The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเล่ม_ประวัติศาสตร์นครนายก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chatchai chuangchai, 2021-05-13 08:54:19

รวมเล่ม_ประวัติศาสตร์นครนายก

รวมเล่ม_ประวัติศาสตร์นครนายก

๔๗

พ.ศ.2135 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
พระยานครนายก พระยาปราจีนบุรี พระวิเศษเมืองฉะเชิงเทรา และพระสระบุรี รวม 4 เมือง มีพระยา
นครนายกเป็นแม่กองคุมพลหน่ึงหมื่นออกไปตั้งค่ายปลูกยุ่งฉางถ่ายลำเลียงไว้ที่ตำบลทำนบ (ตำบลท้าย
น้ำ) เพื่อเป็นเสบียงในการเข้าตีเมืองละแวก หลังจากท่ีตีไม่ได้ในคร้ังแรกเพราะเสบียงหมด ต่อมาจึงโปรด
เกล้าฯ ให้ยกทัพบกออกไปทางพระจารึก แยกเป็นสองทัพเข้าตีเมืองเสียมราบและเมืองโพธิสัตว์เพ่ือโอบ
ล้อมเมืองละแวก และเกณฑ์ทัพเรือเมืองปักษ์ใต้รวม 250 ลำ ตีเมืองท่าปากน้ำแม่โขงแถบป่าสัก และ
พุทไธมาศแลว้ บรรจบกบั ทพั บก จนในท่ีสุดยึดไดเ้ มืองละแวก ทำให้เขมรต้องส่งเครือ่ งบรรณาการให้แกก่ รุง
ศรอี ยธุ ยาตลอดสมัย แตบ่ างครั้งกรุงศรีอยธุ ยาไดย้ กกองทัพไปปราบปรามกบฏภายใน

พ.ศ.2304 ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 สมเด็จพระเจ้าตากสิน
มหาราช ทรงรวบรวมกำลังทัพทหารไทยและจนี ราว 1,000 คนเศษ ยกทัพ ออกจากวดั พิชยั เมอ่ื ฝนตาก
ห่าใหญ่เพ่ือเป็นมหาพิชัยฤกษ์ ตีฝ่าวงล้อมในทางทิศตะวันออก ผ่านบ้านหันตรา บ้านข้าวเม่า สำบัณฑิต
บ้านโพสาวหาร บ้านพรานนก บ้านดง ตำบลหนองไมท้ รงุ ตามเมืองนครนายก บ้านนาเริ่ง (อำเภอบา้ นนา
จังหวัดนครนายก) ปราจีนบุรี ด่านกบแจะ บ้านทองหลาง ตะพานทอง (อำเภอพานทอง จังหวัด
ฉะเชิงเทรา) บางปลาสร้อย (จังหวัดชลบุร)ี บ้านนาเกลอื พัทยา นาจอมเทียน ไกเ่ ตยี้ สัตหีบ หินโด่ง เมือง
ระยอง และยึดเมืองจันทบุรีได้เม่ือ พ.ศ.2310 ระหว่างประทับ ณ จันทบุรีได้ข่าวกรุงศรีอยุธยาเสียแก่
พม่า จงึ ต่อเรือรบประมาณ 100 ลำเศษ ทรงยกทพั เรอื พรอ้ มพลทหาร 5,000 คนเศษ จากเมืองจันทบุรี
ถึงชลบุรีแล้วทรงให้ลงพระราชอาญาพระยาอนุราชบุรีศรีมหาสมุทร (นายทองอยู่ นกเล็ก) ทรงเดินทางถึง
ปากน้ำสมุทรปราการเข้าตีเมืองธนบุรีได้ (พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) :
2503, 1-23.)

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวไทยเริ่มมีสงครามกับทาง
ตะวันออก คือ ลาว เขมร และญวน โดยเฉพาะเม่ือ พ.ศ.2369 เจ้าอนุวงศ์ แห่งเวียงจันทน์เป็นกบฏ
พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชสุภาวดี ยกทัพไปปราบสำเร็จ พ.ศ.2371 จนได้รับ
แต่งต้ังเป็นเจ้าพระยาบดินทรเดชา ตำแหน่งสมุหนายก เม่ือ พ.ศ.2372 และโปรดเกล้าฯ ให้ครอบครัว
เมืองเวียงจันทน์มาอยู่ที่ลพบุรี สระบุรี นครชัยศรี สุพรรณบุรี ปราจีนบุรี และนครนายก (พระราช
พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลท่ี 3 เล่ม 1) ระหว่างน้ันมีกลุ่มชาวเวียงจันทน์ชาวพวนซ่ึงถูกเทครัว
มา ได้ตงั้ รกรากในบรเิ วณอำเภอเมอื งนครนายกอำเภอปากพลี จงั หวดั นครนายก จงึ ทำใหบ้ ริเวณดังกลา่ ว
มีกลุม่ ชาวเวยี งจันทนแ์ ละชาวพวนจำนวนมาก

นอกจากน้ันเมืองนครนายกยังได้รับผลกระทบจากสงครามอย่างต่อเนื่อง
ในรัชสมัย พ.ศ.2382-2390 เพราะเป็นเส้นทางผ่านเพื่อไปตีเขมรและญวน รวมทั้งการเกณฑ์ทหาร
เสบียงอาหาร และยุทธปัจจัยต่างๆ ในการสงคราม ฝ่ายไทยมีพระยาบดินทรเดชาและเจ้าพระยาพระคลัง
เป็นแม่ทัพใหญ่ โดยเฉพาะผลของกบฏภายในทำให้เกิดจีนต้ัวเห่ียท่ีเมืองสาครบุรีเม่ือ พ.ศ.2390 และ
เมอื งฉะเชงิ เทราเมือ่ พ.ศ.2390 น้ัน เจา้ พระยาบดนิ ทรเดชากเ็ ปน็ แมท่ พั ไปปราบปราม

บริเวณพ้ืนที่รอบเขาชะโงกเขาฝาระมี และเขาทุเรียน อำเภอเมือง
นครนายก จังหวัดนครนายก มีส่วนเก่ียวข้องกับเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม
พ.ศ.2484 ครั้งที่ญ่ีปุ่นขอผ่านเขตแดนไทยโดยเข้ามาตั้งค่ายทหารในบริเวณไทย คือ ต้ังทัพบก ณ บริเวณ
เขาไม้รัง เขาทุเรียน และเขาชะโงก ส่วนทัพเรือตั้ง ณ บริเวณเขาฝาระมีทำให้ราษฎรในบริเวณดังกล่าว
รบั รู้และเก่ียวข้องกับทหารญปี่ ่นุ ระหว่างสงคราม เช่น รบั จา้ งสร้างถนน สรา้ งบ้านพัก ได้รับคา่ จ้างวันละ 5

๔๘

บาท ทำงานที่เขาชะโงกในลักษณะทำเช้ากลับเย็นซึ่งทหารญี่ปุ่นจะนำรถออกไปรับที่หน้าประตูค่าย
ทำงานระหว่างเวลา 07.00 ถึง 17.00 นาฬิกา มีการตรวจค้นทั้งขาไป-กลับ คนงานต้องนำข้าวไป
รับประทาน สร้างบ้านพักโดยใช้ไม้ไผ่มุงหลังคาจาก นอกจากนั้นยังได้ขุดอุโมงค์ที่เขาชะโงก เขาฝาระมี
โดยจ้างแรงงานชาวบ้าน ส่วนแรงงานเชลยศึกประมาณ 1,000 คน ให้ทำถนนและปลูกบ้านตลอดเวลา
โดยไม่หยดุ ปฏิบัตงิ านแม้ฝนตก พวกเชลยศึกสว่ นใหญ่มกั จะนุ่งผา้ เตย่ี วไม่สวมเส้อื

ราษฎรชาวนครนายกบางกลุ่มได้ค้าขายกับทหารญ่ีปุ่น เช่น ขายผลไม้
ต่างๆ อาทิ กล้วยน้ำว้า (ขายหวีละ 50 สตางค์- 1 บาท) ขนมโมจิ แต่บางกลุ่มก็ลักขโมยสิ่งของต่างๆ
ภายในค่ายทหาร

สถานที่ที่เป็นแหล่งป ระวัติศาสตร์ของจังหวัดนครนายกที่เก่ียวข้อง กับ
เรื่องราวในสงครามโลกคร้ังทสี่ อง มดี ังน้ี

คา่ ยเชลยศึก เป็นค่ายใหญ่อยู่บรเิ วณคลองสะท้อนใกล้เขาชะโงก มเี ชลย
ศึกเป็นพวกอังกฤษ อเมริกนั และฝรงั่ เศส สว่ นหลมุ ศพเชลยศกึ อยบู่ ริเวณเขาฝาระมี

หลุมฝังศพทหารญ่ีปุ่น อยู่ในบริเวณบ้านโคกลำดวน เป็นพ้ืนที่ทางทิศ
ตะวันตกเฉียงใต้ของเขาชะโงก ระยะประมาณ 1 กิโลเมตร คือ เม่ือทหารญี่ปุ่นตายจะนำใส่ล้อเข็นไปขุด
ดนิ ฝงั โดยไม่มพี ิธีศพ

ส่วนค่ายทหารญี่ปุ่นในบริเวณเขาชะโงกได้ขุดบ่อน้ำไว้ใช้จำนวนกว่าร้อย
บ่อ แต่ถูกกลบภายหลังสงครามยตุ ิ เม่อื ญีป่ ุ่นยอมแพ้แก่สัมพันธมิตรทหารญี่ปนุ่ ได้ฆา่ ลา ฆ่าม้า ดัดอาวธุ ให้
งอจนใช้การไม่ได้ รวมทั้งยุทธปัจจัยต่างๆ ตลอดจนรถนำไปฝังไว้ในบริเวณพ้ืนที่เขาชะโงก และบริเวณ
ใกลเ้ คียง ตอ่ มาชาวบา้ นเขา้ ไปขุดพื้นท่แี ละบอ่ น้ำได้พบอาวุธปืนซามไู ร และยุทธปจั จัยทั้งปืนยาว ปืนสน้ั ซึ่ง
ดัดงอใช้การไม่ได้ รวมทั้งส่ิงของต่างๆเสมอ โดยเฉพาะเม่ือประมาณ พ.ศ.2526ขุดพบอาวุธปืนต่างๆ
ประมาณ 2,000 กว่ากระบอก อาวุธซามูไร โครงกระดกู มา้ และลาที่บรเิ วณเขาชะโงก เขาฝาระมี และเขา
ยางแดง ซ่ึงสันนิษฐานว่าทหารญ่ีปุ่นได้ทำลายข้าวของทรัพย์สมบัติ ตลอดจนพาหนะใช้งานแล้วฝังไว้ใน
บรเิ วณดงั กลา่ ว

อนุสรณ์สถานทหารญ่ีปุ่น สร้างไว้ในบริเวณวัดพราหมณี อำเภอเมือง
นครนายก เม่ือพ.ศ.2532 ทุกๆ ปี บรรดาทหารญ่ีปุ่นอายุระหว่าง 60-75 ปี จะมาคารวะอนุสรณ์สถาน
ดงั กลา่ วเสมอ (เดมิ กำหนดสร้างในบรเิ วณเขาทเุ รยี น อำเภอเมืองนครนายก แตช่ าวบ้านไม่ยอม)

ปัจจุบันญี่ปุ่นได้เข้ามาซื้อท่ีดินบริเวณตำบลสาริกาใกล้วังตะไคร้และ
นางรองเพ่ือทำสนามกอล์ฟเมื่อ พ.ศ.2512 และทำไร่กาแฟเม่ือ พ.ศ.2523 โดยเฉพาะบริเวณเขาคลอง
มะเดือ่ ทำหมู่บ้านคนชราญีป่ ุ่น สว่ นเจ้าของทด่ี นิ เดิมทเี่ ป็นคนไทยเมื่อขายท่ดี ินไปแล้วพงึ อพยพไปอยูท่ ีอ่ ื่นๆ
บางคนเงินหมดกอ็ าศยั อยู่กับวัด (เมอื งนครนายก : 2535,76)

นอกจากน้ันจังหวัดนครนายกยังมีเหล่าสำคัญทางประวัติศาสตร์ คือ
“เพนียดคล้องชา้ ง”

เพนยี ดคล้องช้าง เป็นแหลง่ ประวตั ิศาสตร์ เน่ืองจากในอดีตมีศึกสงคราม
ซ่งึ ต้องใช้ช้างเป็นพาหนะในการสงครามนับแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาจนถึงตน้ รัตนโกสินทร์ ดงั น้ัน บรเิ วณ
ทพ่ี ระมหากษตั ริยเ์ สดจ็ ไปคลอ้ งช้างเผือก จึงเปน็ เหตกุ ารณห์ น่งึ ทีส่ ำคญั ในประวตั ศิ าสตร์

ในการศึกษาโบราณคดีและประวัติศาสตร์เมืองนครนายกโครงการสนอง
แนวพระราชดำริฯ พ.ศ.2536-2538 ของเพนียดคล้องช้าง กรมศิลปากรน้ันปรากฏวา่ เม่ือ พ.ศ. 2250

๔๙

สมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ จังหวัดนครนายกมีเพนียดคล้องช้างท่ีอำเภอบ้านนา อยู่ด้านหลังวัดไม้รวกใน
ปจั จบุ นั ดังความทีป่ รากฏในพระราชพงศาวดารฉบบั พันจันทนมุ าศว่า

กำแพงกรมช้างกราบทูลพระกรุณาว่าช้างโขลงบ้านนานั้นตกลูกเนียมเข้า
เพนียด คร้ังดำรัสสั่งทราบจึงเสด็จลงเรือพระท่ีน่ังก่ิงออกไปเพนียด เสด็จขึ้นสู่ปราสาท ดำรับให้คล้องช้าง
เนียมได้ จึงสมโภช 3 คืน แล้วขนานพระนามพระราชทานชื่อ “พระบรมไตรจักร” แม่ช้างเนียมให้เอา
ทองคำเปลวปิดหู ปล่อยไปช้างโขลงบ้านนาให้สนิ้ และรับพระบรมไตรจกั รเข้ามาไว้ในโรงซุ้มยอด อยู่เคียง
สรรเพชญ์ มหาปราสาท

นอกจากน้ันยังมีการกล่าวถึงเพนียดคล้องช้าง (ชาวบ้านเรียกโรงช้าง)
ในพระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหัตถเลขาฯ

ดังปรากฏข้อความในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีปรากฏความว่า พ.ศ.
2309 ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังที่ 2 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้นำกองทหารกรีธาทัพผ่านมายัง
นครนายก “...วัน 2 6ฯ 2 ค่ำ (วันจันทร์ ข้ึน 6 ค่ำ เดือน 2) ขุนชำนาญไพรสณฑ์ แลนายกองช้าง
สามิภักดิ์เอาช้างมาถวาย พลาย 5 พัง 1 เข้ากันเป็น 6 ช้างนำเสด็จไปบางดงยกพลทหารมาประทับ
ตำบลหนองไมท้ รงุ ตามกรมการทางนครนายก ประทบั รอนแรมไป 2 วัน ถงึ บา้ นนาเริง่ ”

ต่อมาสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ.2446 เม่ือครั้งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์
เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงบรรพชาได้จำพรรษาที่บางปะอิน เวลาค่ำทรงเห็นโขลงช้างป่าบริเวณ
ปลายนา เม่ือคนถางป่าช้างต้องหนีถอยร่นไปทุ่งหลวง (รังสิต) และไปอยู่ทุ่งหลวงดอนแขวงจังหวัด
นครนายก นอกจากนั้นทรงกล่าวถึงช้างป่าขณะที่พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย
เดินทางไปนครนายกและจอดเรืองพักแรมที่อำเภอบางอ้อ ทรงเห็นช้างป่ามากินข้าวของชาวนา ตกค่ำ
ชาวนาต้องสุมไฟบริเวณคันนา คร้ันเสด็จมณฑลปราจีนบุรี คลองรังสิต ผ่านองครักษ์ระยะใกล้ๆ ต้องเปิด
แตไ่ ลช่ า้ งป่ากร็ ีบว่านำ้ หนีไป

ชา้ งในทุ่งหลวงน้ันต่างจากช้างป่าในที่อนื่ ๆ เพราะเป็นโขลงช้างหลวงที่อยู่
ในทุ่งหลวงต่อเน่ืองมาหลายร้อยปีแล้วต้อนเข้าเพนียดเพื่อจัดไว้ใช้ในราชการ ส่วนที่เหลือปล่อยกับไปทุ่ง
หลวง เป็นประเพณีสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา-รตั นโกสินทร์

ช้างนครนายกมีจำนวนมากโดยเฉพาะอำเภอบ้านนา มีเส้นทางการไล่ช้าง
ปา่ เข้าเพนยี ดคือ “องคักษ์ วัดอมั พวนั วดั ทองหลาง คลอง30-31 วัดวงั บัว วดั หนองคันจาม วดั บ้านพริก
หนองกะเริง วัดช้าง บา้ นนา (วัดทองย้อย) ป่าขะ (บา้ นทุ่งกระโปรง) เขาเพนียด (หลังวัดไม้รวกปจั จุบัน)”

การนำช้างเข้าเพนียดต้องมี “กลุ่มหัวหน้าโขลงช้าง” เขตนครนายก
ได้แก่ พระกำแพง หัวหน้าโขลงช้าง หม่ืนสนิท บำรุงกิจ หมื่นบำรุง คชสาร หมื่นไอรยา หม่ืนบริครุฑ คช
สาร (กำนันเปล่ียนหัวหน้าโขลงช้างคนสุดท้าย) ขุนคชเคนร์ (ปู่นายสำเนียง บุญมี) ขุนพิทักษ์ คชยุทธ์
(เสมียนกรมคชบาลจ่ายเงินแกพ่ วกโขลงช้าง) เปน็ ทหารประจำโขลงช้างโดยเกณฑ์ชาวบา้ นนาอายุ 20-25
ปี ถ้าไม่ไปเกณฑ์ต้องเสียเงิน 6 บาทต่อปี ทหารจำนวน 100 คน เม่ืออยู่ในกรมโขลงช้างแล้วลูกหลาน
ตอ้ งเป็นด้วย

อปุ กรณใ์ นการไล่ชา้ งเข้าเพนยี ด ได้แก่
- หอก

๕๐

- เชือกบาศ ทำจากหนังความ 2-3 ตัว คว่ันเป็นเชือก เรียกว่า “ปะกำ”
มกี ารบวงสรวงโดยใชเ้ หลา้ หมู ไก่ เปน็ ต้น

- เพนียด ชาวบ้านเรียกว่า “คอกช้าง”ทำดว้ ยเสาไม้ขนาดใหญ่ในบรเิ วณ
หลังวัดไม้รวก ตำบลป่าขะ อำเภอบ้านนา ปัจจุบันนิยมไล่ช้างในเขตทุ่งดงละครและบ้านนาผา่ นข้ึนไปตาม
เส้นทางท่ีกล่าวแล้วในตอนต้น ก่อนไล่ช้างจะบอกให้ชาวบ้านในบริเวณเส้นทางทราบล่วงหน้าเพื่อจะได้
หลบขึน้ ไปอย่บู นกอไผ่ (ทำแคร่ไขว้) คุ้มข้างละ 4 ตัว บนหลงั ช้างมคี วาญ 3 คน ถือหอกดา้ มขาวคอยแทง
ไล่ช้างป่า ชา้ งป่าท่ีมีลกั ษณะดจี ะถูกไล่เข้าเพนียดแล้วเอาบ่วงคล้องเพื่อฝึกหัด โดยมัดงาและเขา เม่ือเช่ือง
แล้วจะนำเข้าตลุงกลางเพนียดโขลงช้างป่ามีท้ังช้างที่มีงาและไม่มีงา และช้างสีดอ เป็นต้น ส่วนใหญ่จะ
คล้องโขลงละ 2 เชอื ก และที่เหลอื จะปล่อยกลับไปดงละคร

การอยู่กรรม หมายถึง บรรดาบุตรและภรรยาของผู้คุมโขลง
ชา้ งป่า ซึ่งอยทู่ างบ้านจะแต่งตัว ตัดผม และตีบุตรไม่ได้ในระหว่างที่สามี (ผ้คู ุมโขลงช้างป่า) อยู่ในระหว่าง
ไล่โขลงช้างปา่ ทั้งน้ีการไลโ่ ขลงช้างป่าในแต่ละครั้งกินเวลาประมาณ 2-3 เดือน (รายละเอยี ดเก่ียวกับกลุ่ม
หัวหน้าโขลงช้าง, สัมภาษณ์ “นายถวัลย์ มุ่งศิริ” อายุ 83 ปี “ยายเย็น” อายุ 91 ปี หมู่ 2 ตำบลบ้านนา
อำเภอบ้านนา “นายสำเนียง บุญมี” อายุ 58 ปี ผู้ใหญ่บ้าน และ “นายศร บุญมี” อายุ 72 ปี หมู่ 6
ตำบลศรีกะอาง อำเภอบ้านนา)

การฝึกช้างในการสงคราม ฝึกโดยใช้ผ้าชุบน้ำมันจุดไฟ จุด
ประทัดและให้ช้างอมน้ำพ่นไฟเพื่อเข้าสงคราม เมื่อฝึกแล้วนำไปอยุธยา ผ่านอำเภอหนองแค จังหวัด
สระบุรี อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนการฝึกช้างปฏิบัตกิ ันปีละ 2-3 เดือน ในระหว่างฤดู
แล้ง และไล่ช้างประมาณ 3 ปีต่อคร้ัง ในปลายรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หวั ชาวบ้าน
เริ่มอพยพเข้าไปอยอู่ าศัยในบริเวณดังกล่าวมากขึ้น ทำให้เลิกไล่ช้างป่า ต่อมาเม่ือให้สร้างทางรถไฟผ่าน จึง
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไล่ช้างป่าเข้าไปอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ประมาณ 70-80 ปีท่ี
ผ่านมากลุ่มโขลงชา้ งป่าทล่ี งมากินข้าวของชาวบา้ นแถบองครกั ษไ์ ด้หายไปอยา่ งสน้ิ เชิง แตร่ ะหว่าง 30-40
ปีที่แล้วยังมีช้างป่าลงมาหากินเป็นครั้งคราวบ้างตามชายทุ่งบ้านท่าด่าน ตำบลหินต้ัง อำเภอเมือง
นครนายก จงั หวัดนครนายก

หลักฐานในปัจจุบัน พื้นท่ีบริเวณโรงช้างหรือเพนียดคล้องช้าง
มีลกั ษณะเป็นเนินดนิ ขนาดใหญ่ ปกคลมุ ด้วยต้นไมแ้ ละไม้พุ่มคอ่ นข้างหนาแนน่ ทำให้เดินเขา้ ไปภายในเนิน
ดนิ ไม่ได้ พ้ืนที่รอบๆ บางส่วนนำไปไถทำนา แนวเสาไม้ท่ีเป็นเพนียดคลอ้ งช้างหายไปอนั หน่ึงซง่ึ ไม่สามารถ
บอกขนาดท่ีแน่นอนได้ เนื่องจากระยะเวลาท่ียาวนาน นอกจากถางพื้นที่และกำหนดจุดเพ่ือขุดค้นทาง
โบราณคดีแล้วจะได้หลักฐานของเพนียดคล้องช้างแห่งนี้ว่าสำคัญมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ธนบุรี จนถึง
รัตนโกสินทร์ในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัว
สถาปัตยกรรมดีเด่น

สถาปตั ยกรรมเป็นสิง่ ก่อสร้างทม่ี คี ณุ คา่ ทางศลิ ปะแล้วสบื ทอดมาจนเปน็ เอกลักษณ์ โดย
ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมหรือปัจจุบันอาจไม่ได้ใช้ประโยชน์เช่นเดิม จังหวัดนครนายก
มีสถาปัตยกรรมดีเด่นงดงาม ส่วนมากเป็นสถาปัตยกรรมภายในวัดต่างๆ ซ่ึงกรมศิลปากรได้ศึกษาวิจัยฯ
ในโครงการพระราชดำรฯิ ดงั น้ี

1. วัดอมั พวัน ตั้งอยู่หมู่ 8 ตำบลบางออ้ อำเภอบ้านนา จังหวดั นครนายก เปน็ วัด

๕๑

สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วก่อตั้งใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ หลวงปู่จันทร์ (พระครูวิสุทธิธรรมธาดา) ซึ่ง
จำพรรษาท่ีวัดได้บูรณะร่วมกับชาวบ้านบางอ้อและ ม.ร.ว.จรัส อิศรางกูร ณ อยุธยา ซ่ึงเป็นน้องสมเด็จ
พระ พุฒาจารย์ (ม.ร.ว.เจริญ อิศรางกูร ณ อยธุ ยา) วดั ระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร สว่ นหลวง
ปู่จันทร์เป็น ลูกศิษย์ (กรมศิลปากร, 2534) ปัจจุบันเจ้าอาวาสยังคงทำนุบำรุงรักษาสถาปัตยกรรมที่
ดีเด่นและงดงามในวัดอมั พวันไวอ้ ยา่ งดี ประกอบดว้ ยสถาปตั ยกรรมดงั ต่อไปน้ี

- พระอโุ บสถ มีขนาดใหญก่ ่ออิฐถอื ปูน หลังคาหรอื เครอื่ งบนหลงั คาเป็นเครอื่ ง
ไมม้ ุงกระเบื้อง ขนาดยาว 20.40 เมตร กวา้ ง 9 เมตร สูงประมาณ 12 เมตร อยภู่ ายในกำแพงแกว้ ขนาด
ยาว 20.40 เมตร กวา้ ง 11.40 เมตร สูง 50 เซนติเมตร (ยกเว้นส่วนที่จมอยู่ในดิน) ลักษณะโบสถ์มีมุข
ด้านหน้าหรือด้านตะวันออกและด้านหลังหรือด้านตะวันตก มุขท้ังสองด้านมเี สาขนาดใหญร่ องรบั มุขละ 4
ต้น ขนาดเสา 40x40 เซนติเมตร ลักษณะเป็นเสาลบมุม ซึ่งนิยมใช้มาต้ังแต่สมัยรัชกาลท่ี 3 โดยให้ผนัง
ด้านข้างรับน้ำหนักพระอุโบสถ มุขด้านหน้าและหลังเป็นเสาก่ออิฐถือปูนรับน้ำหนักเครื่องบนหลังคา ส่วน
มขุ พระอุโบสถประกอบด้วยสว่ นต่างๆ ไดแ้ ก่

- เครอ่ื งบนหลังคา ลักษณะหลังคาลด 2 ชน้ั เปน็ เครือ่ งไมม้ ุงกระเบ้อื ง ลักษณะ
กระเบ้ืองเป็นกระเบ้ืองว่าวทำจากปูนโดยใช้แม่พิมพ์ ต่อมาทางวัดได้เสริมเชิงชายที่มุขหลัง (ตะวันตก)
ท่ชี ำรดุ ดว้ ยสังกะสีแลว้ เสรมิ ใหมอ่ กี ชั้นท่ดี ้านขา้ งเพ่อื ปอ้ งกนั ฝน

นอกจากนั้นยังมีหน้าบันไม้แกะสลัก รวงผึ้ง สาหร่าย หน้าอุดปีกนก กรอบประตู
ปูนปั้น ประตูไม้บานคู่แกะสลักงดงาม หน้าต่างมีกรอบลายปูนด้านละ 4 บาน ส่วนที่เป็นบานไม้ไม่มีการ
แกะสลัก

- เพดานภายในอโุ บสถ มีดาวเพดานลงรักปิดทอง ติดกระจกสีขาว น้ำเงนิ
เหลือง และคา้ งคาว ทั้งนี้มุมเพดานกล็ งรักปิดทองตดิ กระจกสขี าว ส่วนผนังภายในไม่มีภาพจติ รกรรม

- พระประธาน เปน็ พระพุทธรูปปางมารวชิ ยั แบบศิลปะรัตนโกสนิ ทร์
- กระเบือ้ งปพู ้นื ท้งั ภายในและนอกพระอุโบสถทำจากแม่พมิ พท์ ต่ี ่อกนั 4 แผ่น
มีลกั ษณะคลา้ ยกระเบือ้ งปรุ (ใช้ติดกบั ผนงั ของอาคาร) เป็นลายเขยี นสแี ดง
- ซุ้มเสา กอ่ อฐิ ถือปูนทำเปน็ มณฑปยอดปราสาทขนาดกวา้ ง 80 เซนตเิ มตร
สูง 3.70 เมตร กรอบด้านข้างเป็นลายปูนป้ันแบบลายประจำยาม มีซุ้มวงโค้งเป็นลายปูนปั้นรูปเกลียว
กนก ท้ัง 4 ด้าน ด้านล่างเป็นฐานปัทม์บนฐานแข้งสิงห์ ส่วนบนของหลังคามณฑปทำเป็นรูปเคียรนาค
ทั้ง 4 มุม
- ใบเสมา ทำจากหินแกะสลกั เปน็ รูปเสา ซงึ่ ทำเป็นรูปพญานาคหนั เศียรออก
ท้ัง 2 ด้าน ตรงกลางเป็นลายกลีบดอกไม้ซ่ึงลงรักปิดทอง และติดกระจกสี ขนาดใบเสมา 40 x80
เซนติเมตร ส่วนซุ้มเสมารูปทรงมณฑปยอดปราสาทมีเฉพาะตรงกลางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
มุมทั้งสองด้านของเสาด้านตะวันออกตั้งอยู่บนฐานปัทม์ลักษณะบัวหงายทำเป็นกลีบซ้อนกันโดยรอบ
ดา้ นล่างเป็นฐานแข้งสิงห์รองรับอีกช้ันหนึ่ง ไม่มีซุ้มทรงมณฑปเช่นเดยี วกับฐานเสมาตรงมุมตะวันตก ส่วน
ดา้ นขา้ งไมม่ ีท้ัง 2 ดา้ น อาจเป็นเพราะอยูภ่ ายในกำแพงแก้วแล้ว
- ลานประทกั ษณิ มที างเดินทางประทักษิณภายในกำแพงแก้วโดยรอบ
พระอุโบสถ ลักษณะโครงสร้างสถาปัตยกรรมเป็นพระอุโบสถก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ซึ่งใช้ผนังรับน้ำหนัก
เปน็ พระอโุ บสถขนาด 5 ห้องมีมุขหน้าและหลงั ส่วนมุขใช้เสาเหล่ียมรบั น้ำหนัก มีประตดู ้านละ 2 บานทั้ง
ด้านหน้าและหลัง ลักษณะพิเศษมีความสูงมากแต่เครื่องบนหลังคาแคบ หน้าต่างสูงและกว้าง มีลวดลาย

๕๒

เฉพาะแบบตะวันตกผสมผสานกันอย่างกลมกลืนในเอกลักษณ์ของลายไทย แสดงถึงความสามารถของ
ช่างฝมี อื ตลอดจนความนยิ มฝีมอื ช่างเมอื งหลวงอยา่ งแท้จริง

- กำแพงแก้ว ก่ออิฐถอื ปนู ขนาดกว้าง 11.40 เมตร ยาว 20.40 เมตร สูง 50
เซนติเมตร กำแพงแก้วด้านตะวันออกและตะวันตกอยู่ในแถวกับเสามุข ท้ังยังอยู่ระหว่างเสามุข ดังน้ัน
ความยาวกำแพงแก้วจงึ เท่ากบั ความยาวพระอโุ บสถ

- เจดยี ร์ าย ดา้ นทิศตะวนั ออกของพระอโุ บสถรวม 10 เมตร เป็นเจดยี ท์ รงระฆงั
ก่ออิฐถือปูน สว่ นยอดชำรดุ ขนาดฐานกว้างราว 2 เมตร สูง 3 เมตร

- หอระฆงั (เก่า) ทำจากเครอ่ื งไมข้ นาดสูง 6 เมตร กว้างดา้ นละ 1.90 เมตร
เครื่องบนหลังคาเป็นเครอ่ื งไม้มุงกระเบื้อง ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ทำจากเคร่ืองไม้ ส่วนหน้าบันแกะสลัก
เป็นรูปพานรัฐธรรมนูญอยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยลายก้านขดและลายเกลียวกนกในกรอบ
สามเหล่ียมลงรกั ปิดทองตดิ กระจกสีน้ำเงินเป็นพ้ืนของลาย เพดานในมีลายดาวเป็นรูปกลีบบัวใหญ่อยู่ตรง
กลาง ล้อมรอบด้วยกลีบบัว 4 มุม ลงรักปิดทองประดับกระจกสีเขียว พื้นเพดานทาสีแดง เครื่องไม้
ประกอบตัดเส้นสีเหลืองมีคันทวยไม้แกะสลักเป็นรูปนาคห้อยเศียรลงมารับกับเสา หางรับเชิงชาย ส่วน
เศียรและหางนาค ทาสีแดง ตัวทาสีเหลือง มีลายดอกส่ีกลีบตรงกลางลำตัว มนี าคมุมละ 3 ตวั รวม 4 ต้น
ลกั ษณะสอบขึน้ ด้านบน และเข้าสลักเครื่องไมเ้ ชน่ เดยี วกบั เรือนไทย

- ศาลาการเปรียญ ทำจากเคร่ืองไมม้ งุ กระเบ้อื ง มีขนาดกวา้ ง 16.25 เมตร ยาว
17.90 เมตร สูงประมาณ 12 เมตร ลักษณะอาคารยกพ้ืนสูง 1 ช้ัน ประกอบด้วยส่วนต่างๆ คือ ช่อฟ้า
ใบระกา หางหงส์เป็นเครื่องไม้ หน้าบันแกะสลักรูปพระพุทธรูป ส่วนเชิงชายท้ังด้านข้างและด้านหน้า
ลักษณะเป็นเท้าแขนทำด้วยเหล็กรองรับอยู่ทุกเสาของอาคาร โครงสร้างบางส่วนตรงช่วงระหว่างเชิงชาย
ใชเ้ หลก็ ยึด แต่ส่วนอน่ื ๆ เข้าสลกั ไม้

โครงสรา้ งของศาลาการเปรียญ ลักษณะเสาไม้ด้านบนสอบเข้าหากันและเข้าสลัก
เป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นระหว่างมุมเชิงชายที่ต่อกัน (ด้านใน) จะเข้าเหล็กช่วยยึด ลักษณะการใช้เสาสอบเข้า
หากนั เป็นผลมาจากการใช้วธิ ีเขา้ สลกั ไมท้ ง้ั หลงั เพื่อให้โครงสรา้ งมีความมั่นคง

- หมู่กุฏเิ รือนไทย ในวดั อมั พวันมหี มู่กุฏเิ ปน็ เรอื นไทยขนาด 3 ห้อง ลักษณะ
ฝาแบบสายบัว คือ ฝาไม้กระดานตีตามแนวตั้งและทับแนวด้วยไม้เส้นเล็กทุกๆรอยต่อของแผ่นฝาด้านล่าง
มีร่องตีนช้างรองรับซ่ึงมักพบในฝาปะกน ส่วนเท้าแขนเป็นโครงเหล็ก โครงสร้างหลังคามุงกระเบื้องว่าว
ปน้ั ลมเป็นไมแ้ ละหนา้ บันแบบใบปรือ ลักษณะเรือนไทยยกพน้ื สงู ด้านใต้ไม้เปน็ ที่เก็บเกวียนหรือเรือได้

- กุฏิเรือนแพ เดิมเปน็ เรอื นแพอย่ใู นกรงุ เก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยาของ
หม่อมราชวงศ์จรัส อิศรางกูร ณ อยุธยา ได้ถวายแก่วัดอัมพวันในสมัยหลวงปู่จันทร์เม่ือ พ.ศ.2451 เพื่อ
ทำเป็นกุฏิ โดยปลอ่ ยส่วนรับนำ้ หนักแพให้จมลง และใช้อิฐก่อเป็นเสาตัง้ รับแทนเป็นเรือนแพแฝดแบ่งเป็น
2 สว่ น สว่ นในเป็นห้องทีพ่ ัก ส่วนนอกเป็นชาน

- ส่วนนอกหรือชานลกั ษณะเสาแกะสลกั เป็นเกลียว มีหัวเสารับทัง้ ด้านบนและ
ด้านล่าง ลักษณะประตูเข้าสู่ภายในเป็นประตูแบบฝาเฟี้ยม ซ่ึงนิยมกันในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎ
เกลา้ เจา้ อย่หู วั

- ส่วนกลางเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ ด้านบนท่ีผนงั มรี ปู พุทธประวัติในกรอบ
ส่เี หลย่ี มตดิ ตลอดแนวผนงั ขอบผนังทั้งสี่ดา้ นแกะสลักไม้เป็นรูปวงกลมตอ่ เนื่องกนั

- สว่ นในมบี านประตแู กะสลักไม้ค่ขู นาดใหญต่ รงกลางผนัง ซ่ึงเป็นทางเขา้ สู่

๕๓

หอ้ งช้ันใน ผนงั ดา้ นข้างยงั มบี านประตคู ่เู ปดิ ออกไปดา้ นหลังแพได้
- หลังคามุงด้วยกระเบอ้ื งว่าว ลกั ษณะเป็นหลงั คาแฝดเพอื่ รบั ความกวา้ ง

ของแพ ซึ่งเป็นลักษณะแบบพิเศษแบบหน่ึง ปั้นลงด้านละ 2 ข้าง รวมท้ังหน้าบันแบบใบปรือเช่นเดียวกับ
หมกู่ ุฏิเรอื นไทย

