The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานประจำปี2563

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by selflearningjor1, 2021-04-20 05:39:17

รายงานประจำปี2563

รายงานประจำปี2563

Keywords: รายงานประจำปี2563

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 6995/2562

โจทก์ฟ้องว่า จาเลยทั้งเจ็ดกับพวกอีกหลายคนซึ่งหลบหนีร่วมกันกระทา
ความผิด กล่าวคือ จาเลยท่ี 1 ถึงที่ 3 จาเลยที่ 5 และท่ี 6 รว่ มกนั บุกรุกเข้าไปในห้องพักอนั เป็น
เคหสถาน ท่ีอยอู่ าศยั ของผเู้ สยี หายที่ 1 โดยมีอาวุธประกอบด้วยสนับมอื 1 อัน ประแจปลายโค้ง
ยาวประมาณ 1 ศอก และเก้าอีเ้ หลก็ โดยไมม่ เี หตอุ ันสมควรแล้วรว่ มกนั ชกตอ่ ย เตะ ถบี ใช้อาวุธ
ที่นาติดตัวมาตี ฟาด ทุบ ผู้เสียหายท่ี 1 และผู้เสียหายท่ี 2 ถูกบริเวณใบหน้า ศีรษะและลาตัว
หลายคร้ัง และทุบทาลายทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ 2 ถูกบริเวณใบหน้า ศีรษะและลาตัวหลาย
ครั้ง และทุบทาลายทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ 1 ทาให้ทรัพย์สินเสียหายตามบัญชีทรัพย์ถูก
ประทษุ รา้ ยทา้ ยฟอ้ ง คดิ เปน็ ค่าเสียหาย 161,500 บาท ร่วมกนั ฉุดกระชากลากผู้เสยี หายทัง้ สอง
ออกจากห้องพั กบนช้ันที่ 8 ลงไปยังช้ันท่ี 1 อันเป็นการหน่วงเหน่ียวและกักขังทาให้ผู้เสียหาย
ท้ังสองปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมชกต่อย เตะถูกบริเวณใบหน้าของผู้เสียหายทั้ง
สองหลายครั้งเปน็ เหตใุ หผ้ เู้ สียหายที่ 1 ได้รบั อันตรายสาหสั ต้องปว่ ยเจบ็ ดว้ ยอาการทกุ ขเวทนา
เกินกว่าย่ีสิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่าย่ีสิบวัน และผู้เสียหายท่ี 2
ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จาเลยท่ี 3 พาอาวุธสนับมือไปภายในบริเวณหอพั ก พลัม
คอนโดพารค์ รังสิต หม่ทู ่ี 1 ตาบลคลองหลวง อันเป็นในเมอื ง หมบู่ ้านหรอื ทางสาธารณะโดยไม่
มีเหตุสมควร และจาเลยท่ี 4 และท่ี 7 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในห้องพั กอันเปน็ เคหสถานทอี่ ยอู่ าศัย
ของผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่มีเหตุอันสมควรแล้วร่วมกันใช้เก้าอี้เหล็กเป็นอาวุธตี ทุบ ฟาด และ
รว่ มกันชกต่อย เตะ ถบี ผู้เสียหายทง้ั สองถูกบริเวณใบหนา้ ศรี ษะและลาตวั หลายครงั้ เป็นเหตุให้
ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่าย่ีสิบวัน หรือจน
ประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่าย่ีสิบวัน และผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายแก่กายหรือ
จิตใจ และร่วมกันทุบ ตี ฟาดทรัพย์สินของผู้เสียหายท่ี 1 ทาให้ทรัพย์สินเสียหายตามบัญชี
ทรัพย์ถูกประทษุ รา้ ยท้ายฟอ้ ง คิดเปน็ ค่าเสียหาย 161,500 บาท

จาเลยทั้งเจ็ดให้การรับสารภาพ

ศาลฎีกาตรวจสานวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของ
จาเลย ท้ังเจ็ดว่า สมควรรอการลงโทษให้จาเลยท้งั เจ็ดหรือไม่ เห็นว่า การลงโทษจาคุกระยะสั้น
นอกจากจะไม่เกดิ ผลในการแก้ไขใหจ้ าเลยทง้ั เจด็ กลับตวั เปน็ คนดแี ลว้ ยงั ทาให้จาเลยทั้งเจ็ดกลายเปน็
คนมีประวัติเสอ่ื มเสยี

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๔๘

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 6995/2562 (ตอ่ )

เมื่อพ้ นโทษแล้วยากที่จะกลับตัวประกอบสัมมาชีพโดยสุจริตต่อไป อีกท้ังจาเลย
ทั้งเจ็ดเพิ่ งกระทาความผิดเป็นคร้ังแรก ขณะกระทาความผิดจาเลยท้ังเจ็ดยังอยู่
ในวัยศึกษาเล่าเรียน มีอายุยังน้อยโดยกระทาความผิดไปด้วยความโง่เขลาเบา
ปัญญาขาดสติย้ังคิด ประกอบกับจาเลยท้ังเจ็ดได้วางเงินต่อศาลเพ่ื อชดใช้
ค่าเสียหายแก่โจทก์ร่วมเป็นเงิน 1,500,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหาย 50,000
บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2 ถือว่าจาเลยท้ังเจ็ดลุแก่โทษและพยายามบรรเทาผลร้าย
พอสมควรแล้ว การให้โอกาสจาเลยท้ังเจ็ดได้กลับตัวเป็นคนดีโดยรอการลงโทษ
น่าจะเปน็ ผลดแี กจ่ าเลยท้ังเจด็ และสงั คมส่วนรวมมากกว่า

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๔๙

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 7183/2562

ที่จาเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจาคุกให้แก่
จาเลยท่ี 2 น้ัน จาเลยที่ 1 และท่ี 2 ได้ผ่อนชาระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์เป็นเงิน
เพี ยง 30,000 บาท จากจานวนเงินตามเช็คพิ พาท 2 ฉบับ รวมเป็นเงิน
428,044.33 บาท คงค้างชาระหนี้เงินตามเช็คพิ พาทโจทก์อยู่อีกเป็นจานวนถึง
398,044.33 บาท ซ่ึงเมื่อคิดคานวณสัดส่วนเงินที่จาเลยท่ี 1 และที่ 2 ชาระให้แก่
โจทก์แล้วเป็นเงินเพี ยงร้อยละ 7 ของยอดเงินตามเช็คพิ พาทเท่านั้น ซึ่งนับว่า
น้อยมาก ท้ังท่ีโจทก์ให้โอกาสจาเลยที่ 1 และที่ 2 ในการผ่อนชาระหน้ีเฉพาะ
ช่วงเวลาในระหว่างพิ จารณาของศาลชั้นต้นเป็นเวลานานถึง 3 ปี กรณีก็ยังไม่มี
เหตุอันควรรอการลงโทษจาคกุ ให้แก่จาเลยที่ 2 ได้

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๕๐

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 7204/2562

แม้เหตุการณ์ทีเ่ กิดขึ้นสืบเนื่องมาจากผเู้ สยี หายท่ี 1 ขบั รถกระบะเฉยี่ ว
ชนรถยนต์เก๋ง ท่ีจาเลยขับ ท้ังสองฝ่ายจึงจอดรถลงมาเจรจาค่าเสียหายกันและ
ยังตกลงค่าเสียหายกันไม่ได้ จาเลยเดินไปเปิดประตูรถหยิบเหล็กแป๊บยาว
ประมาณ 1 เมตร นากลบั มาตหี ลงั ผูเ้ สียหายที่ 1 หน่งี คร้งั จาเลยและคนท่นี ั่งในรถ
คกู่ บั จาเลยพู ดจาลักษณะข่มขผู่ เู้ สยี หายที่ 1 นอกจากนี้คนขบั รถกระบะสป่ี ระตูทมี่ า
ทีหลังได้เข้ามาล็อกคอผู้เสียหายท่ี 1 และหลังจากท่ีขับรถไปจอดในสถานีบริการ
น้ามันการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย สาขาลาลูกกาแล้ว จาเลยกับพวกพู ดว่าถ้า
ไม่ได้เงิน มีเรื่องแน่ การท่ีจาเลยกับพวกไม่ยอมให้ผู้เสียหายท่ี 1 โทรศัพท์ไปบอก
ญาตินาเงินมาให้ในตอนเช้า และท่ีสาคัญไม่รอนารถไปให้อู่ซ่อมรถตีราคาค่าซ่อม
เสียก่อน เสมือนต้องการเร่งรัดเอาเงินให้ได้โดยเร็วอันส่อแสดงว่ารถยนต์เก๋งที่
จาเลยขับเสียหายไม่มากนัก และน่าเชื่อว่าจาเลยกับพวกเรียกร้องค่าเสียหายสูง
กว่าความเสียหายที่เกิดข้ึน เม่ือผู้เสียหายท่ี 1 ไม่ยอมจ่ายเงินให้จาเลยในตอนแรก
จาเลยได้ใช้เหล็กแป๊บตีหลังผู้เสียหายที่ 1 หลังจากน้ันพวกของจาเลยล็อกคอ
ผู้เสียหายท่ี 1 และจาเลยกับพวกพู ดว่าถ้าไม่ได้เงินมีเรื่องแน่ เห็นได้ว่าเป็นคาพู ด
ทานองขู่บังคับผู้เสียหายท้ังส่ีให้ยอมจ่ายเงินแก่จาเลย จนในท่ีสุดผู้เสียหายที่ 1
รวบรวมเงินจากผู้เสียหายที่ 3 และท่ี 4 ได้ 830 บาท กับแหวนทองคาหนัก 2
สลึง 4,400 บาท ของผู้เสียหายท่ี 2 นามามอบให้จาเลย เป็นพฤติการณ์ ท่ีบ่งชี้
ว่าผู้เสียหายท้ังส่ียอมจา่ ยเงินให้แก่จาเลยเพราะกลัวว่าจะถูกจาเลยกับพวกทาร้าย
นั่นเอง จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กาลังประทุษร้าย อันจะ
เปน็ ความผิดฐานร่วมกนั ชงิ ทรัพยโ์ ดยกระทาความผิดรว่ มกนั ตง้ั แตส่ ามคนขน้ึ ไป
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสอง ประกอบมาตรา 340 ตรี,
83 แต่เข้าลักษณะเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายท้ังสี่ให้ยอมให้จาเลยได้ประโยชน์ใน
ลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยขู่เข็ญว่าจะทาอันตรายต่อเสรีภาพของผู้เสียหายทั้งสี่
อันเป็นความผิดฐานกรรโชกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคแรก

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๕๑

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 7204/2562 (ต่อ)

แม้โจทกฟ์ อ้ งวา่ จาเลยกับพวกร่วมกันกระทาความผดิ ฐานปล้นทรัพย์ ซ่ึงไม่ใชฐ่ าน
ความผิดท่ีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิ จารณาความอาญา มาตรา 192
วรรคสาม แต่ความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นการกระทาผิดฐานลักทรัพย์อันมี
ลักษณะเป็นการชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทาความผิดต้ังแต่สามคนขึ้นไป ดังนั้น
เม่ือข้อเท็จจริงได้ความว่าจาเลยร่วมกับพวกกระทาความผิดฐานกรรโชก อันเป็น
ความผิดฐานหนึ่ง ท่ีบัญญัติไว้ในมาตรา 192 วรรคสาม จึงถือไม่ได้ว่าข้อเท็จจรงิ
ตามท่ีปรากฏในการพิ จารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อ
สาระสาคัญ ท้ังมิให้ถือว่าข้อท่ีพิจารณาได้ความน้ันเป็นเรื่องเกินคาขอหรือโจทกไ์ ม่
ประสงค์ให้ลงโทษ อันจะเป็นเหตุให้ศาลต้องยกฟอ้ ง เมื่อจาเลยให้การปฏิเสธโดย
นาสืบอ้างฐานท่ีอยู่แสดงว่าจาเลยไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลจึงมีอานาจลงโทษจาเลยใน
ความผิดฐานกรรโชกตามที่พิจารณาไดค้ วามได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๕๒

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 7222/2562

การท่โี จทกร์ ว่ มกับนาย ด. ทาบันทกึ ขอ้ ตกลงกับโจทก์ว่าจะดาเนินคดี
เรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนและดาเนินคดีอาญาแก่ผู้ที่เก่ียวข้องกับมรดกของนาง
ย. โดยเรียกค่าดาเนินการครึ่งหน่ึงของทรัพย์มรดกของนาง ย. ท่ีเรียกคืนได้
บนั ทึกข้อตกลงดังกลา่ วไม่ใชส่ ญั ญาแบง่ ทรัพย์มรดกแต่เปน็ สัญญาตกลงจ่ายคา่
ดาเนินการเรียกเอาทรัพย์สินคืน จึงเป็นสัญญาว่าจ้างทนายความ เม่ือโจทก์ร่วม
ไม่ได้เป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของนาง ย. เป็นการทาขึ้นโดย
หวังจะได้ส่วนแบ่งจากผลประโยชน์ท่ีได้จากการเป็นความกันหรือเข้าไปมีส่วนได้
เสียในมูลคดีโดยวิธีการแบ่งเอาส่วนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการเป็นความกัน จึง
เป็นการแสวงหาประโยชน์จากการที่ผู้อ่ืนเป็นความกัน โดยที่โจทก์ร่วมไม่ได้มีส่วน
เกี่ยวข้องในคดี วัตถุประสงค์แห่งสัญญาจ้างดังกล่าวจึงขัดต่อความสงบ
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 โจทก์ร่วมจงึ ไม่มีส่วนไดเ้ สียในผลแห่งคดี ไม่มีสิทธิ
ขอเข้าเป็นโจทกร์ ่วมได้

คดีท่ีจาเลยที่ 1 ย่ืนฟอ้ งนาง ย. ต่อศาลช้ันต้น ซ่ึงมีการทาสัญญา
ประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษา ศาลชั้นต้นได้มีคาส่ังให้เพิ กถอน
ค า สั่ ง ที่ ใ ห้ รั บ ฟ้อ ง ใ ห้ เ พิ ก ถ อ น ก ร ะ บ ว น พิ จ า ร ณ า แ ล ะ ใ ห้ เ พิ ก ถ อ นสั ญ ญ า
ประนีประนอมยอมความและคาพิพากษาตามยอมในวันดังกลา่ วเสยี การท่จี าเลยท่ี
1 นาคาพิ พากษาตามยอมไปโอนกรรมสิทธ์ิท่ีดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจึงเป็นการ
กระทาโดยไม่มีสิทธิ ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไม่ได้เป็นของจาเลยที่ 1
จาเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิจดทะเบียนขายท่ีดินพร้อมส่ิงปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่
จาเลยที่ 2 แม้จาเลยที่ 2 จะรับโอนมา โดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียน
แล้ว จาเลยท่ี 2 ก็ไม่มีสิทธิในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตามหลักท่ีว่าผู้รับ
โอนไม่มสี ิทธดิ ีกวา่ ผ้โู อน

