เครอื ข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพันธ์ุ
พระครูสมุห์วลั ลภ ฐิตสํวโร,ดร.
สาขาวชิ ารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตเชยี งใหม่
ข้อมลู ทางบรรณานกุ รมของหอสมดุ แหง่ ชาติ
เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของกลุ่มชาติพันธุ์
พระครูสมหุ ์วลั ลภ ฐติ สํวโร,ดร./เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย,
2564
188 หนา้ : ภาพประกอบ
1.ชาตพิ ันธุ์. 2.คณุ ภาพชีวิต. 3.พระนักพฒั นา
ISBN
ภาพประกอบ: พระสร้อย ชยานนโฺ ท, ณัฐพล แสนเมอื งมา
ออกแบบศิลป์: ภัชรบถ ฤทธ์ิเตม็
©ลิขสิทธิ์: มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตเชียงใหม่
ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200 โทร.053-278967
คํานํา
แนวทางปฏิบัติในการประยุกต์ใช้หลักพุทธธรรมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตท่ี
เหมาะสมกับกลุ่มชาติพันธ์ุบนพื้นท่ีสูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา เป็น
รายงานการติดตามผลดําเนินงานด้านส่ิงแวดล้อม เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว
สังคม ภาวะผู้สูงอายุ และการเรียนรู้วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธ์ุบนพ้ืนท่ีสูงของ
เครือข่ายพระนักพัฒนา เพื่อนําไปสู่การวิเคราะห์แนวปฏิบัติของเครือข่ายพระ
นักพัฒนา และกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธ์ุบนพ้ืนที่สูงของ
เครือข่ายพระนักพัฒนา ในการสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ของพื้นที่ต้นแบบ
(Model) ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่าย
พระนักพัฒนา และประเมินผลกระทบของพื้นท่ีต้นแบบ (Model) ในการพัฒนา
คุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา ในขั้นตอน
สุดท้าย คือ การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้นักวิจัยรุ่นใหม่ สําหรับนิสิตของมหาวิทยาลัย
ท่ีมีภูมิลําเนาอยู่พื้นท่ี ในชื่อโครงการว่า “วิจัยบัณฑิตคืนถิ่น” และจัดตั้งศูนย์การ
เรียนรู้นักวิจัยรุ่นใหม่ สําหรับพระบัณฑิตอาสาในโครงการฯ ในชื่อโครงการว่า
“วิจัยอาศรมบณั ฑติ ”
หนังสือเล่มน้ี มีวัตถุประสงค์เพ่ือเผยแพร่ ดําเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม
เศรษฐกิจ การท่องเท่ียว สังคม ภาวะผู้สูงอายุ และการเรียนรู้วัฒนธรรมของกลุ่ม
ชาติพันธ์ุบนพ้ืนที่สูงของเครือข่ายพระนักพัฒนา หวังเป็นอย่างย่ิงว่า เน้ือหาใน
หนังสือเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาเรียนรู้ของนิสิตนักศึกษาและผู้สนใจ
ตอ่ ไป
พระครสู มุห์วัลลภ ฐติ สํวโร,ดร.
มกราคม 2564
สารบญั
บทที่ 1 บทนํา 1
บทท่ี 2 บทบาทพระสงฆใ์ นการพัฒนาสงั คม 9
บทท่ี 3 ประสบการณก์ ารพัฒนาบนพื้นทส่ี ูงในประเทศ 21
บทที่ 4 พระสงฆ์กบั การพฒั นาบนพ้นื ท่สี ูง 44
บทที่ 5 การพัฒนาพน้ื ทสี่ งู ของเครอื ข่ายพระนกั พฒั นา 68
บทท่ี 6 บทสรุป 154
บรรณานกุ รม 151
เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพันธุ์
บทท่ี 1
บทนำํ
-1-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ิตของกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ
ในพื้นที่สูง คือพื้นที่บนภูเขำ หรือพื้นท่ีท่ีมีควำมสูงกวำระดับน้ํำทะเล 500
เมตรข้ึนไป หรือเป็นพ้ืนที่ท่ีอยูระหวำงภูเขำ ต้ังอยูหรือติดตอกับเขตพื้นที่ปุำ
ไม สวนใหญเป็นท่ีอยูของชำติพันธุแตำง ๆ และชนกลุมนอยตำงๆ โดยเป็น
ท่ีตั้งบำนเรือนและท่ีทํำมำหำกิน พ้ืนที่สูงสวนใหญตั้งอยูทำงตอนบนของประเทศ
ไทย ครอบคลุมพื้นท่ีประมำณ 93,690.85 ตร.กม. ประกอบดวย 9 จังหวัด คือ
เชียงรำย เชียงใหม แมฮองสอน ลํำพูน ลํำปำง แพร พะเยำ นำน อุตรดิตถแ มี
จํำนวนประชำกร 6,169,843 คน (รำยงำนสํำรวจประชำกร พ.ศ.2557) มีควำม
หนำแนนเฉล่ีย 66 คน/ตร.กม. พ้ืนที่ตั้งชุมชนสวนใหญยังเป็นพื้นที่ปุำตนนํ้ำลํำ
ธำร ประมำณรอ ยละ 88 ของหมบู ำนมกี ำรคมนำคมทคี่ อ นขำงทุรกันดำร
ในดำนสังคม ประชำกรบนพ้ืนท่ีสูงประกอบดวยชำติพันธุแท่ีเรียกวำชำวเขำ
9 เผำ คือ แมว เยำ มูเซอ ลีซอ อีกอ กะเหร่ียง ลัวะ ถิ่น และขมุ และชนกลุม
นอยอื่นๆ เชน เชน ผีตองเหลือง ปะหลอง ปำงตอง คะฉ่ิน ไทยใหญ มอญ จีน
ฮอ ฯลฯ ซึ่งจำกขอมูลกำรสํำรวจประชำกรชำวเขำเชิงลึกท้ัง 20 จังหวัดใน
ประเทศไทย (กองสงเครำะหแชำวเขำ กรมประชำสงเครำะหแ, 2551) พบวำ มี
จํำนวนประชำกร 964,916 คน 139,797 หลังคำเรอื น 3,829 หมูบำน/กลุมบำน
โดยสวนใหญอำศัยกระจำยอยูในจังหวัดภำคเหนือ 13 จังหวัด จํำนวน 851,282
คน หรือรอยละ 88.22 ของประชำกรชำวเขำท้ังประเทศ โดยจังหวัดเชียงใหม มี
ชำวเขำมำกที่สุด จำํ นวน 244,291 คน (รอยละ 25.31)
ภูมิภำคเอเชียอำคเนยแ (South-east Asia Region) ประกอบดวย 10
ประเทศ คอื ไทย พมำ ลำว กมั พชู ำ เวยี ดนำม มำเลเชีย อินโดนีเซีย บรูไน และ
ฟิลิปปินสแ กลุมประเทศเหลำน้ีนับวำมีควำมหลำกหลำยทำงวัฒนธรรม สังคม
เศรษฐกิจและกำรเมืองแหงหนึ่งของโลก เม่ือยอนกลับไปสูประวัติศำสตรแที่ผำนมำ
เร่ิมตนต้ังแตยุคลำอำณำนิคมโดยจักรวรรดิตะวันตก สงครำมโลกครั้งที่ 1 และ 2
ยุคสงครำมเย็นโดยสองข้ัวอํำนำจใหญคือสหรัฐอเมริกำและอดีตสหภำพโซเวียต สู
ยุคฟองสบูแตกจวบจนถึงปใจจุบัน ทำมกลำงกระแสกำรพัฒนำทำงเศรษฐกิจในยุค
โลกำภิวัตนแและกำรเคล่ือนตัวในโลกยุคเทคโนโลยีสำรสนเทศ เป็นสวนหน่ึงท่ี
ผลักดันประเทศไทยใหเขำสูกระแสกำรพัฒนำในฐำนะประเทศโลกที่ 3 และกำร
เขำ สูควำมรว มมือทำงเศรษฐกจิ ทง้ั ในระดบั ภูมิภำคและระดบั โลก
-2-
เครอื ขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชีวติ ของกลุ่มชาติพันธ์ุ
เนื่องจำกประเทศไทยมีชำยแดนติดตอกับหลำยประเทศในภูมิภำคหลำย
ประเทศ ไดแ ก พมำ ลำว กัมพูชำ และมำเลเชยี มีระยะทำงกวำ 2,000 กิโลเมตร
ซ่ึงทั้ง 4 ประเทศดังกลำวมีกำรดํำเนินนโยบำยทำงกำรเมืองและเศรษฐกิจท่ี
แตกตำงกันอยำงมำก ซ่ึงทํำใหกำรจัดควำมสัมพันธแในระดับภูมิภำคมีควำม
ยำกลำํ บำก โดยเฉพำะปใญหำเรอื่ งชนกลมุ นอ ย
ประเด็นที่เก่ียวเน่ืองกับโครงกำรพัฒนำทำงเศรษฐกิจในภูมิภำค ประเด็น
เ รื่ อ ง ช ำ ติ พั น ธุแ แ ล ะ ก ำ ร พั ฒ น ำ เ ป็ น ส ว น ห นึ่ ง ท่ี มั ก ถู ก ห ยิ บ ย ก เ ป็ น เ รื่ อ ง สํ ำ คั ญ
เน่ืองจำกปริมำณชนกลุมนอยในภูมิภำคท้ัง 5 ประเทศ คือ ไทย ลำว พมำ
กัมพูชำและเวียดนำม มจี ำํ นวนรวมกันถงึ 19.8 ลำ นคน1
ในกรณีประเทศไทย กำรสํำรวจประชำกรชนกลุมนอยในพ้ืนท่ีสูงหรือ
ชำวเขำอยำงเป็นทำงกำรครั้งแรกเกิดข้ึนเมื่อมีมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 24 เมษำยน
พ.ศ.2527 กํำหนดใหมีโครงกำรสํำรวจประชำกรชำวเขำ โดยสํำนักงำนสถิติ
แหงชำติ สํำนักงำนคณะกรรมกำรวิจัยแหงชำติ กรมตํำรวจ กรมกำรปกครองและ
กรมประชำสงเครำะหแ ระหวำงปี พ.ศ. 2528 – 2531 ปรำกฏวำมีประชำกร
ชำวเขำชำติพันธแุตำงๆ อำศัยอยูบนพ้ืนท่ีสูง ในพื้นที่ 20 จังหวัด จํำนวน 3,535
หมบู ำ น 95,838 ครวั เรือน 554,172 คน
หลังจำก พ.ศ. 2531 เป็นตนมำมีกำรสํำรวจเกิดข้ึนโดยกองสงเครำะหแ
ชำวเขำ ในปี พ.ศ. 2538 และ 2540 ซึ่งถือเป็นขอมูลกลำงใชอำงอิง และดวย
ชวงเวลำท่ีเปลี่ยนไปทํำใหขอมูลขำดควำมถูกตองเป็นปใจจุบัน กองสงเครำะหแ
ชำวเขำ กรมประชำสงเครำะหแ จึงดํำเนินกำรสํำรวจจัดเก็บและรวบรวม ขอมูล
ชุมชนและจํำนวนประชำกรบนพ้ืนท่ีสูง เพื่อจัดทํำทํำเนียบชุมชนบนพ้ืนท่ีสูงใน
ประเทศไทยปี 2545 ข้ึนไวเปน็ ฐำนขอ มูลทีถ่ ูกตอ งและเปน็ กลำงสำํ หรับหนวยงำน
และองคกแ รทั้งภำครฐั และเอกชน โดยไดน ิยำมควำมหมำยของคำํ ตำงๆ ไว ดงั นี้
ชุมชนบนพื้นที่สูง หมำยถึง ชุมชนที่ชำวเขำชำติพันธแุตำงๆ อยูอำศัยทํำ
กินไดแก กะเหร่ียง แมว เยำ มูเซอ ลีซอ อีกอ ลัวะ ถิ่น ขมุ และมลำบรี รวมทั้ง
พื้นท่ีที่ชนกลุมนอยอ่ืนๆ เชน ปะหลอง ตองสู จีนฮอ ไทยใหญ ไทยลื้อ คนไทย
พื้นรำบ ขน้ึ ไปอยูอำศยั ทํำกินในพน้ื ท่สี งู
1 ปนัดดำ บณุ ยสำระนยั . กลมุ ชำตพิ นั ธสุแ ว นนอ ยในภมู ภิ ำคเอเชยี อำคเนย,แ (เชยี งใหม: โชตนำพร้นิ จำํ กดั
2544), หนำ 22.
-3-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของกลุม่ ชาติพนั ธ์ุ
“พ้ืนท่ีสูง” ตำมระเบียบสํำนักทะเบียนกลำง กรมกำรปกครอง วำดวยกำร
พิจำรณำลงรำยกำรสถำนะบุคคลในทะเบียนรำษฎรใหแกบุคคลบนพ้ืนท่ีสูง พ.ศ.
2543 ใหค วำมหมำยไววำ พ้ืนท่ีท่ีเป็นทีอ่ ยูของชำวเขำเผำตำงๆ และชนกลุมนอย
หรือเป็นที่ตั้งบำนเรือนและที่ทํำกินท่ีมีควำมลำดชันโดยเฉลี่ยมำกกวำรอยละ 35
หรือมคี วำมสูงกวำ ระดับนํ้ำทะเล 500 เมตรข้ึนไป ในจังหวัดตำงๆ 20 จังหวัด คือ
จังหวัดกำญจนบุรี กํำแพงเพชร เชียงรำย เชียงใหม ตำก นำน ประจวบคีรีขันธแ
พะเยำ พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณแ แพร แมฮองสอน รำชบุรี เลย ลํำปำง
ลํำพูน สโุ ขทยั สพุ รรณบรุ ี และอทุ ยั ธำนี
หมูบำนทถ่ี กู ตอ งตำมกฎหมำย หมำยถึง หมูบำนชุมชนบนพื้นที่สูงท่ีจัดตั้ง
ถกู ตอ งตำมพระรำชบัญญัติลักษณะกำรปกครองทองท่ี พ.ศ. 2457
กลุมบำน หมำยถึง ชุมชนบนพื้นท่ีสูงซึ่งตั้งบำนเรือนอยูรวมกันเป็นกลุม
โดยไมไดรับกำรจัดต้ังเป็นหมูบำนถูกตองตำมกฎหมำย แตรวมอยูกับหมูบำนหลัก
ทถ่ี กู ตองตำมกฎหมำย โดยมีลักษณะกำรต้ังชุมชนตำงกันไปเป็น กลุมบำน หยอม
บำ น หรอื ปฺอกบำ น
ประเภทชุมชนบนพื้นทีส่ งู หมำยถึง กำรจํำแนกประเภทชุมชนบนพ้ืนที่สูง
โดยอำศยั ขอมูลทรัพยำกรดิน ขอมูลเศรษฐกจิ และสังคม นํำมำประเมินตำมเกณฑแ
แผนแมบทกำรพัฒนำชุมชน สิ่งแวดลอมและกำรควบคุมพืชเสพติดบนพ้ืนที่สูง
ฉบบั ท่ี 1 พ.ศ. 2535 - 2539 ดังน้ี
ชุมชนประเภทท่ี 1 เป็นชุมชนที่มีกำรจัดต้ังหมูบำนอยำงถำวร โดยมี
คณุ สมบัตทิ ่เี หมำะสม ดังนี้
1) เป็นชุมชนขนำดใหญที่มีขนำดประมำณ 50 หลังคำเรือนข้ึนไป (หรือ
ภำยในรัศมี 2 กิโลเมตร รวมกันแลวมำกกวำ 50 หลังคำเรือน) มีกำรตั้งบำนเรือน
ตลอดจนท่ีทํำกินในลักษณะม่ันคงถำวรในบริเวณ นั้นๆ โดยไมมีกำรอพยพ
เคลื่อนยำยไมต ่ำํ กวำ 20 ปี
2) ที่ดินมีควำมเหมำะสมทำงกำรเกษตรโดยพิจำรณำตำมหลักวิชำกำร
และหลกั กำรอนรุ กั ษแทรพั ยำกรธรรมชำติและส่งิ แวดลอม
3) อยนู อกเขตพ้นื ที่ลมุ นำํ้ ชั้นที่ 1 หรือเขตอุทยำนแหงชำติ หรือเขตรักษำ
พนั ธแุสตั วปแ ุำ หรอื เขตหำมลำสัตวแ
4) มหี นว ยงำนของรัฐเขำไปดํำเนินกำรอยำ งถำวรหรือตอ เนื่อง
-4-
เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของกล่มุ ชาติพนั ธ์ุ
5) มกี ำรคมนำคมโดยทำงรถยนตเแ ขำ ไปถงึ ท่อี ยูอำศยั
ชมุ ชนประเภทท่ี 2 เป็นชุมชนที่มีศักยภำพจะจัดต้ังเป็นหมูบำนถำวร โดย
มีคุณสมบตั ิท่เี หมำะสมดังน้ี
1) ชุมชนท่ีจัดตงั้ ตองไมเกดิ ผลเสียตอควำมม่ันคงแหงชำติดำนกำรปูองกัน
ประเทศ
2) เป็นชุมชนท่ีมขี นำดประมำณ 25-50 หลังคำเรือน (หรือภำยในรัศมี 2
กโิ ลเมตร รวมแลวประมำณ 25-50 หลังคำเรือน) ไมมีกำรอพยพเคลื่อนยำยไมตํ่ำ
กวำ 10 ปี หรือถำตํ่ำกวำ 10 ปี แตมีกำรสรำงบำนเรือนตลอดจนท่ีทํำกินใน
ลกั ษณะมั่นคงถำวรในบรเิ วณนน้ั ๆ
3) ดินมีควำมเหมำะสมทำงกำรเกษตร โดยพิจำรณำตำมหลักวิชำกำรและ
หลักกำรอนรุ กั ษแทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละสงิ่ แวดลอม
4) ลักษณะของชุมชนตองสอดคลองกับ พรบ. ลักษณะกำรปกครองทองท่ี
พ.ศ. 2457 และ พรบ. หมบู ำ นอำสำพฒั นำและปูองกนั ตนเอง พ.ศ. 2522
ชุมชนประเภทที่ 3 เป็นชุมชนท่ีไมมีศักยภำพที่จะต้ังเป็นหมูบำนถำวร
(ขำดคุณสมบัตขิ อ หน่งึ ขอ ใดของกลมุ 2)
ชุมชนประเภทท่ี 4 เป็นชุมชนท่ีจัดตั้งขึ้นเป็นพิเศษตำมนโยบำยของทำง
รำชกำร โดยไดร บั อนมุ ตั ิจำกคณะรฐั มนตรี
ชมุ ชนประเภทท่ี 5 หมำยถงึ กลมุ ท่ียงั ไมไ ดจํำแนกประเภทชมุ ชน
เขตพ้ืนที่ หมำยถึงขอบเขตกำรอยูอำศัย ทํำกินของชุมชนต้ังอยูในเขต
พ้ืนทท่ี ่ีรำชกำรกํำหนดเปน็ พ้ืนที่หวงหำมของทำงรำชกำร ดงั นี้
เขตท่ี 1 หมำยถงึ อยใู นเขตปำุ สงวนแหง ชำติ
เขตท่ี 2 หมำยถึง อยูในเขตอทุ ยำนแหง ชำติ
เขตท่ี 3 หมำยถึง อยใู นเขตรกั ษำพันธสแุ ตั วแปำุ
เขตที่ 4 หมำยถึง อยูในเขตหำมลำ สตั วแ
เขตท่ี 5 หมำยถงึ อยนู อกเขตปำุ / พน้ื ทก่ี นั ออก / เขตนิคมชำวเขำ
เขตท่ี 6 หมำยถึง อยใู นเขตปุำเตรยี มกำรสงวน
เขตที่ 7 หมำยถงึ อยใู นเขตพ้นื ทีส่ งวนรำชกำรทหำร
ชำติพันธุแ หมำยถึง กำรสืบทอดทำงสำยโลหิต เชื้อชำติ ภำษำ ควำมเช่ือ
วิถีกำรดํำรงชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ของกลุมชนใดกลุมชนหนึ่งต้ังแตอดีตถึง
-5-
เครอื ข่ายพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาติพนั ธ์ุ
ปใจจบุ ัน โดยท่ัวไปใชคํำวำ “เผำ” เพ่ือแยกกลุมชนท่ีแตกตำงกันอยำงชัดเจนออก
จำกกนั
ชำวเขำ หมำยถึง กลุมชนชำติสวนนอยท่ีอำศัยถำวรอยูในพ้ืนท่ีสูงและ
ทุรกันดำรของภำคเหนือ และตะวันตกเฉียงใตของประเทศไทย มีภำษำ คำนิยม
ควำมเชื่อ ประเพณีวัฒนธรรม แตกตำงจำกชำวไทยพื้นรำบ อำจจํำแนกไดโดย
จํำแนกตำมลักษณะควำมสัมพันธแทำงภำษำ จํำแนกไดดังนี้ กลุมภำษำมง-เยำ
ไดแก ชำวเขำชำติพันธุแ แมว เยำ กลุมภำษำทิเบต – พมำ ไดแก ชำวเขำชำติ
พันธแุ กะเหร่ียง ลีซอ มูเซอ และอักขำ (อีกอ) กลุมภำษำมอญ – เขมร ไดแก
ชำวเขำชำติพันธแุ ลัวะ ถน่ิ ขมุ
จํำแนกตำมลกั ษณะกำรตั้งถิน่ ฐำนท่อี ยูอำศัย จำํ แนกไดดังนี้
กลุมอำศัยอยูในท่ีตํ่ำหรือหุบเขำและทํำกำรเพำะปลูกแบบนำดํำและ ไร
หมนุ เวียนไดแ ก ชำวเขำชำติพันธแุกะเหรี่ยง ลวั ะ ถ่ินและขมุ
กลุมอำศัยอยูบนที่สูงหรือสันเขำ (ควำมสูงเฉล่ียประมำณ 1,000 เมตร
เหนือระดับ นำํ้ ทะเล) ไดแก ชำวเขำชำติพนั ธแุ แมว เยำ ลีซอ มเู ซอและอีกอ
“ชำวเขำ” ตำมระเบียบสํำนักทะเบียนกลำง กรมกำรปกครอง วำดวยกำร
พิจำรณำลงรำยกำรสถำนะบุคคลในทะเบียนรำษฎรใหแกบุคคลบนพื้นที่สูง พ.ศ.
