แหล่งประวตั ิศาสตร์ เมืองหน้าด่าน
ตะวนั ออก
เอกสารลาดบั ท่ี ๑/๒๕๕๙
กล่มุ ส่งเสริมการจดั การศกึ ษา
สานักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษานครนายก
คำนำ
จงั หวัดนครนายก เป็นจงั หวัดขนาดเล็ก มเี นื้อที่ 2,414 ตารางกิโลเมตร อยหู่ า่ งจาก
กรุงเทพมหานครเพยี ง 105 กโิ ลเมตร มปี ระชากรประมาณ 2 แสนเศษ ประชากรส่วนใหญม่ ีอาชพี
เกษตรกรรม เป็นเมืองทมี่ แี หลง่ ท่องเที่ยวมากมาย แหลง่ ท่องเที่ยวธรรมชาติ ท่ีมีช่อื เสียง ได้แก่ น้ำตกท่ี
สวยงามหลายแห่ง เชน่ น้ำตกสาริกา นำ้ ตกนางรอง น้ำตกแม่ปลอ้ ง เปน็ ต้น นอกจากนี้ จงั หวัดนครนายก
ยังมีความสำคัญทางด้านประวตั ิศาสตรแ์ ต่โบราณ กลา่ วคือ เคยเป็นเมืองหน้าด่านในสมัยกรุงศรีอยุธยา
เปน็ ราชธานี ครน้ั มาในสมัยต้นรตั นโกสนิ ทร์ ยงั เปน็ แหลง่ จบั ช้างปา่ เพือ่ ส่งไปยังเมืองหลวงอกี ดว้ ย และ
ดว้ ยเหตทุ ่ีจงั หวดั นครนายกมีธรรมชาติท่สี วยงาม อดุ มสมบรู ณ์ดว้ ยทรัพยากรธรรมชาติ ทัง้ ยังตั้งอยู่ไม่
หา่ งไกลจากเมืองหลวง นครนายกจึงมีคำขวญั วา่ “เมืองในฝันท่ีใกล้กรุง ภเู ขางาม นำ้ ตกสวย รวย
ธรรมชาติ ปราศจากมลพิษ”
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษานครนายก โดยการสนับสนนุ จากสำนกั งาน
คณะกรรมการการศึกษาขัน้ พื้นฐาน ไดค้ น้ ควา้ รวบรวมจัดพมิ พ์ข้อมูลประวัติศาสตร์ สังคม และวฒั นธรรม
ของจังหวัดนครนายก ไว้ในเอกสาร “นครนายก แหล่งประวัตศิ าสตร์ เมืองหน้าด่านตะวนั ออก” ซ่งึ ทาง
สำนักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษานครนายกได้แต่งตง้ั คณะทำงานจัดทำขึ้น เพ่อื ประโยชน์แกผ่ ู้
ศึกษาค้นควา้ ทางดา้ นประวตั ิศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม สำนักงานเขตพ้นื ที่การศึกษา
ประถมศึกษานครนายกขอขอบคณุ นายไพจติ ไชยฤทธิ์ ศกึ ษาธกิ ารจังหวดั นครนายก/ผอู้ ำนวยการ
สำนักงานเขตพืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษานครนายกทีส่ นับสนนุ การดำเนนิ งาน และให้คำปรกึ ษา แนะนำ
ตลอดการจดั ทำ ขอขอบคุณนางกลอยสขุ เมอื งคำ รองผ้อู ำนวยการสำนักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษา
ประถมศึกษานครนายก ที่ให้คำปรึกษา แนะนำ และรว่ มดำเนนิ การ จนเอกสารสำเร็จลลุ ่วงด้วยดี
ขอขอบคุณสำนักงานวฒั นธรรมจงั หวดั นครนายก, สำนักงานการท่องเที่ยวภาคกลางและภาคตะวนั ออก
เขต 8 จงั หวดั นครนายก,สำนกั งานสาธารณสุขจงั หวดั นครนายก นางกาญจนา วงษานศุ ษิ ย์ รอง
ผอู้ ำนวยการโรงเรียนนวมราชานสุ รณ์ ท่ีใหก้ ารสนบั สนุนขอ้ มลู เป็นอย่างดี ทำให้ไดข้ ้อมลู ที่ค่อนขา้ ง
ครอบคลุม และขอขอบคณุ คณะทำงานทกุ ท่านทท่ี ำการค้นคว้ารวบรวมขอ้ มลู ประวัติศาสตร์ สังคมและ
วฒั นธรรมของจังหวดั นครนายกไวใ้ นเอกสารฉบบั นี้ หวงั วา่ เอกสาร “นครนายก แหลง่ ประวัติศาสตร์ เมือง
หน้าดา่ นตะวันออก” ฉบับน้ี จะเปน็ ประโยชน์แกผ่ สู้ นใจศกึ ษาตามสมควร
สำนกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครนายก
สารบัญ
ที่ รายการ หน้า
1 บทที่ 1 สภาพทั่วไปและความเปน็ มาจงั หวดั นครนายก 1
2 ตราประจำจังหวัด ดอกไมแ้ ละตน้ ไม้ประจำจงั หวัด คำขวญั ประจำจังหวัด 1
3 สภาพภมู ศิ าสตร์ 2
4 สถานทีต่ ง้ั 2
5 ภมู ปิ ระเทศ 3
6 สภาพแวดลอ้ ม 4
7 การคมนาคม 5
8 ประชากร 6
9 พัฒนาการทางประวตั ศิ าสตร์ของท้องถ่ิน 7
10 ทมี่ าของช่ือเมืองนครนายก 9
11 ที่มาของชอ่ื อำเภอ 10
12 นครนายกในหน้าประวตั ิศาสตร์ 12
13 สงั คมและเศรษฐกจิ 13
14 มรดกทางธรรมชาติ และวัฒนธรรมท้องถนิ่ 25
15 มรดกทางธรรมชาติ 25
16 มรดกทางวัฒนธรรม 36
17 ภาษาและวรรณกรรม 61
18 การละเล่นพื้นบ้านและนาฏศิลป์ 70
19 ศาสนา ความเชอื่ พธิ ีกรรม 81
20 ขนบธรรมเนียมประเพณีทอ้ งถ่นิ 92
21 การแตง่ กาย 94
22 อาหารและการกินอยู่ 94
23 บทที่ 2 กลมุ่ ชนในจงั หวัดนครนายก 117
24 กลุ่มชนมสุ ลิมคลอง 22 อำเภอองครักษ์ 117
25 กล่มุ ชนไทยพวน อำเภอปากพลี 118
26 บทที่ 3 ภมู ิปญั ญาชาวบ้าน(ภมู ปิ ญั ญาท้องถิน่ ) 126
27 ภมู ิปญั ญาท้องถ่ินอำเภอเมืองนครนายก 126
28 ภูมิปัญญาท้องถ่ินอำเภอบา้ นนา 129
29 ภมู ปิ ัญญาท้องถ่ินอำเภอปากพลี 131
30 ภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ อำเภอองครักษ์ 133
31 บทท่ี 4 พระมหากษัตรยิ ์เสด็จเมืองนครนายก 137
32 รชั กาลท่ี 5 เสด็จเมอื งนครนายก 137
33 รชั กาลท่ี 9 และสมเดจ็ พระนางเจา้ พระบรมราชนิ นี าถเสดจ็ เมอื งนครนายก 137
34 เสด็จวดั วังกระโจม 138
35 เสด็จเยีย่ มราษฎรและพระราชดำริสรา้ งเขื่อนขนุ ด่านปราการชล 140
สารบญั (ตอ่ )
หนา้
36 สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารีเสดจ็ เมืองนครนายก 142
37 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟา้ จุฬาภรณว์ ลยั ลักษณ์เสดจ็ เมอื งนครนายก 144
38 สมเด็จพระเจ้าลกู เธอเจ้าฟ้าอุบลรตั นร์ าชกญั ญาสิรวิ ฒั นาพรรณวดี
เสด็จเมืองนครนายก 145
39 บทท่ี 5 สถานที่สำคัญและแหล่งท่องเที่ยวจงั หวัดนครนายก 146
40 สถานท่สี ำคญั 146
41 แหลง่ ท่องเท่ียวจงั หวดั นครนายก 156
42 บรรณานุกรม
43 คณะทำงานจัดทำเอกสาร
บทที่ 1
สภาพท่วั ไปและความเป็นมาจังหวดั นครนายก
สภาพทวั่ ไปและความเปน็ มาจงั หวดั นครนายก
นครนายกเปน็ จงั หวัดหนง่ึ ในภาคกลางของประเทศไทย จัดต้งั ข้ึนคร้งั ลา่ สุดโดยพระราชบัญญตั ิ
จดั ตง้ั จงั หวดั สมทุ รปราการ จังหวัดนนทบรุ ี จงั หวดั สมุทรสาคร และจงั หวัดนครนายก พุทธศกั ราช
2489 ซง่ึ มีผลใช้บังคับต้งั แต่วนั ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ด้านอตุ ุนยิ มวิทยาจดั อย่ใู นภาคตะวันออก
จังหวดั นครนายกต้งั อยู่ทล่ี ะติจดู ท่ี 14 องศาเหนือ และลองจิจดู ที่ 101 องศาตะวันออก มี
ระยะทางจากจากกรุงเทพมหานครตามถนนรังสติ -นครนายก (ทางหลวงแผน่ ดนิ หมายเลข 305) ผ่าน
อำเภอองครักษ์ถึงจงั หวดั นครนายก ระยะทาง 105 กิโลเมตร มีเน้ือทีป่ ระมาณ 2,122 ตารางกิโลเมตร
หรือประมาณ 1,326,250 ไร่
ตราประจำจังหวัด
รูปช้างชรู วงข้าว หมายถงึ ในอดตี เมืองนครนายกเคยมีชา้ งปา่
อาศัยอยเู่ ป็นจำนวนมาก มีการคล้องมาใช้ในราชการ โดยมพี นกั งาน
รักษาช้างเถื่อน เรยี กว่า กรมโขลง อยทู่ ีบ่ ้านนา นครนายก อีกทงั้ เป็น
พื้นท่รี าบล่มุ กว้างใหญ่ มีความอดุ มสมบูรณ์ เป็นแหลง่ ปลูกขา้ วที่สำคัญ
ประชาชนสว่ นใหญจ่ ึงทำนาเป็นอาชีพหลกั
ดอกไม้ประจำจงั หวดั
ดอกสุพรรณิการ์
(Cochlospermum religiosum)
ตน้ ไม้ประจำจงั หวดั
ตน้ สพุ รรณิการ์
(Cochlospermum religiosum)
คำขวัญประจำจังหวัด
นครนายก เมืองในฝันที่ใกลก้ รงุ ภูเขางามน้ำตกสวย รวยธรรมชาติ ปราศจากมลพิษ
๒
สภาพภูมิศาสตร์
จังหวัดนครนายก จัดอยู่ในพื้นท่ีภาคตะวันออกของประเทศไทยมีพ้ืนที่ทั้งจังหวัด
ประมาณ 2,122 ตารางกิโลเมตร โดยมีพืน้ ที่ตดิ กับจงั หวัดสระบรุ ีและจงั หวัดนครราชสีมาทางทิศเหนือ
จังหวัดปราจีนบุรีทางทิศตะวนั ออก จังหวดั ฉะเชงิ เทราทางทศิ ใต้ และจังหวดั ปทมุ ธานีทางทศิ ตะวนั ตก
ลกั ษณะภูมปิ ระเทศที่เด่นชัดของจังหวัดนครนายก ประกอบดว้ ย พ้ืนที่ภูเขาครอบคลุม
พ้ืนที่ประมาณหนึ่งในสามของพื้นที่จังหวัดและวางตัวอยู่ทางตอนเหนือ พ้ืนท่ีราบเป็นพื้นท่ีส่วนใหญ่ของ
จังหวัดมีลักษณะราบเรียบแผ่เป็นบริเวณกว้างอยู่ทางตอนใต้และตะวันออกเฉียงใต้ และมีแม่น้ำที่สำคัญ
คือ แม่น้ำนครนายกไหลผ่านตัวเมืองนครนายกจนถึงอำเภอองครักษ์ แล้วไหลลงไปทางทิศตะวันออก
เฉียงใต้ลงสู่แม่น้ำบางปะกงในเขตอำเภอบ้านสรา้ ง จังหวัดปราจีนบุรี เรียกว่า “ปากน้ำ โยธกา” รวม
ความยาวของแม่น้ำนครนายกประมาณ 130 กิโลเมตร นอกจากน้ียังมีคลองบ้านนา อยู่ในเขตอำเภอ
บ้านนา จังหวัดนครนายก ความยาวประมาณ 40 กิโลเมตร และคลองปากพลี ไหลลงผ่านอำเภอ
ปากพลี ลงไปทางใต้บรรจบกับแม่น้ำบางปะกงที่บ้านท่ากระเบา อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี
คลองปากพลีนีม้ ีความคดโคง้ มากและใช้เป็นเสน้ เขตแดนระหวา่ งจงั หวัดนครนายกกบั จงั หวัดปราจีนบรุ ี
แม่นำ้ นครนายก
สถานท่ตี ั้ง
ที่ตั้งและอาณาเขต จังหวัดนครนายกต้ังอยู่ที่ทางภาคตะวันออกของประเทศไทย
ระหว่างเส้นรุ้งท่ี 13 องศา 57 ลิปดา ถึง 14 องศา 30 ลิปดาเหนือและเส้นแวงที่ 100 องศา 55
ลิปดาถงึ 101 องศา 30 ลิปดาตะวนั ออก มีระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 137 กิโลเมตร
ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 ถนนสุวรรณศร
และประมาณ 105 กโิ ลเมตร ตามทางหลวงแผน่ ดินหมายเลข 305 เลียบคลองรงั สติ
จังหวัดนครนายกมอี าณาเขตตดิ ต่อกบั จังหวดั ใกลเ้ คยี ง ดงั นี้
ทิศเหนอื ตดิ ต่อกบั อำเภอแก่งคอย อำเภอมวกเหลก็ จังหวดั สระบุรี
อำเภอปากช่อง จงั หวดั นครราชสมี า และอำเภอประจันตคาม
จังหวดั ปราจีนบุรี
ทิศใต้ ตดิ ตอ่ กบั อำเภอบ้านสรา้ ง จงั หวัดปราจีนบุรี และอำเภอบางน้ำเปรย้ี ว
จังหวดั ฉะเชงิ เทรา
ทิศตะวันออก ติดต่อกบั อำเภอเมืองปราจนี บุรี และอำเภอประจนั ตคาม
จังหวัดปราจนี บรุ ี
ทิศตะวนั ตก ตดิ ตอ่ กบั อำเภอธัญบุรี อำเภอหนองเสอื จังหวดั ปทมุ ธานี
และอำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี
๓
ขนาดพื้นท่ี จังหวัดนครนายกมีขนาดเนื้อที่ประมาณ 2,122 ตารางกิโลเมตร หรือ
ประมาณ 1,326,250 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.43 ของเน้ือที่ประเทศไทย และคิดเป็นร้อยละ 5.83 ของ
เนื้อท่ีภาคตะวันออก จำแนกขนาดพื้นท่ีเป็นรายอำเภอตามตารางแสดงขนาดและพื้นที่จากส่วนการ
ปกครองจงั หวัดนครนายก
หนว่ ยการปกครอง
การปกครองแบ่งออกเป็น 4 อำเภอ 41 ตำบล 403 หมบู่ ้าน
1. อำเภอเมอื งนครนายก
2. อำเภอปากพลี
3. อำเภอบา้ นนา
4. อำเภอองครกั ษ์
ภูมปิ ระเทศ
ลักษณะภูมิประเทศของจงั หวัดนครนายกประกอบด้วยพ้ืนทภ่ี ูเขาพืน้ ท่ีลาดเขา และพน้ื ท่ี
ราบ
พื้นท่ีภูเขา ครอบคลุมพ้ืนที่บริเวณตอนเหนือประมาณหน่ึงในสามของพ้ืนที่จังหวัด
ลักษณะเป็นเทือกเขาซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของทิวเขาทิวดงพญาเย็น พ้ืนที่ภูเขาส่วนใหญ่อยู่ในเขตอุทยาน
แห่งชาติเขาใหญ่ มีระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลปัจจุบันตั้งแต่ 1,000-40 เมตร มียอดเขาเขียวเป็น
ยอดเขาสูงที่สุดประมาณ 1,351 เมตร ยอดเขาเหล่าน้ันจัดเป็นสันปันน้ำและเส้นแบ่งเขตจังหวัดกับ
จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดสระบุรี ส่วนระหว่างเทือกเขาจะมีพื้นท่ีหุบเขาแคบๆ
ขนานไปกับแนวภเู ขา และมีทางนำ้ ไหลผา่ นในบรเิ วณหบุ เขาเหลา่ น้นั
พืน้ ที่ลาดเขา เป็นพื้นที่บริเวณแคบๆ อยู่ด้านหน้าของพื้นท่ีภูเขาในแนวตะวนั ออกเฉียง
ใต้ มีความลาดเอยี งค่อนข้างตำ่ ประมาณ 5-10 องศา มีระดบั ความสูงจากระดบั น้ำทะเลปัจจุบนั ประมาณ
50-5 เมตร
พ้ืนท่ีราบ เป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัด ลักษณะราบเรียบแผ่เป็นบริเวณกว้างอยู่ทาง
ตอนใต้และตะวนั ตกเฉียงใต้ของจังหวดั นครนายก เป็นสว่ นหนึง่ ของท่รี าบลมุ่ ภาคกลางตอนล่าง หรือท่รี าบ
ลุ่มเจา้ พระยา มีระดับความสูงจากระดบั น้ำทะเลปัจจุบนั ระหวา่ ง 5-2 เมตร
ภูมิอากาศ เนื่องจากลักษณะท่ีต้ังทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดนครนายก อยู่บริเวณท่ีราบ
ลุ่มภาคกลางตอนล่างทำให้ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบฝนเมืองร้อน สภาพอากาศแห้งแล้งสลับกับฝนตก
ชกุ เพราะอทิ ธิพลของลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือและลมมรสุมตะวันตกเฉยี งใต้
ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพักปกคลุมพื้นที่ประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงเดือน
เมษายนทำใหม้ ีอากาศเยน็ และแห้งแล้ง
ลมมรสมุ ตะวนั ตกเฉียงใต้พัดผ่านพืน้ ท่ีตัง้ แต่เดอื นพฤษภถาคมถงึ เดือนตลุ าคมมีกำลงั แรง
มากในระยะเดือนสงิ หาคมและเดือนกนั ยายนทำใหม้ ีฝนตกชุก
๔
ฤดูกาล จังหวัดนครนายกจำแนกฤดูกาลจากการพิจารณาระดับอุณหภูมิ และปริมาณ
นำ้ ฝนเป็น 3 ฤดู คอื
- ฤดูหนาว เรมิ่ ตง้ั แต่เดอื นพฤศจิกายนถึงเดอื นมกราคม อากาศแห้งแลง้ แต่
ความหนาวเย็นไม่มากเนอ่ื งจากมีทิวเขาดงพญาเย็นกันลมหนาวไว้บางส่วน อุณหภูมิตำ่ สดุ โดยเฉลีย่ 21.3
องศาเซลเซยี ส
- ฤดรู ้อน เรม่ิ ตง้ั แตเ่ ดือนกุมภาพันธถ์ งึ เดือนพฤษภาคม อากาศร้อนอบอ้าว
โดยเฉพาะเดือนเมษายนเปน็ ช่วงท่รี ้อนทีส่ ุด อุณหภมู สิ ูงสุดโดยเฉลีย่ 34.89 องศาเซลเซยี ส
- ฤดูฝน เริ่มต้ังแตเ่ ดือนมถิ ุนายนถึงเดือนตุลาคม ปรมิ าณฝนตกสูงสุดในระยะ
เดือนสงิ หาคมและเดือนกันยายนประมาณ 533 มิลลเิ มตร
อุณหภูมิ จังหวัดนครนายกมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 22.54 ถึง 34.89
องศาเซลเซียส คิดเป็นค่าเฉล่ียสูงสุดในเดือนธันวาคม 35.1 องศาเซลเซียสและในเดือนเมษายน 36.3
องศาเซลเซียส มีอุณหภูมิต่ำสุดในเดือนพฤศจิกายนคิดเป็นค่าเฉลี่ย 21.3 องศาเซลเซียส และในเดือน
ตุลาคม 22.5 องศาเซลเซียส คิดเป็นคา่ เฉลี่ยปานกลางตลอดปีประมาณ 28.72 องศาเซลเซียส
ปริมาณน้ำฝน จังหวัดนครนายกมีการเปลี่ยนแปลงค่าปริมาณน้ำฝนรายเดือนในปี
2540 ดังเช่นโครงการชลประทานในเดือนกุมภาพันธ์มีค่าตั้งแต่ 9.2 มิลลิเมตร ถึง 533.5 มิลลิเมตร
ในเดือนกันยายน ปริมาณน้ำฝนตลอดปีประมาณ 2,262.9 มิลลิเมตร ฝนตกท้ังปีรวม 144 วัน คิดเป็น
ร้อยละ 39.5
สภาพแวดล้อม
คุณภาพสิ่งแวดล้อม จังหวัดนครนายเป็นจังหวัดท่ีมีคุณภาพส่ิงแวดล้อมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
มากเม่ือเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นๆ ในพื้นที่ภาคมหานคร ภาคกลางตอนกลางและภาคตะวันออก
เน่ืองจากมีพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติร้อยละ 31.90 และพ้ืนที่เกษตรกรรมร้อยละ 63.11 ของพ้ืนท่ีรวมทั้ง
จงั หวัด กิจการอุตสาหกรรมในจงั หวัดมีนอ้ ยมากเม่ือเปรียบเทียบกับพ้ืนท่ีโดยรวม เชน่ เมือ่ ปี พ.ศ.2540
มีจำนวนโรงงานท้ังสิ้น 195 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็กและขนาดกลางท่ีใช้เงินลงทุนไม่มาก
มโี รงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ท่ีน่าสนใจเพียง 3 แห่ง คือ โรงงานผลิตแอคติเวตต์เคลย์ โรงงานผลิตผัก
และผลไม้แชแ่ ขง็ โรงงานฆ่าและชำแหละเนือ้ ไก่แชแ่ ข็ง
อย่างไรก็ตามผลการวิจัยในโครงการศึกษาวิจัยโบราณคดีและประวัติศาสตร์เมือง
นครนายก พ.ศ.2538 ปรากฏว่าการประกอบอุตสาหกรรมมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนบริเวณ
รอบโรงงานแต่ไมร่ ุนแรง กล่าวคอื ฝุ่นและควนั ท่ีเกิดจากการประกอบอตุ สาหกรรมบางประเภททำให้พืน้ ที่
บริเวณนัน้ เตม็ ไปดว้ ยฝุ่น นำ้ และดนิ บริเวณรอบโรงงานบางแห่งไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ และมีแนวโน้ม
กระจายไปทว่ั อากาศบริเวณโรงงานบางแห่งมกี ล่ินเหมน็ เป็นขอ้ บง่ ช้วี ่ามลภาวะในจังหวัดนครนายกเร่ิมก่อ
ตัวขึ้นตามบริเวณโรงงานอุตสาหกรรมแต่เพียงเล็กน้อย เพราะธรรมชาติของการแปรรูปวัตถุดิบให้เป็น
ผลิตภัณฑ์ท่ีสามารถนำมาบริโภคได้น้ันทำให้เกิดของเสียหรือส่วนท่ีไม่ต้องการแต่สามารถควบคุมได้ถ้าให้
ความสนใจในเบือ้ งตน้ โดยเฝา้ ระวงั อย่างถูกวธิ ีและมีประสิทธิภาพ
คุณภาพนำ้ ตามการศกึ ษาคณุ ภาพน้ำของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่าง
พ.ศ.2534-2537 ศูนย์อนามัยส่ิงแวดล้อมจังหวัดนครนายกระหว่าง พ.ศ.2537-2538 และรายงาน
แผนปฏิบัติการและจัดลำดับความสำคัญการลงทุนเพ่ือแก้ไขปัญหาส่ิงแวดลอ้ มของจังหวัดนครนายก พ.ศ.
๕
2539 มีผลสรุปว่าคุณภาพแหล่งน้ำก่อนไหลผ่านชุมชนน้ันจัดเป็นประเภทที่ 4 ในการแบ่งประเภท
คุณภาพน้ำตามการใช้ประโยชน์ของมาตรฐานคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดินที่มิใช่ทะเล ดังประกาศของ
กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและพลังงานเมื่อ พ.ศ.2529 สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการอุปโภค
และบริโภคโดยผ่านการฆ่าเช่อื โรคตามปกติ และผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำเป็นพิเศษเพื่อใช้ใน
การอุตสาหกรรม
คุณภาพอากาศและเสียง ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศและเสียงในรายงาน
แผนปฏิบัติการและจัดลำดับความสำคัญของการลงทนุ เพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจังหวัดนครนายก พ.ศ.
