-31-

เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ

ส฽งเสริมปลูกพืชทดแทนฝิ่น ปลูกข฾ำวให฾เพียงพอแก฽กำรบริโภคของชำวเขำเอง ให฾
มีกำรปลูกพืชเศรษ ฐกิจ อำยุสั้นเพ่ือเพ่ิม รำยได฾แล ะอำห ำรเพื่อ กำรโภชน ำกำร
ปรับปรุงปศุสัตวแในเรื่องกำรผสมพันธุแ และกำรปูองกันโรคระบำดของสัตวแ สํำหรับ
พืชส฽งเสรมิ ให฾ชำวเขำปลูกก็เป็นไปทำงไม฾ผลเมืองหนำวบำงชนิดท่ีสำมำรถปลูกได฾
บนภูเขำ เช฽น แอปเปิล สำล่ี บ฿วย พลับ สตรอเบอรแร่ี พืชผักและดอกไม฾เมือง
หนำวบำงประเภท นอกจำกน้ีก็มีข฾ำว กำแฟ ข฾ำวนำดํำ ข฾ำวไร฽ ข฾ำวโพด พืช
ตระกูลถั่วต฽ำง ๆ และพืชผักอ่ืน ๆ โดยจัดตั้งเป็นศูนยแสํำหรับกำรเกษตรที่สูง
จำํ นวน 10 แห฽ง ในจังหวดั เชยี งใหม฽และมีพ้นื ทีด่ ํำเนินงำนถงึ 45,891 ไร฽

โครงกำรหลวงภำคเหนือ เดิมใช฾ช่ือว฽ำโครงกำรในพระบรมรำชำนุเครำะหแ
ชำวเขำเริ่มตั้งขึ้นเม่ือปี พ.ศ. 2512 เป็นโครงกำรที่ทํำหน฾ำท่ีประสำนงำนของ
หน฽วยรำชกำรต฽ำง ๆ และให฾กำรสนับสนุนในด฾ำนงบประมำณ ด฾ำนวิชำกำร กำร
ส฽งเสริมและกำรตลำดรวมท้ังกำรเข฾ำไปช฽วยแก฾ไขปใญหำและอุปสรรคต฽ำงๆ ท่ี
เกิดขึ้นในหม฽ูบ฾ำนท่ีเข฾ำไปพัฒนำท้ังในแง฽ทำงกำรประสำนงำนด฾ำนนโยบำยและ
วิชำกำร ในกำรดํำเนินงำนน้ันจะมีคณะกรรมกำรสองชุด คือ คณะกรรมกำร
ประสำนงำนวิจัยกำรเกษตรที่สูง ประกอบด฾วยเจ฾ำหน฾ำท่ีมำจำกส฽วนรำชกำรและ
หน฽วยงำนต฽ำง ๆ ท่ีปฏิบัติงำนบนท่ีสูง คณะกรรมกำรชุดน้ีรับผิดชอบในด฾ำน
กำรศึกษำวิจัยค฾นคว฾ำและทดลองทำงด฾ำนกำรเกษตร เพ่ือจะได฾นํำผลท่ีได฾มำจำก
กำรวิจัยที่เหมำะสมแก฽ชำวเขำไปถ฽ำยทอดให฾เจ฾ำหน฾ำท่ีส฽งเสริมกำรเกษตรนํำไป
ปฏบิ ตั ิต฽อไป สำํ หรบั คณะกรรมกำรอีกชุดหน่ึงคือ คณะกรรมกำรส฽งเสริมกำรเกษตร
ท่ีสูง ซ่ึงประกอบด฾วยเจ฾ำหน฾ำท่ีจำกส฽วนรำชกำรและหน฽วยงำนที่เก่ียวข฾องเช฽นกัน
แต฽จะมีเจ฾ำหน฾ำที่ส฽งเสริมกำรเกษตรท่ีปฏิบัติงำนในสนำมเข฾ำร฽วมด฾วย และนํำผล
จำกกำรวิจัยไปทดลองปฏิบัติจริง ๆ โดยจัดสำธิตให฾แก฽ชำวเขำเพ่ือจะส฽งเสริมให฾
ชำวเขำปฏิบัติตำมหลักวิชำกำรต฽อไป ในกรณีน้ีมีปใญหำในกำรปฏิบัติงำนก็จะนํำ
กลบั มำเสนอคณะกรรมกำรชุดแรกเพ่อื หำทำงแก฾ไขต฽อไป คณะกรรมกำรทั้งสองชุด
จะตอ฾ งทํำกำรประชุมทุกเดือน

สํำนักงำนคณะกรรมกำรปูองกันและปรำบปรำมยำเสพติด (ปปส.) จัดตั้ง
ขึ้นเม่อื ปี พ.ศ.2519 มหี น฾ำท่ีดํำเนินกำรเก่ียวกับกำรปรำบปรำมยำเสพติดประเภท
ตำ฽ ง ๆ รวมทง้ั กำรปูองกันกำรระบำดยำเสพติดด฾วย คณะกรรมกำรชุดน้ีเห็นว฽ำ ฝิ่น
ท่ีชำวเขำปลูกนั้นเป็นต฾นกํำเนิดของยำเสพติดท่ีร฾ำยแรง จึงพยำยำมให฾ชำวเขำเลิก

-32-

เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาติพันธุ์

ปลูกฝิ่นโดยจัดต้ังโครงกำรปลูกพืชทดแทนกำรปลูกฝ่ิน ซึ่งแยกออกเป็นโครงกำร
ย฽อย 2 โครงกำร คอื

โครงกำรปลูกพืชทดแทนและพัฒนำเศรษฐกิจชำวไทยภูเขำไทย -
สหประชำชำติซ่ึง ปปส. รับมำดํำเนินกำรต฽อจำกคณะกรรมกำรรับกำรช฽วยเหลือ
จำกต฽ำงประเทศ กรมตํำรวจเป็นโครงกำรที่สหประชำชำติให฾ควำมช฽วยเหลือ เพื่อ
ม฽ุงให฾ชำวเขำลดกำรปลูกฝิ่นและหันมำปลูกพืชอื่นทดแทนและยังมีจุดม฽ุงหมำยให฾
ชำวเขำเลิกร฾ำงกำรทํำลำยปุำไม฾ โดยส฽งเสริมให฾ชำวเขำหวนกลับมำใช฾ประโยชนแ
จำกพ้ืนที่ดินที่ถูกละท้ิงไว฾แต฽เดิม นอกจำกนี้ยังได฾พัฒนำอำชีพเพื่อให฾ชำวเขำมี
ควำมเป็นอย฽ูที่ดีข้ึน รวมท้ังให฾กำรบํำบัดรักษำชำวเขำที่ติดยำ โครงกำรน้ีมีพ้ืนท่ี
ดํำเนินงำนอย฽ูในจังหวัดเชียงใหม฽ทั้งหมด เป็นหม฽ูบ฾ำนหลัก 5 หม฽ูบ฾ำน และ
หมู฽บ฾ำนบริวำร 25 หม฽ูบ฾ำน มีสถำนีทดลองและศูนยแฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนช฽ำง
เค่ยี น โครงกำรน้ีไดส฾ ิน้ สดุ ลงแล฾วในขณะนี้ และทำง ปปส. ได฾มอบหมู฽บ฾ำนชำวเขำ
ที่อยู฽ในโครงกำรให฾กรมประชำสงเครำะหแรับผิดชอบและนํำไปดํำเนินกำรต฽อ ส฽วน
สถำนที ดลองขุนชำ฽ งเคย่ี นกม็ อบใหม฾ หำวทิ ยำลัยเชียงใหมน฽ ำํ ไปใช฾ประโยชนแในกำร
ทดลองตอ฽ ไป

