เครอื ขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกล่มุ ชาติพนั ธ์ุ
กำรเผยแผพ ระพทุ ธศำสนำแกช ำวเขำในลักษณะน้ี ถอื เป็นเรอื่ งใหมในสมัย
นน้ั คณะผดู ำํ เนนิ กำรจึงไดใ ชโ ครงกำรเผยแผพระพุทธศำสนำแกชำวเขำ โดยคณะ
พระธรรมจำริก เมื่อปี พ.ศ.2508 เป็นโครงกำรทดลองหรือโครงกำรนํำรอง เพ่ือ
สะสมประสบกำรณแตำงๆ ที่ไดรับมำปรับปรุงแกไข และพัฒนำขอบกพรองตำง
ๆ ในกำรวำงแผนจัดทำํ เปน็ โครงกำรถำวร
โ ค ร ง ก ำ ร ท ด ล อ ง ไ ด ถู ก นํ ำ เ ส น อ ข อ รั บ ค ว ำ ม เ ห็ น ช อ บ จ ำ ก ก ร ม
ประชำสงเครำะหแ ซ่ึงกรมประชำสงเครำะหแไดใหควำมเห็นชอบดํำเนินกำรได
ภำยหลังจำกท่ีไดมีกำรศึกษำหำขอมูลภำคสนำม ท่ีหมูบำนมงทับเบิก ต.วังบำล
อ.หลมเกำ จ.เพชรบูรณแ และที่บำนมงปุำยำบ อ.ดำนซำย จ.เลย ในเขต
พ้ืนที่ของนิคมสรำงตนเองสงเครำะหแชำวเขำจังหวัดเพชรบูรณแ พิษณุโลกและเลย
โดยพระธรรมกิตติโสภณ เจำอำวำสวัดเบญจมบพิตรไดมอบหมำยใหพระศรีวิสุทธิ
วงศแ คณะกรรมกำรวัฒนธรรมทำงจิตใจ กระทรวงศึกษำธิกำรรวมกับเจำหนำท่ีของ
กองสงเครำะหแชำวเขำศึกษำขอมูลและวิเครำะหแควำมเป็นไปได ตลอดจนจัดทํำ
โครงกำรทดลองขึ้นมำนํำเสนอเพื่อขอรับควำมเห็นชอบดังกลำว สํำหรับกำร
ดํำเนินกำรในสว นของคณะสงฆแ พระธรรมกิตติโสภณไดนํำรำงโครงกำรเสนอตอท่ี
ประชมุ คณะอนุกรรมกำรวฒั นธรรมสำขำทำงจิตใจไดรับทรำบเบื้องตนและนํำเขำสู
ที่ประชุมคณะกรรมกำรมหำเถรสมำคมเพ่ือทรำบแนวทำงดํำเนินกำรของโครงกำร
พระธรรมจำริก
โครงกำรนํำรองปี พ.ศ.2508 จึงเกิดข้ึนเพื่อทดลองสรำงควำมสัมพันธแ
ทำงดำนจิตใจกับชำวเขำ โดยใหสอดคลองกับกำรดํำเนินงำนตำมโครงกำรพัฒนำ
และสงเครำะหแชำวเขำ และเพื่อรวบรวมขอมูลและขอสนเทศ ในกำรศึกษำหำวิธีท่ี
จะดํำเนินกำรเปน็ โครงกำรระยะยำวตอ ไป
ในชวงปี พ.ศ. 2509 - 2529 นับไดวำโครงกำรพระธรรมจำริก ไดกำว
เขำสู “มิติใหม” ของกำรเผยแผพระพุทธศำสนำบนพ้ืนที่สูง ซ่ึงนอกจำกจะทํำ
กำรเผยแผพระพุทธศำสนำเป็นภำรกิจหลักแลวพระธรรมจำริกยังไดปฏิบัติหนำท่ี
คลำยๆ กับเป็น “นักพัฒนำ” พระธรรมจำริกไดเขำไปมีบทบำทหลำยๆ ดำนใน
กำรพัฒนำ กลำวไดวำเป็นกำรเผยแผศำสนำเชิงรุก เพรำะแทนท่ีพระสงฆแจะ
ประจํำอยูท่ีวัดหรืออำศรมรอใหชำวบำนมำหำ ตำมที่พระภิกษุพื้นรำบสวนหน่ึงถือ
ปฏิบัติอยู แตพระธรรมจำริกกลับปฏิบัติแตกตำงออกไป เพรำะไดออกไปหำ
-46-
เครอื ข่ายพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาตพิ นั ธุ์
ชำวบำนและรวมกับชำวบำนในกำรแกไขปใญหำชุมชนจึงทํำใหพระธรรมจำริกมี
บทบำทโดดเดนในกิจกรรมกำรพัฒนำอ่ืน ๆ เชน กำรศึกษำ กำรสำธำรณสุขกำร
อนำมัย กำรพัฒนำชุมชน นอกเหนือจำกภำรกิจทำงดำนกำรพัฒนำจิตใจ โดย
ใชหลักธรรมทำงศำสนำ
กิจกรรมที่สํำคัญประกำรหน่ึงของพระธรรมจำริก ไดแกกำรผสมผสำน
ระหวำงคติควำมเชื่อด้ังเดิมของชำวเขำกับพุทธศำสนำ ดังจะเห็นไดจำกกำรท่ี
พิธกี รรมหลำยพิธีกรรมของชำวเขำไดเริ่มมีพระภิกษุเขำไปมีสวนรวมโดยพระภิกษุ
จะเปน็ ผสู วดมนตแในพธิ ขี ้นึ บำ นใหม พิธีแตงงำน พิธีศพ พิธีเลี้ยงผีหมูบำน เป็น
ตน ซง่ึ แสดงใหเหน็ วำ ชำวเขำไดย อมรบั เอำพระพุทธศำสนำเขำไปผสมผสำนกับ
พธิ กี รรมตำมคติควำมเชอ่ื ดง้ั เดมิ
นอกจำกกำรผสมผสำนระหวำงคติควำมเชื่อด้ังเดิมกับพระพุทธศำสนำแลว
กิจกรรมทำงดำนกำรแลกเปล่ียนวัฒนธรรม โดยกำรนํำผูนํำหมูบำนพื้นรำบ ผูนํำ
เยำวชน และชำวบำนท่ัวไปขึ้นไปรวมพิธีกรรมที่สํำคัญประจํำปีของชำวเขำแตละ
เผำ และกำรนํำผูนํำชำวเขำ ผูนํำเยำวชน และชำวเขำลงจำกเขำ มำรวมใน
กิจกรรมของพิธีกรรมที่สํำคัญของชำวบำนพ้ืนรำบ ทํำใหเห็นควำมแตกตำง
ระหวำ งพิธีกรรมของแตละพ้ืนที่และกลุมชำติพันธุแท่ีแตกตำงกัน พระธรรมจำริกจึง
ไดริเริ่มกิจกรรมที่เรียกวำ “กำรตัดผี” ซ่ึงเป็นกิจกรรมท่ีสงผลใหชำวเขำตัดขำด
จำกคติควำมเช่ือด้ังเดิมอยำงสิ้นเชิง ในเรื่องกำรนับถือผีตำง ๆ ซ่ึงจะตองมีกำร
เซน ไหวป ระจํำปี หรือมีกำรเซน ไหวท กุ ครง้ั ทมี่ เี หตุกำรณแผดิ ปกตเิ กิดข้นึ
ในปี พ.ศ.2514 ไดมีกำรจัดตั้งศูนยแอบรมพระพุทธศำสนำแกพระภิกษุ
สำมเณรชำวเขำขึ้นที่วัดศรีโสดำ จ.เชียงใหม เพื่อรวบรวมภิกษุสำมเณรชำวเขำที่
อยูกระจัดกระจำยในจังหวัดตำงๆ ในภำคเหนือใหมำอยูรวมกัน เป็นศูนยแกลำง
ของกำรสรำงบุคลำกร พระภิกษุสำมเณรชำวเขำ ซ่ึงนอกจำกจะเป็นกำรยกระดับ
กำรศึกษำของภิกษุสำมเณรในทำงโลกและทำงธรรมแลว ศูนยแอบรมฯ ยังทํำ
หนำ ทีส่ รำ งบคุ ลำกร โดยเฉพำะภิกษุสำมเณรชำวเขำใหแกโครงกำรพระธรรมจำริก
อยำ งตอ เน่ือง
ปี 2510 - 2525 ซึ่งเป็นชวงกำรกอเหตุกำรณแไมสงบขึ้นในภำคเหนือ
โดยเฉพำะพนื้ ท่บี นภเู ขำจำกภยั ควำมวนุ วำยของลัทธิทำงกำรเมืองขณะน้ัน มีสวน
ทํำใหโครงกำรพระธรรมจำริกหยุดกำรขยำยตัวในหลำยจังหวัดเชน จังหวัด
-47-
เครือข่ายพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของกลมุ่ ชาติพันธ์ุ
เพชรบรู ณแ พิษณุโลก เชียงรำย นำน และตำก ทํำใหโครงกำรตองขยำยอำศรม
ฯ ออกไปในจังหวดั อน่ื ที่ไมมเี หตุกำรณแรำย จำกกำรขยำยตัวของโครงกำรในบำง
จงั หวัด ทำํ ใหโครงกำรพระธรรมจำริกและหนวยพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำ ซ่ึง
แตเดิมปฏิบัติรวมกันเริ่มแยกตัวออกจำกกัน เน่ืองจำกควำมจํำกัดในเร่ือง
งบประมำณและบุคลำกร
จำกระบบกำรคัดเลอื กพระภิกษุจำกจงั หวัดตำ งๆ เขำ มำเป็นพระธรรมจำริก
ตำมเปูำหมำยท่ีไดตั้งไวของมูลนิธิเผยแผพระพุทธศำสนำแกชนถิ่นกันดำร และ
กำรขำดกำรสรำงจิตสํำนึกในกำรปฏิบัติงำนใหแกพระธรรมจำริก หลักสูตรกำร
ฝึกอบรมที่ยังปรับตัวไมได กำรกล่ันกรองบุคลำกรที่ยังขำดควำมเขมงวดและเป็น
ระบบ ตลอดจนกำรใหคำนิตยภัตตอบแทนในกำรปฏิบัติงำนคอนขำงต่ํำ กอใหเกิด
ผลกระทบตอโครงกำรพระธรรมจำริก อำทิ
กำรท่ีพระธรรมจำริกบำงสวน ขำดกำรอุทิศทุมเทใหกับโครงกำร ซ่ึง
พระภิกษุเหลำน้ีอำจจะติดภำรกิจนิมนตแจนทํำใหกำรปฏิบัติงำนในหนำที่พระธรรม
จำริกไมตอ เนอื่ งไมเ ปน็ ไปตำมเปูำหมำยและวัตถปุ ระสงคแ
กำรที่พระธรรมจำริกบำงสวน มุงเนนกำรพัฒนำวัตถุมำกกวำกำรพัฒนำ
จิตใจ ซ่ึงเป็นผลสืบเน่ืองมำจำกคำนิยม เกินกํำลังควำมสำมำรถของผูมีจิต
ศรัทธำในชุมชนจะสนับสนุนได จนตองออกไปหำกำรสนับสนุนจำกนอกชุมชน
ทํำใหเกิดขำดกำรประสำนงำนและควำมควำมรวมมือจำกชำวบำนในชุมชน ใน
เรื่องนี้สมเด็จพระวันรัตไดใหโอวำท เม่ือปี พ.ศ.2508 ในพิธีเปิดกำรอบรม
ปฐมนิเทศพระธรรมจำริกวำ “นึกถึงว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งขาติ มีโอกาส
ช่วยเหลือคนคนเดียว ดีกว่าเราสร้างโบสถ์หน่ึงหลังไว้ในพระพุทธศาสนา.. ช่วยให้
คนดขี ึ้นคนหนึง่ ดกี ว่าการสรา้ งโบสถห์ นง่ึ หลงั ไว้ในพระพทุ ธศาสนา เพราะเราสร้าง
คนให้เป็นคนดีแล้วคนดีนั้น อาจจะสร้างความดีให้แก่ประเทศชาติ ศาสนา ตลอด
ตอ่ ไป..”
กำรท่ีพระธรรมจำริกบำงรูป ประพฤติปฏิบัติไมสมกับที่เป็นผูที่อยูในสมณ
เพศ จนทํำใหชำวเขำทั่วไปเสื่อมศรัทธำ กำรประพฤติปฏิบัติแบบนี้ถือวำเป็นเรื่อง
สวนตวั แตถ ำ เป็นเหตุกำรณแท่ีเกิดข้ึนกับชำวบำนท่ียังไมมีควำมเลื่อมใส หรือกํำลัง
จะเกิดมีควำมเล่ือมใสศรัทธำในพระพุทธศำสนำ ถือเป็นกำรทํำลำยภำพพจนแของ
องคแกรโดยสวนรวม จึงมีกระบวนกำรทบทวนวิธีกำรคัดเลือก กล่ันกรองที่
-48-
เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาติพนั ธุ์
เ ห ม ำ ะ ส ม สํ ำ ห รั บ พ ร ะ ภิ ก ษุ ที่ มี ห น ำ ที่ ห รื อ พ ร ะ ภิ ก ษุ ผู ท่ี จ ะ อ ำ ส ำ ส มั ค ร เ ข ำ ม ำ
ปฏบิ ัติงำนพระธรรมจำรกิ
พระธรรมจำริกบำงรูปยังปฏิบัติศำสนกิจไมครบถวนสมบูรณแทํำใหชำวเขำ
เกิดควำมเคลือบแคลง ไมเล่ือมใส ตลอดจนเป็นจุดออนใหแกผูไมประสงคแดีโจมตี
เกิดควำมเสียหำยแกส ว นรวมได ปญใ หำดังกลำวนี้โครงกำรพระธรรมจำริกจึงตองมี
กำรทบทวนวิธีกำรสํำหรับกำรคัดเลือกบุคลำกรที่มีควำมประสงคแจะปฏิบัติงำน
โครงกำรพระธรรมจำรกิ ในแตล ะปี
กลำวไดว ำ กำรปฏบิ ตั ิงำนของโครงกำรพระธรรมจำริกในชวง พ.ศ.2530 -
2535 เป็นกำรปฏิบัติภำรกิจที่แตกตำงจำกท่ีเคยปฏิบัติอยูเดิม ซึ่งเป็นภำรกิจท่ียึด
แนวปฏิบัติตำมท่ีไดรับมอบหมำยใหปฏิบัติ และถือเป็นภำรกิจในกำรปฏิบัติงำน
โดยโครงกำรพระธรรมจำริก ไดริเริ่มกำรปฏิบัติงำนพัฒนำจิตใจชำวเขำบนท่ีสูง
และถือวำเป็น “โครงกำรนํำรอง” อันไดแกกำรจัดใหมี “โครงกำรกำรปฏิบัติงำน”
ตำ งๆ ซึ่งเป็นโครงกำรกำรปฏิบัติงำนที่มีลักษณะท่ีเป็น “รูปธรรม” มำกกวำกำร
ปฏิบัติงำนที่เคยปฏิบัติอยูตำมปกติ และโครงกำรตำงๆ สวนใหญท่ีมีอยู ลวนแต
เป็นโครงกำรที่มีควำมสัมพันธแกับวิถีชีวิตของชำวบำน หรือในกำรดํำรงชีวิต
ประจํำวัน เปูำหมำยหลักของโครงกำรพระธรรมจำริกในชวงน้ี ยังคงยึดถือ
เปูำหมำยเดิมอยู ซึ่งก็คือ “กำรพัฒนำจิตใจ” โดยกำรใชกำรเผยแผ
พระพุทธศำสนำเป็นแกนนํำ และมีโครงกำรตำงๆ ที่มีอยูเป็นกิจกรรมเสริมอันจะ
นํำไปสู “กำรพฒั นำคุณภำพชีวติ ”
กำรปฏิบัติงำนของโครงกำรพระธรรมจำริก ในชวงปี พ.ศ.2509 - 2529
และกำรปฏบิ ัติงำนในชว งปี พ.ศ.2530 - 2535 พบวำ เป็น “กำรยอนรอยอดีต”
กลับไปสูยุคท่ีพระสงฆแเคยเป็นองคแกรที่สํำคัญและมีบทบำทสูงในชุมชนในอดีต
กอนท่ีสภำวะทำงเศรษฐกิจสังคมยุคใหม มีสวนทํำใหพระสงฆแลดบทบำท
ควำมสํำคัญลงมำเร่ือยๆ ต้ังแตสิ้นสุดสงครำมโลกคร้ังท่ี 2 เป็นตนมำ โดยเฉพำะ
ในเขตชุมชนเมือง และกำรแพรกระจำยควำมเจริญสูชุมชนชนบท ท่ีมีกำร
คมนำคมเขำ ถงึ ในปใจจุบนั 29
ถึงแมวำ กำรดํำเนินกำรโครงกำรพระธรรมจำริกท่ีผำนมำจะประสบ
ควำมสำํ เรจ็ ในหลำยดำน แตโครงกำรพระธรรมจำริกก็ยังคงประสบกับปใญหำตำงๆ
29 เพงิ่ อำง, หนำ 132.
-49-
เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกล่มุ ชาติพันธ์ุ
ในกำรปฏิบัติงำน ซ่ึงบำงปใญหำก็ไดมีควำมพยำยำมในกำรแกไขและกํำลัง
ดํำเนนิ กำรอยู และบำงปใญหำก็เป็นปญใ หำท่ีเกดิ ขนึ้ ใหม
ตัวอยำงของปใญหำท่ีไดรับกำรแกไขใหลุลวงไปดวยดีในระดับหนึ่งไดแก
ปใญหำที่เกี่ยวกับปใญหำกำรไมรูภำษำไทย กำรเขียนภำษำไทย ซ่ึงเป็นปใญหำที่
กลำวไดว ำ เปน็ อปุ สรรคของโครงกำรพระธรรมจำริก ในกำรเผยแผพระพุทธศำสนำ
เพื่อกำรพัฒนำจิตใจของชำวเขำ แตปใญหำน้ีก็ถูกแกไขโดยหลำยหนวยงำนของ
รัฐท่ีเก่ียวของ เชน กำรจัดใหมีถนนหนทำงหรือเสนทำงลํำลองเขำถึงหมูบำน
ชำวเขำ ทํำใหกำรขยำยบริกำรทำงดำนกำรศึกษำของรัฐลงสูหมูบำนชำวเขำมีเพ่ิม
มำกข้ึน ตลอดจนกำรริเริ่มโครงกำรสอนหนังสือใหแกเด็กเยำวชนและผูใหญ ไดมี
สว นชวยใหป ญใ หำนี้บรรเทำเบำบำงลงไปไดในระดับหนึง่
ปใญหำอีกปใญหำหน่ึงซึ่งเป็นปใญหำท่ีพระธรรมจำริกบำงสวน มองเห็นวำ
เป็นปใญหำในกำรเผยแผพระพุทธศำสนำใหแกชำวเขำไดแก ปใญหำควำมยำกจน
แตโดยขอเท็จจริงแลวชุมชนโดยทั่ว ๆ ไป โดยเฉพำะชำวกะเหร่ียง ซึ่งเป็น
ชำวเขำที่มีระบบเศรษฐกิจแบบกำรยังชีพ ท่ีมีอำหำรเพียงพอแกกำรบริโภค
อำจจะขำดแคลนบำง แตก็ชดเชยไดโดยกำรพึ่งพำจำกอำหำรในปุำหรือกำรไป
รับจำงแรงงำนในเมือง
ปใญหำอีกประกำรหน่ึงคือ บุคลำกรพระธรรมจำริกท่ีปฏิบัติงำนอยูตำม
อำศรมฯ ตำงๆ มีบำงสวนที่ไมอุทิศเวลำใหกับงำน บำงรูปประพฤติปฏิบัติตัวไม
เหมำะสม ไมส ํำรวม ทั้งสองประกำรพบวำ เป็นปใญหำสํำคัญท่ีสงผลใหชำวเขำเกิด
ควำมเสื่อมศรัทธำ กำรเส่ือมศรัทธำของชำวเขำไมใชกำรเส่ือมศรัทธำท่ีมีตอบุคคล
แตเป็นกำรเสื่อมศรัทธำตอสวนรวม อยำงไรก็ดี ปใญหำดังกลำวโครงกำรพระธรรม
จำริกก็จัดทํำโครงกำรจัดกำรศึกษำระดับอุดมศึกษำแกพระธรรมจำริก และเป็นที่
คำดวำโครงกำรจัดกำรศึกษำในระดับอุดมศึกษำนี้ จะชวยแกไขปใญหำกำรไมอุทิศ
ตัวใหกับกำรปฏิบัติงำนไดในระดับหน่ึง เน่ืองจำกหลักสูตรกำรศึกษำน้ีไดให
ควำมสำํ คัญกับกำรปฏิบตั งิ ำนในภำคสนำมสงู กวำ ผลของกำรศกึ ษำในช้ันเรียน สวน
พระธรรมจำริกที่ประพฤติปฏิบัติตนไมเหมำะสมนั้น โครงกำรฯ ไดเร่ิมนํำเอำกฎ
วินัยของสงฆมแ ำใชอยำ งเขม งวด
ปใญหำอีกประกำรหนึ่งของกำรปฏิบัติงำนพระธรรมจำริก ก็คือปใญหำกำร
ขำดแคลนนํ้ำของอำศรมพระธรรมจำริก มีสำเหตุมำจำกกำรเลือกที่ตั้งอำศรมฯ
-50-
เครือข่ายพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ติ ของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ
ซง่ึ พระธรรมจำริกผูคัดเลือกสถำนท่ีตั้งอำศรมฯ มักจะใชควำมรูสึกสวนตัวในกำร
ต้ังอำศรมฯ ที่นิยมปฏิบัติกันในพื้นรำบ คือกำรเลือกที่ตั้งอำศรมฯ จะอยูใน
บริเวณที่สูงมองดูเดน เพรำะคิดวำวัดจะตองตั้งอยูสูงกวำหมูบำน เพรำะวัดเป็น
สถำนที่ศักดิ์สิทธ์ิ โดยไมคํำนึงถึงกำรใชประโยชนแนํ้ำ จำกลํำหวยตำงๆ ที่มีอยู
ซ่ึงทํำใหเกิดปใญหำกำรขำดแคลนน้ํำ โดยเฉพำะในฤดูแลงบำงปี ซึ่งทำง
โครงกำรฯ ก็ไดพยำยำมแกไขปใญหำกำรต้ังอำศรมฯ บนเนินเขำของพระธรรม
จำริกอยู โดยกำรออกขอ กำํ หนดในกำรเลือกท่ีตั้งอำศรมฯ ใหมีควำมเหมำะสม
สอดคลองกบั สภำพควำมเปน็ จรงิ ของภมู ปิ ระเทศ
โครงกำรพระธรรมจำริกเป็นโครงกำรรวมระหวำงภำครัฐบำล ท่ีจัดสรร
งบประมำณผำนกรมประชำสงเครำะหแ สังกัดกระทรวงมหำดไทย กระทรวงแรงงำน
และสวัสดิกำรสังคม และกรมกำรศำสนำ กระทรวงศึกษำธิกำรและภำคเอกชน
และผูมจี ิตศรัทธำบริจำคจตุปใจจยั ตำ งๆ เพื่อสนบั สนนุ กำรปฏิบัติงำนโครงกำรพระ
ธรรมจำริก งบประมำณท่ีทำงรำชกำรจัดสรรใหกับโครงกำร และเงินบริจำคจำกผู
มีจติ ศรัทธำที่สนบั สนุนโครงกำรฯ จำกดอกผลของมูลนิธิเผยแผพระพุทธศำสนำ
แกชนถิ่นกันดำรในแตละปี แตอยำงไรก็ดี งบประมำณเหลำน้ีก็มีจํำนวนไมมำก
นัก ทํำใหกำรปฏิบัติงำนโครงกำรพระธรรมจำริกไมสำมำรถจะขยำยงำนเพิ่มข้ึน
อยำ งรวดเรว็ ได ดงั นนั้ โครงกำรพระธรรมจำริก จึงไดนํำเสนอโครงกำรตำงๆ ใน
สวนของกำรพัฒนำจิตใจชำวเขำ ทำงดำนกำรศึกษำผำนกรมกำรศำสนำ
กระทรวงศึกษำธกิ ำร เพ่ือรบั กำรสนับสนุนในดำนงบประมำณเป็นกรณีพิเศษและ
ไดจัดทํำงบประมำณ โดยมีวัตถุประสงคแเพ่ือใหงำนพระธรรมจำริกไดขยำย
ขอบเขตกำรปฏบิ ัตงิ ำนที่กวำงขวำงครอบคลุมหมูบำ นชำวเขำมำกขน้ึ
ควำมพยำยำมอยำงหนึ่งของกำรศึกษำเพื่อวำงแผนกำรสงเครำะหแและ
พัฒนำก็คอื กำรแบง กลุมชำวเขำออกตำมลักษณะตำงๆ แตยังไมเห็นพองกันนัก
เชน กำรแบงกลุมตำมลักษณะภำษำของชำติพันธแุ กำรแบงกลุมตำมลักษณะ
ประเพณีของพวกปลูกฝิ่นและไมปลูกฝ่ิน กำรแบงกลุมตำมระยะเวลำของกำรตั้ง
หมูบำน โดยใชควำมสูงจำกระดับนํ้ำทะเล กำรแบงกลุมตำมระบบกำรเกษตร
