เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ
ดํำรงชีพของชำวบำนในชุมชนนั้นๆ ดวย แมวำกำรเดินทำงสัญจรไปมำลํำบำก
มำก โดยเฉพำะฤดูฝน อำศรมหลำยแหงไมสำมำรถเขำหรือออกจำกชุมชนนั้นๆ
ได เนื่องจำกวำเปน็ ถนนลูกรังหรือดินโคลน อยำงไรก็ตำม บำงพื้นท่ีพระนักพัฒนำ
เองยังขำดทักษะในกำรสื่อสำรภำษำถ่ิน ทํำใหไมเขำใจซึ่งกันและกัน ตองอำศัย
ภำษำกำยชวยบำง หรือใหชำวบำนในชุมชนนั้นๆ ไดชวยสื่อควำมหมำย
นอกจำกนี้ พระนักพัฒนำเองไดทํำงำนดวยใจเต็มรอย โดยไมไดหวังลำภ สักกำระ
คำ ตอบแทนใดๆ โดยเฉพำะอยำงยิ่งงำนพระศำสนำ พระนักพัฒนำตองทํำงำนดวย
ใจรักและปณิธำน ตั้งเปูำหมำยในกำรทํำงำนแลวทํำสิ่งที่ตั้งใจไวใหสํำเร็จ ทํำงำน
ดวยควำมเสียสละ รับผิดชอบ แตไมสำมำรถละหรือเลิกได นอกเสียจำกทํำตอไป
เพ่อื เปน็ พทุ ธบชู ำ นอกจำกน้ีพระนักพัฒนำตองเขำไปอยูจํำพรรษำในชุมชน เพื่อ
เป็นผูนํำและผูประสำนในกำรชวยอบรมศีลธรรมและจริยธรรมผำนกิจกรรมตำงๆ
เชน กำรสอนศีลธรรมในโรงเรยี น กำรสงเสรมิ ใหชำวบำ นในชุมชนรักษำศีล 5 กำร
สบื ชะตำปำุ สวดมนตสแ ญั จร กำรณรงคแลดละเลกิ อบำยมุข เป็นตน
2. เนื้อธรรม (Message) ของพระนักพัฒนำที่ทํำงำนในพื้นที่ นอกจำก
พระนกั พฒั นำตอ งมีควำมรูและพูดภำษำถน่ิ ไดใ นระดับดีแลว ตองสำมำรถเลือกสรร
หลักธรรมที่จะนํำไปสั่งสอนใหเขำกับภูมิปใญญำทองถิ่น ควำมเชื่อของชำวบำน
เพ่อื เอำไปประยุกตแใชไดจรงิ กับกำรดำํ เนนิ ชวี ติ ของชำวบำนในชุมชน เนื้อหำท่ีตรง
กบั ควำมตอ งกำรของชำวบำน เป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวของกับควำมปลอดภัยในกำรดํำเนิน
ชีวติ ดวยกำรกำรรักษำศีล 5 หลักอิทธิบำท 4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสำ กำร
ชวยเหลือเก้ือกูลกันดวยหลักสังคหวัตถุธรรม ควำมกตัญโูรูคุณตอบรรพบุรุษ พอ
แม ครูอำจำรยแและตอธรรมชำติ และธรรมท่ีทํำใหเป็นกัลยำณมิตตธรรม 7 คือ
เป็นท่ีรัก เป็นท่ีเคำรพ เป็นที่ยกยอง รูจักชี้แจง เป็นผูอดทน พูดดวยคํำลึกซ้ึงได
ไมชักนํำไปในทำงเสื่อม เป็นตน ก็จะทํำใหชุมชนน้ันมีควำมรักสำมัคคีกัน
เพรำะฉะน้ัน พระนักพัฒนำตองสำมำรถเสนอเนื้อหำธรรมใหชำวบำนไดเขำใจ มี
ควำมสนุกสนำน เกิดศรัทธำ พัฒนำกำย จิตและสติปใญญำและนํำไปปฏิบัติใน
ชีวติ ประจํำวันอยำ งอยูดี มีสขุ ปจใ จุบนั น้ี เศรษฐกจิ ไมค อ ยดี พระนักพัฒนำตองให
ขอคิดในเร่ืองของกำรประหยัด อดออม ทํำบุญตำมควำมสำมำรถของตน ไม
ทํำบุญจนทํำใหตนเองเดือดรอน หรือสำมำรถตั้งกลุมออมสัจจะชุมชนได อีก
ประกำรหนึ่ง พระนักพัฒนำตองสรำงเร่ืองเลำ (Story) ใหกับสื่อท่ีมีอยู เพื่อสอน
-146-
เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชีวติ ของกลมุ่ ชาตพิ ันธุ์
ใหนักเรียนหรือผูสนใจศึกษำน้ันไดเขำใจ ใสใจ ใฝุใจ และกระจำงใจในเร่ืองรำวที่
เรำตองกำรสื่อ เปรียบเสมือนกับท่ีมำของศำลำหลังหน่ึงที่สรำงในพระธำตุวัดปำง
หมทู ีว่ ำ ศำลำกระจำงใจ หรอื แมแ ตปูำยหนำวดั ทว่ี ำ “ฝำกงำนไวกับแผนดิน ทํำงำน
พระศำสนำ เพ่ือเป็นมำลำไวกบั แผน ดิน” สรำ งวดั หรืออำศรมเปน็ แหลงเรียนรู เพ่ือ
เป็นพุทธบูชำ ธรรมบชู ำ สังฆบูชำ ฝำกไวเ พือ่ แผนดิน
3. ชอ งทำงกำรสือ่ สำร (Channel) ของพระนักพัฒนำนั้นเกี่ยวของกับกำร
ใชส่ือและชอ งทำงทจี่ ะสอื่ สำรกับชำวบำนในชุมชน โดยพระนักพัฒนำชึ่งถือวำเป็น
สื่อบุคคลตองสำมำรถใชส่ือเทคโนโลยี เพื่อส่ือสำรชวยชำวบำนสำมำรถพ่ึงพำ
ตนเองเลีย้ งชีพของตนไดดี รวมท้ังพระนักพัฒนำตองประยุกตแนํำหลักทฤษฎีกำร
สอน 4 ส. มำใช คือ สัททัสสนำ (แจมแจง) สมำทปนำ (จูงใจ) สมุเตชนำ (แกว
กลำ) สัมปหังสนำ (รำเริง) มำใชอธิบำยหลักธรรม และกำรอบรมปฏิบัติธรรมใน
วันสํำคัญตำงๆ ของพระพุทธศำสนำและของชำติ เชน กำรทํำบุญในวันมำฆบูชำ
วิสำขบูชำ อำสำฬหบูชำ วันสงกรำนตแ วันเขำพรรษำ วันพอและวันแม เป็นตน
ฉะน้ันกำรใชสื่อบุคคลดวยกำรพูดใหฟใง ทํำใหดู อยูใหเห็น ซึ่งถือวำเป็นกำรเขำถึง
ชำวบำนในชุมชนไดดียิ่งข้ึน นอกจำกนี้ พระนักพัฒนำยังใชสื่อเทคโนโลยีเขำมำ
เปน็ เครื่องมือในกำรปฏิบัติงำนใหเกิดผลสัมฤทธ์ิ เพรำะวำเทคโนโลยีมีควำมสํำคัญ
มำกในกำรใชติดตอส่ือสำร อำทิเชน กำรฉำยหนังธรรมะและหนังท่ัวไป มีกำร
จัดทํำจอหนังขนำดกลำงและขนำดใหญ เอำไวไปใชสื่อสำรธรรมะและวัฒนธรรม
กับชำวบำนในพ้ืนท่ี ทํำกิจกรรมท่ีเป็นกุศโลบำยท่ีชวยในกำรอนุรักษแปลำ ปุำไม
และตนนํ้ำ เชน กำรสืบชะตำนํ้ำ-ปุำ สืบชะตำปลำ เป็นตน แมแตชำวบำนตำง
ศำสนำและตำงนิกำย มีชำวบำนที่นับถือพุทธ คริสตแนิกำยคำทอลิกและนิกำย
โปแทสแตนในอํำเภอขนุ ยวมยงั ทํำกจิ กรรมรวมกันเม่ือเห็นพระบิณฑบำต ชำวบำน
ทุกศำสนำก็ใสบำตรพระเหมือนกันหมด อีกประกำรหนึ่ง พระนักพัฒนำใช
ชองทำงกำรอบรมคุณธรรมศีลธรรมอยำงไมเป็นทำงกำรดวยเชนกัน คือกำรเยี่ยม
เยือนชุมชนในโอกำสตำงๆ เชน กำรประกอบพิธีกรรมข้ึนบำนใหม งำนแตงงำน
งำนศพ หรือกำรเย่ียมผูปุวย เป็นตน โดยกำรสอดแทรกหลักธรรมส่ือสำรกับ
ชำวบำนในชุมชน อำทิ เชน จำคะ ศีล 5 อบำยมุข ทิศ 6 อิทธิบำท 4 สมชีวิ
ธรรม และไตรลกั ษณแ ฯลฯ
-147-
เครือข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ิตของกลุ่มชาติพนั ธุ์
4. ผูรับสำร (Receiver) ของพระนักพัฒนำน้ันประกอบดวย คนเมือง
(ลำนนำ) ชำวไต(ไทใหญ), จีนฮอ, พมำ และชำวเขำเผำตำงๆ ไดแก มง (แมว)
ลีซู (ลีซอ), ลำหู (มูเซอ), ลัวะ และกะเหรี่ยง ดังน้ัน พระนักพัฒนำเองก็ตอง
วิเครำะหผแ ูร บั สำร เพื่อหำวธิ ีทีจ่ ะเขำ ไปส่ือสำรกับเปูำหมำยของตนเองในพื้นที่อยำง
มีประสิทธิภำพ และพระนักพัฒนำก็ตองเขำใจสภำพปใญหำในกำรส่ือสำรของ
ชำวบำนในพ้ืนท่ีเป็นกลุมชำติพันธแุน้ันสวนมำกเกิดจำกประเด็นตอไปนี้ 1. ขำด
ทักษะในกำรส่ือสำร แตละกลุมชำติพันธแุมีภำษำที่ใชเป็นของตนเอง ทํำใหไม
สำมำรถเขำใจภำษำไทยไดดี โดยเฉพำะชำวบำนที่มีอำยุมำกแลว นอกเสียจำกท่ี
เป็นเด็กนักเรียน จึงทํำใหมีกำรเนนกำรส่ังสอนศำสนำและวัฒนธรรมภำยใน
โรงเรียน 2. มีควำมรูเร่ืองพุทธศำสนำที่แตกตำงกัน สวนมำกมีควำมเชื่อใน
ประเพณีดั่งเดิม นับถือผีบรรพบุรุษ มีคำนิยมที่ผิดๆ นิยมชอบดื่มสุรำเป็นปกติ
ของวิถีชีวิต ทํำใหพระนักพัฒนำตองรณรงคแใหลดละเลิกเหลำเขำพรรษำ เป็นตน
3. ชำวบำนถือระบบสังคมท่ีสลับซับซอน สํำหรับระบบสังคมดั่งเดิมปกครองดูแล
โดยฮีโขหรือปูจองเป็นผูดูแลลูกบำน สวนศำสนำคริสตแเองก็มีหัวหนำดูแล และแต
ละกลุมชำติพนั ธุแก็มีวฒั นธรรมของตนเองในกำรรับฟใงและเรยี นรู
5. กำรสรำงเครือขำย (Network) ของพระนักพัฒนำถือวำเป็นหัวใจ
สํำคัญในกำรชวยในกำรส่ือสำรกระบวนกำรวัฒนธรรมเพ่ือกำรเรียนรูของกลุมชำติ
พันธแุไดเป็นอยำงดีและมีประสิทธิภำพมำกยิ่งขึ้น เนื่องจำกมีกำรรวมกลุมกันของ
พระนักพัฒนำเองในชื่อกลุมที่แตกตำงกัน แตเพื่อจุดมุงหมำยเดียวกัน เชน
เครือขำยพระบัณฑิตอำสำของมหำวิทยำลัย มหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย วิทยำ
เขตเชียงใหม เครือขำยพระธรรมจำริก เครือขำยครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน
หรือพระนักพัฒนำอื่นๆ ในพ้ืนที่ ไดชวยสงเสริมสนับสนุนใหมีเครือขำยของ
เยำวชนและชำวบำนกลุมชำติพันธแุตอไป เพื่อใหเกิดไดเรียนรู เขำใจหลักธรรม
และพระพุทธศำสนำมำกขึ้น บำงแหงมีควำมตองกำรพระภิกษุเขำไปอยูประจํำ
อำศรม เพอ่ื เปน็ ทพี่ ึ่งทำงใจและนำํ ชำวบำนในชุมชนประกอบพิธีกรรมตำงๆ เพ่ือ
ควำมรักควำมสำมัคคีของคนในชุมชม เพรำะฉะน้ัน เครือขำยของพระนักพัฒนำ
สำมำรถกํำหนดยุทธศำสตรแและกลยุทธแรวมกับชุมชนในกำรเผยแผศำสนำและ
วัฒนธรรม เนนกำรทํำงำนแบบมีสวนรวมบำน วัด โรงเรียน (บวร) เพื่อใหเกิด
ประโยชนแแ กช มุ ชนน้นั ๆ อยำ งแทจรงิ
-148-
เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ
โดยสรุป กำรวิเครำะหแแนวปฏิบัติของเครือขำยพระนักพัฒนำและ
กระบวนกำรสื่อสำรวัฒนธรรมเพ่ือกำรเรียนรูของกลุมชำติพันธแุบนพ้ืนที่สูงในพ้ืนท่ี
ตน แบบ สบเมย แมล ำนอ ย ขนุ ยวม เมอื งแมฮองสอนของเครือขำยพระนักพัฒนำ
ตำมกรอบทฤษฎีกำรส่ือสำรของเดวิด เค เบอรแโล ประกอบดวย 1.กำรส่ือสำรของ
พระนักพัฒนำ (Sender) ตองเป็นกำรทํำงำนเชิงรุกมำกข้ึน มีทักษะในกำรสื่อ
ภำษำถิ่นกับกลุมชำติพันธุแ ทํำงำนดวยใจรักและมีปณิธำนท่ีชัดเจน บำงครั้งอำจ
ประสบปใญหำก็อยำทอถอยในกำรทํำควำมเพียร และไมเพียงพอตอกำรทํำควำมดี
2.เนื้อธรรม (Message) ของพระนักพัฒนำ ควรเป็นหลักธรรมท่ีมีเนื้อหำสำระ
เก่ียวของกับวิถีชีวิตของชำวบำนในชุมชน มีประโยชนแแกชำวบำน ชุมชนและ
ประเทศชำติทงั้ ในปจใ จบุ นั และอนำคต 3.ชองทำงกำรสื่อสำร (Channel) ของพระ
นกั พัฒนำนั้นเกี่ยวของกำรกำรใชส ื่อเทคโนโลยีและชองทำงที่จะสื่อสำรกับชำวบำน
ในชุมชน ใชภำษำที่เขำใจงำย สื่อท่ีจูงใจ มีวิธีกำรสอนท่ีหลำกหลำยและมี
ประสิทธิภำพ 4.ผูรับสำร (Receiver) ของพระนักพัฒนำตองมีกำรวิเครำะหแผูรับ
สำร เพื่อจะไดหำวิธีท่ีจะเขำไปสื่อสำรกับเปูำหมำยของตนเองในแตละชุมชนให
เขำใจแจมแจงในเรื่องท่ีไดฟใง มีแรงจูงใจในกำรพัฒนำตน มีควำมพยำยำมในกำร
ปฏิบัติ และมีควำมสุขจำกกำรเรียนรูและทํำกิจกรรมทำงพุทธศำสนำ 5.กำรสรำง
เครือขำย (Network) ของพระนักพัฒนำที่มีหลำยกลุม ไดแก พระบัณฑิตอำสำ
พัฒนำชำวเขำ พระธรรมจำริก หรือพระสงฆแนักพัฒนำอื่นๆ ในพ้ืนที่ เพื่อทํำ
เปูำหมำยเดียวกัน เป็นหัวใจสํำคัญในกำรชวยสนับสนุนกำรสื่อสำรกระบวนกำร
วัฒนธรรมเพื่อกำรเรียนรูของกลุมชำติพันธแุไดเป็นอยำงดีและมีประสิทธิภำพมำก
ยิง่ ขึ้น
แนวปฏิบัติของเครือขำยพระนักพัฒนำและกำรสงเสริมเศรษฐกิจพอเพียง
ของกลุมชำติพันธุแบนพ้ืนที่สูง อํำเภองำว จังหวัดลํำปำง ประกอบดวย
กระบวนกำรติดตำมงำนดังน้ี
1. กระบวนกำรเตรียมควำมพรอ มใหก ับพระนักพัฒนำในพื้นที่ อำศรมบำน
แมคิง ตํำบลนำแก อํำเภองำว และอำศรมบำนขุนแหง ตํำบลปงเตำ อํำเภองำว
จังหวัดลํำปำงโดยทำงมหำวิทยำมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย วิทยำเขตเชียงใหม
ไดคดั เลอื กพระอำสำสมัครท่ีมีควำมพรอมในดำนจิตอำสำเพื่อกำรพัฒนำ ไดรับกำร
ฝึกฝนอบรมจำกโครงกำรพระบัณฑิตอำสำเพื่อกำรพัฒนำบนพื้นที่สูง ดำนองคแ
-149-
เครอื ขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของกลมุ่ ชาตพิ ันธุ์
ควำมรูตำมหลักทำงพระพทุ ธศำสนำกับกำรพฒั นำชีวิตและชุมชน เชนหลักสัปปุริส
ธรรม หลักสำรำณียธรรม หลักอปหำนิยธรรม หลักฆรำวำสธรรม หลักกรรมเพ่ือ