2538 ได้ตรวจวัดฝุ่นละอองในบรรยากาศ ก๊าซซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ คาร์บอนมอน
นอกไซด์ และระดับเสียงในบรรยากาศ ปรากฏว่าคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่สำนักงาน
คณะกรรมการส่ิงแวดล้อมแห่งชาติกำหนด ยกเว้นบริเวณส่ีแยกถนนเสนาพินิจ อำเภอเมืองนครนายก
เท่านั้นมีปริมาณฝุ่นละอองและระดับเสียงในบรรยากาศที่มีค่าเกินมาตรฐานคุณภาพอากาศท่ัวไป
เน่ืองจากเป็นบริเวณชมุ ชนหนาแน่นและการจราจรคับคัง่
ต่อมา พ.ศ.2540 จังหวัดนครนายกให้บริษัทชีวิตและสิ่งแวดล้อมตรวจวัดคุณภาพและ
เสยี ง ปรากฏวา่ บริเวณอำเภอเมอื งนครนายก อำเภอบา้ นนา และอำเภอองครักษม์ ีคุณภาพดีปลอดมลพิษ
เป็นสถานท่นี า่ อยู่พักอาศัยของเด็ก ผู้ใหญ่ ผ้สู ูงอายุ และสัตวเ์ ลย้ี งเพือ่ สขุ ภาพอนามัยทีส่ มบูรณ์
การคมนาคม
ถนน เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งทางบกท่ีสำคัญที่สุดของจังหวัดนค รนายก
ประกอบดว้ ย ทางหลวงแผน่ ดิน ซง่ึ เช่ือมโยงระหว่างภูมิภาคกบั จงั หวดั และระหวา่ งจังหวดั กับอำเภอต่างๆ
อยูใ่ นความรบั ผดิ ชอบของกรมทางหลวง ทางหลวงทอ้ งถิ่นเป็นส่วนท่อี ยู่ในเขตชมุ ชนอยูใ่ นความรบั ผิดชอบ
ของเทศบาลและสุขาภิบาล ทางชนบท เป็นส่วนท่ีอยู่นอกเขตชุมชนเชื่อมโยงจากอำเภอไปยังตำบลและ
หมู่บ้าน อยู่ในความรับผิดชอบของกรมโยธาธิการ สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท องค์การบริหารส่วน
จังหวัด และองค์การบริหารส่วนตำบล นอกจากน้ันยังมีถนนของส่วนราชการอ่ืน ได้แก่ ถนนของกรม
ชลประทาน เปน็ ตน้
เสน้ ทางหลักทส่ี ำคญั ของถนนมดี งั นี้
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 เป็นเส้นทางสายหลักของจังหวัดท่ีเชื่อมโยงสู่
กรุงเทพมหานคร แยกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ที่ประตูน้ำรังสิต จังหวัด
ปทุมธานี เข้าสู่จังหวัดนครนายกผ่านอำเภอองครักษ์ไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 ที่อำเภอ
เมอื งนครนายก
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33(ถนนสุวรรณศร) แยกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข
1 (ถนนพหลโยธิน) ท่ีหินกองจังหวัดสระบุรี เข้าสู่จังหวัดนครนายกที่อำเภอบ้านนาผ่านอำเภอเมือง
นครนายก อำเภอปากพลีไปสิ้นสุดท่ีชายแดนไทย-ราชอาณาจักรกัมพูชาที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัด
สระแกว้
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3222 แยกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 (ถนน
สุวรรณศร) ที่อำเภอบ้านนา เชื่อมต่อกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ที่อำเภอแก่งคอย
จงั หวดั สระบุรี
๖
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3049 แยกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 (ถนน
สุวรรณศร) ที่อำเภอเมืองนครนายกไปยังสถานท่ีท่องเท่ียวสำคัญของจังหวัด ได้แก่ น้ำตกนางรอง น้ำตก
สาริกา
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3239 แยกจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 (ถนน
สุวรรณศร) ท่ีอำเภอเมืองนครนายกไปยังโครงการชลประทานเขื่อนท่าด่าน
ทางรถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ก่อสร้างทางรถไฟสายแก่งคอย - คลองสิบเก้า
เชื่อมระหว่างภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไปสู่ภาคพ้ืนที่ชายฝ่ังตะวันออกโดยผ่านจังหวัด
นครนายกที่อำเภอบ้านนา และอำเภอองครักษ์ เพื่อรับรองการขนส่งวัตถุดิบและสินค้าส่งออกระหว่าง
พื้นท่ีดังกล่าว เพ่ืออำนวยความสะดวก ย่นระยะทางการขนส่ง และการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจังหวัด
ในอนาคต
ทางน้ำในอดีตจังหวัดนครนายกใชเ้ ส้นทางคมนาคมทางน้ำตดิ ต่อกับกรุงเทพมหานครไป
ตามแม่น้ำนครนายก ผ่านประตูน้ำเสาวภาผ่องศรีเข้าสู่คลองรังสิตไปบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่อำเภอ
ปากเกรด็ จังหวดั นนทบุรี หรือเสน้ ทางจากแม่น้ำนครนายกไปยังแม่น้ำบางปะกงเข้าสู่คลองแสนแสบไปยัง
กรงุ เทพมหานคร
ประชากร
โครงสร้างประชากร จำนวนประชากรของจังหวัดนครนายก ในปี 2558 (ข้อมูล ณ : สิงหาคม
2559) มที ้งั สิน้ 258,241 คน เพม่ิ ขนึ้ จากปี 2557 (257,300 คน) จำนวน 941 คน คิดเป็นร้อยละ
0.37 เป็นประชากรชาย 127,784 คน หรอื ร้อยละ 49.48 ประชากรหญิง 130,457 คน หรือร้อยละ
50.52 อำเภอที่มีประชากรมากที่สุดคืออำเภอเมืองนครนายก มีประชากรทั้งส้ิน 83,948 คน คิดเป็น
รอ้ ยละ 32.51 รองลงมาคืออำเภอบ้านนามีประชากร 64,383 คน คิดเป็นร้อยละ 24.93 และอำเภอ
องครักษ์ จำนวน 60,311 คน คิดเป็นร้อยละ 23.35 ส่วนอำเภอปากพลีมีประชากรน้อยที่สุดเพียง
22,711 คน คิดเป็นร้อยละ 8.79 ความหนาแน่นของประชากรในจังหวัดนครนายกประมาณ 107 คน
ต่อตารางกโิ ลเมตร ขนาดครวั เรือนเฉลี่ย 4 - 5 คน
กลุ่มชน ประชากรของจังหวัดนครนายกส่วนมากเป็นคนเชื้อชาติไทย สัญชาติไทย นอกจากน้ัน
เปน็ คนลาว คนมอญ คนไทยมสุ ลมิ และคนจนี ที่มาต้งั ถนิ่ ฐานปะปนกนั
คนไทย กลุ่มชนในจังหวัดนครนายกส่วนหน่ึงเป็นคนไทยสืบเช้ือสายมาจากไพร่หลวง
สงั กดั กองข้าว เน่ืองจากมีกองขา้ วอยูท่ จี่ ังหวัดนครนายกมาตั้งแต่สมัยอยธุ ยา
คนลาว เป็นพวกที่ถูกกวาดต้อนเทครัวมาจากประเทศลาวในสมัยกรุงธนบุรี เป็นลาว
เวียง และสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นลาวพวน ตั้ง
รกราก ณ ตำบลหนองแสง ตำบลเกาะหวาย ตำบลท่าเรอื และตำบลเกาะโพธิ์ อำเภอปากพลี และบริเวณ
วัดใหญท่ ักขณิ าราม ตำบลบ้านใหญ่ อำเภอเมอื งนครนายก
คนมอญ สืบเชอ้ื สายมาจากกล่มุ มอญอพยพเข้ามาในชว่ งต้นของกรุงรัตนโกสนิ ทร์
ณ ตำบลทา่ ทราย อำเภอเมืองนครนายก บางสว่ นอยูท่ ่อี ำเภอบ้านนา และตำบลชุมพล อำเภอองครักษ์
คนไทยมุสลิม คนกลุ่มน้ีถูกกวาดต้อนมาจากปัตตานีในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลท่ี 1 โดยกวาดร้อนไปไว้ยังท่ีต่างๆ โดยเฉพาะในจังหวัดนครนายกมี
จำนวนมากทอี่ ำเภอองครกั ษแ์ ละอำเภอบ้านนา
๗
คนจีนอพยพ เป็นกลุ่มชนท่ีเข้ามาประกอบอาชีพในจังหวัดนครนายกสมัยกรุงธนบุรี
และต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะเป็นระยะท่ีมีคนจีนแต้จ๋ิวอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเป็นจำนวน
มาก
ภาษา จังหวดั นครนายกมีภาษาไทยภาคกลางใช้ส่ือสารกนั และมภี าษาชนกล่มุ น้อยที่อาศัยอยใู่ น
จังหวัดเป็นภาษาพูดในกลุ่มเชื้อสายเดียวกัน เช่น ชาวไทยพวนใช้ภาษาไทยพวน ภาษาของมุสลิม
ภาษาจนี ของคนจีนแต้จิ๋ว และชาวลาวเวียงใช้ภาษาลาว เปน็ ตน้
ศาสนาและความเช่ือ ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธคิดเป็นร้อยละ 92.92 ศาสนา
อสิ ลามร้อยละ 6.55 และศาสนาคริสต์รอ้ ยละ 0.53 จังหวัดนครนายกมีวัดท้ังส้ิน 201 แห่ง สำนักสงฆ์
20 แห่ง มัสยิด 24 แหง่ โบสถ์คริสต์ 7 แห่ง
ชาวนครนายกมีความเชื่อที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนเป็นประเพณี ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง
เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตในด้านเกษตรกรรม และประเพณีทางศาสนาของประชากรซึ่งมีหลายเชื้อชาติ
และศาสนา เช่น การก่อพระทรายข้าวเปลอื ก ประเพณีสู่ขวัญข้าวของคนไทย งานบุญข้าวจี่ งานบุญบั้งไฟ
ของคนลาว และประเพณีผโี รงผีรำของคนมอญ เปน็ ต้น
กำลังแรงงานและอาชีพ ประชากรที่มีวันเป็นกำลังแรงงานของจังหวัด มีประมาณร้อยละ
77.33เปน็ กำลังแรงงานรอ้ ยละ 52.94 และเป็นผไู้ มม่ ีงานทำร้อยละ 0.51
ผู้มีงานทำอยู่ในภาคเกษตรกรรมร้อยละ 65.4 ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาข้าว รองลงมา
ได้แก่ ทำสวนผลไม้ ปลูกพืชไร่ พืชผัก ไม้ดอก และการปศุสัตว์ ส่วนที่อยู่นอกภาคเกษตรกรรมร้อยละ
34.6 เป็นแรงงานในภาคอตุ สาหกรรม การพาณิชยกรรม และการบรกิ าร
พัฒนาการทางประวัตศิ าสตรข์ องท้องถิน่
การต้ังถ่ินฐาน
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฏว่าได้พบหลักฐานการตั้งถ่ินฐานของมนุษย์
ในบรเิ วณจังหวัดนครนายกซ่ึงเร่มิ มมี าตง้ั แต่กอ่ นสมัยประวัติศาสตรเ์ มื่อหลายพนั ปีแลว้ เช่น การสำรวจขุด
คน้ ทางโบราณคดี ณ บ้านห้วยกรวด ตำบลเขาเพ่ิม อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก สันนิษฐานเป็นแหล่ง
ผลิตเครื่องมือหิน เน่ืองจากพบโกลนข้ึนรูปขวานหินทั้งแบบมีบ่าและไม่มีบ่า ขวานหินขัด สะเก็ดหิน เศษ
ภาชนะดินเผา เครื่องปนั้ ดินเผาขนาดเล็ก หินลับ และลูกปัด ณ บ้านเขาเพิ่ม ตำบลเขาเพิ่ม อำเภอบ้านนา
พบเครื่องมือหินขัดจำนวนมาก กำไลหิน ขวานสำริดมีบ้อง และหินลับ และบริเวณริมคลองบ้านนา พบ
หลักฐานโบราณคดีในบ่อดูดทราย เป็นขวานหินขัดประมาณ 200 ชิ้น และขวานสำริด 2 ชิ้น เคร่ืองมือ
หินขัดมี 2 แบบ คือ แบบไม่มีบ่าและแบบมีบ่า ส่วนโครงกระดูกของเจ้าของเคร่ืองมือเครื่องใช้ดังกล่าว
ค้นพบระหว่างการดดู ทรายเชน่ กนั
ริมคลองบ้านนา ตามหลักฐานทางโบราณคดีดังกล่าวแสดงว่าเม่ือประมาณ 3,000-
5,000 ปีมาแลว้ มนุษย์กลุ่มหน่ึงได้เคลื่อนย้ายมาอาศัยอยู่ในบริเวณริมคลองบ้านนาซึ่งเป็นการต้ังถ่ินฐาน
ในบริเวณที่ราบริมน้ำ เป็นชุมชนเกษตรกรรมท่ีคนในยุคนั้นเรียนรู้การเพาะปลูก และสามารถควบคุม
ปรมิ าณนำ้ ในการเพาะปลกู
กลุ่มคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ณ บริเวณริมคลองบ้านนามีความสัมพันธ์กับกลุ่มคน
บริเวณเขาเพิ่ม และบริเวณบ้านห้วยกรวด เพราะแหล่งโบราณคดีบ้านห้วยกรวดนั้นเป็นแหล่งผลิตขวาน
หินให้กับชุมชนใกล้เคียง เช่น บ้านเขาเพิ่ม อาจมีการติดต่อกับแหล่งโบราณคดีบึงไผ่ดำ อำเภอบางน้ำ
๘
เปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา และแหล่งโบราณคดีโคกพนมดี โคกพุทรา อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี
กลุ่มชนท่ีอาศยั ในบริเวณริมคลองบา้ นนาได้อาศัยตอ่ เน่ืองมาจนถึงสมยั ประวัติศาสตร์
เมืองโบราณ ดงละคร ต่อมาประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-14 มีคนอีกกลุ่มหน่ึงอพยพ
เคล่ือนย้ายลงสู่พื้นที่ราบลุ่มบริเวณตำบลดงละคร อำเภอเมืองนครนายก เน่ืองจากการเกษตรที่ริมคลอง
บ้านนาไม่สามารถผลิตอาหารได้พอเพียง จึงต้องย้ายไปยังพื้นที่ที่สามารถทำการเพาะปลูกได้ดี คือ
บริเวณเมืองโบราณดงละคร หรือท่ีชาวบ้านเรียกว่า เมืองลับแล เป็นชุมชนโบราณท่ีต้ังอยู่ห่างจากเมือง
นครนายกปัจจุบันไปทางทิศใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร และห่างจากแม่น้ำนครนายกโดยมีคลองเช่ือมเป็น
ระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตร
ลักษณะเมืองเป็นรูปวงรี ต้ังอยู่บนเนินสูงระหว่าง 10-35 เมตร มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ
ขนาด 550x650 เมตร มีประตูทั้ง 4 ทิศ พ้ืนท่ีรอบๆ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3 เมตร เป็นพื้นท่ี
เนินใหญ่สามารถรองรับการตั้งถ่ินฐานและการขยายตัวของชุมชน ขนาดคูเมืองกว้าง 40-50 เมตร ลึก
10-15 เมตร การขุดคูเมืองแสดงถึงการรู้ระบบเก็บกักน้ำ และชักน้ำเข้าแนวคูนำมาใช้ประโยชน์
โดยเฉพาะแนวลำน้ำโบราณที่ผ่านทางตะวันออก และตะวันตกของดงละครนั้นให้ประโยชน์เพียงพอแก่
การคมนามและการเกษตรกรรม
ส่วนชือ่ เมอื งโบราณดงละครน้ันสันนิษฐานว่ามาจากคำว่า“ดงนคร”หมายถึง ที่ปา่ รกร้าง
ท่ีเคยเป็นเมืองมาก่อน มีร่องรอยส่ิงก่อสร้างคูน้ำคันดินท่ีผู้ปกครองโบราณทำไว้ป้องกันข้าศึกเพ่ือให้เด็ก
อาศัยในเมืองอย่างปลอดภัย ต่อมามีศึกใหญ่ ผู้คนจึงอพยพท้ิงเมืองไปทิ้งข้าวของเครื่องใช้และลูกปัด
จำนวนมากไว้ เรื่องดังกล่าวสามารถอธิบายถึงโบราณวัตถุ และโบราณสถานที่พบในดงละครระยะหลัง
โดยเฉพาะทางตะวันออกได้พบเศษเครอ่ื งปั้นดินเผาเครือ่ งถ้วยเปอร์เซยี ทช่ี ุมชนโบราณ ณ บา้ นโคกกะโดน
อำเภอปากพลี ซ่ึงห่างจากตัวเมืองนครนายกประมาณ 9 กิโลเมตร แสดงวา่ เมืองโบราณดงละครได้ติดต่อ
สัมพันธ์ทางการค้ากับจีนและเปอร์เซีย นอกจากนั้นสันนิษฐานว่าบนฝั่งตะวันตกของคลองปากพลีเป็น
แหล่งโบราณคดีท่ีมีอายุร่วมสมัยกับเมืองโบราณดงละคร เมืองโบราณศรีมโหสถ อำเภอโคกปีบ จังหวัด
ปราจีนบรุ แี ละเมืองโบราณพระรถ อำเภอพนัสนิคม จงั หวัดชลบรุ ี
ตามหลักฐานทางโบราณคดสี รุปได้ว่าเมืองดงละครต้ังอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งทะเล สามารถ
ติดต่อกับชุมชนใกล้เคียงทางสายน้ำเลก็ ๆ ผ่านแม่น้ำบางปะกงแลว้ ออกสู่ทะเล มพี ัฒนาการและมอี ายรุ ่วม
สมัยกับเมืองโบราณอ่ืนๆ ในลุ่มแม่น้ำดังกล่าว โดยติดต่อสัมพันธ์กับเมืองเหล่านั้นมาต้ังแต่สมัยทวารวดี
หรือก่อนน้ัน เช่น ชุมชนกลุ่มเคร่ืองเคลือบตามเตาเผาบุรีรัมย์ ในราวพุทธศตวรรษที่ 15-19 นำวัตถุดิบ
จากเมืองลพบุรีมาหลอมนำสำริดท่ีเมืองโบราณดงละคร แล้วติดต่อรับเอาศาสนาพุทธมาจากอินเดีย โดย
พบพระพุทธรูปสำริดศิลปะอินเดียอายุประมาณพุทธศตวรรษท่ี 13-14 ซึ่งพ่อค้าหรือ ผู้เผยแพร่
ศาสนาจากอินเดียนำเข้ามา นอกจากนั้นยังพบเขตประกอบสังฆกรรมที่บริเวณทางตะวันตกนอกเมือง
โบราณดงละคร เน่ืองจากบรเิ วณดังกลา่ วเป็นกลุ่มโบราณสถานทีป่ ระกอบพธิ ีกรรมทางพุทธศาสนา โดยใช้
หนิ ทรายปกั เปน็ เขตแบบใบเสมาอนั เป็นเครอ่ื งหมายของอาคารประเภทโบสถใ์ นสมยั ต่อมา
เมืองนครนายก ระหว่างพุทธศตวรรษท่ี 18 มีชุมชนกระจายอยู่บริเวณใกล้เคียงเป็น
ชุมชนท่ีมีการติดต่อกับเมืองโบราณดงละคร ได้แก่ ชุมชนบริเวณริมแม่น้ำนครนายก บ้านพรหมณี อำเภอ
เมืองนครนายก จงั หวัดนครนายก ห่างจากตวั เมอื งไปทางเหนือราว 15 กิโลเมตร ชุมชนบริเวณวัดท่าแดง
ริมคลองท่าแดง ตำบลเกาะหวาย อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก ห่างจากตัวเมืองไปทาง
ตะวันออกเฉียงเหนือราว 8 กิโลเมตร และห่างจากแมน่ ้ำนครนายกไปทางตะวันออกราม 3 กโิ ลเมตร
๙
เมืองนครนายกเป็นเมืองโบราณแห่งหนึ่งท่ีมีอายุสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ตั้งอยู่ฝ่ังขวาของ
แมน่ ำ้ นครนายก ห่างจากเมอื งโบราณดงละครเยอื้ งมาทางเหนอื ราว 10 กโิ ลเมตร มรี อ่ งรอยปรากฏดังนี้
กำแพงเมอื ง 3 ดา้ น ได้แก่ ด้านตะวันออก ด้านเหนือ และดา้ นตะวันตก ไม่มดี ้านใตอ้ าจ
เป็นเพราะใช้แม่น้ำนครนายกเป็นปราการธรรมชาติ แนวกำแพงเมืองเริ่มจากแม่น้ำนครนายกท่ี
วัดโพธินายกไปจรดแม่น้ำนครนายกทางเหนือท่ีวัดศรีเมือง กำแพงเมือง มี 2 ช้ัน ช้ันนอกเป็นกำแพงดิน
ชัน้ ในเป็นกำแพงอิฐ เนือ้ ท่ีภายในบริเวณเมืองประมาณ 200 ไร่
คูเมือง ตามหลักฐานการศึกษาร่องรอยเมืองนครนายกปรากฏว่าเป็นคูทขี่ ดเชื่อมต่อยาว
ในแนวตะวันออกถึงตะวันตก ขนานกับแม่น้ำนครนายก ปลายคูท้ังสองข้างคดเลี้ยวเบนเข้าเช่ือมกับคุ้งน้ำ
นครนายกในบริเวณที่เป็นโค้งแม่น้ำอ้อม ทำให้เมืองนครนายกโบราณมีสภาพเป็นเกาะขนาดใหญ่ท่ีมีคุ้ง
แม่น้ำโอบลอ้ มด้านทิศใต้และทิศตะวันตก ส่วนทางทศิ เหนือและทศิ ตะวนั ออกอาศัยคูน้ำท่ีขุดขึ้นเป็นอาณา
เขต
ท่มี าของชื่อเมอื งนครนายก
เมอื่ ศึกษาประวตั ศิ าสตรเ์ มืองนครนายกอาจพบประเด็นทก่ี ลา่ วถึงกนั เสมอคือท่ีมาของช่ือ
เมอื ง ซึ่งมีลักษณะแตกตา่ งกนั ดงั นี้
1) การยกค่านา รองอำมาตย์กา้ น สภานนท์ ครูใหญ่โรงเรยี นนาครส่ำสงเคราะห์ (เปน็
โรงเรียนประจำจังหวัดนครนายก ปัจจุบนั คือโรงเรียนนครนายกวิทยาคม) ได้เรียบเรียงประวัตศิ าสตร์เมือง
นครนายกเม่ือ พ.ศ.2476 ตามคำบอกเล่าว่าชื่อเมืองนครนายกมาจากนโยบายของพระเจ้าแผ่นดินใน
อดีตที่ทรงสนับสนุนให้เข้ามาหักร้างถางพงบริเวณรกร้างว่างเปล่า แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
ยกเว้นการเก็บอากรค่านา และให้ประชาชนทำมาหาเลี้ยงชีพตามใจชอบ จึงเรียกเมืองนี้ว่า “เมืองนายก”
ภายหลงั เปลี่ยนเรยี กเปน็ “นครนายก” อยา่ งไรก็ตามไมป่ รากฏหลักฐานวา่ เกดิ ขึน้ ในสมยั ใด
2) มาจากคำวา่ “สมุหนายก” นายทฤษฎี อุจวาที เสนอข้อสนั นิษฐานไว้ในการ
ประชุมกลุ่มโรงเรียนมัธยมศึกษาเพื่อเขียนหนังสือประกอบการเรียนหัวข้อประวัติความเป็นมาของจังหวัด
นครนายกว่าเนื่องจากเป็นเมืองอยู่ใกล้กรุงศรีอยุธยา ภายใต้การควบคุมของสมุหนายกซึ่งเป็นตำแหน่ง
ที่เกิดในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991 ถึงพ.ศ.2031) ประชาชนจึงเรียกเมืองว่า
“สมุหนายก” แล้วกลายเปน็ นครนายกในที่สุด
3) มาจากคำขอมโบราณว่า “โกระยก” หมายถึงแผ่นดนิ ท่หี าเอามา เมอ่ื นานเข้า
คำดังกล่าวได้เพ้ียนเป็น “นครนายก” ผู้เสนอความเห็นน้ีพยายามหารากศัพท์เดิมของนครนายกจากคำ
ภาษาเขมร “โกระยก” ท่พี อ้ งเสยี งกบั คำว่านครนายกมากทสี่ ดุ
4) มาจาก “บ้านนา” พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว รัชกาลท่ี 4
มีพระราชดำริเกี่ยวกับชื่อ “นครนายก” ไว้ในพระราชนิพนธ์เร่ือง “แผ่นดินเขมาเป็น 4 ภาค” ว่าเป็นชื่อ
ท่ีเขมรตั้งสำหรับบ้านนา โดยมีพระราชวินิจฉัยว่าเมืองทางตะวันออก เป็นเมืองท่ีไทยกับเขมรสลับกัน
มีอำนาจปกครอง ทำให้ช่ือเมืองมีช่ือเขมรบ้างไทยบ้าง ท้ังยังมีพระราชกระแสรับส่ังว่า ชื่อนครนายก
เป็นคำมาจากภาษาสันสกฤต เขมรตั้งช่ือบ้านนาเช่นเดียวกับที่เขมรต้ังบางคาง แปดริ้วเป็นประจิม
เมอื งฉะเชงิ เทราตามลำดับ
๑๐
ทีม่ าของชื่ออำเภอ
อำเภอเมืองนครนายก
อำเภอเมืองนครนายก เดิมเรียกว่า “อำเภอวังกระโจม” เพราะท่ีว่าการอำเภอตั้งอยู่ที่
ตำบลวังกระโจม ริมแม่น้ำนครนายกฝั่งซ้ายระหว่างวัดอินทรารามกับวัดส้มป่อย ตั้งอยู่ช้านานเพียงใดไม่
ปรากฏหลักฐาน
ประมาณ พ.ศ. 2439 ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอจากที่เดิมมาสร้างใหม่ภายในกำแพงเมือง
ริมแม่น้ำนครนายกฝั่งขวา สมัยนน้ั พื้นที่ในบริเวณกำแพงเมอื งเป็นป่าละเมาะราษฎรเข้าทำนาปลูกบ้านอยู่
เป็นหย่อม ๆ บนกำแพงมีกอไผ่ ขึ้นปกคลุมอยู่หนาแน่น เจ้าเมืองในสมัยน้ัน จึงให้ราษฎรท่ีอยู่ในกำแพง
เมืองย้ายเมืองย้ายออกไปอยู่นอกกำแพง เกณฑ์ราษฎรถางป่าปรับพ้ืนที่เพ่ือสร้างที่ว่าการอำเภอข้ึน ซึ่งอยู่
ห่างจากที่ว่าการอำเภอเดิมประมาณ 200 เมตร คือ บริเวณข้างศาลจังหวัดนครนายกด้านตะวันออกใน
ปจั จบุ ัน
ต่อมาท่ีว่าการอำเภอทรุดโทรมลง ประกอบกับกระทรวงยุติธรรมจะสร้างศาลจังหวัดขึ้น
ใหม่ในบริเวณใกล้เคียงกับท่ีว่าการอำเภอ จึงได้รื้อที่ว่าการอำเภอแห่งนี้ เม่ือเดือนมิถุนายน พ.ศ.2475
และได้ขอใช้ศาลจังหวัดหลังเก่าเป็นที่ว่าการอำเภอจนถึงปี พ.ศ. 2495 จึงได้รับอนุมัติงบประมาณจาก
กระทรวงมหาดไทยให้สร้างที่วา่ การอำเภอขึ้นใหม่บริเวณพื้นทีร่ ะหวา่ งเรอื นจำจังหวัดกับวัดศรีเมือง ตาม
แบบมาตรฐานที่ว่าการอำเภอชั้นตรี ในวงเงิน 180,000 บาท ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 12
กรกฎาคม 2495 ซ่ึงเป็นท่ีวา่ การอำเภอเมืองนครนายกจนถงึ ปัจจบุ นั น้ี
ท่ีมาของคำว่า “วังกระโจม” นี้ มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่ามีพระพุทธรูปองค์หน่ึงลอยน้ำมา
จากทางเหนอื ตามลำน้ำนครนายก มาวนเวยี นอย่ตู รงคงุ้ น้ำหน้าศาลเจา้ ใกล้กบั ตลาดวังกระโจมจมลงที่น่ัน
ชาวบ้านจึงเรียกหมู่บ้านแถวน้ันว่า บ้านวังพระจม ต่อมาจึงเพี้ยนไปเป็นวังกระโจม และเรียกเป็นช่ือ
อำเภอ จนประมาณ พ.ศ.2481 จึงได้เปลี่ยนช่ือเป็น “อำเภอเมืองนครนายก” เพราะเป็นอำเภออัน
เป็นที่ต้ังศาลากลางจังหวัดนครนายก ต่อมาเมื่อวันท่ี 1 มกราคม พ.ศ.2486 ทางราชการได้ยุบจังหวัด
นครนายกไปข้ึนกับจังหวัดปราจีนบุรี จึงเปล่ียนนามอำเภอใหม่เป็นอำเภอนครนายก จนถึงวันที่ 9
พฤษภาคม พ.ศ.2489 มีการประกาศตั้งจังหวัดนครนายกข้ึนใหม่ อำเภอนจ้ี ึงเปล่ียนมาเปน็ อำเภอเมือง
นครนายก จนถงึ ทกุ วันนี้
อำเภอปากพลี
มปี ระวตั คิ วามเป็นมาเทา่ ทป่ี รากฏหลกั ฐานอยู่ในขณะนีว้ ่า ได้ตงั้ ขึ้นเม่อื พ.ศ. 2436
(ร.ศ.112) มีชื่อวา่ “อำเภอบุ่งไร่” โดยได้ตั้งท่ีว่าการอำเภออยู่ท่ีบ้านบุ่งไร่ ซ่ึงปัจจุบันอยู่ในท้องที่ตำบล
ศรนี าวา อำเภอเมอื งนครนายก จงั หวดั นครนายก
ตอ่ มาเมอ่ื พ.ศ. 2446(ร.ศ.122) ไดเ้ ปลยี่ นชื่อจาก อำเภอบุ่งไร่มาเป็น “อำเภอหนอง
โพธิ์” เพ่ือรวบรวมเอาบ้านหนองโพธ์ิและหนองน้ำใหญ่ชื่อ “หนองโพธ์ิ” ท่ีประชาชนใช้ร่วมกันเข้าไว้ด้วย
ส่วนทีว่ ่าการอำเภอยงั คงอยทู่ ีเ่ ดมิ
ใน พ.ศ. 2448(ร.ศ.124) ไดย้ ้ายทีว่ า่ การอำเภอไปอยู่ที่ “บ้านท่าแดง” ริมคลองทา่ แดง
ตำบลปากพลี และได้เปล่ียนช่ือใหม่เป็น “อำเภอเขาใหญ่” เพราะเขตท้องที่ครอบคลุมถึงเขาใหญ่ ต่อมา
ในปี พ.ศ. 2460ก็ได้เปล่ยี นช่ืออำเภออกี ครัง้ หนึ่งเปน็ “อำเภอปากพล”ี ซ่งึ ยังใช้ชื่อนอี้ ยจู่ นถงึ ปจั จบุ ัน
เม่ือมีการปรบั ปรุงเขตตำบลใหม่ ไดแ้ ยกเขตทอ้ งทตี่ ำบลปากพลอี อกเป็น 2 ตำบล และ
๑๑
ไดต้ ้ังตำบลใหม่ เรียกวา่ ตำบลเกาะหวาย ทีว่ า่ การอำเภอปากพลี จงึ ต้ังอยใู่ นเขตตำบลเกาะหวาย
ท่วี ่าการอำเภอปากพลี ซึ่งตง้ั อยูร่ ิมคลองท่าแดง ใกล้กบั สถานีตำรวจภูธรอำเภอปากพลี
ปัจจุบันเป็นอาคารไม้หลังคามุงจาก ชำรุดทรุดโทรมมาก ในปี พ.ศ. 2491 ได้ถูกพายุพัดหลังคาพัง
ไม่เหมาะท่ีจะซ่อมแซมใช้เป็นที่ว่าการอำเภออีกต่อไป จึงได้ย้ายท่ีว่าการอำเภอปากพลี จากริมคลองท่า
แดงมาอยู่ริมถนนสุวรรณศร (ทางหลวงสายกรุงเทพฯ – ปราจีนบุรี) และได้สร้างที่ว่าการอำเภอข้ึนใหม่
เปิดทำการเมือ่ วันท่ี 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2493 ที่ว่าการอำเภอปากพลีเดิมนนั้ ปัจจุบันเป็นตลาดสดของ
สุขาภบิ าลเกาะหวาย
ตอ่ มาได้ย้ายทวี่ ่าการอำเภอปากพลี จากทีว่ ่าการอำเภอปากพลีเดิมที่อยรู่ ิมถนน
สวุ รรณศรระหว่างวัดฝ่ังคลองกับวัดบ้านใหญ่ (วัดปทุมวงษาวาส) มาอยู่อาคารเรียนโรงเรียนมัธยมสามัญ
ปากพลี(โรงเรียนปากพลีวิทยาคาร) เม่ือวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2524 เน่ืองจากท่ีว่าการอำเภอปากพลี
หลงั เดิมชำรุดทรุดโทรมมาก
อำเภอบา้ นนา
ทว่ี ่าการอำเภอบ้านนา เดมิ ตงั้ อยู่ทางฝง่ั ขวาของแมน่ ำ้ นครนายก ท่ี “ตำบลบางออ้ ”
มีชื่อว่าอำเภอท่าช้าง ต่อมาในปี พ.ศ. 2446 ได้เปล่ียนชื่อเป็น “อำเภอบ้านนา” แต่โดยท่ีบริเวณสถาน
ท่ตี ง้ั วา่ การอำเภอเปน็ ที่ลุม่ น้ำทว่ มทุกปี และไมอ่ ยู่ในย่านกลางของชมุ ชน ประกอบกบั การคมนาคม
ในคร้ังนั้นต้องอาศัยทางน้ำเป็นสำคัญ ประชาชนไปมาติดต่อกับอำเภอไม่สะดวก ราษฎรซ่ึงมีภูมิลำเนาอยู่
ในท่ีดอน ต้องบุกป่ามาลงเรืออีกต่อหนึ่ง เมื่อมีธุระจะมาติดต่อท่ีอำเภอไม่สะดวก ทางราชการจึงได้
พิจารณาย้ายท่ีว่าการอำเภอ มาตั้งอยู่ริมถนนสุวรรณศร เม่ือ พ.ศ. 2508 ซ่ึงเป็นที่ตั้งอำเภอปัจจุบัน อยู่
