หนว่ ยที่ 1 หนว่ ยที่ 5
ควำมรทู้ วั่ ไปเกีย่ วกบั ประกนั ภัย
คำอธบิ ำยรำยวชิ ำ หน่วยที่ 2 กำรประกนั ชวี ติ
สัญญำประกนั ภัย หนว่ ยที่ 6
หน่วยท่ี 3 กำรขำยประกันชีวิต
กำรประกันวินำศภัย หนว่ ยที่ 7
หนว่ ยท่ี 4
กิจกำรประกันภัย
ประเภทของกำรประกันวินำศภัย
คำอธบิ ำยรำยวิชำ
วิชำกำรประกนั ภยั รหสั วิชำ 2202-2107 ทฤษฏี 1 ปฏบิ ตั ิ 2 หน่วยกติ 3
หลักสตู รประกำศนยี บัตรวิชำชพี ประเภทวชิ ำพำณิชยกรรม สำขำวิชำกำรตลำด
จดุ ประสงคร์ ำยวชิ ำ เพ่ือให้
1. เขา้ ใจหลกั การประกนั ภัยเงอ่ื นไขของการประกันภัยและธุรกจิ การประกันภัย
2. สามารถเขียนคณุ สมบตั ิ จรรยาบรรณตวั แทนประกันภยั กฎหมายและองคก์ ารทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การประกนั ภยั
3. มีเจตคตแิ ละกจิ นิสยั ท่ดี ใี นการทางานด้วยความรับผดิ ชอบ ความละเอียดรอบคอบ ความอุตสาหพยายาม และสขุ ภาพออ่ นนอ้ ม
สมรรถนะรำยวิชำ
1. แสดงความรเู้ กย่ี วกบั หลักการประกันภยั เงอ่ื นไขของการประกนั ภยั และธรุ กิจการประกันภัย
2. แสดงความรู้เกีย่ วกบั คณุ สมบัติ จรรยาบรรณ ตวั แทนประกนั ภยั และกฎหมาย องค์การทีเ่ กี่ยวข้องกบั การประกันภัย
3. เตรยี มความพร้อมเพอื่ เขา้ สู่การเป็นตวั แทนประกันภยั ตามหลกั การ
4. แสดงเจตคติและกจิ นิสัยทด่ี ีในการดาเนินงานการตลาด
คำอธบิ ำยรำยวิชำ
ศกึ ษาและปฏิบตั เิ กยี่ วกบั หลกั การประกนั ภยั ประเภทของการประกนั ภยั เงอื่ นไขของการประกันภยั ธุรกจิ การประกันภัย คณุ สมบตั ิ
และจรรยาบรรณอาชพี ประกันภยั การเขา้ ส่อู าชีพประกันภยั กฎหมายและองค์การทเี่ ก่ยี วข้องกบั การประกันภัย กลบั
หน่วยท่ี 1
ควำมรูท้ ่วั ไปเก่ยี วกับประกนั ภยั
กลบั
ควำมหมำยของกำรประกันภัย
พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ใหค้ วามหมายของการประกนั ภัยไวว้ ่า การประกันภยั เป็นคากรยิ า
แปลวา่ การรับรองว่าจะรับผดิ เมอื่ เกิดความเสียหายหรอื เหตุอยา่ งใด อย่างหนึง่ ตามทีร่ ะบุไวใ้ นสัญญา
Willets กลา่ วว่า การประกันภัยเปน็ เครอ่ื งมือของสงั คมเพอ่ื สะสมเงินไว้จ่ายแก่ผโู้ ชครา้ ย ที่ได้รบั ความเสียหายจากภยั ที่
ระบุไว้ โดยการโอนภยั ที่ไมแ่ น่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ จากบุคคลท่ีเป็น สมาชกิ ไปยังบุคคลอกี คนหน่งึ หรืออีกคณะหนง่ึ
Miller กล่าววา่ การประกันภยั เปน็ เครื่องมอื ของสังคมทช่ี ่วยใหค้ วามไม่แนน่ อนในภัยที่เกดิ ข้นึ ของแต่ละคนใหบ้ ังคับ
ความแน่นอนโดยกลุ่มคนทีเ่ ข้ามาร่วมกนั ชว่ ยเปล่ียนความไมแ่ นน่ อน
เป็นความแน่นอน และสามารถชว่ ยกันแบ่งเบาความเสยี หายโดยอาศยั สมาชกิ ทัง้ หลาย
Piffier กล่าววา่ การประกนั ภยั เป็นเคร่อื งมือลดความไมแ่ นน่ อนของบุคคลฝ่ายหน่งึ ซงึ่ เรยี กว่าผเู้ อาประกัน โอนภยั ไป
ยงั บคุ คลอีกฝา่ ยหนง่ึ เรยี กวา่ ผรู้ ับประกนั ซึ่งเป็นฝ่ายที่สัญญาวา่ จะ ทาใหค้ วามเสียหายหรอื สญู หายนน้ั คืนสภาพเดิม ซ่ึงอาจจะ
ทง้ั หมดหรือเพยี งบางส่วน
Kulp C.A. กล่าวว่า การประกันภยั เป็นเครอ่ื งมือของสงั คมเพ่อื ทาหน้าทใี่ ห้เกดิ ความ แนน่ อนในภยั ที่เกดิ ขึน้ โดยวิธีเสยี่ ง
ภยั ดว้ ยกัน
กลบั
สรุป
กำรประกนั ภัย หมายถงึ การกระจายความเส่ียงภัยที่อาจเกดิ ขึ้น ไปยังสมาชิกท่มี ีความเสี่ยงภยั คล้าย
ๆ กนั โดยสมาชกิ จะต้องจ่ายเงินคนละเลก็ คนละน้อย ไวเ้ ปน็ กองทุนกลาง เมอ่ื สมาชกิ คนใดเกดิ ภยั และไดร้ ับ
ความเสยี หายจากภัยท่รี ะบไุ วใ้ นสัญญา สมาชิกคนนัน้ จะได้รบั การชดใชต้ ามมูลคา่ ความเสยี หายจากเงิน
กองกลางนั้น โดยมีคนกลางเป็นผ้ทู าหนา้ ที่จดั การกองทนุ
กลบั
ขอบเขตของกำรประกันภยั
1. กำรเสียหำยเกยี่ วกบั พลงั ในกำรหำรำยได้
เกี่ยวกบั พลงั ในการหารายได้ ได้แก่
1.1 การสูญเสียพลงั ในการหารายไดข้ องบคุ คลธรรมดา เช่น การมรณกรรม การ
เจ็บปว่ ย ความชรา อุบัตเิ หตุ การไม่มงี านทา เป็นตน้
1.2 การสูญเสยี พลงั ในการหารายไดข้ องธรุ กจิ เปน็ ภัยท่หี ากเกดิ ขึน้ แลว้ ทาให้
สถานประกอบธุรกจิ ตอ้ งเสยี หายและทาใหร้ ายได้ของธรุ กิจนน้ั ต้องสญู เสยี ไป เชน่ ไฟไหม้ นา้ ทว่ ม
พายุ การระเบิด เปน็ ต้น
กลบั
ขอบเขตของกำรประกนั ภัย
2. กำรเสียหำยเกย่ี วกบั ทรพั ย์สนิ การเสียหายของทรัพย์สนิ เกิดจาก