โครงกำรไทย–เยอรมัน เป็นโครงกำรท่ีจัดตั้งข้ึนเม่ือปี พ.ศ. 2524
ครอบคลุมพ้ืนที่ประมำณ 3,000 ตำรำงกิโลเมตร ในเขตอํำเภอแม฽สรวย จังหวัด
เชียงใหม฽ อํำเภอเมืองจังหวัดแม฽ฮ฽องสอน และอํำเภอเชียงดำว จังหวัดเชียงใหม฽
โดยใช฾แนวทำงกำรพัฒนำแบบผสมผสำนเพ่ือพัฒนำด฾ำนกำรเกษตรให฾ชำวเขำมี
กำรทํำนำแบบถำวรมำกขึ้น ส฽งเสริมกำรปลูกพืชเศรษฐกิจท่ีทํำรำยได฾สูง ใช฾ท่ีดิน
แบบอนุรักษแ และใช฾ทรัพยำกรธรรมชำติอย฽ำงมีประสิทธิภำพโดยเฉพำะปุำไม฾ ดิน
นำ้ํ ปรับปรุงดำ฾ นอนำมยั และกำรรกั ษำพยำบำล ตลอดจนกำรคมนำคมขนส฽งรวมท้ัง
กำรเน฾นให฾ชำวเขำมีควำมสํำนึกเป็นคนไทยมำกขน้ึ

ในปี พ.ศ. 2525 รัฐบำลได฾แต฽งตั้งคณะกรรมกำรอํำนวยกำรแก฾ไขปใญหำ
ควำมมั่นคงแห฽งชำติเก่ียวกับปใญหำชำวเขำและกำรปลูกฝิ่น โดยมีรอง
นำยกรฐั มนตรีเป็นประธำน

ส฽วนนโยบำยแก฾ไขปญใ หำชำวเขำและกำรปลกู ฝ่นิ ไดก฾ ำํ หนดไวด฾ งั นี้ คอื
1. ดำ฾ นกำรปกครอง เพื่อใหช฾ ำวเขำมีควำมสํำนึกเป็นคนไทย และเป็นส฽วน
หนึ่งของสังคมไทย ไม฽สร฾ำงปใญหำทำงด฾ำนควำมมั่นคงและก฽อภำระด฾ำนเศรษฐกิจ

-33-

เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาตพิ นั ธุ์

สังคม และกำรเมืองให฾กับประเทศ รวมท้ังจัดระเบียบกำรประกอบอำชีพบนภูเขำ
ให฾เปน็ ไปตำมกฎเกณฑแของทำงรำชกำร จงึ ได฾มีนโยบำยทส่ี ำํ คญั ดงั นี้

1.1 สร฾ำงควำมรู฾ควำมเข฾ำใจที่ถูกต฾องและควำมผูกพันทำงจิตใจต฽อ
สังคมไทยแก฽ชำวเขำด฾วยโครงกำรศึกษำนอกระบบ กำรประชำสัมพันธแอื่น ๆ
รวมท้งั ให฾ชำวเขำเคำรพกฎหมำยบ฾ำนเมือง

1.2 กํำหนดพ้ืนที่ที่เหมำะสมให฾ชำวเขำอยู฽อำศัย และทํำกินเป็นหลัก
แหล฽ง

1.3 จดั ระเบยี บควำมเป็นอย฽ู และเรง฽ สํำรวจจำํ นวนชำวเขำทแี่ น฽นอน
1.4 สกัดกน้ั และผลกั ดันกำรอพยพเข฾ำมำใหมข฽ องชำวเขำ
2. ด฾ำนกำรเลิกปลูกฝิ่นและเสพฝิ่น เพื่อให฾ชำวเขำลดกำรปลูกฝ่ินและเสพ
ฝ่ิน จนกระท่ังเลิกในที่สุด และให฾พ฾นจำกอิทธิพลท่ีสนับสนุนกำรปลูกฝิ่นและค฾ำยำ
เสพติด ได฾วำงนโยบำยดังน้ี
2.1 ส฽งเสริมให฾มีรำยได฾จำกอำชีพอื่นแทนกำรปลูกฝ่ิน ด฾วยวิธีกำร
ประชำสัมพันธแและกำรปฏบิ ตั ิทำงจติ วทิ ยำ เพ่อื ให฾เขำ฾ ใจถึงพิษภัยของฝ่ินและจูงใจ
ให฾เลิกเสพฝนิ่
2.2 ปรับปรุงประสิทธิภำพกำรคุ฾มครองชำวเขำอิทธิพลต฽ำง ๆ และ
สง฽ เสริมให฾ชำวเขำมีควำมสำมำรถทจ่ี ะปูองกนั ตนเอง
2.3 แสวงหำควำมช฽วยเหลือจำกต฽ำงประเทศ และให฾มีองคแกำรหลัก
รบั ผดิ ชอบใหก฾ ำรปฏิบตั ิงำนดํำเนินไปตำมควำมมุ฽งหมำยของกำรช฽วยเหลือ
3. ด฾ำนพัฒนำเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให฾ชำวเขำมีควำมเป็นอย฽ูใกล฾เคียง
กับคนไทยพ้ืนรำบ ควรควบคุมอัตรำกำรเพิ่มประชำกรของชำวเขำด฾วย และมี
หลักเกณฑแกำรดำํ เนินงำนดังนี้
3.1 ปรับปรุงให฾ชำวเขำมีรำยได฾จำกอำชีพอื่นท่ีเพียงพอต฽อกำรยังชีพ
และใหก฾ ำรปรบั ปรุงน้ีเป็นประโยชนตแ ฽อคนไทยพ้นื รำบอยำ฽ งเหมำะสมดว฾ ย
3.2 กระจำยกำรบรกิ ำรสำธำรณสขุ ขน้ั พนื้ ฐำน
3.3 ดํำเนนิ กำรวำงแผนครอบครัวและควบคมุ กำรยำ฾ ยถิ่นฐำน
3.4 ประชำสัมพันธแและปฏิบัติกำรจิตวิทยำต฽อชำวไทย และชำวเขำ
สรำ฾ งควำมเข฾ำใจทถ่ี ูกตอ฾ งในกำรช฽วยเหลอื ทำงรำชกำร

-34-

เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ิตของกล่มุ ชาติพันธ์ุ

3.5 พัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำตำมสภำพปใญหำในพื้นท่ีตำมแบบ
และโครงกำรท่ีจัดทํำข้ึนให฾มีหน฽วยงำนหลักและรองตำมลักษณะกำรแก฾ไขปใญหำ
เฉพำะหน฾ำ เพอ่ื คล่ีคลำยปญใ หำเฉพำะหนำ฾ กอ฽ นที่จะส฽งให฾หน฽วยงำนปกติดํำเนินกำร
ตอ฽ ไป

นอกจำกนโยบำย พ.ศ. 2519 แล฾ว รัฐบำลยังได฾บรรจุกำรพัฒนำชำวเขำ
ไวใ฾ นแผนพฒั นำเศรษฐกิจและสังคมแห฽งชำติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525 –2529) ใน
ฐำนะทีช่ ำวเขำเปน็ ประชำกรส฽วนหนึ่งของประเทศ เฉกเช฽นประชำกรไทยท้ังหลำย
สํำหรบั แผนกำรพัฒนำนนั้ ไดก฾ ํำหนดไว฾ดังนี้