2543 ใชคำํ วำ “ชำวไทยภเู ขำ” หมำยควำมวำ กลุมชำติพันธุแด้ังเดิมท่ีอำศัยทํำกิน
หรอื บรรพชนอำศยั ทำํ กินอยูบนพื้นท่ีสูงในรำชอำณำจักร ซึ่งมีวัฒนธรรม ประเพณี
ควำมเชอ่ื ภำษำและกำรดํำเนินชีวิต ท่ีมีเอกลักษณแเฉพำะตัว ประกอบดวย 9 ชำติ
พนั ธหุแ ลักคือ (1) กะเหรี่ยง หรือซ่ึงอำจเรียกวำ ปกำเกอะญอ (สกอวแ) โพลง(โปวแ)
ตองสู(ปะโอ) บะแก (บะเว) (2) มง หรือซึ่งอำจเรียกวำแมว (3) เม่ียน หรือซ่ึง
อำจเรียกวำ เยำ,อวิ้ เมี่ยน (4) อำขำ หรอื ซ่ึงอำจเรยี กวำอีกอ (5) ลำหู หรือซึ่งอำจ
เรียกวำ มูเซอ (6) ลีซู หรือซึ่งอำจเรียกวำ ลีซอ (7) ลัวะ หรือซึ่งอำจเรียกวำ
ละเวือะ ละวำ ถิ่น มัล ปรัย (8) ขมุ (9) มลำบรี หรือซ่ึงอำจเรียกวำ คน
ตองเหลือง
รำษฎรบนพื้นที่สูง คือ ประชำกรท่ีอำศัยอยูในชุมชนบนพ้ืนที่สูง ซึ่งกรม
พัฒนำสังคมและสวัสดิกำร จะ ไดใหบริกำรจำกศูนยแพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำ
-6-
เครือขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของกล่มุ ชาตพิ ันธ์ุ
14 แหง คือ จังหวัดกำญจนบุรี กํำแพงเพชร เชียงรำย เชียงใหม ตำก นำน
พะเยำ พษิ ณุโลก เพชรบรู ณแ แพร แมฮ องสอน ลํำปำง ลำํ พูน และอทุ ัยธำนี2
ตลอดเวลำท่ีผำ นมำ รฐั บำลไดใหควำมสํำคัญกับกำรพัฒนำพื้นที่สูงมำอยำง
ตอเนื่อง โดยในชวง พ.ศ.2498-2512 รัฐใหควำมสํำคัญในกำรแกไขปใญหำดำน
ควำมมั่นคงและดำนสวัสดิกำร ซึ่งหนวยงำนหลักท่ีดํำเนินกำร คือ ตํำรวจตระเวน
ชำยแดน และกรมประชำสงเครำะหแ และตอมำ พ.ศ.2512-2534 เนนกำรแกไข
ปใญหำกำรปลูกฝ่ิน ควบคูกับกำรแกไขปใญหำดำนควำมมั่นคงเป็นหลัก ตอมำจึง
เนนกำรพัฒนำในเชิงบูรณำกำรมำกข้ึน อยำงไรก็ตำม ปใจจุบันพ้ืนท่ีสูงยังคงมี
ปญใ หำที่จํำเปน็ ในกำรแกไขหลำยประกำร อำจจํำแนกสรุปไดด งั น้ี
(1) ปใญหำกำรทำํ ลำยทรพั ยำกรธรรมชำติ จำกกำรแผวถำงพ้ืนที่ทํำกินใหม
ทํำใหเกิดกำรบุกรุกพ้ืนท่ีปุำเพ่ิมขึ้น ทํำใหเกิดควำมขัดแ ยงในกำรใช
ทรัพยำกรธรรมชำติระหวำงชมุ ชนบนพนื้ ท่ตี น น้ำํ และพนื้ ทท่ี ำยน้ํำ รัฐและชำวบำ น
(2) ปใญหำควำมยำกจน (จำกกำรสํำรวจของมหำวิทยำลัยเชียงใหม ,
2547) พบวำ เกษตรกรทั่วไปมีรำยไดเฉล่ียเพียงปีละ 31,126 บำทตอครัวเรือน
ซ่ึงตํ่ำกวำคำเฉลี่ยรำยไดของเกษตรกรในภำคเหนือกวำเทำตัว (69,373 บำทตอ
ครัวเรอื นตอปี)
(3) ปใญหำกำรเกษตรท่ีใชสำรเคมี ทํำใหเกิดกำรปนเป้ือน และสงผล
กระทบตอระบบทรัพยำกรนํ้ำและผูท่ีอยูอำศัยบนพื้นรำบ และสงผลกระทบถึง
พื้นดินเสื่อมโทรม โดยเฉพำะในระบบกำรทํำกำรเกษตรแบบตัดและเผำ ผนวกกับ
ควำมลำดชัน ทำํ ใหห นำ ดนิ ทอ่ี ดุ มสมบรู ณแถูกชะลำง
(4) ปใญหำผูสูงอำยุขำดผูดูแล เนื่องจำกกำรอพยพของประชำกรแรงงำน
ไปประกอบอำชีพในเมืองมำกข้นึ ทํำใหขำดแคลนแรงงำนในชุมชน
(5) ปใญหำสูญเสียอัตลักษณแทำงดำนชำติพันธแุ สังคมและวัฒนธรรมใน
อนำคต เนอื่ งจำกปใจจบุ ันสังคมของชมุ ชนชำวเขำเปิดสูสงั คมภำยนอกมำกข้ึน กำร
แพรระบำดของยำเสพติด โรคเอดสแ รวมทั้งปใญหำดำนควำมม่ันคงตำมแนว
ชำยแดน
2กรมพัฒนำสงั คมและสวสั ดิกำร, รำษฎรบนพนื้ ทีส่ งู , [Online]. Available:
http://www.dsdw2016.dsdw.go.th/page.php?module=service&pg=servicedetail&ser_id=2
[14 มกรำคม 2561].
-7-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธ์ุ
ปใญหำเหลำนี้เป็นปใญหำที่เป็นอยูและเร้ือรังมำนำน อีกท้ังปใจจุบันยังมี
ปใญหำเกิดใหมอีกมำก จึงจํำเป็นตองมีกำรวำงแผนในกำรแกไขและพัฒนำอยำง
เรงดวน ดังนั้น ในฐำนะที่มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย วิทยำเขต
เชียงใหม ไดตระหนักถึงพันธกิจในกำรบริกำรวิชำกำรแกสังคมและภำรกิจในกำร
สรำงประโยชนแเก้ือกูลตอสังคมไปสูชนทุกระดับช้ัน จึงตระหนักเห็นถึงปใญหำของ
กลุมชำติพันธุแบนพื้นท่ีสูง จึงไดจัดต้ังโครงกำรพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำข้ึน
ตั้งแตปี พ.ศ.2543 เป็นตนมำ โดยมีเปูำหมำยหลัก คือ กำรนํำพระบัณฑิตอำสำ
ไปปฏิบัติศำสนกิจบนพ้ืนท่ีสูง จำกกำรคัดเลือกนิสิตจำกมหำวิทยำลัยมหำจุฬำลง
กรณรำชวิทยำลัย วิทยำเขตตำง ๆ ท่ีอำสำสมัครมำเป็นพระบัณฑิตนักพัฒนำบน
พ้ืนที่สูงในเขตทุรกันดำร โดยมีกระบวนกำรทํำงำนท่ีเนนควำมตอเน่ืองม่ันคงและ
กำรทํำงำนแบบเชิงรุกมำกกวำเชิงรับ กระจำยตัวอยูในหมูบำนชำวเขำในเขต
ภำคเหนือตอนบน ไดแก จังหวัดเชียงใหม ลํำปำง แมฮองสอน ลํำพูน เชียงรำย
แพร นำน ตำก และพะเยำ
จำกกำรดำํ เนนิ งำนของโครงกำรพระบัณฑิตอำสำฯ ที่ผำนมำ ทํำใหองคแกร
ในชุมชน ทัง้ หนว ยงำนรำชกำรใหกำรตอบรับและใหควำมรว มมือในกำรทํำงำนเป็น
อยำ งดี โดยเฉพำะกำรพฒั นำคุณภำพชีวิตของกลุมชำติพันธแุบนพ้ืนท่ีสูง เพรำะกำร
ทํำงำนมกี ำรประสำนควำมสัมพันธแอยำงใกลชิด ใชหลักพุทธธรรมเป็นเคร่ืองมือใน
กำรพัฒนำผำนกิจกรรมพัฒนำที่หลำกหลำย ทํำใหอำศรมพระบัณฑิตอำสำฯ เป็น
จดุ ศนู ยรแ วมทำงจติ ใจและเป็นแหลงเรียนรูของชำวบำน รวมไปถึงกำรมีสวนในกำร
ยกระดบั กำรศึกษำของเยำวชนในหมูบำ นใหดีขนึ้ และมีกิจกรรมท่ีมุงหวังใหบัณฑิต
นํำควำมรูท ่ไี ดร บั กลับไปพฒั นำหมูบำนของตนเอง ในปใจจุบัน มีหมูบำนท่ีตองกำร
พระบัณฑิตอำสำฯ ในเขตภำคเหนือตอนบน โดยเฉพำะตำมรอยตะเข็บชำยแดน
มำกกวำ 100 หมูบ ำ น จำกกำรประสำนควำมรว มมอื กับกองทพั ภำคท่ี 3 กองกํำลัง
ผำเมือง กองกํำกบั กำรตำํ รวจตระเวนชำยแดนที่ 33 และองคแกรภำคีตำ งๆ
-8-
เครอื ขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ
บทท่ี 2
บทบำทพระสงฆแในกำรพฒั นำสงั คม
-9-
เครือข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกล่มุ ชาติพันธุ์
ศ ำสนำไดรับกำรยอมรับนับถือจำกมนุษยแเพียงใดก็อยูที่วำศำสนำยังมี
ประโยชนแชวยสนองควำมตองกำรของมนุษยแในกำรแกไขปใญหำของพวก
เขำไดม ำกเพียงใด ขอน้หี มำยควำมวำ กำรดํำรงอยเู จริญขึน้ หรือเสื่อมลงหรือสิ้นไป
ของศำสนำข้ึนอยูกับประโยชนแท่ีมีตอสังคมเป็นสํำคัญ3 ลักษณะควำมสัมพันธแ
ระหวำงมนุษยกแ บั ศำสนำ หรือระหวำงควำมสัมพันธแระหวำงสังคมกับศำสนำเชนนี้
เป็นควำมสัมพันธแเชิงโครงสรำงหนำที่ ซึ่งแตละองคแประกอบหรือแตละสถำบันที่
ประกอบข้ึนเป็นโครงสรำงสังคม จะตองทํำหนำที่ของตนทั้งในภำวะท่ีพึงกระทํำ
ไปตำมปกติวิสัยและในภำวะที่ตองยึดหยุนหรือปรับตัวใหเขำกับสภำพควำม
เปลี่ยนแปลงท่ีเกิด ข้ึนท้ังภำยในและภำยนอก โครงสรำงสังคมเพ่ือกำรรักษำ
สังคมโดยสว นรวมใหคงอยไู ดและเป็นไปเพือ่ กำรจดั ระเบียบสงั คมใหม ัน่ คง
พระพุทธศำสนำก็อยูในฐำนะสถำบันหนึ่งในสังคมไทย และมีควำม
เกี่ยวของสัมพันธแกับชีวิตของคนไทย และควำมมั่นคงของสังคมไทยอยำงแนบ
แนน พุทธศำสนำเป็นสถำบันสังคมที่มีควำมหมำยและเป็นสัญลักษณแควำมเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชำติ เป็นท่ีมำและถำยทอดวัฒนธรรมและ
ขนบธรรมเนียมประเพณีของชำติ ซ่ึงกลำวโดยสรุปถึงบทบำทหนำท่ีของพุทธ
ศำสนำตอ สังคมไทยไดดงั น้ี4
1. พระพุทธศำสนำทํำหนำท่ีเป็นพลังท่ีสรำงสรรคแบูรณำกำรของสังคม
เปน็ สถำบนั ที่ถำยทอดและปลูกฝใงวัฒนธรรม และจริยธรรมทำงสังคม กอใหเกิด
ควำมรสู ึกรวมเป็นอันหนง่ึ อันเดยี วกันทำงวฒั นธรรมและควำมรสู ึกเปน็ ชำติ
2. พระพุทธศำสนำมีอิทธิพลตอทัศนคติของคำนิยม และมีบทบำทสํำคัญ
ในกำรกํำหนดทิศทำงควำมสัมพันธแ และกำรกระทํำตอกันระหวำงสมำชิกในสังคม
ตลอดจนหนำ ทเ่ี ปน็ กลไกคอบควบคุมพฤติกรรมของสมำชกิ ในสงั คมอกี ดว ย
3. พระพุทธศำสนำไมเพียงจะมีหลักกำรเกี่ยวกับธรรมชำติและปใญหำทำง
ศีลธรรมเทำน้ันแตยังเก่ียวของกับกำรเทำเทียมในโอกำสทำงสังคมและควำม
ยุติธรรมเพือ่ ประโยชนแสขุ ของมวลชนทัง้ หมำย
3 พระรำชวรมุนี, บทบำทใหมของสถำบันสงฆ,แ (กรุงเทพมหำนคร : มลู นิธิโกมลคีมทอง, 2527), หนำ 224.
4 สมบูรณแ สุขสํำรำญ และ พลศักด์ิ จิระไกรศิริ, พระพุทธศำสนำ: พระสงฆแกับวิถีชีวิตสังคมไทย,
(กรงุ เทพมหำนคร : สํำนักงำนเสรมิ สรำ งเอกลักษณแแ หงชำติ, 2526), หนำ 7- 8.
-10-
เครือขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลุ่มชาติพนั ธ์ุ
ก ำ ร นํ ำ แ น ว คิ ด พุ ท ธ ศ ำ ส น ำ กั บ สั ง ค ม ไ ท ย ม ำ ใ ช เ พื่ อ ก ำ ร อ ธิ บ ำ ย ถึ ง
ควำมสัมพันธแระหวำงพระพุทธศำสนำตอสังคมไทย ท่ีมีพระสงฆแและวัดเป็น
สัญลกั ษณแของพระพุทธศำสนำ โดยเฉพำะพระสงฆแ ซ่ึงถือเป็นกำรจํำลองอุดมคติ
ของพระพุทธศำสนำออกมำในรูปวิถีและบุคคล ดังน้ันเม่ือสังคมเกิดกำร
เปล่ียนแปลงท้ังในเชิงบวกและเชิงลบท่ีสงผลกระทบตอวิถีชีวิตผูคนในสังคม
พระสงฆแจึงจํำเป็นตองมีบทบำทในกำรจรรโลงและชวยเหลือสังคมในลักษณะตำง
ๆ ซ่ึงเป็นกำรปรับประยุกตแวิธีกำรอบรมกลอมเกลำคนใหดํำรงตนตำมกรอบคํำ
สอนทำงพระพทุ ธศำสนำ
บทบำทพระสงฆใแ นสังคมไทย
คำํ ส่ังสอนในพระพุทธศำสนำท้ังฝุำยธรรมและฝุำยวินัย ไดกํำหนดใชชีวิต
ของพระสงฆแเกี่ยวเนื่องและผูกพันอยูกับสังคมโดยพ้ืนฐำนเดียวกัน ซ่ึงอำจแยกได
เป็น 2 สวนคือควำมสัมพันธแภำยในสังคมสงฆแระหวำงพระสงฆแดวยกันเอง ดัง
จะปรำกฏจำกบทบัญญัติตำงๆ ในวินัยของพระสงฆแท่ีมีกำรอยูรวมกันเป็นวัด
กำรกำํ หนดเขตสิมำอโุ บสถ กำรปวำรณำ กำรกรำนกฐนิ พุทธบัญญัติท่ีทํำใหสงฆแ
เป็นใหญในกิจกำรตำงๆ ซ่ึงไดเรียกวำ สังฆกรรม มีกำรอุปสมบท กำรระงับ
อธิกรณแ และขอกํำหนดเกี่ยวกับควำมสัมพันธแระหวำงบุคคลมีกำรเคำรพกันตำม
อำวุโส ฯลฯ สวนดำนควำมสัมพันธแกับคฤหัสถแ พระสงฆแถูกกํำหนดใหฝำกชีวิต
ควำมเป็นอยูไวกับคฤหัสถแเร่ิมต้ังแตอำหำรซึ่งพระสงฆแเป็นอยูดวยกำรบิณฑบำต
คืออำหำรท่ีคฤหัสถแถวำย ตลอดจนถึงปใจจัย 4 อยำงอื่น ๆ และกำรเป็นอยูท่ี
ตอ งอำศยั คฤหัสถแเป็นประจำํ เป็นขอบังคับในตัวใหชีวิตของพระสงฆแผูกพันอยูกับ
สังคมคฤหัสถแ ควำมผูกพันนี้มิไดกํำหนดแตในฝุำยวินัยอยำงเดียวเทำน้ันแม
ในทำงธรรมก็มพี ุทธพจนแตรัสสอนและเตือนใหพระสงฆแระลึกเสมอ ในภำวะนี้เพ่ือ
กอใหเกิดควำมสํำนึกในกำร ปฏิบัติและหนำท่ีควำมรับผิดชอบของตน5 โดยนัยน้ี
พระสงฆแจึงมีหนำท่ีจะตองชวยเหลือผูอื่นใหพนจำกควำมทุกขแดวยอำศัยเมตตำและ
กรุณำธรรม
อีกท้ังพระวินัย ยังไดบัญญัติกำรรักษำควำมสัมพันธแระหวำงพระสงฆแกับ
ประชำชนใหอยูในสถำนภำพที่ถูกตองและม่ันคง ใหสถำบันสงฆแอยูอยำงมีเกียรติ
5 พระรำชวรมนุ ี, บทบำทใหมข องสถำบันสงฆแ, อำ งแลว, หนำ 18-19.