2.1 ภยั โดยแท้ เช่น แผ่นดินไหว ไฟไหม้ พายุ การระเบิด เรืออบั ปาง การจลาจล รวมไปถึง
อุบัติเหตุต่างๆ
2.2 การกระทาอนั ไมส่ จุ ริต เชน่ การโจรกรรม การปลอมแปลงเอกสาร การฉ้อโกง การ
ยักยอก เปน็ ตน้
2.3 การผดิ นดั หรอื การผิดขอ้ ตกลง เช่น ลกู หนไ้ี ม่ชาระหน้ีตามกาหนด ผู้รับเหมา กอ่ สร้าง
ปฏบิ ัติการไม่เสร็จสน้ิ ตามสัญญา
กลบั
ขอบเขตของกำรประกันภยั
2.4 การรบั ผดิ ชอบตามกฎหมาย เช่น นายจ้างต้องจ่ายเงินใหล้ ูกจ้าง ในกรณี ลกู จ้างถงึ แกก่ รรม
บาดเจ็บ ทุพพลภาพ เน่อื งมาจากการปฏบิ ัติหนา้ ท่ี หรือนายจ้างตอ้ งจ่ายเงนิ ให้ ลูกจา้ งเม่ือครบ
เกษยี ณอายุ เป็นตน้
2.5 ค่าใชจ้ า่ ยทอี่ าจเกิดขน้ึ ในอนาคต เช่น ค่ารักษาพยาบาลในกรณเี จบ็ ป่วยใน อนาคต
ค่าใชจ้ า่ ยในการเปลี่ยนแปลงธรุ กิจอนั เน่อื งมาจากไฟไหม้ เปน็ ต้น
กลบั
ประเภทของกำรประกนั ภัย
การประกนั ภยั แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่
2.1 กำรประกันชีวติ (Life Insurance) หมายถึง การประกนั ภยั ท่ีบริษัทผ้รู ับประกนั ภัย
จะชดใชเ้ งินใหน้ น้ั อาศยั เหตแุ ห่งการเสียชีวติ หรอื การมชี วี ติ รอดอยู่ ภายในกาหนดเวลาที่ตกลง กันไว้
2.2 กำรประกนั วนิ ำศภยั (Non-life Insurance) หมายถึง การประกันภัยท่ีบรษิ ทั ผรู้ ับ
ประกันภัยตกลงจะชดใชเ้ งนิ จานวนหนง่ึ ให้แกผ่ ูเ้ อาประกันวนิ าศภยั เม่อื มคี วามเสยี หายเกิดขนึ้ ซึ่ง
รวมถึงความสูญเสียในสิทธิ ผลประโยชนห์ รือรายได้ ที่อาจจะประมาณความเสยี หายหรอื ความ
สญู เสียเหลา่ นั้นเป็นเงนิ ได้
กลบั
ประวตั คิ วำมเปน็ มำของกำรประกนั ภยั
- จุดเรม่ิ ตน้ ของแนวความคดิ การประกันภัย ในสมัยกษัตริย์ฟาโรห์ แห่งอยี ิป ถือเป็น
โครงการประกนั ภัยอนั ดบั แรกที่บันทกึ ไว้ในประวตั ิศาสตร์
- แนวคดิ เก่ยี วกับการประกนั ภยั ในประเทศจีน ประมาณ 3,000 ปี กอ่ นคริสตกาล พอ่ ค้าชาว
จนี เดนิ ทางคา้ ขายตามลาแยงซี ไดม้ คี วามคดิ หาวธิ ีการกระจายความเสีย่ งภัย
- กอ่ นศตวรรษท่ี 13 มกี ารประกันภัยทางทะเลแพรห่ ลายแถบทะเลเมตเิ ตอรเ์ รเนีย
- สญั ญาประกนั ภยั การขนสง่ สนิ ค้าทางทะเลแบบแรกของโลก ที่ปรากฏเป็นหลกั ฐานจนถงึ ปัจจุบนั นี ้
คือ แบบลงวนั ท่ี 23 ตลุ าคม ค.ศ. 1347 ออกให้ ณ เมอื งเจนวั ประเทศอิตาลี
กลบั
ประวตั ิควำมเป็นมำของกำรประกันภยั
- การประกนั ภยั ทางทะเลมตี ้นกาเนินท่ีกรงุ ลอนดอน ประเทศองั กฤษ
- สัญญาประกนั ภัยฉบบั แรกของอังกฤษตามหลกั ฐานทร่ี กั ษาไวจ้ นถงึ ปจั จุบนั คอื Broke
Sea Insurance Policy ปี ค.ศ. 1547
การประกันภัยในประเทศไทย
สมยั อยุธยา ไมป่ รากฏหลกั ฐานชัดเจน แต่สนั นิษฐานวา่
- เขา้ มาในสมยั กรุงศรอี ยธุ ยา โดยในสมยั น้นั กรุงศรอี ยธุ ยาเปน็ ศนู ยก์ ลางการคา้ ระหว่าไทย
กบั ญปี่ ุน่ และมีชาวต่างชาตเิ ข้ามาทาการค้าจึงรว่ มมอื กันดาเนินการเกี่ยวกบั การประกันภยั
โดยเฉพาะการประกันภัยทางทะเลและการขนสง่
กลบั
ประวัติควำมเปน็ มำของกำรประกันภัย
สมยั กรุงรตั นโกสนิ ทร์ มีหลกั ฐานท่ีปรากฏเกย่ี วกบั การประกันภยั ดงั น้ี
สมยั รัชกำลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระน่ังเกา้ เจา้ อยูห่ ัว ทรงส่งั ซอื้ เคร่ืองพมิ พด์ ีดจากประเทศ
องั กฤษ เกรงว่าจะเกิดความเสียหายในระหวา่ งการขนสง่ จึงประกันภยั การขนส่งไว้
สมัยรชั กำลท่ี 4 จากหลักฐานแสดงให้เหน็ วา่ มกี ิจการการประกนั ภยั ของชาวตา่ งชาตเิ ขา้ มา
เปิดกจิ การในฐานะตวั แทนของบรษิ ัทตา่ งประเทศ
กลบั
ประวัตคิ วำมเปน็ มำของกำรประกนั ภัย
สมัยกรุงรตั นโกสนิ ทร์ มหี ลักฐานทีป่ รากฏเกยี่ วกับการประกนั ภัย ดงั นี้
สมัยรัชกำลที่ 5 ประเทศอังกฤษขอพระบรมราชานุญาตขยายกจิ การคา้ มายังประเทศไทย
และในขณะนน้ั บรษิ ทั อีสตเ์ อเชียตกิ จากดั ซึ่งเป็นตวั แทนประกันชีวติ ของบรษิ ทั Equitable
Insurance Co., Ltd. ได้เข้าเข้ามาเสนอขายประกันแบบตลอดชีพ และต่อมาบรษิ ทั อสตเ์ อซยี ตกิ
จากัด ได้เสนอขอพระบรมราชานญุ าตประกอบธุรกิจประกันชีวิต พระบามสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้
เจ้าอยู่หวั ทรงพระราชทานพระบรมราชานญุ าตใหป้ ระกอบธุรกจิ ประกันภยั ไดโ้ ดยใหส้ มเดจ็