ห่างจากศาลากลางจงั หวัดนครนายก ประมาณ 17 กิโลเมตร
อำเภอนี้ ตามประวัติเดิมเคยเป็นแขวงเมืองนครนายก ซ่ึงเป็นเมืองลูกหลวงหรือเมือง
หน้าด่านในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยเฉพาะท้องที่อำเภอบ้านนาเคยเป็นท่ีตั้งกองโพนช้างหรือ
กองจบั ช้างป่า สำหรบั เป็นช้างท่ีใช้เป็นพาหนะสำคัญในการทำศกึ สงครามมาแต่สมยั โบราณ ปรากฏว่ายัง
มีหลักฐานอยู่ในท้องท่ี ที่ตำบลป่าขะ อำเภอบ้านนา กล่าวคือ มีหมู่บ้านหนึ่งในปัจจุบันนี้มีชื่อเรียกว่า
“โรงช้าง” หมู่บ้านน้ีเมื่อประมาณ 30 ปีเศษยังมีเสาโรงช้างของกรมพาหนะคชบาลเหลือซากอยู่เป็น
หลักฐาน แตใ่ นปจั จบุ ันซากเสาโรงช้างได้ชำรุดผพุ ังไปจนหมดสิ้นแล้ว
อำเภอบ้านนา เคยโอนไปข้ึนกับจังหวัดสระบุรีครั้งหน่ึง เน่ืองจากได้มีพระราชบัญญัติ
ยกเลิกจังหวัดนครนายก ให้อำเภอต่างๆ ไปขึ้นกบั จังหวดั ปราจนี บุรี ส่วนอำเภอบ้านนาให้ไปขน้ึ กับจังหวัด
สระบุรี เม่ือวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2496 ต่อมามีพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดนครนายกข้ันใหม่ เมื่อ
วันท่ี 9 พฤษภาคม พ.ศ.2489 อำเภอบ้านนาจึงได้กลับมาขึ้นกับจังหวัดนครนายก จนกระท่ังถึง
ปจั จุบนั น้ี
อำเภอองครกั ษ์
อำเภอองครักษ์ เป็นอำเภอสำคัญอำเภอหน่ีงของจังหวัดนครนายก เม่ือปี พ.ศ. 2432
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ขุดคลองระหว่าง
แม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำนครนายก โดยซอยออกเป็นคลองต่าง ๆ ท้ังสองฝ่ังและขนานนามคลองนี้ว่า
๑๒
“คลองรงั สิตประยูรศักดิ์” และขนานนามประตนู ้ำด้านแม่น้ำเจ้าพระยาว่า “ประตูนำ้ จุฬาลงกรณ์” ส่วน
ประตูปิดเปิดระบายน้ำแม่น้ำนครนายก ทรงพระราชทานนามว่า “ประตูน้ำเสาวภาผ่องศรี” ซึ่งเป็นที่ตั้ง
ของอำเภอองครักษเ์ กา่ และมีคำเล่าลือกันว่า เม่ือพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นเถลิง
ถวลั ยร์ าชสมบตั ิ ได้เสด็จประพาสและไดม้ าประทบั แรมบริเวณที่ต้ังศาลเจา้ พ่อองครกั ษป์ ัจจบุ ัน ในระหวา่ ง
ประทับแรมอยูน่ ั้น นายทหารราชองครักษ์ ไดป้ ่วยและเสียชีวิตลง (บางแหง่ ว่า ได้ตอ่ สู้ป้องกันช้าง มิให้เข้า
มาทำอันตรายพระพุทธเจ้าหลวง และได้ถกู ชา้ งทำอันตรายจนเสียชีวิตลง) เพื่อเป็นที่ระลึกแกร่ าชองครักษ์
ท่านนั้น จึงได้ตั้งศาลขึ้นเป็นอนุสรณ์ ต่อมาได้เรียกว่า “ศาลเจ้าพ่อองครักษ์” และได้ใช้ชื่อน้ีเป็นชื่อ
“อำเภอองครักษ”์ มาจนถึงปัจจุบัน
ต่อมาเม่ืออำเภอหลังเก่าชำรุดทรุดโทรม จึงได้ย้ายมาสร้างท่ีว่าการอำเภอใหม่ห่างจาก
ทวี่ ่าการอำเภอไปทางทศิ เดิมไปทางทิศใตป้ ระมาณ 500 เมตร
นครนายกในหน้าประวัตศิ าสตร์
เมืองบนเส้นทางยุทธศาสตร์ จังหวัดนครนายกเป็นเมืองท่ีมีความสำคัญเพราะเป็น
เส้นทางยุทธศาสตร์ในการติดต่อทางบกระหว่างอาณาจักรในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา (กรุงศรีอยุธยา) กับหัว
เมืองทางตะวันออก ดนิ แดนทางภาคตะวนั ตกเฉียงเหนือของไทยปัจจุบัน และอาณาจกั รกัมพูชา เน่ืองจาก
นครนายกเป็นเขตท่ีราบติดต่อระหว่างลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำบางปะกงที่สามารถเดินทางติดต่อกับ
หวั เมืองภาคตะวันออกอื่นๆ เชน่ ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ระยอง ชลบุรี ปราจีนบรุ ี และต่อไปยังกัมพูชา (ราช
อาณาจังกรกัมพูชาในปัจจุบัน) หรือต่อไปยังนครราชสีมา เพ่ือต่อไปหัวเมืองต่างๆ ในภาคอีสาน เป็น
เส้นทางบกที่สะดวกกว่าไปทางบกสายอื่น เช่น การเดินทางไปนครราชสีมาถ้าไม่ใช้เส้นทางผ่านจังหวัด
นครนายกไปจังหวัดปราจีนบุรีทางช่องตะโก แล้วไปทางเมืองชัยบาดาล (บริเวณจังหวดั ลพบุรี) ขึ้นไปทาง
ดงพญากลางนั้น ผ่านไปทางสระบุรีได้ยากแม้มีระยะทางส้ันกว่า เนื่องจากถ้าไปทางสระบุรีต้องผ่านดง
พญาไฟโดยทางเทา้ ใช้ล้อเกวียนไม่ได้เพราะต้องเลยี บข้นึ ไปตามไหล่เขาไต่ไปตามสันเขา เช่น พระเจ้าตาก
(สนิ ) หลบหนพี ม่าออกจากกรุงศรีอยุธยาผา่ นนครนายกคราวศกึ เสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2310
สว่ นเขมรอาศยั เส้นทางน้ีเป็นเส้นทางเดินทัพบุกกรุงศรีอยุธยาเช่นกัน เช่นในสมัยสมเด็จ
พระมหาธรรมราชาธิราชหลงั เสยี กรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2112 หนง่ึ ปี นกั พระบรมราชากษัตริยเ์ ขมรได้ยกทัพ
มาทางเมืองนครนายกมีกำลังไพร่พลประมาณสามหม่ืนถึงพระนครศรีอยุธยา ตั้งทัพท่ีตำบลบ้านกระทุ่ม
แตย่ กทพั เขา้ ปลน้ กรงุ ศรอี ยธุ ยาไม่ได้ 3 ครัง้ จงึ ถอยทพั กลับ
พ.ศ.2130 ระหว่างท่ีกรุงศรีอยุธยามีศึกกับพม่า กษัตริย์เขมรส่งทัพเข้ามาตีเมือง
ปราจีนบุรีแตก เม่ือสมเด็จพระมหาธรรมราชาทรงทราบข่าวจากกรมการเมืองนครนายกจึงยกทัพไป
จำนวนหน่งึ พนั รบพงุ่ กบั กองเขมรท่เี ข้าตเี มืองนครนายกจนกองทัพเขมรแตกพา่ ย ตอ่ มาพ.ศ. 2136
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จยกทัพใหญ่ทั้งทางบกและทางเรือ มีกำลังพลหน่ึงแสนคนไปตีเขมร ก่อน
เข้าตีเมืองละแวกนน้ั คงต้องอาศยั เสน้ ทางเมืองนครนายกน้ีเชน่ กัน
ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระนัง่ เกลา้ เจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2367-2394) ทรงทำ
ศกึ กบั เจา้ อนวุ งศ์ พ.ศ.2369 สันนิษฐานวา่ การเดินทพั ไปปราบกบฏคงผา่ นนครนายกดว้ ย
๑๓
แหล่งกำลงั พลและเสบียง จงั หวัดนครนายกมีความสำคัญเพราะเป็นฐานกำลงั พล และ
แหล่งเสบียงอาหารในการศกึ สงคราม ปรากฏหลักฐานดังนี้
พ.ศ.2111 เมื่อพม่ายกมาตีกรงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เจ้าเมือง
นครนายกได้ทำหน้าที่สำคัญในการรักษาพระนครร่วมกับกำลังจากหัวเมืองอ่ืน เช่น ชัยนาท สุพรรณบุรี
ลพบุรี ราชบุรี สระบรุ ี อนิ ทบุรี พรหมบรุ ี สรรคบุรี นครชยั ศรี ธนบรุ ี และมะรดิ
พ.ศ.2134 เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จฯ ยกทัพไปตีเขมรเป็นครั้งแรกทรง
ประสบปญั หาขาดแคลนเสบียงอาหารด้วยทรงคาดการณ์ผิดวา่ จะได้ข้าวในนาเขมร แตป่ รากฏว่าข้างเขมร
ได้ผลน้อย และไทยไม่ได้เตรียมกองทัพเรืองลำเลียงอาหารจึงต้องยกทัพกลับ ต่อมา พ.ศ.2136 ทรงยก
ทัพไปตีเขมรอีก จึงโปรดเกล้าฯให้พระยานครนายกเป็นแม่กองใหญ่พร้อมด้วยพระยาปราจีน พระวิเศษ
(เจ้าเมืองละแวก) พระสระบรุ คี ุมพลหน่ึงหมนื่ ไปตง้ั ค่ายตระเตรยี มอาหาร “ขดุ คูปลกู ฉางถ่ายลำเลียง” ไวท้ ี่
ค่ายพระทำนบ (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอวัฒนานคร จังหวดั สระแกว้ ) สันนิษฐานว่าขา้ วส่วนหนง่ึ ได้มาจาก
นครนายก เม่ือทพั หลวงมาถงึ ค่ายพระทำนบ พระยานครนายก พระยาปราจีน พระวเิ ศษ พร้อมพลเก้าพัน
เข้าร่วมขบวนกับทัพหลวงตีเมือง “ปัตบอง” (พระตะบอง) ได้ ทรงให้พระยานครนายกคุมพลสามพันอยู่
รักษาเมอื ง ไดเ้ กล้ยี กล่อมเขมรให้เกี่ยวข้าวในนาใส่ยุง้ ฉางเป็นจำนวนมาก
พ.ศ.2203 ในรชั สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199-2231) ทรงส่งทัพไป
ช่วยเชียงใหม่ตามคำขอเน่ืองจากมีข่าวว่า “เมืองจีนหวยตรีพลจะล้อมเอาเมืองเชียงใหม่” ปรากฏว่าเมือง
นครนายไดท้ ำหน้าทเ่ี กียกกายในกองทัพ มีพระยาสีหราชเดโชชัยและพระยาทา้ ยน้ำเปน็ นายกอง
พ.ศ.2239 ในรชั สมัยสมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ.2231-2246) เจ้าฟ้าเมืองหลวงพระ
บางย่ำยีพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตแห่งล้านช้าง พระยานครนายกได้รับแต่งตั้งให้เป็นเกียกกายเช่นกัน มี
พระยานครราชสมี าเป็นแม่ทพั หลวงไประงับศึก
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์มีปัญหาเก่ียวกับ
ลาว เขมร และญวน นครนายกได้เป็นแหลง่ กำลังพลและเสบียงอกี เช่นเดยี วกัน
ต่อมา พ.ศ.2380 ได้เกณฑ์คนไปสร้างกำแพงเมือง ณ พระตะบองโดยเกณฑ์คนจาก
นครนายกไปดว้ ย ปรากฏหลักฐานว่ามคี นไทย 5 คน และลาว 100 คน จากนครนายก
พ.ศ.2383 เตรียมคำศึกกับญวน เน่ืองจากได้ข่าวว่าญวนจะยกมาตีพระตะบองและ
เสยี มราฐ จงึ เกณฑพ์ ลจากนครนายกเขา้ มารว่ มกองทัพดว้ ย
แหล่งช้าง นครนายกเป็นเมืองท่ีมีช้างชุกชุมตั้งแต่อดีตมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์เคย
เป็นท่าข้ามของโขลงช้างมาแต่โบราณจากดงละครไปยังทุ่งอำเภอบ้านนา และมีบันทึกในพงศาวดารสมัย
อยุธยาว่า พ.ศ.2264 พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระเสด็จไปไล่ช้างเถื่อนท่ีนครนายกในคืนเดือนหงายจนเกิด
อุบตั เิ หตุ
พ.ศ.2406 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้ข่าวมีช้างเผือกลูกโขลงอยู่ท่ี
นครนายก จึงโปรดเกล้าฯให้สมเดจ็ พระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟา้ มหามาลากรมขุนบำราบปรปักษ์ เสด็จไปเป็น
แม่กองตรวจโพน (การไลจ่ บั ชา้ งทีละเชือก) แต่ชา้ งนัน้ ลม้ เสยี ก่อนเนอ่ื งจากโรคไข้ลำพอง
พ.ศ.2415 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีช้างเผือกอยู่ในโขลง
หลวงเชือกหน่ึงที่นครนายก จึงโปรดเกล้าฯ ให้ปก (ต้อน) ช้างโขลงน้ันเข้ามาคล้องช้างหน้าพระที่น่ัง ณ
เพนยี ดอยธุ ยา
๑๔
อนึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเล่าเกี่ยวกับช้างท่ี
นครนายกว่ามีช้างเถื่อนบริเวณทุ่งหลวงทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่จังหวัดนครนายกถึงทุ่ง
บางกะปิ โดยเฉพาะเมื่อมีการขุดคลองรังสิตและคลองสายต่างๆ ช้างเถ่ือนเหล่านั้นได้หนีไปอยู่บริเวณทุ่ง
หลวงแถบนครนายกเปน็ จำนวนมาก
เมืองหน้าด่านและเมืองลูกหลวง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุ
ภาพทรงกล่าวถึงสถานะของเมืองนครนายกว่าเป็นเมืองหน้าด่านทางตะวันออกมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา
ตอนต้น มีเมืองลพบุรี เมืองสุพรรณบุรี เมืองพระประแดง เป็นเมืองหน้าด่านทางเหนือ ทางตะวันตกและ
ทางใต้ตามลำดับ การปกครองดังกล่าวเป็นการปกครองแบบเมืองลูกหลวงซึ่งได้ปฏิบัติกันมาจนกระทั่ง
ยกเลิกในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แล้วจึงแบ่งเมืองเป็นช้ันๆ แทน โดยเมืองท่ีต้ังอยู่รอบราชธานี
มสี ถานะเป็นเมอื งชนั้ จัตวา
หัวเมืองชั้นจัตวา ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ปฏิรูปการปกครองมีการต้ัง
สมุหนายกและสมุหกลาโหม แบ่งการบริหารราชการเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร ยกเลิก
การปกครองแบบเมืองลูกหลวง (ซ่ึงเชื่อกันว่ามี 4 ด้าน) แบ่งหัวเมืองเป็นช้ันเอก โท ตรี จัตวา โดยเมือง
นอกจากนี้จัดเป็นเมืองพระยามหานครเป็นเมืองช้ันเอก ชั้นโท ชั้นตรี ภายหลักเรียกว่าหัวเมืองชั้นนอก
ต่อมาในสมัยสมเด็จพระเพทราชา (บางแห่งว่าเป็นสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ได้แบ่งหัวเมืองฝ่าย
เหนอื ไปข้นึ กับสมุหนายก หัวเมืองฝา่ ยใตไ้ ปขึ้นกับสมหุ กลาโหม
ผลของการปฏิรูปดังกล่าวเมืองนครนายกจัดเป็นเมืองช้ันจัตวาขึ้นกับราชธานีดังระบุไว้
ในพระไอยการ ตำแหน่งนายทหารหัวเมือง และคงขึ้นสังกัดสมุหนายกหรือกรมมหาดไทยเม่ือแบ่งเขตการ
ปกครองหวั เมอื งเป็นฝ่ายเหนอื และฝ่ายใต้
กบฏท่ีเกี่ยวข้องกับนครนายก ตามประวัติศาสตร์ของนครนายกเป็นแหล่งซ่องสุมผู้คน
ทก่ี บฏตอ่ ต้านอำนาจราชธานที ี่เขา้ พระนครศรีอยุธยาและกรงุ เทพมหานครหลายครง้ั คือ
- กบฏธรรมเถียร เกิดในต้นรชั กาลสมเด็จพระเพทราชา สาเหตเุ กิดจากปญั หา
การแย่งชิงราชบลั ลังก์ทเี่ กิดข้ึนต้ังแต่ปลายสมัยสมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช ในพระราชพงศาวดารกรุงศรี
อยุธยาฉบับพระพนรัตน์วัดพระเขตุพนกล่าวว่ากบฏคร้ังน้ีมีจุดเริ่มต้นที่เขตนครนายก โดย “ธรรมเถียร”
ขา้ หลวงเดิมของเจ้าฟ้าอภัยทศซ่ึงถูกสำเร็จโทษเน่ืองจากการแย่งชงิ ราชสมบัติ ได้อ้างตัวเปน็ เจา้ ฟ้าอภัยทศ
โดยติดไฝท่ีหน้าให้เหมือน แล้ว “ซ่องสุมผ้คู นถึงแขวงสระบุรี เมอื งลพบุรี และแขวงขนุ นคร ได้สมัครพรรค
พวกเป็นอันมาก..” สุดท้ายถูกจับกุมธรรมเถียรและพรรคพวกต้นคิดถูกประหารชีวิตเป็นจำนวนมาก พวก
ปลายเหตุนั้น “ให้จำใส่เรือนตรุ แลส่งไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้างนั้นจำนวนมาก หนีเข้าป่าไปก็มาก ส่งผลให้
แขวงเมืองสระบุรี เมอื งลพบรุ ี และแขวงขนุ นครร้างหลายตำบล”
- กบฏมอญ เกดิ ในสมยั สมเด็จพระสรุ ยิ าศนอ์ มรินทร์(พ.ศ.2301-2310)
เนื่องจากในสมัย พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมืองหงสาวดีของมอญเสียแก่พม่า พวกมอญที่เมาะตะมะ
จำนวน 300 เศษจึงหนีไปอยู่ท่ีเมืองทวาย เม่ือพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงทราบจึงส่งคนไปรับครอบครัว
มอญให้ไปอยู่ท่ีตำบลเข้าน้ำพุ ซ่ึงห่างจากตัวพระนครโดยการเดินทาง 3 วัน ต่อมา พ.ศ.2305 พวก
ดังกล่าวโดยการนำของพระยาเกียรติ พระยารามหนีไปทางตะวันออกไปชุมนุมท่ีเขานางบวชก่อกบฏยก
เข้าตีเมืองนครนายก สมเด็จพระสุรยิ าศน์อมรินทร์โปรดเกล้าฯ ให้พระยาสีหราชเดโชชัยเป็นแม่ทัพคุมพล
2,000 คนไปปราบ พวกมอญเส้ยี มไมส้ ะแกเป็นอาวธุ ไล่ขว้างกองทัพพระยาสีหราชฯแตกพา่ ย ราชธานจี ึง
ต้องส่งกองทัพไปใหม่มีพระยายมราชเป็นแม่ทัพคุมพล 2,000 คน พระยาเพชรบุรีเป็นทัพหน้าคุมพล
๑๕
1,000 คนไปปราบ จนพวกมอญแตกพา่ ย จับตัวพระยาเกยี รติพระยารามกับพรรคพวกได้ให้ประหารชีวิต
เสียส้ิน
- กบฏอ้ายบณั ฑติ พ.ศ.2326 ในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้า –
จุฬาโลกมหาราชมีบัณฑิตสองคนมาจากเมืองนครนายกอ้างตัวว่ามีวิชาล่องหนหายตัว ได้ร่วมมือ
กับข้าราชการวังหลวง วังหน้า หลายคน เช่น พระยาอภัยรณฤทธิและพวกหญิงวิเสทปากบาตรวังหน้า
ท้งั นาย ทงั้ ไพร่ร่วมกันกบฏ บัณฑิต 2 คนปลอมตวั เปน็ ผหู้ ญิงถือดาบซ่อนไปในผ้าห่มเขา้ ไปในวงั หนา้ คอย
แอบซมุ่ ดกั ทำร้ายกรมพระราชวังบวรฯ ทพี่ ระทวารพระราชมนเทียรขณะท่ีจะเสด็จลงมาทรงบาตร แต่ดว้ ย
เหตุที่กรมพระราวังบวรฯ เสด็จไปเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชก่อนจะทรง
บาตร จึงเสด็จไปทางพระทวารอื่น เม่ือนางพนักงานมาพบบัณฑิตท้ังสองความจึงแตก บัณฑิตทั้งสองและ
พรรคพวกถกู ประหารชีวิต
- สงครามกรุงศรอี ยุธยา พ.ศ.2310 เน่ืองจากนครนายกอยู่ไม่ห่างจากกรุงศรี
อยุธยา ทำให้ระยะสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ.2310 มีการเคล่ือนไหวทางการทหารและการเมือง
ดงั ตอ่ ไปน้ี
ชาวเมืองนครนายกเขา้ รว่ มกับกรมหม่ืนเทพพิพธิ เมื่อพมา่ ล้อมกรุงศรีอยุธยา
พ.ศ.2309 กรมหม่ืนเทพพิพิธประทับที่เมืองจันทบุรี ชักชวนชาวจันทบุรีร่วมต่อสู้พม่ามีผู้คนพากัน
สวามิภักด์ิต่อมาจึงพาคนเหล่าน้นั ไปอยู่ท่ปี ราจีนบุรี เมื่อชาวเมืองปราจนี บุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา ชลบุรี
และบางละมุงทราบข่าวท่ีเสด็จฯไปรบพม่าจึงเข้าสมทบ แต่ไม่ทันยกทัพเข้าตีพม่า ถูกทัพพม่าซึ่งคุมพล
3,000 คน ยกทัพเรอื ไปตีคา่ ยทตี่ ั้งอยู่ปากนำ้ โยทะกาแตกพ่ายไป เม่ือกรมหมืน่ เทพพิพิธทรงทราบว่าค่าย
ทโ่ี ยทะกาแตกจงึ ทรงหนไี ปทางด่านชอ่ งเรือแตก ตัง้ ยงั ดา่ นโคกพระยาแลว้ ขนึ้ ไปนครราชสีมา
นายกองช้างเมืองนครนายกเข้าสวามิภักด์ิพระยาตาก (สิน) ก่อนกรุงศรี
อยุธยาแตกพระยาตาก (สิน) หนีออกจากกรุงศรีอยุธยามุ่งไปทางตะวันออก ระหว่างหยุดพักแรมท่ีบ้าน
พรานนก มีนายกองช้างเมอื งนครนายกเขา้ สวามิภักดิ์นำช้างพลาย 5 เชือก ช้างพัง 1 เชอื ก “มาใหพ้ ระยา
กำแพงเพชรขอเป็นข้า” ก่อนท่จี ะเดนิ ทพั ต่อไป
เจ้าเมืองและผู้คนหนีไปเมืองนครราชสีมา เม่ือเกิดสงครามนครนายกอยู่ใน
ภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด พระพิมลสงครามเจ้าเมืองขณะน้ันกับหลวงนรินทร์ได้พาผู้คนและครอบครัว
ประมาณสามร้อยคนหนีพม่าไปทางเขาพนมโยงข้ึนไปเมืองนครราชสีมาไปต้ังที่ด่านจันทึก แต่สุดท้ายพระ
ยานครราชสีมาซ่ึงเป็นศัตรูใช้ทหารลวงพระพิมลสงครามและหลวงนรินทร์ไปฆ่า แล้วกวาดต้อนผู้คนจาก
นครนายกเข้าเมืองนครราชสีมา ภายหลังพระยานครราชสมี าถูกกรมหม่ืนเทพพิพธิ ฆ่า
สังคมและเศรษฐกิจ ชาวเมืองนครนายกดำรงชีพด้วยการทำนาเป็นพ้ืนฐานไม่ต่างจากเมืองอื่น
เป็นบริเวณทำนาได้ผลดี อยู่ใกล้เมอื งหลวงบนเส้นทางเดินทัพจึงเป็นแหล่งเสบียงอาหารให้เมืองหลวงหรือ
กองทัพ ขณะเดียวกันนครนายกอยู่ใกล้ปา่ เขา ของป่าจึงมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจของนครนายก แม้จะ
ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจนเก่ียวกับการซ้ือขายของป่าจากนครนายกในสมัยอยุธยาก็ตาม แตก่ ารเก็บส่วนใน
รปู ของป่าที่เกิดข้ึนในสมยั อยุธยาและสมัยรัตนโกสินทร์ เช่น จนั ทน์ ชะมด ส่วยสีผ้ึง กระดานพื้น ผลลูกคำ
ต้น รวมทั้งหินสบู่ท่ีเขาชะโงกเพ่ือปูสิ่งก่อสร้าง แสดงถึงความสำคัญของของป่าจากนครนายกในทาง
เศรษฐกจิ
ส่วนกิจกรรมทางเศรษฐกิจอ่ืนๆ นั้นชาวอังกฤษได้บันทึกไว้ในตอนปลายรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัววา่ นครนายกเป็นตลาดหรือแหล่งระบายสนิ ค้าท่ีสำคญั ย่ิงแหลง่ หนึ่ง
๑๖
ในสามแห่งของสินค้าจากโคราชและหัวเมืองทางเหนือของลาว เช่น ไหม งาช้าง และอื่นๆ เป็นเขตที่ปลูก
อ้อย มีไม้นานาชนิด โดยเฉพาะไม้ซึ่งเป็นท่ีนิยมใช้ในการต่อเรือและอื่นๆ กิจการค้าไม้ฟืนรุ่งเรืองเป็นไม้ที่
ส่งไปใช้ในโรงงานหีบออ้ ยที่แปดร้ิว (Pertrin) และมโี สรง่ ไหมเปน็ ผลผลิตจำนวนไมม่ าก
การตง้ั ถิ่นฐานของคนตา่ งวัฒนธรรม ในอดีตนครนายกมชี นต่างเชือ้ ชาติต่างวฒั นธรรมอยปู่ ะปน
กัน แต่แรกคงมีคนไทยและเขมร จนถึงสมัยกรุงธนบุรีเป็นต้นไป จึงมีคนลาว คนไทยมุสลิม และคนจีน
เคล่ือนย้ายเขา้ มาตงั้ ถนิ่ ฐานดว้ ยสาเหตุตา่ งๆ กันดังน้ี
คนไทย ส่วนหน่ึงเป็นไพรห่ ลวงสังกัดกองช้างมีหน้าที่จบั และคลอ้ งช้างต่างๆ จนถึงในรัช
สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรียกไพร่ท่ีขึ้นสังกัดกองช้าง เช่นเดียวกับที่ข้ึนสังกัดกองไร่
กองนา กองกระบือ กองโคว่า “คนนอก” แต่ไพร่หลวงบางส่วนคงสังกัดกรมล้อมพระราชวังตามหลักฐาน
ทป่ี รากฏในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระนัง่ เกล้าเจ้าอยูห่ วั
คนลาว เป็นพวกทกี่ วาดต้อนมาจากประเทศลาวปจั จบุ นั 2 ระยะ คอื
ระยะแรก ในสมัยกรุงธนบุรี ประมาณ พ.ศ.2322 พระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้
เจา้ พระยามหากษัตริย์ศึกยกทัพไปตีล้านช้าง ได้กวางต้อนชาวลาวเวียงและลาวหัวเมืองฟากโขงตะวันออก
ไปไวท้ น่ี ครนายก สระบรุ ี ลพบุรี ฉะเชิงเทรา ราชบรุ ี และจันทบุรี
ระยะที่สอง หลังกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ พ.ศ.2369 พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า
เจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาธรรมเป็นแม่ทัพยกทัพไปขับไลก่ องทัพญวนท่ีเข้ามาตัง้ ท่ีเมืองพานและ
หัวพันท้ังห้าทั้งหก เพ่ือจัดการกับญวนที่ช่วยลาวในคราวเจ้าอนุวงศ์เป็นกบฏ ได้กวาดต้อนครอบครัวชาว
ลาวพวนจากเมืองพวนและบริเวณใกล้เคียงมาไว้ที่บ้านหม่ี บ้านสนามแจง จังหวัดลพบุรี บ้านทัพคล้อ
วังหลุม ทงุ่ โพธ์ิ ตะพานหนิ จังหวัดพจิ ิตร ท้งั นีค้ งจะรวมถงึ จงั หวดั นครนายกดว้ ย
ส่วนที่อยู่ของชาวลาวเหล่านั้นคือ หมู่บ้านหัวลิง ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นหมู่บ้านแรกท่ีลาว
พวนเข้าไปต้ังหลักแหล่งก่อนกระจายไปยังหมู่บ้านอื่น สถานท่ีอีกแหล่งคือ บริเวณวัดใหญ่ทักขิณาราม
ตำบลบ้านใหญ่ (เดมิ คือบา้ นใหญล่ าว) อำเภอเมืองนครนายก จังหวดั นครนายก
ส่ิงสำคัญท่ีแสดงถึงการกวาดต้อนชาวลาวมายังนครนายกมีปรากฏในบทเพลงกล่อมเด็ก
ของหมู่บ้านหนองหัวลิง ซึ่งเนื้อเพลงได้สะท้อนถึงความรู้สึกของคนท่ีถูกกวาดต้อนและบังคับให้ทำงาน
ต่างๆ ความตอนหนึ่ง
“...ปงิ้ ตับไก่เห้อไทยกิน ปง้ิ ตบั ไกใ่ หไ้ ทยกนิ
ไทยกินแล้วกา่ เสียแนวตบั ไก่ ไทยกนิ แล้วก็เสยี ตบั ไก่ (ไมม่ ปี ระโยชน์)”
คนไทยมุสลิม กวาดตอ้ นมาจากปัตตานใี นสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราช หลังศึกเมอื งถลาง พ.ศ.2328 เม่ือกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทยกทัพไปจัดการกับพม่าท่ี
เมืองถลางแล้ว ได้ทรงจัดการปัญหาหัวเมืองมลายูท่ีแข็งข้อเป็นอิสระ ปรากฏว่าพระยาตานีเจ้าเมือง
ปัตตานีไม่ยอมอ่อนขอ้ จึงยกเข้าตีและยึดเอาเมืองปัตตานีเม่ือ พ.ศ.2329 แล้วกวาดต้อนผู้คนจำนวนมาก
จากเมืองน้ันไปไว้ยังที่ต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นบริเวณชานกรุงเทพฯ เช่น ธนบุรี (สี่แยกบ้านแขก) ทุ่งครุใน
อำเภอพระประแดง บางคอแหลม คลองมหานาค พระโขนง คลองตัน มีนบุรี หนองจอก รวมถึงหัวเมือง
อน่ื ได้แก่ นครนายก ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี พระนครศรีอยุธยา นนทบุรี (ท่าอิฐ) คนไทยมุสลมิ เหล่าน้ันอาจ
หมายถึงคนพื้นเมืองอินเดียตามที่ชาวตะวันตกได้บันทึกไว้ในตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัวว่านครนายกเป็นเมืองขนาดย่อมที่มีชาวจีน (Chinese Settlers) และคนพื้นเมืองอินเดีย
(natives of India) ไปต้ังถนิ่ ฐาน
๑๗
คนจีนอพยพ สันนิษฐานว่ามีชาวจีนไปประกอบอาชีพในนครนายกสมัยธนบุรี
โดยเฉพาะกลุ่มภาษาแต้จ๋ิวมีจำนวนมาก ตั้งถิ่นฐานแถบอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ได้แก่ ตราด จันทบุรี บาง
ปลาสร้อย (ชลบุรี) แปดร้ิว (ฉะเชิงเทรา) ต่อมาเม่ือจังหวัดฉะเชิงเทรา และชลบุรีนภาลัยเป็นต้นมานั้น
เข้าใจว่ามีการกระจายตัวกลุ่มคนจีนเข้าไปประกอบอาชีพ เช่น ปลูกอ้อยจัดเก็บอากรบ่อนเบ้ี ย และ
อนุญาตให้เปิดบ่อนการพนันซ่ึงส่วนใหญ่ต้ังอยู่ในเขตท่ีมีคนจีนอาศัยอยู่มาก นครนายกเป็นเมืองหนึ่งที่มี
การเก็บอากรบ่อนเบี้ย แสดงว่ามีการตั้งบ่อนเบี้ยที่น่ีเมืองในกลุ่มเดียวกัน เพราะเงินประมูลที่นครนายกมี
จำนวนน้อยกว่า เชน่ ฉะเชิงเทรามีเงินประประมูล 5 ชั่ง 10 ตำลึง ปราจนี บรุ มี ี 2 ช่งั 10 ตำลึง ในขณะท่ี
นครนายกมีเพียง 1 ชัง่ เท่าน้นั
อย่างไรก็ตามในพ.ศ. 2411 มีการต้ังกงสุลจีนในบังคับสยามที่จังหวัดฉะเชิงเทราเพ่ือ
พิจารณาคดีความของคนจีน ซึ่งกงสุลดังกล่าวมีอำนาจดูแลถึงนครนายด้วย ขณะเดียวกันศาสนาคริสต์ได้
เผยแพร่เข้าไปในนครนายก และบาทหลวงชมิตต์(M.Schmitt) สามารถตั้งวัดของชาวคริสต์ขึ้นที่นั้น ตาม
บันทึกของนายปาวี (M.Pavie) ในสมัยรัชกาลท่ี 5 คงจะสะท้อนถึงจำนวนคนจีนในนครนายกว่ามีอยู่มาก
พอสมควร เพราะการเผยแพรศ่ าสนาคริสตน์ ัน้ สว่ นมากเนน้ กลุ่มคนจนี เป็นสำคัญ
การเมืองการปกครองก่อนการปฏิรูป พุทธศตวรรษที่ 25 เกิดการเปล่ียนแปลงอย่างมากใน
ราชอาณาจกั รสยาม เนอ่ื งจากไดป้ รบั เปลย่ี นกระบวนการภายในประเทศให้ทันสมัย เพ่ือสามารถรับมือกับ