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๕๓

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 7300/2562

ค่าจ้างเป็นเพี ยงหน้ีที่ผู้ว่าจ้างจะต้องจ่ายแก่ผู้รับจ้างไม่ใช่ทรัพย์สิน
ของผู้รับจ้างท่ีผวู้ ่าจ้างครองอยู่ การท่ีจาเลยตอ้ งชาระเงินภาษคี ่าบริการร้อยละ 3
ให้แก่กรมสรรพากรไปต่างหากจากค่าจา้ งที่จาเลยชาระให้แกโ่ จทก์ ก็ไม่ทาใหค้ า่ จ้าง
กลายเปน็ ทรัพย์สนิ ของโจทกท์ ่จี าเลยครองอยูโ่ ดยมีหนี้อันเปน็ คุณประโยชนแ์ ก่ตน
อันเก่ียวด้วยทรพั ยส์ นิ ท่ีตนครอบครองอยตู่ ามความหมายของมาตรา 241 วรรคหน่ึง

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๕๔

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 7484/2562

จาเลยในฐานะกรรมการผู้มีอานาจของบริษัท ต. ผู้รับโอน ลงลายมือ
ช่ือส่ังจ่ายเช็คพิ พาทให้แก่นาง บ. กรรมการผู้มีอานาจของโจทก์ เพื่ อตอบแทน
การโอนสิทธิการเช่า ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า มีคาสั่ง
ให้ระงับการจ่าย ก่อนที่โจทก์จะทาสัญญาโอนสิทธิการเช่ากับฝ่ายจาเลย โจทก์ได้
ดาเนินการบอกเลิกสัญญาเช่าพ้ื นท่ีอาคารกับผู้เช่าเดิมของโจทก์ไปแล้ว โดยอยู่
ระหวา่ งการดาเนินคดกี บั ผู้เชา่ เดมิ ดังกล่าว อันเปน็ ขอ้ บง่ ช้วี า่ โจทก์ยงั มีภาระหน้าท่ี
ในการส่งมอบพ้ื นที่อาคารตามสัญญาโอนสิทธิการเช่าให้แก่ฝ่ายจาเลยโดย
ปราศจากภาระผูกพัน แต่กลับปรากฏว่ายังติดขัดเพราะเหตุผู้เช่าเดิมท๋ีโจทก์บอก
เลิกสัญญาเช่าไปแล้วน้ัน ไม่ยอมออกจากอาคารที่เช่าทาให้ฝ่ายจาเลยไม่สามารถ
เขา้ ครอบครองพื้นทข่ี องอาคารตามสญั ญาโอนสิทธกิ ารเชา่ ปรากฎว่า ณ วันทลี่ ง
ในเช็คพิพาทจาเลยมีเงินอยู่ในบัญชีธนาคารจาเลย 20,715,911.90 บาท มากกว่า
จานวนเงินตามเช็คพิพาท ข้อเท็จจริงที่รับฟงั ได้ดังกล่าวมีเหตุให้เช่ือว่าโจทก์เป็น
ฝ่ายท่ีไม่สามารถส่งมอบพ้ื นที่อาคารตามสัญญาโอนสิทธิการเช่าให้แก่ฝ่ายจาเลย
ย่อมทาให้ฝ่ายจาเลยได้รับความเสียหายและเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายโจทก์
จะต้องดาเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เสร็จสิ้นก่อน ดังนี้จาเลยจึงมีสิทธิระงับ
การจา่ ยเงินตามเชค็ พิพาทได้ คดจี งึ ฟงั ไม่ได้วา่ จาเลยกระทาความผิด

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๕๕

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 7524/2562

ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา 861 บัญญัติว่า อันว่า
สัญญาประกันภัยน้ัน คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน
หรือใช้เงินจานวนหนึ่งให้ในกรณีวินาศภัยหากมีข้ึน หรือในเหตุอย่างอื่นในอนาคต
ดังได้ระบุไว้ในสัญญาและในการนี้บุคคลอีกคนหนึ่งตกลง จะส่งเงินซ่ึงเรียกว่า
เบี้ยประกันภัย เห็นได้ว่าในการทาสัญญาประกันภัย คู่สัญญาอาจกาหนดเงื่อนไข
ในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนเป็นเหตุวินาศภัยหรือเหตุอย่างอื่นท่ีมิใช่วินาศภัยก็ได้
คาว่าวินาศภัยน้ัน ประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา 869 มีความหมาย
รวมถึงความเสียหายอย่างใด ๆ บรรดาซึ่งจะพึ งประเมินเป็นเงินได้ด้วย เง่ือนไข
อันเป็นท่ีมาแห่งความรับผิดของผู้รับประกันภัยตามสัญญาประกันภัยจึงอาจเป็น
นิติเหตุหรือนิติกรรมทั้งความเสียหายอย่างใด ๆ บรรดาซ่ึงจะพึงประเมินเป็นเงิน
ได้ดังกล่าวในสัญญาประกันวินาศภัยน้ันย่อมต้องเป็นเหตุหรือภัยใด ๆ ที่
กอ่ ใหเ้ กิดความเสียหายแกผ่ ู้เอาประกันภัย มิใชเ่ หตุทีม่ ลี กั ษณะเปน็ นิตกิ รรมสญั ญา
ซึ่งก่อให้เกิดความรับผิดตามข้อสัญญาระหว่างคู่กรณี การที่ข้อตกลงตามตาราง
กรมธรรม์ประกันภัยกาหนดเอาความรับผิดของจาเลยที่ 2 และท่ี 3 ผู้ค้าประกัน
และเป็นผู้เอาประกันภัยในหน้ีซ่ึงจาเลยท่ี 2 และที่ 3 ต้องรับผิดชาระแก่โจทก์ตาม
สัญญาค้าประกันมาเป็นเงื่อนไขในการชดใช้ค่าสนิ ไหมทดแทน หากจาเลยท่ี 2 และ
ที่ 3 ต้องรับผิดตามสัญญาค้าประกันแล้วจาเลยที่ 4 จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ให้แก่โจทก์ในนามจาเลยที่ 2 และที่ 3 เง่ือนไขความรับผิดระหว่างโจทกก์ บั จาเลยที่
4 จึงมีลักษณะเปน็ นิตกิ รรมสัญญาอยา่ งหนึ่งซึ่งจาเลยที่ 4 ตกลงจะใช้ค่าสินไหม
ทดแทนในเหตุอย่างอ่ืนในอนาคตหากมีการกระทาอันเป็นการผิดสัญญามิใช่กรณี
เม่ือเกิดวินาศภัยข้ึน จึงมิใช่สัญญาประกันวินาศภัยเม่ือประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ มาตรา 882 วรรคหน่ึง ห้ามมิให้ฟอ้ งคดีเม่ือพ้นกาหนดสองปีนับแต่วัน
วนิ าศภยั แตก่ รณีดงั กลา่ วเปน็ การทาสัญญาประกนั ภัยในเหตุแหง่ การผิดสัญญา

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๕๖

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 7524/2562 (ตอ่ )

อันเป็นเรื่องในอนาคต ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ยห์ รือกฎหมายอื่นมไิ ด้
บัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30

บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจาเลยที่ 4 กาหนดข้อตกลง
เก่ียวกับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของจาเลยที่ 4 ว่า จาเลยที่ 4 ตกลงชาระค่า
สินไหมทดแทนแก่โจทก์ภายใน 13 วันทาการ นับแต่ได้รับเอกสารครบถ้วน หาก
จาเลยที่ 4 ผิดนัดไม่ชาระหนี้ให้เสรจ็ สิ้นภายในกาหนดกล่าวว่า จาเลยที่ 4 ยินยอม
ชาระดอกเบ้ียให้อีกในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนของจานวนเงินท่ีต้องจ่ายอันมี
ลักษณะของการทาข้อตกลงกาหนดค่าเสียหายกันไว้ล่วงหน้าในกรณีที่จาเลยท่ี 4
ผิดนัดไม่ชาระหน้ีตามสัญญา ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นเบี้ยปรับ อย่างไรก็ตาม ท่ี
ศาลช้ันต้นปรับลดเบี้ยปรับลงเป็นอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ยังนับว่าสูงเกินไป ศาล
ฎีกาเหน็ สมควรแก้ไขโดยปรับลดลงเหลือเพียงร้อยละ 6.5 ตอ่ ปี

พระราชบัญญัติวิธีพิ จารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42
หมายความว่า ศาลจะพิพากษาใหผ้ ปู้ ระกอบธุรกจิ จ่ายคา่ เสยี หายเพ่ือการลงโทษแก่
ผู้บริโภคได้ต้องเป็นกรณีท่ีศาลพิ พากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่
ผู้บริโภคเสียก่อน เมื่อคดีน้ีศาลเพียงแต่พิพากษาให้จาเลยที่ 4 รับผิดตามสัญญา
ตอ่ โจทกเ์ ท่านั้นมิไดม้ ีคาพิพากษาให้จาเลยที่ 4 ชดใช้คา่ เสยี หายให้แก่โจทก์ด้วย จึง
ไมต่ อ้ งด้วยพระราชบัญญตั วิ ธิ พี ิจารณาคดผี ู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 ทีศ่ าล
จะสง่ั ให้จาเลยที่ 4 ผูป้ ระกอบธรุ กจิ จ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษให้แกโ่ จทกไ์ ด้

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๕๗

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 7609/2562

หนี้ที่จาเลยค้างชาระตามหนังสือรับสภาพหน้ีมีจานวนมากกว่าเงินที่
จาเลยกู้ในปี 2558 ถึง 5,831,853 บาท จึงรับฟังได้ว่าจานวนหน้ี 5,831,853
บาท ที่เกนิ มาเป็นดอกเบี้ยของตน้ เงิน 12,448,647 บาท หากนับระยะเวลาทจ่ี าเลย
กู้เงินตั้งแตก่ ลางปีถึงวันทาหนังสอื รับสภาพหน้ียอ่ มมีระยะเวลาประมาณ 6 เดือน
จานวนเงิน 5,831,853 บาท คิดเป็นดอกเบี้ยมากกว่าอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน
การทโ่ี จทก์ให้จาเลยก้ยู มื เงนิ และให้จาเลยนาเชค็ มาแลกเงนิ สดโดยคดิ ดอกเบ้ยี จาก
จาเลย ในอตั รารอ้ ยละ 5 ตอ่ เดือน อนั เปน็ การคิดดอกเบ้ียเกนิ กว่าอตั ราร้อยละ 15
ต่อปี ตามทก่ี ฎหมายกาหนด ตกเป็นโมฆะ เงินทจ่ี าเลยชาระใหโ้ จทกท์ ัง้ หมดจงึ ตอ้ ง
นามาหักชาระหน้ีต้นเงิน เม่ือจาเลยชาระหน้ีตามหนังสือรับสภาพหนี้ไปแล้วท้ังสิ้น
23,455,295 บาท เกินกว่าจานวนเงินที่จาเลยกู้เงินจากโจทก์ในปี 2558 จึงไม่มี
หนี้เงินกูท้ ี่จาเลยจะต้องชาระคนื แกโ่ จทก์

พิพากษากลับ ให้ยกฟอ้ ง

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๕๘

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 180/2563

โจทกท์ ้งั สฟ่ี อ้ งจาเลยที่ 2 ในฐานะนายจา้ งของจาเลยท่ี 1 ซึง่ เป็นผู้ทา
ละเมิด และฟอ้ งจาเลยท่ี 3 ให้ร่วมรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้าจุน ความรับผิด
ของจาเลยท่ี 2 และที่ 3 จึงแตกต่างกัน แม้ผู้รับประกันภัยต้องรับผิดชองความ
เสียหายทั้งหมดท่ีเกิดขึน้ เพ่ือจานวนวินาศภยั อันแทจ้ ริง แตก่ ็จะตอ้ งไมเ่ กินไปกวา่
วงเงินคุ้มครองตามที่ระบุในกรมธรรม์ประกันภัย ส่วนจาเลยท่ี 2 ซ่ึงเป็นผู้เอา
ประกันภัยแม้ไม่ใช่ผู้กระทาละเมิดแต่จาเลยท่ี 2 ในฐานะนายจ้างต้องร่วมรับผิดกับ
จาเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างและเป็นผู้กระทาละเมิดในทางการท่ีจ้าง จาเลยท่ี 2 จึง
ต้องร่วมกับจาเลยที่ 1 รับผิด ใช้ค่าสินไหมทดแทนในหน้ีละเมิดทั้งหมดที่เกิดขึ้น
เต็มจานวน ตามมาตรา 420 ประกอบมาตรา 425 และ 438 และต้องร่วมกันรับ
ผิดอย่างลูกหน้ีร่วมทั้งนี้ผู้เสียหายย่อมมีสิทธิที่จะเลือกฟอ้ งผู้ทาละเมิดหรือผู้ท่ี
ต้องร่วมรับผิดในเหตุละเมิดหรือผู้รับประกันภัยคนใดคนหนึ่งให้รับผิดเต็มจานวน
ห รื อ ทุ ก ค น ใ ห้ ช ด ใ ช้ ค่ า สิ น ไ ห ม ท ด แ ท น ใ น ว ง เ งิ น ป ร ะ กั น ภั ย ซ่ึ ง ผู้ ท า ล ะ เ มิ ด ต้ อ ง
รับผิดชอบได้ แม้จาเลยท่ี 3 มีหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจาเลย
ที่ 2 ภายในวงเงนิ คมุ้ ครองตามกรมธรรม์ประกันภยั แตจ่ าเลยท่ี 2 ก็ยังมีความรบั
ผิดต่อโจทก์ทั้งสใ่ี นมลู หนล้ี ะเมดิ จาเลยที่ 2 จึงต้องรว่ มรบั ผดิ ตอ่ โจทก์ทั้งสี่

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๕๙

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 182/2563

โจทก์ฎีกาว่า คาพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ไม่
มีกาหนดให้โจทก์ มีสิทธิบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจาเลยมีผลให้โจทก์มี
สิทธิในการบังคับคดีชาระหน้ีน้อยกว่าสิทธิท่ีมีอยู่เปน็ การไม่ชอบน้ันเห็นว่า เม่ือศาล
ช้ันต้นพิ พากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามฟอ้ ง และโจทก์ได้มีคาขอให้ยึดทรัพย์สิน
ของจาเลย การท่ีคาพิพากษามิได้ระบุให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอ่ืนของจาเลยออกขาย
ทอดตลาดอันเป็นข้ันตอนในการบังคับคดี จึงหาเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีสิทธิท่ีจะ
บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอ่ืนของจาเลยซ่ึงเป็นลูกหน้ีตามคาพิ พากษาไม่ แต่
สาหรับคดีน้ีเม่ือโจทก์มีคาขอท้ายฟอ้ งและอุทธรณ์ฎีกาในเหตุนี้โดยตรงข้ึนมายัง
ศาลสูง ก็ชอบที่ศาลจะต้องกล่าวในคาพิ พากษาให้สิทธิแก่โจทก์ท่ีจะบังคับคดียึด
ทรพั ย์สนิ อ่นื ของจาเลยไว้ด้วย เพื่อให้เกดิ ความชัดเจนแก่คคู่ วามและเจ้าพนักงาน
บังคับคดใี นการปฏิบัตใิ ห้บรรลุผลตามคาพิพากษาในเน้ือหาคดี

