The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเล่ม_ประวัติศาสตร์นครนายก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chatchai chuangchai, 2021-05-13 08:54:19

รวมเล่ม_ประวัติศาสตร์นครนายก

รวมเล่ม_ประวัติศาสตร์นครนายก

๙๗

อาหารการกินในจังหวัดนครนายกมีความอุดมสมบูรณ์ และสำคัญเก่ียวโยงกับขนมธรรมเนียม
ประเพณีอย่างแยกไม่ออก โดยเฉพาะมีความหมายแฝงเร้นก่อให้เกิดกำลังใจและสัมพันธ์กับอาชีพ
เกษตรกรซ่ึงเป็นอาชีพหลักในท้องถิ่น ตลอดจนเป็นสัญลักษณ์บ่งช้ีถึงกลุ่มชน เชื้อชาติต่างๆที่มีอยู่ใน
จังหวัดนครนายกเป็นอย่างดี

ประเพณีท่ีคนในท้องถิ่นยึดถือปฏิบัติ เป็นประเพณีท่ีเก่ียวกับชีวิตของบุคคล เช่น การเกิด การ
อปุ สมบท การแต่งงาน และการตาย

ประเพณีเก่ยี วกบั การเกิด(ศิลปวฒั นธรรมไทย เล่มที่ ๓,๒๕๒๕,๑๐๐-๑๐๕)ชาวนครนายกมคี วาม
เชื่อหรือคตินิยมเกี่ยวกับ “การเกิด” จนได้ยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมา ทั้งน้ีเพ่ือป้องกันเหตุร้ายอันอาจเกิด
แก่หญิงมีครรภ์ซึ่งเป็นอันตรายได้ง่าย ให้คลอดลูกง่ายไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ตลอดจนปกป้องทารกท่ี
คลอดใหม้ ชี ีวติ เจรญิ เติบโตตอ่ ไปเน่อื งจากเปน็ ระยะทร่ี า่ งกายบอบบางและออ่ นแอตายง่าย

พิธีการ การตั้งครรภ์เส่ียงต่ออันตรายต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้ง่าย ทำให้ใจคอไม่สบาย ขวัญไม่ดี จึง
หาวิธีปดั เป่า เช่น หาตะกรุดพสิ มรสำหรับผูกข้อมือ หรือคลอ้ งเฉวียงบา่ ไว้กนั ตัวจนกวา่ จะคลอดจงึ เอาออก
สามารถปกป้องผีร้ายได้ นอกจากน้ันยังมีข้อห้ามหลายประการ เช่น หญิงมีครรภ์ห้ามไปเผาศพหรือเยี่ยม
คนไข้หนัก และดูผู้จะคลอดลูกไม่ได้ เพราะอาจเสียขวัญ และเด็กอาจอายพาลไม่ออกจริง การคลอดลูก
เจบ็ ปวดมากหา้ มหญิงมีครรภ์เข้าไปภายในเขตมณฑลขณะท่ีพระทำสังฆกรรมสวดญัตติ เพราะทำใหค้ ลอด
ลูกยาก อาจเป็นเพราะเสียงของคำว่าญัตตินั้นใกล้กับเสียงยัด ห้ามหญิงมีครรภ์ตกปลาล่าสัตว์ กล่าวเท็จ
ตรึงตะปูหรือหมุด ห้ามเย็บปักหมอน ห้ามน่ังหรือยืนคาประตู ห้ามนอนหงาย ด้วยเด็กจะเบ่งท้องให้แตก
แต่แท้ทจ่ี ริงนอนหงายจะรู้สึกอดึ อัด

เม่ือเจ็บท้องถึงกำหนดคลอดลูก คนในบ้านต้องไม่ล้มฟืนที่กองไว้เพื่อต้มน้ำเตรียมไว้ใช้ในเวลา
คลอด โดยเปดิ ประตหู น้าตา่ ง ไขสลัก ไขกุญแจตูล้ น้ิ ชัก หรือสิง่ อนื่ ทีล่ ัน่ ไวอ้ อกใหห้ มด ห้ามหญิงมีครรภ์ยา่ ง
กรายเข้าไปเพราะเด็กในท้องจะอายไม่ยอมคลอดเวลาคลอดให้เลือกหาทิศ คือหันหน้าไปทางทิศ
ตะวนั ออกหรือทศิ เหนอื บางคนอาจหนั ไปทางประตูซึ่งเป็นทางออก ขณะเจ็บท้องถ่ใี หจ้ ุดธปู เทียนบูชาพระ
ภูมเิ จ้าที่เป็นการขอขมาลาโทษเพราะถือวา่ การคลอดลูกเปน็ มลทนิ

เม่ือเด็กคลอดออกมาถึงพื้น เรียกว่า “ตกฟาก” ให้เอาผ้าปูรองรับและคลุมไว้ไม่ให้ถูกลม ท้ิงไว้
สักครู่ เวลาที่ตกฟากน้ันจะจดในใบลานม้วนเล็กกลมเก็บไว้ เวลาเกิดไม่มีนาฬิกาดูจึงคะเนจากเงาแดดใน
เวลากลางวัน และเดาจากไก่ขันในเวลากลางคืน ส่วนการตัดสายสะดือน้ันใช้เชือกหรือด้ายดิบผูกสาย
สะดือเป็นสองเปลาะรัดปมให้แน่นท้ิงระยะหว่างกลางตรงท่ีจะตัด บางทีอาจผูกคอกระต่ายเป็น ๓ เปลาะ
และคาถานะโมพุทธายะท้ัง ๓ เปลาะ ที่ผูกแนน่ เพื่อใหเ้ ลือดลมเดินสะดวก เด็กจะรู้สึกชาเม่ือตัดสายสะดือ
ใชผ้ ัวไมร้ วกตัดส่วนทีต่ ิดกบั สะดอื เดก็ ขนาดยาวเสมอเข่า

การอาบน้ำเด็ก ให้ผู้อาบนง่ั เหยยี ดขาทัง้ สองออกให้ตรง อุ้มเด็กวางลงในช่องหว่างแขง้ หันหัวเด็ก
ไปทางปลายเท้า การอาบบนหน้าแข้งเรียกว่า อาบ และการอาบน้ำเด็กในอ่างเรียกว่า แช่ ผู้มีอันจะกิน
นิยมเอาของมีค่า เช่น สร้อยทองใส่ลงในอ่างเพื่อให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นคนมั่งมีด้วยทรัพย์สินเงินทอง เมื่อ
อาบน้ำเด็กเสร็จแลว้ อุ้มเด็กลงกระด้ง ใชห้ ลงั กระด้งเพราะมีลักษณะนนู และหยุ่น ไม่ต้องกลวั เดก็ จะกลิ้งตก
ใช้ผ้ารองนอน ถ้าเป็นเด็กผู้ชายให้จัดสมุดดินสอวางไว้เพ่ือให้รู้จักเขียนหนังสือ ถ้าเป็นเด็กหญิงให้วางเข็ม
และด้าย เพราะเมื่อเติบโตจะได้รู้จักเย็บปักถักร้อย นอกจากนั้นให้วางผิวไม้รวกที่ตัดสายสะดือซุกไว้ใต้ผ้า
ในกระด้ง เสร็จแล้วหมอตำแยยกกระด้งขึ้นร่อนเบาๆพอเป็นพิธี แล้ววางกระแทกกระด้งแต่เบาพอให้เด็ก
ตกใจร้องแว้ ทำเช่นนี้ ๓ ครง้ั ปากก็พูดว่า “สามวันลูกผีส่ีวันลูกคน ลูกของใครรับไปเน้อ” ผู้ท่ีนั่งเป็นหญิง

๙๘

คนเลี้ยงลูกง่าย และมีความประพฤติดี จะตอบว่า “ ลูกข้าเอง”หมอตำแยจะส่งไปให้หญิงผู้น้ัน ผู้ที่รับ
เรียกว่าแม่ยกให้เงนิ แก่หมอตำแย

เมื่อเด็กคลอดครบ ๓ วันแล้ว พ่อแม่ย่อมทำขวัญกันในครอบครวั และเมื่อครบเดือนแล้วให้ทำพิธี
โกนผมไฟและทำขวัญเป็นการใหญ่ การทำขวัญวันท่ี ๓ ให้จดั บายศรีปากชาม เครืองบัตรพลีสำหรับสงั เวย
พระภูมเิ จ้าที่ มีปลาช่อนต้มยำ มะพร้าวอ่อน กล้วยนำ้ ว้าประเภทละหน่ึง ขนมต้มแดงต้มขาวและขนมอ่นื ๆ
ตามสมควร พร้อมดอกไม้ธูปเทียนส่วนเคร่ืองใช้ในการทำขวัญมีแป้งหอม น้ำมันหอมหรือกระแจะสำหรับ
จุณเจิม ข้าวสารบรรจุลงขันแล้วปักแว่นเทียน ๓ เล่ม เสร็จทำขวัญแล้วเอาด้ายสายสิญจน์เสกผูกที่ข้อมือ
เด็กท้งั สองข้างเรียกวา่ “ผูกขวัญ” แล้วให้ศลี ใหพ้ ร อาจย้ายเดก็ จากกระด้งมานอนเปล

เม่ือเด็กอายุครบเดือนกับอีก ๓ วันแล้ว เป็นอันว่าล่วงพ้นอันตรายจากโรคภัยไข้เจ็บ เนื่องจากมี
ความเชื่อวา่ ผีทำ จงึ จัดการให้โกนผมไฟโดยทำบตั รพลีสังเวยพระภมู เิ จ้าท่ีตามธรรมเนียม ผมทีโ่ กนให้เหลือ
ไว้ที่ขม่อมหย่อมหน่ึง เพราะขม่อมยังบางอยู่ ส่วนผมที่โกนแล้วบรรจุลงในกระทงมีใบบัวหรือบอนรองก้น
มดี อกไม้ปนไปด้วย แล้วนำไปลอยนำ้ หรอื ทิง้ ไปตามสะดวก ผนู้ ำไปลอยควรกล่าวว่า “ ขอให้อยเู่ ยน็ เป็นสุข
เหมือนแม่พระคงคา” ต่อจากนั้นญาติพ่ีน้องทำพิธีเอาด้ายขวัญผูกข้อมือข้อเท้าและให้พรตามประเพณี
ส่วนผมท่ีเหลือไว้หย่อมหนึ่งกลางขม่อมจากการโกนผมไฟน้ันให้ปล่อยไว้จนผมยาวเพื่อจะได้ไว้จุกแล้วทำ
พธิ ีโกนจุกอีกคร้ังหน่ึงเม่ือเติบโตเขา้ วยั หนุ่มสาว อกี ทง้ั มีความเชื่อว่าเพ่ือเป็นที่พกั ของขวญั ถา้ ไม่มีผมเหลือ
ไว้ขวญั จะไม่มีท่อี ยแู่ ล้วย่อมหนีไป

ปัจจุบันเมื่อสตรีต้ังครรภ์จะฝากครรภ์กับพยาบาลตามสถานีอนามัยหรือสูตินารีแพทย์ที่
โรงพยาบาล เป็นเหตุให้มีความกลัวน้อยกว่าสตรีสมัยโบราณจึงไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดผูกตะกรุดพิสมร ส่วน
เรื่องความเช่ือและข้อห้ามต่างๆยังปฏิบัติกัน เช่น หญิงมีครรภ์ห้ามไปเย่ียมคนไข้หนักหรือเผาศพ ห้ามยืน
คาประตู เป็นต้น เมื่อถึงเวลาคลอดสตรีน้นั นยิ มไปท่สี ถานีอนามัยประจำตำบลหรือโรงพยาบาล (ส่วนใหญ่
จะเป็นโรงพยาบาล) หลังจากคลอดแล้วอาจพกั อยู่ท่ีสถานพยาบาล ๓-๗ วัน หรือสุดแล้วแต่ความแขง็ แรง
ของมารดาและทารกเมื่อเด็กอายุครบเดือน ปู่ย่า ตายาย หรือบิดามารดานิยมทำพิธีโกนผมไฟให้เด็ก โดย
โกนทง้ั ศีรษะไมเ่ หลือไว้เป็นจุกเปน็ แกละเช่นในสมยั โบราณ

พิธีกรรมท่ีเก่ียวกับการเกิดของชาวมุสลิม (สัมภาษณ์นายสมชาย ม่ันคง) ชาวบ้านต่างมาชุมนุม
แสดงความยินดีกันท่ีบ้านของหญิงมีครรภ์ใกล้คลอด เม่ือเด็กคลอดออกมาแล้วให้ทำความสะอาด ทำ
พิธีอะซาล หมายถึง การประกาศสิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่เด็กโดยพ่อหรือญาติผู้ใหญ่เป็นผู้ประกอบพิธี
ประกาศท่ีหูข้างขวาของเด็กแล้วไปประกาศที่หูข้างซ้ายว่า อิกอบะฮ์ ส่วนการตั้งช่ือและโกนผมไฟให้ทำ
ภายใน ๗ วัน ผมไฟท่ีโกนออกมานำไปช่ังน้ำหนักเพ่ือซ้ือทองคำหนักเท่ากันแจกจ่ายให้คนยากจน พิธี
สมโภชเด็กจะเชญิ คนในหมู่บา้ นมาเลีย้ งอาหารกัน ถ้าเป็นเด็กชายใหท้ ำอะกิดอฮ์ คือเชือดแพะหรือแกะ ๒
ตวั ถ้าเป็นเด็กหญงิ ให้เชอื ดเพียง ๑ ตัว แตถ่ า้ ฐานะทางการเงนิ ไม่ดอี าจทำทหี ลงั ก็ได้

การต้งั ช่ือใหผ้ ู้มีความร้ตู ัง้ ช่ือเด็กเป็นมงคล มคี วามหมาย และเกยี่ วข้องกับอิหม่าม ส่วนช่ือเลน่ ของ
เดก็ ทุกคนไม่มี ส่วนช่อื ในทะเบียนบ้านน้ันแลว้ แต่ความนิยมของบุคคลน้นั ๆอาจต้งั ชื่อเปน็ ไทยกไ็ ด้

พิธีกรรมที่เก่ียวกับการเกิดของผู้ท่ีเป็นคริสต์ศาสนิกชน เมื่อมีเด็กเกิดใหม่ในครอบครัว บิดา
มารดาจะพาทารกไปทำพิธีจุ่ม(Baptism) หรือ “ พิธีล้างบาป” ในสมัยโบราณประกอบพิธีดังกล่าวตั้งแต่
ทารกอายุไมเ่ กิน ๗ วนั แต่ปัจจบุ ันทำเมอ่ื อายุ ๓ เดือน ถงึ ๑ ขวบ เพราะมคี ตคิ วามเชอื่ ว่ามนุษย์เกดิ มาทุก
คนมีบาปติดตัวมาด้วย เด็กท่ีเกิดใหม่และผู้ที่จะเข้าไปคริสต์ศาสนิกชนทุกคนควรให้บาทหลวงทำพิธีเพื่อ
เป็นผู้บริสุทธิ์ และเป็นการปฏิบัติตามอย่างพระเยซู เมื่อพระองค์มีพระชนมายุ ๓๐ พรรษาน้ันได้มอบตัว

๙๙

เป็นศิษยข์ องนักบวชองค์หนึ่งมีนามว่า “โยฮัน” ด้วยการรับพิธีศีลจุม่ ท่ีแม่น้ำจอร์แดนเป็นการประกาศตน
เป็นศษิ ย์และเปน็ ผู้เข้าถึงพระเจ้า

พิธีการ (สัมภาษณ์นางอำนวย พุมมี) บิดามารดานำเด็กทารกไปยังโบสถ์พร้อมกับพ่อทูนหัว
สำหรับทารกเพศชาย และแม่ทูนหัวสำหรับทารกเพศหญิง ทั้งนี้เลือกคนที่มาจากครอบครัวท่ีดี แล้ว
บาทหลวงประกอบพิธีใช้ผ้าขาววางที่หน้าอกเด็ก ถ้าเป็นคนโตสามารถยืนถือผ้าได้ก็ให้ถือเองด้วยมือทั้ง
สองข้าง มารดาเป็นผู้อมุ้ เด็กขณะบาทหลวงทำพิธีด้วยการเจิมน้ำมันศักด์ิสิทธิ์ท่ีหน้าผาก จมกู และหน้าอก
ของเด็กเป็นรูปไม้กางเขนพ่อทูนหัวหรือแม่ทูนหัวเป็นผู้ให้คำม่ันสัญญาแทนเดก็ ผู้รับศลี ว่าจะดูแลอบรมลูก
ทนู หัวให้เปน็ ครสิ ตศ์ าสนกิ ชนทดี่ ี

พิธีทำบุญวันเกิด (สมชัย ใจดี และยรรยง ศรีวิริยาภรณ์,๒๕๒๗,๙๘๒๑๐๐) ค่านิยมของการ
ทำบุญวันเกิดตามสุริยคติเริ่มในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศล
ประจำปีเรียกว่า “ วันเฉลิมพระชนมพรรษา” ต่อมามีเจ้านาย ขุนนางข้าราชการปฏิบัติตามจึงทำบุญวัน
เกดิ กนั มากขน้ึ จนเปน็ ประเพณีสบื ทอดมาถงึ ปัจจุบนั

การทำบญุ วันเกดิ ในปัจจบุ ันนยิ มจดกันเฉพาะผู้ท่ีมีฐานะพอจะทำไดต้ ามประเพณี ส่วนใหญ่เรม่ิ ทำ
ตั้งแต่อายุ ๒๕ ปีขึ้นไป ซึ่งเรียกว่าเบญจเพส ต่อจากน้ันอาจทำบุญวันเกิดทุกปีเรื่อยไป หรือทำเม่ือ
ครบรอบ ๑๒ ปี คือ อายุ ๓๖, ๔๘, ๖๐, ๗๒, ๘๔ ปีก็ได้ถือว่าอายุครบรอบดังกล่าวน้ันเป็นมงคลชีวิตจึง
ควรทำบญุ เปน็ การใหญ่เพ่อื เฉลิมฉลองวันเกิด

การทำบุญวันเกิดในสมัยโบราณถือเอาวันครบรอบวันเดือนเกิดตามจันทรคติ คือ วันข้างข้ึน
ข้างแรมเป็นเกณฑ์ แต่ปัจจุบันส่วนมากนับวันตามปีปฏิทินเป็นหลัก เม่ือครบรอบวันเกิดในปีหนึ่งๆนิยม
ทำบุญตักบาตรเกินจำนวนอายุไปอีกหนึ่งรูปเท่ากับเป็นการต่ออายุอีกหน่ึงปี เช่น ถ้าอายุครบ ๒๐ ปี ควร
ตักบาตรพระ ๒๑ รูป เป็นต้น บางคนที่มีฐานะทางการเงินดีอาจทำบุญวันเกิดด้วยการทำบุญเลี้ยงพระที่
บ้านหรอื ทว่ี ดั โดยนิมนต์พระ ๙ รปู เพือ่ ความเจริญก้าวหน้าของชวี ติ

ประเพณีการอุปสมบท ตามคตินิยมและความเชื่อของชาวไทยโบราณน้ัน ชายไทยเมื่ออายุครบ
๒๐ ปีบริบูรณ์นิยมอุปสมบทเป็นพระภิกษุเพื่อตอบแทนพระคุณของบิดามารดา และศึกษาธรรมะของ
สมเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าเพือ่ นำหลกั ธรรมมาปฏบิ ตั ใิ นการครองเรอื น

พธิ ีการบวช มีดงั น้ี
ด้านพระวินัย ผู้จะบวชพึงมีคุณสมบัติ คือ เป็นชายอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ (นับแต่วันปฏิสนธิ
จนถึงวันอุปสมบท) เป็นคนท่ีควรแก่การบวช ไม่เป็นอภัพบุคคล ไม่เป็นโรคติดต่อหรือโรคไม่รู้จักหาย เช่น
โรคเร้ือน โรคกลาก โรคลมบ้าหมู เป็นต้น ทั้งนี้ไม่ห้ามเด็ดขาด รักษาหายแล้วบวชได้ เป็นผู้มีอวัยวะ
สมประกอบ ไม่พิการหรือทุพพลภาพ เช่น เป็นคนง่อยเปล้ีย หรือแก่จนง่อนแง่น ฯลฯ ไม่มีหนี้สิน ได้รับ
อนุญาตให้บวชจากบุพการี ผู้ปกครองและเจ้าสังกัดในราชการ ท้ังนี้เป็นผู้ไม่เคยต้องอาชญาหลวงจนมี
หมายปรากฏ เช่น ถูกเฆี่ยนหลังลาย ถูกสักหมายความผิด ตลอดจนไม่เป็นผู้ประทุษร้ายความสงบ เช่น
เปน็ โจรผู้ร้าย
ด้านการปกครองคณะสงฆ์ ตามระเบียบสังฆาณัติแห่งพระอุปัชฌาย์มีบัญญัติดังนี้ เป็นผู้มี
หลักฐาน ไม่จรจัด ประกอบอาชีพชอบธรรม เป็นสุภาพชนมีความประพฤติดีไม่เป็นนักเลง หรือเที่ยวเตรี
จนเป็นเหตุให้เสียหายในทางอ่ืน เช่น ติดฝิ่น ติดสุรา เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีความรู้สามารถอ่านและ
เขียนหนังสือได้ โดยมีประกาศนียบัตรหรือหนังสือของทางราชการรับรอง เป็นผู้ปราศจากบรรพโทษ มี
รา่ งกายสมบูรณ์ ไม่ชรา ไร้ความสามารถทุพพลภาพ และพิกลพกิ าร สามารถบำเพ็ญสมณกิจได้ ท้ังมีสมณ

๑๐๐

บริขารครบถ้วนและถูกต้องตามพระวินัย และสามารถกล่าวคำขอบรรพชาอุปสมบทได้ด้วยตนเองและ
ถูกตอ้ งไม่วบิ ัติ

การเตรียมบวช เม่ือมีคุณสมบัติต่างๆครบถ้วนสมบูรณ์ไม่บกพร่องแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองนิยมนำ
บุตรหลานของตนไปฝากฝังพระอุปัฌาย์หรืออาจารย์วัดใดวันหนึ่งตามท่ีเห็นสมควร ปรึกษาหารือกัน
กำหนดบวช การนำบุตรหลานไปมอบตัวอุปชั ฌายาจารย์นัน้ ควรนำไปก่อนวนั บวชอยา่ งน้อย ๑ เดือน โดย
มอบท่ีวัดกับพระอุปัชฌาย์ดีกว่ามอบตัวแต่ในนามแล้วกลับไปอยู่บ้าน การอยู่วัดใกล้ชิดกับพระภิกษุ
สามเณร จัดสนิทสนม รู้ขนบธรรมเนียมบางอย่างของพระจะได้ศึกษาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการ
ประพฤติปฏิบัติตนภายหลังเมื่อบวชแล้ว ท้ังมีโอกาสเล่าเรียนท่องบ่น เช่น การขานนาค (คำขอบวช)และ
การทำวัตร และเรียนรวู้ ิธีพนิ ทอุ ธษิ ฐาน เปน็ ตน้ เพราะเมื่อเสรจ็ พธิ ีบวชแล้วจะตอ้ งปฏิบัติทันที

วิธบี วช ประกอบดว้ ยข้นั ตอนดงั นี้
การทำขวัญนาคในวันสุกดิบ ก่อนถึงวันงานหนึ่งวันเรียกว่า “ วันสุกดิบ”ผู้มีฐานะดีนิยมให้สวด
มนต์ฉลองนาคไตรจีวรแล้วทำขวัญนาค เสร็จพิธีการมหรสพฉลองบางงานอาจทำขวัญนาคในตอนเช้า
เสรจ็ พิธีแล้วกแ็ หน่ าคไปวัด การทำขวญั นาค เปน็ พิธปี ลุกใจนาคและเจ้าภาพ คอื บดิ ามารดาผู้ปกครองให้
ช่นื บานร่าเริง เป็นวธิ ีการสง่ั สอนที่แยบคาย เน้ือหาของคำขวัญนั้นกล่าวถึงประโยชน์ของการบวช เป็นการ
ชีแ้ นวทางเดินให้ผ้จู ะบวชตอ้ งปลงผมโกนหนวดใหเ้ กลย้ี งเกลากอ่ นทำขวญั นาค
การแห่นาคไปวัด รุ่งขนึ้ วันทจ่ี ะบวช มารดาบิดาหรือผู้ปกครองตระเตรียมแห่นาคไปวัดเพ่อื บวช
ตามเวลาท่ีกำหนด บางแห่งนิยมบวชเช้าก่อนเพลเพราะประสงค์จะฉลองพระท่ีบวชให้พ้นในวันนั้น คือ
เสร็จกิจในการบวชแลว้ สวดมนต์ถวายเล้ยี งพระเพลทวี่ ัดบางแห่งบวชเพลแลว้ นิยมสวดมนต์เย็นทีบ่ ้านเพื่อ
ฉลองพระบวชใหม่ในวันนน้ั กนั แตไ่ ปเลี้ยงพระสวดมนตใ์ นรงุ่ ขน้ึ วันใหม่
การวันทาสีมา เมื่อได้เวลาบวช พระอุปัชฌาย์ พระคู่สวดและพระอันดับประชุมในพระอุโบสถ
แล้ว มารดาบิดาหรือผู้เป็นเจ้าภาพนำนาคเข้าโบสถ์โดยแห่รอบโบสถ์เรียกว่า “ประทักษิณสีมา” จัดร้ิว
ขบวนให้นาคประนมมือดอกไม้ธูปเทียน มารดาอุ้มผ้าไตร บดิ าอ้มุ บาตรและตาลปัตร ผรู้ ่วมขบวนถือเครอื่ ง
อัฏฐบริขาร และเคร่อื งไทยธรรม เดนิ แห่รอบนอกเขตสีมา เวียนไปทางขวาให้ครบ ๓ รอบ เมือ่ ครบแล้วจึง
เข้าโบสถ์ แต่ให้นาคบูชาสีมาด้านหน้าพระอุโบสถ เป็นการแสดงความคารวะต่อสงฆ์เป็นเบื้องต้น อีกท้ัง
พระอุโบสถเปน็ ท่ีประดิษฐานพระพุทธปฏิมากร เปรยี บเสมือนสถานท่ีประทบั ขององค์สมเดจ็ พระสมั มาสัม
พทุ ธเจ้าจึงควรทจ่ี ะแสดงคารวะ
การบวชนาค เม่ือนาคเขา้ ไปในโบสถจ์ ะจุดเทียนบูชาพระประธานแล้วกลับนั่งทที่ ่ีจัดไว้เฉพาะ ให้
กราบบิดามารดาก่อนที่บิดามารดาจะส่งผ้าไตรให้นาค แล้วอุ้มไตรเดินคุกเข่าประนมมือเข้าไปขอบรรพชา
ต่อพระอุปัชฌาย์ เมื่อขอบรรพชาเสร็จแล้วออกมาครองผ้าและเข้าไปรับศีลจากพระคู่สวด (พระ
กรรมวาจาจารย์ หรือพระอนุสาวนาจารย์) แล้วจึงอุ้มบาตรเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์ กล่าวคำขอนิสัย แล้ว
พระอุปัชฌาย์คล้องบาตรให้ผู้บวชต่อจากน้ันให้ผู้บวชไปยืนห่างจากสงฆ์ประมาณ ๑๒ ศอก หรือกว่าน้ัน
เล็กน้อย (สดุ อาสนสงฆ์)
พระคู่สวดจะสมมติตนเป็นผู้สอนและซักถามผู้บวช เมื่อซักถามเสร็จแล้วพระคู่สวดถึงกลับเข้าไป
ท่ามกลางสงฆ์ เรียกผู้บวชเข้าไปขออุปสมบทต่อสงฆ์ และพระคู่สวดซักถาม “ อันตรายิกธรรม”(เป็นโรค
เรื้อน ฝี กลาก หืด ลมบ้าหมูหรือไม่ มีหนี้สินหรือไม่ พ่อแม่อนุญาตให้มาบวชหรือไม่) พอถามเสร็จจึงสวด
ญตั ติจตตุ ถกรรมวาจา

๑๐๑

การฉลองหลังบวช(ฉลองพระบวชใหม่) นิยมฉลองหลังบวชตามแต่ฐานะหรอื ความสะดวก นำ
อาหารคาวหวานไปเลีย้ งพระที่วดั เพือ่ เป็นการสู่ขวญั ให้กับพระบวชใหม่

ประเพณีการแต่งงาน การแต่งงานเป็นการเริ่มต้นของชีวิตครอบครัว พิธแี ต่งงานและการจดั การ
เกี่ยวกบั ครอบครวั เปน็ เครือ่ งช้ีถงึ ความมีวัฒนธรรมของมนุษย์ และแสดงถึงเอกลักษณ์ของสงั คม

คตินิยม การมคี ่คู รองเปน็ ธรรมชาติของมนุษยแ์ ละสตั ว์โลกอ่ืนๆ แตก่ ารท่ีคนเราจะเป็นสามีภรรยา
กนั แล้วมีพิธีรีตองมากมายนั้นเป็นส่งิ ที่แสดงเหตผุ ลในเชิงวัฒนธรรมมนษุ ยด์ งั เช่นคำกล่าวไทยโบราณว่า “มี
เมียผิดคิดจนตัวตาย ปลูกเรือนผิดคิดจนเรือนทลาย” หมายความว่าถ้าผู้ใดมักง่ายในการมีคู่ครองก็เป็น
เร่ืองท่ีจะต้องลำบากเอง และพิธีแต่งงานก็เป็นการป้องกันมิให้คนเราสมสู่กันง่ายเกินไปเหมือนสัตว์
เดรัจฉาน ซึ่งไมม่ ีความรับผิดชอบในผลทต่ี นกอ่ ขึ้น

พิธีแต่งงานเป็นพิธีช่ืนชมยินดีของครอบครัว ในสังคมไทยการออกเรือนหรือการแต่งงานแสดงถึง
ความเป็นผูใ้ หญข่ องฝ่ายชาย และการพ้นภาระเล้ียงดลู ูกสาวของพอ่ แมฝ่ า่ ยหญงิ หลงั จากแตง่ งาน

พิธีการ การแต่งงานของชาวนครนายก (วัฒนธรรมและประเพณีจังหวัดนครนายก,๒๕๓๙,๒๒-
๒๔.) มีระยะเวลาแตกต่างกัน บางท้องท่ีใช้เวลาจัด ๑ วัน หรือ ๒ วัน เช่นที่ ตำบลบางปลากด อำเภอ
องครักษ์ มีปรากฏท้ังพิธีวันเดียว และ ๒ วัน คือ พิธีวันเดียวจะมีพิธีกรรมต่างๆ รวมท้ังงานฉลองเสร็จใน
วันเดียว และพิธี ๒ วัน เช่นเดียวกับที่ตำบลโคกกรวด อำเภอปากพลี จัดพิธี ๒ วัน ซึ่งแตกต่างกันใน
รายละเอียดของพิธีกรรม คือ วันแรกของพิธีแต่งงานท่ีตำบลบางปลากดฝ่ายเจ้าสาวนิยมทำขนม เช่น
ฝอยทอง ทองหยิบ ฯลฯ เตรียมไว้สำหรับเลี้ยงขบวนขันหมาก ผู้ต้อนรับ และผู้มาร่วมงานในวันที่ ๒ ของ
วันจริง ส่วนท่ีตำบลโคกกรวดใน วันแรกของพิธีเจ้าบ่าวพึงไปฟังพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ที่บ้าน
เจ้าสาว ส่วนวันท่ีสองจะจัดคล้ายกัน คือ เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ นิมนต์พระสงฆ์มาฉันเช้า ๙ รูป บ่าวสาวรว่ มตัก
บาตร ฟังพระสวดมนต์ ถวายอาหาร รบั ศีล รับพรและพระสงฆจ์ ะรดน้ำมนต์ให้บา่ วสาว

หลังจากพิธีทางศาสนาแล้วจะมีการยกขันหมาก ซึ่งเคร่ืองเชิญขันหมากประกอบด้วยกล้วย ๑ คู่
อ้อย ๑ คู่ มัดติดกันด้วยกระดาษแดงหรือผ้าแดง ขันหมาก ๑ คู่ ใส่หมาก ๙ ผล พลู ๙ เรียง ล้อมด้วยใบ
รกั และใบเงินใบทอง ขนมต้ม (ตาควาย) ๑ คู่ ใส่ขันละ ๙ ลูก ข้าวเหนยี วแดง ๑ คู่ เหล้า ๑ ขวด ไก่ ๑ ตัว
มะพร้าวอ่อน ๑ คู่ ใส่ขันละ ๑ ผล กล้วย ๑ คู่ ใส่ถาดอย่างน้อย ๒ หวี หรือ ๔ หวี เมล็ดพันธุ์ถ่ัว งา และ
ข้าวเปลือก ๑ พาน ซึ่งแต่ละท้องท่ีอาจแตกต่างกันบ้างข้ึนอยู่กับความเชื่อของท้องถิ่นนั้น ๆ เช่น เจ้าสาว
เป็นคนจีนให้เพิ่มขาหมู ๑ คู่ วุ้นเส้น ๑ คู่ถาด ขนมปลา ๑ คู่ ขนมจันอับ ๑ คู่ถาด เจ้าสาวเป็นคนไทยแท้
ให้เพ่มิ ขนมกง ๑ คู่ ขนมชะมด ๑ คู่ ถ้าขันหมากลาวใหจ้ ัดเครื่องขันหมากใสโ่ ตก มีผ้าขาวหุ้ม พร้อมหกู ทอ
ผ้า

เครื่องขันหมาก ประกอบด้วย จีบหมากก้านพลู ๔ คำ ขันเงิน บายศรี (พาขวัญ) เอาผ้าขาวคลุม
ให้สาวพรหมจารีย์(สาวบริสุทธิ์) ๒ คนหาบ แห่เจ้าบ่าวตามไป มีคนกางร่มให้ตัวเจ้าบ่าวถือยอดกล้วย
ยอดอ้อย เทียนผา่ น หวั ขมน้ิ เปน็ แวน่ ร้อยเป็นพวงมาลัยถอื ไปด้วย

เม่ือเตรียมขันหมากเรยี บร้อยแล้วให้ผู้สมมติเป็นเทวดาไปบอกผเู้ ชญิ ขันหมากมา โดยมีเครอื่ งเชิญ
ขันหมากดังกล่าว ก่อนแห่ขันหมาก ฝ่ายชายต้องทำพิธีส่องขันหมากโดยจุดไต้ (สมัยก่อน) หรือจุดเทียน
(สมัยปจั จบุ ัน) ทำทกั ษิณาวรรต ๓ รอบ ส่องแลว้ จึงยกขันหมากไป

การแห่ขันหมาก คู่แรกเป็นขันเงิน ขันทอง (ใส่สินสอดทองหม้ันตามท่ีเรียกร้อง)ให้เด็กหญิงหรือ
เด็กชายถือ คู่ต่อมาเป็นขันหมากเอก ใส่หมาก พลู ขนมต้ม เหล้า ไก (คนยกขันหมากเอกต้องเป็นคนสามี
เดยี ว ภรรยาเดียว) มะพร้าวออ่ นให้หญิงพรหมจารีย์(สาวบริสทุ ธิ์)ถือ คอู่ น่ื ๆให้ใครถอื กไ็ ด้

๑๐๒

เม่ือแหข่ ันหมากไปถึงบ้านเจา้ สาว ฝา่ ยหญิงจะตรวจขนั หมากก่อน แลว้ จุดธูปบอกผปี ยู่ ่าตายายจึง
ยกข้ึนบ้าน ต่อจากนั้นเทขันหมากพลูไว้บนใบตองที่จัดเตรียมเรียงไว้ ๓ ก้าน (คนเรียงหมากพลูควรเรียง
เป็น ฉลาดในการเลือกใช้ใบพลู (ไม่อ่อน-ไม่แก)่ ผ่ึงลมไว้พอนิ่ม จุ่มน้ำให้เปียกแล้วเรียงใส่ขัน ขันท่ีใชใ้ สพ่ ลู
เรียงไม่ควรมีขอบช้ันใน วิธีเรียงให้เวียนจากซ้ายไปขวาจนพอกับความต้องการแล้วจึงใส่หมากพลูลงไป)
ควรเทแล้วหมุน เพื่อไม่ให้หมากพลูที่เรียงไว้น้ันแตก เลือกคนที่เทได้เป็นผู้ทำพิธี โดยตรวจดูว่าผู้เรียงพลู
น้ันถูกต้องหรือไม่ (ถ้าเรียงพลูไม่เป็น เวลาเทหมากพลูจะแตกง่าย) ขันมีขอบข้างในหรือไม่ น้ำที่พลูแห้ง
หรือไม่ (ถ้าแห้งควรทำน้ำมนต์พรมก่อนเพ่ือให้น้ำจับใบพลู) เม่ือพอใจทุกอย่างแล้วจึงคว่ำขันใส่มือไม่ให้
หมากหล่น แล้วหมุนใบพลูตามท่ีเรียงนั้นจนแน่ใจกระชับแน่นดีแล้ว จึงเทคว่ำขันเป็นการเสียงทาย ถ้า
เรียงพลูแตกแยกจากกันเป็นลางว่าบ่าวสาวอยูด่ ้วยกันไม่ยืดยาว ถ้าพลูเกาะกันแน่นไม่แตกแล้ว คู่บ่าวสาว
ย่อมรักใคร่กัน อยู่เย็นเป็นสุขยั่งยืนนาน ดังนั้นหากไม่แน่ใจว่าเทขันหมากพลูจะทำให้เรียงพลูแตกหรือไม่
ก็ไม่ควรเท แต่ให้พูดเป็นมงคลว่าขันหมากพลูท่ีจัดทำมาดี สวยงามถูกต้องตามประเพณี ฤกษ์งามยามดี คู่
บ่าวสาวคู่น้ีจะอยู่ดีมีสุข มีความเจริญรุ่งเรือง มีความรักย่ังยืน เทวดารักษา ขันหมากพลูน้ีเป็นสิริมงคลดี
แล้วไม่ต้องเทก็ได้ เป็นต้น จากน้ันแบ่งขนมขันหมากให้ฝ่ายชายและหญิงฝ่ายละครึง่ เป็นการแสดงความ
สามัคคีปรองดอง รักใคร่กลมเกลียวกัน ขนมท่ีแบ่งนั้นนำไปไหว้ผีข้างนอก ส่วนขันหมากเอกและมะพร้าว
ออ่ นใช้ทำพธิ ไี หวผ้ ี เจา้ พิธีกล่าวคำไหวผ้ แี ล้วเจา้ บ่าวเจ้าสาวจดุ เทียนและกราบ เม่อื เจา้ พิธกี ลา่ วคำไหว้ผจี บ
จงึ กราบอกี ครง้ั