- ส่วนฝาผนังแพด้านนอกเป็นแบบฝาถึง วางตามขวางแทนวางตามตั้ง
- แพมีขนาดกว้าง 9.25 เมตร ยาว 11.20 เมตร ความสูงพ้ืนและหลังคา
ประมาณ 2.50 เมตร มหี น้าต่างดา้ นขา้ งๆ ละ 2 บาน
- ธรรมาสน์ เป็นไม้แก่สลักขนาดกว้าง 1.50x1.05 เมตร สูง 2.40 เมตร
ลักษณะเสาเป็นเกลียวเลียนแบบเสาแพ มีลวดลายและสลักคล้ายก้านขดแบบเดียวกับบานประตูด้านใน
ของแพธรรมาสนห์ ลงั น้ีสร้างข้นึ ภายหลงั ซึ่งเจ้าของแพสร้างเลยี นแบบ บางส่วนของแพไว้
- เจดีย์ราย ก่ออิฐถือปูน ขนาด 70x70 เซนติเมตร สูง 2.14 เมตร ส่วนฐาน
เป็นแปดเหล่ียมจนถึงปากระฆังส่วนบนคือบัลลังก์หักหายไป อยู่ด้านหน้าหรือตะวันออกของพระอุโบสถ
หลังเดมิ ยาว 50 เมตร
- หอไตรเก่า มีลักษณะเป็นเรือนไม้แบบหกเหลย่ี ม โครงสร้างหลงั คาเปน็ เครื่องไม้
มุงจากอยู่ตรงกลางของสระใหญ่ มีสะพานไม้พาดเข้าไปจากขอบสระเพื่อป้องกันปลวก แต่ปัจจุบันได้ร้ือ
ออกแล้ว
2. วัดใหญ่ทักขิณาราม เป็นวัดที่ชาวลาวเวียงจันทน์อพยพเป็นผสู้ ร้าง กรมศิลปากรได้
ศึกษารูปแบบทางสถาปัตยกรรมว่ามีรูปแบบสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เจ้าอาวาสปัจจุบันเล่าว่าได้ขึ้น
ทะเบียนวิสงุ คามสีมาทกี่ รมศาสนาเมอ่ื พ.ศ.2311
ผลการสำรวจของกรมศิลปากรในโครงการศึกษาวิจัยโบราณคดีและประวัติศาสตร์
เมืองนครนายก ตามโครงการสนองแนวพระราชดำรฯิ กล่าวถงึ ลักษณะสถาปตั ยกรรมของวัดใหญท่ ักขิณา
รามดังน้ี
- พระอุโบสถ เป็นแบบเคร่ืองไมม้ ุงกระเบ้ืองและก่ออิฐถือปนู ขนาด 3
ห้อง มีมุขด้านหน้า ขนาดกวา้ ง 6 เมตร ยาว 10.15 เมตร สูงประมาณ 10 เมตร มีกำแพงแก้วล้อมรอบ
ขนาดกว้าง 0.25 เมตร ยาว 17.05 เมตร และเจดีย์แบบย่อมุมไม้สิบสองอยู่ด้านหลังนอกกำแพงแก้ว
โบสถ์หันไปทางทิศตะวันออกขนานกับแม่น้ำนครนายกและตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำทางทิศใต้ ลักษณะโดย
ส่วนรวมแสดงถึงสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย (ปลายพุทธศตวรรษที่ 22-23) มีประตูเข้าพระ
อุโบสถ 1 บาน ท่ีผนังด้านข้างมีหน้าต่างและประตู แต่ละประเภทด้านละ 2 แห่ง และประตู ท่ีผนัง
ดา้ นหลัง ข้างละ 1 แห่ง
ลักษณะประตูอุโบสถด้านหน้าหรือด้านตะวันออกมีกรอบประตูแบบประตูยอด
ปราสาท หรอื ซุ้มทรงมณฑป มีลายปนู ป้นั เปน็ รูปดอกไมใ้ บเทศประดับ
- บานประตูหนา้ บนั ชอ่ ฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคหนา้ อุดปกี นก สาหรา่ ย
หรอื รายร้วั คนั ทวยเป็นไมแ้ กะสลัก
- หนา้ ต่าง เปน็ กรอบไม้ มมี ขุ ดา้ นหน้าโบสถ์ หนา้ บันด้านหนา้ เปน็ ไม้
- บัวหัวเสา เป็นลายปนู ป้นั ลงรักปิดทอง เหลือเฉพาะรักสดี ำตดิ อยู่บางสว่ น ลักษณะ
ของบัวหัวเสาแบบนเ้ี รียกว่า “บัวแวง” เป็นกลีบของดอกบวั ชนิดบวั สายมีกลบี ตงั้ ยาว ส่วนศิลปะประกอบ
สถาปัตยกรรมจะหุ้มหัวเสาท้ังแบบเหลี่ยมและกลม บางครั้งทำเป็นลายดุนประดับพานและกระโถนโลหะ

๕๔

(โชติ กัลยาณมิตร : 2518, 442) ใต้บัวหัวเสาเป็นหน้ากระดานและท้องไม้ลายกรุยเชิง ลักษณะเสาท่ี
ส่วนโคนใหญ่แล้วค่อยๆ เรียวเล็กข้ึนไปหาปลายจนถึงบัวหัวเสา ลักษณะเสาแบบนี้นิยมมาต้ังแต่กรุงศรี
อยุธยาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยเฉพาะในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเริ่ม
นยิ มศลิ ปะแบบพระราชประเพณีอกี คร้ังหนึ่ง

- เคร่ืองบนหลังคา เป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้องแบบกระเบ้ืองมอญ คือกระเบื้องตัด
เฉียงปลายแหลมส่วนเชิงชาย พ้ืนหลังคาด้านในทาสีแดง ตรงกลางของส่วนบนสันหลังคาเป็นรูปมณฑป
ทรงจตุรมุขขนาดเล็กทำด้วยปูนป้ัน ลักษณะเช่นน้ีปรากฏในกลุ่มของโบสถ์หรือวิหารทางภาคเหนือ เช่น
วัดลำปางฝั่งตะวันตก จังหวัดลำปาง บางส่วนของหลังคาตรงส่วนเชิงชายด้านขวาได้เปลี่ยนกระเบ้ืองมุง
หลังคาใหม่ อาคารหลังน้ีใชผ้ นังรับน้ำหนักส่วนเครื่องบนหลังคา และมุขด้านหน้าใชเ้ สากอ่ อฐิ ถอื ปูนขนาด
ใหญ่ 4 ตน้ รับน้ำหนักส่วนบนและเชงิ ชายท้ังสองดา้ น

- ฐานโบสถ์ เป็นลักษณะบัวคว่ำ-บัวหงายคั่นด้วยหน้ากระดานท้องไม้และลูกแก้ว
อกไกเ่ รยี งอิฐแบบสลบั ยาวและกว้าง

- เสมา ใบเสมาทำด้วยหินชนวน ลักษณะลายกนกด้านข้าง ตรงส่วนกลางเป็นรูป
พญานาค 2 ตัวไขว้กัน ตรงกลางเป็นรูปดอกสีติดกระจกสีน้ำเงิน ด้านล่างเป็นลายแข้งสิงห์มีลักษณะ
เหมอื นกันท้ังสองดา้ น อย่ภู ายในซุม้ ปูนปนั้ รูปใบเสมา

- กำแพงแก้ว ลักษณะก่ออิฐถือปูนเป็นรูปวงโค้งระหว่างเสาสี่เหลี่ยม ขนาดกว้าง
0.25 เมตร ยาว 0.50 เมตร สูง 1.10 เมตร มีประตูซุ้มวงโค้งเลียนแบบศิลปะตะวันออก กว้าง 0.40
เมตร ยาว 1.5 เมตร สูง 2.10 เมตร อยู่ระหว่างกลางกำแพงท้ังส่ีด้าน วงโค้งบนของประตูมีเจดีย์ย่อมุม
ขนาดเล็กประดิษฐานอยู่ระหว่างกึ่งกลางลำตัวพญานาคซ่ึงหันหน้าออกทางทิศเข้าประตู โดยเฉพาะบนวง
โค้งด้านทิศใต้มีเจดีย์อยู่บนมณฑปทรงจตุรมุข ภายในมณฑปมีรอยพระพุทธบาทคู่ทำด้วยหินชนวนสีเทา
แกะสลักเป็นรอยพระบาทคู่และมีร่องรอยสีแดงติดอยู่ มีรอยพระพุทธบาทเฉพาะในมณฑปทิศใต้เท่านั้น
นอกจากน้ันมที หารสวมหมวกถือกระบองแต่งกายแบบยโุ รปเปน็ ทวารบาลประตูละ 2 คน

- เจดีย์ย่อมมุ ไม้สิบสอง ด้านนอกกำแพงแกว้ ิทศตะวันตกหรือด้านหลังพระอุโบสถมี
เจดยี ย์ อ่ มมุ ไม้สบิ สองแบบทรงเคร่อื ง เปน็ ลกั ษณะก่ออฐิ ถอื ปนู ประกอบดว้ ย

- ฐานแข้งสิงห์สองช้ัน มีฐานบัวคว่ำ-บัวหงาย และหน้ากระดานท้องไม้ค่ันอยู่ในแต่
ละชั้นจนถึงบวั กลมุ่ รองรบั ปากระฆงั

- องค์ระฆัง มีการย่อมมุมตลอดถึงฐานชั้นล่างสุดและมีลวดลายปูนปั้นประดับองค์
ระฆงั

- บัวกลมุ่ เหนอื องค์ระฆงั ขน้ึ ไปเปน็ บวั กลมุ่
- ปลียอด อยู่เหนอื บวั กล่มุ

เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองทรงเคร่ืององค์นี้สูงประมาณ 5 เมตร เป็นลักษณะศิลปะ
อยุธยาตอนปลายและรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยเฉพาะศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เช่น พระอุโบสถ
และวิหารในพระบรมมหาราชวังและวัดหลวงสำคัญๆ ในเมืองหลวง ส่วนรายละเอียดของลวดลายต่างๆ
ท้ังหน้าบัน ลายรูปป้ันเป็นการผสมผสานของศิลปะจีนและตะวันตกเพ่ือกลมกลืนเข้ากับลวดลายแบบไทย
เร่อื งรามเกียรต์ทิ ่ีหนา้ บันด้านหลังหรอื ตะวันตก ตลอดจนสัตวป์ ระเภทตุ๊กแกและเตา่ เป็นเรื่องพื้นบ้านหรือ
ทอ้ งถ่ินไทย ดังน้ันจงึ สันนษิ ฐานวา่ พระอโุ บสถ เจดีย์ และกำแพงแกว้ คงอยรู่ ะหว่างสมยั รัชกาลท่ี 3-5 แห่ง
กรุงรัตนโกสนิ ทร์

๕๕

3. วัดศรีเมือง ตั้ง ณ ตำบลนครนายก อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ใกล้
ที่ว่าการอำเภอเมอื งนครนายก เดิมตดิ กบั วัดเกาะ สนั นิษฐานวา่ เป็นวัดในสมัยกรุงศรอี ยุธยาตอนปลาย

ลักษณะที่แสดงถึงสถาปัตยกรรมดีเด่นในปัจจุบัน คือ อาคารหมู่กุฏิเรือนไทย ซึ่งได้
บูรณะปฏิสังขรณ์จากกุฏิเดิม แม้ว่าจะปรับปรุงขึ้นใหม่แต่เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันยังอนุรักษ์สถาปัตยกรรม
เดิมไว้อย่างทรงคุณค่าและงดงาม ท้ังประยุกต์ให้เข้ากับสภาพปัจจุบันอย่างประณีตและเป็นประโยชน์ย่ิง
ปัจจบุ นั ยงั ไม้บรู ณะและปฏิสังขรณเ์ รือนแพทถี่ วายให้กบั วดั ศรเี มือง

4. วัดบางอ้อใน ต้ัง ณ หมู่ 5 (บ้านบางอ้อ) ตำลบางอ้อ อำเภอบ้านนา จังหวัด
นครนายก เป็นวัดเก่าที่สร้างมากว่า 200 ปี กรมศิลปากรได้ศึกษาแล้วจัดให้อยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา-
รัตนโกสินทร์ ส่ิงที่แสดงถึงสถาปัตยกรรมดีเด่นของวัดคือ หมู่กฏิเรือนไทย ทำด้วยไม้มีลักษณะงดงามและ
สมบูรณ์ เรือนไทยแต่ละหลังมีขนาดไม่เท่ากัน มีต้ังแต่ขนาด 3 ห้อง ลักษณะเป็นฝาสายบัว คือฝาไม้
กระดานตีตามแนวต้งั และพับแนวด้วยไม้เส้นเลก็ ทุกรอยต่อของแผ่นฝาด้านล่างมีร่องตีนช้างรองรบั ส่วน
ใหญ่พบในฝาปะกน ส่วนเท้าแขนเป็นไม้ โครงสร้างหลังคามุงกระเบื้องว่าวป้ันลมเป็นไม้ลักษณะเรือนไทย
ยกพ้นื สูง

หมู่กุฏิเรือนไทยน้ีมีอายุประมาณไม่ต่ำกว่า 100 ปี ประกอบด้วยอาคารเรียนไทย 5
หลัง เรือนตรงกลางมีลักษณะพิเศษ คือมีลูกไม้ชายห้อยประดับงดงามมาก ทั้งน้ีกรรรมการที่ดูแลเรื่องร้ือ
หอระฆงั เก่าของวัดอธิบายให้ทราบว่าเรือนไมห้ ลังดังกลา่ วหม่อมราชวงศจ์ รสั อิศรางกูร ณ อยุธยา ได้สรา้ ง
ถวายเพ่ือเป็นโรงเรียนปริยัติ แต่เรือนหลังนี้ปัจจุบันได้ปิดไว้เพราะมีบางส่วนที่ชำรุด ดังน้ันจึงควร
ทะนบุ ำรุง ซ่อมแซมเรอื นหลงั นี้ใหค้ งสภาพดีเหมอื นกฏุ เิ รอื นอ่ืนๆ ต่อไป

อย่างไรกต็ ามวัดบางออ้ ในเป็นวดั ทค่ี วรไดร้ ับการยกย่องอย่างยง่ิ เน่ืองจากเจา้ อาวาส
และคณะกรรมการวัดรู้จักรักษาทะนุบำรุงสถาปัตยกรรมเก่าของวัดมากกว่าการสร้างสถาปัตยกรรมใหม่
กอ่ อฐิ ถอื ปูน ดังเชน่ ทท่ี างวัดไดท้ ะนุบำรงุ หอระฆังเกา่ ใหม้ สี ภาพดดี ังเดมิ ในปัจจบุ ัน

รปู ปั้น อนุสาวรยี ์ เปน็ สิ่งก่อสร้างทางประวตั ศิ าสตร์ที่สร้างขึ้นเพอ่ื เปน็
อนุสรณ์สำหรับบุคคลสำคัญที่ประชาชนเคารพนับถือจังหวัดนครนายกน้ันไม่มีการสร้างอนุสาวรีย์เป็น
ทางการเชน่ จังหวัดอนื่ เป็นเพียงแต่ปูนปั้นเจ้าพ่อขนุ ด่านในศาล ณ เขาชะโงก ภายในบรเิ วณโรงเรยี นนาย
รอ้ ยพระจุลจอมเกล้า อำเภอเมืองนครนายก จงั หวดั นครนายกเทา่ นัน้

ส่วนพระบรมราชานุเสาวรีย์พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว
ในจงั หวดั นครนายก สร้างเนื่องจากมโี รงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าเปน็ สถานศึกษาที่ตงั้ อยู่
ในบริเวณเขาชะโงก จึงมอบให้กองหัตถศิลป กรมศิลปากร (ปัจจุบัน คือ สำนักโบราณคดีและ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร) ปั้นหล่อพระบรมรูปเพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ถึงพระองค์ใน
ฐานะผู้สถาปนาโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ลักษณะพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ เป็นพระบรมรูปหล่อ
โลหะประทับบนพระราชอาสน์ ทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบจอมทัพไทย พระหัตถ์ขวาทรงถือพระคทา
พระหัตถ์ซ้ายทรงกุมพระแสงกระบ่ี ขนาดสองเท่าครง่ึ พระองคจ์ ริง ประดิษฐาน ณ หน้าตึกกองบัญชาการ
โรงเรียนนายรอ้ ยพระจุลจอมเกล้า บรเิ วณเขาชะโงก จงั หวัดนครนายก

5. เจ้าพ่อขุนด่าน เป็นวีรบุรุษที่ป้องกันบ้านเมืองจังหวัดนครนายกให้พ้นภัยจากศัตรู
“ขุนดา่ น” จงึ เปน็ ทีน่ ับถือสกั การะของประชาชนจังหวัดนครนายก

ลักษณะรูปปั้นหล่อด้วยสำริดอิริยาบถน่ังถือดาบแต่งกายเต็มยศ หันหน้าสู่ทิศ
ตะวันออก

๕๖

นอกจากนนั้ ได้สร้างปนู ปัน้ รูปของ กำนันยว้ ย โพธ์ิแดง ทที่ ำความดใี นการจับโจรผู้ร้าย
เป็นลักษณะของข้าราชการที่อุทิศตนเพื่อหน้าท่ีจนเสียชีวิตเป็นท่ียกย่องของจังหวัดในสมัยนั้น สร้างเป็น
ปนู หล่อรูปดอกบัวตัง้ อยู่ศาลากลางจังหวัดนครนายกหลังเดิม แต่ปจั จุบันศาลากลางจังหวัดฯ ย้ายไปตั้งใจ
บริเวณแห่งใหม่ตามที่จังหวัดกำหนดส่วนสัญลักษณ์รูปดอกบัวบรรจุอัฐิของกำนันย้วยนั้นต้ัง ณ บริเวณ
โรงเรียนชมุ ชนบ้านเกาะหวาย อำเภอปากพลี จังหวดั นครนายก

ศิลปหัตถกรรมและงานชา่ งท้องถนิ่ มดี ังนี้

ประติมากรรม หมายถึง งานปั้น งานแกะสลัก และงานหล่อโลหะกรมศิลปากรได้
สำรวจตามโครงการศึกษาวิจัยฯ เมื่อ พ.ศ.2535 ปรากฏว่าในแต่ละท้องถิ่นของจังหวัดนครนายกมีงาน
ศิลปกรรมที่เป็นลักษณะเฉพาะของท้องถ่ิน หรือบางช้ินเป็นศิลปะฝีมือสกุลช่างโบราณท่ีสืบทอดมาจนถึง
ปัจจุบนั ดังตอ่ ไปนี้

1. โบสถว์ ดั ใหญ่ทักขณิ าราม มลี กั ษณะประติมากรรม ปนู ปน้ั และไมแ้ กะสลกั เปน็
ฝีมือช่างพื้นบ้านชาวลางเวียง ซึ่งอพยพมาต้ังถ่ินฐานบ้านเรือนบริเวณหมู่บ้านใหญ่ลาว (บ้านใหญ่) มี
ลกั ษณะประตมิ ากรรมดงั น้ี

- ประตูโบสถ์ดา้ นหน้าตะวันออก มีกรอบประตเู ป็นแบบประตยู อดปราสาท มี
ลายปนู ป้ันรูปดอกไม้และใบเทศประดบั เป็นส่วนใหญ่ ลักษณะดอกไมเ้ ป็นสีขาวคลา้ ยดอกลำดวน แต่ใบไม้
เป็นสีเขียว นอกจากนั้นเป็นลายกระจังประดับเหนือหน้ากระดาน ลักษณะซุ้มประตูทรงมณฑปดังกล่าว
เป็นศิลปะที่นิยมในสมัยรัตนโกสินทร์ระหว่างรัชกาลท่ี 1 ถึง 5 เช่น พระอุโบสถวัดพระแก้ว วัดมหาธาตุ
วัดราชบุรณะ วัดราชประดิษฐ์ (กรมศิลปากร : 2525) ลักษณะลายใบไม้และดอกไม้เทศน้ันขรัวอินโข่ง
จติ รกรเอกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัว (รัชกาลที่ 4) นิยมเขยี นเป็นอย่างมาก (น. ณ
ปากนำ้ : 2528)

- บานประตู มี 2 บานลกั ษณะเปน็ ไมแกะสลัก ภายในกรอบดา้ นขวาเปน็ รูป
บุคคล (ยักษ์) ยืนถือกระบองชูข้ึนและเท้าบั้นเอว ด้านล่างเป็นรูปบุคคลยืนถือหรืออุ้มรูปวงกลม (อาจจะ
เป็นโลก) ส่วนบนด้านซ้าย ด้านบนเป็นรูปครุฑยุดนาค ด้านล่างเป็นรูปบุคคลคล้ายยักษ์จับนาคอยู่
เชน่ เดยี วกัน พ้ืนบานประตตู ดิ กระจกสีขาวและสนี ำ้ เงนิ

- หนา้ บัน เป็นไมแ้ กะสลักรปู เทพนมอยู่บนรูปบคุ คล (ยักษ์) แบก ท่ามกลาง
ลวดลายก้านขด

- ช่อฟา้ ใบระกา หางหงส์ และนาค เป็นไมแ้ กะสลัก
- หน้าอดุ ปีกนก เปน็ ไมแ้ กะสลักรูปกวางท่ามกลางลวดลายก้านขด
- สาหร่าย หรอื รวงผึง้ เปน็ ไม้แกะสลกั รูปดอกไมแ้ ละใบไม้และลายกา้ นขด
- คนั ทวย เป็นไม้แกะสลกั รูปพญานาคห้อยหวั ลงมารบั ยนั กับผนงั ดา้ นข้างและ
เสาส่วนปลายงอรับคานท่ีส่วนเชิงชายด้านละ 5 แห่ง ส่วนหัวและหางนาคแกะสลักพร้อมติดกระจกสี
นำ้ เงนิ ซง่ึ หลุดออกไปแลว้ เปน็ ส่วนใหญ่ โดยทาสีแดงท่ีเส้นและขอบของลำตัวนาค
- กรอบหน้าตา่ ง ลกั ษณะเป็นลวดลายปูนปนั้ ส่วนซุ้มเลียนแบบหนา้ บันลด 2 ชั้น
ภายในเป็นลายรูปดอกไม้และใบเทศ ลักษณะดอกไม้คล้ายดอกพุดตานทำหน้าที่ส่วนหน้ากระดาน
ตอ่ เน่ืองกนั ส่วนบนและล่างหน้ากระดานเปน็ รูปใบพุดตามหรอื ใบฝ้าย ด้านบนและล่างของกรอบเป็นลาย
ใบเทศซ้อนกนั 2 ใบ

๕๗

ด้านล่างรองรับด้วยกลุ่มลายดอกและใบเทศ (พุดตาน) ขนาดใหญ่ต่อเนื่องกัน
เลียนแบบลายไทย สว่ นพ้ืนของลายปูนป้ันทาสนี ำ้ เงนิ กรอบทาสีแดง

- หน้าต่าง เปน็ ไม้มลี ายรดน้ำ แต่สว่ นกรอบหลดุ ออกไปแล้ว กรอบหนา้ ท่มี ลี าย
ปูนป้ันและหน้าต่างไม้อยู่ในสภาพที่ชำรุดท้ังผนังด้านขวาและด้านซ้าย หน้าต่างท่ีผนังด้านซ้ายยังมีลายลง
รกั ปดิ ทองอยู่บา้ ง

ส่วนผนังด้านข้างของกรอบประตูและประตูท้ังสองด้าน ซุ้มกรอบประตูลักษณะ
เป็นลาดปูนป้ันแบบหน้าบันซ้อนกัน 2 ช้ันเช่นเดียวกับหน้าต่าง เสาประดับกรอบประตู มีลายใบเทศท่ี
ส่วนบนและล่างของหัวเสา กลางเสามีลายดอกประจำยามหรือดอกไม้เทศเช่นเดียวกับลายดอกที่พบ
บรเิ วณกรอบหนา้ ต่าง ส่วนหน้ากระดานใตก้ รอบซุม้ ประตเู ป็นลายปนู ปั้นดอกพุดตานเช่นเดยี วกัน ด้านล่าง
กรอบประตูมีบันไดกอ่ อิฐถอื ปูนรบั 3 ข้ัน แตไ่ มม่ ีแข้งสงิ หเ์ ชน่ เดยี วกบั ท่ีพบใต้กรอบหน้าต่าง

- มุขด้านหน้าโบสถ์ ส่วนผนังด้านนอกของมุขทงั้ สองดา้ นมลี วดลายปนู ปัน้
เลียนแบบกระเบ้ืองปรุ ซ่ึงนิยมกันมากในสมัยรัตนโกสินทร์ แต่ลวดลายที่น่ีกลับใช้ปูนปั้นตกแต่งแทนลาย
บริเวณส่วนกลางเลียนแบบลายเพดาน ภายในกรอบคล้ายใบเทศลาย ส่วนกรอบคล้ายลายเกลียวโดม มี
ดอกประจำยามหรือดอกสกี่ ลบี แทรกกลางปิดหวั และท้ายกรอบ พ้นื ลายทาสนี ้ำเงิน ตัวลายทาสเี ขยี ว

ผนังด้านซ้ายของมุขเป็นลายปูนป้ันแบบเดียวกับด้านขวา แต่ส่วนกรอบลายใช้
ลายเกลียวกาบกนก ตรงกลางมีดอกประจำยาม ตัวลายทาสเี ขยี ว พน้ื ทาสีนำ้ เงิน

- หนา้ บ้านด้านหลงั สว่ นบนเป็นลายปนู ป้นั แบบลายกา้ นขดและมลี ายชอ่ เปน็
จุดๆ โดยเฉพาะส่วนล่างสอดแทรกลายใบเทศอย่างได้สัดส่วน ค้ันด้วยลายแกะสลักไม้เป็นรูปลายกระจัง
แถวบน แถวล่างคล้ายใบเทศ พน้ื ของลวดลายตดิ กระจกสนี ำ้ เงิน หน้าบันตอนล่างเป็นลายปูนปนั้ รูปบุคคล
ตอ่ สกู้ ัน มีลิง ยักษ์ และกษัตริย์ ภาพตรงกลางเป็นสตรเี พศแสดงเร่ืองรามเกียรติ์ตอนท่ีพระรามต่อสกู้ ับทศ
กณั ฑเ์ พือ่ ชงิ นางสีดา กลมุ่ บคุ คลทาสแี ดงพน้ื สีขาว

- สว่ นหนา้ อดุ ปีกนก เปน็ ลายรปู ดอกไม้ทง้ั สองด้าน ทาสแี ดงที่ดอก ใบสเี ขยี ว
บนหน้ากระดานใต้ภาพเป็นลายรปู กระจังสีขาวติดกระจกสีน้ำเงิน หน้ากระดานเปน็ ลายรูปก้ามปูด้านล่าง
เป็นลายคล้ายใบเทศต่อเน่ืองกันสีขาวติดกระจกสีน้ำเงิน ส่วนล่างเป็นรูปตุ๊กแตอยู่ตรงกลางและด้านซ้าย
สว่ นด้านขวาเปน็ ต๊กุ แกและเต่า

2. โบสถ์วดั อัมพวนั เปน็ ฝมี ือของช่างจากวัดระฆงั โฆสิตารามวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ
หม่อมราชวงศ์จรัส อิศรางกูร ณ อยุธยา ร่วมก่อสร้างกับชาวบางอ้อและหลวงปู่จันทร์ โดยวางศิลาฤกษ์
เมอ่ื พ.ศ.2458 และสร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ.2466

ประติมากรรมของโบสถ์วดั อมั พวนั มลี กั ษณะงดงามดงั น้ี
- หน้าบนั ของมขุ ดา้ นหนา้ (ตะวันออก) เป็นไม้แกะสลกั ลวดลายรปู ดอกบวั ตมู
ต่อเน่ืองกันในกรอบสามเหล่ียมซ้อนกัน 3 ช้ัน กรอบสามเหลี่ยมตรงกลางแกะสลักเป็นรูปมณฑปยอด
ปรางค์ มีรูปบุคคลอยู่ตรงกลางขนาบด้วยอาคารขนาดเล็กเลียนแบบพระอุโบสถท้ังสองด้านมีลายดอกบัว
บาน 6 ดอกแวดล้อมกลุ่มอาคาร มีร่องรอยประกับกระจกลายแกะไม้ในกรอบหน้าบัน ด้านหลังเป็นลาย
ลูกฟกั ก้ามปเู ปลว และลายใบเทศตอ่ เนอื่ งด้านลา่ งอกี ช้ันหน่งึ
- รวงผึ้ง เปน็ ลายแกะสลักไม้ในกรอบสามเหลีย่ ม 3 แถว
- สาหร่าย ลายแกะสลกั ไม้เปน็ รปู พญานาคลงตามเสามุขท้ัง 2 ดา้ น
- หนา้ อุดปกี นก ลายแกะไม้เป็นรปู เทพนมครึง่ ตัว กลมุ่ ลายกา้ นขดทัง้ 2 ดา้ น

๕๘

พ้นื ประดับกระจกสขี าวซึ่งเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย
- เสามุข ก่ออิฐถอื ปูนเป็นสามเหลี่ยม รับเครอ่ื งบนหลังคา 2 ต้น และเชิงชาย 2

ตน้ ลกั ษณะหัวเสาเปน็ บัวแวงมกี ารทาสแี ดง เสารบั มุขดา้ นตะวนั ออกและตะวันตกมดี า้ นละ 4 ต้น
- หน้าบันส่วนบน หรือส่วนขนของหลังคาช้ันท่ี 1 ท้ังด้านตะวันตกและด้าน

ตระวนั ออกเป็นไม้แกะสลกั สว่ นชอ่ ฟา้ ใบระกา หางหงส์ทำจากไม้
- กรอบประตู ด้านตะวันออกเป็นลวดลายปูนป้ันทั้งด้านซ้ายและด้านขวาทำ

เลยี นแบบเคร่ืองบนหลงั คา ตรงกลางบ้านบนั เป็นเทพนมครึง่ ตัว ทาสเี หลืองและตัดขอบด้วยสีแดงและสนี ้ำ
เงิน เทพนมอยู่ในกลุม่ ลายนกซ่ึงทาสีดำ ด้านบนหน้าบันเป็นยอดทรงปราสาททาสีแดง เหลือง และน้ำเงิน
ลักษณะกรอบประตูด้านข้างมี 2 ช้ัน หัวเสาเป็นลายใบเทศ ทั้งด้านบนและด้านล่างกรอบประตูตกแต่ง
ลายดอกไม้คล้ายดอกพดุ ตานสนี ้ำเงิน กลบี ดอกสีเหลอื ง และลายเกลียวใบเทศทาสแี ดงจำนวน 2 แถว

- ประตู เป็นไม้แบบบานคูจ่ ำนวน 2 ประตู ด้านขวาและซ้ายบานประตทู ้งั สองดา้ น
และสลักเปน็ รูปเทวดายืนถือพระขรรค์อยู่บนพญานาค และมีฐานแบบแขง้ สิงห์รองรับอีกชั้นหน่ึง ลักษณะ
ของทวารบาลมีการลงรักปิดทองเชน่ เดียวกัน ส่วนพ้ืนตดิ กระจกสีขาว ยกเวน้ กลุ่มดอกไม้ด้านประตขู วาติด
กระจกสีเหลือง ลักษณะกระจกส่วนใหญ่เป็นกระจกรูปส่ีเหล่ียมผืนผ้าขนาด 2x3 เซนติเมตร ตรงกลาง
ดา้ นบนและด้านลา่ งของอกเลาแกะสลกั เป็นรูปดอกไม้ติดกระจก กระจกท่ีเป็นพืน้ ที่ของลายส่วนใหญ่หลุด
เกอื บหมด ตรงฐานสงิ หท์ ร่ี องรับนาคแกะสลักบอกระยะเวลาการสร้างไวท้ งั้ สองด้าน คือ “พระพุทธศักราช
2466” และ “รตั นโกสินทร์ 142”

- กรอบประตูด้านหลัง(ทิศตะวันตก) ลักษณะเป็นลายปูนป้ันทั้งสองด้านเหมือนกับ
ดา้ นตะวันออก ประตไู ม้ท้ังสองด้านแกะสลักเป็นรปู บคุ คล เปน็ รปู เทวดายืนถอื พระขรรค์หันหนา้ เข้าหากัน
ยืนอยู่บนพญานาค ด้านล่างเป็นฐานแข้งสิงห์รองรับอีกชั้นหน่ึงลงรักปิดทอง ส่วนพ้ืนดินติดกระจกสีขาว
ด้านบนเป็นกลุ่มลายดอกไม้ลงรกั ปิดทอง ตรงกลางดอกไม้ติดกระจกสีแดงพื้นติดกระจกสีเหลอื งและสีขาว
ท่ีพ้ืนแข้งสิงห์และสลักช่ือผู้สร้างโบสถ์ คือ “นายวอน นางแม้น มหาทรัพย์” (บุตรเขยและบุตรสาวของ
ผสู้ รา้ งโบสถ์) และผู้อุทิศที่ดินสร้างโบสถ์ตลอดจนจัดสรรช่างในการก่อสรา้ งคือ “หลวงนา ขนุ วารี” (หลวง
นาเปน็ พขี่ องขุนวาร)ี ส่วนประตูด้านขวาแกะสลักเปน็ รูปเทวดาเชน่ เดยี วกัน พ้ืนตดิ กระจกสีขาว

- กรอบหน้าต่าง ซุ้มกรอบหน้าต่างลักษณะเป็นลายปูนปั้น ทำเลียนแบบ ซุ้ม
หน้าตา่ งยอดปราสาท หรอื ยอดมงกฎุ ที่ปรากฏในสมัยรตั นโกสินทรต์ อนต้นเปน็ รูปวงโคง้ ซึ่งส่วนยอดเกือบ
ถึงเพดาน เชิงชายและสว่ นล่างถึงฐานพระอุโบสถ ส่วนยอดเป็นลายปูนปั้นเทพนมครง่ึ ตัวลักษณะผุดขึน้ มา
จากกลุ่มลายใบไม้ ภายในซุ้มส่วนใหญ่เป็นลายคล้ายก้านเขต มีลักษณะคล้ายใบไม้ขดส่วนกรอบวงโค้งใน
เป็นลายหน้าสัตว์คล้ายสิงโตในวงรูปไข่อยู่ท่ามกลางใบไม้ขนดเป็นลักษณะแบบตะวันตก แสดงถึงการ
ผสมผสานกนั อย่างกลมกลนื ระหว่างลวดลายแบบไทยและตะวนั ตก

ด้านล่างกรอบหน้าต่างเป็นลายปูนป้ันรูปหนุมานหรือลิงแบกในกรอบสี่เหล่ียม
ภายในกรอบด้านบนเป็นลายประจำยามรูปดอกบัว กรอบข้างเป็นลายรูปดอกและใบบัวในกระถางทงั้ สอง
ดา้ น ดา้ นในเป็นลายกลมุ่ ดอกไมข้ นาดตวั หนมุ านหรือลงิ แบก

ลักษณะลายปูนปั้นดังกล่าวอยู่ท่ีซุ้มกรอบหน้าต่างที่ฝาผนังด้านข้างท้ังสองด้าน
ด้านละ 4 แห่ง ถัดจากซ้มุ ท่ี 4 มเี ฉพาะลายรปู หนุมานแบกในกรอบ ขนาดซุ้มกว้าง 1.30 เมตร สงู 2.35
เมตร

หน้าต่าง เป็นไม้ไม่มกี ารแกะสลักลวดลาย

๕๙

เพดานภายในอุโบสถ มีดาวเพดานลงรักปิดทองและติดกระจกสีขาว สีน้ำเงิน สี
เหลือง และคา้ งคาว มีมมุ เพดานลงรักปดิ ทองติดกระจกสีขาว ส่วนผนังภายในไม่มีภาพจิตรกรรม

พระประธาน เปน็ พระพทุ ธรูปปางมารวิชยั และศิลปะรตั นโกสนิ ทร์
กระเบื้องปูพ้ืน ท้ังภายในและนอกพระอุโบสถทำจากแม่พิมพ์โดยใช้ต่อกัน 4
แผน่ เป็นลักษณะลายคลา้ ยกระเบ้อื งปรุ (เพือ่ ติดผนัง)
เป็นที่สังเกตว่าชาวนครนายกตระหนักถึงคุณค่าของประติมากรรมของโบส ถ์วัด
ใหญ่ทักขิณาราม และวัดอมั พวนั จึงไดศ้ ึกษาและอนุรกั ษไ์ วใ้ หเ้ ป็นมรดกสืบทอดต่อไป
จิตรกรรม เป็นศิลปะการวาดรูประบายสีในรูปลักษณ์ของจิตรกรรมฝาผนัง
ตามศาสนสถาน จิตรกรรมในสมุดไทยและภาพพระกบฏ ในจังหวัดนครนายกมีจิตรกรรมท่ีงดงาม
ดงั ตอ่ ไปน้ี
3. ภาพเขยี นสที ี่เพลงิ ผาเขาคอก ในวดั เขาคอก ณ ตำบลบา้ นพร้าว อำเภอเมืองฯ
จงั หวัดนครนายก ที่เป็นเส้นทางไปโรงเรียนนายรอ้ ยพระจุลจอมเกล้าและโรงเรียนเตรยี มทหารภาพเขียนน้ี
อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลราว 100 เมตร กรมศิลปากรได้สำรวจเมื่อ พ.ศ.2435ระบุว่าลักษณะเขียนสีอยู่
ระหว่างสมัยอยุธยาซ่ึงนิยมใช้สีขาว แดงและดำ เปน็ ภาพมองด้านเดยี ว มีภาพเขียนสมัยประวัติศาสตร์บน
เชิงผาปรากฏจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นภาพสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ภาพเขียนสมัยประวัติศาสตร์จะ
ปรากฏบนผนังของโบราณสถาน
กล่มุ ภาพเขียนสที เี่ พงิ ผาเขาคอก ประกอบดว้ ย
กลุ่มภาพท่ี 1 ภาพพระพุทธรูปประทับยืนลักษณะอุ้มบาตร พระเศียรมีรศั มี คือ เขียนสี
น้ำเงินตัดเส้นสีขาวและสีแดง องค์พระพุทธรูปเป็นสีขาว พระศกเป็นสีดำ ลักษณะสีแสดงถึงการเขียนทับ
ภาพเดิมเพม่ิ เตมิ บาตร ส่วนลักษณะสีที่เขียนภาพเทวดา หรือเทพ ดา้ นบนซา้ ยแสดงให้เห็นสเี ดิม คอื ลงพื้น
ด้วยสีขาว ตัดเส้นด้วยสีแดงและดำในส่วนของเครื่องแต่งกายและเคร่ืองประดับ ดังนั้นการใช้สีน้ำเงินจึง
เพมิ่ เขา้ มาในสมยั หลงั
กรมศิลปากรได้สัมภาษณ์ นายสนั่น คงอาษา ชาวบ้าน เรื่องการต่อเติมส่วนอื่นๆ เมื่อตั้ง
“วัดเขาคอก” นั้นภาพเดิมคงจะเป็นพระพุทธรูปประทับยืนปางเสด็จลงจากดาวดึงส์มีหมู่เทพและเทวดา
เขา้ เฝ้า เขยี นภาพด้วยสีขาวแลว้ ตัดเส้นด้วยสดี ำและแดง
กลุ่มภาพท่ี 2 เป็นภาพบุคคลยืนและนั่ง ด้านซ้ายของภาพถูกต่อเติมเป็นรูปพุทธสาวก
ซึง่ อุ้มบาตร ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ปรากฏเป็นภาพสลักลอยตัว หรือภาพสลักนูนต่ำบนผนังถ้ำใน
ระหว่างสมัยทวารวดี เช่น ถ้ำพระงาม จังหวัดลพบุรี และภาพลายนูนนั้นเป็นสมัยสุโขทัย ณ วัดตระพัง
ทองหลาง จงั หวัดสุโขทัย เป็นต้น ไม่ปรากฏมีการอมุ้ บาตร
กลุ่มภาพท่ี 3 เป็นภาพบุคคลกำลังเหาะในอากาศอยู่ระดับพระเศียร ท้ังด้านขวาและ
ด้านซ้ายของภาพพระพุทธองคแ์ ต่งเติมสีแดงและสีน้ำเงินเข้าไปในภาพเดิม ลกั ษณะภาพเดิมคงเขยี นดว้ ยสี
ขาวตัดเส้นด้วยสีแดงและดำ แล้วต่อเติมที่พ้ืนด้านขวาเดิมเป็นหลุมลึก 1.40 เมตร เป็นลักษณะพื้นเดิม
ของลาน บริเวณด้านหน้ารูปเขียนสีบนผนังเชิงผา ดังน้ันพื้นบริเวณดังกล่าวจึงถูกถมด้วยหินแล้วเท
คอนกรีตทับ
กลุ่มภาพเขียนสีท่ีเพิงเขาคอกนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาก แต่น่าเสียดายท่ีต่อ
เตมิ ผิดไปจากหลักฐานเดมิ