-11-
เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ิตของกลุ่มชาติพันธุ์
เป็นที่เคำรพเทิดทูน ทํำกำรอนุเครำะหแประชำชนดวยคุณธรรมหวังประโยชนแสุข
แกประชำชนแทจริงไมใชเพ่ืออำมิสหรือกลำยเป็นกำรคลุกคลีกับคฤหัสถแ ท้ังยังได
บัญญัติลงโทษแกผูทํำลำยควำมสัมพันธแอันดีระหวำงพระภิกษุและคฤหัสถแ เชน
ใหสงฆแพิจำรณำลงสำรณียกรรมแกภิกษุผูทํำควำมผิดแกคฤหัสถแ ฯลฯ ดังนั้น
หนำที่ควำมผูกพันทำงสังคมของพระสงฆแจึงเกิดจำกองคแประกอบ 3 ประกำร
คือ
1. กำรดำํ รงชีวิตของพระสงฆแตองอำศยั ปจใ จัย 4 ทช่ี ำวบำนถวำย
2. สภำวะและเหตกุ ำรณใแ นสงั คม ยอ มมีผลเกย่ี วของกบั กำรบํำเพ็ญสมณะ
ธรรม
3. โดยคุณธรรม คือ เมตตำ กรณุ ำ จะตองชว ยเหลอื ใหผ ูอนื่ พน ทกุ ขแ
ดวยพระวินัยดังกลำว ไดชี้ใหเห็นถึงบทบำทของสงฆแดำนกำรสงเครำะหแ
พัฒนำสังคม แตอยำงไรก็ตำม ยังคงมีควำมเห็นที่แตกตำงตอบทบำททำงสังคม
ของสงฆแ ดังเชน ผลของกำรศึกษำคนควำของ สุภำพรรณ ณ บำงชำง ท่ี
พบวำ มีควำมคิดเห็นเกี่ยวกับบทบำทของพระสงฆแในกำรพัฒนำชนบทแตกตำง
กันอยำงนอยเป็น 2 ทำง คือ ควำมคิดเห็นในเชิงสนับสนุนบทบำทำงสังคมของ
พระสงฆแ ทเี่ หน็ วำ ในสภำพสังคมปใจจบุ ัน พระพุทธศำสนำควรจะหันมำสนใจกำร
พัฒนำสังคม โดยเฉพำะสังคมชนบทซึ่งมีปใญหำเร่ืองควำมยำกจนและควำม
เจ็บปุวย อันเป็นปใญหำเรงดวนท่ีตองกำรแกไขปรับปรุง พระภิกษุสงฆแจึงควรหัน
มำสนใจในบทบำทกำรพัฒนำในแนวน้ีใหมำกข้ึน สวนเรื่องของจิตใจ ถำพระมัว
สนใจเรื่องเหลำน้ีเพียงอยำงเดียว ก็จะไมทันตอควำมทุกขแท่ีชำวบำนประสบอยู
ผลของแนวคิดเชนนี้ ทํำใหเกิดกระบวนกำรสนับสนุน สงเสริมใหพระสำมำรถ
พัฒนำชนบทในดำนวตั ถไุ ด เชน มีกำรจัดโครงกำรอบรมพระเพื่อสงเสริมสัมมำชีพ
โครงกำรอบรมพระหมอ เป็นตน6 ตัวอยำงแนวคิดน้ี เชน ในคันฉองสองศำสนำ
สลุ ักษณแ ศิวลกั ษณแ ไดแ สดงควำมเห็นวำ “… ควรจะมกี ำรอบรมพระภิกษุสงฆแให
มีควำมรูควำมเขำใจสภำพสังคม เนนหนักไปในทำงควำมเป็นผูนํำ รูจัก
ศิลปวัฒนธรรม นโยบำยกำรบริหำรประเทศและควำมรูในกำรพัฒนำสังคม
เพื่อใหทำนรูเทำทันสังคมแบบใหม ใหทำนรูจักกำรนํำควำมรูใหม ๆ ไป
6 สุภำพรรณ ณ บำงชำ ง, กำรประยุกตแหลกั พทุ ธธรรมมำใชในกำรพฒั นำชำวชนบท, (กรุงเทพมหำนคร :
จุฬำลงกรณมแ หำวทิ ยำลยั , 2527), หนำ 18.
-12-
เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ
ประยุกตแใช เชน ทำนอํำนำจแนะนํำผูใหญบำนไดวำ อํำเภอไหนมีปุยแจกฟรี
บำงจะไดเรียกรองเอำมำใหชำวบำนแทนที่จะใหนำยอํำเภอบำงคนหำเศษหำเลย
ดวยกำรขำยเอำเงินเขำกระเปำอีกตอหนึ่ง ทำนอำจเรียนรูวิธีกำรปฐมพยำบำล
นอกเหนือจำกกำรใชยำกลำงบำนอนั ทำ นชํำนำญอยูแลว …”
สวนควำมคิดเห็นอีกแนวหนึ่ง ไมเห็นดวยเกี่ยวกับบทบำทของพระภิกษุ
สงฆแในกำรพัฒนำสังคมดำนวัตถุ ตัวอยำงแนวคิดของทำนพุทธทำสที่วำ “…พระ
ไมควรรวมมือเกี่ยวกับงำนสังคมสงเครำะหแ หรือกำรพัฒนำอะไรของประชำชน
โดยตรง เพรำะมนั เปน็ เร่ืองซ้ำํ รอยบำง เปน็ เรื่องเอำมะพรำวไปขำยสวนบำง พระ
จะไปเกี่ยวของกับประชำชนเหลำน้ีไดในฝุำยที่ทํำใหประชำชนเหลำนี้ มีควำม
เจริญกำวหนำและปลอดภัยในทำงจิตวิญญำณ ประคับประคองในดำนจิติวิญญำณ
เสมอไมใชไ ปรว มงำนกำรอะไร ในกำรไปชวยสรำงวัตถุชำวบำนเสียเอง แตไปเป็น
ผูพิทักษแชำวบำนไมใหเกิดควำมทุกขแรอน ควำมโง ควำมหลง ในกำรประกอบกำร
งำนของตน…”
พระรำชวรมุนี ไดเคยวิเครำะหแแนวคิด 2 ทำงน้ี ในลักษณะที่ประสำน
ควำมคิด 2 แนวขำงตน กลำวคือ บทบำทของพระสงฆแในฐำนะผูนํำชุมชนนั้น
อำจกลำ วไดวำ มบี ทบำทเปน็ 2 ทำง คอื
1. บทบำทหลัก หรือบทบำทโดยตรงของพระภิกษุสงฆแ คือ กำรเป็น
ผนู ํำชมุ ชนในทำงดำนจติ ใจ เสริมศีลธรรม สติปใญญำท่ีถูกตองแกชุมชน บทบำท
นี้เป็นบทบำทสํำคัญยิ่ง เป็นรำกฐำนของควำมเจริญควำมสุขของสังคมอยำง
แทจริง สังคมไทยทุกวันน้ีมีปใญหำเร่ืองศำสนำ ศีลธรรมมำกและบทบำทหลัก
ของพระภิกษุกเ็ ปน็ งำนหนกั และยำกย่งิ หำกวำมีคณุ คำอยำ งลน เหลือ
2. บทบำทรอง ในบำงกรณีอำจมีบทบำทอื่นท่ีพระภิกษุสงฆแอำจจํำเป็น
และเก่ียวของ เชน ในฐำนะท่ีพระเป็นผูที่ไดรับควำมศรัทธำจำกชำวบำน อำจ
แนะนํำประชำชนในทองถิ่นใหเห็นลูทำงของกำรพัฒนำดำนวัตถุอำจใหท่ีวัดเป็น
สถำนท่ีรวมกลุม เป็นตน เพรำะตองยอมรับวำในสังคมไทย วัดนอกจำกจะเป็น
ที่สงเสริมทำงดำนจิตใจแลว บำงครั้งยังเป็นสถำนพยำบำลรักษำผูเจ็บปุวย เป็น
สถำนสงเครำะหแท่ีคนยำกจนมำอำศัยเลี้ยงชีวิตและศึกษำเลำเรียน เป็นที่พักคน
เดินทำง เป็นสโมสรใหชำวบำนมำพบปะกันเป็นสถำนที่จัดเทศกำล เป็นที่ไกล
เกลี่ยขอพิพำท เป็นที่ใชรักษำปใญหำชีวิตของประชำชน เป็นศูนยแกลำงกำร
-13-
เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ิตของกลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ
บรหิ ำรหรอื กำรปกครองท่ีกํำนันผูใหญบำนจะเรียกลูกบำนมำประชุมชน บอกแจง
กิจกรรมตำง ๆ อยำงไรก็ตำม พระภิกษุตองแยกใหถูกวำอะไรเป็นบทบำทหลัก
อะไรเป็นบทบำทรอง และกำรดํำเนินบทบำทรองก็ควรใหควำมสัมพันธแกับ
เปูำหมำยหลักกิจกรรมทั้งหมดในกำรพัฒนำจึงจะไมนอกลูนอกทำงท่ีพระภิกษุพึง
กระทำํ 7
สํำหรับแนวคิดเร่ืองบทบำทของพระสงฆแในสังคมไทยไดนํำมำใชเพ่ือ
อธิบำยถึงแนวคดิ รปู แบบวธิ กี ำรและปใจจัยสนับสนนุ กำรแสดงบทบำทพัฒนำสังคม
ของพระสงฆแนกั พัฒนำ
แนวคดิ กำรพัฒนำตำมแนวพทุ ธธรรม
ดวยควำมจริงแทวำ พระพุทธศำสนำเป็นศำสนำแหงกำรกระทํำ เป็น
ศำสนำแหงควำมเพียรพยำยำม ไมใชศำสนำแหงกำรออนวอน รองขอ เป็น
ศำสนำที่สอนแตควำมจริงที่เป็นประโยชนแ และเป็นสิ่งท่ีปฏิบัติกันไดในปใจจุบัน
และกำรสอนของสมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจำ มุงผลในทำงปฏิบัติเพื่อควำมดับ
ทุกขแ มิใชเป็นคํำสอนท่ีนอนนิ่งอยูแตในทฤษฎี ดังนั้นกำรนํำหลักคํำสอนทำง
พุทธศำสนำไปปรับใชเพื่อกำรพัฒนำคน จึงตองมีกำรศึกษำและทํำควำมเขำใจให
ถอ งแทเพือ่ กำรนำํ ไปใชอยำงเหมำะสม ดังเชน
สุภำพรรณ ณ บำงชำง และคณะ กลำววำเปูำหมำยกำรพัฒนำศำสนำ
ศลี ธรรม คอื กำรสรำงคนในชุมชนใหมคี ณุ ภำพชีวติ ดำ นจติ ใจและพฤติกรรมท่ีมี
ลักษณะเปน็ สขุ หรือลดละควำมทกุ ขแ และสำมำรถนํำเอำคุณภำพสวนน้ันไปสรำง
คุณภำพดำนอื่นของท้ังตนเองและของคนในชุมชนใหเกิดกำรอยูรวมกันดวย
ควำมสขุ สนั ติ มนี ้ํำใจตอ กัน ทั้งน้ีตองมีเปูำหมำยที่จะสงเสริมใหคนในชุมชนมี
โอกำสทีจ่ ะพัฒนำคณุ ภำพไปไดส ูงสุดตำมศักยภำพของแตละบคุ คลดวย8
วีระ สมบูรณแ สรุปหลักกำรในกำรประยุกตแพุทธธรรมมำใชในกำรพัฒนำ
ชนบท ไววำ
7 พระรำชวรมนุ ี, บทบำทใหมของสถำบนั สงฆแ, อำ งแลว, หนำ 21 – 22.
8 สุภำพรรณ ณ บำงชำง, กำรประยกุ ตหแ ลกั พุทธธรรมมำใชใ นกำรพัฒนำชำวชนบท, (กรุงเทพมหำนคร :
จุฬำลงกรณมแ หำวทิ ยำลัย, 2527), หนำ 155-158.
-14-
เครอื ข่ายพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกลมุ่ ชาตพิ ันธุ์
1. ศำสนำมุงที่จะขจดั ทุกขแของมนษุ ยแ หรอื ใหม นุษยแไดร ูจ กั ขจดั ทุกขแของ
ตนไดมำกที่สุด ดังนั้น ในกำรพัฒนำท่ีจะมุงไปที่กำรมองใหเห็นปใญหำของแตละ
ทองถิ่น มองหำเหตุของปใญหำ ตั้งเปูำหมำยท่ีจะขจัดปใญหำเหลำนั้น และรวมกัน
หำทำงออกจำกปใญหำ
2. เปูำหมำยของกำรพัฒนำควรเนนที่หลักกำรพ่ึงตนเอง มิใชอำศัย
ทรพั ยำกรจำกท่อี ื่น
3. กำรพัฒนำควรแกไขปใญหำควำมยำกจนและขำดปใจจัยในกำรดํำรงชีพ
ใหเกิดควำมกนิ อยูพ อดี
4. กำรพัฒนำควรเนนควำมคอยเป็นคอยไป หรือวิวัฒนำกำรอยำงเป็น
ลํำดบั มำกกวำที่จะเป็นกำรกระโดดจำกสภำพหนึง่ โดยทันที
5. กำรพัฒนำตอ งไมเ ป็นกำรทำํ ลำยทรัพยำกรธรรมชำติ
6. กำรพัฒนำไมควรเนนระบบพัฒนำที่ใหญโต แตควรเนนจุดเล็ก ๆ คือ
หมบู ำ นหรอื ชมุ ชน
7. กำรพัฒนำควรปรับกำรศึกษำใหสอดคลองกับสภำพของชุมชนใหมำก
ที่สุด หลักสูตรกำรศึกษำควรเป็นหลักสูตรที่เกิดขึ้นจำกสภำพควำมเป็นจริงในแต
ละหมบู ำ น
8. กำรพัฒนำไมควรจะปฏิเสธวิทยำกำรสมัยใหม แตควรจะนํำมำใชใน
ระดับกลำง ใหเคร่ืองมือเคร่ืองจักรกลเหลำนั้นเกื้อกูลกำรทํำงำนของมนุษยแมิใช
ทํำลำยคุณคำของมนษุ ยแ
9. กำรพัฒนำมิใชมุงที่ผลทำงวัตถุ แตควรมุงผลทำงจิตใจเพื่อกำรพัฒนำ
ควำมเปน็ มนุษยแใหส ูงขึ้น9
พินิจ ลำภธนำนนทแ ใหควำมเห็นวำปรัชญำกำรพัฒนำชนบทในพุทธ
ศำสนำมุงใหควำมสํำคัญตอกำรพึ่งตนเองของคนในชุมชนเป็นสํำคัญประกำรหน่ึง
และอีกประกำรหนึ่งแนวทำงกำรดํำเนินชีวิตตำมหลักพุทธรรมนั้น เนนควำม
เป็นอยูที่เป็นสุขกับควำมเรียบงำยสอดคลองกับธรรมชำติ ซึ่งจะนํำคนใหรูจักกำร
ดํำรงชีวิตอยูอยำงประหยัด ไมฟุมเฟือยจนเกินเหตุ ทั้งไมทํำลำยธรรมชำติเพื่อ
9 อำงใน พินิจ ลำภธนำนนทแ, พระสงฆแในชนบทภำคอีสำนกับกำรพัฒนำตำมหลักกำรพึ่งตนเอง,
(กรุงเทพมหำนคร : ภำควิชำสังคมวทิ ยำและมำนษุ ยวิทยำ บัณฑติ วิทยำลยั จฬุ ำลงกรณแมหำวิทยำลยั , 2527),
หนำ 70-71.
-15-
เครอื ขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลมุ่ ชาติพันธุ์
สนองควำมเห็นแกตัวและควำมอยำกทำงวัตถุของคน อันเป็นกำรชี้แนะทั้งทำง
สังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพำะอยำงย่ิงในทำงเศรษฐกิจนี้ไดมีผูนํำเอำหลักพุทธ
รรมมำวิเครำะหแและแยกแยะออกมำเป็นแนวทำงกำรพัฒนำเศรษฐกิจที่เรียกวำ
กำรพฒั นำตำมหลักพุทธเศรษฐศำสตรแ หรือกำรพัฒนำตำมหลักเศรษฐศำสตรแของ
ชำวพทุ ธ10
นธิ ิ เอียวศรีวงศแ ไดน ำํ เสนอเปูำหมำยของกำรทํำงำนของพระสงฆแในกำร
สัมมนำบทบำทของพระสงฆใแ นกำรบริกำรสงั คม ไววำ บริกำรสังคมที่พระภิกษุใน
พุทธศำสนำทํำไดแตทํำนอยมำก คือกำรเสนอทำงเลือกใหมตำมแนวทำง
พระพุทธศำสนำแกสังคม เน่ืองจำกถูกครอบงํำจำกทุนนิยม วัตถุนิยม และกำร
บรโิ ภคนิยม ทำงเลอื กใหมตองไปใหพน จำกกำรครอบงํำจำกทั้ง 3 สวนนี้ ตอง
รื้อฟื้นพลังของพระพุทธศำสนำกลับมำเป็นตัวหลักในกำรนํำในกำรพัฒนำ
ประเทศ11
ปรีชำ เป่ียมพงศแสำน กลำววำกำรแสวงหำแบบจํำลองกำรพัฒนำ
ทำมกลำงวิกฤติกำรณแทำงควำมคิดและควำมอับจนของกำรพัฒนำตำมแบบจํำลอง
ของตะวันตก ผลักดนั ใหห ลำยกลุมหวนไปหำปรัชญำตะวันออก โดยเฉพำะอยำง
ย่ิง พุทธปรัชญำในบำงประเทศ เชน ศรีลังกำ ไดมีกำรนํำเอำแนวคิดบำงอยำง
ของชำวพุทธมำใชในกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีอุดมกำรณแอยู 4
ประกำรคือ มีกำรแบงปในทรัพยำกรใหแกเพ่ือนมนุษยแในชุมชน ใชหลัก
เศรษฐศำสตรแแหงควำมรักในกำรอยูรวมกันในสังคม ทํำงำนเพ่ือชวยเหลือกันทำง
เศรษฐกิจ และยึดหลักควำมเสมอภำคทำงสังคม ทั้ง 4 หลักนี้เป็นหลักของ
พุทธปรชั ญำ12
กำญจนำ แกวเทพ ไดศึกษำแนวคิดในกำรทํำงำนพัฒนำขององคแกรพัฒนำ
เอกชน ซึ่งมีแนวคิดสํำคัญ 5 ชุดแนวคิด ไดแก แนวคิดในงำนพัฒนำแบบ
พุทธศำสนำ แนวคิดในงำนพัฒนำแบบคริสศำสนำ แนวคิดในงำนพัฒนำเชิง
10 พนิ ิจ ลำภธนำนนทแ, พระสงฆแในชนบทภำคอีสำนกับกำรพัฒนำตำมหลักกำรพ่ึงตนเอง, อำงแลว, หนำ
71-72.
11 นธิ ิ เอยี วศรวี งศแ, วฒั นธรรมควำมจน, (กรงุ เทพมหำนคร : แพรวสํำนักพมิ พแ, 2542), หนำ 133-185.
12 ปรชี ำ เป่ียมพงศสแ ำนตแ, วิถใี หมแ หงกำรพัฒนำ: วิธวี ิทยำศกึ ษำสงั คมไทย, (กรุงเทพมหำนคร : โครงกำร
พัฒนำตํำรำ ศนู ยบแ ริกำรเอกสำรวิชำกำร คณะเศรษฐศำสตรแ จุฬำลงกรณแมหำวทิ ยำลัย,2543), หนำ 17-18.
-16-
เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชีวติ ของกลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ
วัฒนธรรมชุมชน และไดสรุปแนวคิดที่สำมำรถเป็นจุดรวมขององคแได 4
ประกำรใหญ ๆ คอื
1. กำรตกลงรวมกันเร่ืองควำมหมำยของกำรพัฒนำ นำจะหมำยถึงกำร
ปรับปรุงควำมเป็นอยูใหดีขึ้น โดยเปูำหมำยท่ีสํำคัญที่สุดคือ กำรพัฒนำคน อัน
หมำยถึงกำรพัฒนำทั้งดำนศักยภำพ ควำมสำมำรถและคุณธรรม ดังนั้นจึง
จำํ เปน็ ตอ งมีกำรพฒั นำดำ นจติ สํำนึกและยกระดบั ควำมสำมำรถของตัวบุคคล
2. กระบวนกำรพัฒนำตองมีรำกฐำนอยูที่ชุมชน ซ่ึงจะตองสอดคลองกับ
วิถชี ีวติ และวฒั นธรรมของชุมชน
3. กำรพัฒนำควรมีวิถีทำงจำกเบื้องลำงสูเบื้องบน คือตองเร่ิมจำกสภำพ
ควำมเป็นจริงของชุมชน เริ่มจำกส่ิงท่ีชุมชนมี และดํำเนินกำรรวมท้ังตัดสินใจ
จำกชมุ ชน
4. กระบวนกำรพัฒนำจํำเป็นตองมีมิติทำงกำรเมืองในควำมหมำยท่ีวำ
จะตองชวยใหประชำชนมีพลังควำมสำมำรถในกำรจัดกำรกับโครงสรำงอํำนำจใน
สังคมเพ่อื กำรจัดสรรผลประโยชนจแ ำกกำรพฒั นำนน้ั 13
กำญจนำ แกวเทพ กลำวถึงงำนพัฒนำที่เร่ิมโดยพระภิกษุวำในอดีต
สถำบันศำสนำและภิกษุมีบทบำทสํำคัญเป็นแกนกลำง ดังท่ีไดมีกำรสํำรวจวำ
สถำบันทำงศำสนำมีบทบำทในสังคมถึง 11 ประกำร คือ เป็นสถำนศึกษำดำน
วชิ ำกำร เปน็ สถำนสงเครำะหแบคุ คลยำกจน เป็นสถำนพยำบำล เป็นที่พักพิงคน
เดินทำง เป็นสโมสรท่ีพบปะพักผอนหยอนใจ เป็นสถำนที่จัดมหรสพบันเทิง
เปน็ สถำนทไ่ี กลเกลย่ี กรณีพพิ ำท เป็นศนู ยแกลำงดำนศิลปวัฒนธรรม เป็นคลังเก็บ
พัสดุของสวนรวม เป็นศูนยแกลำงบริหำรชุมชน เป็นที่ประกอบพิธีกรรม แตวำ
เม่ือสังคมไทยไดกำวเขำสูโลกสมัยใหมท่ีมีกำรพัฒนำซ่ึงเป็นแตทำงโลก และ
ละเลยมติ ทิ ำงธรรม นั้นผลกระทบประกำรหน่ึงที่เกิดข้ึนคือ ทํำใหสถำบันศำสนำ
เกือบจะหมดบทบำทลงไป คงเหลือบทบำทดำนประกอบพิธีกรรมเทำนั้น ในอีก
ดำนหนึ่งบุคลำกรในพุทธศำสนำก็ตองสูญเสียภำวะผูนํำทำงปใญญำไป เนื่องจำก
พระสงฆปแ ฏิเสธและไมส นใจศึกษำควำมรูและเทคนคิ วทิ ยำกำรสมัยใหม14
13 กำญจนำ แกว เทพ, ภำพรวมของกำรพฒั นำองคกแ รชมุ ชน, (กรุงเทพมหำนคร: สํำนักงำนกองทุนสนับสนุน
กำรวิจยั , 2540), หนำ 126-127.