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๖๐

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 213/2563

ผรู้ ้องยน่ื คารอ้ งวา่ ผรู้ ้องเป็นเจ้าของดอกไม่เพลิงของกลางและมิได้
ร่วมรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทาความผิดกับจาเลย ขอให้คืนของกลางแก่ผู้ร้อง
เห็นว่า จาเลยเป็นลูกจ้างนาย ย. ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของผู้ร้อง ก่อนเกิดเหตุ
มานานประมาณ 5 ถึง 6 ปี พั กอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน จึงย่อมทราบถึงความ
เป็นไปของกิจการผู้ร้องเป็นอย่างดี ส่วนที่จาเลยเบิกความว่า นาย ย. สั่งห้าม
จาหน่ายดอกไม้เพลิงนั้นจาเลยเป็นเพียงลูกจา้ ง หากฝ่าฝืนคาส่งั นายจ้าง ยอ่ มถกู
ไล่ออกหรือถูกดาเนินคดี แต่จาเลยมาเบิกความวันที่ 13 กุมภาพั นธ์ 2561 ว่า
จาเลยยังคงอาศัยอยู่ บ้านเลขท่ี 65 ซึ่งเป็นบ้านเดียวกับนาย ย. จะเห็นได้ว่าแม้
จาเลยนาดอกไม้เพลิงไปจาหน่ายโดยฝ่าฝืนคาส่ังของนาย ย. และถูกรบิ ของกลาง
จานวนมาก แต่นาย ย. ยังคงใหจ้ าเลยทางานและพักอาศัยต่อ แสดงว่านาย ย. ไว้
เน้ือเชื่อใจจาเลยมาก และที่นาย ย. เบิกความว่า จาเลยจาหน่ายดอกไม้เพลิงโดย
ไม่ได้รับอนุญาตจากนาย ย. นั้น หากนาย ย. ห้ามจาเลยจาหน่ายดอกไม้เพลิงจรงิ
จาเลยไม่น่าจะกล้าจาหน่ายเพราะเป็นเพี ยงลูกจ้างทางานในบ้านและเป็นการกระทา
ท่ีผิดกฎหมาย พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่า ผู้ร้องร่วมรู้เห็นเป็นใจในการกระทา
ความผดิ ของจาเลย

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๖๑

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 356/2563

เม่ือโจทก์ฟอ้ งขอให้เพิกถอนการขาดทอดตลาดทรัพย์กระทาข้ึนภาย
หลังจากท่ีจาเลยเข้าเป็นผู้ซ้ือทรัพย์ได้จากการประมูลแล้วเพี ยงแต่จาเลยยังมิได้
ปฏิบัติตามข้ันตอน กล่าวคือการต้องไปชาระค่าอากรให้ครบถ้วนเสียก่อน ซึ่งค่า
อากรจานวนเงินเพี ยง 150 บาท หากนาเงินค่าอากรชาระต่อเจ้าพนักงานบังคับ
คดีแล้วก็จะได้รับหนังสือโอนกรรมสิทธิ์ จาเลยใช้สิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ก่อน
แต่ภายหลังเมื่อโจทก์ยกเรื่องเพิ กถอนการขายทอดตลาดนามาฟอ้ งจาเลย คดี
โจทก์มีคาพิพากษาก่อนคดีขับไล่ของจาเลย จึงเห็นได้ว่าจาเลยได้พยายามใช้สิทธิ
ทางศาลดาเนินการท่ีจะได้มาซึ่งสิทธิความเป็นผู้ซ้ือทรัพย์ แต่เพราะจาเลยเป็นผู้
ประมูลซื้อทรัพย์ท่ียังไม่ปฏิบัติให้ครบถ้วน จึงไม่อยู่ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธ์ิท่ีจะ
ใช้สิทธิไปบังคับเอาทรัพย์สินคือท่ีดินและสิ่งปลูกสร้างโจทก์ได้ ประกอบกับการที่
โจทก์ยื่นคาร้องขอให้ศาลมีคาสั่งเพิ กถอนการขายทอดตลาด ศาลมีคาสั่งคดีถึง
ทีส่ ุดไปแลว้ กอ่ นคดที จี่ าเลยฟอ้ งขับไลโ่ จทกอ์ อกจากทีด่ ินและบ้านพิพาทของโจทก์
จาเลยไม่มีพฤติการณ์ใด ก่อนหน้าท่ีศาลจะมีคาส่ังเพิ กถอนการขายทอดตลาด
แม้จาเลยจะทราบคาส่ังศาลในภายหลังแล้วก็ไม่ปรากฏว่าจาเลยกระทาการใดอัน
เป็นการรบกวนละเมิดสทิ ธิโจทก์ในการครอบครองใช้ทรัพย์พิพาท โจทก์ยังคงอยู่
อาศัยในที่พิพาทโดยตลอด การฟอ้ งคดีของจาเลยเพ่ือขับไล่โจทก์กถ็ ือเป็นการใช้
สิทธิทางศาล ในฐานะที่จาเลยอาจจะกล่าวอ้างได้ว่าเป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการขาย
ทอดตลาดเท่าน้ัน เมื่อไม่ปฏิบัติให้สมบูรณ์ครบถ้วนตามกฎหมาย โจทก์ก็ใช้สิทธิ
ฟอ้ งเพิกถอนการขายทอดตลาด การกระทาของจาเลยดงั กลา่ วมายงั ไม่อาจถือได้
ว่าจาเลยใช้สิทธิโดยไม่สุจรติ อันจะก่อให้เกดิ ความเสยี หายแก่โจทก์ นอกจากน้แี ล้ว
ไม่ปรากฏข้อเท็จจรงิ ใดว่าจาเลยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ใหไ้ ด้รับความอบั อายตาม
ฟอ้ งแต่อย่างใด การกระทาของจาเลยตามฟอ้ งดังกล่าวมาของโจทก์น้ัน จึงไม่
เป็นการละเมิดต่อโจทก์แต่เป็นการใช้สิทธิอันพึ งมีตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิ
เรียกร้องใหจ้ าเลยชดใชค้ ่าเสียหายใด ๆ แก่โจทก์

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๖๒

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 451/2563

จาเลยให้การยอมรับว่าจาเลยเป็นกรรมการผู้มีอานาจของโจทก์มี
อานาจควบคุมการดาเนินธุรกิจ การเงิน การบัญชี รวมท้ังทรัพย์สินและหนี้สิน
ของโจทก์ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 1168 (2) บัญญัติว่า
กรรมการตอ้ งจัดให้ถือบัญชจี านวนเงินที่กฎหมายกาหนดไว้ และมาตรา 1206 (1)
บัญญัติว่า กรรมการต้องจัดให้ถือบัญชีจานวนเงินที่บริษัทได้รับและได้จ่าย ทั้ง
รายการอันเป็นเหตุให้รับหรือจ่ายเงินทุกรายไป จาเลยในฐานะกรรมการจึงมีหน้าท่ี
รับผิดชอบควบคุมดูแลการจัดทาบัญชีโดยตรง รายการใช้จ่ายเงินย่อมอยู่ใน
ความรู้เห็นของจาเลยโดยเฉพาะ จาเลยมีภาระการพิ สูจน์การใช้จ่ายเงินในบัญชี
ของโจทก์

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๖๓

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 475/2563

ไม่แน่ชัดว่าผู้ใดเป็นผู้ท่ีพู ดจาในทานองถากถางบิดาของผู้เสียหายท่ี
ไม่ได้รับการเลือกตั้งสภาท้องถ่ิน หากพิจารณาจากคาพู ดก็มุ่งเจาะจงไปที่นาย อ.
บิดาของผู้เสียหายเสียมากกว่า ท้ังเม่ือคนท่ีพู ดก็ยังไม่แน่ชัดว่าจาเลยเป็นคนพู ด
หรือไม่ การที่ผู้เสียหายสรุปเอาเองว่าจาเลยน่าจะเป็นคนพู ด แล้วเดินเข้าไปหา
จาเลยพร้อมกบั ใช้ค้อนตีไปท่ีจาเลย อันถอื ไดว้ ่าเปน็ การกระทาทีย่ ังไม่อาจรับฟงั ได้
ว่าเป็นเพราะเกิดจากการย่ัวยุของจาเลยโดยตรง การที่ผู้เสียหายใช้ค้อนเข้าไปตี
บริเวณในหน้าของจาเลย จาเลยกช็ อบท่ีจะป้องกันตัวได้ แม้จะเกิดการชกตอ่ ยกัน
ข้ึนระหว่างจาเลยกับผู้สียหายภายหลังจากค้อนกระเด็นออกจากมือผู้เสียหายไป
แล้ว ก็เป็นการชกต่อยท่ีต่อเน่ืองอันเกิดจากการกระทาของผู้เสียหายท่ีก่อเหตุข้ึน
ก่อนจากลักษณะของการเข้าทาร้ายของผู้เสียหายในภาวะเช่นน้ันโดยท่ีจาเลย
ยังไม่ได้ทันต้ังตัว จาเลยเองก็ย่อมจาเป็นที่จะปัดป้องตัวเองเท่าท่ีมีอยู่ในสภาวะท่ี
สามารถกระทาได้ ทัง้ ผูเ้ สยี หายเองกม็ ีความสูงกว่าจาเลย จาเลยจงึ มสี ทิ ธปิ ้องกัน
ตนจากภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ แต่เม่ือไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายจะกระทา
การอย่างใดอีกอันแสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัดว่าเจตนาจะทาร้ายจาเลยเพิ่ มเติมอีก
การท่ีจาเลยใชอ้ าวธุ ปืนยิงไปที่ผู้เสยี หายในขณะน้ัน ท้งั ๆ ท่จี าเลยสามารถหยุดยั้ง
การกระทาของผู้เสียหายโดยวิธอี ่ืนได้ การกระทาของจาเลยจึงเป็นการป้องกนั ตวั
เกนิ สมควรแก่เหตตุ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๖๔

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 510/2563

ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จาเลยท่ี 2 กระทาความผิดฐานร่วมกัน
รับของโจรหรือไม่ เห็นว่า ความรับผิดทางอาญานั้นไม่ได้เริ่มจากวันท่ีผู้เสียหาย
ร้องทุกข์กล่าวโทษหรือวันที่เจ้าพนักงานตารวจเร่ิมดาเนินคดีกับผู้ต้องหาหรือ
จาเลยความรับผิดทางอาญาน้ันเริ่มจากวันท่ีเกิดการกระทาความผิด เมื่อได้ความ
ว่านาย ส. ส่งมอบรถยนต์ให้กับจาเลยท่ี 2 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2553
แล้วต่อมาวันท่ี 3 มีนาคม 2554 นาย ส. แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า
รถยนต์ดังกลา่ วสูญหายพิเคราะห์ประกอบพฤตกิ ารณ์ของนาย ส. ท่ีนารถยนต์มา
มอบให้จาเลยที่ 2 พร้อมจดทะเบียนรถยนต์ปลอมแสดงถึงเจตนาของนาย ส. ใน
การยักยอกทรัพย์จากเจ้าของ การท่ีนาย ส. นารถยนต์มามอบให้กับจาเลยที่ 2
ก่อนแล้วจึงจะไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนนั้น เช่ือว่าเป็นการกระทา ตาม
ขั้นตอนของการกระทาความผิดฐานยักยอกทรัพย์ เร่ิมนับแต่นารถยนต์
ออกจาหน่าย และเม่ือจาหน่ายรถยนต์แล้วจึงไปแจ้งความเรื่องรถยนต์สูญหาย
เพื่อปกปิดการกระทาความผิด พฤตกิ ารณ์ของนาย ส. ชใี้ ห้เห็นวา่ นาย ส. มเี จตนา
เบียดบังเอารถยนต์ของผู้เสียหายท่ีอยู่ในครอบครองของนาย ส. ไปโดยทุจรติ มา
ต้ังแต่เริม่ การนารถยนตม์ าสง่ มอบให้กับจาเลยท่ี 2 เป็นการกระทาความผิดที่เปน็
องคป์ ระกอบความผดิ ฐานรบั ของโจรแล้ว

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๖๕

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 578/2563

อนึ่ง คดีน้ีโจทก์บรรยายฟอ้ งว่า จาเลยได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ
ทุกประเภท ประเภทชนิดที่ 3 ฉบับที่ กท. 00420/54 และมีคาขอให้เพิ กถอน
ใบอนุญาตขับข่ีของจาเลย โดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟอ้ งว่าจาเลยมีใบอนุญาตขับขี่
ฉบับอ่ืนอีก การท่ีศาลล่างทั้งสองให้พั กใช้ใบอนุญาตขับข่ีของจาเลยทุกชนิดมี
กาหนด 1 ปี จึงเปน็ การพิพากษาที่มิไดก้ ลา่ วในฟอ้ งตอ้ งหา้ มตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๖๖

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 649/2563

แม้ตามใบเสนอราคาเอกสารหมาย จ.2 ระบุเพี ยงค่าดาเนินการ ค่า
ติดต้ังรวมทั้งระยะเวลาและพ้ืนท่ีท่ีจะตงั้ โดยไม่ปรากฏว่ามีการตกลงเกี่ยวกับการ
ขออนญุ าตติดตั้งแผ่นปา้ ยโฆษณาจากทางราชการหรือค่าใช้จ่ายในการขออนุญาต
แตอ่ ยา่ งใด แตก่ ารวา่ จ้างใหท้ าแผ่นป้ายโฆษณาดงั กลา่ วมีลักษณะเป็นสญั ญาจ้าง
ทาของซ่ึงกฎหมายมิได้บังคับให้ต้องทาเป็นหนังสือ ฉะน้ัน จาเลยจึงสามารถนา
สืบพยานบุคคลว่าจาเลยว่าจา้ งใหโ้ จทก์ทาแผ่นปา้ ยโฆษณาใหโ้ ดยมีคา่ ดาเนินการใน
การขออนญุ าตตดิ ตง้ั ต่อทางราชการและจาเลยหลงเช่ือว่ามคี ่าดาเนินการดงั กลา่ ว
จริงได้ ไม่ต้องห้ามนาพยานบุคคลมาสืบเปล่ียนแปลงข้อความในเอกสารน้ันตาม
ประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

เม่ือโจทก์ทาแผ่นป้ายโฆษณาไม่ครบตามข้อตกลงในสัญญาประกอบ
กับโจทก์ไม่ได้ขออนุญาตจากทางราชการ พยานหลักฐานจาเลยจึงมีน้าหนัก
มากกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ขอ้ เท็จจรงิ จงึ ฟงั ไดว้ ่าโจทกผ์ ดิ สญั ญาจาเลยย่อมมี
สิทธิบอกเลิกสัญญาได้ โดยโจทก์และจาเลยคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจาต้องให้อีกฝ่าย
หนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังท่ีเป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์
มาตรา 391 วรรคหนงึ่