ชาติตะวันตกที่มุ่งยึดครองราชอาณาจักรสยามไปเป็นอาณานิคม เช่นท่ีประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศ
ได้รบั มาแล้ว ทำให้ผู้นำสยามจำเป็นตอ้ งปฏิรปู การเมืองการปกครองครงั้ ใหญ่ และนครนายกเป็นเมอื งหนึ่ง
ที่ไดร้ ับผลกระทบจากความเปลยี่ นแปลงดังกลา่ ว
ระหว่างพ.ศ.2382-2386 ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวและต้น
รชั สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีชาวต่างประเทศ 2 คน คือบาทหลวงปาเลอกัวซ์และดา
เวนดอร์ทเดินทางมาถึงเมืองนครนายกได้บันทึกว่าเมืองนครนายกมีพลเมืองประมาณ 5,000 คน
ส่วนมากเป็นชาวลาว และมีชาวสยามอยู่ด้วย ราษฎรประกอบอาชีพในการปลูกข้าวและหาของป่าส่งไป
ขายทก่ี รุงเทพฯ
อย่างไรก็ตามก่อนท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าฯ ให้ปฏิรูปการเมืองการปกครองของไทยใน พ.ศ.2430 นครนายกมีสภาพเหมือนกับเมืองอ่ืนๆ ที่มี
การปกครองแบบ “ระบบกินเมือง” ซึ่งเป็นระบบการปกครองหัวเมืองท่ีเรียกว่า “จตุสดมภ์” สืบทอดมา
ช้านาน กล่าวคือพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ราชธานีทรงมอบอำนาจให้เจ้าเมืองอย่างเต็มที่ในการ
ปกครองบ้านเมืองของตน แต่อาจะส่งข้าราชการจากส่วนกลางมาสอดส่องดูแลให้จงรักภักดีต่อราชธานี
และจำกัดอำนาจบางประการ โดยทั่วไปเจ้าเมืองจะมีอำนาจและปฏิบัติตามสติปัญญาของตนในการ
ปกครองบ้านเมืองให้ “อยู่เย็นเป็นสุข” ยึดถือหลักการปฏิบัติว่าผู้ปกครองในสังคมหรือเจ้าเมืองจะ
ปกครองลูกเมืองของตนให้ “อยู่เย็นเป็นสุข” ได้ควรละท้ิงการประกอบอาชีพปกติของตนว่าราชการงาน
เมือง ดว้ ยเหตุดังกล่าวราษฎรจึงควรตอบแทนบุญคณุ ของเจา้ เมืองดว้ ยวิธีการต่างๆ เช่น ช่วยทำงานให้เจ้า
เมืองแบ่งปันผลผลิตของตนให้แก่เจ้าเมืองเล้ียงชีพ ทำให้เจ้าเมืองสามารถดำรงชีพอยู่ได้ เพราะรัฐบาลท่ี
ราชธานีไม่จ่ายเงินเดือนประจำให้เจ้าเมือง แต่จะมอบค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ราษฎรเสียให้แก่ราชการเป็น
คา่ ตอบแทนในการปฏิบัติหน้าที่ว่าราชการเมือง เจา้ เมืองในสมัยกินเมืองน้ีส่วนใหญม่ าจากคนในทอ้ งถิ่นซึ่ง
ส่งเสรมิ ใหล้ กู หลานของตนได้รับแต่งตั้งเปน็ เจา้ เมืองต่อไปในกฎหมายตรา 3 ดวง เจ้าเมอื งนครนายกเปน็ ที่
๑๘
พระพิบูลสงคราม ต่อมาในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวปรากฏหลกั ฐานว่าเปน็ ทพี่ ระยา
พิบลู สงคราม
การจัดการปกครองเมืองก่อนการปฏิรูปในทางทฤษฎีน้ันพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเจ้า
เมือง เสนาบดี ผู้ปกครองหัวเมอื งใหเ้ ปน็ ผู้แต่งต้ัง แต่ในทางปฏิบัติเจ้าเมืองย่อมสง่ เสริมให้ลูกหลานของตน
สบื ตำแหน่ง และเปน็ ผ้เู สนอชือ่ คหบดีซง่ึ มอี ิทธิพลในเมืองเปน็ ผู้ช่วยดแู ลในการปกครองราษฎรในเมือง
ส่วนราษฎรในเมืองประกอบด้วยบุคคลในเมืองนครนายกหลายจำพวกคนพ้ืนเมืองส่วน
ใหญ่เป็นคนเช้ือสายลาวเน่ืองจากการอพยพผู้คนมาต้ังถิ่นฐานคร้ังใหญ่เม่ือคร้ังสมัยรัตนโกสินทร์
นอกจากนั้นมีคนจีนและคนในบังคับต่างชาติที่เรียกว่า “พวกสัพเยก” (Subject) คดีความท่ีเกิดขึ้นใน
นครนายกระยะน้ันสะท้อนให้เห็นสภาพของการปกครองได้ว่าเป็นคดีท่ีเกิดจากท้ังคนในบังคับสยาม และ
คนในบังคับต่างชาติ (พวกสัพเยก) โดยเฉพาะพวกสัพเยกได้ก่อคดีใหญ่ๆ ยากที่คนพ้ืนเมืองจะแก้ไขได้
เพราะปัญหาสทิ ธิสภาพนอกอาณาเขตคดคี วามที่เกี่ยวข้องกับคนในบังคบั น้ันมีทั้งท่ีเป็นเร่อื งระหว่างบคุ คล
และเรอ่ื งเกีย่ วขอ้ งกบั คนจำนวนมาก
นอกจากคดีความคนในบังคับต่างชาติแล้ว คดีความอันเกิดจากผู้มีอิทธิพลในท้องที่เป็น
ปัญหาท่ีก่อให้เกิดความเดือดร้อนในหมู่ประชาชนทั่วไป ปัญหาผู้มีอิทธิพลลักษณะดังกล่าวเป็นปัญหา
สำคัญในยุคก่อนการยกเลิกระบบกินเมือง เพราะการให้บ้างเมืองอยู่เย็นเป็นสุขโดย “ปราศจากภัยต่างๆ”
ทำให้เจ้าเมืองต้องปราบปรามโจรผู้ร้ายด้วยวิธีการหรือสติปัญญาของตน หรือ “เล้ียงโจรไว้ปราบโจร
กันเอง” แม้ในความจริงกรมการดังกล่าวไม่เป็นโจรผู้ร้ายทุกคน แต่ส่วนใหญ่ตั้งบ้านเมืองอยู่ในชนบท
ห่างไกล เม่ือได้เป็นกรรมการก็แสวงหาประโยชน์ด้วยการให้ราษฎรแบ่งผลผลิตท่ีผลิตจากไร่นาให้แก่ตน
หรือของแรงราษฎรช่วยทำนาของตนแลกกับการคุ้มครองไม่ให้โจรผู้ร้ายเบียดเบียน แต่มีจำนวนไม่น้อยท่ี
หากินไปในทางทจุ รติ เป็นใจใหพ้ รรคพวกไปลกั วัว ควาย หรือปล้นทรัพยข์ องราษฎรมาแบง่ ผลประโยชน์
ปัญหาการปกครองท่ีเกิดขึ้นในหัวเมืองลักษณะน้ีเป็นเหตุผลหน่ึงที่ทำให้ราชธานีเร่ง
เตรียมการเข้าไปปกครองหวั เมืองรัดกมุ ขึ้น และสามารถจดั การทำนบุ ำรุงเมือ่ “หวั เมอื งเป็นปกติ” ได้ ทง้ั นี้
มีส่ิงที่สะท้อนแนวความคิดดังกล่าว คือ พ.ศ.2426 เริ่มปักเสาโทรเลขศาลาแดง กรุงเทพฯ ไปยังภาค
ตะวันออกแถบเมืองนครนายกจนถึงพ.ศ. 2428 เมืองนครนายกจึงเปิดบริการท่ีทำการไปรษณีย์โทรเลข
เป็นครั้งแรกซึ่งมีความสำคัญต่อการจัดการปกครองท้องถ่ินเพราะทำให้ติดต่อสื่อสารระหว่างราชธานีกับ
หัวเมืองสะดวกรวดเร็ว ท้ังน้ีราชธานีสามารถมอบนโยบายให้หัวเมืองปฏิบัติ เพ่ือรับทราบเรื่องราวและ
ความเคล่ือนไหวต่างๆ ของหัวเมืองที่อาจเป็นภัยต่อความสงบสุขของราษฎรและความม่ันคงของราชธานี
เพอ่ื จักไดห้ าทางแกไ้ ขโดยเรว็
นอกจากนั้นยังทำนุบำรุงหัวเมืองโดยราชธานีประกาศให้หัวเมืองทั่วราชอาณาจักรตั้ง
โรงพยาบาลเพื่อรกั ษาโรคตา่ งๆ แต่ละเมืองรายงานจำนวนผูป้ ว่ ยใหร้ าชธานที ราบเมอื งนครนายกได้ปฏบิ ตั ิ
ตามนโยบายดังกล่าว คือ เปิดบริการโรงพยาบาลหลวงเพ่ือรักษาประชาชนเม่ือ พ.ศ.2428 และได้
รายงานการปฏบิ ัตงิ านของโรงพยาบาลใหร้ าชธานีทราบเปน็ ประจำ
การคลัง หัวเมืองนครนายกได้เก็บส่วยสาอากรส่งราชธานีเป็นประจำ นอกจากค่านา
ของราษฎรแล้ว ยังมีของป่า ของพ้ืนเมืองที่ราชธานีต้องการให้ส่งไป เช่น พ.ศ.2422 ราชธานีขอให้ส่ง
ไม้โมกมันสำหรับต่อเก๋งเรือพระที่นั่ง พ.ศ.2424 ให้จัดกระจาดใหญ่งดงามและเกวียนยาวเล็กเพ่ือถวาย
เป็นธรรมบูชา พ.ศ.2425 ให้หาไม้หอมกฤษณาและหินอ่อนสีสวาดจากเขาชะโงกเพื่อทำน้ำเต้าหินใส่น้ำ
พุทธมนต์ เปน็ ต้น
๑๙
ส่วนการเก็บค่านาของราษฎรท่ีปฏิบัติเป็นประจำทุกปีน้ันเมืองนครนายกให้
ข้าหลวงออกไปประเมินนาและเก็บค่านาจากราษฎร แต่ปรากฏว่าการเก็บค่านาดังกล่าวระหว่าง
พ.ศ.2422-2436 เจ้าเมืองนครนายกได้ส่งใบบอกแจง้ มายงั ราชธานีวา่ ไมส่ ามารถเก็บเงนิ ค่านาครบตาม
จำนวน ทำให้ต้องเก็บต่อไปภายหลังโดยให้กรมการคุมเงินที่เก็บได้ส่งไปกรุงเทพฯก่อน ส่วนมากเป็นเงิน
จำนวนระหว่าง 200-300 ช่ัง แต่บางคราวต้องคุมไปส่งถึง 3 ครั้ง เช่นในปี 2422 จำนวนเงินท่ีเก็บ
ค่านานั้นจำแนกเป็นนาคู่โคเก็บไร่ละสลึง นอกนั้นเก็บไร่ละสลึงเฟื้อง ส่วนหนังสือจองค่าที่นาฉบับละ
หกบาทต่อนา 25 ไร่
อย่างไรก็ตามการค้างชำระเงินค่านาและเงินอื่นๆ ของหัวเมืองต่างๆ ทำให้
รัฐบาลขาดรายได้มาก และเป็นปัญหาสำคัญเมื่อรัฐบาลจะปฏิรูปหัวเมืองซ่ึงต้องใช้เงินมาก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงรา
ชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยทรงปรึกษากับสมเด็จฯ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ซึ่งดูแลงาน
ด้านการคลัง โดยทรงเร่งให้หัวเมืองส่งเงินส่วนที่ค้างไปยังราชธานี ทั้งสองทรงหาวิธีแก้ปัญหา คือ ใน
ระหว่างที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงตรวจเย่ียมหัวเมือง พ.ศ.2435 นั้น ทรงแจ้งให้เจ้า
เมืองเร่งส่งเงินส่วนท่ีค้างชำระไปยังราชธานี โดยให้ส่วนลดตามส่วนแก่เมืองที่ส่งเงินค้างชำระดังกล่าว
เมอื งใดส่งมากย่อมได้ส่วนลดมาก ปรากฏว่าเมอ่ื ใช้นโยบายน้ีราชธานีสามารถเก็บเงินค้างชำระเพ่ิมขึ้นเป็น
จำนวนมาก
การศาล เป็นเร่ืองสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง เพราะกระบวนการยุติธรรมในการปกครอง
“ระบบกินเมือง” ของแต่ละหัวเมืองทำให้แบบแผนการปกครองหรือมาตรฐานกระบวนการยุติธรรม
แตกต่างกัน เนื่องจากความห่างไกล การคมนาคมไม่สะดวก ราชธานีจึงให้อำนาจในการปกครองแก่เจ้า
เมือง กรมการเมืองอย่างมาก ทำให้เจ้าเมือง กรมการเมืองกลายสภาพเป็นนักเลงโตคุมท้องถ่ิน หรือเป็น
โจรผู้ร้ายซ่ึงเป็นภัยแก่ราษฎร โดยเฉพาะการตัดสินของศาลหัวเมืองเป็นปัญหาทำให้ราษฎรเกิดความไม่
พอใจ และได้ร้องเรียนไปยังราชธานีฟ้องกล่าวโทษเจ้าเมืองและกรมการเมืองในเมืองนครนายกอยู่เนืองๆ
ประเด็นต่างๆ ดงั กลา่ วนน้ั เปน็ เหตุใหน้ ครนายกปฏิรูปการเมอื งการปกครองในเวลาต่อมา
หัวเมืองหนึ่งในมณฑลปราจีนบุรี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชวินิจฉัย
วา่ การจัดการเมืองการปกครองในแบบจตุสดมภไ์ ม่เหมาะสมกับยคุ สมัย เพราะไม่สามารถปกครองหัวเมอื ง
อย่างรัดกุม ท้ังยังล่อแหลมต่อการท่ีต่างชาติจะเข้ายึดครอง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการปฏิรูป
ราชการแผน่ ดิน ซ่งึ มีผลในการเปลีย่ นแปลงทั้งประเทศรวมถึงนครนายกด้วย
การปฏิรูปตามพระราชวินิจฉัยดังกล่าวเริ่มต้นคร้ังแรกใน พ.ศ.2416 ซ่ึงพระองค์ยังไม่
ทรงบรรลุนิติภาวะ มสี มเด็จพระยาบรมมหาศรีสรุ ิยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)เป็นผูส้ ำเร็จราชการแผ่นดินแผ่นดิน
ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดการเงินของแผ่นดินใหม่เป็นสิ่งแรก มีการต้ังสภาทป่ี รกึ ษาราชการแผ่นดิน และสภา
ที่ปรึกษาในพระองค์ แต่การปฏิรูปต้องหยุดชะงักไปช่ัวระยะหนึ่งเพ่ือกระท่ังเม่ือ พ.ศ.2430
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทางบรรลุนิติภาวะเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว จึงทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทดลองปฏิรูปการปกครองอีกครั้งหน่ึงซึ่งเป็นจุดเปล่ียนแปลงที่สำคัญย่ิงของ
ประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของไทย การทดลองปฏิรูปดังกล่าวเร่ิมต้นในส่วนกลาง ได้ทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งงานราชการเป็น 12 กรม จัดสรรหน้าท่ีความรับผิดชอบอย่างชัดเจน การ
ทดลองดำเนินการไปด้วยดีจนถึง พ.ศ.2435 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการอย่างถาวร และปรับปรุงบาง
ประการ เชน่ เปลยี่ นแปลงการเรียกกรมเป็นกระทรวง
๒๐
อย่างไรก็ตามงานของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมในระยะแรกคงเปน็ แบบ
เก่าคือให้รับผิดชอบหัวเมืองเหนือ-ใต้เหมือนเดิม ต่อมาจึงให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบฝ่ายพลเรือน
และกระทรวงกลาโหมรบั ผิดชอบเฉพาะฝ่ายทหาร
ส่วนหัวเมืองพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิรูปการ
ปกครองหัวเมอื งเม่ือ พ.ศ.2437 ทั้งน้ีเร่ิมตั้งแต่ พ.ศ.2435 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (ขณะดำรงพระยศพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุ
ภาพ) เป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบในการปฏิรูปหัวเมือง สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุ
ภาพกราบบังคมทูลแนวพระดำริเรื่องการรวมหัวเมืองจัดเป็นมณฑลข้ึนเพื่อให้ราชธานีสามารถเข้าไป
ปกครองหัวเมืองได้อย่างรัดกุม ให้ลำน้ำอันเป็นทางคมนาคมเป็นหลักอาณาเขตมณฑล พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นชอบด้วย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมหัวเมืองเป็นมณฑลเพ่ือ
ทดลอง ในระยะแรกสามารถรวมได้ 4 มณฑล คือ รวมหัวเมืองในเขตแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างเป็นมณฑล
กรุงเก่า หัวเมืองในเขตแม่น้ำเจ้าพระยาตอนเหนือเป็นมณฑลนครสวรรค์ หัวเมืองทางแม่น้ำยมกับแม่น้ำ
นา่ นเป็นมณฑลพษิ ณโุ ลก และหัวเมืองในลุ่มน้ำบางปะกงเปน็ มณฑป์ ราจีนบุรี
ในมณฑลปราจีนบุรีนั้นมีเมืองนครนายกรวมอยู่ด้วย มีท่ีว่าการมณฑลอยู่ท่ีเมือง
ปราจีนบุรี มีเมืองในเขตมณฑลคือ เมืองมหาสารคาม เมืองฉะเชิงเทรา ต่อมาเม่ือโอนเมืองในกรมท่าไป
ข้ึนกับกระทรวงมหาดไทย จึงย้ายท่ีว่าการเมืองไปอยู่ที่เมืองฉะเชิงเทรา และรวมเมืองพนัสนิคม ชลบุรี
และบางละมุงมาอย่ดู ้วย แตย่ งั เรียกว่ามณฑลปราจนี บุรเี หมอื นเดมิ
การรวมหัวเมืองเป็นมณฑลน้ัน ราชธานีได้กำหนดอาณาเขตของแต่ละมณฑลให้
เหมาะสมในการบังคับบัญชา แล้วส่งผู้บัญชาการมณฑลไปบริหารราชการหัวเมืองต่างพระเนตรพระกรรณ
สามารถจัดการและตรวจตราได้ตลอดอาณาเขต จนกระท่ัง พ.ศ.2437 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ประกาศตั้งมณฑลท่ัวประเทศ
ผู้บัญชาการมณฑลหรือที่เรียกว่า “ข้าหลวงเทศาภิบาล” แต่งตั้งจากเจ้านานหรือ
ข้าราชการผู้ใหญ่มีชั้นยศอยู่ระหว่างเสนาบดีกับเจ้าเมืองไปอยู่ประจำบัญชาการมณฑลละ 1 คน เป็น
พนักงานจัดการตา่ งๆ ในอาณาเขตของตนตามคำส่ังของเสนาบดี นอกจากนั้นยังเป็นผู้ถวายข้อมูลเก่ยี วกับ
หัวเมืองไปยังราชธานี เพื่อให้เสนาบดีวางแผนบริหารโดยส่วนรวมต่อไป ผู้บัญชาการมณฑลปราจีนบุรคี น
แรก คือ พระยาฤทธริ งคร์ ณเฉท (ศุข ชูโต)
เมื่อจัดการโครงสร้างเบื้องบนของมณฑลสำเร็จแล้ว เร่ืองต่อไปราชธานีจะจัดการ
เก่ียวกับหัวเมืองคือ การจัดกลไกการปกครองบริหารใหม่ในหัวเมือง และจัดการศาล การคลังให้เป็น
ระเบียบแบบแผนเดียวกัน การศาลหัวเมืองนั้นรัฐบาลให้ข้าหลวงเทศาภิบาลสะสางคดีความเก่าๆ ให้
ส้ินสุดไป แก้ไขความบกพร่องหลายประการในโรงศาล โดยมณฑลปราจีนบุรีสนองตามนโยบายดังกล่าว
แบ่งราชการเมืองเป็น 3 แผนก คือ แผนกตรวจกิจการบ้านเมือง แผนกตุลาการ และแผนกตรวจรักษา
เหตุการณ์พิจารณาเปรียบเทียบดีความเล็กๆ น้อยๆ เมื่อปรับปรุงลักษณะดังกล่าวแล้วมีรายงานจาก
มณฑลปราจีนบุรีไปถึงกระทรวงมหาดไทยว่า ผลของการเปล่ียนแปลงทำให้คดีความในโรงศาลน้อยลง
ประชาชนมคี วามเป็นอยู่สงบสุขกวา่ สมัยที่ยังไม่มกี ารจัดการเปน็ แบบใหม่นี้
สว่ นการจัดระเบียบการคลัง เพื่อให้เก็บภาษีอากรอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยน้ันรฐั บาลจึง
เปลย่ี นการเก็บภาษอี ากรประเภทต่างๆ ให้รัดกุมข้ึน ปรากฏวา่ อากรค่าน้ำซ่ึงเก็บจากเครื่องมือประมงของ
๒๑
ราษฎรในเมืองนครนายกน้ันนำรายได้มาสู่รฐั บาลจำนวนมาก เช่น เมื่อ พ.ศ.2439 เก็บได้ถึงแปดพนั หนึ่ง
ร้อยเก้าสิบบาท
อย่างไรก็ตามหลังยกเลิกระบบกินเมืองมีปัญหาตามมาคือ ต้องหาเงินเดือนเพ่ือดำรงชีพ
ใหแ้ ก่ข้าราชการหัวเมอื ง หาผู้ทรงคุณวฒุ ิมาเป็นเจา้ เมอื ง กรมการเมืองจัดสร้างศาลาว่าราชการและเรือนที่
พักของข้าราชการซ่ึงต้องใช้เงินจำนวนมาก แต่ราชธานีสามารถแก้ปัญหาโดยนำภาษีที่หัวเมืองค้างชำระ
ส่งไปน้ันเป็นงบประมาณในการปฏิรูปหัวเมือง เช่น ในรายงานของกรมการเมืองนครนายกส่งถวายไปท่ี
กรุงเทพฯ พ.ศ.2439 สามารถสะท้อนภาพของนครนายกในยุคน้ันว่าตั้งอยู่บนฝ่ังแม่น้ำนครนายก
ภูมิประเทศเป็นท่ีลุ่ม ไม่มีป้อมกำแพงเมือง หน้าเมืองด้านตะวันออกมีลำน้ำท่ีมีต้นกำเนิดจากเขาใหญ่
จงั หวดั นครราชสีมา ไปบรรจบกบั ลำนำ้ ปราจนี บุรเี ป็นแม่นำ้ บางปะกงท่ีอำเภอบา้ นสร้าง จงั หวัดปราจีนบุรี
มีราษฎรประมาณ 28,500 คน บ้านเรือน 7,035 หลัง คนพ้ืนเมอื งส่วนใหญ่เป็นชาวลาว จีน ญวน ไทย
มบี ้างเล็กน้อย อาชีพส่วนใหญ่ของราษฎรคือเพาะปลูก มีจำนวนท่ีทำกิน 122,965 ไร่ พืชท่ีปลกู กันมาก
คือ ขา้ ว ข้าวโพด มะม่วง กระทอ้ น เผอื ก มนั สนิ ค้าทีท่ ำรายได้ใหจ้ ำนวนมากคือขา้ วเปลือก
ส่วนพระยาสัจจาภิรมย์ (สรวง ศรีเพ็ญ) ซงึ่ รบั ราชการทเี่ มืองนครนายก เม่อื พ.ศ.2441
ได้บนั ทกึ สถานทร่ี าชการของนครนายกสมัยอดีตใน “พอ่ สอนลกู และให้ลูกฟงั ” ความตอนหนง่ึ ว่า
...พ่อถึงนครนายกในราวกลางเดือนมกราคม ร.ศ.117 (พ.ศ.2441) รุ่งข้ึนสัก 2-3 วัน
ท่านก็ได้โปรดให้พ่อไปทำราชการอยู่ท่ีว่าการเมืองนครนายก เวลานั้นเรียกว่าศาลากลาง ศาลากลางเวลา
นัน้ ปลูกคล้ายศาลาวดั มีเฉลียงรอบทั้ง 4 ด้าน หลังคามุงจาก ฝาบุแผงสานด้วยไม้ไผก่ ว้างราว 4 วา ยาว
7 วา ผทู้ ่ที ำราชการทุกแผนกรวมอยู่ในศาลากลางหลังเดยี ว แม้แต่ผู้พิพากษาตะลาการก็ด้วย การแต่งกาย
ผู้ทีท่ ำราชการเวลาน้ัน เจ้าเมืองเวลามาน่ังท่ีศาลากลาง ปกตินุ่งผา้ โจงกระเบน ใสเ่ ส้อื กุยเฮง สวมหมวก ใส่
เกือก และถือไม้เท้าเล็กๆ ส่วนพนักงานอ่ืนๆ นุ่งผ้าโจงกระเบน เสื้อชั้นในแขนสั้น ผ้าขาวม้าคาดพุง ไม่มี
เกือก ขั้นเสมียนนุ่งกางเกงจีน โดยมากสีขาว บางทีก็นุ่งผ้าโจงกระเบน ส่วนท่ีตั้งศาลากลางเวลานั้นอยู่
รมิ น้ำข้างทา่ ขา้ มจากเมอื งไปตลาดวังกระโจม เวลานี้ทนี่ ้ันได้พังลงเป็นแมน่ ้ำหมดแลว้ ...
การจัดต้ังมณฑลเทศาภิบาล โดยเฉพาะมณฑลปราจีนบุรีสามารถจัดการปกครองหัว
เมอื งท่ีมปี ระสทิ ธิภาพกวา่ การปกครองแบบด้งั เดิม ดังเช่นหลังจากท่ีจัดต้ังมณฑลปราจีนบุรไี ด้ไม่นาน พ.ศ.
2436 ไทยกับฝร่ังเศสเกิดกรณีพิพาทกัน ฝรั่งเศสพยายามขยายอิทธิพลเข้าไปในดินแดนของ
ราชอาณาจักรสยามเพ่ิมมากข้ึน หลักจากท่ีได้ดินแดนเขมรส่วนล่างและญวนท้ังประเทศ (เวียดนามใน
ปัจจุบัน) ไปครอบครองแล้วจนเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยทรงมอบให้ข้าหลวงเทศาภิบาลปราจีนบุรีเป็นฝ่ายอำนวยการในการ
เคล่ือนย้ายกองทัพ และจดั หาเสบียงระหว่างทร่ี าบภาคกลางและพรมแดนทางดา้ นตะวันออก พระยาฤทธิ
รงค์รณเฉท (ศุข ชูโต) ขา้ หลวงเทศาภิบาลมณฑลปราจีนบุรีปฏิบัติหน้าท่ีอย่างเข้มแข็ง สามารถเกณฑ์ไพร่
พลในมณฑลปราจีนบุรีที่พร้อมจะทำสงครามได้ถึง 6,000 คน ซึ่งไพร่พลเหล่าน้ันได้รับการตรวจตัว วัด
ความสูง และลงตำหนิแล้วจึงขึ้นบัญชีไว้เป็นกรม กอง หมวด หมู่ จากน้ันจึงย้ายสังกัดจากเดิมท่ีขึ้นอยู่กับ
กรมวังมาเป็นคนในสงั กดั มณฑลปราจีนบุรี ทั้งน้ีมชี าวเมืองนครนายก จำนวน 40 กอง
นอกจากนั้นยังปราบปรามผู้ร้าย รักษาความสงบภายในมณฑล จัดพาหนะส่งกองทัพ
ออกจากมณฑลปราจีนบุรี จัดสำรองข้าวปลาอาหารเป็นเสบียงอย่างเป็นระเบียบการปฏิบัติงานดังกล่าว
ดำเนินการอย่างเขม้ แข็งรวดเรว็ เกิดคาดหมาย ทำให้คนท้ังหลายเห็นถึงประโยชน์ในการรวมหัวเมืองจดั ต้ัง
๒๒
เป็นมณฑล และปกครองบริหารในระบบใหม่ที่พยายามสร้างข้ึน ดังน้ันหลังเหตุการณ์ครั้งนั้นจึงได้จัดตั้ง
มณฑลต่างๆ เพมิ่ ขึน้ ตลอดพระราชอาณาจักร
พ.ศ.2447 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นมรุพงศ์สิริพัฒน์ เป็นข้าหลวงพิเศษเสด็จตรวจ
ราชการในเมืองนครนายก ได้รายงานการตรวจราชการครั้งนั้น ซ่ึงแสดงถึงการจัดการปกครองเมือง
นครนายกไดเ้ ป็นอย่างดกี ว่า
...การเดินทางจะต้องไปทางคลองรังสฤษฏ์ฯ ผ่านเขตรเมืองนครนายก และเมืองปาจิณ
ควรเลยตรวจราชการตามท้องท่ีเสียด้วย จะได้เปนทางดำริห์จัดการสะดวกจึงได้เดินทางต่อไป พบหลวง
โยธาสงคราม ผู้รั้งราชการเมืองนครนายกมาคอยรับอยู่ที่โรงพักตำรวจภูธรคลองท่ี 14 ได้ตกลงว่าจะไป
เมอื งนครนายกก่อน...
การตรวจสภาพทอ้ งท่ี เมอื งนครนายกแบง่ เขตรเมืองเปน 4 อำเภอ คือ
1.อำเภอองครกั ษ์
2.อำเภอทา่ ช้าง
3.อำเภอเมอื ง
4.อำเภอหนองโพ
การแบ่งเขตรอำเภอในเมืองน้ีไม่เหมาะสมกับพ้ืนท่ี คือ ถือเอาแม่น้ำเปนเขตรอำเภอ
ดงั เช่นผู้ที่อยูต่ รงตลาดน่าเมือง ซึ่งเป็นเขตรของอำเภอเมือง ราษฎรที่ตงั้ ภูมิลำเนาอย่ฝู ง่ั คลองฟากตะวนั ตก
ระยะทางในลำน้ำห่างเพยี ง 20 วาเทา่ น้ัน ต้องไปขน้ึ ในอำเภอหนองโพ ไม่เปนทส่ี ะดวกแก่ราชการ
การแบ่งเขตรอำเภอในเมืองนครนายกนี้ หลวงโยธาสงครามได้แผนท่ีซ่ึงจะกะแบ่งเขตร
ใหม่ มาหารือต่อเกล้ากระหม่อมว่า อำเภอองครักษ์จะตั้งท่ีว่าการอำเภอบางอ้อ อำเภอท่าช้างจะตั้งท่ีว่า
การอำเภอบ้านนา แลจะเปลี่ยนนามอำเภอ เรียกว่าอำเภอบ้านนา เพราะเปนนามตำบลแพร่หลายมาช้า
นาน อำเภอหนองโพ จะต้ังทวี่ ่าการที่ท่าแดง แลได้แบ่งเขตรอำเภอใหม่ ให้ลำน้ำอย่ใู นอำเภอมิได้ถอื เอาลำ
น้ำเปนเขตรดงั แต่เดิมมา เพ่อื เปนการสดวกแก่การปกครองเกล้าฯ กเ็ หน็ ชอบด้วย
สว่ นที่ว่าการเมืองนครนายกอย่ทู ่สี ันเชงิ เทิน เดมิ เปนเมอื งเก่า เวลาน้ีมีเชิงเทินอยู่ 3 ด้าน
รปู ทวี่ ่าการเมืองเปนทรงปั้นหยาอยู่ 2 ช้ัน 5 ห้อง เฉลียงรอบอยู่กลาง มีอีก 2 หลัง เปนทรงปั้นหยาอยู่ 3
ห้อง เฉลียงรอบอยู่ 2 ข้าง หลังเล็ก 2 หลังน้ีเปนท่ีทำการสรรพากรแลคลัง การโยธาท่ีทำในเมืองน้ี ที่ว่า
การได้วางระเบยี บเปนระยะดอี ยู่ เสียแต่ท่ีว่าการอำเภอแลโรงพักตำรวจภธู รไปอย่เู สียด้านหลัง ไม่เปนแนว
เดียวกัน แต่ตารางไปปลูกคร่อมอยู่กับถนนข้างน่าที่ว่าการ ควรย้ายอำเภอแลโรงพักตำรวจภูธรไปอยู่ข้าง
น่า ให้เปนแนวเดียวกับท่ีว่าการ ย้ายตารางไปอยู่ด้านหลัง การโยธาท่ีจะก่อสร้างต่อไปหลวงโยธาได้ย่ืน
งบประมาณแล้ว แต่เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าการท่ีจะก่อสร้างสถานในเมืองน้ีย่อมต่างกันด้วยความเห็นผู้
บัญชาการจะต้องพิเคราะห์ให้สมกับไชยภูมิที่เสียให้แน่นอนก่อน ถ้าปลูกลงแล้วจะร้ือถอนเปล่ียนแปลง
ย่อมเปนการยาก เกล้ากระหม่อมได้ขอต่อกระทรวงโยธาธิการ ให้หม่อมเจ้าอนุชาติศุขสวัสด์ิ ไปทำสำเนา
แบบแปลน ให้เปนที่ตกลงเสียก่อนอยา่ งเมอื งอ่างทอง เมืองสิงค์ จึงจะได้จัดทำลงให้เปนภมู ิถานสง่างามแก่
บา้ นเมอื ง
การเรอื นจำ
เรือนจำในเมืองนี้ ก็ปลูกลงในท่ีไม่เหมาะและอย่ขู ้างจะคับแคบสกั หน่อย การรักษาสถาน
แลระเบยี บการจัดว่าเปนอย่างพอใช้ แต่มีความเลินเลอ่ เวลากลางคนื มิได้รอ้ ยนักโทษให้ม่นั คง เกล้าฯ ได้สั่ง
กำชบั ชีแ้ จงหลวงโยธาสงครามใหจ้ ดั การต่อไปแล้ว
๒๓
อำเภอองครักษ์ตั้งที่ว่าการที่บ้านบางอ้อ เปนคลองแยกพื้นท่ีน้ำท่วม นายอำเภอชื่อ ตาบ
ระเบียบการในอำเภอนี้ แบบแผนแลการงานการรักษาสถานดีกว่าทุกอำเภอในเมืองนครนายก แต่การ
สรรพากรน้ันมีเงินรักษาอยู่ในที่ว่าการอำเภอกว่า 5,000 บาท เปนการผิดระเบียบข้อบังคับ น่ากลัว
อนั ตราย พนกั งานสรรพากรก็ไมไ่ ดต้ รวจตราเรง่ รดั ให้เปนไปตามข้อบังคบั
อำเภอท่าช้างต้ังท่ีว่าการอำเภอบ้านนาท่าช้างฝั่งตวันออก ระยะทางตามลำน้ำใต้อำเภอ
เมืองลงมา 4 คุ้งน้ำ ซึ่งใกล้ชิดกับท่ีว่าการอำเภอเมืองมาก เกล้าฯ เหน็ ควรยา้ ยไปตัง้ ท่ีบ้านนา ตามท่ีหลวง
โยธาสงครามกะไว้ซึ่งได้กราบทูลมาแล้ว ณะ เบื้องต้น อำเภอน้ีเดิมหลวงจ่าเมืองเปนนายอำเภอ ภายหลัง
หลวงโยธาสงครามได้เปลี่ยนให้นายจิดออกไปเปนนายอำเภอได้ประมาณ 2 เดือนเศษ ระเบียบแบบแผน
ราชการในอำเภอนี้ เกล้าฯ ได้ตรวจดูการบางอย่างเปนการเลวทรามกว่าอำเภอองครักษ์มากรวบรวม
ทอ้ งท่ๆี ได้มาตรวจเมืองนครนายกครง้ั น้ี
1.ตรวจเมือง
2.ตรวจอำเภอองครกั ษ์
3.ตรวจอำเภอท่าชา้ ง
เห็นด้วยเกล้าฯ ว่าการงานในเมืองนครนายกค่อนข้างดีกว่าเมืองปาจิณและเมือง
ฉเชิงเทรา...