14 เร่ืองเดียวกนั , หนำ 162-164.
-17-
เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ
โดยนัยนี้ กำรพัฒนำตำมแนวพุทธธรรม ซ่ึงเป็นกำรพัฒนำคนในฐำนะท่ี
เป็นทรัพยำกรมนุษยแ มุงชวยใหสังคมมีทุน มนุษยแมีคุณภำพ ท่ีจะกอใหเกิดผล
ในกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมหรือเรียกงำย ๆ วำพัฒนำใหเป็นนักผลิต ซ่ึง
พรอมท่ีจะสนองควำมตองกำรของสังคม สวนกำรพัฒนำคนในฐำนะผูมีควำมเป็น
มนุษยแ จะชวยใหบุคคลมีคุณสมบัติพรอมท่ีจะดํำเนินชีวิตแหงปใญญำเพื่อควำมดี
งำม หรือเรียกส้ันๆ วำ พัฒนำใหเป็นบัณฑิตผูสำมำรถนํำชีวิตและสังคมไปสู
สันติสุข
โดยสรุป กำรพัฒนำสงั คมตำมหลักพระพุทธศำสนำ จึงสำมำรถนํำมำใชใน
กำรอธิบำย แนวคิดกำรพัฒนำตำมหลักธรรมทำงพุทธศำสนำ ดังน้ันกำรพัฒนำ
ควำมเป็นมนุษยแจึงเป็นสำระแกนแท ซึ่งผันแปรตอสภำพแวดลอมแหงกำลเทศะ
ของยุคสมัยและบนฐำนของควำมเป็นมนุษยแรวมทั้งนํำหลักธรรมทำงศำสนำไป
ประยุกตแใชใหสนองควำมตอ งกำรของยคุ สมัยอยำงไดผ ล
กำรประยุกตแหลักธรรมสํำหรับนักพฒั นำ
ผลกำรพัฒนำตำมแนวตะวันตกที่เนนกำรเป็นสังคมอุตสำหกรรม และ
ควำมทันสมัย ทํำใหขำดควำมสอดคลองกับสภำพสังคมและวัฒนธรรมไทย ขำด
กำรมีสวนรวมของชุมชนไมสนองตอบควำมตองกำรของประชำชน และเพื่อให
บรรลุผลตำมวัตถุประสงคแของกำรพฒั นำคอื คุณภำพชีวิตของประชำชนสวนใหญที่
ดีข้ึนโดยรวม บนพื้นฐำนของกำรทํำงำนดำนกำรพัฒนำสังคมอยำงมีจริยธรรม
จึงมีกำรนํำเสนอแนวทำงกำรพัฒนำโดยนํำหลักธรรมคํำสอนของศำสนำพุทธมำ
ประยุกตแใชใ นกำรดำํ เนินงำนพัฒนำสังคม ดังเชน สุ ท ธิ ชั ย ยั ง สุ ข ไ ด
กลำวถึง แนวทำงประยุกตแหลักธรรมทำงพุทธศำสนำเพ่ือเพิ่มประสิทธิภำพกำร
พฒั นำสงั คมไวด งั นี้
นักพัฒนำสงั คมทีด่ ี ควรมลี ักษณะ 3 ประกำรตำมหลักปำปณิกธรรม 315
คือ หลักพอคำ, องคแคุณของพอคำ ไดแก (1) จักขุมำ คือ มีปใญญำมองกำรณแ
ไกล รูวิธีกำรพัฒนำและสำมำรถใชประโยชนแจำกแหลงทรัพยำกรในสังคมไดอยำง
ดีเพื่อตอบสนองควำมตองกำรของกลุมเปูำหมำย (2) วิธูโร คือ กำรจัดกำรธุระ
15 อง.ฺ ติก. (ไทย) 20/459/146.
-18-
เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ
ไดดีมีควำมเช่ียวชำญเฉพำะทำง และ (3) นิสสยสัมปในโน คือ เป็นผูมีมนุษย
สัมพนั ธทแ ่ดี ี สำมำรถระดมพลงั ควำมรว มมอื จำกชมุ ชนได
นอกจำกนัน้ นกั พัฒนำควรมีวิธกี ำรพฒั นำตำมหลักอธิปไตย 316 คือ ตอง
บริหำรตำมหลักธรรมำธิปไตย คือ กำรถือธรรมหรือหลักกำรเป็นสํำคัญ ยึดเอำ
ควำมสํำเร็จของงำนเป็นที่ต้ังพรอมรับฟใงคํำแนะนํำจำกทุกฝุำย โดยยึดหลักธรรม
กำรพฒั นำทเ่ี รียกวำ พละ 417 ไดแก
1. ปใญญำพละ คือ กํำลังควำมรูหรือควำมฉลำด ซ่ึงควรตองรูตนคือตอง
วิเครำะหแและพัฒนำตนเอง รูคนคือ ตองรูจักจริตหรือลักษณะของคนเพ่ือกำร
มอบหมำยงำนไดอยำงเหมำะสมและกำรรูงำนคือ รอบรูเกี่ยวกับงำนท่ีรับผิดชอบ
เพื่อประโยชนแในกำรพัฒนำงำน ท้ังนี้โดยตองพัฒนำปใญญำอยูเสมอตำมหลัก
ปใญญำ 318 คือ สุตมยปใญญำคือ กำรรอบรูจำกกำรรับฟใงขอมูล ดวยกำรอำนฟใง
เพ่ือมีขอมูลประกอบกำรตัดสินใจ จินตำมยปใญญำ คือ กำรวิเครำะหแขอมูลท่ี
ไดรับดวยกำรคิดอยำงไตรตรอง (อุปำยมนสิกำร) กำรคิดอยำงมีระเบียบและมี
เหตผุ ล (ปถมนสิกำร) และกำรคิดในแงสรำงสรรคแ (อปุ ปำทกมนสิกำร)
2. วิริยพละ คือ กํำลังแหงควำมเพียรหรือควำมขยันโดยมีกํำลังใจท่ี
เขมแข็งมีปใญญำแมจะตองเผชิญกับปใญหำ ซ่ึงเป็นลักษณะที่เรียกวำ สังขำริก
วิริยะ คือ ไมยอมแพแมเจออุปสรรค และตองปลุกใจตนเองผูอ่ืนใหทํำงำนตอไป
ดว ยควำมขยัน
3. อนวัชชพละ คือ กํำลังกำรทํำงำนที่ไมมีโทษหรือควำมสุจริต คือตอง
ปฏบิ ตั หิ นำ ท่ดี วยควำมซือ่ สัตยแสุจรติ
4. สังคหพละ คอื กำํ ลงั กำรสังเครำะหแหรือมนุษยสัมพันธแ คือ กำรสำมำรถ
ผกู ใจเพือ่ นรวมงำนและผูใตบงั คับบัญชำ ตำมหลักสังคหวตั ถุ 419 ไดแก ทำนคือ
กำรใหม ีจติ ใจโอบออมอำรเี ผื่อแผ ปยิ วำจำรคือ กำรพดู จำไพเรำะ อัตถจริยำ คือ
กำรทํำตัวใหเ ป็นประโยชนแ และสมำนตั ตำคอื กำรวำงตนสมำํ่ เสมอ
อีกท้ังกำรที่นักพัฒนำตองทํำงำนกับคนหมูมำก จึงจํำเป็นตองยึดมั่นใน
หลกั พรหมวหิ ำร อันไดแก กำรมีเมตตำ ไดแก มคี วำมรักหวังดีท่ีปรำรถนำใหผูอื่น
16 ที.ปำ. (ไทย) 11/228/231; อง.ฺ ตกิ . (ไทย) 20/479/186.
17 อง.ฺ นวก. (ไทย) 23/209/376.
18 ท.ี ปำ. (ไทย) 11/228/231; อภ.ิ วิ. (ไทย) 35/804/438.
19 ที.ปำ. (ไทย) 11/140/167; 267/244; องฺ.จตุกกฺ . (ไทย) 21/32/42.
-19-
เครอื ขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของกล่มุ ชาตพิ นั ธุ์
มีควำมสุข กำรมีกรุณำคือ มีควำมสงสำรเห็นใจปรำรถนำใหผูอื่นพนทุกขแ ดวย
กำรเปดิ ใจกวำงรบั ฟใงปใญหำของผูอ น่ื กำรมมี ทุ ติ ำคือ ควำมรูสึกพลอยช่ือชมยินดี
เมื่อผูอ่ืนมีควำมสุข และกำรมีอุเบกขำคือ ควำมรูสึกวำงเฉยไมลํำเอียงเขำขำงคน
ใดคนหนง่ึ คือ มีควำมยตุ ิธรรมในกำรใหร ำงวลั และลงโทษ
สํำหรับแนวคิดในกำรประยุกตแหลักธรรมเพ่ือกำรพัฒนำดังกลำว ถูก
นํำมำใชในกำรอธิบำยกำรเชื่อมโยงแนวคิดทำงพุทธศำสนำกับแนวทำงกำรพัฒนำ
สังคม ซ่ึงพระสงฆแนักพัฒนำเป็นผูมีควำมรอบรูท่ีลุมลึก มีจิตสำธำรณะ มีสติ มี
ควำมเขำใจในธรรมชำติของสังคมและผูรวมงำน และที่สํำคัญคือ เป็นผูใช
จริยธรรมในกำรปฏิบัติงำนพัฒนำ ท้ังนี้เพ่ือควำมสํำเร็จในกำรพัฒนำงำนตำม
เปำู หมำยทีก่ ํำหนด
-20-
เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของกลุม่ ชาตพิ ันธุ์
บทที่ 3
ประสบกำรณกแ ำรพัฒนำบนพ้นื ทส่ี งู ในประเทศ
-21-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกล่มุ ชาติพนั ธุ์
เนื่องดวยประชำกรชนกลุมนอยสวนใหญกระจำยตัวและต้ังถ่ินฐำนในบริเวณ
ภูเขำสงู ซง่ึ เปน็ พื้นทท่ี มี่ ีควำมยำกลํำบำกตอกำรพัฒนำ จึงเป็นพ้ืนท่ีที่ไมไดรับ
กำรพัฒนำอยำงทั่วถึงจำกทำงรัฐบำล สงผลตอควำมไมเทำเทียมในกำรพัฒนำ
ระหวำงพ้ืนท่ีรำบและพื้นที่สูง และเป็นปใญหำท่ีรัฐเล็งเห็นวำมีปใญหำมำกมำยที่
เกิดขึ้นในพ้ืนที่สูง เชน ปใญหำกำรใชทรัพยำกรธรรมชำติ ปใญหำกำรเคลื่อนยำย
ของชนกลุม นอ ยบรเิ วณชำยแดน ปญใ หำยำเสพติด ปใญหำแรงงำนตำงดำว เป็นตน
ซ่งึ จะสงผลตอ ควำมมน่ั คงของรฐั
รัฐไทยเร่ิมใหควำมสนใจกลุมชนบนพ้ืนท่ีสูงมำตั้งแตปี พ.ศ.2478 โดย
กระทรวงศึกษำธิกำรไดจัดตั้งโรงเรียนในหมูบำนนำยเลำตเำ อ.อุมผำง จ.ตำก และ
หมูบำนบอหลวง อ.ฮอด จ.เชียงใหม ตอมำ พ.ศ.2494 ไดเริ่มจัดสงตํำรวจ
ตระเวนชำยแดนเขำไปสรำ งควำมสมั พนั ธแในพื้นที่ และมกี รมประชำสงเครำะหแเป็น
หนวยสนับสนุน พ.ศ.2498 ควำมสนใจกลุมชนบนพ้ืนที่สูงมีควำมชัดเจนมำกข้ึน
โดยเม่ือปี พ.ศ.2495 กระทรวงมหำดไทยพิจำรณำเห็นควำมสํำคัญในกำร
สงเครำะหแแ ละพัฒนำหมูบำนในพื้นท่ีสูง เชนเดียวกับหมูบำนในพ้ืนท่ีรำบ อยำงไร
ก็ดีควำมสนใจของรัฐบำลดังกลำวยังเป็นรูปแบบควำมคิดเทำนั้น จนกระท่ังในปี
พ.ศ. 2499 รัฐบำลสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครำม ไดแตงต้ังคณะกรรมกำรข้ึนชุด
หน่ึง เรียกวำ “คณะกรรมกำรสงเครำะหแประชำชนไกลคมนำคม” คณะกรรมกำร
ชุดนี้มีปลัดกระทรวงมหำดไทยเป็นประธำนกรรมกำรมีหนำท่ีพิจำรณำดํำเนินกำร
พัฒนำชำวเขำทำงภำคเหนือ กำรใหควำมชวยเหลือเป็นไปในลักษณะกำรสังคม
สงเครำะหแเป็นสวนใหญ เชน แจกเคร่ืองนุงหม อำหำร และยำรักษำโรค ประกอบ
กับในขณะนั้นปญใ หำตำงๆ ทีเ่ กดิ ขนึ้ ยงั ไมช ัดเจนมำกนกั
ตอมำ ในปี พ.ศ. 2501 รัฐบำลสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชตแ ไดประกำศ
ยกเลิกกำรเสพฝ่ินและกำรจํำหนำยฝิ่นทั่วรำชอำณำจักรพรอมกับไดนํำมำตรกำร
ปูองกันและปรำบปรำมกำรปลูกคำฝิ่นออกมำใช ในขณะนั้นแหลงปลูกฝ่ินท่ีสํำคัญ
คือ บริเวณภูเขำทำงภำคเหนือที่มีประชำชนสวนหนึ่งอำศัยและปลูกฝ่ินอยู
ประกอบกับมีกำรแทรกซึมของลัทธิคอมมิวนิสตแทำงภำคตะวันออกเฉียงเหนือมำก
ข้ึน ดังนั้นในปี พ.ศ. 2502 รัฐบำลชุดเดียวกันน้ีจึงไดแตงต้ังคณะกรรมกำร
สงเครำะหแชำวเขำข้ึน โดยมีรัฐมนตรีวำกำรกระทรวงมหำดไทยเป็นประธำน
-22-
เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ
กรรมกำร คณะกรรมกำรชุดนี้มีหนำที่วำงแผนและควบคุมกำรดํำเนินงำนพัฒนำ
แ ล ะ ส ง เ ค ร ำ ะ หแ ช ำ ว เ ข ำ ใ ห เ ป็ น ไ ป ต ำ ม วั ต ถุ ป ร ะ ส ง คแ แ ล ะ น โ ย บ ำ ย ข อ ง รั ฐ บ ำ ล
คณะกรรมกำรสงเครำะหแชำวเขำพิจำรณำแลวเห็นวำควรจะไดรวบรวมประชำชนท่ี
กระจัดกระจำยใหรวมกันเป็นหลักแหลงในพ้ืนที่ท่ีกํำหนดโดยดํำเนินกำรในรูปนิคม
สรำ งตนเอง และเพื่อใหกำรสงเครำะหแในดำนอื่นๆ ควบคูกันไป คณะกรรมกำรชุด
นี้จึงไดอนุมัติใหจัดตั้งนิคมสรำงตนเองและสงเครำะหแชำวเขำขึ้นในทองที่จังหวัด
ตำงๆ 4 แหงคือ ดอยมูเซอ จังหวัดตำก ดอยเชียงดำว จังหวัดเชียงใหม ดอยภู
ลมโล จังหวัดเพชรบูรณแ พิษณุโลก และเลย และที่มอนแสนใจ จังหวัดเชียงรำย
ท้ังน้ีเพื่อตองกำรรวบรวมชำวเขำใหมำอยูที่เดียวกันจ ะไดสะดวกตอกำรใหกำร
สงเครำะหแและพัฒนำดำนอำชีพ ปูองกันกำรอพยพโยกยำย และท่ีสํำคัญคือเพ่ือ
ควบคุมกำรปลูกฝ่ินของชำวเขำ แตกำรดํำเนินงำนในระยะแรกไมประสบผลสํำเร็จ
เนื่องจำกไมสำมำรถนํำมำอยูรวมกันได เพรำะแตละกลุมก็มีวัฒนธรรมและ
ประเพณีที่แตกตำงกันออกไป และที่สํำคัญคือกลุมตำงๆ ตองกำรแยกกันอยูเป็น
อิสระ นอกจำกนี้เจำหนำที่ผูปฏิบัติงำนเองก็ยังไมมีควำมรูเก่ียวกับชำวเขำอยำง
เพียงพอ ทำํ ใหกำรติดตอส่ือสำรมคี วำมยำกลํำบำก
วันที่ 3 มถิ นุ ำยน พ.ศ.2502 ไดเริม่ มกี ำรใชคำํ วำ “ชำวเขำ” เป็นครั้งแรก
รัฐบำลเร่ิมใหควำมสนใจตอประชำชนในพ้ืนท่ีสูงอยำงจริงจังในระดับชำติ โดย
จดั ตัง้ “คณะกรรมกำรสงเครำะหแชำวเขำ” เพื่อดํำเนินนโยบำยแกไขปใญหำหลัก 4
ประกำรคือ ปใญหำกำรทํำลำยทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดลอมบนพื้นท่ีสูง
ปใญหำกำรปลูกฝิ่น ปใญหำควำมม่ันคง และปใญหำมำตรฐำนกำรครองชีพต่ํำ โดย
มอบหมำยใหกรมประชำสงเครำะหแ เป็นหนวยงำนหลักเขำไปดํำเนินงำนในพื้นที่ที่
มีกำรจัดต้ังนิคมสรำงตนเองชำวเขำ และตอมำมีกำรจัดต้ังคณะอนุกรรมกำร
สงเครำะหชแ ำวเขำในระดบั จงั หวัดทม่ี ีชำวเขำอำศยั อยู
ในชวงประมำณ พ.ศ.2503 ชำวเขำไดกลำยเป็นผูกอปใญหำ 4 ขอหำ
สํำคัญคือ เป็นสวนหน่ึงของกลุมพรรคคอมมิวนิสตแ กำรทํำลำยปุำไม และตัวกำร
สํำคัญของปใญหำยำเสพติด เนื่องจำกชำวเขำหลำยพื้นท่ีปลูกฝ่ิน เป็นผูไมมี
กำรศกึ ษำ เนอื่ งจำกพูดอำ นเขยี นภำษำไทยไมได และไมใชผนู บั ถอื ศำสนำพทุ ธ20
20 ปนัดดำ บณุ ยสำระนยั . อำงแลว , หนำ 134.
-23-
เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาตพิ ันธุ์
ดังนั้น เพื่อใหมีแหลงกลำงในกำรประสำนงำนเกี่ยวกับชำวเขำ ในปี พ.ศ.