เจ้าพระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ เปน็ ผู้เอาประกันคนแรกของประเทศไทย
กลบั
ประวัติควำมเปน็ มำของกำรประกนั ภัย
สมยั กรงุ รตั นโกสินทร์ มีหลกั ฐานทป่ี รากฏเกย่ี วกับการประกันภยั ดังน้ี
สมยั รัชกำลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั มธี รุ กจิ การประกนั ภยั เกิดขน้ึ
แพรห่ ลาย จุดกาเนนิ
- พระราชบัญญัติและออกประกาศเง่ือนไขควบคุมธุรกจิ ประกันชีวติ พ.ศ. 2472
และเง่อื นไขควบคมุ ธุรกจิ ประกนั อัคคภี ยั พ.ศ. 2472 ถือได้ว่าเป็นจดุ เริ่มต้นของการกากบั ดูแลธรุ กิจ
ประกันภัย โดยมี กองประกันภยั เกิดขน้ึ เม่ือวันท่ี 16 สิงหาคม 2472
- เร่มิ แรกกองการประกนั ภยั อยู่ภายใตส้ งั กัดสานักปลัดกระทรวงพาณชิ ย์ และคมนาคม
มหี น้าท่ีจะทะเบยี นและควบคมุ การดาเนินงานของกิจการประกอบธุรกิจประกนั ภัย
กลบั
ประวตั ิควำมเปน็ มำของกำรประกนั ภยั
- ต่อมา ปี พ.ศ. 2476 เปล่ียนชื่อเป็น แผนกควบคมุ บรษิ ัทประกันภัย สงั กดั กรม
ทะเบียนการค้า กระทรวงเศรษฐการ และภายหลังเปลย่ี นชอ่ื กลับมาเป็น กองการประกันภยั
และในปี พ.ศ. 2510 ไดม้ เี พราะราชบญั ญตั ิประกนั วินาศภัย พ.ศ. 2510 และพระราชบัญญัติ
ประกนั ชีวติ พ.ศ. 2510 จัดเปน็ กฎหมายควบคุมธุรกจิ ประกันภัยฉบับแรก ทน่ี าเอาหลัก
เกณพ์และแนวทางสากลมาใช้
กลบั
ประวัตคิ วำมเป็นมำของกำรประกนั ภยั
- ในปี พ.ศ. 2515 กองการประกันภัยได้เปล่ยี นชื่อมาเปน็ สำนกั งำนประกันภยั
และเปล่ยี นมาเป็น กรมกำรประกนั ภยั เม่ือวันที่ 23 มิถนุ ายน พ.ศ. 2533 ปัจจบุ นั กรมการประกันภยั
เปน็ หน่วยงานราชการสังกดั กระทรวงพาณิชย์ ตงั้ อยู่ตาบลบางกระสอ จงั หวดั นนทบรุ ี
- ในปี พ.ศ. 2472 มบี รษิ ัทประกนั ภยั ของคนไทย คือ บรษิ ัท เตยี อัน เปา๋ เฮียม จากัด
เกิดขึ้นเปน็ บรษิ ัทแรก และมบี ริษทั ประกันภยั ที่เกิดขน้ึ ตามมา ได้แก่ บรษิ ทั เซ่งเชียงหลีประกันภัยธนา
กจิ และพาณิชยการ จากดั บรษิ ัท ชยี งอานรบั ประกนั ภัยอคั คภี ยั และอุทกภยั จากดั ซึ่งล้วนแต่เป็น
บรษิ ัทประกนั วนิ าศภัยท้ังสน้ิ
กลบั
ประโยชนข์ องกำรประกนั ภัย
ประโยชน์ของกำรประกันภยั แยกพจิ ำรณำได้ดังนี้
1. ประโยชน์ต่อผเู้ อำประกัน สำมำรถจำแนกเป็นข้อๆ ไดด้ ังน้ี
1.1 ผ้เู อาประกันหรอื ผนู้ าชวี ติ หรือทรพั ยส์ ินไปทาประกนั จะไดร้ ับ
ประโยชนโ์ ดยตรง
1.2 เสรมิ สรา้ งนิสยั ประหยัดและสง่ เสริมการเก็บออม
กลบั
ประโยชนข์ องกำรประกนั ภัย
ประโยชน์ของกำรประกันภยั แยกพจิ ำรณำได้ดงั น้ี
2. ประโยชนโ์ ดยตรงต่อกำรดำเนินธุรกจิ กำรคำ้
2.1 ชว่ ยใหธ้ รุ กจิ เกดิ ความมั่นคง
2.2 ประกันภยั เมอ่ื เกิดภยั ขนึ้ ก็จะไดร้ ับเงนิ ทดแทนมาชว่ ยบรรเทาทุกข์ สามารถ
สร้างกจิ การให้กลบั มาเหมือนเดิมไดใ้ นระยะเวลาอนั สัน้ การประกนั ภัยจึงช่วยให้เกิดความม่ันคงใน
การ ประกอบธรุ กจิ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี
กลบั
ประโยชนข์ องกำรประกันภัย
ประโยชน์ของกำรประกนั ภัยแยกพิจำรณำได้ดังน้ี
2. ประโยชนโ์ ดยตรงตอ่ กำรดำเนนิ ธุรกจิ กำรคำ้
2.3 ชว่ ยเพม่ิ ประสิทธภิ าพในการดาเนนิ ธุรกจิ
2.4 ชว่ ยให้เกดิ เสถียรภาพดา้ นต้นทนุ การผลติ
2.5 ช่วยในการขยายเครดิต
2.6 ช่วยส่งเสรมิ ธุรกิจบางประเภทใหก้ ้าวหน้า
กลบั
ประโยชนข์ องกำรประกนั ภัย
ประโยชนข์ องกำรประกนั ภยั แยกพิจำรณำได้ดังน้ี
3. ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสงั คม กำรประกันภยั ก่อให้เกดิ ประโยชน์ตอ่
เศรษฐกิจ และสงั คม ดงั ต่อไปน้ี
3.1 ช่วยระดมทุนเพือ่ พฒั นาประเทศ
3.2 ชว่ ยลดภาระแกส่ ังคมและรัฐบาล
3.3 คาศัพทท์ ี่ควรทราบเก่ียวกบั การประกนั ภัย
กลบั
ประโยชน์ของกำรประกนั ภัย
คำศัพท์ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั กำรประกนั ภัยที่ต้องทรำบรำยละเอียด มดี งั ต่อไปน้ี
1. ผูเ้ อำประกันภยั (The Insured) คือ ผเู้ อำประกันเปน็ คู่สญั ญำฝ่ำยทต่ี อ้ งส่ง
เงนิ จำนวนหน่งึ ตำมทตี่ กลงกันไว้ หรืออำจกล่ำวไดว้ ่ำ ผ้เู อำประกนั คือ ผูท้ ่ีนำเอำชีวติ
และร่ำงกำย หรอื ทรัพย์สินไปทำประกนั นนั่ เอง ซง่ึ ตำมประมวลกฎหมำยแพ่งและ
พำณชิ ย์ สรุปหนำ้ ท่แี ละสิทธขิ องผ้เู อำประกันไว้ดงั ต่อไปนี้
กลบั