๖๐

4. แหลง่ ภาพเขียนสีเขาชะโงก (วดั พระฉาย) ต้งั ทบ่ี า้ นเขาชะโงก ตำบลพรหมณี
อำเภอเมืองนครนายก จงั หวัดนครนายก อยูใ่ นเขตวัดพระฉาย

ลกั ษณะของภาพเขียนนั้นสีเดิมคงใกล้เคียงและอยู่ในรุ่นเดียวกับภาพเขียนสีเขาคอก
(อยู่ตรงข้ามกับภาพเขียนของเขาชะโงก) แต่เมื่อประมาณ พ.ศ.2541 กรมทหารช่างท่ีต้ังในบริเวณเขา
ชะโงกได้เขียนทบั ใหม่ ปจั จบุ ันวดั พระฉายไดก้ ่อสร้างอาคารคลุมไว้

5. ภาพจติ รกรรมบนผนังวหิ ารวัดโบสถ์การอ้ ง ต้ังทีต่ ำบลทา่ ช้าง อำเภอเมอื ง
นครนายก จังหวัดนครนายก ลักษณะภาพเขียนด้วยสีน้ำตาล เขียว แดง ดำ เป็นรูปบุคคลในสมัย
รัตนโกสินทร์แสดงวิถีชวี ิตความเป็นอยใู่ นสมยั น้ัน ภาพดังกล่าวเขียนรอกผนังด้านบนของวหิ าร แตไ่ ม่ได้รับ
การดูแลเท่าที่ควร ภาพจึงลบเลือนไปเนื่องจากไม่ได้ซ่อมแซมวิหารท่ีชำรุดทรุดโทรม ทำให้น้ำฝนและ
ธรรมชาติแวดลอ้ มทำลายภาพดงั กล่าว

6. ภาพจิตรกรรมบนผนงั โบสถ์วดั แกว้ ตา ณ ตำบลนครนายก อำเภอเมืองนครนายก
จังหวัดนครนายก อยู่ในบริเวณวัดอุดมธานี ปัจจุบันภาพจิตรกรรมดังกล่าวอยู่ในสภาพพังทลายและทรุด
โทรมมาก มีร่องรอยของภาพและสีบริเวณโบสถ์ด้านทิศตะวันออก เป็นภาพลายดอกไม้ และลายประจำ
ยามขนาดใหญ่ สีที่ปรากฏเด่นชัดคือสีน้ำเงิน สันนิษฐานว่าเป็นภาพท่ีเขียนพร้อมกับการีสร้างโบสถ์วัด
แก้วตาซ่ึงเป็นวัดท่ีสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา ปัจจุบันไม่มีหลักฐานใดปรากฏแล้วนอกจากสภาพโบสถ์
เพราะไดร้ วมกบั วัดอดุ มธานี

7. พระบฏวัดองครักษ์ ณ ตำบลองครกั ษ์ อำเภอองครักษ์ จังหวดั นครนายก เป็น
ภาพจิตรกรรมที่ได้รับการเก็บรักษาอย่างดีจากเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน เป็นภาพเรื่องราวเกี่ยวกับมหา
เวสสันดรชาดกครบทั้ง 13 ภาพ ลักษณะเป็นภาพเขียนสีบนผืนผ้าโทนสีเนื้ออมส้มตัดเส้นด้วยสีดำ
ดา้ นหลงั ภาพแต่ละภาพเขียนราคาและชอ่ื ผู้เชา่ ถวาย

นอกจากน้ันยงั มีภาพบนตูล้ ายรดน้ำท่ีน่าสนใจอีกหลายวัดท่ีควรอนุรักษ์และศึกษาไวเ้ พื่อ
มรดกทางศิลปกรรมสบื ไป

เครอ่ื งจักสาน เครอ่ื งถม และเครอ่ื งปัน้ ดินเผา

จงั หวัดนครนายกมีงานหตั ถกรรมพน้ื บ้านเหมือนกบั ภาคกลางทัว่ ไป คอื ชาวบา้ นจกั สาน
กระบุง ตะกร้า กระจาด กระชอน ตะข้อง ลอบ ไซตะแกรง กระด้งด้วยไม้ไผ่ไว้ใช้เอง แตผ่ ู้มีฝีมืออาจนำไป
ขาย อาทิ นายน้อย วรทัตเป็นผู้มีความสามารถในการสานและประดิษฐ์ลายกระด้งมีลวดลายพิเศษและ
สวยงามแต่ไม่มีจำหน่าย ในอำเภอเมืองนครนายกและอำเภอปากพลีมีการประดิษฐ์ไม้กวาดเป็นงาน
หตั ถกรรมท่ขี ึ้นช่อื ของจังหวัดนครนายก เพราะมคี วามประณตี ทนทาน สว่ นอำเภอองครักษ์มีการทดเส่ือกก
เพราะเป็นท้องที่ที่กกมาก เหมาะสมกับงานหัตถกรรม นอกจากนั้นยังมีงานจักสานท่ีแปลกและควร
สง่ เสริมคือ การสานสมุกด้วยใบลาน ซึ่งนางล้วน รักสนิท ชาวบ้านตำบลศีรษะกระบือ อำเภอองครักษ์ ได้
ประดิษฐ์ข้ึนจากสมุกลายเรียบที่ซ้ือมา เป็นสมุกลายหนามทุเรียนที่สามารถดัดแปลงเป็นเช่ียนหมากได้
ปจั จุบันแม้ว่านางลว้ น รักสนิทจะถึงแก่กรรมแล้ว แต่มผี ู้สืบทอดคือนางเนาวรตั น์ หิรัญพรรณ (ข้าราชการ
บำนาญ) ได้ดดั แปลงสมุกเป็นของใช้อืน่ ได้ เช่น กระเป๋าถือ แตไ่ ม่ไดเ้ ผยแพร่กวา้ งขวางพอท่ีจะส่งเสรมิ เป็น
เอกลักษณข์ องจังหวัดนครนายก

สว่ นการทำเคร่ืองถมและเครื่องป้ันดินเผาไม่มีในจงั หวัดนครนายก ทั้งไมป่ รากฏ
วา่ มีชาวบ้านทำเชน่ กัน มีเพยี งแหลง่ ดินขาวทีค่ ณุ ภาพดเี หมาะสมแกก่ ารทำเครื่องปั้นดนิ เผาเทา่ น้นั

๖๑

ภาษาและวรรณกรรม

1. ภาษา เปน็ สือ่ แหง่ ความเข้าใจของมนษุ ย์ทีใ่ ช้ตดิ ตอ่ กันในสังคม มีบทบาทสำคัญ
และมีความสัมพนั ธก์ ับพฤตกิ รรมของมนษุ ยท์ กุ ด้านทั้งจติ วิทยา มานษุ ยวทิ ยา สังคมวิทยา ฯลฯ โดยเฉพาะ
ในสังคมย่อมมีการปะปนกันทางเชื้อชาติ ภาษา ซึ่งบางกลุ่มชนอาจพูดภาษาต่างกัน แม่จะเป็นภาษา
เดยี วกันแตส่ ำนวนสำเนียงอาจผดิ เพยี้ นกันไป ชมุ ชนทีพ่ ูดภาษาต่างตระกลู ยอ่ มมีลกั ษณะทางภาษาตา่ งกัน
แม้โยกยา้ ยไปอยูต่ า่ งถิ่นย่อมนำภาษาและวัฒนธรรมของตนไปด้วย แต่สภาพภูมิศาสตร์และสภาพแวดล้อม
มีแนวโน้มทำให้ภาษาท่ีสืบทอดมาจากภาษาเดียวกันเปลี่ยนแปลงไป ถ้อยคำภาษาอาจเปล่ียนไปจากเดิม
แตภ่ าษายงั คงเป็นส่ิงที่แสดงถึงความสัมพันธต์ ่อกัน เปน็ สัญลักษณ์ท่ีอาจสืบสาวไปถึงความสมั พนั ธ์ของเช้ือ
ชาติที่อยู่ต่างถ่ินกันเป็นปัจจุบันในการสืบทอดวัฒนธรรมอ่ืนไว้ ภาษาจึงเป็นวัฒนธรรมส่วนหน่ึงท่ีควรแก่
การอนุรักษ์สืบตอ่ ไป

จงั หวัดนครนายกมีประชาชนหลายกลุ่มชน ปัจจบุ ันทกุ กลุ่มชนใช้ภาษาไทยเปน็ เครอื่ งมือ
สื่อสารกันในสังคม มีเพียงบางกลุ่มชนที่ยังใช้ภาษาท้องถ่ินของตน เช่น ไทยพวนส่วนมากอาศัยในอำเภอ
ปากพลี คงใช้ภาษาพูดสื่อสารกันเอง ส่วนภาษาเขียนใช้อักษรไทยน้อยและอักษรธรรม อีสาน ซ่ึงพบใน
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ชลลดา สังวาลทรัพย์, 2534) เดิมชาวพวนใช้อักษรไทยน้อยจาร (เขียน)
นิทานพ้ืนบ้านในใบลานเพ่ือใช้อ่านในพิธีทางศาสนาและความเชื่อของตน ได้แก่ นิทานเร่ือง “กาละเกด”
“จำปาส่ีต้น” “จันทบัดโชติ” เป็นต้น ส่วนอักษรธรรมใช้จาร (เขียน) หนังสือธรรมะโดยตรงเพ่ือใช้ในการ
เทศนาตามงานบญุ สำคัญๆ

ทอี่ ำเภอองครักษ์มีไทยมสุ ลิมอาศยั อยู่จำนวนมาก ซ่งึ ในชีวิตประจำวันใช้ภาษาไทย แตใ่ น
พิธกี รรมศาสนาใชภ้ าษาอาหรับโดยมโี รงเรยี นปอเนาะสอนภาษาอาหรบั ในแกเ่ ยาวชน

นอกจากนั้นในกลุ่มลาวเวียงท่ีอพยพมาจากเวียงจันทร์ได้กระจัดกระจายอยู่ในอำเภอ
เมืองนครนายก อำเภอปากพลี และอำเภอบา้ นนา ซ่งึ ในแต่ละกลุ่มยังใชภ้ าษาถ่ินอยู่บ้าง

ส่วนการใช้ภาษาไทยในท้องถ่ินต่างๆ นั้นมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปตามท้องถ่ินบ้าง
เชน่ ในเรอื่ งของเสียงและถ้อยคำทใี่ ช้เป็นลกั ษณะเฉพาะของถ่ินน้นั

ตวั อย่าง ภาษาถ่ินหม่บู ้านบางคะยอ อำเภอองครกั ษ์
อ๋ัน = อ้วน
เทครัว = ผลไม้แก่แลว้ หล่นลงมา
ขอน = ฝอยข้าวโพดม้วนเป็นกอ้ น (ลักษณะนาม)
ส้ม = มะขามเปียก
ย่าน = ทอ้ งถนิ่
ตสี ิบสอง = เทยี่ ง
ตกี ุ้ง = จับกงุ้
คร่งึ พระนคร = คร่งึ คน
นำ้ เพย้ี ราด = น้ำปลา นำ้ ตาลเค่ียวราดบนอาหาร
(สัมภาษณ์นางชะลอ ศรีศริ ิ, 10 ตลุ าคม 2541)

ตวั อย่าง ภาษาถนิ่ ลาว พวน
ไทย ลาว พวน

๖๒

ชะอม ผกั ขา ผกั เนา่

ฝรั่ง สดี า หมะโอย่

นอ้ ยหน่า บักเขยี บ หมะเขียบ

จิง้ จก จ้กิ เจยี้ ม จี่เจยี้ ม

พี่ อา้ ย เออ้ื ย อ้าย อ๊าย

พอ่ ผ่อ พอ

ฝาชี ฝาซี ฝาซี

ขนนุ หมกั หมากมี้

ตะไคร้ ตะไค่ ขงิ เคอ

เสอื่ สาด สาด

ถ่วั ลิสง ถั่วดิน(ป่าขะ) ถัว่ ฮอ้

รกั ฮกั ฮกั

เรอื น เฮือ้ น เฮือน

2. จารึก หมายถึง การบนั ทกึ ลายลักษณอ์ ักษรบนวัสดถุ าวร เช่น ศลิ า แผน่ โลหะ

แผ่นอิฐ ฯลฯ จารึกน้ันเป็นกุญแจสำคัญที่ไขไปสู่ความกระจ่างของประวัติศาสตร์ รวมถึงเป็นสิ่งยืนยัน

ความสำคัญในอดีตของชุมชนน้ัน จารึกช้ินแรกท่ีพบในจังหวัดนครนายก คือ จารึกเมืองโบราณดงละคร

ซึ่งนายอาณัติ บำรุงวงศ์ นักโบราณคดี 6 แห่งสำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติท่ี 4 จังหวัด

ปราจีนบุรี เป็นผู้ขุดค้นทางโบราณคดี ณ อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก เม่ือเดือนพฤษภาคม

พ.ศ.2540

จารึกอยดู่ า้ นนอกบนเศษภาชนะดินเผา เปน็ ชนิ้ สว่ นของปากภาชนะทท่ี ำด้วยความ

ประณีตเนื้อละเอียด ผิวขัดมันสีดำอย่างดี อาจารย์อัญชนา จิตสุทธิญาณ และผู้ช่วยศาสตราจารย์

กรรณิการ์ วิมลเกษม แห่งภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร อ่านจารึก

ดังกล่าวแล้วทราบว่าจารึกด้วยอักษรปัลลวะ ภาษาบาลี ลักษณะตัวอักษรกำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธ

ศตวรรษที่ 12-13 ตรงกับสมัยวัฒนธรรมทวารวดี ข้อความเป็นส่วนหน่ึงของคาถาเยธัมมาฯ เรียกกัน

โดยท่วั ไปว่า “คาถาหวั ใจพระพุทธศาสนา” เปน็ หลักธรรมในพระพุทธศาสนาอย่างย่อท่ีพระอัสสชิกล่าวให้

พระสารีบุตรผู้ประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในสำนักสัญชัยปริพาชก เมื่อพระสารีบุตรได้ฟังแล้วดวงตาก็เห็น

ธรรม จึงได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพ่ือขอบวชในพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาได้เป็นอัครสาวกเบ้ืองขวา

ของพระพทุ ธเจา้

3. ตำนาน เปน็ วรรณกรรมลายลกั ษณ์ชนดิ ท่ีเปน็ เรอ่ื งเล่าสืบตอ่ กันมาชา้ นาน

มีเน้ือหาเกี่ยวกับอิทธิปาฏิหาริย์ของบรรพบุรุษ อธิบายท่ีมาของสิ่งต่างๆ สถานท่ีที่คนในสมัยก่อนยงั เขา้ ไม่

ใจ เปน็ ตำนานประจำท้องถนิ่ ที่เกยี่ วข้องกบั ปรากฏการณธ์ รรมชาติ บุคคล และเทพนยิ าย ฯลฯ

จังหวัดนครนายกมีตำนานเกี่ยวกับวรี บุรุษ บุคคล สถานท่ีอยู่หลายตำนาน ซึ่งได้

จากการศึกษาวิจัยโบราณคดีและประวัติศาสตร์เมืองนครนายกตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระเทพ

รตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ปัจจบุ ันยังคงเล่ากันในแวดวงคนอายุ 50 ปีขน้ึ ไป มีลักษณะเป็นแบบ

ฉบบั ผูเ้ ลา่ แตล่ ะท้องถน่ิ อาจมรี ายละเอียดทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป ดังตัวอย่างตอ่ ไปน้ี

- ตำนานศาลเจ้าพอ่ ขุนดา่ น (อำเภอเมอื งนครนายก) “ขนุ ด่าน” เปน็ ช่ือ

๖๓

ตำแหน่งนามจริงของขุนด่าน คือ หาญ เป็นบุตรชายของขุนพิจิตรไพรสณฑ์ (โรงเรียนนายร้อยพระ
จุลจอมเกล้า, 2536:113)ในสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา แผ่นดินไทยขณะน้ัน
ตกอยู่ในอำนาจของพม่า หัวเมืองทุกแห่งต่างเดือดร้อนไปท่ัวทุกหย่อมหญ้า ทางการจึงจัดให้ขุนพิจิตรไพร
สณฑ์หัวหน้าหมู่บ้านทางทิศตะวันตกของแขวงเมืองนครนายกเป็นหัวหน้ามีหน้าท่ีคอยตรวจตราช ายเขต
แขวงเมืองนครนายกติดกับแขวงเมืองปราจีนบุรี ที่ชาวเขมรส่วนใหญ่ลอบเข้าไปลักเสบียงและคอยลอบ
รังแกคนไทยตลอดเวลา เม่ือพม่าบุกไทย หัวหน้าที่ชาวบ้านเรียกว่าขุนด่านจะใช้ม้าเร็วรับส่งข่าวโดยด่วน
เพื่อรายงานไปยังเมอื งหลวง คือ กรุงศรอี ยุธยาต่อมาขุนพิจิตรไพรสณฑ์ นายด่านคนเก่าถึงแก่กรรมด้วยไข้
ป่า ทางกรุงศรีอยุธยาจึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้ “หมื่นหาญ” ผู้เป็นบุตรชายเป็นขุน
หาญพิทักษ์ไพรวันมีตำแหน่งเป็น “นายดา่ น” สืบแทนบิดา คอยคุ้มครองรกั ษาชายแดนด้านทิศตะวันออก
ต้งั แต่นั้นเป็นต้นมา

ในปลายรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยาไทยกับพม่ามีศึก
สงครามกนั ตลอดเวลา ภายหลังทีส่ มเดจ็ พระนเรศวรมหาราชประกาศอสิ รภาพจากพม่า พมา่ จึงยกกองทัพ
มาล้อมกรุงศรอี ยุธยา แต่พอเข้าฤดฝู นกองทัพขาดเสบียงอาหารและเจ็บปว่ ยลม้ ตายมากพม่าจึงยกทัพกลับ
เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับ “นักพระสัตถา” เจ้าเมืองเขมร หรือท่ีเรียกกันว่า “พระยาละแวก” เห็นไทย
กำลังทำศึกกับพม่าจึงยกทัพเข้าประชิดกรุงศรีอยุธยาบ้าง เพื่อหาโอกาสตีตลบหลังไทย โดยยกเข้ามาตี
ปราจีนบุรี แล้วเลยไปนครนายกเพ่ือจะกวาดต้อนขนทรัพย์สินมีค่าไปเมืองเขมร เม่ือทราบข่าวว่ากองทัพ
พระยาละแวกจะเข้าตีนครนายก “ขุนหาญพิทักษ์ไพรวัน” จึงให้ม้าเร็วส่งข่าวไปยังเมืองหลวงให้ทราบ
ส่วนตนเองมีทหารอยู่เพียงเล็กน้อยจึงได้รวบรวมคนไทยที่หนีออกจากกรุงศรีอยุธยาตอนพม่ายกมาล้อม
กรุงเข้าร่วมเป็นสมัครพรรคพวก แล้วยกกำลังออกไปซุ่มรอคอยกองทัพพระยาละแวกตรงทางผ่าน เมื่อ
กองทัพพระยาละแวดยกทัพผ่านมา ขุนหาญพิทักษ์ไพรวัน หรือ “ขุนด่าน” จึงนำกำลังท่ีมีน้อยกว่าเข้า
โจมตีทัพพระยาละแวดอย่างห้าวหาญโดยมิได้เกรงกลัวต่อความตายแต่อย่างใด เมื่อพลรบเห็นเช่นน้ัน จึง
เกิดความฮึกเหิมดาพันบุกตะลุยจนกองทัพพระยาละแวดได้รับความเสียหายยับเยินเป็นท่ีโกรธแค้น ของ
พระยาละแวกยิง่ นัก ในท่ีสุดทัพเขมรแตกพา่ ยไปเม่ือกองทัพไทยจากกรุงศรีอยุธยายกพลมาช่วย

ครั้นเสร็จศึกรบกับเขมรแล้วพระยาศรไสยณรงค์ แม่ทัพจากกรุงศรีอยุธยาได้
ประทานรางวัล และเปน็ ประธานจัดบายศรสี ู่ขวัญประกอบพิธีมงคลสมรสให้แก่ “ขุนหาญ พิทักษ์ไพรวัน”
หรือขุนด่านแห่งเมืองนครนายกกับ “สาลิกา” บุตรสาวของ “ขุนไวยารักษ์” ต่อมาเม่ือขุนด่านถึงแก่
อนิจกรรม ชาวบ้านได้ร่วมใจกันสร้างศาลประดิษฐานอัฐของท่านไว้ ณ บริเวณหุบเขาชะโงก ตำบล
พรหมณี อำเภอเมืองนครนายก ปัจจุบันตั้ง ณ ด้านทิศตะวันตกของทางเข้าสู่กองบัญชาการโรงเรียนนาย
ร้อยพระจุลจอมเกล้า เป็นสถานท่ีศักด์ิสิทธ์ิท่ีผู้คนนับถือสักการบูชา นอกจากนั้นยังมีเร่ืองเล่าว่าในสมัย
สงครามโลกครั้งท่ี 2 ทหารญี่ปุ่นที่เคยไปต้ัง กองทัพรับศึกอยู่ที่น่ัน บังอาจไปร้ือ “ศาลเจ้าพ่อขุนด่าน”
แล้วเปน็ ไข้ลม้ ตายเป็นจำนวนมาก (โรงเรยี นนายร้อยพระจลุ จอมเกล้า, 2536 : 133-134)

- ตำนานเขานางบวช (อำเภอเมอื งนครนายก) เมอื่ ประมาณ 1,000 ปีมาแลว้
เจ้าเมอื งกมั พชู ามีโอรส 1 พระองคท์ รงพระนามว่า “เจา้ ปราจติ ร” เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา ได้ออก
จากเมืองพิมาย พบหญิงคนหน่ึงท้องแก่กำลังดำนา จึงเข้าไปทักทายด้วยเห็นว่าเด็กในท้องคงเป็นผู้มีบุญ
แล้วอาศัยบ้านหญิงแก่น้ีอยู่ จนหญิงแก่คลอดบุตรเป็นหญิงชื่อว่าอรพิน เม่ือนางอรพินโตเป็นสาว เจ้าปรา
จิตรได้สู่ขอเป็นคู่ครองโดยได้กลับไปเตรียมสินสอดทองหม้ันที่เมืองของตน และให้ทหารคนสนิทเฝ้านางไว้
แต่ข่าวความงามของนางทราบถึงหูเจ้าเมืองพิมายจึงนำตัวนางเข้าเฝ้าเจ้าเมือง แต่เจ้าเมืองพิมายหาได้

๖๔

ทำลายนางไม่ เพราะนางมีว่านพิษติดตัวไว้ ผู้ใดอยู่ใกล้จะร้อน ความทราบถึงเจ้าปราจิตรจึงลักลอบเข้าไป
ช่วยและหนอี อกจาวงั ได้

ฝ่ายทหารของเจ้าเมืองพิมายทราบเร่ืองรีบเกณฑ์โยธาทัพทั้งหลายเพื่อติดตาม
เจ้าปราจิตรกับนางอรพิน เม่ือทันกันแลว้ ต่างฝ่ายตา่ งต่อสู้กันอย่างดุเดือด เจ้าปราจติ รจูงมือนางอรพินหนี
เง้ือมมือของฝ่ายศัตรูได้ เดินเลาะไปตามเชงิ เขาท่ามกลางสัตว์ร้ายนานาชนิดเป็นเวลาหลายวนั หลายเดือน
หาผลไมใ้ นป่าเลี้ยงชวี ิตไปแต่ละวนั จนวันหนึง่ เดินทางมาถึงแม่น้ำแห่งหนึ่ง เจ้าปราจิตรและนางอรพินเกิด
พลัดพรากจากกันระหว่างข้ามแม่น้ำ เจ้าปราจิตรว่ิงลัดเลาะเรียกหานางอรพินอย่างสุดแสนลำบาก แต่ไม่
พบ ส่วนนางอรพินร้องเรียกสามีกระเซอะกระเซิงไปจนพบวิหารบนภูเขา นางจึงอธิษฐานแปลงร่างหญิง
เป็นชายแล้วบวชอยู่ในวิหารบนยอดเขานั้นจนเวลาล่วงเลยผ่านไปนาน เจ้าปราจิตรทราบเร่ืองจึงมาพบ
แลว้ ให้ลาสกึ จากนน้ั จึงพรอ้ มใจกนั ต้งั ชอื่ ภเู ขาน้ันว่า “เขานางบวช”

- ตำนานดงละคร(อำเภอเมืองนครนายก)ดงละครเปน็ ช่ือบ้านและตำบลแห่งหนึ่ง
ในอำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ปรากฏช่ือในหลักฐานเอกสารเก่าท่ีสุดเพียงพุทธศักราช
2451 คือ พระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสมณฑลปราจีนบุรี
ฉบับที่ 2 วันที่ 24 ธันวาคม รัตนโกสินทรศก 129 ทำให้ทราบว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวเคยเสด็จประพาสดงละคร ด้วยทรงทราบจากคำเล่าลือและที่ทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง ดง
ละครเป็นแหล่งโบราณคดีท่ีชาวท้องถิน่ เรยี กว่า “เมอื งลบั แล” จนมตี ำนานเก่ียวกนั หลายเรื่องดงั ตอ่ ไปน้ี

- ตำนานท่ี 1 ปรากฏในพระบรมราชาธบิ ายของพระบาทสมเดจ็ พระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัววา่ เช้ือพระวงศ์เจ้านายฝ่ายเขมรทีต่ ่อเนื่องลงมาแต่พระเจ้าประทุมสุริยวงศ์ ผสู้ ร้างพระนคร
ธมนั้นสาบสูญส้ินสุดลงเพียงเจ้าผู้หญิงเป็นราชินีข้ึนครองแผ่นดิน เพราะไม่มีเจ้าผู้ชายจะสืบพระวงศ์ มีคำ
เล่าว่าเจ้าผู้หญิงน้ันคร้ันได้สมบัติเป็นเจ้าแผ่นดินแล้ว พระยาพระเขมรท้ังปวงยอมให้หาชายไว้ใกล้ชิดตาม
พระทัยชอบของเจ้าผู้หญิงราชินีพระองค์น้ัน แล้วป่าวร้องให้หาชายท่ีรูปงามมาเลือกทุกบ้านทุกเบ้ือง แล
แต่งคนให้เที่ยวสืบหาชายรูปงามในแผ่นดินต่างๆ ด้วยจนเลือกได้ชายรูปงามในเขมรสองคนเอามาเล้ียงไว้
ใกลช้ ดิ ในวังแล้วยังให้สืบเสาะหาต่อไปภายหลงั มีผู้รบั อาสาไปเท่ียวสบื แตไ่ กล ได้ชายไปแต่แผ่นดินเขมรเก่า
ซ่ึงถวายเป็นแผ่นดินไทยฝ่ายใต้แล้วนั้นคนหน่ึง พาไปถวายราชินีเจ้าแผ่นดินเขมร เจ้าแผ่นดินเขมรชอบ
พระทยั ชายคนนัน้ จะรับเล้ียงไว้ ชายทัง้ สองที่อยกู่ ่อนมีความหึงหวงไม่ยอมให้อยู่ ชายท่ีเลือกไปจากแผ่นดิน
ไทยน้ันก็ไม่ยอมอยู่ จะอยู่ตามภูมิลำเนาเดมิ ใกล้บิดามารดาแลญาติ เจ้าแผ่นดินเขมรจึงได้มาขอผู้ปกครอง
ฝ่ายไทยสรา้ งเมืองๆหน่งึ คอื เมอื งนครนายก อยู่ในแผ่นดินฝ่ายใตใ้ กล้กบั อาณาจกั รเมืองเขมร เพ่อื ให้ชายผู้
น้ันกับบิดามารดาแลญาติอยู่ ผู้ปกครองฝ่ายไทยยอมให้สร้าง ครั้นสร้างเมืองนครนายกแล้วราชินีเจ้า
แผ่นดินเขมรก็เสด็จมาอยู่ที่เมืองนครนายกกับชายผู้นั้นบ้าง กลับไปเมืองหลวงพระนครธมบ้าง คร้ันเมื่อ
ไปๆ มาๆ อยู่ดังนี้ไดย้ นิ ว่าราชนิ ีเขมรนั้นประชวรส้ินพระชนม์ไม่มีราชบตุ รสืบพระวงศ์ต่อไป

ดังนัน้ จงึ มบี างคนสันนษิ ฐานวา่ เมืองนครนายกที่ “ราชินีเจา้ แผ่นดินเขมร” สรา้ ง
นค้ี วรจะเปน็ “เมืองดงละคร” (อมรา ศรีสชุ าต,ิ 2533 : 1-4)

- ตำนานท่ี 2 กลา่ วถึงหนมุ่ ชาวบ้านคนหน่งึ มีอาชพี ตัดฟนื หาเถาวัลย์ขาย
วันหน่ึงเข้าไปหาของป่าพบเถาวัลย์มากมายจึงสาวตามเถาวัลย์ไปเร่ือยๆ จนหลงเข้าไปใน เมืองลับแล
หาทางกลับออกมาไม่ได้ เขาได้พบหญิงสาวสวยและอยู่กินจนมีลูกด้วยกัน ดำรงชีวิตอยู่ในเมืองลับแลซึ่ง
อดุ มสมบูรณ์ เจริญรุ่งเรือง ผู้คนมีศีลธรรม ถือปฏิบัติเคร่งครัดโดยเฉพาะศีลข้อมุสาฯ วันหนึ่งภรรยาไม่อยู่
เขาต้องดูแลลูก เมื่อลูกร้องงอแง ปลอบเท่าไรไม่ฟังจึงพล้ังปากหลอกลูกว่า “นั้นแน่ แม่มาแล้ว” เพื่อให้

๖๕

ลูกหยดุ ร้อง คร้งั ภรรยากลับมาทราบความว่าสามไี ด้ทำผิดเกณฑข์ องเมืองจึงจำใจให้สามีออกจากเมือง โดย
ภรรยามอบห่อผ้าให้สองห่อ พร้อมกำชัยให้แก้ห่อผ้าเม่ือถึงบ้านเรือนตนแล้ว แต่เมื่อออกจากเมืองขณะ
แวะพักใกล้หนองน้ำใหญ่แห่งหน่ึงอยากรู้วา่ เมียให้อะไรมา จงึ แก้ห่อผ้าออกดูเหน็ เป็นทรายจึงเททง้ิ แลว้ ฉุก
ใจคิดจึงเหลืออีกห่อมาเปิดทบี่ ้านพบว่าเป็นทองคำ ได้นำทองนัน้ ขายเลี้ยงตวั และมารดาไปตลอดชีวติ และ
ได้สร้างวัดข้ึน ณ บริเวณที่ตนแก้ห่อผ้าพบทรายแล้วเททิ้ง เรียกว่า “วัดหนองทองทราย” ซึ่งอยู่ทางทิศ
ตะวนั ตกเฉยี งใต้ของดงละคร (นายสุนทร โชตชิ ืน่ ผเู้ ล่า)

- ตำนานที่ 3 “ผลี ะครเมอื งลบั แล” มีเรื่องเล่ากันว่าเมอื่ ถงึ วนั ดคี ืนดซี ึง่ โดยมาก
เป็นวันเพ็ญ 14-15 ค่ำ มีเสียงพิณพาทย์ลาดตะโพนแว่วมาตามสายลม บ้างก็ว่าเสียงมาจากทาง
ตะวันออก แต่คนท่ีอยู่ทางตะวันออกก็ว่ามาจากทางใต้ คนท่ีอยู่ทางใต้ก็ว่ามาจากทางเหนือเป็นเสียดังนี้
จบั ไมไ่ ด้ว่ามาจากทางไหน เสียงกห็ าย เลา่ ลือกันว่าผีในดงชอบละคร ถา้ ผูใ้ ดมาร้องละครย่อมเป็นไข้ตาย ผี
จะเอาไปอยู่ดว้ ย หากมีผจู้ ะร้องละครแล้วมคี นหา้ ม ผจี ะเอาคนห้ามไปแทนจึงไม่มใี ครกลา้ ร้องละคร เรอื่ งน้ี
จงึ กลายเปน็ ทมี่ าของชื่อ “ดงละคร”(นิคม มสู ิกะคามะ, 2533)

- ตำนานศาลเจา้ พอ่ องครกั ษ์ ตัง้ ณ รมิ ฝั่งแม่นำ้ นครนายก ในทอ้ งทตี่ ำบลทราย
มูล อำเภอองครักษ์ ทางทิศตะวันตกของจังหวัด บริเวณหนา้ ศาลเจ้าพ่อเปน็ แม่น้ำสามแยก มาจากจังหวัด
นครนายกทางหนึ่ง แล้วแยกไปทางคลองรังสิตทางหนึ่ง อีกทางหน่ึงแยกไปสู่แม่น้ำบางปะกง มีเรื่องเล่าว่า
เม่ือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จข้ึนเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้วได้เสด็จประพาสจังหวัด
ปราจีนบุรี โดยเสด็จผ่านทางแม่น้ำนครนายก และได้ประทับแรมบริเวณที่ตั้งศาลเจ้าพ่อองครักษ์ปัจจุบัน
ระหวา่ งประทบั แรมนน้ั นายทหารราชองครักษไ์ ด้ป่ายแลว้ เสียชีวติ

ส่วนบางตำนานเล่าว่าราชองครักษ์ผู้น้ีตามเสด็จมาท่ีอำเภอองครักษ์ ช้างได้ทำ
ร้ายจนเสียชีวิต ชาวบ้านจึงเรียกว่า “เจ้าพ่อช้างเหยียบ” (ปัจจุบันยังมีกระโหลกช้างอยู่ในบริเวณศาลเจ้า
พ่อองครักษ์) และเพื่อเป็นที่ระลึกแก่ราชองครักษ์จึงสร้างศาลข้ึนเป็นอนุสรณ์เรียกศาลแห่งน้ีวา่ “ศาลเจ้า
พ่อองครักษ์) จนเป็นช่ือของอำเภอองครักษ์ในปัจจุบัน แต่เนื่องด้วยบริเวณหน้าศาลเจ้าพ่อองครักษ์ น้ำ
ไหลเชี่ยวมากในฤดูน้ำย่อมหมุนอย่างแรงเป็นที่หวาดกลัวแกช่ าวเรือย่ิงนัก สันนิษฐานวา่ มีจระเขเ้ จ้าพ่ออยู่
ในวังน้ำ ถา้ จะนำเรือผ่านบริเวณดังกล่าวจะต้องทำพิธีเซ่นไหว้ด้วยมะพรา้ วอ่อนแล้วจึงสามารถนำเรือผ่าน
ไปด้วยความปลอดภัย ศาลเจ้าพอ่ องครักษ์จึงเป็นส่ิงศกั ด์ิสิทธทิ์ ี่ชาวเรือโดยเฉพาะจังหวัดนครนายกเคารพ
สักการะตลอดมา (โรงเรยี นนายรอ้ ยพระจุลจอมเกล้า, 2536)

4. วรรณกรรมพื้นบา้ น เปน็ มรดกทางวฒั นธรรมที่ถ่ายทอดกนั มาจนถงึ ปจั จุบนั ดว้ ย
วิถีแห่งหนังสือ วรรณกรรมพื้นบ้าน หรือวรรณกรรมท้องถ่ินจึงเป็นส่ิงท่ีแสดงพ้ืนฐานทางสังคมสภาพการ
ดำรงชีวิต มโนทัศน์ของผู้แต่ง ตลอดจนสำนวนภาษาในท้องถิ่น ซึ่งเปรียบเสมือนภาพสะท้อนวิวัฒนาการ
เปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ และวิถีชีวิตของสังคมนั้นๆ ทุกด้าน นอกจากน้ันยังเป็นแหล่งข้อมูลบันทึกตาม
ขนบประเพณีของกลุ่มชนในท้องถ่ิน ทั้งความบันเทิงอธิบายส่ิงท่ีไม่เข้าใจ สอนจริยธรรมและพฤติกรรมใน
การดำรงชีวิตด้วยวิธีรเล่า ขับร้อง พูดโต้ตอบ อ่าน เขียนในรูปแบบของการอ่านหนังสือผูก เล่านิทาน
ตำนาน เพลงกลอ่ มเด็ก ภาษติ จารในใบลาน เป็นต้น

วรรณกรรมพน้ื บา้ นจำแนกวธิ ีบันทกึ และสบื ทอดได้ 2 ลักษณะ คอื
- วรรณกรรมมุขปาฐะ คอื วรรณกรรมที่ถ่ายทอดดว้ ยการเล่า ทอ่ ง จดจำ ไม่มี
การบันทกึ เป็นลายลักษณอ์ กั ษร เชน่ เพลงพ้ืนบ้าน นิทาน ตำนาน
- วรรณกรรมลายลักษณ์ คือวรรณกรรมท่ีไดบ้ นั ทึกดว้ ยตัวอกั ษร (ภาษาเขียน)

๖๖

เพอื่ ปอ้ งกนั การสูญหาย แสดงถงึ ความเจรญิ ของชนในกลุ่ม
จังหวดั นครนายกมกี ลมุ่ ชนหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีความเชื่อและวรรณกรรม

ของท้องถิ่นที่มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตอย่างมากตามพ้ืนฐานของกลุ่มชนน้ัน อย่างไรก็ตามการศึกษา โครงการ
ศึกษาวิจัยโบราณคดีและประวัติศาสตร์เมืองนครนายกในแนวพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารีนั้นปรากฏว่ากลุ่มชนไทยพวนนับถือทั้งศาสนาพุทธและนับถือตามอุดมคติของบรรพ
บุรษุ เพราะเชือ่ วา่ เปน็ ผคู้ มุ้ ครองให้ชาวบา้ นในหมู่บ้านของตนอยูเ่ ย็นเป็นสุขปราศจากภยันตรายทง้ั ปวง

- หมูบ่ า้ นเกาะหวาย ชาวบ้านนับถือเจา้ พ่อสนุ นั ทา โดยเชื่อวา่ เป็นแม่ทพั
จากเวยี งจันทน์

- หมู่บา้ นหนองหวั ลงิ หม่บู า้ นกลางโสภา หมู่บ้านอืน่ ๆ ในบรเิ วณใกล้เคียง
ชาวบ้านนบั ถือพ่อกาละเกด และเจ้าแมม่ ะลจิ นั ทร์ ซึง่ มีศาลตงั้ อยู่ท่ีหมบู่ ้านกลางโสภา สมัยก่อนทุกวันพระ
ชาวบ้านจะหยดุ ปฏิบัติกิจการงานทุกอยา่ ง เช่น การทำไร ไถนา ตัดฟืน หรือเก็บของป่าแล้ว เข้าวัดทำบุญ
ถือศลี 5 หากผู้ใดไม่ปฏิบัตเิ จ้าพ่อจะเขา้ สงิ ต้องนำเหล้ากามาเซ่นไหวเ้ พื่อขอขมาแล้วดวงวิญญาณของเจ้า
พ่อจงึ ออกจากร่าง

นายภานุพงศ์ อุดมศิลป์ ผู้ศึกษาวรรณกรรมไทยพวนได้สัมภาษณ์นางนารี
อ่อนเสียง เชื่อว่า....เจ้าพ่อกาละเกดน้ันมคี วามศักดิ์สิทธ์ิมาก เปน็ ที่เกรงขามของชาวบ้านทั่วไป โดยเฉพาะ
ในเวลากลางคืนของวันพระข้ึน 15 ค่ำ มีคนเห็นเจ้าพ่อกาละเกดขี่ม้าขาวว่ิงรอบหมู่บ้าน หรือไม่คงได้ยิน
แต่เสียงฝีเทา้ ม้าว่งิ รอบหม่บู ้านในยามคำ่ คนื ชาวบ้านกลัวไมม่ ผี ู้ใดฮง้ เฮอื นไปไหน….