กำรฝึกฝนพัฒนำตนเองดวยควำมไมประมำท กำรสงเสริมอำชีพหรือหลัก
สัมมำอำชวี ะตำมหลกั ปรัชญำเศรษฐกิจแบบพอเพยี งและองคคแ วำมรูดำ นกำรทํำงำน
ใหสํำเร็จตำมหลักอิทธิบำทธรรม หลักประโยชนแสำมท่ีเนนทั้งกำรทํำประโยชนแใน
เบื้องตน เบ้ืองกลำงและอุดมกำรณอแ ันสูงสุดคือพระนพิ พำน
2. กระบวนกำรติดตำมงำนดำนกำรประสำนงำนกับคณะสงฆแเจำคณะพระ
สังฆำธิกำร เจำหนำที่ฝุำยบำนเมืองและผูนํำชุมชนและประชำชนในพื้นที่เพ่ือกำร
นำํ เอำองคแควำมรูเขำไปจัดทํำโครงกำรเพื่อกำรพัฒนำบนพื้นท่ีสูงแบบชุมชนมีสวน
รวมคิด รวมทํำ รวมดํำเนินกิจกรรม รวมแบงปในผลประโยชนแ รวมประเมินกำร
ดํำเนินกำร และขอเสนอแนะตำงๆ เพื่อกำรพัฒนำตำมหลักสำมัคคีธรรมทำง
พระพุทธศำสนำ มีกิจกรรมท่ีสงเสริมใหประชำชนในหมูบำนมีกำรดํำเนินชีวิตใน
ควำมพอเพียงอยำงเป็นรูปธรรม คนในชุมชนมีกำรบริหำรจัดกำร ใชหลักกำร
บริหำรจดั กำรตำมหลกั ธรรมสัปปุริสธรรม 7 เป็นหลักธรรมท่ีแสดงใหเห็น กำรรูจัก
เหตุ รูจักผล รูจักประมำณ รูจักกำล รูจักปฏิบัติและรูจักบุคคล รวมถึงกำรรวมมือ
กันพัฒนำชุมชนดวยควำมสำมัคคีและมีกำรประสำนงำนกัน มีวิถีพอเพียง และมี
กำรดํำเนินกิจกรรมตำมระบบมำตรฐำนงำนในชุมชนเพื่อชุมชน รวมถึงกำรใช
หลักธรรมในกำรถำ ยทอดเพ่อื สง เสรมิ ในกำรพัฒนำเป็นพื้นที่สูง มีวิธีกำรสงเสริมให
ชุมชนนํำหลักธรรมมำใชในกำรพัฒนำอยำงมีรูปธรรม และนํำไปใชในกำรดํำเนิน
ชวี ิต และกำรประยกุ ตแหลกั พทุ ธธรรมของกลุมชำติพนั ธคแ นในชมุ ชนได
3. กระบวนกำรตดิ ตำมงำนดำ นกำรดํำเนินโครงกำรกำรขับเคลื่อนเครือขำย
พระนกั พัฒนำบนพื้นท่ีสูงภำยใตเศรษฐกิจชุมชนแบบพอเพียงพ้ืนท่ีตนแบบอํำเภอ
งำว ไดมีกำรดํำเนินกำรอยำงเป็นขั้นตอน ตั้งแตกำรถำยทอดควำมรูเรื่องหลักพุทธ
ธรรมท่ีจํำเป็นแกกำรนํำไปสูกำรปฏิบัติในกำรดํำเนินชีวิต ในเรื่องของกำรทํำงำน
กำรประกอบอำชีพ กำรบริหำรจัดกำรพื้นที่ใหเกิดประโยชนแรวมกันในรูปของกำร
รวมกลุมเป็นเครือขำยกำรพัฒนำ เชนกลุมเกษตรกรท่ีทํำกำรเพรำะปลูกรวมกันใน
พื้นท่ี กำรใชหลักธรรมเร่ืองควำมขยันหมั่นเพียรในกำรทํำงำน กำรรูจักกำรกินกำร
อยูบริหำรจัดกำรรำยไดและทรัพยำกรที่มีอยูดวยหลักรูจัดกินรูจักใชจำยดวยควำม
ประหยัดอยำงพอดีเหมำะสม และสงเสริมและใหกํำลังใจซึ่งกันและกันเพื่อใหมี
-150-
เครอื ขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ
พลังในกำรคิดทํำงำนรวมกันอยำงสรำงสรรคแ ทํำใหระลึกชวยเหลือกันและกันดวย
ควำมหวงใย ควำมสมํ่ำเสมอตอเนื่องในกำรขยัน กำรประหยัดอดออมจนมีเงิน
หมุนเวยี นเป็นกองทนุ เพื่อใชใ นกำรเป็นทนุ ในชมุ ชน กำรนํำหลักธรรมเหลำน้ีมำใช
ในรูปของคำถำบริกรรมรวมกันวำ อุอำกะสะ เพ่ือใชอยำงตอเนื่องในทุกวันและใน
วันพระที่ทุกคนจะไดเขำมำทํำกิจกรรมที่อำศรมทั้งสองแหงคืออำศรมบำนแมคิง
ตํำบลนำแก อํำเภองำวและอำศรมบำนขุนแหง ตํำบลปงเตำ อํำเภองำว เป็น
ประจํำเพ่ือรับฟใงธรรมมะ สนทนำธรรม และประกอบพิธีทํำบุญ เชนกำรใหทำน
กำรสมำทำนเบญจศีล และกำรทํำภำวนำ ในวันพระตำมควำมเช่ือของชำวพุทธ
บริษัท รวมถึงกำรปรึกษำกำรแกปใญหำของชีวิตทั้งแบบเป็นรำยบุคคล (Case
work) หรือกลุม (Group work) รวมท้ังกำรปรึกษำรวมกันท้ังชุมชน
(Community work) ในบำงคร้ังมีกำรปรึกษำในเรื่องกำรวำงแผนบริหำรจัดกำร
รวมกันตำมหลักทำงพระพุทธศำสนำรวมกับพระบัณฑิตอำสำพัฒนำบนพื้นที่สูง
(Community organization administration) รวมทั้งไดมีกำรเรียนรูรวมกัน
แบบเชิงลึกเพื่อกำรวิเครำะหแสภำพปใญหำกำรทํำงำน กำรปรับตัวตอสภำพสังคมท่ี
เปล่ียนแปลงไปถึงขั้นท่ีเรียกวำกำรวิจัยชุมชนรวมกันจำกกำรท่ีผูวิจัยไดรวมใน
กิจกรรมถือวำเป็นกำรทํำงำนดำนกำรวิจัยในชุมชนกับชำวบำนไปพรอมๆกัน
(Community research) จึงทํำใหชุมชนมีองคแควำมรูซ่ึงเป็นภูมิคุมกันในกำร
ปอู งกนั และแกปใญหำไดอยำ งดีเยี่ยม
4. กระบวนกำรติดตำมงำนดำนผลลัพธแดำนกำรดํำเนินโครงกำรกำร
ขับเคลื่อนเครือขำยพระนักพัฒนำบนพ้ืนที่สูงภำยใตเศรษฐกิจชุมชนแบบพอเพียง
พื้นที่ตนแบบอํำเภองำว พบวำชุมชนอำศรมบำนแมคิง ตํำบลนำแก อํำเภองำว
ผลลัพธแที่ไดจำกแนวทำงปฏิบัติในกำรกำรดํำเนินงำนของเครือขำยพระนักพัฒนำ
กลุมชำติพันธแบนท่ีสูงกับกำรพัฒนำเศรษฐกิจชุมชนแบบพอเพียง อํำเภองำว
จังหวัดลํำปำง คือ แนวคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียงคือเศรษฐกิจที่ตั้งอยูบนพ้ืนฐำน
ของ ควำมพอดี พออยู พอกิน พอใช ยึดหลักมัชฌิมำปฏิปทำในกำรดํำเนินชีวิต
ดวยควำมพอประมำณ มีเหตุมีผลและมีภูมิคุมกันที่ดี เศรษฐกิจพอเพียง คือ
เศรษฐกิจเป็นทำงสำยกลำง พอประมำณไมขำดแคลน มีควำมมั่นคง มีคุณธรรม
ประหยัดรจู กั ใชใ นสง่ิ ท่ีจํำเป็น ชมุ ชนบำ นแมค งิ มกี ำรพง่ึ พำตนเอง สรำงรำยไดและ
ใชทรัพยำกรที่มีอยูในชุมชนใหเกิดประโยชนแสูงสุด รวมถึงกำรสรำงเครือขำย
-151-
เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพันธ์ุ
ทํำงำนระหวำงพระและคนในชุมชน สรำงวัฒนธรรม สังคมและสิ่งแวดลอมอยำง
เขมแข็ง เศรษฐกิจชุมชนอยูที่กำรรวมตัวของคนในชุมชนในกำรประกอบอำชีพ
เชน กำรปลูกพืช เลี้ยงสัตวแ กำรทํำหนอไมปี๊บ กำรทอผำเพ่ือใชและจํำหนำยใน
ชุมชน มีรำนคำในชุมชนที่จัดวำเป็นธุรกิจชุมชน มีกองทุนหมูบำน ทุนทำงสังคม
ทนุ ทำงวฒั นธรรมและทุนส่ิงแวดลอม พรอมท้ัง หลักธรรมสัปปุริสธรรม 7 อันเป็น
หลักธรรมที่แสดงใหเห็น 1) กำรรูจักเหตุหรือธัมมัญญตำ เป็นผูที่มีเหตุผล รูจัก
วเิ ครำะหเแ พือ่ หำสำเหตุของส่งิ ที่เกดิ ข้นึ 2) รจู กั ผลหรืออัตถัญญตำเป็นกำรรูจักผลที่
เกิดจำกกำรกระทํำ 3) รูจักตนหรืออัตตัญญตำ เขำใจตน ในดำนควำมรู คุณธรรม
และควำมสำมำรถของตน 4) รูจักประมำณหรือมัตตัญญตำมีควำมพอดี ดํำเนิน
ชีวิตไดอยำงเหมำะสม 5) รูจักกำลหรือกำลัญญตำ คือแบงแยกเวลำท่ีควรทํำและ
ไมควรทํำอยำงเหมำะสม 6) รูจักปฏิบัติหรือปริสัญญตำกำรปรับตนและแกไขตน
ใหเขำกับชุมชนได และ 7) รูจักบุคคลหรือบุคคลัญญตำ กำรเป็นผูรูจักปรับตัวให
เขำกับผูอื่นไดอยำงเหมำะสมซ่ึงพระธรรมจำริกไดถำยทอดควำมรูและแนวคิด
เศรษฐกิจพอเพียงใหกับชุมชน นํำไปสูกำรถำยทอดหรือสงเสริมใหใชในกำรพัฒนำ
เศรษฐกิจชมุ ชนบนพืน้ ท่สี ูง มีวิธีกำรสงเสริมใหชุมชนนํำหลักพุทธรรมเกี่ยวกับกำร
พัฒนำเศรษฐกิจชุมชนบนพ้ืนท่ีสูงไปใชในกำรดํำเนินชีวิตถึงครอบครัวในชุมชน
บำนแมคิงจะมีครอบครัวท่ีนับถือศำสนำพุทธเพียง 10 ครอบครัวแตกลุมชำติพันธแ
ชำวเยำและชำวกระเหรี่ยงรวมถึงชำวไทยบนพ้ืนที่สูงในชุมชนบำนแมคิงไดนํำ
หลักธรรมทำงเศรษฐกิจในกำรดํำเนินชีวิตเพ่ือพัฒนำเศรษฐกิจพอเพียงของชุมชน
ไดเ ป็นอยำ งดี
ในขณะที่ชุมชนอำศรมบำนขุนแหง ตํำบลปงเตำ อํำเภองำว ไดผลลัพธแที่
ไดจำกแนวทำงปฏิบัติในกำรกำรดํำเนินงำนของเครือขำยพระนักพัฒนำกลุมชำติ
พนั ธบแ นทส่ี ูงกบั กำรพฒั นำเศรษฐกิจชุมชนแบบพอเพียง อํำเภองำว จังหวัดลํำปำง
คือ แนวคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือหลักของควำมพอดี พออยู พอกิน พอใช
ดวยควำมพอประมำณ มีเหตุมีผลและมีภูมิคุมกันท่ีดี พรอมทั้งหลักธรรมท่ี
สอดคลองกับกำรพัฒนำเศรษฐกิจชุมชน กำรดํำเนินชีวิตของคนในชุมชนบำนขุน
แหงที่ชีวิตควำมเป็นอยูที่เรียบงำย อำศัยทรัพยำกรที่มีในทองถิ่นมำใชใหเกิด
ประโยชนแ รวมถึงกำรดํำเนินชีวติ โดยมีปจใ จัย 4ที่สำมำรถทํำใหคนในชุมชนมีอยู มี
กิน มีใช มยี ำรักษำโรคสํำหรับรักษำในยำมฉุกเฉิน อำศรมบำนขุนแหงไดถำยทอด
-152-
เครอื ขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ิตของกลุ่มชาตพิ ันธุ์
หลักธรรมในขอ ทิฏฐธัมมิกัตถะหรือทิฏฐธัมมิกัตถะประโยชนแ 4 (หัวใจเศรษฐี )
และสงเสริมใหชำวบำนในชุมชนบำนขุนแหงใชในกำรพัฒนำเศรษฐกิจชุมชนบน
พื้นทีส่ งู อันประกอบไปดวยควำมขยันหมั่นเพียรในกำรทํำมำหำกิน ในกำรประกอบ
อำชพี ดวยควำมเพียรและมีควำมสจุ ริตเล้ียงตนและครอบครัวไดอยำงมีควำมสุข ให
ชำวบำนขุนแหงรูจักอดออม ประหยัดทรัพยแใชในสิ่งท่ีเกิดประโยชนแสูงสุดไมกอ
หนี้สิน ไมเลนกำรพนันใหเสียทรัพยแ มีศีล มีศรัทธำ มีจำคะ มีปใญญำในกำรเลือก
คบคนท่ีดี ไมสรำงปใญหำและควำมเดือดรอนแกตนเอง และรูจักประเมิณ
ควำมสำมำรถของตนเองในกำรใชจำยท่ีพอดี สมกับรำยไดท่ีไดมำตำมหลักโภค
วิภำค รวมถึงวิธีกำรสงเสริมใหชุมชนนํำหลักพุทธรรมเกี่ยวกับกำรพัฒนำเศรษฐกิจ
ชุมชนบนพนื้ ที่สงู กำรพฒั นำเศรษฐกจิ ชุมชนตำมแนวพระพุทธศำสนำเริ่มจำกกำร
พัฒนำคน ใหคนในชุมชนบำนขุนแหงมีคุณภำพถึงจะพัฒนำชุมชนใหดีตอไปได
กำรเขำวัดฟใงธรรมเป็นชองทำงของกำรแสวงหำควำมรูเพื่อนํำไป สูกำรพัฒนำ
ชุมชนใหม เี ศรษฐกจิ ท่ดี ี
โดยสรุป แนวทำงดํำเนินงำนของเครือขำยพระนักพัฒนำกลุมชำติพันธแบน
ท่ีสูงกับกำรพัฒนำเศรษฐกิจชุมชนแบบพอเพียงอํำเภองำว จังหวัดลํำปำง ซึ่ง
ประกอบไปดวย อำศรมบำนแมคิง และอำศรมบำนขุนแหงคือ กำรนํำหลัก
เศรษฐกิจพอเพียงในแบบฉบับที่สำมำรถอธิบำยใหกับชำวบำนในชุมชนเขำใจงำย
ดวยชำวบำนเป็นชำวเขำนับถือหลำกหลำยศำสนำ กำรนํำเสนอในรูปแบบที่เป็น
ภำษำทำงพุทธศำสนำเลย ชำวบำนอำจจะไมเขำใจมำกนัก พระบัณฑิตอำสำควร
ถำ ยทอดดวยกำรเชือ่ มโยงยกตัวอยำงท่ีสำมำรถมองเห็นไดอยำงเปน็ รูปธรรมเพ่ือให
ชำวบำนในชุมชนเกิดกำรเรียนรูและนํำไปใชในกำรดํำรงชีวิตประจํำวันในกำรยึด
หลักเศรษฐกิจพอเพียง บนพ้ืนฐำนของควำมพอดี พออยู พอกิน พอใช ตำมหลัก
ของทำงสำยกลำง พอประมำณ มีเหตุผลและมีภูมิคุมกัน เพ่ือใหชุมชนสำมำรถ
ยกระดับ พึ่งพำตนเอง ครอบครัวชุมชนและสังคม รวมถึงเป็นกำรสรำงเครือขำย
ของกำรทํำงำนในชุมชนไปสูองคแกรชุมชนเพ่ือเป็นเคร่ืองวัดเศรษฐกิจชุมชนใน
ระดับกำวหนำโดยกำรใชห ลักเศรษฐกิจพอเพียงอีกดวย
-153-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวิตของกลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์
บทท่ี 6
บทสรปุ
-154-
เครอื ข่ายพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ
แนวทำงปฏิบัติในกำรประยุกตแใชหลักพุทธธรรมในกำรพัฒนำคุณภำพชีวิตที่
เหมำะสมกบั กลุม ชำติพนั ธบแุ นพืน้ ท่ีสูงของเครอื ขำยพระนักพัฒนำ
กำรจัดแผนกลยุทธแแนวทำงกำรพัฒนำชุมชนบนพื้นท่ีสูงในกำรประชุม
รวมกับพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ ในพิธีปฐมนิเทศพระบัณฑิตอำสำพัฒนำ
มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย วิทยำเขตเชียงใหม รุนที่ 20 ประจํำปี
2562 ณ สถำนปฏิบัติธรรมนำนำชำติ ตํำบลปุำไผ อํำเภอสันทรำย จังหวัด