หลังจากนนั้ ทำพิธีไหว้ญาตฝิ ่ายเจ้าสาว ญาติฝ่ายเจ้าสาวนำผ้าผูกแขนใหเ้ จ้าบ่าว ไหว้ญาติเสรจ็ ให้
คนจูงแขนเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าห้อง จัดผู้ใหญ่ที่เป็นครอบครัวรักใคร่กลมเกลียวมาปูและจัดที่นอน แทรก
ความเช่ือปลีกย่อย เช่น การฝันดี การนำเงินทองมาวางบนท่ีนอนให้บ่าวสาวช่วยกันเก็บเป็นต้น แล้วจึง
เล้ยี งอาหารแขกทง้ั สองฝ่าย

พิธีวันแต่งงานของชาวจีน เม่ือได้ฤกษ์ฝ่ายชาย (เจ้าบ่าว) จะรับเจ้าสาวไปบ้านของตน (ส่วน
ใหญ่เป็นเวลาเช้ามืด) บางบ้านบิดาฝ่ายหญิงนิยมนำน้ำใบทับทิมมาพรมรถที่มารับเจ้าสาวและจุดประทัด
เม่ือถึงบ้านเจ้าบ่าว ฝ่ายเตรียมงาน (ญาติผู้ใหญ่) จะนำบัวลอยไข่หวานท่ีต้มเตรียมไว้ให้คณะไปส่งเจ้าสาว
รับประทานเพื่อเป็นสิริมงคล แล้วมีพิธีไหว้เจ้าและเซ่นไหว้บรรพบุรุษท่ีล่วงลับไปแล้ว จากน้ันเจ้าสาว
ประกอบพธิ ียกนำ้ ชา (พธิ ีคลา้ ยกับการผกู แขกหรอื การรับไหวข้ องพิธีแตง่ งานไทย) เมอ่ื ยกน้ำชาแสดงความ
คาราวะผใู้ หญ่ ผใู้ หญห่ รือญาติฝ่ายชายพึงใหเ้ งินทองเปน็ ของตอบแทน สว่ นตอนคำ่ มีงานเล้ียงฉลองเช่นกนั

การแต่งงานของมุสลิม มุสลิมพึงแต่งงานกับมุสลิมด้วยกัน ถ้ามีความจำเป็นต้องแต่งงานกับคน
ต่างศาสนา ควรมีข้อตกลงให้ยอมรับศาสนาอิสลามก่อน เพ่ือให้การปฏิบัติไปในทางเดียวกัน ทั้งนี้ยังมีข้อ
ห้ามสำคัญท่ีพึงปฏิบัติ คือ ห้ามชาวมสุ ลิมแต่งงานกับเครือญาติใกลช้ ิด 7 ตำแหนง่ ได้แก่ บิดาหรือมารดา
บตุ รหรอื ธดิ า พ่ีหรือนอ้ งผู้ร่วมบิดามารดา บตุ รหรือธิดาของพ่ีหรือนอ้ งชาย บุตรหรอื ธิดาพี่หรอื น้องหญิง ผู้
มีความสัมพันธ์ทางด่ืมน้ำนมร่วมกันมี 2 ตำแหน่ง คือ แม่นม และพี่หรอื น้องที่ร่วมดื่มน้ำนมจากแม่นมคน
เดียว

พิธีแต่งงานของไทยมุสลิม เรียกว่า “นิกะห์” ในวันแต่งงานฝ่ายชายนำขบวนแห่ไปบ้านฝ่ายหญิง
แล้วทำนิกะห์ (แต่งงาน) มีวาสี (สินสอนทองหม้ัน) และเงินตามท่ีตกลงกันคล้ายกับประเพณีของไทย มี
พยานเปน็ ผปู้ ฏิบัตหิ นา้ ทแี่ ต่งใหต้ ามพิธีทางศาสนารบั ศลี รับพร และเลย้ี งอาหาร

พิธีแต่งงานของคริสต์ศาสนิกชน เป็นพิธีท่ีคริสต์ศาสนิกชนถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด บาทหลวง
เป็นผู้ให้พรคู่บ่าวสาวในการสมรสเพื่อประกาศความรักและความซ่ือสัตย์ของคู่สมรสให้พระเจ้าทรงทราบ

๑๐๓

เร่ิมพิธีด้วยคู่สมรสเดินเข้าสู่โรงสวดพร้อมผู้ติดตามเป็นสักขีพยาน 2 คน แล้วไปหมอบตรงหน้าแทนบูชา
บาทหลวงประกอบพิธีต้อนรับโดยกางแขนทั้งสองออกเป็นการรับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรส
บาทหลวงสอบถามคู่สมสรให้ทั้งสองกล่าวคำยืนยันเจตนาอันแน่วแน่ที่จะรับเป็นของกันและกันแล้วจึง
กล่าวคำประสาทพร

ประเพณเี ก่ียวกบั การตาย มีคตนิ ิยมและพธิ กี ารดงั ตอ่ ไปน้ี

คตนิ ิยม ตามคติธรรมทางพระพุทธศาสนาปรากฏวา่ สงั ขารมนุษย์น้ันเป็นสภาวะไม่เที่ยง
แท้แน่นอน และความตายน้ันอาจเกิดข้ึนเมื่อใดก็ได้ ประเพณีการทำศพในสมัยโบราณทำกันที่บ้าน แต่ใน
ปัจจุบนั นยิ มปฏบิ ัตกิ นั ทวี่ ดั

พิธีการ มีพิธีเกี่ยวกับการตายและศพตามลำดับ คือ (ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่มท่ี 3,
2525, 113-126.)

การบอกหนทาง คือ การบอกทางให้แก่ผู้ที่ป่วยหนักใกล้จะส้ินใจ โดยญาติผู้ใหญ่หรือ
บุตรธิดาเป็นผู้จัดหาดอกไม้ธูปเทียนให้แก่ผู้ใกล้ส้ินใจถือประนมมือไหว้ บางครั้งนำพระพุทธรูปไปต้ังไว้
ใกล้ๆ พร้อมทงั้ ยำ้ บอกให้ระลึกถงึ คุณพระรัตนตรัยเพื่อจิตเป็นกุศลแลว้ ย่อมตายอยา่ งสงบ

การอาบน้ำศพ ลูกหลานญาติพ่ีน้องเป็นผู้อาบน้ำศพเพ่ือชำระให้สะอาด ท้ังน้ีตามคติ
โบราณของพุทธศาสนิกชนควรระลึกถึง พร้อมกล่าวคำภาษาบาลีและภาษาไทยหรืออาจกล่าวอย่างใด
อย่างหนึ่งใจความว่า “อิทัง มะตะกะสะรีรัง อุทะกัง วิยะ สิญจิตัง อะโหสิ กัมมัง แปลว่า ขอให้เวรกรรมท่ี
ผตู้ ายกับเราได้ก่อกรรมนน้ั ไวน้ ี้ จงเปน็ อโหสิกรรมสน้ิ เวรส้นิ กรรมเหมือนนำ้ ท่ีรดลงศพนเ้ี ถดิ ”

การรดน้ำศพ เมื่ออาบน้ำและแต่งตัวศพเรียบร้อยแล้ว ให้ยกศพข้ึนนอนบนเตียงท่ี
จัดเตรียมไว้ คลุมศพด้วยผ้าแพรแล้วหาผ้าสวยๆ มาคลุมทับอีกช้ันหนึ่งเพื่อกันอุจาดตา แบมือขวาศพย่ืน
ออกไปนอกเตียง หันศรี ษะไปทางทิศตะวันตก แตถ่ ้าสถานที่ไม่อำนวยให้หันศีรษะไปทางทศิ อ่นื ที่เหมาะสม
กับสถานที่ มีหมอนใบเล็กๆ 1 ใบ สำหรับรองมือศพ จัดภาชนะสำหรับรองรับน้ำท่ีไหลจากการรดศพซึ่ง
เป็นน้ำหอมไทย เม่ือผู้มีเกียรติและญาติมิตร รดน้ำศพโดยกล่าวคำท่ีเป็นคตินิยมของพุทธศาสนิกชน
ดังกลา่ วข้างตน้ เสร็จแลว้ ใหเ้ ตรียมบรรจศุ พใสโ่ ลงเพื่อสวดพระอภิธรรมในเวลากลางคนื ต่อไป

อนึ่งเวลาไหว้ศพตามคติโบราณน้ันควรกล่าวดังน้ี “เอวัง มะยา มะริตัพพัง” แปลว่า
“ไม่ใช่ตายแต่เขา แมแ้ ต่เราก็ต้องตายอย่างนี้เหมือนกัน”

การแตง่ ตวั ศพ ควรปฏิบตั ิตามลำดับดังน้ี
หวีผมศพ ให้หวีต่างคนธรรมดาสามัญ ส่วนใหญ่ท่ีปฏิบัติกันมาไม่เหมือนกัน

บ้างว่าควรหวี 3 หนเท่าน้ัน บ้างว่าให้หวีผมกลับไปข้างหน้าซีกหน่ึง หวีไปข้างหลังอีกซีกหน่ึงการที่หวีไป
ข้างหน้าและข้างหลังนั้นอธิบายว่าหวีสำหรับคนตายครึ่งหนึ่ง และหวีสำหรับคนที่เกิดครึ่งหน่ึง เมื่อหวีศพ
เสร็จแล้วต้องหักหวีออกเป็น 2 ท่อน แล้วขว้างท้ิงไปบางท้องท่ีหักหวีออกเป็น 3 ท่อนแล้วกล่าวคำว่า
“อนิจจัง ทุกขังอนัตตา” อนึ่งการหวีผมศพนั้นบางแห่งว่าให้บุตรคนโตเป็นผู้หวี แต่ถ้าไม่มีก็ให้ทายาทของ
ผู้ตายหวี

นงุ่ ผ้าและสวมเสือ้ ศพ ใช้ผ้าธรรมดาที่นุ่งห่มกัน ไม่ใช้ผ้าขาวแบบโบราณแต่ใน
ปัจจุบันหลังจากอาบน้ำและชำระศพจนสะอาดแล้วให้แต่งตัวนุ่งผ้าและสวมเส้ืออย่างปกติเพียงชั้นเดียว
แล้วนำศพไปวางนอนบนเตียงเพื่อเตรียมรดนำ้ ต่อไป

เงนิ ใส่ปากศพ การนำเงินใส่ปากศพแต่เดิมใช้เงินพดด้วงหรอื เงินเหรียญบาท ถ้าเป็นคน
ม่ังมีอาจใช้ของมีค่า เช่น แหวนทองแล้วห่อผ้าขาวผูกเชือกให้หางเชือกยาวออกมานอกปาก เพราะเวลา

๑๐๔

เผาจะได้ดึงออกได้ เพ่ือเก็บไว้เป็นที่ระลึกหรือเป็นเครื่องรางแล้วแต่จะยึดถือกัน อน่ึงเงินที่ใส่ปากศพนั้น
เป็นค่าจ้างแก่สัปเหร่อที่จะนำศพไปเผา ผู้เขียนเข้าใจว่าใส่ไว้ให้สัปเหร่อเพื่อเป็นสินน้ำใจนอกเหนือจาก
ค่าจ้าง อีกนัยหนึง่ เพอื่ ใหผ้ ตู้ ายนำเอาทรพั ยน์ ้นั ตดิ ตัวไปใช้สอยเมืองผี

ปิดหน้าศพ หรือปิดปากปิดตาศพ สมัยโบราณเมื่อตราสังศพเสร็จแล้วสัปเหร่อจะน้ำ
ข้ีผ้ึงแข็งมาแผ่ออกเป็นแผ่นกว้างยาวขนาดใบหน้าศพ แล้วปิดหน้าดังปิดด้วยหน้ากากบางคร้ังปิดเฉพาะที่
ตาและปาก ถ้าเป็นคนม่ังมีบางคนอาจใช้ทองคำแผ่เป็นหน้ากากปิดหน้า เม่ือเผาแล้วจึงเอาทองน้ันสร้าง
พระเป็นกุศล บางคร้ังปิดด้วยทองคำเปลวปนขี้ผ้ึง ซ่ึงคงย่อมาจากการปิดด้วยแผ่นทองคำตามฐานะของ
เจ้าภาพ พิธีนี้ทำกันเฉพาะบางรายไม่ได้ทำทั่วไปการใช้ข้ีผึ้งหรือทองคำปิดหน้าศพนั้นเพื่อป้องกันความ
อุจาด

กรวยดอกไม้ธูปเทียน ดอกไม้ธูปเทียนน้ันประกอบด้วยธูป 1 ดอก เทียน 1 เล่ม
ดอกไม้ 1 ช่อ หรือจะใช้ดอกบัว 1 ดอกก็ได้ ใส่ในกรวยใบตองให้ศพประนมมือไว้ การที่ให้ศพถือกรวย
ดอกไมธ้ ูปเทยี นน้ันเพอ่ื เปน็ นมิ ติ ว่าไปไหว้พระจฬุ ามณีบนสวรรค์ชัน้ ดาวดงึ ส์

การตราสัง เป็นวิธีการมัดศพคนตายแล้ว เม่ือลูกหลานและผู้ใกล้ชิดอาบน้ำชำระ
ร่างกายศพให้สะอาดหมดจด ต่อจากน้ันจึงมัดและห่อศพ การมัดศพน้ันใช้ด้ายดิบเส้นโตขนาดนิ้วก้อยมัด
เปน็ 3 เปลาะหรอื 3 บ่วง เปลาะแรก นำเชือกทำบว่ งสวมคอ บ่วงท่ี 2 รดั รอบหัวแม่มือและข้อมือทัง้ สอง
ขา้ งให้ประนมไว้ที่หน้าอก บ่วงท่ี 3 รดั รอบหัวแม่เท้าและข้อเทา้ ทั้งสองข้างใหต้ ิดกันซึ่งเรียกว่า “ตราสัง”
การมัดเช่นน้ันเพ่ือกันไม่ให้ศพเบ่งขยายดันโลงท้ังสองข้างให้แตกหรือแยกออกทำให้น้ำเหลืองร่ัวไหล
ออกมา เสร็จแล้วห่อด้วยผ้าขาวยาวสองทบ ห่อตั้งแต่ศีรษะตลอดปลายเท้าให้มิดทั้งตัว ชายผ้าท้ังสองอยู่
ทางศีรษะสำหรับขมวดเป็นก้นหอยรดั ต้งั แต่ปลายเท้าขึ้นมาเป็นเปลาะๆ ดว้ ยดา้ ยดบิ โตขนาดนิ้วมือเพื่อกัน
ไมใ่ ห้ขาดเวลาท่ีศพเบ่งข้นึ แลว้ มามดั กบั ชายผ้าท่ขี มวดเป็นก้นหอยบนศีรษะให้แนน่ แล้วเหลือชายเส้นด้าย
ที่มดั นั้น ปลอ่ ยออกมานอกโลงพอสมควรเพอื่ ผูกผา้ โยงให้พระบงั สกุลจะได้แลน่ เขา้ ถึงตวั

การเบิกโลงและเคร่ืองประกอบโลง เม่ือจัดหาโลงศพมาแล้วสัปเหร่อเป็นผู้ทำพิธีเลิก
โลงตามธรรมเนยี ม

การสวดศพ ระหว่างท่ีเจ้าภาพต้ังศพบำเพ็ญกุศลที่บ้านหรือที่วัด ในเวลากลางคืนนิยม
นิมนต์พระภิกษุ 4 รูป เรียกว่า “สำหรับหน่ึง” มาสวดพระอภิธรรมหน้าศพซ่ึงนิยมสวด 4 จบ เหตุผลที่
กำหนดให้พระภิกษุจำนวน 4 รูป สวดพระอภิธรรมศพนั้นเพื่อให้เจ้าภาพมีความสะดวกในการถวาย
สังฆทานอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตายในเช้าวันรุ่งข้ึน ถ้านิมนต์พระจำนวนหลายรูปแล้วย่อมทำให้เจ้าภาพไม่
สะดวก จึงยึดถือเปน็ ธรรมเนียมปฏิบัตกิ ันมาจนถึงปัจจุบันน้ี การสวดพระอภิธรรมหน้าศพน้ันเป็นการสวด
ให้ผู้มีชวี ิตอยู่ฟังเพื่อพิจารณาว่าสังขารร่างกายของมนุษย์ไม่มคี วามเที่ยงแท้ย่อมมีความตายเป็นท่ีสดุ ซ่งึ ทุก
คนหลกี เลย่ี งไม่ได้

การเซ่นศพ ญาติพ่ีน้องหรือบุตรหลานของผู้ตายควรจัดหาข้าว น้ำ และกับข้าวใส่
สำหรับเซ่นศพผู้ตายระหว่าง 3 วันที่ตายจากไป นำไปต้ังไว้ข้างโลงศพวันละ 2 เวลา คือ เวลาเช้า และ
เวลาเย็น ตั้งแล้วเคาะข้างโลง 3 คร้ัง และบอกศพให้รับประทานอาหาร ท้ังนี้ตั้งอาหารเซ่นศพประมาณ
หนึ่งช่ัวโมงจงึ ยกกลับได้

เหตุผลในการเซ่นศพน้ันเพ่ือแสดงว่า “ส่ิงใดมีอยู่ย่อมคงอยู่และจะมีอยู่ต่อไป” ทำนอง
เดียวกันน้ันผู้ตายแม้ตายไปแล้วก็ตาม คงต้องกินอยู่เช่นเดียวกันกับขณะท่ีมีชีวิตอยู่เป็นคติความเชื่อทาง
ไสยศาสตรแ์ ตโ่ บราณกาล

๑๐๕

การนำศพออกจากบ้าน การนำศพลงจากเรือนเพ่ือไปวัด หรือสถานท่ีเก็บศพตาม
ประเพณี มวี ธิ ีปฏิบตั ิดังน้ี

ไม่หามศพลอดขื่อ บ้านในสมัยโบราณทำขื่อเต้ีย ถ้าหามศพลอดข่ือศีรษะของผู้
ยกหีบศพอาจชนกับขื่อจงึ เปน็ ข้อหา้ มไมห่ ามศพลอดข่ือ ซ่ึงปฏิบัติเปน็ ประเพณสี บื ตอ่ มาจนถงึ ปัจจุบัน

ชักฟากสามซ่ีตีหม้อน้ำสามใบ ข้อนี้เป็นปริศนาธรรม ฟากสามซี่ หมายถึง การ
เกิดอาศัย 3 ภพ คือ กามเทพ รูปภพ อรูปภพ ส่วนหม้อน้ำ 3 ใบน้ัน ได้แก่ ปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย
ดว้ ยเหตุทีส่ ัตว์โลกมีเกิดแลว้ ต้องแตกดบั ไปในวัยท้งั สามจะคงอยตู่ ลอดไปหาไดไ้ ม่ จึงถอื เป็นประเพณมี าจน
บัดนี้

ซัดข้าวสาร ขณะท่ีเคล่ือนศพออกจากบ้านไปวัดน้ันให้ซัดข้าวสาร บางทีก็ซัด
เกลือด้วย เวลาซัดให้ว่าคาถาเพอื่ ให้ผู้ตายไปผุดไปเกิด

ห้ามหามศพข้ามนาข้ามสวน ข้อปฏิบัตินี้ไม่เกี่ยวกับลัทธิหรือศาสนาแต่
เนื่องจากเจ้าของนาหรือสวนอาจรังเกียจการนำศพผ่านเข้าไปในบริเวณท่ีดินของตน หรืออีกนัยหนึ่งเม่ือ
เข้าไปในบริเวณที่นานั้นอาจไปเหยียบตน้ ข้าวและต้นไม้ตายดังน้ีจึงเป็นข้อหา้ มที่ได้ยึดถือและปฏิบัติกันมา
จนกลายเปน็ ประเพณีสบื ทอดมาถงึ ปจั จุบัน

โปรยข้าวตอก เมื่อเวลาหามศพไปตามทางให้โปรยข้าวตอกไปตลอดทางบาง
รายอาจโปรยข้าวสารแทน ข้อปฏบิ ัตนิ ี้เป็นเคลด็ เพ่ือปอ้ งกันผมี ใิ ห้ไปรบกวนคนทอี่ ยู่บ้าน

วันเผาศพ เป็นเร่ืองท่ีโบราณถือปฏิบัติกันมาก การกำหนดวันเผาศพต่างจากการ
กำหนดวันทำบุญอ่ืนๆ เพราะมีข้อห้ามดังน้ี ข้างข้ึนห้ามเผาคู่ ข้างแรมห้าเผาค่ี เน่ืองจากเป็นอัปมงคล
เรียกว่า “ผีเผาคน” ส่วนข้างข้ึนเผาคี่ เรียกว่า “คนเผาผี” วิธีนับวันคู่และวันค่ีมีดังนี้ คือ ข้างขึ้นนับตั้งแต่
1 ถึง 15 ส่วนข้างแรมนับตั้งแต่ 16 ถึง 30 ดังนั้นวันแรม 1 ค่ำ จึงเป็นเลข 16 ถือเป็นวันคู่ วันแรม 2
ค่ำ เปน็ เลข 17 ถือเปน็ วันคี่

คนไทยนยิ มกำหนดวันเผาศพเปน็ วนั ค่ีเนอ่ื งจากความตายเป็นของเฉพาะตวั ไม่มีผู้ใดตาย
แทนกนั ได้ นอกจากนั้นห้ามเผาศพในวันศุกร์ วนั พระ และวนั พฤหัสบดี ท้ังน้ีเพราะวันศุกรเ์ ป็นวันมงคลไม่
ควรทำให้เปน็ อวมงคลเช่นทกี่ ลา่ วกนั ว่า “เผาผวี ันศกุ รใ์ หท้ ุกข์แกญ่ าติ” วนั พฤหัสบดีโบราณกำหนดเปน็ วัน
ครูจึงไม่ควรเผาศพ ส่วนวันพระเป็นวันที่ถือศีลถ้าเผาศพในวันดังกล่าวอาจทำให้สัตว์อื่นท่ีอยู่ในศพต้อง
เสยี ชีวิตเพราะถูกเผาไปด้วย ในปัจจุบันไมป่ ฏิบตั กิ ันเคร่งครดั เพราะนยิ มปฏิบัติตามความสะดวด จะเผาวัน
ไหนกไ็ ด้อีกประการหน่ึงคอื วัดบางแห่งท่ีเจ้าภาพกำหนดวันเรยี บรอ้ ยแลว้ อาจไม่วา่ งให้ดำเนินการเผาศพที่
กำหนดได้

การเวยี นศพก่อนเผา เมื่อจะเผาศพคนไทยนิยมบำเพญ็ กุศลศพตามพธิ ีทางศาสนา โดย
ต้ังสวดพระอภิธรรม 1 คืน ส่วนในวันเผามีเลี้ยงพระและเทศน์ จนเสร็จพิธีต่างๆ ทางศาสนาแล้ว เมื่อถึง
เวลาเวียนศพให้ยกศพจากท่ีต้ังบนศาลาลงมาเวียนรอบเชิงตะกอน 3 รอบ โดยเวียนไปทางซ้ายให้เฉพาะ
ลูกหลานและญาติสนิทเดินตามศพ เสร็จแล้วยกข้ึนสู่เชิงตะกอน การเวียนศพสามรอบ หมายถึง กรรม
กิเลส และวบิ าก อันเป็นทางดำเนนิ แห่งชวี ิตมนุษยท์ ่เี วยี นวนไปไมม่ ีสนิ้ สดุ

การล้างหน้าศพ ก่อนเร่ิมการเผาศพให้สับเหร่อต่อยน้ำมะพร้าวรดลงที่หน้าศพในโลง
การนำน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพเพราะน้ำมะพร้าวเป็นน้ำท่ีสะอาดบริสุทธ์ิมีเครื่องห่อหุ้มหลายช้ัน อธิบาย
ปริศนาธรรมคือสิ่งท่ีสะอาดเท่านั้นจึงกำจัดสิ่งท่ีโสโครกได้ประดุจดังนำกุศลกรรมล้างอกุศลกรรม ส่ิง
สกปรกจะลา้ งสิง่ สกปรกด้วยกันไมไ่ ดฉ้ นั ใด จะให้อกุศลกรรมลา้ งอกุศลกรรมย่อมไมไ่ ดฉ้ ันน้ัน

๑๐๖

การแปรรูปและเก็บอัฐิ วันรุ่งขึ้นเม่ือเผาศพแล้วให้แปรรูปอัฐิ คือ แต่งรูปกองกระดูก
เป็นลักษณะของคนตายนอนหงาย หันศีรษะไปทางทิศตะวันตก แล้วนิมนต์พระมาชักบังสุกุลผู้ตาย
หลังจากน้ันเกลี่ยกองกระดูกจัดทำเปน็ ลักษณะของคนอีกตามแบบเดมิ แต่ให้ศีรษะหันไปทางทิศตะวันออก
สมมติว่าเกิดแล้วจึงนิมนต์พระชักบังสุกุลอีกคร้ังบางคนนำแก้วแหวนเงินทองโปรยลงในกองกระดูกแล้ว
ประพรมด้วยนำ้ หอม พร้อมทง้ั นิมนต์พระชักผ้าบังสุกุลอีกครง้ั หนึ่ง เมอื่ พระบังสกุ ุลเสร็จแลว้ จึงเกบ็ กระดูก
ใสไ่ ว้ในโกศเพ่อื บชู า บา้ งนำไปบรรจใุ ส่ในเจดียบ์ ้าง ส่วนท่ีเหลือจากท่ีเก็บไว้ดงั กล่าวให้หอ่ ผ้าขาวนำไปลอย
นำ้ ที่จะพดั พาไปได้

การไวท้ ุกข์ คนไทยเรมิ่ ไว้ทกุ ขต์ ้ังแตว่ นั ตายเป็นต้นไป ญาตแิ ละผูม้ าร่วมงานนิยมไว้ทุกข์
ให้แก่ผู้ตายเพื่อแสดงถึงความเศร้าโศกอาลัยรักผู้ท่ีจากไป สมัยโบราณสีผ้าท่ีไว้ทุกข์คือสีขาวซ่ึงได้รับ
แบบอย่างมาจากจีน ต่อมาภายหลังเปลยี่ นเป็นสดี ำเพราะได้รับแบบอย่างมาจากประเทศตะวันตก ทง้ั นี้คน
ไทยนยิ มไวท้ กุ ขก์ ัน 15 หรือ 50 วนั หรือ 100 วัน แต่ไมเ่ กิน 1 ปี ถ้าหากเผาในระหว่างน้ีกอ็ อกทุกข์ได้

การทำบญุ ประเพณีโบราณของไทยกำหนดทำบุญ 7 วันนับแต่วันปลงศพเพราะแตเ่ ดิม
ไมน่ ยิ มเกบ็ ศพไว้ในบ้านเป็นเวลานาน โดยมากไม่เกิน 3 วัน ถา้ นำศพไวท้ ว่ี ัดก็จะทำบุญที่วัด ถ้าเผาก่อน 7
วัน ทำให้บุญ 7 วันนับแต่วันเผา ส่วนทำบุญ 50 วัน 100 วันนั้นคนไทยนำมาปนกับเรื่องทำบุญ 7 วัน
นับแต่วันตาย เป็นประเพณีของจีน และญวน การทำบุญ 50 วันน้ันจะทำเมื่อครบ 49 วัน (คือ 7 วัน 7
สัปดาห์) ควรทำบุญให้ตรงกับวันที่ถึงแก่กรรม ส่วนการทำบุญ 100 วัน ส่วนใหญ่ทำเป็นงานใหญ่กว่า
ทำบุญ 7 วัน และ 50 วนั แต่ทง้ั การทำบญุ 50 วัน และ 100 วนั ถึงทำเหมือนกันคอื เล้ียงพระสวดมนต์
เย็น ฉันเชา้ มีเทศน์ บังสกุ ุล และสวดพระอภิธรรม อย่างไรก็ตามเจ้าภาพอาจจัดงานเฉพาะเล้ียงพระ แล้ว
ตดั งานอนื่ ให้ยน่ ยอ่ ตามกำลงั ทรพั ย์กไ็ ด้

พิธีงานศพของกลมุ่ เช้อื สายจีน กลุ่มชนเชือ้ สายจีนในปัจจบุ ันจัดพิธีงานศพ เชน่ เดียวกบั คนไทย
ทน่ี ับถือพุทธศาสนา เชน่ การส่ังใหล้ ูกหลานจัดพิธีเผาศพแทนการนำศพไปฝังสุสาน ซึ่งถูกหลานจะปฏิบัติ
ตามเม่ือบุพการีถึงแก่กรรม แต่ในวันเผาเพ่ิมพิธีเคารพศพประมาณ 1-2 ช่ัวโมง เวลาประมาณ 9.30-
10.00 นาฬิกาเป็นต้นไป ส่วนศพที่ประกอบพิธีตามประเพณีของชาวจีนคือพิธีฝังน้ันบุตรหลานจะทำพิธี
กงเตก๊ ให้ในคนื สุดท้ายก่อนนำศพไปฝงั ท่ีสุสานในวันรุ่งข้นึ

การประกอบพิธีกงเต๊ก ให้นิมนต์พระจีนหรอื ผู้ร้ใู นการสวดเตือนดวงวิญญาณของผู้ตาย
ให้ไปสวรรค์ ทั้งนี้เจ้าภาพจัดเตรียมเนื้อสัตว์ 3 ชนิด อาทิเช่น หมู่ ไก่ เป็ด ปลาหมึก ฯลฯ และผลไม้ 5
ชนิด เช่น ส้มเขียวหวาน กล้วยหอม แอ๊ปเปิ้ล ชมพู่ องุ่น เป็นต้น เซ่นไหว้พร้อมทั้งกระดาษเงินกระดาษ
ทอง และส่ิงของเคร่ืองใช้ที่ทำเลียนแบบด้วยกระดาษ ได้แก่ บ้าน รถยนต์ วิทยุ ตู้เย็น โทรทัศน์ คนรับใช้
ชาย-หญิง เป็นต้น เพื่อใช้ในพิธีการนำกงเต๊ก โดยเผาไปให้ผู้ตายตามความเช่ือว่าผู้ตายได้นำไปใช้ในโลก
หนา้

การไว้ทุกข์ เมื่ออดีตบุตรธิดาและสะใภ้ชาวจีนพึงไว้ทุกข์แก่ผู้ตายเป็นเวลา 3 ปี แต่ใน
ปัจจุบนั สว่ นใหญไ่ วท้ กุ ข์ประมาณ 49 วนั เทา่ นั้น (อาจออกทุกขก์ ่อน 49 วนั ถ้ามวี นั ดีแตค่ วรเกนิ 42 วัน)

การเซ่นไหว้ ให้เซ่นไหวด้ ้วยอาหารทุกวนั ๆ ละ 2 เวลา ระหวา่ งท่ีต้งั ไหวศ้ พนน้ั ให้นำขัน
น้ำ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน พร้อมกะละมังใส่น้ำตั้งไว้ท่ีหน้ารูปผู้ตาย มีอาหารเพื่อเซ่นไหว้ประจำทุกเช้า คือ
ข้าวสวย และเต้าหู้ก้อนเหลี่ยม โดยเฉพาะครบ 7 วัน 14 วัน 21 วัน 28 วัน 35 วัน 42 วัน และวันท่ี
ออกทุกข์ บุตรหลานควรเซ่นไหว้ด้วยข้าวสวยพร้อมกับข้าว 4 อย่าง ของหวาน และผลไม้ 5 ชนิด
กระดาษเงินกระดาษทอง (สัมภาษณ์ นายฉลอง โรจนาปยิ าวงศ์) กลางฝ่าเทา้ ท้ังสอง ถอื ว่าเปน็ การ

๑๐๗

พิธีงานศพของคริสต์ศาสนิกชน บาทหลวงเป็นผู้ประกอบพิธีเจิมคร้ังสุดท้ายให้แก่ผู้ป่วยที่ใกล้
ส้ินลมหายใจ โดยใช้สำลีจุ่มน้ำมันศักด์ิสิทธ์ิเจิมที่หน้าผาก กลางฝ่ามือ กลางฝ่าเท้าท้ังสอง ถือว่าเป็นการ
ชำระบาปคร้ังสุดท้ายเพื่อความบริสุทธิ์ของวิญญาณ ก่อนเดินทางไปสู่สถานพิพากษา (บาป-บุญ) ในโลก
หน้า ส่วนใหญ่เช่ือกันว่าพิธีดังกล่าวสามารถเพ่ิมพลังแก่ดวงวิญญาณให้สามารถชนะภูตผีปีศาจท่ีมา
ขัดขวางระหวา่ งการเดนิ ทาง

พธิ ีงานศพของชาวมสุ ลิม
การอาบน้ำศพ ชาวมุสลิมท่ีตายอย่างปกติให้รบั การอาบน้ำศพ ส่วนผู้ท่ีตายเพ่ือศาสนา

หรือป้องกันประเทศ เรียกว่าการตาย “ชาฮีต” ไม่ต้องอาบน้ำศพ น้ำอาบศพเป็นน้ำผสมใบพุทรา ผงแก่น
จันทร์ น้ำปูนใส การบูรหรือพิมเสนเพ่ือดับกล่ิน ควรอาบน้ำศพในท่ีมิดชิด ถ้าศพเป็นชายควรให้ผู้ชาย
อาบน้ำศพ ถ้าศพเป็นหญิงจะให้ผู้หญิงอาบให้โดยถอดฟันปลอมและผมปลอมออก มีผู้นั่งเป็นตักวางศพ
3-4 คน น่ังเรียงแถวชดิ กันเหยียดขาท้ังสองออกไปเพ่ือวางศพบนท่อนขา โดยใช้ผ้าคลุมศพตลอดร่างแล้ว
ให้ลูกหลานญาติมิตรร่วมกันอาบน้ำศพ เม่ืออาบน้ำศพแล้วจึงทำน้ำสมายัง หรือน้ำละหมาดเพื่อให้ศพ
บริสุทธิ์ นำสำลีชุบเครื่องหอมปิดหน้า ปิดตามส่วนที่มีข้อพับ และอุดตามช่องต่างๆ ของร่างกายแล้วจึงห่อ
ศพ

การห่อศพ ใหศ้ พนอนหงายมีผ้าขาวหอ่ ศพให้มดิ ชิดโดยทางขวาทับทางซ้าย 3 ชัน้ ผหู้ ่อ
ศพอาจเปน็ โต๊ะอิหม่าม คอเต็บ หรอื ผู้รู้ก็ได้ หลังจากน้ันให้ญาติพ่นี ้องดูศพเป็นคร้ังสุดทา้ ย เมื่อหอ่ ศพเสร็จ
ใช้ผ้าขาวผูกมัดเหนือศีรษะ ระหว่างลำตัว และปลายเท้าเพื่อให้ศพอย่ใู นสภาพเรียบร้อย แล้วนำศพไปวาง
บนแคร่ หรือหีบศพท่ีมีเส่ือ ผ้า หรือเบาะปูรองไว้ แคร่หรือหีบศพให้มีคานรองรับ มีปลายย่ืนออกมาเป็น
คานหาม มีผ้าขาวผูกไว้ท่ีคานมุมละผืน ผ้าน้ีจะบริจาคให้กับผู้หามศพ 4 คน ศพท่ีหามไปน้ันให้ทำพิธี
ละหมาดศพอีกครง้ั หนึง่ ทม่ี สั ยิด หรอื สเุ หร่า หรือทีก่ ูโบ (สุสาน)

การละหมาดศพ โต๊ะอิหม่ามเป็นผู้ประกอบพิธี มีผู้ร่วมในพิธีเป็นผู้ตามโต๊ะอิหม่าม ซ่ึง
ควรเป็นญาตใิ กล้ชดิ ทางสายโลหติ มาก เม่ือนำศพไปถึงที่ทำพิธลี ะหมาดถ้าเปน็ ศพผู้ชายให้หันศีรษะไปทาง
ทิศใต้ ถ้าศพเป็นหญิงให้หันศีรษะไปทางทิศเหนือส่วนอิหม่ามให้ยืนตรงศีรษะของศพชาย ถ้าศพเป็นหญิง
ให้ยนื ตรงระดับสะโพกของศพแล้วเร่มิ ละหมาด