2506 ตอมำมีชื่อเรียกวำ “ศูนยแพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำ” โดยจัดสง
เจำหนำท่เี กษตรฯ อนำมัย และครเู ขำ ไปปฏิบัติงำนในพนื้ ที่ เพือ่ ดำํ เนินงำนพัฒนำ
และสงเสริมอำชีพชำวเขำดำนกำรเกษตร ดูแลเกี่ยวกับสุขภำพอนำมัยและ
ดํำเนินกำรสอนภำษำไทย ซ่ึงเป็นแบบนอกระบบยังไมมีกำรสอบเทียบช้ัน
นอกจำกน้ียังมีตํำรวจตระเวนชำยแดนเขำไปเสริมในดำนกำรศึกษำ เป็นครูชวย
สอนในโรงเรียนตํำรวจตระเวณชำยแดนรัฐบำลจัดต้ังกองสงเครำะหแชำวเขำข้ึนอยู
กับกรมประชำสงเครำะหแ พรอมกันนั้นกไ็ ดมีกำรจัดตั้งคณะอนุกรรมกำรสำขำตำงๆ
ข้ึนอกี 6 คณะ คอื
1. คณะอนุกรรมกำรตรวจสภำพพนื้ ที่
2. คณะอนกุ รรมกำรสงเครำะหชแ ำวเขำสว นจงั หวัด
3. คณะอนกุ รรมกำรสำขำกำรศกึ ษำ
4. คณะอนกุ รรมกำรสงเครำะหแอำชพี
5. คณะอนุกรรมกำรสำขำอนำมัย
6. คณะอนุกรรมกำรสำขำจัดตงั้ ศนู ยวแ จิ ัยชำวเขำ21
ในเดือนพฤษภำคม พ.ศ. 2506 คณะกรรมกำรสงเครำะหแชำวเขำไดมีมติ
ใหจัดตั้งศูนยแวิจัยชำวเขำขึ้นในมหำวิทยำลัยเชียงใหม เพ่ือศึกษำหำขอมูลพ้ืนฐำน
ทำงเศรษฐกิจและสังคมของชำวเขำ ในปีเดียวกันนี้เองคณะกรรมกำรสงเครำะหแ
ชำวเขำไดมีมติใหจัดต้ังศูนยแพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำเพ่ิมขึ้นจำกนิคมสรำง
ตนเองฯ พอมำในปี พ.ศ. 2508 ไดมีกำรสงพระธรรมจำริกออกไปเผยแพรพุทธ
ศำสนำแกทำงชำวเขำตำมหมูบำนตำงๆ ท่ีอยูหำงไกลจำกชุมชนรวมทั้งไดสง
นักศกึ ษำและครทู ี่อำสำสมัครออกไปสอนหนังสอื ชำวเขำท่จี ังหวดั ตำก หลังจำกที่ได
แบงสำยงำนออกเป็นหนวยงำนยอยๆ ที่มีหนำที่เฉพำะแลว คณะกรรมกำร
สงเครำะหแชำวเขำก็เปล่ียนช่ือเป็นคณะกรรมกำรชำวเขำและไดกํำหนดนโยบำย
กำรทํำงำนระยะแรก ดังนี้
1. ใหทํำกำรศึกษำคน ควำ เกยี่ วกบั ชำวเขำ เพอ่ื นำํ ขอ มูลดำนตำง ๆ มำวำง
แผนพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำ
21 กลุมประสำนงำนจัดสวัสดิกำรแกชุมชนบนพื้นที่สูง, กลุมประสำนงำนจัดสวัสดิกำรแกชุมชนบนพื้นท่ีสูง
[Online].Available: http://www23.brinkster.com/hilltribe/commu2.htm# [๒๕๔๖]..
-24-
เครอื ข่ายพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
2. จดั หำทด่ี ินใหช ำวเขำเขำทํำกิน เพอื่ ใหอยูอ ำศยั เปน็ หลักแหลง
3. สง เสรมิ ใหช ำวเขำทํำกำรเพำะปลูก เล้ียงสัตวแ และผลิตสินคำตำมควำม
ตองกำรของตลำด เพื่อใหเลิกกำรปลูกฝ่ิน อันเป็นผลเสียหำยแกเศรษฐกิจและ
ควำมมน่ั คงของประเทศ
4. สงเสริมใหชำวเขำมีควำมรูและสนใจทํำกำรเกษตรกรรม เพื่อหยุดยั้ง
กำรทำํ ไรเ ลื่อนลอยเปน็ กำรทำํ ลำยปำุ ไมต นนำ้ํ ลํำธำร
5. ปรับปรุงกำรคมนำคมขนสงเพ่ืออํำนวยควำมสะดวกแกชำวเขำที่จะนํำ
สนิ คำไปจํำหนำ ย
6. ใหกำรรักษำพยำบำลแกช ำวเขำท่ีเจบ็ ปุวย และแนะนํำใหพัฒนำอนำมัย
ในหมบู ำ น
7. สง เสริมใหชำวเขำมีควำมรักและหวงแหนผืนแผนดินไทยท่ีตนอำศัยอยู
และใหเ กดิ ควำมรสู ึกเป็นพวกเดียวกับคนไทย
8. สง เสริมใหช ำวเขำรูจ กั กำรปูองกันหมูบำนและเป็นกํำลังรักษำควำมสงบ
เรียบรอ ยและควำมม่นั คงปลอดภัยชำยแดน
9. สง เสริมกำรศกึ ษำขน้ั มลู ฐำนแกเ ดก็ และผูใ หญชำวเขำ
10. จดั หำเคร่ืองอุปโภคและบรโิ ภคที่จํำเป็นแกชำวเขำ
11. สงเสรมิ ใหชำวเขำมกี ำรชวยเหลือตนเองและชว ยเหลอื ซึง่ กันและกนั 22
ตํำรวจตระเวนชำยแดน นับเป็นหนวยงำนเร่ิมแรกที่เขำไปมีสวนเกี่ยวของ
กับชุมชนพื้นที่สูง จำกกำรปฏิบัติหนำท่ีดูแลปใญหำดำนควำมมั่นคงและมีสวนใน
กำรจัดกำรศึกษำในชวงแรกก็ไดดํำเนินงำนพัฒนำกำรเกษตรบนพื้นท่ีสูงอยำงเป็น
ทำงกำรขึ้น โดยไดรับควำมชวยเหลือจำกองคแกำรยูซอม (USOM ปใจจุบัน
เปลี่ยนเป็น USAID) ของสหรัฐอเมริกำเป็นผูริเริ่มนํำสัตวแเล้ียงไปแจกจำยชำวเขำ
พรอมทั้งใหกำรอบรมทำงดำนกำรเพำะปลูกและสัตวแเลี้ยงเบ้ืองตนแกชำวเขำ
ตอมำภำยหลังรัฐบำลใหควำมสนใจชำวเขำอยำงจริงจัง จึงไดสงหนวยงำนอ่ืนๆ
เขำไป พรอมทั้งนํำพืชชนิดใหมทยอยเขำไปใหชำวเขำทดลองปลูก เชน กรมกสิ
กรรมไดน ํำกำแฟไปใหชำวเขำท่ีอยนู คิ มดอยมูเซอ จังหวัดตำก และบำนมูเซอหวย
ตำก จังหวัดเชียงใหมทดลองปลูก กรมประชำสงเครำะหแไดนํำพันธุแล้ินจี่ไปให
ชำวเขำท่ีอำํ เภอฝำง จงั หวดั เชยี งใหม และอํำเภอแมสำย จังหวัดเชียงรำย ทดลอง
22 กลุม ประสำนงำนจัดสวสั ดิกำรแกช ุมชนบนพ้นื ที่สูง, อำ งแลว .
-25-
เครอื ข่ายพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกลุม่ ชาตพิ นั ธุ์
ปลกู พรอ มทง้ั สง เสริมกำรเลีย้ งววั เนื้อทด่ี อยมูเซอ นอกจำกนี้ยังไดทดลองเอำพืชยืน
ตนจํำพวกมะมวง กำแฟ และพชื ไรอ ่นื ๆ ใหทดลองปลกู
ตอมำ ในปี พ.ศ.2512 รัฐไดดํำเนินกำรเก่ียวกับงำนพัฒนำชำวเขำโดย 4
กระทรวงหลัก คือ กระทรงมหำดไทย กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงศึกษำธิกำร และ
กระทรวงสำธำรณสุข ตอมำเกิดสถำนกำรณแควำมวุนวำยทำงกำรเมือง ภำครัฐไมมี
ควำมไววำงใจตอกลุมชำวเขำ อันเน่ืองมำจำกเป็นพื้นที่ที่ภำครัฐยังไมสำมำรถเขำ
ไปดูแลไดท่ัวถึง กำรติดตอส่ือสำรมีควำมยำกลํำบำก ทํำใหไมสำมำรถสรำงควำม
เขำใจตอกันได ประกอบกับรัฐบำลในขณะน้ันมีควำมหวำดวิตกวำชำวเขำจะเป็น
กลุมที่เป็นภัยตอควำมมั่นคงโดยเขำรวมกลุมกับกองกํำลังคอมมิวนิสตแท่ีตอตำน
รัฐบำลในขณะน้ัน รัฐบำลจึงจัดชุดปฏิบัติกำรเขำไปในพ้ืนท่ีที่รัฐจัดวำเป็นพ้ืนท่ี
ลอแหลมตอควำมม่ันคงของชำติ และมีมำตรกำรในจัดกำรพัฒนำใหชำวเขำตั้งถ่ิน
ฐำนใหเปน็ หลักแหลงเพ่อื ประโยชนใแ นควบคมุ ดแู ล ใหเลกิ ปลูกฝน่ิ และบกุ รุกปุำ
นโยบำยเก่ียวกับชำวเขำกอนหนำน้ีเป็นกำรดํำเนินงำนท่ัวๆ ไปท่ีมี
ขอบเขตกำรทำํ งำนอยำงกวำงๆ ดังนั้นในปี พ.ศ. 2512 คณะกรรมกำรชำวเขำจึง
ไดกํำหนดนโยบำยใหมีลักษณะท่ีแคบลง โดยกํำหนดเป็นนโยบำยระยะส้ันและ
ระยะยำว คอื
นโยบำยระยะส้ัน ไดแกกำรจัดสงเจำหนำที่ใหเขำถึงชำวเขำที่อยูตำมจุด
ลอแหลมใหทั่วถึงโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้เพื่อผูกพันชำวเขำใหมีควำมสํำนึกในชำตินิยม
และจงรักภักดีตอประเทศชำติ รวมท้ังเป็นกํำลังปูองกันกำรแทรกซึมของ
คอมมวิ นิสตแ
ใ น บ ริ เ วณ พ้ื น ท่ี ท่ี ป ร ะ กำศ เ ป็ น เ ขต แ ท ร ก ซึ ม ข องค อ ม มิ ว นิ ส ตแ แ ล ะ มี กำ ร
ปรำบปรำมอยูนั้น หลังจำกกำรปรำบปรำมส้ินสุดลง และฝุำยทหำร ตํำรวจ
สำมำรถเขำควบคุมแลว จงึ สงใหหนว ยงำนพลเมอื งเขำ รับผิดชอบตอไป
สวนพื้นท่ีที่ยังมิไดประกำศเขตแทรกซึมและมีพฤติกำรณแของคอมมิวนิสตแ
แตยังไมถึงขั้นใชอำวุธนั้น จํำเป็นตองดํำเนินกำรในลักษณะปูองกัน โดยให
หนว ยงำนพลเรอื นทร่ี บั ผิดชอบจัดสงเจำหนำที่เขำไปพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำ
เป็นกำรดวน
-26-
เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพนั ธุ์
นโยบำยระยะยำว ไดแกกำรพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำใหอยูอำศัยและ
ทํำมำหำกินเป็นหลักแหลงแนนอน เลิกกำรปลูกฝ่ินและบุกรุกพ้ืนที่ปุำ ในกำร
ดํำเนินตำมนโยบำยดงั กลำ ว ไดกํำหนดวธิ ดี ํำเนนิ กำรไว 3 วิธดี ังนี้
1. แนะนํำและชักชวนชำวเขำท่ีอยูกระจัดกระจำย ใหเขำมำรวมกันเป็น
หมูบำนในบริเวณทเี่ หมำะสม เพือ่ กำรดแู ลของเจำหนำที่
2. ชำวเขำที่อยูรวมกันเป็นหมูบำนก็สนับสนุนใหอยูทํำกินตอไปไมตอง
เคลื่อนยำย โดยใหสงเจำ หนำ ทใ่ี นรปู หนวยเคล่ือนท่เี ขำไปปฏบิ ตั งิ ำน
3. ชำวเขำที่ไมตองกำรอยูบนภูเขำหรือตองกำรอพยพหนีภัยคอมมิวนิสตแ
ลงมำอยูบนพ้ืนรำบก็ใหจัดต้ังศูนยแอพยพชำวเขำข้ึน เพื่อจะไดอยูรวมกันเป็นกลุม
กอน และใหกำรสงเครำะหแเทำท่ีจะจํำเป็นเพื่อจะไดดํำเนินชีวิตผสมผสำนเป็นคน
ไทยตอ ไป
ในปี พ.ศ. 2512 โครงกำรในพระบรมรำชำนุเครำะหแ (ปใจจุบันคือ
โครงกำรหลวงภำคเหนือ) ไดรับกำรสนับสนุนจำกกระทรวงเกษตร สหรัฐอเมริกำ
พรอ มดวยควำมรวมมือจำกเจำหนำที่ของหนวยงำนที่เก่ียวของกับชำวเขำ อำจำรยแ
จำกมหำวิทยำลัยรวมกันทํำกำรทดลองปลูกพืชเมืองหนำวบนภูเขำ จำกน้ันก็นํำ
ควำมรูที่ไดไปอบรมเจำหนำท่ีสงเสริมหนวยงำนรำชกำร และหนวยงำนเอกชน
เพ่ือที่จะไดนํำไปแนะนํำชำวเขำใหทํำกำรปลูกตอไป ในขณะเดียวกันก็ไดขยำย
งำนกำรเกษตรบนพืน้ ท่สี ูงใหข ยำยวงกวำ งขนึ้ ตอเนื่องมำในปี พ.ศ.2516 องคแกำร
สหประชำชำติไดใหควำมชวยเหลือโครงกำรปลูกพืชทดแทนกำรปลูกฝิ่น โดยนํำ
พืชท่ีสำมำรถปลูกบนพื้นท่ีสูงไปใหชำวเขำปลูก เชน กำแฟ พืชตระกูลถั่ว ไดแก
ถว่ั แดง ถว่ั ปน่ิ โต ถ่วั เนวี
กลำวโดยสรุป นโยบำยปี พ.ศ. 2512 เนนในเร่ืองควำมมั่นคงในพ้ืนที่ที่
ชำวเขำอำศัยอยูและดํำเนินรูปแบบพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำเป็นหลัก แตใน
ระยะหลังปรำกฏวำมีหนวยงำนท่ีดํำเนินกำรเกี่ยวกับชำวเขำเพ่ิมมำกขึ้น ประกอบ
กับมีปใญหำรีบดวนตองแกไข อำทิ อัตรำกำรเพ่ิมข้ึนของจํำนวนประชำกร กำรถือ
สญั ชำติ เป็นตน
ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2517 จึงไดมีออกระเบียบกระทรวงมหำดไทยวำดวย
กำรพิจำรณำลงรำยกำรสัญชำติไทยใหแกชำวเขำ พ.ศ.2517 โดยกํำหนด
หลักเกณฑแในกำรพิจำรณำวำ ตองเป็นชำวเขำที่ไดรับกำรจดทะเบียนรำษฎร
-27-
เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของกล่มุ ชาติพันธ์ุ
ชำวเขำไวแลว หรืออยูในควำมดูแลของหนวยงำนรำชกำร เชน กรม
ประชำสงเครำะหแ ตํำรวจตระเวนชำยแดน และยังมีเง่ือนไขอ่ืนๆ เชน ตองเกิดใน
ประเทศไทยและบรรลนุ ติ ิภำวะแลว ต้ังถิน่ ฐำนในเขตประเทศไทยไมนอยกวำ 5 ปี
มีอำชีพสุจริต ไมเคยกระทํำผิดตอควำมม่ันคงแหงชำติหรือกระทํำผิดกฎหมำยถึง
ตองโทษจํำคุก และกระทรวงมหำดไทยไดเสนอนโยบำยและวิธีกำรดํำเนินงำน
พัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำ ปี พ.ศ. 2519 เพื่อใหเหมำะสมกับสถำนกำรณแที่
เป็นอยู ปรำกฏวำไดรับควำมเห็นชอบจำกคณะรัฐมนตรี และยังคงใชปฏิบัติอยูใน
ปใจจุบันน้ี คณะรัฐมนตรีไดมีมติเห็นชอบในวันท่ี 6 กรกฎำคม พ.ศ.2519 ใหใช
“นโยบำยรวมพวก” (Integration Policy) มุงเนนใหชำวเขำเป็นพลเมือง ตำม
มำตรฐำนคุณภำพพลเมืองท่ีดีของรัฐ โดยไดริเริ่มโครงกำรจัดทํำทะเบียนชำวเขำ
เพอื่ พิจำรณำลงสญั ชำตไิ ทยในทะเบยี นบำนใหแกชำวเขำ รณรงคแใหมีกำรวำงแผน
ครอบครัวเพ่ือลดอัตรำกำรเพ่ิมของประชำกรชำวเขำ และไดเริ่มกำรพัฒนำโดย
กํำหนดเขตพ้ืนที่ท่ีเรียกวำ กำรพัฒนำเป็นเขตพ้ืนท่ีโดยระบบสมบูรณแแบบ (Zonal
Integration Development)23
สํำหรบั สำระสำํ คัญของนโยบำยปี พ.ศ. 2519 มดี ังนี้
1. กำรใชนโยบำยรวมพวก (Integration policy) เป็นวิธีหนึ่งที่จะชวย
ใหช ำวเขำสำมำรถปรบั ตวั และผสมผสำนเขำ กับคนไทยได
2. เพอ่ื แกปใญหำทก่ี ำํ ลังประสบอยู จํำตองทํำใหชำวเขำเป็นพลเมืองไทยที่
มีคุณภำพสำมำรถชวยเหลือตนเองได ดังนั้นจึงตองสงเสริมในดำนอำชีพ เพ่ือให
ชำวเขำมีรำยไดเพม่ิ พูนขึ้นเพ่อื จะไดม ีมำตรฐำนควำมเปน็ อยทู ี่ดีขนึ้
3. ใหเรงรัดกำรทํำทะเบียนชำวเขำ ตำมระเบียบกระทรวงมหำดไทย วำ
ดวยกำรพิจำรณำสญั ชำติไทยในทะเบยี นบำนแกช ำวเขำ พ.ศ.2517
4. จํำนวนประชำกรชำวเขำท่ีเพิ่มขึ้นอยำงรวกเร็วน้ัน จะเป็นตัวเรงให
ปใญหำชำวเขำทวีควำมรุนแรงและสลับซับซอนย่ิงข้ึน จึงจํำเป็นตองลดอัตรำกำร
เพิ่มประชำกรชำวเขำ โดยเรง วำงแผนครอบครัวใหไดผลแพรหลำย
และไดม ีกำํ หนดขัน้ ตอนกำรดำํ เนนิ กำรไวดังนี้
1. กํำหนดเขตพ้ืนท่ีพัฒนำ (Development zones) ใหเนนงำนทั้งใน
พื้นที่ที่ชำวเขำตั้งอยูเดิมและพ้ืนท่ีที่ชำวเขำละทิ้งไปแลว โดยจัดดํำเนินกำรพัฒนำ
23 ปนดั ดำ บุณยสำระนัย, อำงแลว, หนำ 139-147.