เชยี งใหม ระหวำ งวันท่ี 1 – 3 พฤษภำคม พ.ศ.2562 กับกลุมเปูำหมำยที่เป็นพระ
บัณฑิตอำสำชำวเขำ จํำนวน 33 รูป โดยใชหลักกำรวงจรกำรบริหำรคุณภำพเดม
ม่งิ (Deming Cycle: PDCA) จำกผลกำรจัดประชุมสรุปผลไดดงั น้ี
วิสัยทัศนแใหม “พระพุทธศำสนำ สรำงสุขสูชำติพันธแุบนพ้ืนที่สูง” มีพันธ
กิจ ดังน้ี
1. เผยแผพระพทุ ธศำสนำแกช ุมชนบนพ้นื ทสี่ งู
2. กำรบริกำรสงั คม (กำรศกึ ษำ สงเครำะหแ ลด ละ เลิก อบำยมุข)
3. อนุรักษแฟนื้ ฟศู ลิ ปวฒั นธรรมประเพณกี ลุมชำตพิ นั ธแุบนพ้นื ที่สูง
4. อนรุ กั ษแทรพั ยำกรธรรมชำติ และสง่ิ แวดลอม
จำกผลกำรประชุมสัมมนำ พระบัณฑิตอำสำไดรวมกันสรุปแนวทำงกำร
ประยกุ ตแใชห ลกั ธรรมในกำรพฒั นำแหลงทอ งเท่ียวทำงศำสนำและวฒั นธรรม ดงั นี้
1) แนวทำงกำรประยุกตแใชหลักพุทธธรรมในกำรพัฒนำสิ่งแวดลอมของ
เครือขำยพระนักพัฒนำบนพ้ืนที่สูง ไดนํำมำประยุกตแใชในกระบวนกำรทํำงำนจริง
คอื หลักอทิ ัปปจใ จยตำ หรือ ปฏิจจสมุปบำท ควำมเชื่อเรื่องกรรม และเมตตำ ผำน
กำรอบรมส่ังสอนชำวบำ นในพน้ื ที่ กำรบรรยำยธรรม กำรทํำใหดูเป็นตัวอยำ ง
2) แนวทำงกำรประยุกตแใชหลักพุทธธรรมในกำรพัฒนำแหลงทองเที่ยว
ทำงศำสนำและวัฒนธรรม ไดแก กำรจัดทํำผังกำรใชสอยพื้นท่ีของวัดตำมบทบำท
หนำท่ี เป็น 3 เขต คือ เขตพุทธำวำส เขตสังฆำวำส เขตธรณีสงฆแเพื่อใหกำร
บริกำรชุมชนหรือเขตสำธำรณะ กำรจัดทํำแผนพัฒนำวัดท้ังในระยะสั้นและระยะ
ยำว รูปแบบกำรจัดกำรดำนระบบส่ือควำมหมำย กำรจัดทํำขอมูลและฐำนขอมูล
ของวัดท่ีถูกตองในกำรเผยแพรใหแกนักทองเที่ยว กำรจัดทํำสื่อประชำสัมพันธแ
กิจกรรมของวัดในวันสํำคัญหรือเทศกำลสํำคัญตำงๆ รูปแบบกำรจัดกำรดำน
-155-
เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกลุ่มชาตพิ ันธุ์
บุคลำกรกำรทองเท่ียวของวัดดำนจริยธรรมกำรทองเที่ยวในวัด โดยยึดหลัก
กัลยำณมติ ร 7
3) แนวทำงกำรประยุกตแใชหลักพุทธธรรมในกำรเพ่ิมรำยไดเกษตรวิถีพุทธ
บนพ้ืนท่ีสูงของพระเครือขำยนักพัฒนำ หลักธรรมในกำรนํำมำประยุกตแใช คือ
ทิฏฐธัมมิกัตถสังวัตตนิกธรรม 4 คือ ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชนแในปใจจุบัน,
หลักธรรมอนั อำํ นวยประโยชนแสุขข้ันตน
4) แนวทำงกำรประยุกตแใชหลักพุทธธรรมในกำรดูแลผูสูงอำยุ
ประกอบดวย แนวทำงกำรเสริมสรำงคุณภำพชีวิตท่ีดี ตำมหลักจตุรพิธพร หรือ พร
4 ประกำร คอื อำยุ วรรณะ สุขะ พละ หลักพุทธธรรมในกำรสงเสริมคุณภำพชีวิต
สํำหรับผูสูงอำยุ เชน หลักโภชเนมัญตัโุตำ คือ กำรรูจักประมำณในกำรบริโภค
และหลกั อำยุวฒั นธรรม 5 ธรรมที่ชวยใหอำยุยนื
5) แนวทำงกำรประยุกตแใชหลักพุทธธรรมในกำรสื่อสำรวัฒนธรรมเพ่ือกำร
เรียนรู ประกอบดวย กำรรณรงคแจัดกิจกรรมใหชำวบำนลด ละเลิกเหลำและยำเสพ
ติด กำรส่ังสอนใหชำวบำนนำํ หลกั ศลี 5 ไปปฏิบตั ใิ นชีวิตประจํำวัน และกำรเคำรพ
นับถือซึ่งกันและกันระหวำงคนในชุมชน กำรถือศีลกินเจบำงชวง เนนในเร่ืองกำร
ปฏิบัติธรรม สวดมนตแ กำรทํำบุญตำมแนวทำงของพุทธศำสนำ และกำรเขำโบสถแ
ทุกวันอำทิตยแของคริสตแศำสนำ และหลักธรรมคํำสอนเป็นหลักกำรดํำเนินชีวิต
เชน ฆรำวำสธรรม 4 จักรธรรม 4 ทฎิ ฐธมั มกิ ัตถประโยชนแ 4 และกัลยำณมิตร 7
6) แนวทำงกำรประยุกตแใชหลักพุทธธรรมในกำรพัฒนำเศรษฐกิจชุมชน
แบบพอเพียง ประกอบดวย กำรดํำรงชีวิตที่มีควำมสุขตำมหลัก “หัวใจเศรษฐี”
จำกหลกั พุทธธรรมดังกลำ วเป็นสว นหน่ึงของหลักเศรษฐกิจพอเพียงตำมหลักปใจจัย
4 ที่ประกอบไปดวย ท่ีอยูอำศัย อำหำร ยำรักษำโรค เครื่องนุงหม หลักธรรมสุข
ของคฤหัสถแ หลักธรรม อตตำ หิ อตตโน นำโถ หลักทิฏฐธัมมิกัตถะหรือหลักธรรม
ทฏิ ฐธมั มิกตั ถะประโยชนแ 4 ประกำร (หัวใจเศรษฐี อุ อำ กำ สะ) รวมถึง หลักโภ
คำวิภำค 4
-156-
เครือขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลมุ่ ชาติพันธุ์
กำรดํำเนินงำนดำนส่ิงแวดลอม เศรษฐกิจ กำรทองเที่ยว สังคม ภำวะผูสูงอำยุ
และกำรเรียนรวู ัฒนธรรมของกลมุ ชำตพิ นั ธแบุ นพื้นที่สงู ของเครือขำ ยพระนักพฒั นำ
กำรดํำเนินงำนดำนกำรฟื้นฟูส่ิงแวดลอมของพระบัณฑิตอำสำพัฒนำ
ชำวเขำในพนื้ ที่ตนแบบอำํ เภอฮอด อำํ เภอแมแจม อํำเภอแมส ะเรียง มดี ังน้ี
1. กำรจัดกำรขยะในชุมชน พัฒนำไปสูกำรจัดทํำบอขยะ โดยผำน กำร
จัดทํำถังขยะในชุมชน แหลงชุมชน ตำมครัวเรือน บริเวณทำงแยก ในชุมชน
โดยรวมกบั กลมุ เยำวชนลุมนำ้ํ แมลิด
2. กำรบวชปุำ เร่ิมตนจำกกำรที่พระบัณฑิตอำสำรวมกับชำวบำนในพื้นท่ี
ตน แบบสำํ รวจตนไมท่ีมขี นำดใหญ และเกรงวำนำจะถูกลักลอบตัด หรือเป็นตนไม
ที่มีคุณคำ มีขนำดเหมำะสมท่ีจะนํำไปขำย หรือไปใชประโยชนแ เพรำะชำวบำน
เชือ่ วำ ผืนปำุ ท่ีผำนพธิ บี วช เป็นเสมือนดนิ แดนอนั ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ ไมวำผูใดก็ไมอำจเขำ
ไปทํำลำยได โดยเนนพ้ืนท่ีรอบ ๆ ขุนน้ํำ รัศมี 1 กิโลเมตร มีอำณำบริเวณหลำย
รอ ยไร นบั เป็นกำรนำํ ควำมเช่ือทำงศำสนำมำประยกุ ตใแ ชใ นกำรดูแลรกั ษำปุำตนนำํ้
3. กำรทํำแนวกันไฟในพ้ืนท่ีของชุมชน เป็นกำรดํำเนินกำรระหวำงเขต
หมบู ำ น รอบ ๆ หมูบ ำ น เป็นชอ งวำงแนวยำวในปำุ ซ่ึงจะถำงปุำทํำเป็นแนวเพื่อ
กํำจัดเช้ือไฟที่ติดไฟงำย เชน ใบไม หญำ หรือ ตนไมแหง จะทํำแนวที่มีควำม
กวำงมำกพอที่จะปูองกันไฟไมใหลุกลำมตอเน่ืองในกรณีที่เกิดไฟปุำ เพ่ือตัดชวง
ควำมตอเนอ่ื งของเชอ้ื เพลงิ เป็นกำรปูองกันไมใหไ ฟลุกลำมเขำ ไปในพน้ื ทหี่ มบู ำ น
4. กำรบวชปลำขุนน้ํำ เป็นลักษณะกำรอนุรักษแปลำบริเวณขุนนํ้ำ (ตนน้ํำ)
โดยพระบัณฑิตอำสำพฒั นำชำวเขำไดเ รม่ิ ดำํ เนินกำรท่ีหมูบำนบริวำร เชน บำนแม
สะเรียงนอย ต.ปุำแป อ.แมสะเรยี ง จ.เชยี งใหม ในบรเิ วณรัศมีพ้ืนท่ีไมควรจับปลำ
ปจใ จุบันปลำเยอะมำก มเี พียงพอตอ กำรบรโิ ภคในชุมชน
5. กำรอนุรักษแตนน้ํำโดยกำรบวชขุนน้ํำ สอดคลองกับควำมเชื่อของ
ชำวบำนเกี่ยวกับผีขุนน้ํำ โดยชำวบำนมีควำมเช่ือวำ ถำหำกทํำสิ่งใดท่ีทํำใหผีขุน
น้ํำโกรธ เชน ตัดตนไมใหญในแหลงตนน้ํำที่สิงสถิตของผีขุนนํ้ำ กำรก้ันลํำหวย
หรือกำรเก็บกักนํ้ำไวใชประโยชนแตำมลํำพัง หรือปฏิบัติส่ิงอื่นใดที่ชำวบำนเรียกวำ
ขึด จะถูกลงโทษจำกผีขนุ น้ํำ อำจใหน้ํำนอ ย หรือฝนไมตกตอ งตำมฤดกู ำล
6. กำรรณรงคแใหควำมรู เรื่องกำรไมใชยำฆำแมลง กำรไมใชสำรเคมีใน
กำรทํำกำรเกษตร ผำนกำรประสำนงำนกับศูนยแพัฒนำชำวเขำ โดยนอกจำกมำให
-157-
เครือข่ายพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของกลุ่มชาติพนั ธ์ุ
ควำมรูแลวยังรวมถึงมำลงมือปฏิบัติ เชน กำรเพำะกลำอโวคำโด เพำะกลำกำแฟ
เสำวรสใหกบั ชำวบำนอีกดวย นอกจำกนั้นยังแนะนํำใหชำวบำนดูแลสวน เพ่ิมเติม
ดว ยกำรปลูกลํำไย มะมวง และกลวย เนนกำรบริโภคในครัวเรือนเป็นหลัก ที่เหลือ
จึงจํำหนำย เป็นกำรใชหลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียง เนนกำรปลูกพืชเพ่ือยังชีพ
พืชผกั สวนครัว เนนบริโภค งดเวน กำรใชสำรเคมี สนับสนุนสงเสริม และใหควำมรู
ชำวบำนเรอื่ ง กำรทำํ ปุยหมัก ปุย ชวี ภำพ ปยุ พืชสด ปยุ นํ้ำชวี ภำพ
7. กำรจดั ทํำธนำคำรขำ วของชุมชน ธนำคำรขำวเป็นกำรรวมกลุมกันของ
ชำวบำนภำยใตกำรแนะนํำของพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ และหนวยงำน
รำชกำรที่เกี่ยวของ โครงกำรหลวง พัฒนำสังคม เกษตรอํำเภอ เป็นตน เพ่ือ
ชวยเหลือซ่ึงกันและกันกันภำยในชุมชน ถือเป็นลักษณะเพ่ือนชวยเพ่ือนชุมชน
ชวยชุมชน โดยเนนหลักกำรสงเครำะหแชำวบำนท่ียำกไร ในชุมชนไดมำกูยืมขำว
จำกธนำคำรขำวไปใชบรโิ ภค และทํำพนั ธแ(ุ เชอ้ื ) สำํ หรับกำรเกษตรในฤดูทำํ นำ
8. กำรสรำงเครือขำยอำสำสมัครรักษแสิ่งแวดลอม โดยใชช่ือวำ “เครือขำย
อำสำสมัครรักษแส่ิงแวดลอม” เชน มำรวมกันทํำกิจกรรมกำรบวชปุำ กำรดับไฟปุำ
กำรจัดทํำแนวกันไฟ นอกจำกนั้นยังมีกำรขยำยผลทั้งดำนควำมรู ภูมิปใญญำ
จิตสํำนึกในสิ่งแวดลอมผนวกกับกำรผนึกกํำลังของชุมชนในพ้ืนท่ี พื้นที่บริวำร
พ้ืนท่ีใกลเคียงที่ไดรับผลกระทบในลักษณะเดียวกัน มำทํำงำนรวมกัน เกิด
กระบวนกำรแลกเปลย่ี นประสบกำรณแกำรทำํ งำน
กำรดำํ เนินงำนดำนกำรทองเท่ียวเชิงศำสนำและวัฒนธรรมของพระบัณฑิต
อำสำพัฒนำชำวเขำในพ้ืนท่ีตน แบบ สะเมิง กลั ยำณิวฒั นำ ปำย ปำงมะผำ มดี งั นี้
1. แนวทำงกำรประยุกตแใชห ลักพุทธธรรมในกำรพฒั นำแหลง ทอ งเท่ียวทำง
ศำสนำและวัฒนธรรม จำกผลกำรประชุมสัมมนำ พระบัณฑิตอำสำไดรวมกันสรุป
แนวทำงกำรประยุกตแใชหลักธรรมในกำรพัฒนำแหลงทองเที่ยวทำงศำสนำและ
วัฒนธรรม ดังนี้ แนวคิดกำรพัฒนำแหลงทองเท่ียวทำงศำสนำและวัฒนธรรม คือ
กำรเดินทำงไปทำํ บุญอยำ งหนง่ึ ซึ่งก็คือกำรไปนมัสกำรสถำนท่ีศักดิ์สิทธ์ิในที่ตำงๆ
เชนเดียวกับกำรแสวงบุญทองเท่ียวทำงศำสนำและวัฒนธรรมไปยังสถำนที่ตำงๆ
กำรไดไปกรำบนมัสกำรพระธำตุ กำรไดไปกรำบไหวส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ รวมถึงกำรไป
นมัสกำรสถำนปฏิบัติธรรมของครูบำอำจำรยแ โดยสรุป กำรทองเที่ยวทำงศำสนำ
และวัฒนธรรม เป็นกำรเดินทำงไปยังพุทธสถำนโดยมีจุดมุงหมำย คือ 1. เป็น
-158-
เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ิตของกลุ่มชาติพนั ธุ์
กำรเดินทำงไปเพ่ือบํำเพ็ญบุญกริยำวัตถุ 10 อยำงใดอยำงหนึ่ง 2. เป็นกำร
เดินทำงไปเพือ่ สกั กำระส่งิ ศักดส์ิ ิทธแ์ิ ละปฏิบัติธรรม ณ พุทธสถำนแหงใดแหงหน่ึง
3. เป็นกำรเดนิ ทำงไปเพ่อื เขำรวมในศำสนพิธี งำนเทศกำลประเพณตี ำงๆ
2. เปูำหมำยของกำรพัฒนำกำรทองเที่ยวทำงศำสนำและวัฒนธรรม คือ
กำรพฒั นำจิตวญิ ญำณและศำสนำ เพื่อสั่งสมบุญบำรมี เป็นกำรเดินทำงที่ใหคุณคำ
ทำงดำนจิตใจ ทํำใหกำรทองเที่ยวเป็นท่ีพ่ึงทำงดำนจิตใจ เป็นกำรเดินทำงไป
ทํำบุญ และพักผอนไปพรอมๆ กัน ดวยควำมเชื่อและศรัทธำในพระพุทธศำสนำ
โดยไดทํำกำรศึกษำวิจัยขอมูลตำงๆ ท่ีเก่ียวกับบริบทชุมชน และกำรดํำเนินงำน
ดำนกำรพัฒนำแหลงทองเท่ียวทำงศำสนำและวัฒนธรรมของกลุมชำติพันธแุบน
พื้นทส่ี งู ในพน้ื ที่ตนแบบของเครือขำยพระนักพัฒนำ ซึ่งมีเสนทำงทองเที่ยวสรุปได
ดังนี้
เสนทำงที่ 1 เสนทำงทองเที่ยวอำศรมพระบัณฑิตอำสำอํำเภอกัลยำณิ
วฒั นำ จังหวัดเชยี งใหม ไดแก วัดบำ นจนั ทรแ ตํำบลบำ นจันทรแ วัดหวยบง ตํำบล
บำนจันทรแ อำศรมบำนโปุงขำว ตํำบลบำนจันทรแ อำศรมบำนหนองแดง ตํำบล
บำนจันทรแ อำศรมบำนหวยปู ตํำบลแมแดด อำศรมบำนแมแดดนอย ตํำบลแม
แดด อำศรมบำนขุนแมรวม ตํำบลแจมหลวง และสถำนท่ีทองเที่ยวเสนทำงอํำเภอ