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๖๗

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 658/2563

ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟอ้ ง นาง ช. กู้เงินจากผู้เสียหาย
จานวน 200,000 บาท โดยมอบโฉนดที่ดินให้ผู้เสียหายเป็นประกัน ต่อมานาง ช.
ขอกเู้ งินจากผู้เสียหายเพ่ิม ผเู้ สยี หายจึงนาโฉนดทด่ี ินฉบบั ดังกล่าวไปตรวจสอบที่
สานักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี ทราบว่าเป็นโฉนดที่ดินปลอม ผู้เสียหายจึงร้อง
ทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานตี ารวจภูธรคคู ตใหด้ าเนนิ คดแี กน่ าง ช. และจาเลย
พนักงานอัยการฟอ้ งนาง ช. ฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ
ปลอม นาง ช. ให้การรับสารภาพ ศาลช้ันต้นพิ พากษาลงโทษนาง ช. เมื่อเจ้า
พนักงานตารวจจับกุมจาเลยได้ ช้ันสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่
จาเลยว่าร่วมกันใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม จาเลยให้การปฏิเสธ
โจทกม์ ผี ู้เสยี หายเบิกความเปน็ พยานวา่ ในกูเ้ งินนนั้ มกี ารทาสัญญากูย้ ืมเงินโดยให้
นาง ช. ลงลายมอื ชื่อเปน็ ผกู้ ู้ ส่วนจาเลยไมไ่ ดล้ งลายมอื ชือ่ เปน็ ผู้กู้ พยานมอบเงิน
ให้นาง ช. และจาเลย จานวน 50,000 บาท เงินกู้ส่วนท่ีเหลือจานวน 150,000
บาท พยานโอนเข้าบัญชีของนาง ช. หลังจากพยานทราบว่าเป็นโฉนดที่ดินปลอม
และทวงถาม นาง ช. ผัดผอ่ นเรื่อยมา ส่วนจาเลยแจ้งว่าไมท่ ราบเรือ่ ง เหน็ ว่า ทาง
พิ จารณาไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายรู้จักสนิทสนมคุ้นเคยกับจาเลยมาก่อน แม้
ผู้เสียหายจะเบิกความตอบคาถามค้านทนายจาเลยว่า นาง ห. เป็นผู้แนะนาให้นาง
ช. และจาเลยมาขอกู้เงินจากผู้เสียหาย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายรู้จักสนิทสนม
คุ้นเคยกบั นาง ห. มากอ่ นอันจะทาให้คาแนะนาของนาง ห. ในเร่ืองดังกล่าวมีความ
น่าเชื่อถือถึงขนาดทาให้ผู้เสยี หายยอมให้นาง ช. และจาเลยกู้เงินเป็นจานวนสูงถึง
200,000 บาท โดยไม่จาตอ้ งระบไุ ว้ในสัญญากู้ยืมเงินวา่ จาเลยเป็นผ้กู ู้รวมทงั้ ไม่
ต้องลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ร่วมด้วย หากจาเลยร่วมกู้เงินด้วยผู้เสียหายต้องให้
จาเลยลงลายมือช่ือเป็นผู้กู้ในสัญญากู้ยืมเงินอย่างแน่นอน เพราะมิฉะน้ันหากมี
การผิดนัดไม่ชาระหนีเ้ งินกผู้ ้เู สยี หายจะดาเนินคดเี พ่ือเรียกร้องเงนิ กู้คนื จากจาเลย

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๖๘

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 658/2563 (ต่อ)

ได้อย่างไร เน่ืองจากการกู้ยมื เงินกว่าสองพันบาทข้ึนไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแหง่
การกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหน่ึงลงลายมือช่ือผู้ยืมเป็นสาคัญ จะฟอ้ งร้อง
บังคับคดีหาได้ไม่ สาหรับเงินกู้ส่วนท่ีเหลือ จานวน 150,000 บาท ก็ได้ความว่า
ผู้เสียหายโอนเข้าบัญชีของนาง ช. เพี ยงคนเดียว เม่ือต่อมามีการขอกู้เงินจาก
ผู้เสียหายเพ่ิ มเติมผู้เสียหายก็เบิกความยืนยันชัดเจนว่า เป็นการดาเนินการของ
นาง ช. เพียงผ้เู ดียว และหนงั สอื บอกกลา่ วทวงถามของทนายความผ้เู สยี หายก็มี
ข้อความชัดเจนว่านาง ช. เป็นผู้กู้และผู้กู้เป็นผู้นาโฉนดท่ีดินปลอมมาวางเป็น
ประกันการกู้ยืมเงิน ยิ่งสนับสนุนให้เชื่อได้ว่าจาเลยไม่ได้มีส่วนเกยี่ วข้องในการขอ
กู้เงินจากผู้เสยี หายโดยวางโฉนดทดี่ ินปลอม เป็นประกนั ประกอบกบั จาเลยให้การ
ปฏิเสธมาโดยตลอดทงั้ ในช้นั สอบสวนและช้ันพิจารณา พยานหลักฐานของโจทก์ท่ี
นาสืบเกี่ยวกับจาเลยมีผู้เสยี หายเบิกความลอย ๆ แต่เพียงปากเดียว ทั้งข้อที่เบิก
ความเป็นพิ รุธและ ขัดต่อเหตุผล กรณียังมีความสงสัยตามสมควรว่าจาเลย
ร่วมกับนาง ช. กระทาความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ
ปลอมตามฟ้องหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จาเลย ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ท่ีโจทก์ฎีกาว่า
จาเลยร่วมพู ดหว่านล้อมขอกู้เงินจากผู้เสียหาย และนาง ช. มอบสาเนาบัตร
ประจาตัวประชาชนของจาเลยให้ผู้เสยี หาย ทาให้ผู้เสียหายหลงเชื่อน้ัน เห็นว่า การ
ช่วยพู ดเพี ยงอย่างเดียวไม่น่าจะเป็นเหตุผลถึงขนาดที่ผู้เสียหายจะยินยอมให้
จาเลยร่วมกับนาง ช. กู้เงินโดยไม่ต้องระบุว่าจาเลยเป็นผู้กู้และลงลายมือช่ือใน
สัญญากู้ยืมเงินด้วย ส่วนสาเนาบัตรประจาตัวประชาชน แม้จาเลยจะเบิกความ
ยอมรับว่าเป็นของจาเลย แต่จาเลยก็นาสืบต่อสู้ว่าลายมือช่ือในสาเนาบัตร
ประจาตัวประชาชนไม่ใช่ลายมือช่ือของจาเลย และนาง ช. อาจเอาสาเนาบัตร
ประจาตัวประชาชนดงั กล่าวไปโดยจาเลยไม่ทราบ

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๖๙

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 681/2563

คดีนี้โจทก์มีผู้เสียหายท่ี 2 เป็นประจักษ์พยานเพี ยงปากเดียวและไม่
สามารถเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทาความผิดของจาเลยตามที่
โจทก์กล่าวมาในฟอ้ งได้ ส่วนหลานผู้เสียหายท่ี 2 ซึ่งเป็นประจักษ์พยานอีกปาก
หนึ่งท่ีรู้เห็นเหตุการณ์เช่นเดียวกับผู้เสียหาย ท่ี 2 โจทก์มิได้อ้างและนาตัวมาเบิก
ความต่อศาล โดยไม่ปรากฏเหตุขัดขอ้ งที่ไม่สามารถนาตวั มาไดด้ ังน้ี แมจ้ ะได้ความ
จากข้อเทจ็ จริงในสานวนว่า ผ้เู สยี หายท่ี 2 เบิกความแตกต่างจากที่เคยให้การไวใ้ น
ชน้ั สอบสวนกต็ าม แตก่ ารท่โี จทกอ์ ้างผ้เู สียหายที่ 2 เป็นประจกั ษพ์ ยานในคดเี พียง
ปากเดียว ย่อมเป็นการนาสืบพยานเด่ียวเพ่ือหลีกเลี่ยงการถูกถามค้านในกรณีท่ี
สามารถนาสบื พยานคู่ได้ จึงยังไม่มีเหตผุ ลอันหนักแน่นหรอื พฤติการณพ์ ิเศษแหง่
คดีเพี ยงพอที่จะให้ศาลรับฟงั บันทึกคาให้การของผู้เสียหายท่ี 2 โดยลาพั งเพื่ อ
ลงโทษจาเลย ตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 วรรค
หน่ึง เมื่อในช้ันพิจารณาผู้เสียหายท่ี 2 เบิกความตอบโจทก์ซักถามว่า ผู้เสียหายท่ี
2 ไม่เคยให้การระบุชื่อและรูปพรรณของคนร้ายทั้งสาม และยืนยันข้อเท็จจริง
ตามทเ่ี บกิ ความตอ่ ศาลว่า จาเลยไมใ่ ชค่ นร้ายทีร่ ่วมกระทาความผดิ ในคดนี ี้ อนั ทาให้
ข้อกล่าวอ้างของโจทก์ถูกหักล้างโดยพยานโจทก์เอง เมื่อจาเลยให้การปฏิเสธมา
โดยตลอด พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นาสืบมาจึงมีน้าหนักน้อย และรูปคดียังมี
ความสงสัยตามสมควรว่าจาเลยเป็นคนร้ายท่ีร่วมกับพวกกระทาความผิดฐาน
ปล้นทรพั ย์โดยมีและใช้อาวธุ และโดยใชย้ านพาหนะหรือไม่ ให้ยกประโยชนแ์ หง่ ความ
สงสัยนั้นให้จาเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิ จารณาความอาญา มาตรา 227
วรรคสอง

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๗๐

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 720/2563

โจทก์ฟอ้ งและแก้ฟอ้ งว่า จาเลยกระทาความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ
จาเลยขับรถจักรยานยนต์ โดยจาเลยไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถจากเจ้าพนักงาน เม่ือมาถึง
บริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และมีรถโดยสารไม่ประจาทาง (รถทัวร์) จานวนหลายคัน
จอดอยู่ในช่องเดินรถซ้ายสุดที่จาเลยขับมา จาเลยขับรถด้วยความประมาทอันอาจเกิด
อันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สิน และปราศจากความระมัดระวังซ่ึงบุคคลในภาวะเช่นน้ัน จัก
ต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ กล่าวคือ จาเลยจะต้องชะลอหรือลดความเร็วของรถและ
ต้องหักหลบรถโดยสารไม่ประจาทางท่ีจอดขวางอยู่ทางด้านหน้าเข้าไปในช่องเดินรถที่สอง
จากซา้ ย และต้องใช้ความระมดั ระวังไม่ให้รถชนหรือโดนคนเดนิ เทา้ ไม่วา่ จะอยบู่ รเิ วณส่วนใด
ของทางโดยเฉพาะอย่างย่ิงคนชราท่ีกาลังใช้ทาง จาเลยจักต้องใช้ความระมัดระวังเป็น
พิเศษในการควบคุมตนซง่ึ จาเลยอาจใชค้ วามระมดั ระวังเชน่ ว่าน้ันไดแ้ ตห่ าได้ใช้ใหเ้ พียงพอไม่
จาเลยกลับขับรถแทรกเข้าไปในช่องว่างระหว่างรถโดยสารไม่ประจาทางกับขอบทางเดินเทา้
ซึ่งมีลักษณะเป็นท่ีคับแคบด้วยความเร็ว ทาให้จาเลยไม่สามารถหยุดรถหรือขับหลบหลีกคน
เดินเท้าท่ีกาลังใช้ทางอยู่ด้านหน้าได้ทัน ซึ่งในขณะน้ันมีนาง ว. ผู้เสียหาย กาลังเดินอยู่บน
ทางในช่องว่างระหว่างรถโดยสารไม่ประจาทางกับขอบทางเดินเท้าพอดี ด้วยความประมาท
ปราศจากความระมัดระวังของจาเลยดังกล่าวเป็นเหตใุ ห้รถจกั รยานยนตข์ องจาเลยเฉี่ยวชน
ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายมีบาดแผลถลอกท่ีแข้งขวา เท้าขวา หลังเท้าบวม และเจ็บที่
เข่าขวา และภายหลังจากท่ีจาเลยกระทาความผิดดังกล่าวจาเลยได้หลบหนีไป โดยไม่หยุดให้
ความชว่ ยเหลอื พร้อมทงั้ แสดงตัวและแจง้ เหตตุ อ่ พนกั งานเจา้ หน้าทีท่ ่ีใกล้เคยี งทันที

ศาลฎีกาตรวจสานวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกา
ของจาเลยว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษจาคกุ หรือรอการกาหนดโทษจาคกุ ให้แกจ่ าเลยใน
ความผิดฐานกระทาโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และฐานขับรถ
ในทางซ่ึงก่อใหเ้ กิดความเสยี หายแล้วหลบหนีไม่แจ้งเหตุต่อพนกั งานเจา้ หน้าท่ีใกลเ้ คียงทันที
หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามท่ีจาเลยกล่าวอ้างมาในฎีกาและเอกสารแนบท้ายฎีกา
หมายเลข 1 ถึง 3 โดยที่โจทก์ร่วมไม่ยื่นคาแก้ฎีกาคัดค้านว่า จาเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายเป็น
เงิน 150,000 บาท ให้แก่โจทก์ร่วมจนเป็นท่ีพอใจ และได้ถอนฟอ้ งจาเลยในคดีแพ่งแล้ว
และไมต่ ดิ ใจดาเนนิ คดีอาญาแกจ่ าเลยอีกต่อไป แสดงให้เห็นวา่ จาเลยได้

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๗๑

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 720/2563

รู้สึกนึกในความผิดของตน ทั้งการลงโทษจาคุกในระยะสน้ั นอกจากจะไม่เกิดผลใน
การฟ้ นื ฟู แก้ไขความประพฤติของจาเลยแล้วยังทาให้จาเลยมีประวัติเสื่อมเสียเมอ่ื
พ้นโทษแล้วก็ยากท่จี ะกลบั ตนเปน็ พลเมอื งดี ประกอบสมั มาอาชพี เลี้ยงตนเองและ
ครอบครัวโดยสุจริตต่อไปได้ เม่ือไม่ปรากฏว่าจาเลยเคยได้รับโทษจาคุกมาก่อน
ศาลฎีกาเห็นสมควรรอการลงโทษจาคุกและคุมความประพฤติจาเลยไว้น่าจะเป็น
ผลดแี ก่จาเลยและสังคมมากกว่า

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๗๒

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 924/2563

หากจะใช้หนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 เป็นพยานหลักฐาน
ในคดีต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 เว้นแต่คู่ความอีก
ฝ่ายหน่ึงยอมรับว่าได้ทาตราสารน้ันจริง ก็ไม่จาเป็นต้องใช้ตราสารนั้นเป็น
พยานหลักฐานอีก แม้ตราสารน้ันจะมิได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ก็ไม่ทาให้
ข้อเท็จจริงท่ีคู่ความรับแล้วเสียไป จาเลยรับว่าทาหนังสือสัญญากู้เงินเอกสาร
หมาย จ.4 จริง จึงไม่จาต้องอาศัยสัญญากู้เงินเป็นพยานหลักฐานในการรับฟงั
ข้อเท็จจริงเพ่ื อวินิจฉัยคดี แม้หนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 ไม่ได้ปิด
อากรแสตมป์ก็ถือว่ามีหลักฐานเป็นหนังสือใช้ฟอ้ งร้องบังคับคดีได้ตามกฎหมาย
ไม่มีกรณีอันเป็นการตอ้ งหา้ มตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118

เม่ือจาเลยยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่า สัญญากู้ไม่สมบูรณ์ ข้อความใน
สัญญาเป็นเท็จ จาเลยไม่ได้รับเงินกู้ จาเลยยอมลงชื่อในสัญญากู้เงินเพราะ
ต้องการนาเครื่องมืออุปกรณ์ก่อสร้างออกจากบ้านโจทก์จาเลยจึงมีภาระการ
พิ สูจน์ตามข้อต่อสู้

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๗๓

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 935/2563

สาหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อ่ืนไว้ในครอบครอง
โดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทาง
สาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิ พากษายืนตามศาลช้ันต้น
ให้ลงโทษจาคุกจาเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้จาเลยฎีกาในปญั หา
ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหน่ึง
ท่ีจาเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้าหนักให้รับฟงั ว่าจาเลยกระทาความผิด
ตามฟอ้ ง ขอให้ยกฟอ้ ง ซึ่งรวมถึงความผิดท้ังสองฐานดังกล่าว เป็นฎีกาใน
ปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับ
วินิจฉยั

