The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ntknight478, 2023-01-24 11:12:03

รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69

รวมบทความ Processdinga 69 ปี (24 ม.ค.66)

รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 1 “เปลี่ยนสู่วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใยดูแลทางสังคม” (Shifting to the Next Normal, Transforming the Delivery of Social Care) กองบรรณาธิการ รองศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธันยา รุจิเสถียรทรัพย์ บรรณาธิการ นางสาวสุวรี ปิ่นเจริญ กองบรรณาธิการ นางสาวสุธิมา วุฒิการ กองบรรณาธิการ นางสาวอรอนงค์ บุษราคัม กองบรรณาธิการ นางสาวพิมพ์ผกา งอกลาภ กองบรรณาธิการ ว่าที่ร้อยตรี อิทธิวัตร เงาศรี กองบรรณาธิการ คณะกรรมการพิจารณาบทความวิชาการภายในสถาบัน คณะกรรมการภายในสถาบัน 1. คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ประธานกรรมการ 2. รองศาสตราจารย์ ดร.พงษ์เทพ สันติกุล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 3. รองศาสตราจารย์ ดร.วรรณวดี พูลพอกสิน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 4. รองศาสตราจารย์ ดร.เพ็ญประภา ภัทรานุกรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 5. รองศาสตราจารย์ ดร.พิทยา สุวคันธ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 6. รองศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 7. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มาดี ลิ่มสกุล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 8. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภุชงค์ เสนานุช มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 9. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิฤมน รัตนะรัต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 10. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุขุมา อรุณจิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 11. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิ่นหทัย หนูนวล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 12. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิรพรรณ นฤภัทร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 13. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สิริยา รัตนช่วย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 14. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.มาลีจิรวัฒนานนท์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 15. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรุณี ลิ้มมณี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 16. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.กาญจนา รอดแก้ว มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 17. อาจารย์ ดร.ปรินดา ตาสี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 18. อาจารย์ ดร.พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 19. อาจารย์ ดร.วิไลลักษณ์อยู่สำราญ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 20. ดร.ขนิษฐา บูรณพันศักดิ์ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 2 คณะกรรมการพิจารณาบทความวิชาการภายนอกสถาบัน คณะกรรมการจากภายนอกสถาบัน 1. ศาสตราจารย์ศศิพัฒน์ ยอดเพชร ข้าราชการบำนาญ 2. ศาสตราจารย์ ดร.กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์ ข้าราชการบำนาญ 3. ศาสตราจารย์ ดร.นรินทร์ สังข์รักษา มหาวิทยาลัยศิลปากร 4. ศาสตราจารย์ ระพีพรรณ คำหอม สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ 5. รองศาสตราจารย์อภิญญา เวชยชัย ข้าราชการบำนาญ 6. รองศาสตราจารย์เล็ก สมบัติ ข้าราชการบำนาญ 7. รองศาสตราจารย์ ดร.จตุรงค์บุณยรัตนสุนทร มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ 8. รองศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ อมรสิริพงศ์ มหาวิทยาลัยมหิดล 9. รองศาสตราจารย์ ดร.นพพร จันทรนำชู มหาวิทยาลัยศิลปากร 10. รองศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช บวรสมพงษ์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทราวิโรฒ 11. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธีรพงศ์ เที่ยงสมพงษ์ มหาวิทยาลัยมหิดล 12. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เบญจวรรณ บุญโทแสง มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด 13. อาจารย์ ดร.ทิพาภรณ์โพธิ์ถวิล นักวิชาการอิสระ 14. อาจารย์ ดร.กฤตวรรณ สาหร่าย กรรมการ 15. ดร.โชคชัย สุทธาเวช สมาคมกฎหมายแรงงาน (ประเทศไทย) 16. ดร.สดใส คุ้มทรัพย์อนันต์ นักวิชาการอิสระ 17. ดร.ยศวดี อยู่สุข โรงพยาบาลจุฬาลงกร์ สภากาชาดไทย 18. ดร.สุชญา เฑียรแสงทอง มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 3 สารบัญ หน้า คำนำ 6 คำกล่าวรายงาน โดย คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ 7 คำกล่าวเปิดงาน โดย อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 9 กำหนดการ 10 บทความกิตติมศักดิ์ 1. วิถีปกติก้าวต่อไปเพื่อการปฏิรูปการดูแลทางสังคม กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์ 17 2. สร้างภาพลักษณ์ใหม่แก่สวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือ พงษ์เทพ สันติกุล 38 ห้องย่อยที่ 1: การดูแลทางสังคมในยุควิถีใหม่ 1. การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง: คำมั่นสัญญาแห่งการเปลี่ยนแปลงของSDGs เพื่อการเข้าถึง(ของ)คนชายขอบสังคม วรรณวดี พูลพอกสิน 49 2. บทบาทงานสังคมสงเคราะห์กับพหุลักษณ์ทางการแพทย์ในสังคมไทย สุขุมา อรุณจิต 66 3. การเปลี่ยนผ่านความหมาย “สังคมสงเคราะห์” ในสังคมไทย สุวรา แก้วนุ้ย 82 4. เทคโนโลยีสารสนเทศสู่การเปลี่ยนแปลงผ่านรูปแบบการดูแลทางสังคมในยุควิถีใหม่ บัณฑิตา เหลี่ยมศรีจันทร์, นันท์นภัส ปิ่นสุวรรณ, นาวิน บุญนำมา 95 5. การพัฒนานโยบายสังคมโดยใช้สวัสดิการเน้นการคุ้มครองในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการลุ่มน้ำสะแกกรัง นพดล ครุฑทอง 110 6. การจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม วชิราภรณ์ วรรณโชติ 120 7. การปรับตัวภายหลังการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนจากออนไลน์สู่การเรียนในห้องเรียนของนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต กาลัญญู เชื้อเมืองพาน, ฐิติมา ศรีสมบูรณ์, อาทิตยา หิรัญญาภรณ์ 143


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 4 หน้า ห้องย่อยที่ 2: การเสริมพลังความเข้มแข็งโดยครอบครัว กลุ่ม ชุมชน 1. รูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐานกับการสังคมสงเคราะห์บุคคลและครอบครัวเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก เคท ครั้งพิบูลย์ 162 2. แนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติของกรมกิจการสตรี และสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สัณหณัฐ ดีทองอ่อน, ปิ่นหทัย หนูนวล 180 3. ก้าวย่างการเรียนรู้การสื่อสารด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ในงานสังคมสงเคราะห์ของ “คลินิกวัยรุ่น” เพื่อบริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชน สุพิชชา การินทร์, มาลี จิรวัฒนานนท์ 195 4. การฟื้นคืนความเข้มแข็งของสตรีหม้ายภายใต้การหนุนเสริมของบริบทสังคมชายแดนใต้ กรณีศึกษาจังหวัดปัตตานี คุณานนท์ ยาแลหลา, ปาหนัน บัวสาม, ธันยา รุจิเสถียรทรัพย์ 212 5. การพัฒนาเครื่องมือ การติดตามหลังปล่อยตัวเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิด โดยใช้เทคนิคเดลฟาย ณัฎฐณิชา รอดพระ, ธันยา รุจิเสถียรทรัพย์ 232 6. ประสบการณ์การเรียนรู้การทำวิจัยทางสังคมสงเคราะห์ในการฝึกภาคปฏิบัติ ระดับปริญญาโท เพื่อพัฒนาแนวทางการบำบัดรักษาและการติดตามดูแลช่วยเหลือผู้ใช้ยาเสพติด พุธันวา มหาทรัพย์สมบัติ, มาลี จิรวัฒนานนท์ 245 7. การเตรียมความพร้อมในการเรียนออนไลน์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในจังหวัดจันทบุรี สุธาทิพย์ สถาพรอานนท์, วิไลลักษณ์ อยู่สำราญ 258 ห้องย่อยที่ 3: Studies on Vulnerable Communities in Thailand and the Sub-Mekong Region 1. Right to Nationality for Refugee Children (temporary Displace Person) in Thailand Nan Thu Zar Aung 274 2. Accessibility to The Rights of Children with disabilities in Thailand Kanokphan Amornmetakij 285 3. Thailand’s Education and the Emerging Disruption Bimvilai Sundararohita 296


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 5 หน้า คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการจัดงานวันสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ครบรอบ 69 ปี 308 คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประเมินผลงานวิชาการการจัดงานสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ครบรอบ 69 ปี 314 แบบประเมินประสิทธิผลและความพึงพอใจต่อการเข้าร่วมงานสัมมนาวิชาการ 317


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 6 คำนำ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดตั้งขึ้นโดยมติคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 11 มกราคม 2497 และได้มีพระราชบัญญัติจัดตั้งคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2497 โดยมี หลักการและเหตุผลว่า เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐอันเกี่ยวกับการประชาสงเคราะห์และการประกันสังคม และเพื่อ ส่งเสริมมาตรฐานการศึกษาในด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ การประกันสังคม และการประชาสัมพันธ์ อันเป็นวิทยาศาสตร์ทาง สังคม ให้เทียบเท่ามหาวิทยาลัยต่างประเทศ ดังนั้น คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ จึงถือเอาวันที่ 25 มกราคม เป็นวันสถาปนา คณะนับจากวันนั้นเป็นต้นมา ในวันพุธที่ 25 มกราคม 2566 นับเป็นเวลา 69 ปี แห่งการก่อตั้งคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ปัจจุบันคณะสังคม สงเคราะห์ศาสตร์ ได้ดำเนินการตามภารกิจการจัดการศึกษา การวิจัย การบริการสังคม การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และ การบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลภายใต้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ.2558 เพื่อเป็นการเผยแพร่ผลงานของคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เปิดการเรียนการสอนมา นานกว่า 69 ปี รวมทั้งหน่วยงานเครือข่าย และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ จึงมีโครงการจัดสัมมนา วิชาการ งานวันสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครบรอบ 69 ปี วันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2566 เรื่อง “เปลี่ยนสู่วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใยดูแลทางสังคม” (Shifting to the Next Normal, Transforming the Delivery of Social Care) ในวันพุธที่ 25 มกราคม 2566 เวลา 08.30-16.30 น. โดยในภาคเช้า มีรูปแบบการจัดงานแบบ Hybrid คือจัดงานในสถานที่ ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และออนไลน์ด้วยโปรแกรม Zoom ส่วนในภาคบ่าย จัดประชุมในระบบออนไลน์ ผ่านโปรแกรม Zoom การกำหนดหัวข้อในการสัมมนาดังกล่าว เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายมิติ เช่นการดูแลสุขภาพผ่านระบบเทคโนโลยี การจัดการศึกษาในรูปแบบออนไลน์ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของมนุษย์ผ่านการเรียนรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ภายหลังจากการที่ประชาชนได้เรียน รู้อยู่ในสังคมวิถีใหม่ (New Normal) แล้ว วิถีชีวิตถัดไป (Next Normal) เป็นรูปแบบการดำเนินชีวิต ทั้งวิธีคิด วิธีเรียนรู้ วิธีการสื่อสารที่มนุษย์คุ้นชินกับการใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อกลางในการมีปฏิสัมพันธ์ ในยุค Next Normal ยังคงให้ความสำคัญกับ การระมัดระวังและป้องกันตนเองเพื่อไม่ให้ไปสร้างปัญหาให้กับผู้อื่น เช่น การระวังตนเองไม่ไปพื้นที่เสี่ยงรับเชื้อ ไม่นำเชื้อไป แพร่กับคนอื่น หรือมีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการกักตัวเองในกรณีที่เดินทางในพื้นที่เสี่ยง Next Normal จึงเป็นรูปแบบ ชีวิตใหม่ของประชากรทุกกลุ่ม การสัมมนาวิชาการ งานวันสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ครบรอบ 69 ปีครั้งนี้ จะทำให้คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ หน่วยงานภาคีที่เข้าร่วม ได้รับความรู้ทางวิชาการและวิชาชีพ ทักษะการปฏิบัติงานกับกลุ่มเป้าหมาย อันจะเป็นแนวทางการพัฒนา งานสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคม ต่อไป รองศาสตราจารย์ ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 7 คำกล่าวรายงาน การสัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบปีที่69 ของการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง “เปลี่ยนสู่วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใยดูแลทางสังคม” (Shifting to the Next Normal, Transforming the Delivery of Social Care) โดย รองศาสตราจารย์ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันพุธที่25 มกราคม 2566 ************************************* เรียน อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รองศาสตราจารย์เกศินีวิฑูรชาติ ผู้บริหาร คณาจารย์ศิษย์เก่า นักศึกษา และ แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ในนามคณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์เกศินีวิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ได้ให้เกียรติมาเป็นประธานในการจัดงาน สัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบ ปีที่ 69 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในหัวข้อเรื่อง “เปลี่ยนสู่วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใย ดูแลทางสังคม” (Shifting tothe Next Normal,Transforming the Deliveryof Social Care)คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ปัจจุบัน เปิดการเรียนการสอนหลักสูตรระดับปริญญาตรี2 หลักสูตร ได้แก่ (1) หลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต (ทั้งศูนย์รังสิตและศูนย์ลำปาง) และ (2) หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขานโยบายสังคมและการพัฒนา (หลักสูตรนานาชาติ), ระดับปริญญาโท จำนวน 3 หลักสูตร ได้แก่ (1) หลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต (2) หลักสูตรพัฒนาชุมชน มหาบัณฑิต และ (3) หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต(สาขานโยบายสังคม), และระดับปริญญาเอก จำนวน 1 หลักสูตร ได้แก่ (1) หลักสูตรปรัชญาดุษฏีบัณฑิตสาขาวิชานโยบายสังคม ซึ่งในแต่ละปีเปิดรับนักศึกษารวมทุกหลักสูตรจำนวนกว่า 1,727 คน ในวาระครบรอบการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์69 ปีถือเป็นโอกาสอันดี ที่ศิษย์เก่า หน่วยงานภาคีเครือข่ายได้ร่วมเฉลิมฉลอง และร่วมแบ่งปันความรู้ทางวิชาการในพื้นที่ของศาสตร์สังคมสงเคราะห์ และสหศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในโอกาสสำคัญของคณะฯ งานจัดขึ้นภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ประกาศ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ให้ยกเลิกโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากการเป็นโรคติดต่ออันตรายและกำหนดให้เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง คณะฯ ได้ตระหนักถึงความห่วงใยดูแลทางสังคม จึงขอให้ผู้เข้าร่วมงานทุกท่านสวมใส่หน้ากากอนามัย ก่อนกำหนดการสัมมนาวิชาการในช่วงเช้า มีพิธีสงฆ์และสักการะสิ่งศักดิ์ สิทธิเพื่อความเป็นสิริมงคลของคณะฯ คณาจารย์บุคลากร และนักศึกษา การจัดงานการสัมมนาวิชาการครั้งนี้ในหัวข้อเรื่อง “เปลี่ยนสู่วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใยดูแลทางสังคม” เป็นวาระครบรอบการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์69 ปีในวันพุธที่ 25 มกราคม 2566 จัดขึ้น ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์และออนไลน์ด้วยโปรแกรม Zoom การจัดงานประกอบด้วยองค์ปาฐกถาชาวต่างประเทศซึ่งคณะฯได้รับเกียรติ จำนวน 2 ท่าน บรรยายในหัวเรื่อง “Shifting to the Next Normal, Transforming the Delivery of Social Care” ได้แก่ 1) Mr. Renaud Meyer ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNDP) 2) Associate Professor Dr. Jowima Reyes Secretary of Asian and Pacific Association for Social Work Education (APASWE)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 8 ในช่วงเวลาต่อจากการปาฐกถา เป็นการเสนาวิชาการ ในหัวเรื่อง “เปลี่ยนสู่วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใยดูแล ทางสังคม” โดยคณะได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียงชาวไทย จำนวน 2 ท่าน 1) นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 2) นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ช่วงสุดท้ายของภาคเช้า คั่นด้วยการแสดงงิ้วแห่งคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์เรื่อง “หลิงอู่คู่แดนโดม” ก่อนพิธีมอบ โล่รางวัลและทุนการศึกษา สำหรับการจัดงานภาคบ่าย มีการนําเสนอผลงานวิชาการ (ห้องย่อย) จากนักวิชาการ คณาจารย์และนักศึกษา จำนวน 17 เรื่อง ที่ได้รับการคัดเลือกให้นำเสนอภายใต้ห้องย่อยจำนวน 3 ห้อง ทั้งนี้ห้องย่อยที่ 4 เป็นเวทีเสวนาวิชาการ จัดโดย สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ผู้เข้าการภาคบ่ายทุกท่านสามารถลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์โปรแกรม Zoom โดยมี หัวข้อเรื่อง เสวนาวิชาการ ได้แก่ 1. ห้องที่ 1: การดูแลทางสังคมในยุควิถีใหม่จำนวน 7 เรื่อง 2. ห้องที่ 2: การเสริมพลังความเข้มแข็งโดยครอบครัว กลุ่ม ชุมชน จำนวน 7 เรื่อง 3. ห้องที่3:StudiesonVulnerable Communities inThailand and theSub-MekongRegionจำนวน 3เรื่อง 4. ห้องที่ 4: Social Telecare กับการดูแลกลุ่มเปราะบางทางสังคมในระบบสุขภาพปฐมภูมิ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มีวิสัยทัศน์ที่จะ “ผู้นำทางวิชาการและวิชาชีพระดับโลกเพื่อ ประชาชน” ซึ่งการบรรลุเป้าหมายนี้ต้องอาศัยการสั่งสมองค์ความรู้ประสบการณ์และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากภาคี เครือข่าย เพื่อให้เห็นตัวแบบและทิศทางของการสร้างนวัตกรรมทางสังคมในหลากหลายมิติเพื่อการสร้างและพัฒนางานวิจัย และองค์ความรู้สู่นวัตกรรมทางสังคมที่ตอบสนองความต้องการของชุมชน ท้องถิ่น และสังคม ต่อไป สุดท้ายนี้ดิฉัน ขอขอบพระคุณภาคีเครือข่าย คณาจารย์และเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่มีส่วนช่วยให้งานครั้งนี้เกิดขึ้น และ ที่สำคัญคือขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานในครั้งนี้และให้เกียรติร่วมเป็นคณะกรรมการประเมิน คุณภาพผลงานวิชาการในครั้งนี้อีกด้วย บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ดิฉัน ขอเรียนเชิญรองศาสตราจารย์เกศินีวิฑูรชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้เกียรติกล่าวต้อนรับแขกท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน และ ให้เกียรติกล่าวเปิดงานสัมมนาใน วันนี้ด้วย ขอบพระคุณค่ะ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 9 คำกล่าวเปิดงาน การสัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสครบรอบปีที่69 ของการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง “เปลี่ยนสู่วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใยดูแลทางสังคม” (Shifting to the Next Normal, Transforming the Delivery of Social Care) โดย อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(รองศาสตราจารย์เกศินีวิฑูรชาติ) วันพุธที่25 มกราคม 2566 ************************************* เรียน คณบดี(รองศาสตราจารย์ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน) และ แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ดิฉัน รองศาสตราจารย์เกศินีวิฑูรชาติ(อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)รู้สึกเป็นเกียรติที่คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เชิญเป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนาวิชาการ เนื่องในโอกาสสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ครบรอบ 69 ปีเรื่อง“เปลี่ยนสู่ วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใยดูแลทางสังคม”“Shifting tothe Next Normal,Transforming the Deliveryof Social Care” ในวันพุธที่ 25 มกราคม 2566 ดิฉันขอแสดงความชื่นชมยินดีกับท่านผู้บริหารและบุคลากรของคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ในโอกาสวันสถาปนาคณะฯ ที่ยืนยาวมาครบ 69 ปีและขอแสดงความยินดีกับผู้ที่มีรายชื่อได้รับรางวัลดีเด่นในด้านต่างๆ มา ณ โอกาสนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ได้มีบทบาทสำคัญในการนำองค์ความรู้ทางวิชาการและ วิชาชีพในด้านสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคมมาส่งเสริม ป้องกัน แก้ไข และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนและ สังคมไทยมาโดยตลอด อันจะเห็นได้จากความร่วมมือร่วมใจกันระหว่างคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์กับหน่วยงานภาคีทั้งใน องค์กรในประเทศ และองค์กรณ์ต่างประเทศ ที่ได้แลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์มาประยุกต์ใช้ในการแก้ไขปัญหา ทางสังคมทั้งเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติการ ท่ามกลางสถานการณ์ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วยดีเสมอมา เช่น การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในประเด็นกลุ่มเป้าหมายทางสังคมที่คณะฯ มีความเชี่ยวชาญ การจัดฝึกอบรมและโครงการต่างๆ ที่ส่งเสริม พัฒนาศักยภาพ บุคลากรและเครือข่ายวิชาชีพ ที่เกี่ยวข้อง ในการนำไปปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาทางสังคม ด้วย แนวคิดและนวัตกรรมทางสังคมใหม่ๆ การศึกษาวิจัยเพื่อตอบโจทย์จากสถานการณ์ในมิติทางด้านสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ การช่วยเหลือสังคม และการส่งนักศึกษาเข้าไปฝึกภาคปฏิบัติในหน่วยงานต่างๆ ทั้งองค์กรภาครัฐ และเอกชน (NGOs) ที่จะ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ในสถานการณ์จริง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนมีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาและพัฒนากลุ่มเป้าหมายใน ทุกมิติยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง นำไปสู่สังคมที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง ซึ่งนับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะ ก่อให้เกิดการพัฒนาความร่วมมือและเสริมสร้างเครือข่ายในด้านการศึกษาและวิจัยร่วมกันทั้งในปัจจุบันและอนาคต ดิฉัน เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์จะยังคงมุ่งมั่นที่จะนำองค์ความรู้ประสบการณ์และงานวิจัยต่างๆ ไปต่อ ยอด ก่อให้เกิดพลังขับเคลื่อนและนวัตกรรมทางสังคมที่สามารถแก้ไขปัญหา รวมถึงพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนและ สังคมส่วนรวมต่อไป บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ดิฉันขอเปิดงานสัมมนาวิชาการ เนื่องในโอกาสวันสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครบ 69 ปีเรื่อง “เปลี่ยนสู่วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใยดูแลทางสังคม” ได้ณ บัดนี้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 10 กำหนดการสัมมนาทางวิชาการ เนื่องในโอกาสวันสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครบรอบ 69 ปี เรื่อง “เปลี่ยนสู่วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใยดูแลทางสังคม” (Shifting to the Next Normal, Transforming the Delivery of Social Care) วันพุธที่25 มกราคม 2566 เวลา 08.30-16.30 น. ----------------------------------------------- ภาคเช้า การสัมมนาวิชาการ ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์และออนไลน์ด้วยโปรแกรม Zoom เวลา 08.30 - 08.50 น. พิธีเปิดการสัมมนา - คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ กล่าวรายงาน - อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเปิดงาน เวลา 08.50 - 09.50 น. Keynote Speaker เรื่อง “Shifting to the Next Normal, Transforming the Delivery of Social Care” โดย 1) Mr.Renaud Meyerผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UNDP) 2) Associate Professor Dr. Jowima Reyes Secretary of Asian and Pacific Association for Social Work Education (APASWE) ผู้ดำเนินรายการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.อรุณีลิ้มมณี เวลา 09.50 - 10.50 น. เสวนาวิชาการ เรื่อง“มาตรการสนับสนุนและฟื้นฟูภายหลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19” (Post COVID-19 Resilience and Supporting Measures) วิทยากร 1) นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 2) นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ผู้ดำเนินรายการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.อรุณีลิ้มมณี Meeting ID: 915 1999 9028 Passcode: 250166