การละหมาด ประกอบด้วยการปฏิบัติ 7 ประการ คือ การเนียตตักบีร์ (เนียต คือ การ
อธิษฐาน ตักบีร์ คือ การยกมือท้ังสองข้างข้ึนที่หู) แล้วละหมาด ให้ยืนตรง ถ้ายืนได้โดยตักบีร์ 4 คร้ัง
รวมท้ังคร้ังแรกอ่าน “ฟาตีฮะห์” ซ่ึงเป็นบทบังคับท่ีต้องอ่านทุกครั้งเพื่อละหมาดหลังตักบีร์คร้ังแรก แล้ว
อ่าน “ซอ่ ละวัตนบี” คอื บทสดุดพระนบี หลงั อา่ นแล้วตกั บรี ์คร้ังทีส่ อง จากนั้นอ่าน “ดุอาฮ์” เพื่อระลึกถึง
และให้วิญญาณผู้ตายมีความสุข หลังตักบีร์คร้ังที่ 3 แล้วจึง “สลาม” (ทำความเคารพแบบอิสลาม) หลัง
ตักบรี ์คร้ังที่ 4

หลังจากละหมาดศพเสร็จแล้วให้ฝังทันที ตามศาสนบัญญัติอิสลามที่กำหนดให้ฝังศพ
ผู้ตายไม่เกิน 24 ช่ัวโมง ดังน้ันเมื่อละหมาดศพท่ีสุเหร่า หรือมัสยิดแล้วให้รีบหามไปกูโบร์ (สุสาน) ทันที
ถ้าละหมาดที่สุสานก็ให้รับฝัง ส่วนการเคล่ือนศพควรต้องระมัดระวังไม่ให้ศพกระทบกระเทือน ท้ังน้ีผู้ร่วม
ขบวนนำศพไปสุสานอาจเดนิ หนา้ หรอื เดินหลงั ก็ได้

การฝังศพ ตามศาสนบัญญัติอิสลามน้ันห้ามญาติพี่น้องและผู้เก่ียวข้องร้องไห้ถ้ากลั้น
ไม่ได้พึงห้ามน้ำตาตกรดผ้าขาวที่หุ้มศพ ควรฝังศพภายใน 24 ช่ัวโมงเพ่ือไม่ให้ผู้ที่อยู่ข้างหลังเสียใจมาก
ส่วนการขุดหลุมฝังศพมีหลายลักษณะ ลักษณะแรกโดยขุดให้ลึกประมาณหน่ึงเมตรครึ่ง ให้มีความ

๑๐๘

กว้างยาวพอหย่อนศพลงได้ สว่ นอกี ลักษณะหน่ึงขดุ ให้ลึกหน่ึงเมตรแล้วเจาะหลุมเล็กตรงกลางพอให้บรรจุ

หีบศพได้ ใช้กระดานแผ่นเดียวปิดปากหลุมแล้วจึงกลบดิน ถ้าเป็นศพท่ีไม่ใส่หีบให้ขุดหลุมขนาดเดียวกับ

ลักษณะแรก แล้วเจาะหลุมเล็กในหลุมเดินด้านขวามือ ให้มีความกว้างยาวพอบรรจุศพได้ ให้นำกระดาน

แผน่ เดยี วปดิ ปากหลมุ แล้วจึงกลบดิน

ส่วนรูปลกั ษณ์การฝังศพขน้ึ อย่กู ับฐานะของผ้ตู าย ถ้าฐานะดีนยิ มนำศพบรรจุหีบ

ถ้าฐานะไม่ค่อยดีให้ห่อศพดว้ ยผ้าขาวแล้วคลมุ ผ้าหามไปฝัง หันศีรษะศพไปยังเมืองมักกะฮฺ บุตรหลานของ

ผ้ตู ายอาจโปรยทรายแล้วกลบดว้ ยดิน ท้ังนก้ี ารกลบหลุมแต่เดมิ นิยมกลบให้เสมอพ้ืนดินของสสุ าน ปัจจุบัน

นิยมกลบดินให้นูนเป็นหลังเต่า เมื่อฝังเรียบร้อยแล้วผู้ร่วมขบวนศพทุกคนพึงยืนรอบๆ หลุม แล้ววิงวอน

ตอ่ งคอ์ ัลลอฮฺใหผ้ ตู้ ายมีจติ ใจแน่วแน่ม่นั คงพร้อมเผชิญกบั คำสอบสวนตา่ งๆ จากทตู รับใชข้ องอัลลอฮฺ

ที่หลุมฝังศพนิยมทำเคร่ืองหมายโดยใช้ปูนซีเมนต์หล่อเป็นรูปสี่เหลี่ยมสลักช่ือ

ผู้ตายเป็นภาษาอาหรับปักไว้ตรงด้านศีรษะของหลุมศพ บางรายมีฐานะไม่ค่อยดีอาจนำหินไปวางหรือปัก

ไว้เป็นสัญลกั ษณ์ ทั้งน้ีบุตรหลานควรทำความสะอาดบรเิ วณหลุมศพแล้วนำดอกไม้ไปสักการะผู้ตาย พร้อม

ท้งั อ่านคมั ภรี อ์ ัลกรอุ านทห่ี ลมุ ศพในวนั สำคัญทางศาสนาทุกปี

การทำบุญอุทิศส่วนกุศล ญาติพี่น้องหรือบุตรหลานของผู้ตายควรทำบุญอุทิศส่วนกุศล

ให้แก่ผู้ตายเม่ือครบ 3 วัน 7 วัน 45 วัน หรือ 100 วัน ตามแต่สะดวกโต๊ะอิหม่ามเป็นผู้อ่านคัมภีร์

อลั กุรอานเพื่อให้ศพไปดีมสี ุข ถ้าผู้ตายมีหน้ีสิน บุตรหลานควรพยายามชำระหนส้ี ินจนหมดเพื่อไม่ให้ผู้ตาย

ห่วงใยเพราะมีพันธะผูกพัน และวิญญาณจะได้บริสุทธิ์ ผู้ที่อยู่ข้างหลังปฏิบัติกิจวัตรคือการไปเยี่ยมสุสาน

เพ่ือระลึกถึงผู้ตายในวันหน่ึงวันใดโดยให้เยี่ยมท้ังสุสานไม่ใช่เย่ียมเฉพาะญาติของตนเท่าน้ัน เมื่อเข้าไปใน

สุสานพึง “สลาม” แก่ชาวมุสลิมในสุสานเพื่อแสดงความคารวะศพ ห้ามน่ัง ยืน พิงหลุมศพ หรือละหมาด

เพือ่ เคารพศพ (ปองทิพย์ หนูหอม, 2537, 85-87 และสมั ภาษณ์นายสมชาย มน่ั คง)

ประเพณีส่วนสังคมหรือส่วนประชาชน ประเพณีที่ประชาชนในจังหวัดนครนายก ได้

ยึดถือปฏิบัติกันตลอดทั้งปีตั้งแต่เดือนอ้ายจนถึงเดือนสิบสอง ส่วนใหญ่เป็นประเพณีที่เก่ียวเนื่องกับการ

ดำรงชีวิตทางเกษตรกรรม (การศึกษาตามโครงการวิจัยฯ) และสำรวจพบประเพณีในรองปีถึง 73

ประเพณี (ปริศนา สำราญกิจ, 2536) บางประเพณียึดถือปฏิบัติกันเฉพาะกลุ่มชนซึ่งยังสืบทอดมาจนถึง

ปจั จบุ ัน ประเพณสี ่วนสงั คมหรือประชาชนของจงั หวัดนครนายกมีตามลำดบั ดังน้ี

เดือนอ้าย ประเพณีเกยี่ วกับการเกยี่ วขา้ ว คอื ลงแขกเก่ยี วข้าว

เดอื นย่ี ประเพณีเกี่ยวกับการทำนา ลงแขกนวดขา้ ว ทำบญุ ลาน

ก่อพระทรายข้าวเปลอื ก หรอื สขู่ วัญข้าวเปลือก

เดือนสาม สู่ขวญั ข้าว สู่ขวัญควาย สู่ขวญั เกวียนบญุ ขา้ วจี่ (พวน)

บญุ ข้าวเกรยี บ (พวน) และมาฆบชู า

เดอื นส่ี ตรุษจนี (บุญสวดแมป่ ลาชอ่ นและปั้นตาเมฆยายหมอก)

เดอื นห้า สงกรานต์ กอ่ พระทราย อาบก่อนกา(พวน) ทำบญุ กลางบา้ น

ผีโรง (มอญ) แหบ่ ้งั ไฟ แหน่ างแมว

เดอื นหก วสิ าขบูชา เลีย้ งตาเจา้ บา้ น (มอญ) สลากภตั เลีย้ งตาแฮะ

เดือนเจ็ด แรกนาขวัญ บายศรพี ระ (พวน)

เดอื นแปด เขา้ พรรษา

เดอื นเกา้ ข้าวประดบั ดนิ (ลาวเวยี ง) บุญขา้ วห่อ (พวน) สารทพวน

๑๐๙

เดอื นสบิ สารทลาว สารทไทย เทศนค์ าถาพัน

เดอื นสิบเอ็ด ทำขวญั ขา้ ว (ตัง้ ทอ้ ง) กวนข้าวสบั ปิ ออกพรรษา แห่ข้าว

พันกอ้ น ทอดกฐนิ

เดอื นสิบสอง ลอยกระทง เทศนม์ หาชาติ ทานข้าวเม่า

นอกจากน้ันไม่กำหนดเดือน เช่น การทำบุญวันพระ ไหว้แม่บันได แม่เตาไฟ โอ่งน้ำและ

ทอดผา้ ป่า เป็นตน้

ตัวอย่างขนบธรรมเนยี มประเพณี มีดังน้ี

ประเพณีลงแขกเกี่ยวข้าว การลงแขกเกี่ยวข้าวของชาวจังหวัดนครนายกนั้นเริ่มจาก

เกย่ี วขา้ วเบาตงั้ แต่เดือน 12 เกย่ี วข้าวหนกั ตัง้ แตป่ ลายเดอื นอา้ ยจนถึงเดอื นย่ี การเกบ็ เก่ยี วนั้นจะเชิญแขก

มาเก่ียวข้าว เรียกว่า “ลงแขกเกี่ยวข้าว” คนพวนเรียก “เฮ่านา” การลงแขกเกี่ยวข้าวมี 2 ประเภท คือ

แขกถือแรง และแขกทมุ่

แขกถือแรง เมื่อลงแขกเก่ียวข้าวได้จำนวนมากพอสมควรแล้วพึงเรียกแรงคืนกลับมา

ชว่ ยกันเกี่ยวข้าวของตนเรียกว่า “การใช้แรง” หรือ “ไปเป็นแขกของบ้านนั้น” หรือ “ลงแขกให้บ้านน้ัน”

เม่ือมีแขกมาช่วยงาน เจ้าของนาควรจัดเตรียมอาหารไว้สำหรับเลี้ยงแขก โดยการซื้ออาหารไว้เป็นจำนวน

มาก เช่น ซื้อปลาขังใส่โอ่ง ปลูกผัก ซ้ือของแห้ง พริก หอม กระเทียม เตรียมปลาร้า หน่อไม้ดอง ฯลฯ จัด

เล้ียงของหวานในลักษณะที่ปรุงง่ายๆ ต่อมาเม่ือความเจริญเข้าถึงหมู่บ้านแล้วการกักตุนอาหารเพ่ือเลี้ยง

แขกย่อมน้อยลง สว่ นใหญ่นิยมซ้ือกันในช่วงเช้า หรอื ซื้อก่อน 2-3 วัน หรือซ้ืออาหารสำเร็จรูปมาเลี้ยง ใน

ตอนค่ำอาจมีการเลี้ยงสุราด้วย แต่ในปัจจุบันลักษณะการลงแขกดังกล่าวน้อยลง เป็นเพียง “แขกจ้าง” ที่

นำอาหารไปรับประทานเอง ทำให้ภาระการเลี้ยงดูของเจา้ ของนาหมดไป

ปัจจุบันเร่ิมเก็บเกี่ยวโดยใช้เครื่องจักรทดแทนแรงคน ดังนั้นบางท้องท่ีจึงใช้รถเกี่ยวข้าว

ซึ่งจ้างกันในราคาท่ีกำหนดเพราะสามารถย่นระยะในการเก็บเก่ียวและนวดข้าวได้รวดเร็วเพื่อผลผลิต

จำนวนมาก โดยเฉพาะราคาขายดียงิ่ ข้ึน

แขกทุ่ม เป็นการลงแขกอีกประเภทหน่ึง (จังหวัดนครนายก, 2539) ด้วยเหตุท่ีหนุ่ม

สาวได้รับอิทธิพลของประเพณีที่ตีกรอบเร่ือการพบปะและสนทนากัน ดังนัน้ ประเพณีการลงแขกเกี่ยวข้าว

จึงเป็นโอกาสให้หนุ่มสาวท่ีหมายตากัน ต่างหาทางไปเป็นแขกเกี่ยวข้าวเพื่อจะได้ใกล้ชิดกัน เรียกการลง

แขกนั้นว่า “แขกทุ่ม” ท้ังน้ีให้ฝา่ ยชายถือแรงญาตไิ ว้เปน็ จำนวนมากก่อน เมื่อถึงคราวทีน่ าของฝา่ ยหญิงถือ

แรงเกี่ยวข้าวแลง้ จึงไปช่วย แขกแรงยกธงดว้ ยผ้าขาวม้าเป็นสัญลักษณ์ ถ้าเปน็ สีแดงยิ่งดี ผูกปลายไม้ปักไว้

ท่ีนา ฝ่ายหนุ่มพาพวกแขกทุ่มเข้าเก่ียวข้าวแล้วเลิกเก่ียวข้าวเร็วไวเมื่อข้าวในนาไม่พอเก่ียว ฝ่ายหนุ่มชนะ

เรียกว่า “ถูกทุ้มหงายไป” ถ้าแพ้คือเกี่ยวข้าวในนาสาวไม่แล้วเสร็จ เรียกว่า “ทุ่มไม่ลง” ควรเก่ียวต่อจน

เสรจ็ ตอ่ จากนัน้ ฝ่ายถูกทุ่ม จึงนำแขกไปท่มุ บ้าง โดยตัดสินใหมว่ า่ “ทุ่มหงาย” หรือ “ท่มุ ไมล่ ง” ทำใหฝ้ ่าย

ผู้สนบั สนนุ โหร่ ้องกันสนกุ สนานทำงานไม่เหน่อื ย และมเี รื่องโจษจันคุยกนั สนุกกว่าการเทีย่ วตามงานตา่ งๆ

ผลดีของประเพณีการลงแขกเก่ียวข้าวและนวดข้าว ทำให้ชายเมืองนครนายกมีความ

สามัคคีช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน รักใคร่เอ้อื เฟื้อเผ่ือแผต่ ่อกัน ชาวเมืองนครนายกทุกกลุ่มชนที่นับถือศาสนา

หน่ึงศาสนาใดนั้นส่วนใหญ่ที่มีอาชีพทำนาย่อมปฏิบัติการดังกล่าว ในเวลาเมื่อเก่ียวข้าว นอกจากนั้นยัง

รวมทั้งงานอื่นๆ เช่น บวชนาค แต่งงาน ข้ึนบ้านใหม่ ฯลฯ ชาวนครนายกคงช่วยเหลือกันตลอดมาอย่างดี

ยิง่ จนถงึ ทกุ วนั นี้

๑๑๐

ประเพณีสู่ขวัญข้าว เป็นประเพณีท่ีปฏิบัติกันด้วยความเชื่อว่าเพ่ือบูชาพระแม่โพสพ
เรียกขวัญข้าวท่ีตกหล่นอยูต่ ามท้องนาข้ึนสู่ยุ้งฉาง แล้วในปีต่อไปได้ผลผลติ มากปราศจากศัตรูพชื และสัตว์
มาทำลาย การปฏิบัติประเพณีเร่ิมในเวลาเช้าตรู่ของวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 หญิงชาวนาท่ีเป็นเจ้าของนา
เตรยี มเครื่องเรียกขวัญ ได้แก่ กระบุงใส่ใบคูณ ใบยอ ข้าวสุก ข้ามตม้ มัด เผือกมันต้ม หมาก 1 คำ ขนั ธ์ 5
ใส่พาน บางหมู่บ้านใช้ของต่างกันวางใส่กระบุงปิดด้วยผ้าขาวยาวๆ คอนกระจุงที่แต่งเรียบร้อยแล้วไปที่
ท้องนาของตน นั่งลงไหว้อัญเชิญพระแม่โพสพ หลังจากน้ันจึงลุกขึ้นเรียกขวัญข้าวโดยพูดแค่คำดีงามมี
มงคล เช่น “พระแม่โพสพ แม่โพธิ์ศรี แม่นพดารา แม่จันทน์เทวีที่ตกหล่นอยู่ ลูกขออัญเชิญข้ึนสู่ยุ้งฉาง วู้
ว้.ู ..” เรยี กพอสมควรอยูใ่ นเขตนาของตนแลว้ จึงคอนกระบุงกลบั บ้านโดยไม่พูดกับใครทงั้ สิน้ ส่วนทางบ้าน
เปิดยุ้งไว้จัดเตรียมบายศรีปากชาม 1 ที่ เครื่องบูชา ขันธ์ 5 อาหาร ได้แก่ ไก่ต้ม 1 ตัว ไข่ต้ม 1 ฟอง
กล้วย ขนมตาวัวตาควาย ขนมต้มแดงต้มขาว ฯลฯ เคร่ืองแต่งตัว 1 สำหรับ ได้แก่ เสื้อผ้าใหม่
เครอื่ งประดบั เครื่องแต่งตัว แก้วแหวนเงินทอง หวี กระจก ท้ังนี้หมอขวัญที่นุ่งขาวห่มขาวเพื่อทำพิธี หรือ
เจ้าของนา ฝ่ายชายเตรียมสู่ขวัญข้าวชาวนาฝ่ายหญิงคอนกระบุงเรียกขวญั กลับบ้านโดยไม่พูดกับใคร เมื่อ
ไปถึงยุ้งนำกระบุงไวใ้ นยุ้ง หมอขวัญเริ่มทำพิธสี ู่ขวัญข้าวในยงุ้ จุดธูปเทียนโดยพูดสขู่ วญั ข้าวซึ่งแตกต่างกัน
ไปในแต่ละท้องถ่ิน ประกอบพิธีสู่ขวัญข้าวประมาณ 20 ถึง 30 นาที เมื่อเสร็จพิธีจึงนำอาหารไป
รบั ประทาน แลว้ ปดิ ย้งุ ข้าว 3 วัน หลงั จากน้นั เปดิ ยุง้ นำข้าวไปกินหรอื ขายตอ่ ไป

คำสขู่ วญั ข้าวของหมบู่ า้ นดอนสนวน ตำบลศรีนาวา อำเภอเมอื งนครนายก มตี ัวอยา่ งดงั น้ี
ศรี ศรี ม้ือน้ีแม่นม้ือสัน วันน้ีแม่นวันดี วันดิถีมุตตะโชคสิทธิโชคพร้อมลักขณา ฝูงข้าท้ังหลายมีใจ
ยินดี พากันทำพิธีสู่ขวัญเข้าในเล้า มีท้ังเคร่ืองรับเจ้าเหลือหลายและเส่ือสาดปูลาดไว้เป็นถ่ิน มีท้ังพลูและ
เม่ียงหมาก สรรพภาคพร้อมโภชนา มีทั้งผลและหมากไม้เหล้า กองแก้วใส่พาขวัญเป็นของควรตั้งต่อ ยอด
กล้วยช่อใบเขียวคูณยอดเรียวออกยอด มีทั้งไข่หน่อย ปอดขันสลา มีท้ังปลาและข้าวต้มใส่กล้วย มีทั้ง
น้ำอ้อยย้อยเข้าคุลีกา กองเต็มพาขันโตกมีท้ังต้มไก่โอก้องพาขวัญ ของท้ังหมดมีทุกส่ิง มีท้ังเส้นด้ายม่ิง
มงคล มีทง้ั ขนั น้ำมนต์และจอกแกว้ ตกแตง่ แล้วอันดีจึงไปเชิญเมธีและนกั ปราชญ์มาข้ึนนัง่ อาสน์ คูขวัญ มา
เยอขวัญเอย ขวัญข้าวเหนียวให้ไหลมาลี่ล้าว ขวัญข้าวให้ไหลมารินๆ ขวัญเข้าอยู่ดำเนินและป่าใหญ่ ขอ
ให้ผลปัญญาเหมือนดังเจ้ามโหสถ ขอให้มีใจอดใจเพียร เหมือนด่ังเจ้าเตมีย์ไชยตุภวังค์ ไชยมังคละมหา
มงคลฯ

หมู่บ้านสวนหงษ์ ตำบลสารกิ า เม่ือจะสู่ขวัญให้ทำพิธีเรียกขวัญข้าว คือ เก็บรวงข้าวที่
ตกหล่นตามคันนา แลว้ แบกคอนบนบ่าไปใสย่ ุ้ง มีหมอขวัญ (ผู้ชาย) ทำพธิ ีสู่ขวญั โดยเตรียมของ เช่น ขนม
ไก่ เหล้า เผือก มัน ขนมตีนควาย ใส่ในขันบายศรี ใส่หมาก บุหร่ี แล้วจึงกล่าวคำเรียกขวัญข้าว (ปริศนา
สำราญกจิ , 2539) มีใจความดังน้ี

ศรี ศรี ม้ือน้ีแม่มื้นสัน วันน้ีแม่นวันดี วันดีถือมุตตุโชค สิทธิโชคพร้อมลักขณา ฝูงข้า
ทั้งหลายปี มีใจยินดีพากันทำพิธีสู่ขวัญข้าวในเล้า มีทั้งเรื่องฮับเจ้าเหลือหลาย ทั้งหมอนลาย แลเส่ือสาดปู
ลาดไวเ้ ป็นถัน มีทั้งพลูพัน และเม่ียงหมาก สาระพาดพร้อมโภชนา มีทั้งผลาและหมากไม้ เหล้าคอ่ งแก้วใส่
พาขวัญเป็นของควรต้ังต่อยอดกล้วยช่อใบเขียว คูนยอเยียดดอกยอด มีทั้งไข่หน่วยปอดขันสลา มีท้ังปลา
และขา้ วต้มกล้วย มีท้ังนำ้ ออ้ ยย้วย เข้าคุลีกา กองเต็มพาล้น โตกมที ้ังต้มไก่โอกอั่งพาขวญั ของทั้งมวลมีทุก
สิง่ มีท้ังเส้นด้ายม่ิงมงคล มที ั้งขนั นำ้ มนต์ และจอกแกว้ ตกแตง่ แลว้ ดาดี ตงึ ไปเชิญเมธี และนักปราชญม์ าขึ้น
นั่งอาสน์คูณ ขวัญว่า มาเยอขวญั เอย ขวัญข้าวเหนียวให้ไหลมาล้าง ขวัญข้าวเจ้าให้ไหลมาริน ขวัญเข้าอยู่
น้ำดิน และบ่อหญ้า ขวัญข้าวตกอยู่ในนา อยู่ตากล้าและฮิมหนอง ขวัญข้าวอยู่ตามคลองและหนองห้วย ก็

๑๑๑

ใหม้ าสามื้อน้ี วนั นม้ี าเยอขวัญเอย ขวญั ข้าวกำ่ และขวัญขา้ วขาว ป้องยาวและป้องส้ัน ต้นเนิ่งแตต่ ้นชัน ขา้ ว
วันและข้าวล้าง กต็ ามกันมาสาม้ือนี้วันนี้ มาเยอขวัญเยอขวญั ทั้งหลายฝงู นี้อย่าได้ไปอยู่ลี้นานวนั ใหฮ้ ีบทัน
กนั มาหมดสู่ส่งอยา่ ดา ใหฮ้ ีบทันมาหมดสนู่ าอย่าค้างมาเอยขวญั เอย มาอยู่เล้าพื้นแปน้ หญ้าแฝกมงุ หนาเจ้า
เยอมาอยู่ เจ้าพ้ืนแป้นหญ้าคามุงกี่ เจ้าเอย มาเยอขวัญเอย ถ้าเจ้าบ่มาควายซิกัดกินยอดเจ้าแหล่ว ช้างซิ
กันกินใบเจ้าแหล่ว ฯลฯ พระยาวิฑูรย์ข้ึนน่ังแท่นเพ่ินก็ว่าแม่นมื้อนี้วันนี้ ขวัญข้าวมาโฮมแล้วโฮมเยียร์ มา
เยอขวัญเอยข้าวลีบก็ให้เป็นข้าวมาก เข้าลาดก็ให้เป็นข้าวสาร ตักม้ือแล้วก็ยังเต็มเล้า ตักม้ือข้าวก็ให้เติม
เยียร์เขาเอาไปตำอย่าได้หัก เขาตักใส่ถังอย่าได้ปลิวหนี เขาฝัดเอาวี เจ้าอย่าได้ยอก เขาต่อยเขาสากเจ้า
อย่าได้ตกใจ ถ้าท่านผู้ใดได้กินแล้วขอให้มีอายุยืนร้อยพันวัสสา ขอให้มีผลาปัญญา เหมือนดั่งเจ้ามโหสถ
ขอใหม้ ใี จอดใจเพียรเหมือนดั่ง พระเจา้ เตมยี ์ ไชยตุภวงั ค์ ไชยมงั คละมหามงคล

เม่อื จบคำส่ขู วญั แล้วจึงเสร็จพิธี
ประเพณีผีโรง รำโรง ประชาชนที่มีเช้ือสายชาวมอญ ณ ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง
นครนายก และอำเภอบ้านนาแก้บนท่ีได้กระทำกันไวใ้ นรอบปีท่ีผ่านมา โดยปฏิบัตกิ ารในเดือน 5 ถึงเดือน
6 ตามท้องถ่ินที่กำหนดข้ึน คือ ดำเนินการสร้างโรงมีหลังคาไม่มีพ้ืน วันรุ่งขึ้นเตรียมเคร่ืองเซ่น ได้แก่ หมู
ไก่ เหลา้ กล้วย อ้อย มะพร้าว หัวหอม กระเทียม พริก หม้อข้าว ขนุน (หมูหนาม) เรือกาบกล้วย ยำกล้วย
ตานี (หัวหยวก) หอก ดาบ เหลา้ 2 ขวด ใส่ในไหจู๋ 1 ไห ข้าวตอกดอกไม้ในขัน 1 คู่ นำเครื่องเซ่นวางบน
ใบตอง นำโอ่งน้ำมาต้ังท่ีเสาโรงด้านทิศตะวันตก ขุดหลุมข้างโอ่งน้ำแล้วนำกระดานมาปูข้างหลุมผูกผ้า
กลางโรง 1 ผืน (ผ้าชลวย) จัดหิ้งทางทิศตะวันออกไว้เก็บของ เช่น วางกระโช้ทำราวใต้โรงสำหรับพาดผ้า
และผกู อู่ตามโรง คนทรง (ท้าว) มดี าบ 2 เล่ม หอก 1 ดา้ ม ใส่ในโรง 2 ด้าม หญ้าคามัดหัวท้ายเรอื ใชก้ าบ
หมากทำเรือ 1 ลำ วางเคร่ืองเซ่นหอก และผ้าแดง 1 ผืน เม่ือเตรียมของเสร็จแล้วจึงเริ่มพิธีเข้าทรง โดย
คนทรงเข้าทรงหัวไม้จะตีกลองโทนไปด้วย แล้วรำประกอบการร้องหัวไม้ เม่ือเข้าทรงแล้วให้ถามเร่ืองที่
ตอ้ งการทราบจนถึงเวลาบ่ายหรือเย็นพอสมควรแก่เวลาแล้วเลิกทรง เม่ือเลิกพธิ ีให้สง่ เรือไว้ในท่ีสามแพร่ง
หรือทกี่ ำหนด หรือจากการเขา้ ทรงโดยไม่หันกลับมามองร้ือโรงทางทศิ ตะวันตก 2 ด้าน คว่ำโอ่งนำ้ ทิง้ ส่วน
ของที่เหลอื ไม่นำกลับบ้าน
รายละเอียดของตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนครนายก อำเภอบ้านนา มีข้อแตกต่างกัน
เช่น จำนวนผู้ประกอบพิธีคนทรงชายหรือหญิงจำนวน 4 คน หัวไม้ 4 คน กลองโทน 4 ใบต่อ 1 โรง เมื่อ
ทำพธิ ีตามชุมชนเสรจ็ แลว้ จงึ จัดเลีย้ งกนั ตามบ้านและเปน็ การสน้ิ สุดประเพณใี นปนี ้ัน
เพลงหวั ไมข้ องหมู่บ้านทา้ ยเกาะ มตี ัวอยา่ งดังน้ี
เดือนเอย๋ เดือนหก ฝนจะตกอยโู่ ครมๆ ปลาสรอ้ ย ปลาโสม มดุ เข้าโพรงตามหลวงไหนเอย
เอามีดโต้มาผ่าออก เอามีดตอกมาหลาวหวาย ลาวเอยลาวแก้ว แก้ขา้ เอยจะลนไฟ เชิญเอยเชญิ ลง ขอเชิญ
พระองค์ทั้งแปดทิศ เจ้าองค์ไหนเจ้าศักด์ิสิทธิ์ให้เนรมิตมาไวๆ อ้าวมาเข้าแล้วหรือจะได้หารือกันต่อไป
มาแล้วจะแวะเวียน อย่าให้เปลืองเทียนเปลือง มาแล้วก็กลับไป ใครเอยจะรู้ว่าพ่อมา มาเถิดมาเถิดพ่อมา
จะมวั ชกั ชา้ อยู่ไวๆ พอ่ มาเรือกก็ ลัวจะช้าโดดขนึ้ หลังม้ามโนมัย มาเถดิ หนาพอ่ มา จะไดเ้ จรจากันต่อไป
เนือ้ ร้องเพลงหวั ไมข้ องหมู่บา้ นหนองเตย(ปริศนา สำราญกิจ, 2539) มีดงั นี้
อังเอ๋ยอังเชิญ ขา้ น้อยจะองั เชิญ ข่ีมา้ ถลาเหิร ใช้ให้ไปเชิญเอาพอ่ มาที่มามไิ ดม้ า ข้าเอาไป
ฎีกาไปยื่นให้ แม่ก็รับฎีกาไว้ มิมาก็ต้องจำมา มาเรือแม่ก็กลัวช้า โดดขึ้นหลังมโนมัย พ่อก็แม่นข้ึนหลังม้า
ม้าเอ๋ยก็พอมาไรไร ธงแดงนำหน้าล้วนแต่พญาใหม่ ธงขาวแลดูเป็นทิวล้วนแต่ละล่ิวตาข่ายมา แล้วพ่อจะ
กลับไป พ่อจะไสแต่ช้างมาเข้าโรง เชิญเสียเถิดแม่คุณ กลับไปพ่อจะไสช้างมาเข้าโรง เชิญเสียเถิดแม่คน

๑๑๒

โขลงแม้จะทำอ้องแอ่งวิลาลัย จะไปช้อนกุ้งหรือหาปลาอยู่ท่ีแห่งหนตำบลใด หรือจะไปห้อยโหนโยนชิงช้า

ไม่ค่อยจะมาไม่ค่อยจะไป ข้ามาร้องเรียกอยู่เกร่ินๆ ข้ามาร้องเชิญอยู่ไกลพอก็อยู่แค่น้ี แกไม่ควรร่ำร้ีร่ำไร

เชิญเสียเถิดพ่อคนสวยพ่อผมสลวยบังหางไก่เขามีคำนน ไม่เรียกหาพ่อเอ๋ยจะมาถึงเมื่อไร มาแล้วพ่อจะ

กลับไป ใครเลยจะรู้ว่าพ่อมา มาแล้วหรือพ่อหรือ จะได้หารือกันต่อไป ให้พ่อเอ่ยชื่อข้ามาเรียง ให้พ่อเอา

เสียงเข้ามาให้ มาแล้วจะให้พ่อพักผ่อน ถามว่านามกรพ่อชื่อไร ข้าไม่รู้จักมักจ่ี แกอยู่ท่ีนี่หรือที่ไหน ให้มา

ชี้แจง แบง่ แจง ให้หัวไม้มนั จงอยู่ในหัวใจ

ประเพณีบุญบั้งไฟ ประชาชนในท้องถิ่นปฏิบัติพิธีน้ีเพื่อขอฝนจากพญาแถน ในอำเภอ

เมืองนครนายกประกอบพิธีบุญบ้ังไฟ ณ วัดเขานางบวช ตำบลสาริกา อำเภอเมืองนครนายก ส่วนอำเภอ

ปากพลี ณ วัดฝ่ังคลอง วัดตำบลหนองแสง โดยเตรียมทำบั้งไฟไว้ล่วงหน้าเมื่อถึงวันนัดหมาย คือ ข้ึน 15

ค่ำ เดือน 6 เวลาเช้าทำบุญแล้วกลับบ้านแต่งตัวสวยงามเพื่อเตรียมตัวแห่บั้งไฟ ในวันน้ันคนในหมู่บ้านมี

ความสามัคคีและสนุกสนานกันมาก มีการแห่หรือเซ้ิงบ้ังไฟ พร้อมขบวนกลองยาว แคน ฉ่ิงเพื่อความ

ครึกครื้น ทั้งอาจแห่มาจากหมู่บ้านหรือต้ังขบวนแห่ใกล้ๆ สถานที่จัดงาน มีการแต่งเน้ือร้องให้สอดคล้อง

กบั สภาพปัจจุบัน แล้วจุดบ้ังไฟประกวดความสวยงาม และความสูงของบ้ังไฟ (ปริศนา สำราญกจิ , 2539)

หมู่บ้านวังดอกไม้ ตำบลสาริกา นายสุพรรณ มะลิวัลย์ ได้ประพันธ์กาพย์เซ้ิงบั้งไฟ

ดงั นี้

โอ เฮาโอ พวกเฮามาโอ โอมพทุ โธ นะโมเป็นเค้า

ข้อยซเิ วา้ ฮีตเก่าโบราณ ตามอาจารย์ สมเดจ็ พระราช

ได้ประกาศ ราชธรรมเนยี ม ให้เสง่ยี ม เตรยี มตนให้คล่อง

ใหถ้ ือชอ่ ง ฮตี ประเพณี โลกเฮามี บุคคลเปน็ ใหญ่

เอาใจใส่ ตามฮีตตามครอง ฮีตสบิ สอง ตามครองสิบสี่

ฮตี อา้ ยย่ี ใหส้ งฆเ์ ข้ากรรม ฮตี สองทำ เอาฟนื มาไว้

ฮตี สามให้ ทายกตกั เตอื น ใหท้ ำเพียร เอาบญุ เข้าจ่ี

ฮตี ทีส่ ี่ ดอกไม้บชู า ที่ห้ามา องคส์ งฆพ์ ระเจ้า

ฮีตผ้เู ฒา่ เป็นตรษุ สงกรานต์ ฮตี หกหลาน ทำบุญตกั บาตร

วิสาขมาส คอื บญุ บอ้ งไฟ ฮตี เจ็ดไป บวงสรวงอาฮกั (อารักษ)์

ฮตี แปดศก บุญเข้าพรรษา ฮีตเก้ามา ทำบญุ เข้าสารท

ผปี ยู่ ่า เข้าประดบั ดิน ฮีตสับกนิ ทานบุญเข้าสารท

บญุ ตกั บาตร ทานแลว้ ฝนดี สิบเอ็ดมี พรรษาให้ออก

เพ่นิ จงั บอก ใหเ้ ฮาทำบญุ สิบสองหนุน กฐินผา้ ป่า

ตามเพน่ิ ว่า บุญลอยกระทง ฮตี ตามตรา มีมาสง่ั นี้

ครองสบิ ส่ี คือกอ่ พระทราย เดือนหกปาย ขนดนิ เขา้ วดั

เดอื นห้ารฐั กินน้ำสาบาน ครองสามการ เลี้ยงผเี ข้าแฮก

ปักหรอื แฮก ตามประเพณี ครองสม่ี ี บญุ มหาชาติ

ใหต้ ักบาตร เกบ็ ดกู ทำบุญ ครองหกปนู ทำบุญพระเวส

มนต์พระเทศน์ กบั ใหเ้ ดนกัณฑ์ ครองเจ็ดปนั ทำบุญพ่อแม่

เลี้ยงเฒ่าแก่ ผเู้ พนิ่ มีคุณ ครองแปดปัน เฮือนชานใหล้ กู

ตามทกุ ข์สุขแจกมรดก ให้มนั ตก ออกไปเปน็ พูด

๑๑๓

ใหพ้ ิสจู น์ ผู้ทุกขผ์ ู้มี ครองเก้ามีลูกเขยลกู สะใภ้

เจา้ อย่าได้ ดถู กู นนิ ทา เล้ยี งบิดา มารดาอย่าเกลยี ด

เปน็ เสนยี ด ค่าเข้อื คา่ แนว ครองสบิ แถว ศลี ทานให้ฮา่

อย่าเวา้ ตำ่ คำพดู คำจา เว้นนนิ ทา พูดปดส่อเสียด

อยา่ รังเกยี จ สรา้ งศลี กนิ ทาน สิบเอด็ การ ผเู้ ป็นพ่อบา้ น

ใหป้ ากต้าน โอบอ้อมอารี พรหมวหิ ารมี จำใจทุกเมื่อ

เจ้าอย่าเบ่ือ จากครองเมตตา พระสัตถา โคดมเทศน์ไว้

สิบสองได้ แกพ่ ระราชา ให้รักษา ธรรมศกั ราช

อย่าไดข้ าด ธรรมสิบประการ ทิดหรืออาจารย์ ฟงั เอาให้แน่

อย่าเห็นแต่ ขค้ี รา้ นบด่ ี สิบสามมี ลกู เขยมาสู่

ให้เจ้าอยู่ สำรวมวาจา พิจารณา หาผลตอ้ นเหตุ

แสนทุเรศ ค่าเสยี ดคา่ สี ของบ่ดี อยา่ เอามาดา่

โอ โอ๊ะ โอ โอะ โฮ โอะ โอ

ประเพณแี รกนาขวัญ ชาวนครนายกปฏบิ ัตปิ ระเพณีแรกนาขวัญเพื่อความเป็นสิรมิ งคล

ในการทำนาให้ได้ผลผลิตมากเฉพาะเดือน 7 – เดือน 9 แต่ถ้าเร่ิมฤดูฝนเร็วจะเป็นเดือน 6 (ปริศนา