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๗๔

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 961/2563

เหตุที่จาเลยทั้งสองออกเช็คพิ พาทท้ังสองฉบับให้แก่ผู้เสียหายก็เพื่ อ
จะขอเจรจาผ่อนผันการชาระหนี้ออกไปก่อน และมีลักษณะเพ่ือประกันหน้ีทางแพ่ ง
ท่ีจาเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อผู้เสียหายเท่านั้น ผู้เสียหายน่าจะทราบดีว่าหาก
จาเลยทั้งสองยังขายที่ดินไม่ได้ก็ไม่มีทางจะชาระเงินตามเช็คพิ พาทท้ังสองฉบับนี้
ได้ และด้วยระยะเวลานับแตว่ ันท่ีออกเช็คจนถงึ เวลาที่เช็คแตล่ ะฉบับถึงกาหนดน้ัน
ก็ห่างกนั ไม่กเี่ ดือน จงึ เป็นไปไดว้ า่ จาเลยทั้งสองจะขายท่ดี นิ ไมท่ ันตามกาหนด การ
ที่ผู้เสียหายให้จาเลยท้ังสองทาหนังสือรับสภาพหนี้โดยระบุให้จาเลยท้ังสองต้อง
เสียดอกเบ้ียอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งนั้น ก็แสดง
อยู่ในทีว่าจาเลยทั้งสองอาจจะขายที่ดินไม่ได้และไม่มีเงินมาชาระตามเช็คพิ พาททั้ง
สองฉบับ จึงระบุให้จาเลยท้ังสองต้องชาระดอกเบ้ียหากมีการเล่ือนการชาระหนี้
ออกไป ตามรปู คดีจึงฟงั ไดว้ า่ จาเลยทั้งสองออกเชค็ พิพาททง้ั สองฉบบั ตามฟอ้ ง
โดยผู้เสียหายทราบดีแล้วว่าขณะออกเช็คน้ัน จาเลยท้ังสองไม่มีเงินจะชาระตาม
เช็คได้อันมีลักษณะเพื่อประกันหนี้ท่ีต้องรับผิดทางแพ่งแกผ่ ู้เสยี หาย การออกเช็ค
ของจาเลยที่ 1 จงึ ยังถอื ไมไ่ ด้ว่าเป็นความผดิ ตามพระราชบัญญัตวิ า่ ดว้ ยความผิด
อนั เกดิ จากการใชเ้ ช็ค

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๗๕

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 1024/2563

แม้จาเลยจะขบั รถโดยประมาทเป็นเหตุใหเ้ ฉ่ียวชนผู้ตายที่เดินข้ามถนน
ถึงแก่ความตายเป็นพฤติการณ์ท่ีร้ายแรง แต่หลังเกิดเหตุจาเลยไม่ได้หลบหนีท้ัง
ยังพยายามติดต่อหน่วยกู้ชีพให้รีบมาท่ีเกิดเหตุเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหาย และแจ้ง
บริษัทประกันภัยให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้เสียหาย ในระหว่างการ
พิ จารณาของศาลชั้นต้นบริษัทประกันภัยวางชดใช้แก่ผู้เสียหาย 300,000 บาท
หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิ พากษา จาเลยได้นาเงิน 20,000 บาท มาวางต่อ
ศาลช้ันต้นเพ่ือบรรเทาความเสยี หายและภายหลังยนื่ ฎีกา บริษัทประกันภัยรถยนต์
ของจาเลยได้ชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 1,050,000 บาท จนผู้เสียหายไม่ติดใจเอา
ความแก่จาเลยอีกต่อไปและย่ืนคาร้องขอให้ลงโทษจาเลยสถานเบาหรือรอการ
ลงโทษ จาเลยรู้สานึกในการกระทาความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่ง
ความผิดของตนตามสมควรแล้ว เม่ือไม่ปรากฎว่าจาเลยได้รับโทษจาคุกมาก่อน
ประกอบกับจาเลยมีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่ง กรณีจึงมีเหตุสมควรรอการ
ลงโทษจาคุกใหแ้ ก่จาเลย ตลอดจนคมุ ความประพฤติของจาเลยไว้

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๗๖

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 1106/2563

คดีนี้ จาเลยให้การรับสารภาพตามฟอ้ ง ข้อเท็จจริงเก่ียวกับการ
กระทาความผิดย่อมรับฟงั เป็นยุติตามฟอ้ งว่า จาเลยออกเช็คโดยมีเจตนาที่จะ
ไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ฎีกาของจาเลยดังกล่าวเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอ่ืนนอกจากที่จาเลยให้การรับสารภาพ และ
เป็นฎีกาโดยยกข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ ซ่ึงจาเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบใน
ศาลชนั้ ตน้ และศาลอทุ ธรณ์ จงึ ตอ้ งห้ามมใิ ห้ฎกี าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่ ง มาตรา 225 วรรคหน่ึง, 252 (ท่ีแก้ไขใหม่) ประกอบพระราชบัญญัติ
จัดต้ังศาลแขวงและวิธีพิ จารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4
ศาลฎกี าไม่รบั วินิจฉยั

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๗๗

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 1199/2563

พ ฤ ติ ก า ร ณ์ ที่ จ า เ ล ย แ ส ด ง ต่ อ โ จ ท ก์ ร่ ว ม ว่ า จ า เ ล ย เ ป็ น ห ล า น ข อ ง
นางสาว ก. ทั้งที่ความจริงเป็นบุตรสาวจาเลยไม่มีความสัมพั นธ์ในฐานะญาติกับ
นาย ช. แต่กับอ้างว่านาย ช. เป็นอาของจาเลย และจาเลยขอให้โจทก์ร่วมโอนเงิน
ไปเข้าบัญชีของนาย ช. และรับทองคาจากโจทก์ร่วมโดยอ้างว่าจะนาไปลงทุน
ค้าขายทองคากับนาย ช. ท้ังที่นาย ช. ไม่ทราบเรื่อง จึงเป็นการหลอกลวงโจทก์
ร่วมด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ จาเลยมิได้ร่วมประกอบธุรกิจค้าขาย
ทองคากับนาย ช. และไม่สามารถนาทองคาไปขายในราคาสูงได้อย่างท่ีบอกโจทก์
ร่วม เพี ยงแต่ยกขึ้นเป็นข้ออ้างเพ่ือหลอกลวงให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อแล้วมอบเงิน
ลงทุนและทองคาให้จาเลยเท่านั้น การกระทาของจาเลยจึงเป็นความผิดฐาน
รว่ มกนั ฉ้อโกงตามฟอ้ ง

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๗๘

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่

โจทก์นาสืบถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะทาการจับกุมจาเลย โดยวางแผน
ล่อซื้อยาเสพติดให้สายลับซึ่งมีหมายเลขโทรศัพท์ของจาเลยเป็นผู้ติดต่อ ในขณะ
เจรจาขอซ้ือยาเสพติดสายลับเปิดลาโพงโทรศัพท์เคลื่อนท่ีของตนไว้ได้ยินว่า
จาเลยตกลง คร้ันได้เวลานัดสายลับโทรศัพท์ติดต่อกับจาเลยอีกได้ยินเสียงจาก
โทรศัพท์เคล่ือนท่ีว่า ยาเสพติดมาถึงแล้ว ให้ติดต่อกับนางสาวข. ตามหมายเลข
โทรศัพท์ท่ีแจ้งให้ทราบ สายลับรู้จักนางสาว ข. และโทรศัพท์ติดต่อนางสาว ข.
โดยเปิดลาโพงได้ยินว่าจาเลยให้มาส่งมอบยาเสพติดและนัดหมาย พยานโจทก์
ต่างพากันไปยังสถานที่นัดหมายแล้วให้สายลับโทรศัพท์ติดต่อนางสาว ข. เม่ือ
นางสาว ข. เดินออกมา สายลับชี้และยืนยันว่าเป็นนางสาว ว. พยานโจทก์กับ
พวกจึงเข้าจับกุมยดึ ได้ เมทแอมเฟตามีนจานวน 5 ถุง กับโทรศัพท์เคล่ือนที่ของ
นางสาว ว. ซ่ึงมีหมายเลขตรงกับท่ีสายลับติดต่อ นางสาว ว. รับว่าเป็นผู้รับจ้าง
จากนาย ธ. คือจาเลยให้มาส่งยาเสพติด ท้ังแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ของจาเลยให้
ทราบ ซึ่งตรงกับหมายเลขโทรศพั ท์ท่สี ายลับตดิ ต่อกบั จาเลย รบั วา่ ยงั มี ยาเสพ
ตดิ ท่จี าเลยฝากให้เกบ็ ไวท้ ี่บา้ นอีก พยานโจทก์กับพวกไปทบี่ ้านนางสาว ว. ยึดเมท
แอมเฟตามีนได้อีก 3,000 เม็ด ทาบันทึกการจับกุมในบันทึกการจับกุมระบุ
หมายเลขโทรศพั ท์เคลอ่ื นที่ของนางสาว ว. ติดต่อกับจาเลยทางโทรศัพท์เคลอื่ นท่ี
ระบุหมายเลขเจ้าพนักงานตารวจนาข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ซึ่งมีรูปถ่ายจาเลยให้ดู
นางสาว ว. ยืนยนั ว่าเปน็ บคุ คลที่นางสาว ว. ติดตอ่ รับส่งยาเสพติดให้ นางสาว ว.
เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุรู้จักกับจาเลยท่ีเรือนจา โดยพยานไปเย่ียมสามีซึ่งเป็น
ผู้กระทาความผิดเก่ียวกับยาเสพติด จาเลยไปเย่ียมญาติซ่ึงกระทาความผิด
เกี่ยวกับยาเสพติดเช่นกัน เม่ือพบกันอีกมีการพู ดคุยเก่ียวกับการจาหน่าย ยา
เ ส พ ติ ด แ ล ะ แ ล ก ห ม า ย เ ล ข โ ท ร ศั พ ท์ แ ก่ กั น พ ย า น บั ก ทึ ก ห ม า ย เ ล ข ไ ว้ ใ น
โทรศัพท์เคลื่อนทีท่ ่ีถกู เจา้ พนักงานตารวจยดึ พยานรับสง่ ยาเสพตดิ ให้จาเลยครั้ง
แรกประมาณเดือนเมษายน 2559 ในการไปรับจาเลยจะตดิ ตอ่ กับเจ้าของยา

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๗๙

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 1220/2563 (ตอ่ )

เสพติดไว้ก่อน แล้วให้พยานติดต่อกับเจ้าของ จากนั้นจะแจ้งท่ีซ่อนยาเสพติด
เพ่ื อให้พยานไปรับแจ้งให้จาเลยทราบ จาเลยจะให้ลูกน้องมารับยาเสพติดจาก
พยานอีกทอดหนง่ึ ครงั้ ท่ีสองเปน็ การรับสง่ ยาเสพติดตามทจี่ าเลยสั่ง สาหรับการ
รับส่ง ยาเสพติดในคดีน้ีก็เป็นไปตามคาสั่งของจาเลย ในวันเกิดเหตุมีการ
โทรศัพท์ติดต่อกับจาเลยตลอด จาเลยให้พยานแบ่งยาเสพติดไปสง่ จานวน 5 ถุง
และรับเงินจานวน 20,000 บาท ยาเสพติดส่วนท่ีเหลือพยานเก็บไว้ในตะกร้า
เส้ือผ้า เมื่อถูกจับกุมเจ้าพนักงานตารวจให้พาไปที่บ้านและยึดยาเสพติดส่วนที่
เหลือแล้ว จากทางนาสืบของโจทก์มีรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงก่อนท่ีมี การ
จับกุมจาเลยที่มีความเช่ือมโยงและสอดคล้องเป็นลาดับประกอบด้วยเหตุผล
พยานโจทกบ์ างคนรู้จักจาเลยมากอ่ น แตไ่ ม่ปรากฏวา่ มีสาเหตุโกรธเคืองกบั จาเลย
แต่อย่างใด ทั้งจาเลยก็รับเช่นน้ัน จึงไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าจะเบิกความเพื่ อ
ปรักปราจาเลยน่าเชื่อว่าพยานโจทก์ เบิกความตามจริง แม้คาเบิกความของ
นางสาว ว. จะเป็นคาซัดทอด ซ่ึงโดยลาพั งคาเบิกความดังกล่าวมีน้าหนักรับฟงั
น้อยก็ตาม แต่โจทก์มีพยานท่ีร่วมรู้เห็นในการติดต่อล่อซื้อยาเสพติดตั้งแต่ให้
สายลับโทรศัพท์ขอซ้ือยาเสพติดจากจาเลยทางโทรศัพท์เคล่ือนที่ จนมีการแจ้งให้
สายลับโทรศัพท์ติดต่อกับนางสาว ว. ทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ จับจาเลยได้พร้อม
โทรศัพท์เคลื่อนท่ีหมายเลขท่ีมีการติดต่อกับนางสาว ว. พยานโจทก์ท่ีนาสืบมาจึง
มิได้อาศัยลาพั งคาซัดทอดของผู้ร่วมกระทาความผิดเท่านั้น หากแต่ยังมี
พยานหลักฐานอื่นอันมีเหตุผลมาสนับสนุน และเป็นข้อเท็จจริงท่ีพยานโจทก์รู้เห็น
ด้วยพยานโจทก์จงึ มีนา้ หนกั รับฟงั ประกอบคาเบิกความของนางสาว ว.