ดังนั้นนิทานเร่ือง “กาละเกด” จึงเล่าสืบต่อกันมาในกลุ่มไทยพวน และยึดถือ
ปฏบิ ัตติ นอย่ใู นศีลธรรมเปน็ วิถชี วี ิตประจำวนั จนถงึ ปจั จุบนั

นอกจากน้นั นายภานุพงศ์ อุดมศิลป์ ยงั ไดร้ ับฟงั การอ่านวรรณกรรมลายลักษณ์
เรื่อง “พญาคันคาก” ในพิธีขอฝน ซ่ึงพระสงฆ์อ่านให้ชาวบ้านฟังหลังจากจุดบ้องไฟเพื่อให้ฝนตกต้องตาม
ฤดกู าล

ส่วนอำเภอองครักษ์มีความเช่ือและผูกพันกับนิทานเร่ือง “กระต่ายสามขา”
และ “ตำนานบึงพระอาจารย์” แต่ผู้มีเชื้อสายลาวเวียงจะเล่านิทานเรื่อง “พญากาเผือก” ซึ่งเป็นนิทาน
เกี่ ย วกับ ค ติ ท างพุ ท ธศาส น าที่ มี อิท ธิพ ล ต่อก ารด ำรงชี วิตใน ก ารป ฏิ บั ติ ต น เป็ น ค น ดี อยู่ ใน ศี ล ธรรม
เชน่ เดยี วกนั

ส่วนนิทานท่ีสะท้อนความกตัญญูเรื่อง “นางอุทากับต้นโพธิ์” ก็มีลักษณะ
สะท้อนให้คุณภาพของคนไทย อย่างไรก็ตามการหาขอ้ มูลในคร้ังน้นั ชาวบ้านขุมข้าวยังได้เลา่ ถึงนทิ านเรือ่ ง
“จำปาส่ีต้น” ท่ีพระเทศนใ์ หฟ้ ังดว้ ย

นิทานของจังหวดั นครนายก
มีตวั อย่างดังน้ี
1. เรอื่ งกาละเกด พระยาสุริยวงศค์ รองเมืองพาราณสี มีความประสงค์จะไปเรียน

วิชาการสู้รบกับฤาษีให้มเหสีเฝ้าครองนครแทน เม่ือไปเรียนวิชาความรู้กับฤาษีแล้วฤาษีสั่งให้ไปผูกเสี่ยวกับ
พญาครุฑ พญาครุฑจึงให้ธนูวิเศษไว้สำหรับป้องกันตัว แล้วให้ไปผูกเส่ียวกับยักษ์กุมพน หลังจากน้ันจึง
เสด็จกลับเมืองพาราณสี พระยาสุริยวงศ์ครองเมืองเป็นเวลานาน แต่ไม่มีบุตรไว้ท้าวกาละเกด นางมะลิ
จันทร์ และนางกินรีท้ัง 3 คน ลงไปเกิดยังโลกมนุษย์พร้อมๆ กัน ขณะที่ลงมาจากสวรรค์ได้ถูกลมพายุพัด

๖๗

กระหน่ำให้พลัดพรากจากกัน ท้าวกาละเกดลงไปเกิดเป็นลูกของท้าวสรุ ยิ วงศ์ นางมะลจิ ันทร์ไปเกิดเป็นลูก
ของทา้ วพิมน ส่วนนางกินรีทง้ั สามคนไปเกดิ เป็นลูกของกษัตริย์แหง่ เขาไกรลาส แต่บดิ าเห็นวา่ เกิดมาพรอ้ ม
กนั ทั้งสามคนเป็นเรื่องท่ีผดิ ปกติไปจากมนุษย์ทั่วไป เกรงว่าจะเป็นกาลบี ้านกาลีเมืองจึงนำนางกินรที ้ังสาม
ไปลอยแพ แต่ฤาษีมาพบเข้าจึงนำไปเลี้ยงไว้เป็นลูก ฝ่ายท้าวกาละเกดเม่ือโตเป็นหนุ่มได้ออกไปเท่ียวยัง
คอกม้าท้ายวัง เห็นม้ามณีกาบอยู่ในคอก ม้ามณีกาบจึงชวนให้ท้าวกาละเกิดขึ้นข่ีแล้วพาไปยงั ป่าหิมพานต์
ระหว่างเดินทางได้พบกับนกสาลิกา ได้ส่ังให้นกสาลิกาไปบอกบิดของตนว่าจะไปเที่ยวสัก 3 ปี แล้วจะ
กลับมา เมอ่ื ไปถึงป่าหิมพานต์ก็พักอยู่ท่ีต้นไทรใหญ่ พระอินทรจ์ ึงเนรมิตแท่นศิลาให้ท้าวกาละเกดนอนพัก
อยู่มาวันหนึ่งนางมะลิจันทร์และนางสนมออกไปเท่ียวยังบริเวณต้นไทรใหญ่ ท้าวกาละเกดเห็นนางมะลิ
จนั ทร์เกิดความรักและพยายามหาโอกาสท่ีจะเข้าใกล้นางพระอนิ ทรจ์ ึงช่วยบังตาให้ ทำให้ท้าวกาละเกิดได้
มีโอกาสใกล้ชิดกับนางมะลิจันทร์ และถือโอกาสตามนางมะลจิ ันทรไ์ ปจนถึงห้องของนาง หลังจากนั้นท้าว
กาละเกดได้ลักลอบเข้ามาหานางมะลิจันทร์เป็นประจำจนพี่เลี้ยงจับได้ จึงนำเร่ืองไปกราบทูลท้าวพิมน
ท้าวพิมนโกรธแค้นมากจึงให้ท้าวแสนเมืองทำหอกยนต์ดักท้าวกาละเกด เม่ือท้าวกาละเกดเข้ามาพบนาง
มะลิจันทร์อีกจึงถูกหอกยนต์ตาย แต่ก่อนตายได้สั่งนางมะลิจันทร์ว่าอย่าเผาร่างตนให้นำลอยแพ ซึ่งนาง
มะลิจันทร์ก็ปฏิบัติตามทุกอย่าง เม่ือนำศพท้าวกาละเกด และม้ามณีกาบไปลอยแพแล้วนางจึงบวชถือศีล
ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท้าวกาละเกด ฝ่ายพญาครุฑรู้สึกร้อนมากจึงไปอาบน้ำในแม่น้ำแล้วพบศพของ
ท้าวกาละเกด และจได้ว่าม้ามณีกาบเป็นม้าของท้าวสุริยวงศ์สหายของตน จึงนำศพของท้าวกาละเกดและ
ม้ามณีกาบไปหาฤาษี ฤาษีจำได้ว่าม้ามณีกาบเป็นม้าของท้าวสุริยวงศ์สหายของตน จึงนำศพของท้าวกาละ
เกดและม้ามณีกาบไปหาฤาษี ฤาษีจึงให้มหาเถนไปหาพระอนิ ทร์เพ่ือขอยามาชุบชีวิตให้ท้าวกาละเกด พระ
อินทร์ได้ให้คนโทน้ำและดาบวิเศษมาให้ท้าวกาละเกดด้วย เมื่อฤาษีชุบชีวิตให้ท้าวกาละเกดแล้วจึงรู้ว่าเป็น
บุตรของท้าวสุริยวงศ์ จึงสอนให้ท้าวกาละเกดมีวิชาความรู้เกี่ยวกับการรบ เม่ือท้าวกาละเกดเรียนจบแล้ว
จึงกลับไปยังเพมืองพิมนอีกคร้ัง แต่คร้งั น้ีท้าวกาละเกดได้แสดงความสามารถของตนให้ท้าวพิมนเห็น ไม่มี
ใครสู้ท้าวกาละเกดได้ ท้าวพิมนจึงยอมยกนางมะลิจันทรใ์ หเ้ ปน็ ภรรยาและใหค้ รองเมืองพิมนสืบตอ่ จากตน
แต่ท้าวกาละเกดขอกลับไปเมืองพาราณสีก่อนระหว่างเดินทางได้พบกับนางยักษ์ซ่ึงแปลงกายมาเป็นหญิง
สาวพยายามชักชวนใหท้ ้าวกาละเกดพักอยู่ด้วยเพราะต้องการท้าวกาละเกดมาเป็นสามีของตน แต่ท้าวกา
ละเกดรู้ทันจึงพานางมะลิจันทร์หนีไป นางยักษ์โกรธมากถึงสาปแช่งให้ท้าวกาละเกดและนางมะลิจันทร์
พลัดพรากจากกัน และเม่ือท้าวกาละเกดและนางมะลจิ นั ทร์เดินทางไปยังเองพาราณสไี ดห้ ยดุ พักนอนหลับ
อยกู่ ลางป่า นางกนิ รที ั้งสามคนไดม้ าพบเข้าเกดิ ความพอใจในตวั ทา้ วกาละเกด จึงลักพาตัวท้าวกาละเกดไป
อยู่กับตน ส่วนนางมะลิจันทร์มีเคราะห์กรรมต้องพลัดพรากจากสามีและม้ามณีกาบ นางได้พลัดหลงไปยัง
เมืองท้าวอีสูน ท้าวอีสูนได้เลี้ยงดูเหมือนลูก ท้าวกาละเกดอยู่กับนางกินรี 3 เดือนจนฤาษีรคู้ วามจริงจึงนำ
ตัวท้าวกาละเกดมาขอสมากันตามประเพณีท้าวกาละเกดจึงพานางกินรีทั้งสามไปด้วยแล้วไปได้พบกันนาง
มะลิจันทร์ท่ีเมืองของท้าวอีสูน หลังจากน้ันท้าวกาละเกดให้นางกินรีท้ังสามคนกลับไปอยู่กับฤาษีก่อนแล้ว
จะมารบั กลับเมืองภายหลัง ระหว่างที่ท้าวกาละเกดพานางมะลิจันทร์กลับเมืองได้พบกับยักษ์กุมพน ยักษ์
กุมพนได้ลักพาตัวนางมะลิจันทร์ไป ท้าวกาละเกดจึงตามไปแย่งชิงกลับคืนได้ จึงเกิดสงครามสู้รบกัน
ระหว่างยักษ์กุมพนกับท้าวกาละเกด ยักษ์กุมพนสู้ท้าวกาละเกดไม่ได้จึงมีสารไปเชิญขุนดานผู้ครองเมือง
หมุดถิลาด ท้าวปะกิด หลวงพระยากันตาวนั พระยาม้ากึก แต่ก็ยังสู้ท้าวกาละเกดไม่ได้จึงมีสารไปถึงพญา
ครุฑ เม่ือพญาครุฑเห็นท้าวกาละเกดก็จำได้จึงบอกให้ยักษ์กุมพนรู้ความจริงยักษ์กุมพนจงึ ต้องขอสมาท้าว
กาละเกดและนางมะลิจันทร์ แล้วยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของท้าวกาละเกดอีกคน หลังจากน้ันท้าวกาละ

๖๘

เกดจึงพาภรรยาทั้งห้าของตนกลับเมืองพารณสี และได้ครองเมืองสืบราชสมบัติต่อจากบิดา (ภานุพงศ์
อดุ มศลิ ป,์ 2539)

2. เร่อื งพญาคันคาก พญาคันคากเป็นโอรสของพระยาเอกราช เจา้ เมอื งอินทะปัต
ถนคร รูปร่างผิวหนังเหมือนคางคก เม่ือโตเป็นหนุ่มอยากมีเมีย ก็ไม่มีใครสนใจ(บ่มีไผเอานำ) พญาคันคาก
จึงอธิษฐานขอให้ตนได้เมียสวย ร้อนถึงพระอินทร์จึงเนรมิตปราสาทราชวังและนางแก้วเทวีมาให้เป็นเมีย
พระยาแถนรู้ข่าวก็ไม่พอใจเหน็ พญาคันคากมีฤทธ์ิเดชเกรงว่าจะเปน็ ภยั ถึงตน กแ็ กลง้ ทำให้ฝนไม่ตก
(เฮด็ บเ่ ห้อฝนตก() ทำใหเ้ ดือดรอ้ นไปทกุ หย่อมหญ้า พญาคันคากจึงยกกองทัพไปรบกบั พระยาแถน
พวกกบ เขียด งู ผ้ึง ต่อ แตน มด สัตวต์ ่างๆ ก็ไปช่วยพญาคันคากรบกับพระยาแถน อันเป็นท่ีมาว่า...พระ
ยาแถนนะจับมดตีจนว่าแอวกิ่วเหมิด ผึ้งก็เอาไฟลนจนว่าผ้ึงกลัวไฟเท่าวุกม่ือ...พระยาแถนก็เลยยอมแพ้
และทำให้ฝนตกต้องตามฤดกู าลตลอดมา (ภานพุ งศ์ อุดมศลิ ป,์ 2539)

3. เร่อื งกระต่ายสามขา เม่อื ครงั้ อดีตกาลทีล่ ่วงมาแลว้ มพี ระอาจารย์ผเู้ รืองวชิ ารูปหนง่ึ
(ไม่ปรากฏช่ือ) จำพรรษาอยู่ที่วัดโพธิ์แทน (ตำบลบางปลากด อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก) วันหน่ึง
โยมคนหน่ึงได้นำกระต่ายมาถวายพระอาจารย์ในเวลาวิกาล (บ่ายเย็น) พระอาจารย์หรือหลวงพ่อจึงเรียก
สามเณรรูปหน่ึงมา แล้วสั่งให้สามเณรน้ันนำกระต่ายไปย่างเอาไว้ฉันเช้า สามเณรรับกระต่ายเอาไปย่าง
ขณะท่ีย่างอยู่นั้นได้ส่งกล่ินออกรสหอมชวนรับประทาน สามเณรอดทนกล่ินหอมอันน่ารับประทานไม่ไหว
จึงไดน้ ำขากระตา่ ยมาหน่ึงข้างแลว้ นำไปฉนั โดยมิให้ผูใ้ ดรู้เหน็ ส่วนท่ีเหลือนั้นนำเอาไปเก็บไวเ้ พ่อื จะถวายให้
พระอาจารย์ในรุ่งเช้า คร้ังถึงเวลาพระฉันเช้าสามเณรจึงนำเอากระต่ายท่ีเหลือสามขาน้ันมาถวายแด่พระ
อาจารย์เพื่อฉัน เมื่อพระอาจารย์รับไว้แลเห็นมีกระต่ายเพยี งสามขา จึงถามสามเณรน้ันว่า “เณร กระต่าย
ไปไหนหน่ึงเขา” เณรน้ันจึงตอบว่ากระต่ายมีสามขา พระอาจารย์บอกว่า “กระต่ายจะต้องมีส่ีขา”
สามเณรกต็ อบยืนคำเดิมเสมอว่ากระต่ายมีสามขา พระอาจารย์จะถามสักเท่าใดๆ สามเณรก็ตอบว่ามีสาม
ขาอยู่เช่นเดิม หรือจะลงโทษเฆี่ยนสีสามเณรก็ตอบว่ามีสามขาอยู่อย่างเดิมเสมอ ไม่ยอมรับว่ากระต่ายมีสี่
ขา พระอาจารยพ์ ิจารณาแล้วเห็นว่าสามเณรเปน็ ผมู้ ีน้ำใจเด็ดเดี่ยว เมอื่ พูดอย่างไรแล้วก็ยนื ยันอยู่อยา่ งน้ัน
ไม่ยอมรับสารภาพหรือเปล่ียนคำพูดเดิม พระอาจารย์จึงถามสามเณรว่า “เณรจะไปฉันข้าวกับพระเจ้า
แผ่นดินได้ไหม” สามเณรตอบว่าไม่ได้ พระอาจารย์เห็นว่าสามเณรมีความกล้าหาญมากเม่ือใช้ให้ทำอะไรก็
พึงทำทุกอย่าง พระอาจารย์ได้ทำผงลงยันต์ให้สามเณรแล้วบอกว่าเม่ือจะเข้าไปฉันข้าวกับพระเจ้าแผ่นดิน
ให้เอาผงน้ีชะโลมทาตัวให้ท่ัว สามเณรก็รับผงยันต์จากพระอาจารย์แล้วปฏิบัติตามคำส่ังของพระอาจารย์
ทุกประการ สามเณรเข้าไปในพระบรมราชวัง เมื่อถึงกำหนดพระเจ้าแผ่นดินเสวยพระกระยาหาร สามเณร
ก็ร่วมฉันพระกระยาหารกับพระเจ้าแผ่นดิน (ไม่ปรากฏเวลาชัดเจน) พระเจ้าแผ่นดินทรงสังเกตความ
ผิดปกติพระกระยาหารท่ีโรงครัวของพระราชวงั จัดมาไม่พอเสวย ครั้งก่อนเมื่อเสวยจึงเกิดความสงสัยแล้ว
รับสั่งให้พนักงานโรงครัวจัดอาหารเพิ่มและให้รสอาหารเผ็ดร้อนพนักงานโรงครัวปฏิบัติตามรับส่ัง เมื่อถึง
เวลาเสวยพระกระยาหาร สามเณรได้ฉันพรอ้ มกับพระเจ้าแผ่นดินมื้อน้ันสามเณรฉันอาหารเผ็ดร้อนเข้าไป
จงึ มีเหงอ่ื อก ทำให้ผงทาตัวละลายออกมาจนปรากฏร่างของสามเณร พระเจ้าแผ่นดนิ ทอดพระเนตรแล้วมี
พระราชดำรัสถามสามเณรว่า “ท่านมาจากไหนใครใช้ให้มา” สามเณรทูลถวายว่า “พระอาจารย์เป็นผู้ใช้
ให้มา” แล้วทรงถามว่า “อยู่ที่ไหน” สามเณรจึงทูลถวายว่า “อยู่ท่ีวัดโพธิ์แทน” พระเจ้าแผ่นดินรับสั่งให้
ทหารพระราชวังนำตัวสามเณรไปกกั ขังตัวไว้

ในขณะน้ันข่าวเล่าลือออกมาถึงพระอาจารย์ว่าสามเณรได้ถูกขังอยู่ในพระราชวัง
พระอาจารย์จึงไปเยี่ยมลูกศิษย์ของตนในพระราชวัง ขออนุญาตเจ้าหน้าที่เวรยามเพ่ือเยี่ยมสามเณร พระ

๖๙

อาจารย์ได้เสกหมากให้สามเณรฉัน สามเณรจงึ หนีออกจากท่ีคุมขังได้ พระอาจารย์และสามเณรจึงกลับไป
อยทู่ ว่ี ดั ตามเดิม

ต่อมาพระเจ้าแผ่นดินพร้อมทหารมหาดเล็กได้เดินทางไปจับพระอาจารย์และ
สามเณร ระหว่างทางไปวัดโพธิ์แทนนั้นต้องข้ามแม่น้ำเพื่อข้ึนฝั่งแล้วเดินทางเข้าสู่วัดโพธิ์แทน (ปัจจุบันใน
หมู่บ้านน้ันเรียกว่า “ลากสะเอ็ด” ซ่ึงเพ้ียนไป แต่เดิมชาวบ้านเรียกว่า “ท่าเสด็จ”) พระเจ้าแผ่นดินเสด็จ
ถึงเวลาเช้าขณะท่ีพระอาจารย์ พระสงฆ์ และสามเณรกำลังฉันอาหาร ทหารเข้าไปล้อมเพื่อจะจับพระ
อาจารย์ พระอาจารย์จึงขออนุญาตฉันอาหารให้เรียบร้อยก่อนเมื่อฉันแล้วพระอาจารย์จึงถามลูกศิษย์และ
สามเณรว่า “ใครจะไปกับพระอาจารย์บ้าง” บรรดาศิษย์และสามเณรตอบว่าไป พระอาจารย์จึงเสก
น้ำมนต์ในขันน้ำสำหรับรับอาหาร แล้วสาดน้ำมนตน์ ้ันไปยังศิษย์ สามเณรกลายเป็นลูกกุ้งลูกปลา ฝ่ายข้าง
พระอาจารย์กลายเป็นนกกระยางจิกลูกกุ้งลูกปลาคาบบินหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ปจั จุบันเรียกว่า
“บึงพระอาจารย”์ หรือ “วัดปากคลองพระอาจารย์” พระอาจารย์ไดพ้ ักอยู่ท่ีนน้ั ต่อมา (พระครูอรณุ ธรรม
ประโชติ วดั อรุณฉายาราม ผู้เลา่ )

4. เรอื่ งพญากาเผอื ก กาลครัง้ หนง่ึ นานมาแล้วมีแมพ่ ญากาเผอื กทำรังอยบู่ นต้นไม้ชาย
ป่า ขณะกำลังฟักไข่นั้น นางกับผัวได้ผลัดกันหาอาหาร ถ้านางพญากาเผือกไปหาอาหาร ผัวจะอยู่ฟักไข่
วันหนึ่งกาสองผัวเมียได้ออกไปหาอาหารทั้งคู่ เกิดพายุใหญ่พัดไข่ตกจากรังลงไปในน้ำแล้วลอยตามน้ำไป
เมื่อพายสุ งบสองกาผัวเมียพากันมองดไู ข่ตวั เองที่รัง เม่ือไม่พบจงึ กล้ันใจตายไขทั้ง 5 ฟอง ลอยไปในแม่น้ำ
คงคาได้ไปอย่กู ับแม่พญานาค 1 ฟอง แม่ไก่ 1 ฟอง แมร่ าชสีห์ 1 ฟอง แม่เต่า 1 ฟอง แม่โค 1 ฟอง ไข่ท้ัง
5 ฟองได้ฟักออกมาเป็นคน ทุกคนมีความเจริญเติบโตสมบูรณ์เท่าๆ กัน ต่างมีความคิดเหมือนกันว่าตัว
เป็นคนแต่เหตุใดมีแม่เป็นสัตว์ จึงพากันถามแม่ที่เลี้ยงตนมา แม่ทุกตัวบอกว่าได้เก็บไข่มาจากแม่น้ำคงคา
ทง้ั หมดจึงได้ลาแม่ที่เลี้ยงตนมาเพ่ือออกตามหาพ่อแม่ที่แท้จริง ทุกคนต่างเดินทางไปโดยท่ียังไม่เคยพบกัน
มาก่อนจนได้พบกันท่ีเขาวงกต ครบถ้วนแล้วจึงบวช เมื่อทุกคนพร้อมใจกันบวชแล้ว ร้อนถึงเทวดาต้องนำ
สไบ จีวร และเคร่ืองอัฐบริขารมาให้ จนกระท่ังบวชแล้วจึงมีความคิดถึงพ่อแม่ของตนเป็นอันมาก จึง
อธิษฐานแล้วพากันออกเดินป่าจนเหนื่อยเข้าพักใต้ต้นไทร แล้วนั่งบ่นนึกถึงคำอธิษฐาน “ขอให้พบพ่อกับ
แม่ท่ีแท้จรงิ ” ส่วนพญากาเผือกสองผัวเมียเม่ือตายแล้วไป เกิดบนสวรรค์ได้ยินคำอธษิ ฐานของลูกก็สงสาร
จึงแปลงกายไปจับกิ่งไทรที่อยู่ใกล้ๆ แล้วบอกว่าถ้าคิดถึงพ่อกับแม่ให้ป่ันตีนกาใส่กระทงลอยน้ำในวันเพ็ญ
เดอื น 12 (นางเปร่ือง บญุ ภักดี ผเู้ ล่า)
เรอื่ งนางอุทากับต้นโพธ์ิ นางอุทาเกดิ มาทุกข์ยากคลอดลูกเปน็ หญิง ลูกนางอุทาลำบากมากรับจ้างเศรษฐี
เล้ยี งควาย ตอ่ มานางอุทาตายกลายเป็นเต่า วันหน่ึงเศรษฐกิจอยากกนิ แกงเต่าจึงบอกกบั ลกู นางอุทาวา่ “อี
ข้ีข้าไปหาเต่า” แต่ลูกนางอุทาหาไม่ได้ กลับมาจึงถูกเศรษฐกิจตีหลายคร้ังจนเจ็บมาก ลูกรู้ว่าแม่ตายเกิด
เป็นเต่าเลยไปอ้อนวอนแม่ของตนเพื่อนำไปให้เศรษฐี เศรษฐีบอกว่า “มึงเอาไปทำมาให้กิน” ลูกก็เอาเต่า
ไปลงหมอ้ นำ้ ร้อนถึงเข่า แม่รอ้ งไห้ แม่บอกว่า “ตรงน้แี ม่เคยเอาให้เจา้ นอน” ลกู ก็ดงึ ขึ้น เศรษฐตี ีแลว้ จมุ่ ลง
ไปถึงห้อง แม่ก็ร้องและบอกว่า “ตรงน้ีแม่เคยอุ้มเจ้าไว้ในท้อง” ลูกก็ดึงข้ึนมาอีก เศรษฐตีอีกแล้วจุ่มลงไป
ถึงนม แม่ร้องว่า “ไอ้ตรงน้ีแม่เคยให้เจ้ากินนม” แล้วเศรษฐีก็ตีลูกจุ่มลงไปถึงคอ แม่ร้องบอก “ตรงนี้แม่ก็
หายใจ” แล้วบอกให้ลูกปล่อยลงเศรษฐีจึงได้กินแกงเต่าสมใจ ต่อจากน้ันเศรษฐีไล่ลูกของนางอุทาไปเล้ียง
ควาย ลูกนางอุทาสั่งหมาว่า “มึงคอยคาบกระดูกเต่าไว้ให้ด้วยนะ” พอกลับมาหมาก็คาบกระดูกเต่าไว้ให้
ลูกนางอุทานำเอากระดูกไปฝัง กระดูกกลายเป็นต้นโพธิ์ร้องดังทุกวันวิญญาณนางอุทาได้ออกมาหาลูก
ออกมาแปรงผมประแป้งให้ลูกอย่างสวยงาม เศรษฐีก็ตีลูกทนเจ็บไม่ได้จึงเล่าเร่ืองให้เศรษฐีฟัง เศรษฐีจึง

๗๐

เกณฑ์ชาวบ้านไปโค่นต้นโพธ์ิ แต่โค่นไม่ได้จึงกลับมาตีลูก นางอุทาตีทุกวันเพ่ือจะให้ลูกไปโค่น ผลสุดท้าย
ลูกนางอุทาต้องโค่นต้นโพธ์ิเม่ือไปถึงยกมือไหว้แม่ 1 คร้ัง แล้วก็โค่นต้นโพธ์ิได้อย่างง่ายดาย (นางสงวน
หนองแสง ผเู้ ล่า)
เร่ืองนางหงส์ สองผัวเมียคู่หน่ึงช่ือ “ตาแก้ว” และ “ยายถม” มีลูกเล็กคนหนึ่งอายุแค่ 1 เดือน วันหน่ึง
ตาแก้วออกไปหาของป่าท่ีภูเขา ขณะกำลังหาอยู่นั้นได้ยินเสียงฯ หนึ่งร้อง “แก๊ก แก๊ก” แกสงสัยเดินไปดู
จงึ พบสตั วช์ นดิ หนง่ึ คือ ลกู นกหงส์ซ่ึงตกลงมาจากรังอยบู่ นต้นไม้ข้างบงึ น้ำ แกจึงเกบ็ ไปเลี้ยง เน่ืองจากบา้ น
ตาแก้วยากจนไม่มีอาหารพอที่จะเล้ียงลูกนกหงส์ ยายถมจึงเอาน้ำนมของแกมาเลี้ยงลูกนกหงส์ตัวน้ีจนโต
แข็งแรง ลูกหงส์รักแกมาก และสองผัวเมยี ก็รักมันมากเหมือนลูก ไม่ว่าจะไปไหนมันจะตามแกไปทุกท่ี อยู่
มาวันหนึ่งเกิดพายุใหญ่ ได้พัดพาลูกนกหงส์ตัวนี้ไปในหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงช่วยกันจับลูกหงส์และฆ่าตาย
เพื่อนำมันไปกิน เมือ่ สองผัวเมยี ร้เู กิดความเสียใจจงึ ไปขอลกู นกหงส์ตัวนนั้ มาแล้วทำพธิ ศี พให้เหมือนกับคน
โดยนิมนต์พระมาสวด ตายายได้อธิษฐานว่าถ้าหากนกหงส์ตัวน้ีเป็นลูกของแกจริง ขอให้ลูกนกหงส์เกิดมา
เป็นลูกของแกท้ังสองอีก แล้วจะสร้างวัดถวายโดยยกท่ีดินท่ีมีอยู่ให้สร้างวัด ต้ังช่ือว่า “วัดนางหงส์” ใน
ทส่ี ดุ ยายถมไดต้ งั้ ทอ้ งลูกคนทีส่ องและคลอดออกมาเปน็ หญงิ จงึ ต้งั ช่ือว่า “นางหงส”์

การละเล่นพนื้ ฐานและนาฏศลิ ป์

การละเล่นพ้ืนบ้าน เป็นศัพท์เฉพาะของคติชนวิทยา คือ “การเล่น” เพ่ือความสนุกสนานและ
การกีฬา ลักษณะการเล่นพื้นบ้าน (ชิคา โมสิกรัตน์, ธนรัฐ ศิริสวัสดิ์, 2527) จำแนกการเล่นเป็น 3
ลักษณะ คือ

การละเล่นพ้ืนบ้านเป็นเกม มีผู้เล่นหลายคน เล่นด้วยความสมัครใจ มีกติกาการเล่น มี
กำหนดเวลาและสถานท่เี ล่นโดยเฉพาะในการเล่น ผเู้ ล่นอาจต้องแสรง้ ทำหรือเลน่ ตามบทสมมติ เช่น โปลิศ
จบั ขโมย จงู นางเข้าห้อง อ้ายเขอ้ า้ ยโขง หมากรุก เป็นตน้

การละเล่นพื้นบ้านที่เป็นการเล่น ลักษณะการเล่นมีผู้เล่นคนเดียวหรือหลายคน เล่นด้วยความ
สมัครใจ ไม่มีกติกากำหนดบังคับการเล่น ส่วนมากเป็นการเล่นท่ีมุ่งความสนุกสนานและไม่มีการแข่งขัน
เชน่ ข่มี า้ กา้ นกล้วย ตีวงล้อ เล่นขายของ เปา่ ใบไม้

การละเล่นพื้นบ้านทเ่ี ปน็ กฬี า ลักษณะการเลน่ เปน็ การแขง่ ขัน มกี ติกาการเลน่ ผู้เลน่ มีพฤติกรรม
ไม่เป็นอิสระ ต้องเล่นตามเวลา สถานที่ท่ีกำหนดไว้ เช่น ชนไก่ กัดปลา มวยไทย แข่งว่าว เล่นสะบ้า
ชว่ งชยั แข่งเรือ เปน็ ต้น

การละเล่นพ้ืนบ้านของไทย แบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ การละเล่นพ้ืนบ้านของเด็กและ
การละเล่นพื้นบา้ นของผูใ้ หญ่
การละเล่นพ้นื บา้ นของเดก็ สว่ นใหญม่ ลี ักษณะเป็นเกม แบง่ ได้ 5 ประเภท คอื

ใช้สมรรถภาพทางกายและความรู้สึกสัมผัส เป็นการเล่นที่ต้องใช้ความสามารถทางร่างกาย และ
ความรู้สึกขณะเลน่ เช่น การเล่นมอญซ่อนผา้ ตจ่ี บั ว่ิงเปย้ี ว เป็นต้น

ใช้กลยุทธ์ในการเล่นโดยใช้สมอง ใช้ไหวพริบ คิดวางแผนในการเล่น เด็กต้องปรับตัวให้ทัน เช่น
การเลน่ เสือตกถงั ลิงชิงหลัก หมากรกุ หมากฮอส เป็นต้น

อาศยั โชค จงึ จะเลน่ ชนะ เชน่ เปา่ ย้ิงฉุบ ทอดลกู เต๋า เปน็ ต้น
การสวมบทมีลักษณะการเลียนแบบสิ่งท่ีผู้เล่นคุ้นเคยและมีความสำคัญ เด็กแต่ละคนสวมบท
เลยี นแบบตา่ งกันไปแล้วแตภ่ มู หิ ลงั ของแตล่ ะคน เช่น ขายดอกไม้ แมงมุม เสือกินวัว ตีไก่ เป็นตน้

๗๑

ผู้เล่นเสียสมดุลทางร่างกาย หรือกลัวสุดขีด ซึ่งลักษณะเล่นโลดโผนทำให้กลัวหรือต่ืนเต้น เช่น
การเล่นชิงชา้ หมนุ นาฬิกา เป็นตน้

นอกจากนั้นศาสตราจารย์พันตรีคุณหญิงผอบ โปษะกฤษณะ ศาสตราจารย์ฐะปะนีย์
นาครทรรพ และศิวพร สุนทรพงษ์เผ่า วิจัยเรื่องการละเล่นเด็กไทยภาคกลาง สรุปลักษณะการเล่น 4
ประการ คือ