1. เร฽งดํำเนินกำรลดอัตรำเพ่ิมประชำกรชำวเขำกับคนไทยบนท่ีสูง และ
สนับสนุนให฾ประชำกรทั้งสองกลุ฽ม ตั้งถิ่นฐำนถำวรให฾เหมำะสมกับสภำพพื้นท่ี
โดยเฉพำะชุมชนที่มีประชำกรหนำแนน฽ และมีอัตรำประชำกรสูง

2. เร฽งปรับปรุงพ้ืนที่ที่ทรัพยำกรธรรมชำติเส่ือมโทรม และปูองกันกำร
ทํำลำยทรัพยำกรธรรมชำติบนท่ีสูงจำกกำรกระทํำของประชำกรท้ังสองกลุ฽ม
ดงั กลำ฽ ว

3. เรง฽ ปรบั ปรงุ องคกแ รท่ีดำํ เนินงำนพัฒนำชำวเขำร฽วมกันระหว฽ำงหน฽วยงำน
และกํำหนดขั้นตอนกำรพัฒนำและผ฾ูรับผิดชอบให฾ชัดเจน โดยยึดแผนพัฒนำ
ชำวเขำเป็นแผนแม฽บทและเป็นแกนกลำงประสำนงำนกำรพัฒนำของหน฽วยงำน
รวมตลอดถึงโครงกำรหลวงพัฒนำภำคเหนือ โครงกำรพระรำชดํำริและมูลนิธิท่ี
เกี่ยวข฾อง

4. เร฽งพัฒนำเศรษฐกิจหลักด฾ำนเกษตรกรรมควบค฽ูไปกับสำขำอื่น ๆ
เพ่ือให฾ประชำกรท้ังสองกล฽ุมมีอำชีพท่ีถำวร มีรำยได฾เพียงพอในกำรยังชีพ และลด
กำรปลูกฝ่ิน โดยให฾เพิ่มผลผลิตของพืชส฽งเสริมให฾สูงข้ึน และกระจำยแรงงำนจำก
ภำคเกษตรไปสู฽อำชีพหลักอ่ืน โดยเนน฾ อุตสำหกรรมในครัวเรือน

5. พัฒนำให฾ชำวเขำเป็นพลเมืองท่ีมีคุณภำพและสำมำรถช฽วยตัวเองได฾
โดยเน฾นกำรเสริมสร฾ำงควำมร฾ูและบริกำรพัฒนำอนำมัยข้ันพ้ืนฐำน รวมถึงกำรลด
อตั รำกำรตดิ ยำเสพติด

6. เร฽งรัดพัฒนำด฽ำนต฽ำง ๆ เพ่ือให฾ชำวเขำเข฾ำมำส฽วนร฽วม โดยเฉพำะ
หม฽ูบ฾ำนที่ไม฽มีหน฽วยรำชกำรใดเข฾ำถึง เร฽งสร฾ำงควำมสัมพันธแเพื่อเสริมสร฾ำงควำม

-35-

เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธ์ุ

เข฾ำใจ และกำรผูกพันทำงจิตใจของชำวเขำให฾มีควำมนิยมในชำติ ศำสนำ และ
พระมหำกษัตริยแ

ในระหว฽ำงปี พ.ศ. 2525 – 2532 วันท่ี 27 ธันวำคม พ.ศ.2525
คณะรัฐมนตรีได฾กํำหนด “นโยบำยในกำรแก฾ปใญหำชำวเขำและกำรปลูกฝ่ิน”
เน่ืองจำกรัฐพิจำรณำเห็นว฽ำมีหน฽วยงำนภำครัฐหลำยหน฽วยงำนที่เข฾ำไปดํำเนินกำร
พัฒนำชำวเขำอย฽ำงซ้ํำซ฾อนกัน จึงกํำหนดนโยบำยกำรพัฒนำเป็น 3 ด฾ำนคือ กำร
ปกครอง กำรปลูกและเสพฝ่ิน และกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคม โดยแต฽งต้ัง
คณะกรรมกำรทีร่ ับผดิ ชอบดำํ เนินกำร 3 ระดับคือ ระดบั ชำติ ได฾แก฽ คณะกรรมกำร
อำํ นวยกำรแก฾ไขปใญหำควำมมั่นคงแหง฽ ชำตเิ กีย่ วกับปใญหำชำวเขำและกำรปลูกฝิ่น
(อขส.) มีรองนำยกรัฐมนตรเี ป็นประธำนและมผี ฾แู ทนระดับกระทรวง ระดับจังหวัด
ได฾แก฽ คณะกรรมกำรชำวเขำส฽วนจังหวัด ต฽อมำทำงคณะรัฐมนตรีได฾อนุมัติ
เพิ่มเติมอีกหน่ึงองคแกร คือ ศูนยแอํำนวยกำรประสำนงำนแก฾ไขปใยหำชำวเขำและ
กำรกํำจัดกำรปลูกฝิ่น กองทัพภำคที่ 3 (ศอ.ชข.ทภ.3) เพ่ือทํำหน฾ำท่ีช฽วยเหลือ
องคกแ รระดบั ชำติ และสนบั สนนุ องคแกรระดบั จงั หวดั

อย฽ำงไรกต็ ำม กำรพัฒนำเกษตรท่ีสูงของหน฽วยงำนต฽ำง ๆ ที่ดํำเนินงำนมำ
เป็นเวลำนำน และใช฾จ฽ำยเงินงบประมำณไปเป็นจํำนวนมำก แต฽ยังไม฽ประสบ
ผลสํำเร็จเท฽ำท่ีควร ทั้งยังมีชำวเขำที่ปลูกฝิ่นรวมท้ังสภำพควำมเป็นอยู฽โดยทั่วไปก็
อยู฽ในระดับตํ่ำกว฽ำมำตรฐำนเมื่อเทียบกับคนไทยทั่วๆ ไป แม฾ว฽ำบำงโครงกำรจะ
ส้ินสุดกำรทํำงำนไปแล฾ว แต฽ยังไม฽สำมำรถถอนสภำพของหน฽วยพัฒนำและ
สงเครำะหแ แต฽กลับต฾องเพ่ิมจํำนวนหน฽วยพัฒนำข้ึนทุกปี ปรำกฏกำรณแดังกล฽ำวมี
กำรสรปุ ประเด็นสำเหตจุ ำกปใญหำในตัวเองของชำวเขำ ดงั นี้

1. ปใญหำด฾ำนกำรขำดกำรศึกษำของชำวเขำ ชำวเขำส฽วนใหญ฽ยังอ฽ำนไม฽
ออกและเขียนภำษำไทยไม฽ได฾ ดังน้ันจึงเป็นอุปสรรคในกำรติดต฽อสื่อสำรทํำให฾ส่ือ
ควำมหมำยไม฽ได฾ผลและชำวเขำไม฽สำมำรถนํำควำมรู฾ท่ีได฾รับจำกกำรอบรมไปใช฾
ประโยชนไแ ด฾

2. ปใญหำทุนทรัพยแและแรงงำน เน่ืองจำกกำรทํำกำรเกษตรของชำวเขำ
ต฾องอำศัยแรงงำนจำกครอบครัวเพรำะขำดแคลนทุนทรัพยแที่จะไปรับจ฾ำงแรงงำน
นอกครอบครวั ประกอบกับครอบครัวของชำวเขำส฽วนใหญ฽มีขนำดเล็ก ท้ังนี้ยกเว฾น
พวกแม฾วและเย฾ำ ดังน้ันแรงงำนท่ีมีอย฽ูในครอบครัวจึงถูกใช฾ไปในกำรผลิตเพื่อ