ประโยชน์ของกำรประกันภัย
หน้ำที่ของผู้เอำประกันภยั
1. เปิดเผยขอ้ ควำมจรงิ
2. ชำระเบย้ี ประกนั
3. ป้องกนั รักษำทรัพยท์ ่ีเอำประกัน
4. บอกกลำ่ วกำรเกดิ วินำศภยั
กลบั
สทิ ธขิ องผูเ้ อำประกันภัย
1. สิทธขิ องผู้เอำประกนั ภยั
1. สิทธใิ นกำรเรยี กรอ้ งคำ่ สนิ ไหมทดแทนหรอื จำนวนเงนิ ตำมท่ตี กลงกนั ไวใ้ นสญั ญำหรือ
กรณีทเ่ี กิดวินำศภยั ขึน้ เพรำะเหตุใดเหตหุ นึ่งตำมสญั ญำ
2. สิทธิในกำรลดเบยี้ ประกนั ภัย เม่ือทำประกนั ภยั หำกทรัพย์สนิ อยู่ในภำวะทเ่ี สย่ี งมำก ย่อม
เสยี ค่ำเบย้ี ประกนั สงู หำกต่อมำภำวะควำมเสีย่ งของทรัพย์สินนน้ั มนี ้อยลง ผู้เอำประกันภยั ยอ่ มขอ
ลดคำ่ เบยี้ ประกนั ลงได้
3. สทิ ธิในกำรบอกเลิกสัญญำ หำกผู้เอำประกนั ภัยไมป่ ระสงค์จะโอนควำมเสยี่ งภัยให้กบั
ผูร้ ับประกันภยั อกี ต่อไป
กลบั
สทิ ธิของผูเ้ อำประกนั ภัย
2. ผรู้ บั ประกันภัย (The Insurer) คอื คสู่ ัญญำทมี่ ีภำระแหง่ นที้ จ่ี ะตอ้ งผูกพนั กบั
สญั ญำประกนั ภยั ซง่ึ มีหน้ำทแี่ ละสทิ ธิ ดงั ต่อไปน้ี
หน้ำทีข่ องผ้รู บั ประกันภัย
1. ใชค้ วำมระมดั ระวังในกำรทำประกนั ภัย
2. สง่ มอบกรมธรรม์
3. คืนเบีย้ ประกันภยั
4. สำรวจควำมเสยี หำย เมือ่ เกิดภัยขึน้ ผูร้ บั ประกันภัยภยั นัน้
5. จำ่ ยคำ่ สินไหมทดแทน
กลบั
สทิ ธิของผู้เอำประกนั ภยั
2. ผู้รับประกนั ภยั (The Insurer) คือ คสู่ ญั ญำที่มภี ำระแห่งนที้ ่จี ะตอ้ งผูกพนั กับ
สญั ญำประกันภัย ซงึ่ มีหนำ้ ท่ีและสิทธิ ดงั ต่อไปนี้
สิทธขิ องผรู้ ับประกนั ภยั
1. สทิ ธิท่ีจะไดร้ บั ค่ำเบ้ยี ประกนั
2. ขอลดจำนวนคำ่ สินไหมทดแทน
3. ปฏเิ สธกำรรบั ผดิ ชอบตำมสญั ญำ
4. สิทธิเลกิ สัญญำ
5. สทิ ธิในกำรรับชว่ งสทิ ธิ
กลบั
สทิ ธิของผ้เู อำประกนั ภยั
3. ผรู้ ับประโยชน์ (Beneficiary) คือ บุคคลภำยนอกสัญญำประกนั ภยั ท่ผี เู้ อำ
ประกนั ภยั และผรู้ บั ประกนั ภัยตกลงกนั วำ่ จะใหเ้ ปน็ ผ้คู ่ำสินไหมทดแทนเมอ่ื เกดิ ภัยขน้ึ
ในกระประกนั วินำศภยั ผู้เอำประกนั ภยั กับผรู้ บั ประโยชน์อำจเป็นบคุ คลคนเดียวกันได้
ในส่วนของกำรประกันชวี ติ นนั้ ผูเ้ อำประกันภัยจะเป็นบุคคลคนเดยี วกันไมไ่ ด้ จะตอ้ ง
กำหนดผู้รบั ประโยชน์อย่ำงชัดเจน
กลบั
สทิ ธขิ องผเู้ อำประกันภยั
4. ผไู้ ดร้ ับควำมเสยี หำยจำกกำรกระทำของผูเ้ อำประกัน (The Injured
Person) คือ บุคคลภำยนอกที่ไดร้ ับควำมเสยี หำยเน่อื งจำกกำรกระทำของผเู้ อำ
ประกนั ภยั บุคคลภำยนอกนม้ี สี ทิ ธิที่จะเรียกร้อง ค่ำสนิ ไหมทดแทนตำมสญั ญำ
ประกันภัยของผู้รับประกันภยั โดยตรง และตอ้ งเป็นทำกำรประกันวินำศภยั เชน่
ประกนั ภัยรถยนต์ เปน็ ต้น และผู้รับประกนั ภัยจะต้องเป็นผู้รับผดิ ชอบชดใช้ค่ำสินไหม
ทดแทนแก่บุคคลภำยนอกนัน้ แทนผเู้ อำประกันภยั
กลบั
สทิ ธิของผู้เอำประกนั ภัย
5. กรมธรรม์ประกนั ภยั (Policy) คือ หลกั ฐำนแหง่ สญั ญำประกนั ภยั ท่ีมี
เนอ้ื ควำมตรงกบั เจตนำของคสู่ ัญญำท้ังสองฝำ่ ย ในกรมธรรมป์ ระกันภยั จะตอ้ ลง
ลำยมอื ชือ่ ผู้รบั ประกนั ภัยเอำไวด้ ว้ ย
6. เบี้ยประกันภยั (Premium) คอื เป็นจำนวนเงินที่ฝำ่ ยผเู้ อำประกนั ภัยจะต้องจำ่ ยแก่
ผู้รับประกันภัย เปน็ สัญญำตำ่ งตอบแทนวำ่ ผ้รู ับประกนั ภัยสัญญำว่ำจะชดใชค้ ำ่ สนิ ไหมทดแทน
หำกเกดิ ขึ้นตอ่ ส่งิ ท่นี ำมำทำประกัน อัตรำค่ำเบยี้ ประกนั จะมำกหรอื นอ้ ยนน้ั จะตอ้ งมีกำรคิด
คำนวณจำกขอ้ มลู ตัวเลขของกำรเกิดควำมเสยี หำย ควำมเส่ียงภยั ควำมคำดหมำยและผลควำม
เปน็ จริงที่เกิดขน้ึ
กลบั
สทิ ธิของผู้เอำประกนั ภยั
7. คำ่ สนิ ไหมทดแทน (Indemnity) คือ จำนวนเงินท่ฝี ่ำยผรู้ ับประกนั ภัยตกลงจะจำ่ ย
ใหแ้ ก่ผู้เอำประกนั ภัย หรือผูร้ ับประโยชน์ เมือ่ เกดิ ภยั ขน้ึ ตอ่ สงิ่ ท่ีนำไปทำประกนั ภยั กำร
ชดใชค้ ำ่ สนิ ไหมทดแทนมักจะจำ่ ยตำมควำมเสียหำยจริงแต่ไม่เกินจำนวนเงินทเี่ อำ
ประกัน
8. จำนวนเงินทเ่ี อำประกันภัย (Sum Insured) คอื จำนวนเงนิ ที่ตกลงกันไวใ้ น
สัญญำประกนั ภัยว่ำ หำกเกิดควำมสญู เสยี หรือควำมเสียหำยขน้ึ ภำยในระยะเวลำที่
สญั ญำประกันภยั มีผลบังคับ ผู้รับประกันภยั จะชดใช้ค่ำสนิ ไหมทดแทนตำมสัญญำ
กลบั
สทิ ธขิ องผู้เอำประกนั ภยั
9. คำ่ บำเหนจ็ ตอบแทน (Commission) คือ จำนวนเงนิ ที่บรษิ ัทผรู้ บั ประกันภยั จำ่ ย