แบบหมุนเวยี น และแบบโคน-เผำ เปน็ ตน แตสํำหรับกำรเผยแผพระพุทธศำสนำ
แกชนถ่ินกันดำรของคณะพระธรรมจำริก แบงกลุมชำวเขำตำมลักษณะควำมเช่ือ
ทำงจิตใจ ออกเปน็ 2 กลมุ คือ
-51-
เครือข่ายพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชีวิตของกลมุ่ ชาตพิ ันธุ์
1. กลุมชำวเขำท่ีไดรับอิทธิพลทำงพระพุทธศำสนำ ไดแก กะเหรี่ยงถิ่น
ขมุ และลัวะ เป็นตน กลุมนี้มีจํำนวนประมำณ 60% ของชำวเขำท้ังหมดใน
ประเทศไทย มีควำมตองกำรและเรียกรองใหสงพระธรรมจำริกข้ึนไปตั้งอำศรมฯ
ตำมหมูบำน เพื่อเป็นท่ีพ่ึงทำงใจ แตทำงพระธรรมจำริกยังขำดงบประมำณที่จะ
จดั บุคลำกรใหเพียงพอทวั่ ถึงได
2. กลุมชำวเขำที่พระพุทธศำสนำยังเขำไมถึงทำงจิตใจ ไดแกมง เยำ
มูเซอ ลีซอ และอีกอ เป็นตน กลุมนี้มีระบบกำรเกษตรแบบโคน-เผำ แลว
เคลื่อนยำย อันเป็นกำรทํำลำยปุำ ตนนํ้ำลํำธำร ปลูกฝิ่นเป็นพืชเงินสด ยังยึด
มัน่ ในควำมเชอื่ ถอื ประเพณีด้งั เดมิ และแยกตวั เอง กลุม นจี้ ำํ เปน็ ตอ งสงพระธรรม
จำรกิ ทไ่ี ดรับกำรอบรมเป็นพเิ ศษขน้ึ ไปปฏิบัติงำนโดยเฉพำะ
กลำวไดวำ โครงกำรพระธรรมจำริก เป็นโครงกำรท่ีเกิดขึ้นมำจำกควำม
รวมมือระหวำงภำคเอกชนและภำครัฐบำล เร่ิมตนโครงกำรตั้งแต ปี พ.ศ.2508
มูลนิธิเอเชีย (Asia Foundation) ไดมอบเงินสนับสนุน “โครงกำรนํำรอง”
หรือ “โครงกำรทดลอง” กำรพัฒนำจิตใจ โดยกำรเผยแผพระพุทธศำสนำโดยคณะ
สงฆแที่เรียกวำ “คณะพระธรรมจำริก” ตลอดระยะเวลำประมำณ 2 เดือน ของ
กำรปฏิบัติงำนในหมูบำนชำวเขำเม่ือ ปี พ.ศ.2508 ในขณะท่ีกรม
ประชำสงเครำะหแ ไดใหควำมสะดวกดำนกำรเดินทำง จัดสรำงอำศรมพระธรรม
จำริกถวำยควำมสะดวกในระหวำงปฏิบัติงำน ตลอดจนกำรอํำนวยควำมสะดวกใน
กำรเดินทำงกลับกรุงเทพฯ สวนประชำชนท่ัวๆ ไป เริ่มเขำมำมีบทบำทใน
โครงกำรพระธรรมจำริกเมื่อปี พ.ศ.2509 เมื่อโครงกำรพระธรรมจำริก ได
ประกอบพิธีบรรพชำ/อุปสมบทชำวเขำข้ึนท่ีวัดเบญจมบพิตร กรุงเทพฯ
ประชำชนไดเขำมำมีสวนรวมในกำรทํำบุญ โดยกำรรับเป็นเจำภำพในกำร
บรรพชำ/อุปสมบทชำวเขำเป็นรูป ๆ ตำมแตจะมีจิตศรัทธำ และวิธีกำรดังกลำว
ไดถอื ปฏบิ ัติสืบตอมำจนถงึ ปใจจุบัน
นอกจำกกำรเป็นเจำภำพในกำรบรรพชำอุปสมบทชำวเข ำที่วัดเบญจม
บพติ ร กรงุ เทพฯ แลวประชำชนทั่ว ๆ ไปที่มีจิตศรัทธำ ไดมีกำรบริจำคจตุปใจจัย
ตำงๆ ใหแกโครงกำรพระธรรมจำริกเป็นประจํำทุกๆ ปี เพ่ือชวยเหลือในกำร
ดํำเนินกำรของโครงกำรฯ โดยกำรบริจำคผำนโครงกำรพระธรรมจำริกโดยตรง
หรือบรจิ ำคผำ นกรมประชำสงเครำะหแ
-52-
เครือขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของกลุ่มชาติพนั ธ์ุ
ตอมำ ในปี พ.ศ.2514 เม่ือมีกำรจัดตั้งศูนยแอบรมพระพุทธศำสนำแกภิกษุ
สำมเณรชำวเขำขึ้น ท่ีวัดศรีโสดำ บริเวณเชิงดอยสุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม
ซง่ึ เป็นศูนยแกลำงในกำรบรหิ ำรงำนพระธรรมจำริก ระดับภูมิภำคและเป็นแหลงรวม
ของ พระภิกษุ สำมเณรชำวเขำ กำรบริจำคจตุปใจจัยตำง ๆ นอกจำกจะมีกำร
บริจำคที่โครงกำรพระธรรมจำริก กรมประชำสงเครำะหแแลว ประชำชนผูมีจิต
ศรัทธำยังสำมำรถบริจำคจตุปใจจัยได ที่ศูนยแฝึกอบรมพระพุทธศำสนำแกภิกษุ
สำมเณรชำวเขำ วัดศรีโสดำ และผูสนับสนุนโครงกำรพระธรรมจำริก ท่ีมีบทบำท
สํำคัญในกำรดํำเนินกำรไดแก มูลนิธิเผยแผพระพุทธศำสนำแกชนถ่ินกันดำร ท่ี
จดทะเบียนมูลนิธิฯ เมื่อปี พ.ศ.2514 โดยมีวัตถุประสงคแเพ่ือนํำดอกผลมำใช
สนับสนุนกำรปฏิบัติงำนของโครงกำรพระธรรมจำริก มำต้ังแตเร่ิมจดทะเบียน
จนถงึ ปใจจบุ นั
ในสวนของภำครัฐบำล ไดเร่ิมจัดสรรงบประมำณสํำหรับโครงกำรพระ
ธรรมจำริกมำต้ังแตปีงบประมำณ 2509 เป็นตนมำ โดยผำนทำงกรม
ประชำสงเครำะหผแ เู ปน็ เจำของเร่ือง และตอมำเมื่อโครงกำรพระธรรมจำริก จัดให
มีกำรเรียนกำรสอนแกพระภิกษุสำมเณรชำวเขำ ที่ศูนยแฝึกอบรมพระพุทธศำสนำ
แกภิกษุสำมเณรชำวเขำ วัดศรีโสดำ จังหวัดเชียงใหม รัฐบำลก็ไดจัดสรร
งบประมำณสํำหรับกำรดํำเนินกำรเก่ียวกับกำรศึกษำ โดยผำนทำงกรมกำรศึกษำ
กระทรวงศึกษำธิกำรสนับสนุนดำนโครงกำรกำรศึกษำของพระภิกษุและสำมเณร
ชำวเขำ และผำนทำงกรมกำรศึกษำนอกโรงเรียนเพื่อสนับสนุนกำรศึกษำของ
ภิกษสุ ำมเณรชำวเขำทีด่ อยโอกำส
ปใจจุบันโครงกำรพระธรรมจำริกมีอำศรมฯ ท่ีปฏิบัติงำนครอบคลุม
ชำวเขำท้ัง 9 เผำ อันไดแก กะเหร่ียง มง เยำ ลีซอ อีกอ มูเซอ ลัวะ
ถ่ิน และขมุ และยังรวมไปถึงคนไทยและคนเผำอื่น ท่ีต้ังหมูบำนอำศัยอยูใน
บริเวณขำงเคยี ง เชน ไทยลอื้ ไทยใหญ จนี ฮอ เป็นตน
จำกโครงกำรนํำรองในปี พ.ศ.2508 ไดใหขอเสนอแนะท่ีเก่ียวกับกำร
เขำ ถึงจติ ใจชำวเขำ ในแงของกำรเผยแผพระพุทธศำสนำ ควำมยำกงำยในกำร
เขำถึงจำกกำรจัดลํำดับชำวเขำเผำมง เป็นเผำที่เขำถึงไดงำยท่ีสุด รองลงไป
ไดแกชำวเขำเผำเยำกะเหร่ียง อีกอ มูเซอ และลีซอ ตำมลํำดับ นี่เป็นกำร
เสนอแนะขอคนพบเมื่อปี พ.ศ.2508 หรือเกือบ 30 ปีมำแลว โดยคณะพระ
-53-
เครอื ข่ายพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของกล่มุ ชาตพิ ันธุ์
ธรรมจำริกรุนแรกท่ีปฏิบัติงำนในหมูบำนชำวเขำ 10 หมูบำน แยกเป็น เผำมง 2
หมูบำน กะเหร่ียง 1 หมูบำน ลีซอ 1 หมูบำน มูเซอ 2 หมูบำน เยำ 2
หมูบำ น อกี อ 1 หมบู ำน และหมบู ำ นผสมมเู ซอ-มง 1 หมบู ำ น
กำรสรปุ โครงกำรวำ ดว ยควำมยำกงำยในกำรเขำถึงชำวเขำท้ัง 6 เผำ ของ
พระธรรมจำริกรุนแรกท่ีใชเวลำในกำรปฏิบัติงำนในหมูบำนชำวเขำประมำณ 2
เดือน เม่ือปี พ.ศ.2508 ทํำใหกำรจัดตั้งอำศรมของโครงกำรพระธรรมจำริกใน
ระยะเวลำตอมำ ไดเนนหนักกำรจัดต้ังอำศรมฯ ตำมลํำดับควำมยำกงำยของกำร
เขำถงึ ชำวเขำแตละเผำดังกลำว จนกระท่ังเมื่อเกิดเหตุกำรณแไมสงบขึ้นในจังหวัด
นำน พะเยำ เชียงรำย เพชรบูรณแ และตำก เมื่อปี พ.ศ.2510 ทํำใหโครงกำร
พระธรรมจำริกจํำเป็นจะตองถอนอำศรมฯ ท่ีจัดตั้งในหมูบำนชำวเขำเผำมงและ
เยำ ที่ถูกจัดลํำดับใหอยูในลํำดับ 1 และ 2 ในจังหวัดดังกลำว โดยไดเนนมำ
ขยำยตั้งอำศรมพระธรรมจำริกในหมูบำนชำวเขำเผำกะเหรี่ยงท่ีถูกจัดลํำดับใหอยู
ในลำํ ดับท่ี 3 ในจังหวัดเชยี งใหม และจงั หวัดแมฮอ งสอนแทน ในเวลำตอมำ
หลังจำกเหตุกำรณแไมสงบบนพื้นที่สูงสงบลงในปี พ.ศ.2525 จำกกำร
ดํำเนินนโยบำยของรัฐบำล ภำยใตกำรปฏิบัติตำมนโยบำย 66/2523 สงผลให
ชำวเขำเผำมงเปล่ียนรูปแบบของกำรตั้งถ่ินฐำนใหม จำกเดิมที่เป็นชุมชนที่มี
ขนำดไมใหญนัก กลำยมำเป็นชุมชนที่มีขนำดใหญข้ึนมำ ทํำใหจํำนวนของ
หมูบำนมงมีจํำนวนลดลง มีสวนทํำใหกำรตั้งอำศรมพระธรรมจำริกในหมูบำน
ชำวเขำเผำมงลดลงจำกท่ีเคยอนุมำนวำ พวกเขำเป็นกลุมชำวเขำท่ีมีกำรเขำถึง
ไดงำ ยที่สดุ ในจํำนวนชำวเขำทงั้ 6 เผำเมอ่ื ปี พ.ศ.2508
ปใจจุบันนี้ ถึงแมวำจะไมมีกำรอนุมำนถึงควำมยำกงำยของกำรเผยแผ
พระพุทธศำสนำแกชำวเขำอีกแลวก็ตำม แตก็สำมำรถที่จะใชจุดที่ตั้งของอำศรม
พระธรรมจำริก มำใชในกำรอนุมำนควำมยำกงำยในกำรเขำถึงชำวเขำแตละเผำ
ไดเชนกนั
จำกจํำนวนอำศรมพระธรรมจำริกที่ออกปฏิบัติงำนกับชำวเขำ ตำมหมูบำน
ชำวเขำในจังหวัดเชียงใหม แมฮองสอน ลํำพูน ลํำปำง เชียงรำย พะเยำ
นำน สุโขทัย ตำก กํำแพงเพชร อุทัยธำนี กำญจนบุรี เลย แพร รวม
14 จังหวัด 183 อำศรม ในปี พ.ศ.2537 พบวำมีอำศรมพระธรรมชุมชน
ชำวเขำเผำกะเหรย่ี งและเผำถิ่นมำกกวำชำวเขำเผำอ่ืนๆ และจัดลํำดับควำมสํำคัญ
-54-
เครอื ข่ายพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ
ใหชำวเขำท้ังสองเผำ อยูในลํำดับแรกของกำรจัดตั้งโครงกำรตำงๆ ตลอดจนกำร
ขยำยกำรจัดตั้งอำศรมพระธรรมจำริกในหมูบำนของท้ังสองเผำกอนและจะ
เนนหนักในกลุมของชำวเขำเผำมงและเยำ ที่มีกำรต้ังถ่ินฐำนเป็นชุมชนท่ีมีขนำด
ใหญใ นปใจจุบันดว ยเชนกนั
สํำหรับชำวเขำเผำอ่ืน อันไดแกชำวเขำเผำมูเซอ ลีซอ ขมุ ลัวะและ
อีกอ ท่ียังมีกำรจัดตั้งอำศรมพระธรรมจำริกอยูนอยแหง กำรปฏิบัติงำนหรือกำร
ขยำยเพิ่มเติมอำศรมฯ อยูในระดับปกติแบบคอยเป็นคอยไป เพรำะตองมีกำร
ศึ ก ษ ำ วิ จั ย ถึ ง พ ฤ ติ ก ร ร ม ก ำ ร ย อ ม รั บ ข อ ง ก ลุ ม ดั ง ก ล ำ ว ท่ี มี ต อ ก ำ ร เ ผ ย แ ผ
พระพุทธศำสนำ เพื่อจะไดวำงยุทธศำสตรแใหตรงเปูำหมำยอยำงมีประสิทธิภำพ
และเหมำะสมมำกที่สดุ
บทบำทของพระธรรมจำริกท่ีดํำเนินกำรอยูในปใจจุบัน ลวนแลวแตเป็น
บทบำทของสงฆแในอดีตท่ีมีตอชุมชนเกือบท้ังสิ้น ถำไมนับรวมกรณีที่พระธรรม
จำริกไดเขำไปมีบทบำท ในกำรแกไขปใญหำของชุมชนที่เป็นปใญหำใหม ๆ เชน
ปใญหำยำเสพตดิ หรือกำรเพมิ่ ควำมรทู ำงโลกใหแกพ ระสงฆแ เพ่ือเพิ่มพูนควำมรูให
ทันกับควำมเปลี่ยนแปลงตำง ๆ ที่เกิดข้ึน และเป็นกำรสรำงบุคลำกรผูเผยแผ
พระพทุ ธศำสนำใหม ีคุณภำพที่ทดั เทียมกับผูเผยแผศำสนำอ่ืน
กำรขยำยพ้นื ทีป่ ฏบิ ตั งิ ำนของโครงกำรไดสงผลกระทบที่รุนแรงตอโครงกำร
พระธรรมจำริก โดยเฉพำะปใญหำกำรขำดแคลนบุคลำกรอำสำสมัครขึ้นไป
ปฏิบัติงำนพระธรรมจำริกตำมอำศรมในหมูบำน ซึ่งเห็นไดจำกกำรเปิดรับสมัคร
พระภิกษุท่ีมีควำมประสงคแจะเขำรวมปฏิบัติงำนเป็นพระธรรมจำริก ซ่ึงอยู
ปฏบิ ัตงิ ำนในหมูบำนชำวเขำปี พ.ศ.2537 มีพระภิกษุสำมเณรมำย่ืนแสดงควำม
จํำนงใหมไมถึง 30 รูป นับวำเป็นจํำนวนท่ีนอยมำก และเมื่อเปรียบเทียบ
อัตรำสวนระหวำงพระภิกษุสำมเณรที่มำจำกท่ีอ่ืนกับสังกัดวัดศรีโสดำ ซ่ึง
ปฏิบัติงำนในโครงกำรพระธรรมจำริกในปี พ.ศ.2537 ท่ีมีท้ังหมดจํำนวน 348
รปู แลว พระเณรสงั กัดวดั ศรโี สดำ มีจํำนวนเพยี ง 141 รปู โดยเป็นพระสงฆแ 31
รูป สำมเณร 110 รูป คิดเป็นรอยละเพียง 40.52 เทำนั้น ยังไมถึงครึ่งหนึ่ง
ของจํำนวนพระธรรมจำริกท่ีปฏบิ ตั ิงำนทัง้ หมด30
30 เพิ่งอำง, หนำ144-152.
-55-
เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของกลุ่มชาตพิ นั ธุ์
ดังนั้น โครงกำรฝึกอบรมบุคลำกรระยะยำว (โดยใชเวลำ 4 ปี) ซึ่งเป็น
โครงกำรรวมระหวำงโครงกำรพระธรรมจำริกกับวิทยำลัยครูเชียงใหม สหวิทยำลัย
ลำนนำ ในกำรผลิตบุคลำกรของโครงกำรพระธรรมจำริก ซึ่งโครงกำรน้ีมีสวน
สํำคัญในกำรแกไขปใญหำกำรขำดแคลนบุคลำกรของโครงกำรพระธรรมจำริก
เพรำะเป็นโครงกำรท่ีคำดหวังไววำ ภำยหลังจำกโครงกำรนี้ไดเริ่มตนไปแลวเป็น
เวลำ 4 ปี จะมีพระภิกษุสำมเณรของโครงกำรพระธรรมจำริก ที่กํำลังศึกษำทำง
โลกในระดับอุดมศึกษำอยูปฏิบัติงำนโครงกำรพระธรรมจำริกบนภูเขำ อยำงนอยปี
ละประมำณ 160 รูป หมุนเวียนอยูตลอดเวลำ แตโดยขอเท็จจริง จํำนวนของ
พระภิกษุสำมเณรท่ีเขำรับกำรศึกษำตำมโครงกำรนี้ ในปใจจุบันมีจํำนวนตํ่ำกวำ
เปูำหมำยที่ไดกำํ หนดไว (ปลี ะประมำณ 50 รปู )
อยำงไรก็ดี ในกำรออกปฏิบัติงำนของพระธรรมจำริกตำมโครงกำรปี พ.ศ.
2537 พบวำ มีพระภิกษุสำมเณรชำวเขำออกปฏิบัติงำนรวมกันทั้งสิ้น 179 รูป
โดยเป็นพระภิกษุสำมเณรชำวเขำจำกวัดอื่น ๆ ที่มิใชวัดศรีโสดำ เขำมำรวม
ปฏิบัติงำนรวม 38 รูป เป็นพระภิกษุ 29 รูป และสำมเณร 9 รูป ทํำให
จํำนวนรอยละของพระภิกษุสำมเณรชำวเขำ เพิ่มข้ึนเป็น รอยละ 51.44 จำก
จํำนวนของพระภิกษสุ ำมเณร ผูร วมโครงกำรพระธรรมจำริกท้งั หมด 348 รูป
โครงกำรพัฒนำบุคลำกรของโครงกำรพระธรรมจำริกนอกจำกจะแกไข
ปใญหำกำรขำดแคลนพระธรรมจำริกท่ีปฏิบัติงำนในหมูบำนชำวเขำไดแลว ยังจะ
แกไขปใญหำที่สํำคัญอีกประกำรหน่ึง อันไดแก ปใญหำพระธรรมจำริกไมอยู
ปฏิบัติงำนที่อำศรมฯ เป็นประจํำ เพรำะมีกิจนิมนตแอยูบอย ๆ ในแตละเดือน
เน่ืองจำกโครงกำรจัดกำรศึกษำระดับอุดมศึกษำของโครงกำรพระธรรมจำริกน้ัน
ไดใหควำมสํำคัญกับกำรปฏิบัติงำนภำคสนำม ซ่ึงเป็นสวนหน่ึงของวิชำเอก
มำกกวำกำรสอบขอเขียน ซึ่งถือวำเป็นวิชำรอง นั่นก็หมำยควำมวำพระภิกษุ
สำมเณรทอี่ ยูในโครงกำรน้ี จะตองสอบผำนกำรปฏิบัติงำนภำคสนำมดวย จึงจะมี
สทิ ธิรับปริญญำบตั รได
กำรปรับเปลี่ยนกำรปฏิบัติงำนท่ีเร่ิมใชโครงกำรตำงๆ แทนกำรปฏิบัติ
ภำรกิจแบบเดิม นับวำโครงกำรพระธรรมจำริกไดปรับปรุงตัวเองเขำสูกำร
ปฏิบัติงำนที่เป็น “รูปธรรม” ท่ีชัดเจนมำกย่ิงขึ้น ไมวำจะเป็นโครงกำรท่ี
เก่ียวของกับกำรเผยแผพระพุทธศำสนำ หรือโครงกำรอ่ืนที่เกี่ยวของกับกำรพัฒนำ
-56-
เครือข่ายพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ิตของกลมุ่ ชาติพนั ธุ์
ตำง ๆ ซึ่งแตละโครงกำรจะมีวัตถุประสงคแและเปูำหมำยท่ีชัดเจน มีวิธีกำร
ปฏบิ ัตทิ เ่ี ปน็ รูปธรรม เป็นกำรปฏบิ ัติงำนในรปู แบบที่ “ทันสมยั ” สอดคลองกับ
โลกในยุค “โลกำภวิ ตั นแ”
วัตถุประสงคแกำรดํำเนินงำนเผยแผของพระธรรมจำริกท่ีไดดํำเนินกำรมำ
จนถึงปจใ จุบัน มี 6 ประกำรสํำคัญ คอื
1. เพื่อวำงรำกฐำนของพระพทุ ธศำสนำ อันเป็นศำสนำประจํำชำติไทยลง
บนจิตใจของชำวเขำเผำ ตำงๆ โดยทั่วถงึ
2. เพ่ือสรำงควำมสัมพันธแทำงจิตใจ ใหชำวเขำเกิดควำมรูสึกเป็นพวก
เดียวกันกับคนไทย รกั และหวงแหนแผนดนิ ที่ตนอยูอำศัยทํำมำหำกนิ
3. เพ่ืออบรมศีลธรรมและจริยธรรมแกชำวเขำ ใหเป็นพลเมืองดี ทํำ
ประโยชนแแกป ระเทศ ชวยรักษำควำมสงบเรยี บรอยทำงชำยแดน
4. เพ่ือใหกำรสงเครำะหแชวยเหลือ ในกำรแกไขปใญหำเดือดรอนเฉพำะ
หนำและใหควำมรูในประกำรตำง ๆ แกชำวเขำ เพ่ือพัฒนำควำมเป็นอยูในชีวิต
ใหดีขนึ้ เป็นพลเมอื งท่มี คี ุณภำพ
5. แนะนํำส่ังสอนใหชำวเขำชวยกันรักษำทรัพยำกรธรรมชำติและ
สง่ิ แวดลอมเพื่อประโยชนแแกสว นรวมและลกู หลำนของตนในอนำคต
6. รวมมือกับทำงรำชกำรในกำรสรำงควำมสํำนึกแกชำวเขำ ใหเกิดควำม
จงรักภักดีตอชำติ ศำสนำ และพระมหำกษัตริยแ อันเป็นผลดีตอควำมมั่นคงของ
ชำติ
ในปี พ.ศ.2543 มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย วิทยำเขต
เชียงใหม ไดจัดทํำโครงกำรพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ (ธรรมจำริก) โดยกำร
สนับสนุนงบประมำณจำกสํำนักงำนงบประมำณแผนดินทํำใหโครงกำรพระบัณฑิต
อำสำไดเริ่มโครงกำรตั้งแตปี พ.ศ.254331 โดยเป็นผูรับผิดชอบโครงกำรรวม
ประสำนงำนกับโครงกำรพระธรรมจำริกสวนภูมิภำค ซ่ึงเป็นโครงกำรท่ีทํำงำน
พัฒนำคุณภำพชีวิตแกชำวเขำอยำงตอเน่ือง จำกกำรดํำเนินงำนของโครงกำรพระ
บัณฑิตอำสำที่ผำนมำ ไดคัดเลือกนิสิตจำกมหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำช
31 คณะทำํ งำนโครงกำรบัณฑติ อำสำพฒั นำชำวเขำ (พระธรรมจำริก). สรปุ กำรสมั มนำพระบัณฑติ อำสำพฒั นำ
ชำวเขำ (ธรรมจำริก) คร้ังที่ 1/2543. (เชียงใหม: มหำวิทยำลัยมหำจุฬำลงกรณรำชวิทยำลัย วิทยำเขต
เชียงใหม 2544), เอกสำรอดั สำํ เนำ.