-36-

เครอื ข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพันธุ์

บริโภค น่ันคือสนใจทํำกำรเพำะปลูกเฉพำะพืชอำหำรเท฽ำน้ัน ส฽วนพืชเศรษฐกิจที่
ต฾องใช฾แรงงำนเพ่ิมข้ึน รวมทั้งกำรลงทุนในแง฽ของพืชเป็นวิทยำกำรใหม฽ ๆ เช฽น
กำรใช฾ป฻ุย กำรใช฾ยำฆ฽ำแมลงต฽ำงๆ เหล฽ำนี้จึงไม฽ได฾รับควำมสนใจจำกชำวเขำ
เพรำะเกินกํำลังควำมสำมำรถในแง฽ของต฾นทุนกำรผลิต ส฽วนชำวเขำเผ฽ำแม฾วและ
เยำ฾ ที่มคี รอบครัวขนำดใหญม฽ แี รงมำกพอทจ่ี ะกระทำํ ได฾กไ็ มส฽ นใจเช฽นกนั เพรำะเม่ือ
เทยี บกับฝ่ินปรำกฏวำ฽ ฝิ่นให฾รำยไดด฾ ีกวำ฽ และเพำะปลูกง฽ำยกว฽ำ

3. ปใญหำรำคำพืชผลส฽วนรวม หลังจำกท่ีเก็บเกี่ยวผลผลิตได฾แล฾ว ชำวเขำ
ก็จะต฾องขนสินค฾ำลงขำยท่ีตลำดในเมืองและหำตลำดเอง ซึ่งส฽วนใหญ฽ก็จะถูกกด
รำคำจำกพ฽อค฾ำคนกลำงเช฽นเดียวกับเกษตรกรไทยท่ัวๆ ไป แม฾จะมีกำรประกัน
รำคำก็ตำม แต฽โดยสภำพควำมเป็นจริงแล฾ว ชำวเขำและเกษตรกรจะต฾องขำยต่ํำ
กว฽ำรำคำประกันเสมอ เพรำะไม฽มีอํำนำจในกำรต฽อรองกับพ฽อค฾ำ ดังนั้น ชำวเขำ
จํำต฾องขำยผลผลิตของตนท้ัง ๆ ที่ไม฽ได฾รำคำเพ่ือที่จะได฾ไม฽ต฾องเสียค฽ำใช฾จ฽ำยใน
กำรขนกลับขึ้นไปบนภูเขำ เม่ือเป็นเช฽นน้ันจึงทํำให฾ชำวเขำไม฽สนใจท่ีจะทํำกำร
เพำะปลูกพชื ผลส฽งเสริม โดยเฉพำะอย฽ำงยิ่งในกล฽ุมชำวเขำท่ีทํำกำรปลูกฝ่ิน เพรำะ
ผลตอบแทนที่ได฾รับต฽ำงกันมำก ด฾วยฝ่ินนั้นปลูกง฽ำยไม฽ต฾องกำรดูแลขำยได฾รำคำดี
และมพี ฽อคำ฾ ขน้ึ ไปชื้อถงึ ทห่ี ำกรำคำไมเ฽ ป็นที่ตกลงกอ็ ำจเก็บไว฾ได฾อีกด฾วย25

เนื่องจำกกำรดํำเนินเก่ียวกับชำวเขำน้ัน มีเปูำหมำยท่ีแน฽นอนคือให฾
ชำวเขำเป็นพลเมืองที่มีคุณภำพ สำมำรถช฽วยตัวเองได฾ มีรำยได฾เพียงพอแก฽กำร
ครองชีพตำมมำตรฐำนท่ัวไปและมีชีวิตควำมเป็นอย฽ูที่ดีข้ึน ท่ีสํำคัญคือให฾ชำวเขำ
เลกิ กำรปลูกฝ่ินหันมำปลูกพืชชนิดอื่นแทน นอกจำกสนับสนุนให฾ชำวเขำยึดอำชีพ
เกษตรกรรมเป็นอำชีพหลักแล฾ว ยังสนับสนุนให฾ชำวเขำมีอำชีพรอง ซึ่งได฾แก฽
อตุ สำหกรรมในครัวเรือน เพ่ือจะได฾มีรำยได฾เพ่ิมขึ้น ทั้งยังเป็นกำรใช฾แรงงำนเหลือ
ให฾เป็นประโยชนแอีกด฾วย ดังน้ันหน฽วยงำนท่ีเข฾ำไปทํำงำนกับชำวเขำจึงได฾จัดอบรม
ควำมร฾ูที่เกี่ยวกับวิชำชีพต฽ำงๆ พร฾อมทั้งในกำรสนับสนุนในด฾ำนกำรจัดหำตลำด
ดงั น้ี

กรมประชำสงเครำะหแ ตั้งแต฽ปี พ.ศ. 2514 เป็นต฾นมำ องคแกำรยูนิเซฟได฾
ให฾ควำมช฽วยเหลือชำวเขำผ฽ำนกรมประชำสงเครำะหแ โดยจัดเป็นโครงกำรฝึกอบรม
วิชำชีพต฽ำง ๆ ได฾แก฽กำรตัดเย็บเส้ือผ฾ำ กำรทอผ฾ำ กำรย฾อมสีผ฾ำ กำรตีเหล็ก กำร

25 กลุ฽มประสำนงำนจดั สวสั ดิกำรแก฽ชมุ ชนบนพืน้ ทีส่ งู , อำ฾ งแล฾ว.

-37-

เครอื ขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกล่มุ ชาตพิ นั ธุ์

เจียระไนพลอย กำรทํำเคร่ืองเงิน และกำรทํำไม฾กวำดให฾กับชำวเขำท่ีอยู฽ตำม
จังหวดั ต฽ำงๆ รวมทง้ั ได฾มีกำรจดั ตั้งศูนยแฝึกอำชีพชำวเขำขึ้น เมื่อส้ินสุดโครงกำรใน
ปี พ.ศ. 2525 ศูนยแพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำจังหวัดต฽ำง ๆ รวมทั้งศูนยแฝึก
อำชีพกไ็ ดด฾ ํำเนินงำนตอ฽ โดยจัดฝึกอบรมวิชำชีพแก฽ชำวเขำร฽ุนต฽อๆ มำ และเม่ือมี
กำรจัดต้ังโครงกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมบนท่ีสูงขึ้น ก็ได฾มีกำรจัดต้ังร฾ำนค฾ำ
หัตถกรรมชำวเขำขึ้น สํำหรับรับชื้อเสื้อผ฾ำและส่ิงของชำวเขำเพ่ือนํำมำขำยสู฽
ท฾องตลำดซึ่งปรำกฏว฽ำกํำลังเป็นที่นิยมอย฽ูในขณะนี้ ในกำรดํำเนินงำนน้ันทำงร฾ำน
จะเป็นผ฾ูออกแบบเสื้อผ฾ำและลวดลำยให฾ชำวเขำประดิษฐแแล฾วนํำมำขำยให฾กับทำง
ร฾ำน เพื่อจะได฾ขำยให฾กับลูกค฾ำต฽อไปปรำกฏว฽ำขณะนี้มีชำวเขำทํำอุตสำหกรรมใน
ครวั เรอื นจํำนวน 1,729 คน