ยุคเปลี่ยนแปลงสังคมนครนายกให้ทันสมัย เมื่อสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว แนวพระราชดำริสำคัญในการปฏิรูปการเมืองการปกครองเมืองนครนายกให้ทันสมัยได้ประสบ
ผลสำเร็จระดับหนึ่งแทนท่ี “ระบบกินเมือง” เน่ืองจากการปกครองแบบใหม่ การคลัง และการศาลเป็น
ระเบียบแบบแผน กระบวนการปฏิรูปทางการเมืองการปกครองของราชอาณาจักรสยามดังกล่าวเป็นสิ่งท่ี
ปฏิบัติควบคู่กันไปกับความพยายามเปลี่ยนแปลงประเทศให้ทันสมัย (Modernization)ในทุกระดับของ
สังคม เมื่อเริ่มต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมัยต่อๆ มาความเปลี่ยนแปลง
ดังกล่าวได้ปรากฏในทุกๆ ท้องที่ที่สว่ นกลางพยายามยื่นมือเข้าไปควบคุมมากบ้างน้อยบ้างโดยเฉพาะเมือง
นครนายก ซ่ึงสิ่งต่างๆ เหล่าน้ันอาจสะท้อนถึงความรัดกุมในการดำเนินการปกครองของรัฐบาลกลางเพ่ือ
สร้างชวี ิตท่ีให้ราษฎร “อยเู่ ย็นเป็นสขุ ” และความรว่ มมอื กับเสียงสะท้อนของราษฎรในการจัดการปกครอง
ท้องที่ของตนเอง
พ.ศ.2456 รายงานของข้าหลวงมหาดไทยไดแ้ สดงถึงภาพรวมและการจดั ราชการเมือง
นครนายกว่าเมืองนครนายกมี 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองนครนายก อำเภอเขาใหญ่ อำเภอองครักษ์
และอำเภอบ้านนา การจัดราชการแบ่งเป็นแผนกต่างๆ คือ แผนกอัยการ แผนกเรือนจำ แผนกสรรพากร
แผนกคลงั แผนกโยธา แผนกไปรษณยี ์โทรเลข แผนกภาษีสุรา แผนกสสั ดี และแผนกตำรวจ
สว่ นราษฎรน้ันประกอบอาชพี ต่างๆ ได้แก่ รบั ราชการ ทำนา ช่าง รับจา้ ง จับสัตว์น้ำ จัก
สาน แพทย์ ช่างทอง เลี้ยงสุกร ลา่ สัตว์ ทอผ้า ทำสวน ทำอิฐ ชา่ งเหล็ก เยบ็ เสื้อผ้า แผนกสัสดี และแผนก
ตำรวจ
ระหว่างต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจนถึงสมัยเปล่ียนแปลงการ
ปกครอง พ.ศ.2475 เมืองนครนายกมีการติดต่อประสานกับเมืองหลวงเรื่องการปกครองเพ่ือสร้างความ
อยู่เย็นเป็นสขุ ให้ราษฎร ทั้งที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ทุพภิกขภัยในท้องที่และปัญหาระยะยาว รัฐบาล
จดั ทำโครงการชลประทานเพ่ือเป็นประโยชน์แก่ราษฎรอย่างเต็มที่ ให้กระทรวงเกษตราธิการทดน้ำเพอื่ ใช้
๒๔
ในการเพาะปลูกตามโครงการของเซอร์โธมัสวอร์ด ซ่ึงทดน้ำท่ีทุ่งดงละครทางฝ่ังตะวันออกของแม่น้ำ
นครนายกเพอื่ หล่อเลย้ี งต้นข้าวในนาท่ีต้องเสียหายเพราะน้ำไม่เพยี งพอเกือบทุกปี
นอกจากน้ันรัฐบาลยังพยายามสร้างคุณภาพชีวิตให้ราษฎรมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เช่น
ได้ออกคำสั่งห้ามราษฎรนครนายกจับสัตว์น้ำตามแม่น้ำลำคลองท่ัวไปเพ่ือรักษาพืชพันธ์ุในระหว่างเดือน
มถิ นุ ายน-สิงหาคม สว่ นเรื่องการศกึ ษานน้ั ให้จัดต้ังโรงเรยี นระดับต่างๆ เป็นจำนวนมาก ท้งั ใหร้ าษฎรมสี ่วน
ร่วมในการปกครองโดยจดั ตั้งกรรมการตำบลพยายามสอดสอ่ งเร่ืองอบายมุขและสร้างมาตรการต่างๆ เพ่ือ
ก่อให้เกิดความสงบสุขในสังคมปรากฏว่ารัฐบาลได้รับความช่วยเหลือจากราษฎรเป็นอย่างดี ดังเช่นการ
ร่วมแรงร่วมใจในการบรจิ าคเงินสร้างในเมอื ง ไดแ้ ก่ โอสถสถาน ถนน และสะพาน เปน็ ต้น
วถิ ีชีวิตของชาวเมืองนครนายกประสบสิ่งแปลกใหม่ เช่น มีเรือยนต์ และรถยนต์โดยสาร
ที่รัฐบาลให้สัมปทานบริษัทเดินเรือยนต์รังสิตจำกัด ให้บริการแก่ประชาชนต้ังแต่ พ.ศ.2470 มีภาพยนต์
เพ่ือชม และไม่ไฟฟ้าใช้ตั้งแต่ พ.ศ.2475 ดังที่ นายวิทิต อุจวาที อดีตศึกษาธิการจังหวัดนครนายกซ่ึงทัน
เห็นสภาพเมืองนครนายกในระยะของการเปล่ียนแปลงดังกล่าวเม่ือ พ.ศ.2475 ได้เล่าว่าเมืองนครนายก
ประกอบดว้ ยบ้านเรอื นทปี่ ลูกอยูส่ องฝ่ังแม่นำ้ นครนายก เรียกฝ่ังหนึง่ ว่า “ฝั่งวังกระโจม” และอกี ฝ่ังหน่ึงว่า
“ฝง่ั ศาลากลาง”
บนฝ่ังศาลากลางราษฎรจะตั้งบ้านเรือนหนาแน่นจากวัดโพธิ์ (ปัจจุบันคือวัดโพธ์ินายก)
ซ่ึงอยู่ท้ายเมืองมาตามแนวกำแพงเมืองที่ปัจจุบันเป็นถนนสันคูเมืองมาจนถึงวัดศรีเมืองซ่ึงจรดกับแม่น้ำ
พอดี ส่วนในฝ่ังวังกระโจมราษฎรจะต้ังบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น จากวัดส้มป่อยท่ีอยู่ตรงข้ามคุ้งแม่น้ำ
กับวัดโพธ์ิ มาจนถึงฝั่งตรงข้ามแม่น้ำกับวัดศรีเมือง ท้ังสองฝั่งแม่น้ำมีสะพานไม้เช่ือมโยงกัน (ท่ีเดียวกับ
สะพานหน้าตลาดในปจั จบุ ัน) ทตี่ ีนสะพานมีตลาดและเรือนแถวไม้สร้างอย่สู องฟากถนนเรยี งรายกันตลอด
เพ่ือเป็นที่ค้าขายของประชาชนจากวัดโพธ์ิจนถึงบนฝ่ังศาลากลาง และจากสะพานถึงสามแยกที่ต่อเชื่อม
กับถนนท่จี ะไปปากพลี ณ ฝง่ั วังกระโจมโดยตอ่ หลงั คาคลุมถนนตลอดทัง้ สาย
ฝั่งวังกระโจม เป็นชุมชนท่ีเจรญิ มาแต่เดิม มีตลาดใหญ่ โรงสีข้าว โรงน้ำแข็ง ท่าเรือเมล์
ขาว มีคนจีนอาศัยปลูกผักมาก จึงมีโรงเจของคนจีนอยู่ด้วย ส่วนท่ีฝ่ังศาลากลางเป็นท่ีต้ังของสถานท่ี
ราชการและที่อยู่อาศยั ของราษฎร ซึง่ อาศยั ตัง้ บา้ นเรอื นแถบวัดโพธต์ิ ลอดไปจนจรดแม่น้ำ
วดั โพธ์ิ เปน็ วัดที่สำคัญตงั้ ณ บรเิ วณท้ายเมือง เพราะเปน็ สถานที่ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา
ของข้าราชการเมืองนครนายก ท้ังยังมีท่ีดินวัดครอบครองจำนวนมาก บริเวณใกล้ๆ วัดโพธิ์มีตลาดใหญ่
โรงภาพยนตร์ และโรงแรมจึงเป็นศูนยก์ ลางความเจรญิ อกี แหง่ หน่งึ ของนครนายกในสมยั น้นั
การดำเนินการทางการเมืองและการปกครองของเมืองนครนายกต้ังแต่ก่อนการ
ปฏิรูปในรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจนถงึ พ.ศ.2475 แสดงว่าเมืองนครนายกได้มี
การเปลี่ยนแปลงจาก “ระบบกนิ เมอื ง” มาเปน็ การปกครองแบบใหม่ และที่สำคัญคือชาวเมืองนครนายกมี
สว่ นเก่ียวข้องในการจัดการปกครอง โดยให้ความร่วมมือกับรฐั บาลจัดการปกครองของท้องถิ่น ซึ่งเป็นกา้ ว
สำคัญในการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง การปกครอง อันเป็นเป้าหมายในการปฏิรูปการเมืองการ
ปกครองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นพื้นฐานของการปกครองระบอบ
ประชาธิปไตยในเวลาต่อมา
ความเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2398 หลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ร่ิงระหว่างไทยกับ
อังกฤษ โครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยเปล่ียนจากเศรษฐกิจแบบยังชีพมาเป็นเศรษฐกิจเพื่อการค้า โดย
เปล่ียนแปลงโครงสรา้ งในการผลิต การค้า และการขยายตัวของทนุ จากตา่ งประเทศ
๒๕
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิต เนื่องจากตลาดโลกต้องการสินค้าจากไทยคือ ข้าว ดีบุก
และไม้สัก จึงเกิดการขยายตัวทางการผลิตสินค้าทั้ง 3 ประเภท โดยเฉพาะข้าวกลายเป็นสินค้าออกท่ี
สำคญั ทีส่ ุดของประเทศ และประเทศไทยกลายเป็นตลาดข้าวที่สำคัญแห่งหนงึ่ ของเอเชยี
กระบวนการขยายตัวของการผลิตข้าวเพ่ือขาย รัฐบาลสมัยน้ันเน้นนโยบายขยายเน้ือที่
การผลิต โดยเฉพาะเน้ือท่ีในบริเวณภาคกลางให้เป็นพื้นที่ทำนา ซ่ึงขุดคลองเพ่ือระบายน้ำไปยังบริเวณที่
เพาะปลูกไม่ได้ ตามสถิติระบุว่าเนื้อที่เพาะปลูกของไทยในสมัยรัชกาลที่ 4 พ.ศ.2393 เพิ่มจากประมาณ
5.8 ลา้ นไร่ เป็น 9.2 ลา้ นไร่ในปลายรัชกาลที่ 5 (พ.ศ.2448-2452) และประมาณ พ.ศ.2475 ในสมัย
รัชกาลท่ี 7 เพิ่มขน้ึ เป็นจำนวนประมาณ 20.1 ลา้ นไร่
การเปิดพื้นที่ทำนาเพ่ิมข้ึนโดยการขุดคลองเพ่ือระบายน้ำเข้าไปยังบริเวณที่เพาะปลูก
ไม่ได้นั้น รัฐบาลพยายามสนับสนุนให้เอกชนขุดคลองเพ่ือเปิดพ้ืนที่ทำนาใหม่ โดยมีแรงจูงใจท่ีสำคัญคือ
การเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ท่ีดินสองฝ่ังคลองที่เอกชนรับขุดขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดในการเปิดท่ีดินเพ่ือปลูกข้าว
และการขุดคลองชลประทานคือโครงการทุ่งหลวงรังสิต เม่ือ พ.ศ.2433-2457 นอกจากน้ันรัฐบาลได้
ขยายพ้ืนที่ทำนาออกไปยังที่อ่ืนๆ โดยเฉพาะท้องท่ีภาคกลาง เช่น เมืองราชบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี และ
นครสวรรค์ เป็นตน้
เมืองนครนายกมีสภาพเช่นเดียวกับเมืองต่างๆ ในบริเวณภาคกลางที่ได้รับการส่งเสริม
ด้านการผลิตข้าวเพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าในตลาดต่างประเทศ ผลคือทำให้เศรษฐกิจของ
นครนายกค่อยๆ เปลี่ยนแปลงจากเดิมซ่ึงมีลักษณะเศรษฐกิจแบบยังชีพเป็นเศรษฐกิจเพ่ือการค้า
ประชาชนหนั มาผลติ สนิ ค้าเฉพาะอยา่ งคือผลิตขา้ วเพอ่ื การค้าแทนการผลติ เพือ่ เลี้ยงชีพหรือยงั ชีพแบบเดิม
นอกจากนั้นยังเกิดอุตสาหกรรมบางอย่างที่ตอ่ เน่ืองจากภาคเกษตรกรรม ไดแ้ ก่ โรงสีขา้ ว และชาวต่างชาติ
โดยเฉพาะชาวจนี ได้อพยพเขา้ มาทำงานและค้าขาย ทำให้ระบบเงินตรามีความสำคัญข้ึนจนเศรษฐกิจของ
นครนายกเร่ิมผันแปรจากภาคเกษตรกรรมเป็นภาคอุตสาหกรรมและการค้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทุนนิยม
โลก
มรดกทางธรรมชาติและวฒั นธรรมของทอ้ งถ่นิ
มรดกทางธรรมชาติ
สภาพทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของจังหวัดนครนายก ประกอบด้วยป่าไม้ สัตว์ป่า
แหล่งต้นน้ำลำธาร และทรัพยากรทางธรรมชาติที่ค่อนข้างสมบูรณ์ โดยเฉพาะพื้นที่ป่าในเขตอนุรักษ์
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่สามารถอำนวยประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงคือ
สภาพป่าและสัตว์ป่าตามธรรมชาติที่ให้ความสุนทรีย์แก่มวลมนุษย์ในรูปแบบของการทัศนศึกษาและ
พักผ่อนหย่อนใจ ทำให้รับและประชาชนในท้องถ่ินมีรายได้ทางเศรษฐกิจ ทางอ้อมคือ เป็นแหล่งศึกษาให้
ความรู้ทางวิชาการป่าไม้ สัตว์ป่า และระบบความสมดุลทางนิเวศวิทยา เพราะเป็นแหล่งรวมของพันธ์ุพืช
และสัตว์ป่าอันเป็นบ่อเกิดแห่งความมั่งคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ความต่อเนื่องของป่า
ธรรมชาติผืนใหญ่ย่อมเป็นหลักประกันในการคงเผ่าพันธุ์ของพืชและสัตว์นับเวลาหลายร้อยพันปีได้
วิวัฒนาการจนสามารถดำรงเผ่าพันธ์ุไว้ได้และเป็นองค์ประกอบสำคัญของการควบคุมความสมดุลทาง
ธรรมชาติ ควบคุมภัยพิบัติท่ีทำให้ธรรมชาติถึงขั้นวิกฤต หรือทำให้ภัยธรรมชาติลดความรุนแรง เป็น
แหลง่ กำเนดิ ของความอดุ มสมบรู ณ์ของดนิ น้ำ และอากาศท่ีบรสิ ุทธ์ิ
๒๖
เขตพื้นที่อนุรักษ์ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ยังเป็นแหล่งผลิตธาตุอาหารที่เกิดจากการ
เน่าเป่ือยของต้นไม้และพืชป่าที่ถูกน้ำพัดพาให้ไหลลงมาเป็นประโยชน์ต่อกสิกรรมตอนล่าง และยังควบคุม
การทำลายหน้าดินท่ีอุดมสมบูรณ์ นอกจากนั้นความสมดุลของสภาพแวดล้อมจะคงอยู่เมื่อเป็นป่า
ธรรมชาตผิ ืนใหญ่ซ่ึงพงึ่ พาอาศัยซง่ึ กันและกันในปริมาณที่พอเหมาะ ฉะนนั้ ปา่ อนรุ ักษ์ดงั กล่าวจึงเป็นมรดก
ทางธรรมชาติที่สำคัญย่ิง รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของป่าผืนนี้จึงพยายามเสนอชื่อไปยังองค์การ
การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) เพื่อพิจารณาให้อุทยานแห่งชาติ
เขาใหญเ่ ปน็ มรดกทางธรรมชาติของโลกสบื ไป
มรดกทางธรรมชาติของจังหวัดนครนายกมดี ังน้ี
พื้นท่ีป่า พื้นที่ป่าไม้ของจังหวัดนครนายกส่วนใหญ่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พ้ืนท่ีประมาณ 1 ใน 4 อยู่ในจังหวัดนครนายก หรือประมาณ 231,500 ไร่
มปี ระวตั คิ วามเป็นมาทนี่ ่าสนใจซง่ึ เช่ือมโยงมาถึงปจั จบุ นั ประมาณ 60 ปี (แต่ผรู้ ูบ้ างคนสันนิษฐานว่านา่ จะ
ประมาณ 100 ปี) ราษฎรจากบ้านท่าด่าน และบ้านท่าชัยจังหวัดนครนายกได้อพยพไปตั้งบ้านเรือนบน
เขาใหญ่เพ่ือล่าสัตว์และเก็บของป่าขายตลอดจนแผ้วถางป่าเพื่อปลูกข้าวและพริกเป็นอาหารในครัวเรือน
ต่อมาเมื่อมีประชากรมากขึ้นรัฐบาลได้ยกฐานะของหมู่บ้านข้ึนเป็นตำบลเขาใหญ่อยู่ในอำเภอปากพลี
จงั หวัดนครนายก จนถึง พ.ศ.2475 ได้เปล่ียนแปลงการปกครองทางราชการมีคำส่ังให้ยุบตำบลเขาใหญ่
อพยพราษฎรทั้งหมดลงมาอยู่ในที่ราบตอนล่าง เพราะเหตุผลว่าเขาใหญ่เป็นที่หลบซ่อนตัวของพวกกบฏ
และอาจเป็นท่ีซ่องสุมกำลังเพื่อต่อต้านรัฐบาล รวมทั้งเป็นแหล่งหลบซอ่ นตัวของโจรผรู้ ้ายในคดีสำคญั ยาก
แก่การปราบปรามเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุผลดังกล่าวสภาพหมู่บ้านและท่ีทำกินบริเวณสองข้างทางบน
เขาใหญใ่ นปัจจบุ นั จึงแปรสภาพเปน็ ทุ่งหญา้ คา
การตั้งอุทยานแห่งชาติเร่มิ เมอ่ื ประมาณ พ.ศ.2498 เพราะไดร้ ับอทิ ธพิ ลและแรงกระตุ้น
จากการประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของสหรัฐอเมริกาในปี 1955 คือ “Yellow
StoneNational Park” สมาคมนิยมไพรในประเทศไทยจึงกระตุ้นเตือนให้รัฐบาลสนใจสงวนท่ีป่าเพื่อ
เป็นที่อยู่อาศยั ของสัตว์ป่าและเป็นที่พักผอ่ นหย่อนใจของประชาชน ดังนั้น ในวนั ท่ี 7 ตุลาคม พ.ศ.2502
คณะรัฐมนตรีในสมัยที่ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงมีมติให้จัดสรร
ท่ีดินของรัฐในป่า 1 4 แห่ง เพื่อจัดต้ั งเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยได้รับความช่วยเหลือจาก
Dr.GeorgeC.Ruhle ผู้เช่ียวชาญของอุทยานแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา เม่ือมีการสำรวจและวางแผนป่าเขา
ใหญ่เสร็จแล้วไดป้ ระกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาตติ ามพระราชกฤษฎีกาเม่ือวันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2505
และประกาศในราชกิจานุเบกษาเล่มที่ 79 ตอนท่ี 86 ลงวันท่ี 18 กันยายน พ.ศ.2505 เป็นอุทยาน
แห่งแรกท่ีมีพื้นที่มากที่สุดของประเทศไทยในขณะน้ัน เนื่องจากครอบคลุมพื้นท่ี 4 จังหวัดในภาคกลาง
ตะวันออก และตะวนั ออกเฉียงเหนือ คือ จงั หวัดสระบรุ ี นครนายก ปราจนี บุรีและนครราชสีมา รวมเนื้อท่ี
1,356,500 ไร่ หรือ 2,168 ตารางกิโลเมตร แต่ปัจจุบันอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีพ้ืนท่ีเป็นอันดับ 3
ของประเทศไทยรองจากอุทยานแห่งชาตแิ ก่งกระจานและอุทยานแห่งชาตทิ ับลาน
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นพื้นที่นานาชาติยอมรับว่ามีการจัดการด้านอนุรักษ์ท่ีดีแห่ง
หน่ึงของโลก โดยยกย่องให้เป็น 1 ใน 5 ของอุทยานแห่งชาติของโลก เมื่อ พ.ศ.2515 ในการประชุม
อุทยานแห่งชาติของโลกครั้งท่ี 2 ณ “Yellow StoneNational Park” สหรัฐอเมริกา ต่อมาพ.ศ.
2534 รัฐบาลไทยพยายามผลักดันให้พ้ืนท่ีดังกล่าวได้รับการประกาศให้เป็นมรดกทางธรรมชาติของโลก
๒๗
พร้อมกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวร เพราะเป็นพ้ืนที่อนุรักษ์ท่ีมีความ
หลากหลายมากทางชวี ภาพ (Biodiversity) แตไ่ ม่ประสบผลสำเร็จ
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นแหล่งอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีพันธุ์พืชไม่ต่ำกว่า
2,000 ชนิด สัตว์เล้ียงลูกด้วยนมมากกว่า 60 ชนิด และนกชนิดต่างๆ ไม่น้อยกว่า 300 ชนิด ความ
หลากหลายของชนิดพันธ์ุดงั กลา่ วทำให้เขาใหญ่เป็น 1 ใน 11 แหง่ ของโลกท่เี ป็น “Vavilov Center” คือ
เป็นพ้ืนท่ีอุดมไอด้วยทรัพยากรพืชและสัตว์ป่าอันล้ำค่าที่เป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับผลิตยารักษาโรค และ
ผลิตสายพันธกุ รรมใหมด่ ้านการเกษตร ท้ังเปน็ ท่ีรู้จกั และยอมรับกันทั่วโลกวา่ เป็นอุทยานแหง่ ชาติท่ีดีที่สุด
แห่งหนึ่งในภาคพ้ืนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และได้รับการพิจารณาให้เป็นอุทยานมรดกกลุ่มประเทศ
อาเซยี น (ASEAN Heritage Park Reservers) ดังลักษณะตอ่ ไปน้ี
ลักษณะป่า สภาพพื้นท่ีส่วนใหญ่ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นป่าดิบช้ืน
ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณผสม และทุ่งหญ้า ป่าแต่ละประเภทมีพื้นท่ีดังปรากฏในตารางท่ี
นายสุรชัย รตั นเสรมิ พงษ์ ศึกษาจากภาพถ่ายดาวเทียมเมอ่ื ค.ศ.1978 ตามลำดบั
ประเภทป่า ตารางกโิ ลเมตร ไร่ ร้อยละ
ป่าดิบชน้ื (Moist Evergreen Forest) 1,376.46 860,287.50 60.98
ปา่ ดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) 592.10 370,062.50 26.23
ป่าดบิ เขา (Hill Evergreen Forest) 50.52 31,575.0 2.24
ทงุ่ หญา้ (Grass Land) ไร่เลอ่ื นลอย
(Swidden Land) 238.17 148,856.25 10.55
2,257.25 1,410,781.25 100.00
รวม
ลักษณะป่าในเขตอทุ ยานแหง่ ชาติเขาใหญจ่ ำแนกเป็น 5 ประเภท คอื
ป่าดิบช้ืน(Tropical Rain Forest) อยู่ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 400 ถึง
1,000 เมตร สภาพพันธุ์พืชคล้ายกันกับป่าดิบแล้งแต่มีพืชในวงศ์ไม้ยางชนิดต่างๆ ขึ้นมากกว่า คือ ยาง
กล่อง ยางผล ยางเลียง และกะบาก โศก เป็นต้น บริเวณหุบห้วยมีไม้ตุ้มแต๋นหรือลำพูป่า และกระทุ่มน้ำ
ข้ึนอยู่ทั่วไป มีไม้ยืนต้นประเภทผลัดใบข้ึนอยู่ห่างๆ เช่น ปออีเก้ง สมพง และกว้าว พันธุ์พืชช้ันล่าง มี
ลักษณะคล้ายป่าดิบแล้ง แต่มีอัตราความหนาแน่นมากกว่าบริเวณริมลำธารมีไม้ปล้องยาวขึ้นอยู่มาก เช่น
ลำเจียกเถา ผักกูดเถา และพลูชา้ งพืชจำนวนหมาก ไดแ้ ก่ หมากลงิ ค้อ และกะพ้อ เป็นต้น ในระดับสูง
มียางแดง เคย่ี มคะนอง พะยอม กะตกุ มะมอื จำปีปา่ พะอง และทะโล้ โดยไม่ปรากฏไมย้ างเขน ยางกลอ่ ง
และกะบะ ส่วนไม้จำพวกกอมีอยู่มากเป็นไม้ช้ันรองปนกับไม้อื่นๆ ตามพื้นช้ันล่างมีไม้พุ่มชนิดต่างๆ เป็น
ปริมาณมาก มีไม้ไผ่ขนาดเล็กเรียกว่า “ไม้หลอด” ขึ้นหนาแน่นบริเวณหุบห้วยริมธารมีกูดต้นหลายชนิด
ข้ึนปะปนกับผักกูดขนาดใหญ่ เช่น ว่านกีบแรด และกูดเลื้อยชนิดต่างๆ บนก้อนหินตามโกรกธารมีพืช
ลักษณะคลา้ ยตะไคร่นำ้ ในวงศ์ Podostemonaceae ขึน้ ปกคลมุ อยู่ทั่วไป
ป่าดิบแล้ง(Dry Evergeen Forest) อยู่ในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 200-600
เมตร มีพันธ์ุพืชปกคลุมอยู่เป็นบริเวณกว้างใหญ่ ประกอบด้วยไม้ยืนต้นที่เป็นไม้ช้ันบนคือ ยางนา พันจำ
เค่ียมคะนอง ตะเคียนทอง ตะเคียนหิน ตะแบก สมพง สองสลึง มะค่าโมง ปออีเก้ง สะตอ ซาก และคอ
แร้ง เป็นต้น ส่วนไม้ชั้นรอง ได้แก่ กะเบาลิง พลวง ข้ีอาย และกัดลิ้น เป็นต้น นอกจากนั้นมีพืชจำพวก
๒๘
หมาก เช่น หมากลิง และลานเป็นปริมาณมาก พืชชั้นล่าง ประกอบด้วยพืชจำพวกมะพร้าวนกคุ่ม ขิงข่า
กลว้ ยปา่ และเตย เปน็ ตน้
ป่าดิบเขา(Hill Evergreen Forest) อยู่ในระดับ 1,000 เมตรข้ึนไป มีพันธุ์ไม้ข้ึนปะปน
หนาแน่น สภาพพันธ์ุพืชจะเปลี่ยนไปอย่างสังเกตได้ชัด ไม่ปรากฏพันธุ์พืชในวงศ์ไม้ยางมีแต่พันธุ์ไม้
จำพวกยิมโนสเปอร์ม คือ พญาไม้ ขุนไม้ มะขามป้อมดง และสามพันปี โดยมีต้นกำลังเสือโคร่งข้ึนปะปน
ไม้ชนิดน้ีจะข้ึนอยู่ตามไหล่เขาพังรมิ ถนน เป็นไม้รนุ่ แรกท่ีช่วยให้ปา่ กลับคืนสภาพได้ดังเดิม นอกจากนั้นยัง
มไี ม้ชั้นล่างอีกหลายชนิดบริเวณพื้นป่ามีพืชชนิดต่างๆ ข้ึนปกคลุมหนาแน่นรวมท้ังผักกูดและกลว้ ยไม้ชนิด
ตา่ งๆ
ป่าเบญจพรรณผสม(Mixed Deciduous Forest) อยู่ด้านทิศเหนือในระดับความสูง
ระหวา่ ง 200-600 เมตร สภาพพันธ์ุพืชประกอบด้วยไม้ยืนต้นประเภทผลัดใบชนิดต่างๆ เช่น มะค่าโมง
ประดู่ ตะแบก ปออีเก้ง กว้าว นุ่นแดง สมอพิเภก ตะคล้ำ และตะเคียนหนู เป็นต้น พืชช้ันล่างมีไม้ไผ่ป่า
และหญ้าต่างๆ นอกจากนั้นตามลาดเขาสูงมีไผ่ป่าเป็นปริมาณมาก ส่วนตามหุบห้วยจะมีกล้วยป่าขึ้น
หนาแน่น บริเวณพ้ืนปา่ มีหนิ ผดุ ขนึ้ ทัว่ ไป ในฤดแู ลง้ จะเกิดไฟไหมล้ กุ ลามป่าอยู่เสมอ
ทุ่งหญ้าและป่าละเมาะ(Savanna Forest) ลักษณะพืชพันธุ์ในบริเวณดังกล่าวเป็นผล
สืบเนื่องมาจากการทำไรเลื่อนลอยในอดีต ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วย หญ้าคา หญ้าแขม หญ้ากง หญ้า
ตาช้าง มีหญา้ โขมงขึน้ แทรก และยังมีผกั กดู บางชนดิ ข้ึนตามบรเิ วณที่ถกู ไฟไหมเ้ ปน็ ประจำ
อนึ่งท้องท่ีบางแห่งของจังหวัดนครนายกมีลักษณะเป็นป่าเบญจพรรณ คือป่าโปร่ง
ประกอบด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่และขนาดกลางหลายชนิด บางแห่งมีไม้ไผ่ชนิดต่างๆ ข้ึนอยู่กระจัดกระจาย
ทั่วไป ในฤดูแล้งต้นไม้ส่วนใหญ่จะผลัดใบ และเมื่อเข้าฤดูฝนกลับเขียวชอุ่มเหมือนเดิม ตามข้อมูลของ
ภาพถ่ายทางอากาศ พ.ศ.2538 และรายงานกรมป่าไม้ พ.ศ.2541 ปรากฏว่าจังหวัดนครนายกมีพ้ืนท่ี
ท้งั หมด 1,326,250 ไร่ (2,122 ตารางกโิ ลเมตร) เนื้อทปี่ ่าไม้ท้งั ส้ิน 301,250 ไร่ คดิ เป็น 22.71%
สถานภาพพื้นท่ปี า่ ประกอบด้วย
ป่าในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จำนวน 342,500 ไร่ อยู่ในท้องท่ีอำเภอเมือง
นครนายก 191,500 ไร่ (306.40 ตารางกิโลเมตร) และอยู่ในท้องท่ีอำเภอปากพลี 151,000 ไร่
(241.6 ตารางกิโลเมตร)
ป่าในเขตหวงห้ามท่ีดิน ตามพระราชกฤษฏีกากำหนดเขตหวงห้ามท่ีดินเพ่ือประโยชน์
ในราชการทหาร ณ ท้องท่ีตำบลพรหมณี อำเภอเมืองนครนายก และตำบลบ้านพร้าว อำเภอบ้านนา
จังหวัดนครนายก พุทธศักราช 2484 ปัจจุบันคือ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จำนวนประมาณ
51,921 ไร่ (83.07 ตารางกิโลเมตร) จำแนกเป็นสองส่วนคือ ส่วนท่ี 1 เน้ือที่ 21,013 ไร่ และส่วนท่ี
2 เน้ือท่ี 30,908 ไร่ มีบางส่วนทับซ้อนกับพื้นที่ป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันท่ี 23 มีนาคม
พ.ศ.2508 ระบุว่าใหร้ ักษาไว้เป็นพืน้ ท่ีปา่ ไมถ้ าวร ป่าท่ีจดั สรรบ้านพรหมณี-บา้ นเขาพระ
ป่าไม้ถาวร เปล่ียนแปลงตามมติคณะรัฐมนตรีเดิมเฉพาะแห่งเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม
พ.ศ.2536 ใหร้ ักษาไว้เปน็ พนื้ ทป่ี ่าไมถ้ าวรเนอ้ื ท่ี 17,710 ไร่ จำนวน 3 แหง่ ดงั น้ี
ป่าที่จัดสรรบ้านพรหมณี-บ้านเขาพระ กำหนดตามมติของคณะรัฐมนตรีให้
รักษาไว้เป็นป่าไม้ถาวรเนื้อท่ีประมาณ 4,450 ไร่ หรือ 7.12 ตารางกิโลเมตร (รวมถึงที่ถือครองที่
พจิ ารณาตามกฎหมาย) แต่เมอ่ื กรมพฒั นาท่ีดินสำรวจและคำนวณเนื้อท่ใี หมใ่ นทอ้ งท่ีตำบลเขาพระ อำเภอ
๒๙
เมืองฯ จังหวัดนครนายกได้เนื้อที่ประมาณ 4,773 ไร่ คณะรัฐมนตรีจึงเปล่ียนแปลงมติคณะรัฐมนตรีเดิม
เฉพาะแห่งให้รักษาไว้เป็นพ้ืนที่ป่าไม้ถาวร ปัจจุบันใช้ท่ีดินเพ่ือการเกษตรเนื้อที่ 1,190 ไร่ หรือร้อยละ
24.93 แยกเป็นนาข้าว 13 ไร่ ไม้ยืนต้น 398 ไร่ ไม้ผล 779 ไร่ ท่ีดินของรัฐ 552 ไร่ หรือร้อยละ
11.57 ท่ีป่าไม้ 1,243 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 26.04 ปา่ เสอ่ื มโทรม 1,788 ไร่ หรือรอ้ ยละ 37.46
ป่าน้ำตกสาริกา-เขาเขียว เน้ือท่ี 266 ไร่ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 23
มีนาคม พ.ศ.2508 ให้รักษาป่าน้ำตกสาลิกา-เขาเขียว ไว้เป็นป่าไม้ถาวร เน้ือที่ประมาณ 122,187 ไร่
หรือ 195,500 ตารางกิโลเมตร (รวมที่ถือครองที่จะต้องพิจารณาตามกฎหมายดว้ ย) และได้กำหนดพระ
ราชกฤษฎีกา พ.ศ.2505 ให้พื้นที่เฉพาะบางส่วนเป็นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จึงยังเหลือเป็นพื้นท่ีป่าไม้
ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี เน้ือท่ีประมาณ 266 ไร่ แยกเป็น 2 แปลง อยู่ในท้องท่ีตำบลสาริกา อำเภอ
เมืองฯ จังหวัดนครนายก สภาพการใช้ท่ีดินปัจจุบันได้มีการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตร เน้ือท่ี 222 ไร่ หรือ
รอ้ ยละ 83.46 (แยกเป็นไมย้ นื ตน้ 222 ไร่) ท่ีเป็นป่าไม้ 43 ไร่ หรอื ร้อยละ 16.16 แหล่งนำ้ 1 ไร่ หรือ
รอ้ ยละ 0.38
ป่าเขาใหญ่ ตามมติของคณะรัฐมนตรีให้รักษาไว้เป็นป่าไม้ถาวรเนื้อที่ประมาณ
245,225 ไร่ หรือ 392,360 ตารางกิโลเมตร (รวมที่ถือครองที่พิจารณาตามกฎหมาย) และตามพระ
ราชกฤษฎีกา พ.ศ.2505 กำหนดให้พ้ืนที่เฉพาะบางสว่ นเป็นอุทยานแห่งชาตเิ ขาใหญ่จึงคงเหลือเป็นพ้นื ที่
ป่าไม้ถาวรประมาณ 12,671 ไร่ แยกเป็น 15 แปลงในท้องท่ีตำบลหินลาด ตำบลหนองแสง อำเภอปาก
พลี ตำบลหินต้ัง และตำบลสาริกา อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครนายก ปัจจุบันใช้ท่ีดินเพ่ือการเกษตรเนื้อที่
6,863 ไร่ หรือร้อยละ 54.16 แยกได้เป็นนาข้าว 1,013 ไร่ พืชไร่ 28 ไร ไม้ยืนต้น 3,800 ไร่ ไม้ผล
2,022 ไร่ ส่วนท่ีดินของรัฐเน้ือที่ 1,647 ไร่ หรือร้อยละ 13.00 หมู่บ้านเน้ือท่ี 1085 ไร หรือร้อยละ
8.85 ป่าไม้เน้ือที่ 3,540 ไร่ หรือร้อยละ 27.94 ป่าเสื่อมโทรมเนื้อที่ 228 ไร่ หรือร้อยละ 1.80 ทุ่ง