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 11 เวลา 10.50 - 11.20 น. การแสดงงิ้วแห่งคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์เรื่อง “หลิงอู่คู่แดนโดม” เวลา 11.20 - 12.00 น. มอบโล่รางวัล และทุนการศึกษา 1) รางวัลนักวิจัยดีเด่น, รางวัลเชิดชูเกียรตินักวิจัยที่มีผลงานวิชาการที่ตีพิมพ์เผยแพร่ ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ,การแสดงความยินดีกับคณาจารย์ที่ได้รับการแต่งตั้ง ให้ดำรงตำแหน่งทางวิชาการ และรางวัลบุคลากรดีเด่น ประจำปีพ.ศ.2565 2) รางวัลศิษย์เก่าดีเด่น, รางวัลนักศึกษาดีเด่น, ทุนการศึกษา เวลา 12.00 - 12.30 น. การแสดงดนตรีRelaxingMusicโดยSocWorkBand วงดนตรีประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ผู้ดำเนินรายการภาคเช้า 1) นางสาวภัทรธิราภรณ์เสนานุช นักศึกษาหลักสูตรสังคมสงคราะห์ศาสตร์บัณฑิต 2) นางสาวพิมพ์วิไลสุนทรโรหิต นักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสังคมและการพัฒนา (SPD) หลักสูตรนานาชาติ ภาคบ่าย การนำเสนอผลงานวิชาการและเสวนาวิชาการออนไลน์ด้วยโปรแกรม Zoom เวลา 13.30 - 16.30 น. การนำเสนอผลงานวิชาการและเสวนาวิชาการออนไลน์ด้วยโปรแกรม Zoom (จะมีรายละเอียดในแต่ละห้องย่อยแนบอีกครั้ง) ห้องย่อยที่1: การนำเสนอผลงานวิชาการเรื่อง“การดูแลทางสังคมในยุควิถีใหม่” ผู้ดำเนินรายการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รณรงค์จันใด ห้องย่อยที่ 2: การนำเสนอผลงานวิชาการเรื่อง “การเสริมพลังความเข้มแข็งโดยครอบครัวกลุ่ม ชุมชน” ผู้ดำเนินรายการ อาจารย์ดร.พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์ Meeting ID: 913 2400 2477 Passcode: R001 Meeting ID: 941 2430 6145 Passcode: R002


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 12 ห้องย่อยที่ 3: การนำเสนอผลงานวิชาการเรื่อง “Studies on Vulnerable Communities in Thailand and the Sub-Mekong Region” ผู้ดำเนินรายการ Ajarn Pred Evans ห้องย่อยที่ 4: ห้องเสวนาวิชาการเรื่อง“Social Telecareกับการดูแลกลุ่มเปราะบางทางสังคมในระบบ สุขภาพปฐมภูมิ” จัดโดย สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ ผู้ดำเนินรายการ คุณพลกฤษณ์เพ็ชรหาญ หมายเหตุ 1) กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม 2) การนำเสนอผลงานวิชาการและการเสวนาวิชาการออนไลน์ในภาคบ่าย จะมีรายละเอียดในแต่ละห้องย่อย แนบอีกครั้ง 3) ขอความกรุณาผู้เข้าร่วมงานออนไลน์ลงทะเบียนทาง Google Form และใช้ID ที่เป็นชื่อ-นามสกุลจริง หรือ ชื่อที่สามารถอ้างอิง ในการเข้ารหัสสัมมนาออนไลน์เพื่อการนับหน่วยคะแนนการศึกษาต่อเนื่องสำหรับ ผู้ประกอบวิชาชีพสังคมสงเคราะห์รับอนุญาต 4) ผู้จัดงานเตรียมล่ามแปลภาษาผ่านระบบ Zoom ขอให้ผู้เข้าร่วมงานจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการฟังมาเอง 5) กรณีต้องการคำแนะนำในการเข้าร่วมสัมมนาออนไลน์โปรดติดต่อที่ โทร.02-6965512 (อัสวิน สังข์ทอง, อิทธิวัตร เงาศรี) ในวันและเวลาราชการ หรือผ่านช่องทาง Facebook: @socwork.tu Meeting ID: 943 8128 9333 Passcode: R004 Meeting ID: 920 2353 1269 Passcode: R003


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 13 ห้องย่อยที่ 1: การดูแลทางสังคมในยุควิถีใหม่ ผู้ดำเนินการอภิปราย: ผู้ช่วยศาสตราจารย์รณรงค์ จันใด เจ้าหน้าที่ประสานงานประจำห้องย่อย: 1. นางสาวอุษณีย์ น้อยอยู่นิตย์ และ 2. นางสาวจุฬารัฎ เมืองโครต Meeting ID: 913 2400 2477 Passcode: R001 ที่ กำหนดการ นำเสนอ ชื่อบทความ ผู้นำเสนอ 1 13.30-13.55 น. การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง: คำมั่นสัญญาแห่งการเปลี่ยนแปลงของ SDGs เพื่อการเข้าถึง(ของ)คนชายขอบสังคม รศ.ดร. วรรณวดี พูลพอกสิน 2 13.55-14.20 น. บทบาทงานสังคมสงเคราะห์ในพหุลักษณ์ทางการแพทย์ใน สังคมไทย ผศ.ดร. สุขุมา อรุณจิต 3 14.20-14.45 น. การเปลี่ยนผ่านความหมาย “สังคมสงเคราะห์” ในสังคมไทย คุณสุวรา แก้วนุ้ย 4 14.45-15.10 น. เทคโนโลยีสารสนเทศสู่การเปลี่ยนแปลงผ่านรูปแบบการดูแล ทางสังคมในยุควิถีใหม่ คุณนันท์นภัส ปิ่นสุวรรณ์และคณะ 5 15.10-15.35 น. การพัฒนานโยบายสังคมโดยใช้สวัสดิการเน้นการคุ้มครองใน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการลุ่มน้ำสะแกกรัง ดร.นพดล ครุฑทอง 6 15.35-16.00 น. การจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัด มหาสารคาม คุณวชิราภรณ์ วรรณโชติ 7 16.00-16.25 น. การปรับตัวภายหลังการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนจากออนไลน์สู่ การเรียนการสอนในห้องเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต คุณกาลัญญู เชื้อเมืองพาน และคณะ หมายเหตุ: 1. ผู้นำเสนอผลงานวิชาการเข้าร่วมผ่านโปรแกรม Zoom การนำเสนอท่านละ 25 นาที โดยเป็นแบ่งการนำเสนอ 15 นาที และซักถามแลกเปลี่ยน 10 นาที ประกาศรายชื่อผลงานวิชาการที่ได้รับการคัดเลือกให้นำเสนอ ในงานสัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ วันพุธที่ 25 มกราคม 2566 เวลา 13.30-16.30 น. การนำเสนอออนไลน์ โปรแกรม Zoom Cloud Meeting มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครบรอบ 69 ปี หัวข้อ “เปลี่ยนสู่วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใยดูแลทางสังคม”


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 14 ห้องย่อยที่ 2: การเสริมพลังความเข้มแข็งโดยครอบครัว กลุ่ม ชุมชน ผู้ดำเนินการอภิปราย: อาจารย์ ดร.พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์ เจ้าหน้าที่ประสานงานประจำห้องย่อย: 1. นางสาวสุธิมา วุฒิการ และ 2. นางสุนันทา สาระบุตร Meeting ID: 941 2430 6145 Passcode: R002 ที่ กำหนดการ นำเสนอ ชื่อบทความ ผู้นำเสนอ 1 13.30-13.55 น. รูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐานกับการสังคมสงเคราะห์บุคคลและ ครอบครัวเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก อ.เคท ครั้งพิบูลย์ 2 13.55-14.20 น. แนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่ การปฏิบัติของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คุณสัณหณัฐ ดีทองอ่อน 3 14.20-14.45 น. ก้าวย่างการเรียนรู้การสื่อสารด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ในงาน สังคมสงเคราะห์ของ “คลินิกวัยรุ่น” เพื่อบริการสุขภาพที่เป็นมิตร สำหรับวัยรุ่นและเยาวชน คุณสุพิชชา การินทร์ 4 14.45-15.10 น. การฟื้นคืนความเข้มแข็งของสตรีหม้ายภายใต้การหนุนเสริมของ บริบทสังคมชายแดนใต้ กรณีศึกษาจังหวัดปัตตานี คุณคุณานนท์ยาแลหลา และคณะ 5 15.10-15.35 น. การพัฒนาเครื่องมือการติดตามหลังปล่อยตัวเด็กและเยาวชนที่ กระทำผิด โดยใช้เทคนิคเดลฟาย ว่าที่ ร.ต.หญิงณัฏฐณิชา รอดพระ 6 15.35-16.00 น. ประสบการณ์การเรียนรู้การทำวิจัยทางสังคมสงเคราะห์ในการฝึก ภาคปฏิบัติ ระดับปริญญาโท เพื่อพัฒนาแนวทางการบำบัดรักษา และการติดตามดูแลช่วยเหลือผู้ใช้ยาเสพติด คุณพุธันวา มหาทรัพย์สมบัติ 7 16.00-16.25 น. การเตรียมความพร้อมในการเรียนออนไลน์ของนักเรียนระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในจังหวัดจันทบุรี คุณสุธาทิพย์สถาพรอานนท์ หมายเหตุ: ผู้นำเสนอผลงานวิชาการเข้าร่วมผ่านโปรแกรม Zoom การนำเสนอท่านละ 25 นาที โดยเป็นแบ่งการนำเสนอ 15 นาที และซักถามแลกเปลี่ยน 10 นาที ประกาศรายชื่อผลงานวิชาการที่ได้รับการคัดเลือกให้นำเสนอ ในงานสัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ วันพุธที่25 มกราคม 2566 เวลา 13.30-16.30 น. การนำเสนอออนไลน์ โปรแกรม Zoom Cloud Meeting มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครบรอบ 69 ปี หัวข้อ “เปลี่ยนสู่วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใยดูแลทางสังคม”


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 15 Room 3: Studies on Vulnerable Communities in Thailand and the Sub-Mekong Region Moderato: Ajarn Pred Evans Room Co ordinator: 1. Miss Sakoonrat Woothichai and 2. Miss Onwanya Suarngkhawathim Meeting ID: 920 2353 1269 Passcode: R003 ที่ กำหนดการ นำเสนอ ชื่อบทความ ผู้นำเสนอ 1 13.30-13.55 น. Rights to Citizenship for Refugee Children (temporary Displace Person) in Thailand Nan Thu Zar Aung 2 13.55-14.20 น. Accessibility to The Rights of Disabled Children in Thailand Kanokphan Amornmetakij 3 14.20-14.45 น. Thailand Education and the Emerging Disruption Bimvilai Sundararohita Present 15 minutes and Q & A 10 minutes ประกาศรายชื่อผลงานวิชาการที่ได้รับการคัดเลือกให้นำเสนอ ในงานสัมมนาทางวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ วันพุธที่ 25 มกราคม 2566 เวลา 13.30-16.30 น. การนำเสนอออนไลน์ โปรแกรม Zoom Cloud Meeting มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครบรอบ 69 ปี หัวข้อ “เปลี่ยนสู่วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใยดูแลทางสังคม”


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 16 บทความกิตติมศักดิ์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 17 วิถีปกติก้าวต่อไปเพื่อการปฏิรูปการดูแลทางสังคม A Path to Next Normal for Social Care Reform กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์1 Kitipat Nontapattamadul2 Abstract It is still unclear when the COVID-19 pandemic will come to an end. The new normal has been realized that it will lose its efficiency in coping with the uncertainty of the pandemic. The next normal is constructed to replace the new normal in order to strategically and proactively overcome the current disaster. Social care systems also are affected by the pandemic. Many scholars suggested a changing path for the social care systems to move forward to the next normal by applying 5 stages: (1) Resolve, (2) Resilience, (3) Return), (4) Reimagination, and (5) Reform. In addition, it is necessary to change traditional values of social care systems into the next normal by unlocking 6 ways of social care values: (1) Invest early and holistically, (2) Make data and evidence actionable, (3) Put the client at the very center, (4) Strengthen family and community-based support networks, (5) Invest in outcomes, and (6) Focus resources on what works and based on feedback from clients and families. It is also important to reform Post - COVID leadership with 4 humanizing principles: (1) Promoting individual’s human dignity, (2) Respect for the individual, their rights, and organizational justice, (3) Care for others and balance service and needs, and (4) Concern for the common good over individual interests. It is crystal clear that a social care system is not band-aid. It relates closely to social welfare in the next normal era which turns into decommodification of health and welfare, universal coverage, and emphasizing diversity and inclusive of services. Keywords: Social care systems, The next normal, Reform บทคัดย่อ สถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ไม่มีทีท่าจะจบสิ้นลงไป วิถีปกติใหม่ (The New Normal) เป็นที่ตระหนัก ว่าไม่เพียงพอต่อการเผชิญกับความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาด วิถีปกติก้าวต่อไป (The Next Normal) จึงเกิดขึ้น เพื่อหวัง ผลในเชิงกลยุทธ์ที่จะรับมือและรุกเอาชนะกับภัยพิบัติที่คุกคามมนุษย์ในปัจจุบัน ระบบการดูแลทางสังคม (social care system) ได้รับผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าวเช่นกัน นักวิชาการหลายท่านได้นำเสนอการปฏิรูประบบการดูแลทางสังคมเพื่อให้ สามารถเผชิญกับภาวะวิกฤตได้ดีขึ้น การก้าวข้ามโคโรน่าไวรัสเป็นหนทางของการมุ่งสู่วิถีปกติก้าวต่อไปจำเป็นต้องดำเนินการ ใน 5 ขั้นตอน ได้แก่ (1) การแก้ไขปัญหา (Resolve) (2) การฟื้นคืนความเข้มแข็ง (Resilience) (3) การกลับคืน (Return) (4) การจินตนาการใหม่ (Reimagination) และ (5) การปฏิรูป (Reform) นอกจากนั้น การเปลี่ยนแปลงคุณค่าแบบเดิมของ ระบบการดูแลทางสังคม จำเป็นต้องมีการปลดล๊อกหรือแนวทางการเปลี่ยนผ่านคุณค่าการดูแลทางสังคมในยุควิถีปกติ ก้าวต่อไป 6 แนวทาง ได้แก่ (1) การลงทุนงบประมาณในระบบการดูแลทางสังคมแบบองค์รวมตั้งแต่เนิ่นๆ (2) การจัดให้มี 1 ศาสตราจารย์ ดร. อดีตอาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ประเทศไทย E-mail: [email protected] 2 Professor Dr. Former Lecturer Faculty of Social Administration, Thammasat, Thailand.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 18 ฐานข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ที่นำไปปฏิบัติได้(3) การจัดให้ผู้ใช้บริการเป็นศูนย์กลางความสำคัญ (4) การสร้าง ความเข้มแข็งให้เครือข่ายการสนับสนุนที่เน้นครอบครัวและชุมชนเป็นฐาน (5) การลงทุนในผลลัพธ์และ (6) การรวมศูนย์ไปที่ ทรัพยากรที่ได้ผลและการสะท้อนป้อนกลับของผู้ใช้บริการและครอบครัว แนวคิดที่ยังมีความสำคัญอีกชุดหนึ่ง ได้แก่ การปฏิรูปภาวะผู้นำในยุคหลัง COVID-19 นักวิชาการได้เสนอหลักการการกระทำการเชิงมนุษย์นิยมในภาวะผู้นำ 4 หลักการ ได้แก่ (1) หลักการส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของแต่ละบุคคล (2) หลักการให้ความเคารพนับถือในบุคคล สิทธิของบุคคล และความยุติธรรมในองค์กร (3) หลักการดูแลผู้อื่นและสร้างสมดุลระหว่างการบริการกับความต้องการ และ (4) หลักการยึดใน ประโยชน์ส่วนรวมต้องอยู่เหนือผลประโยชน์ส่วนบุคคล เมื่อวิเคราะห์ให้ชัดเจน เราจะเห็นว่า ระบบการดูแลทางสังคมไม่ใช่ การสงเคราะห์ชั่วครั้งคราว มีความสัมพันธ์กับการจัดสวัสดิการสังคมในยุควิถีปกติก้าวต่อไปที่หันมาลดความเป็นสินค้าของ สุขภาพและสวัสดิการ เน้นการบริการแบบถ้วนหน้าให้กับประชาชน รวมทั้งให้ความสำคัญกับความหลากหลายและไม่แบ่งแยก กีดกัน คำสำคัญ: ระบบการดูแลทางสังคม, วิถีปกติก้าวต่อไป, การปฏิรูป คำนำ การแพร่ระบาดของ COVID-19 สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อชีวิตของมนุษย์แทบทุกประเทศในโลก อุบัติการณ์ ของโรคทำให้แบบแผนการดำรงชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป การเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย การฉีดวัคซีน การทำงานที่บ้าน การประชุมออนไลน์ การเรียนออนไลน์และการเรียนทางไกล การซื้อขายออนไลน์ แม้กระทั่ง การแสดง การทักทายกับคนอื่นๆ การใช้ชีวิตในสาธารณะ ฯลฯ สิ่งที่เกิดขึ้นในสามปีที่ผ่านมา ทำให้มีคำเรียกปฏิบัติการในชีวิตประจำวัน เหล่านี้ว่า วิถีปกติใหม่ (New Normal) อย่างไรก็ตาม อุบัติการณ์ของ COVID-19 ไม่ได้เลือนหายไป ทว่า เชื้อไวรัสกลายพันธุ์ ไปอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงระลอกที่สอง อาการของโรคเป็นความรุนแรงอย่างมากและความไวในการติดเชื้อ ก็ติดกันได้ง่ายอย่างที่สุด ผู้คนล้มตายกันขนาดเก็บศพกันไม่ทัน แม้ว่า ในช่วงระลอกระยะหลัง การกลายพันธุ์คลี่คลายไปใน ระดับหนึ่ง ความรุนแรงของโรคอาจจะน้อยลง แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่า มนุษย์จะสามารถขจัด COVID-19 ให้หายไป กลายเป็นว่า วิถีปกติใหม่ยังไม่เพียงพอกับการปฏิบัติการของมนุษย์ในการพยายามจัดการกับ COVID-19 และผลกระทบของการแพร่ ระบาด วิถีปกติใหม่ หรือ New Normal เหมือนจะไม่เป็นการพอเพียงต่อการเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า คำศัพท์คำใหม่ คือ วิถีปกติก้าวต่อไป (Next Normal) จึงกำเนิดขึ้น วิถีปกติก้าวต่อไปสื่อให้เห็นนัยในเชิงการให้ความหวังและการตระหนักใน ความสำคัญของการพยายามควบคุมสถานการณ์ให้ได้มากที่สุด ระบบการดูแลทางสังคม (social care system) ได้รับ การเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงให้รับกับสถานการณ์ปัญหาและความต้องการของประชาชน แม้ว่า การดูแลทางสังคมจะมี ปฏิบัติการที่แตกต่างกันอย่างมากในบรรดาประเทศต่างๆ ในประชาคมโลกมีเอกสารทางวิชาการที่อภิปรายในประเด็น การเปลี่ยนแปลงของระบบการดูแลทางสังคมและวิถีปกติก้าวต่อไปอย่างมากมาย ระบบการดูแลทางสังคม การดูแลทางสังคม หรือในภาษาอังกฤษตรงกับคำว่า social care นั้น มีความหมายครอบคลุมการดูแลและการให้ ความช่วยเหลือบุคคลในทุกรูปแบบ และถึงแม้ว่า ในบางโอกาส การดูแลทางสังคมจะเชื่อมโยงผูกติดกับสถานการณ์ทาง การแพทย์และมีความสำคัญเทียบได้เท่าๆ กับการดูแลสุขภาพ (วรรณลักษณ์ เมียนเกิด, 2559, น. 154; Robertson, Gregory & Jabbal, 2014) ทว่า โดยพื้นฐานแล้ว การดูแลทางสังคมมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนปัจเจกบุคคลในหนทางที่ทำให้ บุคคลนั้นสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างมีอิสระ ในขณะที่การดูแลสุขภาพอาจจะเชื่อมโยงกับแพทย์ในโรงพยาบาล หรือการผ่าตัดศัลยกรรมต่างๆ ทั้งนี้การดูแลทางสังคมมักจะเป็นการจัดการดูแลบุคคลที่บ้านหรือที่ที่จัดให้มีบริการพิเศษเป็น