กลั ยำณิวฒั นำที่นำสนใจ ไดแก ปำุ สนบำ นวัดจนั ทรแ โครงกำรหลวงวัดจันทรแ
เสน ทำงที่ 2 เสนทำงตำมรอยพอหลวง ร.9 บำนแสนคํำลือ อํำเภอปำงมะ
ผำ จงั หวัดแมฮองสอน ประกอบดวย อำศรมพระบัณฑิตอำสำ 2 แหง คือ อำศรม
บำนแสนคํำลือ ตํำบลถํ้ำลอด และอำศรมบำนลุกปุำก฿อ ตํำบลสบปุอง สถำนที่
ทองเท่ียวในเสนทำง ไดแก พิพิธภัณฑแบำนไร ตํำบลสบปุอง อํำเภอปำงมะผำ
จังหวดั แมฮ องสอน ถ้ํำนํำ้ ลอด ตํำบลถํ้ำลอด อํำเภอปำงมะผำ จังหวัดแมฮองสอน
บำนมเู ซอดํำบำ นจำ โบ ตํำบลปำงมะผำ อํำเภอปำงมะผำ จังหวดั แมฮ องสอน
กำรดํำเนินงำนดำนกำรเพ่ิมรำยไดเกษตรวิถีพุทธของพระบัณฑิตอำสำ
พัฒนำชำวเขำในพื้นท่ีตนแบบ เวียงปุำเปูำ แมสรวย เมืองเชียงรำย แมฟูำหลวง
มดี งั นี้
1. กำรสรำงเสริมควำมรูแกเกษตรกรในชุมชน เชน เชิญเกษตรกรที่ทํำ
กำรเกษตรวิถีพุทธมำเป็นวิทยำกรมำบรรยำยใหควำมรูในวิธีกำรทํำเกษตรวิถีพุทธ
พำไปศกึ ษำดูงำนกำรทํำเกษตรวิถีพุทธของเกษตรกรท่ีประสพควำมสํำเร็จ และกำร
-159-
เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์
เขำรับกำรอบรมจำกวิทยำกำรที่มำใหควำมรูในกำรแปรรูปอำหำร ซึ่งจะทํำให
เกษตรกรมีควำมรูและเกิดกำรเชื่อมสัมพันธแกับองคแภำยนอกที่กอใหไดรับควำมรู
ใหมๆ เก่ียวกับกำรเกษตรเพื่อนํำมำพัฒนำพื้นที่กำรเกษตร ขยำยฐำนกำรเกษตร
ของตน ซึง่ สง ผลใหมรี ำยไดเ พม่ิ มำกข้ึน แสวงหำวิทยำกำรใหม ๆ มีแนวคิดท่ีดีใน
กำรทํำกำรเกษตรและอนุรักษแทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดลอม ตลอดจนหันมำ
ใชป ุยอินทรียแกันมำกขึน้
2. กำรเสรมิ สรำ งภูมิปใญญำเกษตรกรในชมุ ชน เมื่อเกษตรกรเกิดกำรเรียนรู
ฝึกอบรม และปฏิบัติทํำใหเกิดภูมิปใญญำของตนเองและมีโอกำสท่ีจะพัฒนำตัวเอง
ได เชน พัฒนำตลำดขำยสินคำเกษตรอินทรียใหเป็นแหลงสินคำท่ีมีคุณภำพดวย
ภูมปิ ใญญำควำมรูของตวั เอง มีอสิ ระ เสรีภำพในกำรทํำมำหำกินประกอบอำชีพดวย
ควำมสบำยใจ หมดภำระหน้ีสินมีควำมเป็นอยูท่ีดีข้ึนไดดวยตัวของตัวเอง สำมำรถ
ท่ีจะสรำงควำมม่ันคงทำงดำนอำหำรและกำรยกระดับใหเป็นแหลงทองเท่ียวเชิง
นิเวศใหแกชุมชนของตนเองและพรอมตอกำรถำยทอดสูตํำบลอ่ืนไดอยำงเป็น
รูปธรรม และพัฒนำใหเป็นแหลงผลผลิตทำงกำรเกษตรและอำหำรที่ปลอดสำรพิษ
ได มีโอกำสที่ศึกษำเลำเรียนเพ่ิมวิชำควำมรูและประสบกำรณแของตนอยูตลอดเวลำ
และกอใหเกิดกำรตอยอดทำงภูมิปใญญำควำมรูของตนเอง เพื่อพัฒนำกำรเกษตร
ของตนเองและนํำถำยทอดแกบุคคลรุนหลังตอไปได และพัฒนำตนเองและ
ครอบครัวใหเจริญกำวหนำมีปใจจัย 4 ในกำรดํำเนินชีวิตอยำพอเพียงและยั่งยืน
โดยสำมำรถพึง่ ตนเองไดอยำ งไมเ ดือดรอ น
3. กำรสรำงเครือขำยควำมรวมมือ กำรสรำงและพัฒนำกำรรวมกลุม โดย
จดั ตั้งศนู ยแเรียนรู สรำงอำชพี เสริมรำยไดภำยในหมูบำนและเครือขำย กำรรวมกัน
กำรสงเสริม กำรเกษตรทฤษฎี ใหม แนวทำงวิถีพุทธรวมกับหนวยงำนภำครัฐบำล
เชน เกษตรตํำบล เกษตรอํำเภอ เกษตรจังหวัด นักโภชนำกรเกษตร และ
ภำคเอกชน ซ่ึงจะกอเกษตรกรท่ีเป็นสมำชิกกลุมเครือขำยเกษตรกรจะให
ควำมสํำคัญและหันมำใชปุยอินทรียแกันมำก ท้ังนี้เพรำะไดมีกำรพบปะสังสรรคแกับ
สมำชกิ ในกลมุ มกี ำรบอกเลำ ชกั จงู และมกี ำรแลกเปลี่ยนเรียนรูทำงกำรเกษตรอยู
เสมอ จึงทํำใหมีโอกำสในกำรรับรูขำวสำรดำนกำรเกษตรอยูเป็นประจํำ เป็นกำร
สรำงโอกำสใหกับเกษตรกรไดมีกำรพัฒนำทำงกำรเกษตรท่ีดีข้ึน เพรำะฉะนั้นกำร
ใหค วำมสํำคัญและสงเสริมองคแกรเครือขำยชุมชน กำรจัดตั้งกลุมทำงกำรเกษตรจึง
-160-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลุม่ ชาตพิ ันธ์ุ
ถือเป็นกำรสนับสนุนสถำบันชุมชนใหมีควำมเขมแข็ง ตลอดจนเป็นกำรสรำง
พื้นฐำนกำรพัฒนำสินคำเกษตร และระบบเศรษฐกิจไทยใหดียิ่งขึ้น อีกทั้งยัง
สนับสนุนใหหนวยงำนสวนทองถ่ินของรัฐเขำมำมีบทบำทในกำรดูแล ใหควำมรู
และเป็นทป่ี รึกษำดำนกำรเกษตรแกเ กษตรกรอยำงท่วั ถึง
4. กำรสรำงภูมิคุมกันของคนในชุมชน ในกำรเพ่ิมรำยไดกำรทํำเกษตรวิถี
พุทธใหแกชุมชน เชน กำรดํำเนินโครงกำรจัดตลำดนัดเพื่อกำรเกษตรในชุมชน
จัดกิจกรรมฝึกอมรมอำชีพใหกับกลุมสตรีแมบำน และจัดนิทรรศกำรเก่ียวกับจัด
จํำหนำยสินคำหนึ่งผลิตภัณฑแหน่ึงตํำบล ท่ีจะสงผลใหเกษตรกรในชุมชนมีรำยได
ซึ่งจะสงผลตอกำรขยำยธุรกิจ , กำรกระจำยผลประโยชนแ , กำรสงเสริมกำร
ประกอบธรุ กิจ ตอ ไป
5. กำรปลูกฝใงคุณธรรม กระบวนกำรเพ่ิมรำยไดกำรทํำเกษตรวิถีพุทธใน
ชุมชน โดยวิธีกำร เชน สงเสริมใหประชำชนในชุมชนสรำงจิตสํำนึกในกำร
ชวยเหลือกัน และเกิดกระบวนกำรพ่ึงพำชวยเหลือกันมีภำยในชุมชน มีควำม
ซื่อสัตยแ สุจริต ควำมอดทน ควำมเพียร และกำรใชสติปใญญำในกำรดํำเนินชีวิต
สงเสรมิ ใหคนในสังคมมจี รยิ ธรรม คณุ ธรรม ไมเ ป็นสังคมวัตถุนิยมและบริโภคนิยม
ไมแกงแยงกัน ไมเห็นแกวัตถุเงินตรำ ซึ่งเป็นกำรดํำเนินชีวิตตำมหลักคํำสอนทำง
สำยกลำงของพระพุทธศำสนำ เป็นแนวทำงที่สอดคลองกับควำมพอดีและพอเพียง
ในแนวทำงกำรทํำเกษตรวถิ ีพุทธ ที่จะกอใหเกิดกำรดํำเนินชีวิตใน “ทำงสำยกลำง”
บุคคลรูจักบริโภคในวัตถุตำงๆดวยควำมพอดี กำรรูจักพอประมำณ (มัตตัญโุ
ตำ) ในกำรบริโภค ดํำเนินชีวิตใหเป็นไปตำมอัตภำพของตนเอง ไมทะยำนอยำก
ในสิ่งท่ีเกินตัว รูจักควบคุมจิตใจและกำรใชสอยตำงๆ เชน กำรใชสอยทรัพยแสินท่ี
หำมำไดใหคุมคำ จึงจะทํำใหควำมโลภลดลงได และเม่ือเหลือใชแลวก็สอนใหรูจัก
ใหแ ละแบง บันกนั ท่กี อใหเ กดิ ประโยชนแแ กตนเองและผูอ่ืน ทจี่ ะนํำไปสูกำรใชชีวิต
ทเ่ี ปน็ สุขและยั่งยืนอยำ งแทจรงิ
6. กำรสงเสริมรักษำส่ิงแวดลอม กำรทํำกำรเกษตรแบบวิถีพุทธของ
เกษตรกรบนพ้ืนท่ีสูงที่หันมำใชปุยอินทรียแ จะกอใหเกิดประโยชนแในกำรชวย
อนุรักษแและปรับปรุงสภำพแวดลอมที่เส่ือมโทรมใหสมบูรณแ ทํำใหหวงโซอำหำรท่ี
ถกู ทํำลำยไปโดยสำรเคมีกลบั ฟน้ื ทํำใหป ระชำชนมีอำหำรท่ีเกิดจำกธรรมชำติ เชน
กุง หอย ปู ปลำ กบ เขียด นก ฯลฯ ลดตนทุนกำรผลิต ทํำใหเกษตรกรไดกํำไร
-161-
เครือขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ติ ของกล่มุ ชาติพนั ธุ์
มำกขึ้น เกษตรกรท่ียำกจนสำมำรถปลดเปลื้องหน้ีสินใหลดลงและหมดไปได
ผลผลิตปลอดภัยตอผูบริโภค ทํำใหอัตรำกำรปุวยไขและเสียชีวิตของประชำชนท้ัง
ประเทศลดจํำนวนลง และประชำชนมีสุขภำพพลำนำมัยดีขึ้น ทํำใหรัฐสำมำรถ
ประหยัดเงินงบประมำณในกำรรักษำพยำบำลลงไดมำก และท่ีสํำคัญ แกไขปใญหำ
กำรสงออกสินคำกำรเกษตรท่ีมีสำรเคมีท่ีเป็นพิษเจือปนและถูกประเทศผูนํำเขำต้ัง
ขอรังเกียจที่จะนํำเขำสินคำกำรเกษตรจำกประเทศไทย หำกปรับเปล่ียนมำใชกำร
ผลิตโดยวิธีเกษตรอินทรียแจะทํำใหประเทศสงออกสินคำกำรเกษตรไดมำกขึ้น ท้ัง
ปริมำณและมลู คำ
กำรดำํ เนนิ งำนดำ นกำรดแู ลผสู ูงอำยุของพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำใน
พื้นทต่ี นแบบ เชยี งดำว ไชยปรำกำร ฝำง แมอ ำย มดี ังน้ี
1. กำรจัดกิจกรรมใหกับผูสูงอำยุ เชน กำรอบรมใหควำมรูเก่ียวกับสุขภำพ
เปน็ ตน
2. กำรสํำรวจสภำพควำมเป็นอยูของผูสูงอำยุ สวนใหญจะเป็นครอบครัว
ขยำยอยูดวยกันหลำยคน สวนใหญไดรับเบี้ยยังชีพผูสูงอำยุถำมีสัญชำติไทย
ปใญหำที่พบสวนใหญเ ป็นปญใ หำสขุ ภำพ สว นหนงึ่ อำจเปน็ เพรำะวำ สำรเคมีท่ีเขำฉีด
พนผัก ทํำใหมีอำกำรปวดตำมเนื้อตัว รูสึกเจ็บทอง โดยทำงโรงพยำบำลสงเสริม
สขุ ภำพจะมีโครงกำรท่มี ำตรวจสุขภำพใหฟรี
3. ควำมตองกำรสวนใหญก็ยังมีควำมตองกำรไดรับเบี้ยยังชีพที่เพ่ิมข้ึน
ปใญหำเร่ืองรำยจำยที่ไมสำมำรถประมำณกำรได เน่ืองจำกไมมีกำรทํำบัญชี
ครัวเรอื น พระบณั ฑติ อำสำจึงแนะนำํ วธิ กี ำรทำํ บญั ชคี รวั เรือนแบบงำยๆ ให
4. ปใญหำดำนสุขภำพจิตใจ ไมมีปใญหำปใญหำมำกนัก เพรำะในสังคม
ชนบทบนพน้ื ทส่ี ูง มีสถำนกำรณทแ ี่สรำ งควำมเครยี ดตํำ่
กำรดํำเนินงำนดำนกระบวนกำรส่ือสำรวัฒนธรรมเพื่อกำรเรียนรูของพระ
บัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำในพ้ืนท่ีตนแบบ สบเมย แมลำนอย ขุนยวม เมือง
แมฮ อ งสอน มีดังนี้
1. กจิ กรรมทำงวัฒนธรรมท่ีชำวบำนในชุมชนเขำรวม ไดแก กำรตักบำตร
ทุกวันพระ สมำทำนศีล 5 ทุกวันพระ ทํำวัตรสวดมนตแชวงเขำพรรษำ ทํำบุญปี
ใหม รดน้ํำดํำหัวพระภิกษุสงฆแ ผูสูงอำยุ ผูกขอมือเรียกขวัญประจํำปี ทํำบุญขึ้น
บำนใหม งำนแตง งำนศพ ทํำควำมสะอำดพัฒนำอำศรม บำนและโรงเรียน กำร
-162-
เครือข่ายพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชีวติ ของกล่มุ ชาติพนั ธุ์
ชวยสรำงอำศรม กุฏิและหองนํ้ำ งำนบุญตนที่ ทอดผำปุำ สืบสำนงำนประเพณี
ของชมุ ชน ไหวพระสวดมนตขแ ำ มปี สืบสำนงำนประเพณี ซอมแซมเสนำสนะ และ
เลิกเหลำ เขำพรรษำ เปน็ ตน
2. กิจกรรมทำงวัฒนธรรมของพื้นท่ีตนแบบ ไดแก พิธีสรงนํ้ำพระธำตุ
ประจํำปี กำรทํำบุญตำมวันและเทศกำลสํำคัญ เป็นตน ทํำใหเกิดผลลัพธแท่ีไดจำก
แนวทำงปฏิบตั ิในกำรประยกุ ตแกำรสื่อสำรวฒั นธรรม คือ ชำวบำนในชุมชนสำมำรถ
อำนเขียนภำษำทองถิ่นไดดีขึ้น มีควำมรูและเขำใจหลักธรรมพระพุทธศำสนำมำก
ขึ้น มีควำมสำมัคคี มีอำชีพท่ีสุจริตและควำมม่ังคงในชีวิตเพิ่มขึ้น ชำวบำนรวม
สนับสนุนกิจกรรมของอำศรม แมชำวบำนบำงคนนับถือศำสนำคริสตแ แตก็ยังใส
บำตรและทำํ บญุ ชำวบำนในชมุ ชนอนุรกั ษแ สบื ทอดวฒั นธรรมของบรรพบุรุษต้ังแต
อดีตถึงปจใ จบุ นั
3. แนวทำงกำรประยุกตแกำรสื่อสำรวัฒนธรรม คือ จัดกำรอบรมบุคลำกร
ดำนภำษำทองถ่ิน เชน ภำษำปำเกอะญอ เป็นตน เพ่ิมจํำนวนบุคลำกรท่ีชวยเผย
แผวฒั นธรรม และตอ งกำรพระภิกษทุ ่ีสำมำรถสือ่ สำรภำษำถิ่นประจํำอำศรมเพ่ิมขึ้น
จัดกำรอบรมศีลธรรมแกชำวบำน เยำวชนภำยในวัดของชุมชนเป็นประจํำ พระ
นักพัฒนำปฏบิ ัตใิ หชำวบำ นดเู ปน็ ตัวอยำงและนำํ ปฏบิ ตั อิ ยำ งสมํ่ำเสมอ จัดกิจกรรม
ท่ีรวมพลังชุมชนสมํ่ำเสมอ เชนปลูกตนไม บวชปุำ หลอพระพุทธรูป สรำงเจดียแ
ทรำยและพัฒนำอำศรม เปน็ ตน
กำรดํำเนินงำนดำนเศรษฐกิจชุมชนแบบพอเพียงของพระบัณฑิตอำสำ
พัฒนำชำวเขำในพน้ื ทีต่ น แบบงำว มดี งั น้ี
1. กำรประกอบอำชีพหลัก คือ เกษตรกรรม ทํำนำ ทํำไร ทํำสวน เชน
ปลูกขำวโพด เล้ียงสัตวแ อำชีพเสริม คือ ทอผำ จักสำน คำขำย รับจำง และหำ
ของปุำขำย โดยจะปลูกพชื ตำมฤดกู ำลเพอ่ื ลดปริมำณกำรใชนํ้ำ เชน กำรทํำอำชีพ
ตำมฤดกู ำลในชว งฤดฝู นชำวบำน จะปลกู ขำวไวบริโภคและขำ วโพดเพื่อไวขำย ฤดู
หนำวต้ังแตปลำยเดือนธนั วำคมเป็นตนไป
2. กำรประกอบอำชีพเสริม ชำวบำนสวนหนึ่งมีอำชีพรับจำงทํำงำนใหกับ
อนรุ กั ษแตน น้ํำ และทํำรบั จำงท่วั ไป รำยไดท่ชี ำวบำนไดสวนมำกเป็นรำยไดจำกกำร