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๘๐

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 1252/2563

จาเลยพู ดกับนาวสาว ส. ว่า “พวกเธอไปสังสรรค์กับพวกค้ายา
ทาไม” “เธอรู้ไหมพวกเต็นท์รถค้ายา” “อย่าไปยุ่งกับพวกเต็นท์รถ หากไปยุ่งกับ
พวกเต็นท์รถ จะต้องติดคุก” และ “นายแม็กเป็นคนคา้ ยา” คาว่า “ยา” ตามบริบท
ท่ีจาเลยกล่าว หมายถึง ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งคาว่า “ยาเสพติดให้โทษ” หมายถึง
สารเคมีหรือวัตถุชนิดใด ๆ รวมท้ังพื ช ซ่ึงเม่ือเสพเข้าสู่ร่างกายแล้ว ทาให้
เกดิ ผลตอ่ รา่ งกายและจิตใจในลกั ษณะสาคญั “คา้ ยา” หมายถงึ การซอื้ ขายยาเสพ
ติดให้โทษ ซึ่งเป็นการกระทาความผิดต่อกฎหมาย อันเป็นการกระทาความผิด
อาญาร้ายแรง การกระทาของจาเลยจึงเป็นการใส่ความโจทก์ท้ังสองต่อนางสาว
ส. โดยประการท่ีน่าจะทาให้โจทก์ท้ังสอง เสียช่ือเสียง ถูกดูหม่ิน หรือถูกเกลียด
ชงั อันเปน็ การกระทาความผดิ ฐานหม่ินประมาท

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๘๑

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 1291/2563

แม้โจทกจ์ ะมีพันตารวจตรี ก. และดาบตารวจ อ. เบิกความเป็นพยานว่า
จาเลยและนาย ท. มีพฤติการณ์ร่วมกันจาหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่เมทแอมเฟตามีน
7 แท่ง ท่ียึดได้ถูกฝังดินไว้ใต้ต้นไม้ห่างจากบ้านของจาเลยประมาณ 100 เมตร
แม้จะบรรจอุ ยใู่ นถุงป๋ยุ ตราสฟี า้ ตราม้าบินเหมือนกบั ถุงป๋ยุ ทีพ่ บในฟาร์มไกช่ นของ
นาย ท. กย็ งั ฟงั ไม่ได้ถนัดนักวา่ เมทแอมเฟตามีน 7 แทง่ ดังกลา่ วเปน็ ของจาเลย
หรือมีส่วนเก่ียวข้องกับจาเลย ส่วนเมทแอมเฟตามีนอีก 1 แท่ง ท่ียึดได้จากพง
หญ้าโดยมีตะแกรงเหล็กวางทับที่บริเวณหลังห้องนอนติดกับตัวบ้านของจาเลย
พันตารวจตรี ก. เบิกความว่า เจ้าพนักงานตารวจท่ีพบเมทแอมเฟตามีนดังกลา่ ว
มีช่ือเล่นว่า ดาบต้น โดยไม่ได้ยืนยันให้ชัดเจนว่าเจ้าพนักงานตารวจคงดังกล่าว
เป็นใคร เจ้าพนักงานตารวจที่รว่ มตรวจค้นจบั กุมจาเลยท่ีมาเบิกความเป็นพยานก็
ไม่ได้ยืนยันว่า เจ้าพนักงานตารวจท่ียึดได้เมทแอมเฟตามีน 1 แท่ง ดังกล่าวเป็น
ใครและโจทก์ก็ไม่ได้นาสืบ เจ้าพนักงานตารวจคนดังกล่าวเป็นพยานนับว่าเป็น
พิ รุธ พยานหลักฐานของโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจาเลยได้กระทา
ความผดิ หรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสยั นั้นให้จาเลยตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิ จารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธี
พิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๘๒

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 1315/2563

ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 21 บัญญัติ
ไว้ความว่า ผู้ใดจะก่อสร้างอาคารต้องได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น
และมาตรา 71 บัญญัติไว้ความว่า ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา
21 ใหถ้ ือว่าเป็นการกระทาของเจ้าของหรอื ผ้คู รอบครองอาคาร เวน้ แต่บคุ คลนน้ั จะ
พิ สูจน์ได้ว่าเป็นการกระทาของผู้อ่ืน ดังน้ันเม่ือข้อเท็จจริง รับฟงั ได้ว่าจาเลย
เป็นผู้ครอบครองอาคารจึงถือว่าเป็นการกระทาของจาเลยตามบทบัญญัติ
ดังกล่าว จาเลยมีหน้าท่ีต้องพิ สูจน์หักล้าง เมื่อจาเลยไม่มีพยานหลักฐานอ่ืนใด
สนับสนุน จึงเป็นกรณีท่ีจาเลย ไม่สามารถนาสืบให้เห็นได้ว่าผู้อื่นเป็นผู้ก่อสร้าง
อาคาร จาเลยจงึ มคี วามผดิ ฐานกอ่ สร้างอาคาร โดยไม่ได้รบั อนุญาต

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๘๓

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 1472/2563

ผู้ถูกกล่าวหาย่ืนคาร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนเพื่ อสืบหาทรัพย์สินของ
จาเลย ระหว่าง ไต่สวนผู้ถูกกล่าวหาเบิกความว่าหนังสือมอบอานาจเอกสารหมาย ร.1
จัดทาขึ้นที่สานักงานทนายความของผู้ถูกกล่าวหาและโจทก์ลงลายมือชื่อต่อหน้าผู้ถูก
กลา่ วหา

ศาลชั้นต้นสงสัยว่า โจทก์มิได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอานาจจริงจึง
ได้รว่ มกับคู่ความอนื่ ตรวจสอบหนังสือมอบอานาจดังกลา่ ว

ผู้ถูกกล่าวหาแถลงยอมรับว่า โจทก์อาศัยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและ
ส่งหนังสือมอบอานาจมาให้ผู้ถูกกล่าวหาทางจดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์ ผู้ถูกกล่าวหาพิ มพ์
หนังสือมอบอานาจจากเคร่ืองคอมพิ วเตอร์ โดยโจทก์มิได้ลงลายมือช่ือในหนังสือมอบ
อานาจ

ศาลชั้นต้นมีคาส่ังว่า การที่ผู้ถูกกล่าวหานาหนังสือมอบอานาจท่ีมิได้ลง
ลายมอื ชอ่ื จริงของผ้มู อบอานาจมาใช้เปน็ พยานในศาลเปน็ การปลอมและใช้เอกสารปลอม
ต่อศาล การกระทาของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอัน
เป็นความผิดฐานละเมิดอานาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิ จารณาความแพ่ ง มาตรา 31 (1)
ให้จาคุกผู้ถูกกล่าวหามีกาหนด 15 วัน เม่ือพิ จารณาถึงการให้การรับสารภาพของผู้ถูก
กลา่ วหา เห็นสมควรใหเ้ ปลีย่ นโทษจาคกุ เปน็ กักขังแทน

ศาลอทุ ธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นทนายความ เคยทาหน้าท่ีในองค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่นตลอดจนทางานช่วยเหลือประชาชนท่ีได้รับความเดือดร้อน
ผลของการกระทาความผิด ในคดีนี้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอ่ืนในวงกว้าง
ท้ังไม่ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาเคยได้รับโทษจาคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสผู้ถูก
กล่าวหาได้กลับตนเปน็ พลเมืองดีโดยการรอ การลงโทษจาคกุ ไว้ แตเ่ พ่ือใหผ้ ถู้ ูกกล่าวหา
หลาบจาไมก่ ระทาความผดิ เชน่ น้อี ีก เหน็ สมควรลงโทษปรับอกี สถานหนึ่ง

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๘๔

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 1502/2563

ระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์แถลงยอมรับตามรายงานกระบวน
พิ จารณา ลงวันที่ 5 มีนาคม 2561 ว่า คดีอาญาหมายเลขดาที่ 4370/2560 ของศาล
จังหวัดสงขลา นางสาว ว. ได้นาเงนิ จานวน 85,000 บาท ไปวางตอ่ ศาลเพื่อบรรเทาความ
เสียหายให้แก่โจทกค์ ดีนี้ คงเหลือต้นเงินอีก 500 บาท พร้อมดอกเบี้ย ข้อเท็จจริงจึงเปน็ ที่
ยุติแล้วว่า โจทก์ได้รับชาระค่าเสียหายจากการกระทาละเมิดจากนางสาว ว. แล้ว การท่ีศาล
อุทธรณ์วินิจฉัยให้จาเลยชาระเงินจานวนดังกล่าวให้แก่โจทก์อีก จึงเป็นการฝ่าฝืน
บทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการ รับฟังพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธี
พิ จารณาความแพ่ ง มาตรา 84 และไม่มีความเสียหายอันใดท่ีโจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องให้
จาเลยชดใช้แก่โจทก์ได้อีก เห็นว่า การที่โจทก์แถลงรับต่อศาลช้ันต้นตามรายงานกระบวน
พิ จารณาดังกล่าว มีผลเท่ากับคู่ความรับกันแล้วในศาลว่า นางสาว ว. ได้นาเงินจานวน
85,000 บาท ไปวางต่อศาลชาระค่าเสียหายให้แก่โจทก์คดีน้ีซ่ึงเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญา
หมายเลขดาที่ 4370/2560 ของศาลจังหวัดสงขลา ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติตามคารับของ
คู่ความ ศาลอทุ ธรณ์ไม่อาจวนิ ิจฉัยเป็นอย่างอน่ื ได้ การท่ีศาลอุทธรณว์ ินจิ ฉยั ว่า การวางเงิน
ของนางสาว ว. เป็นการวางเงินบรรเทาผลรา้ ยเพ่ือให้ศาล ใช้ดลุ พินจิ ลงโทษสถานเบาในคดี
ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับคดีน้ี จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิ จารณาความแพ่ ง มาตรา
84 (3) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิ จารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ปรากฏว่า
คดีอาญาหมายเลขดาท่ี 4370/2560 ของศาลจังหวัดสงขลา นางสาว ว. ต้องรับผิดชาระ
ค่าเสียหายให้แก่โจทก์คดีน้ีซ่ึงเป็นโจทก์ร่วมในคดีดังกล่าวในมูลหน้ีละเมิด ส่วนคดีน้ีจาเลย
ต้องรบั ผิดชาระคา่ เสียหายให้แก่โจทก์ในมูลหน้ีฝากทรพั ย์ แมจ้ าเลยและนางสาว ว. ไมไ่ ดเ้ ป็น
คู่ความในคดีเดียวกัน แต่ค่าเสียหายที่นางสาว ว. และจาเลยต้องรับผิด เป็นจานวน
เดียวกนั ถอื เปน็ หน้อี ันจะแบ่งกันชาระมิได้ มผี ลใหน้ างสาว ว. และจาเลยตอ้ งรับผดิ เช่นอย่าง
ลูกหน้ีร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์ มาตรา 301 การที่นางสาว ว.
วางเงินชาระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ย่อมได้ประโยชน์แก่จาเลยด้วย ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 292 วรรคหนงึ่ จงึ ต้องนาเงินท่ีนนางสาว ว. วางชาระคา่ เสียหาย
ในคดีอาญาหมายเลขดาที่ 4370/2560 ของศาลจังหวัดสงขลา มาหักออกจากค่าเสยี หาย
ท่ีจาเลยต้องรับผิดในคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่นาเงินที่นางสาว ว. วางต่อศาลมาหักออกจาก
หนท้ี จ่ี าเลยจะตอ้ งรับผดิ ชาระแก่โจทก์ในคดีนี้ ศาลฎีกาไม่เหน็ พ้องดว้ ย

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๘๕

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 1644/2563

รายงานกระบวนพิ จารณาวันที่ 26 มีนาคม 2561 จาเลยอ้างว่า จาเลย
เพี ยงแต่รับว่า มีการสอบสวนชั้นพนักงานสอบสวนเท่าน้ันและให้การปฏิเสธเอกสาร
หมาย จ.6 ว่าไม่เป็นความจริงนั้น เห็นว่า ศาลบันทึกรายงานกระบวนพิ จารณาดังกล่าว
ว่า โจทก์แถลงว่า หากจาเลยสามารถรับข้อเท็จจริงว่า พยานโจทก์ อันดับที่ 11 เป็น
พนักงานสอบสวนที่สอบคาให้การจาเลยตามเอกสารหมาย จ.6 ก็ไม่ติดใจสืบพยาน
ดังกล่าว จาเลยและทนายจาเลยตรวจเอกสารดังกล่าวแล้วแถลงว่า สามารถรับ
ขอ้ เท็จจรงิ พยานบุคคลและพยานเอกสารดังกล่าวได้ โจทก์แถลงวา่ เมือ่ จาเลยแถลงรับ
ข้อเท็จจริงเช่นน้ี โจทก์ก็ไม่สืบพยานปากดังกล่าวตามที่จาเลยแถลงรับข้อเท็จจริง ขอ
อา้ งส่งพยานหลักฐานดังกล่าวไว้เปน็ พยานหลักฐานในสานวนเพ่ือประกอบการพิ จารณา
คดี และยังคงติดใจสืบพยานในประเด็นที่ยังไม่รับกัน จะเห็นได้ว่าจาเลย มีนาย ก. ซึ่ง
เปน็ ทนายความร่วมเข้าฟงั การสอบปากคาจาเลยและยังเป็นทนายจาเลยคดีน้ี นอกจากน้ี
ยังมีนาง ว. ซ่ึงเป็นบุคคลท่ีจาเลยไว้วางใจให้เข้าร่วมฟงั การสอบปากคา จึงเป็นการ
ตรวจสอบการทางานของพนักงานสอบสวน เช่ือว่าพนักงานสอบสวนจัดทาบันทึก
คาให้การดังกล่าวถูกต้องตามที่จาเลยให้การ ประกอบกับจาเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อ
กล่าวหา ดังน้ัน หากจาเลยเห็นว่าเอกสารหมาย จ.6 ไม่ถูกต้องก็สามารถขอให้โจทก์สืบ
พนักงานสอบสวน ในประเด็นท่ีไม่ถูกต้องได้ จึงไม่มีเหตุที่จาเลยจะต้องรับข้อเท็จจริง
ดังกล่าว ต่อมาปรากฏว่าหลังจากเกิดเหตุคดีน้ี จาเลยถูกพิ พากษาจาคุก 5 ปี 6 เดือน
20 วนั เจ้าพนักงานตารวจรับตัวจาเลยมาดาเนินคดนี ้แี ละสอบปากคาจาเลย ห่างจากวัน
เกิดเหตุประมาณ 6 ปีเศษ แต่จาเลยสามารถให้การเป็นลาดับข้ันตอน ส่วนท่ีจาเลยอ้าง
ว่าบันทึกคาให้การเอกสารหมาย จ.6 เปน็ พยานบอกเล่านั้น เห็นว่า แม้บันทึกคาให้การใน
ช้ันสอบสวนดังกล่าวจะเป็นพยานบอกเล่า แต่เมื่อพิ จารณาจากสภาพ ลักษณะ
แหล่งที่มาและข้อเทจ็ จรงิ แวดล้อมของพยานบอกเลา่ น้นั น่าเชื่อว่าจะพิสจู น์ความจริงได้
จึงรับฟงั คาให้การในช้ันสอบสวนดังกล่าวประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิ จารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) และมาตรา
227/1 วรรคหนึง่ ได้

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๘๖

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 1883/2563

โจทก์ฟอ้ งว่า จาเลยที่ 1 ถึงที่ 5 โดยทุจริตร่วมกันหลอกลวงโจทก์
ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่
โจทก์ว่าได้มีการจัดซ้ือระบบปรับอากาศ จากจาเลยที่ 6 เพ่ื อนาไปติดตั้งที่
โรงไฟฟา้ พลังงานแสงอาทติ ยแ์ ม่มาลัย 1 และแม่มาลยั 2 โดยไม่มีการซือ้ ขายจริง
โดยทุจริตร่วมกันหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิด
ข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจง้ แก่โจทก์ว่าในการจัดซ้ือระบบปรับอากาศ จาเลยท่ี
6 ต้องการให้ชาระค่าสินค้างวดแรกถึงงวดท่ี 3 ให้ผู้ขาย จานวน 10 เปอร์เซ็นต์
จนโจทก์หลงเช่ือและจ่ายเงนิ ให้แก่จาเลยทงั้ หกไปทงั้ ท่ีไม่มีการซ้ือขายอยูจ่ ริง