-57-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ิตของกลุม่ ชาติพนั ธ์ุ
วิทยำลัย วิทยำเขตตำง ๆ อำสำมำเป็นพระบัณฑิตนักพัฒนำบนพื้นท่ีสูง
ทํำงำนรว มกบั พระธรรมจำรกิ ในเขตทุรกันดำร เพื่อเสริมสรำงพลัง เนนศักยภำพใน
กำรทำํ งำนใหมีประสทิ ธิภำพมำกยง่ิ ขน้ึ กำรจัดสงพระบัณฑิตอำสำที่จะไปพัฒนำ
บนพ้ืนท่ีสูงจํำเป็นอยำงย่ิง ที่ตองคัดสรรพระที่มีควำมรูในกำรเผยแผ
พระพุทธศำสนำ มีเทคนิค วิธีกำร ในกำรทํำงำนกำรเผยแผหลักธรรมที่
หลำกหลำยทุกรูปแบบ กำรทํำงำนเป็นพระนักพัฒนำบนพื้นที่สูงกับพ้ืนที่รำบมี
ควำมแตกตำงกันมำก เพรำะกำรทํำงำนของพระนักพัฒนำบนพ้ืนที่สูงตองทํำงำน
แบบเชิงรุกมำกกวำ เชงิ รับ เนื่องจำกควำมแตกตำ งในดำนส่ิงแวดลอม วัฒนธรรม
ประเพณี ควำมเชอ่ื ทศั นคติ และมีภำษำเป็นตัวของตัวเอง บำงชำติพันธแุ มี
ควำมรูควำมเขำใจในดำนพระพุทธศำสนำนอย มีควำมเชื่อในศำสนำบรรพบุรุษ
ด้ังเดมิ ของชนเผำ อยำ งเหนียวแนน
ผลจำกกำรที่จัดสงพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ (ธรรมจำริก) เริ่มตั้งแต
ปี พ.ศ. 2543 - 2544 ในเบ้ืองตนจัดใหขึ้นปฏิบัติงำนอยูกับพระธรรมจำริกใน
ทองที่ ที่มีอำศรมพระธรรมจำริกตั้งอยูในเขตจังหวัดเชียงใหม แพร ลํำปำง
เชียงรำย แมฮองสอน นำน และพะเยำ กำรทํำงำนรวมกันทั้งพระธรรมจำริก
และพระบัณฑิตอำสำในข้ันตน เป็นกำรเพ่ิมบุคลำกรในกำรปฏิบัติงำน แตไม
สำมำรถทีจ่ ะขยำยฐำนพ้ืนที่ในกำรในกำรทํำงำนใหครอบคลุมพ้ืนท่ีหมูบำนชำวเขำ
มำกขึ้นได เป็นกำรทํำงำนเดิมท่ีเคยทํำมำกอนหนำนั้นแลว เพรำะเกิดแนวคิดใน
เบื้องตนที่วำ ไมควรที่จะสงพระบัณฑิตอำสำอยูในหมูบำนรูปเดียวตำมลํำพัง
เพรำะยังไมมีควำมรู ประสบกำรณแในกำรทํำงำนบนพื้นท่ีสูง ควรท่ีจะใหเรียนรู
หลักกำรทํำงำนจำกพระธรรมจำริกและทํำงำนรวมกัน เพื่อใหกำรทํำงำนเพ่ิม
ประสิทธิภำพมำกย่ิงข้ึน แตจำกกำรทํำงำนในชวงแรกมีเป็นบำงแหง กำรทํำงำน
ไมคอยรำบรื่นนัก เพรำะแนวคิดไมตรงกันและไมสำมำรถที่ปรับแนวคิด
ประสบกำรณแเขำหำกันได แตโดยภำพรวมของกำรปฏิบัติงำนของพระนักพัฒนำ
บนพื้นที่สูงนับวำประสบผลสํำเร็จเป็นท่ีนำพอใจในระดับหนึ่ง ตัวช้ีวัดคือ ในแตละ
อำศรมมีกำรจัดกิจกรรมหลำกหลำยมำกขึ้น สงเสริมใหชำวบำน องคแกรทองถ่ิน
เขำมำมีบทบำทในกำรจัดกิจกรรมของอำศรม มีรูปแบบในกำรเผยแผหลักธรรม
ของพระพุทธศำสนำในรูปแบบตำงๆ ชำวบำนมีควำมรูควำมเขำใจใน
พระพทุ ธศำสนำมำกขึ้น
-58-
เครอื ขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
หลังจำกกำรจดั สง พระบณั ฑิตอำสำขึน้ ไปปฏิบัติศำสนกิจตำมหมูบำนในถิ่น
ทุรกันดำรโดยกำรฝใงตัวกับชำวบำนตลอดเวลำ ไดมีกำรสํำรวจขอมูลชุมชน ตลอด
ถึงรับทรำบสภำพปญใ หำแตละพนื้ ที่ สำมำรถสรุปไดดงั น้ี
1. ดำนกำรประกอบอำชีพ ชำวบำนสวนใหญประกอบอำชีพเกตรกรรมใน
ไรนำ หลงั จำกเก็บเกย่ี วขำวเสรจ็ ไมมีอำชพี เสรมิ รองรับ ทำํ ใหไ มม ีรำยได กอปรกับ
ไมส ำมำรถท่ีจะขยำยท่ที ํำกนิ ได ทด่ี ินท่ีใชเพำะปลูกเสื่อมคุณภำพ ตองใชสำรเคมี
ประเภทตำงๆ ทํำใหเพิ่มรำยจำยมำกขึ้น ทํำใหมีกำรอพยพแรงงำนออกจำก
หมบู ำ น โดยเฉพำะวยั แรงงำนตอ งออกไปทํำงำนตำงถน่ิ ในแตล ะปีเปน็ จํำนวนมำก
2. ดำนกำรสอ่ื สำร เนอ่ื งพระบัณฑติ สว นใหญเปน็ คนพ้ืนรำบ ในชุมชนบำง
แหง กำรติดตอสื่อสำรกับชำวบำนวัยกลำงคนข้ึนไปมีควำมลํำบำก เนื่องจำกพูด
ภำษำไทยไมค อ ยได ทํำใหม ผี ลกระทบโดยตรงตอกำรเผยแผห ลักธรรม และกำรจัด
กิจกรรม
3. คุณภำพชีวิตบำงชุมชนอยูในเกณฑแต่ํำ เยำวชนไมไดรับกำรศึกษำ
เด็กขำดสำรอำหำร ฐำนะชำวบำนคอนขำงยำกจน มีโรคภัยมำเบียดเบียน ใน
บำงแหง หนวยงำนของรฐั บริกำรดำ นสถำนศึกษำ อนำมยั ยงั เขำไปไมท วั่ ถงึ
4. ขำดอุปกรณแกำรเผยแผ กำรทํำงำนตองอำศัยสื่อนํำมำประกอบ
เพื่อท่ีจะชักจูง ดึงดูดควำมสนใจในกำรเขำรวมกิจกรรม เชน ส่ือธรรมะ เพลง
ธรรมะ พระพุทธประวัติ เพอ่ื ใชเ กีย่ วกบั ดำ นกำรอบรมคุณธรรม
5. งบประมำณในกำรสนับสนุนกำรจัดกิจกรรมมีนอย หมูบำนท่ีพระ
บัณฑิตอำสำขึ้นไปปฏิบัติงำน ลวนแตเป็นบำนของกลุมชำติพันธแตำงๆ ควำม
ศรัทธำในพระสงฆแยังมีนอย พระนักพัฒนำบนพื้นท่ีสูงเองยังไมสำมำรถที่จะหำ
แหลงทุนในทองถิ่นหรือที่อ่ืนได กอปรกับชำวบำนสนับสนุนใหไดแตแรงงำน
เทำนน้ั
6. ดำนกำรสงพระบัณฑิตเขำในพื้นท่ี กำรจัดสงบุคลำกรซ้ํำซอนกับ
โครงกำรพระธรรมจำริก เพรำะจะเป็นกำรใชกํำลังบุคลำกรไมคุมคำ เพรำะยังมี
หมูบำนอีกจํำนวนมำกที่ตองกำรใหพระนักพัฒนำบนพ้ืนท่ีสูงเขำพัฒนำในชุมชน
ของตนเอง
7. สถำนท่ีปฏิบัติงำน ท่ีผำนมำโครงกำรไดสงพระบัณฑิตอำสำกระจำยใน
พ้ืนท่ีกวำงเกินไป อำศรมพระธรรมจำริกแตละแหงอยูไกลกันมำกจนไมสำมำรถท่ี
-59-
เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชีวิตของกล่มุ ชาตพิ นั ธ์ุ
จะติดตอประสำนงำน และรวมกิจกรรมได ทํำใหตำงคนตำงทํำงำน ไมมีกำร
ทำํ งำนเป็นทมี ขำดทปี่ รึกษำในกำรทำํ งำน กำรออกตรวจเยี่ยมเป็นไปดวยควำม
ลำํ บำก ทํำใหยำกแกกำรติดตำมประเมินผล
โครงกำรพระธรรมจำริกไดสรุปปใญหำท่ีมีผลกระทบตอแผนกำรเผยแผ
พระพทุ ธศำสนำเป็นหัวขอ ใหญๆ ได ดงั นี้
1. ปใญหำกำรเคล่ือนยำยถ่ินฐำน ชำวเขำมีกำรอพยพเคล่ือนยำยท้ังใน
ประเทศและจำกนอกประเทศในอัตรำคอนขำงสูง จำกรำยงำนกำรสํำรวจ
ประชำกรชำวเขำ พ.ศ.2528 จังหวัดตำกของสํำนักงำนสถิติแหงชำติพบวำ
ประชำกรชำวเขำที่มีอำยุ 11 ปีข้ึนไป ในชวง พ.ศ.2523–2528 รอยละ 10.8
หรือประมำณ 4,478 คน ไดยำยถิ่นฐำนอยำงนอย 1 คร้ัง และยำยมำจำก
ตำ งประเทศ รอ ยละ 15.2 ของผยู ำ ยถ่ิน ลักษณะกำรตั้งถ่ินฐำนมักกระจำยเป็น
หยอมบำนเล็กๆ หำงไกลเสนทำงคมนำคม ปใจจุบันกำรอพยพจำกนอกประเทศ
ทวีจำํ นวนสงู ขนึ้ อยำ งรวดเร็ว โดยขำดระบบกำรควบคมุ ท่ีเหมำะสม สงผลกระทบ
ตอ กำรทำํ ลำยปุำ ตน นํ้ำลำํ ธำร และกำรเรยี กรอ งสัญชำตไิ ทยเพอื่ สิทธติ ำ ง ๆ
2. ปใญหำกำรทํำลำยทรัพยำกรธรรมชำติและส่ิงแวดลอม ระบบ
กำรเกษตรของชำวเขำกลุมที่ทํำไรเลื่อนลอยแบบโคนเผำแลวเคลื่อนยำย เป็น
ตนเหตุอยำงหน่ึงของกำรบุกรุกทํำลำยปุำ ตนนํ้ำลํำธำร จำกกำรเปรียบเทียบ
โดยภำพถำยจำกดำวเทยี ม ของฝำุ ยแผนทภี่ ำพถำยทำงอำกำศและดำวเทียม กอง
จัดกำร กรมปุำไม พ.ศ.2528 พบวำในปี พ.ศ.2525 พื้นที่ปุำในภำคเหนือมี
54,847,500 ไร และปี พ.ศ.2528 ลดลงเหลือ 52,878,750 ไร พ้ืนท่ีถูกบุกรุก
ใน 3 ปี ประมำณ 2,268,750 ไร หรือเฉลี่ยปีละ 756,250 ไร ซึ่งเป็นอัตรำ
กำรทำํ ลำย ทรัพยำกรธรรมชำติและสิง่ แวดลอมท่ีนำ วิตก
3. ปใญหำกำรปลูกฝ่ินเป็นพืชเงินสดทำงเศรษฐกิจ สํำหรับกลุมชำวเขำท่ี
ปลูกฝิ่นเป็นประเพณี จำกกำรสํำรวจพื้นท่ีทํำกำรปลูกฝิ่นและผลิตฝิ่นของ
สํำนักงำน ป.ป.ส. เม่ือปี พ.ศ.2529–2530 พบวำ มีพ้ืนที่ปลูกฝ่ินใน 8 จังหวัด
ภำคเหนือ ประมำณ 23,470 ไร มีผลผลิตกวำ 20 ตัน ซ่ึงเป็นอำชีพที่ผิด
กฎหมำย
4. ปใญหำควำมยำกจน ชำวเขำสวนใหญประกอบอำชีพทำงกำรเกษตร
แบบเลี้ยงตวั เองและครอบครัวเป็นหลัก ขำดควำมรูในกำรเกษตรแผนใหมผลผลิต
-60-
เครอื ขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลุม่ ชาตพิ ันธ์ุ
นอยหำงไกลคมนำคม สภำพเศรษฐกิจอยูในระดับต่ํำ รำยไดของชำวเขำในปี
พ.ศ.2529 มีรำยไดเฉลี่ย 15,472 บำทตอครอบครัว หรือ 2,789 บำทตอคน
ชำวเขำในจังหวดั นำ น มีรำยไดเฉลีย่ ต่ํำสุด 4,005 บำทตอครอบครัว หรือ 276
บำทตอคน
5. ปใญหำกำรศึกษำ ชำวเขำสวนใหญยังไดรับกำรศึกษำนอยและไม
ท่ัวถึง จำกกำรสํำรวจของสํำนักงำนสถิติแหงชำติ เม่ือปี พ.ศ.2526 ใน 320
หมูบำน ในเขตพ้ืนท่ีศูนยแพัฒนำและสงเครำะหแชำวเขำ พบวำยังมีผูไมไดรับ
กำรศกึ ษำสงู ถงึ รอยละ 26
6. ปใญหำกำรเพ่ิมประชำกร ชำวเขำมีอัตรำกำรเพิ่มของประชำกรสูง
ท้ังโดยธรรมชำติและกำรอพยพจำกนอกประเทศ จำกกำรสํำรวจประชำกรชำวเขำ
ในจังหวัดตำก ปี พ.ศ.2528 พบวำมีอัตรำกำรเพิ่มถึงรอยละ 3.1 ตอปี ซึ่งสูง
กวำอัตรำกำรเพ่ิมโดยเฉลี่ยของประชำกรไทยทั่วประเทศ ปี พ.ศ.2529 พบวำมี
อตั รำกำรเพม่ิ รอ ยละ 3.5
7. ปใญหำกำรสำธำรณสุข จำกดัชนีทำงสำธำรณสุขของประชำกร มี
อัตรำเกิด 55.5 ตอ 1,000 อัตรำกำรตำย 20 ตอ 1,000 และอัตรำกำรตำยของ
ทำรก 81.8 ตอ 1,000 ท้ังนี้เน่ืองจำกกำรเจ็บปุวย กำรติดฝิ่น และปใญหำ
โภชนำกำร
8. ปใญหำกำรพัฒนำของภำครำชกำร จำกตัวเลขที่สํำรวจในปี พ.ศ.
2530 โดยกระทรวงศึกษำธิกำรรำยงำนวำ มีหนวยงำนของรัฐประมำณ 31
กรมจำก 11 กระทรวง เขำไปมีบทบำทพัฒนำชำวเขำผำนหนวยงำนระดับลำง
168 หนวยงำน สงผลกระทบตอนโยบำย กำรประสำนงำน ตลอดจนบุคลำกรท่ี
ไปปฏิบตั งิ ำน
9. ปญใ หำกำรเผยแผของศำสนำอ่นื จำกทํำเนยี บองคแกำรพัฒนำชำวเขำ
ในประเทศไทยภำคเอกชน ซึง่ จดั พมิ พโแ ดยมูลนธิ กิ ำรศึกษำเพอ่ื ชวี ติ และสังคม ในปี
พ.ศ.2533 พบวำ มีองคแกำรเผยแผศำสนำของนิกำยตำงๆ อันมิใชศำสนำ
ประจํำชำติไทย อยูไมนอยกวำ 24 องคแกำร ท่ีข้ึนไปคลุกคลีกับชำวเขำเผำตำงๆ
โดยขำดระบบกำรควบคมุ ดูแลที่เหมำะสม ทุกนิกำยตำงใชกลวิธีทุกวิถีทำงท่ีจะชัก
จูงชำวเขำเป็นสมำชิกองคแกำรของตนใหไดมำกท่ีสุด ในบำงครั้ง ไดมีกำรนํำเอำ
สถำบันพระมหำกษัตรยิ แมำใชเปน็ เครอื่ งมือโฆษณำชวนเช่ือ
-61-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ิตของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ
ปใญหำดังกลำวนี้เป็นบทสรุปจำกกำรดํำเนินงำนของโครงกำรพระธรรม
จำริกกวำ 30 ปีที่ผำนมำ ซึ่งในชวงเวลำดังกลำว นโยบำยของรัฐมีควำมพยำยำม
ในกำรปกปูองควำมเป็นรัฐชำติจำกภัยคอมมิวนิสตแเป็นหลัก และแสดงออกในรูป
ของกำรสงเครำะหพแ ฒั นำ และไมไดมีนโยบำยโดยตรงในกำรพัฒนำชุมชนพ้ืนท่ีสูง
สูระบบทุนนิยมกำรคำ เน่ืองจำกไมเล็งเห็นศักยภำพที่เพียงพอในกำรผนวกรวม
เป็นสวนหนึ่งในกำรพัฒนำประเทศสูควำมทันสมัย นโยบำยของรัฐจึงมีบทบำท
ทำงออมในกำรเรงรัดควำมตื่นตัวตอกระแสกำรพัฒนำ และไดผนวกรวมชุมชน
พื้นท่ีสูงใหเขำเป็นสวนหนึ่งของระบบทุนนิยม พรอมกับแปรสภำพชุมชนสูควำม
เป็นทุนนิยมรอบนอกหรือทนุ นิยมบรวิ ำร (Peripheral Capitalism)
กำรเปลี่ยนแปลงโดยท่ัวไปน้ันเป็นปกติ แตเมื่อผนวกกับนโยบำยของรัฐที่
มุงกำรพัฒนำจะเป็นปใจจัยสํำคัญท่ีจะเป็นตัวกํำหนดทิศทำงควำมเปลี่ยนแปลงให
เกิดข้ึนท้ังโดยตรงและโดยออม กำรพัฒนำและกำรเปล่ียนแปลงตำงๆ เป็นไปได
ท้ังทำงบวกและทำงลบ เชนเดียวกับปรำกฏกำรณแอื่นๆ ที่สงผลตอควำม
เปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตผูคน ประเพณีวัฒนธรรม ตลอดจนระบบควำมคิดควำม
เชื่อบำงประกำร ซงึ่ พอสรุปไดด ังนี้
ดำนกำรเกษตร เม่ือมีกำรปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตกำรทํำกำรเกษตรแบบพอยัง
ชีพมำสูกำรปลูกพืชเศรษฐกิจท่ีตอบสนองตอระบบตลำดภำยนอก ซึ่งเนนกำร
จํำหนำยเป็นหลัก ทํำใหเกษตรกรบนพ้ืนท่ีสูงตองพ่ึงพำทุนในกระบวนกำรผลิตทุก
ขั้นตอน ตั้งแตกำรซื้อพันธุแพืช อุปกรณแทำงกำรเกษตร กำรบํำรุงดูแลพืชดวย
สำรเคมี ซ่ึงไดสงผลกระทบตอปใญหำที่หลำกหลำย เชนปใญหำหน้ีสินในกรณีรำคำ
ผลผลิตตกตํ่ำ และเน่ืองจำกปใญหำจำกกำรท่ีชำวบำนสวนใหญไมมีควำมเขำใจใน
เรื่องกลไกกำรตลำด สงผลตอกำรอพยพเขำมำสูเมืองเพ่ือเป็นแรงงำนรับจำง อีก
ท้ังกำรเกษตรที่ใชสำรเคมีจะกอใหเกิดกำรตกคำงของสำรเคมี ซึ่งจะสงผลกระทบ
ตอสภำพแวดลอมโดยตรง และกอใหเกิดควำมขัดแยงเก่ียวกับกำรใชและกำร
จดั กำรทรพั ยำกรทต่ี อ เนือ่ งกนั ระหวำงชมุ ชน สวนในระยะยำวกำรเปลี่ยนแปลงของ
ระบบนิเวศจะสงผลกระทบตอควำมสมดุลและควำมหลำกหลำยทำงชีวภำพบน
พน้ื ที่สูง
ดำนกำรปกครอง ชุมชนบนพื้นท่ีสูงมีระบบกำรปกครองตำมจำรีตด้ังเดิมท่ี
โครงสรำงและเขมแข็ง ในแตละชุมชนมีผูนํำทำงศำสนำ พิธีกรรม ซ่ึงชำวบำนให
-62-
เครอื ขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชีวิตของกลุม่ ชาตพิ ันธ์ุ
ควำมนับถือ มีกลุมผูอำวุโสเป็นท่ีปรึกษำ และมีพฤติกรรมท่ีเคำรพตอกฎเกณฑแ
ตำงๆ ในกำรอยูรวมกันตำมจำรีตของชุมชน แตเมื่อทำงรำชกำรสงเสริมรูปแบบ
กำรปกครองแบบทำงกำร โดยมีผูใหญบำน ผูชวยผูใหญบำน คณะกรรมกำร
หมูบำน เพ่ือทํำหนำที่ดํำเนินนโยบำยจำกทำงรำชกำร ทํำใหบทบำทของผูนํำ
ชุมชนแบบดงั้ เดมิ ลดควำมสำํ คัญลง ทำํ ใหชมุ ชนที่เคยพง่ึ พำตนเองไดใ นระดับหนึ่ง
ของกำรปกครอง จำํ เป็นตอ งอำศัยพึ่งพำเจำ หนำ ที่รัฐมำกขึน้
ดำนสังคม กำรดํำรงอยูของชุมชนในอดีตอำศัยพึ่งพิงอยูกับควำมอุดม
สมบูรณแของธรรมชำติ กำรใชทรัพยำกรและประยุกตแใชภูมิปใญญำใหเหมำะสมได
ในระดับหนึ่งในกำรดํำรงชีวิตของชุมชนใหย่ังยืน ส่ิงสำธำรณูปโภคจำกภำยนอก
เป็นควำมฟุมเฟือยท่ีเขำสูชุมชน โดยกำรดํำเนินนโยบำยกำรพัฒนำของรัฐ ที่เนน
กำรพัฒนำดำนโครงสรำงพื้นฐำนและสำธำรณูปโภค ชำวชุมชนสวนหน่ึงเดิน
ทำงเขำสูสังคมเมืองที่มีกำรแขงขันสูง สินคำในเมืองหลั่งไหลเขำสูชุมชน สังคม
แบบพอยังชีพสวนใหญเปล่ียนเขำสูสังคมบริโภคนิยมแบบสังคมเมืองมำกขึ้น
เร่ือยๆ มกี ำรแขงขันทำงดำ นวัตถุและสะสมควำมมง่ั คง่ั และแบง แยกตวั เองสูสังคม
ท่ีมีชนชั้นท่ีเนนควำมเป็นปใจเจกชนสูง เครื่องอํำนวยควำมสะดวกตำงๆ เป็น
มำตรฐำนคุณภำพชีวิต โดยขำดกำรเรียนรูและกำรปรับตัวท่ีเทำทันตอควำม
เปลี่ยนแปลง กระแสคำนิยมในกำรบรโิ ภควัตถเุ กดิ ขึน้ อยำ งรวดเร็วจนยำกที่จะสรำง
ควำมเขำใจเก่ียวกับวัตถุที่ถูกตองได ทํำใหฐำนะกำรครองชีพท่ีมีอยูอยำงคอนขำง
เทำเทียมในอดีต มีระดับควำมสูงตํ่ำมำกขึ้นตำมคำนิยมทำงวัตถุ คนในชุมชนสวน
ใหญตำงดิ้นรนขวนขวำยเพ่ือใหไดมำซ่ึงฐำนะทำงสังคมที่เทำเทียม เกิดกำรกูหน้ี
ยมื สนิ คำนยิ มท่ดี ีในสังคมอดตี ถูกละเลยและทอดทิ้งผูดอยโอกำสทำงสังคมที่อยูใน
ชุมชน แมวำระบบสำธำรณูปโภคตำงๆ จะดีขึ้น แตก็ไดกอปใญหำตำมมำอยำง
มำกมำย เชน ปใญหำยำเสพติดในชุมชน ปใญหำกำรละเมิดศีลธรรมจริยธรรมอันดี
งำมในชุมชน ปใญหำกำรอพยพโยกยำยเป็นแรงงำนรำคำถูกและเรรอนในสังคม
เมือง
ดำนวัฒนธรรมประเพณี ชุมชนบนพื้นท่ีสูงในอดีตมีควำมเช่ือในเร่ืองผี
(Animism) หรือเทพเจำที่ปกปใกรักษำธรรมชำติ ประเพณีวัฒนธรรมตำงๆ ก็จะ
เช่ือมโยงสัมพันธแกับควำมเช่ือเดิมเหลำนี้ ไมวำจะเป็นประเพณีวิถีชีวิตในรอบปี
ประเพณีในกำรรักษำพยำบำลตำมแบบภูมิปใญญำเดิม เชน กำรรักษำกำรเจ็บปุวย
-63-
เครอื ข่ายพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาติพันธ์ุ
ดว ยยำสมนุ ไพรและกำรเลี้ยงผี เม่อื กำรพัฒนำเริ่มเขำไปในชุมชน มีกำรนํำศำสนำ
อ่ืนๆเขำไปเผยแพรมำกข้ึน ทำํ ใหช ำวเขำจํำนวนมำกเปลี่ยนแปลงควำมเชื่อเดิม มี
คนจํำนวนนอยท่ียังยึดถือควำมเช่ือเดิมอยำงเหนียวแนน สวนใหญไดปรับตัวและ
ผสมผสำนควำมเชื่อเดิมเขำกับศำสนำใหมท่ีเขำมำในชุมชน ปใจจัยสวนหนึ่ง
เกิดข้ึนจำกนโยบำยรวมพวกของภำครัฐและกำรไดรับประโยชนแและโอกำสทำง
สังคมท่ีองคแกรทำงศำสนำหยิบย่ืนให สงผลตอประเพณีพิธีกรรมตำมควำมเชื่อ
บำงอยำงทเ่ี ลือนหำย และในบำงชุมชนไดเกิดขอขัดแยงทำงควำมเช่ือที่มีอยูอยำง
หลำกหลำยในชุมชน วัฒนธรรมบำงอยำง เชน กำรแตงกำย ซ่ึงเคยเป็น
เอกลักษณแประจํำเผำ ภูมิปใญญำในกำรผลิตสิ่งทอ และกำรประดับเคร่ืองเงิน เป็น
ตน ซึ่งมีควำมสัมพันธแกับควำมเชื่อและตํำนำนของชนเผำก็เริ่มลดนอยลงใน
ปใจจุบัน คนรุนใหมหันไปนิยมนุงหมตำมแบบสังคมเมืองมำกขึ้น ทํำให
ศิลปวัฒนธรรมในกำรแตงกำยท่ีสืบทอดมำในอดีตคอยๆเลือนหำยไปจำกชุมชน
แตอำจพบเห็นไดจำกงำนประเพณีพิธีกรรมประจํำปีหรือกำรแสดงเทำนั้น
เชนเดียวกับโครงสรำงบำนท่ีเป็นเอกลักษณแประจํำเผำก็ปรับเปลี่ยนสูรูปทรงบำน
แบบสมัยใหม และใชวัสดุอุปกรณแท่ีสั่งมำจำกภำยนอก จำกสภำพปใจจุบันรองรอย
เอกลักษณขแ องบำนเรือนในอดตี ไดคอยๆ หำยไป32
ปนัดดำ บุณยสำระนัย ไดกลำวถึงควำมเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนจำกทิศทำง
และกระบวนกำรในกำรพัฒนำไดส ง ผลสำํ คัญทงั้ ในทำงบวกและทำงลบตอชุมชนใน
ลักษณะท่ใี กลเ คยี งกนั คอื
ผลในเชิงบวก
- ชุมชนบนพน้ื ทีส่ งู มรี ะบบโครงสรำ งพน้ื ฐำนทำงสำธำรณปู โภค เชน ถนน
ไฟฟูำ น้ํำประปำ โทรศัพทแ ฯลฯ
- ประชำกรมีโอกำสไดรับกำรบริกำรดำนกำรศึกษำ กำรสำธำรณสุขและ
กำรประกอบอำชีพ กำรไดรบั ขอมูลขำ วสำรจำกรฐั มำกขึ้น
- ประชำชนในพื้นที่สูงไดรับและเกิดประสบกำรณแในกำรทํำงำนรวมกับ
หนวยงำนรัฐและเอกชน และองคแกรระหวำงประเทศ ทํำใหเกิดควำมรูและทักษะ
ตำ งๆ ทจ่ี ะนำํ ไปใชใ นกำรปรบั ตวั และวถิ ชี ีวติ ใหเขำกบั สังคมกระแสหลักมำกขึน้
ผลในเชิงลบ
32 ปนัดดำ บณุ ยสำระนยั . อำงแลว, หนำ 147-150.