-28-
เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
ในลักษณะโครงกำรสมบรู ณแแ บบคอื กํำหนดใหชำวเขำอยูรวมกันเป็นกลุมกอน แลว
จักดํำเนินกำรพัฒนำอำชีพ กำรศึกษำ กำรอนำมัย กำรวำงแผนครอบครัว กำร
สังคมสงเครำะหแ และกำรพัฒนำเศรษฐกิจขั้นพื้นฐำนโดยทํำกำรไปพรอมๆ กันใน
เวลำและพ้ืนท่ีเดียวกันซึ่งลักษณะกำรดํำเนินงำนเชนน้ีทํำใหสำมำรถควบคุมกำร
อพยพของชำวเขำอยำงไดผล รวมทั้งยังสำมำรถติดตำมกำรเคล่ือนไหวของ
ชำวเขำท่จี ะมีผลกระทบตอ กำรเมอื งและควำมมน่ั คงของประเทศไดอยำงใกลชดิ
2. สํำหรับพื้นที่ท่ีมิไดเป็นเขตพัฒนำใหจัดหนวยเคลื่อนท่ีออกไป
ปฏิบัติงำนในหมูบำนชำวเขำ โดยกำรใหควำมชวยเหลือเพ่ือเสริมสรำง
ควำมสัมพันธแอันดีกับชำวเขำ ในขณะเดียวกันก็จัดกำรสํำรวจขอมูลเบื้องตนเพ่ือ
นํำมำใชในกำรวำงแผนพัฒนำตอไป ในกรณีที่พ้ืนที่นั้นไมเหมำะสมจะจัดทํำเป็น
พน้ื ท่พี ฒั นำกค็ วรชักจูงใหช ำวเขำเขำ มำอยใู นเขตพื้นท่ีพัฒนำ
3. สว นคนไทยที่ตง้ั บำ นเรือนและประกอบอำชีพอยูในเขตพ้ืนที่พัฒนำและ
เขตปฏบิ ตั งิ ำนหนว ยเคลื่อนทีก่ ็ใหทํำกำรพัฒนำ และสงเครำะหเแ ชน กนั
เนื่องจำกกำรดํำเนินงำนพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำไดมีหนวยงำนหลำย
แหง ท้งั ภำครัฐบำลและเอกชนท่ีเขำมำจดั กำร จงึ จํำเป็นตองมีกรรมกำรควบคุมดูแล
และประสำนงำนใหกำรดํำเนินงำนพัฒนำชำวเขำเป็นไปอยำงไดผลตำมนโยบำยท่ี
ไดว ำงไว รฐั จงึ ไดจ ดั ตั้งคณะกรรมกำรฝุำยตำง ๆ ข้นึ คือ
1. คณะกรรมกำรชำวเขำ คณะรัฐมนตรีไดแตงต้ังขึ้นโดยมีรัฐมนตรีวำกำร
กระทรวงมหำดไทย เป็นประธำนกรรมกำร และมีกรรมกำรจำกหนวยงำนตำง ๆ
20 ทำน มีอธิบดีกรมประชำสงเครำะหแเป็นเลขำธิกำร ใหรับผิดชอบและกํำหนด
นโยบำยและมีหนำท่ีพิจำรณำอนุมัติโครงกำรตำงๆ เกี่ยวกับชำวเขำ หรือกำร
ดํำเนินงำนของหนวยงำนรัฐบำลและเอกชนท่ีอำจจะกระทบกระเทือนตอชำวเขำ
ตองไดรับอนุมัติจำกคณะกรรมกำรชุดนีก้ อน
2. คณะอนุกรรมกำรชำวเขำ คณะกรรมกำรชำวเขำไดแตงตั้ง
คณะอนกุ รรมกำรชำวเขำ ซ่ึงในปจใ จุบนั มี 4 คณะ คอื
2.1 คณะอนุกรรมกำรนโยบำยและแผนงำนเกี่ยวกับชำวเขำ มีรอง
เลขำธิกำรคณะกรรมกำรพฒั นำเศรษฐกจิ และสงั คมแหงชำติเป็นประธำนกรรมกำร
2.2 คณะอนุกรรมกำรชำวเขำดำนกำรศึกษำ มีอธิบดีกรมกำรศึกษำ
นอกโรงเรียนเป็นประธำน เพ่ือพิจำรณำสนับสนุนใหหนวยงำนจัดกำรศึกษำแก
-29-
เครอื ขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์
ชำวเขำไดสอดคลองไมซํ้ำซอนกัน รวมทั้งแกไขปใญหำและอุปสรรคในกำร
ปฏบิ ัติงำน
2.3 คณะอนุกรรมกำรชำวเขำดำนควำมมั่นคง มีเลขำธิกำรสภำควำม
ม่ันคงเป็นประธำน มหี นำทีว่ ิเครำะหแปใญหำและควำมเคลื่อนไหวของชำวเขำและผู
ทเี่ ขำไปดำํ เนินกำรกบั ชำวเขำ
2.4 คณะกรรมกำรจัดที่ดินเพ่ือกำรครองชีพ มีอธิบดีกรมปุำไมเป็น
ประธำน มหี นำ ท่ีพจิ ำรณำและกํำหนดมำตรกำรแกปใญหำกำรใชที่ดินบนภูเขำ และ
จดั ทดี่ นิ ทำํ กนิ ใหแกชำวเขำเพ่ือปูองกันกำรโยกยำย
3. คณะกรรมกำรชำวเขำสวนจังหวัด มีหนำที่พิจำรณำแผนกำรดํำเนินงำน
และควบคุมกำรปฏิบัติงำนเกี่ยวกับชำวเขำในจังหวัดน้ัน ๆ มีผูวำรำชกำรจังหวัด
เปน็ ประธำนมที งั้ หมด 22 จงั หวัด
หลังจำกที่คณะรัฐมนตรีไดอนุมัตินโยบำยกำรพัฒนำชำวเขำแบบกำรรวม
พวก (Integration policy) เม่อื ปี พ.ศ.2519 แลว ทำงกรมประชำสงเครำะหแจึง
ไดกํำหนดกำรพัฒนำโดยแบงเป็นเขตพ้ืนท่ีระบบสมบูรณแแบบข้ึน คือ กำรพัฒนำ
ชำวเขำจะกํำหนดเป็นกลุมพ้ืนท่ีที่อำศัยอยูใกลเคียงกันหรือลุมนํ้ำเดียวกัน โดย
แนะนํำวิธีกำรทํำกินของชำวเขำ ใหเนนถึงกำรใชประโยชนแที่ดินแบบถำวร ซ่ึง
กํำหนดจำกควำมลำดชันของพื้นท่ีและเนนกำรปลูกพืชอำหำรกอนกำรปลูกพืช
เศรษฐกิจ สำํ หรับขอกำํ หนดควำมลำดชนั และพชื ทีป่ ลูก มดี ังนี้
- ควำมลำดชัน 0 – 1 องศำ สำมำรถปลูกอะไรก็ได แตควรคํำนึงถึง
อำหำรหลักกอ นและเหน็ วำควรทำํ เป็นนำดํำ
- ควำมลำดชัน 2 – 20 องศำ เป็นพื้นที่ท่ีตองมีกำรอนุรักษแ เพื่อจะปลูก
พืชตองทํำเป็นแบบข้ันบันได พืชท่ีปลูกควรเป็นพืชอำหำรและพืชเศรษฐกิจ ถำมี
กำรพฒั นำเรอ่ื งชลประทำนก็ควรจะปลกู ขำ ว โดยทํำนำแบบขั้นบันได
- ควำมลำดชัน 21 – 35 องศำ ลักษณะพ้ืนที่ที่มีควำมลำดชันสูงเชนนี้ไม
เหมำะสํำหรับกำรปลกู พืชไร ทั้งพชื อำหำรและพืชเศรษฐกจิ หำกเหมำะสํำหรับกำร
ปลกู ผลไมยืนตนรวมทั้งกำรปลูกปุำ เพ่ือเอำไมมำทํำประโยชนแใชสอย เชน หุงตม
อำหำร เป็นตน
-30-
เครือข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธ์ุ
สวนพื้นท่ีท่ีสูงกวำ 35 องศำ จะตองสงวนปุำไมไวสํำหรับเป็นแหลงตนน้ํำ
ลำํ ธำรหำ มตดั ไมใ ดๆ ทงั้ ส้นิ 24
สำํ หรบั หนว ยงำนท่ีเขำไปดำํ เนนิ งำนตำมโครงกำร ไดแก
กรมประชำสงเครำะหแ ซึ่งเป็นหนวยงำนที่ดํำเนินกำรพัฒนำและสงเครำะหแ
ชำวเขำมำแตแรกเร่ิมนั้น ไดกระจำยหนวยงำนยอยไปตำมจังหวัดตำง ๆ ที่มี
ชำวเขำอำศัยอยู โดยจัดตั้งศูนยแพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำจังหวัดมีท้ังส้ิน 13
จังหวัด คือ เชียงใหม เชียงรำย แมฮองสอน ตำก ลํำปำง ลํำพูน เพชรบูรณแ
พะเยำ กำญจนบุรี นำน แพร กํำแพงเพชร และอุทัยธำนี ศูนยแแตละแหงไดจัด
หนวยพัฒนำ และสงเครำะหแชำวเขำออกไปประจํำอยูตำมหมูบำนชำวเขำ มี
ทัง้ หมด 222 หนว ย
นอกจำกน้ีกรมประชำสงเครำะหแยังไดจัดต้ังโครงกำรพิเศษข้ึนอีก 2
โครงกำรเพือ่ ทํำกำรพัฒนำกำรเกษตรบนทีส่ ูงโดยเฉพำะ คือ
โครงกำรพฒั นำเศรษฐกจิ และสงั คมบนพืน้ ทสี่ งู ซง่ึ ใชเงินกูจำกธนำคำรโลก
ชนิดไมตองเสียดอกเบ้ียมำดํำเนินงำน และใหเจำหนำที่หนวยพัฒนำ และ
สงเครำะหแชำวเขำเคลื่อนท่ีเป็นผูปฏิบัติงำน โดยทํำกำรพัฒนำแบบแบงเขตพื้นที่
มีท้ังหมด 8 เขต และครอบคลุม 5 จังหวัด คือ เชียงใหม 2 เขต เชียงรำย 2
เขต แมฮองสอน 2 เขต ลํำปำง 1 เขต และนำนอีก 1 เขต โครงกำรนี้เป็นกำร
สงเสริมใหชำวเขำรูจักทํำกำรเกษตรแบบข้ันบันได ท้ังกำรทํำนำ และกำรปลูก
กำแฟ มพี น้ื ที่ปฏิบัตกิ ำรรำว 3,000 ไร ขณะเดยี วกันก็ดํำเนินงำนพัฒนำสังคมรวม
ไปดวย
โครงกำรไทย–นอรเวยแ เป็นโครงกำรตอเน่ืองจำกโครงกำรปลูกพืชทดแทน
บนพ้ืนที่สูง และกำรตลำดไทย – สหประชำชำติ ซ่ึงสิ้นสุดโครงกำรในปี พ.ศ.
2528 และรัฐบำลนอรเวไดเขำมำรับชวงตอ และไดดํำเนินงำนตำมหมูบำน
ชำวเขำที่กระทํำอยูเดิมเกี่ยวกับกำรพัฒนำกำรเกษตรบนท่ีสูง และกำรตลำด ซ่ึงมี
หมบู ำ นหลัก 5 หมูบ ำ น และหมบู ำนบริวำร 25 หมูบำ น
กรมสงเสรมิ กำรเกษตร ดํำเนินงำนสง เสรมิ กำรเกษตรแกชำวเขำทุกรูปแบบ
เป็นลักษณะผสมผสำน โดยจัดตั้งศูนยแสงเสริมกำรเกษตรท่ีสูงในหมูบำนหลัก และ
หมูบำนบริวำรที่รับผิดชอบ มีทั้งหมด 79 หมูบำน และมี 3,825 ครอบครัว เพื่อ
24 กลมุ ประสำนงำนจดั สวสั ดกิ ำรแกชุมชนบนพ้ืนทส่ี ูง, อำ งแลว .
-31-
เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ
สงเสริมปลูกพืชทดแทนฝิ่น ปลูกขำวใหเพียงพอแกกำรบริโภคของชำวเขำเอง ให
มีกำรปลูกพืชเศรษ ฐกิจ อำยุสั้นเพ่ือเพ่ิม รำยไดแล ะอำห ำรเพื่อ กำรโภชน ำกำร
ปรับปรุงปศุสัตวแในเรื่องกำรผสมพันธุแ และกำรปูองกันโรคระบำดของสัตวแ สํำหรับ
พืชสงเสรมิ ใหชำวเขำปลูกก็เป็นไปทำงไมผลเมืองหนำวบำงชนิดท่ีสำมำรถปลูกได
บนภูเขำ เชน แอปเปิล สำล่ี บ฿วย พลับ สตรอเบอรแร่ี พืชผักและดอกไมเมือง
หนำวบำงประเภท นอกจำกน้ีก็มีขำว กำแฟ ขำวนำดํำ ขำวไร ขำวโพด พืช
ตระกูลถั่วตำง ๆ และพืชผักอ่ืน ๆ โดยจัดตั้งเป็นศูนยแสํำหรับกำรเกษตรที่สูง
จำํ นวน 10 แหง ในจังหวดั เชยี งใหมและมีพ้นื ทีด่ ํำเนินงำนถงึ 45,891 ไร
โครงกำรหลวงภำคเหนือ เดิมใชช่ือวำโครงกำรในพระบรมรำชำนุเครำะหแ
ชำวเขำเริ่มตั้งขึ้นเม่ือปี พ.ศ. 2512 เป็นโครงกำรที่ทํำหนำท่ีประสำนงำนของ
หนวยรำชกำรตำง ๆ และใหกำรสนับสนุนในดำนงบประมำณ ดำนวิชำกำร กำร
สงเสริมและกำรตลำดรวมท้ังกำรเขำไปชวยแกไขปใญหำและอุปสรรคตำงๆ ท่ี
เกิดขึ้นในหมูบำนท่ีเขำไปพัฒนำท้ังในแงทำงกำรประสำนงำนดำนนโยบำยและ
วิชำกำร ในกำรดํำเนินงำนน้ันจะมีคณะกรรมกำรสองชุด คือ คณะกรรมกำร
ประสำนงำนวิจัยกำรเกษตรที่สูง ประกอบดวยเจำหนำท่ีมำจำกสวนรำชกำรและ
หนวยงำนตำง ๆ ท่ีปฏิบัติงำนบนท่ีสูง คณะกรรมกำรชุดน้ีรับผิดชอบในดำน
กำรศึกษำวิจัยคนควำและทดลองทำงดำนกำรเกษตร เพ่ือจะไดนํำผลท่ีไดมำจำก
กำรวิจัยที่เหมำะสมแกชำวเขำไปถำยทอดใหเจำหนำท่ีสงเสริมกำรเกษตรนํำไป
ปฏบิ ตั ิตอไป สำํ หรบั คณะกรรมกำรอีกชุดหน่ึงคือ คณะกรรมกำรสงเสริมกำรเกษตร
ท่ีสูง ซ่ึงประกอบดวยเจำหนำท่ีจำกสวนรำชกำรและหนวยงำนที่เก่ียวของเชนกัน
แตจะมีเจำหนำที่สงเสริมกำรเกษตรท่ีปฏิบัติงำนในสนำมเขำรวมดวย และนํำผล
จำกกำรวิจัยไปทดลองปฏิบัติจริง ๆ โดยจัดสำธิตใหแกชำวเขำเพ่ือจะสงเสริมให
ชำวเขำปฏิบัติตำมหลักวิชำกำรตอไป ในกรณีน้ีมีปใญหำในกำรปฏิบัติงำนก็จะนํำ
กลบั มำเสนอคณะกรรมกำรชุดแรกเพ่อื หำทำงแกไขตอไป คณะกรรมกำรทั้งสองชุด
จะตอ งทํำกำรประชุมทุกเดือน
สํำนักงำนคณะกรรมกำรปูองกันและปรำบปรำมยำเสพติด (ปปส.) จัดตั้ง
ขึ้นเม่อื ปี พ.ศ.2519 มหี นำท่ีดํำเนินกำรเก่ียวกับกำรปรำบปรำมยำเสพติดประเภท
ตำ ง ๆ รวมทง้ั กำรปูองกันกำรระบำดยำเสพติดดวย คณะกรรมกำรชุดน้ีเห็นวำ ฝิ่น
ท่ีชำวเขำปลูกนั้นเป็นตนกํำเนิดของยำเสพติดท่ีรำยแรง จึงพยำยำมใหชำวเขำเลิก
-32-
เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาติพันธุ์
ปลูกฝิ่นโดยจัดต้ังโครงกำรปลูกพืชทดแทนกำรปลูกฝ่ิน ซึ่งแยกออกเป็นโครงกำร
ยอย 2 โครงกำร คอื
โครงกำรปลูกพืชทดแทนและพัฒนำเศรษฐกิจชำวไทยภูเขำไทย -
สหประชำชำติซ่ึง ปปส. รับมำดํำเนินกำรตอจำกคณะกรรมกำรรับกำรชวยเหลือ
จำกตำงประเทศ กรมตํำรวจเป็นโครงกำรที่สหประชำชำติใหควำมชวยเหลือ เพื่อ
มุงใหชำวเขำลดกำรปลูกฝิ่นและหันมำปลูกพืชอื่นทดแทนและยังมีจุดมุงหมำยให
ชำวเขำเลิกรำงกำรทํำลำยปุำไม โดยสงเสริมใหชำวเขำหวนกลับมำใชประโยชนแ
จำกพ้ืนที่ดินที่ถูกละท้ิงไวแตเดิม นอกจำกนี้ยังไดพัฒนำอำชีพเพื่อใหชำวเขำมี
ควำมเป็นอยูที่ดีข้ึน รวมท้ังใหกำรบํำบัดรักษำชำวเขำที่ติดยำ โครงกำรน้ีมีพ้ืนท่ี
ดํำเนินงำนอยูในจังหวัดเชียงใหมทั้งหมด เป็นหมูบำนหลัก 5 หมูบำน และ
หมูบำนบริวำร 25 หมูบำน มีสถำนีทดลองและศูนยแฝึกอบรมเกษตรที่สูงขุนชำง
เค่ยี น โครงกำรน้ีไดส ิน้ สดุ ลงแลวในขณะนี้ และทำง ปปส. ไดมอบหมูบำนชำวเขำ
ที่อยูในโครงกำรใหกรมประชำสงเครำะหแรับผิดชอบและนํำไปดํำเนินกำรตอ สวน
สถำนที ดลองขุนชำ งเคย่ี นกม็ อบใหม หำวทิ ยำลัยเชียงใหมน ำํ ไปใชประโยชนแในกำร
ทดลองตอ ไป
โครงกำรไทย–เยอรมัน เป็นโครงกำรท่ีจัดตั้งข้ึนเม่ือปี พ.ศ. 2524
ครอบคลุมพ้ืนที่ประมำณ 3,000 ตำรำงกิโลเมตร ในเขตอํำเภอแมสรวย จังหวัด
เชียงใหม อํำเภอเมืองจังหวัดแมฮองสอน และอํำเภอเชียงดำว จังหวัดเชียงใหม
โดยใชแนวทำงกำรพัฒนำแบบผสมผสำนเพ่ือพัฒนำดำนกำรเกษตรใหชำวเขำมี
กำรทํำนำแบบถำวรมำกขึ้น สงเสริมกำรปลูกพืชเศรษฐกิจท่ีทํำรำยไดสูง ใชท่ีดิน
แบบอนุรักษแ และใชทรัพยำกรธรรมชำติอยำงมีประสิทธิภำพโดยเฉพำะปุำไม ดิน
นำ้ํ ปรับปรุงดำ นอนำมยั และกำรรกั ษำพยำบำล ตลอดจนกำรคมนำคมขนสงรวมท้ัง
กำรเนนใหชำวเขำมีควำมสํำนึกเป็นคนไทยมำกขน้ึ
ในปี พ.ศ. 2525 รัฐบำลไดแตงตั้งคณะกรรมกำรอํำนวยกำรแกไขปใญหำ
ควำมมั่นคงแหงชำติเก่ียวกับปใญหำชำวเขำและกำรปลูกฝิ่น โดยมีรอง
นำยกรฐั มนตรีเป็นประธำน
สวนนโยบำยแกไขปญใ หำชำวเขำและกำรปลกู ฝ่นิ ไดก ำํ หนดไวด งั นี้ คอื
1. ดำ นกำรปกครอง เพื่อใหช ำวเขำมีควำมสํำนึกเป็นคนไทย และเป็นสวน
หนึ่งของสังคมไทย ไมสรำงปใญหำทำงดำนควำมมั่นคงและกอภำระดำนเศรษฐกิจ
-33-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาตพิ นั ธุ์
สังคม และกำรเมืองใหกับประเทศ รวมท้ังจัดระเบียบกำรประกอบอำชีพบนภูเขำ
ใหเปน็ ไปตำมกฎเกณฑแของทำงรำชกำร จงึ ไดมีนโยบำยทส่ี ำํ คญั ดงั นี้
1.1 สรำงควำมรูควำมเขำใจที่ถูกตองและควำมผูกพันทำงจิตใจตอ
สังคมไทยแกชำวเขำดวยโครงกำรศึกษำนอกระบบ กำรประชำสัมพันธแอื่น ๆ
รวมท้งั ใหชำวเขำเคำรพกฎหมำยบำนเมือง
1.2 กํำหนดพ้ืนที่ที่เหมำะสมใหชำวเขำอยูอำศัย และทํำกินเป็นหลัก
แหลง
1.3 จดั ระเบยี บควำมเป็นอยู และเรง สํำรวจจำํ นวนชำวเขำทแี่ นนอน
1.4 สกัดกน้ั และผลกั ดันกำรอพยพเขำมำใหมข องชำวเขำ
2. ดำนกำรเลิกปลูกฝิ่นและเสพฝิ่น เพื่อใหชำวเขำลดกำรปลูกฝ่ินและเสพ
ฝ่ิน จนกระท่ังเลิกในที่สุด และใหพนจำกอิทธิพลท่ีสนับสนุนกำรปลูกฝิ่นและคำยำ
เสพติด ไดวำงนโยบำยดังน้ี
2.1 สงเสริมใหมีรำยไดจำกอำชีพอื่นแทนกำรปลูกฝ่ิน ดวยวิธีกำร
ประชำสัมพันธแและกำรปฏบิ ตั ิทำงจติ วทิ ยำ เพ่อื ใหเขำ ใจถึงพิษภัยของฝ่ินและจูงใจ
ใหเลิกเสพฝนิ่
2.2 ปรับปรุงประสิทธิภำพกำรคุมครองชำวเขำอิทธิพลตำง ๆ และ
สง เสริมใหชำวเขำมีควำมสำมำรถทจ่ี ะปูองกนั ตนเอง
2.3 แสวงหำควำมชวยเหลือจำกตำงประเทศ และใหมีองคแกำรหลัก
รบั ผดิ ชอบใหก ำรปฏิบตั ิงำนดํำเนินไปตำมควำมมุงหมำยของกำรชวยเหลือ
3. ดำนพัฒนำเศรษฐกิจและสังคม เพื่อใหชำวเขำมีควำมเป็นอยูใกลเคียง
กับคนไทยพ้ืนรำบ ควรควบคุมอัตรำกำรเพิ่มประชำกรของชำวเขำดวย และมี
หลักเกณฑแกำรดำํ เนินงำนดังนี้
3.1 ปรับปรุงใหชำวเขำมีรำยไดจำกอำชีพอื่นท่ีเพียงพอตอกำรยังชีพ
และใหก ำรปรบั ปรุงน้ีเป็นประโยชนตแ อคนไทยพ้นื รำบอยำ งเหมำะสมดว ย
3.2 กระจำยกำรบรกิ ำรสำธำรณสขุ ขน้ั พนื้ ฐำน
3.3 ดํำเนนิ กำรวำงแผนครอบครัวและควบคมุ กำรยำ ยถิ่นฐำน
3.4 ประชำสัมพันธแและปฏิบัติกำรจิตวิทยำตอชำวไทย และชำวเขำ
สรำ งควำมเขำใจทถ่ี ูกตอ งในกำรชวยเหลอื ทำงรำชกำร
-34-
เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ิตของกล่มุ ชาติพันธ์ุ
3.5 พัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำตำมสภำพปใญหำในพื้นท่ีตำมแบบ
และโครงกำรท่ีจัดทํำข้ึนใหมีหนวยงำนหลักและรองตำมลักษณะกำรแกไขปใญหำ
เฉพำะหนำ เพอ่ื คล่ีคลำยปญใ หำเฉพำะหนำ กอ นที่จะสงใหหนวยงำนปกติดํำเนินกำร
ตอ ไป
นอกจำกนโยบำย พ.ศ. 2519 แลว รัฐบำลยังไดบรรจุกำรพัฒนำชำวเขำ