มูลนิธิส฽งเสริมผลผลิตชำวเขำไทย จัดตั้งข้ึนเม่ือปี พ.ศ. 2512 โดย
กองบัญชำกำรตํำรวจตระเวนชำยแดน ขณะน้ีอย฽ูในอุปถัมภแของสมเด็จพระศรีนค
ริน ท ร ำ บ ร ม รำ ช ช น นี จุ ด ม฽ุ งห ม ำ ย ข อ ง มู ล นิ ธิ นี้ ก฾ เ พ่ื อ ส฽ง เ ส ริ ม ใ ห฾ ช ำ ว เ ข ำ รั ก ษ ำ
ศิลปหัตถกรรมประจํำเผ฽ำอันเป็นเอกลักษณแและกำรมีอำชีพรองเพ่ือจะได฾มีรำยได฾
เพิ่มข้ึน วิธีดํำเนินงำนก็ได฾กำรสนับสนุนทุนและอุปกรณแต฽ำงๆ ท่ีต฾องใช฾ในกำร
ทํำงำน ได฾จัดต้ังร฾ำนค฾ำชำวเขำข้ึน เพ่ือรับชื้อสินค฾ำจำกชำวเขำจํำพวกเสื้อผ฾ำและ
เคร่ืองเงนิ แล฾วนํำไปจำํ หนำ฽ ยทัง้ ในประเทศและตำ฽ งประเทศ รำ฾ นค฾ำของมูลนิธิมีอยู฽
สองแหง฽ คือ ท่จี ังหวัดเชียงใหม฽ และที่กรงุ เทพมหำนครในบริเวณวังสระประทุม

ตํำรวจตระเวนชำยแดน เป็นหน฽วยงำนแรกที่ทํำงำนเกี่ยวกับชำวเขำ โดย
ได฾ช฽วยเหลือสงเครำะหแชำวเขำที่อยู฽ห฽ำงไกลกำรคมนำคม และเห็นว฽ำผลิตภัณฑแ
เส้ือผ฾ำชำวเขำนั้นมีลวดลำยสวยงำม หำกได฾นํำมำจํำหน฽ำยแก฽คนพ้ืนรำบก็จะเป็น
กำรช฽วยเหลือชำวเขำให฾มีรำยได฾เพิ่มขึ้นอีกทำงหน่ึง จึงได฾จัดตั้งโครงกำรส฽งเสริม
ผลิตภัณฑแชำวเขำขึ้น เพ่ือรับช้ือสินค฾ำจำกชำวเขำและนํำมำส฽งให฾ร฾ำนมูลนิธิ
ส฽งเสรมิ ผลผลติ ชำวเขำไทย จำํ หน฽ำยต฽ออีกทอดหนึง่

กรมประชำสงเครำะหแ งำนพัฒนำชำวเขำท่ีดํำเนินมำตั้งแต฽ปี พ.ศ. 2499
น้ัน เป็นกำรสงเครำะหแในลักษณะกำรแก฾ไขปใญหำเฉพำะหน฾ำ สํำหรับชำวเขำที่
ได฾รับควำมเดอื ดร฾อนในดำ฾ นอำหำร ยำรกั ษำโรค เคร่ืองนุ฽งห฽มกันหนำว เป็นต฾น แต฽
ต฽อมำเม่ือรัฐบำลต฾องกำรให฾ชำวเขำอย฽ูเป็นหลักแหล฽ง เพ่ือจะได฾ง฽ำยต฽อกำรพัฒนำ
และกำรสงเครำะหแและเพ่ือปูองกันมิให฾ชำวเขำตัดไม฾ทํำลำยปุำเพ่ิมข้ึน จึงได฾มีกำร

-38-

เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ

จัดตง้ั นคิ มสรำ฾ งตนเองสงเครำะหแชำวเขำข้ึน 4 แห฽ง และดํำเนินกำรตำมแบบนิคม
สร฾ำงตนเองบนพ้ืนรำบ นับว฽ำเป็นคร้ังแรกที่มีกำรจัดแหล฽งที่อย฽ูอำศัยท่ีทํำกินถำวร
ให฾กับชำวเขำ แต฽กำรดํำเนินงำนคร้ังนั้นไม฽ประสบผลสํำเร็จ เน่ืองจำกชำวเขำไม฽
ต฾องกำรอย฽ูร฽วมกับคนต฽ำงเผ฽ำท่ีมีวัฒนธรรมประเพณี และภำษำแตกต฽ำงกัน ดังนั้น
จึงต฾องมีกำรเปล่ียนแปลงรูปแบบใหม฽เป็นกำรจัดต้ังศูนยแพัฒนำและสงเค รำะหแ
ชำวเขำแต฽ละเผ฽ำขึ้นและได฾จัดส฽งเจ฾ำหน฾ำที่เข฾ำไปอย฽ูประจํำ ซ่ึงปรำกฏว฽ำได฾ผล
กล฽ำวคือถำ฾ หม฽บู ฾ำนไหนท่ีมีเจ฾ำหน฾ำท่ีอย฽ูประจำํ ชำวเขำมักจะไม฽อพยพ แต฽ถ฾ำมีกำร
อพยพเกิดขึ้นก็มักเป็นลักษณะกำรอพยพของครัวเรือนไปอยู฽กับญำติพ่ีน฾องอีก
หมบู฽ ฾ำนหน่งึ แตจ฽ ะไมม฽ กี ำรอพยพทง้ั หม฽ูบ฾ำนเช฽นสมยั แรกๆ

ส฽วนชำวเขำท่ีอำศัยอย฽ูในพ้ืนท่ีโครงกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมบนท่ีสูง
ในพื้นท่ี 8 เขต ครอบคลุม 5 จังหวัดนั้น ปรำกฏว฽ำได฾มีกำรปรับปรุงพ้ืนที่ทํำกิน
ของชำวเขำ เพื่อสำมำรถปลูกพืชประจํำปี และพืชหมุนเวียนในบริเวณพ้ืนที่
2,109 ไร฽ โดยใช฾ระบบชลประทำนปลูกกำแฟ 990 ไร฽ ด฾วยทำงรำชกำรเห็นว฽ำ
พ้ืนที่เหล฽ำน้ีสำมำรถนํำมำใช฾ทํำกินได฾อีกอย฽ำงพอเพียง หำกมีกำรปรับปรุงสภำพ
ดินให฾ดีขึ้น ดังน้ัน จึงไม฽จํำเป็นต฾องไปจัดหำแหล฽งท่ีทํำกินแห฽งใหม฽ เพรำะจะเป็น
กำรทํำลำยปุำไม฾เพ่ิมข้ึน เมื่อชำวเขำมีที่ทํำกินถำวรอย฽ำงพอเพียง เช฽น มีนำดํำ
สวนผลไม฾ยืนต฾น และมีกำรปลูกพืชหมุนเวียน ปใญหำกำรอพยพและปใญหำกำร
ปลกู ฝน่ิ ก็จะลดลง รวมท้ังกำรทํำลำยทรพั ยำกรธรรมชำติก็จะนอ฾ ยลงเช฽นกนั