-64-
เครอื ขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชีวติ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
- สภำพสังคมวัฒนธรรม และภูมิปใญญำบนพื้นที่สูงท่ีมีควำมหลำกหลำย
สูญหำยไปดวยกำรผสมกลมกลืนไปกับกระแสวัฒนธรรมไทยจำกสวนกลำงซ่ึงเป็น
กำรพัฒนำกระแสหลกั อยำงรวดเร็ว
- กำรพัฒนำท่ีมองวำชุมชนบนพ้ืนท่ีสูงเต็มไปดวยปใญหำ จึงเร่ิม
กระบวนกำรดวยกำรแกไขปใญหำ โดยไมไดเนนกระบวนกำรกำรมีสวนรวมและ
สรำงควำมเขมแข็งใหกับชุมชน กำรพัฒนำนั้นจึงมีทิศทำงจำกบนสูลำง สงผล
กระทบรุนแรงตอชุมชนแบบเดียวกับท่ีเคยเกิดขึ้นมำแลวในพื้นที่ภำคอื่นๆ ของ
ประเทศ คือ ชุมชนทองถิ่นขำดควำมเขมแข็งภำยใน โครงสรำงพื้นฐำนท่ี
พัฒนำขึ้น ระบบสำธำรณูปโภคมำกมำยในชุมชนไมไดสงเสริมใหชุมชนเกิดควำม
เขม แขง็ อยำงท่คี ิดไว แตก ลับเป็นปใจจัยบ่ันทอนควำมเขมแข็งและควำมยั่งยืนของ
ชุมชนไวกับกำรพัฒนำจำกภำยนอกและสังคมใหญมำกเกินไป เห็นไดจำกกำรดูด
ดึงทรัพยำกรในชุมชนทองถ่ินสูสังคมเมือง เชน กำรอพยพแรงงำนรุนหนุมสำว
และทรพั ยำกรธรรมชำติท่ีถูกลดิ รอนจำกคนภำยนอก33
ควำมจริงในเร่ืองท่ีมีกลุมชนจํำนวนมำกอำศัยอยูบนพ้ืนที่สูงในเขตภูเขำ
ภำคเหนอื และชำยแดนแถบตะวันตกของประเทศไทย และควำมรูท่ีมีกำรผลิตภำพ
ควำมเป็นชนเผำท่ีหลำกหลำยกระจัดกระจำยกัน มีควำมไมเป็นเอกภำพ ประกอบ
ไปดวยกลุมชนท่ีมีควำมเช่ือ วัฒนธรรม ประเพณี ภำษำและเครื่องแตงกำยท่ี
แตกตำงกัน ประกอบทำงกำรเกษตร มีควำมเป็นอยูที่ยำกจนขนแคน ดอยกำร
พฒั นำ ปลูกพืชเสพติด ทํำลำยปำุ และไมม ีสญั ชำติควำมเป็นไทย นำํ ไปสูควำมเช่ือ
ที่ทำํ ใหรัฐมองเห็นวำจะเป็นสำเหตุท่ีกอใหเกิดควำมไมมั่นคงในดำนสถำนภำพและ
สทิ ธิทพ่ี งึ มีพึงได อนั จะสง ผลกระทบตอควำมมัน่ คงของประเทศชำติในลํำดับตอไป
รัฐบำลจึงไดก ำํ หนดนโยบำยใหมีกำรผนวกรวมกลุมชนในพื้นที่สูงเขำเป็นสวนหน่ึง
ของกำรสรำ งรฐั ชำติไทย ดงั จะเหน็ ไดจำกมตคิ ณะรฐั มนตรี เมื่อวันท่ี 7 กุมภำพันธแ
พ.ศ. 2532 ท่ีมีหลักกำรมุงใหกลุมชนบนพ้ืนท่ีสูงไดรับอนุญำตใหอยูในประเทศ
ไทยอยำ งเป็นระเบียบ ไดรับกำรพัฒนำดำนเศรษฐกิจและสังคมในระดับที่เพียงพอ
แกควำมจํำเป็นพื้นฐำนเพ่ือเตรียมควำมพรอมสูระบบกำรปกครองและกำรพัฒนำ
ตอไป และจำกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันท่ี 11 กุมภำพันธแ พ.ศ.2535 ไดอนุมัติ
แผนแมบทเพอ่ื กำรพฒั นำชมุ ชน ส่ิงแวดลอ มและกำรควบคุมพชื เสพติดบนพื้นท่ีสูง
33 เพงิ่ แลว, หนำ 151-152.
-65-
เครือข่ายพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ิตของกลมุ่ ชาติพันธ์ุ
พ.ศ.2535 – 2539 ซ่ึงเป็นเครื่องมือสํำคัญสํำหรับกำรบริหำรของกระทรวง ทบวง
กรมตำงๆ นอกจำกนั้นในกำรดํำเนินงำนของรัฐ ไดมีคณะกรรมกำรดูแล
รับผิดชอบตำมลำํ ดับ ต้ังแตระดบั ชำติไดแก คณะกรรมกำรอํำนวยกำรแกไขปใญหำ
ควำมม่ันคงแหงชำติเก่ียวกับชำวเขำและกำรปลูกพืชเสพติด (อสข.) ระดับภำค
ไดแก คณะกรรมกำรศูนยแอํำนวยกำรประสำนงำนแกไขปใญหำชำวเขำและกํำจัด
กำรปลูกพืชเสพติด กองทัพภำคท่ี 3 (ศอ.ชข.ทภ.3) ระดับจังหวัดไดแก
คณะกรรมกำรชำวเขำจงั หวัด และระดบั อํำเภอไดแก คณะกรรมกำรชำวเขำอํำเภอ
นอกจำกนโยบำยกำรดํำเนินงำนดำนชำวเขำของภำครัฐแลว ภำพรวม
โดยทั่วไปนั้นชุมชนในพ้ืนท่ีสูง ซ่ึงเป็นสวนหน่ึงของกำรพัฒนำประเทศภำยใต
แผนพัฒนำเศรษฐกิจและสังคมแหงชำติทั้ง 8 ฉบับ ตลอดระยะเวลำรวม 3
ทศวรรษของกำรพัฒนำชำวเขำที่ผำนมำ หนวยงำนเป็นจํำนวนมำกท้ังภำครัฐและ
เอกชนไดเขำไปดํำเนินงำนดำนกำรพัฒนำชำวเขำ ไดเกิดควำมเปลี่ยนแปลงอยำง
มำกมำกหลำยดำน แมจะเกิดผลดีในบำงสวนจำกกำรไดรับควำมสะดวกสบำยใน
บริกำรข้ันพื้นฐำนจำกรัฐบริกำรมำกข้ึน เชน กำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำน กำรอนำมัย
สำธำรณสุข สำธำรณูปโภคข้ันพ้ืนฐำน ไฟฟูำ นํ้ำประปำ ในขณะเดียวกันก็สรำง
ควำมยุงยำกใหกับชุมชนชำวเขำหลำยดำน เชน กำรปรับเปล่ียนวิถีชีวิตใหเขำกับ
สงั คมใหญ ปรับเปล่ยี นวธิ กี ำรทำํ มำหำกนิ ชำวบำนไมสำมำรถดํำรงชีวิตอยำงเรียบ
งำยตอไปได จึงพบวำมีคนรุนใหมจํำนวนมำกไดกลำยเป็นแรงงำนอพยพเขำเมือง
เพื่อหำรำยไดชว ยเหลือครอบครัวและแสวงหำประสบกำรณแจำกสงั คมเมืองมำกขึน้
กองสงเครำะหแชำวเขำ กลำวถึงแนวโนมของปใญหำในอนำคตวำปใญหำกำร
อพยพแรงงำนชำวเขำ จำกผลของควำมเจริญทำงดำนเศรษฐกิจและสังคมที่
แพรกระจำยไปสูสังคมชำวเขำ และภำวะจํำกัดของทรัพยำกรธรรมชำติท่ีใชเป็น
ปใจจยั กำรผลติ ทำงกำรเกษตรบนพ้นื ท่ีสงู ทํำใหช ำวเขำบำงสวนเคล่ือนยำยลงมำหำ
งำนทํำในชุมชนเมือง ซ่ึงจำกกำรสํำรวจของกองสงเครำะหแชำวเขำ กรม
ประชำสงเครำะหแ เมื่อปี พ.ศ.2537 พบวำมีชำวเขำจํำนวน 28,261 คน อพยพ
เคล่ือนยำยแรงงำนอยำงเป็นระบบ ขำดกำรเตรียมพรอมท้ังดำนกำรปรับตัว กำร
รูจักสิทธิหนำที่ กำรขำดฝีมือแรงงำน จึงทํำใหถูกเอำรัดเอำเปรียบ ถูกลอลวงไป
ทํำงำนท่ีไมถูกตองตำมกฎหมำย และกอใหเกิดปใญหำสังคมแกชุมชนโดยรวม ท่ี
-66-
เครอื ขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชีวติ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์
สัมพันธแเชื่อมโยงกับปใญหำโรคเอดสแ ปใญหำโสเภณี ปใญหำกำรเสพและคำยำเสพ
ตดิ อยำงแยกไมออก
ตลอด 40 ปีท่ีผำนมำ คณะสงฆแไดกลำยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐใน
ลกั ษณะท่ีเป็นฝุำยตำมจนกลำวไดวำเปน็ สวนขยำยของรัฐ โดยไดทํำงำนตอบสนอง
นโยบำยของรัฐนำนำประกำร เร่ิมต้ังแตนโยบำยตอตำนคอมมิวนิสตแ คณะสงฆแได
กลำยเป็นกระบอกเสียงโจมตีคอมมิวนิสตแใหแกรัฐบำล ในอีกดำนหน่ึงก็เกิด
โครงกำรพระธรรมจำริก เพ่ือนํำชำวเขำใหเขำสูรมเงำพุทธศำสนำแทนที่จะไป
สมำทำนลัทธิดังกลำว34 กำรเผยแพรพุทธศำสนำแบบทำงกำรในชุมชนพ้ืนที่สูง
เร่ิมตนดวยกำรสรำงสํำนึกของควำมเป็นไทยโดยคณะสงฆแน้ี ยังดํำเนินกำรตอมำ
โดยมีจุดหมำยหลักคือใหชำวเขำหันมำสมำทำนพุทธศำสนำ แตลึกลงไปกวำนั้นก็
คือตองกำรกำรสรำงควำมสํำนึกในควำมเป็น “ไทย” เพรำะควำมเช่ือของทำงกำร
น้ันมีอยูวำควำมเป็นพุทธกับควำมเป็นไทยนั้นแยกจำกกันไมออก ตรำบใดที่
ชำวเขำยงั ไมไดนบั ถอื พทุ ธ ก็ยำกท่ีเขำจะสํำนึกตนวำเป็นคนไทย ดังน้ันจึงอำจกอ
ปใญหำควำมมั่นคงในชำติได คือเป็นเคร่ืองมือของ “ตำงชำติ” ซึ่งก็ไดแก
คอมมิวนิสตแน่ันเอง35 แตในปใจจุบันภัยจำกลัทธิคอมมิวนิสตแหมดลงแลว แตมีภัย
รูปแบบใหมมำกมำยที่คุกคำมตอชุมชนบนพ้ืนที่สูง ในขณะเดียวกับที่พระสงฆแ
ยังคงอำศัยอยูและเป็นที่พึ่งใหกับชุมชนที่มีลักษณะพลวัต กำรปรับตัวตอกระแส
กำรเปลีย่ นแปลงเป็นปใญหำสำํ คัญที่ทำ ทำยเหลำ พุทธบุตรทง้ั ในปใจจบุ นั และอนำคต
ดงั ไดกลำ วมำท้ังหมดนเี้ ปน็ ประเด็นแนวคิดและอรรถำธิบำยปรำกฏกำรณแที่
จะนํำไปสูกำรศึกษำทํำควำมเขำใจตอกระแสกำรเปล่ียนแปลงในชุมชนพื้นที่สูงให
ชดั เจนมำกยิ่งขนึ้ เพอื่ นำํ ผลกำรศึกษำน้ีไปสูกำรวำงแผนกำรพัฒนำที่สอดคลองกับ
กำรเปลี่ยนแปลงของชุมชน และกำรพัฒนำท่ีไมละเลยตอศักดิ์ศรี สิทธิและอัต
ลักษณแของชุมชนทส่ี ่งั สมสืบตอกันมำ และอีกประเด็นหน่ึงน้ันคือกำรสนับสนุนกำร
ปฏิบัติงำนของพระสงฆแใหมีประสิทธิภำพและประสิทธิผลย่ิงข้ึน ในฐำนะพระนัก
เผยแผและพระนกั พฒั นำทอ่ี ยูใกลชิดและเคียงขำ งชมุ ชนอยำงแทจรงิ
34 พระไพศำล วิสำโล, พุทธศำสนำไทยในอนำคต แนวโนมและทำงออกจำกวิกฤต, (กรุงเทพมหำนคร:
มลู นิธสิ ดศรี-สฤษด์ิวงศแ 2546), หนำ 87.
35 เพิ่งอำ ง, หนำ 70.
-67-
เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ
บทท่ี 5
กำรพฒั นำพืน้ ทสี่ งู
ของเครอื ขำ ยพระนกั พัฒนำ
-68-
เครอื ขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชีวติ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์
กำรดำํ เนนิ งำนดำ นสง่ิ แวดลอ มของเครือขำ ยพระนักพัฒนำบนพืน้ ทส่ี งู
แนวปฏิบัติและกระบวนกำรฟื้นฟูส่ิงแวดลอมของเครือขำยพระนักพัฒนำ
บนพ้ืนท่ีสูง : พื้นที่ตนแบบ อํำเภอฮอด อํำเภอแมแจม อํำเภอแมสะเรียง มีผล
กำรศกึ ษำ ดังน้ี
1. พ้ืนท่ีตนแบบในอํำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม คือ อำศรมพระบัณฑิต
อำสำพัฒนำชำวเขำบำนดอกแดง ตํำบลบอสลี สรำงเม่ือปี พ.ศ.2537 ทำงทิศใต
ของหมูบำน เดิมทีท่ีแหงนี้ชำวบำนไดชวยกันแพวถำงไวเป็นที่รับเสด็จพระรำชินี
แตเกิดพำยุพระองคแไมสำมำรถที่จะเสด็จลงไดใชเวลำถึง 2 คร้ัง ตอมำลุงวอแฮได
เขำไปทํำสวน พระมหำฐำนันดร เขมปโฺโญ,ดร. เห็นวำสถำนท่ีแหงน้ีควรสรำง
เป็นที่พักสงฆแและสรำงเป็นวัดในอนำคต จึงไดปรึกษำกับลุงวอแฮ ไตโถ และ
ชำวบำน เม่ือตกลงกันวันที่ 17 มีนำคม พ.ศ.2537 จึงไดมอบเงินใหนำยมำนะ
มอื แป ผใู หญบ ำ นลูกเขยลุงวอแฮ 11,000 บำท ใหเอำรถแทรกเตอรแมำปรับพ้ืนที่
ประมำณ 2 ไร ทำํ ถนนขนึ้ ไปและไดกํำหนดรอบๆ เขำเป็นแนวเขตของที่พักสงฆแ
คือทศิ เหนอื และทศิ ตะวันตกติดถนนเขำหมูบำน ทิศตะวันออกติดสวนชำวบำน ทิศ
ใตดำนหน่ึงติดถนนเขำหมูบำนอีกดำนหน่ึงติดปุำบริเวณรอบ ๆ เขำ มีเน้ือท่ี
ประมำณ 100 ไร เมอ่ื กำํ หนดเขตแลว กไ็ ดพัฒนำตำมลำํ ดบั ชำวบำนท่ีเป็นกํำลังใน
กำรสรำงคือ นำยสุรพล ครองเชิดชู นำยสิทธิพล (ซิปิ) จํำปีศรีโสภำ นำยวอแฮ
ธํำรงพนำ และนำยใหม บงกชศรีจินดำ ปใจจุบันมีเสนำสนะที่จํำเป็นคือศำลำ
บำํ เพ็ญบุญขนำดใหญ 1 หลงั กฏุ ิ 7 หลัง หองนํ้ำ 2 หลัง และโรงครัวท่ียัง
กอ สรำงไมเ สรจ็ 1 หลงั และมีสถำนวี ทิ ยใุ นกำรเผยแผธรรมะ
อำศรมบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ บำนแมลอง ตํำบลบำนทับ อํำเภอแม
แจม จังหวัดเชียงใหม บำนแมลอง หมูที่ 3 ตํำบลบำนทับ อํำเภอแมแจม
จังหวัดเชียงใหม เป็นหมูบำนชำวเขำเผำกะเหรี่ยงตั้งประมำณ 80 ปี อพยพมำ
จำกบริเวณใกลเคียงเนื่องจำกเกิดโรคระบำด โดยมีผูนํำหรือหัวหนำเผำที่นับถือ
(หมอผ)ี ของชำวบำนเป็นผูกอตั้งหมูบำน กำรตั้งหมูบำนมีกำรต้ังชื่อหมูบำนตำม
ชื่อลํำหวยแมลองไหลผำนหรือตำมภูเขำที่ใกลเคียง ผูใหญบำนคนแรกคือ นำย
สมบูรณแ กลงจันทรแ ซ่ึงเป็น คนพ้ืนรำบที่ทำงอํำเภอแมแจมเป็นผูแตงต้ังขึ้น
เนื่องจำกประชำชนบำนแมลองไมรูหนังสือ ตอมำเม่ือปี พ.ศ.2527 ทำงกอง
-69-
เครอื ข่ายพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุม่ ชาตพิ นั ธ์ุ
กำํ กับกำรตํำรวจตระเวนชำยแดนท่ี 33 ไดจ ัดตั้งโรงเรยี นตำํ รวจตระเวนชำยแดนได
เปิดทํำกำรสอนชั้นประถมศึกษำปีท่ี 1 – 6 ประชำชนพอที่จะมีควำมรูและมี
ควำมสำมำรถที่จะปกครองเป็นผูนํำได จึงมีกำรเลือกต้ังผูใหญบำนข้ึนมำใหม คือ
นำยกิตติ (อินตำ) ช่ืนสุขเลิศเกษม จนถึงปใจจุบัน และในปใจจุบันนี้ ไดดํำรง
ตำํ แหนง เปน็ กํำนนั ตํำบลบำนทบั ไดป กครองในตํำบลบำนทับท้ังหมดรวมแลวมี 13
หมูบำน รวมถึงหมูบำนแมลองดวยประกอบไปดวย 2 หยอมบำน คือ บำนแม
ลองเหนอื และบำ นแมล องใต
อำศรมบำนพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำบำนแมลอง กอต้ังในปี พ.ศ.
2553 โดยกำรนํำของคณะมูลนิธิพิทักษแประชำชำติรวมกับวิศวกรรม
มหำวิทยำลัยเชียงใหมคณะครูโรงเรียนตํำรวจตระเวนชำยแดนที่ 33 บำนแมลอง
ตลอดจนประชำชนบำนแมลอง เพ่ือดํำเนินกำรสรำงศำสนสถำนพระพุทธศำสนำ
(สํำนักสงฆแ) ซึ่งมีวัตถุประสงคแ คือ เป็นศำสนพิธีที่ประกอบกิจกรรมทำง
พระพุทธศำสนำและเป็นศูนยแกลำงทำงดำนจิตใจของพุทธศำสนิกชนชำวบำนแม
ลองและหมูบำนใกลเคียง ทั้งนี้ชำวบำนโดยสวนมำกใหกำรสนับสนุนในกำรสรำง
บำนแมลองมีอำณำเขตดังนี้ทิศเหนือ ติดกับหมูบำนขุนปอน/หวยวอก ทิศใต ติด
กับหมูบำ นข้กี ระตำย/ทุงแก/สันขนุน ทิศตะวันออก ติดกับศูนยแพัฒนำเด็กเล็กบำน
แมลองและปุำชุมชน ทิศตะวันตก ติดกับหนวยจัดกำรตนนํ้ำแมลอง จึงจัดหำ
สถำนท่ใี นกำรกอ สรำงเสร็จในเดือนตุลำคม พ.ศ. 2553 กำรกอสรำงอำศรมจึงตอง
สรำงกฏุ ขิ ึ้นมำ 1 หลัง และหองน้ํำหองสุขำจํำนวน 1 หลัง โดยกำรสนับสนุนของ
มูลนิธิพิทักษแประขำชำติรวมกับโรงเรียนตํำรวจตระเวนชำยแดนบำนแมลองและ
ชำวบำ นแมลอง ตอมำทำงคณะครโู รงเรยี นตํำรวจตระเวนชำยแดนบำนแมลองและ
ทำงมูลนิธิพิทักษแประชำชำติไดทํำหนังสือขอพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ กับ
ทำงโครงกำรพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ มหำวิทยำมหำจุฬำลงกรณรำช
วิทยำลัย วิทยำเขตเชียงใหม วัดสวนดอก มำจํำพรรษำและมำปฏิบัติศำสนกิจซ่ึง
ตอนนั้นไดม ี พระไพวัลยแ สุจติ โต ซ่ึงเปน็ พระบัณฑิตอำสำฯ รูปแรกและมีพระภิกษุ
สำมเณรจำกวัดศรีโสดำจํำนวน 2 รูป ซึ่งเป็นพระธรรมจำริกไดมำจํำพรรษำ ในปี
พ.ศ. 2553 ตอมำไดมี พระสมหวัง ผลญำโณ พระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ
รูปทสี่ อง เปน็ ผกู อต้งั บุกเบิกและพัฒนำ ซ่งึ เปน็ พระบัณฑติ อำสำพฒั นำชำวเขำ รูป
สองมำปฏิบัติศำสนกิจ และตอมำทำงคณะครูโรงเรียนตํำรวจตระเวนชำยแดนบำน
-70-
เครือข่ายพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลุม่ ชาติพนั ธ์ุ
แมลอง ไดมอบที่ดินซ่ึงเป็นศูนยแเด็กเล็กเป็นที่วำงเปลำ เพรำะไดเอำเด็กเล็ก
ทั้งหมดยำยไปทํำกำรสอนท่ีโรงเรียน และตอมำทำงโรงเรียนไดมอบที่ดินไวใหกับ
ทำงอำศรม ทำงอำศรมจึงบรู ณะใหมจ งึ ทำํ อำคำรเป็นพื้นท่ีศำลำบํำเพ็ญบุญ 1 หลัง
หองนํ้ำ 1 หลัง มีหองอำบน้ํำ 1 หอง หองสุขำ 2 หอง และตอมำในปี พ.ศ.