ให้แกบ่ คุ คลทเ่ี ปน็ นำยหนำ้ ตำมอัตรำท่ีกฎหมำยกำหนด
10. ตัวแทนประกนั ภยั (Agents) นำยหนำ้ ประกนั ภัย (Brokerage) คอื เป็นผทู้ ี่
บริษทั ประกันภยั มอบหมำยให้ทำกำรชักชวนให้บุคคลทำสญั ญำประกันภยั มีสทิ ธิใน
กำรรบั คำ่ เบีย้ ประกนั แลว้ นำมำส่งยงั บรษิ ัทผู้รับประกนั ภัย สว่ น นำยหนำ้ ประกนั ภัย
คือ ผู้ทบี่ ริษทั มอบหมำยให้ทำกำรชกั ชวนใหบ้ ุคคลทำสญั ญำประกนั ภยั เท่ำนน้ั
กลบั
หน่วยท่ี 2
สัญญำประกนั ภัย
กลบั
1. ควำมหมำยของสญั ญำประกันภัย
สญั ญำประกนั ภัย หมายถงึ สญั ญาซึ่งบุคคลหน่งึ ตกลงจะใชค้ า่ สินไหมทดแทน
หรือใช้เงิน จานวนหน่ึงให้ในกรณวี ินาศภัยหากมีข้ึน หรอื ในเหตอุ ยา่ งอื่นในอนาคตดงั ได้
ระบไุ ว้ในสญั ญา และ ในการน้บี ุคคลอกี คนหนง่ึ ตกลงจะสง่ เงนิ ซ่ึงเรยี กว่า เบย้ี ประกันภัย
กลบั
2. ประเภทของสญั ญำประกันภยั
1. สัญญำประกนั วินำศภัย หมายถึง สัญญาซึง่ บุคคลหนง่ึ ตกลงจะชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนใหใ้ นกรณีวินาศภยั
เกดิ ขึ้น และในการนี้บุคคลอกี คนหน่งึ ตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกวา่ เบยี้ ประกนั ภัย จากความหมายดงั กล่าวสามารถสรุป
สาระสาคัญของสัญญาประกันวนิ าศภยั ไดด้ งั นี้
1.1 ฝ่ายท่ีจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนคอื ผรู้ ับประกนั ภัย
1.2 เงือ่ นไขแหง่ การใช้เงนิ คือมีเหตุการณท์ เี่ กดิ ขนึ้ ในอนาคต
กลบั
2. ประเภทของสัญญำประกนั ภยั
2. สญั ญำประกันชีวิต หมายถงึ สัญญาประกนั ภยั อันกาหนดจานวนเงินแนน่ อน คือ เป็นสญั ญาซงึ่ บุคคลหนง่ึ
ตกลงใช้เงินจานวนหนึ่งใหใ้ นเหตอุ ยา่ งอน่ื (ความตาย) ในอนาคตดังระบุ ไวใ้ นสญั ญา และในการนี้บคุ คลอกี คนหนึ่งตก
ลงจะสง่ เงนิ ซึง่ เรยี กว่า คา่ เบ้ยี ประกัน จากข้อความขา้ งต้นมิได้หมายถึงการประกันชีวติ เท่าน้ัน แตห่ มายรวมถึงการ
ประกนั ภยั อย่างอื่นด้วย เชน่ การเกิดอบุ ัติเหตุตอ่ รา่ งกายจนทาใหบ้ ุคคลนั้นถงึ ตาย พิการ หรือสูญเสียอวัยวะ โดยผู้รบั
ประกันภัยตกลงจะใช้เงนิ จานวนทแี่ นน่ อนตามที่กาหนดไว้
กลบั
2. ประเภทของสญั ญำประกนั ภยั
3. สญั ญำประกันภัยทำงทะเล ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 868 บัญญัติว่า “อันสญั ญา
ประกนั ภัยทางทะเล ทา่ นให้บงั คับตามบทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมายทางทะเล” หมายความวา่ บทบญั ญตั ิว่าดว้ ยประกันภยั
ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะไม่ใช้บงั คบั แกส่ ัญญาประกนั ภยั ทางทะเล ซง่ึ ความจริงแลว้ การประกันภัยทาง
ทะเลเปน็ การประกนั วนิ าศภัย ประเภทหน่ึง แต่เน่อื งจากประเทศไทยยงั ไมม่ ีการประกนั ภยั ทางทะเลมากนัก เทา่ ที่ทากนั
อยเู่ ป็น การติดตอ่ คา้ ขายของพอ่ คา้ ทมี่ ีคู่คา้ อยู่ต่างประเทศ ไมจ่ าเป็นตอ้ งบญั ญัตเิ รอื่ งน้ไี วใ้ นมาตรา 868 เกีย่ วกบั เรื่อง
การประกันภัยทางทะเล
กลบั
3. บคุ คลท่เี กย่ี วข้องในสญั ญำประกนั ภยั
1. ผู้รบั ประกนั ภัย หมายถงึ ค่สู ญั ญาที่ตกลงจะใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทน หรอื ใช้เงินจานวน หน่ึงให้เมอื่ เกิด
ภัยขน้ึ ตามพระราชบัญญตั ิประกันวนิ าศภยั พ.ศ. 2510 และพระราชบญั ญตั ิ ประกันชีวติ พ.ศ. 2510 ตอ้ งเป็น
บรษิ ัทจากดั
2. ผเู้ อำประกนั ภยั หมายถงึ คู่สัญญาฝา่ ยทต่ี กลงจะสง่ เบ้ียประกันภัย จะเปน็ บคุ คล ธรรมดาหรอื นติ ิ
บุคคลก็ได้ ผู้เอาประกันภัยมกั เป็นผู้ยืน่ คาร้องให้บริษัทประกันภยั พจิ ารณาว่าจะรบั ประกนั ภัยหรือไม่ ผเู้ อา
ประกนั ภยั จะต้องเป็นผทู้ มี่ คี วามสามารถตามกฎหมาย หากเปน็ ผ้เู ยาว์ต้อง ไดร้ ับความยินยอมจากผ้แู ทนโดย
ชอบธรรม หากเปน็ นติ ิบคุ คลก็ตอ้ งดาเนินการโดยผู้มีอานาจ กระทาการแทนนิตบิ ุคคลน้นั หรอื โดยตวั แทนของ
นติ บิ คุ คลนั้น
กลบั
3. บคุ คลท่ีเกีย่ วข้องในสัญญำประกันภัย
3. ผ้รู ับประโยชน์ หมายถึง บุคคลฝา่ ยที่จะไดร้ บั ค่าสินไหมทดแทนหรือเงนิ จานวนหนึ่ง หรืออาจเป็นตวั ของผู้
เอาประกนั ภยั เอง หรอื อาจเป็นบคุ คลอ่นื ทไี่ ด้ระบุไว้ในสัญญา เกยี่ วกับสิทธขิ อง
ผรู้ บั ประโยชนน์ น้ั สามารถแยกพจิ ารณาไดด้ งั น้ี