ขำยพืชผลทำงกำรเกษตรโดยสวนมำกจะอยูในชวงเดือนธันวำคม-กุมภำพันธแ หลัก
จำกเก็บเก่ียวผลผลิตทำงกำรเกษตรเรียบรอยแลว เวลำวำงชำวบำนโดยเฉพำะ
-163-
เครือข่ายพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลุม่ ชาติพันธุ์
ผูหญิงท่ีเป็นแมบำนและ เยำวชน หำทํำงำนรับจำงเพ่ือนํำมำเล้ียงครอบครัว
รวมถึงกำรทอเสื้อผำ,กระเปำเพ่ือเอำไวใชและใสในงำนประเพณีหรือตำมเทศกำล
สวนหนง่ึ กน็ ํำไปขำยเพื่อนำํ เงนิ ที่ไดม ำจนุ เจือครอบครวั
3. กำรใชทรัพยำกรทองถนิ่ ภมู ปิ ใญญำกำรรักษำแบบแพทยแพ้ืนบำน โดยมี
หนวยงำนของหนว ยงำนทม่ี ำสนบั สนนุ กจิ กรรมทำงวฒั นธรรมทง้ั ภำครัฐและเอกชน
เชน หนวยงำนรำชกำรของอํำเภอ เกษตรอํำเภอ ประมงอํำเภอ องคแกำรบริหำร
สวนตํำบล พระธรรมจำริก พระบัณฑิตอำสำ ชุมชนบำนแมคิงและบำนขุนแหง
ไดรับองคแควำมรูจำกกำรเรียนรูท่ีวัดหรืออำศรมพระบัณฑิตอำสำ มีกำรเรียนรูจำก
ภำยนอกท่หี นว ยงำนของรฐั มำใหค วำมรดู ำนสำธำรณสุขกำรดูแลตนเองเบื้องตน
4. พระบัณฑติ อำสำไดนํำหลักเศรษฐกิจพอเพียง มำอธิบำยใหกับชำวบำน
ในชุมชนใหเขำ ใจหลักธรรมดวยภำษำที่งำย ถำนํำเสนอในรูปแบบที่เป็นภำษำทำง
พุทธศำสนำเลย ชำวบำ นในชุมชนอำจไมเ ขำ ใจ พระบณั ฑติ อำสำควรถำยทอดดวย
กำรเชื่อมโยงยกตัวอยำงท่ีสำมำรถมองเห็นไดอยำงเป็นรูปธรรมเพ่ือใหชำวบำนใน
ชุมชน จนเกิดกำรเรียนรูและนํำไปใชในกำรดํำรงชีวิตประจํำวันได ในกำรยึดหลัก
เศรษฐกิจพอเพียง ตำมหลักของทำงสำยกลำง พอประมำณ มีเหตุผลและมี
ภมู คิ ุมกัน เพ่ือใหชมุ ชนสำมำรถยกระดับ พึ่งพำตนเอง ครอบครัวชุมชนและสังคม
รวมถึงเป็นกำรสรำงเครือขำยของกำรทํำงำนในชุมชนไปสูองคแกรชุมชน ใหเกิด
ควำมกำวหนำโดยกำรใชหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งในกำรดํำเนินงำนของเครือขำยพระ
นักพฒั นำกลุมชำติพนั ธแบนพืน้ ทสี่ ูง
แนวปฏิบัติของเครือขำยพระนักพัฒนำ และกระบวนกำรพัฒนำคุณภำพชีวิตของ
กลุมชำตพิ นั ธบแุ นพ้ืนทีส่ งู ของเครือขำ ยพระนกั พัฒนำ
แนวปฏิบัติดำนกำรอนุรักษแสิ่งแวดลอมของพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ
มดี งั น้ี
1. กำรใชแบบยั่งยืน (Sustainable utilization) มีแนวปฏิบัติ ดังนี้
กำรรณรงคแใหควำมรู เรื่องกำรไมใชยำฆำแมลง กำรไมใชสำรเคมีในกำรทํำ
กำรเกษตร นอกจำกนนั้ ยังแนะนำํ ใหชำวบำ นปลกู พืชผักผลไม เพ่ิมเติม เชน ปลูก
ลํำไย มะมวง และกลวย พืชผักสวนครัว เนนกำรบริโภคในครัวเรือนเป็นหลักที่
เหลือจึงจํำหนำย พระบัณฑิตอำสำไดปฏิบัติใหดูเป็นตัวอยำงท่ีอำศรมพระบัณฑิต
-164-
เครอื ข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของกลมุ่ ชาตพิ ันธุ์
อำสำ เป็นกำรใชหลักปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียง เนนกำรปลูกพืชเพื่อยังชีพ เพ่ือ
บริโภค และงดเวนกำรใชสำรเคมี สนับสนุนสงเสริม และใหควำมรูชำวบำนเร่ือง
กำรทํำปุยหมัก ปุยชีวภำพ ปุยพืชสด ปุยนํ้ำชีวภำพ และกำรจัดตั้งเครือขำย
อำสำสมัครรักษแส่ิงแวดลอม เป็นกำรทํำงำนในระดับเครือขำยดำนกำรฟื้นฟูและ
อนุรักษแสิ่งแวดลอมของกลุมมดงำนหลำยๆกลุม เชน มำรวมดวยชวยกันทํำ
กจิ กรรมกำรบวชปุำ กำรดับไฟปุำ กำรจัดทํำแนวกันไฟ นอกจำกนั้นยังมีกำรขยำย
ผลท้ังดำนควำมรู ภูมิปใญญำ จิตสํำนึกในสิ่งแวดลอมผนวกกับกำรผนึกกํำลังของ
ชุมชนในพื้นท่ี ในชุมชน ในหมูบำน พื้นที่บริวำร พ้ืนที่ใกลเคียงที่ไดรับ
ผลกระทบในลักษณะเดียวกัน มำทํำงำนรวมกัน เกิดกระบวนกำรแลกเปลี่ยน
ประสบกำรณแกำรทำํ งำน
2. กำรกักเก็บรักษำ (Storage) มีแนวปฏิบัติ ดังน้ี กำรจัดตั้งธนำคำร
ขำว โดยไดต้ังเป็นกองทุนออมขำว รับบริจำคขำวเปลือก จัดทํำบุญทอดผำปุำ
ขำวเปลือก นํำผลประโยชนแท่ีเกิดจำกกำรใหกูขำวมำใชเป็นทุนดํำเนินกำร
ธนำคำรขำวเป็นกำรรวมกลุมกันของชำวบำนภำยใตกำรแนะนํำของพระบัณฑิต
อำสำพัฒนำชำวเขำ และหนวยงำนรำชกำรที่เก่ียวของ เชน โครงกำรหลวง งำน
พัฒนำสังคม เกษตรอํำเภอ เป็นตน
3. กำรรักษำหรือซอมแซม (repair) มีแนวปฏิบัติ ดังน้ี กำรจัดกำรขยะ
ในชุมชน กำรใหควำมรูในเรื่องกำรจัดกำรขยะ กำรคัดแยก กำรใชซ้ํำและกำรลด
ปริมำณขยะในครวั เรือน
4. กำรฟ้ืนฟู (rehabilitation) มีแนวปฏิบัติ ดังน้ี กำรรณรงคแใหควำมรู
ชำวบำนผำนกำรประสำนงำนกับศูนยแพัฒนำชำวเขำ เรื่องกำรไมใชยำฆำแมลง
กำรไมใชสำรเคมีในกำรทํำกำรเกษตร เพ่ือใหชำวบำนเปลี่ยนทัศนคติ เปล่ียนวิถี
ชีวิตหันกลับมำปลูกพืชยืนตนเพ่ือบริโภค เป็นพืชสวน เนนกำรใชหลักปรัชญำ
เศรษฐกิจพอเพียง เนนกำรปลูกพืชเพื่อยังชีพ พืชผักสวนครัว เนนบริโภคเหลือ
ถงึ นํำมำขำย และเนนงดเวน กำรใชสำรเคมี
5. กำรพฒั นำ (development) มีแนวปฏิบัติ ดังนี้ กำรจัดตั้งธนำคำรขำว
เป็นกำรรวมกลุมกันของชำวบำนภำยใตกำรแนะนํำของพระบัณฑิตอำสำพัฒนำ
ชำวเขำ และหนวยงำนรำชกำรที่เกี่ยวของ เชน โครงกำรหลวง พัฒนำสังคม
เกษตรอํำเภอ เป็นตน โดยเนนหลักกำรสงเครำะหแชำวบำนท่ียำกไร ในชุมชน
-165-
เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลุม่ ชาตพิ ันธ์ุ
ไดมำกูยืมขำวจำกธนำคำรขำวไปใชบริโภค และทํำพันธุแ(เช้ือ) สํำหรับกำรเกษตร
ในฤดูทํำนำ ใหคนในชุมชนชวยกันดูแล โดยมีกฎเกณฑแตำง ๆ ที่ชุมชนไดตกลง
รว มกันและถอื ไดถ อื ปฏิบัติภำยในชุมชน
6. กำรปูองกัน (protection) มีแนวปฏิบัติ ดังนี้ กำรทํำแนวกันไฟ โดย
ชำวบำ นอำสำมำชว ยกนั ดูแล ทํำแนวกนั ไฟอยำงดปี อู งกันไฟลำมปุำเขำหมูบำน
7. กำรสงวน (preservation) มีแนวปฏิบัติ ดังนี้ กำรบวชปุำ โดย
ประยุกตพแ ิธกี รรมทำงศำสนำมำใชกับกำรอนรุ ักษธแ รรมชำติ กำรบวชปลำ ในบริเวณ
รัศมีพ้ืนท่ีที่ขุนนํ้ำ ไมไมจับปลำ ใชหลักคิดเดียวกับกำรบวชปุำ เป็นกำรประยุกตแ
พิธีกรรมทำงศำสนำมำใชกับธรรมชำติ กำรบวชขุนนํ้ำ ใชเรียกขวัญกํำลังและตอ
ชะตำชีวิตคน สรำงมิติของควำมศักด์ิสิทธิ์ในเชิงพุทธศำสนำใหแกธรรมชำติ ใน
ลักษณะเดียวกับกำรบวชปุำ
8. กำรแบงเขต (Zoning) มีแนวปฏิบัติ ดังนี้ กำรบวชปุำ กำรกํำหนด
โซนเพื่ออนุรักษแปุำ กำรบวชปลำ กำรกํำหนดโซนเพ่ืออนุรักษแปลำในเขตขุนน้ํำ
กำรบวชขนุ น้ำํ กำรกํำหนดโซนเพื่ออนรุ ักษนแ ้ํำในเขตขนุ น้ำํ
แนวปฏิบัตดิ ำนกำรสงเสริมกำรทองเที่ยวเชิงศำสนำและวัฒนธรรมของพระ
บัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ มดี งั น้ี
1. กำรปรับปรุงเปล่ียนแปลงโครงสรำงภำยในวัดเพ่ือรองรับนักทองเท่ียว
มีกำรสิ่งอํำนวยควำมสะดวก มีเอกสำรขอมูลเกี่ยวกับวัดไวแจกนักทองเท่ียว มี
หองน้ํำสะอำดที่มีจํำนวนมำกเพียงพอ มีระบบไฟฟูำแสงสวำงที่ดี มีรำนจํำหนำย
สินคำท่ีระลึก และมีบุคลำกรที่พูดภำษำอังกฤษและภำษำอื่น ๆ ไวตอนรับ
นักทองเที่ยว ชวยสงเสริมควำมเขำใจอันดีระหวำงคนตำงชุมชน ตำงวัฒนธรรม
สงเสริมกำรเก้อื กลู แบงปนใ ใหเ กิดข้ึนในชมุ ชน
2. กำรรักษำขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรมอันดีงำมที่บรรพบุรุษได
กระทํำติดตอกันมำเป็นเวลำนำน ทํำใหเกิดควำมรักควำมสำมัคคีของคนในชุมชน
ตลอดถงึ ผูคนตำงถ่ินตำงแดนที่เดินทำงมำกรำบไหวบูชำพระธำตุ เป็นกำรเดินทำง
ไปสักกำระส่ิงท่ีเป็นเสมือนตัวแทนหรือเหตุกำรณแท่ีนอมนํำมำใหสัมพันธแกับ
พระพทุ ธเจำ
3. กำรจัดประชุมระดมควำมคิดเพ่ือวิเครำะหแผลกำรดํำเนินงำนของ
เครือขำยพระนักพัฒนำและกระบวนกำรสงเสริมกำรทองเท่ียวชุมชนของกลุมชำติ
-166-
เครอื ข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลุม่ ชาติพนั ธุ์
พันธแุบนพื้นท่ีสูงของเครือขำยพระนักพัฒนำบนพื้นที่สูง ณ อำศรมพระบัณฑิต
อำสำ 2 เสน ทำง มผี ลสรปุ ดังน้ี เสนทำงที่ 1 เสนทำงทองเที่ยวอำศรมพระบัณฑิต
อำสำอํำเภอกัลยำณิวัฒนำ จังหวัดเชียงใหม และเสนทำงที่ 2 เสนทำงตำมรอยพอ
หลวง ร.9 บำ นแสนคํำลือ อํำเภอปำงมะผำ จังหวดั แมฮ องสอน
แนวปฏิบตั ิดำ นกระบวนกำรเพ่ิมรำยไดเกษตรวิถีพุทธของพระบัณฑิตอำสำ
พัฒนำชำวเขำ มดี ังนี้
1. กำรสงเสริมใหควำมรูทำงดำนกำรเกษตร สงเสริมในดำนอำชีพเสริม
รำยได เชน กำรปลูกกำแฟ ผลไมเมืองหนำว โดยกำรจัดหำกลำพันธุแและ
เพำะปลูกกลำพนั ธุแสำํ หรับแจกจำยชำวบำนในพ้นื ท่อี ำศรม
2. กำรสง เสรมิ ดำ นคุณธรรม สงเสริมในใหคนในชุมชนพัฒนำตนเอง และ
สง เสริมดำ นบำํ รงุ รกั ษำทรพั ยำกรธรรมชำตแิ ละส่งิ แวดลอม
แนวปฏิบัติดำนกำรดูแลผูสูงอำยุของพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ มี
ดังน้ี
1. กำรสงั คมสงเครำะหแและพัฒนำ จัดต้ังและพัฒนำกลุมตำงๆ ในหมูบำน
(เยำวชน แมบ ำ น ผสู ูงอำยุ กลมุ อำชีพ ฯลฯ) สงเสริมสนับสนุนองคแกรในหมูบำน
ใหเขมแข็ง ประสำนงำนกับองคแกรในทองถิ่นท้ังภำครัฐและเอกชนที่เก่ียวของ ให
คํำแนะนํำปรึกษำดำนกำรดํำเนินงำนแกองคแกรในทองถ่ิน สงเครำะหแบุคคลและ
ครอบครัวทีท่ กุ ขแยำกเดือดรอน (คนยำกจน คนพิกำร ผูส งู อำยุ ผปู ระสบภยั )
2. กำรจัดประชุมระดมควำมคิดเพื่อวิเครำะหแผลกำรดํำเนินงำนของ
เครอื ขำยพระนักพฒั นำและกระบวนกำรดูแลผูสูงอำยุของกลุมชำติพันธุแบนพื้นที่สูง
ของเครือขำยพระนักพัฒนำบนพ้ืนท่ีสูง ณ อำศรมพระบัณฑิตอำสำบำนปุำคำ
ตํำบลมอนป่ิน อํำเภอฝำง จังหวัดเชียงใหม มีผลสรุปดังน้ี กำรทํำสํำมะโนปใญหำ
ชุมชน เพื่อทํำกำรสรุปประเด็นปใญหำรวมกับผูใหญบำน และเจำหนำที่จำก
องคแกำรบริหำรสวนตํำบลมอนปิ่นที่เขำมำชวย ซึ่งกำรสรุปปใญหำจำกกำรทํำสํำมะ
โนปใญหำก็ไดประเด็นที่กลำวมำเบื้องตน จำกกำรผลกำรจัดประชุมไดนํำไปสูกำร
จัดทํำโครงกำร จิตอำสำรวมกันพัฒนำทํำควำมสะอำดบำนปุำคำ ณ บำนปุำคำ
หมูที่ 11 ตํำบลมอนป่ิน อํำเภอฝำง จังหวัดเชียงใหม ในชื่อโครงกำรวำ จิตอำสำ
รวมกนั พฒั นำทำํ ควำมสะอำดบำนปุำคำ โดยคณะกรรมกำรหมบู ำ นปุำคำ
-167-
เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของกล่มุ ชาติพนั ธ์ุ
3. กำรจัดทํำโครงกำรอบรมใหควำมรูกำรดูแลสุขภำพผูสูงอำยุ ณ ศำลำ
อเนกประสงคบแ ำนปำุ คำ หมทู ่ี 11 ตำํ บลมอ นป่ิน อำํ เภอฝำง จังหวัดเชียงใหม ชื่อ
โครงกำร: อบรมใหควำมรูกำรดูแลสุขภำพผูสูงอำยุ โดยคณะกรรมกำรหมูบำนปุำ
คำ รวมกับโรงพยำบำลสงเสริมสุขภำพมวงชุม โดยขอเจำหนำท่ีที่มีควำมรู
ควำมสำมำรถ มำอบรมใหควำมรูแกผูสูงอำยุบำนปุำคำ ผูสูงอำยุจะไดมีควำมรู
ควำมเขำใจในกำรนํำควำมรูมำเป็นสวนหน่ึงในกำรดํำเนินชีวิต นักวิจัยและนิสิตจึง
จัดทํำโครงกำร อบรมใหควำมรูกำรดูแลสุขภำพผูสูงอำยุ เพื่อคุณภำพชีวิตที่ดีข้ึน
ของผูสูงอำยุ ในกำรดูแลรักษำสุขภำพของตัวเองตอไป มีวัตถุประสงคแ ดังนี้ 1.