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 19 การเฉพาะ ไม่ใช่เพียงแค่บริการในโรงพยาบาล ทว่า การดูแลทางสังคมคือระบบเปิดออกไปสู่สังคมกว้าง แม้จะมีความเชื่อมโยง กับการดูแลสุขภาพในโรงพยาบาลและในหน่วยงานอื่นๆ การดูแลทางสังคมเป็นคำศัพท์ที่หมายถึงชุดการจัดบริการสาธารณะที่จัดเป็นบริการทางสังคมให้กับบุคคลและชุมชน การดูแลทางสังคมมีความครอบคลุมกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง อาทิ การดูแลเด็ก (child care) สวัสดิการเด็ก (child welfare) และบริการสำหรับบุคคลที่มีความพิการทางร่างกาย จิตใจและพัฒนาการ ครอบคลุมไปถึงการจัดบริการสำหรับคนไร้บ้าน หญิงที่แสวงหาที่พักพิงจากภัยการกระทำความรุนแรง การบริการสำหรับกลุ่มประชาชน LGBTQQ บริการสำหรับเยาวชน บริการสำหรับบุคคลที่มีภาวะเสพติด บริการสำหรับครอบครัว บริการสำหรับผู้อพยพ บริการสำหรับผู้สูงอายุ และบริการ สำหรับคนในชุมชนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษต่างๆ รวมไปถึงบริการสำหรับคนยากจนหรือคนที่กำลังจะกลายเป็น คนยากจน (Moscovitch & Thomas, 2018) บูรณาการการดูแลทางสังคมให้เป็นหนึ่งเดียวกับการดูแลสุขภาพ การดูแลทางสังคมเป็นคำที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศที่มีรายได้สูงและมีรัฐสวัสดิการ อย่างเช่นสวีเดนและส หราชอาณาจักร เป็นอาทิ ส่วนประเทศที่เน้นการค้าเสรีอย่างเข้มข้นแบบสหรัฐอเมริกา การดูแลทางสังคมยังไม่เป็นที่สนใจของ ผู้มีอำนาจกำหนดนโยบายสาธารณะมากนัก (Haseltine, 2019) โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลทางสังคมในฟากฝั่ง ยุโรป อย่างไรก็ตาม ไม่นานมานี้ มีรายงานของหน่วยงานวิชาการแห่งชาติด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์และการแพทย์ ของสหรัฐอเมริกา (National Academies of Sciences Engineering, and Medicine) ที่เสนอให้มีการบูรณาการการดูแล ทางสังคมเข้าไปในการบริการสุขภาพแห่งชาติ (Integrating Social Care into the Delivery of Health Care: Moving Upstream to Improve the Nation's Health) ทั้งนี้ มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อนข้อเท็จจริงว่า เมื่อสภาวการณ์ทาง สังคมของประชาชนได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น สุขภาพของประชาชนจะดีขึ้นตาม (Haseltine, 2019) รายงานดังกล่าวพิจารณาว่า การดูแลทางสังคมมีความครอบคลุมกิจกรรมต่างๆ ที่จัดการกับสุขภาพของประชาชน ที่สัมพันธ์กับปัจจัยความเสี่ยงทางสังคมและความต้องการจำเป็นทางสังคม ในขณะที่ คนทั่วไปมักจะคิดว่าการบริการทางสังคม เป็นการจัดบริการที่แยกออกจากการดูแลประชาชนทางการแพทย์ ทว่า แนวคิดเรื่องการดูแลทางสังคมนั้น มีนัยที่ไม่ได้แยก การดูแลทางสังคมออกจากการดูแลประชาชนทางการแพทย์ ทั้งนี้ การย้ำเน้นและยืนยันว่าสภาวการณ์ทางสังคมมีฐานะเป็น สาเหตุพื้นฐานของสภาวะทางสุขภาพนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่สะท้อนว่า เส้นแบ่งกางกั้นระหว่างการดูแลทางสังคมกับการดูแล ทางสุขภาพนั้นได้ละลายหายไปแล้ว (Haseltine, 2019) ความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ มีที่อยู่อาศัย ได้รับการศึกษา ได้รับโภชนาการ ได้ใช้การขนส่งสาธารณะและ สภาวการณ์ทางสังคมอื่นๆ นั้นล้วนส่งผลกระทบและส่งผลต่อการผลิตสร้างผลลัพธ์ด้านสุขภาวะ ที่สะท้อนความเป็นตัวกำหนด ทางสังคมของสุขภาวะ (social determinants of health) ทั้งนี้ ในคำนิยามความหมายของการดูแลสุขภาพได้มีการกีดกัน ละเลยสิ่งที่เรียกว่า “ตัวกำหนดทางสังคมของสุขภาวะ” มาอย่างยาวนาน และยังคงเน้นแต่เพียงความสำคัญของแนวคิดทาง การแพทย์ต่อโรคและการบำบัดรักษา แม้ในปัจจุบันนี้ (Haseltine, 2019) การให้ความสำคัญเพียงแนวคิดทางการแพทย์และการบำบัดรักษาอย่างโดดๆ มีผลต่อการกำหนดงบประมาณด้าน การเงินเพื่อสุขภาวะและความครอบคลุมของงบประมาณ ทำให้สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาบ่อยครั้ง คือ การซ้ำเติมความเสียหายและ ความกดดันด้านเศรษฐกิจสังคมต่อกลุ่มประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพและชุมชนที่ไม่ได้รับหลักประกันทาง สุขภาพ เมื่อระบบบริการสุขภาพของประเทศถูกยกระดับไปเกื้อหนุนเฉพาะผู้ที่มีอำนาจเหนือบริการสังคมและทรัพยากรชุมชน ที่มีอยู่ ระบบบริการสุขภาพดังกล่าวก็กลายเป็นกลไกในการสร้างความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพของชาติ (Haseltine, 2019; Woolf, 2019)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 20 การดูแลทางสังคมทำให้การดูแลทางสุขภาพขจัดการแบ่งแยกกีดกันได้ดีขึ้น การบูรณาการการดูแลทางสังคมเข้าไปในระบบบริการสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญจำเป็นที่จะช่วยให้เอาชนะปัญหาของ องค์กรที่มีลักษณะปิดและแยกส่วน (silos) ทั้งนี้ แม้ในบรรดาประเทศที่มีระบบการดูแลทางสังคมที่ดีที่สุดในโลกอย่างสวีเดน นั้น การประสานงานด้านการดูแลถือว่าเป็นความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง การพยายามจัดซ้ำสมดุลของทรัพยากร การแลกเปลี่ยน ข้อมูลทางสังคมกับข้อมูลทางคลินิก เหล่านี้เป็นความพยายามริเริ่มให้มีขึ้นและเป็นการเสริมความเข้มแข็งให้กับบูรณาการ รายงานของ National Academies สหรัฐอเมริกา เสนอให้กระชับการประสานงานระหว่างผู้ดูแล โดยย้ำเน้นว่า ระบบบูรณาการ ที่มีประสิทธิผลควรจะต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ กับทัศนะและความพึงพอใจของคนไข้ทั้งนี้ หลายหน่วยงานในภาค สุขภาพได้เริ่มทดลองรูปแบบที่เน้นคนไข้เป็นศูนย์กลางมาในระยะหนึ่งแล้ว ทำให้การพิจารณาความต้องการทางสังคมในฐานะ ที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับความต้องการทางสุขภาพ นำไปสู่การทบทวนแนวคิดของการดูแลสุขภาพแบบดั้งเดิมให้มี การเพิ่มพูนการขจัดการแบ่งแยกกีดกัน (inclusion) มากยิ่งขึ้น (Haseltine, 2019) การดูแลทางสังคมจึงเป็นปัจจัยเกื้อหนุน ให้ธรรมมากยิ่งขึ้น วิถีปกติใหม่ (New Normal) และวิถีปกติก้าวต่อไป (Next Normal) เมื่อไวรัส COVID-19 ระบาดในช่วงแรกๆ ขบวนการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคไม่มีองค์ความรู้พื้นฐาน มากเท่าใดนัก แต่ได้บัญญัติศัพท์ที่สะท้อนวิธีคิดของการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ขึ้นมาใหม่เรียกว่า “วิถีปกติ ใหม่” หรือตรงกับภาษาอังกฤษว่า “New Normal” อันที่จริง คำว่า “วิถีปกติใหม่” ก็ไม่ใช่คำใหม่ ที่เพิ่งเกิดขึ้นจากการแพร่ ระบาดของ COVID-19 ทว่า คำว่า the New Normal เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงของภาวะวิกฤตทางการเงินการคลังในช่วงปี ค.ศ. 2007-2008 โดยเป็นการใช้ศัพท์แสงเพื่ออธิบายสภาวะทางการเงินการคลัง ที่อุบัติขึ้นเนื่องมาจากผลกระทบหลังจาก วิกฤตทางการเงินดังกล่าว ในระหว่างปี ค.ศ. 2008-2012 คำว่าวิถีปกติใหม่ หรือ new normal ได้กลับมาใช้ซ้ำกันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเกิดโรคระบาด COVID-19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก (Mogelonsky, 2020) อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 มีความแตกต่างจากวิกฤตทางการเงินการคลัง และ เป้าหมายของการแพร่ระบาดยังคงเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไป จนเหมือนยังต้องรอคอยการคิดค้นหนทางการแก้ไขที่มี ประสิทธิผลในการควบคุมผลกระทบของ COVID-19 ที่มีต่อมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนหรือตัวยาที่จะใช้บำบัดรักษา ทั้งนี้ เมื่อ พิจารณาจากความรวดเร็วของการแพร่ระบาด ระดับความรุนแรง และแนวโน้มที่จะกลับมาระบาดรุนแรงได้ เงื่อนไข สภาวการณ์เหล่านี้ ทำให้มีการเรียกร้องต้องการคำอธิบายใหม่ที่สะท้อนพลังในการต่อสู้กับผลกระทบดังกล่าวได้ดีกว่า คำว่า “วิถีปกติใหม่” หรือ New Normal จึงเหมือนยังไม่พอเพียงที่จะอธิบายสิ่งที่สังคมมนุษย์ต้องการ คำว่า “วิถีปกติก้าวต่อไป” หรือ Next Normal จึงเข้ามาแทนที่ (Mogelonsky, 2020) วิถีปกติใหม่ ยังนิ่งเกินไปดูไร้พลัง แต่วิถีปกติก้าวต่อไปสะท้อนการมองไปข้างหน้า เพื่อที่จะทำความเข้าใจระหว่าง New normal และ Next normal เราต้องพิจารณาความหมายของคำและบทบาท ทางภาษาของคำนั้น คำว่า “ใหม่” เรามักจะใช้เพื่อแสดงบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในมิติเวลาของปัจจุบันกาล หรือมีความร่วมสมัย หรืออุบัติขึ้นวันนี้ และสิ่งที่เราเห็นว่า “ใหม่” ในวันนี้ ไม่นานมันก็จะเริ่มเก่า ตัวอย่างเช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์บอกว่า รถที่นับว่าเป็นรถใหม่ คือรถที่ยังนำไปวิ่งไปเกิน 200 ไมล์ เท่านั้นเอง หรือความคิดที่ว่ากันว่า “ใหม่” เมื่อนำไปแพร่กระจายใน ระบบปฏิบัติการ (platforms) สื่อสังคมทั้งหลาย ไม่นานก็เริ่มกลายเป็นความคิดที่ไม่ใหม่แล้ว (Mogelonsky, 2020) อย่างไรก็ตาม คำว่า “ก้าวต่อไป” หรือ Next มีความหมายที่สลับซับซ้อนกว่าคำว่า ใหม่ อย่างมาก ทั้งยังมีนัยของ การเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางข้างหน้า โดยมีนัยว่า สถานการณ์/บุคคล/สิ่งของต่างๆ ที่ไหลเลื่อนออกจากสถานการณ์/บุคคล/ สิ่งของต่างๆ ที่อุบัติขึ้นในปัจจุบัน เราต้องยอมรับว่า สถานการณ์ COVID-19 ยังคงเป็นสิ่งเราไม่รู้อีกมาก ยังคงมี “วิถีปกติ ก้าวต่อไป” หรือ next normal อีกมากมายหลายอย่างที่ท้าทายเรา จนกว่าไวรัสตัวนี้จะได้รับการจัดการแก้ไขไปได้ อย่างสมบูรณ์ (Mogelonsky, 2020) นักวิเคราะห์บางท่านอนาคตข้างหน้าของเรา ไม่ใช่แค่วิถีปกติใหม่ (new normal) ทั้งนี้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 21 ความหมายที่แฝงฝังอยู่ใน “วิถีปกติใหม่” (new normal) ได้แก่ ความหวาดหวั่น ความไม่แน่นอน และความไม่รู้ ส่วนคำว่า “วิถีปกติก้าวต่อไป” (next normal) มีความหมายถึงสิ่งที่เราตั้งใจจะสร้างสรรค์ขึ้นมาจริงๆ และเป็นสิ่งที่เราตั้งใจให้สิ่งนั้นมี ฐานะเป็นกลยุทธ์ที่จะใช้ได้จริงต่อไป (Perna, 2020) วิถีปกติก้าวต่อไปเป็นชีวิตจริงของเราและแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างแตกต่างกันในแต่ละสังคมคือ การล๊อคดาวน์หรือปิดเมือง (lockdowns) ซึ่งมีความหมายถึงการปิด ระบบตลาดเศรษฐกิจด้วย บางสังคมระบบตลาดอาจจะปิดตัวแค่สองหรือสามเดือน แต่บางสังคมก็มีการปิดเมืองอย่างเข้มข้น เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น และถึงแม้มีการปิดเมืองปิดตลาดเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งของพวกเราก็ยังสามารถทำงาน ที่บ้าน เรียนที่บ้าน (homeschooling) และต้องเผชิญหน้ากับการถูกจำกัดพื้นที่ทางกายภาพ ยังดีที่มีโลกเสมือนจริง การเรียน ออนไลน์ การทำงานที่บ้านมาทำให้วิถีชีวิตของเราเปลี่ยนไป จนกลายเป็นสิ่งที่เรียกกันติดปากว่า “วิถีชีวิตปกติใหม่” เรากำลัง อยู่ในโลกที่เรียกร้องให้เราต้องแสดงการกระทำที่ถูกสุขลักษณะให้ผู้อื่นเห็นอย่างชัดๆ สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทาง สังคม ฉีดวัคซีนและมีใบรับรองการฉีดวัคซีน ในช่วงระบาดหนักๆ เมื่อต้องเดินเข้าอาคาร ห้างร้าน เราต้องผ่านเครื่องวัด อุณหภูมิที่ผู้อื่นจะทราบได้โดยทันทีว่าเรามีไข้หรือไม่ (Perna, 2020) วิถีปกติก้าวต่อไป (next normal) มีความแตกต่างออกไปจากวิถีปกติใหม่ (new normal) ทั้งนี้COVID-19 ยังไม่ได้ หายไปไหน เรายังคงหวั่นไหวว่ายังจะมีการระบาดอีกกี่ระลอก และจะต้องพัฒนาวัคซีนกันอีกอย่างไรเพื่อจะได้จัดการกับไวรัส ที่กลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ รวมถึงความรวดเร็วในการระบาดและความร้ายแรงเมื่อมันกลายพันธุ์ไป เราควรที่จะปรับตัวเข้าหา สถานการณ์ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาด ความรุนแรงดูเหมือนจะลดลง แต่เราจะชะล่าใจไม่ได้ ด้วยเหตุเช่นนี้ จึงเป็น เหตุผลที่ดีที่สุดที่เราควรจะพิจารณาแนวคิด “วิถีปกติก้าวต่อไป” เราจักต้องมีความพร้อมในสิ่งที่จะเป็นไปในก้าวย่างข้างหน้า (Perna, 2020) หนทางในการกำหนดสร้าง “วิถีปกติก้าวต่อไป” การเตรียมการเพื่อการมุ่งหน้าไปสู่ วิถีปกติก้าวต่อไป นั้น มีนักวิชาการและนักวิชาชีพที่เกี่ยวข้องให้ข้อคิดเห็น มากมาย Deloitte LLP. (2020) นำเสนอหลักการขององค์กรธุรกิจ (ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้กับองค์กรสาธารณะและองค์กร ภาคประชาสังคม) เพื่อการมุ่งหน้าสู่วิถีปกติก้าวต่อไป ได้แก่ หลักการความปลอดภัย (Safe) ความยืดหยุ่น (Flexible) และ การฟื้นคืนความเข้มแข็ง (Resilience) โดยหลักการความปลอดภัย องค์กรควรเน้นดูแลความปลอดภัยของบุคลากร ลูกค้าและ ประชาชนทั่วไปอย่างต่อเนื่องจากวิถีปฏิบัติเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดมาตั้งแต่แรก ในด้านหลักการความยืดหยุ่น องค์กร ควรใช้ความสามารถในการปรับดัดแปลงการปฏิบัติการที่มุ่งตอบสนองอุปสงค์ (demand) และการธำรงรักษาอุปทาน (supply) เดิมและปรับปรุงอุปทานให้ตอบสนองอุปสงค์ได้ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และหลักการฟื้นคืนความเข้มแข็ง องค์กรควรเน้นการสร้างความยั่งยืนให้กับการปฏิบัติการที่ยังใช้ได้ผล และใช้ประโยชน์อย่างสูงสุดกับทรัพยากรที่มีเพื่อธำรง การปฏิบัติการที่ได้ผลดีนั้น นอกจากนั้น Deloitte LLP. (2020) ยังเสนอให้มีการวางแผนฉากทัศน์ที่ยืดหยุ่น (Scenario planning) ที่นำไปสู่ ความยืดหยุ่น ด้วยการพิจารณาอย่างเป็นระบบกับฉากทัศน์สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ (1) ฉากทัศน์ที่การแพร่ระบาดพุ่งขึ้นสูง (Rising-peak) (2) ฉากทัศน์ระยะหลังการระบาดที่พุ่งสูง (Post-peak) และ (3) ฉากทัศน์ของการกู้คืนฟื้นตัว (Towardsrecovery) โดยฉากทัศน์แรก ในสถานการณ์ที่มีการแพร่ระบาดพุ่งสูง รัฐบาลมักใช้มาตรการที่เน้นการกดบังคับ เช่น การปิด เมือง (lock-down) การเว้นระยะห่างทางสังคม และการกดตัวเลขผู้ติดเชื้อให้เป็นศูนย์ เป็นต้น พฤติกรรมของประชาชนและ อุปสงค์ถูกกำหนดโดยมาตรการของรัฐบาลที่มีความเข้มข้นและระยะเวลาของมาตรการที่ย่อมส่งผลเป็นความยากลำบากของ ประชาชน (Deloitte LLP., 2020) ตัวอย่างของสถานการณ์แพร่ระบาดที่พุ่งแรง เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน-ต้นธันวาคม 2565 ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนใช้นโยบาย COVID-19 เป็นศูนย์ สะท้อนให้เห็นฉากทัศน์ที่เป็นจริง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 22 ส่วนฉากทัศน์ระยะหลังการระบาดที่พุ่งสูง เป็นช่วงแห่งการเริ่มมีการผ่อนคลาย ต่อเนื่องจากการลดมาตรการ ที่เข้มข้นของรัฐบาล เช่น มีการอนุญาตให้ออกจากบ้านไปทำงานหรือเรียนที่โรงเรียนตามเดิม ความห่วงใยมักจะมุ่งไปที่กลุ่ม ประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนและประชาชนที่ยังมีอาการป่วย การเปลี่ยนแปลงมาตรการที่ผ่อนคลายลงหลายประการอาจจะ กลายเป็นมาตรการที่ปฏิบัติต่อไปเป็นการถาวร พฤติกรรมของประชาชนมักมีการเปลี่ยนแปลงไปตามที่ความเข้มงวดของ มาตรการในยุคการระบาดพุ่งสูงลดลงเพียงไร และฉากทัศน์ของการกู้คืนฟื้นตัว (recovery) เป็นฉากทัศน์ที่มาตรการเข้มงวด ส่วนใหญ่ได้ผ่อนคลายลงไปแล้ว แต่การกำกับดูแลเป็นรายกรณีและการแยกผู้ป่วยออกจากคนอื่น (isolation) ยังคงมี ความจำเป็น ทั้งนี้ เพราะว่า อาจจะมีความเป็นไปได้ที่การแพร่ระบาดจะกลับไปพุ่งสูงอีกดังในฉากทัศน์แรก อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงอุปสงค์และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในช่วงฉากทัศน์ระยะหลังการระบาดที่พุ่งสูงจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ วิถีปกติก้าวต่อไป (next normal) ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงของทั้งอุปสงค์และพฤติกรรมจะดำเนินต่อไปอีก หากเรา ต้องการออกจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 (Deloitte LLP., 2020) หนทางในการจัดการให้มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อเข้าสู่วิถีปกติก้าวต่อไปนั้น มีนัยของความพยายามในการก้าวให้ข้าม โคโรน่าไวรัส นั่นเอง (Sneader, & Singhal, 2020) ทั้งนี้ นักวิชาการวิเคราะห์ว่า คำตอบต่อการก้าวข้ามโคโรน่าไวรัสเป็น หนทางของการมุ่งสู่วิถีปกติก้าวต่อไป ที่จำเป็นต้องดำเนินการใน 5ขั้นตอน ได้แก่ (1) การแก้ไขปัญหา (Resolve) (2) การฟื้นคืน ความเข้มแข็ง (Resilience) (3) การกลับคืน (Return) (4) การจินตนาการใหม่ (Reimagination) และ (5) การปฏิรูป (Reform) (p. 7-10) การแก้ไขปัญหา (Resolve) แทบทุกประเทศเมื่อเผชิญกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ต่างพยายามตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างเต็มที่ การดำเนินการด้านสาธารณสุขและระบบการดูแลสุขภาพเหมือนตกอยู่ในภาวะการทำสงครามเพื่อเพิ่มพูนสมรรถนะ อาทิ จำนวนเตียง อุปทาน และบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรม ความพยายามเหล่านี้เป็นไปเพื่อการบรรเทาปัญหาการขาดแคลน อุปทานด้านการแพทย์ที่มีความจำเป็นอย่างมาก แผนงานความปลอดภัยต่อลูกจ้างแรงงานและแผนการต่อเนื่องของธุรกิจ ได้รับการยกระดับ โดยเน้นการทำงานทางไกลเป็นแบบแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหา หลายๆ ภาคส่วนหลายๆ องค์กรต้อง จัดการแก้ไขปัญหาการชะงักงันฉับพลันของการดำเนินงาน ในขณะที่ บางส่วนแสวงหาการกระตุ้นเร่งเร้าการตอบสนองอุปสงค์ ในจุดที่วิกฤต เช่น การกระจายอาหาร การจัดอุปทานในครัวเรือน เป็นต้น สถาบันการศึกษาย้ายมาจัดการเรียนการสอนในรูป ออนไลน์ เพื่อจัดให้โอกาสในการเรียนรู้สามารถสืบเนื่องต่อไปได้ แม้จะถูกปิดชั้นเรียนในเชิงกายภาพ กระนั้นก็ตาม ขั้นตอน ของการแก้ไขปัญหาทำให้ตกอยู่ในความยากลำบากในการตัดสินใจ จะปิดเมืองล๊อคดาวน์ หรือไม่ จะแยกให้ดูแลตนเอง (isolation) หรือจะกักกัน (quarantine) จะปิดโรงงานโดยทันทีหรือจะรอคำสั่งจากเบื้องบนอีกที ในขั้นตอนการแก้ไขปัญหา