หญ้าเนื้อที่ 57 ไร่ หรือร้อยละ 0.45 แหล่งน้ำ 149 ไร่ หรือร้อยละ 1.18 เส้นทางเนื้อที่ 79 ไร่ หรือ
รอ้ ยละ 0.62
ตน้ น้ำลำธารและแหลง่ น้ำสำคญั มีดงั น้ี
ต้นน้ำลำธาร ตามความเข้าใจท่ัวไปแล้วพื้นท่ีต้นน้ำลำธารหมายถึง บริเวณพ้ืนท่ีที่มีภูมิ
ประเทศเป็นภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน แต่เม่ือกล่าวรัดกุมและถูกต้องยิ่งข้ึน “ต้นน้ำลำธาร” หมายถึง พ้ืนท่ี
ตอนบนของลุ่มนำ้ มีลักษณะเปน็ ภูเขาสูงชนั มกี ารชะพังทลายของดนิ งา่ ย
ตอ่ มา พ.ศ.2506 กรมป่าไม้ กรมทรัพยากรธรณี กรมชลประทาน และกรมพัฒนาท่ีดิน
ได้ประชุมร่วมกันและให้ความหมายของคำ “ต้นน้ำลำธาร” ว่าเป็นบริเวณป่าเขาในปรมิ ณฑลของล่มุ น้ำท่ี
มปี ่าปกคลุมหนาแน่น หรือในปริมณฑลของลุ่มน้ำน้ันโดยมีหลักเกณฑ์กำหนดชั้นของพ้ืนทปี่ ่าต้นน้ำลำธาร
จำแนกเปน็ 3 ชน้ั คือ
ช้ันท่ี 1 หมายถึง พื้นท่ีต้นน้ำลำธารที่มีสภาพเป็นป่าดงดิบสมบูรณ์ ยังไม่เคย
แผว้ ถางให้เป็นบรเิ วณกวา้ ง พื้นทท่ี ว่ั ไปเป็นแหล่งซับน้ำอยู่บนภูเขาสงู ชันท่สี ลับซับซอ้ นมีความลาดชัดมาก
ชั้นท่ี 2 หมายถงึ พ้ืนท่ีป่าต้นนำ้ ลำธารท่ีสภาพเปน็ ป่าดงดิบที่แผว้ ถางแลว้ หรือ
ป่าส่วนใหญ่เป็นป่าเบญจพรรณผสมผลัดใบ และป่าเต็งรัง ลักษณะพื้นท่ีเป็นภูเขาที่มีความลาดชัดและ
ความสูงต่ำกวา่ ชน้ั ท่ี 1 พ้ืนที่ทวั่ ไปเป็นแหลง่ ซับน้ำ
๓๐
ชัน้ ท่ี 3 หมายถึง พืน้ ท่ีป่าต้นน้ำลำธารท่ีสภาพปา่ ได้มีผ้บู ุกรุกแผ้วถางให้เป็นที่
ทำมาหากินเป็นส่วนมาก หรือบางส่วนเป็นพื้นท่ีเกษตรกรรม ลักษณะพื้นที่ท่ัวไปเป็นที่เขามีพ้ืนท่ีราบเป็น
บางแห่ง ชนดิ ปา่ ส่วนใหญเ่ ปน็ ปา่ เบญจพรรณผสมผลดั ใบ
ส่วนความหมายคำว่า “ลุ่มน้ำ” ตามท่ีหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องได้ประชุมกันเม่ือ
พ.ศ.2506 น้ัน หมายถึง ปริมณฑลในเขตสันปันน้ำที่รับน้ำฝนแล้วระบายสงสู่แม่น้ำ หรือนัยหน่ึง
หมายถึง บริเวณเหนือจุดใดจุดหน่ึงของแม่น้ำลำธารอันเป็นพื้นท่ีที่น้ำฝนระบายไหลมารวมกันในแม่น้ำลำ
ธาร แต่ความหมายในปัจจุบัน หมายถึง พื้นท่ีซึ่งล้อมรอบด้วยสันปันน้ำ เป็นพื้นท่ีรับน้ำฝนท้ังหมดของ
แม่นำ้ สายใดสายหนึง่
หลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารกำหนดชั้นคุณภาพของลุ่มนำ้ ตามปัจจัยดา้ นกายภาพมีผล
ต่อกระบวนการทางอุทกวิทยา และมีลักษณะท่ีเปลี่ยนแปลงได้ยาก จำแนกได้ 6 ประการ คือ สภาพภูมิ
ประเทศ ระดับความลาดชัน ความสูงจากระดับน้ำทะเล ลักษณะทางธรณีวิทยา ลักษณะทางปฐพีวิทยา
และสภาพป่าไม้ที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน ส่วนพ้ืนท่ีท้ังหมดของลุ่มน้ำอาจจำแนกระดับคุณภาพตาม
ความสำคัญในการควบคุมระบบนิเวศน์ของลุ่มน้ำได้ 5 ระดับ โดยให้หลักเกณฑ์ของปัจจัยท้ัง 6 ประการ
ขา้ งตน้ เปน็ องค์ประกอบ ซึ่งมคี ำนิยามและลักษณะคณุ ภาพแตล่ ะชั้น ดังต่อไปน้ี
พ้ืนท่ีลุ่มน้ำช้ันท่ี 1 หมายถึง พื้นที่ภายในลุ่มน้ำควรสงวนรักษาไว้เป็นพื้นที่ต้นลำธาร
โดยเฉพาะ เนื่องจากมีลักษณะและคุณสมบัติท่ีอาจมีผลกระทบทางส่ิงแวดล้อมในชั้นที่ 1 จำแนกเป็นชั้น
ย่อย 2 ระดบั คอื
พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ หมายถึงพื้นท่ีลุ่มน้ำท่ียังมีสภาพป่าสมบูรณ์ปรากฏอยู่
เมอ่ื พ.ศ.2525 จำเป็นตอ้ งสงวนรกั ษาไว้เปน็ พ้นื ท่ตี ้นนำ้ ลำธาร และเป็นทรพั ยากรปา่ ไม้ของประเทศ
พ้ืนที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี หมายถึง พื้นท่ีในลุ่มน้ำที่มีพื้นที่สภาพป่าส่วนใหญ่ถูก
ทำลาย ดัดแปลง หรือเปลี่ยนแปลงไปเพ่ือพัฒนาการใช้ที่ดินรูปแบบอื่นก่อน พ.ศ. 2525 ซึ่งส่วนที่
ดำเนินการไปแลว้ ควรมีมาตรการควบคมุ เปน็ พเิ ศษ
พ้ืนท่ีลุ่มน้ำชั้นที่ 2 หมายถึง พื้นที่ในลุ่มน้ำซ่ึงลักษณะทั่วไปมีคุณภาพ เหมาะสมเป็น
ต้นน้ำลำธารในระดับรองลงมา และสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อกิจกรรมที่สำคัญได้ เช่น การทำเหมือง
แร่ เปน็ ต้น
พนื้ ทล่ี ุ่มน้ำชนั้ ท่ี 3 หมายถงึ พื้นทใ่ี นลุ่มน้ำทั่วไปท่ีใช้ประโยชน์ทัง้ กิจกรรมทำไม้ เหมอื ง
แร่ และปลูกพชื กสกิ รรมประเภทไม้ยืนตน้
พ้ืนที่ลุ่มน้ำช้ันท่ี 4 หมายถึง พ้ืนท่ีในลุ่มน้ำซ่ึงสภาพป่ามีผู้บุกรุกแผ้วถางให้เป็น
ประโยชน์เพอื่ กจิ การพชื ไรเ่ ปน็ ส่วนมาก
พื้นที่ลุ่มน้ำช้ันที่ 5 หมายถึง พ้ืนท่ีในลุ่มน้ำซึ่งลักษณะทั่วไปเป็นที่ราบหรือท่ีลุ่มหรือ
เนินลาดเอยี งเล็กน้อย พ้ืนที่ป่าไม้ส่วนใหญ่มีผู้บุกรกุ แผ้วถางเพื่อประโยชน์ดา้ นเกษตรกรรมโดยเฉพาะการ
ทำนาและกิจการอ่นื ๆ
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันท่ี 2 มิถุนายน พ.ศ.2530 กำหนดให้พื้นท่ีลุ่มน้ำช้ัน 1 เอ
1 บี และชั้น 2 เป็นพน้ื ที่ตน้ นำ้ ลำธาร แมส้ ภาพปา่ ของพน้ื ทีน่ ัน้ จะมตี น้ ไม้อยนู่ อ้ ยกต็ าม
แหล่งน้ำสำคัญ พื้นท่ีจังหวัดนครนายกอยู่ในเขตลุ่มน้ำสำคัญ 3 แห่ง คือ ลุ่มน้ำ
นครนายก ลุม่ นำ้ คลองบ้านนา และลมุ่ นำ้ คลองยาง
๓๑
ลุ่มน้ำนครนายก มีความสำคัญต่อการเกษตรกรรมในจังหวัดนครนายก ต้นน้ำเกิดจาก
ห้วยต่างๆ เช่น คลองท่าด่าน ห้วยนางรอง ห้วยสมพุง คลองมะเดื่อ ห้วยสาริกา ห้วยน้ำริน ห้วยแม่ป่าน
เป็นต้น ซ่ึงมีต้นน้ำอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ลำน้ำช่วงบนถึงน้ำตกเหวนรกเรียนกว่า “คลองสมอ
ปูน” ลงมาถึงบริเวณบ้านท่านด่าน เรียกว่า “คลองท่าด่าน” แล้วผ่านอำเภอเมืองนครนายก อำเภอปาก
พลีตอนบน และอำเภอองครักษ์ เรียกว่า “แม่น้ำนครนายก” ตอ่ ไป จนบรรจบกับแม่น้ำบางปะกงท่ีตำบล
บางแตน อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี เรียกว่า “ปากน้ำโยทะกา” มีความยาวประมาณ 130
กิโลเมตร ไหลจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกมีขนาดพ้ืนท่ีลุ่มน้ำเหนือน้ำตกเหวนรกที่สูงชันประมาณ
152 ตารางกิโลเมตร มีปริมาณน้ำไหลผ่านในบริเวณลำคลองสมอปูนเหนือน้ำตกเหวนรกเฉล่ียท้ังปี
ประมาณ 242 ล้านลูกบาศก์เมตร และปริมาณน้ำประมาณ 93% ของน้ำเฉล่ียทั้งปีจำนวน 225 ล้าน
ลูกบาศก์เมตร จะเกิดข้ึนในเดือนมถิ ุนายนถงึ เดือนตลุ าคม (ราว 5 เดอื น) สว่ นใหญจ่ ะไหลท้ิงลงทะเล หรือ
ก่อให้เกดิ อทุ กภัย
ลุ่มน้ำนครนายกมีโครงการในการพัฒนานำน้ำมาใช้ประโยชน์ จำนวน 3 โครงการ คือ
โครงการทา่ ด่าน โครงการพัฒนาลุ่มนำ้ สาขาแม่น้ำนครนายก และโครงการสง่ นำ้ และบำรุงรักษานครนายก
โครงการท่าด่าน เป็นการนำน้ำท่ีไหลมาในคลองท่าด่านมาใช้ประโยชน์โดยก่อสร้างฝาย
คอนกรีตเสริมเหล็กสูง 10 เมตร ยาว 80 เมตร ปิดกั้นคลองท่าด่านในเขตท้องที่บ้านท่าด่าน หมู่ท่ี 1
ตำบลหินต้ังอำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก เพ่ือให้เป็นอาคารทดน้ำเข้าสู่ระบบส่งน้ำของ
โครงการท่าด่านส่งเข้าหล่อเล้ียงพื้นท่ีชลประทานในเขตท้องท่ีดังกล่าว ในช่วงฤดูฝนประมาณ 8,000 ไร่
ส่วนฤดูแล้งปริมาณน้ำท่ีไหลมาตามลำคลองมีน้อยมากไม่เพียงพอที่จะปลูกพืช นอกจากให้ราษฎรเพ่ือ
อุปโภคและบริโภคเท่าน้ัน โครงการดังกล่าวเป็นโครงการพระราชดำริเร่ิมก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.2520 เสร็จ
เมอ่ื พ.ศ.2523 งบประมาณดำเนินการ 81 ล้านบาท
โครงการพัฒนาลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำนครนายกเป็นโครงการพระราชดำริท่ีก่อสร้างทำนบ
ดินปิดก้ันลำน้ำสาขาแม่น้ำนครนายก จำนวน 3 สาย คือ คลองทรายทอง คลองห้วยปรือ และคลองโบด
ณ ตำบลเขาพระ และตำบลพรหมณี อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก เพื่อเป็นอ่างเก็บกักน้ำ 3
แห่ง คือ อ่างเก็บน้ำทรายทอง มีความจุ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร อ่างเก็บน้ำห้วยปรือ มีความจุ 8.3 ล้าน
ลกู บาศก์เมตร และอา่ งเก็บน้ำคลองโบด มีความจุ 4.3 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมปริมาณน้ำท่ีเก็บได้ 14.6
ล้านลูกบาศก์เมตร โดยส่งส่งเล้ียงพื้นท่ีชลประทานท้ายอ่างเก็บน้ำทั้ง 3 แห่ง จำนวน 4,000 ไร่ เป็น
แหล่งน้ำต้นทุนในยามขาดแคลนน้ำอุปโภคและบริโภคของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และกันไว้
การประปานครนายกเพื่อเป็นน้ำดิบอีกจำนวน 2 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.2525 และ
เสรจ็ เม่ือ พ.ศ.2530 ด้วยเงินงบประมาณ จำนวน 246.20 ลา้ นบาท
โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษานครนายก เป็นโครงการชลประทานท่ีนำน้ำในแม่น้ำ
นครนายกมาใช้ประโยชน์ โดยกอ่ สร้างเขื่อนนายกปดิ กั้นแม่นำ้ นครนายกในท้องทบ่ี ้านท่าหุบ ตำบลท่าช้าง
อำเภอเมืองนครนายก เพ่ือเป็นอาคารทดน้ำเข้าสู่ระบบส่งน้ำของโครงการฯ หล่อเล้ียงพื้นที่การเกษตร
ในช่วงฤดูฝนประมาณ 368,000 ไร่ ก่อสรา้ งเมื่อ พ.ศ. 2476 และเสร็จเมื่อ พ.ศ.2497 อย่างไรก็ตาม
ในช่วงฤดูแล้งปัจจุบันสภาพน้ำที่ไหลลงมาเติมให้แม่น้ำนครนายกมีไม่เพียงพอในการส่งน้ำเข้าคลองเพื่อ
พ้ืนที่การเกษตรบริเวณริมคลองชลประทาน ท้ังเกษตรกรบริเวณริมคลองต่างๆ โดยเฉพาะคลองฝั่งขวา
(คลอง 29) ปลูกพชื ฤดูแลง้ และสวนผกั ผลไม้กนั มากต้องต้ังเคร่ืองสูบน้ำที่นอกคลองสง่ นำ้ ขน้ึ ไปใช้ทำให้น้ำ
๓๒
ในคลองแห้ง คลองพัง ถนนบนคันคลองทรุดตัว และแหล่งน้ำดิบของการประปาบ้านนา-องครักษ์ขาด
แคลน
โครงการชลประทานท้ัง 3 โครงการดังกล่าวอาศัยน้ำท่ีไหลมาตามลำน้ำ ซ่ึงปริมาณน้ำ
ข้ึนอยู่กับปริมาณฝนท่ีตกลงมาทางต้นน้ำ ปริมาณน้ำส่วนท่ีเกินความต้องการย่อมปล่อยให้ไหลลงทะเลไป
โดยเปลา่ ประโยชน์
ล่มุ น้ำคลองบ้านนา ต้นน้ำเกิดจากเทือกเขาในเขตอทุ ยานแหง่ ชาติเขาใหญ่ ทอ้ งท่อี ำเภอ
แก่งคอย และอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ซึ่งมีลำน้ำสาขาไหลมารวมกัน คือ ห้วยเจ็ดคด ห้วยใหญ่
หว้ ยนำ้ เค็ม และห้วยข่าย สภาพลำน้ำไหลจากทิศเหนือไปบรรจบกับคลองสง่ น้ำฝง่ั ขวาของโครงการสง่ นำ้ ฯ
นครนายก (คลอง 29) และแม่น้ำนครนายกในท้องที่ตำบลทองหลางและตำบลบางอ้อ อำเภอบ้านนา
จังหวัดนครนายก ความยาวของลำน้ำจากต้นน้ำถึงจุดที่ไหลลงแมน่ ้ำนครนายกประมาณ 57 กโิ ลเมตร ซ่ึง
มีน้ำไหลตลอดปีแต่ไหลน้อยมากในฤดูแล้ง มีพื้นท่ีลุ่มน้ำเหนือประตูระบายน้ำบ้านนาประมาณ 206
ตารางกิโลเมตร และปริมาณน้ำไหลผ่านประตูระบายน้ำบ้านนาเฉลี่ยท้ังปีประมาณ 120 ล้านลูกบาศก์
เมตร มีการพัฒนาโครงการนำน้ำในลุ่มน้ำไปใช้ประโยชน์ คือ โครงการคลองบ้านนา เพ่ือก่อสร้างประตู
ระบายน้ำขนาดกว้าง 6.00 เมตร สูงประมาณ 6.00 เมตร จำนวน 3 ช่อง ปิดก้ันคอลงบ้านนาในท้องที่
ตำบลพิกุลออก อำเภอบ้านนา จงั หวัดนครนายก เพื่อเป็นอาคารทดน้ำเข้าสู่ระบบส่งน้ำของโครงการบ้าน
นา หล่อเล้ียงพ้ืนท่ีชลประทานในท้องที่ตำบลทองหลาง บ้านพร้าว อาษา และตำบลพิกุลออก ในช่วงฤดู
ฝนประมาณ 20,000 ไร่ และในช่วงฤดูแล้งประมาณ 600 ไร่ เร่ิมก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.2520 และเสร็จ
เม่ือ พ.ศ.2534 งบประมาณดำเนินการ 14.375 ล้านบาท
ลมุ่ น้ำดงั กล่าวยงั ไม่ได้พฒั นาแหล่งเก็บกักน้ำต้นทุนในทางตอนบน โครงการคลองบ้านนา
จึงอาศัยเพียงน้ำฝนที่ตกทางต้นน้ำและน้ำท่ีไหลมาตามลำน้ำน้ีเท่าน้ัน สภาพลำน้ำในปัจจุบันมีผู้บุกรุกทำ
บ่อทราย ณ บรเิ วณรมิ คลอง โดยกอ่ สร้างทดดินปิดกั้นลำน้ำเปน็ ช่วงเพ่ือให้ล้างทราย ทำให้ปริมาณน้ำไหล
เข้าประตูระบายน้ำบ้านนาในช่วงฤดูฝนล่าช้ากว่าเวลาการทำนาปี เป็นเหตุให้การทำนาปีในเขตโครงการ
บ้านนาล่าช้าไป ส่วนฤดูแล้งปริมาณน้ำท่ีเหลือไหลไปถงึ ประตรู ะบายน้ำบ้านนาน้อยลง ลำน้ำดังกล่าวไหล
ผ่านเขตสุขาภิบาลบ้านนาซึ่งเป็นแหล่งชุมชนใหญ่ท่ีท้ิงน้ำเสียลงลำน้ำ ทำให้น้ำในคลองเน่าและขุ่น
ไม่สามารถใช้อุปโภคบริโภคได้ ดังน้ัน จึงแก้ไขโดยก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทางตันน้ำเพ่ือเก็บกักน้ำสำรองไว้ใช้
ในยามขาดแคลน เช่น ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองบ้านนาเก็บกักน้ำต้นทุนได้ประมาณ 100 ล้านลูกบาศก์
เมตร สามารถเปิดโครงการบ้านนา (ตอนบน) ซ่ึงมีพ้ืนที่ชลประทานประมาณ 40,000 ไร่ ณ ตำบล
เขาเพ่ิม ศรีกะอาง ส่งน้ำมาให้คลองส่งน้ำสายใหญ่ฝั่งขวาของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษานครนายก
(คลอง 29) เพ่ือแก้ไขปญั หาการขาดแคลนนำ้ ดิบของการประปาบา้ นนา-องครกั ษ์
ลุ่มน้ำคลองยาง ต้นน้ำมาจากเทือกเขาสมอปูน ซึ่งเป็นลำน้ำช่วงบนอยู่ในเขตอุทยาน
แห่งชาติเขาใหญ่ เรียกว่า “คลองวังบอน” ไหลมาทางใต้ถึงตำบลปากพลี เรียกว่า “คลองยาง” เม่ือเข้า
เขตตำบลปากพลีเรียกว่า “คลองปากพลี” จากสุดเขตตำบลปากพลีลงไปจนบรรจบกับแม่น้ำปราจีนบุรี
เรียกว่า “คลองสารภี” มีความยาวรวมตลอดลำน้ำประมาณ 36 กิโลเมตร ลำน้ำน้ีเป็นเส้นแบ่งเขตแดน
อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายกับอำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ในฤดูฝนระหว่างเดือน
มิถุนายนถึงเดือนตุลาคมจะมีน้ำไหลผ่านมากประมาณ 96% ของปริมาณน้ำท้ังปี ส่วนในฤดูแล้งน้ำจะ
นอ้ ยโดยเฉพาะปีที่แล้งจัดน้ำจะแห้ง เน่ืองจากลำนำ้ มขี นาดสั้น มีพน้ื ท่ีลุ่มน้ำจากด้านเหนือประตูระบายน้ำ
๓๓
คลองยางข้ึนไปประมาณ 111.15 ตารางกิโลเมตร ปริมาณน้ำไหลผ่านประตูระบายน้ำคลองยางเฉลี่ยท้ัง
ปีประมาณ 9.2 ลา้ นลูกบาศก์เมตร
ลมุ่ น้ำคลองยางมโี ครงการในการพัฒนานำนำ้ ขนึ้ มาใช้ประโยชน์ 3 โครงการ คอื
โครงการก่อสร้างฝายน้ำล้นในคลองยาง ณ ตำบลนาหินลาด อำเภอปากพลี จังหวัด
นครนายก เป็นฝายหินกอ่ ขนาดสูง 3.00 เมตร สันฝายยาว 30 เมตร เป็นโครงการชลประทานขนาดเล็ก
ที่ก่อสร้างเม่ือ พ.ศ. 2535 ใช้เงินงบประมาณ 5.357 ล้านบาท เก็บกักน้ำไว้ในคลองเพื่ออุปโภคและ
บรโิ ภคในชว่ งฤดแู ล้งประมาณ 3,000 ลูกบาศก์เมตร
โครงการคลองยาง เป็นโครงการที่ก่อสร้างเม่ือ พ.ศ.2527 เพื่อทดและผันน้ำท่ีไหลมา
ตามคลองยางเข้าสู่ระบบส่งน้ำของโครงการ ซึ่งมีพื้นที่ชลประทานในท้องท่ีอำเภอปากพลี จังหวัด
นครนายก และอำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ประมาณ 12,800 ไร่ ประตรู ะบายน้ำคลองยาง
อยู่หมู่ท่ี 3 ตำบลโคกกรวด อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก ขนาดกว้าง 6.00 เมตร สูง 5.50 เมตร
จำนวน 2 ช่อง ปัจจุบันส่งน้ำเฉพาะในช่วงฤดูฝนเท่าน้ัน ส่วนในฤดูแล้งน้ำที่ไหลมาตามลำน้ำมีน้อย
ไม่เพยี งพอท่จี ะส่งเขา้ สู่ระบบสง่ น้ำได้
โครงการสารภี เป็นโครงการกอ่ สรา้ งประตูระบายน้ำคลองภารสี ปิดกน้ั คลองสารภีก่อน
ไหลลงสู่แม่น้ำปราจีนบุรี ช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรในอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี อยู่ในความ
รับผิดชอบของโครงการชลประทานปราจนี บุรี
โครงการทง้ั สามของลมุ่ นำ้ คลองยางเป็นโครงการชลประทานท่ีอาศยั น้ำท่ไี หลมา
ตามลำน้ำและทดเข้าสู่ระบบส่งน้ำ ใชป้ ระตูระบายน้ำเป็นอาคารอัดน้ำลงคลองในช่วงฤดแู ล้วน้ำท่ไี หลมามี
น้อยไมเ่ พียงพอที่จะส่งเล้ียงพ้ืนท่ีการเกษตรได้ ระบบส่งน้ำท่ีก่อสรา้ งน้ันไมส่ ามารถใช้ประโยชน์ได้ ปีใดฝน
ตกน้อยหรือฝนท้ิงช่วงทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำในเขตชลประทาน เน่ืองจากยังไม่ได้พัฒนาแหล่ง
เก็บกักน้ำทางต้นน้ำสำรองไว้ในยามขาดแคลน (ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างอ่างเก็บน้ำคลองวังบอน เมื่อสร้าง
เสร็จแล้วจะเก็บนำ้ สำรองไวไ้ ด้ประมาณ 6.9 ล้านลูกบาศก์เมตร)
นอกจากนนั้ ยังมคี ลองสำคัญๆ ดังนี้
คลองท่าด่าน พื้นท่ีต้นน้ำอยู่ในหุบเขากว้างใหญ่ระหว่างเขาเขียว เขาทุ่งงู
เหลอื ม เขาปลายลำกระตุก และเขาสมอปูน มีห้วยที่เป็นสาขาคือ คลองลำกระตุก คลองเหวตาแปน้ คลอง
ช้างไล่ คลองสามสิบ เป็นต้น ไหลจากเขาทุ่งงูเหลือม เขาเขียว เขาน้อย มารวมกันที่บ้านสมอปูน เรียกว่า
“คลองสมอปูน” แล้วไหลมารวมกับคลองสามสิบท่ีบ้านคลองปูน เรียกว่า “คลองท่าด่าน” ผ่านบ้านดอน
ใหญ่ไหลลงสู่แม่น้ำนครนายกทบี่ ้านท่าด่าน สิ่งทีน่ ่าสนใจของลำน้ำคอื มนี ้ำตกเหวนรกทีส่ ูงชนั ซึง่ เดินทางไป
ลำบากมา
คลองมะเด่ือ เป็นห้วยใหญ่มีน้ำไหลเกือบตลอดปี เกดิ จากห้วยมะเดื่อ ห้วยไผส่ ิง
ห้วยอีแตนซึ่งไหลมาจากห้วยเขาแก้ว ไหลผ่านภายในบริเวณอุทยานวังตะไคร้ ชาวบ้านเรียกบริเวณน้ีอีก
ช่ือหน่งึ วา่ “ห้วยวงั ตะเคียน”
คลองพรหมณี ต้นน้ำเกิดจากห้วยปรือ ห้วยเปรต คลองปราบ บริเวณเขา
สาลิกา เขาแหลม เขาชะพลูไหลมาทางใต้เป็นคลองพรหมณี และไหลขนานกับแม่น้ำนครนายมาลงคลอง
ชลประทาน “คลองใหญ่” บริเวณบา้ นพรหมณี
คลองวังไทร ต้นน้ำมาจากน้ำตกหินกองที่เขาพระ ด้านเหนือของอำเภอเมือง
นครนายก ไหลลงคลองพรหมณที บี่ ้านคลองลำไทร
๓๔
ห้วยนางรอง เกิดจากห้วยสำคัญสองสาย คือ ห้วยระย้าซึ่งไหลมาจากหุบเขา
อนิ ทนี เขาฟ้าผา่ และเขาฝาระมี ไหลลงสูค่ ลองมะเดือ่ และแม่นำ้ นครนายก
ห้วยสมพุงใหญ่ ต้นน้ำเกิดจากห้วยเขาฟ้าผ่า ห้วยไม้ปล้องซ่ึงไหลมาจากเขา
อนิ ทนี เขาฟา้ ผ่า และเขาฝาระมี ไหลลงสคู่ ลองมะเดอ่ื และแม่นำ้ นครนายก
ห้วยสาริกา เป็นห้วยไม่ใหญ่นัก และมีน้ำไหลมากเฉพาะในฤดูฝน ต้นน้ำเกิด
จากหบุ เขาระหวา่ งเขาสาริกาและเขามดดำ ทำให้เกิดน้ำตกสารกิ าทมี่ ีชือ่ เสียง
คลองท่าแดง เกิดจากที่ลุ่มด้านเหนือของปากพลี รับน้ำจากคลองหินแก้วซ่ึง
ไหลมาจากเทือกเขาแก้วผ่านท่ีลุ่มทางตอนใต้ของอำเภอปากพลี และไหลลงคลองชลประทานคลองสอง
และบงึ ลำบวั ลอย
การพฒั นาแหลง่ น้ำ จังหวัดนครนายกได้พฒั นานำน้ำจากลมุ่ นำ้ มาใช้ประโยชนด์ งั นี้
โครงการเข่ือนคลองท่าด่านอันเน่ืองมาจากพระราชดำริ เป็นโครงการท่ี
พัฒนาจากโครงการท่าด่าน โดยเหตุท่ีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริแก่อธิบดีกรม
ชลประทาน เมื่อวันท่ี 9 ตุลาคม พ.ศ.2536 ให้พิจารณาโครงการและอ่างเก็บน้ำคลองท่าด่าน จังหวัด
นครนายกอย่างเร่งด่วน เน่ืองจากอย่างเก็บน้ำดงั กล่าวก่อสร้างอยู่ในพนื้ ที่ราบเชงิ เขาเพื่อเป็นแหล่งเก็บกัก
นำ้ ให้แก่ราษฎรทางตอนล่างได้ใช้ประโยชน์เป็นจำนวนมาก พร้อมท้ังพระราชทานแผนที่ที่ต้ังเขอื่ นเก็บกัก
น้ำแนวที่ 1 และเมื่อวันท่ี 18 ตุลาคม พ.ศ.2536 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พลเอกเทียนชัย จ่ัน
มกุ ดา รองสมุหราชองครกั ษ์อัญเชิญแผนที่ที่ตง้ั เข่ือนเกบ็ กกั นำ้ แนวที่ 2 มอบแก่อธิบดีกรมชลประทานเพื่อ
เปรียบเทียบระหว่างเข่ือนเก็บกักน้ำแนวที่ 1 กับแนวท่ี 2 แล้วเลือกสรรดำเนินการก่อสร้างโครงการท่ี
เหมาะสม ผลปรากฏว่าที่ต้ังเขื่อนตามแนวท่ี 2 มคี วามจขุ องอา่ งมากกว่าแนวท่ี 1 สามารถลดขนาดความ
สูงของตัวเขื่อนลงประมาณ 15 เมตร แต่ความยาว แต่ความยาวของตัวเขื่อนเพ่ิมข้ึนประมาณ 200 ถึง
300 เมตร พื้นท่ีน้ำท่วมบริเวณอ่างเพ่ิมข้ึนประมาณ 800-1,000 ไร่ ให้ประโยชน์ในระยะยาว มีน้ำ
ต้นทุนช่วยเหลือราษฎรในการเกษตรเพื่อการอุปโภคและบริโภค การผลิตน้ำประปาการอุตสาหกรรม
การชะล้างดินเปรยี้ วและไลน่ ำ้ เค็มในฤดูแลง้ ได้มากขึน้ โดยเฉพาะทำใหล้ ดการเกิดอุทกภัยในพืน้ ท่ีตอนล่าง
เขื่อนคลองท่าด่านต้ังอยู่ละติจูด 14 องศา 18 ลิปดา 34 ฟิลิปดาเหนือ และ
ลองติจูด 101 องศา 19 ลิปดา 27 ฟิลปิ ดาตะวันออก ห่างจากฝายโครงการท่านดา่ นเดิมมาทางท้ายน้ำ
ของคลองประมาณ 1.5 กิโลเมตร เป็นเข่ือนประเภทคอนกรีตบดอัด (RCC : Roller Compacted
Concrete) ประเภท high paste แห่งแรกในประเทศไทยโดยใชส้ าร Pozzlanเช่น ข้ีเถ้าเลอื่ ย (Fly Aah)
ประมาณ 120-150 กโิ ลกรัมต่อปรมิ าณคอนกรีต 1 ลูกบาศกเ์ มตร ผสมกันและถมบดอัดเป็นแกนของตัว
เขื่อนโดยใช้ขี้เถ้าลอยจากการเผาถ่านลิกไนต์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนจาก
เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง เป็นเข่ือนค่อนข้างใหม่ สำหรับประเทศไทย (เดิมนำเขื่อนระบบน้ีเป็น
องค์ประกอบบางส่วนในการก่อสร้างเขื่อนปากมูลเป็นคร้ังแรกเม่ือ พ.ศ.2536) แต่ในต่างประเทศเร่ิมใช้
เม่ือ พ.ศ.2533 เพราะเขอ่ื นประเภทนี้ใช้วัสดุในการกอ่ สร้างตำ่ ที่สดุ ใชเ้ วลาก่อสร้างได้รวดเร็วแต่ต้องการ
ฐานรากท่ีค่อนข้างม่ันคงจึงมีความเหมาะสมมากในกรณีท่ีแหล่งวัสดุก่อสร้างมีปัญหา ทำให้เขื่อนประเภท
อน่ื ๆ ไมม่ ีความเหมาะสม
ความสูงของเขื่อนสูงสุด 95 เมตร ความยาว 2,600 เมตร สันเข่ือนมีระดับ
ความสูงจากระดับน้ำทะเล 114.0 เมตร ความกว้าง 6.0 เมตร บริเวณน้ำท่าเข้าอ่างเฉลี่ย 337 ล้าน
ลูกบาศก์เมตรต่อปี ความจุอ่างท่ีระดับปกติ 224 ล้านลูกบาศก์เมตร ระดับใช้การ 220 ล้านลูกบาศก์
๓๕
เมตร พน้ื ทรี่ ับนำ้ ฝน 194 ตารางกิโลเมตร คือ บริเวณเขาสมอปูนในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เมอื่ ก่อสร้าง
เสรจ็ สมบรู ณแ์ ลว้ จะเปน็ แหล่งท่องเทยี่ วที่สำคัญในอนาคต นอกจากประโยชนร์ ะยะยาวทีก่ ล่าวข้างต้น
โครงการเขอื่ นคลองมะเดอื่ ต้ังอยู่ทบี่ ้านคลองมะเดื่อ ตำบลสาริกา อำเภอเมือง
นครนายก จังหวัดนครนายก ละติจูด 14 องศา 15 ลิปดา 10 ฟิลิปเหนือ และลองจิจูด 101 องศา 15
ลิปดา 6 ฟิลิปดาตะวันออก เป็นเขื่อนประเภทคอนกรีตบดอัด ความสูง 91 เมตร ความยาว 736 เมตร
ความกว้างสันเข่ือน 6 เมตร มีพื้นที่รับน้ำฝนประมาณ 62.3 ตารางกิโลเมตร ปริมาณน้ำท่าไหลเข้าอ่าง
เก็บน้ำเฉลี่ย 108 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ความจุอ่างที่ระดับเก็บกันน้ำปกติ 94.02 ล้านลูกบาศก์เมตร
ระดับใช้การ 92.50 ล้านลูกบาศก์เมตร พ้ืนที่อ่างฯ ที่ระดับเก็บกักน้ำปกติ 1,625 ไร่ ในระยะยาวมีน้ำ
ต้นทุนช่วยเหลือราษฎรในการเกษตรพ้ืนท่ีชลประทานได้ 68,230 ไร่ (อยู่ระหว่างศึกษาความเหมาะสม
และผลกระทบต่อส่งิ แวดลอ้ ม)
โครงการพัฒนาแหล่งน้ำช่วยเหลือพ้ืนท่ีราบเชิงเขา เป็นโครงการอัน
เน่ืองมาจากพระราชดำริ เพ่ือก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กและขนาดกลางแถบท่ีราบเชิงเขา ในจังหวัด
นครนายก ช่วยเหลือราษฎรบริเวณที่ราบเชิงเขาซ่ึงขาดแคลนน้ำในการเกษตรทุกปีโดยเฉพาะในฤดูแล้ง
ประกอบดว้ ยงานก่อสรา้ งอา่ งเก็บนำ้ ขนาดกลางและขนาดเล็ก จำนวน 5 แห่งคือ
- อ่างเก็บนำ้ น้ำคลองสีเสียด ณ ตำบลหนองแสง อำเภอปากพลี จงั หวัด
นครนายก สร้างเป็นเขือ่ นดินสูง 23 เมตร ยาว 145 เมตร อ่างเกบ็ น้ำมีขนาดความจะ 1.3 ล้านลูกบาศก์
เมตร เริ่มก่อนสร้างเมื่อ พ.ศ.2540 และเสร็จเม่ือ พ.ศ. 2541 ความยาว 9,186 กิโลเมตร ได้รับ
งบประมาณปี 2540 เป็นเงิน 16,969,450 บาท วางท่อส่งน้ำยาว 4,458 กิโลเมตร ส่งน้ำให้พ้ืนที่
การเกษตรประมาณ 1,300 ไร่ รวมทั้งในเขตธดุ งคสถานถาวรนิมติ และแปลงสาธิตตัวอย่างท่ี 2 ส่งน้ำให้
พ้ืนที่การเกษตรที่เหลืออีก 1,700 ไร่ เมื่อโครงการอ่างเก็บน้ำคลองสีเสียดได้รับการพัฒนาแล้ว จะส่งน้ำ
เพื่อการเกษตรช่วยเหลือพ้ืนที่บ้านบุ่งเข้ บ้านสันป่าตั้ง และเขตธุดงคสถานถาวรนิมิตเพ่ือการอุปโภคและ
บริโภคตลอดจนชว่ ยบรรเทาอทุ กภัย รวมพน้ื ทป่ี ระมาณ 3,000 ไร่ ซ่งึ ระบบเดมิ สง่ นำ้ ไดเ้ พยี ง 1,000 ไร่
- อา่ งเกบ็ น้ำคลองวงั บอน(คลองยาว) ณ ตำบลนาหนิ ลาด อำเภอปากพลี
จังหวัดนครนายก สร้างเป็นเข่ือนดินสูง 29 เมตร ยาว 450 เมตร และทำนบดินปิดช่องเขาต่ำ (Saddle
Dam) สูง 17 เมตร ยาว 105 เมตร อ่างเก็บน้ำมีขนาดความจุ 6.9 ล้านลูกบาศก์เมตร มีแผนดำเนนิ การ
ก่อสร้างระหว่าง พ.ศ.2540-2542 สามารถส่งน้ำช่วยเหลือพื้นท่ีได้ประมาณ 9,000 ไร่ ได้รับอนุมัติ
ประมาณ พ.ศ.2540 เปน็ เงินจำนวน 60,989,700 บาท กอ่ สร้างเขื่อนดินถนนเข้าหวั งาน และทีท่ ำการ
บา้ นพักชัว่ คราว ส่วน พ.ศ.2541 ได้รบั อนุมัติงบประมาณเป็นเงิน 97,549,600 บาท ก่อสร้างเขือ่ นดิน
และอาคารประกอบต่อเนื่องจากปี 2540 ผลงานถึงสิ้นเดือนกันยายน พ.ศ.2541 คิดเป็นเปอร์เซ็นต์
โครงการ 60.62% คงเหลอื งบประมาณปี 2542 อีก 75,104,500 บาท
- อา่ งเก็บน้ำบา้ นวงั ม่วง ณ ตำบลนาหนิ ลาด อำเภอปากพลี จังหวดั นครนายก
สร้างเป็นเขื่อนดินสูง 24.50 เมตร ยาว 245 เมตร อ่างเก็บน้ำมีความจุ 0.8 ล้านลูกบาศก์เมตร มีแผน
ก่อสร้างระหวา่ ง พ.ศ.2541-2543 ได้รับงบประมาณปี 2541 เป็นเงิน 7,453,000 บาท (งบ กปร.)