สำราญกิจ, 2539) ท้ังนไ้ี ปทน่ี าของตนในวันมงคลตามทีเ่ ช่อื ถือกัน เพื่อทำพิธีในแต่ละท้องถนิ่ ซง่ึ คล้ายคลึง

กัน เชน่

การแรกนาขวัญท่ี “หมู่บ้านบ้านไร่” มีพิธีการง่ายๆ คือนำควายมาไถนาครบ 3 รอบ

แล้วไถตัดขวางนาไปจนถงึ อีกด้านหน่งึ ไม่มีพิธกี ารอะไร

“หมู่บ้านท่าด่าน” ตำบลหินตั้งในอดีตมีความเชื่อที่จะแรกนาเดือน 6 เพราะเป็น “นา

ขวัญ” เดือน 7 เป็น “นามิ่งอุดมสมบูรณ์” เดือน 8-9 เป็น “นาหิน” ไม่ดี ส่วนมากนิยมเดือน 7 เป็น

เดือนแรกนา ทั้งน้ีหมู่บ้านท่าด่านก็แรกนาในเดือน 7 ก่อนแรกนาควรทำขวัญนา ซึ่งเป็นความเช่ือเฉพาะ

ของหมู่บ้าน ฤกษ์ดีท่ีควรแรกนาคือวันอาทิตย์ ส่วนวันพธุ ทำให้เกิดผลอดุ มสมบูรณ์ดี ดว้ ยเหตุน้พี ึงเลือกวัน

แรกนาตามความเชื่อถือ

วนั จันทร์ หรือวันศกุ ร์ แรกนาแล้วข้าวจะเสยี หาย

วนั อังคาร แรกนาแลว้ สตั ว์จะเบยี ดเบยี นพืชผล

วันเสาร์ แรกนาแลว้ คนทำนาย่อมเกิดความทกุ ขต์ ลอดเวลา

การแรกนาในพุทธกาลน้ันให้นำชายพรหมจารีแรกนาก่อนเพราะเชื่อว่ากันเสนียด แต่

ปัจจุบันให้พ่อบ้านแทนเพราะเป็นหลักในการทำนา ก่อนแรกนาให้นำกระทงเหล้า กระทงน้ำ กระทงแกง

ส้ม กระทงแกงเขียวหวาน อย่างละ 1 ใบไหว้พระภูมิเจ้าที่ โดยบูชาด้วยธูป 8 ดอก เทียน 8 เล่ม ดอกไม้

ขาว 8 ดอก และขันธ์ 8 แล้วจึงให้พ่อบ้านไถนา (เป็นการบอกเจ้าท่ีเจ้าทางว่าเริ่มจะทำนา เพ่ือให้ข้าว

ได้ผลอดุ มสมบรู ณ์) ให้ไดร้ ะยะสามชั่วปะฏัก แล้วไปดูขไี้ ถดังนี้ “ขีไ้ ถหงายไปข้างหนา้ (ซง้ึ หนา้ ) จะไดส้ มบัติ

พระอินทร์ ข้าวปีนั้นจะได้ผลดีนัก ข้ีไถหงายคร่ึงหนึ่ง คว่ำคร่ึงหน่ึงเป็นอุบาทว์ พระศุลีให้กลับอุบาทว์

เสยี กอ่ นจึงไดผ้ ลดี”

การกลับอุบาทว์นั้นให้นำดินหนทางสามแพร่ง (สามแยก) มาป้ันเป็นพระธรณีไว้บนจอม

ปลวก (ถา้ ไม่มีจอมปลวกให้พูนดนิ สูงเอารูปตั้ง) แลว้ เอาดอกไม้ขาวกับผา้ ขาวบูชารูปธรณีจงึ หายอบุ าทว์

๑๑๔

เมื่อหว่านข้าวตกกล้าน้ันให้เลือกวันพุธหรือวันศุกร์ย่อมได้ผลดี ดังโชดกและมหาเศรษฐี
ไม่มีขาดทรัพย์ ถ้าเป็นพระโพสพเจ้าเข้าทรงต้ังครรภ์น้ันใหน้ ำขวัญข้าว เม่อื ข้างข้ึน 8-10 ค่ำแลว้ ขวญั นั้น
จึงมาพร้อมเป็นสมบัติของเจ้าของนา เม่ือทำขวัญรับแล้ว มีความเช่ือว่าข้าวไม่ล้มตาย ส่วนท้องถิ่นอ่ืนๆ
อาจแรกนาตรงกับวันจรดพระนังคัลแรกนาขวัญโดยใช้จอบขุดพอเป็นพิธีสัก 2-3 จอบเท่านั้น และพูดแต่
สง่ิ ดีงามท่เี ปน็ มงคลใหก้ ารทำนาประสบผลสำเรจ็ ได้ผลดี ทง้ั นไ้ี ม่มีพิธีอน่ื ใดประกอบการไถนาแรกนาขวัญ

ประเพณีบายศรีพระ เป็นประเพณีแสดงความผูกพันระหว่างประชาชนกับพระชาว
อำเภอปากพลี เช่น “หมู่บ้านเนนิ หนิ แร”่ ตำบลหนองแสง ปฏิบัติกันในเดอื น 6 ตำบลโคกกรวดปฏบิ ตั กิ ัน
ในวันข้ึน 15 คำ่ เดือน 7 โดยชาวบา้ นพร้อมใจกันไปวัดในวนั ที่กำหนด นิมนต์พระเณรทุกรปู ที่อยู่ในวัดให้
น่ังในอาสนะท่ีจัดไว้ แล้วนำบายศรี (จำนวนก่ีช้ันก็ได้) ใส่ข้าวสาร ไข่ต้ม รอบโตกมีขนม ข้าว อาหารคาว
ผลไมถ้ วายพระ มผี ้นู ำสู่ขวญั หรือหมอขวัญ 1 คน พูดแต่สงิ่ ทีเ่ ป็นมงคล แล้วจงึ ถวายภตั ตาหารแดพ่ ระสงฆ์
เปน็ อันเสรจ็ พิธี

คำสขู่ วญั พระ มีดังนี้
ศรี ศรี สิทธพิ ระพร บวรเวทวิเศษ อติ ิเรกเตโช มโหราฤกษ์ อธอิ ัทชา อุตลาคุณ พหุลเตโช
ไชยมังคลาดิเรก อเนกศรีสวัสด์ิคนธรรพ์ ปักษ์อารักขา สุรา สุรินทร์ อินทร์พรหมยม ปักษาสุนักขัตคะ สุ
นักขัตตา สุมังคลา อุตตมโชค อุตตมโยค อุตตมดิถี อุตตมนาที มหาสักขีพิราช อินทพาทพร้อม ทั้งน้ีวาง
คาดคู่ พร้อมกันอยู่ลอนลอน พระอาทิตย์จรจวนลึกอังคารถึกมหาไชย พุทธพฤหสั บดีไปเป็นโชค ศุกรเ์ สาร์
โยคเดชมงคล อันเปน็ ผลสมประโยค พร้อมอุทธงั ราชา อุตตมังคลาวิเศษ ม้ือน้ีแม่นมื้อน้ีดี วันน้ีถอื เป็นวนั ดี
ถืออุตตา โชคสิทธิโดยพร้อมลักขณา ฝูงขา้ ทง้ั หลายจึงพร้อมมาบายศรสี ู่ขวัญให้แก่ พระ...เณร...ตนเป็นเจ้า
อันเป็นเถ้าแก่อัสรา อารามคนทรงศีลาธิคุณตามมาก อดเยือนยากค่อยกระทำเพียรใจ สถิตย์เสถียรเถิง
ขนาดองอาจด้วยปัญญาทรงวัสสาบ่เส่ือมเศร้าทุกทั่วเท่าแผ่ผลพาย ทรงสุตันตนิกายสูตรทั้งอันล้ำยิ่ง จบ
เพศเพ้ียงสิง่ วนิ ัยอภธิ รรมไขแจง้ จอดเท่าฮอดพระมหาปฏั ฐาน มีท้งั อลังการวตั ตุโตทัยไขเฮอื งราชเป็นสมณะ
หม่ันเหียรค้า ฝูงข้าทั้งหลายจึงพร้อมกันมาบูชาและกราบไหว้ท่านแก่นไทยผู้ทรงศีล สอนลอนรินหลั่งมา
เต้าคับค่ังมามวล ท้ังกระบวนมีหลายหลากสรรพภาคพร้อมโภชนา มีทั้งข้าวสาลีซะซ่อนหนึ่งสุกอ่อนขาว
ดีมูธุกาสา ทัณฑกามีทั้งความหวานดีแซบซ้อย กล้วยอ้อยพร้อมพร่ำพาลา ทัณฑากามีท้ังไข่ละใหม่พร้อม
มะธุไพพลุวานสพาดธูปทีปถาดแกมเทียน บุผาเสียนแกมกึ่งพร้อมทุกสิ่งนานำมาถวายพร่ำพร้อมยายหลั่ง
ลอ้ มพาขวัญ คนท้ังมวลช้อยชื่นหนื่ ฮ้องเอาขวัญว่า มาเยอขวัญเอย ขวญั คงิ ให้มาคงิ ในเน้อื เจ้ายอ เน้อื ให้มา
อยู่เนื้อในกายเจ้าเอย จงให้หายโดยกัยพ้นโศก ได้โลกล่ำลือชาจงให้ผญาปัญญาดั่งเจ้ามโสถ จงได้มีอดใน
เพยี รพระเจ้าเตมีย์ ให้เจ้าปญั ญาดีดังพระยามิลินทราชไท้ ให้เจา้ แกล้วได้ดั่งพระนาคเสน ให้มีผู้มามอบเวน
ดั่งพระเวสสันดร ให้เจ้ามีอัปสรงามด่ังพระสารีบุตร ให้เจ้าบริสุทธ์ิด่ังพระพุทธเจ้า ตราบต่อเท่าฮ้อยขวบ
พระวัสสา จัดตาโธธัมมา วุฒิธรรมท้ังหลาย 4 ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ อโรคยา ครบถ้วนห้า
ปฏิภาณะถ้วนหก อธิปไตยด้วยเจ็ด จงเสด็จลงมาฮักษายังขันธสันดานแห่งพระ เณรตนเป็นเจ้า ตราบตอ
เทา่ เขา้ สุ่พระนพิ พาน ทกุ ตนทุกองคด์ ว้ ยเทอญ
“หมู่บ้านหนองหัวลิงใน”ตำบลหนองแสง มีการทำบุญในตอนเช้าโดยชาวบ้านนำ
อาหารคาวหวานไปทำบุญ นำบายศรีท่ีแบ่งกันทำมาใส่อาหารคาวหวานผลไม้เพ่ือถวายพระพุทธและ
พระสงฆ์ อาหารคาวท่ีขาดไม่ได้คือไข่ต้ม เม่ือถึงเวลาตามกำหนดชาวบ้านถวายของแด่พระสงฆ์ สรงน้ำ
พระแล้วสู่ขวัญพระพุทธรูปโดยหมอพร ต่อจากน้ันจึงสู่ขวัญพระสงฆ์ เม่ือหมอกล่าวคำสู่ขวัญเสร็จ
เรยี บรอ้ ยแลว้ จึงถวายไข่ต้มแดพ่ ระสงฆเ์ พ่อื แสดงความเคารพ (ปริศนา สำราญกิจ, 2539)

๑๑๕

ประเพณีท่ไี ม่กำหนดเดอื น มีดังน้ี
ประเพณีไหวโ้ อ่งน้ำ ชาวอำเภอเมืองนครนายก โดยเฉพาะตำบลบา้ นใหญ่ ตำบลสาริกา
นิยมปฏิบัติกันโดยตักน้ำให้เต็มตุ่ม นำขันธ์ 5 ใส่พานแล้วอธิษฐานให้ร่ำรวยมีเงินมีทองเต็มตุ่มเหมือนน้ำ
ประเพณีไหวโ้ อ่งนำ้ นป้ี ฏบิ ัติกันในวันพระข้นึ 15 ค่ำของทกุ เดือน
ประเพณีไหว้แม่เตา เป็นประเพณีที่ปฏบิ ัติกันในบ้านที่มีแม่เตาไฟ ตามความเชื่อว่าเป็น
ผู้มีคุณ ผลิตอาหารให้รับประทาน โดยแต่งขันธ์ 5 วางท่ีเตาไฟในวันพระ 15 ค่ำเช่นกัน แต่ในปัจจุบัน
ปฏบิ ตั ิกนั น้อยมาก
ประเพณีไหว้ศาลพระภูมิ ชาวบ้านนิยมปฏิบัติกันในวันพระช่วงเวลาเย็น หลังจาก
อาบน้ำแต่งกายให้สะอาดก่อนค่ำ นำดอกไม้ธูปเทียนไหว้ศาลพระภูมิให้ปกปักรักษาบ้านเรือนร่มเย็นเป็น
สุข ประเพณีนบี้ างหมู่บา้ นจะไหว้ในตอนเชา้
ประเพณีไหว้แม่บันได ตามความเชื่อน้ันแม่บันไดมีคุณ นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่
ครอบครัว จึงนิยมแต่งกรวยขนั ธ์ 5 หนึ่งคทู่ ่ีหัวบันได กล่าวคำอธิษฐานสิ่งดีงามที่เป็นสิรมิ งคลต่อบุคคลใน
ครอบครัว

ขนบธรรมเนียมประเพณีจังหวดั นครนายก ตามที่ได้ศึกษาสำรวจข้อมูลมาตั้งแต่
พ.ศ.2526 จนถึงพ.ศ. 2536 มีประเพณีท้องถ่ินของจังหวัด จำนวน 73 ประเพณี (ปริศนา สำราญกิจ,
2526) และพ.ศ.2541 ได้สำรวจหาข้อมูลเพ่ิมเตมิ ปรากฏว่ามีความเจริญทางเทคโนโลยแี ละอิทธิพลทาง
ตะวันตก เช่น เคร่ืองทุ่นแรง เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้า ปยุ๋ ยาเคมี เครื่องยนต์ ของสำเร็จรูปทั้งผลิตภัณฑ์และอาหาร
เคร่ืองอำนวยความสะดวกต่างๆ ผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ฯลฯ ทำให้ประเพณีท้องถิ่นของจังหวัด
นครนายกมีท้งั รูปลักษณท์ ี่ปฏิบตั ิกนั เช่นเดมิ หรือมีเปลย่ี นแปลงบา้ ง ลดน้อย หรือสูญหายไปตามกาลเวลา

ประเพณีทมี่ ีการเปล่ียนแปลงจากเดิมทำให้ลดขัน้ ตอนและวันเตรียมการนอ้ ยลง
บางประเพณีต้องดูฤกษ์ยาม ให้ฤกษ์ตรงกับวันหยุดงาน คือ เสาร์ อาทิตย์ เช่น แต่งงาน บุญพระเวส
สลากภัต แห่นางแมว เล้ยี งของรักษา กวนข้าวสับปิ ทำบญุ กลางบา้ น ส่ขู วัญคน เปน็ ต้น

ส่วนประเพณีที่ลดน้อยลงและมีปฏิบัติกันเฉพาะบางท้องท่ี หรือาจมีแนวโน้มที่
จะสูญหายไปตามกาลเวลาและสภาพแวดล้อม คือ เล่นงาน ไหว้ผีฟ้า และประเพณีสงกรานต์ท่ีมี
การละเล่นเข้าผีต่างๆ ประเพณีเกี่ยวกับการทำนา เช่น ลงแขกเก่ียวข้าว ทำบุญลานข้าวรวมญาติ สู่ขวัญ
ควาย สู่ขวัญเกวียน สวดขอฝน บญุ สอดแมป่ ลาชอ่ น เปน็ ต้น

ประเพณีของชาวไทยเชื้อสายจนี ในจงั หวดั นครนายก เหมือนกบั ประเพณชี าวไทยเชื้อ
สายจนี ในประเทศไทยโดยทัว่ ไป ทั้งน้ีมีการปฏบิ ตั ิประเพณีตามลำดับเดือนจีนดงั น้ี

เดือนที่ 1 “วันตรษุ จนี ” ตรงกับวนั ท่ี 1 เปน็ วันขน้ึ ปีใหม่ของชาวจนี
เดือนท่ี 3 “วันเช็งเม้ง” วันที่ไม่แน่นอน ส่วนใหญ่ตรงกับวันที่ 5 เมษายนของ
ทุกปี เป็นวันไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ณ ท่ีฝังศพ แต่ที่สุสานของมูลนิธิสว่างอริยะธรรมสถาน (เขาแดง)
กำหนดวันท่ี 3 เป็นวนั เช็งเมง้
เดือนที่ 5 “วันสารทขนมจ้าง” ตรงกับวันที่ 5 เป็นการระลึกถึงยอดกวีคุกง้วน
แห่งนครซอ้ งซ่งึ ทำอตั วนิ ิบาตกรรมโดยการกระโดนนำ้ ตาย
เดือนที่ 7 “วันสารทกลางปี” ตรงกับวันที่ 15 เป็นวันสำคัญวันหนง่ึ ในการเซ่น
ไหว้บรรพบุรุษท่ีบ้าน หญิงท่ีแต่งงานแล้วควรกลับไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษท่ีบ้านเดิมของตน (ปัจจุบันปฏิบัติ
กันน้อยลง ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะไม่สะดวกในการเดินทาง และคนรุ่นปัจจุบันอาจไม่ซึมทราบเร่ืองประเพณี

๑๑๖

จีนที่ควรปฏิบัติกันดีเพียงพอ) ต่อมานำไปปะปนกันเรื่องพระโมคคัลลานะช่วยมารดาให้พ้นจากนรก ทำให้
มพี ิธีเซ่นผไี มม่ ีญาติเพมิ่ อกี พธิ หี นึง่ คอื ตอนเข้าเซน่ บรรพบรุ ษุ ตอนบ่ายเซน่ ผีไม่มญี าติ

เดือนที่ 8 “วนั สารทพระจันทร์” ตรงกบั วันท่ี 15 เป็นวันไหว้พระจันทร์ เคร่ือง
ไหว้ประกอบด้วยผลไม้ ขนมท่ีทำด้วยแป้งข้าวเหนียว ในวันดังกล่าวยังจัดโต๊ะบูชา และประดับโคมไฟ
สวยงาม

เดือนท่ี 10 “วันเทศกาลกินเจ” ตรงกับวันที่ 1-10 เป็นระยะเวลาที่งดบริโภค
เนื้อสตั ว์ และผลติ ผลทีไ่ ด้จากเน้ือสัตว์ เชน่ นม ไข่ เป็นตน้

เดือนที่ 11 “วันสารทขนมอ๋ี” ตรงกับวันท่ี 22 ธันวาคม เป็นวันเริ่มฤดูหนาว
นิยมเซ่นบรรพบุรุษด้วยขนมอ๋ี (ขนมบัวลอดไม่ใส่กะทิ) อวยพรแด่ญาติผู้ใหญ่ หญิงท่ีแต่งงานแล้วพึงอยู่
บ้านสามีไม่ควรออกไปท่ใี ด

เดือนท่ี 12 ตรงกับวันที่ 24 เป็นวันท่ีเทพเจ้าขึ้นสวรรค์ ส่วนวันส้ินปีตรงกับ
วันที่ 30 (หรือ 29) เรียกว่า “วันจ่าย” และยังเป็นวันทำความสะอาดบ้านตลอดจนประดับบ้านให้
สวยงาม ชำระหนี้สิน ผู้ที่รายได้แล้วพึงให้เงินแก่บิดามารดาและญาติพี่น้อง ส่วนญาติผู้ใหญ่ควรให้เงินแก่
เด็ก ทั้งนี้เงินท่ีให้แก่กันนิยมห่อด้วยกระดาษแดง การให้เงินดังกล่าวเรียกว่า แตะเอีย (คือถ่วงกระเป๋าให้
หนัก) กอ่ นเขา้ เด็กพึงอวยพรให้แก่ผใู้ หญ่

การท่ีจังหวัดนครนายกมีหลายกลุ่มชน ทำให้มีประเพณีเฉพาะให้แต่ละกลุ่มชน
ที่มีข้อเหมือนและข้อต่างกันทางศาสนาพอสมควร แต่ยังอยรู่ ่วมกันอย่างสงบ มีความสัมพันธ์กันอย่างดีแม้
ต่างกลุ่มชนก็ตาม ท้ังนี้มีประเพณีที่ช่วยส่งเสริมการผสมผสานทางสังคมระหว่างกลุ่มชนต่างๆ แล้วร่วม
กิจกรรมในประเพณีที่เป็นส่วนชุมชนและส่วนบุคคล บางประเพณีเป็นลักษณะพบปะสังสรรค์กัน ช่วย
ทำงานลักษณะสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน หรือเฉลิมฉลอง จึงทำให้ชาวจังหวัดนครนายกเป็นเมืองที่สงบ
รม่ เยน็

พระราชพิธีหรือรัฐพิธี จังหวัดนครนายกไม่มีพระราชพิธีหรือรัฐพิธีท่ีเป็นเฉพาะของ
จังหวัด มีเพียงวันสำคัญฯ ของรัฐท่ีปฏิบัติกันทั่วประเทศ เช่น “วันอนุรักษ์มรดกไทย” (2 เมษายน) “วัน
จักรี” (วันสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและวันท่ีระลึก...6 เมษายน) “วันฉัตรมงคล” (5
พฤษภาคม) “วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” (12 สิงหาคม) “วันปิย
มหาราช” (23 ตุลาคม) “วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ” หรือ “วันพ่อแห่งชาติ”
(5 ธันวาคม) และ “วนั รฐั ธรรมนูญ” (10 ธันวาคม) เป็นต้น

๑๑๗

บทท่ี 2

กล่มุ ชนในจงั หวดั นครนายก
1. กลุม่ ชนมสุ ลมิ คลอง 22 อำเภอองครกั ษ์

มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์วา่ มสุ ลิมได้เขา้ มาอยู่ในประเทศไทยตง้ั แตส่ มัยกรงุ สโุ ขทัยเป็นราช
ธานี หรอื ตัง้ แต่สมัยทีย่ ังมีอาณาจกั รจามปา (อยู่ทางตะวันออกของเวียดนาม ลาว และเขมร ในปัจจบุ นั )
เนอื่ งจากชาวอาหรบั เดินทางมาค้าขายและเผยแผ่อสิ ลามที่นน่ั แล้วไดแ้ พรม่ าถึงดินแดนท่ีเปน็ ประเทศไทย
และในสมยั กรงุ ศรีอยุธยาเป็นราชธานี มุสลมิ ทีม่ าจากประเทศเปอร์เซยี และท่ีมีอยู่เดิมและเก่ียวข้องเป็น
นางใน หรือมีตำแหนง่ สำคัญๆ ในราชสำนัก มีความสามารถทางดา้ นการเดนิ เรือ และมีตำแหน่งใหญ่โตใน
กรมเจ้าทา่ กองทัพเรือ และการต่างประเทศ ในวรรณคดีตา่ ง ๆ ทก่ี ล่าวถงึ แขก จีน จาม “จาม” น้นั
หมายถึง มุสลิม และมีบนั ทึกจากพน่ี ้องมสุ ลิมทางฝงั่ ธนบรุ ีว่า บรรพบรุ ษุ ของเขาไดร้ ่วมรบเคียงบา่ เคียงไหล่
กบั พระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบรุ ี ในการกอบกู้เอกราชของชาติไทย หลงั เสยี กรงุ คร้ังที่ 2 และในตน้
กรงุ รตั นโกสินทรก์ ็มมี ุสลิมเป็นเจ้าจอมมารดาของเจ้าฟ้าเจ้าแผน่ ดนิ เปน็ ตน้

แต่มสุ ลมิ ในคลอง 22 เกือบทั้งหมดเกยี่ วข้องกับสมัยรชั กาลท่ี 1 แห่งกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ คือ เม่อื
พ.ศ. 2328 พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใหส้ มเด็จกรม
พระราชวังบวรฯ ยกทัพพไปปราบพม่าทางใต้ และยกทัพเลยไปตีเมืองปัตตานี จนถึงไทรบรุ ี (ปะลิศ
และเคตะฮฺ) กลนั ตัน และตรงั กานู นัน้ ได้กวาดต้อนผูค้ นจากปัตตานี ไทรบรุ ี กลันตนั และตรังกานู ซ่ึงมี
ทั้งเชือ้ พระวงศ์ขุนนางและประชาชนท่ัวไปมาไวท้ ี่กรงุ เทพฯ ที่สี่แยกบ้านแขก สีแ่ ขกมหานาค (มคี นสีแ่ ยก
มหานาคเล่าให้ฟงั ว่ามะของตวนกอู ับดลุ เราะหฺมาน อดีตนายกรฐั มนตรีของมาเลเซยี ก็ฝงั ทม่ี หานาค และ
ทา่ นเคยมาเยี่ยมกุบุรฺท่นี นั่ ) ถนนตก บา้ นอู่ จักรวรรดิ คลองแสนแสบจนถงึ สามแยกท่าไข่ ทีป่ ากลัด ท่า
อิฐ บางบัวทอง บางพลี คลองสำโรง และคลองพระโขนง เปน็ ตน้

ต่อมาในสมยั รัชกาลท่ี 5 เม่อื พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัว ทรงพระกรุณาโปรด
เกลา้ ฯ ใหข้ ดุ คลองรังสติ คลองหนงึ่ คลองสอง จนถงึ คลอง 24 น้นั ผู้อพยพร่นุ แรกทีเ่ ป็นผู้ใหญไ่ ดเ้ สียชีวติ
เกือบหมด คงเหลือผู้อพยพท่ีเปน็ เด็ก เช่น ยสี ะมะแอ (เคยเป็นทหารและโดยเสด็จรัชกาลที่ 5 ไปมลายู
หรือมาเลเซีย 1 คร้งั ) มุสลิมสว่ นหนงึ่ จากกรุงเทพฯ เชน่ ถนนตก บา้ นอู่ จักรวรรดิ และทรายกองดนิ ได้
ไปตง้ั รกรากท่ีคลอง 14 16 17 19 20 21 และ 22 บางกลุ่มถูกชักชวนไปรวมกบั พวกแรกๆท่ีท่าอิฐ
ปากลัดและทอี่ ื่นๆ แต่อย่างไรกต็ าม บางกลมุ่ ยงั มีครอบครัวอยทู่ างมาเลเซยี หรือมีญาติทางกลนั ตัน ปะ
ลิศ เคตะฮฺ ตรังกานู้ และปีนังเดินทางมาหา หรือเดินทางไปหาญาติทางโน้นเสมอ มสุ ลิมส่วนหนง่ึ ตั้งรกราก
อย่ทู คี่ ลอง 22 อำเภอองครักษ์ จงั หวดั นครนายก ซง่ึ เป็นเขตติดต่อปับจังหวัดฉะเชิงเทราและปทุมธานี
ขนานกบั คลองทางใต้คอื คลอง 6 หรือคลองหกวา (ซึง่ ฝ่ังหนง่ึ อยู่ในเขตจังหวัดนครนายกและอีกฝ่งั หน่งึ อยู่
ในเขตจังหวดั ฉะเชงิ เทรา) ท่ีทรายกองดิน และปากนำ้ สมุทรปราการ และเสียชีวิต เมอื่ อายุ 96 ปี และ
ทีส่ บื เช้อื สายมาจากมะละกาหรอื มะละกอ ได้แก่ แชโตะ๊ และแชบวั นามสกุล โดดแช และแชมะละกอ
(ภาษามาเลยท์ ่ีมาตรงกบั ภาษาไทย)

คนคลอง 22 รุ่นแรกๆ เรียก พี่ นอ้ ง พ่อ แม่ ปู่ ยา่ ตา ยาย และทวด คลา้ ยๆหรือตามแบบคน
มาเลเซยี พูดภาษาไทยปนมลายู (ออกเสียงภาษาไทยเหน่อตามเสียงภาษามลายู ต่อมารุ่นหลังๆ พดู ภาษา
มลายูไม่ได้ พดู ได้แต่ภาษาไทย แตเ่ สียงกย็ ังเหน่อตามเสียงภาษามลายู) และยังลำดบั เรียกญาติ
เชน่ เดียวกนั ด้วย คือ เรยี กพชี่ ายวา่ บงั ยอ่ มาจากคำวา่ อาบงั เรียกพีส่ าววา่ กะ๊ หรือ เก๊าะ ยอ่ มาจากคำ

๑๑๘

วา่ กากะ๊ หรือ กาเก๊าะ (ตามสำเนยี งเมอื งต่าง ๆ ของมาเลย์) เรียก น้อง ท้ังชายและหญิงว่า เดะ๊ ย่อมา
จากคำว่า อาเดะ๊ เรยี กพ่อวา่ ป๊ะ(เปา๊ ะ) หรือเรยี ก เย๊าะ(ย๊ะ) ถ้าเคยไปทำฮจั ยีมา เรียก แมว่ า่ มะ หรือ
เมาะ เรยี กปู่และตาวา่ แช หรือ โต๊ะแช หรือ โตะ๊ หรอื กี หรอื โตะ๊ กี ถ้าเคยไปทำฮัจยีมา เรียกย่าและ
ยายวา่ โตะ๊ หรือ วงั ถา้ เคยไปทำฮัจยีมา เรยี กทวดผู้หญิงว่า โต๊ะหยัง เรียกทวดผ้ชู ายว่า แชหยงั ส่วนการ
ลำดบั ญาตพิ นี่ ้องน้ัน แล้วแต่ว่าใครจะมีลกู มากหรอื น้อยก็ตัดทอนไปตามสว่ น แต่ทีเ่ รียกตรงกนั คือ ลงุ
หรือ ปา้ หรอื นา้ หรืออาทีเ่ ป็นลกู คนโต หรอื ลูกคนหัวปี หรือลูกคนแรกจะเรียก วอหรอื เวาะ (มีบางบ้าน
เรยี กลูกคนโตวา่ ลง ) คนท่ี 2 เรยี ก เง๊าะ หรือง๊ะ (มาจาก สะตะง๊ะ – คนกลาง) คนกอ่ นสดุ ท้อง เรียก จ๊ิ
และคนสดุ ท้อง เรยี ก จู หรอื ซู บางบ้านอาจมี จ๊ิ 2 คน จู หรือซู 2 คน เพราะหลานเกิดมาเรว็ –นึกว่าลกู
หมดแล้ว จงึ ให้เรยี กจหู รือซู แตก่ ลับมีลกู อกี หรือบางบา้ นมีแค่ จิ๊ เพราะนกึ วา่ จะมีจหู รือซู ตามมาแต่กลบั
ไม่มี เป็นต้น ในบางกรณี เรียก พผ่ี ูห้ ญิงว่า นิ เป็นการเรียกช่อื คนในตระกลู ทีส่ ืบเช้อื สายมาจากเจ้าผู้
ครองเมืองปัตตานีในสมัยกอ่ น

ปจั จบุ ันคนในคลอง 22 จำนวนมากเรยี กพ่อ แม่ ลงุ ปา้ น้า อา หรอื ญาติพน่ี ้อง ทง้ั แบบมาเลเซีย
ไทย จนี ฝรั่ง แขก และอาหรับ ตามทต่ี นชอบและสะดวก เชน่ เรยี ก พ่อ วา่ ป๊ะ เป๊าะ ป๋า พอ่ เยา๊ ะ ปะปา๊
บา บาบา อบูยา่ หรอื เรียก แมว่ ่า มะ เมาะ แม่ มามา มาม้า อุมมี ฯลฯ ถา้ ลำดบั ญาตลิ ำบาก เพราะคน
เดียว เป็นทั้งป้าของทางฝา่ ยพ่อ และเป็นทั้งยายทางฝ่ายแม่ ก็ให้หลานเรียก โตะ๊ ป้า จะได้ครบความหมาย
สว่ นการนบั ญาตริ ะหวา่ งลกู พ่ีลูกน้อง คนจำนวนมากก็เร่มิ ให้นับคนทเี่ กิดก่อนเป็นพ่ี เพราะบางครั้งคนท่ี
อายุน้อยและเป็น ลูกผู้พ่ี ก็ลำบากใจท่จี ะเรียกช่ือ ลูกผนู้ ้อง ทีอ่ ายุไล่ๆ กบั พอ่ หรือแม่ของตน ดว้ ยการ
เรียกช่ือเฉยๆ ขณะทค่ี นอ่ืน เรยี ก พ่ี เรียก ลุง เรยี ก ปา้ เรียก โต๊ะ เรียก แข กัน แต่ก็ดูไม่ดี สว่ นทีย่ ังยดึ
ม่นั ของเดิม หรือแบบมาเลเซียอยา่ งเหนยี วแนน่ กย็ ังมี

2. กลุม่ ชนไทยพวน

ความเป็นมาของพวน

ตามตำนานเล่าขานกันมา เชือ่ กันวา่ “พอ่ ขุนบรม” (บูลม)” เป็นผสู้ ร้างอาณาจักรแควน้ สบิ สองจุ
ไท เปน็ ดนิ แดนทางภาคเหนือของลาว (ประเทศสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว) หรอื มชี อ่ื ว่า
สปปล. อนั เป็นท่อี ยู่ดั้งเดิมของคนไทยหลายเผา่ รวมท้งั พวนกเ็ ป็นดินแดนอีกส่วนหนงึ่ ใน
อาณาเขตใกล้เคยี งกนั นน้ั ดังมหี ลกั ฐานกล่าวอ้างไวใ้ นบันทึกคำบอกเลา่ ของ ชาวฝรั่งเศสซึง่ มตี ำแหนง่ มุข
นายก มซิ ซัง เดอมาลโลซ์ มีนามว่า “มองเซเญอรป์ าลเลกัวซ์” ได้บนั ทึกไว้ และตีพิมพ์ท่ี กรุงปารีสเม่ือ
ค.ศ. 1854 (พ.ศ. 2397) เทา่ นี้อาจยังไม่ค่อยนา่ เชื่อนกั จะต้องอา้ งใกลต้ วั เขา้ มาอีกเพ่อื ค้นหาอา้ งอิง
งา่ ยยิ่งขึ้น น้ันคือ มหี ลักฐานอ้างองิ ในหนังสอื ชอ่ื วา่ หนึ่งวา่ ไว้วา่ “ในอดีตกาล บนลุม่ แม่นำ้ สายใหญ่ของ
กมั พูชาทีเ่ รียกวา่ แม่น้ำโขง มีอาณาจักรลาวอันประกอบด้วย นครทงั้ สาม คือ เวยี งจนั ทร์ อยทู่ างทิศใต้
หลวงพระบางอยู่ตอนกลางและและเมืองพวนอยู่ทางทิศเหนือ ครงั้ แล้วนับตั้งแต่คนสยามเขา้ ไปย่ำยีเวยี ง
จนั ทร์ และยดึ ครองเข้าไวเ้ ปน็ จงั หวดั หนงึ่ รวมอยใู่ นราชอาณาจักรแล้ว กบั กวาดต้อนเอาราษฎรในเมือง
พวนไปเกือบหมดส้ิน นครหลวงพระบางจึงแผอ่ าณาเขตขน้ึ ไปทางทิศเหนือ และขยายดินแดนกวา้ งใหญ่
ออกไปเป็นอันมาก ในปัจจุบันน้เี ป็นนครท่ีรงุ่ เรือง (หลวงพระบาง) ทำการค้าขายใหญ่โตตดิ ตอ่ กับกรงุ
สยามและชาวจีน ซ่ึงเดินทางเข้ามาตดิ ต่อการค้าทางดา้ นเหนือ”

เมืองพวน แต่ดง้ั เดิมนั้นเป็นอาณาจักรที่ใหญ่อาณาจักรหน่ึงในจำนวนสามอาณาจักร ดงั กลา่ วแล้ว
ในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง คือมีความย่ิงใหญ่ และสำคัญทัดเทียมนครเวียงจันทร์ หรือหลวงพระบางทีเดียว