อันเป็นขั้นตอนแรก มีความจำเป็นต้องพิจารณาถึงขนาด จังหวะก้าว และความลึกของการกระทำการและผลกระทบ ทั้งใน ระดับรัฐและระดับองค์กร (Sneader & Singhal, 2020, p. 8) การฟื้นคืนความเข้มแข็ง (Resilience) การแพร่ระบาดของ COVID-19 ลุกลามไปเป็นวิกฤตในระบบเศรษฐกิจและการเงิน ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้อง ชะงักงันโดยทันทีเรามีความจำเป็นต้องปกป้องคุ้มครองระบบสาธารณสุข ความเสียหายกระทบพร้อมๆ กัน ทั้งชีวิตเศรษฐกิจ ที่ดีของประชาชนและการดำเนินกิจกรรมของสถาบันที่เกี่ยวข้อง วิกฤตทางสุขภาพหันมากระทบวิกฤตเศรษฐกิจ โดยที่ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับขนาด ระยะเวลา และรูปแบบของการถดถอยของ GDP และการจ้างงาน เหล่านี้ล้วนทำลายสิ่งที่ เรียกว่าความเชื่อมั่นในทางเศรษฐกิจไปหมดสิ้น ในความท้าทายเหล่านี้ การฟื้นคืนความเข้มแข็ง (resilience) เป็นสิ่งที่จำเป็น ทั้งนี้ การฟื้นคืนความเข้มแข็ง หมายถึงความสามารถในการฟื้นคืนสภาพหลังช่วงระยะเวลาที่กดดัน โดยในพื้นที่สาธารณะ ระดับการฟื้นคืนความเข้มแข็งที่สูงส่งผลเป็นการผ่อนคลายผลกระทบที่ร้ายแรงจากภาวะวิกฤตได้ (Habersaat et al., 2020 อ้างถึงใน กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2564, น. 70; Goldin, 2022)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 23 นักวิชาการยังให้ความเห็นว่า การฟื้นคืนความเข้มแข็งนับเป็นแนวคิดสำคัญที่นำมาสร้างความเจริญเติบโต อย่างยั่งยืนและอย่างไม่แบ่งแยกกีดกัน (resilience for inclusive and sustainable growth) (Goldin, 2022) โดยที่ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าทำให้ประชาชนกว่า 100 ล้านคนในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา ต้องตกอยู่ใน ความยากจนอย่างรุนแรง (extreme poverty) การฟื้นคืนความเข้มแข็งในยุควิถีปกติก้าวต่อไปในประเทศกำลังพัฒนา จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการขยายระบบการดูแลทางสุขภาพและสังคม การฟื้นคืนความเข้มแข็งยังสามารถดำเนินการด้วย การสร้างการจ้างงานแรงงานที่มีฝีมือระดับกลางและระดับล่าง (low and middle-skill employment) รวมทั้งส่งเสริม วิสาหกิจใหม่ๆ ราคาอาหารที่สูงขึ้นอาจจะดึงดูดให้เยาวชนในประเทศกำลังพัฒนาได้เข้าสู่ตลาดแรงงานการเกษตรและ อุตสาหกรรมการเกษตรที่มีมูลค่าสูงกว่าการทำการเกษตรแบบเดิม การพยายามบรรเทาปัญหาการว่างงานและความกดดัน ต่อระบบตลาดเสรี (Goldin, 2022) การฟื้นคืนความเข้มแข็งยังครอบคลุมไปถึงการตอบสนองต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) การส่งเสริมให้มีอุตสาหกรรมสีเขียว (green industries) ใหม่ๆ การส่งเสริมการจ้างงานในภาคเอกชนให้ได้ในระดับล้าน ตำแหน่งและเพิ่มศักยภาพของธุรกิจเอกชน ระบบเศรษฐกิจในภาพรวมสามารถแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารและความคิดใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มพูนการเข้าถึงตลาดและประสิทธิภาพของตลาด แบบแผนเชิงรุกและบุกรุกหน้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับข้อได้เปรียบ ด้านโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ และเปิดโอกาสให้กับการเจริญเติบโต การฟื้นคืนความเข้มแข็งต้องใช้แบบแผนเชิงรุกเพื่อที่จะ นำไปสู่การไม่แบ่งแยกกีดกัน (inclusive) ความยั่งยืน (sustainability) และความเจริญรุ่งเรือง (prosperity) (Goldin, 2022) การฟื้นคืนความเข้มแข็งเป็นการกระทำการเชิงพัฒนานโยบายจากระดับนานาชาติและระดับรัฐไปสู่ระดับท้องถิ่น พุ่งเป้าโดยตรงไปที่ปัญหา ทั้งนี้ ในบริบทโลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน การฟื้นคืนความเข้มแข็งจำเป็นต้อง ดำเนินการโดยวิถีการปฏิบัติจากประชาชนเบื้องล่าง-ขึ้นไปสู่เบื้องบน (bottom-up) เท่านั้น การฟื้นคืนความเข้มแข็งมีนัยของ ความเชื่อมั่นในความสามารถของประชาชนหรือของสังคมในการบริหารจัดการตนเอง ที่ยืนอยู่บนความเข้มแข็งของท้องถิ่น และความรู้ในเรื่องทรัพยากรที่มีอยู่ และสำคัญยิ่งไปกว่านั้น อยู่ด้วยความหวังถึงอนาคตที่ดีกว่า ด้วยวิธีคิดแบบนี้นักวิชาการจึง เรียกร้องให้ตรวจสอบทบทวนบรรดาวิถีทางการบริหารจัดการร่วมสมัย และตรวจสอบทบทวนวิธีการที่เราใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มี จำกัดในยุคสมัยที่ทรัพยากรถูกตักตวงและเบียดบังโดยมนุษย์ ในคติของยุคสมัยที่มนุษย์ครองโลก (era of the Anthropocene) (Korosteleva & Petrova, 2020 อ้างถึงใน กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2564, น. 70) การกลับคืน (Return) การกลับคืนในการจัดการเรื่องสุขภาพของประชาชนภายหลังการปิดเมืองอย่างเข้มข้น เป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างมาก อุตสาหกิจส่วนใหญ่ที่สุดต้องการเวลาในการปรับให้ห่วงโซ่อุปทาน (supply chain)กลับมามีชีวิตชีวา (reactivate) อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ผลกระทบของโคโรน่าไวรัสสร้างความชะงักงันในระบบห่วงโซ่อุปทานของภูมิประเทศแทบทั้งโลก จุดที่อ่อนแอที่สุดใน ห่วงโซ่จะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จในการสร้างการกลับคืน ความท้าทายที่เพิ่มพูนยิ่งขึ้น อาทิ ฤดูหนาวที่อาจจะทำให้เกิด การแพร่ระบาดมากขึ้นจนวิกฤตในหลายประเทศ การขาดแคลนวัคซีนที่สามารถรับมือกับการกลายพันธุ์ของไวรัส การป้องกัน การติดเชื้อที่มีประสิทธิผล การแพร่ระบาดของไวรัสที่กลับมาพุ่งขึ้นสูง สถานการณ์เหล่านี้ทำให้ผู้มีอำนาจในการกำหนด นโยบายในประเทศต่างๆ ต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันเจ็บปวดที่เรียกว่า “ทางเลือกของโซฟี” (Sophie’s choice)3 การเลือก ระหว่างการบรรเทาความเสี่ยงที่อาจจะกลับมาอีกกับความเสี่ยงต่อสุขภาวะของประชากรที่อาจจะตามมาด้วยภาวะเศรษฐกิจ ที่ถดถอยสุดๆ การกลับคืนอาจจะต้องพิจารณาจังหวะของการแพร่ระบาดที่ลดลงแม้เป็นการชั่วคราว ด้วยการเน้นมาตรการ 3 Sophie’s choice เป็นชื่อนวนิยายที่ขายดี ประพันธ์โดย William Styron ในปี ค.ศ.1979 ตัวเอกของเรื่อง คือ โซฟี ประสบความยากลำบากในการตัดสินใจเลือกระหว่างสองทางเลือก ทำให้ “ทางเลือกของโซฟี” กลายเป็นสำนวน ที่หมายถึงการเลือกที่ยากจะตัดสินใจ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 24 กระจายการฉีดวัคซีนให้ประชาชน การเพิ่มสมรรถนะของการเฝ้าระวัง เพิ่มทรัพยากรและความพร้อมของระบบสุขภาพ พัฒนาวัคซีนและพัฒนาการบำบัดรักษาเพื่อจัดการกับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจจะรุนแรงกว่าเดิม (Sneader & Singhal, 2020, p. 8) การจินตนาการใหม่ (Reimagination) การแพร่ระบาดของไวรัสที่ยังคงไม่สิ้นสุด ทำให้มีผลต่อการเปลี่ยนผ่านความคาดหวังของประชาชน ทั้งในฐานะที่เป็น พลเมือง เป็นลูกจ้างแรงงาน และเป็นผู้บริโภค การเปลี่ยนผ่านเหล่านี้และผลกระทบต่อวิธีการดำรงชีวิต วิธีการทำงาน และ วิธีการใช้เทคโนโลยีของประชาชนที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ การหันกลับมาพิจารณารูปแบบใหม่ๆ ขององค์กรหรือสถาบัน ที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้มีวิสัยทัศน์และมีการคาดการณ์ที่ดีกว่า ทั้งนี้ โลกออนไลน์ที่ไม่ต้องมีการติดต่อกันทางกายภาพจะช่วยหนุน เสริมให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม เรายังคงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการฟื้นคืนความ เข้มแข็ง (resilience) การพิจารณาถึงปลายทางของห่วงโซ่อุปทานในเชิงโลกาภิวัตน์ อาทิ การผลิตและการจัดสรรทรัพยากร ได้เข้าถึงประชาชนผู้บริโภคที่อยู่ปลายทาง หรือไม่ เพียงใด (Sneader & Singhal, 2020, p. 9) อันที่จริง วิกฤตของการแพร่ระบาดครั้งนี้ไม่ได้เปิดเผยให้เราเห็นแต่เพียงความเปราะบางเท่านั้น ทว่า ในทางกลับกัน สิ่งที่อุบัติขึ้นพร้อมกันคือ โอกาสในการปรับปรุงการดำเนินการขององค์กรและสถาบันต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ผู้นำองค์กรและ ผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายจำเป็นต้องมีการทบทวนการพิจารณาถึงโอกาสในการผลักดันชุดของเทคโนโลยี โดยให้มี การกระตุ้นการเรียนรู้การยอมรับเทคโนโลยีที่จำเป็น ซึ่งจะนำไปสู่การขับเคลื่อนให้มีผลิตภาพ (Sneader & Singhal, 2020, p. 9) การมีจินตนาการใหม่ที่เข้มแข็งจะช่วยให้การฟื้นคืนความเข้มแข็งขององค์กร ประชาชนและสังคมเป็นไปได้ดีกว่า การปฏิรูป (Reform) สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสทำให้เราต้องเข้มงวดกับปัจจัยบางอย่าง ทำให้ไวรัสโคโรน่ากลายเป็นเรื่อง ท้าทายระดับโลก รัฐบาลแต่ละประเทศจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้น หากประชาชนให้การสนับสนุน ทำให้รัฐบาลกล้าที่จะมีบทบาทเชิง รุกมากขึ้นในการปรับปรุงกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ผู้นำองค์กรและผู้อำนาจในการกำหนดนโยบายจำเป็นต้องคาดหวังถึง การสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง ในการเปลี่ยนแปลงนโยบายและกฎเกณฑ์ต่างๆ ทั้งนี้ เพราะว่า ประชาชน ทั้งสังคมต่างแสวงหาหนทางในการหลีกเลี่ยง การบรรเทาภัย และการป้องกันล่วงหน้าในวิกฤตสุขภาพที่กำลังคุกคามเข้ามา โดยทั่วไป ระบบการดูแลสุขภาพนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองมีการเปลี่ยนแปลงไปน้อยมาก ในช่วงเวลาของการแพร่ ระบาดไวรัสครั้งนี้ ทำให้ต้องพิจารณาถึงจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การจัดการกับผู้ป่วยทั้งที่อยู่ตรงหน้าและที่เป็น การดูแลเสมือนจริงอย่างไร้รอยต่อ แนวคิดแนวทางการสาธารณสุขที่ต้องเชื่อมโยงกับโลกที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ความรวดเร็วและการเชื่อมโยงประสานกับประเทศอื่นๆ ในประชาคมโลก นโยบายด้านโครงสร้างพื้นฐานทาง การดูแลสุขภาพที่สำคัญ การอนุรักษ์อุปทานหลักที่สำคัญในเชิงกลยุทธ์ และการจัดระบบอำนวยความสะดวกด้านอุปกรณ์ทาง การแพทย์ที่ผันแปรไปตามสถานการณ์ สถาบันการศึกษาจำเป็นต้องจัดให้มีการบูรณาการการเรียนในชั้นเรียนกับการเรียน ทางไกล (Sneader & Singhal, 2020, pp. 9-10) ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสครั้งนี้ ยังทำให้เราได้มีโอกาสเรียนรู้จากนวัตกรรมสังคม (social innovations) และการทดลองทางสังคม (social experiments) จำนวนมากมายมหาศาล นับตั้งแต่ การทำงานที่บ้านไป จนถึงการจัดการเฝ้าระวังขนาดใหญ่ ซึ่งนับเป็นโอกาสดีที่เราจะทำความเข้าใจว่านวัตกรรมสังคมเรื่องใดจะสามารถนำไปใช้ อย่างจริงจังและโดยถาวร เพื่อจะทำให้เป็นการยกระดับการปฏิรูปสวัสดิการสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ และนวัตกรรมใด ที่แม้จะช่วยจำกัดการแพร่ระบาดของไวรัสได้ แต่ก็ยังส่งผลเป็นการยับยั้งความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในสังคมได้(Sneader & Singhal, 2020, p. 10)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 25 บทเรียนจากวิกฤต COVID-19 ส่งผลกระทบต่อระบบการดูแลทางสังคม ระบบการดูแลทางสังคมในช่วงภาวะวิกฤตของการแพร่ระบาด COVID-19 มีนักวิชาการรวบรวมไว้ 10 ประการด้วยกัน (Webster & Hannan, 2020)ดังต่อไปนี้ (1) ความเชื่อมโยงระหว่างระบบการดูแลสุขภาพและระบบการดูแลทางสังคมยังต้อง จำเป็นต้องเชื่อมโยงกันยิ่งกว่านี้ (2) การวางรากฐานของระบบการดูแลทางสังคมยังไม่เท่าเทียมกับระบบการดูแลสุขภาพ (3) ภาวะ ผู้นำส่วนกลางและธรรมาภิบาลจำเป็นต้องฉับไวและปรับตัวได้ดีกว่านี้ (4) ข้อมูลข่าวสารต้องมีความชัดเจนมากกว่านี้ เพื่อการสนับสนุนระบบสาธารณสุขที่ดี (5) นักวิชาชีพจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากได้รับอิสระในการทำงานมากขึ้น (6) ความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น หากไม่ได้รับการจัดการแก้ไขอย่างจริงจัง (7) การเข้าถึงดิจิตอลและข้อมูลข่าวสาร เป็นปัญหาสำคัญของระบบสาธารณสุข (8) ระบบการดูแลสุขภาพและการดูแลทางสังคมยังต้องการการจัดการทรัพยากรที่จำเป็น อย่างยืดหยุ่น (9) สิ่งที่มีคุณค่า (assets) ในชุมชนและท้องถิ่นควรทำให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบการดูแลทางสุขภาพและระบบ การดูแลทางสังคมอย่างชัดเจน และ (10) การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆและข้อมูลข่าวสารอย่างมีประสิทธิผลจะช่วยสนับสนุนการจัดการ ของระบบการดูแลสุขภาพและการดูแลทางสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ (Webster & Hannan, 2020, pp. 18-21) การท้าทายกรอบการดูแลทางสังคมแบบเดิม การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าหรือ COVID-19 สร้างความท้าทายกับแบบแผนการดูแลทางสังคมที่ได้ปฏิบัติ อยู่แต่เดิม อาทิ การให้บริการที่ต้องให้บุคคลเท่านั้นเป็นผู้ให้บริการ หรือภาระให้การดูแลทางสังคมที่ทำในเวลาราชการ 8.30-16.30 น. เท่านั้น แบบแผนที่เหมือนเป็นบรรทัดฐานเหล่านี้หากเราสามารถปลดล๊อกบรรทัดฐานแบบเดิมออกไป เราสามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ ที่ดีกว่าในการดูแลทางสังคม หากเรามุ่งสร้างความมั่นใจว่าโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคม (social safety net) จะตอบสนองความต้องการจำเป็นของประชาชนที่เปราะบาง เราต้องพลิกกลับ-ปรับเปลี่ยนระบบ แบบแผนการดูแลทางสังคมแบบเดิมๆ ทั้งในด้านการออกแบบและการสนับสนุนทุนงบประมาณ ใครควรจะเป็นผู้จัดบริการ และแผนงานควรจะได้รับการชี้วัดและประเมินผลอย่างไร (Sills, et al., 2020) ระบบการดูแลทางสังคมภายใต้วิธีคิดใหม่ๆ กำลังท้าทายรัฐบาลให้สร้างสรรค์พันธกิจที่มีคุณค่ามากขึ้น ให้รัฐบาลหันมาพัฒนานวัตกรรมให้กลายเป็นวัฒนธรรมของ การสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง และท้าทายให้สร้างสรรค์ประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ยิ่งขึ้นให้กับพลเมือง องค์กรและลูกจ้างของ องค์กร รายงานของ Deloitte Insights (Sills et al., 2020) ได้เสนอแนะให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อพลิกกลับ-ปรับเปลี่ยนแบบ แผนการดูแลทางสังคม ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 การพลิกกลับ-ปรับเปลี่ยนการดูแลทางสังคม การดูแลทางสังคมแบบเดิม การดูแลทางสังคมที่ควรจะเป็น การสนับสนุนและชี้นำที่ต้องการ ความต้องการได้รับการจัดการผ่าน แผนงานและบริการที่มุ่งเป้าไปยัง ปัญหาเฉพาะเท่าที่กำหนดไว้ในรูปแบบ การให้บริการ บริการและแผนงานควรบูรณาการผ่าน แนวคิดองค์รวมที่เน้นการป้องกันโดย ตระหนักในปัจจัยทางสังคมที่สัมพันธ์ กับสุขภาวะ รัฐบาลจัดสรรงบประมาณแต่เนิ่นๆและ ครอบคลุมองค์รวม การดูแลทางสังคมเป็นการจัดบริการ โด ย บุ ค ค ล ผ่าน รูป แบ บ อ งค์ ก รที่ จำเป็นต้องใช้การดำเนินการโดยมนุษย์ อย่างมาก บริการดูแลทางสังคมควรเน้นมนุษย์เป็น สำคั ญ เน้ นที่เป้าหมาย เน้ นการ ให้บริการที่เข้าถึงตัวบุคคล (hyperpersonalized) และไม่แบ่งแยกกีดกัน (inclusive) บริการอาจจัดในเชิงเสมือน จริงผ่านเทคโนโลยีคุณภาพสูง รัฐบาลจัดฐานข้อมูลและหลักฐานเชิง ประจักษ์ที่นำไปปฏิบัติได้ และคำนึง ผู้ใช้บริการเป็นศูนย์ความสำคัญอย่างยิ่ง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 26 การดูแลทางสังคมแบบเดิม การดูแลทางสังคมที่ควรจะเป็น การสนับสนุนและชี้นำที่ต้องการ รัฐบาลรู้ดีที่สุดว่าบุคคลและครอบครัว ต้องการอะไร การตัดสินใจควรกระจายไปสู่ระดับที่ สาม ารถน ำไป ป ฏิ บั ติ ได้ อ ย่ างมี ประสิทธิผลที่สุด บทบาทหลักของ รัฐบาลคือการสนับสนุนและการอำนวย ระบบนิเวศของบริการมนุษย์ (human services ecosystems) โดยไม่ขัดขวาง หรือทำลายเครือข่ายการสนับสนุนตาม ธรรมชาติ รัฐบาลส่ งเสริมความเข้ มแข็ งของ ครอบครัวและเครือข่ายการสนับสนุนที่มี ชุ มชน เป็ น ฐาน รั ฐบ าลให้ อำน าจ ครอบครัว (ใน จุ ดที่ เป็ นไปได้ ) ใน การกำกับเงินทุนด้วยตนเอง อย่าง สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของ ครอบครัวนั้น ผลลัพธ์การบริการที่ดีขึ้นอยู่กับการใช้เงิน งบประมาณที่มากขึ้น การนำทรัพยากรมาใช้ควรเน้นรวมศูนย์ ไปที่ปัจจัยสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา เน้นประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการ สนับสนุนบุคคลและครอบครัวให้บรรลุ ศักยภาพ รัฐบาลลงทุนในผลลัพธ์และได้รางวัลตอบ แทนจากผลที่เกิดขึ้น การติดยึดฐานข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ข้อมูล ข่าวสารที่สะท้อนแต่ความต้องการจำเป็น และความอ่อนแอ ทำให้เน้นแต่ช่องว่าง และการจัดสรรทรัพยากรเพื่ออุดช่องว่าง นั้น ควรหันมาเน้นฐานข้อมูลที่เน้นความ เข้มแข็ง สิ่งที่ทำแล้วได้ผล สิ่งที่ช่วยคัด กรองการสนับสนุนที่นำไปสู่การฟื้นคืน ความเข้มแข็งของชุมชน (community resilience) รัฐบาลควรเน้นทรัพยากรที่ใช้แล้วได้ผล และใช้ประโยชน์จากการสะท้อนย้อนกลับ ของผู้ใช้บริการและครอบครัว ที่มา: Deloitte Analysis cited in Sills, et al, 2020, p. 5. แบบแผนการดูแลทางสังคมแบบใหม่เหล่านี้จะช่วยรัฐบาลเข้าถึงองค์ประกอบหลักของห่วงโซ่คุณค่า4 (value chain) ช่วยให้รัฐบาลได้ทบทวนแนวคิดแนวทางในการดูแลทางสังคมที่ผ่านมา แบบแผนการดูแลทางสังคมแบบใหม่ช่วยให้ครอบครัว อยู่ในศูนย์กลางของกลยุทธ์ในการจัดบริการ ช่วยจัดลำดับความสำคัญของเงินงบประมาณที่ใช้สนับสนุนการฟื้นคืน ความเข้มแข็งในบุคคลและชุมชน แบบแผนการดูแลทางสังคมแบบใหม่ยังช่วยในการประเมินผลและปรับปรุงการออกแบบ โครงการให้สมบูรณ์ยิ่งไปกว่านั้น แบบแผนใหม่นี้ยังเรียกร้องให้เราต้องปรับปรุงรูปแบบการจัดบริการใหม่ใน 3 ระดับ ได้แก่ (1) ปรับปรุงที่ระบบ (2) ปรับปรุงที่ผู้ให้บริการ และ (3) ปรับปรุงที่ผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดระบบการดูแลทางสังคมแบบ ใหม่ที่มีบูรณาการ เน้นการป้องกันและเน้นครอบครัวเป็นศูนย์กลางความสำคัญ (Sills et al., 2020, p. 6) 4 ห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) หมายถึง