2555 ไดทํำกำรกอสรำงกุฏิขึ้นมำอีกสองหลังพรอมทั้งไดกอสรำงศำลำไวสํำหรับ
เก็บของใชในชุมชนอีกจํำนวนหนึ่งหลังและโรงครัว (หอฉัน) ช่ัวครำวอีกจํำนวน
หน่ึงหลัง ตอ มำในปี พ.ศ. 2556 ไดท ำํ กำรกอสรำงซุมปูำยอำศรมและบูรณะศำลำ
บำํ เพ็ญบุญโดยไดปูพื้นดวยกระเบื้องและตอมำปี พ.ศ. 2557 ไดสรำงหองนํ้ำเพิ่ม
อีกหนึ่งหลัง มี 4 หองเพ่ือไวรองรับศรัทธำญำติโยมที่มำรวมทํำบุญและสรำงเสร็จ
เปน็ ที่เรียบรอย ปี พ.ศ. 2558 ไดบูรณะศำลำบํำเพ็ญบุญอำศรมบำนแมลองแหงที่
สองโดยซอมแซมโดยกำรปูพื้นดวยกระเบ้ืองและในปี พ.ศ. 2559 ไดทํำกำร
กอสรำงกํำแพงและทํำประตูเหล็ก ปี พ.ศ. 2560 สรำงหองสรงน้ํำ(หองอำบนํ้ำ)
และหอฉนั (โรงครัว) ปี พ.ศ. 2561 ทํำรองน้ำํ หนำอำศรมและหนำโรงเรียน พ้ืนที่
ประมำณประมำณ 5 ไรก วำๆ (เขำหน่งึ ลูก)
อำศรมพระธรรมจำริกบำนแมตูม ตํำบลปำงหินฝน อํำเภอแมแจม จังหวัด
เชียงใหม บำนแมตูม ต้ังอยูหมูท่ี 5 ตํำบลปำงหินฝน อํำเภอแมแจม จังหวัด
เชียงใหม มีลํำนํ้ำแมตูมและลํำน้ํำแมศึกเป็นแมน้ํำสำยสํำคัญท่ีไหลผำนตํำบลทำง
ทิศใตและเหนือตำมลำํ ดับ ซึ่งบำนแมต ูมเป็นตนนำํ้ ของลํำน้ำํ ทสี่ ำํ คัญท้งั สองสำย มี
นํ้ำไหลผำนตลอดท้ังปี และมีลํำหวยที่ใชบริโภค แตมักจะประสบปใญหำกำรขำด
แคลนนํำ้ ในฤดูแลง เนือ่ งจำกนํำ้ มปี รมิ ำณนอ ยและไมมีท่กี ักเก็บพนื้ ทีโ่ ดยทัว่ ไปเป็น
ภูเขำและหุบเขำ มีควำมลำดชันของภูเขำ สูงกวำระดับน้ํำทะเล 800 – 1,000
เมตรโดยประมำณ และเป็นพ้ืนที่ภูเขำประมำณ รอยละ 90 ของพื้นท่ีทั้งหมด ปุำ
ไมยังมีควำมอุดมสมบูรณแมำกและเป็นตนนํ้ำท่ีสํำคัญของอํำเภอและจังหวัด แร
ธรรมชำตเิ คยมกี ำรสำํ รวจและใหสมั ปทำนแตใ นปจใ จบุ ันไดย กเลกิ ไปแลว
อำศรมบำนแมข้ีมูกนอย ตํำบลบำนทับ อํำเภอแมแจม จังหวัดเชียงใหม
บำนแมขี้มูกนอยเป็นหมูบำนที่ตั้งอยูบริเวณเนินเขำในพื้นที่ตํำบลบำนทับ อํำเภอ
แมแจม จังหวัดเชียงใหม ซึ่งแตเดิมเป็นหยอมบำนของบำนสองธำร (แมข้ีมูก)
ตอ มำในปี พ.ศ.2543 ไดแยก ออกมำเป็นหมูท่ี 13 หมูบำนแมขี้มูกนอยกอตั้งมำ
100 กวำปีมำแลว บริเวณท่ีตั้งมีสภำพเป็นเนินเขำ โดยมีกำรสรำงท่ีอยูอำศัย
-71-
เครือขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลุม่ ชาติพนั ธ์ุ
ลดหล่ันไปตำมไหลเขำ ซ่ึงสมัยกอนบริเวณน้ีเป็นบริเวณท่ีคอนขำงอุดมสมบูรณแ
ชำวบำนจึงยำยมำต้ังถิ่นฐำนบริเวณน้ี เริ่มแรกน้ันมีเพียง 10 หลัง โดยผูท่ีมำต้ัง
บำนเรอื นเปน็ คนแรกคอื นำยกอวิละ ซงึ่ ไดอ ำศัยอยทู บ่ี ำนหวยวอก ตํำบลบำนทับ
อำํ เภอแมแ จม จ.เชียงใหม หำงจำกกนั ประมำณ 5 กิโลเมตร จำกนั้นญำติพ่ีนองก็
ไดอ พยพยำ ยตำมกันมำต้ังบำนเรือนเพิ่มขึ้นจึงเกิด เป็นหมูบำนในเวลำตอมำ จำก
กำรที่ในสมัยนั้นบริเวณหมูบำนมีพ้ืนท่ี ๆ หน่ึงมีสภำพโลงเตียน ชำวบำนจึงเรียก
หมูบำนน้ีวำ ตำลอโปโกละ (ภำษำกะเหร่ียง) แตเนื่องจำกมีหวยขี้มูกนอยอยูใกล
หมูบำน ชำวบำนจึงเรียกชื่อหมูบำนนี้วำ “บำนแมข้ีมูกนอย” บำนแมข้ีมูกนอยมี
แหลง ตนนำ้ํ อยแู หลงเดียว คือ หวยแม ข้มี ูกนอยซ่ึงเป็นแหลง นํำ้ ทีช่ ำวบำนใชใน
กำรอุปโภคบริโภคและยังสำมำรถใชในกำรเกษตรไดอีกดวย ประชำกรสวนใหญยัง
ยดึ อำชพี ทำํ ไรข ำว และปลูกขำวโพดเล้ียงสัตวแเป็นหลัก อำชีพแตเดิมนั้นชำวบำน
แมขี้มูกนอยประกอบอำชีพเพียงกำรทํำไรทํำนำเทำน้ัน ตอมำเม่ือประมำณสิบกวำ
ปีมีกำรขยำยตัวของกำรปลูกขำวโพดเลี้ยงสัตวแ มีวิธีกำรปลูกที่งำยไมตองดูแลมำก
ทํำใหชำวบำนเร่ิมหันมำปลูกขำวโพดเลี้ยงสัตวแมำกข้ึนเพื่อหำรำยไดเพ่ิม จำกน้ัน
เม่ือไมก่ีปีที่ผำนมำก็มำกำรนํำหอมแดงมำปลูกเพิ่มในพ้ืนท่ีบำนแมขี้มูกนอย ซ่ึงมี
รำคำคอนขำงดี ทํำใหฐำนะทำงเศรษฐกิจของหมูบำนจัดอยูในระดับปำนกลำง
(เปรียบเทียบกับหมูบำนอื่นในตํำบลบำนทับ) ซ่ึงปใจจุบันนี้ระบบกำรผลิตของ
หมูบำนแมข้ีมูกนอยสวนใหญมีกำรทํำไรแบบกึ่งถำวร ไมใชไรหมุนเหมือน
สมัยกอนท่ีจะมกี ำรหมุนเวียนระหวำ ง 5 - 6 ปี ซ่ึงจะไมสงผลกระทบตอธรรมชำติ
แหลงนํ้ำ รวมท้ังกำรขยำยตัวของกำรปลูกพืชเชิงเดียวมีขำวโพดกับหอมแดง ทํำ
ใหชำวบำนมีกำรถำงปุำเพ่ือปลูกพืชเชิงเด่ียว เม่ือเก็บเกี่ยวมีกำรเผำเพื่อเตรียม
พ้ืนที่ ปลูกใหม ใสปุยเคมีแลวลงขำวโพด ทํำเชนน้ีจนเม่ือแรธำตุในดินหมดไป
ชำวบำนก็ยิ่งใชปุยเคมี เมื่อที่ดินผืนนั้น เริ่มใหผลผลิตไมมำกพอ ก็จะถำงปุำท่ีอื่น
แลวทํำซำ้ํ เปน็ วัฏจักร และยังสงผลกระทบตอ ระบบนํำ้ สภำพดนิ สภำพปำุ อีกดวย
สภำพปใญหำส่ิงแวดลอมภำยในชุมชน จำกกำรที่ไดอยูสัมภำษณแพระ
บัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ และแกนนํำชำวบำนในพ้ืนที่บำนแมข้ีมูกนอย พอจะ
สรุปประเดน็ ปใญหำตำง ๆ ทีเ่ กิดขน้ึ ในชุมชนไดด งั นี้ ปญใ หำกำรขำดแคลนนํ้ำเป็น
ปใญหำท่ีเกิดขึ้นมำนำน เน่ืองจำกกำรขำดกำรจัดกำรที่ดี พ้ืนที่บำนแมข้ีมูกนอยมี
ควำมสมบูรณแพอสมควรเนื่องจำกเป็นปุำตนนํ้ำ แมมีกำรขุดสระนํ้ำเพ่ือสงน้ํำใหกับ
-72-
เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ิตของกล่มุ ชาตพิ ันธุ์
คนในชุมชน แตในชวงเดือนเมษำยนชำวบำนก็ยังขำดนํ้ำ ตองมีกำรเปิดปิดนํ้ำใน
เวลำเชำและเย็นเพ่ือแกปใญหำเฉพำะหนำ แตครัวเรือนท่ีอยูทำยหมูบำนก็ยังขำด
นํ้ำอยูดี ปใญหำกำรขำดแคลนน้ํำ จึงเป็นปใญหำที่ตองมีกำรแกไขใหยั่งยืนและตรง
จดุ เชนควรมีกำรปลูกตนกลวยใหมำกขึ้นในบริเวณปุำ ตนนํ้ำ เป็นตน และปใญหำ
กำรตดั ไมและกำรบุกรุกปุำ เน่ืองหมูบำนแมข้ีมูกนอยมีอำณำเขตท่ีติดกับปุำตนน้ํำ
ซ่ึงตองอนุรักษแไวแตก็มีชำวบำน บำงสวนที่ยังรุกปุำตนนํ้ำเพ่ือทํำกำรเพำะปลูก
และมีบำงคนท่ีเขำไปตัดไมในบริเวณใกลกับปุำตนนํ้ำ ซึ่งกำรตัดไมและกำรบุกรุก
ปำุ ในบรเิ วณใกลกบั ปำุ ตน นํ้ำน้ัน ยอมสง ผลกระทบตอระบบนิเวศนแโดยตรง และยัง
สงผลกระทบตอ ควำมมัน่ คงของลูกหลำนอีกดวย
อำศรมพระบัณฑติ อำสำพัฒนำชำวเขำบำนหวยผักกูด ตํำบลแมศึก อํำเภอ
แมแจม จังหวัดเชียงใหม บำนหวยผักกูด ตํำบลแมศึก อํำเภอแมแจม จังหวัด
เชียงใหม ซึ่งกอตั้งมำเม่ือ ปี พ.ศ. 2000 บำนหวยผักกูดเป็นหมูบำนชำวเขำเผำ
กะเหร่ียงปะกำกะญอ เดิมช่ือหมูบำน คือ หวยพระกู เวลำคนตำงถิ่นถำมชำวบำน
วำ บำนผักหวยกูด เมื่อสมัยกอนพ้ืนที่ปุำบำนหวยผักกูดมีจํำนวนชำงปุำมำกมำย
ชำวบำนเล้ียงชำงท่ีขึ้นทะเบียนกวำ 60 เชือก จึงมีกำรนํำชำงออกรับจำงตำม
สถำนท่ีทองเที่ยว และรีสอรแต รวมถึงตำมปำงชำง กระจำยไปในที่ตำง ๆ ท้ัง
จังหวัดเชียงใหมและในจังหวัดใกลเคียงเพ่ือรองรับอุตสำหกรรมกำรทองเท่ียว จน
ปจใ จุบนั เหลือชำ งอยูในหมูบำ น 9 เชือก (ลกู ชำง 3 ตวั )
อำศรมบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำบำนแมลิดปุำแก ตํำบลแมเหำะ อํำเภอ
แมส ะเรียง จงั หวัดแมฮองสอน บำนแมลิดปุำแก ต้ังอยูหมูที่ 1 ต.แมเหำะ อํำเภอ
แมสะเรียง จังหวัดแมฮองสอน เป็นชุมชนบนพ้ืนท่ีรำบสูงหรือชำวไทยภูเขำเผำ
กะเหร่ียงโดยมีชื่อเรียกเป็นภำษำปำเกอะญอวำ“เบำะเด”แปลวำปุำแก เม่ือ
ประมำณ 100 ปีไดแยกมำจำกบำนสลี มีจํำนวน 6 ครอบครัวคือครอบครัวนำยเป
คอื ,นำยเปอะนำ,นำยคือคู,นำยชำว,ู นำยชอเลโด,และครอบครัวนำยผำปลำ ตอมำก็
มจี ำํ นวนคนยำยมำเพ่ิมข้ึนอีก มีอำณำเขตตดิ ตอ กนั ดงั นี้ ทิศเหนือติดตอกับบำนแม
ลิดนอย ทิศตะวันตกติดตอกับบำนสลีทิศใตติดตอกับบำนแมลำยและบำนปำงชำง
ทิศตะวันออกติดตอกับบำนแมลิดหลวง ไมมีโรงเรียนประจํำหมูบำนเด็กตอ ง
เดินทำงไปเรียนท่ีโรงเรียนบำนแมลิดหลวงหำงจำกหมูบำนประมำณ 3 กิโลเมตร
เป็นโรงเรียนมัธยม มีนักเรียน 270 คน และโรงเรียนบำนสุดหวยนำ อยูหำงจำก
-73-
เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชีวิตของกลมุ่ ชาตพิ ันธุ์
หมูบำนประมำณ 6 กิโลเมตร เป็นโรงเรียนประถมมีนักเรียนประมำณ 70 คน
ชำวบำน มีอำชีพทํำไร ทํำนำและทํำสวนเชนกำรปลูกกำแฟ กะหล่ํำ ปลี มะเขือ
เทศ ลิ้นจ่ี และพืชผักสวนครัว บำนแมลิดปุำแกมีเสนทำงคมนำคมเขำสูหมูบำน
สองจุดดวย กันคือ 1 .เสนทำงจำกเชียงใหม ฮอด แมสะเรียง ถึงสะพำนหวยแม
ลิดเลี้ยวขวำเขำไปประมำณ 15 กิโลเมตร 2.เสนทำงจำกเชียงใหม ฮอด แมสะ
เรียง ถึงปูอมจุดตรวจ ต.แมเหำะเลยไป 500 เมตรเลี้ยวขวำ เขำมำประมำณ 10
กิโลเมตร และหำงจำกอํำเภอแมสะเรียงประมำณ 30 กิโลเมตร ปใจจุบันมีผูนํำใน
หมูบำนคือ นำยบุญเอง ปองบุญเกษม ผูใหญบำนแมลิดปุำแกหมูที่ 1 นำยพะ
เหลโพ ขจรไพรพฤกษแ นำยประหยัด บะหลำน เป็นผูนํำประเพณี นำยวิทยำ
ปองพรศักดิ์ เป็นสมำชิก อบต. หมู 1 และนำงสำวอุษำ ปองปใญญำสุนทร ครู
สอนศนู ยแเด็กเล็กบำนแมล ิดปุำแก
อำศรมบำนแมลิดปุำแก กอตั้งเม่ือประมำณปี พ.ศ.2537 ชำวบำนไดรับ
ควำมเมตตำจำกทำนเจำอำวำสวัดดอยเกิ้ง ไดมำเผยแพรพระพุทธศำสนำแก
ชำวบำ นจนสำมำรถสรำ งสํำนักสงฆแบำนแมลิดปุำแกขึ้นและสงพระขึ้นไปจํำพรรษำ
และปฏบิ ตั ิศำสนกิจ ปี 2546 ไมม พี ระขึน้ ไปจํำพรรษำอยู ชวงปพี .ศ. 2547 ทำง
โครงพระบณั ฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ ไดสงพระอำจำรยแดํำรง ธีรวโรข้ึนไปอยู จึง
ไดเปล่ียนชื่อจำกสํำนักสงฆแบำนแมลิดปุำแก เป็นอำศรมพระบัณฑิตอำสำพัฒนำ
ชำวเขำ มีเสนำสนะสํำคัญไดแก ศำลำบํำเพ็ญบุญ 1 หลัง กุฏิ 2 หลัง
หองนํ้ำ 1 หลัง จํำนวน 3 หอง โรงครัว 1 หลัง หองนํ้ำ และศำลำพระ
เจำทันใจ 1 หลัง ปใจจุบันมีพระอธิกำรพิเดช จนฺทวณฺโณ พระบัณฑิตอำสำ
พัฒนำชำวเขำประจํำอำศรม
อำศรมบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ บำนแมสวรรคแหลวง ตํำบลแมเหำะ
อํำเภอแมสะเรียง จังหวัดแมฮองสอน บำนแมสวรรคแหลวงตั้งอยูหมูท่ี 3 ต.แม
เหำะ อ.แมสะเรียง จ.แมฮองสอน ต้ังเม่ือประมำณ 300 ปีมีนำยกอแกว
นำยทุยตือ นำยเนโพ ดูแลปกครอง นำยกอแกวเป็นผูนํำที่มีควำมกลำหำญไดนํำ
ชำวบำนไปรวมกับหมูบำนแมสำมแลบ รบกับพมำท่ีมำรุกรำนใชอำวุธปืนเพียง 1
กระบอกสำมำรถเอำชนะพมำได ขณะนั้นมีประชำกรประมำณ 190 คน มี
จํำนวน 60 ครอบครัว ตอมำเกิดโรคระบำดข้ึนตองอพยพออกไปต้ังหมูบำนอยูท่ี
อ่นื บำ นแมส วรรคแหลวงมีทรัพยำกรธรรมชำติ ที่อดุ มสมบูรณแ มีแหลงน้ํำสํำคัญคือ
-74-
เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพนั ธุ์
ลํำหวยแมสวรรคแหลวง และสัตวแปุำหลำยชนิดอำศัยอยูทั้งนกและชะนีท่ีเป็นสัตวแ
ประจำํ ถ่นิ ไมมีกำรฆำและทํำรำยจำกคนในหมูบำน ดำนทิศเหนือติดบำนสะลี ทิศ
ตะวันออกติดบำนแมลิดปุำแก ทิศใตติดบำนแมสวรรคแนอย ตํำบลแมเหำะ ทิศ
ตะวันตกติดหวยเดื่อ ตำํ บลปำุ แปุ อํำเภอแมส ระเรียง ชำวบำนประกอบอำชีพกสิกร
รมพืชเชิงเดี่ยวท้ังกำรปลูกกะหล่ํำปลี ถั่วแดง พริก ทํำไรขำว ทํำนำ และเลี้ยง
ปศสุ ตั วแ ควำมเชื่อทำงศำสนำ เชือ่ ทั้งในเรื่องผีผสมพุทธ และคริสตแ
อำศรมบำ นแมส วรรคหแ ลวง ตง้ั ขึน้ เมือ่ พ.ศ.2548 ชำวบำนไดประสำนพระ
ดํำรง ธีรวโร พระบัณฑิตอำสำอำศรมบำนแมลิดปุำแก ทำนไดประสำนไปยัง
โครงกำรพระบณั ฑติ อำสำ ทำงโครงกำรไดสง พระพิเชษฐแ ปภสสฺ รจิตโฺ ต มำเป็นพระ
บัณฑิตอำสำใชพื้นที่ปุำชำเกำใกลโรงเรียน 12 ไร ต้ังอำศรม ไดสรำงเสนำสนะ
ช่ัวครำวหลังจำกนั้นก็ไดสงพระบัณฑิตอำสำเขำมำประจํำอยำงตอเนื่องปใจจุบันมี
เสนำสนะ คือศำลำบํำเพ็ญบุญ 1 หลัง หองนํ้ำ 2 หอง 1 หลังและกุฏิไม 1 หลัง
โรงครัวขนำดเล็กทย่ี ังไมมนั่ คงนกั 1 หลัง ปจใ จุบนั มี พระครูวสิ ิฐเจติยำภิบำล เป็น
พระบัณฑติ อำสำ
จำกผลกำรกำรดํำเนินงำนดำนส่ิงแวดลอมบนพ้ืนที่สูง ในพ้ืนที่ตนแบบ
อํำเภอฮอด อํำเภอแมแจม อํำเภอแมสะเรียงของพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำ
ชำวบำ น และแกนนำํ ชุมชนเก่ียวกับสถำนกำรณแปใญหำดำนสิ่งแวดลอมบนพ้ืนท่ีสูง
ในพื้นที่ตนแบบ อํำเภอฮอด อํำเภอแมแจม อํำเภอแมสะเรียง สำมำรถสรุปไดวำ
ปญใ หำบนพ้ืนทีส่ ูงทส่ี ง ผลกระทบตอ สิ่งแวดลอ ม ดงั นี้
1. ประชำกรบนพ้ืนที่สูงท่ัวไปมีสภำพยำกจน ชำวบำนสวนใหญมีอำชีพ
เกษตรกรท่ัวไป มีรำยไดเฉล่ียเพียงปีละ 31,126 บำทตอครัวเรือน ซึ่งตํ่ำกวำ
คำ เฉลยี่ รำยไดของเกษตรกรในภำคเหนือกวำเทำตัว (69,373 บำทตอครัวเรือนตอ
ปี) สำเหตุสํำคัญเกิดจำกเกษตรกรสรำงผลผลิตไดนอย ตนทุนกำรผลิตสูง ในขณะ
ท่ีรำคำผลผลิตคอนขำงต่ํำและคอนขำงผันผวน นอกจำกนี้เกษตรกรยังมีชองทำง
กำรตลำดนอย และไมม ีโอกำส สรำ งรำยไดนอกภำคกำรเกษตรเทำทค่ี วร
2. มีระบบกำรผลิตท่ีใชสำรเคมีเกษตรอยำงไมเหมำะสม ทํำใหเกิดกำร
ปนเป้ือนของสำรเคมี เกษตร เกิดกำรตกคำงท้ังในผลผลิตและในส่ิงแวดลอมท้ังดิน
และนํ้ำ สำเหตุสวนใหญเน่ืองมำจำกเกษตรกรบนพ้ืนที่สูงยังขำดควำมรูและทักษะ
-75-
เครอื ข่ายพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ติ ของกล่มุ ชาตพิ ันธุ์
ในกำรเพำะปลูกที่เหมำะสม และสงผลกระทบตอระบบทรัพยำกรนํ้ำและผูท่ีอยู
อำศัยบนพน้ื รำบดวย
3. พื้นที่ทํำกินเสื่อมโทรม พ้ืนท่ีทํำกำรเกษตรบนพ้ืนท่ีสูงสวนใหญมี
ลักษณะเป็นพ้ืนท่ีที่มีควำมลำดเทมำก ทํำใหเกิดปใญหำกำรชะลำงพังทลำยหนำดิน
โดยเฉพำะในระบบกำรทํำกำรเกษตรแบบตัดและเผำ ที่เปิดหนำดินโลงรับแรง
ปะทะกับเมด็ ฝนโดยตรง และไมมีระบบชะลอกำร ไหลของนํ้ำฝนท่ีไหลบำไปตำม
ควำมลำดชัน หนำดินท่ีถูกชะลำงไปทุกปีทํำใหพื้นท่ีเกษตรเหลือแตดินชั้นลำงท่ีมี
ควำมอุดมสมบูรณแตํ่ำ ขำดองคแควำมรูดำนกำรจัดระบบอนุรักษแดิน รวมถึงขำดกำร
ฟื้นฟูปำุ และกำรอนุรักษแปำุ (ปำุ ตนนํ้ำ ปุำชุมชน )
4. ปใญหำกำรบุกรุกเพื่อหำพื้นท่ีทํำกินใหม สำเหตุเกิดจำกกำรที่ผลผลิตตอ
พื้นที่ต่ํำ ขำว และอำหำรท่ีผลิตไดไมเพียงพอตอกำรบริโภค หรือผลผลิตที่ไดไม
พอสํำหรับขำยเป็นรำยไดเลี้ยงครอบครัว จึงตอง เพิ่มผลผลิตโดยกำรเพิ่มพ้ืนที่
ปลูก นอกจำกนี้ยังเกิดจำกกำรเพ่ิมข้ึนของประชำกรในครัวเรือน กำรอพยพเขำมำ
ของ ประชำกรจำกนอกประเทศและจำกพ้ืนรำบของประเทศไทย ทํำใหเกิดกำรบุก
รกุ พนื้ ทป่ี ำุ เพ่มิ มำกข้ึน
5. ปญใ หำกำรขำดแคลนนํ้ำ สถำนกำรณแภัยแลงเกิดข้ึนเห็นไดอยำงชัดเจน
ในชวง 10 ปีท่ีผำนมำกอใหเกิดผลกระทบตอกำรดํำรงชีวิตของประชำชน
โดยเฉพำะชำวบำนบนพืน้ ท่ีสูงซึ่งประกอบอำชีพหลัก คือเกษตรกรรม ภำวะภัยแลง
ดังกลำว จะเกิดข้ึนเป็นสองชวงคือ ชวงฤดูหนำวตอเน่ืองถึงฤดูรอน ปลำยเดือน
ตลุ ำคม เปน็ ตนไปจะมีปริมำณฝนลดลง และชว งทส่ี องคอื ชวงกลำงฤดูฝนประมำณ
ปลำยเดือนมิถุนำยนถึงเดือนกรกฎำคมจะมีฝนท้ิงชวง ทํำใหเกิดกำรขำดแคลนน้ํำ
เพือ่ กำรอุปโภคบริโภคและขำดแคลนน้ํำเพ่ือทํำกำรเกษตร ขำดองคแควำมรูดำนกำร
จดั ระบบอนุรกั ษนแ ้ํำ
6. ปใญหำหมอกควันจำกกำรเตรียมแปลงเกษตร ดวยชำวบำนในพ้ืนท่ีมี
กำรถำงปุำเพื่อทํำไร ขำวไร ขำวโพด และกํำจัดขยะดวยกำรเผำถือเป็นปใญหำ
สํำคัญท่ีเกิดข้ึนเป็นประจํำทุกปี สงผลกระทบตอสุขภำพอนำมัยของประชำชนท้ัง
ในพื้นท่ี และกระทบตอ ประชำชนในวงกวำง เป็นอยำงมำก รวมทั้งยังสงผลเสียตอ
กำรทํำอำชีพกำรเกษตรโดยตรง ทํำใหดินเสื่อมโทรม เกิดกำรชะลำงพังทลำยของ
หนำดินทํำใหเกิดดินสไลดแคุณภำพดินลดลงขำดควำมอุดมสมบูรณแ เกษตรกร
-76-
เครือขา่ ยพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลุ่มชาติพนั ธุ์
จะตองใชปุยมำกขึ้นในกำรบํำรุงตนพืช มีกำรใชสำรเคมีกํำจัด วัชพืชในกำร
เพำะปลกู พชื เพ่ิมมำกขึน้ สง ผลใหตนทุนกำรผลิตสูงข้ึน ในขณะท่ีไดผลผลิตต่ํำกวำ
ทคี่ วรจะเปน็
กำรดํำเนินงำนดำนกำรฟ้ืนฟูส่ิงแวดลอมของพระบัณฑิตอำสำพัฒนำ
ชำวเขำในพ้ืนที่ตนแบบอํำเภอฮอด อํำเภอแมแจม อํำเภอแมสะเรียง จึงตอง
คํำนึงถึงกำรแกไขปใญหำเพ่ือกำรฟื้นฟูส่ิงแวดลอมแบบบูรณำกำร ท้ังควำมรวมมือ
จำกเครือขำยที่เกี่ยวเป็นภำคีพัฒนำรวมแลวยังตองดํำเนินงำนเพ่ือแกไขปใญหำใน
ทุกมิติอันสงผลตอกำรไมเบียดเบียนบุกรุกทรัพยำกรธรรมชำติละสิ่งแวดลอม ตอง
คํำนงึ ถึงควำมละเอียดออนของปใญหำ พยำยำมสรำงควำมสมดุลของกำรพัฒนำทั้ง
ทำงดำนเศรษฐกิจ สังคม คำนิยมและกำรอนุรักษแทรัพยำกรธรรมชำติไปพรอม ๆ