เพื่อใหผูสูงอำยุไดอบรมมีควำมรูเขำควำมใจในกำรดูแลสุขภำพตนเอง 2. เพ่ือให
ผสู ูงอำยุไดมคี วำมสำมัคคีกันในกำรรวมกลุมทํำกิจกรรมรวมกัน 3. เพื่อใหผูสูงอำยุ
ไดมีสุขภำพกำยและสุขภำพจิตที่ดี ในกำรดํำเนินชีวิตลักษณะกิจกรรมเป็นกำร
ดํำเนินงำนแบบมีสวนรวมของนักวิจัยและนิสิตฝึกงำน สำขำสังคมสงเครำะหแและ
ผูสงู อำยุบำ นปำุ คำ
แนวปฏิบัติดำนกำรส่ือสำรวัฒนธรรมเพื่อกำรเรียนรูของพระบัณฑิตอำสำ
พฒั นำชำวเขำ มีดังนี้
1. กำรสื่อสำรของพระนักพัฒนำ (Sender) เป็นกำรทํำงำนเชิงรุกมำกวำ
เชงิ รบั มที ักษะในกำรสือ่ ภำษำถ่นิ กบั กลุมชำติพันธุแ ทํำงำนดวยใจรักและมีปณิธำน
ท่ชี ัดเจน
2. เน้ือธรรม (Message) ของพระนักพัฒนำ เป็นหลักธรรมท่ีมีเน้ือหำ
สำระเก่ียวของกับวิถีชีวิตของชำวบำนในชุมชน มีประโยชนแแกชำวบำน ชุมชน
และประเทศชำติทงั้ ในปจใ จบุ นั และอนำคต
3. ชองทำงกำรส่ือสำร (Channel) ของพระนักพัฒนำนั้นเกี่ยวของกำร
กำรใชสอื่ เทคโนโลยีและชองทำงทจี่ ะส่อื สำรกับชำวบำ นในชุมชน ใชภำษำท่ีเขำใจ
งำย สอ่ื ท่ีจูงใจ มวี ิธีกำรสอนที่หลำกหลำยและมปี ระสทิ ธภิ ำพ
4. ผูรับสำร (Receiver) ของพระนักพัฒนำตองมีกำรวิเครำะหแผูรับสำร
เพ่ือจะไดหำวิธีที่จะเขำไปส่ือสำรกับเปูำหมำยของตนเองในแตละชุมชนใหเ ขำใจ
แจม แจง ในเรอ่ื งท่ไี ดฟ ใง มีแรงจูงใจในกำรพัฒนำตน มีควำมพยำยำมในกำรปฏิบัติ
และมีควำมสขุ จำกกำรเรยี นรูและทำํ กิจกรรมทำงพุทธศำสนำ
-168-
เครอื ข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของกลุ่มชาติพันธุ์
5. กำรสรำงเครอื ขำ ย (Network) ของพระนกั พัฒนำทีม่ ีหลำยกลุม ไดแก
พระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ พระธรรมจำริก หรือพระสงฆแนักพัฒนำอ่ืนๆ ใน
พื้นที่ เพื่อทํำเปูำหมำยเดียวกัน เป็นหัวใจสํำคัญในกำรชวยสนับสนุนกำรสื่อสำร
กระบวนกำรวัฒนธรรมเพ่ือกำรเรียนรูของกลุมชำติพันธุแไดเป็นอยำงดีและมี
ประสิทธิภำพมำกย่งิ ขนึ้
แนวปฏิบัติดำนเศรษฐกิจชุมชนแบบพอเพียงของพระบัณฑิตอำสำพัฒนำ
ชำวเขำ มดี งั น้ี
1. กำรประยุกตแใชหลักพุทธธรรมในกำรพัฒนำสังคม เป็นกำรทํำงำน
พระสงฆแที่อำสำเพื่อพัฒนำทำงดำนจิตใจมำกกวำกำรพัฒนำดำนวัตถุ กำรพัฒนำ
คนใหดํำรงชีวิตอยูได สรำงทุน คุณภำพชีวิตที่ดี โดยใชหลักปำปณิกธรรม 3 พละ
4
2. กำรใชแนวคิดกำรสรำงเครือขำย (Networking) เป็นกำรสรำง
ควำมสัมพันธแทำงสังคมที่มีลักษณะคลำยใยแมงมุม ทํำหนำที่เช่ือมสัมพันธแกัน
ระหวำงบุคคลหลำยๆคน บนพื้นฐำนดำนควำมคิด ควำมเชื่อ กำรมีสวนรวมและ
ประสบกำรณแ กำรกระทำํ พนั ธกจิ และเปูำหมำยรว มกนั
3. กำรพัฒนำเศรษฐกิจตำมแนวทำงพระพุทธศำสนำ พระบัณฑิตอำสำใช
หลกั ธรรมคำํ สอนทใ่ี ชเปน็ เครื่องยดึ เหนย่ี วจติ ใจใหกับศำสนิกชน ซ่ึงหลักธรรมท่ีใช
ในกำรพัฒนำเศรษฐกิจพอเพียงตำมแนวทำงพระพุทธศำสนำ ประกอบดวย
หลักธรรมทิฏฐธัมมิกัตถประโยชนแ 4 หลักโภคำวิภำค 4 หลักสุขของคฤหัสถแ
หลักอตตำ หิ อตตโน นำโถ หลักสัปปุริสธรรม 7 หรือหลักธรรมสัตบุรุษ 7
มัชฌิมำปฏิปทำ เพื่อเป็นหลักธรรมคํำสอนนํำไปสูกำรดํำเนินชีวิตของชำวบำนใน
ชุมชน
ผลกระทบของพ้ืนท่ีตนแบบ (Model) ในกำรพัฒนำคุณภำพชีวิตของกลุมชำติ
พนั ธุแบนพ้ืนทสี่ งู ของเครือขำ ยพระนักพัฒนำ
ผลกระทบของพ้ืนที่ตนแบบ (Model) ในกำรฟ้ืนฟูสิ่งแวดลอมของกลุม
ชำติพันธุแบนพน้ื ท่สี ูงของเครือขำยพระนกั พัฒนำ สำมำรถสรปุ ไดด งั นี้
1. ผลกระทบจำกกำรจัดกำรขยะในชุมชน ปใญหำขยะเป็นปใญหำใหมท่ี
เกิดข้ึนในชุมชน จำกกำรเขำพ้ืนที่มำก็เริ่มพบเห็นปใญหำเร่ืองกำรจัดกำรขยะ
-169-
เครอื ข่ายพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ิตของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ
เพรำะปริมำณขยะมีเพ่ิมมำกขึ้นเรื่อย ๆ จึงเกิดกิจกรรมกำรใหควำมรูในเรื่องกำร
จัดกำรขยะและกำรลดปริมำณขยะในครัวเรือน ซึ่งสงผลกระทบตอชุมชน นํำไปสู
เร่ืองของกำรจัดกำรขยะอยำงเป็นระบบ พัฒนำไปสูกำรจัดทํำบอขยะ โดยผำน
กำรจัดทํำถงั ขยะในชมุ ชน แหลงชุมชน ตำมครัวเรือน บริเวณทำงแยก ในชุมชน
โดยรวมกับกลมุ เยำวชนลมุ นํ้ำแมลิด
2. ผลกระทบจำกกำรบวชปุำ เริ่มจำกกำรใชพ้ืนท่ีรอบ ๆ ขุนน้ํำ รัศมี 1
กิโลเมตร เพื่อรักษำปุำตนน้ํำ และมีกำรบวชตนไมขยำยพ้ืนท่ีบริเวณปุำรอบขุนน้ํำ
มีอำณำบริเวณหลำยรอยไร ในปีแรกที่ที่มีกิจกรรมบวชปุำ พบชำวบำนใหควำม
สนใจเขำรวมจํำนวนมำก หลังจำกท่ีมีกำรทํำพิธีกรรมทำงศำสนำ มีกำรสวดมนตแ
จึงไดสำนตอโครงกำรพัฒนำสิ่งแวดลอม และกำรทํำกิจกรรมตอยอดไปอีกเพื่อทํำ
ใหชุมชนหมูบำนของเรำมีปุำ มีนํ้ำ มีอำหำรกินตลอดปี ลูกหลำนไมอดอยำกไม
ลำํ บำก ชำวบำนกเ็ ห็นดเี หน็ ชอบดํำเนนิ กิจกรรมมำตลอดทกุ ปี
3. ผลกระทบจำกกำรทํำแนวกันไฟ ระหวำงเขตหมูบำนรอบ ๆ หมูบำน
เพ่อื ปอู งกนั ไฟปุำ แตท่ีผำนมำ บริเวณพ้ืนที่ อ.แมสะเรียง จะไมมีไฟไหม หรือไม
มีไฟปุำมำหลำยปี มีแตกอนที่จะทํำกำรเกษตรก็จะมีกำรถำงไร และจะทํำแนวกัน
ไฟอยำงดี จะดูแลปุำอยำงดี ถำมีกำรเผำปุำเพื่อเตรียมกำรทํำกำรเกษตรก็จะมี
ชำวบำนอำสำมำชวยกันดูแล ทํำแนวกันไฟอยำงดีปูองกันไฟลำมปุำเขำหมูบำน
เป็นอยำ งดี ชำวบำ นรกั ปุำ
4. ผลกระทบจำกกำรอนุรักษแพันธแุปลำ ท่ีขุนหวย (ลํำธำรในเขตหมูบำน)
โดยเริ่มจำกในหมูบำนบริวำร เชน บำนแมสะเรียงนอย ต.ปุำแป อ.แมสะเรียง จ.
เชียงใหม ชำวบำนนิมนตแพระอำจำรยแเขำไปบวชปุำ และไดเห็นขุนน้ํำท่ีมีน้ํำเยอะ
มำกควำมอดุ มสมบูรณแ มปี ลำจํำนวนมำก แสดงถึงควำมอุดมสมบูรณแของพ้ืนท่ี ได
แนะนํำชำวบำนใหอนุรักษแพันธุแปลำ ปใจจุบันจํำนวนปลำมีเพิ่มข้ึนเพียงพอตอกำร
บรโิ ภคในชุมชน
5. ผลกระทบจำกกำรอนุรักษแตนนํ้ำ ในชวงปีแรก ๆ ท่ีพระบัณฑิตอำสำ
พัฒนำชำวเขำเขำมำอยูในพื้นท่ี น้ํำในลํำหวยก็แหงขอด นํ้ำไมมีใชภำยในชุมชน
จงึ พยำยำมสรำงควำมตระหนกั ดวยกำรชี้ใหเห็นถึงปใญหำวำถำชำวบำนไปปลูกขำว
ทำํ ไรข ำ วท่ีขนุ น้ํำ เหนือหมูบำนซึง่ เปน็ แหลงตนนํ้ำ จึงแนะนํำใหช ำวบำนทํำไรขำว
-170-
เครอื ข่ายพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของกล่มุ ชาตพิ นั ธุ์
ในพื้นทีท่ ี่ต่ํำกวำขุนนํำ้ ขำ งลำงหมูบำนลงไป ซึ่งผลปรำกฏ 6 ปีที่ผำนมำปุำไม ท่ี
เป็นปุำขนุ นำํ้ เป็นปุำหมบู ำ นก็ยังเขยี วชุม ช่นื
6. ผลกระทบจำกกำรใหควำมรูเร่ืองกำรไมใชยำฆำแมลง กำรไมใช
สำรเคมีในกำรทํำกำรเกษตร ผำนกำรประสำนงำนกับศูนยแพัฒนำชำวเขำมำให
ควำมรูกับชำวบำน นอกจำกมำใหควำมรูแลวยังรวมถึงมำลงมือปฏิบัติ เชน กำร
เพำะกลำอโวคำโด เพำะกลำกำแฟ เสำวรสใหกับชำวบำนอีกดวย จำกควำมรูที่
จนท.โครงกำรมำแนะนํำ ทํำใหทรำบวำธรรมชำติของพืชน่ีมีหลำยประเภทจํำแนก
ตำมระยะเก็บเก่ียว อำทิ พืชเก็บเก่ียวระยะสั้น พืชเก็บเก่ียวระยะกลำง พืชเก็บ
เกย่ี วระยะยำว เชน สง เสรมิ ใหช ำวบำนปลูกตนอโวคำโดเป็นพืชพำณิชยแ มีรำคำ
ดีกวำจะโตจนเก็บเกี่ยวผลผลิตไดใชระยะเวลำ 5 ปี ระหวำงนั้นใหปลูกกำแฟเสริม
ในสวน ซ่งึ ใชระยะเวลำในกำรเก็บเกี่ยว 2 ปี แตชำวบำนหรือเกษตรกรจํำเป็นตอง
กินตองใช ตองมีเงิน มีผลผลิตหมุนเวียนเพ่ือกอใหเกิดรำยได หรือสำมำรถดํำรง
ชีพได จึงควรปลูกเสำวรส ซ่ึงใชระยะเวลำในกำรเก็บเกี่ยว 1 ปี นอกจำกนั้นยัง
แนะนํำใหชำวบำนดูแลสวน และเพ่ิมเติมดวยกำรปลูกลํำไย มะมวง และกลวย
เนนกำรบริโภคในครัวเรือนเป็นหลัก ท่ีเหลือจึงจํำหนำย เป็นกำรใชหลักปรัชญำ
เศรษฐกิจพอเพยี ง เนน กำรปลกู พืชเพื่อยังชีพ พืชผักสวนครัว เนนบริโภค งดเวน
กำรใชสำรเคมี สนับสนุนสงเสริม และใหควำมรูชำวบำนเร่ือง กำรทํำปุยหมัก ปุย
ชวี ภำพ ปยุ พชื สด ปุย น้ำํ ชวี ภำพ
7. ผลกระทบจำกกำรจัดทํำธนำคำรขำวของชุมชน พ้ืนท่ีดอยแหงนี้
เมื่อกอนไดเกิดปใญหำตำง ๆ ในดำนคุณภำพชีวิตข้ันวิกฤต โดยเฉพำะปใญหำเรื่อง
“ฝิ่น” สิ่งเสพติดท่ีมำเยือนชุมชนต้ังแตอดีต กำรอพยพมำของบำงกลุมในพื้นที่
อีกปใญหำหน่ึงท่ีเกิดขึ้นคือ ปใญหำพ้ืนท่ีปุำไมเสื่อมโทรมในที่บริเวณปุำตนน้ํำ อัน
เนื่องมำจำกกำรทํำไรฝิ่นมำอยำงตอเน่ืองและยำวนำน จนเกิดภำวะขำดควำม
สมดุลดำนกำรใชทรัพยำกรในพ้ืนท่ี ทํำใหกำรปลูกขำวเพ่ือไวเลี้ยงชีพนั้นแทบไม
พอกินและยังมีอุปสรรคอื่น ๆ กำรบุกรุกพ้ืนท่ีปุำ ไฟปุำท่ีทํำลำยหนำดิน จึงได
รเิ ริ่มนำํ ขำ วเปลอื กที่ชำวบำ นมำถวำยเพ่อื ทํำบญุ ซง่ึ เป็นขำ วใหม ขอเป็นขำวเปลือก
แทน โดยไดต้ังเป็นกองทุนออมขำว รับบริจำคขำวเปลือก จัดทํำบุญทอดผำปุำ
ข ำ ว เ ป ลื อ ก นํ ำ ผ ล ป ร ะ โ ย ช นแ ที่ เ กิ ด จ ำ ก ก ำ ร ใ ห กู ข ำ ว ม ำ ใ ช เ ป็ น ทุ น
-171-
เครอื ข่ายพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาติพันธุ์
ดํำเนินกำร ธนำคำรขำวเป็นกำรรวมกลุมกันของชำวบำนภำยใตกำรแนะนํำของ
พระบณั ฑติ อำสำพฒั นำชำวเขำ และหนว ยงำนรำชกำรทเี่ กี่ยวขอ ง
8. ผลกระทบจำกกำรสรำงเครือขำยอำสำสมัครรักษแส่ิงแวดลอม จำกกำรท่ี
พระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำไดดํำเนินกำรเก่ียวกับกำรฟื้นฟูทรัพยำกรและ
สิ่งแวดลอมในพ้ืนท่ีตนเองมำระยะหน่ึง และพบวำกระบวนกำรทํำงำนจะกอใหเกิด
ประสิทธิภำพที่สุด และแกไขปใญหำไดย่ังยืนที่สุด ก็คือกำรทํำใหชำวบำนในพ้ืนที่
ตระหนักถึงปใญหำทีเ่ กิดขึ้นจำกกำรกระทํำของมนุษยแที่มีผลกระทบของสิ่งแวดลอม
และกำรทํำใหชำวบำนมีจิตอำสำรวมกันในกำรทํำใหคนในหมูบำน ในชุมชนมีกำร
ปรับเปล่ียนวิถีชีวิตท่ีเป็นมิตรกับสิ่งแวดลอม เพรำะกำรอนุรักษแสิ่งแวดลอมจะเป็น
ประโยชนแตอชำวบำนและลูกหลำน และทรัพยำกรเหลำนั้นก็จะยังคงมีอยูให
ประโยชนแกับมนุษยแตอไปอยำงยั่งยืน แตจำกกำรทํำงำนท่ีผำนมำพบวำจิตสํำนึก
หรือควำมตระหนักแตเพียงอยำงเดียวไมเพียงพอตอกำรจะฟื้นฟูสิ่งแวดลอม และ
ทรัพยำกรธรรมชำติใหกลับคืนสภำพ ตองอำศัยพลังชุมชน ในกำรปฏิบัติกำรดวย
เปรียบเสมือนลํำธำรหลำยสำยรวมกันเป็นแมน้ํำใหญท่ีมีพลัง จึงจํำเป็นตองมีกำร
ส่ือสำรกับชำวบำน กลุมเปูำหมำยตำง ๆ ใหมีควำมรูควำมเขำใจ ผำนกำรทํำ
กิจกรรมของกลุมท่ีทํำงำนดำนกำรอนุรักษแธรรมชำติและสิ่งแวดลอมในพื้นท่ี
ใกลเคียง หมูบำนบริวำร รวมถึงหมูบำนอ่ืน ๆ จึงเกิดจุดเริ่มตนของกำรรวมมือ
รวมใจกันในกำรทํำงำนดำนกำรฟ้ืนฟูสิ่งแวดลอมของกลุมมดงำนหลำยๆกลุมใน
ลักษณะเครอื ขำยอำสำสมคั รรกั ษสแ งิ่ แวดลอม
ผลกระทบของพื้นท่ีตนแบบ (Model) ในกำรพัฒนำแหลงทองเท่ียวทำง
ศำสนำและวัฒนธรรมของกลุมชำติพันธุแบนพ้ืนที่สูงของเครือขำยพระนักพัฒนำ
สำมำรถสรุปไดด ังนี้
1. ผลกระทบจำกนโยบำยภำครัฐ จำกกำรพัฒนำกำรทองเที่ยวของกำร
ทองเท่ียวแหงประเทศไทย (ททท.) จังหวัดเชียงใหม ไดเปิดโครงกำรเสนทำงกำร
ทองเทีย่ วเพื่อชุมชนโดยชุมชน ไดเ ลอื กใหอํำเภอกัลยำณวิ ฒั นำเป็นแหลงทองเท่ียว
แหงใหมข องจงั หวดั และคำดหวงั ใหเ ปน็ เสมอื นสถำนทท่ี องเท่ยี วทดแทนอํำเภอปำย
ท่ีกํำลังเขำสูชวงขำลงของกำรทองเที่ยว ภำยหลังกำรประกำศต้ังอํำเภอกัลยำณิ
วัฒนำในปี 2552 ทํำให 3 ตํำบล คือ ตํำบลแจมหลวง ตํำบลบำนจันทรแ และ
ตำํ บลแมแดดหรอื บรเิ วณขนุ นํำ้ แจมถูกรวมเขำเปน็ อํำเภอกลั ยำณิวฒั นำ
-172-
เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชีวติ ของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ
2. ผลกระทบจำกกำรพัฒนำกำรทองเที่ยวในพื้นที่ของคนนอกพื้นท่ี กำร
เปิดเป็นอํำเภอแหงใหมท่ีมีเปูำหมำยหลักชัดเจนในกำรเปิดตัวเป็นแหลงทองเท่ียว