คุณค่าจากกิจกรรมที่สัมพันธ์เชื่อมโยงกันของระบบ หน่วยงาน หรือองค์กร นับตั้งแต่วัตถุดิบ การนำวัตถุดิบมาเป็นปัจจัยนำเข้า กระบวนการผลิตหรือดำเนินการ การกระจายแจกจ่ายผลผลิตหรือผล การดำเนินการ รวมไปถึงการบริการหลังจำหน่ายหรือหลังการดำเนินการ ในแต่ละขั้นตอนมีการสร้างคุณค่าหรือประโยชน์ เกิดขึ้น และรวมกันเป็นชุดคุณค่าสุดท้ายหรือประโยชน์สุดท้ายที่ลูกค้า หรือผู้ใช้บริการ หรือประชาชนผู้ได้รับประโยชน์ ต้องการได้รับ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 27 แนวทางการปลดล๊อกคุณค่าการดูแลทางสังคม 6 แนวทาง นับตั้งแต่การก้าวเข้าสู่วิถีปกติใหม่ก่อนที่จะคืบหน้ามาเป็นวิถีปกติก้าวต่อไปนั้น รัฐบาลหลายๆ ประเทศตระหนักถึง ความจำเป็นในการส่งเสริมสนับสนุนการจัดหา การจัดการและการสนับสนุนระบบนิเวศของการบริการมนุษย์ที่สลับซับซ้อน เราเริ่มที่จะเข้าใจในวิธีการที่ห่วงโซ่คุณค่าของการดูแลทางสังคมทั้งหมดจะตอบสนองความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างไร รัฐบาลหลายๆ ประเทศพยายามดำเนินการเปลี่ยนผ่านระบบการดูแลทางสังคม ทั้งนี้ นักวิชาการของ Deloitte Center for Government Insights ได้รวบรวมแนวทางการเปลี่ยนผ่านคุณค่าการดูแลทางสังคมในยุควิถีปกติก้าวต่อไป 6 แนวทาง ดังต่อไปนี้ (Sills et al., 2020, pp. 7-14) 1. การลงทุนงบประมาณในระบบการดูแลทางสังคมแบบองค์รวมตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งนี้ นักวิชาการของ Deloitte Center for Government Insights วิเคราะห์ว่าแผนงานการดูแลทางสังคมทุก วันนี้เป็นการจัดการในลักษณะของการบรรเทาอาการของปัญหา ในรูปแบบของการให้การสงเคราะห์ชั่วคราว แม้ว่าจะยังมี ความจำเป็นสำหรับในบางกรณี ทว่า การจัดการแบบเดิมดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้รับมือกับความท้าทายที่มากมายหลากหลายใน สถานการณ์ปัจจุบันได้ หน่วยงานการดูแลทางสังคมควรพิจารณาถึงความต้องการทั้งด้านกายภาพ จิตใจ เศรษฐกิจและ ความต้องการทางสังคม รวมไปถึงการดำรงชีวิตที่ดีในภาพรวม ความต้องการจำเป็นพื้นฐาน อาทิ อาหาร ที่อยู่อาศัยและ ความปลอดภัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาวะและการใช้บริการด้านสุขภาพ ทั้งนี้ หน่วยงานบริการดูแลสุขภาพหลาย แห่งเริ่มคัดกรอง (screen) คนไข้ด้วยปัจจัยตัวกำหนดทางสังคมต่อสุขภาพ (social determinants of health) แล้วจึง พิจารณาส่งต่อ (refer) คนไข้ไปยังทรัพยากรที่เหมาะสม (Sills et al., 2020, p. 7) หน่วยงานด้านสุขภาพที่นิวยอร์กซิตี้ ได้เริ่มมีแผนงานการคัดกรองคนไข้ดังกล่าวมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2017 เครื่องมือ ที่ใช้คัดกรองครอบคลุมเกณฑ์ที่สำคัญๆ อาทิ ความมั่นคงทางอาหาร ความคุ้มครองจากการประกันสุขภาพ ที่อยู่อาศัย ประโยชน์จากรายได้สาธารณะ ความรุนแรงในครัวเรือน การศึกษาและการรู้หนังสือ การใช้บริการเลี้ยงเด็กกลางวัน สถานการณ์เป็นผู้อพยพและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น โดยเกณฑ์เหล่านี้จะชี้วัดว่าคนไข้สามารถเข้าถึงทรัพยากรของชุมชน หรือของรัฐบาล หรือไม่ เพียงใด นอกจากนั้น เครื่องมืออีกชุดหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนแนวคิดแนวทางการดูแลทางสังคมแบบ องค์รวมและเน้นการป้องกัน คือการมีอินเตอร์เน็ตแบบพกพาที่เชื่อมโยงประชาชนพลเมืองเข้ากับชุดทรัพยากรชุมชน ที่สามารถนำมาตอบสนองความต้องการของบุคคลได้อย่างเหมาะสม (Sills et al., 2020, p. 7) ชุดห้องเครื่องทรัพยากรชุมชน (community resource engines) เป็นเครื่องมือสำคัญในการเสนอแนะชุดของ ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนที่สามารถนำมาใช้ตอบสนองความต้องการของคนไข้และครอบครัวได้เป็นอย่างดี เครื่องมือดังกล่าว สามารถที่จะติดตามตัวกำหนดทางสังคมต่อสุขภาพของผู้ใช้บริการ ช่วยให้ภาคีหุ้นส่วนในชุมชนสามารถจัดการส่งต่อคนไข้ไป ใช้บริการ ทำให้ผู้จัดการรายกรณีมีเครือข่ายความร่วมมือในการประสานการดูแล และทำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับข้อมูล ป้อนกลับที่เป็นประโยชน์(Sills et al., 2020, p. 7) 2. การจัดให้มีฐานข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ที่นำไปปฏิบัติได้ ทั้งนี้ มีผลการศึกษาวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า ข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ช่วยชี้แนะหน่วยงานของรัฐบาลใน การแก้ไขปัญหาการดูแลทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุด หลักฐานเชิงปฏิบัติที่เกี่ยวกับการดำเนินงานควรจะนำมาใช้เป็น ข้อมูลข่าวสารเพื่อช่วยการตัดสินใจของหน่วยงาน เช่นเดียวกัน ข้อมูลแบบเรียลไทม์ของคนไข้และของระบบการดำเนินงานจะ ช่วยให้หน่วยงานได้ตระหนักรู้ “ล้มเหลวแต่เรียนรู้เร็ว” (fail and learn quickly) ในขณะที่หน่วยงานกำลังพัฒนานวัตกรรม ใหม่ๆ เมื่อมีต้นแบบการปฏิบัติที่ดีที่สุด (best practices) ผู้ปฏิบัติงานก็แบ่งปัน และชุมชนก็นำไปขยายผลเพื่อเผยแพร่ไปใช้ กันในวงกว้าง (Sills et al., 2020, p. 8)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 28 3. การจัดให้ผู้ใช้บริการเป็นศูนย์กลางความสำคัญ รัฐบาลที่กำลังแสวงหาการเปลี่ยนผ่านการดูแลทางสังคมจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลไปมากกว่าตัวเลข ทั้งนี้ แผนงานการดูแลทางสังคมเป็นแผนงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากประชาชนและเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน วิธีคิดสำคัญ อย่างยิ่งคือ มนุษย์เป็นศูนย์กลาง (human-centered) จะเป็นแกนกลางสำคัญของการเปลี่ยนผ่านห่วงโซ่คุณค่าของการดูแล ทางสังคม การออกแบบที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-centered design) หรือ HCD มีผลทำให้แนวคิดแนวทางใน การแก้ไขปัญหาแบบดั้งเดิมถูกพลิกเอาข้างล่างกลับขึ้นข้างบน ทั้งนี้ แทนที่เราจะกำหนดเป้าหมายเชิงปฏิบัติการขึ้นมาก่อน แล้วจึงจัดการให้เป้าหมายดังกล่าวสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของผู้ใช้บริการ HCD จะเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจกับ ผู้มีส่วนได้เสียประโยชน์ที่สำคัญ (key stakeholders) และด้วยการคัดกรองสาเหตุพื้นฐานของปัญหาที่ผู้มีส่วนได้เสียประสบ อยู่ เมื่อใดที่ความต้องการจำเป็นที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองอยู่ในการรับรู้ของผู้กำหนดนโยบายตามแนวทาง HCD เมื่อนั้น ผลของการตระหนักรู้จะนำไปสู่การปรับปรุงการออกแบบบริการและการจัดบริการที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์ความสำคัญ (Sills et al., 2020, p. 9) (ดูภาพประกอบที่ 1) ในระบบการดูแลทางสังคม HCD ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ทั้งของคนทำงานในองค์กรและ ภาคีหุ้นส่วน เช่นเดียวกันกับประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ของผู้ใช้บริการ ระบบการดูแลทางสังคม HCD นำผู้ใช้บริการที่เคย ถูกจัดวางไว้ที่ปลายทาง ย้ายเข้ามาอยู่ในห้องเดียวกันกับผู้ให้บริการ ผู้จัดการรายกรณี และผู้มีส่วนได้เสียประโยชน์อื่นๆ ให้ เข้ามาร่วมกันผลิตสร้างแนวคิดต้นแบบ (prototyping) ทดสอบและทดลองวิธีการแก้ไขปัญหาซ้ำๆ ภาพที่ 1 เปรียบเทียบแนวคิดการแก้ไขปัญหาแบบดั้งเดิม และแนวคิดการออกแบบมนุษย์เป็นศูนย์กลางความสำคัญ (HCD). ที่มา: Deloitte Analysis cited in Sills et al., 2020, p. 9. ยิ่งไปกว่านั้น การร่วมมือร่วมใจอย่างเข้มแข็งลึกซึ้ง (deep collaboration) จะช่วยกระตุ้นการพัฒนาและ การเปิดตัววิธีการแก้ไขปัญหา ในขณะเดียวกัน ช่วยทำให้มีพื้นที่สำหรับการทดลองวิธีการแก้ไขปัญหาที่พัฒนาขึ้นแต่เนิ่นๆ ทีมผู้ออกแบบระบบการดูแลทางสังคมสามารถที่จะโละทิ้งความคิดที่ไม่ได้ผล และทดสอบความคิดการแก้ปัญหาที่ปฏิบัติแล้ว ได้ผลดีแต่เนิ่นๆ ซึ่งทำให้ประหยัดงบประมาณในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง (Sills et al., 2020, p. 9) แนวคิดการแก้ไขปัญหาแบบดั้งเดิม กำหนดเป้าหมายเชิงปฏิบัติการ สร้างแนวคิด จัดแนวคิดให้เหมาะกับ ผู้ใช้บริการ แนวคิดการออกแบบมนุษย์เป็นศูนย์ความสำคัญ (HCD) เข้าใจผู้ใช้บริการ สร้างแนวคิด สร้างระบบปฏิบัติการ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 29 4. การสร้างความเข้มแข็งให้เครือข่ายการสนับสนุนที่เน้นครอบครัวและชุมชนเป็นฐาน แผนงานการดูแลทางสังคมควรจะนำมาใช้สนับสนุนระบบนิเวศของการดูแลทั้งหมด นำมาใช้เสริมสร้าง ความแข็งแกร่งของเครือข่ายการสนับสนุนตามธรรมชาติ สร้างความเข้มแข็งของระบบครอบครัวขยาย ชุมชนทางศาสนา องค์กรไม่ค้ากำไรในท้องถิ่น และกลุ่มเพื่อนบ้านในชุมชน ประการที่สำคัญที่สุด แผนงานการดูแลทางสังคมช่วยสนับสนุนบุคคล และครอบครัว ทั้งนี้ รัฐบาลควรตระหนักและให้ความสนับสนุนทางงบประมาณสำหรับระบบการดูแลทางสังคมที่เน้น ครอบครัว/ชุมชนเป็นฐาน (Sills et al., 2020, p. 11) ตัวอย่างการสนับสนุนการดูแลทางสังคมที่เป็นต้นแบบที่ดี ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และในอีกหลายประเทศที่มีการสนับสนุนผู้ดูแลผู้ป่วยที่เป็นบุคคลที่เป็นที่รักโดยไม่ได้มีค่าจ้างตอบแทน ด้วยการ ให้เงินสงเคราะห์ (financial allowances) หรือให้เงินลดหย่อนทางภาษี(tax credits) ประเทศเหล่านี้ยังสนับสนุนเงินทุน (grant) ให้กับชุมชนและกลุ่มในท้องถิ่นในการฝึกอบรมและให้ความช่วยเหลือผู้ดูแลผู้ป่วยในชุมชน การจัดการสนับสนุนเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะเป็นการช่วยให้ผู้ดูแลยังคงผูกพันกับชุมชน มีส่วนร่วมกับกำลังแรงงาน และยังคงมีกำลังใจกำลังกายที่ดี ในขณะทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้ป่วย (Sills et al., 2020, p. 11) ระบบการดูแลทางสังคมควรตระหนักในสัมพันธภาพของครอบครัวที่มีคุณค่าอย่างมากและเป็นอิทธิพลสำคัญ อย่างมากในการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคล ที่ประเทศแคนาดา แผนงานการสนับสนุนครอบครัว ที่เรียกว่า Family and natural supports หรือ FNS เป็นแผนงานที่เน้นการสร้างความเข้มแข็งของสัมพันธภาพระหว่างเด็กเยาวชนและผู้ใหญ่ที่คอย ดูแล-พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา พี่น้อง เพื่อนบ้าน ครู หรือโค้ช ผ่านการให้คำปรึกษา การเชื่อมประสานความสัมพันธ์ หรือการสร้างทักษะที่เกี่ยวข้อง สัมพันธภาพที่ดีกับบุคคลที่สำคัญถูกคน (right individuals) จะช่วยให้เด็กเยาวชนเชื่อมโยงกับ โรงเรียนและชุมชน และช่วยสร้างเครือข่ายที่สามารถรองรับเด็กเยาวชนได้ในชีวิตประจำวันของเขาหรือเธอ (Sills et al., 2020, p. 11) ในแคนาดา ยังมีการวิจัยสำรวจเรื่อง “ภาวะไร้บ้าน” (Without a Home) เป็นการสำรวจเด็กเยาวชนทั้ง ประเทศที่มีประสบการณ์เป็นคนไร้บ้าน ผลการสำรวจพบว่า 1 ใน 3 ของเด็กเยาวชนเหล่านี้มีสัมพันธภาพที่ไม่ดีกับพ่อแม่และ นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาหรือเธอหนีออกจากบ้าน ผลการสำรวจยังพบอีกว่า เด็กเยาวชนที่เคยเป็นคนไร้บ้านเหล่านี้ ยังมีการติดต่อกับสมาชิกครอบครัวอย่างน้อยในช่วงเวลานับเดือน และยังมีความต้องการที่จะปรับปรุงสัมพันธภาพในครอบครัว ให้ดีขึ้น ที่เมืองโตรอนโต แคนาดาหน่วยงาน Covenant House ก็มีการดำเนินงานแผนงาน FNS ที่เน้นการสนับสนุนเชิงคลินิก อย่างเข้มข้นและเน้นการจัดการรายกรณีในการช่วยเด็กเยาวชนกลับมาเชื่อมต่อสัมพันธภาพที่ดีกับสมาชิกครอบครัวอย่าง ปลอดภัย (Sills et al., 2020, p. 11) ที่สหราชอาณาจักร องค์กรไม่แสวงหากำไรชื่อ North London Cares ได้จัดระเบียบเครือข่ายชุมชนของ นักวิชาชีพรุ่นเยาว์กับเพื่อนบ้านสูงวัย เพื่อช่วยลดความรู้สึกเหงา และแยกตัวโดดเดี่ยว ขณะเดียวกันก็ปรับปรุงสัมพันธภาพใน ชุมชนเพื่อนบ้าน ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ ทักษะชีวิต และฟื้นฟูความเข้มแข็งทางอารมณ์ (emotional resilience) ข้าม การแบ่งแยกทางสังคม วัฒนธรรมและรุ่นคน ในปี ค.ศ. 2016 ได้มีการประเมินผลแผนงาน FNS นี้และพบว่า เพื่อนบ้านใน ชุมชนที่เข้ามามีส่วนร่วมมีสุขภาวะที่ดี มีความสุขและมีความผูกพันกับชุมชนมากขึ้น และผู้สูงวัยในชุมชนหลายคนชี้ว่าตนมีที่ พึ่งพาในเวลาที่มีปัญหา เมื่อไม่นานมานี้ องค์กร North London Cares ยังได้ริเริ่มแผนงาน “โทรหาเพื่อน” (phone-afriend program) เพื่อต่อสู้กับความโดดเดี่ยวแยกตัวที่เป็นผลกระทบมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เชื่อมโยง เพื่อนบ้านที่ติดการขังตัวอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ให้ได้พูดคุยสื่อสารถึงกันและกัน (Sills et al., 2020, p. 12) 5. การลงทุนในผลลัพธ์และเน้นผลตอบแทนที่เกิดขึ้น หน่วยงานดูแลทางสังคมควรจะกำหนดผลลัพธ์ (outcomes) ไว้ที่ศูนย์กลางของแผนงานการจัดซื้อจัดหาและ ประเมินผล รัฐบาลไม่ควรชี้วัดความก้าวหน้าของแผนงานโดยจำนวนมากน้อยของการดำเนินการหรือจำนวนของการให้บริการ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 30 ทั้งนี้ การชี้วัดที่ผลิตผล (output) จะเหมาะสมกว่าและควรจะพิจารณาการประเมินถึงการทันต่อระยะเวลาและความแม่นยำ ถูกต้องของการจัดบริการด้วย อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัวและชุมชนอย่างแท้จริง การดูแล ทางสังคมควรจะเน้นไปที่ผลลัพธ์ (outcomes) หน่วยงานการดูแลทางสังคมควรใช้แนวคิดเรื่องผลลัพธ์เป็นฐาน (outcomesbased approach) ในการพิจารณาห่วงโซ่คุณค่าของการดูแลทางสังคม ตั้งแต่การออกแบบ การจัดซื้อจัดหา การให้บริการ และการประเมินผล (Sills et al., 2020, p. 12) แนวคิดที่เน้นผลลัพธ์ (outcomes approach) ได้กลายมาเป็นความนิยมมากยิ่งขึ้น แต่บรรดาองค์กรต่างๆ ยังคงเข้าใจไม่ตรงกันเท่าที่ควร แผนงานส่วนใหญ่ยังคงใช้วิธีวัดแบบ metrics ที่รวมศูนย์ไปที่กระบวนการ (processes) ภารกิจ (tasks) และผลผลิต (outputs) มากกว่าที่จะพิจารณาคุณภาพของความผูกพันและผลการปรับปรุงที่จับต้องได้ในชีวิต ของผู้ใช้บริการ อุปสรรคของการเปลี่ยนไปสู่แนวคิดที่เน้นผลลัพธ์ ได้แก่ การที่ตารางเวลาการจัดบริการไม่ยืดหยุ่นและ ความกดดันที่ต้องการความสำเร็จมากๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีทรัพยากรที่จะช่วยสนับสนุนอย่างเพียงพอ (Sills et al., 2020, p. 12) ที่รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกาใช้ฐานข้อมูลโดยบูรณาการเข้าไปทำความเข้าใจอย่างลุ่มลึกยิ่งขึ้นและเปรียบเทียบ ผลกระทบของแผนงานและการบริการดูแลทางสังคมที่มีต่อชีวิตของเด็กๆ องค์กร Oregon Child Integrated Dataset ได้ยึดโยงอย่างแนบแน่นกับฐานข้อมูลของหน่วยงานด้านการดูแลทางสังคมของรัฐโอเรกอน 5 แห่ง ได้แก่ (1) Department of Education; (2) Early Learning Division; (3) Department of Human Services; (4) Oregon Health Authority; และ (5) Oregon Youth Authority ได้วิเคราะห์ข้อมูลของทั้งห้าองค์กร ทำให้สามารถคัดกรองและระบุโอกาสในการสนับสนุนให้ เกิดผลลัพธ์ที่ดีแก่เด็กๆ ในรัฐ (Sills et al., 2020, p. 12) ที่เวลส์ รัฐบาลใช้กรอบแนวคิดผลลัพธ์ระดับชาติในการนำไปใช้อธิบายวิธีการชี้วัดการปรับปรุงพัฒนาบริการ การสนับสนุนและการดูแลทางสังคม กรอบแนวคิดดังกล่าวเน้นผลลัพธ์ที่เกิดกับบุคคล (personal outcomes) และเน้น ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีโดยการทำความเข้าใจกับสิ่งที่มีผลต่อประชาชนและสิ่งที่ประชาชนต้องการที่จะบรรลุผลสำเร็จ ตัวอย่างเช่น บุคคลอาจจะต้องการการจ้างงานที่มีเสถียรภาพ หรือบางคนต้องการออกจากโรงพยาบาลแล้วไปพักฟื้นที่บ้าน อย่างอบอุ่น หรือบางคนต้องการกลับมามีสัมพันธภาพที่ดีกับพ่อแม่ที่ห่างเหินกันไป โดยการให้ความสำคัญกับการรับรู้ เป้าหมายและความปรารถนาของประชาชน นั่นคือการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีอำนาจในการควบคุมบริการการดูแลทาง สังคมสำหรับตนเอง และหน่วยงานก็สามารถแสวงหาหนทางที่ดีที่สุดที่ทำให้ประชาชนได้บรรลุการตอบสนองความต้องการ ของตน นอกจากนั้น ที่สก๊อตแลนด์ แผนงานการสนับสนุนให้ประชาชนกำหนดทิศทางของตนเอง (Self-Directed Support program) มีการดำเนินงานโดยให้งบประมาณแก่ผู้ได้รับประโยชน์จากแผนงานสามารถวางแผนการบริการให้กับตนเองได้ เสมือนเป็นหุ้นส่วนที่มีสถานะทัดเทียมกับทีมงานการดูแลทางสังคมของรัฐบาล (Sills et al., 2020, p. 13) 6. การรวมศูนย์ไปที่ทรัพยากรที่ได้ผลและการสะท้อนป้อนกลับของผู้ใช้บริการและครอบครัว หน่วยงานการดูแลทางสังคม โดยทั่วไป สามารถยึดกุมข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาของประชาชนในพื้นที่ที่รับผิดชอบได้ อยู่แล้ว อาทิข้อมูลเกี่ยวกับการตกงาน การทำผิดกฎหมายหรือการมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม การเป็นคนไร้บ้าน และ ความหิวโหยไม่มีอาหารบริโภค แต่ในทางกลับกัน หน่วยงานที่ดูแลทางสังคมไม่ค่อยมีข้อมูลว่าอะไรทำให้คนในชุมชนหรือ ชุมชนทั้งหมดมีสิ่งที่ดีงามเกิดขึ้น การให้ความสนใจในเรื่องที่ดีของชุมชนมีน้อย ตัวอย่างเช่น มีผู้สูงอายุในชุมชนกี่คนที่ได้ไปพบ แพทย์ในโรงพยาบาลด้วยความช่วยเหลือของอาสาสมัครในชุมชนขับรถไปส่งให้โดยไม่คิดค่าโดยสาร หรือมีคนในชุมชนกี่คนที่ เคยเป็นคนตกงาน แต่สามารถกลับมามีงานทำที่มั่นคงและมีรายได้ดีกว่าเดิม รัฐบาลที่ต้องการปรับปรุงชีวิตของประชาชน จำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างมากกับความเข้มแข็งของชุมชน (community strengths) (Sills et al., 2020, p. 13) การเก็บรวบรวมข้อมูลที่เน้นฐานคิดความเข้มแข็งจะพิจารณาในสิ่งที่มีคุณค่าดีๆ ที่ชุมชนมีอยู่ (community assets) และให้สำคัญกับด้านที่ดีงามในชีวิตของประชาชน การเปลี่ยนผ่านทัศนะไปสู่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ช่วยให้เราสามารถระบุ ได้ว่า ทรัพยากรของชุมชนและสิ่งที่มีคุณค่าดีๆ ของชุมชนอะไรบ้าง ที่ไม่ได้นำมาใช้หรือหลงลืมไป ซึ่งการดำเนินการแสวงหา