ไวใ นแผนพฒั นำเศรษฐกิจและสังคมแหงชำติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525 –2529) ใน
ฐำนะทีช่ ำวเขำเปน็ ประชำกรสวนหนึ่งของประเทศ เฉกเชนประชำกรไทยท้ังหลำย
สํำหรบั แผนกำรพัฒนำนนั้ ไดก ํำหนดไวดังนี้
1. เรงดํำเนินกำรลดอัตรำเพ่ิมประชำกรชำวเขำกับคนไทยบนท่ีสูง และ
สนับสนุนใหประชำกรทั้งสองกลุม ตั้งถิ่นฐำนถำวรใหเหมำะสมกับสภำพพื้นท่ี
โดยเฉพำะชุมชนที่มีประชำกรหนำแนน และมีอัตรำประชำกรสูง
2. เรงปรับปรุงพ้ืนที่ที่ทรัพยำกรธรรมชำติเส่ือมโทรม และปูองกันกำร
ทํำลำยทรัพยำกรธรรมชำติบนท่ีสูงจำกกำรกระทํำของประชำกรท้ังสองกลุม
ดงั กลำ ว
3. เรง ปรบั ปรงุ องคกแ รท่ีดำํ เนินงำนพัฒนำชำวเขำรวมกันระหวำงหนวยงำน
และกํำหนดขั้นตอนกำรพัฒนำและผูรับผิดชอบใหชัดเจน โดยยึดแผนพัฒนำ
ชำวเขำเป็นแผนแมบทและเป็นแกนกลำงประสำนงำนกำรพัฒนำของหนวยงำน
รวมตลอดถึงโครงกำรหลวงพัฒนำภำคเหนือ โครงกำรพระรำชดํำริและมูลนิธิท่ี
เกี่ยวของ
4. เรงพัฒนำเศรษฐกิจหลักดำนเกษตรกรรมควบคูไปกับสำขำอื่น ๆ
เพ่ือใหประชำกรท้ังสองกลุมมีอำชีพท่ีถำวร มีรำยไดเพียงพอในกำรยังชีพ และลด
กำรปลูกฝ่ิน โดยใหเพิ่มผลผลิตของพืชสงเสริมใหสูงข้ึน และกระจำยแรงงำนจำก
ภำคเกษตรไปสูอำชีพหลักอ่ืน โดยเนน อุตสำหกรรมในครัวเรือน
5. พัฒนำใหชำวเขำเป็นพลเมืองท่ีมีคุณภำพและสำมำรถชวยตัวเองได
โดยเนนกำรเสริมสรำงควำมรูและบริกำรพัฒนำอนำมัยข้ันพ้ืนฐำน รวมถึงกำรลด
อตั รำกำรตดิ ยำเสพติด
6. เรงรัดพัฒนำดำนตำง ๆ เพ่ือใหชำวเขำเขำมำสวนรวม โดยเฉพำะ
หมูบำนที่ไมมีหนวยรำชกำรใดเขำถึง เรงสรำงควำมสัมพันธแเพื่อเสริมสรำงควำม
-35-
เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธ์ุ
เขำใจ และกำรผูกพันทำงจิตใจของชำวเขำใหมีควำมนิยมในชำติ ศำสนำ และ
พระมหำกษัตริยแ
ในระหวำงปี พ.ศ. 2525 – 2532 วันท่ี 27 ธันวำคม พ.ศ.2525
คณะรัฐมนตรีไดกํำหนด “นโยบำยในกำรแกปใญหำชำวเขำและกำรปลูกฝ่ิน”
เน่ืองจำกรัฐพิจำรณำเห็นวำมีหนวยงำนภำครัฐหลำยหนวยงำนที่เขำไปดํำเนินกำร
พัฒนำชำวเขำอยำงซ้ํำซอนกัน จึงกํำหนดนโยบำยกำรพัฒนำเป็น 3 ดำนคือ กำร
ปกครอง กำรปลูกและเสพฝ่ิน และกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคม โดยแตงต้ัง
คณะกรรมกำรทีร่ ับผดิ ชอบดำํ เนินกำร 3 ระดับคือ ระดบั ชำติ ไดแก คณะกรรมกำร
อำํ นวยกำรแกไขปใญหำควำมมั่นคงแหง ชำตเิ กีย่ วกับปใญหำชำวเขำและกำรปลูกฝิ่น
(อขส.) มีรองนำยกรัฐมนตรเี ป็นประธำนและมผี แู ทนระดับกระทรวง ระดับจังหวัด
ไดแก คณะกรรมกำรชำวเขำสวนจังหวัด ตอมำทำงคณะรัฐมนตรีไดอนุมัติ
เพิ่มเติมอีกหน่ึงองคแกร คือ ศูนยแอํำนวยกำรประสำนงำนแกไขปใยหำชำวเขำและ
กำรกํำจัดกำรปลูกฝิ่น กองทัพภำคที่ 3 (ศอ.ชข.ทภ.3) เพ่ือทํำหนำท่ีชวยเหลือ
องคกแ รระดบั ชำติ และสนบั สนนุ องคแกรระดบั จงั หวดั
อยำงไรกต็ ำม กำรพัฒนำเกษตรท่ีสูงของหนวยงำนตำง ๆ ที่ดํำเนินงำนมำ
เป็นเวลำนำน และใชจำยเงินงบประมำณไปเป็นจํำนวนมำก แตยังไมประสบ
ผลสํำเร็จเทำท่ีควร ทั้งยังมีชำวเขำที่ปลูกฝิ่นรวมท้ังสภำพควำมเป็นอยูโดยทั่วไปก็
อยูในระดับตํ่ำกวำมำตรฐำนเมื่อเทียบกับคนไทยทั่วๆ ไป แมวำบำงโครงกำรจะ
ส้ินสุดกำรทํำงำนไปแลว แตยังไมสำมำรถถอนสภำพของหนวยพัฒนำและ
สงเครำะหแ แตกลับตองเพ่ิมจํำนวนหนวยพัฒนำข้ึนทุกปี ปรำกฏกำรณแดังกลำวมี
กำรสรปุ ประเด็นสำเหตจุ ำกปใญหำในตัวเองของชำวเขำ ดงั นี้
1. ปใญหำดำนกำรขำดกำรศึกษำของชำวเขำ ชำวเขำสวนใหญยังอำนไม
ออกและเขียนภำษำไทยไมได ดังน้ันจึงเป็นอุปสรรคในกำรติดตอสื่อสำรทํำใหส่ือ
ควำมหมำยไมไดผลและชำวเขำไมสำมำรถนํำควำมรูท่ีไดรับจำกกำรอบรมไปใช
ประโยชนไแ ด
2. ปใญหำทุนทรัพยแและแรงงำน เน่ืองจำกกำรทํำกำรเกษตรของชำวเขำ
ตองอำศัยแรงงำนจำกครอบครัวเพรำะขำดแคลนทุนทรัพยแที่จะไปรับจำงแรงงำน
นอกครอบครวั ประกอบกับครอบครัวของชำวเขำสวนใหญมีขนำดเล็ก ท้ังนี้ยกเวน
พวกแมวและเยำ ดังน้ันแรงงำนท่ีมีอยูในครอบครัวจึงถูกใชไปในกำรผลิตเพื่อ
-36-
เครอื ข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพันธุ์
บริโภค น่ันคือสนใจทํำกำรเพำะปลูกเฉพำะพืชอำหำรเทำน้ัน สวนพืชเศรษฐกิจที่
ตองใชแรงงำนเพ่ิมข้ึน รวมทั้งกำรลงทุนในแงของพืชเป็นวิทยำกำรใหม ๆ เชน
กำรใชปุย กำรใชยำฆำแมลงตำงๆ เหลำนี้จึงไมไดรับควำมสนใจจำกชำวเขำ
เพรำะเกินกํำลังควำมสำมำรถในแงของตนทุนกำรผลิต สวนชำวเขำเผำแมวและ
เยำ ที่มคี รอบครัวขนำดใหญม แี รงมำกพอทจ่ี ะกระทำํ ไดกไ็ มส นใจเชนกนั เพรำะเม่ือ
เทยี บกับฝ่ินปรำกฏวำ ฝิ่นใหรำยไดด ีกวำ และเพำะปลูกงำยกวำ
3. ปใญหำรำคำพืชผลสวนรวม หลังจำกท่ีเก็บเกี่ยวผลผลิตไดแลว ชำวเขำ
ก็จะตองขนสินคำลงขำยท่ีตลำดในเมืองและหำตลำดเอง ซึ่งสวนใหญก็จะถูกกด
รำคำจำกพอคำคนกลำงเชนเดียวกับเกษตรกรไทยท่ัวๆ ไป แมจะมีกำรประกัน
รำคำก็ตำม แตโดยสภำพควำมเป็นจริงแลว ชำวเขำและเกษตรกรจะตองขำยต่ํำ
กวำรำคำประกันเสมอ เพรำะไมมีอํำนำจในกำรตอรองกับพอคำ ดังนั้น ชำวเขำ
จํำตองขำยผลผลิตของตนท้ัง ๆ ที่ไมไดรำคำเพ่ือที่จะไดไมตองเสียคำใชจำยใน
กำรขนกลับขึ้นไปบนภูเขำ เม่ือเป็นเชนน้ันจึงทํำใหชำวเขำไมสนใจท่ีจะทํำกำร
เพำะปลูกพชื ผลสงเสริม โดยเฉพำะอยำงยิ่งในกลุมชำวเขำท่ีทํำกำรปลูกฝ่ิน เพรำะ
ผลตอบแทนที่ไดรับตำงกันมำก ดวยฝ่ินนั้นปลูกงำยไมตองกำรดูแลขำยไดรำคำดี
และมพี อคำ ขน้ึ ไปชื้อถงึ ทห่ี ำกรำคำไมเ ป็นที่ตกลงกอ็ ำจเก็บไวไดอีกดวย25
เนื่องจำกกำรดํำเนินเก่ียวกับชำวเขำน้ัน มีเปูำหมำยท่ีแนนอนคือให
ชำวเขำเป็นพลเมืองที่มีคุณภำพ สำมำรถชวยตัวเองได มีรำยไดเพียงพอแกกำร
ครองชีพตำมมำตรฐำนท่ัวไปและมีชีวิตควำมเป็นอยูที่ดีข้ึน ท่ีสํำคัญคือใหชำวเขำ
เลกิ กำรปลูกฝ่ินหันมำปลูกพืชชนิดอื่นแทน นอกจำกสนับสนุนใหชำวเขำยึดอำชีพ
เกษตรกรรมเป็นอำชีพหลักแลว ยังสนับสนุนใหชำวเขำมีอำชีพรอง ซึ่งไดแก
อตุ สำหกรรมในครัวเรือน เพ่ือจะไดมีรำยไดเพ่ิมขึ้น ทั้งยังเป็นกำรใชแรงงำนเหลือ
ใหเป็นประโยชนแอีกดวย ดังน้ันหนวยงำนท่ีเขำไปทํำงำนกับชำวเขำจึงไดจัดอบรม
ควำมรูที่เกี่ยวกับวิชำชีพตำงๆ พรอมทั้งในกำรสนับสนุนในดำนกำรจัดหำตลำด
ดงั น้ี
กรมประชำสงเครำะหแ ตั้งแตปี พ.ศ. 2514 เป็นตนมำ องคแกำรยูนิเซฟได
ใหควำมชวยเหลือชำวเขำผำนกรมประชำสงเครำะหแ โดยจัดเป็นโครงกำรฝึกอบรม
วิชำชีพตำง ๆ ไดแกกำรตัดเย็บเส้ือผำ กำรทอผำ กำรยอมสีผำ กำรตีเหล็ก กำร
25 กลุมประสำนงำนจดั สวสั ดิกำรแกชมุ ชนบนพืน้ ทีส่ งู , อำ งแลว.
-37-
เครอื ขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกล่มุ ชาตพิ นั ธุ์
เจียระไนพลอย กำรทํำเคร่ืองเงิน และกำรทํำไมกวำดใหกับชำวเขำท่ีอยูตำม
จังหวดั ตำงๆ รวมทง้ั ไดมีกำรจดั ตั้งศูนยแฝึกอำชีพชำวเขำขึ้น เมื่อส้ินสุดโครงกำรใน
ปี พ.ศ. 2525 ศูนยแพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำจังหวัดตำง ๆ รวมทั้งศูนยแฝึก
อำชีพกไ็ ดด ํำเนินงำนตอ โดยจัดฝึกอบรมวิชำชีพแกชำวเขำรุนตอๆ มำ และเม่ือมี
กำรจัดต้ังโครงกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมบนท่ีสูงขึ้น ก็ไดมีกำรจัดต้ังรำนคำ
หัตถกรรมชำวเขำขึ้น สํำหรับรับชื้อเสื้อผำและส่ิงของชำวเขำเพ่ือนํำมำขำยสู
ทองตลำดซึ่งปรำกฏวำกํำลังเป็นที่นิยมอยูในขณะนี้ ในกำรดํำเนินงำนน้ันทำงรำน
จะเป็นผูออกแบบเสื้อผำและลวดลำยใหชำวเขำประดิษฐแแลวนํำมำขำยใหกับทำง
รำน เพื่อจะไดขำยใหกับลูกคำตอไปปรำกฏวำขณะนี้มีชำวเขำทํำอุตสำหกรรมใน
ครวั เรอื นจํำนวน 1,729 คน
มูลนิธิสงเสริมผลผลิตชำวเขำไทย จัดตั้งข้ึนเม่ือปี พ.ศ. 2512 โดย
กองบัญชำกำรตํำรวจตระเวนชำยแดน ขณะน้ีอยูในอุปถัมภแของสมเด็จพระศรีนค
ริน ท ร ำ บ ร ม รำ ช ช น นี จุ ด มุ งห ม ำ ย ข อ ง มู ล นิ ธิ นี้ ก เ พ่ื อ สง เ ส ริ ม ใ ห ช ำ ว เ ข ำ รั ก ษ ำ
ศิลปหัตถกรรมประจํำเผำอันเป็นเอกลักษณแและกำรมีอำชีพรองเพ่ือจะไดมีรำยได
เพิ่มข้ึน วิธีดํำเนินงำนก็ไดกำรสนับสนุนทุนและอุปกรณแตำงๆ ท่ีตองใชในกำร
ทํำงำน ไดจัดต้ังรำนคำชำวเขำข้ึน เพ่ือรับชื้อสินคำจำกชำวเขำจํำพวกเสื้อผำและ
เคร่ืองเงนิ แลวนํำไปจำํ หนำ ยทัง้ ในประเทศและตำ งประเทศ รำ นคำของมูลนิธิมีอยู
สองแหง คือ ท่จี ังหวัดเชียงใหม และที่กรงุ เทพมหำนครในบริเวณวังสระประทุม
ตํำรวจตระเวนชำยแดน เป็นหนวยงำนแรกที่ทํำงำนเกี่ยวกับชำวเขำ โดย
ไดชวยเหลือสงเครำะหแชำวเขำที่อยูหำงไกลกำรคมนำคม และเห็นวำผลิตภัณฑแ
เส้ือผำชำวเขำนั้นมีลวดลำยสวยงำม หำกไดนํำมำจํำหนำยแกคนพ้ืนรำบก็จะเป็น
กำรชวยเหลือชำวเขำใหมีรำยไดเพิ่มขึ้นอีกทำงหน่ึง จึงไดจัดตั้งโครงกำรสงเสริม
ผลิตภัณฑแชำวเขำขึ้น เพ่ือรับช้ือสินคำจำกชำวเขำและนํำมำสงใหรำนมูลนิธิ
สงเสรมิ ผลผลติ ชำวเขำไทย จำํ หนำยตออีกทอดหนึง่
กรมประชำสงเครำะหแ งำนพัฒนำชำวเขำท่ีดํำเนินมำตั้งแตปี พ.ศ. 2499
น้ัน เป็นกำรสงเครำะหแในลักษณะกำรแกไขปใญหำเฉพำะหนำ สํำหรับชำวเขำที่
ไดรับควำมเดอื ดรอนในดำ นอำหำร ยำรกั ษำโรค เคร่ืองนุงหมกันหนำว เป็นตน แต
ตอมำเม่ือรัฐบำลตองกำรใหชำวเขำอยูเป็นหลักแหลง เพ่ือจะไดงำยตอกำรพัฒนำ
และกำรสงเครำะหแและเพ่ือปูองกันมิใหชำวเขำตัดไมทํำลำยปุำเพ่ิมข้ึน จึงไดมีกำร
-38-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
จัดตง้ั นคิ มสรำ งตนเองสงเครำะหแชำวเขำข้ึน 4 แหง และดํำเนินกำรตำมแบบนิคม
สรำงตนเองบนพ้ืนรำบ นับวำเป็นคร้ังแรกที่มีกำรจัดแหลงที่อยูอำศัยท่ีทํำกินถำวร
ใหกับชำวเขำ แตกำรดํำเนินงำนคร้ังนั้นไมประสบผลสํำเร็จ เน่ืองจำกชำวเขำไม
ตองกำรอยูรวมกับคนตำงเผำท่ีมีวัฒนธรรมประเพณี และภำษำแตกตำงกัน ดังนั้น
จึงตองมีกำรเปล่ียนแปลงรูปแบบใหมเป็นกำรจัดต้ังศูนยแพัฒนำและสงเค รำะหแ
ชำวเขำแตละเผำขึ้นและไดจัดสงเจำหนำที่เขำไปอยูประจํำ ซ่ึงปรำกฏวำไดผล
กลำวคือถำ หมบู ำนไหนท่ีมีเจำหนำท่ีอยูประจำํ ชำวเขำมักจะไมอพยพ แตถำมีกำร
อพยพเกิดขึ้นก็มักเป็นลักษณะกำรอพยพของครัวเรือนไปอยูกับญำติพ่ีนองอีก
หมบู ำนหน่งึ แตจ ะไมม กี ำรอพยพทง้ั หมูบำนเชนสมยั แรกๆ
สวนชำวเขำท่ีอำศัยอยูในพ้ืนท่ีโครงกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมบนท่ีสูง
ในพื้นท่ี 8 เขต ครอบคลุม 5 จังหวัดนั้น ปรำกฏวำไดมีกำรปรับปรุงพ้ืนที่ทํำกิน
ของชำวเขำ เพื่อสำมำรถปลูกพืชประจํำปี และพืชหมุนเวียนในบริเวณพ้ืนที่
2,109 ไร โดยใชระบบชลประทำนปลูกกำแฟ 990 ไร ดวยทำงรำชกำรเห็นวำ
พ้ืนที่เหลำน้ีสำมำรถนํำมำใชทํำกินไดอีกอยำงพอเพียง หำกมีกำรปรับปรุงสภำพ
ดินใหดีขึ้น ดังน้ัน จึงไมจํำเป็นตองไปจัดหำแหลงท่ีทํำกินแหงใหม เพรำะจะเป็น
กำรทํำลำยปุำไมเพ่ิมข้ึน เมื่อชำวเขำมีที่ทํำกินถำวรอยำงพอเพียง เชน มีนำดํำ
สวนผลไมยืนตน และมีกำรปลูกพืชหมุนเวียน ปใญหำกำรอพยพและปใญหำกำร
ปลกู ฝน่ิ ก็จะลดลง รวมท้ังกำรทํำลำยทรพั ยำกรธรรมชำติก็จะนอ ยลงเชนกนั
นอกจำกน้ี กรมประชำสงเครำะหแยังไดเสนอโครงกำรจัดตั้งที่อยูอำศัยและ
ที่ดินเพื่อกำรครองชีพแกชำวเขำ ตอคณะกรรมกำรปูองกันอนุรักษแทรัพยำกรปุำไม
ซ่ึงมีรัฐมนตรีวำกำรกระทรวงเกษตรและสหกรณแเป็นประธำน ท้ังนี้เพื่อตองกำรให
ชำวเขำต้ังถ่ินฐำนอยำงถำวรและมีท่ีทํำกินอยำงถูกตองตำมกฎหมำย จะไดไมตอง
อพยพเคล่ือนยำ ย ทัง้ ยงั เป็นกำรปูองกนั กำรอพยพเขำ ของชำวเขำจำกนอกประเทศ
ทั้งนี้โดยคํำนึงถึงพื้นที่ที่มีปใญหำที่ตองจัดทํำกอน ไดแกพื้นท่ีท่ีมีกำรปลูกฝ่ิน พื้นที่
ที่เป็นแหลงตนนํ้ำลํำธำร และพ้ืนที่ที่มีปใญหำตอควำมม่ันคงของประเทศ โดย
กํำหนดเปน็ รปู แบบในกำรดํำเนนิ งำนดงั น้ี
1. เปน็ หมูบำนทชี่ ำวเขำมีท่ดี ินครอบครองอยูแลว แตยังไมเพียงพอจึงควร
จัดท่ดี นิ ใหพอกับกำรครองชีพของแตละครอบครัว
-39-
เครือขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพันธ์ุ
2. จัดหมูบำนชำวเขำรวมกันเป็นเขตพื้นที่ ซ่ึงมีลักษณะกำรจัดเขตพ้ืนท่ี
แบบเดยี วกนั กบั โครงกำรพัฒนำเศรษฐกจิ และสังคมบนทสี่ งู
3. เลือกหำท่ีเหมำะสม (พ้ืนท่ีท่ีมีควำมลำดชันนอย ปุำเส่ือมโทรม หรือ
พ้ืนทที่ ํำกินเดมิ ของชำวเขำ) แลว ทํำกำรอพยพชำวเขำมำอยูรวมกันแบบนิคมสรำง
ตนเอง และศนู ยอแ พยพชำวเขำดังกลำ วแลว ในตอนตน
นอกจำกกำรจัดที่ทํำกินของศูนยแพัฒนำและโครงกำรพัฒนำแลว กรม
ประชำสงเครำะหแยังไดรวมมือกับอํำนวยกำรปูองกันและปรำบปรำมกำรกระทํำอัน
เป็นคอมมิวนิสตแ จัดใหมีศูนยแอพยพชำวเขำข้ึน 5 แหง คือที่จังหวัดนำน ตำก
เพชรบูรณแ เชียงรำย และกํำแพงเพชรมีชำวเขำอยูท้ังหมด 30,000 คน โดยที่
หนวยงำนท้ังสองแหงไดสงเจำหนำท่ีออกไปอยูประจํำและไดจัดที่ทํำกินใหแก
ชำวเขำ เพ่ือทํำกำรเพำะปลูก ปใจจุบันชำวเขำที่อำศัยอยูในศูนยแฯ ท้ังสี่แหงน้ีมี
รำยไดจำกกำรปลูกขำวโพดขำยเป็นสวนใหญ
กรมพัฒนำทดี่ นิ ไดด ํำเนนิ กำรจดั สรรทีด่ นิ ทํำกินใหแกชำวเขำ พรอมท้ังทํำ
กำรพัฒนำที่ดินทํำกินเก่ียวกับกำรอนุรักษแดินและน้ํำ ใหมีกำรปรับปรุงดิน กำร
พัฒนำแหลงนํ้ำมีกำรชลประทำนบนภูเขำ กำรกํำหนดชนิดพืช กำรจัดระบบกำร
ปลูกพืช ตลอดจนกำรกํำหนดกำรใชประโยชนแจำกที่ดินใหถูกตองเหมำะสมกับ
สมรรถนะของดิน ซ่ึงมีโครงกำรยอย ๆ อีก 8 โครงกำร มีพื้นท่ีดํำเนินงำนอยูใน
จังหวัดเชียงใหม เชยี งรำย ลำํ พนู นำน และสุโขทัย
กรมปุำไม ไดจัดตั้งโครงกำรหมูบำนหลวงพัฒนำชำวเขำข้ึน ที่โครงกำร
พัฒนำตนนํ้ำหนวยที่หน่ึงทุงจ฿อ และหนวยที่สองหวยน้ํำดัง อํำเภอแมแตง จังหวัด
เชียงใหม ใหมีกำรอนุรักษแปุำไม อนุรักษแดิน ปลูกปุำไมเพิ่มเติม กํำหนดใหเป็นปุำ
ไมใชสอย และไดจัดท่ีดินที่เหมำะสมและเพียงพอสํำหรับที่อยูอำศัยและที่ทํำกิน
ของชำวเขำ เพอ่ื ชำวเขำจะอยเู ปน็ หลักแหลงถำวร26
พ.ศ.2527 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบใหดํำเนินกำรโครงกำรสํำรวจ
ประชำกรชำวเขำโดยสํำนักงำนสถติ ิแหง ชำติ สํำนักงำนคณะกรรมกำรวิจัยแหงชำติ
กรมตํำรวจ กรมกำรปกครอง และกรมประชำสงเครำะหแ
พ.ศ.2528 – 2531 ภำครัฐดํำเนินกำรจัดทํำทะเบียนสํำรวจบัญชีบุคคลใน
บำน จัดรูปแบบกำรปกครองแบบรำชกำรโดยมีผูใหญบำนเป็นผูนํำในหมูบำน
26 กลุมประสำนงำนจดั สวัสดิกำรแกชุมชนบนพ้นื ทส่ี งู , อำงแลว.