กัน เนนกำรบริโภคเศรษฐกิจจำกกำรใชทรัพยำกร ธรรมชำติอยำงเหมำะสม เพื่อ
สรำงสังคมควำมเป็นอยูที่มีควำมสุขแบบพอเพียง รวมถึงกำรสรำงแนวทำงกำร
ฟ้ืนฟูท่ีเช่ือมโยงกับกำรสรำงแหลงทรัพยำกรท่ีเป็นอำหำร และส่ิงจํำเป็นในกำรใช
ประโยชนแอ่ืน ๆ รวมดวย อำทิกำรปรับรูปแบบกำรใชประโยชนแพื้นที่เพ่ือใหเกิด
ควำมเหมำะสมและใชท รพั ยำกรเหลำน้นั ใหไ ดอ ยำ งย่ังยืนมำกขึ้น เชน ในพื้นที่ตน
น้ํำบนพ้ืนท่ีสูงในอดีตเคยเป็นพ้ืนที่ปุำไมท่ีสมบูรณแทํำหนำท่ีเป็นตนนํ้ำลํำธำรปกติ
ตำมธรรมชำติ แตเมอื่ มผี ูค นเพม่ิ มำกขึ้นไดบุกรุกปุำเพ่ือนํำมำเป็นพ้ืนท่ีปลูกขำวไร
เพ่ือบริโภคและขำวโพดเพื่อสรำงสรำงรำยได ทํำใหเกิดกำรบุกรุกอยำงกวำงขวำง
จนเกิดผลกำรกระทบตอดินและน้ํำ จึงตองใชกุศโลบำย และแฝงไวซ่ึงควำมเช่ือ
ผนวกกับแนวทำงของหลักธรรมทำงพระพุทธศำสนำ ท่ีชำวบำนสำมำรถนํำไปใช
ในชีวิตประจํำวนั เชน หลกั พทุ ธธรรมท่ีวำดว ย อิทัปปใจจยตำ หรอื ปฏจิ จสมุปบำท
ในกำรอนุรักษพแ น้ื ทีป่ ุำตนน้ำํ หรือขนุ นํ้ำ ดวยกำรบวชปำุ บวชน้ํำ บวชปลำ รวมถึง
สง เสริมสนับสนนุ ประสำนงำนหนว ยงำนทเ่ี กี่ยวของมำใหควำมรู เพ่ือสรำงผลผลิต
อ่ืน ๆ เนนกำรเปลี่ยนทัศนคติเร่ืองกำรปลูกพืชเชิงเดี่ยว ปลูกผัก และพืชเชิง
พำณิชยแ เชน กะหล่ํำ มำเป็นตนไมท่ีปลูกเพื่อพยุงรำยไดทำงเศรษฐกิจ ซึ่งจะทํำ
ใหเกษตรกรสำมำรถดํำรงชีวิตอยูอยำงมีควำมสุขแบบพอเพียงไมเบียดเบียด
ธรรมชำตแิ ละสิ่งแวดลอ ม กำรปรับเปล่ยี นกำรใชประโยชนแพ้ืนท่ีและระบบกำรผลิต
เป็นรูปแบบท่ีตองกำรกำรดํำเนินงำนรวมกันจำกหลำยฝุำย ท้ังชำวบำนที่เป็น
เกษตรกรผูครอบครองพ้ืนท่ี เจำหนำท่ีรัฐท่ีเป็นผูดูแลพื้นที่ เป็นผูท่ีมีควำมรูในกำร
-77-
เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ิตของกลมุ่ ชาติพนั ธ์ุ
สงเสริมกำรเกษตรท่ีเป็นมิตรกับส่ิงแวดลอม และภำคประชำสังคมอื่น ๆ เพรำะ
เกษตรกรผูครอบครองพื้นท่ีนั้นไมสำมำรถจะดํำเนินกำรไดตำมลํำพัง จึงจะเห็นถึง
พฒั นำกำรและผลสัมฤทธิ์ทจี่ ะเกดิ ข้ึนตำมวัตถปุ ระสงคแท่ตี ้ังไว
กำรดํำเนินงำนดำนกำรฟื้นฟูสิ่งแวดลอมของพระบัณฑิตอำสำพัฒนำ
ชำวเขำในพื้นที่ตนแบบอํำเภอฮอด อำํ เภอแมแ จม อํำเภอแมสะเรียง มดี ังน้ี
1. กำรจัดกำรขยะในชุมชน ดวยปใญหำขยะเป็นปใญหำใหมที่เกิดข้ึนใน
ชุมชน จำกกำรเขำพ้ืนที่มำก็เริ่มพบเห็นปใญหำเร่ืองกำรจัดกำรขยะ เพรำะปริมำณ
ขยะมีเพิ่มมำกขึ้นเร่ือย ๆ จึงเกิดกิจกรรมกำรใหควำมรูในเรื่องกำรจัดกำรขยะและ
กำรลดปริมำณขยะในครัวเรือน ซึ่งสงผลกระทบตอชุมชน นํำไปสูเร่ืองของกำร
จัดกำรขยะอยำงเป็นระบบ พัฒนำไปสูกำรจัดทํำบอขยะ โดยผำน กำรจัดทํำถัง
ขยะในชมุ ชน แหลงชุมชน ตำมครัวเรือน บริเวณทำงแยก ในชุมชน โดยรวมกับ
กลมุ เยำวชนลมุ น้ํำแมลิด
2. กำรบวชปุำ พระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำกลำววำกำรบวชปุำ มี
ควำมสํำคัญเป็นอันดับตน ๆ ของกำรพัฒนำบนพ้ืนที่สูง เพรำะเป็นกำรยับยั้งกำร
ทํำลำยธรรมชำติ และชวยอนุรักษแส่ิงแวดลอมเป็นกำรรักษำปุำไมท่ีเป็นตนนํ้ำลํำ
ธำรใหอุดมสมบูรณแ รกั ษำปำุ ไมทเ่ี ปน็ ตนน้ํำลำํ ธำรใหอุดมสมบูรณแ สรำงควำมสํำนึก
ใหแกช มุ ชนในกำรดูแลรักษำสภำพธรรมชำติ กำรบวชปุำมีวิธีคิดและวิธีกำรปฏิบัติ
คลำยคลึงกับ “พิธีสืบชะตำแมน้ํำ หรือ สืบชะตำคน” ดวยกำรตออำยุใหเจริญ
ยั่งยืนสืบไป เร่ิมตนจำกกำรท่ีพระบัณฑิตอำสำ รวมกับชำวบำน ในพ้ืนท่ีตนแบบ
สํำรวจตนไมท่ีมีขนำดใหญ และเกรงวำนำจะถูกลักลอบตัด หรือเป็นตนไมท่ีมี
คุณคำ มีขนำดเหมำะสมที่จะนํำไปขำย หรือไปใชประโยชนแ กำรบวชใหตนไมตน
ไหนบำง ก็ข้ึนอยูกับควำมเช่ือและเจตนำของชุมชน ของชำวบำนเอง บวชได
ตั้งแตตนไมขนำดเล็ก กลำง ใหญ แตสวนมำกจะเนนตนไมที่ขนำดใหญ มี
ควำมสํำคัญตอกำรดํำรงชีพของส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศ สิ่งแวดลอม แมกระท่ัง
ตนไมในปุำที่ผำนกำรรุกทํำลำย เพรำะจะสำมำรถฟื้นคืนสภำพเป็นปุำสมบูรณแได
ในเวลำเพียงไมก ปี่ ี ถำไมถกู รบกวนอีก เพรำะชำวบำนเชื่อวำ ผืนปุำที่ผำนพิธีบวช
เป็นเสมือนดินแดนอันศักด์ิสิทธ์ิ ไมวำผูใดก็ไมอำจเขำไปทํำลำยได ทํำใหตนไมมี
โอกำสเตบิ โต และสำยนำํ้ ท่ีเกิดจำกปุำตน น้ํำ ก็จะฟ้ืนคืนชีวิตอกี คร้งั หน่ึง
-78-
เครอื ขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ
กำรบวชปุำถือเป็นควำมรวมมือกันของคนในชุมชน ท่ีรวมมือรวมแรงรวม
ใจกัน ในกำรดูแลรักษำปุำและแหลงตนน้ํำลํำธำรดวย เนนพ้ืนที่รอบ ๆ ขุนนํ้ำ
รัศมี 1 กิโลเมตร เพ่ือรักษำปุำตนนํ้ำ และมีกำรบวชตนไมบริเวณปุำรอบขุนน้ํำมี
อำณำบริเวณหลำยรอ ยไร พระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำจะชักชวนชำวบำนให
รวมมือกันจัดเตรียมเคร่ืองเซนสังเวยเจำปุำเจำเขำซ่ึง มีขำวเหนียวสุก 1 ปใ้น ,
กลวยสุก 1 ลูก และหมำกคํำ พลูใบ เตรียมเครื่องบวช มีผำเหลืองตำมจํำนวน
ตนไม ดำยสำยสิญจนแ บำตรนำํ้ มนตแ นำ้ํ ขม้ินสมปอุ ย จัดสรำ งศำลเพียงตำ สํำหรับ
อัญเชิญรุกขเทวดำมำอำศัยเฝูำตนไม เมื่อถึงวันกระทํำพิธี (ซึ่งกํำหนดแลวแต
ควำมเหมำะสม) ก็โยงดำยสำยสิญจนแไปตำมปุำและตนไมวกกลับมำยังสถำนที่
ประกอบพิธี โดยพธิ กี รรมจะเริ่มจำกอำจำรยทแ ่เี ป็นหมอเวทยแมนตแ ทํำพิธีเซนสังเวย
เชน เทพำรักษแ ผีปุำ ผีเขำ ใหรับรูและใหมำอยูในปุำไม ดูแลตนไมหำกมีผูใดมำ
ตดั ไม ทำํ ลำยปำุ ขอใหผ นู ัน้ มอี ันเปน็ ไปตำง ๆ จำกนัน้ กบ็ อกแมธรณีโดยใชหมำก
พลูตำมประเพณี เมื่อเสร็จพิธีเซนสังเวยแลว จำกน้ันก็จะเป็นพิธีสงฆแ ทำง
พระพทุ ธศำสนำเริม่ จำกไหวพ ระรัตนตรัย สมำทำนศีล อำรำธนำพระปริตรพระสงฆแ
เจิมพระพุทธมนตแ เสร็จแลวพระสงฆแจะหมผำเหลืองใหตนไมเชนเดียวกับกำรบวช
พระ สงผลใหสถำนภำพของคนและตนไมเปล่ียนไป นับเป็นกำรนํำควำมเช่ือทำง
ศำสนำมำประยุกตแใชในกำรดูแลรักษำปุำตนนํ้ำ และพระสงฆแเจริญชัยมงคลคำถำ
จำกนนั้ ประพรมนำํ้ พระพุทธมนตแตำมตน ไมทีบ่ วชไว เป็นอันเสร็จพิธี ในปีแรกที่ท่ี
มกี จิ กรรมบวชปำุ พบวำ ชำวบำ นใหค วำมสนใจเขำ รว มจํำนวนมำก หลังจำกที่มีกำร
ทํำพิธีกรรมทำงศำสนำ มีกำรสวดมนตแ พระอำจำรยแจึงไดสำนตอโครงกำรพัฒนำ
สิ่งแวดลอมตอเลยวันนั้นเลยในวันที่เรำเริ่มบวชปุำวันแรก เพรำะเรำจะไมบวชปุำ
อยำ งเดยี วเรำจะทํำกิจกรรมตอ ยอดไปอีกเพื่อทำํ ใหช ุมชนหมูบำนของเรำมีปุำ มีนํ้ำ
มีอำหำรกินตลอดปี ลูกหลำนไมอดอยำกไมลํำบำก ชำวบำนก็เห็นดีเห็นชอบ
ดํำเนินกิจกรรมมำตลอดทุกปี นอกจำกกิจกรรมบวชปุำแลว กิจกรรมที่ทํำควบคูไป
ดวยกันตลอดคือ กิจกรรมปลูกปุำรวมกับชุมชน และเครือขำย เพ่ือปลูกฝใงกำรรัก
ธรรมชำตแิ ละควำมรสู ึกเป็นสว นหนึ่งกับธรรมชำติ
3) กำรทํำแนวกันไฟในพ้ืนที่ของชุมชน เป็นกำรดํำเนินกำรระหวำงเขต
หมูบ ำ น รอบ ๆ หมบู ำ น เป็นชอ งวำงแนวยำวในปำุ ซงึ่ จะถำงปุำทํำเป็นแนวเพื่อ
กํำจัดเชื้อไฟท่ีติดไฟงำย เชน ใบไม หญำ หรือ ตนไมแหง จะทํำแนวท่ีมีควำม
-79-
เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชีวิตของกล่มุ ชาติพนั ธ์ุ
กวำงมำกพอท่ีจะปูองกันไฟไมใหลุกลำมตอเน่ืองในกรณีท่ีเกิดไฟปุำ เพื่อตัดชวง
ควำมตอเนือ่ งของเชื้อเพลิง เป็นกำรปูองกันไมใหไฟลุกลำมเขำไปในพ้ืนที่หมูบำน
หรือปูองกนั ไมใ หไ ฟลุกลำมออกมำจำกพ้ืนท่ีที่กํำหนด ในปุำประเภทเต็งรังแนวกัน
ไฟอำจจะกวำงเพียง 2-3 เมตร ก็อำจเพียงพอ แตในปุำไผหรือทุงหญำนั้นแนวกัน
ไฟตองมีขนำดขนำดกวำง 100-200 เมตร ถำนอยกวำนี้อำจจะไมสำมำรถยับย้ัง
ไฟได ส่ิงท่ีตองคํำนึงคือ แนวกันไฟในพ้ืนท่ีลำดชันน้ันจะตองกวำงกวำแนวกันไฟ
ในพ้ืนทีร่ ำบ ท่ผี ำนมำ บริเวณพื้นท่ี อ.แมสะเรียง จะไมมีไฟไหม หรือไมมีไฟปุำ
มำหลำยปี มีแตกอนที่จะทํำกำรเกษตรก็จะมีกำรถำงไร และจะทํำแนวกันไฟอยำง
ดี จะดูแลปุำอยำงดี ถำมีกำรเผำปุำเพื่อเตรียมกำรทํำกำรเกษตรก็จะมีชำวบำน
อำสำมำชวยกันดูแล ทํำแนวกันไฟอยำงดีปูองกันไฟลำมปุำเขำหมูบำน เป็นอยำง
ดี เมือ่ มไี ฟปุำเกดิ ขึน้ ก็จะมชี ำวบำ น และเครือขำยหมูบำนที่ใกลเคียงมำชวยกันดับ
ไฟ และรวมกันจัดทํำแนวกันไฟเพื่อปูองกันไฟปุำลุกลำมไปในพ้ืนท่ีกำรเกษตร
หรอื บำ นเรือน และจะไปชวยเหลือกนั ในลักษณะเครอื ขำ ย เพอ่ื ชวยเพ่ือ เอำมอ้ื กนั
4) กำรบวชปลำที่ขุนนํ้ำ เป็นลักษณะกำรอนุรักษแปลำ บริเวณขุนน้ํำ(ตน
นํ้ำ) โดยพระบัณฑติ อำสำพัฒนำชำวเขำไดเ ร่ิมดํำเนนิ กำรจำกจำกในหมูบำนบริวำร
เชน บำ นแมสะเรียงนอย ต.ปุำแป อ.แมสะเรียง จ.เชียงใหม ชำวบำนนิมนตแพระ
อำจำรยแเขำไปบวชปุำ และไดเห็นขุนหวยท่ีมีน้ํำอุดมสมบูรณแมำก มีปลำจํำนวน
มำก แสดงถึงควำมอุดมสมบูรณแของพื้นท่ี พอท่ีจะทํำกำรพัฒนำเพิ่มเติมได ดังนั้น
แทนท่ีเรำจะบวชปุำอยำงเดียว พระอำจำรยแคิดวำเรำควรจะบวชนํ้ำ และบวชปลำ
ดวย พระอำจำรยแไดแนะนํำชำวบำนวำพื้นท่ีบนขุนนํ้ำน้ีมีควำมอุดมสมบูรณแ ถำเรำ
อนรุ ักษดแ แู ลรกั ษำปุำ อนุรกั ษนแ ้ํำ อนรุ กั ษปแ ลำ โดยกำรบวชท้ังปุำ บวชน้ํำ บวชปลำ
ดว ย ถำเรำไมจับปลำในบรเิ วณนี้ จะมีปลำอยูกับเรำไปตลอด เพรำะปลำถำเรำไม
รบกวนมนั ก็จะขยำยพันธุแโดยธรรมชำติ ถำเรำไมไปจับเขำบนขุนนํ้ำ ที่เรำอนุรักษแ
ไวเ ปน็ เขตหวงหำ ม แตถำหลดุ ออกจำกตรงนี้ไปเรำสำมำรถเอำไปทํำพันธแุปลำ เอำ
ไปบริโภค พดู งำย ๆ คือ ในบริเวณรัศมีพ้ืนท่ีท่ีกลำวไป ไมควรจับปลำ แตถำนอก
พ้ืนท่ีที่กลำวมำก็ไมวำกัน จะทํำใหมีชำวบำนเห็นดวยอยำงเป็นเอกฉันทแ ปใจจุบัน
ปลำเยอะมำก มีเพยี งพอตอกำรบริโภคในชุมชน
5) กำรอนรุ กั ษตแ นนำ้ํ โดยกำรบวชน้ํำ ในชวงปีแรก ๆ ท่ีเขำมำอยูในพื้นท่ี
พระอำจำรยแ (พระบัณฑิตอำสำ) เห็นชำวบำนไปทํำไรขำวบนปุำที่เป็นขุนน้ํำ(ปุำ
-80-
เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชวี ิตของกลุม่ ชาติพันธ์ุ
ตนนํ้ำ) พอเขำปีท่ี 2 น้ํำในลํำหวยก็แหงขอด น้ํำไมมีใชภำยในชุมชน จึง
พยำยำมสรำงควำมตระหนักดวยกำรช้ีใหเห็นถึงปใญหำวำถำชำวบำนไปปลูกขำว
ทํำไรขำวที่ขุนนำ้ํ เหนือหมูบำ นซึ่งเปน็ แหลงตนนํำ้ จะสงผลตอ ลูกหลำนเรำจะไมมี
นํ้ำใช น้ํำกิน หมูบำนเรำจะอยูไดอยำงไร เพรำะขุนนํ้ำก็จะเหือดแหง จึงแนะนํำ
ใหชำวบำนทำํ ไรขำ วในพ้ืนทท่ี ี่ตํ่ำกวำ ขนุ นำํ้ ขำ งลำงหมูบำนลงไป ซ่ึงผลปรำกฏ 6
ปีท่ีผำนมำปุำไม ที่เป็นปุำขุนน้ํำ เป็นปุำหมูบำนก็ยังเขียวชุมชื่นเหมือนเดิม
เพรำะชำวบำนนึกถึงลูกถึงหลำนในอนำคต กำรบวชน้ํำ คือกำรดูแลรักษำตนน้ํำ
ไมทํำลำย ไมไปรบกวนไมเอำไปทํำกำรเกษตร ไมขุดสระ ไมทํำเข่ือน ปลอยให
ไหลไปตำมธรรมชำติ ไมเขำไปรบกวนพื้นท่ีขุนน้ํำ สอดคลองกับควำมเช่ือของ
ชำวบำนเก่ียวกับผีขุนน้ํำ โดยชำวบำนมีควำมเช่ือวำ ถำหำกทํำสิ่งใดที่ทํำใหผีขุน
น้ํำโกรธ เชน ตัดตนไมใหญในแหลงตนนํ้ำท่ีสิงสถิตของผีขุนนํ้ำ กำรกั้นลํำหวย
หรือกำรเก็บกักน้ํำไวใชประโยชนแตำมลํำพัง หรือปฏิบัติส่ิงอื่นใดท่ีชำวบำนเรียกวำ
ขึด จะถูกลงโทษจำกผีขุนน้ํำ อำจใหน้ํำนอย หรือฝนไมตกตองตำมฤดูกำล สรำง
ควำมเดือดรอนแกช ำวบำนผูอ ยู ใตล ำํ น้ํำนั้น ๆ
6) รณรงคแใหควำมรูเร่ืองกำรไมใชยำฆำแมลง กำรไมใชสำรเคมีในกำรทํำ
กำรเกษตร ผำนกำรประสำนงำนกับศูนยแพัฒนำชำวเขำ ซึ่งมำใหควำมรูกับ
ชำวบำน พระบัณฑิตอำสำก็เขำรวมหลำยคร้ัง มำใหควำมรู รวมถึงมำลงมือปฏิบัติ
ดวยเดิมชำวบำนนิยมปลูกพืชเชิงพำณิชยแ พืชลมลุกตำมกระแสหลักของตลำด
ปลูกแบบพืชไร เชน กะหล่ํำปลี ถ่ัวแดง ขำวโพด ใชยำ ใชสำรเคมีมำก พื้นที่ก็
พ้ืนท่ีเรำ แรงงำนก็แรงงำนเรำ ชีวิตก็ชีวิตเรำไมควรเอำชีวิตไปเส่ียง ปลูกผักทุก
คร้ังก็ขำดทุนทุกคร้ัง เป็นหนี้สินพอกพูน นอกจำกตัวเองแลว ยังกอใหเกิดอันตรำย
ตอผูอื่น และเป็นบำปติดตัว พระบัณฑิตอำสำแนะนํำใหชำวบำน ใหควำมรู
ชำวบำนผำนกำรประสำนงำนกับศูนยแพัฒนำชำวเขำ ซึ่งมำใหควำมรูกับชำวบำน
โดยมีพระบัณฑิตอำสำก็เขำรวมทุกคร้ัง เพ่ือใหชำวบำนเปล่ียนทัศนคติ เปล่ียนวิถี
ชีวิตหันกลับมำปลูกพืชยืนตนเพ่ือบริโภค เป็นพืชสวน โดยนอกจำกมำใหควำมรู
แลวยงั รวมถงึ มำลงมอื ปฏิบัติ เชน กำรเพำะกลำอโวคำโด เพำะกลำกำแฟ เสำวรส
ใหกับชำวบำนอีกดวย จำกควำมรูที่ เจำหนำที่โครงกำรมำแนะนํำทํำใหทรำบวำ
ธรรมชำติของพืชนี่มีหลำยประเภทจํำแนกตำมระยะเก็บเกี่ยว อำทิ พืชเก็บเกี่ยว
ระยะส้ัน พืชเก็บเกี่ยวระยะกลำง พืชเก็บเกี่ยวระยะยำว เชน สงเสริมใหชำวบำน
-81-
เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชีวิตของกล่มุ ชาติพันธุ์
ปลูกตนอโวคำโดกอน ซ่งึ เป็นพชื พำณชิ ยแ มีรำคำดีกวำจะโตจนเก็บเก่ียวผลผลิตได
ใชร ะยะเวลำ 5 ปี ระหวำงน้ันใหปลูกกำแฟเสริมในสวน ในปุำได ซึ่งใชระยะเวลำ
ในกำรเก็บเก่ียว 2 ปี กำรปลูกกำแฟรวมกับปุำไม หรือไมโตเร็วเชนไมสวน กำร
เพำะปลูกแบบน้ีจะไมมีกำรตัดไมทํำลำยปุำ ทํำใหลดกำรตัดไมทํำลำยปุำ เป็นกำร
ทํำเกษตรแบบผสมผสำนในพื้นที่เดียวกัน ชวยสรำงควำมหลำกหลำยของชีวภำพ
ของพืชและสัตวแ ซึ่งพืชและแมลงแตละชนิดสำมำรถเอื้อประโยชนแหรือมีผล
เกอ้ื กูลซง่ึ กันและกนั เป็นกำรอนุรกั ษแทรัพยำกรธรรมชำติและควำมหลำกหลำยทำง
ชีวภำพ ทํำใหสภำพนิเวศนแมีควำมชุมช้ืน อีกท้ังกำรปลูกกำแฟทํำใหมีตนไมปก
คลุมดินซึง่ สำมำรถควบคุมวัชพืชไปในตัว พ้ืนท่ีปลูกกำแฟจึงเป็นเสมือนปุำไม ซ่ึง
ไดใหทอี่ ยูอำศัยแกสัตวแตำง ๆ รวมท้ังกำรทํำใหดินท่ีอยูใตรมเงำตนกำแฟมีสภำพ
ที่เหมำะสมตอกำรเจริญเติบโตของพืชนํำมำซ่ึงผลตอบแทนทำงดำนเศรษฐกิจและ
สิ่งแวดลอมทั้งในชุมชนและนอกชุมชนได และเม่ือชำวบำนหรือเกษตรกร
จํำเป็นตองกินตองใช ตองมีเงิน มีผลผลิตหมุนเวียนเพื่อกอใหเกิดรำยได หรือ
สำมำรถดํำรงชีพได จึงควรปลูกเสำวรส ซึ่งใชระยะเวลำในกำรเก็บเกี่ยว 1 ปี
นอกจำกนั้นยังแนะนํำใหช ำวบำ นดูแลสวน และเพ่ิมเติมดวยกำรปลูกลํำไย มะมวง
และกลวย เนนกำรบริโภคในครวั เรอื นเป็นหลกั ที่เหลือจึงจํำหนำย เป็นกำรใชหลัก
ปรชั ญำเศรษฐกิจพอเพยี ง เนน กำรปลกู พชื เพือ่ ยังชีพ พืชผักสวนครัว เนนบริโภค
งดเวนกำรใชสำรเคมี สนับสนุนสงเสริม และใหควำมรูชำวบำนเรื่อง กำรทํำปุย
หมัก ปยุ ชวี ภำพ ปุยพชื สด ปยุ นํ้ำชวี ภำพ
7) กำรจดั ทํำธนำคำรขำวของชุมชน จำกกำรสัมภำษณแบัณฑิตอำสำพัฒนำ
ชำวเขำ วำบนพ้ืนที่ดอยน้ี เม่ือกอนไดเกิดปใญหำตำง ๆ ในดำนคุณภำพชีวิตขั้น
วกิ ฤต นั่นถือวำ เปน็ ตัวฉดุ ใหชมุ ชนตองเดินถอยหลัง เพรำะควำมอดอยำกไมพออยู
พอกินมีไปท่ัวทุกหยอมหญำของชำวเขำบนดอย นับวำเป็นปใญหำใหญท่ีกัดกรอน
ชุมชนไปสูควำมเลวรำยในกำรดํำเนินชีวิตของผูคนที่น่ี โดยเฉพำะปใญหำเร่ือง
“ฝิ่น” สิ่งเสพติดท่ีมำเยือนชุมชนต้ังแตอดีต โดยกำรอพยพมำของบำงกลุมใน
พื้นท่ีซ่ึงมีวัฒนธรรมเพำะปลูกฝ่ินเป็นทุนเดิมอยูแลว ปใจจุบันกำรปลูกฝ่ินถือวำผิด
กฎหมำยเลิกกำรปลูก อีกปใญหำหนงึ่ ทเี่ กิดขึ้นคือ ปใญหำพื้นที่ปุำไมเสื่อมโทรมในที่
บริเวณปำุ ตนน้ํำ อันเนื่องมำจำกกำรทํำไรฝิ่นมำอยำงตอเนื่องและยำวนำน จนเกิด
ภำวะขำดควำมสมดุลดำนกำรใชทรัพยำกรในพื้นที่ ทํำใหกำรปลูกขำวเพื่อไวเลี้ยง
-82-
เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาตพิ นั ธุ์
ชีพน้ันแทบไมพอกินและยังมีอุปสรรคอ่ืน ๆ ท่ีบวกกับสิ่งแวดลอมบนพื้นดอยมี
ควำมเปลี่ยนแปลงไปในทำงที่แยลงเร่ือย ๆ จำกกำรบุรุกพื้นท่ีปุำ ไฟปุำที่ทํำลำย
หนำดนิ ในที่สดุ ควำมอดอยำกก็ตำมมำและทํำใหเกิดภำวกำรณแขำดแคลน คนบน
ดอยไมมีขำวพอกินในครัวเรือนไปทั่วทั้งดอย เพรำะขำวคือตนทุนทำงกำรดํำเนิน
ชีวิตของคนท่ีนี่ นำยพุส่ี สมคิดธํำรงไพร นำยอนุรักษแ พนรังสิมันตแ และนำย
สมชำย สิริสุนทรกุลศำสนำ ตัวแทน คณะกรรมกำรกองทุนธนำคำรขำวบำนแมขี้
มูกนอย เลำใหฟงใ อีกวำ ในสมัยเดก็ ๆ เขำจํำควำมไดวำในครอบครัวของเขำจะได
กินขำววันละแคสองม้ือ คือม้ือเชำกับม้ือเย็นและบำงวันแทบจะไมมีกินเลยก็มี
และไมใชมีแคครอบครัวของเขำครอบครัวเดียวที่เจอสภำพปใญหำเชนน้ี ในบำง