๑๑๙

ครั้งต่อมาเม่ือถกู สยามครอบครอง และกวาดต้อนผู้คนไปเกอื บหมด ซ่ึงสมัยน้ัน “คน” เป็นทรัพยากรอันมี
ค่าย่ิง โดยเฉพาะสะกัน หรือชายฉกรรจ์ รบทัพจับศึกในสมัยน้ัน ต้องการชายฉกรรจ์เป็นจำนวนมาก
นอกน้ันเป็นรอง ดังคำพังเพยกล่าวไว้ว่า “เก็บผักใส่ซ้าเก็บข้าใส่เมือง” นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่า ทรัพยากร
มนุษย์ท่ีถูกกวาดต้อนมานั้น มีค่าเป็นอย่างยิ่ง คือ เป็นกำลังสำคัญทางยุทธศาสตร์อย่างแน่นอน จึงถูก
กวาดมาจนสิ้นคนพวนที่ถูกกวาดต้อนมาไว้ในแผ่นดินสยามได้ถูกกำหนดให้อยู่ในภูมิประเทศอันเป็น
ยุทธศาสตร์สำคัญๆ ท่ัวทุกแห่ง ส่วนพวกท่ีหลงเหลือคงเป็นพวกท่ีหลบหนีเข้าป่าหาไม่พบ จึงมีเป็นส่วน
นอ้ ยผทู้ ่ีมาตั้งหลักปักฐานอยู่ในแผ่นดินสยาม ก็ยังคงนำเอาขนบธรรมเนียมประเพณีหรือวัฒนธรรมของตน
ติดมาด้วย ดังเช่น ชื่อสถานที่ หนอง บึง แม่น้ำ ลำคลอง ชื่อคน และชื่อหมู่บ้าน ก็ต้ังชื่อเลียนแบบถ่ินฐาน
เดิมของตน แต่ปัจจุบันน้ีสิ่งต่างๆ เหล่านั้นค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับอายุขัยของคน ประกอบกับถูก
อำนาจอิทธิพลของสิ่งที่เรียกว่า ความเจริญ เข้ามาแทรกบดบังจนความเป็นตัวของตัวเอง และสิ่งดั้งเดิม
จะไม่มีเหลือให้เห็นอีกแล้ว สักวันหน่ึงชนรุ่นหลังจะต้องถวิลหามันต่อเมื่อสิ่งเหล่านั้นไม่มีอีกแล้ว อาจมีสิ่ง
แปลกปลอมแอบอ้างตา่ งๆ นานา ว่านี่แหละเป็นสงิ่ ด้งั เดิม ให้คนรุ่นหลังทราบอย่างผดิ ๆ ซ่งึ มีใหเ้ ห็นกันอยู่
บ่อยๆ

ไทยพวนคือใครอยูท่ ่ีไหน

กลา่ วกันว่า ผ้ทู ่มี ีอำนาจย่งิ ใหญเ่ หนือแคว้นแห่งลมุ่ แมน่ ้ำโขงทท่ี ราบกนั แล้วว่า มีนครใหญ่อย่สู าม
นคร ผนู้ ้นั คือ “พ่อขุนบรม หรือ บลู ม อำนาจยง่ิ ใหญ่นมี้ ีศนู ย์กลางอยู่ท่ี “เมืองแถลง” (เดียนเบียนฟ)ู ผูค้ น
ทวั่ ไปรวมทัง้ คนพวนดว้ ย พากันเรยี ก พ่อขนุ บรมวา่ “พระยาแถน” ในหนงั สือประวัติศาสตรช์ าติไทย เลม่
1 ของพระบริหาร เทพธานีกล่าวไวต้ อนหน่งึ วา่ “พวกไทยนอ้ ยนบั เป็นบรรพบรุ ุษของไทยในแหลมทอง
สายใหญส่ ายหนง่ึ นับว่าเปน็ บรรพบรุ ุษของพวกไทยพวน ไทยเวียง ไทยลอ้ื ไทยเขนิ คือ พวกเชิงรงุ้ ในสบิ
สองปันนา และเชยี งตุงน้ันดว้ ย”

จะเห็นวา่ นกั ประวัติศาสตร์ได้จัด “ไทยพวนไว้ในกลุ่มไทยน้อย ซง่ึ เปน็ กลุ่มหนงึ่ ในแหลมทองน้ี แต่
เป็นทนี่ า่ สังเกตวา่ “พวน” นั้นมองเซเญอรป์ าเลกวั ซ์ ไม่ได้จัดไว้ในคนไทยทงั้ สิบสองพวก แตพ่ วกนนั้ เปน็
ดนิ แดนหน่งึ ตา่ งหาก เรียกวา่ แดนพวน อยา่ งไรก็ตาม พวน กค็ งเป็นแคว้นอิสระไม่ได้รวมอยใู่ นกลมุ่ ใด ไม่
วา่ จะเป็นสบิ สองจไุ ทหรือสิบสองปนั นา แดนพวน เป็นอาณาบริเวณตอนใต้ของสิบสองจุไท ดา้ นตะวันออก
จรดตรันนินห์ ของญวน ตะวันตกจรดเขตหลวงพระบาง ทิศใต้จรดเขตเวยี งจนั ทน์ มีศนู ย์กลางอยู่เชียง
ขวาง

คนโบราณสมัยล้านช้างล้านนา มกั เรยี กเมอื งใหญ่ๆ ว่า “เชียง” เมืองหลวงพระบางนั้นสมยั กอ่ น
เรียกวา่ เชยี งดงเชยี งทอง ในปัจจุบนั นี้ประเทศไทยยังมคี ำวา่ เชียงใหไ้ ดร้ ู้ไดเ้ ห็นกันอยู่คือ เชียงใหม่
เชยี งราย เป็นต้น ฉะนัน้ เมืองเชียงขวาง ก็น่าจะสนั นิษฐานไดว้ า่ เปน็ เมืองใหญ่ มคี วามเจริญสมยั น้นั
แนน่ อนเปน็ ข้อยนื ยันได้ว่าเมืองพวนหรือดนิ แดนพวนนี้ จะตอ้ งมีความเจรญิ รงุ่ เรืองในสมัยนัน้ อย่าง
แน่นอน
3. คนพวน ไทพวน หรอื ไทยพวน

ด้วยเหตวุ ่า พวน หรือคนพวน เปน็ คนทมี่ ีเชอ้ื สายไทเผา่ หน่ึง มีความเกย่ี วกนั ทางเชือ้ ชาติ ศาสนา
และวัฒนธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณีและภาษาพูดจึงใกลเ้ คียงกันมาก นักประวัตศิ าสตร์จงึ จัดคนพวน
ไวเ้ ปน็ ไทยเผา่ หนง่ึ จึงถกู จัดไวใ้ นกลุม่ ไทยน้อยทน่ี บั ว่าเป็นบรรพบรุ ษุ ของพวกไทยพวน คำว่า ไทยพวน จึง
มีปรากฏในประวัติศาสตรม์ านานแล้ว จากหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ท่มี ีคำว่า ไทพวน ปรากฏอยใู่ น
หนังสือ พงศาวดารลาว ของกระทรวงศึกษาธกิ าร เรียบเรยี งโดย มะหา สลิ า วีระวงส์ ตอนหนงึ่ ความว่า

๑๒๐

“ในเวลานัน้ พระยาคำคอน เจ้าเมืองพวนเชียงขวาง ได้นำเอาช้างตัวหนง่ึ ช่อื ว่า ขวญั หลวง มาถวาย

(สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชเจา้ ) แล้วได้ทูลขอเอาคนไทพวนอันอยเู่ วยี งจันทน์คนื ไปยังเมืองพวน” จะเหน็

วา่ แม้แต่คนลาวเองกย็ ังเรียกคนพวนว่า ไทพวน คงจะคดิ เหน็ วา่ พวกน้ันเปน็ คนไทยเผ่าหน่งึ นัน่ เอง ตา่ งกัน

แตว่ ่า ไท ไม่มีอักษร “ย” ปจั จบุ ันน้ี คนพวนกม็ สี ายเลือดผสมก็มากมาย สายเลือดพวนล้วนๆ แทบหา

ไมไ่ ด้แล้วถา้ จะเตมิ คำนำหนา้ ไทยเขา้ ไปน่าจะสละสลวยดีกวา่ เพราะเราเปน็ คนสัญชาติไทยอกี ประการ

หนึง่ คนพวนน้นั มวี ฒั นธรรมการทกั ทายถามไถ่กนั ใช้คำว่า ไท แทนคำวา่ คน กันเปน็ จำนวนมาก เช่น

“เจ้าเปน็ (แมน่ ) ไทยบ้านเลอ” หรือจะเคยได้ยินคำถามกนั ว่า “เพ่นิ แมน่ ไทยกะเลอ” เป็นตน้ ซึง่ ก็

หมายความว่า “บา้ นท่านอยู่ไหน” หรอื “เขาเป็นคนที่ไหนน่ันเอง” จะพจิ ารณาได้ว่าคำว่าไทยนัน้ ใช้แทน

บุคคลมาตัง้ นานแลว้

4. คนพวนอพยพเข้ามาในประเทศไทย

พดู ถึงการอพยพของคนในสมัยกอ่ นนั้น นกึ ภาพดูแล้วคงจะลำบากแสนสาหัสทเี ดยี วเพราะตอ้ ง

เดนิ เท้าแบกสมั ภาระ ท่ีพอจะบรรเทาหนอ่ ยก็เหน็ จะมสี ตั ว์พาหนะ เช่น ชา้ ง มา้ ลา ฬ่อ ส่วนการอพยพ

ของคนพวนลงมาสู่ถน่ิ ฐานประเทศไทยสมยั นน้ั แนน่ อนคงเดินเท้า แบกหาบลากจูงสมั ภาระดว้ ย เพราะมี

สภาพเป็นเชลย (ทหาร) หรือชาวบา้ นธรรมดาๆ การอพยพลงมาของไทยพวนนน้ั ในประวัตศิ าสตร์ไม่มี

ปรากฏไวช้ ดั เจน แตก่ ็พอสนั นิษฐานและประมวลได้เปน็ สงั เขปมีจำนวน 3 คร้ังด้วยกัน ได้แก่ คร้งั ที่ 1 ใน

ราวปี พ.ศ. 2322 เป็นสมัยลาวเสยี เอกราชแก่ไทย ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี อันมพี ระ

ยามหากษัตรยิ ศ์ ึกเป็นแม่ทัพใหญ่ และเจา้ พระยาสุรสีหนาถเปน็ แม่ทัพรอง ยกทัพไปตเี วยี งจนั ทน์ศรีสตั

นาคนหุตของลาวในรชั กาลพระเจ้าสิริบณุ ยะสารกษัตริยร์ าช อาณาจักรลาว ครัง้ ที่ 2 ครั้งเมอ่ื พระเจ้า

อนวุ งศก์ ษตั รยิ ์ราชอาณาจกั รลาวประเทศราชเปน็ กบฏในปลายปี พ.ศ. 2371 – 2372 ฝ่ายกบฏได้พ่าย

แพ้แก่กองทัพไทย โดยมีกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นแม่ทัพใหญ่ มเี จ้าพระยาราชสภุ าวดี คมุ กอง

กำลงั สำคญั เขา้ ตีเวียงจนั ทน์ และเผาทำลายเมอื งเวียงจันทนจ์ นส้นิ ซาก พร้อมทง้ั หวาดต้อนผู้คนลงมา

มากมาย ครัง้ ท่ี 3 ครง้ั เมอ่ื เกิดศึกฮอ่ ซงึ่ จีนเรียกว่า “พวกกบฏไต้แผง” และคราวนัน้ ฝร่ังเศสกำลังแผ่

อิทธพิ ลเข้าครองแถบอินโดจีน ฝ่ายไทยทราบดวี า่ ฝรงั่ เศสจะต้องเข้ายึดครองอยา่ งแนน่ อน จึงกวาดตอ้ น

ผ้คู นในแควน้ สิบสองจุไท หัวพนั ห้าทงั้ หก ซงึ่ มเี ผา่ ตา่ งๆ มากมายรวมถึงพวนดว้ ย การอพยพลงมาคร้ังนี้

ส่วนใหญแ่ ลว้ เปน็ ไทยพวนภายหลังตัง้ เปน็ มณฑลจึงได้ชื่อว่า มณฑลลาวพวน อพยพคร้ังท่ี 1 มสี าเหตุมาก

จากกรุงศรสี ัตนาคนหุต ผใู้ หญ่ในนครเวยี งจนั ทน์วิวาทกัน คือ พระเจา้ สิรบิ ุณยะสารกษตั ริย์ของลาวไมล่ ง

รอยกันกับพระวรราช พระวรราชจึงหนมี าอยู่หนองบวั ลำพู พระเจ้าสิรบิ ณุ ยะ สารกษตั รยิ ์ก็

ยกทัพตามมาตีพระวรวาชสูไ้ มไ่ ด้ จงึ หนีมาอย่ดู อนมดแดง แถวจงั หวัดอุบลราชธานี ปจั จุบนั น้ี พระเจ้าสิริ

บุณยะสารก็ยังให้พระยาอัคคราชยกทัพตามมาตี ตอนน้นั พระวรราชไดเ้ ข้าไปสวามิภกั ด์ิกับเจา้ เมืองนคร

จำปาสกั คอื เจา้ ไชยะกุมาร จึงให้พระยาพลเชยี งสา ยกทพั มาสกดั ไว้ และมีหนงั สือถึงพระเจ้าสิรบิ ุณยะ

สารทลู ขออภยั โทษแก่พระวรราช พระเจ้าสิรบิ ณุ ยะสารจงึ ทรงอภัยโทษ ให้กองทพั กลับเวยี งจันทน์ ครง้ั

ต่อมาพระวรราชได้ววิ าท กับเจา้ ไชยะกุมารอีก จึงไปขอพง่ึ บารมีไทยและไดฟ้ ้องไทยวา่ พระเจ้าสิรบิ ณุ ยะ

สารฝกั ใฝพ่ ม่า เมื่อพระเจา้ สริ ิบุณยะสารทราบเรอ่ื งจงึ ให้พระยาสุโพยกทพั ลงไปตีพระวรราชสไู้ มไ่ ดห้ นีไป

อยู่ดอนกอง พระยาสโุ พตามไปและจัวตวั ได้จึงฆ่าเสียท้าวก่ำบตุ รของพระวรราช จึงมหี นังสือไปยังกรงุ

ธนบรุ ี ให้ยกกองทพั ขน้ึ ไปชว่ ยฝ่ายพระบาทสมเด็จพระเจา้ ตากสนิ พอทราบเรื่องทรงพิโรธมาก จึงให้พระ

ยามหากษัตริย์ศกึ เป็นแม่ทัพยกไปทางบกใหพ้ ระยาสุรสหี นาถยกไปทางเรือ กองทัพทยี่ กไปทางบกขึ้นไป

๑๒๑

ทางนครราชสมี า สุรินทร์ ศรีษะเกษ ส่วนกองทพั เรือเลาะเลียบไปตามลำนำ้ โขงและพบกนั ที่เขมร แล้วยก
เข้าตีเอาเมืองนครจำปาสัก

พระเจ้าสริ บิ ณุ ยะสารเม่ือทราบขา่ วไดย้ กกองทัพมาต้งั รับอยู่ที่เมืองพนั พา้ ว เมอื งพระโคเวียงคกุ
เมืองหนองคาย จนถงึ เมืองนครพนม เมื่อกองทัพไทยขึน้ ไปถึงไดต้ เี อาเมืองนครพนม หนองคาย พะโค และ
เวียงคุกได้ตามลำดับ สำหรบั เมอื งพะโคและเวยี งคุกน้ันกว่าจะตไี ด้ต้องออกอุบายข่มขวญั ฆ่าศึกเสยี ก่อน
โดยล้อมเมอื งไวแ้ ล้วตดั หัวคนพะโค และเวียงคุกใส่เรือให้ผู้หญิงพายเรียบท่าน้ำร้องขายไปเรอ่ื ยๆ ทำให้
ผคู้ นขยาดกลัว หลงั จากนัน้ ก็เขา้ ตจี นเขา้ เมืองได้แลว้ จงึ เขา้ ล้อมเมืองพนั ทา้ วไว้ แต่วา่ รบอยู่หลายวันไม่
อาจตเี มืองพันทา้ วได้ ขณะน้ันพระเจ้าสุริยะวงศ์ ผ้คู รองเมืองหลวงพระบางพอทราบข่าววา่ ไทยยกกองทัพ
มาตีเมืองเวียงจนั ทร์ จึงเป็นโอกาสที่จะแก้แค้นท่พี ระเจ้าสิรบิ ณุ ยะสาร เคยพากองทพั พมา่ ขึน้ ไปตีขนาบ
ทางทิศเหนือ จึงมหี นงั สือบอกไปทางกรุงธนบุรี เพื่อความดคี วามชอบ ฝา่ ยพระเจ้าสริ ิบุณยะสารทราบเรื่อง
เห็นทจี ะรับศึกสองดา้ นลำบาก จงึ ถอยทพั กลบั นครเวียงจันทร์ กองทพั ไทยไดต้ ดิ ตามไปล้อมเวียงจนั ทร์ไว้
ทำการสรู้ บอยู่นานพอสมควร ทพั เวียงจันทร์สู้ศึกสองดา้ นเห็นทีจะสู้ไม่ไหว

พระเจ้าสิริบณุ ยะสารจึงลอบหนอี อกจากเวียงจันทร์ในเวลากลางคืน ให้พระราชโอรสสอู้ ยตู่ าม
ลำพงั จนเหน็ ทสี ู้ไม่ได้แลว้ จงึ เปิดประตยู อมแพก้ องทัพไทยจึงเขา้ ยึดเมืองได้ เม่ือวนั จนั ทรเ์ ดือนสิบแรมสาม
คำ่ ปกี นุ พ.ศ.2322 อาณาจักรลาวล้านชา้ ง ศรสี ัตนาคนหุต ท้งั สามอาณาจกั รอันไดแ้ ก่ นครจำปาสกั
เวยี งจันทรแ์ ละเมืองหลวงพระบาง ก็ได้ถูกแม่ทัพไทยบังคบั ให้เป็นประเทศราชของไทยในเวลาต่อมา
เชน่ เดียวกนั

กองทพั ไทยได้ชยั ชนะครั้งนัน้ ไดจ้ บั เอาเชือ้ พระวงศ์และวงศานุวงศ์ เสนาอำมาตย์กวาดเอา
ทรพั ย์สนิ เงินทองจำนวนมาก พรอ้ มด้วยกวาดต้อนเอาผู้คนครอบครัวเวยี งจนั ทร์และหวั เมืองต่างๆ อีก
มากมาย คราน้ันได้อัญเชญิ พระแก้วมรกต และพระบางลงมากรงุ เทพฯ ดว้ ย ใหพ้ ระยาสุโพรกั ษาเมอื งเวียง
จนั ทร์ไว้แล้วกวาดตอ้ นครอบครวั ลาวลงมาเดือนยขี่ า้ งแรม ได้มาถึงสระบรุ ี หัวเมืองชนั้ ใน ให้ครอบครัวลาว
หลายหมน่ื ครวั ตงั้ บา้ นเรือนอยูท่ ี่นน่ั ไดค้ ัดเอาเชื้อสายกษัตริยแ์ ละข้าราชการชัน้ ผู้ใหญ่เท่านน้ั ไปกรงุ ธนบรุ ี

หลังฐานจากพงศาวดารเมืองหลวงพระบางกลา่ วไว้ตอนหนึ่งวา่ เดือนยี่ ปีกนุ เอกศก (พ.ศ.
2322) โปรดใหล้ าวทรงดำไปตั้งบ้านเรอื นอยเู่ พชรบรุ ี ลาวเวียง ลาวหัวเมอื งฟากโขง ตะวันออกโปรดให้
ตง้ั บา้ นเรือนอยู่ สระบรุ ี ราชบุรี จันทบุรี

พ.ศ. 2335 เมืองแถง เมอื งพวน แขง็ เมอื งไมย่ อมขนึ้ กบั เวียงจันทร์ จงึ ยกทัพไปตีเมืองแถง เมอื ง
พวน ไดล้ าวทรงดำไปไวท้ ่ีเพชรบรุ ี สว่ นลาวพวนใหต้ ง้ั บา้ นเรือนอยู่กรุงเทพฯ เชน่ กัน พ.ศ. 2378 พระเจา้
ธรรม เปน็ แมท่ พั คุมพลไปต้งั อยู่เมอื งหลวงพระบาง แลว้ แต่งต้งั ใหเ้ จา้ ราชไชยอุปราชนาคที่ 7 เจ้าแกน่ คำ
บุตรเจา้ หอหน้าอภัยที่ 2 เจา้ คำปานบตุ รเจา้ ม้งที่ 1 ทา้ วพระยายกกองทพั ขน้ึ ไปตีเมืองแถงจบั ได้ ลาวพวน
ลาวทรงดำ (ผ้ไู ทดำ) สง่ มา ณ กรุงเทพฯ จะเห็นวา่ ไทยพวน นน้ั ได้อพยพมาอยู่กรุงธนบรุ ี สองครั้งสองครา
ตา่ งสมยั กัน

อพยพครง้ั ท่ี 2 นับต้งั แต่ประชาชนลาวได้อพยพมารวมกนั ตัง้ หลกั ฐานบา้ นเรือนอยู่กันมาตงั้ ตา
สมัยพ่อขนุ ลอ (พ.ศ.1290) จนถงึ รัชกาลเจา้ สิรบิ ุณยะสารได้เสียเอกสารให้แก่ประเทศไทยในปี พ.ศ.
2322 รวมเวลาเป็นประเทศชาติเอกราชมายาวนานพงึ พนั ปเี ศษ แล้วยังถูกไทยกวาดต้อนผ้คู นพลเมือง
เขา้ ไปไวใ้ นประเทศไทยอีกจนวนมากด้วย อันสืบเน่ืองมาแต่ความพา่ ยแพ้ของเวียงจันทร์บุรีศรสี ตั นาคนหตุ
เป็นเหตใุ ห้ พระบรมวงศานุวงศ์ของลาวถกู อพยพลงมาด้วย แตพ่ ระเจ้าแผน่ ดนิ ของไทยโปรดให้เข้ามาอยู่
ในร้วั ในวงั ตอ่ มาไดโ้ ปรดให้พระราชโอรสของพระเจ้าสริ ิบุณยะสารได้ปกครองเวียงจันทนใ์ นฐานะประเทศ

๑๒๒

ราชด้วย ท้ังสามอาณาจักรของลาวอันไดแ้ ก่ หลวงพระบาง เวียงจันทร์ และนครจำปาสักได้ตกเปน็ เมืองขึ้น
ของไทยมาตั้งแตบ่ ัดน้ัน ภายหลงั จากกองทัพไทยกลับกรุงเทพฯ แล้ว พระเจ้าสิริบุณยะสารซงึ่ หนีไปเมือง
คำเกดิ ได้พาเอาโอรสไปดว้ ยสององค์ คือ เจ้าอนิ ทะวงศ์และเจ้าพรมวงศ์ไปด้วยนั้น ได้กลับไปครองเมือง
เวยี งจนั ทร์อีก ครองอยไู่ ด้ปีเดียวก็ส้นิ พระชนม์ ฝ่ายไทยจงึ ส่งพระเจ้านันทเสนไปครองเมอื งตอ่ ไป

พระเจา้ สริ บิ ณุ ยะสารนัน้ มโี อรสธดิ ารวมกัน 5 พระองค์ ได้แก่ 1. เจ้านันทเสน 2. เจ้าอนิ ทะวงศ์
3. เจา้ อนุวงศ์ 4. เจ้าพรมวงศ์ 5. พระนางแก้วยอดฟา้ กัลยาณี เม่ือเสียกรุงแล้ว เจา้ นันทเสน เจา้ อนวุ งศ์
พระนางแกว้ ยอดฟ้าฯ ได้อพยพมากบั กองทัพไทยให้พำนกั อยู่กรงุ เทพฯ พระเจา้ นนั ทเสนครองเวียงจันทร์
อยไู่ ด้ไมน่ านกต็ ้องคดีกบฏ ฝ่ายไทยเรียกตัวเขา้ มาไตส่ วนคดีแล้วมาสน้ิ พระชนม์ท่ีกรุงเทพฯ เจ้าอินทะวงศ์
ผูเ้ ป็นพระอนุชาจงึ ได้ขนึ้ ครองราชยต์ อ่ จากพระเชษฐาเป็นกษตั ริย์ครองเมืองจนั ทร์ ชือ่ ว่าพระเจ้าอนุวงศ์
(พ.ศ. 2347) พระเจ้าอนุวงศ์เป็นกษตั ริย์ที่ทรงพระปรชี าสามารถของลาว จนได้รับการจารกึ ไว้ในศิลาเลข
ชื่อวา่ “สมเด็จพระไชยะเชษฐาธิราชที่ 3” ตอ่ มาพระองค์ไดก้ ่อนการกบฏต่อราชอาณาจักรไทย ในปี พ.ศ.
2369 สาเหตสุ นั นิษฐานไวห้ ลายประการดังน้ี สมยั เมือ่ รชั กาลที่ 2 ของไทยสวรรคต เจ้าอนวุ งศ์ไดเ้ สดจ็ ลง
มาจากปลงพระศพรัชกาลที่ 2 ณ กรงุ เทพฯ ได้พาไพร่พลลงมาด้วยเป็นจำนวนมากครนั้ เม่ือเสรจ็ งานปลง
พระศพแลว้ พระเจา้ แผ่นดนิ ไทย (ร.3) ไดส้ ่ังใหพ้ ระเจ้าอนุวงศ์นำไพร่พลขน้ึ ไปตดั ต้นตาลยงั เมอื ง
สุพรรณบรุ ี แลว้ ให้ลากลงไปไว้ ณ เมืองสมุทรปราการเพื่อทำฐานพระเจดยี ก์ ลางนำ้ พอใกลฤ้ ดูฝนพระเจา้
อนวุ งศ์ก็กราบบงั คมทลู ลากลับไปนครเวยี งจันทร์ พระเจ้าแผน่ ดินไทยก็อนญุ าต พอได้โอกาสพระเจ้า
อนวุ งศจ์ ึงทูลขอคณะละครหญิง และเจา้ ดวงคำ ซึ่งเปน็ เชอ้ื พระวงศ์ของลาวกลบั เวียงจันทร์ด้วยพรอ้ มท้งั
ทูลขอครอบครวั ลาวท่ีอย่เู มืองสระบรุ ี ซ่งึ อพยพมาเม่ือคร้งั ท่ีถกู กวาดต้อนมาหลายหมืน่ คน สมัยสมเจพระ
เจา้ ตากสินแหง่ กรงุ ธนบุรี กลบั คนื เวยี งจนั ทรด์ ว้ ย แต่พระเจา้ แผ่นดินไทยไมโ่ ปรดอนุญาตแม้แตเ่ รื่องเดียว
จงึ จงึ ทำใหเ้ สียหนา้ อบั อาย พระเจ้าอนวุ งศ์เปน็ กบฏ ความเคียดแค้นของพระเจ้าอนุวงศ์ ประกอบกบั
แผนการกู้ชาติครัน้ กลบั ถงึ เวียงจันทร์ก็ไดเ้ รยี กพระบรมวงศานุวงศข์ ้าราชการผูใ้ หญ่ ที่สำคัญๆ มาปรึกษา
ถงึ แผนการกูเ้ อกราชจากไทย ด้วยทรงประมาทวา่ ไทยขณะนอี้ ่อนแอ เพราะถูกองั กฤษรุกรานอยูท่ าง
ภาคใต้ ทหารนักรบท่เี ก่งกาจก็แก่ และตายไปมากแล้ว มีแต่ทหารรุ่นใหม่ไมเ่ คยกับการสงคราม หากจะคิด
กู้ชาตติ อนนน้ี า่ จะเหมาะ เสน้ ทางที่จะลงมาตีกรงุ เทพฯ นครราชสีมาเจา้ เมืองไม่อยู่เห็นทีจะใชอ้ ุบายหลอก
หรือโจมตไี ดโ้ ดยงา่ ย ท่ปี ระชุมตา่ งเหน็ ด้วย ยกเวน้ เจา้ ติดสะอปุ ราชคัดค้านวา่ ยังไมส่ มควรทำการเวลาน้ี
เจา้ ติดสะอปุ ราชเป็นน้องต่างมารดาของเจ้าอนุวงศ์ ตอ่ มาไดก้ บฏต่อเจา้ อนวุ งศ์โดยบอกความลบั ใหแ้ ก่พระ
สุริยะภักดี และออกหนงั สอื ผ่านทางลงไปยังกรงุ เทพฯ แต่เจา้ ราชวงศ์ (เหง้า) ไม่เชอ่ื กักตัวไว้ แต่พระยา
เชียงใตก้ บั ผู้ใหญ่หลายคนเห็นวา่ ผา่ นมาทางเจา้ อนวุ งศ์ เจ้าอนุวงศ์อนุญาตแล้วจงึ ไม่กลา้ จบั ไว้ใหป้ ล่อยตัว
ไป) สงครามคร้งั นี้ลาวได้พ่ายแพแ้ ก่ไทยอย่างราบคาบสิ้นเชิง การกวาดต้อนผ้คู นพลเมือง คราวน้มี ี คน
พวน อพยพลงมาในประเทศไทยเปน็ จำนวนมหาศาล

การสงครามไทยกบั ลาวสูร้ บกันมาจนถงึ พ.ศ. 2371 ปลายปีนัน้ กองทัพลาวอ่อนลงเห็นทจี ะสู้ไม่
ไหว เพราะถกู กองทัพไทยตเี วียงจนั ทร์และเผาปราสาทราชวงั บ้านเรือนหมดสิน้ ความในหนงั สือ
พงศาวดารลาวมตี อนหนงึ่ วา่ “เจา้ พระยาราชสุภาวดแี มท่ พั ไทยจึงข้ามมาเวียงจันทน์ แลว้ เกณฑ์ทหาร
ชาวบา้ นชาวเมืองที่ยังเหลอื อย่นู ้ันให้จดุ เผาบ้านเมืองใหห้ มดเกลีย้ ง บ่ใหเ้ มืองเวยี งจนั ทน์มหี ยงั เหลือจกั
อยา่ งโดยหวังจะ บใ่ หต้ ง้ั เปน็ บ้านเมืองได้อกี แลว้ กห็ ากวาดต้อนเอาครอบครัวคนลาวลงไปกรงุ เทพฯ” พระ
เจา้ อนุวงศ์ถูกจบั ได้ เมืองเวยี งจันทน์ถูกยึดและเผา พระเจ้าอนุวงศจ์ ึงพาครอบครัวหลบหนหี วงั จะไปพกั พิง
ญวนดังทเี่ คยไดพ้ ึ่งพามาก่อน ฝ่ายเจ้าน้อย เจ้าเมืองพวน พอทราบวา่ พระเจ้าอนวุ งศจ์ ะพาครอบครวั ผ่าน

๑๒๓

มาทางเมอื งพวนด้วยความกลัวกองทัพไทยจะมาย่ำยกี วาดต้อนผู้คน จึงอาสาจะจบั เจ้าอนุวงศ์ให้ได้ขอ
เพยี งอย่าให้กองทัพไทยยกไปเมอื งพวนเท่านั้น พอถึงวันข้นึ 15 คำ่ เดือน 12 (12 พฤศจกิ ายน พ.ศ.
2371) จึงใหเ้ พย้ี กลางเมอื งกับเพ้ยี มหาไชยไปเวยี งจันทร์ รายงานตอ่ เจา้ พระยาราชสุภาวดี แม่ทัพไทยให้
ทราบวตั ถุประสงค์ดังกล่าวแล้ว เจ้าน้อยกใ็ ห้ทหารออกสกดั จบั เจ้าอนวุ งศ์และครอบครวั ได้ พบเจา้ อนุวงศ์
ที่ตีนเขาไกจ่ ึงใหล้ ้อมไว้ แลว้ แจง้ ความนน้ั ไปยังเวยี งจันทร์ แมท่ พั ไทยจงึ สงั่ ให้พระอินทรเดช พระยา
สุพรรณเชียงสา และเพี้ยเมืองกาง นำทหาร 300 คนขึน้ ไปจับตวั มาได้ ครอบครัวเจา้ อนุวงศน์ ้นั
ประกอบดว้ ย พระนางคำป้อง เจา้ นางทองดี เจ้านางคำใส เจ้านางบุษบา ซง่ึ เป็นพระชายาของเจ้าอนุวงศ์
พร้อมดว้ ยนางคำแพง เจา้ นางหนู เจา้ หนู พระราชธิดาของเจ้าอนวุ งศ์ อีกทั้งหลานสาวเจ้าอนุวงศ์อกี คน
หน่งึ คมุ ตวั ส่งกลบั ไปยังเมืองเวยี งจันทร์ ถึงเม่อื เดือนอ้าย ข้ึน 15 ค่ำ (วันที่ 21 ธ.ค.) ในหนงั สือเล่ม
เดยี วกนั นี้ ว่าไว้วา่ “พระเจ้าอนุวงศต์ ลอดจน เชือ้ แถวแนวพันธข์ องวงศ์กษัตริยน์ ครเวียงจนั ทนก์ ็สนิ้ สุดลง
จนหมดเกลี้ยงในคราวนีด้ ้วย ประชาชนพลเมืองชาวลาวเวียงจนั ทนห์ ลายแสนคนก็ถกู กวาดไล่ลงไปอยู่
เมืองไทย และเปน็ พลเมืองของไทยต่อมาจนทุกวันน้ี”

อพยพครง้ั ที่ 3 ไทยพวนถกู อพยพลงใต้มายงั เวียงจันทน์ในราวปี พ.ศ. 2431 หลงั จากนนั้ ไทยก็
ถกู บีบใหย้ อมรับสิทธิอำนาจครอบครองดนิ แดนสว่ นนนั้ ของไทย และมีการเจรจาปักปันเขตแดน ฝ่ายไทย
จงึ ไดจ้ ัดการปรบั ปรุงระบบการปกครองหวั เมืองลาวเสยี ใหม่ โดยโปรดให้พระเจ้านอ้ งยาเธอกรมหลวง
ประจกั ษ์ศิลปาคม เปน็ ผ้สู ำเรจ็ ราชการแทนพระองค์ รวบรวมหัวเมืองลาวขึ้นเป็นมณฑล เนือ่ งจากการ
อพยพคราวนสี้ ว่ นใหญเ่ ปน็ ไทยพวน จึงให้ชอื่ มณฑลนั้นวา่ “มณฑลลาวพวน” (อุดรธานี) มหี ัวเมอื งใหญ่ๆ
13 หวั เมือง มีหลวงพระบาง เวียงจันทน์ หนองคาย เชียงขวาง ซำเหนอื ไชยบุรี ฯลฯ และหัวเมอื งเล็กๆ
36 เมือง ทางดา้ นใต้กจ็ ดั รวบรวมเป็นมณฑลขน้ึ โดยโปรดใหเ้ จา้ น้องยาเธอกรมหลวงพชิ ิตปรีชากร เป็น
ผูส้ ำเร็จราชการแทนพระองค์ขึ้นมาปกครอง เรยี กมณฑลทางด้านใต้วา่ “มณฑลลาวกาว”มหี ัวเมอื งใหญ่ๆ
21 เมอื ง มอี ุบล ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ จำปาสัก อัตปือ สที ันดอน มหาสารคาม เป็นต้น และรวมหวั เมอื ง
เล็กๆ เข้าไว้อีก 43 เมือง”

ต่อมาเมือ่ ฝร่งั เศสเข้ามามีอิทธพิ ลปกครองลาวในปี พ.ศ. 2448 แยกดินแดนแควน้ สบิ สองจุไทไป
รวมกบั การปกครองของเวยี ดนามดนิ แดนสว่ นน้ีจึงอย่ภู ายใตอ้ ิทธิพลของเวยี ดนามแต่บัดนนั้ ตอ่ มาฝร่ังเศส
ได้เพยี รพยายามเขา้ ยึดครองดินแดนแถบนเ้ี คยอยู่ในอำนาจการปกครองของเวียดนามมาก่อน เม่ือ
เวียดนามเปน็ ของฝรงั่ เศสดนิ แดนสว่ นนั้นก็จะต้องตกเป็นของฝร่ังเศสไปด้วย ในทีส่ ดุ ดนิ แดนแถบสิบสองจุ
ไทและหัวพันห้าทั้งหกตกเปน็ ของฝรัง่ เศส ในปี พ.ศ. 2431 ในปี พ.ศ. 2436 (ร.ศ.111) แผ่นดินไทยก็
ตกเป็นของฝรง่ั เศส คือ ดินแดนฝงั่ ซ้าย หรือฝงั่ ตะวันออกของแม่น้ำโขง ตัง้ แตด่ ินแดนภาคเหนือ ของลาว
เรื่อยลงมาตามลำดับ มหี ลวงพระบาง เมอื งพวน และเชยี งขวาง คำเกิดคำม่วน และสีทนั ดอน จนจรดเขต
แดนเขมร ฉะนน้ั ในช่วงเกดิ กรณพี ิพาทไทยกับฝรงั่ เศสนัน้ ไทยรู้ตัวก่อนแล้ว จงึ ไดอ้ พยพผู้คนลงมาใน
ประเทศไทย มารวมไว้ในภาคอสี านตอนบน แลว้ ค่อยทยอยเคลอ่ื นลงมาทางใต้ตามลำดบั ผ้ทู ีอ่ พยพลงมา
ส่วนใหญเ่ ปน็ คนพวน ซึง่ คนไทยเรียกว่าลาวพวน ส่วนจะแยกยา้ ยกันไปตง้ั บ้านเรือนอยู่ที่ใดในประเทศไทย
อกี นน้ั หลักฐานไมป่ รากฏ