งบประมาณปี 2542 เป็นเงิน 19,244,700 บาท งบประมาณปี 2543 เปน็ เงิน 27,302,300 บาท
งานระบบส่งน้ำโดยท่อรวมความยาวประมาณ 4,910 กิโลเมตร มีแผนก่อสร้างแล้วเสร็จใน พ.ศ.2543
เป็นเงิน 17,000,000 บาท (ราคางานตามรายงานความเหมาะสม) สามารถส่งน้ำช่วยเหลือพ้ืนที่ได้
ประมาณ 650 ไร่ ผลงานก่อสรา้ งจนถงึ สน้ิ เดือนกันยายน พ.ศ.2541 คิดเปน็ เปอร์เซ็นต์โครงการได้ 9%
๓๖
- อา่ งเกบ็ นำ้ คลองหว้ ยมะกอก ณ ตำบลนาหนิ ลาด อำเภอปากพลี จงั หวัด
นครนายก สร้างเป็นเข่ือนดินสูง 12.50 เมตร ยาว 2.50 เมตร อ่างเก็บน้ำมีขนาดความจุ 0.51 ล้าน
ลูกบาศก์เมตร (ราคางานตามรายงานการศึกษาความเหมาะสมเป็นเงิน 78 ล้านบาท) สามารถส่งน้ำ
ช่วยเหลือพ้ืนท่ีได้ประมาณ 1,120 ไร่ ปัจจุบันอยู่ระหว่างทบทวนความเหมาะสมเน่ืองจากราคาค่า
ก่อสรา้ งสงู เมอ่ื เทยี บกับความจุอา่ งฯ (104 บาทตอ่ ลูกบาศก์เมตร)
- อา่ งเกบ็ นำ้ คลองกลาง ณ ตำบลนาหินลาด อำเภอปากพลี จังหวดั
นครนายก สร้างเป็นเข่ือนดินสูง 36.10 เมตร ยาว 380 เมตร อ่างเก็บน้ำมีขนาดบรรจุ 3.1 ล้าน
ลูกบาศก์เมตร มีแผนก่อสร้างพร้อมระบบน้ำระหว่าง พ.ศ.2542-2544 เป็นเงิน 231.9 ล้านบาท ขอ
งบประมาณจากสำนักงาน กปร.ในปีแรก เม่ือสร้างเสร็จแล้วสามารถส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่ได้ประมาณ
3,200 ไร่
มรดกทางวัฒนธรรม
จังหวัดนครนายกเป็นเมืองท่ีมีกลุ่มชนอาศัยสืบทอดกันมาต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
ตอ่ เนื่องถึงปัจจุบัน ซ่ึงสังเกตได้จากโบราณวัตถุโบราณสถานจำนวนมากที่ปรากฏจากการสำรวจขุดค้นกัน
มาจนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมท่ีควรแก่การศึกษาและสงวนไว้เป็นสมบัติของชาติสืบไป ดังรายละเอียด
ต่อไปนี้
1) โบราณวัตถุ โบราณสถาน เป็นมรดกทางวฒั นธรรมประเภทหนงึ่ ทีม่ คี วามหมาย
ตามบัญญัติเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๓๕ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติโบราณสถาน
โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ความตอนหนึ่งว่า “สังหาริมทรัพย์ที่เป็นของโบราณ
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์หรือส่ิงท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติ หรือที่เป็นส่วนหน่ึงส่วนใดของโบราณสถาน ซาก
มนุษย์หรือซากสัตว์ ซึ่งโดยอายุหรือลักษณะแห่งการประดิษฐ์ หรือโดยหลักฐานเก่ียวกับประวัติของ
สังหาริมทรัพย์นนั้ เป็นประโยชน์ในทางศิลปะ ประวัติศาสตร์ หรอื โบราณคด”ี
1.1 โบราณวัตถุ หมายถึง สง่ิ ทมี่ นษุ ย์สร้างขึน้ เคลอื่ นย้ายได้ หรอื เป็นสิง่
เกิดขึ้นตามธรรมชาติแต่มีส่วนเก่ียวข้องกับมนุษย์ในอดีต เป็นหลักฐานท่ีมีคุณค่าทางโบราณคดี
ประวัติศาสตร์ และศิลปะ อาจเป็นเครื่องมือ เคร่ืองใช้ เคร่ืองประดับ ศาสนวัตถุ หรือวัตถุท่ีเก่ียวเน่ืองกับ
ความเช่ือ เช่น เครื่องรางของคลัง ศิลปวตั ถุ ตลอดจนช้ินส่วนของโบราณสถานท่แี ยกออกมาจากตวั อาคาร
โบราณสถาน รวมไปถึงซากมนุษย์ (มัมมี่ โครงกระดูก) และซากสัตว์ (กระดูกสัตว์ เข้ียวสัตว์ ฯลฯ) ท่ีพบ
รวมกับหลักฐานอืน่ เช่น โครงกระดูกมนุษย์ และสิง่ ของเครอ่ื งใช้ต่าง ๆ
โบราณวัตถุในจังหวัดนครนายกมีมาแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ปรากฏท่ี
บริเวณริมคลองบ้านนาตั้งแต่บ้านเขาเพิ่มถึงบ้านเนินสะอาดหนองเคี่ยม เช่น ขวานหินขัดแบบไม่มีบ่า
(PolishedStone Adzes) และแบบมีบ่า (Polished Shoulder Adzes) ขวานสำริด ภาชนะเคลือบจีน
ภาชนะดินเผาไม่เคลือบ พวกหม้อ ไห อ่าง แจกันไม่มีลวดลายประเภท Earthenware และ Stoneware
เงินพดด้วงมีลายกงจักรประทับซ่งึ พบจากการดูดทรายของชาวบ้าน โบราณวตั ถุบางชน้ิ จึงถูกทำลายไปโดย
ร้เู ทา่ ไมถ่ ึงการณ์ โบราณวตั ถุท่ีพบในบริเวณน้ีราษฎรเก็บไวส้ ่วนหนง่ึ และบางสว่ นมอบให้พิพธิ ภณั ฑสถาน
แห่งชาติส่วนภูมิภาคท่ี ๕ จังหวัดปราจีนบุรี (เมืองนครนายก : ๒๕๓๕,๗๙-๘๐) นอกจากบริเวณริมคลอง
บ้านนาแล้วยังพบที่บริเวณบ้านโคกกระโดน อำเภอปากพลี เช่น เครื่องมือหิน หินกะเทาะ และหินขัด ใน
ยุคประวัติศาสตร์เริ่มตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยลพบุรี สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา และสมัยรัตนโกสินทร์
๓๗
ตอนต้น ตามการศึกษาทางโบราณคดีท่ีเมืองดงละคร ตำบลดงละคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัด
นครนายก ปรากฏว่ามีการตั้งชุมชนอาศัยต่อเน่ืองกันตลอดตั้งแต่สมัยทวารวดีเป็นต้นมา ได้ขุดพบ
โบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก เช่น เศียรพระพุทธรูปกาไหล่ทอง พระพุทธรูปสำริดไม่มีเศียร เครื่องประดับ
สำรดิ กระดิ่งสำรดิ แผน่ ทองคำ ผลึกควอรตซ์ เคร่อื งมอื เหล็ก กลมุ่ เมล็ดพชื ถกู เผาเป็นถ่าน เนื้อดนิ เผา เบ้า
ดินเผา ลูกปัดแก้ว ข้าวสารดำพิมพ์พระ พระพิมพ์ดินเผา ภาชนะดินเผาเคลือบ ศิลาแลง เป็นต้น
โบราณวตั ถดุ ังกล่าวเก็บรักษาไว้ที่พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติส่วนภูมิภาคท่ี ๕ จังหวัดปราจีนบุรี (สถิติขอ้ มูล
การวฒั นธรรม อำเภอเมืองนครนายก: ๒๕๓๘, ๒-๕)
โบราณวตั ถุท่พี ิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นบา้ นปากพลี ตั้ง ณ บริเวณวดั โพธ์ิปากพลี ตำบล
ปากพลี อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก ปัจจุบันมีมากกว่า ๕๐๐ ช้ิน จัดแสดงเป็นหมวดหมู่อย่างเป็น
ระเบียบในตกู้ ระจก (สำนกั งานสามญั ศกึ ษาจงั หวัดนครนายก : ๒๕๔๑, ๒๕-๒๗) จำแนกดงั ตอ่ ไปน้ี
- โบราณวตั ถุจากหิน มีท้ังเครื่องมือยคุ หินเก่า ยคุ หินกลาง ยคุ หินใหม่ วตั ถุ
เคารพสมัยทวารวดี หรือลพบุรี ได้แก่ โยนีลึงค์ ศิวลึงค์ สมัยลพบุรี ได้แก่ หินบดยา และชิ้นส่วน
ประติมากรรม เป็นต้น
- โบราณวตั ถจุ ากดินเผา มีทั้งเครือ่ งป้ันดินเผายุคกอ่ นประวตั ิศาสตร์
สมัยทวารวดี สุโขทยั อยุธยา และรตั นโกสนิ ทร์ มีท้ังชิ้นส่วนภาชนะต่าง ๆ ตราประทบั ดินเผา อฐิ ดินเผา
หมอ้ ตุ่มน้ำ ครก คนโท พระพุทธรปู สมัยสุโขทัย ลกู กระสุน เปน็ ต้น
- โบราณวัตถุจากเซรามิก มีทง้ั เซรามกิ ท่ีมกี ำเนดิ ในประเทศจีน คือชามทรง
เตี้ยลายเถาองุ่น สมัยราชวงศ์ซ้อง ชามทรงเต้ียจากเตาชิงไป๊มีอายุราว ๑,๑๐๐ ถึง ๑,๒๐๐ ปี ชิ้นส่วน
ถ้วยชามสังคโลกสมยั สุโขทยั
- โบราณวตั ถุจากหนิ หรือแรซ่ ลิ เิ กต ได้แก่ จอ้ื อาเกต ลูกปดั อาเกต ลกู ปดั คาร์
นเิ ลีย่ น
- โบราณวตั ถุจากหยกไดแ้ ก่ ตา่ งหรู ปู งาช้างขนาดความยาว ๓ เซนตเิ มตร ๑ คู่
หรอื อาจเป็นส่วนประกอบของสร้อย
- โบราณวตั ถุจากแกว้ ได้แก่ ลกู ปัดสีต่าง ๆ เช่น น้ำเงนิ เขยี ว น้ำตาล เปน็
ตน้
- โบราณวัตถุจากสำริด ไดแ้ ก่ ชิน้ ส่วนของภาชนะ กำไลข้อมือ ขอห่วงแขวน
เสลี่ยง
- โบราณวัตถจุ ากทองคำ ไดแ้ ก่ ตา่ งหขู นาดตา่ ง ๆ แผ่นทองคำ ลูกปดั ทองคำ
เปน็ ตน้
- โบราณวัตถจุ ากเงนิ ได้แก่ เครอ่ื งทรงลิเกทงั้ ตัวพระ ตวั นาง และนางยกั ษ์ ซ่งึ
ทำด้วยเงนิ แทม้ ีอายปุ ระมาณ ๑๐๐ ปี มีชฎาพระ ชฎานาง ทบั ทรวง อินธนู และเทรดิ นางยักษ์
- โบราณวตั ถุจากเหลก็ ไดแ้ ก่ เครื่องมอื เหลก็ ชนิดต่าง ๆ ซงึ่ มสี ภาพเปน็ สนิม
จนตคี วามสภาพเดิมไดย้ าก ท่คี งเห็นเปน็ รูปรา่ ง ไดแ้ ก่ กำปัน่ เหล็ก ขวานเหล็ก
- โบราณวัตถุจากไม้ เช่น หนาด ตว้ิ พาย(เรือ) กระสวย เปน็ ตน้
- โบราณวัตถจุ ากกระดาษ ไดแ้ ก่ หนังสือ(สมุด)ข่อย มอี ยู่ ๒ เลม่ คอื เรื่อง
รามเกียรติ์ และสุภาษิตโบราณ
- โบราณวัตถจุ ากวัตถุอืน่ ๆ เช่น ดีบกุ เทกไทต์ (หรืออุกกาบาต) ซงึ่ คนโบราณใช้
๓๘
เป็นตวั กลางแลกเปล่ียนสนิ คา้ หรอื เครื่องราง
โบราณวัตถุในพิพิธภัณฑ์ท้องถ่ินบ้านปากพลีดังกล่าวได้มาจากชาวบ้านร่วมกันบริจาค
เช่น โบราณวัตถุจำพวกภาชนะสำริด กำไลสำริด ลูกปัดแก้ว ลูกปัดอาเกต จี้อาเกต ลูกปัดคาร์ดิเลียน
ภาชนะดินเผา ฯลฯ ซ่ึงชาวบา้ นไดจ้ ากการขุดดนิ ทำนาในบริเวณทีร่ าบลมุ่
กรมศิลปากรได้ศึกษาแหล่งโบราณคดีจังหวัดนครนายก เม่ือ พ.ศ. ๒๕๓๕ พบ
โบราณวัตถุสมัยอยุธยาจำพวกเศษภาชนะดินเผา พระพุทธรูป กระดูกคนโบราณ หม้อโบราณ มีอยู่ท่ัวไป
ในบริเวณอำเภอเมืองนครนายก อำเภอบ้านนา และอำเภอปากพลี (ดูรายละเอียดในแหล่งโบราณคดี
นครนายก) ส่วนโบราณวัตถุสมัยรัตนโกสินทร์พบตามวัดเก่าที่สร้างในสมัยน้ัน ๆ เช่น ธรรมาสน์ท่ี
วัดอัมพวัน ปิ่นโต โถเบญจรงค์ จานเล็ก จานใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่วัดเลขธรรมกิตต์ิ ตู้พระธรรม
มีลวดลายลงรักปิดทองท้ัง ๔ ด้าน หีบพระธรรมลงรักปิดทอง พระพุทธรปู ปางมารวิชัยทำด้วยสำริด เป็น
พระพุทธรูปแบบศิลปะรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันเป็นพระประธานในพระอุโบสถ เครื่องถ้วยเบญจรงค์
โถลายคราม ฯลฯ ที่วัดหนองคันจาม โบราณวัตถุทุกช้ินเป็นของมีค่า ไม่สามารถสร้างทดแทนของเก่าที่
บรรพบุรษุ สร้างสมไว้ได้ จึงควรช่วยกันรักษาเพ่อื แสดงถงึ ความเจริญรุ่งเรืองของนครนายกในอดีต
1.2 โบราณสถาน ตามความหมายทีบ่ ญั ญัติเม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๔ และแก้ไข
เพิ่มเติม พ.ศ.๒๕๓๕ หมายถึง “อสังหาริมทรัพย์ซึ่งโดยอายุ หรือลักษณะแห่งการก่อสร้าง หรือโดย
หลักฐานเกยี่ วกับประวัติของอสังหาริมทรพั ย์น้ันเป็นประโยชนใ์ นทางศิลปะ ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี
ท้ังนี้ให้รวมถึงสถานที่ทีเป็นแหล่งโบราณคดี แหล่งประวัติศาสตร์ และอุทยานประวัติศาสตร์” ดังน้ัน
โบราณสถานจึงครอบคลุมสถานที่ท่ีปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ และโบราณคดีทุกประเภท
รวมทั้งสถานที่และสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ ท้ังท่ีเป็นอาคาร สิ่งสาธารณูปโภค
อนสุ าวรีย์ หรือรูปเคารพขนาดใหญท่ ส่ี รา้ งติดที่เคลื่อนยา้ ยไม่ได้
กรมศลิ ปากรได้ศึกษาและขุดคน้ โบราณสถานในจังหวัดนครนายก ดังนี้
- โบราณสถาน“ดงละคร” ณ ตำบลดงละคร อำเภอเมอื งนครนายก จงั หวัด
นครนายก
เมืองโบราณดงละครตั้งยู่บนเนินดงละคร ปัจจุบันอยู่ในเขตการปกครองของ
ตำบลดงละคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก หรือตามพิกัดภูมิศาสตร์ท่ีเส้นรุ้ง 14 องศา
ลิปดา 30 ฟิลิปดาถึง 14 องศา 10 ลิปดา 00 ฟิลิปดาเหนือ และเส้นแวง 101 องศา 09
ลิปดา 40 ฟิลิปดา ถึง 101 องศา 11 ลปิ ดา 30 ฟิลิปดาตะวันออก หรือ ท่ีพิกัด UTM 47P
733859 ตะวันออก 1565865 เหนือในระบบ Datum WGS 84
เนิ น ด งล ะค รห รือ ด งให ญ่ ท่ี มี ลั ก ษ ณ ะรูป ร่างค่ อ น ข้ างก ล ม ข น าด
เส้นผ่าศูนย์กลางจากทางทิศตะวันออกถึงตะวันตกยาวประมาณ 2.78 กิโลเมตร และจากเหนือลงใต้
ยาวประมาณ 2.8 กิโลเมตร และจากเหนือลงใตย้ าวประมาณ 2.8 กิโลเมตร โดยจดุ สูงสุดของเนินมี
ความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 36 เมตร ส่วนพ้ืนที่โดยรอบซ่ึงเป็นทุ่งนามีความสูงจาก
ระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 5-8 เมตร โดยจุดสูงสุดของเนินจะอยู่บริเวณกึ่งกลางเนินค่อนไป
ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ สภาพพ้ืนที่ดงใหญ่ในปัจจุบันเป็นท่ีตั้งของบ้านเรือนราษฎร พ้ืนที่ทาง
การเกษตร (สวนมะปรางและขนุน) และบ่อขุดลูกรัง ภายในดงใหญ่มีถนนลาดยางขนาด 2 ช่องทางเดิน
รถตัดผ่านกลางจากเหนือถึงใต้และมีถนนลาดยางสลับลูกรังขนาด 2 ช่องทางเดินรถ ตัดล้อมรอบดงใหญ่
๓๙
บริเวณท่ีตั้งของตัวเมืองโบราณจะอยู่ทางทิศตะวันตกค่อนมาทางใต้ของดงใหญ่ ความสูงอยู่ท่ีระดับ
ระหว่างเส้นช้ันความสูง 5 เมตร กับช้ันความสูง 10 เมตรจากระดบั น้ำทะเลปานกลาง
ดงละครในคำบอกเลา่
นายฉลอง รัตนสุนทร ชาวดงละครบนั ทึกไวว้ ่าท่านเจา้ คุณราชวรนาถ (อดตี เจ้าอาวาส
วัดครีเมือง) เล่าว่า “เมื่อคร้ังเสด็จทางชลมารค โปรดฯ ให้หยุดพักกระบวนท่ีวัดท่าทราย อำเภอเมือง
นครนายก และตรัสกับข้าราชบริพารว่าจะข้ึนไปเมืองลับแลที่ดงละคร ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ทราบเร่ือง จึง
เกณฑ์ราษฎรทำการถากถางทางเสดจ็ ข้ึน เป็นเหตุให้พชื พันธ์ุเสียหายมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ไม่พอพระทัยจึงเสด็จกลับ...” และจากคำบอกเล่าของ นายติน คังคายะ อดีตกำนันตำบลท่าช้าง ว่า
รัชกาลท่ี 5 เคยเสด็จมาที่ดงละครสองครั้ง มีการตัดทางจากข้างวัดหนองทองทราย (ศาลเจ้าพ่อดง
ละคร) ผ่านกลางดงละครไปจนถึงแม่น้ำนครนายก ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร เมื่อเสด็จมาถึง
ปากทางก่อนเข้าบริเวณดง ได้พบนายทัด นางมี สองตายายผัวเมียซึ่งยากจนมากและได้ใช้กะโหลก
(มะพร้าว) ตักน้ำด่ืมถวาย เม่ือเสวยแล้วตรัสว่า น้ำนี้รสจืดสนิทดี และรับสั่งถามทุกข์สุขของสองตายาย
นายทัดผู้สามีกราบบังคลทูลว่า ตนเองเป็นคนยากจน มีผ้าห่มนุ่งชุดเดียว สิริมงคลจึงไม่มี สมเด็จพระ
พันปีหลวงจึงรับส่ังว่า จะอยู่กับสองตายาย และทรงให้มหาดเล็กไปเสาะหาสมุนไพร เช่น จันทน์แดง
จันทน์ขาว ฝาง ดอกบุนนาค ที่มีอยู่ในดงละครไปขายกรุงเทพฯ ทำให้สองตายายมียายได้ มีความ
เป็นอยู่ดีขึ้น กล่าวกันว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ดงละครคร้ังท่ี 2 เพื่อมารับ
สมเดจ็ พระพันปหี ลวงกลบั
จากพระราชหัตถเลขาและเรื่องเล่า ทำให้เชื่อว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวเคยเสด็จประพาสดงละคร และทรงท้ังจากคำเล่าลือและท่ีทอดพระเนตรด้วยพระองค์เองว่า
ดงละครเป็นแหล่งโบราณคดี ซ่ึงชาวทอ้ งถนิ่ เรียกกนั วา่ “เมอื งลับแล” ซึง่ ขณะน้ันมีสภาพเป็นป่าดงมีพืช
พันธ์ุไม้ป่า สมุนไพรชนิดดีจำนวนมาก (ทุกวันน้ีชาวดงละครยังเก็บดอกบุนนาคตากแห้งจำหน่าย ว่ากัน
ว่าดอกบุนนาคท่ีดงละครหอมกว่าท่ีอื่น) การเสด็จประพาสคร้ังนั้นยังทำให้เกิด “ทางเสด็จ” ซ่ึงทำให้
ดงละครมีเส้นทางคมนาคมติดต่อเพิ่มข้ึน แต่สภาพความเป็นป่าดงก็ยังไม่หมดไป ก่อน พ.ศ.2460
บริเวณรอบๆ ดงละครเป็นแหล่งจบั ชา้ ง คลอ้ งช้าง ช้างฝูงใหญ่จะอาศยั อยูใ่ นดงละครเฉพาะตอนกลางวัน
จะพากันมากินในทุ่งราบรอบๆ ดงละคร ก็จะมีการจับช้าง คล้องช้าง เมื่อได้แล้วก็เอาช้างไปรวมไว้ที่ช่อง
กันเกรา ทางตะวันออกเฉียงใต้ของดงละครแล้วนำช้างไปทางวัดท่าช้างซ่ึงเป็นท่าข้ามแม่น้ำนครนายก
เพ่ือนำส่งเมืองหลวงต่อไป ต่อมาเมื่อมีคนเข้ามาอยู่อาศัยที่ดงละครเพ่ิมมากข้ึน ช้างถูกรบกวนจึงหนีจาก
ดงละครไปสู่ป่าบริเวณภูเขาต้นน้ำนครนายก เข้าใจว่าการจับช้าง คล้องช้าง ที่ดงละครนี้คงมีมาแต่สมัย
กรุงศรีอยุธยา ในหนังสือพระราชพงศาวดารกล่าวถึงการท่ีสมเด็จพระมาจักรพรรดิเสด็จล้อมช้างหลาย
คราว เพื่อรวบรวมไว้ทำศึกและหลังจากการศึกกับหงสาวดี คราวเสียสมเด็จพระสุริโยทัยแล้วทรงให้รื้อ
กำแพงเมืองหน้าด่านรายรอบกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีเมืองนครนายกอยู่ด้วยเพ่ือมิให้ข้าศึกเอาเป็นที่มั่นตีกรุง
ศรีอยุธยา
ช่ือเมืองนครนายก ปรากฏในพงศาวดารสมัยอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์หลาย
ตอน แต่ไม่ปรากฏช่ือดงละครในหนังสือ “ภูมิศาสตร์ประเทศสยาม” ที่กรมตำรา กระทรวงศึกษาธิการ
พิมพ์เมื่อ พ.ศ.2468 กล่าวว่ามีเมืองเก่า 2 เมือง คือ เมืองนครนายกเมืองหนึ่ง และเมืองดงละครอีก
เมืองหน่ึงไม่ใช่เมืองเดียวกัน เข้าใจว่าสมัยกรุงศรีอยุธยา เมืองนครนายก (ท่ีตั้งตัวจังหวัดนครนายก
๔๐
ปัจจุบัน) ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นเมืองหน้าด่าน เป็นเมืองที่ปรากฏชื่อในพงศาวดาร ไม่ใช่เมืองดงละคร ซึ่งมี
สภาพเปน็ ปา่ ดง มบี ทบาทเปน็ แหลง่ ทีม่ กี ารจบั ช้างคลอ้ งชา้ งในสมัยนน้ั เท่านน้ั
กรมศิลปากรได้ศกึ ษาและขดุ คน้ หลักฐานเป็นกลุ่มโบราณสถาน บนเกาะรอบนอกดงละครทางทิศตะวันตก
เป็นที่ประกอบพิธีกรรมศาสนาพุทธ มีหินทรายขนาด ๕๐X๑.๕๐ เมตร ปักเป็นเขตลักษณะใบเสมาพิธี
การเป็นเคร่ืองหมายของอาคารประเภทโบสถ์ในสมัยหลัง กลุม่ ใบเสมาท่ีเกาะทางทิศตะวนั ตกของดงละคร
เป็นหินทรายสีขาวขนาดใหญ่ตกแต่งขอบมุมเล็กน้อย กรมศิลปากรสำรวจพบใหม่ ๒ แหล่งเม่ือ พ.ศ.
๒๕๓๕ ท่ีน่าสนใจคือการใช้หินทรายเป็นตัวกำหนดเขตพุทธาวาสในการทำสังฆกรรม ซึ่งไม่ค่อยพบใน
กลุ่มเมืองโบราณในภาคกลางของประเทศไทย สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ทำด้วยอิฐ และศิลาแลงอันเป็นเสน่ห์
ของโบราณสถาน“ดงละคร”(เมืองนครนายก, ๒๕๓๕)
กรมศิลปากรได้ประกาศข้ึนทะเบียน “เมืองดงละคร” เป็นโบราณสถานแห่งชาติ พ.ศ.
๒๔๗๘ ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เลม่ ที่ ๕๒ ตอนที่ ๗๕ วันท่ี ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ (รายงานการ
ขุดค้นฯ : ๒๕๓๖) ทั้งน้ีปี ๒๕๓๖ ขดุ ค้นพบโบราณสถาน ๓ แหง่ คือ
โบราณสถานทิศใต้ ถูกทำลายจนหมดสภาพ
โบราณสถานด้านทิศตะวันออก (หมายเลข ๑) ตั้งอยู่นอกคันคูเมืองด้านทิศเหนือ
ลักษณะเป็นกำแพงก่อด้วยอิฐล้อมรอบ พื้นที่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เน้ือท่ีประมาณ ๑,๓๘๐ ตารางเมตร
ภายในมีร่องรอยของแท่นท่ีต้ังรูปเคารพ สันนิษฐานว่ากำแพงน้ีเป็นกำแพงแก้วล้อมรอบศาสนสถาน ซึ่ง
ส่วนหน่ึงอาจสร้างด้วยไม้ มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นพุทธศาสนา คือ เศียรพระพุทธรูป และแผ่นทองคำ
อนั อาจเก่ียวเนื่องกับพิธกี รรมในศาสนสถาน
โบราณสถานหมายเลข ๒ หา่ งจากโบราณสถานหมายเลข ๑ ดา้ นทิศตะวนั ออกประมาณ
๑๕ เมตร ลักษณะเป็นกรอบศิลาทองรูปส่ีเหล่ียมจัตุรัสล้อมรอบเน้ือท่ีประมาณ ๔ ตารางเมตร ลักษณะ
คล้ายกับฐานอาคารรูปส่ีเหลี่ยมผืนผ้า สันนิษฐานว่าเป็นศาสนาสถานในสมัยแรก ๆ ได้แก่ พุทธศาสนา
สถานที่สระมรกต จังหวัดปราจีนบุรี (พีรพน พิสณุพงศ์, ๒๕๓๔) ตรงกลางของกรอบศิลาแลงพบแท่งศิลา
แลงรูปทรงกระบอกขนาดใหญ่ ข้างในกลวง ภายในบรรจุตุ้มหู แหวน หัวแหวน ตราประทับ และ
ชิ้นส่วนกำไลสำริดรอบๆ แท่งศิลาแลงขุดพบลูกปัดหิน และลูกปัดแก้วจำนวนมาก รวมท้ังพระและ
พระพุทธรูปดินเผาตลอดจนเคร่ืองมือเหล็กจำนวนหน่ึง สันนิษฐานว่าโบราณวัตถุเหล่าน้ันคงเป็นสิ่ง
ศกั ดิ์สทิ ธหิ์ รือศลิ าฤกษ์กลางศาสนสถาน (น. ณ ปากนำ้ : ๒๕๒๙)
- โบราณสถานวัดอัมพวนั เดมิ เปน็ วดั ร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาในสมัย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีนโยบายขุดคลองรังสิต บริษัทขุดคลองและคูนาสยามได้ทำ
สัญญากับรัฐบาล โดยได้กรรมสิทธิ์ที่ดิน ๒ ฝั่งคลองรังสิตจึงขายให้แก่คหบดี และเชื้อพระวงศ์ หม่อม
ราชวงศ์จำรัส อิศรางกูร ณ อยุธยา ได้ซ้ือท่ีดินแล้วสร้างวัดอัมพวันท่ีมีพระอุโบสถงดงามเป็นฝีมือของช่าง
หลวง มีเจดีย์ราย หอระฆัง ศาลาการเปรียญ ธรรมาสน์ และกุฏิเรือนแพของหม่อมราชวงศ์จำรัส
อศิ รางกูร ณ อยุธยา(เมืองนครนายก : ๒๕๓๕) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัวได้เสด็จ
พระราชดำเนิน ณ วดั อัมพวนั แหง่ น้ี
- โบราณสถานวัดใหญท่ กั ขณิ าราม เดมิ ชอื่ “วัดบา้ นใหญ่ลาว” ต่อมา พ.ศ.