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 31 ทรัพยากรที่ดีและสิ่งที่มีคุณค่าในชุมชนจะมีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้ชุมชนสามารถฟื้นคืนความเข้มแข็งได้ด้วยตนเอง (community resilience) และไม่ต้องตกอยู่ในกับดักการพึ่งพาอีกต่อไป (Sills et al., 2020, p. 13) แนวคิดแนวทางที่เน้นฐานความเข้มแข็งแนวคิดหนึ่ง เรียกกันว่า “การพัฒนาชุมชนที่เน้นฐานคุณค่าที่ดีงาม” (asset-based community development) หรือเรียกย่อว่า ABCD หน่วยงานการดูแลทางสังคมที่ใช้ ABCD สามารถค้นพบ บุคคลที่มีความสามารถพิเศษและทรัพยากรที่มีคุณค่าดีๆ ในชุมชนและสามารถเชื่อมโยงติดต่อกับบุคคลและทรัพยากรเหล่านี้ มาตอบสนองความต้องการของชุมชนได้ดี พื้นฐานความคิดสำคัญคือการสร้างสรรค์จากสิ่งที่มีความเข้มแข็งดีอยู่แล้วในชุมชน และพิจารณาว่าคนในชุมชนจะสามารถกระทำการใดบ้างที่จะตอบสนองปัญหาและความต้องการของคนอื่นในชุมชน ตัวอย่าง ในสหราชอาณาจักร สภาแห่งเมืองยอร์ค (York City Council) มีแผนงาน ABCD มีคนในชุมชนคนหนึ่งสามารถเอาชนะ ความท้าทายจากปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ ปัจจุบัน เธอหันมารับใช้ชุมชนในฐานะผู้นำการรณรงค์เพื่อสุขภาพชุมชน มีการจัด กิจกรรมในการส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างผู้คนในชุมชนของเธอ (Sills et al., 2020, p. 13) ABCD เป็นการดำเนินงานที่สะท้อนการพิทักษ์ประโยชน์ของประชาชนในชุมชน ABCD ทำให้ได้พบสิ่งที่มีคุณค่า ดีงามในชุมชนอย่างน้อย 5 ประการ ได้แก่ (1) บุคคลที่มีทักษะและความสามารถพิเศษ (2) สมาคมที่จัดตั้งเพื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์ร่วมกันบางประการ (3) สถาบัน อาทิ บริษัทธุรกิจ โรงเรียน และหน่วยงานรัฐบาล; (4) สินทรัพย์ทางกายภาพ เช่น ที่ดิน และสิ่งที่ธรรมชาติสร้างไว้ให้; และ (5) การติดต่อเชื่อมโยงกันระหว่างบุคคลในชุมชน แผนงานที่ใช้ฐานคิด ABCD จะช่วยกำกับทิศทางให้สิ่งที่มีคุณค่าดีงามดังกล่าว ได้นำไปสู่การปรับปรุงตัวกำหนดทางสังคมต่อสุขภาพ (social determinants of health) ในชุมชน ABCD เป็นการใช้ทุนทางสังคม ที่เป็นระดับการติดต่อเชื่อมโยงกันระหว่างคนในชุมชน นำมาสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในชุมชน (Sills et al., 2020, p. 13) ที่เมืองไวท์สเบอร์ก รัฐเคนทักกี้ มีการรวมตัวของภาคีหุ้นส่วนชุมชนที่เรียกว่า Letcher County Culture Hub ได้ ดำเนินการนำสิ่งที่มีคุณค่าในท้องถิ่น (local assets) มาใช้ปรับปรุงสมรรถนะของชุมชนและสร้างความมั่งคั่งให้ชุมชนโดยใช้ รูปแบบที่เรียกว่า การพัฒนาเศรษฐกิจวัฒนธรรมชุมชน (community cultural economic development) การรวมตัวของ กลุ่มนี้ ทำให้เกิดการสร้างธุรกิจท้องถิ่นใหม่ๆ และขยายธุรกิจที่มีอยู่เดิม เกิดการช่วยเหลือศิลปินท้องถิ่น ชาวไร่ชาวนา ครูและ คนอื่นๆ ในชุมชนในการใช้ทักษะของแต่ละคน เพื่อผลิตสร้างรายได้ รวมถึงได้รื้อฟื้นสถาบันวัฒนธรรมในชุมชนให้กลับมาสร้าง รายได้ ได้แก่ การเต้นรำของท้องถิ่นที่เรียกว่า square dance และเทศกาลเพลงคันทรี่ ที่เรียกว่า blueglass festival (Sills et al., 2020, p. 13) ระบบการดูแลทางสังคมในมิติระบบนิเวศเชิงองค์รวม ระบบการดูแลทางสังคมที่สามารถตอบโจทย์ของวิถีปกติก้าวต่อไป ควรจะเป็นระบบการดูแลทางสังคมที่ตั้งอยู่บน ฐานคิดระบบนิเวศเชิงองค์รวม (holistic ecosystem of care) ซึ่งเป็นบูรณาการของระบบการดูแลทางสังคม 3 ระดับ ระดับ ที่ 1 เป็นระดับระบบใหญ่ (system level) ของการดูแลทางสังคมที่ให้ภาพรวมของการจัดการ และการกำกับการเพื่อ การบริการแก่ประชาชนทั้งหมด โดยจำเป็นต้องได้รับข้อมูลสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากระบบฐานข้อมูลที่เน้นผลลัพธ์ (outcomes-based data) ระบบข้อมูลข่าวสารที่เชื่อมโยงกันนี้จะช่วยสนับสนุนให้มีการบูรณาการของการจัดการรายกรณี การร่วมมือระหว่างเครือข่ายผู้ให้บริการ และเส้นทางการดูแลแบบไร้รอยต่อ (Sills et al., 2020, p. 15)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 32 ภาพที่ 2 ระบบการดูแลทางสังคมในมิติระบบนิเวศเชิงองค์รวม. ที่มา: Deloitte Analysis cited in Sills et al., 2020, p. 15. ระดับที่ 2 เป็นระดับของผู้ให้บริการ (provider level) ในระดับนี้ หน่วยงานที่ให้บริการและภาคีหุ้นส่วนที่ให้บริการ จะบูรณาการเข้าด้วยกันผ่านทางสาขาวิชาการต่างๆ โดยมีรูปแบบการเงินงบประมาณที่จะช่วยสร้างภาคีความร่วมมือร่วมใจให้ เกิดขึ้น รูปแบบนี้จะกระตุ้นให้เกิดการวางแผนการดูแลแบบองค์รวม (holistic care plans) และทีมงานการดูแลที่ได้รับ การสนับสนุนจากระบบการแบ่งปันข้อมูลและระบบการจัดการรายกรณี (Sills et al., 2020, p. 15) ระดับที่ 3 ได้แก่ ระบบผู้ใช้บริการ หรือบุคคลและครอบครัว โดยระบบนี้จะเป็นการจัดการวางแผนการดูแลแบบ เฉพาะตน (tailor a unique care plan) เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความต้องการจำเป็นของผู้ใช้บริการแต่ละราย อย่างแท้จริง (Sills et al., 2020, p. 15) เพื่อที่จะสร้างสรรค์ระบบนิเวศแบบใหม่ หน่วยงานการดูแลทางสังคมควรจะเปลี่ยนผ่านห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดของตน โดยให้เริ่มต้นตั้งแต่การปรับนโยบายให้ตั้งอยู่บนฐานคิดมนุษย์เป็นศูนย์ความสำคัญ (human-centered approach) และใช้ กระบวนการตัดสินใจจากหลักฐานเชิงประจักษ์ (evidence-based decision-making) หน่วยงานควรจะใช้HCD หรือ human-centered design ในการพัฒนาแบบแผนการบริการ การเน้นกลยุทธ์ความคล่องตัวและความยืดหยุ่น และพัฒนา เมนูกองทุนในรูปแบบที่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน การควบคุมกำกับดูแลควรจะเน้นรูปแบบการบริการที่อิง หลักฐานเชิงประจักษ์ ในขณะเดียวกัน แบบแผนข้อบังคับและกฎเกณฑ์ต่างๆ ควรนำมาทลายข้อจำกัดของการสร้างระบบ นิเวศที่ตอบโจทย์ความหลากหลายและไม่แบ่งแยกกีดกัน ส่วนการประเมินผลคุณภาพของบริการ หน่วยงานการดูแลทางสังคม ควรจะใช้ตัวชี้วัดที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่สามารถชี้วัดผลกระทบต่อชีวิตประชาชนที่ได้รับบริการ (Sills et al., 2020, p. 16) โดยวิสัยทัศน์ใหม่สำหรับระบบการดูแลทางสังคมเป็นวิสัยทัศน์ที่ตั้งอยู่บนฐานคิดเรื่องระบบนิเวศ ผู้นำหรือผู้บริหาร จำเป็นต้องลงทุนกับปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมผลลัพธ์ตลอดห่วงโซ่คุณค่า รวมไปถึงการบริหารข้อมูลด้วยธรรมาภิบาล (data governance) และการบูรณาการ การจัดการรายกรณี ความมั่นคง เทคโนโลยี ความสามารถทางดิจิตอล และกำลังแรงงาน ปัจจัยเหล่านี้มีความสำคัญยิ่ง ทว่า ปัจจัยดังกล่าวก็ยังไม่ประกันในความสำเร็จ ผู้นำหรือผู้บริหารหน่วยงานการดูแลทางสังคม ระบบ (System) ผู้ให้บริการ (Provider) บุคคลและครอบครัว (Individual and family)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 33 จำเป็นต้องมีความจริงใจ (will) มีอาณัติอำนาจ และมีสมรรถนะในการสร้างการเปลี่ยนผ่าน การแพร่ระบาดของไวรัสครั้งนี้ ทำให้เกิดโอกาสสำคัญครั้งหนึ่งในรุ่นคนรุ่นนี้ที่จะแลกภาวะวิกฤตให้กลับคืน ด้วยรูปแบบนวัตกรรมที่จะเชื่อมโยงเครือข่ายของ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกลุ่มต่างๆ ในการเข้ามาทำงานร่วมกัน มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน เพื่อออกแบบระบบการดูแลทางสังคมที่จะ ตอบสนองชีวิตของผู้คนในยุควิถีปกติแห่งการก้าวต่อไปข้างหน้า การปฏิรูปภาวะผู้นำในระบบการดูแลทางสังคมยุคหลังโควิดด้วยฐานคิดมนุษย์นิยม แนวคิดแนวทางที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางความสำคัญ (human centered) นักวิชาการบางท่านใช้คำว่า กระทำ การให้เป็นมนุษย์ (humanizing) โดยคิลจิและลิสต์ (Khilji & List, 2021) วิเคราะห์ว่า โลกยุคหลังโควิดนั้นกำลังเผชิญกับ ความท้าทายในปัญหาความเหลื่อมล้ำที่พุ่งขึ้นสูง ภาวะผู้นำที่จะต้องท้าทายในโลกยุคหลังโควิด ทั้งนี้ นักวิชาการทั้งสองท่าน ระบุว่าความท้าทายต่อภาวะผู้นำดังกล่าวเป็นความท้าทายในระบบการบริหารจัดการในวงกว้าง มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ ต้องทบทวนพื้นฐานของการจัดระบบระเบียบการบริหารจัดการ มีผลการวิจัยมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า โครงสร้างการบริหาร จัดการขององค์กรต่างๆ เป็นแหล่งสำคัญของการครอบงำของชนชั้นนำและความเหลื่อมล้ำทางรายได้(Amis et al., 2020; Bapuji, 2015; Beal & Astakhova, 2017 cited in Khilji & List, 2021) การแพร่ระบาดของไวรัสยิ่งทำให้เกิดผลกระทบ ของความเหลื่อมล้ำดังกล่าว และผลกระทบส่วนใหญ่ลงลึกลงไปที่พื้นล่างสุดของพีรามิด กลายเป็นยิ่งเสริมความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในองค์กรให้รุนแรงและร้ายแรงยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ วิถีชีวิตปกติใหม่และวิถีชีวิตปกติก้าวต่อไป จำเป็นต้อง ทบทวนภาวะผู้นำที่นำมาต่อกรกับความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ให้ได้ แนวคิดแนวทางการกระทำการเชิงมนุษย์นิยมย้ำเน้นความสำคัญของการร่วมกันประกอบสร้าง (co-constitutive) ในภาวะผู้นำ ทั้งนี้ ผู้นำควรจักต้องเรียนรู้การร่วมมือร่วมใจกับผู้ตามและสื่อสารกับผู้ตามในสภาวะแวดล้อมของเขาหรือเธอ ผู้นำควรจักต้องพบปะพูดคุยกับผู้ตามในที่ที่เขาหรือเธออยู่ สำรวจในสิ่งที่ผู้ตามยืนหยัดต่อสู้ ให้เกียรติยกย่องในคุณค่า ของผู้ตาม และเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ตามเติบโตก้าวหน้าในอนาคต วิธีคิดดังกล่าวจะช่วยสร้างสภาวะแวดล้อม แห่งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นจิตสำนึกแห่งการร่วมเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรและจิตสำนึกแห่งอัตลักษณ์ของผู้ตาม (Khilji & List, 2021) นักวิชาการได้เสนอหลักการการกระทำการเชิงมนุษย์นิยมในภาวะผู้นำ 4 หลักการ ได้แก่ (1) หลักการส่งเสริม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของแต่ละบุคคล (2) หลักการให้ความเคารพนับถือในบุคคล สิทธิของบุคคลและความยุติธรรมใน องค์กร (3) หลักการดูแลผู้อื่นและสร้างสมดุลระหว่างการบริการกับความต้องการ และ (4) หลักการยึดในประโยชน์ส่วนรวม ต้องอยู่เหนือผลประโยชน์ส่วนบุคคล (Mele, 2003 cited in Khilji & List, 2021) โดยคำว่า “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” นั้น เป็นการกระทำเชิงสัมพันธ์ที่ทุกๆ ฝ่ายควรจะได้รับ เราควรมีปฏิสัมพันธ์ต่อคนอื่นอย่างเสมอภาคเท่าเทียม อย่างให้เกียรติกัน อย่างสมเหตุสมผล และส่งเสริมคุณค่าภายในและสิทธิของเราทุกคน ทั้งนี้ ในขณะที่ การตระหนักในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีนัยของความเสมอภาคเท่าเทียม แต่เราทุกคนมีอัตลักษณ์เฉพาะตน ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่ผู้นำจักต้องตระหนักถึง ลักษณะเฉพาะตน (uniqueness) และความหลากหลายของบุคคลและกลุ่มคน ในส่วนหลักการที่สอง หลักการให้ความเคารพนับถือในบุคคล ซึ่งนับเป็นการตระหนักในคุณค่าของศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์และนับเป็น “หลักคำสอน” (golden rule) ในหลายๆ ประเพณีและวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม ผู้นำเมื่อปฏิบัติต่อคนอื่น อย่างเคารพนับถือและมีศักดิ์ศรีเท่าๆ กันนั้น ผู้นำคนนั้นจักต้องจริงจังกับการแสวงหาความเข้าใจต่อความเป็นจริงเฉพาะตน ของบุคคล ไม่ใช่เพียงแค่กระทำการอย่างสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้นำคิดเองว่าดีแล้ว หลักการข้อที่สาม หลักการดูแลผู้อื่นหมายถึง บรรทัดฐานที่สัมพันธ์กับความจริงใจในการใส่ใจดูแลและจัดให้มีบริการที่สมดุลกับความต้องการ การใส่ใจดูแลผู้อื่นเป็น การแสดงออกที่มีความจำเป็นต่อการเติมเต็มความเป็นมนุษย์ที่งดงาม หลักการข้อที่สี่เป็นการขยายทัศนะที่ไม่แบ่งแยกกีดกัน (inclusive) โดยยึดถือว่าประโยชน์ของส่วนรวมหรือความดีงามร่วมกัน ต้องมีความสำคัญเหนือกว่าผลประโยชน์ส่วนตน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 34 หลักการนี้นำไปสู่การเชื่อมโยงบุคคลในองค์กรและชุมชนด้วยสำนึกความรับผิดชอบต่อคนอื่นๆ ในองค์กรและชุมชน หลักการ ข้อนี้ยังมีความสำคัญอย่างมากต่อพื้นฐานการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อประเด็นปัญหาและความท้าทายทางสังคมและของโลก เป็นอย่างยิ่ง ผู้นำในระบบการดูแลทางสังคมควรจักต้องถามตนเองอยู่เสมอถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบดังกล่าว เราจะเห็นได้ ว่า แนวคิดการกระทำการเชิงมนุษย์นิยมทำให้ผู้นำของระบบการดูแลทางสังคมกระทำการไปในหนทางที่ให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ ส่งเสริมศักดิ์ศรีของมนุษย์ รักษาความเสมอภาคเท่าเทียม ส่งเสริมคุณธรรมความรับผิดชอบ และหล่อเลี้ยงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี (Khilji & List, 2021) ภาวะผู้นำที่ย้ำเน้นแนวคิดการกระทำเชิงมนุษย์นิยมเป็นสิ่งสำคัญจำเป็นสำหรับระบบการดูแลทางสังคม ในยุควิถีปกติก้าวต่อไป บทวิเคราะห์ ระบบการดูแลทางสังคมไม่ใช่การสงเคราะห์ชั่วครั้งคราว ระบบการดูแลทางสังคมไม่ใช่การสงเคราะห์ประชาชนทางสังคม (social assistance) แต่อาจมีความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกันในระดับหนึ่ง การดูแลทางสังคมไม่ใช่การบรรเทาทุกข์ชั่วครั้งคราว ทว่า มีวัตถุประสงค์ เป้าหมาย วิสัยทัศน์และ พันธกิจ เป็นไปเพื่อสนับสนุนปัจเจกบุคคลในหนทางที่ทำให้บุคคลนั้นสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างมีอิสระ ระบบ การดูแลทางสังคมไม่ได้เน้นเฉพาะการจัดบริการในกลุ่มคนที่มีความเปราะบาง หรือผู้สูงอายุและเด็ก การดูแลทางสังคมเหมือน จะเป็นการคู่ขนานไปกับการดูแลสุขภาพ (health care) แต่ก็ไม่ใช่การดูแลสุขภาพล้วนๆ ระบบการดูแลครอบคลุมรูปแบบ การบริการทุกๆ รูปแบบ ทว่าไม่ได้ปลีกตัวแยกออกจากการดูแลสุขภาพโดยเด็ดขาด อาจจะเชื่อมโยงกับแพทย์ในโรงพยาบาล หรือการผ่าตัดศัลยกรรมต่างๆ การดูแลทางสังคมมักจะเป็นการจัดการดูแลบุคคลที่บ้านหรือที่ที่จัดให้มีบริการพิเศษเป็น การเฉพาะ การดูแลทางสังคมไม่ใช่เพียงแค่บริการในโรงพยาบาล ทว่า การดูแลทางสังคมคือระบบเปิดออกไปสู่สังคมกว้าง แม้จะมีความเชื่อมโยงกับการดูแลสุขภาพในโรงพยาบาลและในหน่วยงานอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานการณ์ของ การเรียกร้องให้มี “ชีวิตวิถีปกติก้าวต่อไป” หรือ Next Normal นี้ ระบบการดูแลทางสังคมถูกคาดหวังให้ดำเนินการในเชิงรุก มากยิ่งขึ้น และเป็นเชิงรุกที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางความสำคัญ (human centered) ยิ่งขึ้น ระบบการดูแลทางสังคมมีความสัมพันธ์กับการจัดสวัสดิการสังคม ระบบการดูแลทางสังคมมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับการจัดสวัสดิการสังคม ทั้งนี้ บรรดาประเทศที่มีระบบสวัสดิการ ที่เข้มแข็งหรือที่เรียกว่าระบบรัฐสวัสดิการ ตัวอย่างเช่น ประเทศสวีเดนมักจะมีระบบการดูแลทางสังคมที่เป็นการให้บริการ แบบถ้วนหน้าและแบบเป็นมิตร (generosity) อย่างสูงกับประชาชนทุกคน (Robertson, Gregory & Jabbal, 2014). ในขณะที่ สหรัฐอเมริกาซึ่งมีความเป็นรัฐสวัสดิการน้อย (เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วด้วยกัน) ระบบการดูแล สังคมเปิดให้ตลาดเสรีเข้ามาทำหน้าที่อย่างมาก ประชาชนแต่ละคนต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตนเอง และมีระบบการดูแล ทางสังคมที่เน้นการตรวจสอบคุณสมบัติของประชาชน (means-tested government assistance) โดยประชาชนจำนวน หนึ่งอาจเข้าไม่ถึงบริการการดูแลสุขภาพและการดูแลทางสังคม นั่นคือ ปัญหาของระบบสวัสดิการที่ยังคงปล่อยให้สุขภาพและ สวัสดิการปลายเป็นสินค้าในตลาดเสรีมากเกินไป ทำให้ไม่ได้เน้นการจัดบริการแบบถ้วนหน้าและเป็นมิตรต่อประชาชน ในสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของไวรัส มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ระบบการดูแลทางสังคมต้องพิจารณา การให้บริการที่ครอบคลุมประชาชนทั้งหมด ตัวอย่างของประเทศไอร์แลนด์ก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 นโยบายของ ประธานาธิบดีฮิกกิ้น (Higgins) เป็นนโยบายที่รัดเข็มขัด ลดงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมลงอย่างมาก ตามแนวทางของลัทธิ เศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ (neo-liberalism) ทว่า ประธานาธิบดีของไอร์แลนด์ได้พลิกกลับนโยบายไปตรงกันข้าม แทนที่จะยึด แนวทางเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ที่ได้เคยแถลงก่อน COVID-19 ระบาดกลับมาให้ความสำคัญกับแนวทางสังคมประชาธิปไตย (social democracy) ที่เน้นดูแลประชาชนอย่างถ้วนหน้า หลักฐานเชิงประจักษ์ ได้แก่ การที่ฮิกกิ้นได้กล่าวในที่ประชุม OECD ว่า “การแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสเป็นการย้ำเน้นให้เห็นชัดเจน สำหรับนิเวศ-สังคม เศรษฐกิจการเมืองแบบใหม่-ที่มีบริการ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 35 พื้นฐานแบบถ้วนหน้า (universal basic services) ที่จะคุ้มครองเราได้ในอนาคต” (Donoghue, 2020; กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2564) นัยของระบบสวัสดิการในโอร์แลนด์คือการกลับมาลดความเป็นสินค้าของสวัสดิการสังคม ระบบการดูแลทางสุขภาพ และระบบการดูแลทางสังคมนั่นเอง ระบบการดูแลทางสังคมให้ความสำคัญกับความหลากหลายและการไม่แบ่งแยกกีดกัน ข้อเสนอถึงแนวทางการปฏิรูประบบการดูแลทางสังคมของนักวิชาการหลายท่าน ให้พิจารณาถึงการเน้นมนุษย์เป็น ศูนย์กลางความสำคัญ (human centered) อย่างไรก็ตาม การให้ความสำคัญกับแนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลางความสำคัญ เป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับแนวคิดความหลากหลาย (diversity) แนวคิดความเสมอภาคเท่าเทียม (equality) และ การไม่แบ่งแยกกีดกัน (inclusion) ซึ่งรวมไปถึงการขจัดการเลือกปฏิบัติ (discrimination) ทั้งนี้ ในบริบทของการปฏิบัติจริง มีประเด็นเรื่องสังคมวัฒนธรรมและทรัพยากรของชุมชนและท้องถิ่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ระบบการดูแล ทางสังคมต้องละเอียดอ่อนกับค่านิยมของสังคมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างของ อบต. ดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัด เชียงใหม่ที่ใช้แนวคิดสวัสดิการผลิตภาพนิยม (Productive welfare) และแนวคิดสวัสดิการที่เน้นการคุ้มครอง (Protective welfare) ในการจัดบริการสวัสดิการที่สะท้อนการดูแลทางสังคมอย่างละเอียดอ่อนได้เป็นอย่างดี (Nontapattamadul, 2022) การจัดบริการสวัสดิการสังคมที่ อบต. ดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่สะท้อนฐานคิดระบบการดูแลทางสังคมที่ เน้นความเป็นมนุษย์ นับเป็นต้นแบบการปฏิบัติที่ดีของระบบการดูแลทางสังคมในยุควิถีปกติก้าวต่อไป สรุป ระบบการดูแลทางสังคมมีความสำคัญและเชื่อมโยงกับระบบการดูแลสุขภาพ รวมทั้งระบบสวัสดิการสังคมของสังคม ระบบการดูแลทางสังคมในหลายประเทศเน้นการดูแลผู้สูงอายุและบ่อยครั้งที่เน้นไปในการบริการด้านที่พักอาศัยของผู้สูงอายุ หรือมักจะได้รับการพิจารณาในความหมายที่เป็นเพียงการบรรเทาทุกข์ให้กับกลุ่มคนที่ยากไร้ขัดสนหรือกลุ่มที่เปราะบาง นักวิชาการมีความเห็นว่าเส้นแบ่งกั้นระหว่างการดูแลทางสังคมและการดูแลทางสุขภาพได้ละลายหายไปแล้ว อันที่จริง ระบบ การดูแลทางสังคมมีความครอบคลุมกว้างขวางและมีผลกระทบต่อการจัดสวัสดิการสังคมให้กับประชาชนทุกกลุ่ม มีนัยทั้ง การป้องกัน การพัฒนา การบำบัดรักษา การฟื้นฟูสมรรถภาพและการฟื้นคืนความเข้มแข็ง (resilience) ของบุคคล ครอบครัว กลุ่มและชุมชน ในขณะที่ การแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) มาระยะหนึ่ง แม้ว่าตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ความรุนแรงของอุบัติการณ์ของโรคเบาบางกว่าในระยะแรกๆ แต่เชื้อไวรัสก็ไม่มีทีท่าว่าจะ พ่ายแพ้หรือหายไป ทว่า ยังคงมีการกลายพันธุ์ที่ยากจะคาดเดาว่า อุบัติการณ์ของโรคจะกลับมารุนแรงอีกหรือไม่ วิถีปกติใหม่ จึงได้รับการทบทวนในเชิงยุทธศาสตร์และการพยายามฟื้นคืนความเข้มแข็งให้ได้ดีกว่าเดิม วิถีปกติก้าวต่อไป (The Next Normal) จึงเกิดขึ้น พร้อมๆ กับแนวคิดเชิงกลยุทธ์ที่เน้นเชิงรุก เน้นการฟึ้นคืนทางสังคม และการปฏิรูปอย่างจริงจัง ระบบ การดูแลทางสังคมได้สมาทานการเปลี่ยนแปลงในมิติของวิถีปกติก้าวต่อไปอย่างสำคัญ และการปฏิรูปยังเป็นที่คาดเดาได้ว่า ยังคงพลวัตเคลื่อนไหวต่อเนื่องไปอีกในอนาคตอันใกล้นี้. เอกสารอ้างอิง กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2564). ความมั่นคงทางภววิทยาและการฟื้นคืนความเข้มแข็งในช่วงการแพร่ระบาด COVID-19. หนังสือรวมบทความ การสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนา คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ครบรอบ 67 ปี “ความท้าทายของศาสตร์สังคมสงเคราะห์และนโยบายสังคม”. วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ.2564. (น. 63-79). กรุงเทพฯ: คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. วรรณลักษณ์ เมียนเกิด. (2559). ระบบการดูแลทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ (The social care system for the elderly). วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. 24(2), 150-177.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 36 วรรณวดี พูลพอกสิน. (2564). การระบาด(ของ)เงา: ความรุนแรงทางเพศที่แฝงมากับการแพร่ระบาดของโควิด-19. หนังสือ รวมบทความ การสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนา คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ครบรอบ 67 ปี “ความท้าทายของศาสตร์สังคมสงเคราะห์และนโยบายสังคม”. วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ.2564. (น. 45-61). กรุงเทพฯ: คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. Anderson, J., Rainie, L., & Vogels, E. A. (2021). Experts say the ‘New Normal’ in 2025 will be far more techdriven, presenting more big challenges. Pew Research Center, February 18, 2021. Buzelli, L., Cameron, G., & Gardner, T. (2022). Public perceptions of the NHS and social care: Performance, policy and expectations. The Health Foundation. Retrieved from www.health.org.uk/ publications/long-reads/ public-perceptions-performance-policy-and- expectations Davies, A. (2022). Why connected care communities will change health and social care for the better. Deloitte LLP. (2020). Preparing for the next normal: Build modified resilient operations. Donoghue, M. (2020). Resilience as a policy response to crisis? Public Policy.IE. Evidence for Policy. Retrieved from https://publicpolicy.ie/perspectives/resilience-as-a-policy-response-to-crisis/ European Union. (2020). The organization of resilient health and social care following the COVID-19 pandemic. Opinion of the Expert Panel on Effective ways of investing in health (EXPH). Luxembourg: Publications Office of the European Union. Evans, G. P. (2022). Social assistance policies in Thailand and Laos during COVID-19: Emerging policy lessons for ASEAN. Proceedings seminar on the occasion of 67th anniversary of the Faculty of Social Administration, Thammasat University. (pp. 80-99). Goldin, N. (2022). Reorienting resilience for growth in the next normal. Retrieved from https://www.diplomaticourier.com/posts/reorienting-resilience-to-meet-the-next-normal Hodgson, K., Grimm, F., Vestesson, E., Brine, R., & Sarah Deeny, S. (2020). Adult social care and COVID-19: Assessing the impact on social care users and staff in England so far. The Health Foundation. Retrieved from https://doi.org/10.37829/HF-2020-Q16. ICAA COVID-19 Senior Living Taskforce. (2020). Creating a path towards the ‘Next Normal’ in senior living. Vancouver, BC: International Council of Active Aging. Retrieved from www.icaa.cc. ILO. (2022). The next normal: The changing workplace in Africa ten trends from the COVID-19 pandemic that are shaping workplaces in Africa 2022. Jahel, C., Bourgeois, R., Pesche, D., Lattre-Gasquet, M., & Delay, E. (2021). Has the COVID-19 crisis changed our relationship to the future?. Futures & Foresight Science. 3(2), e75. Retrieved from https://doi.org/10.1002/ffo2.75 Khilji, S. E., & List, C. E. (2021). Humanizing to address the grand challenge of rising inequalities: Leadership in a post-COVID world. Academia Letters, Article 215. Retrieved from https://doi.org/10.20935/AL215 LindstrÖm, M. (2020). The COVID-19 pandemic and the Swedish strategy: Epidemiology and postmodernism. SSM - Population Health. 11(2020), 100643.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 37 Mogelonsky, M. (2020). The next normal is now. Retrieved from https://www.mintel.com/blog/consumermarket-news/the-next-normal-is-now Moscovitch, A., & Thomas, G. (2018). A new social care act for Canada: 2.0. For the Canadian Association of Social Workers (CASW) 2018. Nontapattamadul, K. (2022). Practicing productive and protective welfare in a Thai local administration. Social Science Asia. 8(4), 1-15. Perna, G. (2020). Envisioning the ‘next normal’ of health care. Health Evolution. Retrieved from https://www.healthevolution.com/insider/envisioning-the-next-norm-of-health-care/ Robertson, R., Gregory, S., & Jabbal, J. (2014). The social care and health systems of nine countries. Commission on the Future of Heath and Social Care in England. London: The King’s Fund. Retrieved from https://www.kingsfund.org.uk/sites/default/files/media/commission-backgroundpaper-social-care-health-system-other-countries.pdf Sills, D., Hjartarson, J., Osmon, R. K., Fishman, T., & Datar, A. (2021). Transforming social care: Moving beyond “better, faster, cheaper”. Deloitte Insights. A report from the Deloitte Center for Government Insights. Deloitte Development LLC. Member of Deloitte Touche Tohmatsu Limited. Sneader, K., & Singhal, S. (2020). Beyond coronavirus: The path to the next normal. In R. Narisetti, (Ed.). The path to the next normal: Leading with resolve through the coronavirus pandemic. McKinsey & Company. Sneader, K., & Singhal, S. (2021). The Next normal: Trends that will define 2021 and beyond. Rotman Management Magazine. University of Toronto. Webster, H., & Hannan, R. (2020). Reimagining the future of health and social care: How to learn the lessons from the COVID-19 crisis for the next generation health and care system. The RSA (Royal Society for the encouragement of Arts, Manufactures and Commerce). Woolf, S. H. (2019). Necessary but not sufficient: Why health care alone cannot improve population health and reduce health inequalities. Annals of Family Medicine, 17(3), 196-199. Retrieved from https://doi.org/10.1370/afm.2395