สำหรบั ผู้ปกครองเมืองพวนคนสุดทา้ ยทางราชการไทยได้ส่งพระยอดฯ เป็นขา้ หลวงปกครองที่
รจู้ ักกันในนาม พระยอดเมืองขวาง ได้ถูกศาลผสมไทยฝรง่ั ตัดสินจำคุกฐานฆา่ ชาวฝรัง่ เศสตาย ต่อมา
พสิ ูจน์ได้วา่ เป็นผบู้ รสิ ุทธ์ิ จงึ ไดร้ ับการปล่อยตวั แต่กต็ ดิ คุกไปแล้ว 4 ปี (ศาลพิพากษาจำคกุ 20 ปี เมือ่
13 มีนาคม พ.ศ.2437 ปลอ่ ยตวั เมื่อ พฤศจิกายน พ.ศ. 2441) และถึงแกก่ รรม พ.ศ. 2443

๑๒๔

ดังนน้ั จึงพออนโุ ลมได้วา่ ไทยพวน ได้อพยพลงมาสูภ่ ูมภิ าคของไทย ตงั้ แต่สงครามไทยปราบฮอ่
จนถงึ กรณีพิพาท ไทย – ฝรง่ั เศส เปน็ การอพยพอีกระลอกหนึ่ง

คนไทยพวนในอำเภอปากพลี

สำหรบั คนไทยพวนในอำเภอปากพลี จากการสบื ค้นเอกสารทเ่ี กยี่ วข้องมีการนำเสนอการเดิน
ทางเข้าสปู่ ระเทศไทยของไทยพวนไว้ 2 แนวทาง คือ แนวทางแรก เม่ือ พ.ศ.2322 สมเดจ็ พระเจ้าตาก
สินมหาราชโปรดใหส้ มเด็จเจ้าพระยามหากษตั ริย์ศึกไปปราบกบฏทเ่ี วียงจนั ทน์มีชัยชนะ ได้กวาดต้อนผูค้ น
มาดว้ ยเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนัน้ มีชาวลาวและพวนจากเมืองซำเหนือ รวมอยดู่ ว้ ยและใหม้ าอย่ตู าม
จังหวดั ต่าง ๆ ในนครนายกมไี ทยพวนพวกหน่ึงซ่ึงมีถ่ินเดิมอยทู่ ี่บา้ นโค้ง บา้ นเม่ยี ง บา้ นหนองววั บา้ น
นาคา เห็นวา่ บริเวณลุ่มน้ำของคลองทา่ แดงในปัจจุบนั เหมาะแก่การตง้ั หลกั แหล่งทำมาหากนิ จึงรวมตวั กนั
แล้วตัง้ ชือ่ บ้านว่า “บ้านท่าแดง” ในคราวที่อพยพมาครงั้ นัน้ มีพระภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ชอ่ื หลวงพ่อภาระ ซงึ่ เป็น
ท่ีนบั ถือของไทยพวนเป็นผู้นำขบวนอพยพและได้อญั เชิญพระศรีอารยิ ์ซึง่ หลอ่ ดว้ ยทองสัมฤทธ์ิมาด้วย ชาว
ไทยพวนจึงไดช้ ว่ ยกันสรา้ งวดั และตงั้ ชื่อตามหมบู่ า้ นว่า “วดั ทา่ แดง” ไทยพวนอำเภอปากพลีพากันอพยพ
มาครง้ั ท่ีสองคือนับตงั้ แต่ พ.ศ.2372 ในส่วนหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์จากกองวชิ าประวัติศาสตร์
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ระบุว่า
คนลาวกลมุ่ นี้ เปน็ กล่มุ ทถ่ี ูกกวาดต้อนมาจากประเทศลาวปัจจบุ นั มีมา 2 ระยะสำคญั ดว้ ยกันคือ
ระยะแรก ในสมัยกรุงธนบรุ ี ราว พ.ศ. 2322 เม่ือพระเจ้ากรงุ ธนบุรีฯ โปรดเกลา้ ให้เจ้าพระยามหา
กษัตรยิ ศ์ ึกยกทัพไปตลี ้านชา้ งกไ็ ด้กวาดตอ้ นเอาลาวเวียงและลาวหัวเมืองฟากโขงตะวนั ออก มาไว้ท่ี
นครนายก รวมทง้ั สระบรุ ี ลพบุรี ฉะเชิงเทรา ราชบุรี จนั ทบรุ ี ด้วย ระยะท่ีสอง เกดิ ข้ึนหลกั กบฏเจ้า
อนวุ งศ์เวียงจันทน์ (พ.ศ. 2369) เมอื่ รชั กาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาธรรมาเป็นแมท่ ัพ ยกทัพไป
ขับไล่กองทัพญวณ ที่เขา้ มาต้ังท่ีเขตเมืองพานหวั พันทั้งห้าทง้ั หก เพื่อจัดการกับญวณทท่ี ่ีช่วยลาวในคราว
เจ้าอนวุ งศเ์ ป็นกบฏ ไดม้ ีการกวาดต้องครอบครัว ลาวพวนจากเมืองพวนและเขตใกล้เคยี ง ลงมาไวท้ ีบ่ า้ น
หมี่ บา้ นสนามแจง ลพบุรี บา้ นทัพคร้อ วงั หลมุ ทงุ่ โพธิ์ ตะพานหิน จงั หวดั พจิ ิตร ท้ังนี้ น่าจะรวมถึงเขต
นครนายกด้วย โดยพบหลักฐานว่า “บัญชีเรอ่ื งจำนวนครวั ซึ่งมาแตเ่ มืองหลวงพระบาง จ.ศ. 1192 (พ.ศ.
2373)” แสดงว่ามีครอบครัวลาวและ รวมทงั้ พระสงฆ์ สามเณรอพยพมาจากหลวงพระบางมาอยู่ที่
นครนายกดว้ ย

สรปุ โดยรวมว่า คนไทยพวนท่ีอำเภอปากพลี เดนิ ทางมาด้วยเสน้ ทางอันยาวไกลจากดินแดนทส่ี ูง
จากระดับน้ำทะเลมากกวา่ 1,200 เมตร คือเมืองพวนใน แขวงเชยี งขวาง สาธารณรัฐประชาธปิ ไตย
ประชาชนลาว เดินทางมาพร้อมเด็ก ผหู้ ญงิ คนแก่ชรา ชายฉกรรจ์ พระ เณร พระพุทธรปู พรอ้ ม
พระพทุ ธศาสนาและศิลปวฒั นธรรม สถู่ ่นิ ทอ่ี ยใู่ หม่คืออำเภอปากพลี จงั หวัดนครนายก ในความสูงจาก
ระดับนำ้ ทะเลเพยี ง 180 เมตร เดนิ ทางดว้ ยผลแห่งสงคราม หลักฐานท่ียนื ยันชดั เจนวา่ เดนิ ทางมาเมือ่ ใด
ไมป่ รากฏ ที่ปรากฏคือมหี ลกั ฐานชชี้ ัดวา่ อย่มู านานไม่น้อยกว่า 180 ปี วนั คนื ทเ่ี ปลีย่ นแปลงกาลเวลาที่
เปลยี่ นไป จาก“ไทพวน” สู่ “ไทยพวน” ดังทีเ่ ปน็ อยูใ่ นปจั จุบันนี้

ชุมชนบา้ นฝั่งคลอง

๑๒๕

ชาวไทยพวนท่ีอพยพมาจากประเทศลาวมาตั้งถ่ินฐานอยู่ทชี่ ุมชนท่าแดง และได้ขยายชุมชนไป
เร่ือย ๆ และได้ขยบั ขยายออกไปอีกฟากหนงึ่ ของคลองทา่ แดง และได้ตัง้ ชอ่ื หมู่บ้านวา่ “บา้ นฮมิ คลอง”
(ภาษาไทยพวน) ต่อมาจึงเปล่ียนเปน็ “หมบู่ ้านฝง่ั คลอง” และชมุ ชนบา้ นฝ่ังคลอง ซงึ่ เป็นชุมชนมีสถานท่ี
สำคัญทเ่ี ปน็ แหลง่ ทอ่ งเท่ยี วทางวัฒนธรรม คอื พิพธิ ภัณฑ์พื้นบ้านไทยพวน ณ ศูนย์วฒั นธรรมเฉลิมราชวัด
ฝั่งคลอง เป็นแหล่งเรียนรู้ทีส่ ำคัญในการแสดงถึงชวี ติ ของชุมชนมคี วามเกี่ยวข้อง กบั คนในชุมชน ทำให้
คนร่นุ หลงั ทราบถึงประวตั ิของท้องถิ่น รวมถงึ ความเปน็ มาของบรรพบุรษุ ทส่ี บื ทอดกนั มาหลายช่ัวอายุคน
ผทู้ มี่ าเยีย่ มชมพิพธิ ภณั ฑ์ สามารถร่วมพธิ บี ายศรสี ่ขู วัญ รับประทานอาหารพาแลง (อาหารโตกไทยพวนมอื้
เย็น : พาแลง แปลงว่า ม้ือเย็น) ชมการแสดง รำโทน ลำพวน ได้เหน็ ถึงประเพณี วถิ ชี ีวิต วัฒนธรรมและ
ภมู ิปัญญาท้องถ่ิน ทีต่ กทอดสืบต่อกันมาในสบิ สองเดอื นและประพฤตปิ ฏิบัติตนอยู่ในทำนองคลองธรรมสบิ
สี่ประการ ประเพณีท้องถิ่นที่สำคัญ เชน่ ประเพณสี ารทพวน ประเพณีทานข้าวจี่(จ่ี แปลงวา่ ยา่ ง)
ประเพณสี งกรานต์ ประเพณีตกั บาตรเทโวโรหณะ โดยมีวดั ฝ่งั คลองเป็นศนู ย์รวมของชาวไทยพวน
อำเภอปากพลี และเปน็ ศนู ยร์ วมในการจัดการทอ่ งเทีย่ วทางวัฒนธรรมของชุมชนไทยพวนโดยดำเนินงาน
ในรูปคณะทำงานจัดการท่องเที่ยวชุมชนไทยพวน มีพระครูวิริยานโุ ยค เจ้าอาวาสวดั ฝั่งคลอง เจ้าคณะ
อำเภอปากพลี เป็นผูน้ ำในการพฒั นา

๑๒๖

บทที่ 3

ภูมิปัญญาชาวบ้าน(ภมู ปิ ัญญาท้องถนิ่ )

ภมู ิปญั ญาชาวบา้ น หรอื ภูมปิ ัญญาทอ้ งถิ่น เป็นเรื่องของการสบื ทอดประสบการณ์ ความรู้
ความสามารถของคนในสังคม ท้ังการสรา้ งเคร่ืองมอื เคร่ืองใช้ และด้านอื่นๆ ท่ีผสมกลมกลนื กบั
ส่งิ แวดล้อม เปน็ ร่องรอยทางวฒั นธรรมท่แี สดงความเปน็ เอกลักษณ์ของทอ้ งถนิ่

ภูมิปญั ญาชาวบ้าน หรือภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ หมายถงึ พนื้ เพรากฐานความรูข้ องชาวบ้าน (เสรี พงศ์
พิศ, 2539, 145. อ้างอิงในจงั หวดั นครนายก, 2539 ) หรือความรอบรขู้ องชาวบา้ นทเี่ รียนรแู้ ละมี
ประสบการณ์สบื ต่อกันมาทั้งทางตรง ซ่งึ เปน็ ประสบการณ์ของตนเอง หรือทางออ้ มซงึ่ เรียนรู้จากผู้ใหญ่
หรอื เปน็ ความรทู้ ี่สะสมสืบต่อกันมา (ธวชั ปุณโณทก, 2531, 40. อา้ งอิงในจังหวดั นครนายก, 2539) ดงั นนั้
อาจะสรุปวา่ ภูมิปญั ญาชาวบ้าน หมายถึง การนำความรู้ ความสามารถ และความคิด แก้ปญั หาด้วย
สตปิ ัญญาของตนเอง หรอื เป็นองค์ความรู้ในเชงิ สร้างสรรค์ทส่ี อดคล้องและสัมพันธ์กับขนบธรรมเนียม
วฒั นธรรมและเทคโนโลยี ทใี่ ช้ในชวี ิตประจำวัน

ดว้ ยเหตทุ ีภ่ มู ปิ ญั ญาเกิดจากการสะสมการเรยี นรู้มาเป็นระยะเวลายาวนาน มีลักษณะเชือ่ มโยงกนั
ในทุกสาขาวทิ ยาไม่แยกเฉพาะเปน็ วิชาๆ แบบท่เี ลา่ เรียนกัน ฉะนน้ั วชิ าเก่ียวกับเศรษฐกิจ อาชพี ความ
เปน็ อยู่ การใชจ้ า่ ย การศึกษาและวฒั นธรรม จึงผสมกลมกลนื เช่ือมโยงกันหมด (ประเวศ วะส,ี 2532, 75
อา้ งอิงในจังหวดั นครนายก, 2539 ) ในปจั จบุ นั องค์กรตา่ งๆ ทส่ี ่งเสรมิ ความเจรญิ ในทอ้ งถน่ิ ตา่ งเน้นการ
ใชว้ ิทยาการหรือเทคโนโลยีแผนใหม่ โดยขาดการเชื่อมโยงเทคโนโลยแี ผนเกา่ ทมี่ ีมาแต่อดีต ขาดการ
ปรับปรงุ ทเ่ี หมาะสม เปน็ ผลใหว้ ิถีชวี ิตชาวบา้ นเปลีย่ นแปลงเร็วเกนิ ไป ชาวบ้านสญู เสยี ความสมดลุ ของตน
เร่มิ ขาดความภาคภมู ิใจในรากเหงา้ อนั เป็นรากฐานทางวัฒนธรรม อยา่ งไรกต็ ามเครอื่ งมือเครื่องใช้ และ
วธิ ีการในการทำงานทดี่ ดั แปลงเอาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตของตน อุปกรณแ์ ละ
วธิ กี ารตา่ งๆ เปน็ องค์ความรู้ที่มคี ณุ ค่าควรยกย่อง และดำรงรักษาไว้เพ่ือเป็นมรดกทางวฒั นธรรมของ
ท้องถิน่ สืบต่อไป

วธิ กี ารหน่งึ ในการอนรุ ักษ์ภูมิปัญญาชาวบา้ น คอื การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ด้านภมู ิปัญญาชาวบ้าน
โดยสบื คน้ สอบถามใหไ้ ด้ขอ้ มูลแลว้ วิเคราะหจ์ ัดระบบ ตลอดจนพมิ พ์เป็นเอกสารเพ่ือเปน็ ส่อื เผยแพร่แก่
ผ้สู นใจศึกษาคน้ ควา้ ทั้งเปน็ ส่วนหนึ่งท่ีแสดงความเปน็ เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของจังหวดั

การเก็บรวบรวมข้อมูลภมู ปิ ัญญาท้องถิ่นของจังหวดั นครนายกนนั้ ปรากฏว่า สว่ นใหญ่เกิดจากสง่ิ ท่ี
ไดพ้ บหรือวัสดุอปุ กรณท์ ี่มี หรือที่พบในชีวติ ประจำวนั เพื่อการบริโภคแล้ว ต่อมาจงึ เปลยี่ นแปลงไปตาม
สภาวะแวดล้อมและเศรษฐกิจในเชิงธุรกจิ เพ่ือการค้า แตย่ ังมีแนวบรโิ ภคอยูบ่ า้ ง

ภูมิปญั ญาท้องถิ่นของจังหวัดนครนายกจดั เป็นกล่มุ โดยแยกตามอำเภอ จำแนกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1. ภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ อำเภอเมอื งนครนายก ประกอบด้วย

1.1 การกลึงและแกะสลักหินอ่อน ด้วยเหตทุ ี่สภาพภมู ศิ าสตรข์ องจังหวัดนครนายกมีภเู ขาหลายลกู พาด
ผ่าน จึงเป็นแหลง่ ของหนิ ตา่ งๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณเขาชะโงกเปน็ แหล่งของหินอ่อนและหนิ สบู่ (Soap
stone) หนิ สบเู่ ป็นแรช่ นดิ หนง่ึ มชี อ่ื ตามหลักธรณีวิทยาว่า “แร่ไพโรพิลไรท”์ หินทัง้ สองชนดิ เป็นหนิ ทีม่ คี วาม
แขง็ พอเหมาะท่ีจะนำไปสกัดเปน็ รปู รา่ งต่างๆ ได้ง่าย มีลวดลายสวยงามอยใู่ นตวั ตามธรรมชาติ ดังนน้ั นาย
อนนั ต์ กตญั ญู เจา้ ของโรงงานหินออ่ นสริ ิชัย จึงคดิ ทำสง่ิ ของเคร่ืองใชจ้ ากหินอ่อนและหินสบู่ เชน่ แจกัน

๑๒๗

ทเ่ี สียบปากกา อา่ ง โถ โกศ กระถางธูป นาฬิกา ฯลฯ ทงั้ นี้เร่ิมทำต้งั แต่ พ.ศ. 2518 โดยซ้ือหินอ่อนหรือหนิ
สบูท่ ไี่ ดร้ บั สัมปทานทเี่ ขาชะโงก วัตถุดบิ เร่ิมแรกมี 3 ลกั ษณะ คือ เป็นกอ้ น แทง่ สเี่ หลีย่ มและเป็นแผน่
ตามลักษณะชิน้ งานทอี่ อกแบบหรอื ได้สั่งทำไว้ เชน่ ถ้าเป็นแจกันควรเลือกหนิ ทม่ี ีลักษณะเป็นก้อน เปน็ ตน้
ต่อมาทางราชการงดให้สัมปทานตัดหินที่เขาชะโงก จึงได้ซ้อื วตั ถดุ ิบจากจงั หวัดสระบรุ ี หรือจังหวัด
กำแพงเพชรแทน

ข้นั ตอนการกลึงและแกะสลกั หนิ อ่อน มีดงั นี้
1. ออกแบบชิ้นงานตามต้องการ
2. หาหินออ่ นให้ไดร้ ูปรา่ งตามช้ินงานทีต่ ้องการ
3. ตดั ให้ได้ขนาดท่ตี ้องการ
4. กลึงใหก้ ลมหรือเรียบ
5. กลึงหรอื แกะสลักให้ไดห้ นุ่ ตามแบบ
6. เกบ็ รายละเอียดและความเรียบร้อย
การแกะสลกั หินออ่ นเป็นงานท่ที ำรายไดใ้ ห้แก่ผู้ทปี่ ระกอบกจิ การนี้ค่อนขา้ งดี
1.2 การแกะสลกั เหง้าไมไ้ ผ่ตง จงั หวัดนครนายกเปน็ จงั หวัดที่มกี ารปลูกไผ่ตงกันมาก โดยเฉพาะในแถบ
หมู่บ้านนางรอง ตำบลหินตงั้ อำเภอเมืองนครนายก ในฤดูกาลท่ีไผ่ออกหน่อแล้วชาวบา้ นนำหน่อไม้ไปขาย
เพือ่ เปน็ รายได้เสรมิ จากการประกอบอาชีพหลัก หนอ่ ท่ีละเว้นไวจ้ ะเจริญเตบิ โตเป็นต้นไผ่ โดยทั่วไปไม่นิยม
นำไผช่ นดิ นม้ี าใช้ประโยชน์ นอกจากนำไปทำฟืนสำหรับหุงต้ม เพราะไม้ไผ่ดงั กล่าวไม่คงทนเหมอื นชนดิ
อ่นื ๆ
ในปี 2538 - 2539 ต้นไผม่ ีการตายขุยเปน็ จำนวนมาก เน่ืองจากไผ่หมดอายุ ลงุ สวุ รรณ เฟือยมี
ชาวบ้านหม่บู ้านนางรอง ตำบลหนิ ต้ัง ไดน้ ำเหงา้ ไผ่ตงไปแกะสลกั เปน็ รปู หน้าคนโดยตรง แกะสลกั เปน็ รูป
ตา จมกู ปาก เวน้ สว่ นค้ิวและหนวด ท้งั นี้รากสามารถทำเป็นหนวดได้ ดังนน้ั รากไผบ่ นเหง้าจึงเป็นรูปหนา้
คนทีม่ หี นวด มหี นา้ ตาแตกตา่ งกนั ไป หลังจากนน้ั ควรนำยรู ิเทนมาทาเพ่ือเคลือบเงาและเพ่อื ให้เหงา้ ไผ่ตง
แกะสลกั ดังกล่าวอยู่ในสภาพคงทนไม่ผุหรือแตกงา่ ย และสวยงามย่งิ ขนึ้
ต่อมาไดป้ ระยุกต์การแกะสลักเหงา้ ไม้ไผ่จากแผ่นไม้บ้าง ท่อนไม้บ้าง ตามสภาพงานท่จี ะใช้ เชน่
ทำเก้าอ้ีจากต้นตาล ทำแผ่นป้ายจากแผ่นไม้ เป็นตน้
ขั้นตอนในการแกะสลกั เหง้าไม้ไผ่ มดี ังน้ี
1. คัดเลอื กเหง้า (หน่อ) ไผต่ งทมี่ ีอายุ 3 ปขี ้นึ ไปซึ่งเหมาะสมพอดี
2. ตดั ใหไ้ ด้ขนาดทีต่ ้องการ
3. ขึน้ รูปแกะสลกั หนา้
4. ลา้ งทำความสะอาดและตากแดดใหแ้ หง้
5. ใส่ยากันมอด ผึ่งให้แหง้
6. ขัดและใส่ยากนั มอดทบั อีกชั้นหนึ่ง ผ่งึ ไวใ้ ห้แหง้ ประมาณ 2-3 วนั
7. ขดั ด้วยกระดาษทราย
8. ลงสี เชน่ สโี อ๊ก ประดู่ มะเกลือ ฯลฯ
9. ทายรู ิเทนเคลือบเงาเพอ่ื ความคงทนและสวยงาม

งานแกะสลกั เหงา้ ไผ่ตงเป็นงานฝมี ือท่ีเกิดจากความคิดสรา้ งสรรค์ของชาวบา้ นโดยตรง และ
เปน็ สินค้าท่กี ลมุ่ นักท่องเท่ยี วนยิ มซอื้ กันมาก งานดังกลา่ วจงึ เปน็ งานศลิ ปะทคี่ วรสืบทอดไว้ เพราะเป็นสงิ่ ท่ี

๑๒๘

สะทอ้ นภมู ปิ ัญญาชาวบ้านของจังหวดั นครนายก ลุงสุวรรณ เฟือยมี ตระหนักถงึ คุณคา่ ของงานศลิ ปะ
ดงั กลา่ ว จงึ แนะนำสอนบุตรหลานและผสู้ นใจเรยี นรกู้ ารแกะสลักเหงา้ ไผต่ งเพื่อสบื ต่องานของตน ประการ
สำคัญเปน็ การเสริมรายได้ให้แก่ครอบครวั

1.3 การทำสวนมะนาวระบบหยดนำ้ ต้นไมห้ ลากกิ่ง (แฟนซี) มีวธิ ีปฏิบตั ิดงั นี้

1.3.1การทำสวนมะนาวระบบหยดน้ำ เน่ืองจากสภาพภยั แล้งโดยเฉพาะในระยะเดือนมนี าคม -

เมษายน ทำให้การปลกู พชื ผักได้รบั ผลกระทบ ลุงไสว ศรยี า ชาวบา้ นหมู่ 6 ตำบลหนิ ต้ัง อำเภอเมือง

นครนายก จึงคิดดัดแปลงจากการทำสวนมะนาวระบบหยดน้ำของเกษตรกรชาวจงั หวดั ชลบรุ ี แต่เมื่อทำ

แลว้ กลับไมไ่ ด้ผลและประสบปญั หาท่อตนั ต้องนำไมแ้ ยงท่อให้หายตนั ตลอดเวลา ทำใหเ้ สยี เวลาในการ

ทะนบุ ำรุงต้นมะนาว ลุงไสว ศรียา จงึ คดิ หาวิธีแก้ไขโดยการฝังท่อและระบบนำ้ หยดเพือ่ ใหใ้ ช้ได้ดี

กบั สภาพพ้นื ทีแ่ ละพ้ืนดนิ ของจังหวัดนครนายกจนประสบความสำเรจ็ ปรากฏว่าสวนมะนาวของลุงไสว ศรี

ยา งอกงามดีสามารถนำตน้ พันธุ์ออกขายและทำรายได้ดี ไม่ประสบปัญหาการอดุ ตนั ของทอ่

การดำเนินงานดังกล่าวลุงไสวมีลูกมือช่วยทำงาน 5-6 คน เมื่องานประสบผลสำเรจ็ แล้วจงึ แนะนำ

เพอ่ื นบ้านใกลเ้ คียงและผู้ทีส่ นใจไดท้ ราบถงึ ข้นั ตอนและวิธปี ฏบิ ตั ิดงั กล่าวโดยเฉพาะมีชาวตา่ งประเทศ

เดินทางมาดูงานการทำสวนมะนาวระบบน้ำหยดของลุงไสวอยู่เนืองๆ

ข้นั ตอนและวิธีการทำสวนมะนาวระบบนำ้ หยด มีดังนี้

1. ปรบั พนื้ ทใี่ ห้เรยี บและตดั หญ้า

2. ประมาณการระยะความหา่ งของหลุมทจ่ี ะนำต้นพันธ์ุลงปลกู เชน่ การปลกู ขายตน้ พันธ์ุ

ระยะหา่ ง

ประมาณ 4 เมตร การปลกู ขายผลระยะหา่ ง 6-8 เมตรสว่ นระยะห่างระหว่างรอ่ ง 4 เมตร

3. ขดุ หลมุ และปลูกต้นพนั ธุม์ ะนาว

4. ขุดดินขนานตามแนวท่ีปลูกต้นพนั ธ์มุ ะนาวเปน็ แนวยาวเพื่อฝังท่อแปป๊

5. การเปดิ น้ำให้หยดประมาณนาทีละ 2 หยด เพื่อรากพชื ดดู ซึมน้ำได้ทนั เกือบหมดพอดี

อย่างไรกต็ ามการทำสวนจะประสบปญั หามากหากขาดนำ้ เพราะทำให้ตน้ ไม้ไดร้ ับนำ้ ไม่

เพยี งพอ ดงั นน้ั การทำสวนระบบนำ้ หยดจึงทำให้รากต้นไม้ดดู ซมึ นำ้ ได้ทันในปริมาณเพียงพอท่ีตน้ ไม้

ต้องการ

ช่วยแกป้ ญั หาแคลนน้ำในฤดแู ล้งและปลกู พชื ได้ผลดี จำหนา่ ยไดม้ ากทำให้รายไดด้ ี

1.3.2การทำต้นไมห้ ลากกิ่ง (แฟนซ)ี ตามประสบการณใ์ นการทำเกษตรกรรมโดยการตอน ทาบ

กงิ่ ต่อกง่ิ พนั ธมุ์ ะมว่ ง และมะนาวขายน้ัน การพบปะลูกคา้ ทซ่ี ือ้ ต้นไมป้ ลกู ประดับบ้านอันมพี ื้นท่จี ำกัดใน

หมู่บา้ นจัดสรรทำให้ลงุ ไสว ศรยี า เกดิ ความคิดที่จะปลูกต้นไม้หลายๆ ชนิดในพ้นื ทน่ี อ้ ยจงึ ลองเสยี บยอด

ตน้ ไมโ้ ดยเรม่ิ จากมะม่วง ใชม่ ะม่วงมันเสยี บยอดเขา้ กับมะมว่ งแกว้ ปรากฏว่าไดผ้ ลดจี ึงลองขยายกับพชื

ตระกูลสม้ เรมิ่ ทส่ี ม้ โอและมะขวิดเป็นต้นตอ เพราะมะขวดิ เป็นพชื ทท่ี นแล้ง และตายยากลงุ ไสวไดใช้ยอด

ตระกูลส้มทุกชนดิ มาเสียบ เช่น มะนาว มะกรดู สม้ เชง้ ส้มเขียวหวาน สน้ โชกนุ เปน็ ต้น นำปุ๋ยวิทยาศาสตร์

รองพนื้ เพียงบางๆ แลว้ ใชป้ ยุ๋ คอกและปุ๋ยหมักเปน็ หลกั ทำให้ไมม่ ีกากและสารพษิ ตกคา้ งตน้ ไม้แฟนซีของ

ลุงไสวนนั้ ไดร้ บั ความนยิ มมากพอสมควร เพราะนอกจากนำไปเพระใหง้ ดงามแปลกตาแล้วยงั สามารถเกบ็

ผลเพื่อรับประทานและเป็นรายไดเ้ สรมิ ท่ีดี

๑๒๙

2.ภูมิปญั ญาท้องถนิ่ อำเภอบ้านนา ประกอบดว้ ย
2.1 การทำแผ่นฝา้ สำเร็จรปู การสร้างบา้ นนิยมติดฝา้ เพดานเพ่ือช่วยกรองความร้อนจาก

แสงอาทติ ย์ระดับหน่งึ และทำให้ตวั เรอื นเป็นระเบียบเรยี บร้อยสวยงามแต่การทำแผ่นฝ้าสำเร็จรปู ในอดตี
ตอ้ งอาศัยการผลติ จากโรงงานซึง่ ส่วนใหญอ่ ยูใ่ นต่างจังหวัดทำให้ผทู้ ่ีอย่หู ่างไกลส้นิ เปลืองค่าใชจ่ า่ ยในการ
ขนสง่ มาก โดยเฉพาะรา้ นค้าวัสดอุ ุปกรณ์นำแผ่นฝ้าไปจำหน่ายในราคาค่อนข้างสงู เพื่อให้คุ้มกบั
ค่าใช้จ่ายในการขนสง่

ดว้ ยเหตทุ ีน่ ายบรรจุ บุญรอด ชาวอำเภอบ้านนา จงั นครนายก มีญาติทำแผ่นฝ้าสำเรจ็ รูป
อยู่ในโรงงานทำแผ่นฝ้าท่จี ังหวดั พิจิตร ทำใหซ้ ึมทราบวธิ ีดำเนนิ งานดงั กล่าวจนเกดิ ความคดิ ทีจ่ ะดำเนนิ การ
การเอง จงึ ประกอบแผ่นฝา้ เพือ่ จำหน่าย ณ บ้านเกิดของตนคอื เลขท่ี 71 หมู่ตำบลทองหลาง อำเภอบ้าน
นา จงั หวัดนครนายก ระยะแรกเป็นลักษณะอตุ สาหกรรมในครอบครวั จำหนา่ ยให้แกล่ กู คา้ ในท้องถิ่น
ต่อมาเมื่อตลาดมคี วามต้องการมากขน้ึ จึงขยายกจิ การออกเปน็ อตุ สาหกรรมขนาดย่อม มีลูกจ้างจำนวน
มากเพ่ือผลิตสินค้าใหท้ ันต่อความตอ้ งการของตลาด

วัสดอุ ุปกรณใ์ นการทำแผน่ ฝ้า
ประกอบด้วย ปนู ปลาสเตอร์ ส่งั ซื้อจากอำเภอบางปะอิน จังหวดั พระนครศรอี ยุธยา ซง่ึ ราคาถูก
แต่
ปนู แห้งชา้ ประมาณ 30-40 นาทจี ึงจะแห้ง ส่วนปูนที่จงั หวดั พิจติ รมรี าคาแพงกว่าแต่แห้งเรว็ ประมาณ 10-
15 นาที ทำให้ไม่ตอ้ งรอนานและยังผลติ ได้ปริมาณมากกวา่ น้ำและเสน้ ใยแกว้ แม่พิมพส์ ำหรับพิมพ์ลาย
แผน่ ฝา้ ลวดลายต่างๆ ท่ีรา้ นของนายบรรจง บุญรอด มีจำนวนถึง 8 ลาย แม่พมิ พ์นั้นมีราคาค่อนขา้ งแพง
เพราะทำจากกระจกหรือพลาสติกพเิ ศษโดยเฉพาะทำจากพลาสตกิ พเิ ศษมีราคาแพงกวา่ เพราะทนุ สงู แต่
สะดวกในการลอกแผน่ ฝา้ ออกง่ายไม่ค่อยแตก เคร่ืองมือในการผสมและเทปนู ไดแ้ ก่ กระปอ๋ งหรือถัง
สำหรบั ผสมปนู เพ่อื ผสมปนู ให้เข้ากนั ตะกร้าหรือตะแกรงสำหรบั รองเวลาเทปูน เพ่ือกรองเศษตะกอนและ
เศษปูนที่ละลายไมห่ มด ตะแกรงท่กี ด เรยี กวา่ ทแี่ จะ และที่ปาดปูน
วธิ กี ารและข้ันตอนการทำแผ่นฝ้า มีดงั นี้
1. ผสมปนู ปลาสเตอรก์ บั น้ำ อตั ราสว่ น 1 : 2 ตีใหเ้ ข้ากันดว้ ยไม้ตผี สมปนู การผสมแต่ละคร้งั ให้

เท
ได้แผ่นฝ้าประมาณ 2 แผน่ พอดี มฉิ ะนนั้ ย่อมเทไม่ทนั ปนู ในกระป๋องทจี่ ะแหง้ หรือแข็ง

2. ทาแม่พิมพ์ด้วยน้ำเพ่ือใหล้ ่อนและลอกงา่ ยเวลาปูนแหง้
3. นำตะกรา้ หรือตะแกรงมารอง แลว้ เทปูนลงในพิมพ์ ผ่านตะแกรงท่ีหนาประมาณ 10

มลิ ลเิ มตร
4. หนุนหรอื รองแทน่ แม่พิมพ์ให้น้ำปนู ไหวสมำ่ เสมอ ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนง่ึ เพราะอาจทำให้

แผน่
ฝา้ หนาไม่เทา่ กนั

5. โรยใยแก้วให้ทวั่ หน้าปนู ทเ่ี ทไวก้ ่อนทีป่ นู จะแห้ง ใช้ท่ีกด (แจะ) กดใยแก้วให้จมลงในแผ่นปูน
ท้ิงไวใ้ ห้แหง้ ประมาณ 10-40 นาที เนือ่ งจากความแห้งของปูนแตล่ ะชนดิ ใช้เวลาไม่เท่ากนั
ถา้ เปน็ ปนู จากอำเภอบางปะอิน จงั หวดั นครศรอี ยุธยา เวลาปูนแห้งประมาณ 30-40 นาที ถ้าเป็นปูนจาก
จังหวดั พจิ ิตรนน้ั ปนู จะแห้งในเวลาประมาณ 10-15 นาที ลักษณะของปูนทแ่ี ห้ง คือเม่ือคลำหนา้ ผวิ ปูนแลว้
จะร้อน

๑๓๐

6. แกะขอบพิมพ์ออก 2 ดา้ น แซะปนู ทีต่ ิดรอบๆพิมพใ์ หเ้ รยี บร้อยเพ่ือใหข้ อบแผน่ ฝา้ เรียบไม่มี
รอย

ขรุขระ การแกะแผน่ ฝา้ ควรยกขนึ้ ตรงๆไมใ่ ห้แผ่นฝ้างอ เพราะจะหัก
7. แขวนแผ่นฝา้ ไว้ทรี่ าวเพ่ือผง่ึ ลมในทร่ี ่มประมาณ 2 วนั แลว้ นำไปตากแดดอีกประมาณ 2 วนั

จึงเก็บ หอ่ ไว้ด้วยกระดาษสีน้ำตาลเพือ่ ไม่ใหแ้ ผ่นฝ้าแห้งกร้าวมากขน้ึ หรอื เปรอะเปอ้ื นฝุ่น
การทำแผ่นฝา้ สำเรจ็ รปู เปน็ วัสดุภณั ฑท์ ่ีผลติ ขึ้นด้วยภมู ปิ ัญญาของบุคลากรในท้องถิ่น ซ่ึงได้

ประโยชน์และไม่แตกต่างจากสนิ ค้าในโรงงานขนาดใหญ่ ที่สำคัญคือ ราคาถูกและยังสง่ เสรมิ การรายได้
ในท้องถิน่

2.2 การทำองั กะลุงและอังกะลงุ ราว ณ ตำบลพิกุลออก ปัจจุบันดนตรไี ทยยงั มีความสัมพันธก์ ับชวี ิตและ
จติ ใจของคนไทย นกั ดนตรีและผนู้ ิยมดนตรไี ทยยังมีมากแต่ไม่อาจจะเทยี บกับอดตี ได้ เพราะสภาพความ
แตกตา่ งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมอื ง ทำให้ความนิยมดนตรีไทยอยูภ่ ายในวงจำกัด อยา่ งไรกต็ าม
เสียงซอด้วง กลองทดั ระนาดเอก และอังกะลุง ยังคงกงั วานอยู่ในหวั ใจของคนไทยเสมอ