-40-
เครือขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาตพิ ันธุ์
หลำยครัวเรือนมที ะเบียนบำ นและสมำชิกในครอบครัวไดรับกำรลงสัญชำติไทยเพ่ิม
มำกขึ้น โดยใชรปู ถำ ยและกำรพมิ พลแ ำยนว้ิ มือเป็นหลักฐำน
พ.ศ.2532 คณะรัฐมนตรีไดมีมติเมื่อวันที่ 7 กุมภำพันธแ พ.ศ.2532 ให
รัฐบำลดํำเนินกำรตำมนโยบำยแกไขควำมมั่นคงแหงชำติเก่ียวกับปใญหำชำวเขำ
และปลูกพืชเสพติดเนนกำรจัดทํำแผนแมบทรวมและใชเป็นกรอบนโยบำยและ
แผนงำนดํำเนินกำรโครงกำรเป็นเวลำ 4 ปี เพื่อใหครอบคลุมปใญหำทุกดำนบน
พ้ืนที่สูง โดยกำรประสำนควำมรวมมือระหวำงสวนรำชกำรตำงๆ ที่เก่ียวของ
นโยบำยน้เี นนกำรพฒั นำในดำ นสำํ คญั 3 ดำนคอื
1. ดำนกำรเมืองกำรปกครอง ใหมีกำรเรงรัด แยกประเภท จัดทํำทะเบียน
และออกบัตรประจํำวันประชำชนแกชำวเขำ และพิจำรณำลงสัญชำติไทยใน
ทะเบียนแกชำวเขำ โดยมีนโยบำยในกำรใหชำวเขำรูจักสิทธิและหนำท่ีของควำม
เป็นพลเมืองไทย และกํำหนดมำตรกำรสกัดก้ันกำรอพยพเขำมำใหมของชำวเขำ
จำกนอกประเทศ ลดและขจัดอิทธิพลของชนกลุมนอยและพรรคคอมมิวนิสตแแหง
ประเทศไทยในหมบู ำนชำวเขำ
2. ดำนกำรพัฒนำเศรษฐกิจและสังคม ใหมีกำรยกระดับรำยไดและพัฒนำ
คุณภำพชวี ิต โดยเนนหลักกำรพึง่ ตนเอง กำรอนรุ ักษแธรรมชำติ กำรต้ังถิ่นฐำนอยำง
ถำวร โครงกำรสงเสริมใหมีกำรปลูกพืชทดแทนกำรปลูกฝ่ิน กำรกระจำยบริกำร
กำรศึกษำและสำธำรณสุขข้ันพ้ืนฐำนใหครอบคลุมทุกพื้นท่ี เรงรัดกำรวำงแผน
ครอบครัว สงเสริมกำรเผยแผศ ำสนำพทุ ธ
3. ดำนกำรอนุรักษแธรรมชำติ จัดใหมีแผนกำรใชท่ีดิน กํำหนดกฎหมำย
และระเบยี บของทำงรำชกำรในกำรอนรุ กั ษแทรัพยำกรธรรมชำติ
พ.ศ.2532 – 2534 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติใหกระทรวงมหำดไทย โดย
กรมกำรปกครอง ดํำเนินกำรตำมโครงกำรจัดทํำทะเบียนประวัติและบัตรประจํำตัว
บคุ คลบนพ้นื ที่สงู ในพน้ื ที่ 20 จังหวดั เรยี กกนั วำ “บัตรสีฟำู ”
พ.ศ.2535 เมื่อวันท่ี 11 กมุ ภำพนั ธแ พ.ศ.2535 คณะรัฐมนตรีมีมติแตงต้ัง
คณะอนุกรรมกำรเฉพำะกิจทํำแผนแมบทเพื่อกำรพัฒนำชุมชน ส่ิงแวดลอม และ
กำรควบคุมพืชเสพติดบนพื้นท่ีสูง เพื่อใชเป็นกรอบแผนแมบทและแผนงำน
ดํำเนินกำรโครงกำรในระหวำงปี พ.ศ.2535 – 2539 โดยกํำหนดวัตถุประสงคแไว
อยำงชัดเจน เชน เพ่ือใหชุมชนบนพื้นที่สูงไดรับกำรจัดตั้งถ่ินฐำนและที่ทํำกินท่ี
-41-
เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลุ่มชาติพันธุ์
ถำวร เพ่ือยกระดับรำยไดของประชำกรเพื่อพัฒนำคุณภำพชีวิต เพ่ือใหมีระบบกำร
อนุรักษแ กำรใชและกำรพัฒนำทรัพยำกรธรรมชำติ เพ่ือใหเลิกปลูกฝิ่น และเนนให
ประชำกรชำวเขำใหเขำมำมีสวนรวมในกำรพัฒนำใหมำกข้ึน และมีกำรออก
ระเบียบสํำนักทะเบียนกลำง กระทรวงมหำดไทย วำดวยกำรพิจำรณำลงรำยกำร
สัญชำตไิ ทยในทะเบียนบำนใหแกชำวไทยภูเขำ พ.ศ.2535 โดยอำศัยอํำนำจแหง
พระรำชบัญญัติกำรทะเบียนรำษฎร พ.ศ.2534 กํำหนดเง่ือนไขของชำวไทยภูเขำ
ทีจ่ ะไดรับกำรพจิ ำรณำลงรำยกำรสัญชำติไทย และเพมิ่ ช่อื เขำ ทะเบียนบำน
พ.ศ.2538 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักกำรกำรใชกรมกำรปกครอง
กระทรวงมหำดไทย ดํำเนินกำรตำมโครงกำรพิจำรณำสถำนะคนตำงดำวแกชำวเขำ
ที่อพยพเขำมำในประเทศในพ้ืนท่ี 20 จังหวัด ตั้งแตปี พ.ศ.2540 – 2544
ระเบียบน้ีทํำใหชำวเขำท่ีตกสํำรวจหรือท่ีกํำลังรอกำรพิจำรณำลงสัญชำติไดรับกำร
พิจำรณำใหสัญชำติเพม่ิ ขึน้
พ.ศ.2539 มีกำรจัดทํำแผนแมบทใหมฉบับท่ี 2 เพ่ือใชเป็นแผนปฏิบัติ
งำนในระหวำงปี พ.ศ.2540 – 2544 เพื่อใชเป็นแนวทำงในกำรกํำหนดกิจกรรม
ตำงๆ แกหนว ยงำนท่ีเขำไปดํำเนินงำนพัฒนำบนพื้นที่สูงหลำยหนวยงำน ในแผน
แมบทฉบับท่ี 2 ไดมีกำรกํำหนดองคแกรกำรบริหำรแผนแมบทฯ ในระดับตำงๆ
เพมิ่ ข้ึนอีก คอื
1. องคแกรระดับชำติ ไดแก คณะกรรมกำรนโยบำยและอํำนวยกำรแกไข
ปญใ หำควำมมั่นคงแหงชำติเกี่ยวกับชุมชน สิ่งแวดลอม และกำรควบคุมพืชเสพติด
บนพื้นทส่ี ูง (นอส.) มีนำยกรัฐมนตรเี ป็นประธำน
2. องคกแ รระดบั กระทรวง
3. องคแกรระดับภำค ไดแก คณะกรรมกำรศูนยแอํำนวยกำรประสำนงำน
แกไ ขปใญหำชมุ ชน สิ่งแวดลอ ม และกำรควบคุมยำเสพติดบนพื้นท่ีสูง กองทัพภำค
ที่ มีแมท พั ภำคที่ 3 เปน็ ประธำน
4. องคกแ รระดับจงั หวัดและอํำเภอ
และในปีเดียวกัน กระทรวงมหำดไทยไดออกระเบียบสํำนักทะเบียนกลำง
วำดวยกำรพิจำรณำลงรำยกำรสัญชำติไทยในทะเบียนบำนใหแกชำวไทยภูเขำ
(ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2539 โดยเนน ชำวเขำทเ่ี ขำมำต้ังถิ่นฐำนต้ังแตเริ่มแรก เนื่องจำก
-42-
เครอื ข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกล่มุ ชาตพิ ันธุ์
มีชำวเขำที่หลบหนีมำจำกประเทศพมำ ลำว และจีนสูประเทศไทยและตองกำร
สญั ชำติไทยเป็นจํำนวนมำก
พ.ศ.2540 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงกำรสํำรวจและจัดทํำทะเบียน
ประวัติชุมชนบนพ้ืนที่สูง ในคร้ังนี้ใหออกบัตรประจํำตัว (บัตรสีเขียวขอบแดง)
ใหแ กผ ทู ีย่ ังไมม บี ัตรและมีคุณสมบัติครบถวนตำมเกณฑแท่ีกำํ หนด
พ.ศ.2542 เกิดกำรชุมนุมเรียกรองสิทธิควำมเป็นพลเมืองไทยและสิทธิ
ชมุ ชนในกำรใชท ่ดี ินเพอื่ ทํำกินและจัดกำรทรัพยำกรธรรมชำติตำมรัฐธรรมนูญฉบับ
พ.ศ.2540 ทำํ ใหร ฐั บำลตอ งเรงดํำเนินกำรแกไขปใญหำเกี่ยวกับกำรใหสัญชำติไทย
แกชำวเขำเพ่อื ขอรบั บตั รประจํำตวั ประชำชนใหรวดเร็วย่ิงข้ึน
พ.ศ.2543 กระทรวงมหำดไทยไดออกระเบียบสํำนักทะเบียนกลำงวำดวย
กำรพิจำรณำลงรำยกำรสถำนะบุคคลในทะเบียนรำษฎรใหแ กบ ุคคลบนพน้ื ทีส่ งู
พ.ศ.2543 โดยเนนระเบียบขั้นตอนตำงๆ ของทำงรำชกำรในกำรย่ืนขอ
และพิจำรณำกำรใหสัญชำติไทย หลังจำกที่มีควำมสับสนและสลับซับซอนในกำร
กํำหนดสถำนะวำมีกลุมชนใดบำงที่ควรไดรับกำรพิจำรณำ ดังจะเห็นไดวำใน
ระเบียบนี้ ชำวเขำหรือชำวไทยภูเขำมีสถำนะเป็นกลุมคนกลุมหน่ึงภำยใตคํำวำ
“บคุ คลบนพนื้ ท่ีสงู ”27
27 ปนัดดำ บณุ ยสำระนัย, อำ งแลว, หนำ139-145.
-43-
เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของกลุม่ ชาติพนั ธ์ุ
บทที่ 4
พระสงฆแกับกำรพฒั นำบนพ้นื ที่สงู
-44-
เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของกล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุ
ำรทํำงำนพัฒนำของคณะสงฆแในชุมชนพื้นท่ีสูงเร่ิมปรำกฏควำมชัดเจน
มำกข้ึนเม่ือปี พ.ศ.2507 โดยนำยประสิทธ์ิ ดิศวัฒนแ หัวหนำกอง
กสงเครำะหแชำวเขำ กรมประชำสงเครำะหแไดนํำแนวคิดกำรนํำพระสงฆแ
ไปพัฒนำชำวเขำไปปรึกษำหำรือกับพระธรรมกิตติโสภณ (สมเด็จพระพุทธชิน
วงศแ) เจำอำวำสวัดเบญจมบพิตร เจำคณะภำค 6 และประธำนอนุกรรมกำรสำขำ
วัฒนธรรมทำงจิตใจ ทำนไดมอบหมำยใหพระศรีวิสุทธิวงศแ เป็นผูประสำนงำนกับ
นำยประสิทธ์ิ ดิศวัฒนแ เพ่ือวำงหลักกำรเกี่ยวกับกำรดํำเนินงำนในรูปแบบ
ข้ันทดลองเสร็จแลวนํำโครงกำรเสนอกรมประชำสัมพันธแเพื่ออนุมัติในหลักกำร
และตอมำพระธรรมกิตติโสภณจึงไดนํำโครงกำรน้ีเขำสูท่ีประชุมคณะอนุกรรมกำร
สำขำวัฒนธรรมทำงจิตใจและมหำเถรสมำคม
ค ณ ะ ผู เ ข ำ ร ว ม ร ำ ง โ ค ร ง ก ำ ร ไ ด ต้ั ง ช่ื อ พ ร ะ ภิ ก ษุ ที่ ไ ป ป ฏิ บั ติ ง ำ น เ ผ ย แ ผ
พระพุทธศำสนำแกชำวเขำนี้วำ “พระธรรมจำริก” โดยคณะผรู ำ งไดยึดถือพระพุทธ
ดํำรัสที่พระพุทธเจำไดจัดสงพระสำวกรุนแรกไปประกำศพระศำสนำ พระองคแได
ตรัสแกพระสำวกเหลำนัน้ วำ “จรถ ภิกฺขเว จำริกํ พหุชนหิตำย พหุชนสุขำย โลกำ
นกุ มฺปำย ฯเปฯ เทเสถ ภิกขฺ เว ธมมฺ ํ” เปน็ อำทิ ซึง่ แปลควำมวำ “ดูก่อนพระภิกษุ
ทง้ั หลาย เธอจงจารกิ ทอ่ งเที่ยวไป จงแสดงธรรมเพ่ือประโยชน์ เพ่ือความสุขแก่คน
หมู่มากเพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก” กรมประชำสัมพันธแไมไดมองวำกำรจัดสงพระ
ธร ร ม จ ำริ กขึ้น ไป ป ฏิบั ติงำน อยู ใ น ห มู บ ำน ช ำ วเ ขำนั้ นเ ป็ น เ รื่ องของกำร เ ผย แ ผ
ศำสนำ แตมองเห็นกำรสรำงควำมสัมพันธแทำงจิตใจกับชนกลุมนอยเป็นสํำคัญ
กรมประชำสงเครำะหแจึงไดนิมนตแพระภิกษุขึ้นไปปฏิบัติงำนตำมหมูบำนชำวเขำ
ซึ่งเป็นนโยบำยของรัฐบำลท่ีเนนควำมรูสึกเป็นชำติเดียวกันกับคนไทย แตผล
พลอยไดข องพระสงฆแคือกำรประกำศศำสนำ
พ.ศ. 2508 นับวำเป็นกำรเริ่มตนกำรเผยแผพระพุทธศำสนำใหแกกลุม
ชำวเขำ ซ่ึงต้ังอำศัยอยูบนภูเขำสูงในภำคเหนือและภำคตะวันตกของประเทศ
ภำยใตชื่อโครงกำรวำ “โครงกำรพระธรรมจำริก” คณะพระสงฆแที่ออกไปเผยแผ
ถูกเรียกวำ “คณะพระธรรมจำริก”28
28 สถำบันวิจัยชำวเขำ. 30 ปีพระธรรมจำริก. (กรุงเทพมหำนคร: มูลนิธิเผยแพรพระพุทธศำสนำแกชนถ่ิน
กันดำร 2532), หนำ 59-61.
-45-