นอกจำกน้ี กรมประชำสงเครำะหแยังได฾เสนอโครงกำรจัดตั้งที่อย฽ูอำศัยและ
ที่ดินเพื่อกำรครองชีพแก฽ชำวเขำ ต฽อคณะกรรมกำรปูองกันอนุรักษแทรัพยำกรปุำไม฾
ซ่ึงมีรัฐมนตรีว฽ำกำรกระทรวงเกษตรและสหกรณแเป็นประธำน ท้ังนี้เพื่อต฾องกำรให฾
ชำวเขำต้ังถ่ินฐำนอย฽ำงถำวรและมีท่ีทํำกินอย฽ำงถูกต฾องตำมกฎหมำย จะได฾ไม฾ต฾อง
อพยพเคล่ือนยำ฾ ย ทัง้ ยงั เป็นกำรปูองกนั กำรอพยพเขำ฾ ของชำวเขำจำกนอกประเทศ
ทั้งนี้โดยคํำนึงถึงพื้นที่ที่มีปใญหำที่ต฾องจัดทํำก฽อน ได฾แก฽พื้นท่ีท่ีมีกำรปลูกฝ่ิน พื้นที่
ที่เป็นแหล฽งต฾นนํ้ำลํำธำร และพ้ืนที่ที่มีปใญหำต฽อควำมม่ันคงของประเทศ โดย
กํำหนดเปน็ รปู แบบในกำรดํำเนนิ งำนดงั น้ี

1. เปน็ หม฽ูบ฾ำนทชี่ ำวเขำมีท่ดี ินครอบครองอย฽ูแล฾ว แต฽ยังไม฽เพียงพอจึงควร
จัดท่ดี นิ ให฾พอกับกำรครองชีพของแต฽ละครอบครัว

-39-

เครือขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพันธ์ุ

2. จัดหม฽ูบ฾ำนชำวเขำรวมกันเป็นเขตพื้นที่ ซ่ึงมีลักษณะกำรจัดเขตพ้ืนท่ี
แบบเดยี วกนั กบั โครงกำรพัฒนำเศรษฐกจิ และสังคมบนทสี่ งู

3. เลือกหำท่ีเหมำะสม (พ้ืนท่ีท่ีมีควำมลำดชันน฾อย ปุำเส่ือมโทรม หรือ
พ้ืนทที่ ํำกินเดมิ ของชำวเขำ) แลว฾ ทํำกำรอพยพชำวเขำมำอยู฽รวมกันแบบนิคมสร฾ำง
ตนเอง และศนู ยอแ พยพชำวเขำดังกลำ฽ วแลว฾ ในตอนต฾น

นอกจำกกำรจัดที่ทํำกินของศูนยแพัฒนำและโครงกำรพัฒนำแล฾ว กรม
ประชำสงเครำะหแยังได฾ร฽วมมือกับอํำนวยกำรปูองกันและปรำบปรำมกำรกระทํำอัน
เป็นคอมมิวนิสตแ จัดให฾มีศูนยแอพยพชำวเขำข้ึน 5 แห฽ง คือที่จังหวัดน฽ำน ตำก
เพชรบูรณแ เชียงรำย และกํำแพงเพชรมีชำวเขำอยู฽ท้ังหมด 30,000 คน โดยที่
หน฽วยงำนท้ังสองแห฽งได฾ส฽งเจ฾ำหน฾ำท่ีออกไปอยู฽ประจํำและได฾จัดที่ทํำกินให฾แก฽
ชำวเขำ เพ่ือทํำกำรเพำะปลูก ปใจจุบันชำวเขำที่อำศัยอย฽ูในศูนยแฯ ท้ังสี่แห฽งน้ีมี
รำยได฾จำกกำรปลูกข฾ำวโพดขำยเป็นส฽วนใหญ฽

กรมพัฒนำทดี่ นิ ไดด฾ ํำเนนิ กำรจดั สรรทีด่ นิ ทํำกินให฾แก฽ชำวเขำ พร฾อมท้ังทํำ
กำรพัฒนำที่ดินทํำกินเก่ียวกับกำรอนุรักษแดินและน้ํำ ให฾มีกำรปรับปรุงดิน กำร
พัฒนำแหล฽งนํ้ำมีกำรชลประทำนบนภูเขำ กำรกํำหนดชนิดพืช กำรจัดระบบกำร
ปลูกพืช ตลอดจนกำรกํำหนดกำรใช฾ประโยชนแจำกที่ดินให฾ถูกต฾องเหมำะสมกับ
สมรรถนะของดิน ซ่ึงมีโครงกำรย฽อย ๆ อีก 8 โครงกำร มีพื้นท่ีดํำเนินงำนอย฽ูใน
จังหวัดเชียงใหม฽ เชยี งรำย ลำํ พนู น฽ำน และสุโขทัย

กรมปุำไม฾ ได฾จัดตั้งโครงกำรหม฽ูบ฾ำนหลวงพัฒนำชำวเขำข้ึน ที่โครงกำร
พัฒนำต฾นนํ้ำหน฽วยที่หน่ึงทุ฽งจ฿อ และหน฽วยที่สองห฾วยน้ํำดัง อํำเภอแม฽แตง จังหวัด
เชียงใหม฽ ให฾มีกำรอนุรักษแปุำไม฾ อนุรักษแดิน ปลูกปุำไม฾เพิ่มเติม กํำหนดให฾เป็นปุำ
ไม฾ใช฾สอย และได฾จัดท่ีดินที่เหมำะสมและเพียงพอสํำหรับที่อย฽ูอำศัยและที่ทํำกิน
ของชำวเขำ เพอ่ื ชำวเขำจะอย฽เู ปน็ หลักแหล฽งถำวร26

พ.ศ.2527 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให฾ดํำเนินกำรโครงกำรสํำรวจ
ประชำกรชำวเขำโดยสํำนักงำนสถติ ิแหง฽ ชำติ สํำนักงำนคณะกรรมกำรวิจัยแห฽งชำติ
กรมตํำรวจ กรมกำรปกครอง และกรมประชำสงเครำะหแ

พ.ศ.2528 – 2531 ภำครัฐดํำเนินกำรจัดทํำทะเบียนสํำรวจบัญชีบุคคลใน
บ฾ำน จัดรูปแบบกำรปกครองแบบรำชกำรโดยมีผ฾ูใหญ฽บ฾ำนเป็นผู฾นํำในหม฽ูบ฾ำน

26 กลุ฽มประสำนงำนจดั สวัสดิกำรแก฽ชุมชนบนพ้นื ทส่ี งู , อ฾ำงแล฾ว.

-40-

เครือขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาตพิ ันธุ์

หลำยครัวเรือนมที ะเบียนบำ฾ นและสมำชิกในครอบครัวได฾รับกำรลงสัญชำติไทยเพ่ิม
มำกขึ้น โดยใช฾รปู ถำ฽ ยและกำรพมิ พลแ ำยนว้ิ มือเป็นหลักฐำน

พ.ศ.2532 คณะรัฐมนตรีได฾มีมติเมื่อวันที่ 7 กุมภำพันธแ พ.ศ.2532 ให฾
รัฐบำลดํำเนินกำรตำมนโยบำยแก฾ไขควำมมั่นคงแห฽งชำติเก่ียวกับปใญหำชำวเขำ
และปลูกพืชเสพติดเน฾นกำรจัดทํำแผนแม฽บทรวมและใช฾เป็นกรอบนโยบำยและ
แผนงำนดํำเนินกำรโครงกำรเป็นเวลำ 4 ปี เพื่อให฾ครอบคลุมปใญหำทุกด฾ำนบน
พ้ืนที่สูง โดยกำรประสำนควำมร฽วมมือระหว฽ำงส฽วนรำชกำรต฽ำงๆ ที่เก่ียวข฾อง
นโยบำยน้เี น฾นกำรพฒั นำในดำ฾ นสำํ คญั 3 ด฾ำนคอื