๒๔๘๔ ทางราชการได้เปลี่ยนชื่อ “ตำบลบ้านใหญ่ลาว” เป็น “ตำบลบ้านใหญ่” แล้วจึงเปล่ียนชื่อวัดด้วย
บริเวณ ดั งก ล่าวเป็ นชุ มชน ดั้ งเดิมข องช าวล าวเวียงจัน ท ร์ท่ี อพยพม าจากเมืองเวียง จัน ทน์ ป ระเท ศ
๔๑
สาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว มาตั้งบ้านเรอื นและสร้างวัดบา้ นใหญ่ลาวข้ึน ปจั จุบันคงเหลอื แต่
โบสถ์เทา่ นนั้ ทแี่ สดงถงึ ชุมชนโบราณแหง่ หนงึ่
1.3 แหลง่ โบราณคดี หมายถึง พ้ืนทท่ี ่ีปรากฏหลกั ฐานเปน็ วตั ถุ หรือ
ร่องรอยการประกอบกิจกรรม หรือการอยู่อาศัยของมนุษย์ในอดีตทั้งท่ีอยู่เหนือผิวดิน ใต้ดิน และใต้น้ำ
โดยไม่มีอาคารสิ่งก่อสร้างปรากฏเด่นชัด จังหวัดนครนายกมีแหล่งโบราณคดี ๓๘ แห่ง ตามท่ีกรม
ศลิ ปากรสำรวจพบเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ จำนวน ๓๗ แห่ง(เมืองนครนายก : ๒๕๓๕, ๘๔ – ๑๑๘) และสำรวจ
พบเพิ่มเตมิ ในสมยั ต่อมา ๑ แหง่ ดงั ขอ้ มลู ทางแหลง่ โบราณคดี ต่อไปนี้
- บา้ นวงั ดอกไม้ หมู่ ๗ ตำบลสาริกา อำเภอเมอื งนครนายก จังหวัด
นครนายก พบหลักฐาน เช่น เศษภาชนะดนิ เผา และพระพุทธรูปสมัยอยธุ ยา
- บ้านพรหมณี หมู่ ๗ ตำบลสารกิ า อำเภอเมอื งนครนายก จงั หวัด
นครนายก พบหลักฐาน เชน่ เศษภาชนะดนิ เผาและพระพทุ ธรปู สมัยอยุธยา
- บ้านโพธิง์ าม หมู่ ๑๐ ตำบลสารกิ า อำเภอเมืองนครนายก จังหวดั
นครนายก พบหลักฐาน เช่น กระดกู อยใู่ นไหสมยั อยุธยา
- บา้ นดง หมู่ ๑ ตำบลสารกิ า อำเภอเมืองนครนายก จงั หวดั นครนายก
พบหลักฐาน เช่น กระดูกคนโบราณ และซากวดั เก่าๆ สมยั อยธุ ยาบนเขา
- บ้านใหม่ หมู่ ๖ ตำบลสาริกา อำเภอเมอื งนครนายก จังหวัดนครนายก
พบหลกั ฐาน เชน่ เศษภาชนะดนิ เผาสมยั อยุธยา
- บ้านกุดรังใน หมู่ ๔ ตำบลสาริกา อำเภอเมืองนครนายก จังหวัด
นครนายก พบหลักฐานโบราณวัตถุ เช่น พวกหม้อโบราณบรรจุกระดูกสมัยอยุธยา เศษภาชนะดินเผา
ลายเชือกทาบ และ PORCHLAIN
- บ้านหินสามก้อน หมู่ ๕ ตำบลดงละคร อำเภอเมืองนครนายก
จังหวัดนครนายก พบหลักฐาน เช่น ภาชนะดินเผาพวกหม้อ กระปุก เศษภาชนะดินเผา แท่นบดยา
ก้อนศลิ าแลง และหินทราย ๓ กอ้ น ลกู ปดั แก้วสมยั ทวารวดี
- บ้านดงละคร หมู่ ๖ ตำบลดงละคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัด
นครนายก พบหลกั ฐาน คือ กระดง่ิ สำรดิ สมยั ทวารวดี
- บ้านคลองโพธ์ิ หมู่ ๗ ตำบลดงละคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัด
นครนายก พบหลกั ฐาน เช่น หนิ บดยา กระปกุ เบญจรงค์ลายเทพนมสมยั ทวารวดีและอยธุ ยา
- บ้านหนองปรือ หมู่ ๔ ตำบลดงละคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัด
นครนายก พบหลกั ฐาน เช่น แนวอิฐเป็นรูปวงกลมอยทู่ างเหนือของตวั เมอื งดงละคร เศษภาชนะดนิ เผา
จำนวนมากมีท้งั EARTHEN WARE PORCHLAIN เครือ่ งถ้วยจีนสมัยทวารวดี
- บ้านใต้วัด หมู่ ๖ ตำบลดงละคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัด
นครนายก พบหลักฐาน เช่น แท่นหินบดยา กระปุกจากเตาบ้านกรวดสมัยทวารวดี และไหปากกว้าง
สมยั อยุธยา
- บ้านลำผักบุ้ง หมู่ ๒ ตำบลดงละคร อำเภอเมืองนครนายก จังหวัด
นครนายก พบหลักฐาน เช่น เศษโบราณวัตถุประเภทไหส่ีหูเคลือบสีน้ำตาล กระปุกเคลือบใสมีตัวอักษร
จีนกำกับสมยั อยุธยา
๔๒
- บ้านกุดตะเคียน หมู่ ๘ ตำบลเขาพระ อำเภอเมืองนครนายก จังหวัด
นครนายก พบหลกั ฐาน คือ เศษภาชนะดนิ เผาลายขูดขีดสมยั อยธุ ยา
- บ้านเกาะกระชาย หมู่ ๒ ตำบลเขาพระ อำเภอเมืองนครนายก จังหวัด
นครนายก พบหลักฐาน คือ เศษหม้อแตกสมยั อยุธยา
- บ้านคลองสีเสียด หมู่ ๘ ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก จังหวัด
นครนายก พบหลกั ฐาน คือ ภาชนะดนิ เผาประเภทหม้อ ชามสมัยอยธุ ยา
- บ้านขุมข้าว หมู่ ๒ ตำบลหนองแสง อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก
พบหลักฐาน เช่น เนินดิน โบราณวัตถุ ได้แก่ หินลับมีด กระปุกสีดำ เศษภาชนะดินเผาพร้อมกับ
กระดกู คนบรเิ วณกฏุ วิ ัดสมัยอยุธยา
- บ้านเล่าหุ่ง หมู่ ๖ ตำบลโคกกรวด อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก
พบหลักฐาน เช่น ซากเจดีย์เก่า ๑ องค์เป็นเจดีย์ฐานบัวคว่ำทรุดโทรมมาก และมีเนินดินรูปสี่เหล่ียม
ขนาด ๑๐๐x๑๐๐ เมตร สมยั อยุธยา
- วัดเกาะกา หมู่ ๑ บ้านเกาะกา ตำบลท่าเรือ อำเภอปากพลี จังหวัด
นครนายก พบหลกั ฐาน คือ เศษภาชนะดินเผาบนเนนิ ประมาณ ๒๐ นว้ิ สมยั รตั นโกสินทร์
- วัดใหม่โคกสำโรงสามัคคีธรรม หมู่ ๖ บ้านโคกสำโรง ตำบลท่าเรือ
อำเภอปากพลี จังหวดั นครนายก พบหม้อทนไฟสมัยรตั นโกสนิ ทร์ สันนษิ ฐานวา่ เปน็ หม้อใสร่ กเด็ก
- บ้านโคกกะโดน หมู่ ๖ ตำบลปากพลี อำเภอปากพลี จังหวดั นครนายก
พบหลักฐานโบราณวัตถุประเภทเครื่องปั้นดินเผา เช่น เศษเคร่ืองป้ันดินเผาเน้ือดิน ตราประทับดินเผา
เศษเคร่อื งถว้ ยสฟี า้ เป็นเคร่อื งถว้ ยเปอรเ์ ชีย
- วัดหนองคันจาม หมู่ ๑ ตำบลบ้านพริก อำเภอบ้านนา จังหวัด
นครนายก พบหลักฐาน เช่น เสาหงส์ ซุ้มเรือนแก้วสำหรับครอบพระพุทธรูป ตู้พระธรรม หีบพระ
ธรรม พระพุทธรูป เครอื่ งถว้ ยเบญจรงค์ เคร่ืองถว้ ยจนี เครอื่ งถ้วยญปี่ นุ่ และเคร่อื งถว้ ยพม่า
- วัดทองจรรยา หมู่ ๙ บ้านปากลาด ตำบลบ้านนา อำเภอบ้านนา
จงั หวัดนครนายก เป็นที่ท่พี บโบราณวัตถุอยู่เป็นกลุ่มในทุ่งนา เช่น ขวานหินขัด และเศษภาชนะดินเผา
สมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ตอนปลาย
- วัดช้าง หมู่ ๗ ตำบลบ้านนา อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เมื่อรื้อ
โบสถ์เก่าพบพระพุทธรูปทรงเคร่ือง จำนวนประมาณ ๑๐๐ องค์ มีทั้งทำจากไม้และทองเหลืองสมัย
อยุธยา-รตั นโกสินทร์
- วดั ทองยอ้ ย หมู่ ๒ ตำบลบา้ นนา อำเภอบ้านนา จังหวดั นครนายก เป็น
วดั เก่าสมัยอยุธยาตอนกลาง สรา้ งเมอ่ื พ.ศ. ๒๑๒๗ ปจั จุบนั สภาพโบสถ์ยังคงเปน็ ของเดิมโบราณวัตถุทมี่ ี
คา่ ในวัดคอื รอยพระพทุ ธบาทซอ้ นกัน ๔ รอย
- วัดป่า หมู่ ๘ บ้านสระโบสถ์ ตำบลอาษา อำเภอบ้านนา จังหวัด
นครนายก สภาพปัจจุบันเหลือแต่ซากอิฐของวิหารและโบสถ์เก่าแบ่งเป็น ๒ เนิน คือวิหารและโบสถ์ ห่าง
จากกันประมาณ ๒๐ เมตร บริเวณโบสถ์มีช้ินส่วนหินทรายสีขาว (ช้ินส่วนพระพุทธรูป)ชิน้ ใหญ่มาก ๔-๕
ชนิ้ อยกู่ ระจดั กระจาย มีซากอฐิ ปรากฏชัดเจน และบริเวณเนนิ เป็นวหิ ารมซี ากอฐิ ปรากฏชดั เจนเชน่ กนั
- วัดวิหารขาวเจติยาราม หมู่ ๑ ตำบลอาษา อำเภอบ้านนา จังหวัด
นครนายก มีโบราณวัตถุสมยั รัตนโกสนิ ทร์ที่วัดเก็บไว้ ได้แก่ แจกัน ขวดสีน้ำตาล จานลายดอกไม้จาก
๔๓
ประเทศฮอลแลนด์ พาน โถ กาเคลอื บสีเขยี ว ลูกกระพรวนเจาะรตู รงกลางสีดำ กล้องยาสบู และตะบัน
กรามช้าง
- วัดพระโต หมู่ ๑ ตำบลอาษา อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เปน็ วัด
สรา้ งสมัยอยุธยาตอนปลาย พบซากอโุ บสถเก่าปรากฏร่องรอยพระพุทธรปู ศิลาหักเกลือ่ นบนแท่นประธาน
และใบเสมาที่ชำรุด บางชิ้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ พบเศียรพระพุทธรูปใหญ่มาก ปัจจุบันมีการบรรจุ
พระพทุ ธรูปศลิ าท่ีชำรดุ ไว้ในพระประธาน
- วัดกุฎีเตี้ย หมู่ ๘ บ้านสระโบสถ์ ตำบลอาษา อำเภอบ้านนา จังหวัด
นครนายก พบพระพุทธรูปศิลปะสมัยอยุธยาอยู่ภายในกุฏิพระ ๑ องค์ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ประทบั บนฐานปทั ม์ รศั มหี ักหายไป จวี รตกแตง่ ลวดลาย ฐานเปน็ บวั หงายซอ้ นกนั
- วัดเลขธรรมกิตต์ิ หมู่ ๑๔ บ้านบางอ้อใหม่ ตำบลบางอ้อ อำเภอบ้านนา
จังหวัดนครนายก พบโบสถ์เก่าและโบราณวัตถุสมัยรัชกาลท่ี ๕ เช่น ปิ่นโต โถเบญจรงค์ ชามเบญจรงค์
ลาย เทพนม พรรณพฤกษา เป็นต้น
- วัดเกาะพิกุล หมู่ ๖ บ้านเกาะพิกุล ตำบลศรีกะอาง อำเภอบ้านนา
จังหวัดนครนายก พบโครงกระดูก ๑ โครงในบริเวณป่าช้าเก่าซ่ึงเคยเป็นเพนียดช้างของกรมโขลง
กำแพงเพชรสมยั รัตนโกสนิ ทร์
- วดั กระดาน หมู่ ๑ บา้ นพิกุลแก้ว ตำบลพิกุลออก อำเภอบ้านนา จังหวัด
นครนายก สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕ สมัยอยุธยา และซ่อมเม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๖ มีโบสถ์เก่า ๑ หลังเดิมเป็น
โบสถ์มหาอุด ต่อมาคัดแปลงประตูทางเข้าท้ังหน้าและหลัง มีใบเสมาอยู่ด้านหน้าและข้างหลังโบสถ์ ส่วน
ฐานแอน่ เปน็ ท้องเรือ พบไหจากแหลง่ เตาบ้านบางปู ๑ ใบในแม่น้ำบา้ นนา
- วัดวังบัว หมู่ ๑๑ บา้ นดอนทราย ตำบลพิกลุ ออก อำเภอบ้านนา จงั หวัด
นครนายก มีพระประธานสมัยรัตนโกสินทร์ ศิลปะสมัยสุโขทัย หลวงพ่อพระพุทธโรทัย สร้างจากวัด
สทุ ัศน์ กรงุ เทพมหานครนำมาประดษิ ฐานเม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๐
- วัดบางอ้อใน หมู่ ๕ บ้านบางอ้อ ตำบลบางอ้อ อำเภอบ้านนา จังหวัด
นครนายก เป็นวัดเก่าสร้างมากว่า ๒๐๐ ปี ปัจจุบันจึงซ่อมแซมท้ังหลัง มณฑปในวัดบรรจุรอยพระพุทธ
บาท ๑ รอย ไม่พบโบราณวัตถใุ ด ๆ ในบรเิ วณวัดและหมบู่ ้าน
- วัดแหลมไม้ย้อย หมู่ ๑๐ บ้านแหลมไม้ย้อย ตำบลพิกุลออก อำเภอบ้าน
นา จังหวัดนครนายก ไม่ทราบประวัติแน่นอน แต่สันนิษฐานว่าสร้างมาแล้ว ๑๐๐ กว่าปี โบสถ์หลังเก่า
สรา้ งหลังวดั ๒๐ ปี ภายในโบสถม์ ีพระประธาน ๑ องค์ สร้างเม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๙ บรเิ วณกรอบประตูตกแต่ง
ลวดลายพรรณพฤกษาและลายหน้ากาล ด้านหน้าโบสถม์ ใี บเสมาคอู่ ยภู่ ายในซ้มุ
- บ้านตะลุง หมู่ ๖ ตำบลพิกุลออก อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก
ผู้ใหญ่บ้านได้ให้สัมภาษณ์ว่าเป็นบริเวณที่เคยพบห้อดินเผาสมัยอยุธยา สภาพเกือบสมบูรณ์ (ปากแหว่ง)
บรรจุกระดกู นอกจากนั้นยังพบลกู แก้วสขี าว-แดง
- บ้านห้วงสงคราม หมู่ ๑๑ ตำบลเขาเพิ่ม อำเภอบ้านนา จังหวัด
นครนายก ผู้ใหญ่บ้านให้สัมภาษณ์ว่าบริเวณดังกล่าวเดิมมีวัดร้าง และได้พบเหรียญอัฐ ขันหิน เตา
ทองแดงขณะขุดรอ่ งสวน ปจั จุบนั กลายเปน็ สวนผลไมไ้ มเ่ หลอื สภาพของวัดร้าง
- บ่อทรายกศุ ลส่ง หมู่ ๑๔ บา้ นไร่ ตำบลเขาเพ่ิม อำเภอบ้านนา จังหวัด
นครนายก ผู้ใหญ่บ้านบุญลือ กุศลส่ง เจ้าของบ่อให้สัมภาษณ์ว่าเคยพบขวานหินขัดบริเวณที่ดูดทราย
๔๔
ระดับ ๑๐ เมตรทัง้ สองฝงั่ คลอง โดยเฉพาะผลการสำรวจของนายพิสิฐ เจริญวงศ์ เมื่อเดอื นมนี าคม พ.ศ.
๒๕๒๘ ปรากฏว่าพบโบราณวัตถุจากการดูดทรายท่ีคลองบ้านนา ต้ังแต่บ้านเฮาเพิ่มถึงบ้านเนินสะอาด
หนองเค่ยี ม มีขวานหินขัด ขวานสำริด ภาชนะเคลือบจีน อ่างเคลือบสีน้ำตาลดา้ นใน ๑ ใบ ภาชนะดินเผา
ไม่เคลือบ พวกหม้อ ไห อ่าง แจกัน ไม่มีลวดลายประเภท EARTHEN WARE และ STONE WARE เงิน
พดด้วง ๒ อันมีลายกงจกั รประทบั
- วัดใหญ่โพธาราม หมู่ ๑ ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนครนายก จังหวัด
นครนายก รายละเอยี ดของวัดนี้ได้ข้อมูลจากการสัมภาษณ์นายหมอน อุดมเวช อดีตครใู หญโ่ รงเรียนวัด
ใหญ่ โพธาราม เกิดเม่ือวันท่ี ๑๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๓ ปัจจุบันอายุ ๘๐ ปี อธิบายว่าชุมชนท่า
ทรายเป็นชมุ ชนเก่าแก่ บรเิ วณวดั ใหญ่โพธารามเคยเป็นวัดรา้ ง ได้พบหลักฐาน เช่น กระเบ้ืองสมยั อดีตอยู่
ตามบริเวณท่ัวไป อิฐกว้างคืบยาวศอก และกระเบ้ืองเป็นชนิดเดียวกับที่วัดพระพุทธบาทสระบุรี ต่อมา
เม่ือสร้างโบสถ์หลังใหม่จึงขุดพบของโบราณเป็นหินแปดก้อนไม่พบลูกนิมิต นอกจากน้ันยังมีมีด แหวน
ทองเหลืองหัวพลอย
แหล่งโบราณคดีที่สำคัญ ของจังหวัดนครนายก คือ “วัดหนองคันจาม” เป็น
วัดที่สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๐ ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว เดมิ เป็นเพียงสำนัก
สงฆ์ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๖ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าฯให้เปน็ วิสุงคามสีมา
วดั หนองคนั จามอยหู่ ่างจากจังหวดั นครนายกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือตาม
เส้นทางหลวงหมายเลข ๓๓ ประมาณ ๒๗ กิโลเมตร แล้วเล้ียวซ้ายเข้าทางวัดศรีสุวรรณไปตามเส้นทาง
ลูกรังประมาณ ๕ กิโลเมตร จึงถึงบริเวณบ้านหนองคันจาม แต่เดิมนั้นเป็นลักษณะทุ่งกับป่าต่อกันไป
จนถงึ ทุ่งรังสิต โดยมเี รอ่ื งเล่าสืบทอดกนั มากว่า ๑๐๐ ปีวา่ บริเวณดังกล่าวมีโขลงชา้ งป่าจำนวนมากเข้ามา
บริเวณทุง่ หลังวดั เนอ่ื งจากทุง่ มีหนองน้ำขนาดใหญช่ ้างจงึ เขา้ ไปอาศยั แหล่งน้ำ แลว้ ใชบ้ ่วงสำหรับดกั ชา้ ง
เรียกกนั ว่า “คันจาม”(จามเปน็ คำกรยิ ามาจากภาษามอญ หมายถึง เพ่ิมพูนหรือพอกเข้า)เม่ือช้างลงกินน้ำ
ท่ีหนองน้ำจะสะดุดคันจามที่วางดักไว้ นอกจากน้ันยังมีพิธีคล้องช้าง ณ บริเวณหนองคันจาม ซ่ึงสมเด็จ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยากำแพงเพชรอัครโยธินเป็นประธานในพิธี มีกรมโขลงช้างเป็นผู้ดูแลช้าง
จนถงึ ปัจจบุ ันเป็นเวลา ๗๕ ปมี าแลว้
วัดหนองคนั จามมหี ลักฐานทางโบราณคดีปรากฏดังนี้
พระอุโบสถ เดิมเป็นพระอุโบสถสร้างแบบก่ออิฐถือปูน โครงสร้างหลังคา
ลักษณะเป็นไม้มุงกระเบ้ืองว่าวท่ีแบบทำจากแม่พิมพ์ โครงหลังคาลักษณะแบบลดหรือซ้อนกัน ๒ ชั้น มี
มุขท้ังด้านหน้าและด้านหลัง ส่วนฐานโค้งลักษณะตกท้องช้างหรือแบบเรือสำเภา ผนังร้านรับน้ำหนักบน
หลังคาขนาดกว้าง ๓ วา ยาว ๑๐ วา สูง ๓ วา ขนาดอิฐยาว ๑๐ เซนติเมตร กว้าง ๔ เซนติเมตร หนา ๓
เซนตเิ มตร สว่ นกระเบอื้ งมงุ หลังคาขนาดกวา้ งและยาวดา้ นละ ๑๒ เซนติเมตร หนา ๑/๒ เซนตเิ มตร
ต่อมาทางวัดได้ร้ือพระอุโบสถหลังเดิมออกไปเม่ือ พ.ศ. ๒๕๓๔ แล้วสร้างหลัง
ใหม่จากรูปถ่ายของพระอุโบสถหลังเดิมข้ึนแทน ลักษณะพระอุโบสถเป็นโครงสร้างไม้โดยรับน้ำหนักด้วย
ผนังด้านข้าง มีมุขทั้งด้านตะวันออกและตะวันตก รวมทั้งประตูทางเข้าออกท้ังสองข้าง โครงสร้างหลังคา
เช่นเดียวกับพระอุโบสถในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ลักษณะไม่กว้างจึงคลุมส่วนผนังด้านข้าง
ไม่มากนัก รูปแบบพระอุโบสถคล้ายกับพระอุโบสถท่ีวัดอัมพวัน ตำบลบางอ้อ อำเภอบ้านนา จังหวัด
๔๕
นครนายก ซึ่งสร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเช่นเดียวกัน แต่ลักษณะ
พระอโุ บสถวัดอมั พวันนั้นแสดงถึงฝีมือช่างหลวงมากกวา่
เจดีย์ อยู่ทางมุมด้านตะวันออกของพระอุโบสถหลังเดิมท่ีรื้อไปแล้ว โดยสร้าง
พระอุโบสถหลังใหม่ทับลงบนที่ดังกล่าว ลักษณะเป็นเจดีย์แบบย่อมุมไม้สิบสองตั้งแต่ฐานจนถึงองค์ระฆัง
คือ ฐานล่างสุดเป็นหน้ากระดานย่อมุมไม้สิบสอง ลักษณะฐานเป็นแข้งสิงห์ซึ่งรองรับบัวปากระฆัง ส่วน
องค์ระฆังลักษณะเปน็ ลวดลายประดับแบบทเี่ รียกวา่ “ทรงเคร่ือง” และยอดส่วนที่เหลือจากการพังทลาย
นน้ั สันนิษฐานว่าเป็นลกั ษณะบวั กลุม่
ลักษณะและรูปแบบของเจดียค์ ล้ายกบั เจดียย์ อ่ มมุ ไม้สิบสองที่วัดปา่ กระทมุ่ บ้าน
วังต้น ตำบลพรหมณี อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก และเจดีย์ท่ีวัดกุฎีเต้ีย หมู่ ๘ บ้านสระ
โบสถ์ ตำบลอาษา อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก ซึ่งรูปแบบเปน็ ท่ีนยิ มในสมัยอยุธยาตอนปลายและ
รตั นโกสนิ ทรต์ อนต้น
โบราณวัตถุที่สำคญั ได้แก่
เสาหงส์ ลักษณะเป็นรูปหงส์ขนาดใหญ่ยนื อยูบ่ นแท่นหรือหัวเสาสำหรับเสียบ
หรือครอบลงบนหัวเสาไม้ บริเวณส่วนนอกของตัวหงส์มีลวดลายประดับทั่วไปลักษณะเป็นลายนก มีสี
ทองที่ส่วนของลำตัวเป็นลักษณะของทองสำริด บางส่วนเป็นสนิมสีเขียว ตรงส่วนปลายปากด้านล่างมี
ห่วงรูปวงกลมติดอยู่ ซึ่งเจ้าอาวาสได้อธิบายว่าแต่เดิมปักอยู่ทางตะวันออกของพระอุโบสถหลังเดิม เม่ือ
รือ้ พระอโุ บสถแลว้ ได้นำเอาเสาหงส์ออก ปัจจุบันทางวดั ได้นำตวั หงสข์ ้นึ ไปติดตงั้ ไว้บนยอดหอระฆังสูงเพ่ือ
ป้องกันการถกู โจรกรรม
อนึ่งเสาหงส์ดังกล่าวเป็นโบราณวัตถุในสมัยอยุธยาตอนปลาย เม่ือพม่าเข้า
ครอบครองประเทศไทยได้ส่งั ประดับเสาหงส์แทบทุกวัดแต่ภายหลังที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกอบ
กู้เอกราชแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ร้ือเสาหงส์ออกทุกวัดยกเว้นบางวัดท่ีมีพระเป็นชาวมอญ
ศิลปะเป็นแบบมอญจะต้งั เสาหงสไ์ วห้ น้าพระอโุ บสถ
ซุ้มเรือนแก้ว สร้างเพื่อครอบพระพุทธรูปที่เป็นศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ขนาดหน้าตักประมาณ 2 ศอก ส่วนล่างของซุ้มเรือนแก้วเป็นรูปทั้งสองด้าน เพื่อเสียบเดือยบนหัวรูป
บุคคลแบก ลักษณะคล้ายพระน่ังชันเข่า มือท้ังสองยกข้ึนเหนือศีรษะ นุ่งผ้าหยักรั้งไม่สวมเสื้อ ขนาด
15x36 เซนติเมตร ซุ้มเรือนแก้ว พระพุทธรูป และคนแคระทำด้วยสำริดพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์น้ี
เป็นพระประธานในโบสถห์ ลังเดิม ภายกลังเมอื่ รอื้ โบสถ์แล้วได้นำไปประดิษฐานในพระอโุ บสถหลังใหมโ่ ดย
ถอดซุ้มเรือนแกว้ ออก
ตู้พระธรรม มีลวดลายลงรักปิดทองท้ังส่ีด้าน ด้านหน้า คือบานเปิดและปิดตู้
พระธรรม ดา้ นขวาเป็นรปู กล่มุ ทหารและเสนา ดา้ นซ้ายบนเป็นรปู กลุ่มทหารถอื อาวธุ ซ่อนตัวในพมุ่ ไม้ สวม
เส้ือราชประแตน นุ่งโจงกระเบนและสวมหมวกกะโล่ ด้านล่างเป็นรูปบุคคลถืออาวุธ และมีผู้เข้าเฝ้า
ดา้ นข้างซ้ายเป็นรปู พระพุทธเจ้าตอนมารผจญ ด้านหลังเปน็ เร่อื งมหาเวสสนั ดรชาดก
หบี พระธรรม ลงรักปิดทองเช่นเดียวกนั
พระพุทธรูป ทำจากสำริด เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยแบบศิลปะ
รัตนโกสินทร์ ปัจจุบันเป็นพระประธานในพระอุโบสถ นอกจากนั้นยังมีพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่
พระพุทธรูปปางมารวิชัย พระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย พระเคร่ืองน้อย และพระมาลัยโปรดสัตว์ซึ่งทำจาก
ทองสำริดสมยั รตั นโกสนิ ทร์
๔๖
เครอื่ งถ้วย จำแนกเปน็ 4 ประเภท คือ
เคร่ืองถ้วยเบญจรงค์ มีหลายรูปแบบ เช่น โถ มีฝาปิด มีลวดลายใบไม้และ
ดอกไม้ เปน็ ลักษณะเครื่องหมายมงคลตา่ งๆ
ถ้วยมีฝาปิด ส่วนฝาเป็นรูปเทพนมลักษณะคล้ายถ้วยของชาวจีน เพราะสั่งทำ
จากประเทศจนี เป็นจำนวนมากในระหวา่ งสมัยรชั กาลท่ี 3-5
พาน มีลวดลายเครื่องหมายมงคล
ครุฑ ทำจากดินและสีประเภทเดียวกับเครื่องถ้วยเบญจรงค์ ดา้ นหลังมรี สู ำหรับ
แขวนเพื่อใส่เอกสารเลก็ ๆ เชน่ จดหมาย
โถลายคราม มีลวดลายทั้ง 4 ด้าน เป็นรูปบุคคลลักษณะคล้ายเทพนม แต่
ลกั ษณะเหมือนชาวจนี
เครื่องถ้วยชามลายคราม มีรูปแบบต่างๆ ตามศิลปะจีน เช่น ชามชุดน้ำชา โถมี
ฝาปิด ส่วนใหญเ่ ปิดลวดลายใบไม้ ดอกไม้ และสัญลักษณ์หรอื เครอื่ งหมายมงคลต่างๆ เคร่อื งถว้ ยท่ีมีขนาด
เล็กบางส่วนประดับไวท้ ี่ส่วนหน้าบันพระอุโบสถหลังเดิมท่ีร้ือไปแล้ว นอกจากนั้นยังมีตุ๊กตารูปสิงโตขนาด
เล็กสเี ขยี ว น้ำเงนิ แดง และขาว
เคร่ืองถ้วยญี่ปุ่น เป็นประเภทจานเคลือบสีขาว เขียนลานใต้เคลือบสีแดง เขียว
น้ำเงิน และเหลืองเป็นรูปใบไม้ ดอกไม้ และพระจันทร์เสี้ยว ข้างใต้มีเครื่องหมายการค้ารูปพระอาทิตย์
ตรงกลางขนาบด้วยนก 2 ตัว อาจเป็นนกกะเรียน และช่ือประเทศญ่ีปุ่นเป็นภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะมี
รอ่ งรอยปูนตดิ ทดี่ ้านใต้จนถึงขอบจานแสดงว่าได้ใชป้ ระดบั ท่สี ่วนหน้าบันรว่ มกับเครื่องถ้วยจนี
เคร่ืองถว้ ยพม่า ประเภทชามขนาดใหญ่ เขยี นลายสีครามเคลอื บสขี าว สว่ นขอบ
เป็นสนี ำ้ ตาลอยู่ในสมยั อยธุ ยาตอนปลาย
อนึ่งกลุ่มเคร่ืองถ้วยจีน เคร่ืองถ้วยเบญจรงค์ และเครื่องถ้วยญี่ปุ่นนั้น
สันนษิ ฐานว่าอยู่ในสมัยรตั นโกสนิ ทรต์ อนต้น
1.4 แหล่งประวัติศาสตร์ หมายถึง พ้ืนที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ หรอื สถานท่ี
เกิดเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์ อาจเป็นท่ีมีและไม่มีสิ่งก่อสร้างรวมท้ังสถานที่
ธรรมชาติ เปน็ ตน้ จงั หวดั นครนายกเป็นแหลง่ ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับเหตกุ ารณ์ทางประวัติศาสตร์ดงั นี้
นครนายกมีสภาพเป็นเมืองหน้าด่านทางตะวันออกในสมัยอยุธยา
ตอนต้น พ.ศ.2091 เม่ือไทยทำสงครามกับพม่าในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิจึงโปรดเกล้าฯ ให้ร้ือ
กำแพงเมืองหน้าด่านออกท้ังสามเมือง คือเมอื งสุพรรณบุรี ลพบุรี และนครนายกเพ่ือป้องกันพม่าเข้าโจมตี
กรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะเมืองนครนายกมีความสำคัญมากที่จะป้องกันศึกทางเขมรมารุกราน แต่ปัจจุบัน
ได้ถมกำแพงเมืองนครนายกเป็นถนน สันคูเมือง แนวป้อม และคูเมืองทิศตะวันตก ซ่ึงติดกับสหกรณ์ออม
ทรัพย์เมืองนครนายก พน้ื ทภ่ี ายในเมืองเป็นท่ีปลูกสรา้ งอาคารเพื่ออยู่อาศัย (เมืองนครนายก : 2535,70)
พ.ศ.2113 ภายหลังที่กรุงศรีอยุธยาเสียเมืองแก่พม่าครั้งที่ 1 พระยา
ละแวกได้ยกทัพเข้ามาทางเมืองนครนายก กรมการเมืองนครนายกได้ส่งข่าวทัพเขมรมายังกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชา เม่ือทัพเขมรเข้ามาถึงชานพระนครได้ต่อสู้กับทัพชาวกรุงฯ จึงต้องถอย
ทัพกลับไป แล้วกวาดต้อนครัวตำบลบ้านนาและนครนายกกลับไปเมือละแวก ต่อมา พ.ศ.2129 พระยา
ละแวกยกทัพเข้ามาตีเมืองนครนายก แต่ทัพไทยได้ต่อต้านจนทัพเขมรแตกออกไปทางด่านหนุมาน (พระ
ราชพงศาวดารเลม่ 1 ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) : 2533, 123 และ 188.)