นายสมหวัง คำวัจนัง ชาวบ้านพิกุลออก อำเภอบ้านนา เป็นผหู้ นงึ่ ทสี่ นใจดนตรีไทยมาช้านาน
โดยเฉพาะประสบการณ์ในการสอนดนตรีไทยทำให้เขาคิดประดษิ ฐอ์ ังกะลุงคร้ังแรกประดิษฐ์ให้เด็ก
นกั เรียน ท่ีโรงเรยี นใกลบ้ ้านใช้เพียงแห่งเดียว ต่อมาเมอื่ ครูดนตรขี องโรงเรยี นแห่งอ่นื ๆ ทราบ จงึ สงั่ ไปให้
นกั เรียนของตนใชเ้ ล่นบ้าง จนปัจจบุ ันนายสมหวงั ไม่มีเวลาว่าง เพราะโรงเรยี นในต่างจังหวัดหลายแห่งสัง่
ทำอังกะลุงจำนวนมาก เชน่ จงั หวัดอทุ ัยธานี อตุ รดติ ถ์ เชียงใหม่ ลำปาง ระยอง จันทบุรี นอกจากน้ันยังสง่
ขายลกู ค้าประจำท่ีกรงุ เทพฯและจังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา เป็นตน้

นายสมหวงั คำวจั นัง ไดถ้ า่ ยทอดการประดิษฐ์องั กะลงุ ให้แก่บุตรชาย ซึ่งเปน็ ครแู ละมคี วามสนใจ
ในดนตรี เชน่ เดียวกนั ทำใหไ้ ด้รบั วิชาและนำไปดำเนินงานเปน็ สาขาอยู่ที่จังหวดั ชลบุรี อยา่ งไรก็ตาม
นายสมหวังได้ทดลองประดษิ ฐ์องั กะลงุ ราวให้มตี ัวโนต๊ ทัง้ เจ็ดอยใู่ นตัวเดียวกนั แมเ้ พยี งคนเดียวก็สามารถ
เล่นได้ ซึง่ ต่างจากอังกะลงุ ธรรมดา แตเ่ ดิมทีต่ ้องมจี ำนวนผู้เล่นถึง 7 คน และเม่ือวันท่ี 31 มนี าคม พ.ศ.
2537 นายสมหวงั คำวัจนัง ได้เข้าเฝ้าฯ ถวายอังกะลงุ ราวแด่สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราช
กมุ ารี ในวโรกาสทีเ่ สดจ็ พระราชดำเนนิ ณ ศาลากลางจงั หวดั นครนายก

ขน้ั ตอนการทำองั กะลุง องั กะลุงราว มีดงั น้ี
1. ตดั หรือหาซ้ือไม้ไผส่ ำหรบั ทำกระบอกเสียงตามขนาดทตี่ ้องการ นำไปแชน่ ้ำกันมอด ไผท่ ีใ่ ช้
มี 2 ประเภท ได้แก่ ไผน่ วล และไผ่ลาย ไผน่ วลเปน็ ไม้ไผธ่ รรมดามสี ีธรรมชาติ สว่ นไผ่ลายมลี วดลายสี
น้ำตาลเขม้ อยู่ในตวั มีความสวยงามตามธรรมชาติ จงึ เปน็ ที่นยิ มต้องการแม้มีราคาสูงกว่า ทั้งน้เี พราะได้
ยากและมีนอ้ ย
2. จากนน้ั จงึ นำมาเรียงเขา้ ตับ ทดลองสวมเรยี งเขา้ หากันลดหล่ันขนาดตามลำดบั จำนวน
3 กระบอก คือ ขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ เพื่อทำกระบอกเสียง โดยตัดปลายให้แหลมเป็นปากฉลาม
3. หาไม้จริงหรอื ไผ่ตงแลว้ เหลาเพอ่ื ทำทจี่ ับ เขยา่ ใหเ้ กิดเสียงโดยทว่ั ไป นิยมใช้ไม้ไผ่เพราะทน

และถูก
กวา่

4. หาไม้ยางขนาด 1 นิ้ว x 1 น้ิว เพ่ือทำราง และเหลาทำไม้แขวนอนั เล็กๆ สำหรับแขวน
กระบอกเสียง ทาสีเพ่ือความคงทน

๑๓๑

5. เทยี บเสียงของกระบอกเสียงตามโนต้ ดนตรีสากล เชน่ เทยี บเสยี งจากออรแ์ กน ส่วนเครือ่ ง
ดนตรี

ไทยเทียบจากขลุย่ เป็นต้น ดงั นั้นผทู้ ำจึงควรมพี น้ื ทางดนตรีเพือ่ การเทยี บเสยี งได้ง่ายขึ้น
6. แขวนกระบอกเสยี งด้วยไม้แขวนท่ีเหลาไว้ โดยใชเ้ ชือกมัดหรอื ใช้ตะปตู อก สว่ นใหญน่ ยิ ม

ใช้เชอื กผูก ไม่นยิ มใช้ตะปูตอก เพราะไม้จะแตกงา่ ย
7. เรยี งเข้าชุดเพื่อเตรียมนำไปเล่น หรอื จำหนา่ ย
อังกะลุงราวใช้กระบอกเสียงเรียงกันอยู่ในราวเพียงอันเดยี ว โดยโยงเขา้ กับแกนไม้มีปมุ่ จบั

เพอ่ื ดึงให้เกิดเสียง สามารถเล่นคนเดียวได้
ด้วยเหตชุ าวบ้านในท้องถน่ิ สนใจดนตรีทำให้สามารถผลิตเคร่ืองดนตรจี ากภมู ิปัญญาของตน

ซึ่งทำรายได้เสรมิ ใหแ้ ก้ผ้ปู ระดษิ ฐ์เคร่ืองดนตรีดงั กลา่ วเป็นอยา่ งดี
2.3 การทอพรมเช็ดเท้า เปน็ การนำเอาเศษผ้าขนาดเล็กทีไ่ ม่ใช้แลว้ มาทำพรมเชด็ เท้าโดยการทอ

นายเสถยี ร โพธพิ ฤกษ์ ชาวตำบลเขาเพ่ิม อำเภอบา้ นนา ได้รบั ความรมู้ าจากศนู ย์ศลิ ปาชีพบางไทร
จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยาเมือ่ พ.ศ.2527 เปน็ การทอผ้าธรรมดา และการทอเสื่อกก ต่อมา พ.ศ.2529 เกิด
ความคดิ นำไปทดลองใชก้ ับเศษผ้ายดื ปรากฏว่าไดผ้ ลดจี งึ ทำต่อเนื่องมาโดยตลอด เปน็ ตวั อยา่ งและ
กระจายแพร่หลายไปไปสู่ละแวกใกลเ้ คียงและท่ีอน่ื ทวั่ ไป โดยเฉพาะเผยแพร่ออกอากาศรายการสารคดี
ของศูนยก์ ารศึกษานอกโรงเรยี นทางสถานีโทรทัศนส์ ชี อ่ ง 7 ซึง่ มนี ายคำรณ หวา่ งหวงั ศรี เปน็ ผู้ดำเนิน
รายการ

วัสดอุ ุปกรณท์ ่ีใช้ ประกอบด้วย
1. เศษผา้ ที่รบั ซ้ือมาจากโรงงาน
2. ก่ีสำหรบั ทอ
3. ดา้ ย
4. กระดาษยาง
ขนั้ ตอนการทำ คลา้ ยการทอเส่ือ มลี ำดบั ข้นั ตอนดังนี้
1. คัดและแยกผา้ ตามสี
2. ขึ้นดา้ ยบนกี่
3. ทอด้วยเส้นเศษผา้ สลับลวดลายให้สวยงาม เมอื่ ไดข้ นาดพรมเช็ดเทา้ ตามที่ต้องการใหค้ ัน่ ด้วย
กระดาษยาง เพื่อเว้นดา้ ยไวส้ ำหรบั ตัดได้ง่ายขนึ้
4. ทอพรมเชด็ เทา้ ผนื ต่อไปจนหมดความยาวของดา้ ย ตัดดา้ ยออก
5. ตดั ด้ายท่ีต่อพรมแตล่ ะผืน นำไปผกู ชายด้าย โดยซอ่ นเง่อื นชายดา้ ยใต้ผา้
6. ตัดริมผ้าใหเ้ รียบ

การทอพรมเช็ดเท้าเป็นผลงานท่ีเกิดจากภมู ิปญั ญาท่ีต้องอาศัยความอดทน แต่เป็นรายได้
เสริม ใหแ้ กผ่ ู้ผลิตเป็นอยา่ งดี

3.ภูมปิ ญั ญาท้องถ่ินอำเภอปากพลี ประกอบด้วย
3.1 การทำไมก้ วาดดอกหญา้ เปน็ งานหตั ถกรรมท่ีสะท้อนถึงภูมปิ ญั ญาของชาวบ้านอย่างหน่ึง ซง่ึ

ทำขึ้นเพือ่ ใชส้ อยในครอบครัว ผลติ ด้วยวัสดทุ ี่หาได้จากท้องถนิ่ เช่น ดอกแขมหรือดอกพงทีเ่ รียกแตกตา่ ง
กนั ไป

๑๓๒

ในสภาพทอ้ งถน่ิ หวายเสน้ ใชส้ ำหรบั ถกั ดอกพงใหแ้ น่นปัจจุบนั ใช้เช่ือไนล่อนแทนหวาย และใชไ้ ม้ไผท่ ำตาม
ชาวบา้ นจงั หวัดนครนายกนิยมนำดอกพง (ดอกแขม) มาถักเป็นไม้กวาดใช้กันเอง เนื่องจาก

สว่ นใหญ่อย่ใู นพนื้ ทต่ี ิดภูเขามีต้นพงข้นึ มาก เชน่ ในเขตอำเภอบ้านนา อำเภอเมืองนครนายก และอำเภอ
ปากพลี โดยเฉพาะชาวบ้านบางหมู่บ้านอำเภอปากพลี ได้แก่หมู่บ้านดอนยายแหมะ บ้านเขาดิน บ้านไร่
บา้ นโคกกระชาย บา้ นพรหมเพชร บ้านหนองหวั ลงิ และหมู่บ้านอนื่ ๆบริเวณใกลเ้ คียงดังกล่าวด้ำไมก้ วาด
จำหนา่ ยในรปู แบบธุรกจิ เร่ิมตน้ จากหัตถกรรมในครอบครัวและนำไปขายเพื่อยังชพี ต่อมาเม่ือตลาดการ
ซอื้ ขายไม้กวาดขยายกว้างขึน้ ทำให้ธุรกจิ ระดับครอบครัวได้ขยายออกเป็นกลุ่มแม่บ้านจดั ทำไม้กวาด ผ้ทู ่ี
สนใจอาชพี ดงั กลา่ วไดร้ ับคำแนะนำภายในกลมุ่ เปน็ เหตุให้วัสดอุ ปุ กรณต์ ่างๆ ท่เี คยมีอย่างพอเพียงเร่ิม
ขาดแคลน จึงไดส้ ั่งซื้อจากจงั หวดั ลพบรุ ี มีกลมุ่ พ่อคา้ คนกลางนำวัสดตุ า่ งๆมาส่งและรับไมก้ วาดที่ทำเสร็จ
แล้วไปจำหน่ายตามท้องตลาดทัว่ ไป

งานไม้กวาดเป็นงานท่สี ร้างรายได้ค่อนข้างมาก จนบางรายยดึ เป็นอาชีพหลักเพื่อสร้าง
รายได้
ให้กบั ครอบครัว แต่บางรายทำเปน็ อาชีพเสริมนอกเหนือจากการทำนาทำสวน และทำไร่

วัสดอุ ุปกรณ์ในการทำไม้กวาด ประกอบด้วย ดอกเข็ม หรอื ดอกพง ซ่ึงชาวบ้าน เรยี กว่า
“ดอกหญ้า” ปอแก้ว ไม้ไผส่ ำหรับดา้ มไม้กวาด เชือกไนลอ่ นสำหรับมดั ตะปู แลคเกอร์ และผงชนั ผสมกบั
โซลา่ และนำ้ มนั ก็าซ (บางแห่งใชน้ ำ้ มันยาง)

ข้ันตอนและวิธีการทำไม้กวาด มีดงั นี้
1. นำไมไ้ ผท่ ี่จะทำด้ามมาตอกตะปเู ป็นแกนกลาง โดยผกู เชอื กปอแก้วไว้
2. นำดอกแขมหรือดอกพงหมุ้ ด้ามท่ีตอกตะปู แล้วเอาปอแก้วผูกหมุ้ ด้ามให้แน่น
3. ใช้เชอื กไนล่อนถักหุ้มดอกแขมไปรอบไส้แขมประมาณข้างละ 7 ลกู (กำเล็กๆ)ค่อยๆ

ตกแตง่
ใหบ้ านออกข้างๆ

4. นำแลคเกอรท์ าด้ามไม้กวาด โดยทาทีฝ่ า่ มอื แลว้ รูดลงไป และผสมผงชนั กบั น้ำมันทาท่ี
เต้า

ไมก้ วาดเพื่อให้เกาะติดและแนน่ ดี
5. ติดหว่ งทีด่ า้ มไม้กวาดเพื่อใช่สำหรับแขวน
ปัจจุบนั ปรากฏว่าการทำไม้กวาดของชาวอำเภอปากพลี จงั หวดั นครนายก เป็นทร่ี ูจ้ ัก

ของคนท่วั ไป เพราะทำกนั ในรูปแบบธรุ กจิ มจี ำหนา่ ยทว่ั ไปทั่วในเขตจังหวัดนครนายกและจงั หวัดอน่ื ๆ
งานทำไมก้ วาดจึงเปน็ งานหัตถกรรมในครอบครัวท่ีขยายออกเป็นกลมุ่ แม่บา้ น ซ่ึงสร้างประโยชนแ์ กส่ ังคม
ไม่นอ้ ย เพราะชว่ ยใหช้ าวบ้านมรี ายได้ประจำและยงั ส่งเสรมิ แรงงานในท้องถนิ่ เพอ่ื ไมใ่ ห้ชาวบา้ นอพยพ
แรงงานไปยังถนิ่ อนื่ ๆ

3.2 การทำข้าวซอ้ มมือ ณ บา้ นดงแขวน ข้าวซ้อมมือมีประโยชนต์ อ่ ร่างกายอย่างมาก เพราะมี
วติ ามนิ บแี ละวิตามนิ สำคญั ๆทีร่ ่างกายต้องการหลายชนิด การสขี า้ วใหข้ าวทำใหเ้ ย่ือหุ้มเมล็ดขา้ วและจมูก
ขา้ ว ที่เกบ็ วิตามนิ หลุดไปทำใหส้ ญู เสยี วติ ามนิ เหลา่ นั้นไป เม่อื เรารับประทานขา้ วท่สี จี นขาวจะทำให้ไดร้ ับ
วิตามิน ลดนอ้ ยลง ดงั นัน้ กลมุ่ แมบ่ า้ น “ดงแขวน” ซงึ่ มนี ายฉนั ท์ ขยนั งาน ผ้ใู หญบ่ ้าน หมู่ 5 ตำบลดงแขวน
อำเภอปากพลี คิดถนอมคุณค่าอาหารของเมลด็ ข้าวที่ผ่านการสี เมื่อไดร้ ับความรจู้ ากการสมั มนาหมู่บา้ น

๑๓๓

แผน่ ดินธรรมแผ่นทองท่กี ระทรวงมหาดไทยจัดข้ึน ณ กรงุ เทพมหานคร กอปรกบั ความคิดในการรวมพลงั
ของกลมุ่ ในการทำงานต่างๆ ตลอดจนการของบประมาณสนบั สนุน ทำใหร้ วมตวั กันจัดต้ังกลุ่มทำข้าวซ้อม
มือข้ึนจำหน่าย ทีห่ มู่บา้ นดงแขวนเรยี กวา่ “กลุ่มแมบ่ ้านดงแขวนพัฒนา” โดยเรม่ิ ทำกนั ท่บี ้านผูใ้ หญ่
ฉันทต์ ้งั แต่ปี 2540สมาชกิ ในกลมุ่ มรี ายไดค้ รั้งละประมาณ 100 บาทต่อคน (ทำกนั ประมาณ 1-2 สัปดาห์ตอ่
คร้ัง) ชว่ ยเสริมรายไดจ้ ากอาชีพหลักคือ ทำนาได้อยา่ งดี

ขั้นตอนและวธิ ีการทำ มดี ังน้ี
1. เลอื กเมล็ดข้าวทีใ่ หญ่ไม่ลีบ ไมป่ น่ โดยใช้ไม้บดทดสอบแลว้ นำมาเทยี บเปอร์เซน็ ตส์ ัดสว่ น

เมลด็
ทใี่ ชไ้ ดป้ ระมาณ 70:30 (70% ข้ึนไป) จึงจะดี

2. นำเมลด็ ขา้ วไปตากแดดเพ่ือใหเ้ ปลอื กแหง้ ดี ง่ายตอ่ การสขี ้าวเป็นตัว ไม่หกั ง่ายใสเ่ ครอื่ งสขี ้าว
ใช้มอื หมุน ข้าวท่ีได้เรยี กว่า “ข้าวกลอ้ ง” นำไปใส่กระด้งฝัดเอาแกลบออก

3. ซ้อมขา้ วโดยใชค้ รกกระเดื่อง (เทา้ เหยยี บ) หรอื ครกซ้อมมอื (ใช้สากตะลุมพุกตำ) การตำข้าว
อาจใช้ 1 , 2 คน หรือ 3 คน ชว่ ยกนั ตำ เปน็ จงั หวะไม่ให้สากชนกนั ซอ้ มจนปลอกขา้ ว (รำข้าว)
ออกมากพอสมควร นำมาร่อนเพื่อให้รำและปลายข้าวออก แลว้ จึงคัดเมลด็ และขนาดข้าวโดยใช้ตะแกรง
ร่อนข้าวแบบหา่ งและแบบถต่ี ามลำดบั

4. นำข้าวมาใสก่ ระด้ง กระทายข้าวเพื่อเก็บกากและสง่ิ เจือปน เช่น กรวด เศษหนิ ฯลฯ ออก
บรรจุถงุ ทัง้ ขนาด 2 , 4 และ 5 กิโลกรัม เตรียมออกจำหนา่ ย

การทำข้าวซอ้ มมือจงึ เปน็ ประโยชน์ตอ่ รา่ งกายอย่างมาก นอกจากชว่ ยรวมกลมุ่ พลังก่อใหเ้ กิด
ความสามัคคแี ลว้ ยงั ทำใหเ้ พลิดเพลนิ เม่ือได้พบปะสังสรรคก์ ัน และเสริมรายได้เป็นอยา่ งดี

4. ภมู ิปญั ญาทอ้ งถิ่นอำเภอองครักษ์ประกอบดว้ ย
4.1 การทำธปู หอม ณ ตำบลบางปลากด ธปู เป็นเครื่องหอมชนิดหนง่ึ ท่ีใชค้ กู่ ับเทยี นในพิธีกรรม

ทางศาสนาและพิธีกรรมทเ่ี กย่ี วข้องกับความเชือ่ ต่างๆ ของมนษุ ย์ธูป จึงเป็นองคป์ ระกอบสำคัญในการ
ประกอบพิธกี รรมต่างๆ ทีเ่ กีย่ วข้องกับวถิ ชี ีวติ ของมนุษยโ์ ดยตรง บรเิ วณตำบลบางปลากด อำเภอองครักษ์
เปน็ แหลง่ ผลติ ธปู ทีส่ ำคญั แห่งหนงึ่ เพื่อจำหนา่ ยยังตลาดท่ัวไป โดยเฉพาะท่ีบา้ นเลขที่ 45/2 หมู่ 5 ตำบล
บางปลากด ของนายเยื้อน มะลขิ าว ซง่ึ เดมิ เคยเป็นลกู จ้างโรงงานทำธปู ท่ีกรุงเทพมหานคร ดว้ ยความ
ชำนาญเป็นพิเศษและสนใจกิจการทำธปู อยา่ งจรงิ จัง จงึ ได้ออกมาจากโรงงานธปู ดังกลา่ ว มาประกอบ
ธุรกิจทำธูปขนาดครอบครัว ณ บา้ นของตน โดยซ้อื วัสดอุ ุปกรณ์ต่างๆ ในการผลิต เชน่ กา้ น (ไม้ไผ)่ ข้ีเลือ่ ย
เปน็ ต้น

ขน้ั ตอนและวิธกี ารทำธูปหรือธูปหอม มดี ังน้ี
1. นำกา้ นธูปมาจุ่มนำ้ ตามระดบั ความยาวของเน้อื ธูปท่ีกำหนด
2. นำก้านธปู ทีจ่ มุ่ น้ำแลว้ มาคลกุ ขี้เล่ือยที่ผสมกาว
3. เขย่าก้านธปู ใหแ้ นน่ และเรียบ (เรยี กว่าตอ๊ )
4. ทำซ้ำข้อ 1-3 จำนวน 4-5 คร้งั ใหม้ คี วามหนาของเน้ือธปู จับก้านธปู ตามต้องการ
5. นำไปตากใหแ้ หง้ แล้วจุ่มก้านในน้ำผสมสีแดง (ก้านธปู จะแดง) เฉพาะสว่ นกา้ น
6. ถา้ เป็นธูปหอมใหใ้ ช้นำหอมฉีดเนอ้ื ธปู ก่อนบรรจุห่อ

๑๓๔

ธรุ กิจทำธปู ดงั กลา่ วเร่ิมต้นจากกิจการเล็กๆ ในครอบครัว แลว้ นำสตู่ ลาดการขายส่งจนขยายวง
กว้างออกไปสจู่ งั หวัดต่างๆ ได้แก่ กรุงเทพฯ นนทบรุ ี สระบุรี ฯลฯ แลว้ ขยายกิจการเปน็ โรงงานขนาดย่อม
มีคนงานประมาณ 25 คน ซึง่ เป็นคนในท้องถิน่ และหมู่บ้านเดยี วกัน เปน็ การสง่ เสริมรายไดใ้ ห้แก่ชาวบา้ น
ในท้องถนิ่

4.2 การเพาะพนั ธุ์ไก่ชน การเล้ียงไกช่ นเปน็ อาชพี หนง่ึ ที่นา่ สนใจ ผ้ทู เ่ี ล้ียงไกช่ นและตไี กช่ นะบอ่ ยคร้ัง
เปน็ ผมู้ ีความรคู้ วามสามารถตั้งแตก่ ารผสมพนั ธ์ไุ ก่เพ่ือใหไ้ ด้สายพนั ธท์ุ ด่ี ีเอาใจใส่ในการเล้ียงตลอดจน
การฝึกซ้อม และการนำไก่ไปตี (ชนไก่) ตามบอ่ นต่างๆ ชาวบ้านที่เป็นนกั เลงไก่เปน็ ผู้มีความชำนาญในการ
เลี้ยงดไู ก่ชน ซึ่งส่วนใหญเ่ ล้ียงไว้ตีแข่งเพ่อื ความสนกุ สนาน โดยมเี งินเดิมพันอยู่บ้างตามสถานภาพของ
เจา้ ของบ่อนไก่และเซียนพนันไกช่ น ตามปกติชาวบา้ นในเขตตำบลชุมพล อำเภอองครักษ์ นิยมกีฬา
พืน้ บ้านประเภท “ชนไก่” มาก ชาวบา้ นนิยมนำไก่ของตนไปตตี ามบอ่ นปา่ (บ่อนไก่เลก็ ๆ ทีช่ าวบา้ นใช้เป็น
สถานท่ีชนไก่) เป็นประจำ ครงั้ มีการชนไก่ เม่อื ประมาณตน้ เดือนกุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2539 บริษทั ใน
เครือเจริญโภคภณั ฑ์ไดส้ ง่ เจา้ หน้าทีข่ องบริษทั ไปดูการ “ชนไก่” ตามบอ่ นต่างๆ เพอื่ สืบคน้ หาไกช่ นพนั ธดุ์ ี
เพื่อนำไปเปน็ พ่อพันธแ์ุ ม่พันธุ์ และหาผู้ที่เลีย้ งไก่ชนเกง่ แล้วว่าจา้ งให้เล้ยี งไกช่ นของบริษัทในพ้นื ทส่ี ่วน
ภูมิภาค ในครั้งน้ันบรษิ ัทไดซ้ ้ือพ่อพันธุ์แมพ่ นั ธ์ุไก่ชนของตำบลชมุ พลไว้ทงั้ หมด และวา่ จา้ งบุคคล 4 คน
เลย้ี งดไู กช่ นเหลา่ น้นั ตอ่ มามีการเล้ยี งและทดลองผสมพันธุ์ไก่ชนหลากหลายย่งิ ขึ้น เช่น ทดลองผสมพนั ธ์ุ
ไก่พนื้ เมืองระหว่างสายพันธุข์ องอำเภอพนัสนิคม จงั หวดั ชลบรุ ี และอำเภอองครักษ์ เพื่อใหไ้ ด้ไก่ชนพนั ธ์ุดี
ยงิ่ ข้นึ โดยเฉพาะอดทนในการตอ่ สู้ บรษิ ทั ได้ส่งพนักงานไปดูสายพนั ธ์ุจากประเทศอ่ืนๆ และนำมาทดลอง
ผสมพนั ธกุ์ ับไกช่ นพนั ธุ์ไทย ได้แก่ ไก่ชนสายพันธุ์เวียดนาม ไต้หวัน ญีป่ นุ่ ฝรัง่ เศส ฯลฯ เปน็ ตน้ หลังจาก
การผสมพนั ธุระหวา่ งไก่สายพันธุต์ า่ งๆ แล้ว ปรากฏวา่ การผสมพนั ธุ์ไกช่ นไทยกับสายพันธ์ุเวยี ดนาม
(ไซง่ ่อน) ไดล้ ูกผสมท่ีมีความอดทนสงู กวา่ ไก่ชนลูกผสมสายพันธุอ์ ่ืนๆ ส่วนท่อี ำเภอองครักษน์ ิยมเล้ียง
เฉพาะสายพนั ธผ์ุ สมระหวา่ งสายพนั ธ์ุไทย (องครกั ษ์) กบั สายพันธ์ุไซง่ อนเท่านน้ั

การเอาใจใส่และวิธีการเลยี้ งไก่ชน เพอื่ ให้คล่องแคลว่ ปราดเปรียว และแขง็ แกร่ง มีกำลังพอจะ
ต่อสู่กับไก่อ่นื ได้ ท้ังนค้ี วรขังเลย้ี งในสุ่มไก่ใหม้ ีอาหารและน้ำเพยี งพอมมี ุ้งปกคลมุ สมุ่ และโรงเรือนเพื่อ
ป้องกนั ยุง การบีบนวด ซ้อมบิน ตลอดจนการดูแลใหว้ คั ซีน การป้องกนั และการรักษาโรคต่างๆ ซงึ่ เป็น
เทคนิคท่ัวๆไป ในการเล้ียงไก่ชน ผ้เู ลยี้ งแต่ละรายควรมีเทคนิคเฉาพะตวั ทีส่ ามารถเลี้ยงดูและฝึกฝนไกท่ ่ตี น
ดแู ลเอาชนะคู่ต่อสู้ใหไ้ ด้ ดังน้ันบริษทั ทเี่ ปดิ แหล่งเลย้ี งไกช่ นในต่างจังหวดั จงึ ควรม่นั ใจในสายพนั ธุ์และผู้
เลี้ยงดู

การให้อาหารบำรุงควรให้อาหารตามสูตรสำเรจ็ ที่บรษิ ัทกำหนด
การฝึกซ้อม และการทดสอบไก่ การซอ้ มตีเรยี กวา่ ปล้ำไก่ เมือ่ ไก่อายุ 7 ถงึ 8 เดือน ให้เร่ิมปล้ำ
ไก่ ที่อำเภอองครักษ์มีการปล้ำไก่ทุกๆวันอังคาร เปน็ การเตรยี มไกเ่ พื่อไปตีและเสนอขายทีต่ ำบลเกาะโพธ์ิ
อำเภอพนสั นิคม จังหวดั ชลบุรี ทุกๆวันอาทิตย์ อายุของไก่ทีเ่ หมาะสมในการชนไก่คือระหว่าง 10 เดอื นถงึ
2 ปี ถ้าอายุมากกว่าน้ันจะนำไปเปน็ พ่อพนั ธุ์
การชนไกเ่ ป็นเร่ืองท่อี ยู่ในวถิ ีชีวติ ของคนไทย ในสังคมชนบทไทยไกพ่ ้นื เมืองหรือไกช่ นเป็น
ทรพั ย์สนิ ทางปัญญาทบ่ี รรพบุรษุ สะสมไว้ให้แก่อนชุ น การเพาะพันธ์ไุ ก่ชนจึงเปน็ การอนรุ ักษ์พฒั นาและ
ส่งเสรมิ การเกษตรในระดับหนงึ่ เป็นสตั วเ์ ศรษฐกจิ ท่ีทำรายไดด้ นี ำเงนิ เข้าประเทศ และทำใหเ้ กิด
อตุ สาหกรรม การผลติ อาหารไก่ชนเพื่อจำหนา่ ยอกี ด้วย

๑๓๕

4.3 การผสมเทยี มปลาบิ๊กอุย เมื่อประมาณปลายปี 2530 เกษตรกรได้นำปลาดุกเทศเพศผู้ หรือปลาดุก
รัสเซยี จากประเทศลาวมาผสมขา้ มพันธุก์ บั ปลาดุกอุยเพศเมยี ผลปรากฏวา่ สามารถเพาะพนั ธไ์ุ ด้ดี พนั ธุ์ลกู
มอี ัตราการเจรญิ เตบิ โตเร็ว ทนทานตอ่ โรคสูง พนั ธ์ุทเี่ กดิ จากค่ผู สมน้ที างกรมประมงใหช้ ่อื วา่ “ปลาดกุ อุย
เทศ” แต่ชาวบา้ นท่ัวไปเรียกว่า “บิก๊ อยุ ” หรืออุยบ่อ (งานเอกสารคำแนะนำ กองสง่ เสริมการประมง กรม
ประมง, หน้า 1-2.อา้ งองิ ในจังหวดั นครนายก, 2539 ) เกษตรกรในอำเภอองครักษ์ นยิ มเล้ยี งปลาดุกผสม
อุยเทศหรือบกิ๊ อุยเชน่ เดียวกับเกษตรกรในจงั หวดั อ่นื ๆ เพราะคณุ สมบตั ดิ งั ที่กล่าวมา และประชาชนนิยม
บรโิ ภคเนื่องจากรสชาตดิ แี ละราคาถูก

ฤดเู พาะพันธ์ุ เริ่มตน้ เดอื นมีนาคมถึงกลางเดือนตลุ าคม ปลาบิ๊กอุยนิยมเพาะพันธุ์ โดยวธิ กี าร
ฉดี ฮอรโ์ มนผสมเทยี ม การคดั เลอื กแม่พันธอุ์ ายปุ ระมาณ 1 ปีขึน้ ไป หลกั จากฉดี ฮอร์โมนเร่งใหแ้ มป่ ลามีไข่
และฉดี ฮอร์โมนให้พ่อพนั ธม์ุ ีน้ำเชอ้ื มากข้นึ เม่ือรีดไข่ปลาดกุ ตัวเมียและผา่ เอานำ้ เชื้อจากตัวผู้ จำนวนไข่
ประมาณ 1 กิโลกรัม ใช้นำเช้อื ตวั ผ้ปู ระมาณ 1-2 ตวั นำไข่ปลาดกุ ทไ่ี ด้รบั การผสมกับน้ำเชือ้ แลว้ ไปฟัก
ทง้ั น้โี รยไข่บนแผงผา้ ม้งุ เขียวเบอร์ 20 ทีร่ ะดับตำ่ กว่าผิวนำ้ ประมาณ 4 นว้ิ ส่วนน้ำในบ่อมรี ะดบั ลึก
ประมาณ 7 นว้ิ เปิดน้ำไหลผ่านตลอดเวลา และควรมเี ครือ่ งเพมิ่ อากาศใส่ไว้ในบ่อฟกั ไข่ปลาด้วย ลกู ปลา
ดกุ ท่ีฟกั ออกเป็นตัวยอ้ มหลดุ ลงสูพ่ ื้นกน้ บ่อดา้ นล่าง แล้วยา้ ยแผงผา้ ที่ใช้ฟักไขอ่ อกจากบอ่ ฟกั อายุ
ประมาณ 2 วนั เรม่ิ กนิ อาหารได้
ต่อจากนัน้ ขนยา้ ยปลานำสบุ๋ อ่ ซเี มนต์ขนาดประมาณ 2-5 ตารางเมตร เพ่ืออนุบาลลกู ปลาดุกท่ีมีขนาดเลก็
น้ำทใี่ ชใ้ นการอนบุ าลลูกปลาควรเปล่ียนถ่ายทกุ วนั เพื่อป้องกนั นำ้ เน่าเสยี ท้งั เรง่ ใหป้ ลาดุกกินอาหารและ
เจรญิ เติบโตดี ถ้าใชบ้ ่อดนิ ในการอนุบาลลกู ปลาอัตราการเจริญเตบิ โตและการอยู่รอดจะยากกวา่ การ
อนบุ าล ในบอ่ ซีเมนต์ การอนุบาลลูกปลาบางครง้ั ประสบปัญหาเน่อื งจากปลาป่วย เชน่ โรคเหงอื ก โรค
กะโหลกร้าว ซง่ึ อาจเกิดจากเชอื้ ไวรสั ในบ่อ จงึ ใช้ยาคลกุ กับอาหารแต่ถา้ ปลาตายเพ่ิมข้ึนก็ควรจำกดั ลูก
ปลาเพื่อป้องกัน การตดิ เชอ้ื ไปยังบ่ออื่นๆ เมื่อเร่ิมเพาะปลาควรลา้ งอา่ งด้วยด่างทบั ทิมท้งิ ไวป้ ระมาณ
คร่ึงชัว่ โมงเป็นการทำ ความสะอาดทกุ ครง้ั อาหารท่ีใชเ้ ลี้ยงปลาเป็นอาหารเม็ด และเสริมดว้ ยไสไ้ ก่ ไก่ตาย
หรือปลาเปด็ ไส้ปลา
เป็นตน้ แต่ควรคำนึงถึงต้นทุน และคำนวณเกี่ยวกบั อัตราแลกเนอื้ ของอาหารเหลา่ น้ัน ซึง่ มีค่าสงู (ใช้
อาหาร
3 - 4 กิโลกรัม จงึ จะไดป้ ลา 1 กโิ ลกรัม) ดังน้ันถ้าอาหารสดน้นั มีราคาเกนิ 5 บาทต่อกโิ ลกรมั ก็ไมค่ ุ้มที่จะใช้
(อทุ ัยรัตน์ ณ นคร, 2538,88. อา้ งองิ ในจังหวัดนครนายก, 2539.)
การเล้ียงปลาบ๊ิกอุยให้ได้ขนาดตามตอ้ งการของตลาดควรย้ายปลาไปยงั บ่อเลีย้ ง ซ่ึงเปน็ ไดท้ ั้งบ่อซีเมนต์
และบ่อดนิ สว่ นฟาร์มที่อำเภอองครกั ษน์ ิยมเลีย้ งในบ่อดิน โดยเตรียมบ่อปลาด้วยการตากก้นบ่อให้แห้ง
สะอาด ใสป่ นู ขาวปรบั สภาพดิน และใส่ปุ๋ยคอกเพ่ือใหเ้ กิดอาหารธรรมชาติสำหรบั ลูกปลา
ระยะเวลาในการเลย้ี งปลาประมาณ 4-5 เดือน สามารถจับขายได้ การเล้ียงปลาสำหรับผขู้ าดความชำนาญ
จะลำบากมากที่สดุ เกษตรกรพงึ มีความมานะพยายาม รู้จักสงั เกตสภาพนำ้ อาหาร การเจรญิ เตบิ โตของ
โรคตา่ งๆ ทอี่ าจเกดิ กับปลา การเพาะขยายพันธุแ์ ละการผสมเทียมเพอื่ ใหป้ ระสบความสำเรจ็ ในการ
ประกอบอาชีพ มีรายไดด้ ี นบั เปน็ ภูมปิ ัญญาท้องถิน่ ของชาวอำเภอองครักษ์อกี อาชพี หนง่ึ

4.4 การปลูกไม้ดอกไม้ประดบั ณ คลอง 15 เมื่อประมาณ พ.ศ. 2518 ถึง 2519 ประชาชนบางสว่ นของ
คลอง 15 อำเภอองครักษ์ จงั หวดั นครนายก มอี าชพี เพาะพนั ธ์สุ นปฏิพัทธ์ ขายด้วยวธิ ีการตอนและปกั ชำ
มผี ซู้ ้อื นำไปปลูกเพื่อใชไ้ มท้ ำรั้วและเสาเขม็ ต่อมาคนเรม่ิ นิยมปลูกตน้ เข็มเป็นไม้ประดับ เกษตรกรจึงสนใจ