การเล่นกลางแจ้งและในรม่
ใช้วัสดหุ างา่ ยในทอ้ งถ่นิ
การเลน่ เป็นหมคู่ ณะ มีกติกาการเลน่
มีบทร้องและโตต้ อบประกอบการเล่น
การละเล่นของเด็กในจังหวัดนครนายก ตามการศึกษาวิจัยโบราณคดีและประวัติศาสตร์เมือง
นครนายกฯ ปรากฏว่าลักษณะส่วนใหญ่เน้นความสนุกสนาน ฝึกทักษะออกกำลังกาย มโี ครงสร้างการเล่น
แต่ละประเภทอย่างง่ายๆ ไม่ซับซ้อน มีลักษณะสัมผัส อาศัยโชค การสวมบทมีการเล่นกลางแจ้ง ในที่ร่ม
ถ้ามกี ารใชว้ สั ดหุ าง่ายในทอ้ งถิน่ เล่นเป็นหมู่คณะมบี ทรอ้ งง่ายๆ โดยจำแนกตามลักษณะดงั นี้
การละเล่นของเด็กประเภทมีเพลง หรือคำร้องประกอบการเล่น ได้แก่ รีรีข้าวสาร จ้ำจ้ี งูกิน
หาง แมงมมุ มอญซ่อนผ้า โพงพาง ไอ้เข้ไอโ้ ขง
ลักษณะภาษาของคำร้อง เป็นภาษาง่ายๆ มีสัมผัสคล้องจองกัน มีความหมายมีจังหวะรุกเร้า
อารมณ์ ไม่เคร่งด้านกฎเกณฑ์ ฉันทลักษณ์ มุ่งความเพลิดเพลินเป็นสำคัญเนื้อร้องเก่ียวกับพืช สัตว์
ธรรมชาตทิ พี่ บเหน็ ในชีวิตประจำวัน คำรอ้ งในการเลน่ ดังกลา่ วมสี ำนวนแตกตา่ งกนั บา้ งในบางพืน้ ท่ี
ตัวอย่างการละเล่นของเด็กประเภทมีเพลงหรือคำร้องประกอบการเล่น มีดังน้ี งูกินหาง เป็น
การละเล่นเลียนแบบธรรมชาติ ด้วยเหตุท่ีสมัยก่อนธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ และงูเป็นสัตว์ที่พบเห็นง่าย
ดงั น้นั เดก็ ๆ จงึ ดดั แปลงมาเปน็ การเล่นท่ีสนุกสนาน ปจั จบุ นั เดก็ เลก็ ๆ ยงั นยิ มเล่นกนั อยู่
ผู้เล่นมีทั้งเด็กชายและเด็กหญิง จำนวนตั้งแต่ 5 คนข้ึนไปถึง 20 คน หาผู้มีบทบาท
สำคัญ คือ “คนเป็น” เป็นพ่อและแม่ อาจมีการอาสาหรือใช้วิธีคัดเลือกโดยใช้วิธีโอนน้อยออก เป่าย้ิงฉุบ
หรือวิธีอน่ื ๆ ผูไ้ ม่เปน็ พอ่ แมก่ เ็ ป็นลูกงู เป็นการเล่นไม่มอี ปุ กรณก์ ารเล่น
วธิ ีเล่น มีพ่องู แม่งู และลูกงู ผู้เป็นแม่งูให้ลูกงูจับเอวต่อๆ กนั ฝ่ายพ่องูจะมาถามตอนสุดท้ายไล่
จบั ลูกงู ลกู งูคนไหนถูกจับได้ พ่องูถามว่าจะอยูก่ ับพอ่ หรืออยู่กับแม่ ลูกงูจะตอบถ้าอยู่กับพ่อก็มาอยู่กับฝา่ ย
พ่อ ถ้าอยู่กับแม่ก็ต่อท้ายเล่นไปเรื่อยๆ ขณะถามคำถามให้ทำท่าทางประกอบด้วย เช่น การโยก การย้าย
การบิน
คำรอ้ ง “งกู ินหาง”
พ่องู “แมง่ เู อย๋ กนิ นำ้ บอ่ ไหน”
แม่งู “กินนำ้ บอ่ โศก โยกไปก็โยกมา”
พ่องู “แม่งูเอ๋ย กินนำ้ บอ่ ไหน”
แมง่ ู “กินนำ้ บอ่ ทราย ย้ายไปกย็ ้ายมา”
พอ่ งู “แม่งูเอย๋ กินนำ้ บ่อไหน”
แม่งู “กนิ นำ้ บอ่ หนิ บนิ ไปก็บนิ มา”
พอ่ งู “กินหวั กนิ หางกนิ กลางตลอดตวั ”

เมอ่ื ลูกงูตัวไหนถกู จับได้ พอ่ งจู ะถาม

๗๒

พ่องู “จะอยู่กบั พอ่ หรอื อยูก่ ับแม”่
ลกู งู “อยู่กับพอ่ ”
พ่องู “หักคอจมิ้ ปลารา้ ” หรอื “หักคอจ้ิมน้ำพริก”
ลกู งู “อยู่กบั แม่”
พอ่ งู “แร่เนอื้ เอาเกลอื ทา” หรอื “ลอยแพไป”
ประโยชน์ที่ได้รับนอกจากความสนุกสนานแล้ว ยังสามารถฝึกความสามัคคีในหมู่คณะ เช่น
ท่าทางในการบิน การโยก การย้าย และเป็นการออกกำลังกายไปในตัวด้วยส่วนบทร้องนั้นเป็นพ้ืนฐานใน
การฝึกทกั ษะด้านภาษาไทยในการพูดคลอ้ งจอง สามารถพฒั นาเป็นการใชภ้ าษาได้ดียิ่งข้นึ
การละเล่นประเภทออกกำลังกาย เป็นการละเล่นท่ีต้องใช้กำลังกายมาก เช่น ตี่ การฟักไข่ เล่น
เตย ปล้ำเขตแดน เปน็ ตน้ ทำใหผ้ เู้ ล่นเกิดพลานามัยทแ่ี ขง็ แรงสมบรู ณ์
ตัวอยา่ งการละเลน่ ของเด็กประเภทการออกกำลงั กาย มดี ังน้ี
ต่ีจับหรือปล้ำชิงแดน เป็นการเล่นท่ีค่อนข้างซับซ้อนกว่าประเภทแรกคงพัฒนามาจากการเล่นไล่จับกัน
ผู้เลน่ เปน็ เดก็ คอ่ นข้างโต
จำนวนผู้เล่นตั้งแต่สิบคนข้ึนไป แบ่งฝ่ายด้วยวิธีโอน้อยออก หรือมากออกหรือจับคู่เป่า
ย้งิ ฉุบก็ได้ ไมม่ อี ุปกรณใ์ นการเลน่
วิธีเล่น แบ่งผู้เล่นเป็นสองฝ่ายๆ ละเท่าๆ กันโดยขีดเส้นยาวคั่นกลางแบ่งเขตส่วนการเล่นตกลง
กันว่าฝ่ายใดเร่ิมเล่นก่อน หรือใช้วิธีเสี่ยงทายโดยส่งตัวแทน 1 คน ทำเสียงตี่ไม่ให้เสียงขาด วิ่งไปแตะฝ่าย
ตรงข้าม ฝ่ายที่ถูกแตะต้องจับไว้จนกว่าเสียงร้องตี่จะหมด แล้วจับเป็นเชลย แต่ผู้ท่ีเข้าไปแตะแล้วรีบ
กลับไปถงึ เสน้ ก่อนหมดเสียงย่อมไดผ้ ู้ทถ่ี ูกแตะเป็นเชลย
ไม่มบี ทรอ้ ยประกอบ
การเล่นต่ีจับนี้นอกจากผู้เล่นจะได้ออกกำลังกายแล้วยังได้ฝึกทักษะไหวพริบ ฝึกความ
อดทน ส่วนการออกเสียงเป็นประโยชน์แก่รา่ งกายทำให้ปอดแขง็ แรงย่งิ ขนึ้
การละเล่นประเภทฝึกทักษะ การละเล่นของเด็กสว่ นใหญ่เป็นการฝึกทกั ษะในตวั เพราะ
อาศัยไหวพริบ สติปัญญา และประสบการณ์ระหว่างการเล่นให้อยู่ในกฎกติกาขณะเดียวกนั ก็พยายามเล่น
ให้เปน็ ผชู้ นะ การละเล่นท่มี ุ่งเนน้ ฝึกทกั ษะโดยตรง เช่น อตี กั ใชท้ ักษะในการตัก การเล่นลกู ชา่ ง อาศัยการ
ฝึกทกั ษะอย่างมากในการขวา้ ง หรือเลน่ ลูกสะบา้ เปา่ ปี่ใบตอง ใบไม้ ซงั ข้าว และการตดั กระดาษ
ตวั อย่างการละเล่นประเภทฝึกทกั ษะ มดี ังตอ่ ไปนี้
อีตัก เป็นการละเล่นของเด็กที่ได้แบบอย่างการทำงานของผู้ใหญ่ เช่น การนับ นำมาผสมผสานกันโดยใช้
วสั ดุธรรมชาติใกล้ตัว เช่น เมลด็ นอ้ ยหนา่ เมลด็ มะขาม มะขามเทศ ฯลฯ
วิธีเล่น ผู้เล่นตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปน่ังล้อมวงกัน แต่ละคนมีเมล็ดพืชจำนวนหนึ่งตกลงกันว่าจะวาง
เมลด็ พืชคนละเทา่ ไร (เท่ากนั ทุกคน) ผูเ้ ลน่ คนแรกทอดเมลด็ พืชให้กระจายในกรอบทขี่ ีดไว้ แลว้ ใชก้ ระดาษ
ที่พับจีบเป็นรปู กระทงหรือชอ้ น ช้อนตักเมล็ดทลี ะเมลด็ ถา้ ตักไปถูกเมลด็ อื่นตอ้ งเปล่ียนคนเล่นคนต่อไป
การละเล่นประเภทแข่งขัน (มีการแพ้-ชนะ) การละเล่นของเด็กในจังหวัดนครนายกส่วนใหญ่
นยิ มการละเล่นประเภทเร้าใจโดยอาศัยเรอื่ งการแพ้-ชนะเป็นประเด็นสำคัญในการเล่น หากมกี ารแบ่งเป็น
2 ฝ่ายย่อมเป็นการแพ้-ชนะเป็นการละเล่นในกลุ่มเดียวกันจะเป็นการแพ้-ชนะของบุคคลภายในกลุ่ม
เดียวกัน มีการผลัดกันแพ้ชนะ คนแพ้จะถูกปรับโทษในรปู แบบต่างๆ เช่น ต้องเปล่ียนไปเล่นในตำแหน่งท่ี
เป็นศูนย์กลางการเล่น อาทิ การฟักไข่ มอญซ่อนผ้า บ้องโพล้ะ ปืนก้านกล้วย แอสสะไบ (ซ่อนแอบ)

๗๓

เป็นต้น การตกเป็นเชลยต้องไปอยู่กับอีกฝ่ายหน่ึง อาทิ ต่ี เตย เป็นต้น หรืออาจได้ช่ือเพียงเป็น “ผู้ชนะ-ผู้
แพ”้ แลว้ เรม่ิ ตน้ เล่นกันใหม่

ตัวอย่างการละเล่นประเภทมกี ารแพ้-ชนะ มีดังน้ี
การฟักไข่ เป็นการเล่นที่เลียนแบบธรรมชาติ ซ่ึงสมัยก่อน “อีกา” เป็นนกที่มีชุกชุมตามต้นไม้ในบ้าน
ดังน้นั การเล่นชนดิ น้จี ึงสอดคล้องกบั ธรรมชาติ สะทอ้ นให้เห็นธรรมชาตอิ ันอดุ มสมบรู ณ์เปน็ อย่างดี

วิธีเล่น เล่นต้ังแต่ 2 คนขึ้นไป ให้ผู้เล่นหาก้อนหิน กะลา หรือกาบมะพร้าวคนละอัน สมมติว่า
เป็นไข่ของกามาวางรวมกันไว้กลางวงที่ขีด สมมติเป็นรังของกา คนเป็นกา 1 คน นอกนั้นเป็นสัตว์อ่ืนที่
คอยลักไข่ของกา เวลากาเผลอหรือกำลังคลานใช้ขาไล่เตะคนอ่ืน กาต้องคลานแล้วใช้เท้าเตะคนท่ีมาลักไข่
ถ้าเตะผู้ใดผู้นน้ั จะเปน็ กาฟกั ไข่ต่อ

ประโยชน์ของการเล่น เปน็ การฝกึ ไหวพรบิ การออกกำลงั กายของผเู้ ล่น
การละเล่นประเภทให้ความสนุกสนาน การละเล่นของเด็กทุกประเภทล้วนมีความสนุกสนาน
เป็นองค์ประกอบ แตก่ ารละเลน่ บางประเภทก็เน้นความสนุกสนานเป็นหลักโดยไม่มีองค์ประกอบแพ้-ชนะ
เชน่ แมงมมุ ขี่ม้ากา้ นกล้วย ลากกาบหมาก บ้องโพล้ะ ปืนก้านกลว้ ย เป็นตน้ อยา่ งไรกต็ ามในบางกรณีเด็ก
อาจนำการแพ้-ชนะเข้าไปเป็นองค์ประกอบของการละเล่นเหล่านั้น เช่น กรณีการเล่นแมงมุม ปกติจบลง
ด้วยการปล่อยมือท้ังหมดลงอย่างรวดเรว็ แต่เด็กอาจเพิ่มกติกาให้ทุกคนปิดหูให้เรว็ ท่ีสุดหลังจากร้องเพลง
จบ คนท่ชี า้ กว่าต้องออกจากการเล่นไป เปน็ ต้น
ตัวอย่างการละเล่นประเภทใหค้ วามสนุกสนาน มีดงั น้ี
แมงมุม การเล่นแมงมุมเป็นการละเล่นที่เลียนแบบธรรมชาติ ด้วยเหตุที่แมงมุมเป็นสัตว์ที่พบได้ใน
บ้านเรือน ทำให้เดก็ ๆ เห็นสภาพแมงมมุ ชกั ใยตลอดจนวงจรชีวติ ของแมงมมุ
วิธีเล่น ผู้เล่นจับหลังมือในลักษณะจีบน้ิวต่อๆ กันขึ้นมา ขณะท่ีเล่นก็ร้องเพลงแมงมุมว่า “แมง
มุมเอยขยุ้มหลังคา แมวกินปลาหมากัดกระพุ้งก้น” แล้วทุกคนยกมือปดิ หใู ห้เร็วที่สุด คนท่ียกช้ากว่าต้อง
ออกจากการเลน่ ไป

ประโยชนท์ ีไ่ ด้รับ คือ ความสามัคคี ความสนุกสนาน
การละเล่นของเด็กในจังหวัดนครนายกจึงประกอบด้วยการละเล่นท่ีหลากหลาย มีท้ัง
เพลงหรือคำร้องประกอบช่วยให้การเล่นมคี วามเพลิดเพลิน สนุกสนาน ส่วนการเล่นบางประเภทเน้นเร่ือง
การออกกำลังกาย การฝึกทักษะในด้านต่างๆ ตลอดจนประเภทท่ีมีองค์ประกอบของการแพ้-ชนะใน
รปู แบบต่างๆ เป็นเครอ่ื งเรา้ ใจในการเลน่
อย่างไรก็ตามการละเล่นของเด็กมีความแตกต่างจากการละเล่นพื้นบ้าน คือ การละเล่น
ของเด็กไม่จำกัดเทศกาล เป็นการเล่นในชีวิตประจำวันท่ีมีกฎกติกาตามลักษณะของการละเล่นน้ัน ไม่
เก่ียวขอ้ งกบั พธิ ีกรรมและความเชอื่ ในเรอื่ งผี สว่ นการละเลน่ พนื้ บ้านมีลักษณะตรงขา้ มกบั ลกั ษณะดงั กล่าว
การเล่นของเด็กในปัจจุบันจะเปล่ียนแปลงไปในลักษณะของการเลียนแบบสมัยใหม่ ทำ
ให้ลักษณะการเล่นเช่นสมัยโบราณท่ีได้ออกกำลังกาย ฝึกปัญญา มีความสามัคคี ส่งเสริมกันอยู่เป็นหมู่
คณะ (การเข้าสังคม) ลดน้อยลงไปมาก ดังนั้นจึงควรจะได้อนุรักษ์ฟื้นฟูส่งเสริมต่อไปการละเล่นพ้ืนบ้าน
ของผู้ใหญ่ เป็นการละเล่นท่ีเน้นเอกลักษณ์และแบบอย่างเฉพาะท้องถ่ินของตน ซ่ึงได้สืบทอดมาแต่อดีต
จนถึงปัจจุบัน เช่น มหรสพ ดนตรี เพลงพื้นบ้าน และกีฬา เป็นกิจกรรมหรือการเล่นที่ให้ความสนุกสนาน
เพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายแข็งแรง ผ่อนคลายความเคร่งเครียดทางจิตของผู้เล่นและผู้ดู ในจังหวัด

๗๔

นครนายกมีการละเล่นของผู้ใหญ่ท่ีมีลักษณะคล้ายกับภาคกลางโดยทั่วไป แต่ท่ีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ
จังหวดั คอื เพลงพนื้ บ้าน
มหรสพ ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 หน้า 628 อธิบายว่าเป็น
การละเลน่ รื่นเริง มโี ขน หรอื ส่งิ คล้ายคลึงกัน โดยนัยมหรสพมีทั้งผู้แสดงและผู้ดู การร้องรำ รา่ ยรำอาจเล่น
เปน็ เรอื่ งกไ็ ด้ เชน่ ลิเก หนงั ตะลุง หนังใหญ่ เปน็ ตน้

จังหวัดนครนายกนิยมมหรสพที่แพร่หลายในงานของคนทุกระดับ เช่น ลิเก หนังตะลุง
ต่อมาเม่ือพัฒนาการแล้วจึงมีภาพยนตร์ฉายเร่ตามวัด หรือมีผวู้ ่าจ้าง (เจ้าภาพ) ให้แสดงในงานของตน ซึ่ง
สว่ นมากเป็นงานฌาปนกิจศพ สว่ นในเทศกาลอ่นื ๆ ไมม่ กี ารเล่นมหรสพยกเวน้ งานประจำปขี องวดั ต่างๆ
ลิเก จังหวัดนครนายกมีลักษณะของการเล่นลิเก เร่ิมแรกวงปี่พาทย์จะโหมโรงไหว้ครูแล้วออกแขก
ประกาศเร่ืองที่จะแสดง ต่อจากนั้นนักแสดงจึงแสดงตามเน้ือเร่ืองเป็นเรื่องราวใช้คำร้องเป็นกลอนคล้อง
จองกัน มบี ทพูดคน่ั เปน็ ชว่ งๆ จนจบเรือ่ งทีแ่ สดง มกี ารรำประกอบการร้องดว้ ย

เครื่องแต่งกายตัวพระ ตัวนาง ตัวโกง มีชฎา เส้ือกก๊ั ตดั เพชร สังวาล ธนูบ่า เข็มขัด ผ้านุ่ง
กำไลขอ้ เทา้ ถงุ เทา้

ลิเกที่มีช่ือเสียงของจังหวัดนครนายก ได้แก่ คณะมนตรีลูกบ้านโพธ์ิ คณะคำวัจนัง
ปัจจุบนั แมล้ ิเกจะเปน็ มหรสพที่ไมค่ อ่ ยนิยมกนั แต่ก็ยงั พอมีแสดงอยบู่ ้าง
หนังตะลุง เล่นเร่ืองรามเกียรต์ิ มีตัวตลก โปด ปาด เปลือย คณะหนังตะลุงท่ีมีชื่อเสียงคือ นายนุ่ม (บ้าน
ไร่) ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว เป็นคณะท่ีมีตัวหนังตะลุงอยู่ครบ ต่อมาได้มอบให้แก่คณะหนังตะลุงของ
จงั หวดั ปราจีนบุรี ซ่งึ มนี ายเจรญิ นาคมณี (บ้านศรนี าวา) เป็นผสู้ บื ทอดปัจจบุ นั ถงึ แก่กรรมแล้ว
การแข่งเรือ เน่ืองจากสภาพภูมิศาสตร์ของจังหวัดนครนายกมีแม่น้ำสายหลักคือ แม่น้ำนครนายก ทำให้
คมนาคมส่วนใหญ่เป็นเรือ โดยเฉพาะในฤดูน้ำหลากนิยมการละเล่นแข่งเรือ ซ่ึงเป็นการแข่งขันที่มีมานาน
แลว้ โดยไมม่ ีรางวัลใหแ้ กผ่ ู้ชนะนอกจากขอนัดเทย่ี ว (พายเรือ) กับผูแ้ พ้แขง่ เรือ

การแข่งขันต้องหาสนามแข่งเรือตามท่าน้ำและวัดต่างๆ เช่น วัดสุวรรณ วัดท่าทราย วัด
กลางโสภา วัดศรีเมือง ตลาดวังกระโจม และวดั โพธ์ิฯ โดยเลือกสนามแข่งขันเป็นเส้นทางตรงไม่มีโค้ง (คุ้ง
นำ้ ) มจี ดุ เร่มิ ตน้ และเสน้ ชยั ใหป้ กั ธงสวยงาม

สว่ นอุปกรณ์คือเรือ อาจเป็นเรอื ขุด เรือมาด หรือเรือแข่งสุดแต่ฝีพาย ขนาดเรือ แล้วแต่
ความเหมาะสม เรือที่มีช่ือเสียงของตำบลท่าทราย คือ เรือบายศรีจำปาทอง เรือหงส์ เรือม่วง ซ่ึงเป็นเรือ
ขดุ

เร่ิมการแข่งขันเม่ือคู่แข่งถึงจุดเร่ิมต้นที่กำหนดแข่งขัน มีการเชียร์อย่างสนุกสนานโดยมี
เรอื ต่างๆ มารว่ มกันเชยี ร์ ปจั จบุ นั มีการแขง่ ขนั ในประเภทความเร็วและสวยงาม

ลักษณะเด่นของเรือที่ตำบลท่าทราย คือมีการเล่นเพลงพวงมาลัยเรือ ใช้กระทุ่มน้ำเป็น
จงั หวะรอ้ งกนั สนุกสนาน มีพ่อเพลงและแมเ่ พลง เช่น เพลงพ้ืนบา้ นทวั่ ไป ลูกคู่จะร้องรับวา่ “เอย” อาทิ

“พวงมาลัยควรหรือจะไปจากหอ้ ง ลอยละลอ่ ง ไปหอ้ งไหนเอย”
ตัวอย่าง ชาย :“ดอกเอ๋ย (ฮ่าไฮ้) เจ้าดอกจำปี มาพบน้องวันน้ีของผูกไมตรี สักรายเอ๋ย” ต่อจากนั้นลูกคู่
รับ ส่วนแม่เพลงร้องตอบ สลบั ไปมา

ดอกไม้ท่ีจะร้อง ได้แก่ จำปา พิกุล มณฑา กระดังงา สายหยุด เพกา ก็จะใช้กลอนอา ลี
ไล ใหค้ ล้องจองกนั เป็นที่สนกุ สนาน (สมั ภาษณ์นายหมอน อุดมเวช, 24 ตุลาคม 2540.)

๗๕

นอกจากน้ันการศึกษาวิจัยโบราณคดีและประวัติศาสตร์เมืองนครนายกตามแนว
พระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แบ่งการละเล่นเป็น 2 ลักษณะ คือ
แบ่งตามวาระและโอกาสทเี่ ล่น แบ่งตามลักษณะเพลงเล่น ดังต่อไปนี้

การละเลน่ ตามวาระหรือโอกาส ไดแ้ ก่
การละเล่นในเทศกาลต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นการละเล่นในเทศกาลสงกรานต์ เช่น วิ่งวัว

ลิงลม แม่ศรี ต่อไก่ ตีลูกคลี ช่วงเชลย (ลูกช่วง) ผีนางด้ง ผีลอบ ผีข้อง ผีอีจู้ นางช้าง นางสุ่ม นางอึ่ง เป็น
ต้น การละเลน่ ประเภทน้มี ีการสบื ทอดมาจนถึงปัจจุบนั แมว้ า่ ความนิยมนอ้ ยลงแตย่ ังพบในบางพื้นที่

การละเล่นในงานร่ืนเรงิ ท่ัวๆ ไป เช่น กลองยาว รำวง ลำตดั หมอลำ ลำพวน ลเิ ก เป็น
ตน้ การละเล่นประเภทน้ียงั สบื ทอดมาจนถึงปัจจุบัน แต่มีลักษณะของ “การละเล่นพ้ืนบ้าน” น้อยลง โดย
มลี ักษณะของการแสดงอาชีพมากข้ึน

การละเล่นตามลักษณะเพลงเล่น ได้แก่
การละเล่นที่เกี่ยวข้องกับความเช่ือเรื่อง “ผี” ตามการศึกษาพบว่า ชาวบ้านมี

การละเล่นหลายประเภทที่เก่ียวข้องกับความเช่ือเร่ือง “ผี” ได้แก่ แม่ศรี ลิงลม ผีนางด้ง นางสาก ผี
กระด้ง ผีลอบ นางข้อง ผีอีจู้ นายช้าง นางสุ่ม และนางอ่ึง ผู้เล่นจะร้องเพลงพ้ืนบ้านเก่ียวกับการเชิญผีให้
เข้าผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง ผู้ท่ีผีเข้าย่อมมีพฤติกรรมต่างๆ ตามประเภทของผีนั้นๆ หรืออาจตอบปัญหาต่างๆ
ใหส้ นุกสนานตามลักษณะของผู้เล่นด้วยกนั เม่ือพิจารณาชอื่ และอุปกรณ์ทใ่ี ช้ในการละเล่นแล้วส่วนใหญ่จะ
สัมพันธ์กับอุปกรณ์ท่ีใช้ในสังคมการเกษตร เช่น ลอบ ข้อง อีจู้ สุ่ม และอุปกรณ์ในครัวเรือน เช่น กระด้ง
สาก แมแ้ ตอ่ ุปกรณท์ ใ่ี ชใ้ นการเล่นลงิ ลม คือ สาก และอุปกรณ์ท่ใี ช้ในการเลน่ แม่ศรี คอื ครก

การละเล่นท่ีไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่อง “ผี” เช่น วิ่งวัว ต่อไก่ ชักเย่อ ช่วงเชลย ตี่
หรือปล้ำชิงแดน ตีลูกคลี กลองยาว รำวง ลำตัด เป็นต้น การละเล่นประเภทน้ีเป็นการละเล่นเพ่ือความ
สนกุ สนานทวั่ ไป

การละเล่นพืน้ บ้านของจังหวัดนครนายก มีดงั น้ี
ตอ่ ไก่ เป็นการละเลน่ พ้ืนบา้ น

วิธีเล่น แบ่งผู้เล่นเป็นสองฝ่าย คอื ฝา่ ยชายและฝ่ายหญิง แตล่ ะฝ่ายจะเอาผ้าคลุมคนเป็นไก่ของ
ฝ่ายตัวเอง แลว้ อุ้มไกข่ องแต่ละฝา่ ยมาวางไว้ข้างๆกนั คนท่มี ีผ้าคลุมตอ้ งขนั เสียงไก่ให้แตล่ ะฝ่ายทายว่าเป็น
ใคร ถา้ ทายถกู ก็เป็นฝา่ ยชนะ ฝ่ายทแี่ พ้จะตอ้ งรอ้ งรำทำเพลง (ปัจจุบันเลิกเลน่ แล้ว)
ช่วงเชลย ลกู ช่วง เป็นการละเลน่ พื้นบา้ น

วิธเี ลน่ แบ่งผู้เล่นเป็น 2 กลุ่ม คือ หญิง 1 กลุ่ม ชาย 1 กลุ่ม ยืนอยตู่ รงข้ามกันหา่ งกันพอสมควร
ใช้ผ้าขาวม้าบดิ เปน็ เกลียวแล้วโยนใหฝ้ ่ายตรงข้ามรับ ฝ่ายที่รบั ไม่ได้ต้องเป็นเชลย เมอื่ เลน่ จนหมดแล้วฝา่ ย
ใดแพเ้ ปน็ ฝา่ ยรำ (ปจั จุบนั เลิกเลน่ แล้ว)
ผีแมศ่ รี เปน็ การละเลน่ พืน้ บา้ น

วิธีเล่น ให้ผู้หญิงแต่งกายสวยงามนั่งบนก้นครก เท้าวางบนสาก 2 อัน พนมมือถือธูปเทียน
ดอกไมแ้ ละรอ้ งคำเชญิ พรอ้ มเคาะไมไ้ ผห่ รือกะลาเป็นจงั หวะ

คำรอ้ งเชิญเข้าผแี มศ่ รี มใี จความดังน้ี
แม่ศรีเอย แม่ศรีสาวสะ ยกมือไหว้พระก็จะมีคนชม คิ้วเจ้าก็ต่อ คอเจ้าก็กลม ชักผ้ามาห่ม ชมแม่
ศรเี อย

๗๖

ผีมาแล้วโว้ย ฝีมาแล้ววา ผีมาไม่ได้ ไต่ไม้ลงมา เอาหนามพุทราเกี่ยวหน้าผีไว้ หมากก็ซอง พลูก็
ซอง นกเอ้ียงเสียงทอง พานรองเชด็ หน้า

เชิญเอย เชิญองค์ เชญิ พระองค์สิบทิศ องค์ไหนศักด์ิสิทธิ์ เชิญเนรมิตลงมา เครื่องเซ่นเคร่ืองเหล้า
เคร่ืองข้าวใบตองแตก ผีตายวัดท่าแขก มาลงเด็กน้อยตาดำ คำน้ีแม่จะมา เคร่ืองเซ่นเครื่องเหล้า เคร่ือง
ข้าวใบขอ่ ย ผีตายวัดส้มป่อย มาลงเด็กน้อยตาดำๆ ตาเอยตาดำ ค่ำนี้แมจ่ ะมา (ใบ...กบั วดั ...ต้องคล้องจอง
กนั )
รำวง เป็นการละเลน่ พื้นบา้ น

วิธีเล่น ผู้หญิงน่ังเป็นวง ผู้ชายเข้ามาโค้งคำนับฝ่ายหญิงท่ีตนพอใจ กองเชียร์ ตีกลองให้จังหวะ
นักร้องร้องเพลงเชียร์ตลอดงาน ฝา่ ยหญงิ เดนิ รำนำหนา้ ฝา่ ยชาย ออกท่ารำตามจังหวะและทำนองเพลง

การเล่นรำวงที่รู้จกั กันดีของชาวนครนายก ไดแ้ ก่ รำวงท่ีอำเภอบ้านนา เป็นรำวงที่รักษา
เอกลักษณ์อย่างดยี งิ่ แต่เดิมเมื่อชาวอำเภอบา้ นนาทำบญุ กนั หลงั จากวันตรุษไทย และสงกรานต์แล้ว เวลา
กลางคืนมีรำโทน ใช้โทนตีให้จังหวะ และร้องเพลงที่แต่งขึ้นเป็นเพลงง่ายๆ ส้ันๆ เนื้อร้องสนุกสนาน หรือ
เกยี้ วพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาว เรยี กว่า รำโทน

ตอ่ มาภายหลังได้นำเอากลอง “รำมะนา” มาตีแทนโทน เน่อื งจากมีความไพเราะกวา่ แต่
ยงั คงเรียกว่า รำโทน ลักษณะการรำเป็นวงกลมรอบๆ โต๊ะ หรือพุ่มดอกไม้ท่ีต้ังไว้กลางลานบ้าน ภายหลัง
จึงเรียกวา่ “รำวง”

การเตรียมตัวรำโทน คือ หาลานบ้านกว้างๆ ปรับที่ให้เตียน ต้ังโต๊ะ หรือพุ่มดอกไม้ตรง
กลาง แล้วประดับกระดาษสายรุ้ง ปักไม้ไผไ่ ว้ตรงกลาง มีตะเกียงเจ้าพายุหรือดวงไฟที่จะให้แสงสวา่ งตั้งไว้
กลางวง พอถึงเวลากลางคืนสาวๆ แต่งตั้งสวยงามนั่งตามเก้าอ้ีทีจ่ ัดไว้ เมื่อเสียงตีโทนหรอื รำมะนา บรรดา
หนุ่มๆ เข้าไปโค้ง รำประมาณ 5-6 รอบ แล้วเสียงเป่านกหวีดพัก แล้วสาวๆ จะน่ังรอหนุ่มอื่นมาโค้งเพื่อ
รำวง ส่วนหลังจากนั้นชายหนุ่มอาจไปรำวงตามหมู่บ้านอ่ืนๆ ต่อไป ประมาณเที่ยงคืนจึงกลับบ้านของ
ตนเอง อย่างไรก็ตามหนุ่มสาวบางคอู่ าจลงเอยด้วยการแต่งงานกัน
กลองยาว เปน็ การละเลน่ พน้ื บ้าน

วิธีเล่น การเล่นกลองยาวบางคร้ังอาจนง่ั เล่นเปน็ วงกอ่ น หรอื หลังพิธีสงฆใ์ นงาน บางครั้งเดินเล่น
นำหน้าการแห่นาคก่อนเข้าบวชในโบสถ์ แห่นำหน้าองค์กฐิน เป็นต้น การเล่นกลองยาวน้ันส่วนมากเป็น
ชายลว้ น การแต่งกายน่งุ กางเกงขาก๊วย หรอื กางเกงธรรมดา เส้ือม่อฮอ่ ม และคาดเอวด้วยผ้าขาวมา้
ลำลาว ลำพวน เป็นการละเล่นพน้ื บ้าน

วิธีเล่น หมอลำจะเป่าแคน มีชายหญิงรำและร้องเป็นภาษาพวน 1 คู่ คำร้อง (ลำ) เป็นการ
ทักทายปราศรัยกนั ว่าแก้กัน เกี้ยวพาราสี ร้องถามเร่ืองราวโต้ตอบกัน ฝ่ายใดร้อง (ลำ) โต้ตอบไม่ได้ถือว่า
เปน็ ฝ่ายแพ้

ตวั อยา่ งคำรอ้ ง “ลำลาว” “ลำพวน” มีความดังนี้
อันหนึง่ นั้น จนเงนิ จนทอง จนของใช้ยังบท่ ่อจนจิต จนปญั ญาความคดิ กะวา่

จนเหลือหลาย อดสา ฝึกฝนไว้ ปัญญาไว้ให้ใสส่ อ่ ง อันนีไ้ ทยพ่นี ้อง จงจำไวใ้ ส่ใจ อนั
ขอ้ สองนัน้ คันอยากมเี งินใช้ ให้เจ้าหมืน่ ขยนั หา ยามได้มาเก็บรวบรวมเอาไว้ คนั เฮา
มเี งนิ ใช้ สบายใจ บล่ ำบาก คิดอยากใช้อย่างใดได้ดง่ั หมาย อนั วา่ ข้อสามนน้ั อย่าให้
มีพยาธิ ฮ้ายเกิดโรคโรคา ให้รกั ษาอนามัย ตรวจตราดกู า้ น อนั ของเฮาควรใช้ กิน
นอนใหส้ ะอาด โรคพยาธิ บใ่ กล้กส็ ุขลว้ นอยู่เกษม

๗๗

ลำพ้ืน เปน็ การละเลน่ พนื้ บ้าน
วิธีเล่น หมอลำพนื้ แบง่ เป็นฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ฝา่ ยละกค่ี นก็ได้ลำ (ร้อง) โต้ตอบกัน หรือจะมี

เฉพาะหญิง หรือชายเด่ียวๆ ก็ได้ การลำพ้ืนเพ่ือให้ระลึกถึงถ่ินกำเนิดท้องถิ่น ความรัก ความกตัญญู
ศาสนา ฯลฯ มหี มอแคนเปา่ แคนคลอ แตง่ กายแบบพ้นื บ้าน
ดนตรี ลักษณะดนตรีพื้นบ้านของจังหวัดนครนายกเหมือนภาคกลางทั่วไป เช่น ขลุ่ย ปี่พาทย์ จ้องหน่องมี
บา้ ง แตใ่ นปจั จุบันไมพ่ บแลว้

กลุ่มไทยพวนมีการเป่าแคน ชาวบ้านนานิยมเล่นกลองยาว นอกจากนั้นในอำเภอต่างๆ มีวงปี่
พาทยป์ ระปรายตามบ้าน
กีฬา กีฬาพื้นบ้านของจังหวัดนครนายกส่วนใหญ่ต้องใช้กลยุทธ์และสมรรถภาพทางร่างกายเป็นหลักใน
การเล่น ได้แก่ หมากรุก ตะกร้อ แข่งเรือ มีจำพวกใช้สัตว์เป็นอุปกรณ์การเล่นบ้าง เช่น ตีไก่ กัดปลา แข่ง
เรือ เป็นตน้ สว่ นใหญเ่ ล่นเม่ือวา่ งจากการทำนาฤดูนำ้ และออกพรรษา
เพลงพื้นบ้าน เป็นการละเล่นที่มีบทร้องประกอบเน้ือหาโต้ตอบ ใช้ปฏิภาณไหวพริบกันเรียกว่า เพลง
ปฏิพากย์ จังหวัดนครนายกมีเอกลักษณ์ทางเพลงพื้นบ้าน ได้แก่ เพลง (โช้) หน้าใย เพลงระบำ “บ้านนา”
และเพลงบวชนาค นอกจากนั้นยังมีเพลงฉ่อย ลำตัด เพลงขอทาน อีแซว ช้างชัก เป็นต้น เพลงพ้ืนบ้าน
ของชาวพวน คอื ลำพวน ส่วนกลมุ่ ลาวเวยี ง มีการเล่นลำพ้ืน และหมอลำ

อนึ่งจังหวัดนครนายกได้สืบทอดการอนุรักษ์และเผยแพรเ่ พลงพ้ืนบ้านนครนายกเป็นมรดกสำคัญ
ของท้องถิ่น โดยเฉพาะผลสัมฤทธิ์ในการศึกษาเพลงพื้นบ้านภาคต่าง ๆ ของ “นายเอนก นาวิกมูล”
ศลิ ปนิ แหง่ ชาติทำใหเ้ พลงพื้นบ้านได้เผยแพรล่ ่อู นุชนอยา่ งแท้จริง
เพลงหน้าใย (โช้) เป็นเพลงพื้นบ้าน เล่นกันในจังหวัดนครนายกแต่ไม่ค่อยแพร่หลาย นายแสวง ดอกบัว
พอ่ เพลงชาวบางลูกเสือ อำเภอองครักษ์ไดเ้ ล่าวา่ เพลงนี้เล่นกนั มานานครัง้ ปู่ย่า เล่นเฉพาะแถบหมู่บ้านบาง
ลูกเสือเท่านั้น ในบริเวณอื่นๆยังมีเล่นบ้าง เช่น ตำบลโพธ์ิแทน เล่นโดยไม่จำกัดจำนวน แบ่งเป็นพ่อเพลง
แมเ่ พลง และลกู คู่ ผู้เล่นจำนวน ๕ คน ขึน้ ไปก็เลน่ ได้

วธิ เี ล่น นง่ั เลน่ บนศาลา หรือนงั่ เลน่ ในเรือ เมื่อพอ่ เพลงแมเ่ พลงร้องจะมีลูกคู่รบั ว่า “โช้” และสอด
ตรงกลางว่า “เชยี แม่เชียะ” ตรงกลางร้องรับทวนอีกคร้ัง และลงท้ายวา่ “เอย๋ หรอื เอย” เช่น (โช้) “ใยเอ๋ย
ใยยำพ่ีไมว่ ายจะรำ่ จากจะรำใยเอย”