ทำงธรรมชำติแหงใหมเพื่อแทนท่ีแหลงทองเท่ียวเดิมซ่ึงเสื่อมโทรมลงอยำงรวดเร็ว
เชนอํำเภอปำย ไดก อใหเ กิดผลกระทบตำมมำคือส่ิงกอสรำงและที่อยูอำศัยมำกมำย
ท่ีเกิดข้ึนในพ้ืนที่อํำเภอกัลยำณิวัฒนำ เจำของเป็นทั้งคนในพ้ืนที่และคนนอกพื้นท่ี
ที่เขำมำ โดยในกลุมคนในพ้ืนที่สวนใหญผูที่มีกํำลังหรือผันตัวเองมำเป็นนำยทุน
หนำใหมหรือผูประกอบกำรรำนคำ รำนอำหำร รีสอรแท ป้ใมน้ํำมัน อูซอมรถ หรือ
บำ นเชำ นน้ั มักเปน็ กลุมคนทม่ี ฐี ำนะหรือรำยไดท่มี ัน่ คง เชน ขำรำชกำร กลุมคนที่
ทํำงำนกับองคแกรศำสนำ หรือเก่ียวของ ตลอดจน กลุมผูนํำทองถ่ิน เชน
ผูใหญบำน อบต. เป็นตน จึงจะสำมำรถลงทุนประกอบกิจกำรดังกลำวได ทั้งน้ี
สำํ หรบั บคุ คลภำยนอกที่เขำ มำสว นใหญไ ดซ้อื ท่ดี ินหรือมำขอเชำบำนหรือพื้นท่ีเพ่ือ
ทํำกำรคำธุรกิจสวนตัว สวนใหญเป็นคนในเมืองเชียงใหมหรือจำกอํำเภอปำยที่
สนใจเขำมำทำํ ธุรกจิ สวนตัวในพื้นที่ ดงั น้ัน ในพ้ืนท่ีจึงมีส่ิงกอสรำงมำกมำยเกิดข้ึน
โดยเป็นกำรมำขอเชำท่ีหรือบำนจำกนำยทุน ซ่ึงสวนใหญเป็นกลุมผูนํำ เพ่ือเปิด
ธุรกิจรำนคำตำงๆ ท้ังนี้พ้ืนที่ท่ีเห็นกำรเปล่ียนแปลงอยำงชัดเจน คือ ในพ้ืนที่วัด
จนั ทรแ ตํำบลวัดจนั ทรแ ซ่ึงสวนใหญเป็นคนจำกตำงจังหวัด ดังน้ัน จำกกำรขยำยตัว
ของกิจกำรธุรกิจตำงๆ ในพ้ืนท่ี ตลอดจนกำรเกิดกลุมนำยทุนหนำใหม ซึ่งมำจำก
กลุมผูนํำทองถ่ินในพ้ืนที่ กำรเปลี่ยนมือหรือกรรมสิทธิ์ในกำรถือครองท่ีดินจึง
เกิดขึ้นตำมมำดวย มีกำรซื้อขำยที่ดินกันอยำงกวำงขวำง อีกท้ังรำคำท่ีดินในกำร
ซอื้ ขำยยังมีรำคำแพงขึน้
3. ผลกระทบจำกควำมเสื่อมโทรมจำกกำรจัดกำรกำรทองเท่ียว ในกำร
พัฒนำดำนกำรทองเที่ยวในพื้นท่ีอํำเภอกัลยำณิวัฒนำโดยหนวยงำนของรัฐท่ี
ดํำเนินกำรดำนกำรทองเท่ียว เชน มูลนิธิโครงกำรหลวงวัดจันทรแและองคแกำร
อุตสำหกรรมปุำไม (ออป.) วัดจันทรแ ไดมีกำรดํำเนินงำนในพ้ืนที่มำหลำยปีนั้น
กำรดำํ เนนิ กำร อำํ นำจ หรือกำรจัดกำรจะข้ึนตรงตอหนว ยงำนเหลำนี้เป็นหลัก สวน
ชำวบำ นหรอื คนในชมุ ชนท่ถี กู นํำมำเป็นแหลงทองเที่ยวนั้น บทบำทและกำรมีสวน
รวมจงึ มีเพยี งแตก ำรเป็นพนักงำนหรือลกู จำงรำยวัน ซึ่งทํำงำนในหนวยงำนเหลำนี้
ผลประโยชนทแ ีเ่ กิดข้ึนในรูปมลู คำทำงเศรษฐกจิ กับคำตอบแทนที่ชำวบำนท่ีเขำไปมี
สวนรว มในกำรดำํ เนินกำรกำรทองเที่ยวดังกลำว คงไมมำกนักเม่ือเทียบกับผลกํำไร
-173-
เครือข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพันธ์ุ
ที่ทำงหนวยงำนไดรับ ในทำงกลับกันชุมชนกลับไดรับผลกระทบตอกำรดํำรงชีวิต
และทรัพยำกรในพืน้ ท่ีดว ย เชน ปญใ หำแหลง ตน น้ํำไดรับควำมเสียหำยจำกกำรทิ้ง
ขยะของนักทองเที่ยวท่ีทำงหนวยงำนที่ดํำเนินกำรกำรทองเท่ียวไดนํำเขำไป
ทองเท่ียวชมธรรมชำติในเสนทำงและบริเวณดังกลำว นอกจำกน้ัน ยังมีกำรไป
ทํำลำยพืชพรรณไมที่หำยำกของชมุ ชน กระทงั่ ชุมชนตองดํำเนินกำรรองเรียน ใน
ปใจจุบันจึงมีกำรรวมกลุมข้ึน เพ่ือจัดกำรทองเท่ียวเชิงนิเวศของชุมชนโดยชุมชน
ข้ึน เป็นลักษณะทองเท่ียวเชิงอนุรักษแและจัดทํำท่ีพักแบบโฮมสเตยแเพ่ือให
นักทองเที่ยวเขำมำศึกษำ ทองเที่ยวและทํำควำมเขำใจวิถีชีวิต วัฒนธรรมและ
ธรรมชำติของชุมชนอยำ งแทจ ริง
ผลกระทบของพ้ืนท่ีตนแบบ (Model) ในกำรพัฒนำกำรเพ่ิมรำยไดวิถี
พทุ ธของกลมุ ชำติพนั ธแุบนพ้นื ท่ีสูงของเครือขำยพระนักพฒั นำ สำมำรถสรปุ ไดด งั น้ี
1. ปใญหำกำรปลูกพืชบนพื้นท่ีสูง คือ บริบทพ้ืนท่ีสวนใหญเป็นดอยสูง
ชำวบำนสวนใหญจึงมีควำมเขำใจวำจะยำกตอกำรจัดกำรเกษตรแบบวิถีพุทธ
เนื่องจำกขำดควำมรใู นกำรทำํ เกษตรแบบวิถีพทุ ธ ควำมรใู นกำรทำํ ปยุ อินทรียแ พันธุแ
พืชในกำรเพำะปลูก กำรคัดเลือกพืชพันธแใหเหมำะสมกับดินและกำรเลือกปลูกพืช
เศรษฐกิจที่ดูแลงำย ควำมรูในกำรแปรรูปผลผลิตทำงเกษตรท่ีออกมำใหได
หลำกหลำย และงบประมำณในกำรสนับสนุนกำรดํำเนินงำนในดำนกำรเกษตร ท่ี
สํำคัญคือ มคี วำมเชือ่ ในกำรทำํ เกษตรแบบเดมิ ท่ีเนนพืชเศรษฐกิจแบบเชิงเด่ียว จึง
ยำกตอ กำรเปล่ยี นแปลงแนวคิดใหมๆ โดยเฉพำะในดำนกำรเกษตรแบบวิถีพุทธ ที่
เนนกำรเกษตรแบบพอเพียง เพรำะเห็นวำมีรำยไดท่ีนอยและชำมำกกวำจะเห็นผล
บำงแหงมีปใญหำกำรขำดนํ้ำอุปโภคบริโภคไวใชในฤดูแลง ในชวงเดือนมีนำคม-
พฤษภำคม
2. ปใญหำควำมแหงแลงบนพ้ืนที่สูง เนื่องจำกขำดควำมรวมมือในกำร
ปูองกนั ไฟฟูำปุำและกำรรวมมือในกำรเผำทุกชนดิ ในฤดูแลง ทง้ั ยังมีปใญหำกำรแยง
ท่ีดินทํำกิน ปใญหำกำรลักลอบตัดตนไมและปใญหำกำรบุกรุกปุำสงวน พระ
นกั พฒั นำบนพื้นท่ีสูงจึงไดกำรดํำเนินกำรแกไขปใญหำในดำนเกษตรกรรมของกลุม
ชำติพันธุแบนพื้นที่สูงในพ้ืนท่ีตนแบบ เวียงปุำเปูำ แมสรวย เมืองเชียงรำย ของ
เครือขำยพระนักพัฒนำ ใน 3 อํำเภอ ทั้ง 7 แหง ไดดํำเนินกำรแกปใญหำในดำน
เกษตรกรรมของกลุมชำติพันธุแบนพ้ืนที่สูง ดังนี้ 1. ใหควำมรูในเร่ืองของกำรทํำ
-174-
เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ
เกษตรวถิ พี ุทธ 2. ใหควำมรูในกำรทํำปุยอินทรียแ 3. หำแหลงพันธแพืชเศรษฐกิจใน
กำรเพำะปลูกใหใหเหมำะสมกับดินท่ีปลูก 4. สรรหำงบประมำณจำกหนวยงำน
ของรัฐบำลและเอกชน 5. ใหควำมรูในกำรในเร่ืองของประโยชนแและโทษของกำร
ใชปุยชีวภำพและปุยอินทรียแ 6. ขอควำมรวมมือคนในชุมชนปฏิบัติตำมกฎ
ระเบยี บของทำงปุำไมในกำรใชท่ีดินทํำงำนเขตปุำใชสอย และเขตอนุรักษแและตน
นำํ้ 7. รวมกันกับชำวบำนในกำรระดมทุนในกำรจัดหำถังเก็บน้ํำขนำดใหญ ที่จุนํ้ำ
ได 20,000 ลิตร ไวใ ชในชุมชน
ผลกระทบของพ้ืนท่ีตนแบบ (Model) ในกำรดูแลผูสูงอำยุของกลุมชำติ
พนั ธแุบนพืน้ ทสี่ งู ของเครือขำ ยพระนกั พฒั นำ สำมำรถสรปุ ไดดังนี้
1. ผลกระทบจำกปใญหำสุขภำพ เน่ืองจำกผูสูงอำยุสวนใหญไมไดรับ
กำรศึกษำในโรงเรียน จึงอำนเขียนภำษำไทยไมได โดยเฉพำะสตรีท่ีมีอำยุวัย
กลำงคน และผูสงู อำยุ บำงคนพดู ภำษำไทยไมไ ด แมวำจะมีโรงเรยี นสํำหรับผูใหญ
(กศน.) อยูในหมูบำน แตก็มีเพียงบำงคนซึ่งมีจํำนวนนอยที่สนใจในกำรเรียนรู
ภำษำไทยและวิชำพื้นฐำนอ่ืนๆ ทํำใหสมำชิกของหมูบำนยังขำดควำมรูควำม
เขำ ใจในกำรปูองกันโรคภยั ไขเจ็บ ขำดควำมรูเร่ืองโภชนำกำร เรื่องสำธำรณสุขข้ัน
พื้นฐำนเก่ียวกับกำรรักษำควำมสะอำดบำนเรือน บริเวณบำน น้ํำด่ืม สวม กำร
กํำจัดขยะมูลฝอยและส่ิงปฏิกูล นอกจำกนี้ เม่ือมีสมำชิกในครัวเรือนเกิดควำม
เจ็บปุวย กำรเดินทำงไปรับกำรรักษำพยำบำลก็คอนขำงลํำบำก โดยเฉพำะในฤดู
ฝน ถนนลนื่ ปใญหำเรอ่ื งยำเสพติดยงั คงมีผสู ูงอำยทุ ตี่ ิดฝนิ่ เลิกไมได
2. ผลกระทบจำกปใญหำกำรเขำ ถงึ สวัสดิกำรภำครัฐ คนชรำท่ีไดรับเบี้ยยัง
ชีพมี 77 คน คนพิกำรท่ีไดรับเบ้ียยังชีพ 8 คน แตยังมีผูสูงอำยุหรือคนชรำอำยุ
60 ปีขึ้นไป มี 15 คน คนพิกำรมี 5 คน ยังไมไดรับเบี้ยยังชีพ สำเหตุที่กลุม
บุคคลเหลำนี้ ปใญหำเร่ืองยังไมมีสัญชำติ มีประมำณ 7 หลังคำ มีบัตรสีชมพู จึง
ไมไดรบั สวสั ดิกำรควำมชว ยเหลือ อำจจะเป็นเพรำะวำ บำงคนไมท รำบวำตนมีสิทธิ
ที่พึงมีพึงได บำงคนก็ยังไมมีสัญชำติไทย จึงทํำใหไมมีสิทธิในกำรรับสวัสดิกำร
ดงั กลำว แมวำ สังคมระดับหมูบำนท่ีทํำกำรศึกษำวิจัยน้ี จะมีลักษณะที่พ่ึงพำอำศัย
กันตำมวัฒนธรรมประเพณีของชนเผำ แตควำมเปล่ียนแปลงทำงสังคมท่ีเกิดข้ึนมี
ผลทํำใหทุกคนทุกครัวเรือนมีควำมตองกำรควำมสะดวกสบำยมำกข้ึน และกำร
พ่ึงพำอำศัยกันระหวำงเครือญำติและเพ่ือนบำนจะมีลักษณะลดนอยลง กำรใช
-175-
เครอื ขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลมุ่ ชาติพันธุ์
จำยเงินเพ่ือซื้อส่ิงอํำนวยควำมสะดวกจึงเป็นส่ิงจํำเป็นสํำหรับชีวิต หำกจะมี
สวัสดิกำรสังคมดำนกำรใหเบ้ียยังชีพแกผูสูงอำยุและคนพิกำร ยอมจะกอใหเกิด
ประโยชนแในกำรดํำรงชีวิต แบงเบำภำระแกบุคคลหรือครอบครัวท่ีเล้ียงดู และอีก
ประกำรหนึ่ง คือเป็นสิทธิของบุคคลที่เดือดรอนอยูในขำยที่จะไดรับควำม
ชวยเหลือตำมกฎหมำยรัฐธรรมนูญ ชำวบำนไมไดรับกำรแนะนํำ กำรใหควำมรู
ควำมเขำ ใจหรือกระตุนจำกหนวยงำน องคแกรภำยนอก กำรรวมกลุมจึงยังมีไมมำก
นกั ซึง่ เป็นจดุ ออ นประกำรหนง่ึ ของกำรพฒั นำตนเองและหมบู ำน
3. ผลกระทบจำกปญใ หำทำงเศรษฐกิจ เน่ืองจำกรำยไดจำกผลผลิต เป็นไป
ตำมสภำพเศรษฐกิจที่มีพอคำคนกลำงเป็นผูกํำหนดรำคำซ่ึงมีผลตอรำคำพืชผลท่ี
ไมแนนอน กำรใชสำรเคมีในกำรเกษตร ตนทุนสูงเพรำะชำวบำนยังขำดควำมรู
เก่ียวกับกำรทํำเกษตรอินทรียแ กำรทํำปุยหมักธรรมชำติ ไมคอยมีคนใชแบบปลอด
สำรเคมี ตอ งซ้อื ยำมำฉีดพน สวนหนึ่งอำจเป็นเพรำะวำสำรเคมีท่ีเขำฉีดพนผัก ทํำ
ใหม อี ำกำรปวดตำมเนอื้ ตัว รูสกึ เจบ็ ทอ ง
จำกผลกำรประชุมกลุมมีขอคิดเห็น คือ กลุมยังขำดบุคลำกรในกำร
ขับเคล่ือนกำรจัดกิจกรรมในกลุม และขำดกำรจัดกิจกรรม หรือกลุมสรำงรำยได
หรืออำชีพเสริมใหกับสมำชิก และมีขอเสนอแนะ ใหมีกำรรวมกลุมควรมีบุคลำกร
ที่สำมำรถชวยในกำรจัดกิจกรรมได ควรมีกำรจัดกิจกรรมใหกับผูสูงอำยุ เชน กำร
อบรมใหควำมรเู ก่ยี วกับสุขภำพ เปน็ ตน
ผลกระทบของพ้ืนที่ตนแบบ (Model) ในกำรสื่อสำรวัฒนธรรมเพื่อกำร
เรียนรูของกลุมชำติพันธแุบนพื้นที่สูงของเครือขำยพระนักพัฒนำ สำมำรถสรุปได
ดงั นี้
1. ผลกระทบจำกปใญหำในกำรใชหลักพุทธธรรมในกำรส่ือสำรวัฒนธรรม
เพ่ือกำรเรียนรูที่เหมำะสม คือ กำรใชภำษำและกำรส่ือสำรกับชำวบำนในชุมชน
ชำวบำนบำงคนไมคอ ยมีเวลำเขำรวมกิจกรรม บำงครอบครัวมีปใญหำเล็กๆ นอยๆ
ภำยในครอบครวั ไมค อยมีพระภกิ ษมุ ำอยปู ระจำํ อำศรม ชำวบำนยังไมสำมำรถสวด
มนตแภำษำบำลีไดค ลอง ตอ งใหท ํำวัตรสวดมนตแชำๆ ฤดูฝนยำกตอกำรเดินทำงและ
ชำวบำนตองทํำงำนของตนเอง ดังน้ัน พระบัณฑิตอำสำตองทํำงำนเชิงรุกโดย
สงเสริมใหชำวบำนในชุมชนทํำบุญและไหวพระสวดมนตแทุกวันพระ 15 ค่ํำ เนน
ในเรอ่ื งกำรปฏิบตั ธิ รรม กำรรณรงคแจดั กิจกรรมใหชำวบำนลด ละเลิกเหลำแหละยำ
-176-
เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
เสพติด กำรส่ังสอนใหชำวบำนนํำหลักศีล 5 ไปปฏิบัติในชีวิตประจํำวัน กำร
อนุรักษแประเพณีวัฒนธรรม เชน ตำนกเวยสลำก สรงนํ้ำพระธำตุประจํำปี เป็นตน
ใชเทคโนโลยีในกำรเผยแผพระพุทธศำสนำและหลักธรรมพื้นฐำนในกำรดํำเนิน
ชวี ติ กำรเปิดส่อื ธรรมะใหชำวบำนชมและยกตัวอยำงผูสูงอำยุที่เป็นตนแบบในกำร
ปฏิบัติตน กำรเดินธรรมยำตรำ กำรอบรมนักเรียนทุกวันพระ เยี่ยมเยือนอำศรม
และหมูบำนใกลเคียง เย่ียมชำวบำนและแจกยำรักษำรักษำโรค สมำทำนงดเหลำ
เขำพรรษำ ทํำแนวกันไฟปุยหมัก ซึ่งผลลัพธแที่ไดจำกแนวทำงปฏิบัติในกำร
ประยุกตแหลักธรรมทํำใหชำวบำนในชุมชนมีควำมเป็นอยูท่ีดีข้ึน มีควำมสำมัคคี
เก้ือกลู กนั ไมม ีควำมขดั แยง รูจักเก็บและอดออม ทุกคนมีสวนรวมในกิจกรรมของ
ชุมชน เยำวชนและชำวบำนในชุมชนไดทํำบุญ สมำทำนรักษำศีล ฟใงธรรม และ
เจริญสมำธิภำวนำ เขำวัดทํำบุญมำกขึ้น เกิดควำมสัมพันธแท่ีดีระหวำงพระ
นักพัฒนำกับคนในชุมชนพระนักพัฒนำกับชำวบำนและพระใกลเคียง มีควำม
สำมคั คีชวยเหลอื ซึง่ กันและกนั
2. ผลกระทบจำกปใญหำขำดทุนสนับสนุนและอุปกรณแในกำรนํำไปเผยแผ
หรือจัดกิจกรรม เนื่องจำกหลำยพื้นท่ีเขำถึงยำกลํำบำก โดยเฉพำะอยำงยิ่งในชวง
ฤดูฝน บุคลำกรสวนหนึ่งยังขำดทักษะควำมรูในกำรใชส่ือเทคโนโลยีเพื่อกำรสื่อสำร
ธรรมใหเขำใจงำยและสื่อสำรใหเขำใจจำกควำมแตกตำงทำงภำษำและวัฒนธรรม