1. ด฾ำนกำรเมืองกำรปกครอง ให฾มีกำรเร฽งรัด แยกประเภท จัดทํำทะเบียน
และออกบัตรประจํำวันประชำชนแก฽ชำวเขำ และพิจำรณำลงสัญชำติไทยใน
ทะเบียนแก฽ชำวเขำ โดยมีนโยบำยในกำรให฾ชำวเขำร฾ูจักสิทธิและหน฾ำท่ีของควำม
เป็นพลเมืองไทย และกํำหนดมำตรกำรสกัดก้ันกำรอพยพเข฾ำมำใหม฽ของชำวเขำ
จำกนอกประเทศ ลดและขจัดอิทธิพลของชนกล฽ุมน฾อยและพรรคคอมมิวนิสตแแห฽ง
ประเทศไทยในหมบู฽ ฾ำนชำวเขำ

2. ด฾ำนกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคม ให฾มีกำรยกระดับรำยได฾และพัฒนำ
คุณภำพชวี ิต โดยเน฾นหลักกำรพึง่ ตนเอง กำรอนรุ ักษแธรรมชำติ กำรต้ังถิ่นฐำนอย฽ำง
ถำวร โครงกำรส฽งเสริมให฾มีกำรปลูกพืชทดแทนกำรปลูกฝ่ิน กำรกระจำยบริกำร
กำรศึกษำและสำธำรณสุขข้ันพ้ืนฐำนให฾ครอบคลุมทุกพื้นท่ี เร฽งรัดกำรวำงแผน
ครอบครัว ส฽งเสริมกำรเผยแผศ฽ ำสนำพทุ ธ

3. ด฾ำนกำรอนุรักษแธรรมชำติ จัดให฾มีแผนกำรใช฾ท่ีดิน กํำหนดกฎหมำย
และระเบยี บของทำงรำชกำรในกำรอนรุ กั ษแทรัพยำกรธรรมชำติ

พ.ศ.2532 – 2534 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให฾กระทรวงมหำดไทย โดย
กรมกำรปกครอง ดํำเนินกำรตำมโครงกำรจัดทํำทะเบียนประวัติและบัตรประจํำตัว
บคุ คลบนพ้นื ที่สงู ในพน้ื ที่ 20 จังหวดั เรยี กกนั ว฽ำ “บัตรสีฟำู ”

พ.ศ.2535 เมื่อวันท่ี 11 กมุ ภำพนั ธแ พ.ศ.2535 คณะรัฐมนตรีมีมติแต฽งต้ัง
คณะอนุกรรมกำรเฉพำะกิจทํำแผนแม฽บทเพื่อกำรพัฒนำชุมชน ส่ิงแวดล฾อม และ
กำรควบคุมพืชเสพติดบนพื้นท่ีสูง เพื่อใช฾เป็นกรอบแผนแม฽บทและแผนงำน
ดํำเนินกำรโครงกำรในระหว฽ำงปี พ.ศ.2535 – 2539 โดยกํำหนดวัตถุประสงคแไว฾
อย฽ำงชัดเจน เช฽น เพ่ือให฾ชุมชนบนพื้นที่สูงได฾รับกำรจัดตั้งถ่ินฐำนและที่ทํำกินท่ี

-41-

เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลุ่มชาติพันธุ์

ถำวร เพ่ือยกระดับรำยได฾ของประชำกรเพื่อพัฒนำคุณภำพชีวิต เพ่ือให฾มีระบบกำร
อนุรักษแ กำรใช฾และกำรพัฒนำทรัพยำกรธรรมชำติ เพ่ือให฾เลิกปลูกฝิ่น และเน฾นให฾
ประชำกรชำวเขำให฾เข฾ำมำมีส฽วนร฽วมในกำรพัฒนำให฾มำกข้ึน และมีกำรออก
ระเบียบสํำนักทะเบียนกลำง กระทรวงมหำดไทย ว฽ำด฾วยกำรพิจำรณำลงรำยกำร
สัญชำตไิ ทยในทะเบียนบ฾ำนให฾แก฽ชำวไทยภูเขำ พ.ศ.2535 โดยอำศัยอํำนำจแห฽ง
พระรำชบัญญัติกำรทะเบียนรำษฎร พ.ศ.2534 กํำหนดเง่ือนไขของชำวไทยภูเขำ
ทีจ่ ะได฾รับกำรพจิ ำรณำลงรำยกำรสัญชำติไทย และเพมิ่ ช่อื เขำ฾ ทะเบียนบ฾ำน

พ.ศ.2538 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักกำรกำรใช฾กรมกำรปกครอง
กระทรวงมหำดไทย ดํำเนินกำรตำมโครงกำรพิจำรณำสถำนะคนต฽ำงด฾ำวแก฽ชำวเขำ
ที่อพยพเข฾ำมำในประเทศในพ้ืนท่ี 20 จังหวัด ตั้งแต฽ปี พ.ศ.2540 – 2544
ระเบียบน้ีทํำให฾ชำวเขำท่ีตกสํำรวจหรือท่ีกํำลังรอกำรพิจำรณำลงสัญชำติได฾รับกำร
พิจำรณำให฾สัญชำติเพม่ิ ขึน้

พ.ศ.2539 มีกำรจัดทํำแผนแม฽บทใหม฽ฉบับท่ี 2 เพ่ือใช฾เป็นแผนปฏิบัติ
งำนในระหว฽ำงปี พ.ศ.2540 – 2544 เพื่อใช฾เป็นแนวทำงในกำรกํำหนดกิจกรรม
ต฽ำงๆ แก฽หนว฽ ยงำนท่ีเข฾ำไปดํำเนินงำนพัฒนำบนพื้นที่สูงหลำยหน฽วยงำน ในแผน
แม฽บทฉบับท่ี 2 ได฾มีกำรกํำหนดองคแกรกำรบริหำรแผนแม฽บทฯ ในระดับต฽ำงๆ
เพมิ่ ข้ึนอีก คอื

1. องคแกรระดับชำติ ได฾แก฽ คณะกรรมกำรนโยบำยและอํำนวยกำรแก฾ไข
ปญใ หำควำมมั่นคงแห฽งชำติเกี่ยวกับชุมชน สิ่งแวดล฾อม และกำรควบคุมพืชเสพติด
บนพื้นทส่ี ูง (นอส.) มีนำยกรัฐมนตรเี ป็นประธำน

2. องคกแ รระดบั กระทรวง
3. องคแกรระดับภำค ได฾แก฽ คณะกรรมกำรศูนยแอํำนวยกำรประสำนงำน
แกไ฾ ขปใญหำชมุ ชน สิ่งแวดลอ฾ ม และกำรควบคุมยำเสพติดบนพื้นท่ีสูง กองทัพภำค
ที่ มีแมท฽ พั ภำคที่ 3 เปน็ ประธำน
4. องคกแ รระดับจงั หวัดและอํำเภอ
และในปีเดียวกัน กระทรวงมหำดไทยได฾ออกระเบียบสํำนักทะเบียนกลำง
ว฽ำด฾วยกำรพิจำรณำลงรำยกำรสัญชำติไทยในทะเบียนบ฾ำนให฾แก฽ชำวไทยภูเขำ
(ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2539 โดยเนน฾ ชำวเขำทเ่ี ข฾ำมำต้ังถิ่นฐำนต้ังแต฽เริ่มแรก เนื่องจำก

-42-

เครอื ข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกล่มุ ชาตพิ ันธุ์

มีชำวเขำที่หลบหนีมำจำกประเทศพม฽ำ ลำว และจีนสู฽ประเทศไทยและต฾องกำร
สญั ชำติไทยเป็นจํำนวนมำก