การเล่นเพลงหน้าใย (โช้) ไม่มีดนตรีประกอบ ใชแ้ ต่มือตบพื้นกระดานเล่นในโอกาสหลังทอดกฐิน
ผา้ ป่า ฤดูน้ำ เวลาท่ีเล่นคือตอนเย็นถึงกลางคืน อาจครงึ่ คืนหรือตลอดคืนก็ได้ ทำให้ได้รับความสนุกสนาน
และเพ่ิมความสามคั คใี นหมู่คณะ การเล่นเพลงหน้าใย (โช)้ ในปจั จุบันเกอื บจะไม่มีเล่นเป็นวงแลว้ มแี ต่ร้อง
สาธิตเท่านั้น

ตัวอยา่ งเพลงหนา้ ใย (โช้)
(พ่อเพลงไหว้ครู) จอกน้อยลอยลมคล่ืนกระทบฝ่ังเอย...(ลูกคู่...โช้) ยกมือข้ึนสิบน้ิว ยกข้ึนหว่าง
ค้ิวเสมอเศยี ร ต่างธปู เอยเทียน ลูกคู่สอด โฮ้แม่โช้ (เชียะพอ่ เชยี ะ) ดอกไม้ยกขน้ึ ครเู ล็ก ยกขึน้ ทางซ้าย แล้ว
ไปทางครูใหญ่ (สอดเพลง) ยกขึ้นทางขวา ลูกจะยกคุณผู้...น้องเอ๋ยแม่เจ้า ข้ึนไปวางบนเกล้า ลูกชายขอให้
ข้ึนคล่องลงคล่องไปเหมือนช่องน้ำไหลเอย... (สัมภาษณ์นายหมอน อุดมเวช,ตำบลท่าทราย, ๒๔ ตุลาคม
๒๕๔๑)

๗๘

เพลงระบำ “บา้ นนา” การเล่นเพลงระบำในจงั หวัดนครนายก สว่ นใหญ่เล่นในงานมงคล งานร่ืนเริง และ

เทศกาลต่างๆ เช่น ตรุษสงกรานต์ งานสารท งานบวช ฯลฯ การเล่นมมี าตัง้ แต่รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระ

จุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ ๕ (การบอกเลา่ ของนางทองอยู่ รักษาพล)

การเล่นเพลงระบำบ้านนาประกอบด้วย พ่อเพลง แม่เพลงต้ังแต่ ๒-๓ คนข้ึนไป มีลูกคู่รอ้ งรับ ๑-

๒ คน แล้วสามารถเล่นเพลงระบำได้ การกำหนดจังหวะใช้การปรบมือ เน้ือหาเล่นเป็นชุดๆตั้งแต่ไหว้ครู

เกริ่นชวนฝ่ายหญิงรำ ฝ่ายหญิงไหว้ครูแล้วเร่ิมว่าบทแต่งตัว ซ่ึงหมายความว่า ออกไปพบแล้วว่า “ประ”

คำพูดกัน มีแขวงอ่ืน ๆ เช่น แขวงนา แขวงเกวยี น ฯลฯ อาจเล่นเป็นเรอื่ งราวทางวรรณคดี เช่น ไชยเชษฐ์

ลักษณวงศ์ ฯลฯ จบลงด้วยบทลา การเล่นเพลงส่วนใหญ่เล่นกันในเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกาถึงเที่ยงคืน

หรอื เล่นต้ังแตห่ ัวคำ่ ยันรุ่งเช้า เพลงระบำบา้ นนามลี ักษณะแตกตา่ งจากเพลงระบำบา้ นไรค่ ือ ลกู คู่รอ้ งรับว่า

“แถวรำเจ้าเอย รำเอย รำแน่ะ ไม้ลายเขารำงามเอย” ลูกคู่ชายรับว่า “เขาไว้” ลูกคู่หญิงรับว่า “ฉาดชา”

หรือ “ฉาเอย”

แม่เพลงระบำบ้านนาท่ีมีช่ือเสียงคือ “นางทองอยู่ รักษาพล” ได้รับพระราชทานโล่ในฐานะแม่

เพลงพ้ืนบ้านภาคกลางจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ในฐานะแม่เพลงพ้ืนบ้าน

ภาคกลาง เมอื่ วนั ท่ี ๑๙ พฤศจกิ ายน พ.ศ.๒๕๒๕ และสำนกั คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติได้พจิ ารณา

คดั สรรให้เปน็ ศิลปินเพลงพ้ืนบ้านแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๒๘ แต่นางทองอยู่ รักษาพล ถงึ แก่กรรมก่อนเมื่อวันท่ี

๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๒๘ อายุได้ ๙๒ ปี ส่วนพ่อเพลงแม่เพลงท่ีสนับสนุนงานแสดงวัฒนธรรมของ

จงั หวัดนครนายก คือ นายเล่ียม ช่ืนอารมณ์ นางเตี้ย ช้างเฉลมิ นายแสวง ดอกบัว นางช้อย มูลศรี นางมะ

ลี มลู ศรี และนายลบ (ไมท่ ราบนามสกลุ ถงึ แก่กรรมแล้ว)

ตวั อย่างเพลงระบำ “ บา้ นนา”

“ไหว้คร”ู มือข้าพเจ้าสิบน้วิ ยกข้นึ วางหว่างค้ิวเหนือเศยี ร

มที งั้ ดอกไมธ้ ปู เทยี นบชู า ข้าจะไหวพ้ ระพุทธท่ีลำ้

จะไหวพ้ ระธรรมทเ่ี ลศิ จะไหว้พระสงฆ์องค์ประเสรฐิ ทอี่ ยู่ตามวัดวา

ขอใหค้ ุณพระรตั นตรัย มาดลใจข้าพเจ้าเม่อื กระผมจะกล่าววาจา

ข้าพเจา้ จะคิดอะไรมาดลใจดลจติ ทีข่ า้ พเจา้ ไดเ้ รยี นรู้ เอามา

จะไหว้ครฉู ิ่งครูฉาบไหว้ครูกรับครูกลอง ไหว้ครรู ะบำ รำร้อง สอนมา

ถ้าผู้ใดคิดสู้ ขอใหค้ รปู ระสิทธิ์ ขอใหม้ ันแพ้ฤทธิ์ไปดว้ ยอำนาจครูบา

เสร็จจากไหว้ครเู ลยหันมาไหว้คณุ ท่ที า่ นได้เกอ้ื หนนุ ลกู มา

เพลงบวชนาค เป็นเพลงพนื้ บา้ น ร้องกันในแถบอำเภอองครกั ษ์คร้ังปู่ย่าของพ่อเพลงในปัจจุบนั จำนวนผู้

ร้องเพลงต้ังแต่ ๒-๓ คน ข้ึนไป ร้องเพลงแห่นาคเมื่อนำนาคเวียนโบสถ์ลักษณะการร้องโต้ตอบแบบเพลง

ปฏิพากย์ แต่เน้ือความเป็นทำนองส่ังเสียกันว่าอย่าได้ห่วงใยในสีกา ให้ต้ังมั่นในพุทธศาสนา ทดแทนคุณ

บดิ ามารดา (ปรศิ นา สำราญกจิ ,๒๕๓๘)

ตวั อย่างเพลงบวชนาค แมเ่ พลง “นางมะลิ มลู ศรี ” ร้องเพลงบวชนาค มเี นือ้ เพลงดังน้ี

บวชเสียเถิดพอ่ นาค เจ้าขา

อยา่ มวั พะวงหลง ให้หว่ ง สกี ง สกี า

ตงั้ ใจกว็ นั ทาก็เสยี เลย

บวช...นอ้ งวา่ จะชว่ ย ไกรผา้

จะบวชหรอื พน่ี าคน้องจะถอื ไกรแพร

๗๙

กค็ นื นำนอ้ งจะตามไปแห่ ก็จะไม่แน่เสยี เลยเอย

เพลงขอทาน ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีมาต้ังแต่คร้ังใด เพลงขอทานบรเิ วณท่าทราย จังหวัดนครนายก จะ

เล่นเมื่อสงกรานต์ก่อนวันสรงน้ำ มีผู้เล่น ๓-๔ คนข้ึนไป โดยนำเคร่ืองดนตรีประเภทโทนร้องเล่นไปตาม

บ้านในตอนบ่าย ๆ เพ่ือนำเงินที่ผู้บริจาคไปซ้ือผ้าไตรเป็นส่วนกลางของวัด เนื้อหาที่เล่นมีหลายเร่ือง เช่น

พระสุธนมโนราห์ ลักษณวงศ์ พระไวยฯ (ปริศนา สำราญกจิ ,๒๕๓๘)

ตวั อย่างเพลงขอทาน

ฝา่ ยตาพรานบญุ มนุ่ ปา่ แอบตน้ พฤกษาแลว้ ก็มองดู

มองเห็นเต็มหู แลว้ กเ็ ต็มตา ดถู นั เจา้ ตง้ั ไปเปน็ ดอกบัวตมู

ดูชา่ งเต่งตูมเตม็ อุรา ทำไฉนจงึ จะไดส้ ักคน

เอาไปถวายพระสธุ นเจา้ พารา คงจะไดร้ างวลั ประทานเงินทอง

ดีกว่าเทยี่ วท่องหาหนอ่ งา ตาพรานนั่งนึกแกเอย

ก็ตรึงตาอยูจ่ นเวลาเอย๋ เย็น

(ลกู คู่) ตาพราน พงึ นึก เอย เอย ตรึงตา อยจู่ นเวลาเย็นเอย

(สมั ภาษณ์ นายหมอน อุดมเวช,๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๑)

ส่วนพวก “ทุกขตะ” คอื พวกทีข่ อทานด้วยความจำเป็น มีการรอ้ งเพลงแลกหอมกระเทียม ร้องว่า

“เปิดหม้อไปเหน็ ข้าวสุก เปดิ สมุกไม่เห็นข้าวสาร ตอ้ งมานง่ั จอนจ่อจอทานเอย”หรือ “เจ้าประคุณลกู ก็

ยากจน (มือตีโทน เท้าตีฉ่ิง) มีข้าวสุกข้าวสารมาโปรยทาน เอาบุญเถิดนะแม่ที่เรือนเอยท่ีนี้ ระบาย

ยากจน” (นายหมอน อดุ มเวช: ผรู้ อ้ ง)

ลำตัด เป็นเพลงพ้ืนบ้าน จังหวัดนครนายกมีคณะลำตัดรับจ้าง คือ คณะ “ส รวมศิลป์ลูกศรีจุฬา” ซ่ึงนาย

สำเนียง โชติสวัสดิ์ ผู้ใหญ่บ้านศรีจุฬาเป็นผู้ก่อตั้งข้ึน ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว นางสะอ้ิง โชติสวัสดิ์ได้เป็น

หวั หน้าแทน รับเลน่ ในงานต่าง ๆ ความนยิ มเพลงพืน้ บา้ นลำตัดในปัจจุบนั ลดน้อยลงมาก

ส่วนการร้องลำตัดตามประสาเจ้าบทเจ้ากลอนของชาวบ้านทั่วไปมีปรากฏในงานบวช ตรุษ

สงกรานต์ การทำบุญ โดยไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่ามีการเล่นในสมัยใด เคร่ืองดนตรีเป็นประเภทกลอง

รำมะนา ฉิ่ง เหมือนกับลำตัดทว่ั ไปในภาคกลาง ไม่มเี อกลกั ษณเ์ ฉพาะของจงั หวัดนครนายก

ลำพวน เป็นเพลงพน้ื บ้านของกลมุ่ ไทยพวนที่สืบทอดกันมาต้ังแต่บรรพบรุ ุษร้องกันในอำเภอปากพลี โดย

หมอลำชาย หมอลำหญิงร้องโต้ตอบกันคร้ังละ ๑ คู่ หรือ ๒ คู่ หรือ ๓ คู่ สลับเปล่ียนกัน มีการเป่าแคน

ประกอบ เมื่อหมอรำร้องถูกใจ หรือร้องจบกลอนแต่ละตอนจะมีแนวร่วมหรือผู้ฟังส่งเสียงร้อง “ป๊ีบ”เพื่อ

เพิ่มความสนุกสนานเร้าใจ การลำพวนแต่เดิมฝ่ายชายจะน่ังยองๆเอามือเท้าคางหันหน้าไปหาฝ่ายหญิง

ส่วนฝ่ายหญิงน่ังพับเพียบเอามือเท้าคางร้องโต้ตอบฝ่ายชาย คนดูและคนอ่ืนๆนั่งล้อมวง แต่ปัจจุบันคนดู

มากข้ึนจะมองไม่เห็นคนร้อง จึงเปลี่ยนให้คนร้อง คนเป่าแคนยืนข้ึนเพื่อให้คนดูมองเห็นอย่างท่ัวถึง เนื้อ

ร้องมีทั้งถามความเป็นอยู่ การเก้ียวพาราสี และเรื่องท่ัวๆไป เล่นกันในเทศกาลร่ืนเริง บุญกฐินสงกรานต์

งานบญุ ต้ังแตเ่ วลากลางคนื จนถึงสว่างก็มี ปจั จบุ ันยังมีการเล่นอยู่บ้างแต่ไม่ได้ตงั้ เปน็ วง หรอื คณะ นายภา

นุพงศ์ อุดมศิลป์ได้ศึกษาวิจัยฯ เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ พบว่ามีนายพี ช่ายแก้ว อายุ ๗๓ ปี เป็นหมอลำอาชีพ

ปัจจุบันไม่ค่อยได้เล่นแล้ว อาจเล่นในบางโอกาส เช่น งานทำบุญกฐิน งานสงกรานต์ ในรอบปีที่ผ่านมาได้

เล่นประมาณ ๒-๓ ครั้ง โดยจ้างแม่เพลงจากจังหวัดปราจีนบุรี พ่อเพลงและแม่เพลงในอำเภอปากพลีเดิม

น้ันเล่นเก่งๆหลายคน ปัจจุบันถึงแก่กรรมแล้ว ได้แก่ นายช้าง นายคิด นายปี๊ด นางเจริญ และนางเจียน

ส่วนบางคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เลิกเล่นแล้วเนื่องจากชรามาก และลูกหลานไม่ต้องการให้เล่นอีก ได้แก่ นาง

๘๐

จอน นางสังวาล นางน้อย มีบางคนได้ย้ายไปอยู่ท่ีจังหวัดอื่นแล้วจึงเลิกเล่นอาชีพนี้ มีบางคนท่ียังพอร้อง

เล่นได้บ้างแต่ยังไม่เก่งพอที่จะออกงานได้ อีกทั้งสามีไม่ยอมให้เล่นเพราะหึงหวง เน่ืองจากมีการเกี้ยวพา

ราสกี นั เพลงลำพวนไมไ่ ด้ถ่ายทอดให้คนร่นุ ใหม่เล่นกนั ผทู้ ่สี นใจฟังเพลงลำพวนมีแต่คนแกเ่ ฒ่า ส่วนคนรุ่น

ใหม่ๆ จะสนใจ หมอลำเพลนิ หรอื ชาวบ้านเรียกว่า “หมอลำซงิ่ ”กันมากกวา่

นอกจากน้ันยังมีผู้พยายามสืบทอดและเป็นนักลำสมัครเล่น ได้แก่ นายสุรศักด์ิ สิงหวิบูลย์ อายุ

๖๐ ปี ผู้ใหญบ่ ้านหมู่ ๑ บ้านเกาะหวาย อำเภอปากพลี นางสปัน พรหมสวสั ด์ิ นางสำรอง มั่งค่งั นางบงั อร

มอี าษา ฯลฯ

ตวั อยา่ งเพลงลำพวน มีคำรอ้ งดงั น้ี

แม่น...ทวา่ โอ.้ ..คนงามเอย... พ่ีน้องฮกั เอย

เฮากใ็ นในฮ้อง หวายทองบ้านเพิ่นซา่

ตำบลนนั้ หนาชื่อเกาะหวาย อำเภอนน้ั ชอ่ื ปากพลี

นครนายกคอื จงั หวัด เฮาอยมู่ าต้ังแตน่ อ้ ย

เฮากะกลอยใจเศร้า นำไทยพวนบฮ่ ู้ส่วง

ชอ่ื บด่ งั สะท้อน ด่งั ด้ามดั่งเขา

อนั ไทยพวนเฮานี้ จวบกันแลว้ เวา้ พวนกนั แตแ่ ม้

คนฮู้จกั พวนหลาย ช่อื พวนกะดังกอ้ ง

คดิ ปึ่งแตพ่ ่นี ้องแมว้ ดอยแกวฮ้อกะเหรยี่ ง

ชื่อเพน่ิ ดังสะท้อน คนฮู้ย่งิ กวา่ พวน

หากวา่ จวบกันแลว้ เฮอ้ พากันเวา้ ภาษาเหง้าแห่งพวน

อย่าเฮอ้ เขาดแู คลน จ่งจ่มี คี นฮู้

อยา่ เฮอ้ มนั สญู เซ้ยี ง ภาษาพวนซดิ ับชาติ

อยากเฮอ้ โลกรูไ้ ว้ พวนน้นั ก็หากมี...น่ันละเนอ...

นาฏศิลป์ จังหวดั นครนายกไม่มีนาฏศลิ ป์ที่เป็นแบบแผนแสดงเอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่น แต่มีเพยี งท่า

รำของเพลงพ้ืนบ้านซึ่งเป็นท่ารำง่ายๆท่ีไม่เข้าแบบมาตรฐานของการรำแม่บทท่ารำของเพลงพ้ืนบ้าน คือ

การจีบมือ การตั้งวง กรีดมือ ข้ึนลงย่อเข่าทำท่าประกอบเน้ือเรื่อง เช่น ช้ีนิ้วกราดไปที่ฝ่ายชาย ส่วนพ่อ

เพลงท่ารำยืนกับท่ี มือต้ังวงกว้าง กรีดมือกลับข้ึนลงก้าวขาย่อ บางครั้งก็เดินรำตามกันบ้าง (ปริศนา

สำราญจิต,๒๕๓๘)

ระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๐-๒๕๔๑ มผี ู้ประดษิ ฐ์ทา่ รำข้ึนเพื่อแสดงเอกลักษณข์ องจังหวดั นครนายก ดังน้ี

ระบำลับแล เป็นระบำของอำเภอเมืองนครนายกท่ีประดิษฐ์ให้สอดคล้องกับเมืองโบราณดงละคร โดย

จำลองการแตง่ กายมาจากรปู จำหลักสมยั ทวารวดี ทา่ รำกต็ ้องแปลงให้เหมาะสมกบั ยคุ สมัย

รำสู่ขวญั ข้าว เป็นท่ารำของอำเภอเมืองนครนายก ซึ่งประดิษฐ์ให้สอดคล้องกบั ประเพณีสู่ขวัญข้าว หรอื ที่

ยงั ปฏิบัติตอ่ เนอ่ื งกนั มาอย่างสม่ำเสมอทวั่ ทัง้ จงั หวัดนครนายก ซ่ึงเลยี นแบบประเพณีส่ขู วัญขา้ ว

อำเภอ บ้านนา ฟน้ื ฟเู พลงรำวงของชาวบา้ นทเ่ี ล่นกนั ในอดีตให้เป็นแบบแผนยงิ่ ข้ึนในปัจจบุ ัน

อำเภอ องครักษ์ ประดิษฐ์ระบำชาวนาเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตการประกอบอาชีพ

เกษตรกรรม คือการทำนาจนถึงการเกบ็ เกยี่ ว

อำเภอ ปากพลี ประดิษฐ์ระบำบุญข้าวจ่ีโดยจำลองวิถีชีวิตและข้ันตอนในการประกอบอาหาร

ข้าวจ่ี ซึง่ เป็นอาหารหลกั ทีใ่ ชใ้ นประเพณีบญุ ขา้ วจี่

๘๑

การประดิษฐ์ท่ารำให้เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดนครนายกจึงเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมท่ีควร
สบื ทอดใหแ้ ก่อนุชนตอ่ ไป
ศาสนา ความเช่ือ พิธีกรรม เป็นส่ิงท่ีสำคัญท่ีอยู่คู่กับสังคมหรือชุมชนมนุษยชาติมาต้ังแต่สมัยโบราณ
เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้มนุษย์สามารถฟันฝ่าอุปสรรคภยันตรายอันเกิดจากน้ำมือมนุ ษย์ด้วยกัน
เอง ตลอดจนภยั และปรากฏการณจ์ ากธรรมชาติ

ประชาชนชาวจังหวัดนครนายกส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ ๙๐ นับถือพุทธศาสนา รองลงมาเป็น
ศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ ซ่ึงทุกศาสนาจะมีหลักธรรมคำสอนที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกศาสนามี
จุดมุง่ หมายในการอบรมคนให้เป็นคนดี สามารถอยู่ร่วมกนั ในสงั คมอย่างปกติสุข

พระพุทธศาสนา ชาวนครนายกนับถือพระพุทธศาสนามาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยมีหลักฐาน
การขุดค้นพบพระพุทธรูปสมัยทวารวดี และสมัยลพบุรี ณ ตำบลดงละคร อำเภอเมืองนครนายก ทง้ั ยงั พบ
วัดร้าง เจดีย์ และพระพทุ ธรปู สมัยอยุธยาจนถงึ สมัยรตั นโกสินทร์ในบริเวณท่วั ไปทกุ เขตอำเภอของจังหวดั

ศาสนาคริสต์ ตามบันทึกของนายปาวี (M. PAVIE) ในสมัยรัชกาลที่ ๕ รัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยู่หัวทำให้ทราบว่าศาสนาคริสตไ์ ด้เผยแผเ่ ขา้ มาในเมอื งนครนายกโดยเน้นเฉพาะกลุ่ม
คนจนี จนนายชมติ ต์ (M.SCHMITT)สามารถตั้งวัดของชาวคริสต์ไดส้ ำเรจ็ (รัชนี สาดเปรม,๒๕๒๑,๕๑-๕๒)

ศาสนาอิสลาม เข้ามาในเมืองนครนายกโดยพวกคนไทยมุสลิมท่ีกวาดต้อนมาจากปัตตานีในรัช
สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช และการอพยพของคนไทยมุสลิมจากเขตหนองจอก
เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีเขตแดนติดต่อกับอำเภอองครักษ์ ดังนั้นมุสลิมที่อำเภอองครักษ์จึงเป็น
กลุม่ ใหญท่ ่สี ุดในจังหวัด (สมั ภาษณ์ นายสมชาย มนั่ คง : อบั ดลุ เลาะห์มาน.)

รูปลักษณ์ของศาสนา ความเชื่อ และพิธีกรรมอาจำแนกเป็นศาสนาบุคคล ศาสนาธรรม และ
ศาสนาสถาน ดงั ตอ่ ไปนี้

ศาสนาบุคคล ทุกศาสนาไม่ว่าจะเป็นพระพุทธศาสนา คริสต์ศาสนา หรือศาสนาอิสลาม ย่อมมี
ศาสนาผู้ก่อตั้งศาสนา และสาวกผู้สืบต่อ เช่น พระพุทธศาสนา มี “สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”ทรง
เป็นศาสดา และมพี ระสงฆ์เปน็ สาวกผสู้ ืบต่อศาสนาโดยพระสงฆ์จะศึกษาพระธรรมคำสอน และคำส่ังสอน
ของพระพุทธองค์ เนื่องจากวัดเป็นศูนย์รวมของชุมชนมาตั้งแต่อดีต พระสงฆ์จึงมีบทบาทในการพัฒนา
สังคม คือเป็นผู้นำทางความคิด ให้การศึกษาแก่ชาวบ้าน ทำให้มีโรงเรียนนายกวัฒนากร วัดอุดมธานี
โรงเรียนนายกวัฒนากร วัดทองย้อย เป็นต้น ทั้งยังเป็นที่พึ่งทางจิตใจของชาวบ้าน ในอดตี ผู้ใดมเี รื่องทุกข์
รอ้ นใจย่อมไปใหพ้ ระชว่ ยคลายทกุ ข์ ดงั เชน่ หลวงพ่อเกดิ วัดสะพาน หลวงพ่อภูวดั ช้าง อำเภอบา้ นนา หลวง
พ่อนนท์ วัดหนองโพธ์ิ หลวงพ่อเสือ วัดสุวรรณ อำเภอเมืองนครนายก อย่างไรก็ตามปัจจุบันพระยังเป็นท่ี
พงึ่ ของชาวบ้านเหมือนเช่นเดิม
ศาสนาคริสต์ มี “พระเยซู” เป็นศาสนาส่วนสาวกผู้สืบต่อคริสต์ศาสนาคือบาทหลวงซ่ึงอยู่ประจำตาม
โบสถค์ รสิ ต์ บาทหลวงเป็นผู้ประกอบพิธีทางคริสต์ศาสนาให้แก่คริสต์ศาสนิกชน และบาทองคม์ ีบทบาทใน
ด้านการจัดการศึกษา จึงมีโรงเรียนท่ีจัดต้ังในบริเวณวัดคริสต์ ได้แก่ โรงเรียนคริสต์สงเคราะห์ อำเภอ
องครักษ์ และโรงเรียนมาลาสวรรค์ อำเภอบา้ นนา
ศาสนาอิสลาม มี “นะบีมะหะหมัด” เป็นศาสดา ส่วนสาวกผู้สืบต่อในการทำพิธีให้ชาวมุสลิม คือ
“อิหม่าม” ซ่ึงทุกมัสยิด (สุเหร่า) มีอิหม่ามประจำ การแต่งต้ังหรือถอดถอนอิหม่ามเป็นอำนาจหน้าที่ของ
คณะกรรมการอิสลามประจำจงั หวดั นครนายก

๘๒

ศาสนธรรมคือ หลักธรรมคำสอน ตลอดจนปรัชญา ความเช่ือ และกฎระเบียบต่างๆท่ีศาสนาบัญญัติไว้
ศาสนธรรมทส่ี ำคญั ของพุทธศาสนา ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม มดี งั นี้
ศาสนาพทุ ธ มพี ุทธธรรมและความเช่ือบางประการโดยสรปุ ดังนี้ (ประเสริฐ หลอมทอง,๒๕๒๕,๑๗-๒๒๔.)

พทุ ธธรรม ประกอบด้วย
“พระรัตนตรัย” เป็นโครงสร้างหรือองค์ประกอบแห่งพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย พระพุทธ
คือ พระพุทธเจ้า เป็นพระบรมศาสดาผู้ตรัสรู้อริยสัจสี่ พระธรรม คือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
เพ่อื ให้ชีวิตเป็นสุข และ พระสงฆ์ เป็นสาวกผู้สืบทอดพุทธธรรมแล้วเผยแพรส่ ชู่ าวโลกเพื่อสันติสุขของปวง
ชน
“อรยิ สัจส”ี่ เป็นพทุ ธธรรมสำคัญทท่ี ำให้พระบรมศาสดาบรรลุพระสัมโพธญิ าณ คือ รู้แจ้งเห็นจริง
เรอ่ื งความจรงิ อนั ประเสริฐ ๔ ประการ ประกอบด้วย

ทุกข์ ไดแ้ ก่ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
สมุทัย ไดแ้ ก่ ตน้ เหตทุ ่ีทำให้เกิดทุกข์
นิโรธ ไดแ้ ก่ ความดบั ทุกข์
มรรค ได้แก่ หนทางท่นี ำไปส่คู วามดับทุกข์
“ไตรลักษณ์” เป็นธรรมนิยาม หรือหลักธรรมตามธรรมชาติท่ีเปน็ จริงในวิถีทางชีวิตมนุษย์ ได้แก่
อนิจฺจตา(อนิจจัง) คือความไม่เที่ยงของสรรพส่ิง ทุกฺขตา(ทุกขัง) คือทนอยู่สภาพเดิมของสรรพส่ิงไม่ได้
อนตตฺ า(อนตั ตา) คอื ความไมม่ ตี วั ตน
“ไตรสิกขา” เป็นพุทธธรรมที่ใช้ขัดเกลา หรือชำระจิตใจให้หมดจากความเศร้าหมองอันเป็น
อกุศลมลู ๓ คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง ดว้ ยการปฏบิ ตั ิ ศลี สมาธิ และปญั ญา
ศีล คอื การทำกายและใจให้เป็นปกติตามธรรมชาติ
สมาธิ คือ การสำรวมจิตใจให้มีความแน่วแน่เป็นอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่าน
หรอื วอกแวก
ภาวนา คือ การใคร่ครวญไตร่ตรองทบทวนด้วยความสงบและด้วยใจเป็นกลางถึง
ธรรมชาติของมนุษย์ ชีวิตโลก และจักรวาล ถึงสจั ธรรมอนั เปน็ ปรมัตถ์ คอื อนิจจัง ทกุ ขัง อนัตตา เป็นตน้
“พรหมวหิ ารสี”่ เป็นพทุ ธธรรมทส่ี รา้ งความรกั ในหมู่มนุษย์มี ๔ ประการ คอื
เมตตา คอื ความรักความปรารถนาดที จี่ ะให้ผอู้ น่ื เป็นสุข
กรุณา คือ ความรู้สึกสงสารและชว่ ยเหลอื ผูอ้ นื่ ให้พน้ ทุกข์
มุทิตา คอื ความยนิ ดอี ยา่ งบริสุทธ์ใิ จในความสำเร็จและความสขุ ของผอู้ ่ืน
อเุ บกขาคือ ความมั่นใจในการวางตัววางใจให้เป็นกลางโดยไม่หวั่นไหวกับ
เหตกุ ารณใ์ ดไมว่ ่าจะสขุ หรือทุกข์
“สันโดษ” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเร่ืองมงคลสันโดษเป็นมงคลอันดับที่ ๒๔
“สันโดษ” น้ันหมายถึง ความยินดี ความพอใจด้วยปัจจัยสี่ ด้วยในส่ิงท่ีตนได้หรือมีอยู่มีความสุข ความ
พอใจอันชอบธรรม ไม่โลภ และริษยาใคร จำแนกได้ ๓ ประเภท คือ ยถาลาภสันโดษ คือ ยินดีตามที่ได้
ยถาพลสันโดษ คอื ยนิ ดีตามกำลัง ยถารุปสนั โดษ คือยนิ ดตี ามสมควร
“ความเช่ือ” ตามหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนาเนน้ เรื่องศรัทธาเปน็ สำคัญประกอบด้วย
เหตผุ ล ๔ ประการ คอื

๘๓

กัมมสัทธา คือ เชื่อกรรม เช่ือกฎแห่งกรรม เช่ือว่าทุกอย่างจะสำเร็จได้ด้วยการ
กระทำหรือการปฏิบตั ิ ไม่ใชอ่ ้อนวอนบนบานส่ิงศกั ดิส์ ทิ ธ์ิ หรือสังเวยบวงสรวง

วิบากสทั ธา คอื เช่ือผลของกรรม เชอ่ื วา่ ทำดียอ่ มได้ดี ทำชั่วย่อมได้ช่วั
กัมมัสกตาสัทธา คือเช่ือว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน เช่ือว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ
ตอ้ งรบั ผิดชอบการกระทำของตนเอง
ตถาคตโพธิสัทธา คือ เช่ือในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ม่ันใจในองค์พระ
ตถาคตว่เปน็ องคส์ ัมมาสัมพทุ ธ
“กรรม” ในความหมายของกฎแห่งศีลธรรม “กรรม” แปลว่า การกระทำที่ต้องมีเจตน์
จำนงหรือเจตนาที่จะกระทำเป็นหลัก ดังพระพุทธพจน์ว่า “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย เรากล่าวว่าเจตนาเป็น
กรรม บุคคลจงใจหรือต้ังใจแล้วย่อมกระทำทางกาย วาจา หรือทางใจ” ฉะนั้นกรรมจึงเป็นกระบวนการ
กระทำของมนุษยโ์ ดยเฉพาะ เพราะมนุษย์เป็นผู้กระทำกรรมเอง จะดีหรือเลวข้ึนอยู่กับการกระทำของตน
กรรมเป็นเครื่องปรุงแต่งวิถีชีวิตของมนุษย์ และเป็นส่วนหนึ่งของธรรมนิยามเรียกว่า “กรรมนิยาม” ซ่ึง
เป็นเรื่องของพฤติกรรมที่เนื่องอยู่ในจริยธรรม ผู้ใดกระทำกรรมชนิดใดย่อมได้รับกรรมชนิดนั้น ดังพระ
พทุ ธพจน์วา่ “ บุคคลหว่านพชื เชน่ ไร ย่อมได้รบั ผลเชน่ นัน้ ผู้กระทำความช่ัวยอ่ มได้รับผลชวั่ ” และ “กรรม
ย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตแตกต่างกัน” ฉะน้ันจะนำหลักค่านิยมในสังคมมาวัดหรือเป็นเครื่อง
กำหนดดีหรือช่ัวไม่ได้ แต่ให้ยึดหลักกรรมนิยาม คือเหตุและผลต้องสัมพันธ์กัน และยึดหลักสัมมาทิฐิเป็น
เครอื่ งตัดสิน
“วิญญาณ” ตามความหมายในหลักธรรมคำสั่งสอนของพุทธศาสนาน้ันปรากฏความ
ดงั ที่พระเทพดิลก (ระแบบ จิตญาโณ) ได้อธิบายความหมาย คอื “ ความรูใ้ นอารมณ์พิเศษท้ังหลายซ่ึงเกิด
จากเหตปุ จั จยั หลายอยา่ งดว้ ยกนั ” แบง่ เป็น ๓ ประเภท คอื
วญิ ญาณขนั ธ์ หรือกองวิญญาณ ซ่งึ มีอยู่ ๖ คือ จักขุ โสต ฆาน ชิวหา กาย และ
มโนวญิ ญาณ
ปฏิสนธิวิญญาณ คือ วิญญาณตามอง ปฏิจจสมุปบาทวิญญาณประเภทนี้ต้อง
อาศัยอวชิ าหรอื กเิ ลส สงั ขารคือกรรม ถ้าหากไมม่ ีกเิ ลสกบั กรรม วญิ ญาณก็เกดิ ไม่ได้
วญิ ญาณธาตุ ไดแ้ ก่ ดิน นำ้ ลม ไฟ อากาศ และวญิ ญาณ
ความเช่อื หรอื พธิ ีกรรม มีดงั น้ี
ประเพณีทางพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนในจังหวัดนครนายกได้ประกอบพิธีกรรม
และประเพณีทางพระพุทธศาสนาสืบตอ่ มาต้ังแตร่ ุ่นบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบันเชน่ พุทธศาสนิกชนท่วั ไป แต่
รูปแบบหรือวิธีปฏิบัติบางประการได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างเพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกับสภาพปจั จุบนั
ประเพณีพิธกี รรมทางพระพุทธศาสนา ทย่ี งั ปฏบิ ัติสืบทอดมาจนถงึ ทกุ วันนี้ ไดแ้ ก่
การตักบาตร คือการนำขา้ วและกบั ขา้ วถวายพระภกิ ษุสามเณรโดยใส่ลงในบาตรทุกเชา้ บางคน
อาจตักบาตรทุกวัน เว้นวันพระ เนื่องจากพระไม่ออกมาบิณฑบาตและประชาชนนิยมไปทำบุญท่ีวัด บาง
คนตกั บาตรเฉพาะวันเกิด
ข้อควรปฏิบัติในการทำบุญตักบาตร คือ ควรถอดรองเท้าก่อนตักบาตรโดยต้ังจิตอธิษฐานแล้วจึง
ใส่บาตร พึงระวังข้าวสุกหล่นออกนอกบาตร ตักบาตรแลว้ ให้ยกมือไหวห้ ลักจากตักบาตรแล้วควรกรวดน้ำ
อทุ ิศส่วนกุศลใหบ้ รรพบรุ ุษทันที ไมต่ อ้ งรอให้พระกลับวดั

๘๔

การสวดมนต์ไหว้พระ เป็นการทำใจให้สงบระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
และแผ่เมตตาต่อสัตว์โลกทั้งปวง ชาวพุทธจึงมีที่บูชาประจำบ้าน คือ พระพุทธรปู กระถางธูป เชิงเทียน ๑
คู่ แจกันดอกไม้สด ๑ คู่ พุทธศาสนิกชนท่ีดคี วรสวดมนต์ไหว้พระอย่างน้อยวันละ ๒ คร้ัง ในตอนเช้า และ
ตอนคำ่

การถวายสังฆทาน คือ ทานที่ถวายแด่พระสงฆ์โดยมิได้เจาะจงพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งโดยเฉพาะ
เป็นการถวายที่ได้บุญมาก ถ้าถวายเฉพาะเจาะจงพระภิกษุสามเณรรูปใดน้ันเรียกว่า ปาฏิบุคลิกทาน
แปลว่า ทานทถ่ี วายเฉพาะบุคคล แม้จะถวายพระภิกษุเกินกว่า ๔ รปู ก็ไม่เรยี กว่า สังฆทาน หลักสำคญั ใน
การถวายสังฆทาน คอื ตั้งใจถวายเปน็ การสงฆอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ โดยไม่เห็นแกบ่ คุ คลผูร้ ับ

การทำบุญเลี้ยงพระ ตามปกตินิยมนิมนต์พระภิกษุสงฆ์เพื่อเจริญพระพุทธมนต์ในสถานท่ีท่ี
ประกอบพิธีในตอนเย็น เรียกกันอย่างสามัญว่าสวดมนต์เย็น รุ่งเช้าถวายภัตตาหาร เรียกว่า เลี้ยงพระเช้า
หากมีเวลาน้อยให้ทำเสร็จในวันเดียวตอนเช้าหรือตอนเพลตามแต่จะสะดวก โดยนิมนต์พระภิกษุสงฆ์เพ่ือ
เจริญพระพทุ ธมนตแ์ ล้วถวายภตั ตาหาร