ศาลชนั้ ต้นไตส่ วนมลู ฟอ้ งแลว้ เหน็ วา่ คดีไม่มมี ูล พิพากษายกฟอ้ ง

ศาลอุทธรณ์พิ พากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิ จารณา
เฉพาะคดีในส่วนจาเลย ที่ 1 ท่ี 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสานวนประชุมปรึกษาแล้ว โจทก์มีนาย ว. กรรมการ
ผู้จัดการโจทก์ และนาย ส. กรรมการผู้มีอานาจโจทก์ เบิกความไปในทานอง
เดียวกันว่าจาเลยทั้งหกได้บังอาจรว่ มกันหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความ
อันเป็นเท็จ และปกปิดข้อความจริงซ่ึงควรบอกให้แจ้งโจทก์ว่า ได้มีการจัดซื้อ
ระบบเพ่ิมประสิทธิภาพการผลิตไฟฟา้ จากจาเลยท่ี 6 เพ่ือนาไปติดต้ังที่โรงไฟฟา้
แสงอาทิตย์ชื่อแม่มาลัย 1 และแม่มาลัย 2 ซ่ึงตั้งอยู่ที่อาเภอแม่แตง จังหวัด
เชียงใหม่ โดยไม่มีการซ้ือขายตามสัญญาจริง อันเป็นการฉ้อโกงโจทก์ การท่ี
จาเลยทั้งหกหลอกลวงโจทก์ ดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์หลงเชื่อ และได้จ่ายเงิน
จานวนดังกล่าวให้แก่จาเลยทั้งหกไป ทั้งท่ีไม่มีการซ้ือขายอยู่จริงและจาเลยท้ังหก
ได้รับเงินจานวนดังกล่าวไปจากโจทก์แล้วได้นาไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตนเสีย
ต่อมา บ.อินเตอร์แนช่ันเนิลเอนจิเนียร่ิง ซ่ึงเป็นบริษัทแม่ของโจทก์ได้แต่งต้ังให้
คณะกรรมการตรวจสอบ รว่ มกนั ดาเนนิ การทาการตรวจนบั ทรพั ยส์ นิ ของโรงงาน

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๘๗

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 1883/2563 (ต่อ)

พลังงานแสงอาทิตย์ แม่มาลัย 1 และแม่มาลัย 2 ปรากฏว่าไม่พบ ระบบเพ่ิ ม
ประสิทธิภาพการผลิตไฟฟา้ เหน็ ว่า การรบั ฟงั พยานหลักฐานในชั้นไตส่ วนมูลฟอ้ ง
แตกต่างจากการรับฟงั พยานหลักฐานในชั้นพิ จารณา ชั้นไต่สวนมูลฟอ้ งเมื่อได้
ข้อเท็จจริง ครบองค์ประกอบความผิดที่ฟอ้ ง โดยไม่มีข้อพิรุธอันเป็นประจักษ์ชัด
ก็ฟงั ได้แล้วว่า คดีมีมูลตามฟอ้ งส่วนข้อเท็จจริงที่ได้ความมาจะเป็นความจริง
หรือไม่เป็นข้อท่ีจะต้องพิสูจน์กนั อีกช้ันหนึ่งในชัน้ พิจารณา ซ่ึงในชั้นพิจารณาตอ้ ง
ฟงั พยานหลักฐานจนได้ความอันสิ้นสงสัยว่าข้อเท็จจริงที่ได้มาน้ันเป็นความจริง
จึงจะฟงั ได้ว่ามีการกระทาความผิดตามฟอ้ ง คดีนี้ นาย ส. และนาย ว. เป็นผู้รเู้ ห็น
ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในคดีต่างเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงว่า จาเลยท่ี 3 ได้ร่วมกับ
จาเลยอื่น โดยทุจริตหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และ
ปกปิดข้อความจริงซ่ึงควรบอกให้แจ้งแก่โจทก์ เรื่องการจัดซื้อระบบเพิ่ ม
ประสิทธิภาพการผลติ ไฟฟา้ จากจาเลยท่ี 6 ซ่ึงการท่ีจาเลยท้ังหกหลอกลวงโจทก์
ดงั กล่าว เปน็ เหตุให้โจทกห์ ลงเชอื่ และได้จ่ายเงินใหก้ บั จาเลยทง้ั หกไปท้ังทไ่ี ม่มีการ
ซื้อขายอยู่จริง และจาเลยทั้งหกได้รับเงินจานวนดังกล่าวไปจากโจทก์แล้วได้
นาไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตนเสยี โดยพยานโจทก์ท้ังสองยงั ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ
โรงไฟฟา้ พลังงานแสงอาทิตย์แม่มาลัย 1 และแม่มาลัย 2 ด้วยตนเองพบพิ รุธ
หลายประการ และยงั มวี ศิ วกรไฟฟา้ ทีป่ ระจาอยูท่ ีโ่ รงไฟฟา้ พลังงานแสงอาทติ ยแ์ ม่
มาลัย 1 และแม่มาลัย 2 ยืนยันว่าไม่มีการติดต้ังระบบเพิ่ มประสิทธิภาพการผลิต
ไฟฟา้ ซ่ึงเป็นการยืนยันว่าไม่มีการซ้ือขายระบบเพ่ิ มประสิทธิภาพการผลิตไฟฟา้
ดังกล่าวกันจริง อันเป็นข้อสาคัญในคดี นอกจากน้ัน คณะกรรมการตรวจสอบ
สรุปความเห็นให้ดาเนินคดีแก่จาเลยท่ี 3 เนื่องจากขณะเกิดเหตุ ดารงตาแหน่ง
รักษาการกรรมการผู้จัดการ บ.ทีมโซลาร์ (ช่ือเดิมของโจทก์) และดารงตาแหน่ง
รองกรรมการผู้อานวยการใหญ่สายงานปฏิบัตกิ าร บ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจิเนยี รงิ่
เป็นผู้รับผิดชอบกากับดูแลบริหารงาน บ.ทีมโซลาร์ ซ่ึงพอเข้าใจได้ว่ามีหน้าท่ี
รับผดิ ชอบและมสี ่วนเก่ียวขอ้ งในการซ้อื และจ่ายเงินระบบเพิ่มประสิทธภิ าพ

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๘๘

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 1883/2563 (ตอ่ )

การผลิตไฟฟา้ ในคดีน้ีร่วมกับจาเลยอ่ืน ความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบท่ี
ยืนยันว่าจาเลยท่ี 3 ร่วมกระทาความผิด และเป็นหลักฐานท่ีโจทก์ใช้ในการฟอ้ ง
ดาเนินคดีแก่จาเลยท่ี 3 พยานโจทก์ทั้งหมดท่ีนาสืบมาเม่ือรับฟงั ประกอบเอกสาร
ของคณะกรรมการตรวจสอบดงั กล่าว เหน็ ได้ว่า พยานหลักฐานของโจทก์ท่ีนาสบื
มาในชนั้ ไต่สวนมูลฟอ้ งมีขอ้ เท็จจริงอันเก่ียวกบั การกระทาความผดิ ของจาเลยที่ 3
ครบองค์ประกอบความผิดแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์ไม่ถึงขนาดมี ข้อพิ รุธ
อันเป็นท่ีประจักษ์ชัด ในชั้นน้ีจึงถือได้ว่าคดีโจทก์ในส่วนของจาเลยท่ี 3 มีมูล
ความผิด ส่วนจะเป็นจริงตามนั้นหรือไม่ มีรายละเอียดของการกระทาความผิด
รว่ มกบั จาเลยอน่ื ในลกั ษณะอยา่ งไร เปน็ เรือ่ งทตี่ ้องนาสืบพิสจู นก์ นั ในชัน้ พิจารณา
ต่อไป แม้ไม่ปรากฏว่าจาเลยท่ี 3 ลงลายมือช่ือในสัญญาซื้อขายและหลักฐานการ
จ่ายเงินเอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.11 ก็ตาม แต่ก็มิได้มีความหมายว่าจาเลยท่ี 3
จะมิได้กระทาความผิดโดยแน่แท้ เพราะอาจมีการร่วมกระทาความผิดด้วยกันใน
ลกั ษณะอน่ื จึงไมถ่ งึ กบั เป็นเหตุใหต้ ้องยกฟอ้ งในช้ันไตส่ วนมูลฟอ้ ง

พิพากษาแกเ้ ป็นว่า ให้ประทับฟอ้ งจาเลยท่ี 3 ไว้พิจารณา

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๘๙

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 2066/2563

โจทก์ฟอ้ งว่า เม่ือวันที่ 7 มีนาคม 2539 นาย จ. ได้ทาสัญญากู้เงินจาก
ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จากัด (มหาชน) ต่อมาธนาคารได้โอนสิทธิเรียกร้องในหนี้
รายนี้แก่บรรษัทบรหิ ารสนิ ทรัพยไ์ ทย และในวันที่ 1 สิงหาคม 2555 บรรษัทบริหารสินทรพั ย์
ไทย ได้โอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวแก่โจทก์ ก่อนฟ้องโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวบังคับ
จานองและแจ้งกาณโอนสิทธิเรียกร้องไปยังนายจารึกทางไปรษณีย์ลงทะเบียน และทาง
หนังสือพิมพ์สายกลางรายวัน แต่นาย จ.เพิกเฉย ทาให้โจทก์ได้รับความเสียหาย นายจารกึ
ถึงแก่ความตายแล้ว จาเลยในฐานะทายาท โดยธรรมของนายจารึกจึงมีหน้าที่ต้องชาระหน้ี
แก่โจทก์ หากจาเลยไม่ชาระหรือชาระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์จานองและทรัพย์สินอ่ืนของจาเลย
ออกขายทอดตลาดนาเงินชาระหนีแ้ กโ่ จทกจ์ นครบ

จาเลยขาดนดั ยนื่ คาให้การ

ศาลชน้ั ตน้ พิจารณาแล้วพิพากษายกฟอ้ ง

ศาลอทุ ธรณ์ภาค 1 แผนกคดีผบู้ รโิ ภค พิพากษายืน

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคตรวจสานวนประชมุ ปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟงั
ได้ว่า เม่ือวันท่ี 1 สิงหาคม 2555 บรรษัทบริหารสินทรัพยไ์ ทยได้ทาสัญญาโอนสินทรัพยค์ ดี
นี้ให้แก่โจทก์และเม่ือวันท่ี 14 พฤษภาคม 2556 บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยได้โอนสิทธิการ
รับจานองของ นาย จ. และโจทก์จดทะเบียนเป็นผู้รับจานองท่ีดินโฉนดเลขที่ 18906 พร้อม
สิง่ ปลูกสร้าง เมือ่ วันท่ี 17 เมษายน 2558 นาย จ. ถงึ แกค่ วามตาย มจี าเลยเป็นมารดา มีฐานะ
เปน็ ทายาทโดยธรรม ของผตู้ าย

คดีนี้มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามท่ีโจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า นาย จ.
เป็นหนี้โจทก์ตามฟอ้ งหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นสถาบันการเงิน จดทะเบียนเป็นบริษัทบริหาร
สินทรัพย์ตามพระราชกาหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 มีวัตถุประสงค์ดาเนิน
กิจการรับซื้อหรือรบั โอนสินทรัพยด์ ้อยคุณภาพจากสถาบนั การเงิน โจทก์มสี ญั ญากูเ้ งนิ เปน็
พยานหลักฐาน เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2539 นาย จ. ทาสัญญากู้เงินกับธนาคารกรุงเทพฯ
พาณชิ ย์การ จากดั (มหาชน) ต่อมาธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จากดั (มหาชน) ได้โอน
สนิ ทรพั ยร์ วมถงึ สิทธิเรียกร้องท่ีมีต่อนาย จ. ให้แก่บรรษทั บรหิ ารสินทรพั ย์ไทยได้ทาสัญญา
โอนสินทรัพย์รวมถงึ สิทธิเรียกร้องท่มี ตี อ่ นาย จ. ใหแ้ กโ่ จทก์ ตามสัญญา

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๙๐

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 2066/2563

โอนสนิ ทรพั ย์ โจทก์ไดจ้ ดทะเบียนเป็นผ้รู ับจานองท่ดี ินโฉนดเลขที่ดงั กลา่ ว และ
โจทก์ได้บอกกล่าวกาณโอนสิทธิเรียกรอ้ งให้นาย จ. ทราบแล้ว เม่ือนาย จ. ถึงแก่ความตาย
จาเลยในฐานะทายาทยังมิได้ชาระหน้ีและไถ่ถอนจานอง อีกทั้งโจทก์ได้นาส่งต้นฉบับโฉนด
ท่ดี นิ ดังกลา่ วแก่เจ้าพนักงานบังคบั คดีเพ่ือดาเนินการขายทอดตลอดตอ่ ไปแลว้ เมอ่ื โจทก์มี
พยานเอกสารมาแสดงเป็นหลักฐานเช่ือมโยงสอดคล้องกันเป็นลาดับ ข้อเท็จจริงจึงรับฟงั
ไดว้ า่ นาย จ. ผูจ้ านองคา้ งชาระหน้เี งินตน้ เป็นเงินตามที่โจทกฟ์ อ้ ง ฎกี าขอ้ น้ีของโจทก์ฟงั ข้นึ

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า นาย จ. ค้างชาระดอกเบี้ยจนถึงวันฟอ้ ง
ตามที่โจทก์ฟอ้ งหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟอ้ งว่านับแต่นาย จ. กู้เงินจากธนาคาร นาย
จ. มิได้ชาระหนี้เป็นประจาทุกเดือนอันเป็นการผิดนัดผิดสัญญา ธนาคารมีสิทธิเรียกให้ชาระ
หน้ีทั้งหมดคืนได้ทันที โดยโจทก์มีการ์ดบัญชีลูกหนี้และรายการคานวณภาระเงินต้นและ
ดอกเบ้ียค้างรับ มาแสดงว่า ณ วันท่ี 1 ตุลาคม 2555 จาเลยมีภาระหนี้เปน็ ดอกเบ้ียคา้ งรับ
1,978,181.56 บาท แต่เอกสารดังกล่าวเป็นเพียงเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงเอกสารท่ีโจทก์
ทาข้ึนเอง ซ่ึงมีอยู่เพียงสองแผ่นเพ่ือแสดงว่าโจทก์คานวณดอกเบี้ยผิดนัดต่อจากยอดหน้ี
ค้างชาระเดิมของจาเลยนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ถึงวันท่ี 16 มิถุนายน 2559 แต่ไม่
ปรากฏรายละเอียดข้อเท็จจริงว่า นับแต่นาย จ. กู้ยืมเงินธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ
เม่ือปี 2539 นาย จ. เริ่มผิดนัดชาระหนี้มาต้ังแต่เม่ือใด ธนาคารเริ่มคานวณดอกเบ้ียผิดนัด
วันใด มีการคิดอัตราดอกเบ้ียผิดนัดในอัตราเท่าใด และการคิดคานวณดอกเบ้ียผิดนัด
ถูกต้องตามประกาศอัตราดอกเบ้ียสูงสุดของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ ในขณะน้ัน
หรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการให้บริการท่ีอยู่ในความรู้เห็น
โดยเฉพาะของธนาคารและโจทก์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์
ตามพระราชบัญญัติวิธีพิ จารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 29 เมื่อโจทก์มีภาระการ
พิสจู นแ์ ตไ่ ม่อาจนาสืบพิสูจน์ข้อเทจ็ จริงตามทกี่ ลา่ วอา้ งได้ คดจี งึ รบั ฟงั ไม่ได้ว่า นาย จ. ผดิ
นัดชาระหนี้และมียอดดอกเบี้ยคงค้างนับถึงวันฟอ้ ง อย่างไรก็ตาม เม่ือโจทก์ได้บอกกล่าว
บังคับจานองและกาหนดเวลาให้ชาระหนี้แก่โจทก์ภายใน 60 วัน นับแต่วันท่ีได้รับหนังสือ
โดยการประกาศหนังสือพิ มพ์ เมื่อครบกาหนดเวลาชาระหน้ีตามหนังสือ บอกกล่าวน้ันแล้ว
จาเลยไม่ชาระหน้ี โจทก์จึงมสี ทิ ธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันที่ 18 ตลุ าคม 2558 แต่ทโ่ี จทก์
ขอ