ครอบครัวก็มีชีวิตท่ีแยกวำน้ัน ชุนชนปกำเกอะญอนั้น ใหควำมสํำคัญกับเรื่องขำว
มำเป็นอันดับหน่ึง กำรดํำรงชีวิตอยูของปกำเกอะญอไมสำมำรถทิ้งขำวไปได ขำว
และทรัพยำกรธรรมชำติของพวกเรำน้ันคือส่ิงจํำเป็นเป็นอันมำก หลังจำกท่ีพระ
บัณฑิตอำสำไดขอมูลของชำวบำนเรื่องขำวไมพอกินพอใชแลว จึงไดริเริ่มนํำ
ขำวเปลือกที่ชำวบำนมำถวำยเพื่อทํำบุญซึ่งเป็นขำวใหม ขอเป็นขำวเปลือกแทน
โดยไดตั้งเป็นกองทุนออมขำว รับบริจำคขำวเปลือก จัดทํำบุญทอดผำปุำ
ขำวเปลือก นํำผลประโยชนแที่เกิดจำกกำรให กูขำวมำใชเป็นทุนดํำเนินกำร
ธนำคำรขำวเป็นกำรรวมกลุมกันของชำวบำนภำยใตกำรแนะนํำของพระบัณฑิต
อำสำพัฒนำชำวเขำ และหนวยงำนรำชกำรท่ีเก่ียวของ โครงกำรหลวง พัฒนำ
สังคม เกษตรอํำเภอ เป็นตน เพอ่ื ชวยเหลือซึ่งกันและกันกันภำยในชุมชน ถือเป็น
ลักษณะเพื่อนชวยเพื่อนชุมชนชวยชุมชน โดยมีทำงสวนงำนท่ีเก่ียวของและพระ
บัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำเป็นผูคอยเสนอแนะแนวทำงในกำรปฏิบัติใหเกิด
ประโยชนแสูงสุด โดยเนนหลักกำรสงเครำะหแชำวบำนที่ยำกไร ในชุมชนไดมำกูยืม
ขำ วจำกธนำคำรขำวไปใชบรโิ ภค และทำํ พันธแุ(เชื้อ) สํำหรับกำรเกษตรในฤดูทํำนำ
ใหคนในชุมชนชว ยกันดแู ล โดยมกี ฎเกณฑตแ ำ ง ๆ ที่ชมุ ชนไดตกลงรวมกันและถือ
ไดถ อื ปฏบิ ตั ิภำยในชุมชน โครงกำรดังกลำวชวยบรรเทำควำมอดอยำกของชุมชน
ถึงแมคนในชุมชนไมมีเงินซ้ือขำว แตก็ทํำใหคนในชุมชนสำมำรถมีขำวกินอยู
ตลอดปี จำกกำรใหยืมขำวจำกกองทุนขำว และใชคืนดวยขำว และใหดอกเบ้ียนิด
หนอยแลวแตวำในแตละปีน้ันจะกํำหนดกฎเกณฑแวำควรใชดอกเบ้ียขำวเทำไหร
อยำงไร เชน ในพ้ืนที่ตนแบบ กํำหนดใหธนำคำรขำวใหกำรสงเครำะหแและ
-83-
เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคุณภาพชีวิตของกลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
ใหบริกำรในลักษณะใหเปลำ ใหโดยแลกแรงงำน ใหยืม และใหกู ดังนี้ กำรให
เปลำเป็นกำรสงเครำะหแแก ชำวบำนท่ีทุพพลภำพ หรือเป็นผูยำกไรที่ไมสำมำรถ
ชวยเหลือตนเองได ชรำภำพ นอกจำกน้ียังใหกำรสงเครำะหแ แกผูประสบภัยตำง
ๆ หรือมีควำมจํำเป็นเรงดวนที่จะตองรีบใหควำมชวยเหลือเพื่อ ใหสำมำรถยังชีพ
อยูได เชน ผูประสบวำตภัย อุทกภัย แผนดินถลม กรณีกำรใหยืม เป็นกำร
ใหบริกำรสํำหรับผูมีฐำนะควำมเป็นอยูดีกวำสองพวกแรกที่กลำวมำแลว กำร
ใหบริกำรในลักษณะนี้ ชำวบำนผูขอรับบริกำรตองสงใชคืนขำวที่ยืมไป แตไมตอง
เสียดอกเบ้ีย กำรใหกูเป็นกำรใหบริกำรแกผูท่ีมี ฐำนะดี แตขำดแคลนขำวบริโภค
หรือขำวทํำพันธแุ ในบำงฤดูกำล กำรใหบริกำรในลักษณะน้ี เสียดอกเบ้ียใหแก
ธนำคำรขำวดวย ดังนั้น ผูท่ีขอรับบริกำรจะตองมีขีดควำมสำมำรถสูงกวำสำมพวก
แรก เพรำะจะตองสงใชคืนขำวที่กูไปพรอมท้ังดอกเบ้ีย ท้ังน้ีขึ้นอยู กับ
คณะกรรมกำรที่เป็นตัวแทนชำวบำนพิจำรณำ จำกผลกำรดํำเนินงำนท่ีผำนมำ
โครงกำรธนำคำรขำว สำมำรถแกไขปใญหำใหกับชำวบำนไดเป็นอยำงดี พ้ืนท่ี
ตนแบบไดเชิญชวนชำวบำนบริจำคขำวหรือเงินเพ่ือนํำไปจัดกิจกรรมธนำคำรขำว
เนื่องในโอกำสวันสํำคัญ รวมถึงชวยแกปใญหำกำรขำดแคลนขำวบริโภคของ
ชำวบำนในชุมชน ซึ่งจะทํำใหเขำมีควำมเป็นอยูที่ดีข้ึน นอกจำกน้ียังจะชวย
แกป ญใ หำหนี้สินท่ีชำวบำนที่ยำกไรเหลำนั้นไปกูยืมเงินหรือขำวมำบริโภค โดยเสีย
ดอกเบีย้ ในอตั รำสูงอีกดวย
8) กำรสรำงเครือขำยอำสำสมัครรักษแสิ่งแวดลอม จำกกำรที่พระบัณฑิต
อำสำพัฒนำชำวเขำ ในพื้นที่ตนแบบ ไดดํำเนินกำรเก่ียวกับกำรฟ้ืนฟูทรัพยำกร
และสิ่งแวดลอมในพ้ืนที่ตนเองมำระยะหน่ึง และพบวำกระบวนกำรทํำงำนจะ
กอใหเ กดิ ประสทิ ธภิ ำพท่ีสุด และแกไขปใญหำไดยั่งยืนที่สุด ก็คือกำรทํำใหชำวบำน
ในพื้นที่ตระหนักถึงปใญหำท่ีเกิดขึ้นจำกกำรกระทํำของมนุษยแที่มีผลกระทบของ
สง่ิ แวดลอม และกำรทํำใหชำวบำนมีจิตอำสำรวมกันในกำรทํำใหคนในหมูบำน ใน
ชุมชนมีกำรปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดลอม เพรำะกำรอนุรักษแ
สิ่งแวดลอมจะเป็นประโยชนแตอชำวบำนและลูกหลำน และทรัพยำกรเหลำนั้นก็จะ
ยังคงมีอยูใหประโยชนแกับมนุษยแตอไปอยำงยั่งยืน แตจำกกำรทํำงำนท่ีผำนมำ
พบวำจิตสํำนึกหรือควำมตระหนักแตเพียงอยำงเดียวไมเพียงพอตอกำรจะฟื้นฟู
สิง่ แวดลอ ม และทรพั ยำกรธรรมชำติใหก ลบั คนื สภำพ ตองอำศัยพลังชุมชน ในกำร
-84-
เครอื ขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลมุ่ ชาติพันธุ์
ปฏิบัติกำรดวย เปรียบเสมือนลํำธำรหลำยสำยรวมกันเป็นแมนํ้ำใหญท่ีมีพลัง จึง
จำํ เปน็ ตองมกี ำรสอื่ สำรกบั ชำวบำน กลุมเปูำหมำยตำง ๆ ใหมีควำมรูควำมเขำใจ
ผำนกำรทํำกิจกรรมของกลุมท่ีทํำงำนดำนกำรอนุรักษแธรรมชำติและสิ่งแวดลอมใน
พ้ืนท่ีใกลเคียง หมูบำนบริวำร รวมถึงหมูบำนอื่น ๆ จึงเกิดจุดเริ่มตนของกำร
รวมมือรวมใจกันในกำรทํำงำนดำนกำรฟื้นฟูส่ิงแวดลอมของกลุมมดงำนหลำยๆ
กลุมในลักษณะเครือขำยอำสำสมัครรักษแสิ่งแวดลอม โดยใชช่ือวำ “เครือขำย
อำสำสมัครรักษแสิ่งแวดลอม” เชน มำรวมกันทํำกิจกรรมกำรบวชปุำ กำรดับไฟ
ปุำ กำรจัดทํำแนวกันไฟ นอกจำกน้ันยังมีกำรขยำยผลทั้งดำนควำมรู ภูมิปใญญำ
จิตสํำนึกในส่ิงแวดลอมผนวกกับกำรผนึกกํำลังของชุมชนในพ้ืนที่ พื้นท่ีบริวำร
พ้ืนที่ใกลเคียงที่ไดรับผลกระทบในลักษณะเดียวกัน มำทํำงำนรวมกัน เกิด
กระบวนกำรแลกเปลี่ยนประสบกำรณแกำรทํำงำน อุปสรรค และแนวทำงในกำร
ทํำงำน ประเด็นกำรทํำงำนแนวทำงกำรทํำงำนในอนำคต ในหลำย ๆ เร่ืองท่ี
นำสนใจ เชน กำรจัดกำรขยะในชุมชน กำรเกษตรเชิงอนุรักษแสิ่งแวดลอม
กลำยเป็นจุดเร่ิมตนของกำรทํำงำนรวมกัน เกิดกระบวนกำรแลกเปลี่ยนเรียนรูกำร
ทำํ งำน เรยี นรกู ำรประสำนงำนกับกลุมองคแกรท่ีเกี่ยวของ ซ่ึงมีท้ังควำมเหมือนและ
ควำมแตกตำงกันในกำรขับเคล่ือนงำนดำนกำรอนุรักษแและฟ้ืนฟูส่ิงแวดลอม
กอใหเกิดแนวคิดท่ีสรำงสรรคแในกำรพัฒนำชุมชน สังคมและสิ่งแวดลอม ทํำให
ชำวบำนมองเห็นวำเร่ืองส่ิงแวดลอมไมใชเรื่องไกลตัว และทุกคนสำมำรถเป็นสวน
หนง่ึ ในพลังชมุ ชนทส่ี ำมำรถพัฒนำดแู ลชมุ ชน สังคมและสงิ่ แวดลอ มไดอยำงยัง่ ยืน
โดยสรุป สถำนกำรณแปใญหำดำนส่ิงแวดลอมบนพ้ืนท่ีสูง พ้ืนที่ตนแบบ
อำํ เภอฮอด อำํ เภอแมแจม อํำเภอแมส ะเรียง พบวำ พื้นท่ีปุำไมถูกบุกรุกทํำลำยมำ
เป็นระยะเวลำยำวนำนจนกระท่ังเป็นพ้ืนที่โลงเตียน ชำวบำนมีกำรเผำพ้ืนท่ีกอน
กำรเพำะปลูกพืช มีปใญหำหมอกควันจำกกำรเตรียมแปลง ขำดแคลนน้ํำที่ใชเพ่ือ
กำรบริโภคและอุปโภค โดยเฉพำะน้ํำเพ่ือทํำกำรเพำะปลูกพืชตองอำศัยนํ้ำฝนเป็น
หลัก ชำวบำนในพ้ืนท่ีมักมีกำรถำงปุำเพื่อทํำไร ขำวไร ขำวโพด ปลูกผัก เชน
กะหลํ่ำปลี มีกำรใชส ำรเคมีกำํ จดั วัชพืชในกำรเพำะปลูกพืชเพิ่มมำกข้ึน เกิดกำรชะ
ลำงพังทลำยของหนำดินทํำใหเกิดดินสไลดแคุณภำพดินลดลง ไมมีกำรกํำหนด
ขอบเขตพนื้ ทปี่ ำุ และพื้นที่กำรเกษตร ขำดกำรฟื้นฟูปุำ และกำรอนุรักษแปุำ (ปุำตน
น้ํำ ปุำชุมชน) หลังจำกพระบัณฑิตอำสำพัฒนำชำวเขำไดเขำมำปฏิบัติภำรกิจใน
-85-
เครือขา่ ยพระนกั พัฒนากบั การพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุ
พ้ืนที่ ไดดํำเนินกิจกรรมโครงกำรเกี่ยวกับกำรฟ้ืนฟูสิ่งแวดลอม หลังจำกที่ประสบ
ปใญหำจำกกำรสังเกตกำรลงพ้ืนท่ี กำรสํำรวจชุมชนของพระบัณฑิตอำสำพัฒนำ
ชำวเขำ นํำไปสูกิจกรรมรวมกับชุมชนเพ่ือฟ้ืนฟูส่ิงแวดลอม อำทิ กํำหนดเขตกำร
ใชประโยชนแที่ดินควำมคุมกำรบุกรุกพื้นที่ปุำผำนกำรบวชปุำ ปลูกและฟ้ืนฟูปุำตน
น้ํำลํำธำร ปุำขุนนํ้ำ และระบบนิเวศ โดยกระบวนกำรมีสวนรวมของทุกภำคสวน
ฟนื้ ฟแู หลงอำหำรผำ นกำรบวชนํ้ำ บวชปลำ กำรสงเสริมกำรปลูกไมยืนตนทดแทน
ปุำทถี่ กู บกุ รกุ จำกกำรทำํ กำรเกษตร มีจดั ทํำแนวกนั ไฟ สง เสริมกำรปลูกพืชยืนตนที่
กอใหเกิดรำยไดและปลูกพืชท่ีมีระยะเวลำกำรเก็บเกี่ยวที่หลำกหลำยเพื่อมีรำยได
จุนเจือครอบครวั จำกกำรขำยผลผลติ ที่เหลอื จำกกำรบริโภค สนับสนุนกำรปลูกหญำ
แฝก สนับสนุนกำรฟ้ืนฟูปุำชุมชนและปลูกเสริม สนับสนุนใหมีกำรจัดทํำฝำย
สนับสนุนกำรทํำปุยหมัก ปุยชีวภำพ ปุยพืชสด โดยกำรมีสวนรวมของชุมชน/
หนวยงำน จำกกำรสัมภำษณแแกนนํำชุมชน ผูนํำทองถิ่น พระบัณฑิตอำสำพัฒนำ
ชำวเขำ พบวำ ในปใจจุบัน สภำพแวดลอมมีกำรเปลี่ยนแปลงไปในทิศทำงที่ดีข้ึน
ชำวบำ นมแี หลงนำํ้ มีปุำไมท ่อี ดุ มสมบูรณแ มแี หลงอำหำรท่ีย่ังยืนสืบตอถึงลูกหลำน
ตอ ไป
กำรดํำเนินงำนดำนกำรทองเที่ยวทำงศำสนำและวัฒนธรรมของเครือขำย
พระนกั พัฒนำบนพ้ืนท่สี ูง
จำกผลกำรศึกษำขอมูลตำงๆ ที่เก่ียวกับบริบทชุมชน และกำรดํำเนินงำน
ดำนกำรพัฒนำแหลงทองเท่ียวทำงศำสนำและวัฒนธรรมของกลุมชำติพันธุแบน
พ้ืนที่สูงในพื้นท่ีตนแบบของเครือขำยพระนักพัฒนำอํำเภอสะเมิง อํำเภอกัลยำณิ
วัฒนำ จังหวัดเชียงใหม อํำเภอปำย อํำเภอปำงมะผำ จังหวัดแมฮองสอน มี
รำยละเอียดของเสนทำงทอ งเทีย่ ว 2 เสนทำง ดงั นี้
เสนทำงที่ 1 เสนทำงทองเที่ยวอำศรมพระบัณฑิตอำสำอํำเภอกัลยำณิ
วัฒนำ จังหวัดเชียงใหม ไดแก วัดบำนจันทรแ ตํำบลบำนจันทรแ วัดหวยบง
ตํำบลบำนจันทรแ อำศรมบำนหนองแดง ตํำบลบำนจันทรแ มีรำยละเอียดขอมูลกำร
ทองเทีย่ วดังน้ี
-86-
เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของกลุม่ ชาติพันธ์ุ
อํำเภอกัลยำณิวัฒนำ เป็นเขตกำรปกครองระดับอํำเภอลํำดับที่ 25 ของ
จังหวัดเชียงใหม และอันดับที่ 878 ของประเทศไทย จัดต้ังเมื่อ 26 ธันวำคม
พ.ศ. 2552 มที ่วี ำ กำรอํำเภออยูทต่ี ํำบลแจม หลวง
วดั บำ นจันทรเแ ปน็ วดั ที่เกำ แกที่สุดในเขตตํำบลบำนจันทรแ แตไมสำมำรถที่
จะทรำบแนชัดวำตั้งขึ้นเมื่อได แตสันนิษฐำนวำ สรำงข้ึนมำนำนกวำ 300 ปี ที่
ผำ นมำ สำเหตุท่ีชือ่ วำ “วดั จันทรแ” สมัยกอ นบริเวณวัดบำนจันทรแเป็นปุำทึบ ไมมี
ผูคนอำศัยอยูเต็มไปดวยแมกไมนำนำชนิด โดยเฉพำะรอบๆ บริเวณหมูบำนเต็ม
ไปดวยไมสนจํำนวนเป็นพันๆ ไร แตบริเวณบำนจันทรแ มีสถำนที่สรำงพระสถูป
เจดียเแ กำที่ปรกั หักพัง ตลอดถึงฐำนของโบสถแแ ละวิหำรอยูหลำยแหง ท่ีชนเผำล๊ัวะ
ท่ีมีควำมศรัทธำเลื่อมใสในพระพุทธศำสนำไดมำสรำงขึ้นในเขตตํำบลบำนจันทรแ
จำกนัน้ ชนเผำลั๊วะกอ็ พยพโยกยำ ยไปตั้งถน่ิ ฐำนอ่นื ทํำใหว ดั บำนจันทรแเป็นหมูบำน
รำงในที่สุด ตอมำ มีพระธุดงคแอยูรูปหนึ่งจำริกจำกประเทศพมำมีนำมวำ“หลวงพอ
อุตตมะ” มำเห็นบริเวณวัดจันทรแเป็นสถำนท่ีสงบย่ิงนัก จึงปใกกลดบํำเพ็ญเพียร
ภำวนำ หลงั จำกท่ยี ำ ยมำแลว ไดป ระกำศเชญิ ชวนชำวบำนในหมูบำนบำนใกลเคียง
มำชวยกันบูรณปฏิสังขรณแพระเจดียแ โดยมีหลวงพออุตตมะ เป็นประธำน
หลังจำกไดชว ยกนั บรู ณะพระเจดียแใกลจ ะสำํ เร็จ หลวงพออุตตมะก็ลำชำวบำน เพื่อ
ธุดงคแกลับประเทศพมำ และในระหวำงกำรเดินทำนไดเกิดอำพำธอยำงหนักทำนก็
มรณะในระหวำงเดนิ ทำง
ปีพุทธศักรำช 2473 พระครูบำศรีวิชัย ไดเดินธุดงคแมำทำงอํำเภอปำย
จังหวัดแมฮองสอน ผำนบำนเมืองแปง อ.ปำย จ.แมฮองสอน ถึงวัดบำนจันทรแ
จึงไดม ำพกั คำ งคืนที่วดั จันทรแ เห็นพระธำตทุ ่สี รำงไวย ังไมแลวเสร็จ ยังไมมีกำรยก
ชอ ฟำู เจดียแ ซ่ึงชำวบำ นพยำยำมยกยอดฉตั รแลว หลำยคร้ังแตไมสํำเร็จ เพรำะมีคน
ทนำยหรอื กลำวไววำพระเจดียแอยูในหมูบำนกะเหรี่ยง คนที่ยกยอดฉัตรตองเป็นคน
ท่ีมีเช้ือสำยกะเหรี่ยงเทำน้ัน เม่ือครูบำเจำศรีวิชัยมำพักอำศัยในบริเวณวัดจันทรแ
จึงนํำชำวบำนมำบูรณะพระเจดียแ หลังจำกท่ีกำรบูรณะเสร็จส้ินก็มีกำรยกยอดฉัตร
โดยพระบำเจำศรวี ิชยั มกี ำรทํำบุญเฉลิมฉลองกัน 7 วัน หลังจำกเสร็จพิธีกำรยก
ยอดฉัตร มีชำวบำนกะเหรี่ยงจำกที่ตำงๆ มำรวมเป็นจํำนวนมำก เมื่อทํำบุญพระ
เจดียแเสร็จ ครูบำเจำศรีวิชัยพรอมกับคณะก็จำริกไปทำงอํำเภอสะเมิง จังหวัด
เชียงใหม ตอมำมี “พระอินทนน” ไมทรำบฉำยำ มำอยูประจํำวัดบำนจันทรแ
-87-
เครอื ข่ายพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาติพันธุ์
หลำยสิบพรรษำ ทำนก็เดินจำริกตอไปทํำใหวัดจันทรแขำดพระจํำพรรษำในระยะ
หนึ่ง ชำวบำนก็นิมนตแพระกร ไมทรำบนำมสกุล ที่เดินทำงจำกอํำเภอเวียงแหง
จังหวดั เชยี งใหม ผำ นเมอื งนอ ย เมืองปำย จังหวัดแมฮองสอน ซ่ึงในสมัยนั้นมีวัด
จันทรแวัดเดียวเทำนั้น ในแตละปีจะมีชำวบำนจำกตํำบลแมแดด ตํำบลแจมหลวง
และศรัทธำเขตจงั หวัดแมฮอ งสอน มำรวมทำํ บุญเปน็ ประจำํ ทุกปเี ปน็ จำํ นวนมำก
พระนิคม กิจจฺสำโร พระธรรมจำริกประจํำวัดบำนจันทรแเลำวำ ปี
พุทธศักรำช 2510 ทำงโครงกำรพระธรรมจำริกวัดศรีโสดำ จังหวัดเชียงใหม
ไดจัดสงพระธรรมจำริกเขำมำปฏิบัติงำนในวัดจันทรแโดยมี พระอุไร มหำวีโร เป็น
พระธรรมจำริกรุนแรกไดเขำมำพัฒนำบูรณปฏิสังขรณแที่พักศำลำบํำเพ็ญบุญและมี
กำรอบรมศีลธรรมใหแกประชำชน ทั้งหลักธรรมทำงพระพุทธศำสนำพิธีกรรม
เบื้องตน ทํำใหชำวบำนในตํำบลบำนจันทรแเกิดควำมศรัทธำเล่ื อมใสใน
พระพุทธศำสนำมำกข้ึน จึงมีกำรขยำยพื้นที่และสรำงอำศรมในหมูบำนตำงๆ
จำกนั้นไดนิมนตแพระธรรมจำริกมำขยำยพ้ืนที่ในกำรทํำงำนเขำไปในหมูบำนท่ีได
สรำงอำศรมจนครบทุกอำศรม ตอมำ ปีพุทธศักรำช 2522 พระบำทสมเด็จพระ
เจำอยูหัว ภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระนำงเจำพระบรมชำรำชีนำถ สมเด็จพระ
บรมโอรสำธิสยำมบรมรำช และสมเด็จพระเทพรัตนแรัชสุดำ เสด็จเย่ียมพสกนิกร
ชำวไทยภูเขำในถ่ินทุรกันดำร มีกำรจัดต้ังศูนยแศีลปำชีพ เพื่อเสริมสรำงรำยไดจำก
กำรทอผำ จำํ หนำย พระสงฆเแ ขำ มำจนถึงปใจจบุ ัน ซึง่ มพี ระภกิ ษุที่มำจํำพรรษำในวัด
บำนจนั ทรแ
บำนหวยบงเป็นหมูที่ 4 ตํำบลบำนจันทรแ อํำเภอกัลยำณิวัฒนำ จังหวัด
เชียงใหม เป็นหมูบำนบริวำรของบำนหนองเจ็ดหนวย หำงกัน 1 กิโลเมตรเศษ
บำนหวยบง มีชื่อที่เรียกกำรในทองถ่ินวำ “หวำ ซึ๊ คี” ซ่ึงแปลวำ บำนขุนบง
จำกกำรสมั ภำษณผแ ูอ ำวโุ สวำ เม่อื มำตง้ั รกรำกใหมๆ ที่มีไมกี่ครอบครอบ บริเวณน้ี
เต็มไปดว ยทรัพยำกรปุำไม โดยเฉพำะไมบ งท่ีต้งั อยกู องใหญทำมกลำงชุมชนแหง
นี้ เมื่อมีชำวบำนเริ่มที่จะอพยพเขำมำจำกตำมที่ตำงๆ ทํำใหมีกำรบุกรุกปุำท้ัง
กำรสรำงบำนเรือนและกำรประกอบอำชีพมำกข้ึน ปุำท่ีเคยอุดมสมบูรณแดวยไมปุำ
นำนำพันธแุกลับตองเส่ือมโทรมเพรำะมีจํำนวนประชำกรมำกข้ึน สันนิฐำนวำ
หมูบำนกอตง้ั ไดประมำณ 160 ปีแลว
-88-
เครือข่ายพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกล่มุ ชาติพันธ์ุ
ชำวบำนหวยบงจํำนวนไมนอยท่ีหันมำเปลี่ยนควำมเชื่อหันมำนับถือ
พระพุทธศำสนำ โดยกำรใหพระสงฆแไปประกอบพิธีแสดงตนเป็นพุทธมำมะ
ยึดถือพระรัตนตรัย โดยพ่ึงพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆแ
ตลอดชีวิต ควบคูกับกำรบูรณำกำรตำมควำมเช่ือและวิถีชนท่ียึดถือมำชำนำน
ปจใ จบุ นั บำนหว ยบงมชี ำวบำ นบำงสวนไปนับถือศำสนำคริสตแ เหตุผลอยำงเดียวกัน
วำมีควำมเบ่ือหนำยในกำรประกอบพิธีเล้ียงผี และเช่ือวำเมื่อนับถือคริสตแศำสนำ
แลวดวงวิญญำณไมสำมำรถท่ีมำเบียดเบียนครอบครัวได เพรำะเมื่อนับถือศำสนำ
คริสตแแลว ตองละทงิ้ ควำมเชือ่ เดมิ ๆ ทงั้ หมด ตลอดถึงประเพณี วัฒนธรรม ของตน
อยำงสิ้นเชิง ปใจจุบันมีจํำนวนผูนับถือพุทธศำสนำจํำนวน 38 ครอบครัว นับถือ
ศำสนำครสิ ตแ จำํ นวน 1 ครอบครัว
วัดบำนหวยบง เร่ิมกอสรำงเมื่อปีพุทธศักรำช 2635 โดยมีพระผัด สุจิตฺ
โต และชำวบำนที่ตองกำรใหอำศรมพระธรรมจำริกต้ังอยูในชุมชน พรอมท้ังมีพระ
ธรรมจำริกมำจํำพรรษำ เพ่ือมำอบรม ปลูกฝใงเร่ืองคุณธรรมจริยธรรมและประกอบ
พธิ กี รรมทำงพระพทุ ธศำสนำใหกับชำวบำน โดยไดรับควำมรวมมือจำกสํำนักงำน
บรหิ ำรโครงกำรพระธรรมจำรกิ สว นภมู ิภำค วัดบำนหว ยบง มเี นอื้ ท่ที ้งั หมด 55 ไร
โครงกำรศูนยแพระบัณฑิตอำสำพัฒนำรำษฎรบนพ้ืนที่สูง ปฏิบัติงำนภำยใต
พันธกิจท่ี 2 กำรบริกำรสังคม และพันธกิจที่ 3 อนุรักษแฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม
ประเพณีกลมุ ชำตพิ นั ธบแุ นพืน้ ท่ีสูง โดยในปี 2563 วัดหวยบง อ.กัลยำณิวัฒนำ จ.