การทำบญุ เลี้ยงพระจำแนกเป็น ๒ ประเภท คือ
ทำบุญงานมงคล ได้แก่ การทำบุญเลี้ยงพระเพื่อความสุขความเจริญแก่จิตใจ เช่น ทำบุญวันเกิด
ทำบญุ ข้ึนบา้ นใหม่ ทำบุญฉลองพระบวชใหม่ ทำบุญงานมงคลสมรส เป็นต้น
ทำบุญงานอวมงคล ได้แก่ การทำบุญเลี้ยงพระโดยปรารภเหตุไม่ดี ไม่เป็นมงคลเนื่องจากมีการ
ตายในวงศ์ญาติหรือบุคคลที่เก่ียวข้องในครอบครัว เพ่ืออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตายและเพื่อเป็นมิ่งขวัญแก่ผู้
ทย่ี ังมชี วี ิตอยู่
ประเพณีเน่อื งในวนั สำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นการปฏบิ ัติกจิ กรรมเพื่อระลกึ ถึงคุณพระรัตนตรัยตาม
วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา (ศาสนพิธีสำหรับครูสอนวิชาพระพุทธศาสนา,๒๕๓๗,๑๒๑-๑๒๘.)
ดงั ต่อไปน้ี
วันวิสาขบูชา เป็นการบูชาเพื่อระลึกถึงคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเน่ืองในวันเพ็ญเดือน ๖ ซ่ึงเป็น
วนั สำคัญพิเศษท่ีสุดในพระพุทธศาสนา คือ เปน็ วันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจา้ โดยทั้ง
๓ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดข้นึ ในวนั เพญ็ เดือน ๖ เหมือนกันแตต่ ่างปีกนั คอื
วันประสูติ ตรงกับวันศุกร์ วันเพ็ญเดือน ๖ ปีจอ เวลาสายใกล้เที่ยง ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ณ
สวนลมุ พินี เปน็ เขตติดต่อระหว่างกรงุ กบลิ พสั ด์ุ และกรุงเทวทหะ ปจั จบุ นั เรียกว่า “ ตำบลรมุ มินเด ”
วนั ตรัสรู้ เกิดขน้ึ หลงั จากประสูติเป็นเวลา ๓๕ ปี เมือ่ พระสิทธัตถกุมารเสดจ็ ออกบรรพชาได้ ๖ ปี
ณ โคนต้นโพธ์ิใบชื่อว่า อัสสัตถะ ใกล้แม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม แควน้ มคธ ปัจจุบันเรียกว่า
“ตำบลพุทธคยา”
วันปรินิพพาน เกิดเม่ือปีท่ี ๘๐ แห่งพระชนมายุของพระพุทธเจ้า ณ แท่นบรรทมระหว่างต้นรังคู่
ปา่ สาละ เมอื งกสุ นิ ารา ปัจจบุ ันเปน็ “ตำบลกุสนิ ารา” หรอื “กสุ นิ าคาร”์ รัฐอตุ รประเทศ
วันมาฆบูชา เป็นการบูชาเพ่ือระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเพ็ญเดือน ๓ ซึ่งเป็นวันสำคัญ
ทางพระพุทธศาสนา เน่ืองจากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นท่ามกลางสงฆ์ ณ เวฬุวนั มหาวิหาร โดยพระพุทธเจา้ ทรง
ปรารภเหตุสำคัญ ๔ ประการ เรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต” คือ การประชุมท่ีมิได้นัดหมายกัน
ประกอบด้วยองค์ ๔ คือ วันน้ันเป็นวันเพ็ญมาฆฤกษ์ตรงกับวันข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ พระอรหันตชีณาสพ
จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย พระอรหันต์เหล่านั้นล้วนเป็นผู้หมดกิเลสบรรลุ

๘๕

อภิญญา ๖ แล้วทั้งส้ิน และต่างเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือ เป็นพระอรหันต์ผู้ได้รับการอุปสมบทจาก
พระพุทธเจา้ โดยตรง

พระพุทธองค์ทรงปรารภเหตุดงั กลา่ วแลว้ วางหลักการทีส่ ำคญั ทางพระพทุ ธศาสนาไว้ โดยตรสั เป็น
คำประพนั ธ์ ๓ คาถากง่ึ ดงั น้ี

“การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญกุศลให้ถึงผลพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องใส น้ีเป็นคำ
สอนของพระพุทธเจา้ ท้ังหลาย”

“ความอดทน คือ ความอดทนกล้ันเป็นตบะอย่างย่ิง พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน
ทัง้ หลายเปน็ ปรมธรรม ผู้ทำรา้ ยคนอ่นื ไม่ช่ือว่าเป็นบรรพชติ ผ้เู บยี ดเบียนคนอ่ืนไมช่ อื่ วา่ เปน็ สมณะ ”

“การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย ความสำรวมในพระปาตโิ มกข์ ความเปน็ ผู้รู้ประมาณในอาหาร ท่ี
น่ังนอนอนั สงัด ความเพียรในอธิจิต นเี้ ป็นคำสอนของพระพุทธเจา้ ทงั้ หลาย ”

คำสอนเหล่าน้ันคือเป็นหลักการท่ีสำคัญของพระพุทธศาสนา แต่เรานิยมจำได้เฉพาะคาถาแรก
เทา่ นนั้ วา่ ไมท่ ำช่ัว ทำแต่ความดี และทำจิตใจใหบ้ ริสุทธิ์

ต่อมาอีก ๔๔ ปีมีเหตุการณ์ที่สำคัญเกิดข้ึน คือ การปลงพระชนมายุสังขาร ของพระพุทธเจ้าใน
พรรษาสุดท้ายที่พระองค์ประทับ ณ ปาวาลเจดีย์ ใกล้เมืองเวสาลี พระองค์ทรงแสดงนิมิตโอภาสแก่พระ
อานนท์ว่า “ ผู้ใดเจริญอิทธิบาทธรรม ๔ ประการดีแล้ว ถ้าปรารถนาก็มีอายุยืนอยู่ได้ถึงกัปหรือเกินกัป”
แต่พระอานนท์นึกไม่ถึงจึงไม่ได้กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธเจ้าอยู่ต่อ เม่ือพระอานนท์ออกไปจากท่ีเฝ้า
มารจึงเข้ามาให้พระองค์ปรินิพพานพระองค์จึงรับคำอาราธนาโดยกำหนดปรินิพพานอีก ๓ เดือนข้างหน้า
(คือวันวสิ าขะ) ดังนนั้ วันทท่ี รงตดั สินใจปรนิ ิพพานจงึ ตรงกบั วันเพ็ญเดอื น ๓ นัน่ เอง

วันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาท่ีพุทธศาสนิกชนพร้อมใจกันบูชาเพื่อระลึก
ถึงพระบรมศาสดาในวันเพ็ญเดือน ๘ เนื่องจากเป็นวันท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้ง
แรกหลงั จากทีต่ รัสรู้อนตุ รสัมมาสัมโพธิญาณเรยี กวา่ “ ปฐมเทศนา” พระธรรมเทศนาทท่ี รงแสดงในวนั นั้น
คอื “ธมั มจกั กัปปวัตตนสูตร” โดยทรงแสดงธรรมโปรดแก่ “พระปญั จวคั คยี ์”

สว่ นเนือ้ หาของธรรมเทศนาท่แี สดงนนั้ เนน้ เร่อื งท่ไี ม่ควรประพฤตปิ ฏิบัตดิ ังรายละเอยี ด คือ
อัตตกิลมถานุโยค คือ การทำตนให้ลำบากเปล่า หรือความพยายามเพ่ือให้บรรลุผลที่มุ่งหมาย
ด้วยวธิ ีทรมานตนเองใหไ้ ดร้ บั ความลำบากตา่ งๆ
กามสุขัลลิกานุโยค คือ การทำตนให้พัวพันหมกมุ่นอยู่ในกามสุขอย่างไรก็ตามหลักธรรมดังกล่าว
ข้างต้นไม่ใช่หนทางที่จะหลุดพ้นความทุกข์พระองค์ได้ลองประพฤติปฏิบัติแล้วแต่ไม่สามารถที่จะบรรลุ
ความพ้นทุกข์ได้ ต่อจากน้ันพระองค์จึงทรงแสดงอริยสัจ ๔ ประการ ซ่ึงเป็นความจริงอันประเสริฐ หรือ
หลักความจริงทที่ ำให้บุคคลเปน็ ผ้ปู ระเสรฐิ ๔ ประการคือ
ทุกข์ คือ ความไม่สบายกายไมส่ บายใจ ได้แก่ ขนั ธ์ ๕
สมุทยั คือ เหตเุ กดิ ทุกข์ ไดแ้ ก่ ตณั หา ๓ ประการ คอื กามตณั หา ภวตัณหา และวภิ วตัณหา
นิโรธ คือ ความดับทุกข์
มรรค คือ หนทางท่ีจะนำไปสู่ความดับทุกข์ ได้แก่ อัฏฐังคิกมรรค หมายถึง มรรคเป็นองค์ ๘
ประกอบด้วย สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ และ
สมั มาสมาธิ

๘๖

เม่ือพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะเกิดดวงตาเป็นธรรม แล้ว
ปัญจวัคคีย์ทูลขออุปสมบทกับพระพุทธเจ้า พระองค์จึงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้แก่พระปัญจวัคคีย์
ดังน้นั วันข้ึน ๑๕ คำ่ เดอื น ๘ จงึ เปน็ วนั ทม่ี ีพระรัตนตรัยครบสมบรู ณ์ คอื พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

วันอัฏฐมีบูชา หมายถึง การบูชาในวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ หรือท่ีเรียกว่า “วันอัฏฐมี” ซึ่งเป็นวัน
ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระพุทธเจ้า ถัดจากวันวิสาขบูชามา ๘ วัน คือ เม่ือพระพุทธเจ้าเสด็จดับ
ขันธปรินิพพานระหว่างต้นรังคู่ ณ ป่าสาละ เมืองกุสินาราทำให้เกิดความเศร้าโศกท่ัวไปในหมู่
พุทธศาสนิกชนที่เป็นปุถุชน ส่วนพระขีณาสพก็เกิดธรรมสังเวช พวกมัลลกษัตริย์ได้บูชาพระบรมศพด้วย
เคร่ืองบูชาอันประณีตและสวยงามประกอบพิธีเหมือนดังเช่นจัดให้แก่พระมหากษัตริย์ตามที่พระพุทธเจ้า
ตรัสไว้ จากน้ันในวันที่ ๗ จึงอัญเชิญพระบรมศพไปประดิษฐาน ณ มกุฎพันธนเจดีย์ อยู่ทางตะวันออก
ของเมืองกุสินารา แลว้ ถวายพระเพลิงแตไ่ ฟไม่ติดเน่ืองจากเทพยดาได้บันดาลไวเ้ พอื่ รอพระมหากสั สปะมา
ถึง

ฝ่ายพระมหากัสสปะได้พาภิกษุ ๕๐๐ รูปเดินทางถึงเมืองกุสินาราตอนเที่ยงได้พบกับอาชีวกคน
หนึ่ง สอบถามและทราบว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้ ๗ วันจึงเดินทางต่อไปจนถึงเมืองกุสินารา เม่ือ
ถึงมกฎพันธนเจดีย์แล้วก็พาพระสงฆ์ประนมมือเดินเวียนรอบจิตกาธาน ๓ รอบแล้วเข้าไปถวายบังคัมพระ
บาทของพระพทุ ธองค์ ทันใดนัน้ เทพยดาก็บนั ดาลให้ไฟลุกขน้ึ ที่จิตกาธานเผาพระบรมศพจนหมดส้ิน เหลือ
เพียงผ้า ๑ คู่ท่ีใช้หุ้มห่อพระบรมศพช้ันในและชั้นนอกสุด กับพระเขี้ยวแก้ว ๔ องค์ พระรากขวัญ ๒ องค์
ทั้ง ๗ ส่ิงนั้นคงอยู่ปกติมิได้กระจัดกระจายไป ส่วนพระบรมสารีริกธาตุท่ีเหลือแตกกระจายออกเป็น ๓
ขนาดคือ ขนาดใหญ่ประมาณเท่าเมล็ดถ่ัวแตก ขนาดกลางประมาณเท่าเมล็ดข้าวสารหักและขนาดเล็ก
ประมาณเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด หลังจากน้ันได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปตามท่ีต่างๆดังปรากฏในคัมภีร์
และเอกสารทวั่ ไป

พธิ ีกรรมที่ปฏบิ ัตใิ นวันอฏั ฐมบี ูชาในอดตี ไมป่ รากฏหลกั ฐานชัดเจน สันนิษฐานว่าคงนิยมจดั เฉพาะ
บางวัดเท่านนั้ จึงไม่แพรห่ ลายเหมอื นเช่นวนั วสิ าขบูชาและวันอ่ืนๆ

หลักปฏิบัติในวันสำคัญ ทางพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนมีหลักปฏิบัติในวันสำคัญทาง
พระพทุ ธศาสนาทั้ง ๔ วนั คล้ายคลึงกนั คอื

ทำบญุ ตกั บาตร ทำบุญที่วดั หรอื ท่ีบ้านในเวลาเช้า และทำบญุ ตามวดั วาอารามตา่ งๆ
สมาทานศลี ๕ หรอื ศีลอุโบสถ
ปล่อยนกปลอ่ ยปลาหรอื สัตวม์ ชี ีวิตอนื่ ๆ
งดบริการสถานเริงรมย์บางแห่งในวันสำคญั ดังกลา่ ว ยกเวน้ วนั อฏั ฐมบี ูชา เพ่ือถวายเปน็ พุทธบูชา

ฟังพระธรรมเทศนา ปฏิบัติสมาธิภาวนา สนทธนาธรรมกับพระภิกษุ หรือผู้ทรงคุณทาง
ศาสนา ตลอดจนเวยี นเทียนที่วดั ในตอนกลางคืนระหว่างเวลา ๑๙.๐๐-๒๐.๓๐ นาฬิกา เพ่ือเป็นพุทธบูชา
โดยเตรียมเครื่องบูชา เช่น ธูป เทียน ดอกไม้ เพ่ือประกอบพิธีบูชา ณ ลานโบสถ์วิหารหรือลานหน้าพระ
เจดยี ์ หรือพระสถูปองค์ใดองค์หนึ่ง ถอื ดอกไมธ้ ูปเทียนดว้ ยมือขวาชูขน้ึ ไวเ้ สมอลำตัว แล้วประธานในพิธีซึ่ง
เป็นพระสงฆ์กล่าวใหโ้ อวาทประมาณ ๑๐-๑๔ นาที พุทธศาสนิกชนต้งั ใจฟงั ด้วยความเคารพ เม่ือพระสงฆ์
ให้โอวาทจบลงให้เปล่งเสียงสาธุการแล้วจุดธูปเทียน ประธานกล่าวนำบูชาให้ทุกคนกล่าวตาม กล่าวคำ
บูชาจบแล้วพระสงฆ์เดินนำหน้า ประชาชนเดินตามหลังเวียนขวารอบโบสถ์ หรือปูชนียสถาน ๓ รอบด้วย

๘๗

อาการสงบ จนครบ ๓ รอบแล้วจึงนำธูปเทียนไปปักในกระถางธูปและราวเชิงเทียนส่วนดอกไม้ใส่ไว้ใน
ภาชนะทวี่ ดั จัดไว้เปน็ พิธเี วยี นเทียน

อนึ่งในการเดินเวียนรอบอุโบสถหรือปูชนียสถานนั้นให้ภาวนาในใจที่เดินเวียนเทียนแต่ละรอบ
ดังนี้

รอบท่ี ๑ ให้นอ้ มจิตระลึกถงึ พระพทุ ธเจ้าโดยสวดบทสรรเสริญพุทธคณุ (อิติ ปิ โส ภควา...)
ไปจนจบรอบ ถ้าใครสวดไมไ่ ดอ้ าจภาวนาในใจวา่ พุทโฺ ธ พทุ ฺโธ พุทโฺ ธ...ไปจนจบรอบก็ได้

รอบท่ี ๒ ให้น้อมจติ ระลึกถงึ พระธรรมโดยสวดบทสรรเสริญพระธรรมคณุ (สวฺ ากฺขาโต ภควตา ธฺม
โม...) ไปจนจบรอบ ถ้าใครสวดไมไ่ ดอ้ าจภาวนาในใจวา่ ธมฺโม ธมฺโม ธมโฺ ม ไปจนจบรอบก็ได้

รอบที่ ๓ ให้น้อมจิตระลึกถึงพระสงฆ์ โดยสวดบทสรรเสริญพระสังฆคุณ (สุปฏิปนฺโน ภควโต
สาวกสงโฺ ฆ...) ไปจนจบรอบ ถ้าใครสวดไมไ่ ดอ้ าจภาวนาในใจวา่ สงฺโฆ สงฺโฆ สงฺโฆ ไปจนจบรอบกไ็ ด้

ส่วนการนับกำหนดวันท้ังสี่ในปีอธิกมาสให้เลื่อนไปอีก ๑ เดือน คือวันมาฆบูชาจะตรงกับ
กลางเดือน ๔ วันวิสาขบูชา และวันอัฏฐมีบูชาจะอยู่ในเดือน ๗ และวันอาสาฬหบูชาจะตรงกับเดือน ๘
หลงั

หลักคำสอนสำคัญของศาสนาอิสลาม ประกอบด้วยหลักสำคญั คือหลักศรัทธา ๖ และปฏิบัติ ๕
(มนต์ ทองธัช,๒๕๓๐,๑๔๐-๑๕๑.)

หลักศรัทธา ๖ ประการ คือ ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า เทพบริวารหรือเทวทูตของพระผู้เป็นเจ้า
(มลาอีกะฮ์) พระคัมภีร์อัล-กุรอาน ศาสดาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศสัจธรรมแก่มวล
มนุษย์ในแต่ละยุคสมัย มีมะหาหมัดเป็นศาสดาสุดท้าย ท้ังศรัทธาในวันพิพากษา และกฏกำหนด
สภาวการณข์ องพระเจา้ มีสาระสำคัญดงั นี้

ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า เป็นหัวใจสำคัญของชาวมุสลิมที่แท้จริง คือ เช่ือว่าพระเจ้าท่ีแท้จริงมี
เพียง “พระอัลเลาะห์ (ซุปฮ์) ” องค์เดียวเท่านั้น โดยไม่ต้ังสิ่งอ่ืนข้ึนเพ่ือเคารพสักการะ และเช่ือว่าพระ
เจ้าทรงสร้างสรรพส่ิงทั้งหลายทั้งปวงด้วยความเมตตา กรุณาและยุติธรรม ตลอดจนทรงรู้การกระทำและ
เข้าใจความคดิ ของมนุษยท์ กุ คนท้ังในทล่ี บั และทแ่ี จ้ง

ศรัทธาในเทพบริวาร หรือ เทวทูตของพระเจ้า (พระอัลเลาะห์ ภาษาอาหรับเรียกว่า “มลาอี
กะฮ์” คือ บรรยายถึงรูปลักษณ์ของบรรดามลาอีกะฮ์ท้ังหลายว่าเกิดจากธาตุบริสุทธ์ิ มีรัศมีรุ่งโรจน์ ไม่มี
เพศและไม่ทำสิ่งใดตามความพอใจ ไม่สามารถกำหนดรูปลักษณะแต่เป็นสิ่งที่พระเจ้าสรา้ งข้ึนมามีจำนวน
มากและมหี น้าที่ต่างกนั ๆกนั เช่น

เทพบริวารช่อื “ยิบรออีล”มหี นา้ ทน่ี ำโองการจากพระเจ้ามาถ่ายทอดแก่ศาสดา
เทพบรวิ ารช่อื “รกิบ-อตด๊ ” มีหนา้ ที่บนั ทกึ การกระทำความดคี วามช่วั ของมนษุ ย์
เทพบรวิ ารชอ่ื “อิสรออลี ” มหี น้าทปี่ ลดิ วญิ ญาณมนุษยอ์ อกจากรา่ ง
เทพบรวิ ารชื่อ “มนุ กัร-นกี” มหี น้าท่ีสอบสวนผู้ตาย ณ หลมุ ศพ
ชาวมุสลิมทกุ คนต้องเชอื่ ว่าเทพบริวาร หรอื เทวทตู ทงั้ หลายมจี ริง
ศรัทธาในพระคัมภีร์อัล-กุรอาน ในอดีตกาลก่อนท่ีพระเจ้าจะประทานคัมภีร์อัล-กุรอานแต่นะบี
มะหะหมัด (ซอล) ซึ่งเป็นคัมภีร์ฉบับสุดท้ายที่พระเจ้าประทานให้แก่มนุษยชาติ ทรงได้ประทานคัมภีร์
อืน่ ๆใหแ้ ก่อดีตศาสดาในยุคสมยั ต่างๆมาก่อนเป็นจำนวนถึง ๑๐๔ พระคัมภรี ์
ชาวมุสลิมทุกคนเชื่อว่าพระคัมภีร์อัล-กุรอานเป็นคัมภีร์ฉบับสุดท้ายท่ีสมบูรณืยิ่งกว่าคัมภีร์ที่พระ
เจ้าเคยประทานแตศ่ าสดาอน่ื ๆในอดีต

๘๘

ศรัทธาในบรรดาพระศาสนทูต ศาสนาอิสลามจำแนกศาสนทูต หรือผู้รับโองการจากพระเจ้าให้
นำบทบัญญัติของพระองค์มาสั่งสอนแก่มวลมนุษย์ด้วยกันในแต่ละยุคสมัยเป็น ๒ ประเภทคือ ศาสนทูต
ผรู้ ับมอบใหป้ ฏิบัติหนา้ ทีต่ ามแบบอย่างที่กำหนดในบทบัญญัตขิ องพระองค์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เรยี กว่า
“นะบี” และศาสนทูตผู้รับมอบให้ปฏิบัติหน้าที่ตามแบบอย่างที่กำหนดในบทบัญญัติของพระเจ้าแล้วเผย
แผ่บทบัญญัตินั้นแก่มวลมนุษยชาติท่ัวไป เรียกว่า “รซู้ล” หรือ “รอซู้ล” ชาวมุสลิมทั้งหลายเช่ือว่าพระ
มะหะหมัดทรงเปน็ ทัง้ นะบแี ละรอซลู้

ศรัทธาในวันพิพากษา ศาสนาอิสลามเรียกโลกปัจจุบันว่า “โลกดุนยา”เป็นโลกแห่งการทดลอง
ไม่จีรงั ยั่งยนื และรอวันแห่งความพนิ าศแตกสลายเรยี กว่า “วนั กียามะฮ์”ซึ่งเปน็ วันพพิ ากษาหรอื วันกำเนิด
ปรโลก โลกใหม่ทเี่ กิดขึ้นในวันดงั กล่าวเป็นโลกอมตะเรียกวา่ “โลกอาครี ัต”มนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลายที่
เกิดข้ึนในโลกจะมีชีวิตเป็นนิรันดร ในวันกียามะฮ์นั้นทุกชีวิตที่ตายไปแล้วจะกลับฟื้นคืนชีพอีกครั้งเพ่ือ
ชำระผลกรรมที่ทำไว้สมัยมีชีวิตอยู่มุสลิมผู้ศรัทธาในวันพิพากษาและสร้างสมความดีไว้มากจะได้ไปสู่
ปรโลกและพบกบั ชีวติ นิรันดร

ศรัทธาต่อกฎกำหนดสภาวการณ์ ศาสนาอิสลามกล่าวว่าพระอัลเลาะห์เจ้าทรงเป็นผู้กำหนดกฎ
สภาวการณ์ (ความเป็นไป) แห่งโลกและมวลมนุษยชาติไว้ ๒ ลักษณะ คือ สภาวการณ์ที่คงที่ และ
สภาวการณ์ที่เปลีย่ นแปลงได้

สภาวการณ์ที่คงที่ ได้แก่ กฎแห่งธรรมชาติ เช่น ดินฟ้าอากาศ ระบบการโคจรของดวงดาว และ
ชาตพิ ันธุ์ของมนษุ ย์ ฯลฯ

สภาวการณ์ที่เปล่ียนแปลงได้ เป็นสภาวการณ์ที่ข้ึนกับเหตุและผลที่มนุษย์แต่ละคนใช้สตปิ ัญญา
ของตนเลือกประพฤติปฏิบัติ เช่น พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้มีรูปลักษณ์เหมือนกัน แล้วทรงประทานแนวทาง
ประพฤติปฏิบัติท่ีดีงามแก่มนุษย์ ส่วนสถานภาพในกายหลังจะเป็นอย่างไรนั้นสุดแต่การกระทำของแต่ละ
บคุ คล

หลักปฏิบัติ ๕ ประการ ได้แก่ การปฏิญาณตน การละหมาด ถือศีลอดในเทศกาลรอมดอน
บริจาคทานซะกาด และประกอบพธิ ีหัจญ์

การปฏิญาณตน คือการประกาศตนยอมรับนับถือด้วยศรัทธาและความบริสุทธ์ิใจว่าพระอัล
เลาะห์เจ้าทรงเป็นพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียวเท่านั้น และจะประพฤติปฏิบัติตามโองการท่ีพระองค์ทรง
บัญชา เว้นปฏิบัติในสิ่งที่ทรงห้าม ฉะน้ันการยอมรับในเอกภาพสูงสุดของพระเจ้าดังกล่าวทำให้ชาวมุสลิม
ไมต่ ้องมีสัญลกั ษณอ์ ื่นใดสำหรับการเคารพบชู า

การละหมาด หมายถึงการขอพรจากพระอัลเลาะห์เจ้า เป็นการปฏิบัติเจริญรอยตามพระนะบี
มะหะหมัดท่ีทรงถือเร่ืองการสวดมนต์เป็นกิจวัตรสำคัญที่สุด เป็นหนทางไปสู่สวรรค์ (การเข้าเฝ้าพระเจ้า)
ชาวมุสลิมทั้งชายและหญิงท่ีบรรลุนิติภาวะย่างสู่วัยหนุ่มสาวแล้วต้องสวดมนต์ทุกวันๆละ ๕ ครั้งในเวลา
ต่างๆคือ เช้ามืด ต้ังแต่ปรากฏแสงอาทิตย์จนกระทั่งดวงอาทิตย์ข้ึน เที่ยงวัน จนถึงบ่ายคล้อย เย็น ต้ังแต่
บ่ายคล้อยจนดวงอาทิตย์ตก พลบค่ำ หลังดวงอาทิตย์ตกจนส้ินแสงอาทิตย์ กลางคืน หลังส้ินแสงอาทิตย์
จนกระท่ังปรากฏแสงของวันใหม่ อย่างไรก็ตามสตรีขณะมีประจำเดือนหรือมีเลือดหลังคลองได้รับการ
ยกเวน้ ไมต่ อ้ งทำพิธนี ี้

สถานที่ทำพิธีละหมาด วันธรรมดาทำได้ทั่วไปไม่มีเง่ือนไขเพียงให้เป็นที่สะอาดเท่านั้น จะทำท่ี
มสั ยิด บ้าน ท่ีทำงาน ในยานพาหนะ ฯลฯ ก็ได้ ยกเว้นวนั พระ (วันศุกร)์ และเทศกาลพิเศษเท่าน้ันท่ีบงั คับ
ใหท้ ำท่ีมัสยดิ

๘๙

การถือศีลอด ตามคำสอนในพระคัมภีร์อัล-กุรอานกำหนดให้ชาวมุสลิมท่ีบรรลุนิติภาวะและมี
สุขภาพสมบูรณ์ทุกคนถือศีลอดในเทศกาลรอมดอน ซึ่งตรงกับเดือน ๙ ของศักราชฮิชรียะ เป็นเวลา ๑
เดอื น (ซ่ึงอาจมี ๒๙ หรอื ๓๐ วนั )

บุคคลที่ได้รับการยกเว้นถือศีลอด คือ คนชรา คนป่วยเรื้อรัง หรือมีสุขภาพไม่ปกติ สตรีมีรอบ
เดือน มีครรภ์ และหลังคลอด บุคคลที่ใช้แรงงานทำงานหนัก เช่น กรรมกร และบุคคลที่อยู่ในระหว่าการ
เดินทาง

การปฏิบัติระหว่างถือศีลอด ต้องละเว้นการกระทำทางกาย เช่น บริโภคอาหาร ด่ืมน้ำ ลูบไร้
ร่างกายด้วยเคร่ืองหอม พูดเท็จ นินทาว่าร้ายผู้อื่น ทวนสบถ ตลอดจนการกระทำใดๆอันเป็นเพ่ือกิเลส
ราคะ ฯลฯ ต้องควบคุมอารมณ์ทางจิตต่างๆ เช่น ความโกรธ ความหลง ให้อยู่ในความสงบและความ
บริสุทธิ์ตลอดเวลา ส่วนระยะเวลาในการปฏิบัตินั้นให้ปฏิบัติตั้งแต่เช้ามืดจนถึงอาทิตย์ตก (เฉพาะในเวลา
กลางวันเท่านั้น) ประมาณ ๑๕ ชวั่ โมง หรือน้อยกว่านั้นแลว้ แตฤ่ ดูกาล

การบริจาคทานซะกาต การบริจาคทานของศาสนาอสิ ลามเรียกว่า “ซะกาต”(Sakat) มาจากคำ
เดิมในภาษาอาหรับวา่ “ซะกาฮ์” แปลว่า การทำใหบ้ รสิ ุทธ์ิและความเจรญิ งอกงาม แต่เดมิ เป็นการให้ด้าน
กำลังกาย สติปัญญา และช่วยเหลือให้ส่ิงอ่ืน เช่น สัตว์เลี้ยงประเภทโค แพะ แกะ อูฐ ฯลฯ ต่อมาจึงเป็น
การบรจิ าคตามที่ศาสนาบังคับผู้มีทรัพย์สินและรายไดร้ อบปีมากเกินจำนวนท่ีศาสนากำหนด โดยจ่ายส่วน
ที่เกนิ นัน้ ใหแ้ ก่ผูค้ วรไดร้ ับ หรอื ผมู้ สี ิทธรบั บริจาคตามอัตราทศี่ าสนากำหนด คือ ร้อยละ ๒.๕ ต่อปี

ผู้มีสิทธ์ิรับบริจาคซะกาต ได้แก่ คนอนาถาเป็นอยู่แร้นแค้นไม่สมควรแก่อัตภาพ ผู้ขัดสนรายได้
ไม่พอกบั รายจ่ายท่ีจำเป็น ผปู้ ฏิบัติหน้าที่รวบรวมและจ่ายซะกาตแก่ผู้ท่ีพิจารณาเห็นสมควร ผู้ควรแก่การ
ปลอบใจ เช่น ผู้เลื่อมใสและเข้าน้อมรับนับถือศาสนาอิสลามในระยะแรก ทาสหรือเชลย ซึ่งนายทาสให้
สัญญาอนุญาตให้นำเงินมาไถ่ตัวได้ ผู้มีหน้ีอันเกิดจากการประกอบอาชีพสุจริต ผู้สนับสนุนส่งเสริมวิถีทาง
แหง่ อัลเลาะหเ์ จา้ เช่น โรงเรียนและสถานพยาบาล ฯลฯ และผู้เดินทางไกลที่ขาดปจั จยั ในการเดินทางกลับ
บ้านเกิดเมืองนอน

การประกอบพิธีหัจญ์ คำว่า “หจั ญ”์ แปลวา่ การมุ่งไปสู่ หรือการไปเยือน ดงั น้ันการประกอบพิธี
หัจญ์นี้จึงหมายถึง การเดินทาง (ธุดงค์หรือแสวงบุญ) ไปประกอบศาสนากิจของมุสลิม ณ สถานอับดุล
เลาะห์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย มีที่มาจากคำประกาศในพระคัมภีร์อัล-กุรอาน ให้ชาวมุสลิมศรัทธาต่อ
พระอัลเลาะห์เจ้าแล้วเดินทางไปนมัสการบัยตุลเลาะห์ท่ีนครเมกกะอย่างน้อยคร้ังหนึ่งในชีวิต เรียกการ
เดินทางน้ันว่า“ไปฮะยี” (Haji) ท้ังยังเปน็ การเจริญรอยตามแบบอย่างพระศาสดามะหะหมัดท่ีเสด็จไปทรง
นมสั การสถานศกั ด์ิสิทธ์ิแหง่ นีก้ อ่ นส้ินพระชนม์

คุณสมบัติของชาวมุสลิมที่ไปประกอบพิธีหัจญ์ คือ มีจิตศรัทธาอย่างแท้จริงโดยไม่หวังสิ่งตอบ
แทน หรืออวดความมั่งมี มีสุขภาพ และสติปัญญาสมบูรณ์ มีทรัพย์สินเพียงพอสำหรับใช้จ่ายในการ
เดินทางโดยไม่ต้องไปทำหนี้และไม่เป็นภาระแก่ผู้รับผิดชอบ จัดการเร่ืองทรัพย์สินและครอบครัวท่ีอยู่
เบ้ืองหลังเรียบร้อยแล้ว ได้ปฏิบัติในการประกอบพิธีละหมาดถือศีลอด และบริจาคซะกาตครบถ้วน
สมบูรณ์ และเสน้ ทางทจ่ี ะไปประกอบพธิ ีปลอดภัย

เทศกาลพิธีหัจญ์ ดำเนินการปีละ 1 ครั้ง เริ่มตัง้ แตว่ ันท่ี ๑ ของเดือน ๑๐ ถึงวันท่ี ๑๐ ของเดือน
๑๒ ของศักราชฮิชรียะ (ซุลฮิจญะห์) เรม่ิ วันใดระหว่างเทศกาลก็ได้แต่ต้องอยู่ในพิธีจนถึงวันท่ี ๙ และ ๑๐
ของเดือน ๑๒ ซ่งึ เปน็ วนั สำคญั ทส่ี ดุ เพราะชาวมสุ ลมิ จากทวั่ โลกจะไปชุมนมุ ทำพิธกี ันในโอกาสดงั กลา่ วมาก

๙๐

ที่สุด อย่างไรก็ตามชาวมุสลิมอาจเดินทางไปประกอบพิธีหัจญ์นอกเทศกาลได้ เรียกว่า “อุมเราะห์”(หัจญ์
เลก็ )

ขนั้ ตอนในการประกอบพธิ ีหจั ญ์ มดี ังน้ี คือ การครองเอียะฮ์ราม (นงุ่ ขาวห่มขาว) ต้ังปณิธานการ
พิธีเพื่ออัลเลาะห์เจ้า การชุมนุมร่วมกัน ณ ทุ่งอาระฟะฮ์ แล้วแรมคืนที่มุซดะ-ลิฟะฮ์ มินา และเดินเวียน
ซ้ายรอบบัยตุลเลาะห์ เดินไป-มาระหว่างเนินเขาซอฟากับเนินเขามังวะห์ ตลอดจนการโกนหรือขลิบเส้น
ผม (ชายหญิงขลบิ เพยี งอย่างเดียว)
พธิ กี รรมทสี่ ำคญั

มดี ังต่อไปน้ี
พธิ ีรักษาความสะอาด เป็นกิจท่ีชาวมสุ ลิมทุกคนพึงปฏิบัติก่อนทำพิธลี ะหมาดพิธีหัจญ์ตามท่ีระบุ
ไว้ในพระคัมภีรอ์ ัล-กุรอาน และพระวจนะ (อัล-ฮะดีศ)ทั้งยงั แสดงถึงความศรัทธา ความบรสิ ุทธิ์ทั้งร่างกาย
และจิตใจกอ่ นเขา้ เฝ้าพระเจ้า การอาบน้ำละหมาดคอื ล้างอวัยวะเพียงบางส่วนของร่างกายโดยปฏบิ ัติตาม
ขั้นตอนท่ีกำหนดอย่างถกู ตอ้ งตามลำดบั คือ ลา้ งใบหน้า ล้างมือ ลูบศีรษะ และล้างเท้า
ข้อบังคับเพื่อการปฏิบัติ ชาวมุสลิมชายหญิงต้องอาบน้ำชำระกายให้สะอาดก่อนทำพิธีอาบน้ำ
ละหมาด ทั้งกรณีที่หญิงเพ่ิงหมดรอบเดือน หลังหญิงชายร่วมประเวณี หรือฝันอยา่ งไรกต็ ามการปฏิบตั ิของ
ผู้ทำพิธีอาบน้ำละหมาดไปแล้วจะเป็นโมฆะเมื่อมีพฤติกรรมเกิดขึ้น ดังน้ีคือ หลับสนิท เป็นลมหมดสติ มือ
สัมผัสอวัยวะเพศโดยปราศจากสิ่งรองรับ สัมผัสเพศตรงข้ามแล้วเกิดความกำหนัด ผายลม ถ่ายปัสสาวะ
อจุ จาระ มีนำ้ เมือกเคลอ่ื นออกมาจากความกำหนัด ร่วมประเวณี มปี ระจำเดอื น และคลอดบุตร
นอกจากนั้นบทบญั ญัติแห่งศาสนาอิสลามกำหนดน้ำที่ใช้ในพิธรี ักษาความสะอาดเป็น ๗ ประการ
คือ น้ำฝน-นำ้ คา้ ง น้ำทะเล น้ำคลอง น้ำบอ่ หิมะ ลูกเห็บ และตานำ้
ส่วนน้ำที่มีส่ิงเจือปนหรือใช้ชำระล้างมลทินแล้วห้ามใช้ประกอบพิธีดังกล่าวถ้ากรณีขาดแคลนน้ำ
อนุญาตให้ใช้ฝุ่นจากดินแทนน้ำละหมาดได้ เรียกว่า “ตะยัมมุม”มีวิธีปฏิบัติ คือ ใช้ฝ่ามือทาบลงบนฝุ่น
เดาะหรือเป่าฝุ่นท่ีมากเกนิ ไปออกเสียบ้าง ใช้ฝ่ามอื ท้ังสองลูบไลใ้ บหนา้ และลูบมอื ท้ังสองโดยใชม้ ือซ้ายลูบ
หลงั มือขวา แลว้ ใชม้ อื ขวาลบู หลังมอื ซา้ ย สลบั กนั
ข้อพึงปฏิบัติ ชาวมุสลิมที่ยังไม่ได้อาบน้ำละหมาดมีข้อปฏิบัติคือ ห้ามประกอบพิธีละหมาด เดิน
เวยี นรอบบยั ตุลเลาะห์ในพิธีหัจญ์ และสมั ผสั พระคมั ภรี ์อลั -กุรอาน
พิธีขอพรจากพระเจ้า (ดุอาฮ์) ตามหลักฐานท่ีปรากฏในพระคัมภีร์อัล-กุรอาน และพระวจนะ
(อัล-ฮะดีศ) ระบุว่าเป็นพิธีกรรมที่พระศาสดามะหะหมัดปฏิบัติตลอดพระชนม์ชีพแห่งพระองค์ เป็นต้นว่า
ทรงขอให้ผู้ป่วยท่ีทรงพบหายป่วย ขอให้ของท่ีหายได้คืน ขอให้ปลอดภัยจากการเดินทาง และขอให้ทรง
คุ้มครองเม่ือทรงกลัวการข่มเหงรังแก ฯลฯ ดังนั้นการขอพรจากพระเจ้าจึงเป็นพิธีกรรมท่ีสำคัญอีกอย่าง
หนึ่งเพราะพระเจ้าทรงพอพระทัยและโปรดเม่ือมีผู้ขอพรจากพระองค์ พระเจ้าจะรับหรือไม่ข้ึนอยู่กับการ
ปฏบิ ัติท่ีถูกตอ้ งตามหลักเกณฑ์คอื เป็นผ้กู ลบั ใจจากความผดิ พลาดต่ออัลเลาะห์เจา้ โดยไดส้ ารภาพความผิด
ของตนแล้ว สิ่งของเครื่องใช้และปัจจัย ๔ ควรได้มาโดยสุจริตด้วยการอนุญาต (หะลาล) จิตใจยึดม่ันอยู่ที่
การระลึกในอัลเลาะห์เจ้าโดยม่ันใจในสิ่งที่ขอน้ันจะได้รับประทานจากอัลเลาะห์เจ้า และสิ่งที่ขอดังกล่าว
ไม่น่ารงั เกียจหรือให้โทษภัยแกผ่ ู้อนื่
ส่วนการปฏิบัติขอพร น้ันให้น่ังคุกเข่าหรือน่ังพับเพียบ ไม่ยกนัยน์ตา (เหลือบตาดูเบื้องบน) โดย
ขอพรให้บิดามารดา และแสดงความปรารถนาดีต่ออัลเลาะห์เจ้า ทั้งน้ีให้กล่าวซ้ำหรือกล่าวย้ำสำหรับพร