3.1 ในสัญญาประกันภัยระบใุ หบ้ ุคคลภายนอกเปน็ ผู้รบั ประโยชน์
3.2 กรณีท่ผี ู้รบั ประโยชนเ์ สียชวี ิตก่อนผ้เู อาประกันภัย จะต้องดวู า่ ผรู้ ับประโยชน์ได้ มกี ารแสดงเจตนาจะ
ถอื เอาประโยชนจ์ ากสัญญาประกันภัยแลว้ หรือไม่ หากแสดงแล้วสทิ ธขิ องผรู้ บั ประโยชนจ์ ะตกแกท่ ายาทของผ้รู ับ
ประโยชน์ หากยงั ไมไ่ ด้แสดงเจตนา จะถอื วา่ สทิ ธขิ องผรู้ ับ ประโยชนน์ ั้นยงั ไมเ่ กดิ ผูเ้ อาประกันภยั ยงั มีสทิ ธิรบั คา่ สินไหม
ทดแทนหรือเป็นมรดกตกทอดไปยงั ทายาทของผเู้ อาประกนั ภยั ต่อไป
3.3 อายุความในการแสดงเจตนาเขา้ รบั ประโยชน์ตามสัญญาประกันภยั หากเป็น การประกนั วินาศภัยผูร้ ับ
ประโยชนต์ ้องแสดงเจตนาภายใน 2 ปนี ับตงั้ แตว่ นั เกิดวนิ าศภัย แต่ถา้ เปน็ กรณปี ระกันชวี ิตจะตอ้ งแสดงเจตนาภายใน
10 ปนี บั แต่วันมรณะของผู้เอาประกนั ภยั
กลบั
4.สำระสำคญั ของสัญญำประกันภัย
สญั ญำประกนั ภัยเปน็ สิง่ ซง่ึ ผ้ทู เ่ี ก่ยี วข้องจะต้องปฏิบัติตำม สญั ญำประกันภยั มีลักษณะ พเิ ศษ 5 ประกำร ดังน้ี
1. เปน็ สญั ญำตำ่ งตอบแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา369 บญั ญตั ิวา่
“ในสัญญา ต่างตอบแทนน้นั คสู่ ัญญาฝ่ายหนึง่ จะไม่ยอมชาระหนจ้ี นกว่าจะชาระหน้ี แตข่ ้อความนี้ท่านมใิ หใ้ ช้บงั คับ
ถ้าหนข้ี องคสู่ ญั ญาอกี ฝา่ ยยังไมถ่ งึ กาหนด” เมอื่ เอาประกันภัย และผูร้ บั ประกนั ภยั ต่างมเี จตนาจะเอาประกนั หรือ
รบั ประกนั และมีคาเสนอและคาสนอง ทถ่ี กู ตอ้ งตรงกัน สญั ญาประกันภัยย่อมเกิดข้นึ โดยเม่ือเร่มิ ทาสญั ญา
ประกันภัย ผรู้ บั ประกันภยั มี สิทธทิ จี่ ะเรียกเกบ็ ค่าเบ้ยี ประกันจากผเู้ อาประกันภัย และเมือ่ เกิดภยั ขึน้ ผู้เอาประกันภยั
กม็ ีสิทธิท่ี จะเรียกรอ้ งใหผ้ รู้ บั ประกันภัยชาระค่าสินไหมทดแทนแก่ตน เกยี่ วกับสญั ญาต่างตอบแทน มีข้อสงั เกต ดงั นี้
- เปน็ สัญญาทคี่ กู่ รณีทงั้ สองฝ่ายต่างเป็นหนี้ซึง่ กนั และกัน
- ตามปกติของสัญญาตา่ งตอบแทนนั้น หนข้ี องทั้งสองฝา่ ยเปน็ เง่อื นไขซ่งึ กนั และกนั
- เม่อื เกิดสญั ญาขึ้นแลว้ ถ้าหนขี้ องฝ่ายหนง่ึ ตกเปน็ พ้นวสิ ยั เพราะเหตุพฤติการณท์ ี่โทษฝา่ ยน้ันไม่ได้ หนี้ของ
อกี ฝ่ายหนง่ึ ก็เปน็ อันพน้ ไป คอื ฝา่ ยแรกไม่มสี ทิ ธิไดร้ บั ชาระหน้ตี อบแทน
กลบั
4.สำระสำคญั ของสญั ญำประกนั ภัย
สญั ญำประกันภัยเป็นสง่ิ ซ่ึงผทู้ ่ีเกย่ี วขอ้ งจะตอ้ งปฏิบัติตำม สัญญำประกนั ภัยมลี กั ษณะ พิเศษ 5 ประกำร ดงั นี้
2. เป็นสัญญำท่มี ีผลบงั คบั ไมแ่ น่นอน กล่าวคือเมอ่ื ผ้เู อาประกนั ภัยได้จา่ ยค่าเบยี ประกันไปแลว้
ก็มใิ ช่วา่ จะได้รับผลตอบแทนตามท่หี วงั ไว้ หากไมเ่ กิดภัยขน้ึ กจ็ ะไมไ่ ด้รบั คา่ สินไหม ทดแทน เชน่ เดยี วกับฝ่ายของผูร้ บั
ประกันภัย เม่อื ไดร้ ับค่าเบี้ยประกันไปแล้วกม็ ิใช่ว่าจะนามาใช้ ประโยชน์ได้อยา่ งเตม็ ที่ เพราะอาจจะต้องเสียค่าสินไหม
ทดแทนเมอ่ื มีเหตุการณเ์ กดิ ข้ึน จึงจดั วา่ ผลบงั คบั ของสญั ญานนั้ เปน็ ส่งิ ทไี่ มแ่ น่นอน ผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ างกฎหมายบางท่าน
เรียกวา่ เปน็ สญั ญา เสี่ยงโชค หรือเสย่ี งภยั
3. เปน็ สัญญำท่ตี ้องกำรควำมซอ่ื สตั ย์อย่ำงยง่ิ ในการทาสญั ญาประกันภัยตอ้ งการความซ่ือสตั ย์
การทผ่ี ูเ้ อาประกนั ภัยไมย่ อมเปิดเผยความจริงทง้ั หมด เนอื่ งจากเกรงว่าจะสง่ ผลทาใหค้ า่ เบี้ย ประกันสูงข้ึน หรือผู้รับ
ประกนั ภยั อาจไมร่ ับทาประกันเลย เมอ่ื ความจริงปรากฏข้นึ สญั ญาน้นั จะตก เปน็ โมฆียะได้
กลบั
4.สำระสำคญั ของสญั ญำประกันภัย
สัญญำประกันภัยเปน็ สิง่ ซ่งึ ผ้ทู เ่ี กยี่ วขอ้ งจะต้องปฏิบัติตำม สัญญำประกนั ภัยมลี กั ษณะ พิเศษ 5 ประกำร ดงั น้ี
4. เป็นสญั ญำท่ตี ้องมหี ลกั ฐำนเปน็ หนงั สือ สญั ญาประกนั ภัยดังทบี่ ญั ญัติไว้ในมาตรา 867 วา่
“อันสญั ญาประกนั ภัยนน้ั ถ้ามิได้มหี ลกั ฐานเปน็ หนงั สอื อย่างใดอย่างหน่งึ ลงลายมอื ช่อื ฝา่ ยทต่ี ้องรับผดิ หรือลายมอื ช่อื
ตวั แทนของฝ่ายน้ันเป็นสาคัญ ท่านวา่ จะฟ้องร้องใหบ้ งั คบั คดีหาได้ ไม่”
รำยกำรตำ่ งๆ ทตี่ อ้ งปรำกฏในกรมธรรมป์ ระกันภัย มดี ังน้ี
1. วตั ถทุ ่ีเอำประกันภัย ไดแ้ ก่ ชีวิตของผ้เู อาประกนั ภัยในกรณีท่ีเอาประกันชีวิตของตนเอง หรอื ชีวิต