๑๓๖

ในการตัดตน้ เขม็ และปกั ชำ ท้ังน้มี วี ธิ กี ารลดตน้ ทนุ การดแู ลโดยการนำต้นเข็มไปปลูกตามสถานทร่ี าชการ
หรอื บ้านคนร้จู กั คนุ้ เคย เมื่อถึงระยะท่ีกิง่ ก้านระเกะระกะควรตัดตกแตง่ ใหด้ ูเปน็ ระเบยี บสวยงาม แล้วนำ
ก่ิงท่ตี ัดทิ้งไปปักชำ ทำให้ประชาชนในแถบนนั้ มีรายได้ดพี อสมควร ตอ่ มาเม่ือคนเร่ิมนยิ มปลกู วา่ นและบอน
ตามลำดบั เกษตรกรจงึ เปล่ียนแนวทางตามความนยิ มของตลาด อย่างไรกต็ ามการปลกู ต้นเข็มขายยังคง
นยิ มทำกัน เป็นหลักต่อไป พ.ศ.2524-2525 การปลกู ไม้ดอกไม้ประดบั เช่น โกศล ตน้ หลิว ชบา ชบาดา่ ง
และเฟ่ืองฟา้ เปน็ ทนี่ ยิ มมากขึ้นโดยเฉพาะเรมิ่ แพรข่ ยายไปสวู่ งกวา้ ง ประชาชนนิยมนำไมด้ อกไม้ประดับ
เหล้าน้ันไปประดับตามอาคารบา้ นเรือนมาก การเพาะชำไม้ดอกไมป้ ระดบั จงึ ขยายตัวและสรา้ งรายได้
ให้แก่ผจู้ ำหน่ายเป็นอย่างมาก และชาวบ้านในละแวกนน้ั จงึ เริม่ ประกอบอาชีพปลูกไมด้ อกไม้ประดบั แล้ว
ยดึ เป็นอาชพี หลัก ทำใหม้ จี ำนวนรา้ นปลกู และขยายพันธุ์ต้นไม้เพมิ่ ขึน้ ทั้งน้ีขยายตวั ตั้งแต่ปากคลอง 15
ถนนซอยรงั สิต-นครนายก
เต็มสองฟากฝั่งถนนและริมชายคลองเป็นระยะทางไปจนถงึ วดั สันตธิ รรมราษฎร์บำรงุ ตำบลบางปลากด
และเลียบคลองสง่ น้ำชลประทานเข้าส่คู ลองสง่ นำ้ บางปลากด ตลอดจนถึงวดั เชย่ี วโอสถ โดยระยะหลงั ๆ
จะเร่ิมมีการนำไมใ้ หญ่ เรียกว่า “ไมล้ ้อม” มาวางจำหนา่ ย โดยลอ้ มมาจากทอ่ี ื่น ซ่ึงจะมีรายได้ดกี ว่าไมป้ ัก
ชำท่ีเพาะเอง
โดยจะขาย ในราคา ตน้ ละ 3,000 – 10,000 บาท ตามชนิดและขนาดของตน้ ไม้ อาชีพทีเ่ กี่ยวข้องกบั
วงการไม้ดอกไม้ประดับ ได้แก่ ขายดินสำหรบั ผสมปุย๋ การขายขีเ้ ถ้า การปลูกหญ้าสำหรับปสู นาม การผลติ
ดินผสมปุ๋ยหมกั ปุ๋ยวทิ ยาศาสตร์ อปุ กรณป์ ระดับสวน และการรับจดั ตกแตง่ สวน เปน็ ต้น อาชพี เหล่านนั้
เก่ยี วโยงเปน็ ลกู โซ่ เปน็ การส่งเสริมรายไดซ้ ่ึงกันและกนั ส่วนไมด้ อกไมป้ ระดับทีน่ ยิ มและขายได้ราคาดี
เช่น ชวนชม โมก โมกดา่ ง โมกซอ้ น หัวใจมว่ ง ไทรยอดทอง ชาฮกเกีย้ น บษุ บาอาวาย นิออน ผกากรอง
ลน้ิ กระบอื หูปลาชอ่ น โกศล แซ่ม้า นากชมพู สามกษตั ริย์ พดุ บานเช้า รม่ เชยี งใหม่ ดาบตะกัว่
ฯลฯ การปลูกต้นไม้ดงั กล่าวเปลีย่ นแปลงตลอดเวลาตามความตอ้ งการของตลาด ทำให้สภาพเศรษฐกจิ
ของอำเภอองครักษด์ ีข้นึ ปจั จุบันมพี ันธไ์ุ ม้ท่มี ีช่ือเป็นมงคล และต้นไมใ้ นวรรณคดีทไ่ี ดร้ ับความนยิ มนำไป
ตกแตง่ สวนภายในบา้ น

๑๓๗

บทที่ 4

พระมหากษัตริย์เสดจ็ เมืองนครนายก

รัชกาลที่ 5 เสด็จเมอื งนครนายก

เม่อื ทรงตัง้ มณฑลปราจีนบุรี เมือ่ พ.ศ.2437 พระองค์ไดเ้ สดจ็ ประพาสเมืองต่าง ๆ
ในมณฑลปราจนี บุรี ทั้ง 7 หัวเมอื งและได้เสด็จมาเมืองนครนายกด้วย ไดเ้ สดจ็ ไปดงละครเพอ่ื
ทอดพระเนตรเมอื งลบั แล ซึง่ เปน็ ท่ตี ั้งเมืองนครนายกเดมิ ตัง้ แตส่ มยั ทวาราวดี (จากหนังสอื
จังหวดั นครนายก หน้า 31 พมิ พ์ พ.ศ. 2427)

ตามหนงั สอื อนุสรณ์มอบอาคารเรยี นมติ รภาพ 162 วา่ “ เม่ือทรงตั้งมณฑลต่าง ๆ
ข้นึ ในปีนนั้ พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หัว ได้เสด็จประพาสหัวเมืองตา่ ง ๆ ใน
ปราจีนบรุ ดี ้วย ครนั้ เสด็จมา ถึงเมอื งนครนายกเพือ่ ทีจ่ ะไปทอดพระเนตรเมืองโบราณตำบลดง
ละครหรอื เรยี กวา่ เมอื งลบั แล ซึ่งอย่ใู นเขตอำเภอเมอื งนครนายก คร้ังเสดจ็ กลบั พระนคร
ระหว่างทางได้มาประทับค้างแรมท่ีบริเวณรมิ แมน่ ำ้ 3 แยก ซ่งึ มาจากแม่น้ำนครนายกทางหนึ่ง
แยกไปทางโยทะกาทางหนึง่ และมาจากแมน่ ำ้ บางปลากด ซึง่ เป็นทางกลับไปตามคลองรงั สิต
ประยรู ศกั ดิ์ ในระหวา่ งพักแรมคนื น้ัน ราชองครกั ษ์ไดเ้ สยี ชวี ิตลง” ในหนงั สือเลม่ น้กี ล่าวว่า
ราชองครักษน์ ่าจะเสียชีวติ เพราะปอ้ งกนั ช้างปา่ จะเข้ามาทำร้ายมากกว่าสาเหตอุ น่ื เพราะทตี่ ง้ั
พลับพลามีชา้ งชุกชมุ (สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ไดก้ ลา่ วไว้ในหนงั สอื นิทาน
โบราณคดี นิทานที่ 21 เรื่อง จับชา้ ง พมิ พค์ รัง้ ท่ี 13 พ.ศ.2511 หนา้ 449 – 450 ว่า “
ไดเ้ หน็ ช้างเถื่อนทางฟากตะวันออกโขลงใหญ่ ในคราวทเ่ี สดจ็ มาเมืองนครนายก จอดเรือพัก
แรมอยู่ท่อี ำเภอบางออ้ (คือ อำเภอองครกั ษ์
ในปัจจุบนั น้ี) เมื่อฆ่าชา้ งตายแล้ว รชั กาลที่ 5 ได้โปรดให้สร้างศาลข้นึ และเขยี นรปู ราช
องครักษบ์ นแผ่นไมก้ ระดานแล้วนำหวั ช้างนั้นวางไวใ้ นศาล ซึ่งสรา้ งไวห้ ลังพลับพลาท่ีประทับ
เพื่อเปน็ อนสุ รณ์และเป็นเกียรตแิ กร่ าชองครักษ์นนั้ ตง้ั แตน่ ั้นมาชาวบ้านจงึ เรียกศาลน้นั ว่า
“ศาลเจ้าพ่อองครกั ษ์” แล้วพระองค์กเ็ สด็จกลับพระนครต่อไป

รัชกาลที่ 9 และสมเดจ็ พระนางเจ้าพระบรมราชินนี าถเสด็จเมืองนครนายก
เสด็จทรงเย่ยี มราษฎร ณ ศาลากลางจังหวดั นครนายก

พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ภูมพิ ลอดลุ ยเดชฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินนี าถเสด็จ
พระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรจังหวดั นครนายก ณ ศาลากลางจงั หวัดนครนายก(หลังเก่า) เม่ือวันองั คาร
ท่ี 18 ตุลาคม พ.ศ. 2498

๑๓๘

เสด็จวดั วงั กระโจม

วันท่ี 18 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2512 พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัว และสมเด็จพระนางเจา้
พระบรมราชนิ นี าถ ได้เสดจ็ พระราชดำเนนิ ประกอบพิธยี กช่อฟ้าและฝงั ลูกนิมิตอโุ บสถวัดวังกระโจม
อำเภอเมืองนครนายก จงั หวัดนครนายก (เปน็ ที่มาของการสรา้ งโรงเรยี นนวมราชานุสรณด์ ว้ ย) ทรงมี
พระราชปรารภถึงโรงเรียนประชาบาล วัดวังกระโจมว่าควรจะได้ขยายการศึกษาออกไปให้ถึงระดับ
มัธยมศึกษาด้วย กับไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงนิ ทไี่ ดม้ ีผทู้ ลู เกลา้ ฯ ถวายจำนวน
ประมาณ 3 แสนบาทเศษ เพื่อเป็นทุนในการก่อสรา้ ง ทา่ นเจ้าคณุ พระอดุ มสารโสภณ (พระราชปญั ญา
โกศล) ผู้ช่วยเจา้ อาวาสวัดเทพ- ศริ นิ ทราวาส ผอู้ ำนวยการสรา้ งอุโบสถวดั วังกระโจมรู้สกึ สำนกึ ในพระ
มหากรุณาธิคุณเปน็ ล้นพน้ จึงได้จัดหาทุนดำเนินการก่อสร้างโรงเรียน โดยไดร้ ับความรว่ มมอื ชว่ ยเหลอื
จากพระภกิ ษุพระยานรรตั นราชมานติ ธมมฺ วิตฺกโุ ก แหง่ วัดเทพศิรินทราวาส ประกอบพธิ ีพทุ ธาภเิ ษกและ
ปลกุ เสกสกั การะวตั ถุมงคลมอบเปน็ ทร่ี ะลึก
แกผ่ ้บู ริจาคทรัพย์ โดยเสดจ็ พระราชกุศล สมทบทนุ สรา้ งโรงเรยี น ประมาณ 3 ล้านบาทเศษ และไดร้ ับ
ความอนเุ คราะหจ์ ากสำนกั งานสลากกินแบ่งรัฐบาล จัดสรรเงนิ โดยเสด็จพระราชกุศลสมทบทุนให้อีกห้า
แสนสามหมนื่ หา้ พันบาทถว้ น ในวันท่ี 17 กรกฎาคม พ.ศ.2512 ฯพณฯ พลเอกกฤษณ์ สีวะรา เปน็
ประธานวางศลิ าฤกษ์การก่อสรา้ งอาคารเรียนแบบ 318 ของกระทรวงศึกษาธิการ หลังคาทรงไทย กว้าง
14 เมตร ยาว 72 เมตร และในวนั ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2514 ได้ทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ
พระราชทานช่ือโรงเรยี นและชอ่ื อาคารโรงเรยี น ในชื่อเดียวกนั ว่า “นวมราชานุสรณ์” และพระราชทาน
พระบรมราชานญุ าตอัญเชญิ พระปรมาภไิ ธยยอ่ ภปร. ประดษิ ฐานไว้ทหี่ นา้ บันอาคารเรยี น

วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2515 พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั พร้อมดว้ ยสมเด็จพระ
เจา้
ลูกเธอเจ้าฟ้าสริ ินธรเทพรัตนราชสุดา (สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี) ได้เสดจ็ พระราช
ดำเนินทรงประกอบพธิ ีเปิดอาคารเรยี น นวมราชานุสรณ์

วันท่ี 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2516 สมเด็จพระเจา้ ลกู เธอเจ้าฟ้าสริ ินธรเทพรัตนราชสดุ า
พรอ้ มด้วยสมเดจ็ พระเจ้าลูกเธอเจ้าฟา้ จุฬาภรณว์ ลัยลักษณ์ ได้เสด็จมาทรงประกอบพธิ ีเปิดหอประชมุ
นวมราชานสุ รณ์ ซึ่งได้สร้างขึ้นดว้ ยเงนิ ท่มี ผี ูท้ ลู เกลา้ ฯ ถวาย ในวันทเี่ สดจ็ พระราชดำเนนิ ทรงประกอบพิธี
เปิดอาคารเรียนนวมราชานสุ รณ์

วันท่ี 26 มกราคม พ.ศ. 2517 สมเด็จพระศรีนครนิ ทราบรมราชชนนี และสมเด็จพระ
พ่ี
นางเธอเจ้าฟ้ากลั ยาณิวฒั นา เสด็จมาพระราชทานธงลูกเสอื ชาวบา้ น ณ พลับพลารบั เสด็จฯ โรงเรียนนวม
ราชานสุ รณ์ และสมเด็จพระศรีนครนิ ทราบรมราชชนนี ได้เสด็จเปิดหนว่ ยแพทย์อาสา พอ.สว. ท่ี
หอประชุมโรงเรียนนวมราชานสุ รณ์ เมอ่ื วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2517 และเสด็จมาประชุมหน่วย
แพทยส์ าธารณสุขและสมาชิก พอ.สว. ทหี่ อประชุมโรงเรยี นนวมราชานุสรณ์ อีก 5 คร้งั ในวันท่ี 20
มกราคม พ.ศ. 2519, วนั ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2521, วันท่ี 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523, วนั ที่ 8
มีนาคม พ.ศ. 2525 และวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527

๑๓๙

พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั และสมเด็จพระนางเจา้ พระบรมราชนิ ีนาถ คราวเสด็จมา
ทรงประกอบพธิ ียกช่อฟ้าอุโบสถ วัดวงั กระโจมและฝงั ลูกนิมติ พัทธสีมา เมือ่ วนั ที่ 18
กมุ ภาพันธ์ 2512

อุโบสถวดั วังกระโจม

พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัว เสด็จ
พระราชดำเนินทรงเปิดอาคารเรยี น
“นวมราชานสุ รณ์ “ เมือ่ วนั ที่ 22
กรกฎาคม 2515 พรอ้ มดว้ ยสมเดจ็
พระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสริ ินธรเทพรตั น
สุดา

พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว ทรงมี
พระราชดำรสั กับพระอุดมสารโสภณ
ภายหลงั จากเสร็จสน้ิ พระราชภารกิจ
ทรงเปดิ อาคารเรียน “นวมราชา
นุสรณ์ “แลว้

๑๔๐

เสด็จเยี่ยมราษฎรและพระราชดำริสรา้ งเข่ือนขุนด่านปราการชล

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเสด็จพระราชดำเนินเย่ียมเยียนราษฎรเมื่อ
วันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๑๙ ทรงมีพระราชดำริให้มีการแก้ไขปัญหาเร่ืองน้ำในจังหวัดนครนายกและได้
พระราชทานแนวพระราชดำริให้ดำเนินโครงการฝายท่าด่านท่ีบ้านคลองสีสุก ตำบลหินต้ัง อำเภอเมือง
จังหวัดนครนายก ต่อมาได้เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโครงการฯ เม่ือวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๒๒
และพระราชทานแนวพระราชดำริให้กรมชลประทานเร่งดำเนินการก่อสร้างระบบส่งน้ำให้กับพื้นที่
เกษตรกรรมประมาณ ๘,๐๐๐ ไร่ ในเขตหมู่บา้ นท่าด่าน บ้านท่าเด่ือ บา้ นคลองซับ บ้านท่าชัย และบ้าน
วังยาว ในเขตอำเภอเมืองใหม้ ีน้ำใช้เพาะปลูกได้ตลอดปี

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ เกิดเหตุการณ์อุทกภัยคร้ังร้ายแรงข้ึน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงห่วงใยราษฎรในพ้ืนที่เป็นอย่างมาก ทรงมีพระราชปรารภเร่ืองการจัดการน้ำในพื้นท่ีภาคกลาง
โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในจังหวัดนครนายก ดงั กระแสพระราชดำรสั เมอื่ วนั ท่ี 4 ธันวาคม 2533 ว่า

...ในปที ผ่ี ่านมานก้ี ม็ ภี ยั พิบตั ิต่าง ๆ จะยกเฉพาะเร่ืองนำ้ ท่วมท่ีทำความเดือดร้อน
ในภาคกลาง ในจงั หวดั นครนายก ปราจนี บุรี และกรุงเทพมหานคร ซงึ่ เป็นภยั
ธรรมชาติ ไมม่ ใี ครต้องการให้เกิดภัยธรรมชาติเชน่ น้นั ...เพอื่ แก้ปัญหาน้ำท่วมนี้
จะต้องนำน้ำน้อี อกจากท่ีน่ันไป วิธีเอานำ้ นน้ั ออกจากบริเวณท่ีท่วมกม็ ีอย่วู ธิ เี ดียว
กต็ อ้ งระบายออกไปทางคลอง เอาลงไปที่ทะเล ...การท่ีจะทำโครงการท่ีแยบคาย
เพือ่ ป้องกนั หรือลดความเสียหายในการท่วมน้ัน และเพ่ิมพนู ผลผลติ ในหน้าแล้ง
กไ็ ด้ผลสองเท่าตวั คือ ไม่ต้องใช้เงนิ แก้ไขหรือบรรเทาทุกขข์ องประชาชน ซำ้ จะได้
ใหป้ ระชาชนทำกินไดเ้ พิ่มพนู ขึน้ ไปเกอื บสองเทา่ ฉะน้นั ถ้าหากวา่ สามารถที่จะทำ
โครงการอะไรทำนองนี้ ก็ไม่ใชเ่ พยี งเป็นการประหยัดเทา่ น้ัน แตย่ ังเป็นการเพิ่ม
ผลผลิตของประเทศชาติข้นึ ไปอกี ด้วย...

และเม่ือวนั ท่ี ๔ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวไดม้ ีกระแสพระราชดำรัสเกย่ี วกบั
แนวคดิ ในการสรา้ งอ่างเกบ็ น้ำท่ีจงั หวัดนครนายกความว่า

“ปัญหาเรือ่ งภัยแลง้ น้ีดจู ะเป็นปญั หาท่แี ก้ไขไม่ได้ หมนู่ ก้ี ็พดู กันอยา่ งขวัญเสยี
วา่ อีกหนอ่ ยจะต้องปันส่วนนำ้ หรอื แมจ้ ะต้องตัดน้ำประปา อันน้สี ำหรับกรุงเทพฯ
ฉะนัน้ ต้องหาทางแก้ไข เพ่ือแก้ไขปัญหานี้ไดว้ างแผนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว...
โครงการนี้สร้างอ่างเกบ็ นำ้ ๒ แห่ง แหง่ หนึง่ คือ ทีแ่ ม่น้ำปา่ สัก อีกแห่งหนึ่ง
ทแี่ ม่น้ำนครนายก สองแห่งรวมกันจะกักเก็บนำ้ เหมาะสมพอเพยี งสำหรับบรโิ ภค
...การสรา้ งเขื่อน เฉพาะตวั เข่ือนและอาคารประกอบจะทำให้แกป้ ัญหาไปได้มาก
และจะไมท่ ว่ มที่ของประชาชนมากนกั ถ้าหากว่าทำโครงการน้ี กจ็ ะเปน็ การ
ช่วยขจัดปญั หาภยั แล้งได”้

กรมชลประทานจึงเรมิ่ ศึกษาความเหมาะสมและวิเคราะหผ์ ลกระทบต่อส่งิ แวดล้อมของโครงการฯ
จนได้รบั ความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรอี นุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างเข่ือนขุนด่านปราการชล โดยได้เริ่ม
ดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราช
ดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๒
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๔ เข่ือนสามารถเก็บกักน้ำได้ต้ังแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๘การก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อ

๑๔๑

วนั ที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ตอ่ มาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวทรงเสด็จพระราชดำเนินโดยเรือพระ
ที่นั่งอังสนา เปิดโครงการฯ ณ บริเวณท่าน้ำกรมชลประทานสามเสน โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้พระราชทานช่ือเข่ือนคลองท่าด่าน ว่า “เข่ือนขุนด่านปราการชล” ตามชื่ อของบุคคลสำคัญใน
ประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา ตำแหน่ง “ขุนด่าน” (ผู้ดูแลเขตแดนประจำเมืองหน้าด่าน) นามว่า “ขุน
หาญพิทักษ์ไพรวัน” หรือที่เรียกขานกันในนาม ตำแหน่ง และได้พระราชทานพระราชกระแสให้มีการติด
ป้ายโลหะจารึกประวัติของขุนหาญพิทักษ์ไพรวัน ณ บริเวณเข่ือนเพ่ือระลึกถึงคุณงามความดีและเชิดชู
เกียรติของทา่ นใหป้ รากฏ ดังความจารึกต่อไปน้ี

ขุนด่านเป็นตำแหน่งผู้ดูแลเขตแดนประจำเมืองหน้าด่านในสมัยกรุงศรีอยุธยาในตำนานท้องถ่ิน
กล่าวถึงขุนด่านเมืองนครนายกว่า มีนามเดิมว่า “หาญ” เป็นบุตรของขุนพิจิตรไพรสณฑ์ซ่ึงเป็นนายด่าน
และหัวหน้าหมู่บ้านทางทิศตะวันออก แขวงเมืองนครนายก เมื่อบิดาถึงแก่กรรมแล้ว นายหาญได้รับ
หนา้ ท่ีสบื ต่อจากบิดา โดยได้รับพระราชทานบรรดาศักด์วิ า่ “ขุนหาญพทิ ักษไ์ พรวัน”

ในปีพุทธศักราช ๒๑๓๐ รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระยาละแวกเจ้าเมืองเขมร ส่ง
กองทัพมาตีเมืองปราจีนบุรีและเมืองนครนายกเพื่อกวาดต้อนผู้คนและปล้นทรัพย์สิน ขุนด่าน(หาญ) ผู้นี้
รีบแจ้งข่าวไปยังกรุงศรีอยุธยา พร้อมกับได้รวบรวมกำลังคนดักซุ่มโจมตีและสกัดกองทัพพระยาละแวก
ไม่ให้ผ่านไปโดยง่ายแม้จะมีกำลังน้อยกว่า แต่ก็ทำให้กองทัพพระยาละแวกได้รับความเสียหาย โดย
สามารถยันทัพพระยาละแวกไว้จนกรุงศรีอยุธยาส่งกำลังมาช่วย กองทัพเขมรจึงแตกพ่ายไปในที่สุด คุณ
ความดีที่ขุนหาญพิทักษ์ไพรวันได้กระทำในคร้ังนั้น ได้รับการยกย่องสรรเสริญจากชาวเมืองนครนายกเป็น
อย่างมาก เมอ่ื ถึงแก่กรรมชาวบ้านจึงได้สรา้ งศาลแล้วนำอัฐิของท่านไปบรรจไุ วบ้ รเิ วณหุบเขาชะโงก ตำบล
พรหมณี อำเภอเมืองนครนายก จงั หวัดนครนายก เรียกกันว่า “ศาลเจ้าพ่อขนุ ดา่ น”

ทั้งน้ี เม่ือวันท่ี ๕ มิถุนายน ๒๕๔๙ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า
โปรดกระหม่อม พระราชทานช่ือเขื่อนคลองท่าด่านว่า “เขื่อนขุนด่านปราการชล” และได้พระราชทาน
พระราชกระแสให้มีการติดป้ายโลหะ จารึกประวัติของขุนหาญพิทักษ์ไพรวัน ณ บริเวณเข่ือน เพื่อระลึก
ถึงคุณงามความดีและเชิดชูเกียรติคุณของท่านให้ปรากฏ โดยต่อมากรมชลประทาน สำนักราชเลขาธิการ
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชดำริ จังหวัดนครนายก
และผู้มีจิตศรัทธาได้ร่วมกันดำเนินการจัดสร้างรูปหล่อสำริด “ขุนหาญพิทักษ์ไพรวัน” พร้อมก่อสร้าง
อาคารอนุสาวรยี ์ซ่ึงเป็นท่ีประดิษฐานรูปหล่อสำริดขุนหาญพิทักษ์ไพรวนั บรเิ วณฝ่ังขวาของหัวงานเขื่อนฯ
โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดแพรคลุมป้าย
อนสุ าวรยี ข์ นุ หาญพิทักษไ์ พรวนั (ศาลเจา้ พ่อขนุ ดา่ น) เมอื่ วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๗

พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัว
ทรงวางศิลาฤกษ์ “เขื่อนขนุ ด่าน
ปราการชล”(เขื่อนคลองท่าด่านเดิม)
ณ บา้ นท่าดา่ น อำเภอเมือง
นครนายก จงั หวัดนครนายก เม่ือวนั
เสาร์ท่ี ๒ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๕๔๔

๑๔๒

สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี เสดจ็ เมอื งนครนายก

เม่ือโรงเรียนนายรอ้ ยพระจลุ จอมเกลา้ ยา้ ยมาตั้งใหม่ทีเ่ ขาชะโงก จังหวดั นครนายก ไดก้ ราบ
บงั คมทูลเชิญสมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเปน็ พระอาจารย์สอนนักเรียนนาย
รอ้ ยและเสด็จมาทรงสอนทโี่ รงเรยี นนายรอ้ ยพระจลุ จอมเกลา้ สปั ดาหล์ ะ 2 วัน นอกจากนี้ ทรงมี
พระราชดำริเก่ยี วกบั การพฒั นาเดก็ และเยาวชนในถิน่ ทุรกันดารมาตลอดเวลานานกว่า 30 ปี ด้วยทรง
พระเมตตาทจี่ ะชว่ ยเหลือให้เด็กและเยาวชนเหลา่ น้ันมีชวี ติ ความเปน็ อยู่ท่ีดขี นึ้ โดยในขั้นต้นทรงทดลอง
ทำโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวนั ในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนก่อน และในเวลาต่อมามี
พระราชดำริใหด้ ำเนินโครงการอน่ื ๆ และขยายผลไปยงั พื้นทีอ่ ่นื ๆ ด้วย สำหรบั ในพน้ื ท่ีจังหวดั นครนายก
พระองค์ทา่ นทรงมนี ้ำพระทยั ที่เป่ยี มล้นด้วยพระเมตตาตอ่ นักเรียนในโรงเรยี นประถมศึกษา ทรงพบว่า
ประชาชนส่วนใหญม่ ฐี านะยากจน นกั เรยี นสว่ นหน่ึงมีภาวะทุพโภชนาการ พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้
ทดลองปฏบิ ัตโิ ครงการเกษตรเพอ่ื อาหารกลางวันในโรงเรยี นประถมศึกษา ในพน้ื ทตี่ ำบลพรหมณีและ
ตำบลใกล้เคียง และต่อมาได้ขยายไปยังโรงเรยี นในอำเภออ่ืน ๆ จนถงึ ปัจจบุ ันมโี รงเรยี นในโครงการตาม
พระราชดำริฯ จำนวนท้งั สิน้ 20 โรงเรียน ซ่ึงทุกโรงเรยี นมีความตระหนกั และเห็นความสำคัญ ในการนำ
แนวทางตามพระราชดำรฯิ มาปฏบิ ัตจิ นประสบผลสำเรจ็ ในระดับหนง่ึ และยังคงดำเนนิ การเพ่ือให้
บรรลผุ ลตามพระราชปณธิ านของสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี
อย่างต่อเน่อื งตลอดมา

ตง้ั แต่ปี พ.ศ. 2530 จนถึงปัจจุบัน สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสดจ็
เยี่ยมการดำเนนิ งานของโรงเรียนและทอดพระเนตรการแสดงนทิ รรศการและผลงานของนกั เรยี นโรงเรยี น
ในโครงการตามพระราชดำริฯ เป็นประจำทกุ ปี ซงึ่ พระองค์ท่านไดเ้ สด็จพระราชดำเนนิ เป็นรายโรงเรียน
ดังน้ี

1. โรงเรยี นวดั สตุ ธรรมาราม เข้าโครงการเม่ือ ปี พ.ศ.2532 เสด็จเย่ยี มโรงเรียน เมือ่ วนั ที่ 13
มกราคม พ.ศ.2530, วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ.2531, วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2531, วันที่ 23
พฤษภาคม พ.ศ. 2532 เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการ เมอื วันท่ี 26 ธนั วาคม พ.ศ. 2543

2. โรงเรียนวัดเขาน้อย เขา้ โครงการเม่ือ ปี พ.ศ.2532 เสด็จเย่ียมโรงเรยี น เม่ือวันท่ี 28
มถิ ุนายน

พ.ศ.2532 เสดจ็ ทอดพระเนตรนิทรรศการ เมือวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2546

3. โรงเรียนวดั หนองเตยตง้ั ตรงจิตร 8 เข้าโครงการเมื่อ ปี พ.ศ.2532 เสดจ็ เย่ียมโรงเรียน
เมอื่

วนั ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2532 เสดจ็ ทอดพระเนตรนิทรรศการ เมือวนั ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2544
4. โรงเรียนวดั ทา่ ดา่ น เขา้ โครงการเมื่อ ปี พ.ศ.2532 เสดจ็ เยีย่ มโรงเรียน เมือ่ วนั ท่ี 2
สิงหาคม

พ.ศ. 2532 เสด็จทอดพระเนตรนทิ รรศการ เมือวนั ท่ี 26 ธนั วาคม พ.ศ. 2541
5. โรงเรียนวัดท่าชัย เขา้ โครงการเมื่อ ปี พ.ศ.2532 เสด็จเยี่ยมโรงเรียน เมือ่ วนั ที่ 2 สิงหาคม

พ.ศ. 2532 เสด็จทอดพระเนตรนทิ รรศการ เมือวนั ท่ี 26 ธนั วาคม พ.ศ. 2558
6. โรงเรียนวัดวงั ปลาจีด เข้าโครงการเมื่อ ปี พ.ศ.2532 เสดจ็ เยย่ี มโรงเรียน เม่ือวนั ท่ี 2
สิงหาคม

๑๔๓

พ.ศ. 2532 เสด็จทอดพระเนตรนทิ รรศการ เมือวันท่ี 26 ธันวาคม พ.ศ. 2537
7. โรงเรยี นวัดหุบเมย เข้าโครงการเมื่อ ปี พ.ศ.2532 เสด็จเยีย่ มโรงเรยี น เม่อื วนั ท่ี 16

พฤศจิกายน พ.ศ. 2532 เสดจ็ ทอดพระเนตรนิทรรศการ เมือวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2537
8. โรงเรียนวดั สนั ตยาราม เข้าโครงการเม่ือ ปี พ.ศ.2532 เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการ

เมอื่ วันท่ี 26 ธันวาคม พ.ศ. 2535
9. โรงเรียนวัดธรรมปญั ญา เข้าโครงการเมื่อ ปี พ.ศ.2532 เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการ

เมอื่ วนั ท่ี 26 ธนั วาคม พ.ศ. 2536 และวนั ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553
10. โรงเรยี นวดั เอ่ียมประดิษฐ์ เข้าโครงการเม่ือ ปี พ.ศ. 2532 เสด็จทอดพระเนตรนทิ รรศการ

เมอื่ วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2540
11.โรงเรียนวัดโยธรี าษฎรศ์ รัทธาราม เข้าโครงการเมอื่ ปี พ.ศ.2532 เสด็จทอดพระเนตร

นิทรรศการ เมื่อวันท่ี 26 ธันวาคม พ.ศ. 2545
12.โรงเรียนวัดโคกลำดวน เข้าโครงการเม่ือ ปี พ.ศ.2532 เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการ

เมอ่ื วันท่ี 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554
13. โรงเรยี นวดั วงั ยายฉิม เข้าโครงการเมื่อ ปี พ.ศ.2533 เสดจ็ ทอดพระเนตรนิทรรศการ

เมอ่ื วันท่ี 26 ธันวาคม พ.ศ. 2549
14.โรงเรียนวดั พราหมณี เขา้ โครงการเม่ือ ปี พ.ศ.2533 เสดจ็ ทอดพระเนตรนิทรรศการ

เมอื่ วนั ที่ 26 ธนั วาคม พ.ศ. 2538
15.โรงเรยี นวัดสมบรู ณ์สามคั คี เขา้ โครงการเมอื่ ปี พ.ศ.2533 เสดจ็ เย่ยี มโรงเรียน เม่ือวนั ท่ี

21 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 เสดจ็ ทอดพระเนตรนิทรรศการ เมอ่ื วนั ที่ 26 ธนั วาคม พ.ศ. 2539
16. โรงเรียนบา้ นหนองกันเกรา เขา้ โครงการเม่ือ ปี พ.ศ.2538 เสด็จทอดพระเนตร

นิทรรศการ เมื่อวันท่ี 3 ธนั วาคม พ.ศ. 2542
17. โรงเรยี นบ้านคลอง 14 เข้าโครงการเมอื่ ปี พ.ศ.2538 เสดจ็ เยี่ยมโรงเรยี น เมอ่ื วันท่ี

24 สิงหาคม พ.ศ. 2541 เสดจ็ ทอดพระเนตรนิทรรศการ เม่ือวนั ท่ี 26 ธันวาคม พ.ศ. 2548 และ
วนั ที่ 26 ธนั วาคม พ.ศ. 2557

18.โรงเรยี นวดั เกาะกระชาย เข้าโครงการเมอื่ ปี พ.ศ.2546 เสดจ็ ทอดพระเนตรนิทรรศการ
เมอื่ วันท่ี 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

19. โรงเรยี นบ้านเขาส่องกล้อง เข้าโครงการเมื่อ ปี พ.ศ.2546 เสด็จทอดพระเนตร
นทิ รรศการ เมื่อวนั ท่ี 26 ธนั วาคม พ.ศ. 2547 และวันท่ี 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

20. โรงเรียนวัดพลอยกระจ่างศรี เข้าโครงการเม่ือ ปี พ.ศ.2546 เสดจ็ ทอดพระเนตร
นทิ รรศการ
เมอ่ื วนั ท่ี 26 ธนั วาคม พ.ศ. 2550

๑๔๔

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม
บรมราชกุมารี เสดจ็ โรงเรียนวดั เขา
น้อยฯ โรงเรียนวดั หนองเตยฯ
โรงเรยี นวดั ท่าดา่ น โรงเรียนวดั ท่าชยั
โรงเรยี นวดั วังปลาจีด และโรงเรียน
วดั หบุ เมย เม่ือ พ.ศ. 2532

นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจา้ ฟ้าจฬุ าภรณ์วลยั ลกั ษณ์ ได้เสดจ็ ทรงงาน พอ.สว. อีกหลาย
ครั้ง
ในจงั หวดั นครนายก เช่น ในวันท่ี 12 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2555 เสดจ็ ณ โรงเรียนบา้ นโคกสว่าง
อำเภอปากพลี

ในวันท่ี 19 กันยายน พ.ศ. 2557 เสดจ็ ณ โรงเรียนบา้ นนา”นายกพทิ ยากร” อำเภอบ้านนา

๑๔๕

และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจา้ ฟ้าอบุ ลรัตนร์ าชกัญญาสริ วิ ฒั นาพรรณวดี ไดเ้ สดจ็ ทรงงาน ทู บี
นัมเบอร์วนั ในจงั หวดั นครนายก ในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558 ณ วิทยาลยั เทคนคิ นครนายก
อำเภอเมืองนครนายก

๑๔๖

บทที่ 5

สถานทสี่ ำคัญและแหลง่ ทอ่ งเทยี่ วจงั หวัดนครนายก

สถานทส่ี ำคญั
ศาลหลักเมือง

หลกั เมอื งเดิมเปน็ เสาไม้จรงิ ยาวประมาณหนงึ่ เมตรเศษ ปลายเสาแกะสลักเปน็ รปู ดอกบัว ต้ังอยู่
บริเวณกำแพงเมืองเก่า ซง่ึ ปจั จบุ ันคือบรเิ วณระหว่างบริเวณบ้านพักผูช้ ่วยท่ีดนิ จงั หวดั นครนายก และ
ศนู ยบ์ รกิ ารสาธารณสขุ เทศบาลเมอื งนครนายก ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2453 ทางราชการพิจารณาเหน็ สา่
ศาลหลักเมืองเดมิ ชำรุดทรดุ โทรม จงึ ไดย้ า้ ยหลักเมืองไปประดิษฐานทตี่ ึกแดง ในโรงเรยี นสตรีประจำ
จงั หวัด(โรงเรยี นศรนี ครนายก : ปัจจุบนั คอื โรงเรียนนครนายกวิทยาคม) ซ่งึ เคยใชเ้ ปน็ คลังเก็บกระสุนของ
กองทหารพรานจันทบุรี ภายหลงั ทางราชการไดย้ า้ ยศาลหลักเมืองมาสร้างใหมท่ ี่บริเวณศาลาประชาคม
ของเมืองนครนายก โดยสร้างเป็นศาลาจตั รุ มขุ เพื่อความสง่างาม และเป็นมงคลค่บู ้านคูเ่ มอื งของจงั หวัด
นครนายก
จนทุกวันนี้

หลวงพ่อเศียรนคร

ประดิษฐานอยู่ ณ วัดบุญนาครกั ขติ าราม (วัดตำ่ ) ตำบลนครนายก อำเภอเมืองนครนายก เปน็
พระพทุ ธรูปศักด์ิสทิ ธิ์ เป็นทเ่ี ลอ่ื มใสศรทั ธาของชาวจงั หวดั นครนายก สนั นษิ ฐานวา่ เปน็ พระพุทธรูป


Click to View FlipBook Version