เชียงใหม ไดจัดวัดใหเป็นแหลงเรียนรูวิถีวัฒนธรรมทองถิ่น โดยกำรเรียนรูผำน
ภำพจิตรกรรมฝำผนังพระวิหำร ท่ีถำยทอดวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชำวปกำเก
อญอ และแหลงเรียนรูในรูปแบบอำคำรบำนเรือน ซึ่งภำยในจัดแสดงเคร่ืองมือ
เคร่ืองใช และคติควำมเช่ือของชำวปกำเกอญอในดำนตำงๆ มีกลุมตัวแทน
ชมรมปกำเกอญอ มจร. และประชำชนจำกกรุงเทพฯ เขำมำแวะเยี่ยมชมวิถีปกำ
เกอะญอ ตลอดถึงกลุมนักเรียนโรงเรียนมัธยมกัลยำณิวัฒนำเฉลิมพระเกียรติ
เดนิ ทำงมำทัศนศึกษำโดยตลอด เพื่อกำรสรำงจิตสํำนึกใหชุมชนตระหนักถึงคุณคำ
และควำมสํำคัญภูมิปใญญำทองถิ่น วัฒนธรรมประเพณีอันดีงำม กำรสนับสนุน
สงเสริมอนุรักษแฟ้ืนฟูภูมิปใญญำทองถ่ิน และวัฒนธรรมประเพณี กำรเผยแพร
ประชำสมั พันธวแ ฒั นธรรมประเพณขี องชุมชน
-89-
เครือขา่ ยพระนักพฒั นากบั การพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของกล่มุ ชาติพนั ธ์ุ
อำศรมพระธรรมจำริกบำนหนองแดง กอตั้งข้ึนเม่ือปีพุทธศักรำช 2525
เพื่อเป็นสถำนท่ีทํำบุญ ฟใงพระธรรมเทศนำหรือประกอบพิธีทำงพระพุทธศำสนำ
เพรำะเม่ือกอนไปทํำบุญที่วัดจันทรแมีระยะทำงไกล ชวงฤดูฝนไมมีควำมสะดวก
และท่ีสํำคัญคนเฒำ เด็ก และเยำวชน ไมคอยไดไป จำกกำรพูดคุยกันในระดับ
ผูนํำในชุมชนเห็นวำนำจะสรำงศำลำบํำเพ็ญบุญข้ึนมำสัก 1 หลัง เพื่อจะได
นิมนตแพระธรรมจำริกมำอยูประจํำหมูบำน ปใจจุบันมีศำลำบํำเพ็ญบุญ กุฏิท่ีพัก
สงฆแ อำคำรเอนกประสงคแและหองสุขำ จำกกำรเขำเผยแผพระพุทธศำสนำใน
คร้ังน้ัน ทํำใหชำวบำนจํำนวนมำก หันเส่ือมใสในพระพุทธศำสนำแลวมำแสดงตน
เป็นพุทธมำมกะ ยึดถอื พระรตั นตรัยเปน็ ที่พงึ่ ตลอดชวี ติ นอกจำกน้ันมิชชั่นนำรีก็
เขำมำเผยแผศำสนำคริสตแ ทํำใหบำนหนองแดงมีท้ังผูท่ีนับถือศำสนำพุทธ คริสตแ
และเช่ือทำงบรรพบุรุษ จำกกำรเขำมำเผยแผพระพุทธศำสนำของพระธรรมจำริก
ตง้ั แตเร่มิ จนถึงปใจจุบนั มพี ระธรรมจำรกิ ในแตล ะปี
บำนโปุงขำว หมูที่ 6 ตํำบลบำนจันทรแ อํำเภอแมแจม จังหวัดเชียงใหม
เป็นหยอมบำนของบำนหนองแดง ท่ีหำงกันประมำณ 5 กิโลเมตร หำงจำกวัด
บำนจันทรแประมำณ 8 กิโลเมตร เป็นหมูบำนเล็กๆ ในทำมกลำงของปุำสนมี
แมนํ้ำสำยเล็กๆ ผำนหมูบำน จำกกำรสัมภำษณแพำตีจอสี ย่ิงรักเพ็ญจันทรแ
เป็นฮี่โข ท่ีมำตั้งรกรำกต้ังแตแรกเลำวำเดิมที่เห็นวำสถำนที่แหงน้ีมีควำม
เหมำะสมท่ีจะตั้งบำนเรือนเพรำะมีควำมสมบูรณแท้ังแมน้ํำ ผืนปุำ มำคร้ังแรกมีแค
ไมก ่คี รอบครัวแตนำนเขำมีเพือ่ นบำนท่อี พยพมำจำกบำนจันทรแและจำกเขตจังหวัด
แมฮ อ งสอนอพยพเขำ มำ ทํำใหม ีประชำกรเพ่ิมขนึ้ ตำมลํำดับ จำกน้ันไมนำนเมื่อ
ประชำกรมำกทํำใหพ้ืนท่ีแออัด ขำดพื้นที่จะทํำกิน จึงยำยไปตั้งหมูบำนแหงใหม
ท่หี นองแดง บำ นโปุงขำวเป็นหมูบำ นที่มีควำมเชือ่ ของบรรพบุรุษควบคุมไปกับกำร
กำรนับถือพระพทุ ธศำสนำอยำงม่งั คง ทํำใหป ใจจุบนั ชำวบำ นทง้ั หมดนับถอื ศำสนำ
อำศรมบำนหนองแดง ตํำบลบำนจันทรแ อํำเภอกัลยำณิวัฒนำ จังหวัด
เชียงใหม หมูบำนหนองแดง หมู 6 ตํำบลบำนจันทรแ อํำเภอแมแจม จังหวัด
เชียงใหม หำงจำกตํำบลบำนจันทรแ 8 กิโลเมตร บำนหนองแดง เริ่มท่ีอพยพจำก
บำนโปุงขำวกำรเขำมำครั้งแรกมีเพียงไมก่ีคน สภำพท่ัวไปเป็นไปตนสนสวนใหญ
ชำวบำนประกอบอำชพี ในกำรทํำไร ทำํ งำน เลี้ยงสัตวแตำมวิถีชนของกลุมชำติพันธแุ
กะเหรย่ี งทั่วไป เม่ือมีชำวบำนจำกท่ีอ่ืนยำยเขำมำสมทบมำกข้ึน ชำวบำนมีควำม
-90-
เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพัฒนาคุณภาพชวี ติ ของกลุ่มชาติพันธ์ุ
เช่ือทำงบรรพบุรุษ แตเมื่อมีผูมำเผยแผศำสนำทั้งพระธรรมจำริกและมิชช่ันนำรี
ทำํ ใหชำวบำนหันนับถอื ทง้ั พระพทุ ธศำสนำและศำสนำครสิ ตแ ปใจจุบันมีชำวบำนนับ
ถอื ศำสนำพุทธ 80 หลังคำเรือน มีศำสนำคริสตแ 10 หลังคำเรือน มีประชำกรเป็น
หลังคำเรอื น 84 หลงั คำเรือน 104 ครอบครัว
อำศรมพระธรรมจำริกบำนหนองแดง กอต้ังขึ้นเม่ือปีพุทธศักรำช 2525
เพ่ือเป็นสถำนท่ีทํำบุญ ฟใงพระธรรมเทศนำหรือประกอบพิธีทำงพระพุทธศำสนำ
เพรำะเม่ือกอนไปทํำบุญที่วัดจันทรแมีระยะทำงไกล ชวงฤดูฝนไมมีควำมสะดวก
และที่สํำคัญคนเฒำ เด็ก และเยำวชน ไมคอยไดไป จำกกำรพูดคุยกันในระดับ
ผูนํำในชุมชนเห็นวำนำจะสรำงศำลำบํำเพ็ญบุญขึ้นมำสัก 1 หลัง เพื่อจะได
นิมนตแพระธรรมจำริกมำอยูประจํำหมูบำน ปใจจุบันมีศำลำบํำเพ็ญบุญ กุฏิท่ีพัก
สงฆแ อำคำรเอนกประสงคแและหองสุขำ จำกกำรเขำเผยแผพระพุทธศำสนำใน
ครั้งน้ัน ทํำใหชำวบำนจํำนวนมำก หันเส่ือมใสในพระพุทธศำสนำแลวมำแสดงตน
เป็นพทุ ธมำมกะ ยดึ ถอื พระรัตนตรัยเป็นทีพ่ ึง่ ตลอดชวี ิต นอกจำกน้ันมิชชั่นนำรีก็
เขำ มำเผยแผศำสนำคริสตแ ทํำใหบำนหนองแดงมีทั้งผูที่นับถือศำสนำพุทธ คริสตแ
และเช่ือทำงบรรพบุรุษ จำกกำรเขำมำเผยแผพระพุทธศำสนำของพระธรรมจำริก
ตง้ั แตเรม่ิ จนถึงปจใ จบุ ัน มีพระธรรมจำรกิ ในแตละปี
อำศรมบำนหวยปู ตํำบลแมแดด อํำเภอกัลยำณิวัฒนำ จังหวัดเชียงใหม
บำนหว ยปู หมทู ี่ 5 ตํำบลแมแ ดด อำํ เภอกัลยำณิวัฒนำ จังหวัดเชียงใหม อยูหำง
จำกอํำเภอแมแจม จังหวัดเชียงใหม ประมำณ 43 กิโลเมตร บำนหวยปู ต้ังอยู
ระหวำงหุบเขำแคบๆ ในเทือกเขำถนนธงชัยตะวันตก ชุมชนมีสภำพเป็นภูเขำสูง
ท่ีต้ังของชุมชนเป็นพื้นที่รำบแคบๆ ระหวำงภูเขำพื้นท่ีมีควำมสูงจำก
ระดับนํ้ำทะเล 1,000 เมตร ลักษณะพื้นท่ีตั้งของชุมชนมีลักษณะบนพื้นรำบมี
ภูเขำลอ มรอบ ควำมสูงและลำดชันทํำใหเกิดน้ํำหวยไหลผำนชุมชน ซึ่งสำมำรถ
ใชประโยชนแไดตลอดท้ังปี สภำพภูมิอำกำศ เน่ืองจำกสภำพภูมิประเทศของ
หมูบำ นหวยปู จงึ ทํำใหมอี ำกำศคอนขำงดีตลอดท้ังปี เพรำะโดยรอบๆ มีปุำไม
ที่อดุ มสมบูรณแอยู สภำพภมู ิอำกำศของบำนหว ยปมู ี 3 ฤดู
บำนหวยปูแตเดิมช่ือบำนแมแดดหลวง แลวเปล่ียนชื่อเป็นบำนหวยปู
สมยั ผใู หญ นำยพะหลู อำํ ไพอภริ ูป เมอ่ื ประมำณ 50 ปีกอ น คำํ วำหวยปูมำจำกคํำ
วำ หวยพลู ซ่ึงเคยมีใบพลูมำกในบริเวณนี้ จำกกำรบันทึกขอควำมของเจำลำด
-91-
เครือข่ายพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลุ่มชาตพิ ันธ์ุ
ณ เชียงใหม ปี 2497 คนกอตั้งหมูบำนเป็นคนแรกคือนำยพะเลำะเหว ซึ่ง
หมูบำนน้ีแตกอนต้ังอยูในตํำบลแมศึก ก่ิงอํำเภอแมแจม จังหวัดเชียงใหม
กอตั้งครั้งแรกมีหลังคำเรือน 13 หลังคำเรือน ประชำกร 93 คน นับถือพุทธผีอยู
ไดสรำงอำศรมพระธรรมบำนหวยปู ปี พ.ศ. 2519 ไดจัดต้ังโรงเรียน ในปี พ.ศ.
2517 และในปี พ.ศ. 2537 ไดจัดสรำงอนำมัย ไฟฟูำพลังนํ้ำข้ึน ปใจจุบัน
หมูบำนหวยปู ในปีพุทธศักรำช 2519 ชำวบำนหวยปู ไดมีมติที่ประชุมอยำง
เอกฉันทแท่ตี องกำรใหพระธรรมจำรกิ มำอยปู ระจํำหมบู ำน เพื่อที่จะมำพัฒนำท้ังวัตถุ
และจิตใจตลอดถึงเป็นสถำนท่ีเผยแผหลักธรรมของพระพุทธศำสนำของชำวบำน
หลังจำกท่ชี ำวบำ นหวยปูในสมัยนนั้ มคี วำมเช่ือในเร่ืองบรรพบรุ ษุ ในแตละปีจะมีกำร
ประกอบพิธีเล้ียงผีบำน คนในครอบครัวไดรับกำรเจ็บไขไดปุวยชำวบำนจะมีกำร
นับถือผีควบคูไปกับกำรนับถือศำสนำอ่ืน เพรำะสังคมดั้งเดิมของกลุมชำติพันธแุ
กะเหรี่ยง มีกำรนับถือผีมำแตโบรำณ ซึ่งจะมีชื่อเรียกวำ “เอำะแค” (กำรเลี้ยงผี
บำน) และกำรฉีดยำ ท่ีกะเหรี่ยงเรียกวำ “แช฿ะ เก฿อะ ส่ี” ท่ีคนที่ฉีดอำงวำบุคคลที่
ฉีดยำนี้แลวจะปลอดภัยจำกกำรเบียดเบียนของวิญญำณท้ังปวง ซ่ึงกำรมีควำมเชื่อ
ผสมผสำนไปกับกำรนับถือพระพุทธศำสนำนำนนับหลำยชวงอำยุคนแลว จำก
หมูบำนหวยปูมีพระธรรมจำริกอยูประจํำหมูบำน ชำวบำนไดเริ่มที่มีควำมรูควำม
เขำใจในหลักธรรมและพิธีกรรมทำงพระพุทธศำสนำ มีควำมศรัทธำเลื่อมใสใน
บวรพระพุทธศำสนำ มกี ำรพัฒนำดำ นวตั ถแุ ละจติ ใจควบคูกันไป จนทํำใหบำน
หวยปูมีควำมเจริญกำวหนำท้ังวัตถุและจิตเป็นลํำดับ สังเกตจำกในแตละปี
ชำวบำ นไดป ระกอบพิธแี สดงตนเปน็ พทุ ธมำมะเป็นจํำนวนมำก ปใจจุบันมีผูนับถือ
พระพุทธศำสนำจํำนวน 59 หลังคำเรือนและนับถือศำสนำคริสตแจํำนวนนิกำย
คำทอลิก 3 หลังคำเรือน จำกกำรเขำมำเผยแผพระพุทธศำสนำของพระธรรม
จำริกในหมูบ ำ นหวยปู ตงั้ แตป ีพทุ ธศักรำช 2519 จนถึงปจใ จบุ นั
อำศรมบำนแมแดดนอย ตํำบลแมแดด อํำเภอกัลยำณิวัฒนำ จังหวัด
เชียงใหม บำนแมแดดนอย หมูท่ี 4 บำนแมแดดนอย ตํำบลแมแดด อํำเภอ
กัลยำณิวัฒนำ จังหวัดเชียงใหม กอต้ังเป็นหมูบำนประมำณ 200 กวำปี กำรใชช่ือ
ถือเอำชื่อแมนํ้ำแมแดด (ขุนแมแดด) อันเป็นตนน้ํำท่ีไหลผำนหมูบำน บำนแม
แดดนอ ยต้ังขึน้ เมื่อปี พ.ศ.2259 เดิมบำนแมแ ดดนอยอยูใ นตํำบลวัดจันทรแ จนถึง
ปี พ.ศ.2538 จึงไดแยกตัวออกมำเป็นตํำบลแมแดด ชำวบำนแมแดดนอย
-92-
เครอื ข่ายพระนกั พฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของกลุ่มชาตพิ นั ธ์ุ
ชำวบำนแมแ ดดนอ ยมคี วำมเชอื่ และเครงครัดใจจำรีตประเพณี จึงมผี ูน ํำทำงศำสนำ
ควำมเช่ือที่สืบทอดตํำแหนงกันทำงสำยเลือดโดยลํำดับ ผูนำํ ทำงศำสนำ
ชำวบำ นในหมูบำ นแมแดดนอ ย เดิมมคี วำมเชอ่ื และนับถือผเี ป็นพน้ื ฐำนอยู
แลว มกี ำรเซนไหวบรรพบุรุษ ตำมวำระและโอกำสทำงควำมเช่ือของทำงหมูบำน
และในปี พ.ศ 2523 ศำสนำพุทธก็เร่ิมเขำมำในหมูบำน มีชำวบำนบำงกลุมที่
สนใจและใหค วำมเล่อื มใสในพทุ ธศำสนำก็หันมำนับถือศำสนำพุทธ ซ่ึงวัฒนำธรรม
ตำงๆ ก็คงทํำเหมอื นเดิม แตม บี ำงอยำ ง เชน กำรไหวบรรพบุรุษ ผูที่นับถือศำสนำ
พุทธจะไมมกี ำรจัดพิธีกรรมไหวบรรพบุรุษ สวนกลุมที่นับถือผีก็ทํำตำมรูปแบบเดิม
แตชำวบำนท้ัง 2 กลุมก็อยูรวมกันไดมำทํำกิจกรรมรวมกันทำงศำสนำในวัน
สํำคญั ๆ และจึงทำํ ใหม ีสถำนทปี่ ระกอบพธิ ีกรรมทำงศำสนำข้ึน โดยทำงวัดศรีโสดำ
ไดกอตั้งอำศรมพระธรรมจริกบำนแมแดดนอยข้ึนเม่ือวันที่ 1 พฤษภำคม พ.ศ.
2523 โดยควำมเห็นชอบและควำมรวมมือของชำวบำนดวย ทำงวัดศรีโสดำไดสง
พระธรรมจรกขึ้นมำปฏิบัติงำนและเผยแพรทำงพระพุทธศำสนำอบรมประพฤติ
ปฏิบัติใหแกชำวบำน มีพระธรรมจำริกที่ขึ้นมำประจํำอยูท่ีอำศรมบำนแมแดดนอย
ต้ังแตรุน แรกถึงปจใ จบุ ันมีจํำนวน 12 รปู
อำศรมบำนขุนแมรวม ตํำบลแจมหลวง อํำเภอกัลยำณิวัฒนำ จังหวัด
เชยี งใหม บำ นขุนแมร วม มีชอ่ื เปน็ ภำษำกะเหร่ียงวำ “เหมโลคี” มีกำรยำยเขำมำ
เม่ือปี 2326 นํำโดยนำยแดดู (ไมทรำบนำมสกุล) พรอมกับหลำนชำยอีกคน
หน่ึงช่ือนำยแชแช ยำยมำจำกบำนแมหยอด ตํำบลแมศึก อํำเภอแมแจม จังหวัด
เชยี งใหม ซึง่ หำงจำกบำ นขนุ แมร วมประมำณ 20 กิโลเมตร เพรำะเห็นวำสถำนที่
ที่มีควำมเหมำะสมท่ีจะตงั้ บำนเรอื น มพี ้นื ทกี่ ำรประกอบอำชีพ เพรำะมีแมนํ้ำแม
รวมไหลผำนแตตำมควำมเชือ่ ของชำติพนั ธุแกะเหรยี่ งกำรสรำ งบำนมิใชเห็นวำดีแลว
สรำง จะตองมีกำรทํำนำยทำยทักวำ สถำนท่ีแหงนี้เมื่อมำอยูแลวจะมีควำมสุข กำร
ประกอบอำชีพจะมีควำมเจริญรุงเรืองหรือไม ทํำใหนำยเดดู จะสรำงบำนไดมีกำร
ทํำพิธีกรรมตำมควำมเชอ่ื ตำมบรรพบุรุษโดยกำรนํำกระดูกไกมำทํำนำย โดยนํำเอำ
สว นกะโหลกหวั ไกม ำดู หำกกระดกู ไดสัดสวนมีควำมสมบูรณแไมหัก ไมงอ มีควำม
ปรกติทุกอยำง ถึงวำสำมำรถสรำงบำนอยูแลวจะมีควำมสุข มีควำมเจริญรุงเรือง
ได จงึ จะสรำงบำนเรือนตรงไหนไดบ ำ ง กำรเลอื กไกม ำประกอบพิธีโดยไมเลือกไก
ท่ีไมดี เชนไกท่ีไขบนดิน ไกที่กินไขตัวเอง ไกผูเมียขัน ไกท่ีจะมำประกอบพิธี
-93-
เครือขา่ ยพระนักพัฒนากบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของกลมุ่ ชาตพิ ันธุ์
ทํำนำยทำยทักคือ ไกดํำเพื่อหำสถำนท่ีต้ังบำนเรือน เมื่อไดจุดตํำแหนงแลวก็ได
สรำงบำน 1 หลัง ท่ีเรียกช่ือตำมภำษำกะเหร่ียงวำ “เบลำะ” ใชสํำหรับประกอบ
พิธีกรรมและไวตอนรับแขกท่ีมำเยือน เม่ือสรำง “เบลำะ” เรียบรอย ก็จะให
สมำชิกหำท่ีจับจองสรำงบำนบริเวณรอบๆ “เบลำะ” ตำมควำมเชื่อของกะเหรี่ยง
นั้นหำกหำจุดตํำแหนง “เบลำะ” ไมไดหรือไมดีก็จะต้ังรกรำกสรำงบำนไมได
เชนกนั ในกำรปกครองบำ นน้ันจะมีกำรปกครองแบบผนู ำํ ตำมธรรมชำติ
สภำพพื้นที่ของบำนขุนแมรวม ยังมีทรัพยำกรธรรมชำติปุำไมยังมีควำม
อุดมสมบูรณแมำก จำกกำรอนุรักษแของชุมชน ลํำหวยทุกสำยจะมีนํ้ำไหลตลอดปี
เม่อื ปี พ.ศ. 2480 ชำวเขำเผำมง เขำมำอพยพตงั้ รกรำก เดิมมีเพียงไมก่ีหลังแตไม
นำนก็มีกำรอพยพตำมกันมำมำกข้ึนประมำณส่ีสิบหลัง มีกำรปลูกฝิ่นเป็นอำชีพ
หลัก และไดบ กุ รุกขนำยพ้นื ทีเ่ พำะปลูกฝิน่ ในเขตอนุรักษแตน นํ้ำของชำวบำน ทํำให
น้ํำท่ไี หลตลอดปเี ร่ิมมจี ำํ นวนลดลงเรอ่ื ยๆ ไดเกิดปใญหำทต่ี ำมมำอยำงรุนแรงหลำย
เรื่อง มีกำรลำสัตวแปุำและฆำสัตวแเลี้ยงของชำวบำน โดยท่ีเอำผิดใครไมได กำรลำ
สัตวแในเขตตนนํ้ำพรอมกับกำรจุดไฟเผำปุำทํำใหขุนหอย ขุนแมรวมเสียหำยมำก
ขึ้น จำกกำรปลูกฝิ่นชำวบำนขุนแมรวมเองบำงสวนเร่ิมหันมำปลูกตำมกัน
ชำวบำนสวนหน่ึงก็ติดยำจำกนั้น ตชด. ทรำบเร่ืองก็เขำมำสืบหำขอมูล
ปรำบปรำม เขำไปตัดฝ่นิ ในไร มีกำรสอบถำมขอมูลเพิ่มเติมใครเป็นผูท่ีปลูกฝ่ินแต
ก็ไมมีใครยอมรับ ผูที่ปลูกฝ่ินสวนใหญเป็นชำวเขำเผำมงและชำวบำนขุนแมรวม
บำงสวนจงึ ทํำใหเกิดกำรขัดแยงระหวำงชำวบำนท่ีไมไดปลูกฝิ่นจึงรวมตัวกันขับไล
ชำวเขำเผำมงใหออกจำกพ้ืนท่ี โดยมีเหตุผลวำ ในเม่ือไมมีใครเป็นเจำของไรฝิ่น
และไมมีใครยอบรับตองไมมีใครอยูและหำมไมใหทํำไรฝิ่นอีกตอไปอยำงเด็ดขำด
ใหออกจำกพื้นท่ี ทีอ่ ยูอ ำศัยทงั้ หมด
อำศรมฯ บำ นขุนแมรวม เป็นกลุมชำติพันธุแกะเหร่ียงที่ยึดถือและเครงครัด
ในเรื่องจำรีตประเพณีของควำมเป็นปกำเกอะญออยำงเสมอตนเสมอปลำย กอนที่
จะมีพระธรรมจำริกเขำ มำในชุมชน ชำวบำนขุนรวมประกอบพิธีตำมควำมเช่ือของ
ตน มคี วำมเชื่อหมอผีหรือฮโี ขเ ป็นหลัก เวลำเจ็บปุวย มักจะประกอบพิธีกำรเลี้ยงผี
เป็นกำรเล้ียงดวงวิญญำณท่ีมำเบียดเบียน ควำมเช่ือทำงบรรพบุรุษและ
พระพุทธศำสนำสำมำรถที่จะผสมผสำนกันได จึงทํำใหชำวบำนขุนแมรวมเมื่อถึง
เวลำงำนบุญงำนกุศลเชนวันสงกรำนตแ พำกันไปทํำบุญในตัวอํำเภอแมแจม
-94-
เครอื ข่ายพระนักพฒั นากบั การพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของกลมุ่ ชาติพนั ธุ์
จังหวัดเชียงใหม แตสวนมำกจะมำรวมทํำบุญท่ีวัดบำนจันทรแ เพรำะถือโอกำสไป
เย่ียมญำติพ่ีนอง จำกกำรไปทํำบุญที่วัดอื่นอยำงตอเนื่อง ผูนํำชุมชนเล็งเห็นวำ
ชำวบำนขุนแมรวมเป็นหมูบำนขนำดใหญ ควรมีกำรจัดตั้งอำศรมและไปขอ
นมิ นตพแ ระธรรมจำริกจำกโครงกำรพระธรรมจำรกิ สว นภมู ภิ ำคมำประจํำหมบู ำน
ปีพุทธศักรำช 2519 ชำวบำนไดนิมนตแ พระอินชวย ไมทรำบฉำยำ
มำเป็นพระธรรมจำริกรูปแรก ชำวบำนไดชวยกันสรำงศำลำบํำเพ็ญบุญและที่พัก
สงฆแ เมื่อมีพระธรรมจำริกมำอยปู ระจํำในหมูบ ำ น ชำวบำ นไดมโี อกำสำเขำอำศรม
ฟใงธรรมเทศนำ จึงเกิดควำมศรัทธำเล่ือมใสในพระพุทธศำสนำ อยำกเขำพิธีแสดง
ตนเป็นพุทธมำกมะ กอปรกับเบื่อหนำยกับกำรเล้ียงผีในกำรบูชำวิณญำณบรรพ
ชน เพรำะมีข้ันตอนท่ียุงยำก เบ้ืองตนไมมีใครที่จะกลำท่ีจะเขำพิธีแสดงตนเป็น
พุทธมำมกะ เพรำะเกรงวำดวงวิญญำณบรรพชนโกรธเคืองแลวมำทํำรำยตนและ
ครอบครัว นำยเงยดี อำภำประเสริฐและครอบครัวนำยสำโท วุฒิเจริญกำร จึง
ตัดสินที่จะเลิกกำรเลี้ยงผีในบำน โดยนิมนตแพระธรรมจำริกมำประกอบพิธีในกำร
แสดงตนเปน็ พุทธมำมกะ จนถงึ ปจใ จุบันมีชำวบำ นเกอื บทง้ั หมูบำนไดเขำมำแสดง
ตนเป็นพุทธมำมกะตำม โดยนํำเอำพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรมและ
พระสงฆเแ ปน็ ท่ีพงึ่ ของตนตลอดชีวิต
สถำนท่ีทองเที่ยวเสนทำงอํำเภอกัลยำณิวัฒนำ สถำนท่ีใกลเคียงกัน
นอกจำกจะมีสถำนที่ศักด์ิสิทธิ์ อันเป็นศูนยแรวมใจของชำวชุมชนก็คือ “วัดจันทรแ”
ท่ีเป็นวัดเกำแกของชุมชน ประดิษฐำนพระธำตุวัดจันทรแ และมีวิหำรท่ีเป็นที่รูจัด
ของคนทั่วไปวำ “วิหำรแวนตำดํำ” หรือ “วิหำรเรยแแบน” ที่เมื่อมองจำกดำนหนำ
วิหำรแลวจะเห็นภำพคลำยกับมีแวนตำขนำดใหญสวมอยู แหลงทองเที่ยวของ
ชุมชนวดั จนั ทรนแ ้ัน งดงำมดวยพ้นื ที่ท่ีธรรมชำตสิ รำงสรรคขแ น้ึ
ศูนยแกลำงของ อ.กัลยำณิวัฒนำ อยูท่ีชุมชนบำนจันทรแ ซ่ึงมี “วัดจันทรแ”
เป็นศูนยแรวมแหงศรัทธำ วัดจันทรแ เป็นวัดเกำแกไมมีหลักฐำนแนชัดวำสรำงใน
สมัยใด แตสันนิษฐำนวำสรำงขึ้นมำไดกวำ 300 ปีแลว ซ่ึงช่ือของวัดจันทรแ บำน
จันทรแน้ัน ตำมตํำนำนเชื่อวำมำจำกชื่อของ “นำยจันทรแ” (ตํำนำนหนึ่งวำเป็นคน
จำกลำนนำ อีกตำํ นำนหนึ่งวำเป็นคนพนื้ ที่ที่น่ี) วัดจันทรแเป็นท่ีประดิษฐำนของพระ
ธำตวุ ดั จนั ทรสแ ่ิงศกั ดิ์สิทธิ์คูบำน ขณะท่ีวิหำรของท่ีน่ีนับวำดูแปลกจำกวิหำรท่ัวๆไป
หลำยคนเรียกวิหำรหลังน้ีวำ “วิหำรแวนตำดํำ” หรือ “วิหำรเรยแแบน” เพรำะเมือง
-95-