ของบุคคลที่ถกู เอาประกนั เช่น กรณีทเ่ี บตรนาชีวิตของบิดา มารดา มาทาประกนั เป็นต้น นอกจากน้ีวตั ถุทเี่ อาประกัน
ในการประกันวนิ าศภยั ไดแ้ ก่ บ้าน รถยนต์ เป็นตน้
2. ภยั ซ่ึงผูร้ ับประกนั ภยั รับเสี่ยง คือเงื่อนไขแหง่ การจ่ายคา่ สนิ ไหมทดแทนเมอ่ื เกิดภยั แก่ วตั ถุ
หรอื ชีวิตท่เี อาประกนั ภัยไว้
กลบั
4.สำระสำคญั ของสัญญำประกนั ภัย
3. รำคำแห่งมลู ประกันภัย คือราคาของสว่ นไดเ้ สีย หรือมูลคา่ ของวตั ถทุ ี่เอาประกันภยั
4. จำนวนเงินซึ่งเอำประกนั คอื จานวนเงินท่ีกาหนดไว้เพ่ือผ้รู บั ประกันภยั จะต้องใชห้ าก เกิดภยั ตาม
ทีร่ บั เสียง จานวนเงินทีเ่ อาประกนั ภัยนจ้ี ะมีมลู คา่ ไมเ่ กินราคาแห่งมูลประกันภัย
5. จำนวนเบ้ยี ประกันและวิธีกำรสง่ เบย้ี ประกนั เบ้ยี ประกนั คือจานวนเงนิ ท่ีผเู้ อาประกนั ภยั จะต้องจ่าย
เมอื่ เริม่ ทาประกันภยั เปน็ การตอบแทนการรบั เส่ียง โดยจะจ่ายงวดเดียวหรอื หลายงวด กไ็ ด้
6. ถำ้ หำกสัญญำประกนั ภัยมกี ำรกำหนดเวลำตอ้ งลงเวลำเริ่มต้นและเวลำสิน้ สดุ ดว้ ย
7. ชอ่ื หรอื ย่ีห้อของผู้รบั ประกันภัย
8. ชอ่ื หรอื ยหี่ ้อของผูเ้ อำประกันภัย
9. ชอ่ื ของผูร้ บั ประโยชน์
10. วนั ทำสัญญำประกันภยั คือวนั ทีเ่ กดิ สัญญาขน้ึ ไมใ่ ชว่ ันที่ทากรมธรรม์ประกันภยั ซงึ่ อาจเป็นวนั เดยี วกัน หรอื วันใดวันหนึ่ง
หลงั จากวนั ทาสัญญากไ็ ด้
11. สถำนท่ีและวนั ที่ในกำรทำกรมธรรม์ประกนั ภยั ซ่ึงไม่จาเป็นต้องเป็นวันเดยี วกนั กบั วนั ทาสัญญา
ประกนั ภัย กลบั
4.สำระสำคัญของสญั ญำประกันภัย
สัญญำประกนั ภยั เป็นสงิ่ ซง่ึ ผ้ทู ่เี กย่ี วขอ้ งจะต้องปฏิบัติตำม สญั ญำประกันภัยมลี กั ษณะ พิเศษ 5 ประกำร ดังน้ี
5. เปน็ สัญญำทที่ ำงรำชกำรควบคมุ ทางราชการเขา้ มามีสว่ นร่วมในการควบคุมการออก กรมธรรม์
ประกนั ภัย โดยกรมธรรมป์ ระกนั ภัยก็ดี เอกสารประกอบหรือแนบทา้ ยกรมธรรม์ ประกนั ภัยกด็ ีตอ้ งไดร้ ับความเปน็
ชอบจากนายทะเบยี นเสยี กอ่ น
กลบั
5. ส่วนได้เสยี ในสัญญำประกนั ภยั
ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 863 บัญญตั ิวา่ “อันสัญญำประกนั ภัยน้นั ถำ้ ผเู้ อำประกนั
มิได้มสี ่วนไดเ้ สียเหตทุ ป่ี ระกันภยั ไวน้ น้ั ไซร์ ทำ่ นวำ่ ยอ่ มไม่ผกู กนั คู่สัญญำแตอ่ ยำ่ งหน่ึงอยำ่ งใด” ผู้เอาประกันภยั
ต้องมีสว่ นไดเ้ สยี ในสง่ิ ทนี่ าไปทาประกัน โดยจะได้ ผลกระทบกระเทือนหากเกดิ ภัยขึ้น เนอื่ งจากสงิ่ ที่นามาทาประกนั มี
ทั้งทรัพย์สนิ และชวี ิต จึงขอ แยกส่วนไดเ้ สียในสญั ญาประกันภยั ดังนี้
กลบั
5. ส่วนได้เสียในสญั ญำประกนั ภัย
1. ส่วนไดเ้ สียในกรณีประกนั วินำศภัย ผูม้ สี ่วนได้เสยี ในกำรประกนั วนิ ำศภยั ไดแ้ ก่
1.1 ควำมสมั พนั ธใ์ นฐำนะเป็นผมู้ สี ิทธติ ำมกฎหมำย ซึ่งได้แก่
- เจา้ ของทรพั ย์สนิ
- ผู้ทรงสิทธติ า่ งๆ เช่น ผรู้ ับจานอง ผ้รู ับจานา เจา้ หน้ผี มู้ ีบุรมิ สทิ ธิ ผเู้ ชา่ ซื้อ เปน็ ต้น
- ผู้ครอบครองทรัพย์สิน เช่น ผ้เู ชา่ ผู้รับฝาก ผยู้ มื เปน็ ต้น
- ผู้ที่ตอ้ งรับผิดชอบตามกฎหมาย ไดแ้ ก่ ผทู้ ่มี หี นา้ ทร่ี บั ผิดชอบตอ่ ความปลอดภยั แก่
ทรพั ยท์ ี่รบั มอบใหด้ แู ลรกั ษา และจะต้องชดใช้ความเสียหายหากเกดิ ภยั ขึน้ เชน่ ผู้รบั
ขนส่ง ผู้รบั เหมา เป็นตน้
- ตวั แทนหรือผู้ท่ีไดร้ ับมอบอานาจจากเจ้าของ
กลบั
5. ส่วนไดเ้ สยี ในสญั ญำประกันภัย
1. สว่ นไดเ้ สียในกรณีประกันวนิ ำศภยั ผู้มีส่วนได้เสียในกำรประกนั วินำศภัยไดแ้ ก่
1.2 ควำมสัมพันธใ์ นฐำนะทีเ่ ป็นเพยี งควำมคำดหวัง ท่ีมคี วามสัมพนั ธ์กบั ทรพั ย์ใน ฐานะความ
คาดหวงั กรณีแรก ผเู้ ป็นทายาทของเจ้าของทรพั ยส์ ินจะได้รบั ทรพั ยส์ ินน้นั ตาม กฎหมายหากเจา้ ของเสยี ชีวิต
สาหรบั อีกกรณีหน่ึงเปน็ ความคาดหวังในบางส่งิ บางอยา่ งท่ีเกิดขึ้นแน่นอน เชน่ คาดหวังวา่ จะไดร้ บั ผลประโยชน์
จากทรพั ย์สนิ ตา่ งๆ ทมี่ ีอยู่ หรอื ผลกาไรจากการดาเนนิ งาน เช่นนี้จดั เปน็ สว่ นไดเ้ สียท่สี ามารถเอาประกันได้
กลบั
5. ส่วนไดเ้ สยี ในสญั ญำประกนั ภัย
2. ส่วนได้เสยี ในกรณปี ระกันชวี ติ ผเู้ อาประกันชีวิตตอ้ งมีส่วนได้เสยี ในชีวติ ของผูท้ ี่ ตนเองประกันไว้ ซงึ่