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 38 สร้างภาพลักษณ์ใหม่แก่สวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือ Reimage The Residual Welfare พงษ์เทพ สันติกุล 1 Pongthep Suntigul2 Abstract This article presents a new image of the residual social welfare, which has a negative image due to its early definition. Residual social welfare was defined as social welfare which provided by the state to vulnerable who cannot help themselves, but in reality, Residual social welfare can be used as a tool to create social security for recipients in many cases, especially in the time of crisis. Keywords: Residual social welfare, Targeting social welfare บทคัดย่อ บทความนี้นำเสนอความเข้าใจใหม่ต่อสวัสดิการสังคมส่วนที่เหลือ ซึ่งมีภาพด้านลบเนื่องจากการให้ความหมายตั้งแต่ เริ่มต้นในฐานะสวัสดิการสังคมที่รัฐจัดให้แก่คนที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้แต่ในความเป็นจริงแล้ว สวัสดิการสังคมแบบ ส่วนที่เหลือมีประโยชน์และสามารถนำไปเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นคงทางสังคมแก่ผู้รับได้หลากหลายกรณี โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งกรณีเกิดวิกฤตในสังคม คำสำคัญ: สวัสดิการสังคมส่วนที่เหลือ, สวัสดิการสังคมแบบมุ่งเป้า ความนำ สวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือ (Residual Welfare) ภายหลังจากถูกนำเสนอในปี ค.ศ. 1958 (Wilensky and Lebeaux, 1958 cited in Spicker, 2005, p. 347) ในฐานะสวัสดิการสังคมที่รัฐจัดให้แก่คนที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ รวมทั้งถูกขยายความต่อในปี ค.ศ. 1974 (Titmuss, 1974) โดยการจัดระบบการจำแนกสวัสดิการสังคม ทำให้สวัสดิการสังคม แบบส่วนที่เหลือถูกมองเป็นสวัสดิการสังคมที่ส่งผลด้านลบ เพราะทำให้ผู้รับประโยชน์ถูกตีตราว่าเป็นบุคคลที่ไม่สามารถช่วย ตนเองได้ และเป็นภาระที่สังคมต้องรับผิดชอบ แต่ในความเป็นจริงแล้วสวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “สวัสดิการสังคมแบบมุ่งเป้า” มีประโยชน์และสามารถนำไปเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นคงทางสังคมแก่ผู้รับได้หลากหลาย กรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีเกิดวิกฤตในสังคมซึ่งรัฐมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดให้ สอดคล้องกับสถานะทางงบประมาณที่ลดลงเนื่องจากผลกระทบจากวิกฤต บทความนี้มีวัตถุประสงค์นำเสนอความเข้าใจใหม่ แก่สวัสดิการสังคมส่วนที่เหลือ ซึ่งมีภาพลักษณ์ในด้านลบมาตลอด โดยนำเสนอประโยชน์ด้านอื่นๆ ของสวัสดิการสังคมแบบ ส่วนที่เหลือ และประโยชน์ในการสร้างความมั่นคงแก่พลเมืองในยามที่สังคมเกิดวิกฤต การจำแนกสวัสดิการสังคม คำว่า “สวัสดิการส่วนที่เหลือ” (Residual Welfare) ถูกนำเสนอครั้งแรกเพื่อใช้เรียกสวัสดิการสังคมที่จัดสำหรับ กลุ่ม/ บุคคลที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ต่อมาในปีค.ศ. 1974 ถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของการจำแนกสวัสดิการสังคม ออกเป็น 3 รูปแบบ ในหนังสือ “สวัสดิการสังคม: บทนำ” (Social Welfare: An Introduction) (Titmuss, 1974) โดยใช้ ความแตกต่างของกลุ่มผู้รับประโยชน์และวิธีการรับประโยชน์สวัสดิการสังคมเป็นเกณฑ์ในการจำแนก ดังนี้1) สวัสดิการสังคม 1 ศาสตราจารย์ดร., ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ประเทศไทย, Email: [email protected] 2 Professor Dr., Faculty of Social Administration, Thammasat, Thailand.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 39 แบบส่วนที่เหลือ (Residual Welfare Model of Social Policy) เป็นสวัสดิการสังคมที่รัฐจัดให้กับบุคคลที่ตนเองและ ครอบครัวไม่สามารถสนองตอบความต้องการพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีพได้ และโดยไม่ได้ตั้งใจ การจัดสวัสดิการสังคม แบบส่วนที่เหลือจำแนกคนในสังคมออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และกลุ่มที่ไม่สามารถช่วยเหลือ ตนเองได้ ส่งผลให้สวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือถูกมองในด้านลบว่าทำให้ผู้รับประโยชน์สวัสดิการสังคมจะกลายเป็นบุคคล ชั้นสองและถูกคนในสังคมตีตรา (Stigma) เป็นคนเกียจคร้าน ขาดความพยายาม เอาเปรียบผู้อื่นไม่ยอมทำงานช่วยเหลือ ตนเอง 2) สวัสดิการสังคมแบบผลสัมฤทธิ์ทางอุตสาหกรรม (The Industrial Achievement-Performance Model of Social Policy) เป็นสวัสดิการสังคมสำหรับกลุ่มผู้มีงานทำในลักษณะเช่นเดียวกับการประกันภัย โดยการมีการร่วมสมทบเงิน ระหว่างนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐ เพื่อจัดตั้งเป็นกองทุนรองรับความเสี่ยงภัยและสถานการณ์อื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นและทำให้ขาด รายได้ เช่น ว่างงาน ประสบอุบัติเหตุ บาดเจ็บจากการทำงาน เจ็บป่วย เกษียณอายุ ฯลฯ 3) สวัสดิการสังคมแบบสถาบัน (The Institutional Redistributive Model of Social Policy) เป็นสวัสดิการสังคมที่รัฐจัดให้สำหรับพลเมืองทุกคนในฐานะ สิทธิของพลเมือง ด้วยวิธีการกระจายซ้ำทรัพยากร (Redistribution) โดยใช้งบประมาณจากภาษีที่รัฐจัดเก็บจากประชาชน สวัสดิการสังคมรูปแบบนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นสวัสดิการสังคมที่สร้างความเป็นธรรมทางสังคมมากที่สุด พิจารณาในอีกมุมมองหนึ่งพบว่า การจัดสวัสดิการสังคมทั้ง 3 รูปแบบตอบสนองความจำเป็นและต้องการของ คนกลุ่มต่างๆ ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ สวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือเป็นสวัสดิการสังคมสำหรับคนทุกเพศวัยที่ประสบ ความเดือดร้อน โดยใช้วิธีทดสอบความจำเป็น (Mean Test) เป็นเครื่องมือระบุตัวผู้สมควรได้รับความช่วยเหลือจริงๆ ประโยชน์จากสวัสดิการสังคมที่ได้รับจะเป็นเพียงการบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น โดยพยายามผลักดันให้ผู้รับประโยชน์ สามารถแก้ปัญหาและกลับไปพึ่งตนเองได้ตามเดิมอีกครั้ง สวัสดิการแบบผลสัมฤทธิ์ทางอุตสาหกรรม เป็นสวัสดิการสังคมสำหรับกลุ่มคนวัยแรงงานที่มีงานทำ โดยผู้ที่จะได้มี สิทธิได้รับประโยชน์สวัสดิการสังคมต้องมีการจ่ายสมทบระยะเวลาหนึ่งก่อน และสวัสดิการสังคมเชิงสถาบันเป็นสวัสดิการ สังคมสำหรับคนทุกกลุ่มทุกเพศวัยหรือเป็นสิทธิสำหรับเป็นพลเมืองของรัฐ โดยไม่เลือกฐานะและไม่เลือกว่าจะต้องเดือดร้อน หรือไม่ สวัสดิการสังคมของรัฐทั้งสามรูปแบบใช้งบประมาณจากภาษีอากรที่รัฐจัดเก็บในรูปแบบต่างๆ ทั้งภาษีทางตรงและ ภาษีทางอ้อม โดยใช้จ่ายในสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไป กล่าวคือ สวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือใช้งบประมาณจำนวนน้อย เมื่อเทียบกับสวัสดิการสังคมรูปแบบอื่นๆ ในขณะที่สวัสดิการสังคมแบบผลสัมฤทธิ์ทางอุตสาหกรรมใช้งบประมาณเพียงการ จ่ายสมทบในจำนวนเท่าๆ กับจำนวนที่ผู้รับประโยชน์และกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องร่วมจ่าย3 และสวัสดิการสังคมเชิงสถาบันใช้ งบประมาณมากที่สุดเพื่อจัดสวัสดิการสังคมที่เป็นสิทธิของพลเมือง พิจารณาในการมีส่วนร่วมของผู้รับประโยชน์พบว่า สวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือผู้รับประโยชน์มีส่วนร่วมเพียง การจ่ายภาษีในอัตราต่ำ ในขณะที่สวัสดิการสังคมแบบผลสัมฤทธิ์ทางอุตสาหกรรมผู้รับประโยชน์มีส่วนร่วม ทั้งการจ่ายภาษี และจ่ายสมทบเข้ากองทุนและสวัสดิการสังคมเชิงสถาบันผู้รับประโยชน์มีส่วนร่วมในการจ่ายภาษีในอัตราสูง การจัดเก็บภาษีของรัฐแล้วนำมาเป็นงบประมาณสำหรับการจัดสวัสดิการสังคมแก่พลเมือง เรียกว่า การกระจายซ้ำ ทรัพยากร (Redistribution) เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจหรือนโยบายการกระจายทรัพยากร (Distribution Policy) ไม่สามารถกระจายทรัพยากรแก่พลเมืองอย่างเป็นธรรมได้ ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนในสังคม การกระจายซ้ำ ทรัพยากรจึงเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงระบบเศรษฐกิจเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสังคม ในรัฐที่มีระดับการแทรกแซง 3 ตัวอย่างหนึ่งของสวัสดิการสังคมแบบผลสัมฤทธิ์ทางอุตสาหกรรม คือ การประกันสังคม โดยมีการจ่ายสมทบจาก นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐ ในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 40 ต่ำหรือจัดเก็บภาษีในอัตราต่ำ สวัสดิการสังคมที่รัฐจัดให้แก่พลเมือง คือ สวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือ รัฐที่มีระดับ การแทรกแซงสูงหรือจัดเก็บภาษีในอัตราสูงจะจัดสวัสดิการสังคมแก่พลเมืองในรูปแบบสวัสดิการสังคมเชิงสถาบัน ตารางที่ 1 รูปแบบสวัสดิการสังคมเชิงสถาบัน เกณฑ์ปรียบเทียบ รูปแบบสวัสดิการสังคม ส่วนที่เหลือ ผลสัมฤทธิ์ทางอุตสาหกรรม เชิงสถาบัน ผู้รับประโยชน์ บุคคลที่พิสูจน์แล้วว่า เดือดร้อนจริง วัยแรงงานที่มีงานทำและจ่าย สมทบตามระยะเวลาที่กำหนด พลเมืองของรัฐ ทุกคน การใช้งบประมาณของรัฐ น้อย ปานกลาง มาก ระยะเวลาได้รับประโยชน์ สั้น ตลอดระยะเวลาการทำงาน ตลอดชีวิต การมีส่วนร่วมของผู้รับประโชน์ การเสียภาษี (อัตราต่ำ) การเสียภาษี + จ่ายสมทบ การเสียภาษี (อัตราสูง) ที่มา: วิเคราะห์โดยผู้เขียน กอสตา เอสปิง แอนเดอร์เซน (Esping-Andersen, 1990, p. 221) ใช้เกณฑ์ 1) การแบ่งชั้นสังคม (Social Stratification 2) สิทธิทางสังคม (Social Rights) 3) การกระจายทรัพยากร (Distribution of Resources) 4) ชีวิต การทำงาน (Working Life) และ 5) พัฒนาการของจ้างงาน จำแนกสวัสดิการสังคมออกเป็น 3 ระบอบ (Regime) คือ 1) ระบอบสวัสดิการสังคมแบบเสรีนิยม (Liberal welfare regime) (2) ระบอบสวัสดิการสังคมอนุรักษ์นิยม (Conservative welfare regime) และ (3) ระบอบสวัสดิการสังคมนิยมประชาธิปไตย (Social democratic welfare regime) กอสตา เอสปิง แอนเดอร์เซน นำสวัสดิการแบบส่วนที่เหลือมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบอบสวัสดิการสังคม เสรีนิยม ซึ่งใช้กลไกตลาดเสรีเป็นกลไกการกระจายทรัพยากรและการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับพลเมือง ซึ่งเรียกว่า “การทำ สวัสดิการสังคมให้เป็นสินค้า” (Commodification of Welfare) โดยสวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือเป็นภารกิจของรัฐที่ต้อง จัดสวัสดิการสังคมแก่บุคคลที่พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถพึ่งตนเองและครอบครัวไม่สามารถให้ความช่วยเหลือได้โดยเป็น ประโยชน์สวัสดิการที่ใช้งบประมาณและมีระยะเวลาในการให้จำกัด สำหรับสวัสดิการสังคมเชิงสถาบัน แอนเดออร์เซนจัดให้อยู่ในระบอบสวัสดิการสังคมประชาธิปไตยที่ให้ความสำคัญ กับสิทธิพลเมืองที่จะได้รับสวัสดิการสังคมอย่างเท่าเทียม สวัสดิการสังคมเชิงสถาบันเป็นรูปแบบสวัสดิการสังคมของประเทศ ต่างๆ ในแถบสแกนดิเนเวีย ได้แก่ ประเทศสวีเดน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์เรียกสวัสดิการสังคมแบบนี้ว่า “รัฐสวัสดิการแบบ นอร์ดิก” (Nordic Welfare State) (Saikkonen & Ylikanno, 2020, p. 145) โดยเป็นสวัสดิการสังคมของรัฐที่มีเป้าหมาย เพื่อลดความยากจนและสร้างความเป็นธรรมทางสังคมแก่พลเมือง วัตถุประสงค์ของสวัสดิการสังคม วัตถุประสงค์หลักของสวัสดิการสังคม คือ การป้องกันและรองรับความเสี่ยงภัยจากการดำเนินชีวิตและประกอบ สัมมาชีพของคนในสังคม เช่น การเจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุว่างงานทำให้ขาดรายได้ ไปจนถึงการได้รับผลกระทบจากวิกฤต เศรษฐกิจและโรคระบาด นอกจากนั้นสวัสดิการสังคมยังทำหน้าที่อื่นๆ นอกเหนือจากหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงภัย ดังต่อไปนี้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 41 ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความสมานฉันท์ของคนในสังคม โดยวิธีการกระจายซ้ำทรัพยากรของสวัสดิการสังคม ด้วยการจัดเก็บภาษีแล้วนำมาเป็นงบประมาณสำหรับการจัดสวัสดิการสังคมนั้น ถือเป็นการเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขของคนในสังคม กล่าวคือ รัฐจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าโดยผู้มีรายได้น้อยจ่ายน้อย หรือไม่ต้องจ่ายภาษี (ทางตรง) เลยถ้ามีรายได้น้อยกว่า เกณฑ์ที่กำหนด ผู้มีรายได้มากจ่ายมาก แล้วนำมาเป็นงบประมาณจัดสวัสดิการสังคมสำหรับพลเมืองทุกคนอย่างเท่าเทียม ช่วยให้ความเหลื่อมล้ำในสังคมและช่องว่างระหว่างคนรายได้มากกับรายได้น้อยลดลง เป็นระบบการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกัน และกันของคนในสังคมที่นำมาซึ่งความสมานฉันท์หรือความปรองดองและความสามัคคีของคนในสังคม ประเทศในทวีปยุโรปปัจจุบันมีพลเมืองที่มีความหลากหลายของเชื้อชาติ จากการอพยพย้ายถิ่นจากเหตุผลต่างๆ เช่น การอพยพเพื่อการทำงาน การหนีภัยสงคราม ฯลฯ รัฐบาลของประเทศในยุโรปใช้สวัสดิการสังคมเพื่อสร้างความสมานฉันท์ ของพลเมืองที่มีเชื้อชาติหลากหลายเหล่านี้(Spicker, 2005, p. 349) พัฒนาเศรษฐกิจสังคมและพัฒนาชาติรัฐใช้สวัสดิการสังคมเป็นเครื่องมือส่งเสริมพัฒนาการด้านเศรษฐกิจและ สังคมผ่านสวัสดิการสังคมที่รัฐจัดขึ้น เช่น การจัดการศึกษาด้านอาชีพไปในทิศทางที่รัฐกำหนดแก่พลเมือง เป็นการขัดเกลาทาง สังคม (Socialization) รูปแบบหนึ่งของรัฐ สร้างการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์นำมาซึ่งความเป็นปึกแผ่นและความรักชาติ การพัฒนาความรู้ด้านวิชาการและวิชาอาชีพเพื่อให้ผู้เรียนเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีความรู้ความที่สามารถในการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมในทิศทางที่รัฐตั้งเป้าหมายไว้รวมถึงการเสริมสร้างทักษะใหม่สำหรับการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมกับ สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของสังคมและของโลก รัฐจัดสวัสดิการสังคมด้านสาธารณสุขเพื่อสร้างพลเมืองที่มีสุขภาพที่ดีและ มีความพร้อมเป็นกำลังสำคัญสำหรับการพัฒนาชาติ สร้างความนิยมทางการเมือง ผู้นำหรือรัฐบาลมักใช้สวัสดิการสังคมเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมและ ความนิยมทางการเมือง ในบางกรณีใช้จ่ายมากเกินความสามารถในการหารายได้ของรัฐ ก่อให้เกิดผลกระทบต่องบประมาณ และเพิ่มหนี้สาธารณะจนกลายเป็นวิกฤตของประเทศ เช่น ประเทศอาร์เจนตินา ในสมัยประธานาธิบดีฆวน โดมิงโก เปรอน (Juan Domingo Peron) ใช้จ่ายงบประมาณด้านสวัสดิการสังคมเพื่อสร้างความนิยมทางการเมืองมากจนเกิดวิกฤต ด้านการเงินของประเทศ รัฐบาลไทยทุกยุคสมัยใช้สวัสดิการสังคมเป็นเครื่องมือสร้างความนิยมทางการเมือง ในอดีตนับตั้งแต่สมัยรัฐบาล ทหาร (จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์และจอมพลถนอม กิตติขจร) ระบบสวัสดิการสังคมของไทยเป็นเพียงแค่เครื่องมือสร้าง ความนิยมและความชอบธรรมทางการเมือง โดยไม่ได้มีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์การสร้างความเป็นธรรมและลดความ เหลื่อมล้ำทางสังคมที่ชัดเจน การจัดสวัสดิการสังคมเป็นไปแบบแยกส่วนไม่รอบด้านและจำกัดกลุ่มเป้าหมายเฉพาะคนยากจน หรือคนประสบปัญหาเท่านั้น สาเหตุหนึ่งคือ ประเทศไทยในขณะนั้นมีงบประมาณจำกัดในการพัฒนาประเทศ และประเทศไทยให้ ความสำคัญโดยรวมกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมมากกว่า การพัฒนาเพื่อสร้างความเป็นธรรมทาง สังคม ส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจกลับมาเพิ่มความไม่เป็นธรรมทางสังคมไทยให้มากขึ้นอย่างไม่เจตนา ต่อมาพัฒนาการของระบบสวัสดิการสังคมได้กลายมาเป็นเครื่องมือสร้างความนิยมของ นักการเมืองจากกลุ่มคน ยากจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมไทย ที่เรียกกันว่า “นโยบายประชานิยม” ในยุคของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร และต่อมาเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลก็ได้นำนโยบายประชานิยมมาดำเนินการต่อโดยปรับเปลี่ยนชื่อเป็น “โครงการ ไทยเข้มแข็ง” การนำนโยบายสวัสดิการสังคมแบบประชานิยมมาใช้ แม้จะประสบความสำเร็จในการสร้างความนิยมทาง การเมืองให้กับรัฐบาลที่นำมาใช้อย่างสูง แต่กลับกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ เนื่องจากเป็นนโยบายที่สร้างภาระ ทางการเงินและการคลังจำนวนมากให้กับรัฐ และไม่ได้เป็นนโยบายพัฒนาทุนมนุษย์หรือสร้างความสามารถทางการแข่งขัน ให้กับประเทศ นอกจากนั้นจากความเคยชินจากการรับสวัสดิการสังคมทำให้ประชาชนเสพติดนโยบายประชานิยม ซึ่งทำให้ ทุกรัฐบาลต้องนำมาใช้โดยใช้ชื่อเรียกที่แตกต่างกัน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 42 แต่ไม่ว่าสวัสดิการสังคมถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า สวัสดิการสังคมที่สร้างขึ้น ส่งผลต่อความยุติธรรมและเป็นธรรมทางสังคม รวมทั้งชี้นำและส่งผลวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในสังคมเสมอ (พงษ์เทพ สันติกุล, 2564) บทบาทของสวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือ (Residual Model) ที่ผ่านมาสวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือถูกมองในด้านลบเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากวิธีการพิสูจน์ความจำเป็นในการรับ สวัสดิการสังคมของผู้สมควรได้รับ ทำให้ถูกมองว่าเป็นการจำแนกคนในสังคมออกเป็นสองส่วนที่ไม่เท่าเทียมกัน โดยส่วนหนึ่ง ได้แก่คนที่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ อีกส่วนหนึ่งคือคนที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้(Andersen, 2012, p. 6) สวัสดิการ สังคมแบบส่วนที่เหลือจึงถูกมองว่าสร้างชนชั้นขึ้นในสังคม ลดสถานะและศักดิ์ศรีของคนจนให้ต่ำกว่าเดิม รวมทั้งขยาย ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมทางสังคมให้เพิ่มมากขึ้น (Townsend, 1976, p. 126) แต่ถ้าพิจารณาในด้านบวกจะพบว่าสวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือเป็นสวัสดิการสังคมที่ช่วยให้คนสามารถ ดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระดับหนึ่ง (Spicker, 2005, p. 348) รวมทั้งใช้ร่วมกับสวัสดิการสังคมเชิงสถาบันเพื่อ ปิดช่องว่างที่ทำเป็นสาเหตุของการเข้าไม่ถึงสวัสดิการสังคมเชิงสถาบัน (Spicker, 2005, p. 348; Jacques & Noel, 2020) เช่น การศึกษาเป็นสวัสดิการสังคมที่รัฐจัดให้กับพลเมืองทุกคนอย่างเท่าเทียมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่คนพิการไม่สามารถ เข้าสู่ระบบการศึกษาได้ สาเหตุจากความพิการในด้านต่างๆ เช่น พิการทางการมองเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว พิการทาง สมอง ฯลฯ รัฐจึงต้องจัดสวัสดิการสังคมเพิ่มเติมเพื่อให้คนพิการสามารถเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ สวัสดิการสังคมที่รัฐจัด เพิ่มเติมนี้มีลักษณะของสวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือ เนื่องจากต้องมีการพิจารณาคุณสมบัติผู้รับประโยชน์ว่าเป็นคนพิการ จริงหรือไม่ แต่สวัสดิการสังคมเพิ่มเติมนี้เป็นส่วนเสริมให้คนทุกคนสามารถเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ตามเป้าประสงค์ของ สวัสดิการสังคมเชิงสถาบันได้อย่างแท้จริง นอกจากนั้นสวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือยังใช้งบประมาณที่น้อยกว่าและ มีประสิทธิภาพมากกว่าเพราะแยกคนที่มีความต้องการจริงออกจากคนทั้งหมดของสังคม คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อการประเมินของรายได้ขั้นต่ำ (Commission Nationale d’Evaluation du Revenu Minimum d’Insertion cited in Spicker, 2005, p. 349) ของประเทศฝรั่งเศสกำหนดให้การจัดสวัสดิการสังคมสำหรับกลุ่ม บุคคลที่ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เนื่องจากความผิดปกติด้านร่างกายหรือจิตใจ หรือได้รับผลกระทบด้านลบจากเศรษฐกิจ การว่างงาน หรือไม่สามารถทำงานได้ ฯลฯ เป็นภารกิจหนึ่งที่สำคัญของรัฐบาลฝรั่งเศส เป็นสวัสดิการสังคมเพื่อให้กลุ่มคน เหล่านี้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่เหมาะสม โดยเน้นไปที่การจัดสวัสดิการสังคมด้านการศึกษา สุขภาพ ที่อยู่ อาศัย การทำงาน และการฝึกอบรม โดยสวัสดิการส่วนที่เหลือนี้ถูกจัดเป็นสวัสดิการส่วนเพิ่มสำหรับกลุ่มบุคคลที่ไม่สามารถ เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสวัสดิการสังคมเชิงสถาบันได้ ปัจจุบันมีการนำแนวคิดสวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือภายใต้สวัสดิการเชิงสถาบัน (Targeting within Universalism) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่บูรณาการสวัสดิการสังคมทั้ง 2 รูปแบบร่วมกัน เพื่อใช้จุดแข็งของสวัสดิการสังคมแบบ ส่วนที่เหลือไปลดจุดอ่อนของสวัสดิการเชิงสถาบัน และเป็นแนวคิดใหม่ที่ได้รับความสนใจจากทั้งด้านวิชาการและการปฏิบัติ (Jacques & Noel, 2020, p. 15)กล่าวคือ สวัสดิการสังคมเชิงสถาบันมีจุดแข็งคือ การสร้างความเป็นธรรมทางสังคมเพราะเป็น สวัสดิการสังคมในฐานะสิทธิของพลเมืองทุกคน โดยไม่จำกัดสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้รับประโยชน์แต่มีจุดอ่อน จากการเป็นสวัสดิการสังคมที่สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคมจึงอาจไม่เหมาะกับความต้องการ ของคนบางกลุ่ม หรือคนบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ ดังนั้นการนำจุดแข็งของสวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือ เรื่องการเลือกสรรผู้รับประโยชน์มาใช้ เพื่อให้คนที่ไม่สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสวัสดิการสังคมเชิงสถาบันสามารถ เข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้เช่นเดียวกับคนอื่น