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๙๑

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 2066/2563

ดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี นั้น เห็นว่า เม่ือพระราชกาหนดบริษัท
บริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 มาตรา 10 กาหนดว่า บริษัทบริหารสินทรัพย์อาจ
เรียกเก็บดอกเบี้ย จากลกู หนี้ตามสญั ญาเดมิ ได้ไมเ่ กินอัตราดอกเบ้ยี ตามสัญญา
เดิม ณ วนั ทรี่ บั โอนสินทรัพย์มา แต่โจทก์ไมม่ เี อกสารหลักฐานมาแสดงวา่ ในขณะที่
มีการโอนสินทรัพย์นั้น อัตราดอกเบี้ยผิดนัดตามสัญญาเดิมตามประกาศของ
ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชยการ จากัด (มหาชน) เป็นอัตราเท่าใด จึงมิอาจกาหนด
อัตราดอกเบ้ยี ผดิ นัดร้อยละ 16 ต่อปี ใหแ้ กโ่ จทกต์ ามขอได้ อย่างไรก็ตาม หนีต้ าม
สัญญากูเ้ งินดงั กล่าวเป็นหน้ีเงิน ซง่ึ ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชยการ จากัด (มหาชน)
สามารถคิดดอกเบ้ียตน้ เงินกู้ตามสัญญาได้ในอัตราร้อยละ 13.75 ต่อปี จึงพอถือ
ได้ว่าเป็นกรณีที่เจ้าหน้ีอาจเรียกดอกเบ้ียผิดนัดไดส้ ูงกว่าร้อยละเจ็ดคร่ึงต่อปีโดย
อาศัยเหตุอื่นอันชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่ งและพาณิชย์
มาตรา 224 จึงให้จาเลยในฐานะทายาทของนาย จ. ลูกหน้ี รับผิดในดอกเบ้ียผิด
นัดอัตราร้อยละ 13.75 ต่อปี นับแต่วันท่ี 18 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป จนกว่าจะ
ชาระเสร็จแกโ่ จทก์

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๙๒

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 2274/2563

แม้โจทก์ร่วมท่ี 1 เป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาจาเลยก่อน แต่เม่ือไม่ปรากฏ
พฤติการณ์อื่นใดว่าโจทก์ร่วมที่ 1 จะใช้อาวุธปืนยิงจาเลยก่อน ถือไม่ได้ว่ามี
ภยันตรายท่ีเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดตอ่ กฎหมาย และเป็นภยันตรายท่ีใกล้
จะถึง การที่จาเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมที่ 1 กับพวกหลายนัดในระยะไม่ไกล
ครั้นเม่ือโจทก์ร่วมที่ 1 กับพวกวิ่งหลบหนี จาเลยยังเดินตามไปใช้อาวุธปืนยิงซ้า
อกี หลายนัด พฤติการณเ์ ช่นน้ีจงึ ฟงั ไม่ได้วา่ ทีจ่ าเลยใช้อาวธุ ปนื ยิงเปน็ การป้องกัน
สิทธขิ องตน ใหพ้ ันภยันตรายซ่งึ เกิดจากการประทษุ ร้ายอันละเมดิ ตอ่ กฎหมายได้

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๙๓

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 2403/2563

ฎีกาของจาเลยเป็นการโต้แย้งคาวินิจฉัยของศาลช้ันต้นโดยคัดลอก
ขอ้ ความมาจากอทุ ธรณข์ องจาเลยทงั้ หมด ฎีกาของจาเลยคงมีการแกไ้ ขเฉพาะคา
ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นศาลฎีกา และมีเน้ือหาเพิ่ มเติมในตอนต้นว่า นาง อ.
ผู้ แ ทนโ ด ย ช อ บ ธ ร ร มข อ งผู้ เ สี ย หา ย ไ ม่ ไ ด้ พ า ผู้ เ สี ย หา ย ไ ป ร้ อ งทุ ก ข์ ต่ อ พ นั ก งาน
สอบสวนในทันทีทันใด เช่ือว่านาง อ. และผู้เสียหายมีเวลาปรุงแต่งเรื่องราวก่อน
ไปร้องทุกข์ ซ่ึงศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไว้แล้ว ฎีกาของ
จาเลยมิได้กล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อใดหรือตอนใดไม่
ถูกต้องอย่างไร และไม่เห็นด้วยกับคาพิ พากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เพราะเหตุใด
ทถ่ี ูกศาลอทุ ธรณ์ภาค 1 ควรวินจิ ฉัยอยา่ งไรและดว้ ยเหตผุ ลใด แม้จาเลยจะมีคาขอ
ท้ายฎีกาได้โปรดพิ พากษายกฟอ้ งโจทก์อันเป็นการกลับคาพิ พากษาศาลอุทธรณ์
ภาค 1 ก็ตาม ก็ไม่อาจถือเป็นคาคัดค้านคาพิ พากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฎีกาของ
จาเลยจึงเป็นฎีกาท่ีมิได้คัดค้านคาพิ พากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบด้วย
ประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความอาญา มาตรา 216 วรรคหนงึ่

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หนา้ | ๑๙๔

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 3136/2563

โจทก์มีร้อยตารวจเอก ส. เบิกความว่าจับกุมนาย จ. และนาย น.
พรอ้ มยดึ ได้เมทแอมเฟตามนี 14,000 เมด็ เปน็ ของกลาง นายจ. ใหก้ ารว่า จาเลย
วา่ จา้ งให้นาย จ. นาเมทแอมเฟตามีนดังกลา่ วไปส่งมอบแก่ลกู ค้า และมีร้อยตารวจ
เอก จ. เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า พยานได้รับมอบหมายให้ทาการสืบสวน
ขยายผล จึงเดินทางไปพบนาย จ. ท่ีสถานีตารวจภูธรหนองเสือเพื่อสอบปากคา
นาย จ. ใหก้ ารวา่ จาเลยเป็นผวู้ ่าจ้างนาย จ. ใหไ้ ปรับเมทแอมเฟตามนี ดังกล่าวเพื่อ
นาไปส่งมอบแก่ลูกค้า โดยหลังจากนั้นเมื่อพยานนาโทรศัพท์เคล่ือนท่ีของนาย จ.
มาตรวจสอบ พบว่ามีการสนทนาโดยใช้แอปพลิเคชันไลน์กับบุคคลซ่ึงปรากฏ
ภาพถ่ายและตัวหนังสือว่า ตะวัน พยานจึงนาภาพถ่ายดังกล่าวให้นาย จ. ดู นาย
จ. ชยี้ นื ยนั ว่าบคุ คลตามภาพถ่ายดังกล่าวคือจาเลย นอกจากนี้นาย จ. แจง้ วา่ นาย
จ. โอนเงินคา่ เมทแอมเฟตามีน ให้จาเลยโดยฝากเขา้ บัญชเี งินฝากของนางสาว พ.
และนาย จ. เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า พยานรู้จักจาเลยตั้งแต่ปี 2558
เน่ืองจากนารถไปซ่อมที่อู่ของจาเลย จากนั้นจาเลยชักชวนพยานให้จาหน่ายเมท
แอมเฟตามีน ก่อนเกิดเหตุคดีน้ี พยานจาหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามคาชักชวน
ของจาเลยมาแล้ว 2 คร้ัง ได้รับค่าจ้างจากจาเลยคร้ังละ 20,000 ถึง 30,000
บาท โดยจาเลยจะใช้โทรศัพท์เคลื่อนท่ีติดต่อพยาน แจ้งว่าให้ไปรับเมทแอมเฟตา
มีนที่ใด แล้วนาไปส่งมอบแก่ลูกค้าท่ีใด เช่นเดียวกับคดีนี้ สอดคล้องกับคาให้การ
ช้ันสอบสวนของนาย จ. และคาเบิกความของร้อยตารวจเอก ส. และร้อยตารวจ
เอก จ. แม้คาเบิกความของนาย จ. ดังกล่าว มีลักษณะเป็นการซดั ทอดในระหวา่ ง
ผู้ร่วมกระทาความผิดด้วยกันกับจาเลย แต่นาย จ. เบิกความถึงมูลเหตุในการ
กระทาความผิดประกอบคารับสารภาพ โดยมีรายละเอียดของบุคคลและสถานท่ีท่ี
เกย่ี วข้องกับการกระทาความผิดเป็นขั้นเป็นตอนตามลาดับซ่ึงล้วนแต่อยู่ในความรู้
เห็นของนาย จ. เป็นการเฉพาะตัว ท้ังไม่เป็นการปัดความรับผิดทั้งหมดให้เป็น
ความผิดของจาเลยแต่เพียงผู้เดียว คาเบิกความของนาย จ. จึงเป็นคาซัดทอดท่ี
มีเหตผุ ลอนั หนกั แนน่ ตามประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา มาตรา 227/1

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๙๕

คาพิ พากษาศาลฎกี าที่ 3136/2563 (ต่อ)

วรรคหน่ึง ประกอบพระราชบญั ญตั ิวธิ ีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา
3 จึงนามารับฟงั ประกอบพยานหลักฐานอ่ืนของโจทก์เพื่ อพิ สูจน์ความผิดของ
จาเลยได้ ร้อยตารวจเอก จ. เบิกความยืนยันว่า นาย จ. ให้ข้อมูลว่าผู้ว่าจ้างให้ไป
รับเมทแอมเฟตามีนของกลางชื่อ นาย อ. หรือ น. เปิดร้านประดับยนต์ชื่อ บ๊ิกออ
โต้เซอรว์ ิสอยู่ในซอยแสมดา 25 แขวงแสมดา เขตบางขุนเทยี น กรงุ เทพมหานคร
แ ล ะ ใ ช้ โ ท ร ศั พ ท์ เ ค ล่ื อ น ท่ี ห ม า ย เ ล ข 08 9913 xxxx, 06 1125 xxxx แ ล ะ
09 8461 xxxx และใช้แอปพลิเคชันไลน์ ชื่อ “ตะวัน” ในการติดต่อกับนาย จ.
เม่ือร้อยตารวจเอก จ. นาภาพถ่ายของบุคคลที่ปรากฏในแอปพลิเคชันไลน์ช่ือ
“ตะวัน” ในโทรศัพท์เคล่ือนที่ของนาย จ. ให้นาย จ. ดู นาย จ. ช้ียืนยันว่าคือ
ภาพถ่ายของนาย อ. หรือ น. ซึ่งว่าจ้างนาย จ. ให้ไปรับเมทแอมเฟตามีนของ
กลางแล้วนาไปส่งมอบแก่ลูกค้า ทาให้ร้อยตารวจเอก จ. สืบสวนจนทราบว่านาย
อ. หรอื น. คือจาเลยน้ันเอง โจทกย์ ังมีนางสาว พ. เป็นพยานเบกิ ความวา่ นาย อ.
เพ่ือนของพยานบอกใหพ้ ยานเปิดบัญชเี งินฝากพร้อมทาบัตรเอทีเอม็ แล้วจะไดร้ บั
ค่าตอบแทน โดยนาย อ. ให้หมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลช่ือ น. แก่พยาน และให้
พยานโทรศัพท์ติดต่อนาย น. เมื่อพยานเปิดบัญชีออมทรัพย์และทาบัตรเอทีเอ็ม
แล้ว ปรากฏว่าคนรับสายเปน็ ผู้ชายบอกให้พยานเพิ่มหมายเลขติดตอ่ ในแอปพลิเค
ชันไลน์ เม่ือพยานเพ่ิ มหมายเลขติดต่อแล้วมีรูปขึ้นมาท่ีหน้าจอโทรศัพท์เป็นรูป
ผูห้ ญิง สวมหมวกแก๊ปสนี ้าเงิน ใชช้ อ่ื โพรไฟลว์ า่ “ตะวัน” แล้วนาย น. ส่งข้อความ
มาทางแอปพลเิ คชันไลน์ ให้พยานส่งสมุดบัญชีเงินฝากและบัตรเอทีเอ็มไปให้ นาย
น. แจง้ ชื่อและทอ่ี ยใู่ นการจดั สง่ สมุดบญั ชเี งินฝากกับ บตั รเอทีเอม็ โดยให้สง่ ไปยัง
นาย ท. ท่ีอยู่ xxx หมู่บ้าน พ. ซอยบางกระด่ี 25 แขวงแสมดา เขตบางขุนเทียน
กรุงเทพมหานคร ซึ่งจาเลยให้การในชั้นสอบสวนรับว่ารูปผู้หญิงท่ีปรากฏบน
หนา้ จอโทรศพั ท์เปน็ รูปบุตรสาวของจาเลย และจาเลยเคยใช้ชอื่ โพรไฟล์วา่ “ตะวนั ”
ส่วนบุคคลท่ีช่ือ ท. เป็นน้องชายจาเลย เม่ือพิจารณารายการเคลื่อนไหวทางบญั ชี
เงนิ ฝากนางสาว พ. รับจา้ งจากจาเลย ปรากฏว่ามีการเคลอ่ื นไหวทางบญั ชีโดยมี

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๙๖

คาพิ พากษาศาลฎีกาที่ 3136/2563 (ต่อ)

รายการฝากเงินและถอนเงินหมุนเวียนกนั ในแต่ละวันหลายรายการ บางช่วงมีเงนิ
ในบญั ชีนบั แสนบาท การถอนเงนิ จากบญั ชีจะใช้บัตรเอทเี อ็มทกุ ครงั้ หลังจากนาย
จ. ถูกจับกุม บัญชีก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ส่อแสดงว่ามีการปกปิดซ่อนเรน้ ในการ
ทาธุรกรรมเกี่ยวกบั การโอนเงินค่ายาเสพติดกันระหว่างนาย จ. กับจาเลยจรงิ อีก
ทั้งการท่ีจาเลยใช้รูปบุตรสาวของจาเลยและช่ือโพรไฟล์ของจาเลย ในการติดต่อ
กับนางสาว พ. ตลอดจนแจ้งให้นางสาว พ. จัดส่งสมุดบัญชีเงินฝากกับบัตร
เอทีเอ็มไปยังน้องชายจาเลย และนาย น. หรือ ม. เป็นชื่อเดิมของจาเลย บ่งชี้ชัด
ว่าจาเลยเก่ียวข้องโดยเป็นผู้ว่าจ้างนางสาว พ. ให้เปิดบัญชีเงินฝากให้แก่จาเลย
เพ่ื อใช้ในการรับเงินที่ได้จากการจาหน่ายเมทแอมเฟตามีน พยานหลักฐานของ
โจทก์ท่ีนาสืบมามีน้าหนักมั่นคงรับฟงั ได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จาเลยกับนาย
จ. และนาย น. สมคบโดยการตกลงกันต้ังแต่สองคนข้ึนไปเพื่ อกระทาความผิด
เก่ียวกับยาเสพติดและได้มีการกระทาความผิดเก่ียวกับยาเสพติดเพราะเหตุท่ีได้มี
การสมคบกัน ทั้งร่วมกับนาย จ. และนาย น. มีเมทแอมเฟตามีน 14,000 เม็ด
ไว้ในครอบครองเพื่ อจาหน่าย

รายงานประจาปี ๒๕๖๓ หน้า | ๑๙๗


Click to View FlipBook Version