อาจจะเปน็ ชีวิตของตนเองหรือของผู้อื่นก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และ พาณิชย์ มาตรา 863 แยกพจิ ารณาเปน็
2 กรณี
2.1 กำรประกนั ชวี ติ ตนเอง
2.2 กำรเอำประกนั ชวี ิตบุคคลอ่นื จะตอ้ งมี ความสมั พันธ์กันถึงขนาดทจี่ ะเรยี กไดว้ ่ามีสว่ นไดเ้ สีย
ในบคุ คลนนั้ ความสัมพันธ์ท่จี ดั ว่ามสี ว่ นได้ เสยี น้นั ได้แก่ บพุ การี คู่สมรส ญาติ และผมู้ ีความสัมพันธก์ ันทางธุรกิจ ดงั
รายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี
-บพุ การี และผู้สืบสันดาน ท้งั สองฝา่ ยมคี วามสมั พันธก์ ันอย่างใกลช้ ดิ โดย เฉพาะบิดามารดากบั
บุตร จดั ว่ามสี ว่ นไดเ้ สยี ในชวี ติ ของกันและกนั อย่าง ใกลช้ ดิ
-คู่สมรส เก่ียวกบั เรอ่ื งของสามีภรรยาทีจ่ ะเอาประกนั ชีวิตกนั น้นั มขี อ้ ทจ่ี ะต้องพิจารณา ดังน้ี
กลบั
5. ส่วนไดเ้ สยี ในสญั ญำประกันภยั
1. สำมภี รรยำขณะอยู่ด้วยกนั และไดเ้ อำประกนั ชีวติ กันไว้ ตอ่ มาภายหลงั หยา่ กัน การหยา่ นไ้ี มม่ ผี ลต่อ
สัญญาประกันชวี ิต เนือ่ งจากวา่ สญั ญาเกิดขึ้นขณะที่ทัง้ สองยังคงมีสว่ นไดเ้ สียในชวี ิตกนั
2. สำมภี รรยำอยรู่ ่วมกันโดยมิชอบด้วยกฎหมำย ถอื วา่ มสี ่วนไดเ้ สียในชีวติ ซ่ึงกนั
- ญาติ บคุ คลที่จดั วา่ เป็นญาตไิ ด้แก่ พ่นี อ้ งรว่ มบิดามารดาเดียวกนั พีน่ ้องร่วมบิดา หรือมารดา
เดยี วกนั ปู่ ย่า ตา ยาย และลงุ ป้า น้า อา มีสิทธิได้รับมรดกใน ฐานะทายาทโดยธรรม ตามหลักของสังคมไทยจัดวา่
บคุ คลเหลา่ น้ีเป็นญาติ จงึ น่าจะยอมใหเ้ อาประกันชีวติ กนั ได้
- ผู้มีความสมั พนั ธ์กันทางธุรกจิ เจ้าหน้ีมสี ่วนได้เสียในชวี ติ ของลูกหนี้ หนุ้ สว่ นก็มสี ว่ นไดเ้ สยี ต่อกัน
รวมไปถงึ นายจ้างกม็ สี ่วนไดเ้ สยี ต่อชีวติ ของลกู จ้างเชน่ เดยี วกัน
กลบั
6. หลักเกณฑ์ในกำรทำสญั ญำประกนั ภัย
หลกั เกณฑ์ในกำรทำสัญญำประกนั ภยั มี รำยละเอียดดงั ต่อไปน้ี
1. กำรกอ่ ใหเ้ กดิ สัญญำประกนั ภยั คกู่ รณใี นสญั ญาประกันภัยจะมีสองฝา่ ยไดแ้ ก่ ฝ่าย
ผูร้ บั ประกันภยั กบั ฝา่ ยผู้เอาประกันภัย สัญญาประกนั ภยั จะเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ฝ่ายผ้เู อาประกนั ภยั ยนื่ ใบคาขอ
เอาประกันตอ่ ผู้รบั ประกันภยั ในใบคาขอเอาประกันจะเปน็ รายละเอียดของสุขภาพของ ผเู้ อาประกันภัย
หรือเกี่ยวกับทรพั ย์สนิ ท่ีจะนามาทาประกัน ทางบรษิ ทั ผูร้ บั ประกันภัยจะพจิ ารณา รายละเอยี ดว่าสมควร
รบั ประกันหรอื ไม่ หากเหน็ สมควรกจ็ ะเรียกเกบ็ คา่ เบ้ยี ประกัน และออกใบ กรมธรรม์ประกันภยั ใหก้ บั ผู้
เอาประกนั ภัย
กลบั
6. หลักเกณฑ์ในกำรทำสญั ญำประกันภัย
หลักเกณฑ์ในกำรทำสัญญำประกนั ภยั มี รำยละเอียดดงั ตอ่ ไปน้ี
2. สัญญำประกันภยั เป็นสัญญำไมม่ ีแบบ กฎหมายมไิ ดบ้ งั คับว่าสญั ญาประกันภัยจะ ต้องทา
แบบอย่างใด สัญญาประกันภัยนัน้ เพยี งแต่เป็นการตกลงกนั ดว้ ยวาจา ระหวา่ งคูก่ รณีก็จดั ว่าเป็นสัญญา
ประกนั ภัยทส่ี มบูรณแ์ ลว้ เพยี งแต่จะฟ้องรอ้ งใหบ้ ังคับสัญญาตามสัญญาไมไ่ ดเ้ ทา่ น้นั
3. สัญญำประกนั ภยั เปน็ สัญญำที่ต้องมีหลกั ฐำนเป็นหนังสอื ตามประมวลกฎหมาย แพ่ง
และพาณชิ ยม์ าตรา 867 วรรคหนง่ึ บญั ญัติว่า “อันสัญญำประกันภยั น้นั ถำ้ มิไดม้ ีหลักฐำน เป็นหนงั สอื
อยำ่ งใดอยำ่ งหน่ึง ลงลำยมอื ชือ่ ฝ่ำยทีต่ อ้ งรับผดิ หรือลำยมอื ช่อื ตัวแทนของฝ่ำยนั้นเปน็ สำคัญ ท่ำน
ว่ำจะฟ้องร้องใหบ้ ังคับคดีหำไดไ้ ม”่
กลบั
6. หลกั เกณฑใ์ นกำรทำสญั ญำประกนั ภัย
4.3 หลกั ในกำรตคี วำมในกรมธรรมป์ ระกนั ภัย ตามประมวลกฎหมายแพง่ และ พาณชิ ย์ มาตรา
368 บญั ญัติวา่ “สญั ญำนัน้ ทำ่ นได้ตคี วำมไปตำมควำมประสงค์ในทำงสจุ รติ โดย พิเครำะหถ์ ึงปกติ
ประเพณดี ้วย กลำ่ วคอื กำรตีควำมในทำงคมุ้ ครองภยั ตำมเจตนำรมณ์ของผู้เอำ ประกนั ภยั และผรู้ บั
ประกันภัยในระดับควำมรู้ท่ีเทำ่ เทยี มกนั โดยสจุ รติ ไมม่ ีกำรฉ้อฉลปดิ บังหรือ ปกปดิ ขอ้ ควำมจริงต่อ
กัน”
4.4 ขอ้ กำหนดให้กำรต้งั อนุญำโตตลุ ำกำร การตั้งอนญุ าโตตลุ าการเป็นความ ประสงคข์ อง
บรษิ ทั ผ้รู ับประกนั ภัยทต่ี ้องการให้เร่ืองการโต้เถยี งหรอื การฟอ้ งร้องตา่ งๆ ยตใิ นชั้น อนุญาโตตุลาการ เพอื่
จะได้ไม่สิน้ เปลืองเวลาและคา่ ใช้จ่าย
กลบั