๙๑

สำคัญๆที่ขอหลายๆคร้ัง (อย่างน้อย ๓ ครั้ง) แล้วภาวนาขอพรอย่างมีสมาธิ สงบเสงี่ยม นอบน้อมด้วย
นำ้ เสยี งท่ีแผ่วเบา โดยเฉพาะพิจารณาขอพรให้เหมาะสม

การเข้าสุหนัด เป็นพิธีกรรมหน่ึงท่ีปฏิบัติอย่างเคร่งครัดของอิสลาม คือ การขลิบหนังหุ้มปลาย
อวัยวะเพศท่ีศาสดาปฏิบัติ และให้ปฏิบัติ ในอดีตนิยมทำเม่ืออายุ ๒๐ ปี แต่ปัจจุบันนิยมทำเม่ือเด็กอายุ
ระหว่าง ๖-๑๕ ปี บางคนอาจทำหลงั คลอดไมก่ ีว่ ัน การเข้าสุหนัดมวี ัตถปุ ระสงคเ์ พ่ือสะดวกในการทำความ
สะอาดอวยั วะเพศ เป็นผลในการปฏบิ ตั ิศาสนกิจ คอื ชำระลา้ งร่างกายให้สะอาดกอ่ นการละหมาด

หลกั คำสอนของครสิ ตศ์ าสนา มีดังนี้
หลักตรีเอกานุภาพ (Trinity) คือการยึดม่ันและเคารพบูชาในอานุภาพแห่งพระเจ้าท้ัง ๓ คือ
พระยะโฮวา (พระบดิ า) พระบตุ ร (พระเยซู) พระจติ (วิญญาณศกั ดิส์ ิทธขิ์ องพระบดิ าและพระบุตรรวมกนั )
ความรกั ปัจฉมิ โอวาทของพระเยซูกอ่ นสนิ้ พระชนม์ทรงเนน้ เรอื่ งความรกั เป็นหลักใหญแ่ ละสำคัญ
ท่ีสุดในคำสอน เพราะ “ความรักเป็นส่ิงมีค่าย่ิงกว่าเงินทองและทรัพย์สมบัติใดๆในโลก” โดยทรงสอนว่า
“จงรักพระเจ้า รักครอบครัว รักเพ่ือนบ้านและรักเพื่อนมนุษย์แล้วจะได้รับความรักจากโลกเป็นสิ่งตอบ
แทน”
อาณาจักรแห่งพระเจ้า (Kigndom of God) คือ สรวงสวรรค์เป็นสถานท่ีซ่ึงผู้เลื่อมใส ศรัทธา
และปฏิบัติตามคำส่ังสอนของพระเจ้าอย่างแท้จริง มีโอกาสขึ้นไปรวมกับพระองค์ ณ ท่ีนั้นไม่มีร้อนไม่มี
หนาว ไม่มีกลางวันกลางคืน ไม่มีกาลเวลา ไม่ต้องกินอาหาร (อ่ิมทิพย์) ไม่มีเกิดแก่เจ็บตาย มีแต่ความร่ม
รนื่ และสุขสงบ เรียกวา่ “ชวี ิตนิรันดร”
พระเยซูทรงสอนว่าชีวิตปัจจุบันเป็นโลกแห่งมายา “ ผู้ใดปรารภนาชีวิตนิรันดรผู้น้ันต้องทำลาย
ชีวิตปัจจุบันเสีย ” แล้วตรัสกับสาวกของพระองค์ก่อนวันส้ินพระชนม์ว่าถ้าไม่พบพระองค์ขอให้เข้าใจว่า
พระองคเ์ สด็จไปเตรียมสถานทบี่ นสวรรค์สำหรับพวกเขาเหลา่ น้ันแล้ว และก่อนจะถึงวาระสุดทา้ ยแห่งพระ
ชนม์ชีพ ทรงตอบข้อกล่าวหาที่ผู้สำเร็จราชการโรมันวา่ พระองค์ทรงคิดจะตงั้ ตวั เปน็ กษัตรยิ ์ยิวโดยนำชาวยิ
วกบฏตอ่ โรมนั ว่า “อาณาจักรของเรามิได้อย่ใู นโลกน”้ี
พิธีกรรมสำคัญของคริสต์ศาสนา มี ๗ พิธี (Seven Sacraments) ดังต่อไปนี้ (สัมภาษณ์ นาย
สมศักด์ิ-นางชูศรี กจิ เจา.)
พิธีศีลจุ่ม (Baptism) หรือเรยี กว่า “พิธีล้างบาป” มีต้นกำเนิดจากคติความเช่ือว่ามนุษย์ทุกคน
ที่เกดิ มีบาปติดตัวมาเพราะสืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษทท่ี ำบาป คือ อาดัมและอีฟ ดังน้ันเด็กท่เี กิดใหม่หรือ
ผู้ที่เข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชนทุกคนจะต้องให้พระทำพิธีดังกล่าวเพ่ือจะได้เป็นผู้บริสุทธ์ิ ท้ังเป็นการปฏิบัติ
ตามอย่างพระเยซู เพราะเมื่อพระองค์มีพระชนมายุ ๓๐ พรรษา ได้มอบตัวเป็นศิษย์ของนักบวชธุดงค์องค์
หนึ่งซ่ึงมีนามว่า “โยฮัน” ด้วยการรับพิธีศีลจุ่มท่ีแม่น้ำจอร์แดน เป็นการประกาศตนเป็นศิษย์โดยเฉพาะ
เป็นผู้เข้าถึงพระเจ้า ในสมัยโบราณจะทำพิธีศีลจุม่ กบั เด็กอายุไม่เกนิ 7 ปี แต่ปัจจุบนั ทำพิธีดงั กล่าวกับเด็ก
อายุ ๓ เดือนถึง ๙ ปี มีบาทหลวงเป็นผู้ประกอบพิธี บิดามารดาควรนำเด็กไปท่ีโบสถ์พร้อมกับพ่อทูนหัว
ของเด็กชาย และแม่ทูนหัวของเด็กหญิงซึ่งมาจากครอบครัวท่ีดี คือความประพฤติดี ศรัทธา และปฏิบัติ
ตามคำสอนในศาสนา พ่อทูนหัวแม่ทูนหัวเป็นผู้ให้คำม่ันสัญญาแทนผู้รับศีล คอื เด็กชายหรือเด็กหญิง และ
เปน็ ผูด้ ูแลอบรมลกู ใหเ้ ป็นครสิ ต์ศาสนิกชนทด่ี ี
พิธีศีลมหาสนิท เด็กอายุประมาณ ๑๐ ปีขึ้นไปต้องเข้าพิธีรับศีลมหาสนิท มีบาทหลวงเป็นผู้
ประกอบพิธี อุปกรณ์ท่ีใช้ ได้แก่ เหล้าองุ่น และขนมปัง พิธีดังกล่าวสืบเนื่อง มาจากเหตุการณ์วันสุดท้าย

๙๒

ก่อนสน้ิ พระชนม์ของพระเยซู ทรงเล้ียงขนมปังกบั เหลา้ อง่นุ แก่สาวกท้งั ๑๒ แล้วทรงกล่าวว่า “ นี้คอื เลือด
และเนอ้ื ของเรา ผู้ใดกนิ ขนมปัง และด่มื น้ำองุ่นนี้เท่ากบั ได้มาอยูก่ บั เรา ”

พิธีศีลกำลัง เป็นพิธีต่อจากศีลมหาสนิท เม่ือเด็กอายุประมาณ ๑๔ ปีขึ้นไปควรเข้าพิธีศีลกำลัง
เพื่อใหม้ จี ิตใจมั่นคงต่อศาสนา (พระเจ้า) โดยไมเ่ ปลย่ี นแปลงผู้ประกอบพิธี คือ พระสงั ฆราช

พิธีศีลสมรส หรือพิธีแต่งงาน ชายหญิงท่ีมีความประสงค์จะอยู่ร่วมเป็นสามีภรรยากันควรไปทำ
พธิ ใี นโบสถ์ โดยมบี าทหลวงเป็นผู้ประกอบพธิ ี

พิธีสารภาพบาป เป็นพิธีที่ปฏิบัติกันในโบสถ์ ผู้สารภาพบาปคุกเข่าสารภาพบาปของตนต่อ
บาทหลวง แล้วบาทหลวงให้ผู้สารภาพบาปยืนยันความสำนึกในบาปของตน เตือนให้ระมัดระวังไม่ทำผิด
อีก แลว้ จึงประกาศให้อภยั

พิธีเจิมคร้ังสุดท้าย เป็นพิธีทำให้แก่คนป่วยท่ีใกล้จะสิ้นลมหายใจ เป็นการชำระบาปครั้งสุดท้าย
เพื่อความบริสุทธ์ิของวิญญาณก่อนเดินทางไปสู่สถานพิพากษา (บาป-บุญ) ในโลกหน้า โดยเฉพาะเช่ือกัน
วา่ พธิ ดี งั กล่าวสามารถเพิ่มพลงั แก่ดวงวญิ ญาณให้ชนะภตู ผีปศี าจท่จี ะมาขัดขวางระหว่างการเดินทา

พิธีบวช เปน็ พธิ ีของฝ่ายนักบวชที่หวั หน้าสงฆ์ทำให้แกผ่ ูเ้ ข้าพิธีบวช แต่งตงั้ ให้บาทหลวง และมอบ
หนา้ ที่ “พระธรรมทตู ” เพ่อื เป็นตวั แทนของพระเยซู

ศาสนสถาน

จังหวดั นครนายกมีประชาชนนับถอื ศาสนาพทุ ธ ศาสนาครสิ ต์ และศาสนาอสิ ลาม
จึงมีศาสนสถานทั้งท่ีเปน็ วดั โบสถ์ครสิ ต์ และมัสยิด

วัด จังหวัดนครนายกมีวัดเป็นศาสนสถานของพระพุทธศาสนา จำนวน ๒๐๑ แห่ง เป็นวัด
มหานิกาย ๑๙๔ แห่ง วดั ธรรมยุต ๗ แห่ง ต้งั ในอำเภอเมืองนครนายกมี ๘๖ แห่ง (วดั มหานกิ าย ๘๐ แห่ง
วัดธรรมยุต ๖ แห่ง) อำเภอบ้านนามีวดั ๔๘ แห่ง (วดั มหานิกาย ๔๗ แห่ง วัดธรรมยตุ ๑ แหง่ ) อำเภอปาก
พลีมวี ดั ๓๘ แหง่ เป็นมหานกิ ายทั้งหมด และอำเภองครักษ์มีวัดเปน็ มหานิกายทั้งหมด ๒๙ แหง่

โบสถ์คริสต์ เป็นศาสนสถานของคริสต์ศาสนามีจำนวน ๗ แห่ง เป็นโบสถ์คริสต์นิกาย
โรมันคาทอลิก จำนวน ๖ แห่ง โบสถ์คริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ จำนวน ๑ แห่ง ต้ัง ณ ในอำเภอเมือง
นครนายก ๓ แห่ง (โรมันคาทอลิก ๒ แห่ง และโปรแตสแตนท์ ๑ แห่ง) อำเภอบ้านนามี ๒ แห่ง และ
อำเภอองครักษ์มี ๒ แหง่

มสั ยิด เป็นศาสนสถานของศาสนาอิสลาม มีจำนวนมัสยิด ๒๔ แห่ง ตั้ง ณ อำเภอเมืองนครนายก
๒ แห่ง อำเภอบ้านนา ๑ แห่ง และอำเภอองครักษ์ ๒๑ แห่ง (ข้อมูลการศึกษาการศาสนา และการ
วฒั นธรรม ปกี ารศึกษา ๒๕๔๑ จงั หวัดนครนายก,๒๕๔๑,๑๒)

ศาสนสถานท่ีนา่ สนใจของจังหวัดนครนายก มีดังนี้
วัดอุดมธานี เป็นวัดเก่ามีอายุประมาณ ๒๐๐ กว่าปี เดิมช่ือ “วัดแก้วตา” แม่แก้วตาชาว

เวียงจันทน์เป็นผู้สร้าง ต่อมาแม่สาวหนูเชื้อสายเวียงจันทน์มีศรัทธาได้สร้างวัดในท่ีอยู่อาศัยของตนติดกับ
วดั แก้วตา โดยยกท้ังที่และบ้านให้เป็นที่สร้างวัด เรยี กว่า “วัดอุดม” เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๖๐ ได้รวมวัด
แกว้ ตากับวัดอุดมเปน็ วัดเดยี วกันเรยี กวา่ “วัดอุดมรตั นวาส” แล้วสร้างอุโบสถหลังใหม่ได้รับพระราชทาน
วิสุงคามสมี าเม่ือ พ.ศ.๒๔๖๓ ระหว่างท่สี ร้างโบสถอ์ ยู่น้ันสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโร
รส สมเด็จพระสังฆราชเจ้าได้เสด็จเมืองนครนายกแล้วทรงเย่ียมวัดอุดมรัตนาวาส จึงมีพระราชดำรัสสงั่ ให้
เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดอุดมธานี” เมื่อสร้างอุโบสถเสร็จจึงนำพระประธานในโบสถ์เก่ามาเป็นพระประธาน

๙๓

เปน็ พระสมัยสุโขทัย หนา้ ตักประมาณ ๒๖ น้ิว ต่อมา พ.ศ. ๒๕๐๗ ขโมยได้งดั โบสถ์แล้วลักพระประธานไป
ในคืนวนั เข้าพรรษา

วัดอุดมธานีมีพระราชวรนายก(เกตุ สิริวฑฺฒโน ปธ.๔,น.ธ.เอก) เป็นเจ้าอาวาสดำรงตำแหน่งเจ้า
คณะจงั หวดั นครนายกด้วย (ประวตั ิวัดอุดมธานี,๒๕๓๙,๑๕-๑๗)

วดั ทองย้อย เป็นวัดเก่าแก่ของอำเภอบ้านนา ชาวมอญที่อพยพจากกรุงศรีอยุธยามาตั้งบ้านเรือน
บริเวณริมคลองบ้านนาได้สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๑๒๕ ต่อมาได้สร้างพระอุโบสถเพ่ือใช้ในการทำสังฆกรรมของ
สงฆ์ พระอุโบสถยังอยู่ถึงปัจจุบันน้ีแต่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ถึง ๕ ครั้งแล้ว ภายในวัดมีรอยพระพุทธ
บาทจำลอง ๔ รอย อายุประมาณ ๑๒๐ ปี ประดิษฐานอยู่ภายในมณฑป วัดทองย้อยมีเนื้อท่ีท้ังหมด ๒๐
ไร่ ๑ งานมีโรงเรียนประถมศึกษาสงั กัดสำนกั งานการประถมศึกษาแหง่ ชาติ ๑ แหง่ และโรงเรียนเอกชนซ่ึง
อยู่ภายในความควบคุมดูแลของวัด ๑ แห่ง คือ โรงเรียนนายกวัฒนากรวัดทอย้อย (น.ว.ก.๒) กิจกรรมที่
สำคัญของวัดนอกจากการอบรมส่ังสอนประชาชนในวันธรรมสวนะแล้วยังมีการบวชสามเณรภาคฤดูร้อน
ทุกปี บวชชีพราหมณ์ตลอดปี พ.ศ.๒๕๑๖ กรมการศาสนาได้ประกาศใหว้ ัดทองย้อยเป็นวดั พัฒนาตวั อย่าง
และเป็นวัดทีม่ ีผลงานดีเดน่ เม่ือ พ.ศ.๒๕๓๔ (สัมภาษณ์พระปลดั ซุง่ เฮง รักษาการเจา้ อาวาสวัดทองยอ้ ย)

วัดท่าแดง เป็นวัดเก่าแก่ของอำเภอปากพลี สร้างในสมยั กรงุ ธนบุรี โดยหลวงพ่อภาระซงึ่ ชาวบา้ น
ไทยพวน ณ บ้านโค้ง บ้านเม่ียง บ้านหนองวัว และบ้านนาคาเคารพนับถือหลวงพ่อเป็นผู้นำขบวนอพยพ
มาตั้งหลักแหล่งบริเวณ “บ้านท่าแดง” แล้วชาวบ้านได้ช่วยกันสร้างวัดเรียกช่ือตามหมู่บ้านว่า “วัดท่า
แดง” เม่ือประมาณปลายปี ๒๓๒๑ พร้อมทั้งประดิษฐานพระพุทธศรีอาริย์ (หล่อด้วยสำริดทั้งองค์ ซ่ึง
นำมาดว้ ยในคราวอพยพ) ทเี่ ช่ือกนั ว่ามีความศักดิ์สทิ ธ์ิหลายประการ เชน่ ทำใหฝ้ นตกต้องตามฤดูกาล และ
ผู้มีเคราะห์กรรมจะไม่สามารถยกองค์พระข้ึนได้ แต่พระพุทธศรีอาริย์ถูกโจรกรรมเม่ือ พ.ศ.๒๕๓๖ (ปาก
พลขี องเรา, ๒๕๔๐,๙.)

วัดประสิทธิเวช เป็นวัดเก่าแก่ของอำเภอองครักษ์ สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๒๒๓ นายสิทธิ์และนางเวช
อบุ าสกและอุบาสิกาเปน็ ผู้สร้างถวาย เจา้ อาวาสองค์แรกไม่ปรากฏนามแน่ชัดเท่าที่หลกั ฐานปรากฏคือพระ
อธิการไม้

เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบนั คือ ท่านเจ้าคณุ พระพิมลศีลาจาร วัดนี้เป็นวดั พัฒนาตัวอย่างของกรมการ
ศาสนาเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๖ และเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่นเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๗ ส่ิงสำคัญๆในวัดท่ี
ชาวบ้านศรัทธาคือ หลวงพ่อธา(พระครูศรัทธาภินันท์) มณฑปเก่า เคร่ืองเงิน เครื่องลายคราม และเครื่อง
ทองเหลืองเกา่ ๆจำนวนมาก (...อำเภอองครกั ษ์,๒๕๔๑,๑๒.)

โบสถ์พระผู้ไถ่เสาวภา ต้ัง ณ เลขท่ี ๑๘๔ หมู่ท่ี ๒ ถนนสายรังสิตนครนายก อำเภอองครักษ์
จังหวดั นครนายก เปน็ โบสถค์ าทอลิกเก่าแกข่ องอำเภอองครกั ษ์ มีอายปุ ระมาณ ๘๐ ปีเศษ เดิมเรียกช่ือว่า
“วัดหวั ควาย” สร้างเมอื่ ค.ศ.๑๙๑๒ (พ.ศ.๒๔๕๕) บาทหลวงเฮียงเปน็ ผู้กอ่ ต้ังเพอ่ื ประกอบพธิ ีทางศาสนา
บริเวณโบสถ์พระผู้ไถ่เสาวภามีโรงเรียนคริสตสงเคราะห์ ซ่ึงเปิดสอนตัง้ แตช่ ้ันอนุบาล ๑ ถึงช้นั มัธยมศึกษา
ปีท่ี ๓ มนี กั เรียนกว่า ๑,๖๐๐ คน (อำเภอองครักษ,์ ๒๕๔๑,๑๔)

ขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถนิ่

เปน็ สิ่งทคี่ นไทยประพฤตปิ ฏิบัตสิ ืบตอ่ กันมาชา้ นานตามระเบียบแบบแผนหรือข้อกำหนด
ท่ีสังคมยอมรับ มีท้ังแนวปฏิบัติเกี่ยวกับศีลธรรม เรียกว่า “จารีตประเพณี” ซ่ึงควรประพฤติปฏิบัติ
ให้ถูกต้อง ถ้าทำผิดเรียกว่าผิดจารีต ผิดฮีต หรือผิดผี เช่น บุตรต้องเลี้ยงดูบิดามารดา ถ้าไม่เลี้ยงดูถือว่า

๙๔

เนรคุณอกตัญญูต่อบุพการี เป็นต้น ถ้ามีบทลงโทษความประพฤติจัดเป็นเรื่องของกฎหมาย หรือเร่ือง
เก่ียวกับประเพณีท่ีสังคมกำหนดเป็นระเบียบวิธีการอย่างชัดแจ้ง หรือไม่ได้กำหนดเป็นแบบแผนแต่รู้
กันเองโดยปริยายวา่ ควรปฏบิ ัติอย่างไร เรียกว่า“ขนบประเพณี”เช่น ประเพณีเกี่ยวกับชีวติ ประเพณีเน่ือง
ในเทศกาลตา่ งๆ เป็นต้น และอกี ประการหนงึ่ เป็นเรอ่ื งธรรมดาสามัญท่ีไม่มีผิด-ถกู หรอื มีระเบยี บแบบแผน
แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตามอาจได้รับตำหนิจากสังคม เรียกว่า “ธรรมเนียมประเพณี” เช่น การแต่งกาย
กิรยิ ามารยาท การพดู เป็นต้น

การแต่งกายของชาวจังหวัดนครนายก

ในอดีตสตรีนุ่งผ้าโจงกระเบน หรือผา้ ถงุ หม่ ผา้ แถบ และมีการทอผา้ ฝ้าย ตามหลกั ฐานภาพถา่ ย
ทางประวตั ศิ าสตรป์ รากฏว่าปัจจุบนั เครอ่ื งมอื การทอผ้า เช่น หูก ฟมื กงทอผา้ ยงั คงมีเหลืออยู่บา้ ง
ตามบา้ น แม้ว่าจะไมค่ รบถ้วนและสภาพไมส่ มบรู ณ์เทา่ ทค่ี วร

ในสมัยกรุงศรีอยุธยากล่าวถึงการส่งส่วยว่า “ มีโสร่งไหมจำนวนไม่มากเป็นผลผลิตของจังหวัด
นครนายก”

ส่วนในสมัยรตั นโกสนิ ทร์ตอนต้นงานพระราชพิธพี ระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกมหาราชได้เกณฑ์ส่ิงต่างๆจากเมืองนครนายกในการสร้างพระเมรุ อาทิ ผ้าขาด ป่านใย โดยเฉพาะผ้า
ขาวทางกรุงเทพฯจ่ายเงินให้ด้วย แสดงว่าชาวบ้านมีการทอผ้าใช้กันมากในครัวเรือนและเหลือใช้จน
จำหนา่ ยได้

พ.ศ.๒๔๔๑ พระยาสัจจา (สรวง ศรีเพ็ญ) รับราชการที่จังหวัดนครนายกได้เขียนใน “เล่าให้ลูก
ฟงั ” เรื่องการแตง่ กายของขา้ ราชการในสมยั นั้นว่า “...การแต่งกายผู้ท่ที ำราชการเวลานนั้ เจ้าเมอื งเวลามา
น่งั ทศี่ าลากลาง ปกตินุ่งผา้ โจงกระเบน ใส่เส้อื กุยเฮง สวมหมวก ใส่เกือกแตะ ถือไม้เทา้ เล็กๆ สว่ นพนักงาน
อ่ืนๆนุ่งผ้าโจงกระเบน เสื้อช้ันใน แขนส้ัน ผ้าขาวม้าคาดพุงไม่มีเกือก ชั้นเสมียนนุ่งกางเกงจีน โดยมากสี
ขาว บางทีก็นงุ่ ผา้ โจงกระเบน ส่วนสตรีทมี่ ฐี านะมีการนุง่ ห่มแบบสตรเี มืองหลวง คอื สวมเสือ้ น่งุ โจงกระเบน
มีผา้ สไบคาด สวมถุงน่องรองเทา้ และเครื่องประดับ”

การแต่งกายเพ่ือประกอบพิธีกรรม ท่ีเกี่ยวเน่ืองกับขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น การบูชา เช่น
สรวง ผู้ประกอบพิธีทั้งชายหญิงจะนุ่งขาวห่มขาว ส่วนการทรงเจ้าหรือประเพณีเก่ียวกับความเช่ือเรื่องผี
เช่น นางทรง เล่นนาง ไหวผ้ ีฟ้า นิยมแต่งกายแบบไทย ห่มสไบเฉยี งสีสดใส แต่ถา้ เป็นงามมงคลรน่ื เริงจะใส่
สีสดใส ไม่นิยมสีดำหรือสีมอๆ เพราะดูแล้วไม่สดชื่นเหมาะกับงาน ส่วนสีม่วงท่ีไม่นิยมใช้ในงานมงคล
เพราะเป็นสใี กล้เคียงกบั สดี ำ

ผา้ ที่ใช้ในพิธีกรรมที่เป็นงานมงคล เช่น งานแต่ง ข้ึนบ้านใหม่ ยกศาลพระภูมิส่วนใหญ่นิยมใช้ผ้า
มีความยาว ความกว้าง เช่น ๓-๕-๗-๙ คืบหรือศอก เป็นผ้าสามสีเจ็ดสี ผูกศาลหรือส่ิงที่นับถือ สีท่ีใช้คือ
ชมพู เขียว แดง เหลอื ง เป็นตน้

ส่วนการทำนานั้นชาวบ้านแต่งกายรัดกุมมิดชิดเพ่ือกันแดดและให้เหมาะสมกับสภาพการทำงาน
ทง้ั น้ีนยิ มแตง่ กายสวยงามในประเพณสี ู่ขวัญขา้ วและเรยี กขวัญข้าว (ตง้ั ทอ้ งทำบญุ ลานขา้ วเปลือกเทา่ นั้น)

อาหารและการกนิ อยู่ของชาวจงั หวดั นครนายก

เน่ืองจากนครนายกเป็นสื่อรวมของหลายเชื้อชาติทั้งไทย ลาวพวน ลาวเวียง ทำให้วัฒนธรรมการ
กินอยู่ประจำวันเป็นประเภทปลาร้าในรูปแบบต่างๆ (หลน ส้มพ่น) ด้วยการปรุงดิบ และสุก รับประทาน

๙๕

พร้อมผักสดหรือลวกซึ่งเป็นผักที่ข้ึนเองตามธรรมชาติหรืออยู่ในท้องถ่ิน นอกจากนั้นยังมีเครื่องจิ้มซ่ึงเป็น
อาหารประจำชาติ เหมือนภาคกลางทั่วไป คือ น้ำพริก เช่น น้ำพริกปลาทู น้ำพริกมะขาม น้ำพริกเผา
นำ้ พรกิ ปลาย่าง ปรงุ ดว้ ยการหลน เชน่ เตา้ เจ้ยี วหลน ปลาเจา่ หลน

การถนอมอาหารในรูปแบบตา่ งๆ มดี งั นี้
การหมัก การหมักปลาร้า มีทั้งปลาเบญจพรรณ ปลาจ่อม ปลาเจ่า ปลาส้ม ปลากระด่ี

ปลาช่อนตัวเล็ก ส่วนปลาช่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่เรียกว่า ปลาร้าปลาคู ส่วนผสมประกอบด้วยรำ
ข้าวหรือข้าวคั่วบรรจุใส่ไห ใช้ภาชนะมาปิดขัดด้วยไม้ไผ่ ปากไหอาจใส่พืช เรียกว่า หนอนตายหยาก(พืช
เป็นเถาชน้ั ตามสวน) ป้องกันหนอน แมลงวนั สามารถเก็บไวร้ บั ประทานได้นาน

การยา่ ง ใช้กาบมะพรา้ วปิดด้วยใบตองทำให้เหลือง ปลาที่นำไปย่าง ได้แก่ ปลาเน้ืออ่อน
ปลากด ปลาชอ่ น ปลากระสง ปลาชะโด ย่างแลว้ ผึง่ แดดแหง้ สนทิ เกบ็ ใสป่ ี๊บไว้ได้นานวัน

การทำปลาเค็ม สว่ นใหญเ่ ป็นปลาชอ่ น ปลาสลดิ ปลาดกุ ปลาเน้ือออ่ น
การดอง ใชเ้ กลือเปน็ องค์ประกอบในการดอง เช่น หน่อไมใ้ สไ่ หดองด้วยเกลือ และข้าว
สกุ นอกจากนั้นยังมีผักกาดเขียว ผักเส้ียน ผักกุ่ม หยวกกล้วย ถั่วงอก สายบัว โสน ผักหนาม บางหมู่บ้าน
อาจมเี คลด็ ลับในการดอง เช่น ใสน่ ้ำตาล และผลมะดันซง่ึ ทำใหเ้ ปร้ยี วได้รวดเร็ว
อาหารเหล่านี้เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและขนบธรรมเนียมประเพณีในการปรุงอาหารไป
ทำบุญ ตลอดจนประเพณีต่างๆท้ังส่วนประชุมชน บุคคล หรือเทศกาล เพราะอาหารดังกล่าวเป็นของ
พน้ื บา้ นท่ีชาวจงั หวดั นครนายกรับประทาน
ประเภทอาหาร มีอาหารคาวหวาน และอาหารว่างคล้ายกับท้องถิ่นอ่ืน ๆคือ มีแกงส้มแกงเผ็ด
แกงเขียวหวาน ต้มยำ ต้มโคล้ง แกงตม้ เปอะ ป้ิงย่าง ผัด ทอด คัว่ ยำ
อาหารหวานเคร่ืองเช่อื ม ได้แก่ การทำให้ฟู การกวน การน่ึง การต้ม ซึ่งมีสว่ นประกอบ
คือ น้ำตาลทราย หรือน้ำตาลปี๊บ กะทิมะพร้าวขูด ไข่ แป้งข้าวเจ้า ข้าวเหนียว แป้งสาลี แป้งเท้ายายม่อม
ถั่วเขียว ถวั่ ทอง เผอื ก มัน สาคู ฯลฯ
อาหารว่าง เช่น ส้มตำ เม่ียงคำ ขนมในเทศกาล ผลไม้พื้นบ้าน ตามปกติวิถีชีวิตของ
พื้นบ้านน้ันไม่มีอาหารว่าง เพราะการประกอบอาชีพเกษตรกรรมนั้นไม่มีเวลาว่างมาก เม่ือว่างจากการ
ทำงานหลักแล้วนิยมเกบ็ ผัก หาฟืน หาปลา ถากหญา้ ตำขา้ ว ฯลฯ
อาหารการกินที่เกี่ยวข้องกับขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น อาหารก่อนเก็บเกี่ยวคือ
ข้าวเม่าในรูปแบบต่างๆ ข้าวกระยาคู ข้าวหลาม ข้าวต้มมัด ข้าวจี่ (พวน) เม่ือเก็บเก่ียวแล้วจะมีเทศกาล
งานบุญต่างๆ เทศกาลสงกรานต์ มีข้าวเหนียวแดง กะละแม ขนมจีนน้ำพริก-น้ำยา เทศกาลสารทน้ันมี
กระยาสารท และกล้วยไข่ ส่วนอาหารที่เก่ียวเนื่องในการประกอบพิธีของกลุ่มชาวไทยเชื้อสายมอญ จะ
เปน็ อาหารทชี่ ่ือเป็นมงคล เช่น ยำขนุน ยำหวั หยวก ทัง้ ทีเ่ ปน็ อาหารท่ีทำได้เฉพาะประเพณีดังกลา่ วเท่านน้ั
การกินเฉพาะฤดูกาล ของชาวนครนายก คือ ฤดูฝน ใหม่ๆมีปลาน้ำใหม่ซึ่งเช่ือว่าปลาสะอาด
เพราะจำศีลในโคลนตม รสชาติอร่อย
เดือน ๙-๑๐ ตรงกับเทศกาลสารทต่างๆ มีพืชชั้นต่ำขึ้นตามธรรมชาติ คือ เห็ดสารท มีความเช่ือ
วา่ ผู้ใดพบและเก็บเห็ดสารทได้จะโชคดี ผู้ใดได้รับประทานย่อมโชคดีเช่นกัน ปัจจุบันเห็ดสารทมีราคาแพง
รสชาตหิ วาน กรอบอร่อย
การเปล่ยี นฤดูกาลทำให้เกิดเจ็บไข้ ชาวบา้ นจึงป้องกันด้วยการับประทานแกงส้มดอกแคเพือ่ แก้ไข้
หัวลม

๙๖

งานมงคล มีความเช่ือเร่ืองชื่ออาหารให้เป็นมงคล เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ทองเอก
ขนมเทียน ขนมกง ขนมชะมด หรือมีลักษณะฟู เพื่อจะได้เฟ่ืองฟู เช่นขนมสาล่ี ขนมชั้น (ได้ยศ) แสดง
ความสามัคคี เช่น รวมมิตร ถ้าอาหารหรือขนมลักษณะเส้นยาว ชีวิตจะได้ยืนยาว ซึ่งนิยมในงานแต่งงาน
งานบุญต่างๆ เช่น ขนมจีน น้ำพริก น้ำยาหมี่ ขนมสลิ่ม และลอดช่อง ถ้าเป็นพิธีบวงสรวงนิยมใช้ขนมต้ม
ขาวต้มแดง

งานอวมงคล(ไม่เป็นมงคล) นิยมขนมประเภทแกงบวด ถ่ัวดำ ข้าวเหนียวถ่ัวดำไม่นิยมประกอบ
อาหารทีม่ ีลกั ษณะเสน้ ยาว เช่น ขนมจีน หมี่ ว้นุ เส้น เพราะจะทำให้มงี านอวมงคลต่อไปไมจ่ บสิ้น
ข้อห้ามเกี่ยวกับอาหารการกิน ชาวจังหวัดนครนายกมีความเชื่อเร่ืองข้อห้ามที่เก่ียวข้องกับอาหารการกิน
ดงั ตอ่ ไปนี้

ห้ามเก็บอาหารที่ตกลงพ้ืนขึ้นมารับประทาน เพราะเชื่อวา่ เจ้าที่ หรือผีต้องการกินจึงทำให้อาหาร
ตกลงพื้น ควรโยนท้ิง

เป็นโรคผหู้ ญิง ห้ามรับประทานสาเก
สุนัขบ้ากัด ห้ามรบั ประทานมะเฟอื ง
เปน็ ไข้ หา้ มรบั ประทานหน่อไม้ ผกั และผลไมเ้ พราะมีสรรพคุณเย็น
ตาแดง หา้ มรับประทานหน่อไม้ หรือหน่อไม้ดอง เพราะจะทำให้ตาบอด
ผู้ปฏิบัติเก่ียวกับพิธีไล่ผี หรืออยู่ยงคงกระพัน ห้ามรับประทานน้ำเต้าเพราะของจะขึ้นและเส่ือม
ขมังเวท
อาหารที่เกี่ยวข้องกับประเพณีหรือพธิ ีการเนอื่ งด้วยข้าว เชน่ การเล้ียงตาเฮก การสู่ขวัญข้าว มี
ขนมตาควาย ขนมเขาควาย ขนมขวัญควาย การเรียกขวัญแม่โพสพ (ขณะต้ังท้อง) โดยทำขวัญข้าว ส่วน
ใหญ่นิยมอาหารของท้องถิ่นที่ชาวนารับประทานได้ง่าย เช่น ข้าวพล่าปลา ยำปูเค็ม เป็นอาหารอยู่ตาม
สำรับในชีวิตประจำวนั ของชาวนา รวมทง้ั ขนมข้าวแตกงา เป็นต้น

ขนมกง ขนมชะมด ขนมกระยาสารท

สว่ นผลไมม้ ีกลว้ ย อ้อย สม้ พชื มัน เผือก บางทอ้ งถิ่นใชด้ ินขยุ ปเู ผา

ประเพณีผีโรง อาหารสำคัญในพิธี คือ การยำหัวหยวกนิยมทำรับประทานในเวลาปกติไม่ยึดถือว่า

ไม่เป็นมงคล

นอกจากน้ันยังมีขนมในพิธี เช่น นางเล็ด ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ขนมปากกาว ขนมโคน ขนม

ลิน้ หมา ขนมหนา้ โรง

ประเพณีเกี่ยวกับการเสียเคราะห์ หรือสะเดาะเคราะห์ อาหารที่เกย่ี วข้อง ได้แก่ ข้าวเหลือง ข้าว

แดง ข้าวดำ คือ ใช้ขา้ วผสมสี ส่วนกับขา้ วเป็นกบั ขา้ วประเภทแกง ผัด ต้ม ที่เปน็ อาหารประจำวนั ตามปกติ

การทำบญุ ตักบาตร สว่ นใหญน่ ิยมข้าวต้มมัด ขา้ วต้มลูกโยน และผลไม้ เช่น กลว้ ยไข่ มะมว่ ง สม้


Click to View FlipBook Version