ดังน้ัน จึงจัดใหมีกำรเรียนรูภำษำและวัฒนธรรมเพ่ือใชในกำรเผยแพรหลักคํำสอน
ทำงศำสนำ ทํำใหมีพระภิกษุท่ีสำมำรถสื่อสำรภำษำถ่ินประจํำอำศรมเพิ่มข้ึน และ
สำมำรถนํำไปประยุกตแใชในกำรอบรมศีลธรรมแกชำวบำนและเยำวชนภำยในวัด
ของชุมชนอยำงสมํ่ำเสมอและมีควำมหลำกหลำยของกิจกรรมมำกขึ้น เชน ปลูก
ตนไม บวชปำุ หลอ พระพุทธรูป สรำงเจดยี ทแ รำยและพฒั นำอำศรม เปน็ ตน
ผลกระทบของพ้ืนที่ตนแบบ (Model) ในกำรพัฒนำเศรษฐกิจพอเพียง
ของกลมุ ชำตพิ ันธแบุ นพื้นท่ีสงู ของเครือขำยพระนกั พัฒนำ สำมำรถสรปุ ไดดังน้ี
1. ผลกระทบจำกปใญหำรำคำผลผลิตตกต่ํำ เน่ืองจำกสภำพพื้นที่สวนใหญ
เป็นภูเขำ ประชำชนสวนมำกมีอำชีพหลัก คือ เกษตรกรรม โดยจะปลูกพืชตำม
ฤดูกำลเพื่อลดปริมำณกำรใชน้ํำ รำยไดท่ีชำวบำนไดสวนมำกเป็นรำยไดจำกกำร
ขำยพืชผลทำงกำรเกษตร หลังจำกเก็บเกี่ยวผลผลิตทำงกำรเกษตรเรียบรอยแลว
จึงทํำอำชีพเสริม เชน รับจำง และหำของปุำขำย เพ่ือหำรำยไดมำจุนเจือ
-177-
เครอื ข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของกลุ่มชาติพนั ธ์ุ
ครอบครัว ทํำใหมีหนวยงำนของหนวยงำนท่ีมำสนับสนุนทั้งภำครัฐและเอกชน
เชน หนวยงำนรำชกำรของอํำเภอ เกษตรอํำเภอ ประมงอํำเภอ องคแกำรบริหำร
สวนตํำบล พระธรรมจำริก พระบัณฑิตอำสำเขำมำสงเสริมอำชีพเสริม คือ ทอผำ
จักสำน เล้ียงสัตวแ ในเวลำวำงชำวบำน โดยเฉพำะผูหญิงที่เป็นแมบำน และ
เยำวชนชวยกันทอเส้ือผำ กระเปำเพื่อเอำไวใชและใสในงำนประเพณีหรือตำม
เทศกำล สว นหน่ึงก็นำํ ไปขำยเพอื่ หำรำยได
2. ผลกระทบจำกกำรประยุกตแใชหลักเศรษฐกิจพอเพียงในพ้ืนท่ี โดยกำร
นํำหลักเศรษฐกิจพอเพียงในแบบฉบับท่ีสำมำรถอธิบำยใหกับชำวบำนในชุมชน
เขำใจงำ ย เน่ืองจำกชำวบำนเป็นชำวเขำนับถือหลำกหลำยศำสนำ กำรนํำเสนอใน
รูปแบบที่เป็นภำษำทำงพุทธศำสนำเลย ชำวบำนอำจจะไมเขำใจมำกนัก พระ
บัณฑิตอำสำควรถำยทอดดวยกำรเชื่อมโยงยกตัวอยำงที่สำมำรถมองเห็นไดอยำง
เป็นรูปธรรมเพ่ือใหชำวบำนในชุมชนเกิดกำรเรียนรูและนํำไปใชในกำรดํำรงชีวิต
ประจํำวันในกำรยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง บนพ้ืนฐำนของควำมพอดี พออยู พอ
กิน พอใช ตำมหลักของทำงสำยกลำง พอประมำณ มีเหตุผลและมีภูมิคุมกัน
เพื่อใหชุมชนสำมำรถยกระดับ พ่ึงพำตนเอง ครอบครัวชุมชนและสังคม รวมถึง
เป็นกำรสรำงเครือขำยของกำรทํำงำนในชุมชนไปสูองคแกรชุมชนเพ่ือเป็นเคร่ืองวัด
เศรษฐกิจชมุ ชนในระดบั กำวหนำโดยกำรใชห ลกั เศรษฐกิจพอเพียงอีกดวย
สรุปไดวำ เครือขำยพระนักพัฒนำบนพ้ืนท่ีสูง ตองปรับเปลี่ยนวิธีกำร
ทํำงำนและวิธีกำรพัฒนำ โดยเฉพำะเรื่องกำรพัฒนำตัวบุคคล โดยเฉพำะพระ
บัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ เชนควรมีโครงกำรใหควำมรูเพื่อพัฒนำศักยภำพพระ
บัณฑิตอำสำพัฒนำ มุงเนนท่ีพระบัณฑิตใหมในเรื่ององคแควำมรูในกำรทํำงำนกับ
ชุมชน อำจเป็นกำรวิธีกำรสังเครำะหแองคแควำมรูที่เกิดจำกผลิตผลของกระบวนกำร
เรียนรู ท่ีเกิดขึ้นในชุมชนโดยกำรจัดกำรของชุมชน เพ่ือใหชุมชนสำมำรถคิด
ตัดสินใจ และสำมำรถแกปใญหำหรือพัฒนำส่ิงที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวของกับชุมชนได
กระบวนกำรเรียนรูที่จัดกำรโดยชุมชน เชน กำรจัดทํำเวทีชำวบำน หรือวิธีกำร
เทคนคิ กำรทํำงำนแนวใหม ๆ กำรมีจติ อำสำ มีควำมอดทนตอควำมยำกลํำบำกใน
-178-
เครือขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกลุม่ ชาตพิ ันธุ์
กำรทํำงำนในถ่ินทุรกันดำร ในพ้ืนที่หำงไกล ในขณะเดียวกันตองมีโครงกำรเพ่ือ
เสริมสรำงขวัญและกํำลังใจใหพระบัณฑิตอำสำ หรือพระนักพัฒนำใหมีควำม
เขมแข็ง และแนวทำงในกำรเพิ่มสวัสดิกำรในกำรทํำงำนใหเหมำะสม จะสงผลตอ
อัตรำกำรคงอยูของพระบณั ฑิตอำสำพฒั นำชำวเขำในอนำคตดว ย
กำรทํำงำนดำนกำรอนุรักษแและฟื้นฟูส่ิงแวดลอมจะไมสัมฤทธิผล ถำมุงแต
แกปใญหำมิติเดียว สิ่งท่ีสํำคัญที่ไมอำจมองขำมคือปใจจัยท่ีสงผลตอกำรแกปใญหำ
ตอ งมองกำรแกปใญหำในลักษณะองคแรวมของปใจจัยที่เก่ียวโยงสัมพันธแกันในทุก ๆ
มิติ ทั้งทำงดำนเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม กำรเมือง รวมถึงตองอำศัยหลัก
ปรชั ญำของเศรษฐกจิ พอเพยี งควบคูไปกับกำรใชภ ูมิปใญญำทองถิ่น เนนกำรทํำงำน
เชิงกำรพัฒนำทุกมิติใหเกิดควำมเจริญอยำงสมดุล ทั้งทำงดำนเศรษฐกิจ สังคม
และสิ่งแวดลอม เพ่อื ใหมนุษยสแ ำมำรถอยูรวมกับสิ่งแวดลอมไดอยำงยั่งยืน อันเป็น
วิธกี ำรทที่ ำํ ใหก ำรดํำรงชีวิตของคนและชุมชนมีควำมพอเหมำะพอสมกับธรรมชำติ
บนพ้นื ทส่ี ูง สำมำรถรองรบั กำรเปลี่ยนแปลงของโลกในดำนตำง ๆ โดยสรำงควำม
ตระหนักถึงควำมสํำคัญของกำรสรำงชุมชนท่ีมีควำมนำอยูและมีควำมสุข ในกำร
อยรู วมกนั กับธรรมชำติ
กำรทํำงำนของพระสงฆแในฐำนะพระนักพัฒนำ ไดทํำหนำที่เสมือนหนึ่ง
วิทยำกรกระบวนกำรในกำรมุง หมำยฟื้นฟูควำมสัมพันธแทำงสังคมของชุมชน สำน
สัมพันธแระหวำงวัดกับชุมชน ผำนกำรชักชวนใหชุมชนเกิดกำรเรียนรูรวมกัน
เกย่ี วกบั สำรตั ถะตำง ๆ ที่รับผิดชอบตำมพันธกิจ เครือขำยพระนักพัฒนำบนพ้ืนท่ี
สูง ควรมีกำรบริหำรจัดกำร รื้อฟื้นรูปแบบกำรทํำงำนในลักษณะเครือขำย (เขต /
โซน) อยำงจริงจัง ควรมีกำรประชุมปรึกษำหำรือระดับกลุมเขต และระดั บ
เครอื ขำ ยใหญข้นึ เพ่อื รวมดว ยชว ยกันอยำงจริงจงั พรอมทง้ั ควรมกี ำรสนับสนุนกำร
ทํำงำนในพน้ื ทอ่ี ยำงจริงจังเพ่ือกำรดํำเนนิ งำนไดอ ยำงยั่งยนื ตอ ไป
จุดสํำคัญคือ เครือขำยพระนักพัฒนำบนพื้นท่ีสูงตองปรับเปล่ียนวิธีกำร
ทำํ งำนและพฒั นำ มโี ครงกำรใหค วำมรูเ รื่องกำรทํำงำนกับชุมชน กอนอื่นเครือขำย
พระนกั พัฒนำบนพ้นื ทีส่ งู ตอ งสนใจงำนดำนกำรพฒั นำกำรทองเท่ยี วเชิงศำสนำและ
วัฒนธรรม เพ่ือสงเสริมใหชำวบำนในชุมชนมีรำยไดเสริมจำกกำรทองเที่ยวและ
กำรพัฒนำชุมชนใหเป็นแหลงทองเท่ียวท่ีเนนกำรอนุรักษแธรรมชำติและวัฒนธรรม
โดยเฉพำะกำรพฒั นำพืน้ ทีช่ มุ ชนหรือพนื้ ที่ใกลเคยี งใหเป็นแหลงทองเท่ียวที่ชวยใน
-179-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธ์ุ
กำรเสริมรำยไดจำกกำรกำรทองเที่ยวโดยตรงและผลิตภัณฑแของชุมชนเพ่ือเพ่ิม
รำยไดเ กษตรวิถีพุทธของกลุมชำติพนั ธุแบนพ้นื ทีส่ ูง สำมำรถนํำมำถอดเป็นบทเรียน
ที่ จ ะ นํ ำ ไ ป สู ใ น ก ำ ร พั ฒ น ำ ก ำ ร ทํ ำ ง ำ น ใ น โ ค ร ง ก ำ ร พ ร ะ นั ก พั ฒ น ำ บ น พื้ น สู ง
มหำวิทยำลยั มหำจุฬำลงกรณรำชวทิ ยำลยั วิทยำเขตเชยี งใหม ใหดยี ิ่งข้ึน
-180-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชีวติ ของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ
บรรณำนกุ รม
-181-
เครอื ขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุม่ ชาตพิ นั ธุ์
กำญจนำ แกวเทพ. ภำพรวมของกำรพฒั นำองคกแ รชุมชน. กรุงเทพมหำนคร:
สํำนักงำนกองทุนสนบั สนนุ กำรวจิ ัย, 2540.
กรมพฒั นำสังคมและสวัสดิกำร. รำษฎรบนพนื้ ทสี่ งู . [Online]. Available:
http://www.dsdw2016.dsdw.go.th/page.php?module=service&
pg=servicedetail&ser_id=2 [14 มกรำคม 2561].
กลมุ ประสำนงำนจดั สวสั ดิกำรแกชุมชนบนพน้ื ที่สงู . [Online].Available:
http://www23.brinkster.com/hilltribe/commu2.htm# [2546].
คณะทำํ งำนโครงกำรบณั ฑติ อำสำพัฒนำชำวเขำ (พระธรรมจำริก). สรุปกำร
สัมมนำพระบัณฑิตอำสำพฒั นำชำวเขำ (ธรรมจำรกิ ) ครั้งที่ 1/2543.
เชียงใหม: มหำวิทยำลัยมหำจฬุ ำลงกรณรำชวิทยำลัย วทิ ยำเขตเชยี งใหม
2544.
นิธิ เอยี วศรวี งศแ. วัฒนธรรมควำมจน. กรงุ เทพมหำนคร : แพรวสำํ นักพมิ พแ,
2542.
ปนดั ดำ บุณยสำระนัย. กลมุ ชำติพนั ธสแุ ว นนอ ยในภมู ภิ ำคเอเชยี อำคเนยแ.
เชียงใหม: โชตนำพร้ิน จํำกดั 2544.
ปรชี ำ เป่ยี มพงศแสำนตแ. วิถีใหมแ หง กำรพัฒนำ: วิธวี ิทยำศึกษำสงั คมไทย.
กรงุ เทพมหำนคร : โครงกำรพัฒนำตํำรำ ศูนยแบริกำรเอกสำรวชิ ำกำร คณะ
เศรษฐศำสตรแ จุฬำลงกรณแมหำวทิ ยำลยั , 2543.
พระไพศำล วิสำโล. พุทธศำสนำไทยในอนำคต แนวโนมและทำงออกจำกวิกฤต.
กรุงเทพมหำนคร: มลู นธิ สิ ดศร-ี สฤษดวิ์ งศแ, 2546.
พระรำชวรมนุ ี. บทบำทใหมของสถำบันสงฆแ. กรงุ เทพมหำนคร : มูลนิธโิ กมล
คีมทอง, 2527.
พินิจ ลำภธนำนนทแ. พระสงฆแในชนบทภำคอีสำนกบั กำรพฒั นำตำมหลัก
กำรพง่ึ ตนเอง. กรุงเทพมหำนคร : ภำควชิ ำสงั คมวทิ ยำและมำนุษยวิทยำ
บณั ฑิตวิทยำลัย จุฬำลงกรณมแ หำวิทยำลยั , 2527.
สถำบันวิจัยชำวเขำ. 30 ปีพระธรรมจำรกิ . กรุงเทพมหำนคร: มลู นิธเิ ผยแพร
พระพุทธศำสนำแกชนถนิ่ กนั ดำร, 2532.
สมบูรณแ สุขสำํ รำญ และ พลศักด์ิ จิระไกรศริ ิ. พระพุทธศำสนำ: พระสงฆกแ ับ
วถิ ชี วี ติ สังคมไทย. กรุงเทพมหำนคร : สำํ นกั งำนเสรมิ สรำ งเอกลักษณแ
-182-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชีวิตของกลมุ่ ชาติพนั ธุ์
แหง ชำต,ิ 2526.
พระมหำสุทิตยแ อำภำกโร. เครือขำ ย: ธรรมชำติ ควำมรู และกำรจัดกำร.
กรุงเทพมหำนคร: โครงกำรเสริมสรำ งกำรเรยี นรเู พื่อชุมชนเปน็ สุข (สรส.),
2548.
สุภำพรรณ ณ บำงชำ ง. กำรประยกุ ตหแ ลกั พุทธธรรมมำใชใ นกำรพฒั นำชำว
ชนบท. กรงุ เทพมหำนคร : จฬุ ำลงกรณมแ หำวิทยำลัย, 2527.
อภชิ ยั พนั ธเสน. พทุ ธเศรษฐศำสตรแ : วิวฒั นำกำร ทฤษฏี และกำรประยกุ ตกแ บั
เศรษฐศำสตรแ สำขำตำ ง ๆ. กรุงเทพมหำนคร: อมรินทรแ, 2544.
อมรำ พงศำพิชญแ. วฒั นธรรม ศำสนำ และชำตพิ นั ธแุ: วิเครำะหสแ งั คมไทยแนว
มำนษุ ยวทิ ยำ. กรงุ เทพมหำนคร: โรงพิมพจแ ุฬำลงกรณมแ หำวทิ ยำลยั
2541.
อำนันทแ กำญจนพันธแุ. กำรวจิ ยั ในมติ ิวฒั นธรรม. เชยี งใหม: โรงพมิ พแมิ่งเมือง
2542.
อนุชำติ พวงสํำลี, บรรณำธิกำร. ทอ งถน่ิ ของเรำ : ทำํ เมอื งไทยใหน ำ อยแู ละ
ยงั่ ยนื . กรุงเทพมหำนคร: เครอื ขำยควำมรวมมือเพอื่ ส่ิงแวดลอมและ
พฒั นำไทย, 2540.
อนุชำติ พวงสำํ ลี และอรทัย อำจอ่ำํ . กำรพฒั นำเครอ่ื งชว้ี ัดคุณภำพชีวิตและ
สงั คมไทย. กรุงเทพมหำนคร: สำํ นักงำนกองทนุ สนบั สนนุ กำรวิจยั ,
2539.
อุทยั ดุลยเกษม. คูมอื กำรวจิ ยั เชิงคณุ ภำพเพ่ือพฒั นำงำนพฒั นำ. ขอนแกน :
สถำบันวจิ ยั และพฒั นำ, 2537.
Andre Gunder Frank. Sociology of Development and
Underdevelopment of Sociology. London: Pluto Press, 1971.
Barth, F.. Ethnic groups and boundaries: the social organisation
of culture difference. London: George Allen & Unwin, 1969.
Coenen H. J. M., & Halfacre, C.. Environmental Risk Perception,
Income, and Ethnicity: Does the Netherlands Have An
Environmental Justice Problem? American Political Science
Association Annual Meeting in Atlanta. Georgia: University
-183-
เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ
of twente Publication, 1999.
M.M. Hoogvelt. The Sociology of Developing societies. London and
Wijeyewardene Gehan. Thailand and the Tai: Versions of Ethnic
Identity”. In Wijewardene Gehan (ed.). Ethnic Groups
across National Boundaries in Mainland Southeast Asia.
ISEAS 1990: 48-72.
Wilbert E.Moore. Social Change. New Jersey: Prentice-Hall;
Engleood Cliffs, 1963.
UNESCO. “Evaluating the Quality of Life in Belgium”. Social
Indicators Research, September 8, 1980: 312.
-184-