พ.ศ.2540 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงกำรสํำรวจและจัดทํำทะเบียน
ประวัติชุมชนบนพ้ืนที่สูง ในคร้ังนี้ให฾ออกบัตรประจํำตัว (บัตรสีเขียวขอบแดง)
ใหแ฾ กผ฽ ฾ทู ีย่ ังไมม฽ บี ัตรและมีคุณสมบัติครบถ฾วนตำมเกณฑแท่ีกำํ หนด

พ.ศ.2542 เกิดกำรชุมนุมเรียกร฾องสิทธิควำมเป็นพลเมืองไทยและสิทธิ
ชมุ ชนในกำรใชท฾ ่ดี ินเพอื่ ทํำกินและจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติตำมรัฐธรรมนูญฉบับ
พ.ศ.2540 ทำํ ใหร฾ ฐั บำลตอ฾ งเร฽งดํำเนินกำรแก฾ไขปใญหำเกี่ยวกับกำรให฾สัญชำติไทย
แก฽ชำวเขำเพ่อื ขอรบั บตั รประจํำตวั ประชำชนให฾รวดเร็วย่ิงข้ึน

พ.ศ.2543 กระทรวงมหำดไทยได฾ออกระเบียบสํำนักทะเบียนกลำงว฽ำด฾วย
กำรพิจำรณำลงรำยกำรสถำนะบุคคลในทะเบียนรำษฎรใหแ฾ กบ฽ ุคคลบนพน้ื ทีส่ งู

พ.ศ.2543 โดยเน฾นระเบียบขั้นตอนต฽ำงๆ ของทำงรำชกำรในกำรย่ืนขอ
และพิจำรณำกำรให฾สัญชำติไทย หลังจำกที่มีควำมสับสนและสลับซับซ฾อนในกำร
กํำหนดสถำนะว฽ำมีกลุ฽มชนใดบ฾ำงที่ควรได฾รับกำรพิจำรณำ ดังจะเห็นได฾ว฽ำใน
ระเบียบนี้ ชำวเขำหรือชำวไทยภูเขำมีสถำนะเป็นกลุ฽มคนกลุ฽มหน่ึงภำยใต฾คํำว฽ำ
“บคุ คลบนพนื้ ท่ีสงู ”27

27 ปนัดดำ บณุ ยสำระนัย, อำ฾ งแล฾ว, หน฾ำ139-145.

-43-

เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของกลุม่ ชาติพนั ธ์ุ

บทที่ 4

พระสงฆแกับกำรพฒั นำบนพ้นื ที่สงู

-44-

เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของกล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุ

ำรทํำงำนพัฒนำของคณะสงฆแในชุมชนพื้นท่ีสูงเร่ิมปรำกฏควำมชัดเจน
มำกข้ึนเม่ือปี พ.ศ.2507 โดยนำยประสิทธ์ิ ดิศวัฒนแ หัวหน฾ำกอง

กสงเครำะหแชำวเขำ กรมประชำสงเครำะหแได฾นํำแนวคิดกำรนํำพระสงฆแ

ไปพัฒนำชำวเขำไปปรึกษำหำรือกับพระธรรมกิตติโสภณ (สมเด็จพระพุทธชิน
วงศแ) เจ฾ำอำวำสวัดเบญจมบพิตร เจ฾ำคณะภำค 6 และประธำนอนุกรรมกำรสำขำ
วัฒนธรรมทำงจิตใจ ท฽ำนได฾มอบหมำยให฾พระศรีวิสุทธิวงศแ เป็นผู฾ประสำนงำนกับ
นำยประสิทธ์ิ ดิศวัฒนแ เพ่ือวำงหลักกำรเกี่ยวกับกำรดํำเนินงำนในรูปแบบ
ข้ันทดลองเสร็จแล฾วนํำโครงกำรเสนอกรมประชำสัมพันธแเพื่ออนุมัติในหลักกำร
และต฽อมำพระธรรมกิตติโสภณจึงได฾นํำโครงกำรน้ีเข฾ำสู฽ท่ีประชุมคณะอนุกรรมกำร
สำขำวัฒนธรรมทำงจิตใจและมหำเถรสมำคม

ค ณ ะ ผ฾ู เ ข฾ ำ ร฽ ว ม ร฽ ำ ง โ ค ร ง ก ำ ร ไ ด฾ ต้ั ง ช่ื อ พ ร ะ ภิ ก ษุ ที่ ไ ป ป ฏิ บั ติ ง ำ น เ ผ ย แ ผ฽
พระพุทธศำสนำแก฽ชำวเขำนี้วำ฽ “พระธรรมจำริก” โดยคณะผร฾ู ำ฽ งได฾ยึดถือพระพุทธ
ดํำรัสที่พระพุทธเจ฾ำได฾จัดส฽งพระสำวกรุ฽นแรกไปประกำศพระศำสนำ พระองคแได฾
ตรัสแก฽พระสำวกเหล฽ำนัน้ ว฽ำ “จรถ ภิกฺขเว จำริกํ พหุชนหิตำย พหุชนสุขำย โลกำ
นกุ มฺปำย ฯเปฯ เทเสถ ภิกขฺ เว ธมมฺ ํ” เปน็ อำทิ ซึง่ แปลควำมวำ฽ “ดูก่อนพระภิกษุ
ทง้ั หลาย เธอจงจารกิ ทอ่ งเที่ยวไป จงแสดงธรรมเพ่ือประโยชน์ เพ่ือความสุขแก่คน
หมู่มากเพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก” กรมประชำสัมพันธแไม฽ได฾มองว฽ำกำรจัดส฽งพระ
ธร ร ม จ ำริ กขึ้น ไป ป ฏิบั ติงำน อย฽ู ใ น ห ม฽ู บ฾ ำน ช ำ วเ ขำนั้ นเ ป็ น เ รื่ องของกำร เ ผย แ ผ฽
ศำสนำ แต฽มองเห็นกำรสร฾ำงควำมสัมพันธแทำงจิตใจกับชนกลุ฽มน฾อยเป็นสํำคัญ
กรมประชำสงเครำะหแจึงได฾นิมนตแพระภิกษุขึ้นไปปฏิบัติงำนตำมหมู฽บ฾ำนชำวเขำ
ซึ่งเป็นนโยบำยของรัฐบำลท่ีเน฾นควำมร฾ูสึกเป็นชำติเดียวกันกับคนไทย แต฽ผล
พลอยไดข฾ องพระสงฆแคือกำรประกำศศำสนำ

พ.ศ. 2508 นับว฽ำเป็นกำรเริ่มต฾นกำรเผยแผ฽พระพุทธศำสนำให฾แก฽กล฽ุม
ชำวเขำ ซ่ึงต้ังอำศัยอย฽ูบนภูเขำสูงในภำคเหนือและภำคตะวันตกของประเทศ
ภำยใต฾ชื่อโครงกำรว฽ำ “โครงกำรพระธรรมจำริก” คณะพระสงฆแที่ออกไปเผยแผ฽
ถูกเรียกว฽ำ “คณะพระธรรมจำริก”28

28 สถำบันวิจัยชำวเขำ. 30 ปีพระธรรมจำริก. (กรุงเทพมหำนคร: มูลนิธิเผยแพร฽พระพุทธศำสนำแก฽ชนถ่ิน
กันดำร 2532), หน฾ำ 59-61.

-45-


Click to View FlipBook Version