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 43 รัฐสวัสดิการแบบนอร์ดิกที่ถูกยอมรับว่าเป็นรูปแบบสวัสดิการสังคมของรัฐที่ดีที่สุดรูปแบบหนึ่ง เป็นสวัสดิการสังคมที่ ส่งเสริมสิทธิพลเมืองและสร้างความเป็นธรรมทางสังคมได้ดีที่สุด ยังนำวิธีการตรวจสอบความจำเป็นของผู้รับประโยชน์มาใช้ สำหรับการพิจารณาว่าผู้ใดควรหรือไม่ควรได้รับประโยชน์จากสวัสดิการสังคม เช่น สวัสดิการสังคมด้านที่อยู่อาศัย ซึ่งต้อง ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้รับประโยชน์ว่ามีความจำเป็นที่จะได้รับสวัสดิการสังคมด้านที่อยู่อาศัยที่รัฐจัดให้หรือไม่ (Saikkonen & Ylikanno, 2020, p. 147) บทบาทของสวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือในภาวะวิกฤต เมื่อใดก็ตามเมื่อสังคมต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตไม่ว่าภาวะวิกฤตจากธรรมชาติ โรคระบาด หรือวิกฤตที่มนุษย์เป็น สาเหตุสำคัญ เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตจากการสู้รบและภัยสงคราม ฯลฯ รัฐจะนำสวัสดิการสังคมมาเป็นเครื่องมือบรรเทา ความเดือดร้อนที่เป็นผลจากวิกฤตเหล่านี้ทุกครั้งไป ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1930 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อ ระบบการเงินการคลังและสร้างผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน ความยากจนเพิ่มขึ้นในทุกประเทศ รัฐบาลพยายาม แก้ปัญหาด้วยแนวทางเสรีนิยมแบบเดิมที่เคยใช้ได้ผลมาก่อน แต่ปรากฏว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนั้นแตกต่างและมีขนาดใหญ่ กว่าปัญหาที่เคยผ่านมา ต่อมาเมื่อเซอร์ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ นำเสนอวิธีการแก้ปัญหาด้วยการแทรกแซงกลไกตลาดของรัฐ ในหนังสือ “ทฤษฎีทั่วไปว่าด้วยการจ้างงาน ดอกเบี้ย และเงินตรา” (The General Theory of Employment, Interest and Money) ในปี ค.ศ. 1936 (Keynes, 1936) โดยการเสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหาผ่านการสร้างงานขนาดใหญ่ และการให้ ความช่วยเหลือพลเมืองผ่านระบบสวัสดิการสังคมของรัฐ เพื่อกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค แก้ปัญหา ความเดือดร้อนและความยากจนที่พลเมืองเผชิญอยู่ ส่งผลให้ประเทศที่รับแนวคิดของเคนส์ไปใช้สามารถรอดพ้นจากสภาวะ วิกฤตดังกล่าวได้นับจากนั้นเป็นต้นมา เมื่อใดที่ต้องเผชิญกับสภาวะวิกฤต ทั้งรัฐบาลและประชาชนจะเรียกร้องให้นำแนวคิด แบบเคนส์หรือแนวทางการแก้ไขปัญหาโดยรัฐทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการแก้ไขปัญหาและบรรเทาความเดือดร้อนที่เป็นผล มาจากวิกฤต ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี รูสต์เวลท์ นำแนวคิดดังกล่าวมาเป็นแนวทางการกำหนด นโยบายนิวดีล (New Deal) เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดในสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลให้มีผู้ว่างงานจำนวนมาก อัตราการ ว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 เป็นต้นมา รัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีรูสเวลต์ ใช้นโยบายทางการเงิน (Monetary Policy)4 ของประเทศเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาแทนการใช้นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) 5 นอกจากการสร้างเสถียรภาพของระบบการเงินและการธนาคารแล้ว ยังมีเป้าหมายแก้ปัญหาอัตราการว่างงานที่สหรัฐอเมริกา ประสบอยู่ในขณะนั้นที่ทำให้จำนวนคนว่างงานจำนวนสูงมาก รุนแรงถึงขั้นกลายเป็นวิกฤติการณ์ทางสังคม เกิดการประท้วง เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาแก้ปัญหาการว่างงานและกลายเป็นการประท้วงที่ยืดเยื้อในปี ค.ศ. 1931 จนรัฐบาลต้อง ใช้กำลังทหารเข้าควบคุม โครงการนิวดีลภายใต้การนำของประธานาธิบดีรูสเวลต์ออกแบบขึ้นภายใต้แนวคิดเศรษฐศาสตร์ของเคนส์ที่เชื่อว่า เศรษฐกิจตกต่ำเพราะการบริโภคน้อยเกินไป การแก้ปัญหาจึงเริ่มต้นจากการใช้นโยบายการเงินเพิ่มกำลังซื้อของประชาชนเพื่อ 4 นโยบายการเงิน (Monetary Policy) หมายถึง นโยบายของธนาคารกลางในการควบคุมปริมาณเงินในระบบเพื่อ สร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วยเครื่องมือทางการเงิน เช่น อัตราดอกเบี้ย ปริมาณเงิน อัตราแลกเปลี่ยน ฯลฯ 5 นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) หมายถึง นโยบายการหารายได้และการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ เพื่อให้บรรลุ เป้าหมายการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 44 สร้างความต้องการที่มีประสิทธิผล นำไปสู่การเพิ่มอุปสงค์/การบริโภคที่จะส่งผลต่อการจ้างงานและลดอัตราการว่างงานใน ท้ายที่สุด โครงการนิวดีล คือ ตัวอย่างการนำแนวคิดของเคนส์มาปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม โดยการเพิ่มระดับการลงทุนและบริโภค ของรัฐเพื่อเพิ่มอัตราการจ้างงาน ภายใต้แนวคิดของเคนส์ที่เชื่อมั่นว่ารัฐเป็นกลไกหลักที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นของระบบ เศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤต ด้วยการใช้นโยบายงบประมาณขาดดุลและการเพิ่มอัตราภาษีของภาคธุรกิจสำหรับนำมา อัดฉีดเข้าสู่ระบบ พร้อมทั้งลดอัตราภาษีที่จัดเก็บจากผู้มีรายได้น้อยเพื่อเพิ่มกำลังซื้อและการบริโภค ปัญหาการขาดรายได้และการว่างงานจากผลของวิกฤต เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อทั้งประชาชนเรียกร้องและสนับสนุนให้ รัฐมีบทบาทนำในการแก้ปัญหาภายใต้สถานการณ์การจัดเก็บภาษีที่ลดน้อยลง ทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนำนโยบาย สวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือมาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ของรัฐบาลที่ลดลง (Sachweh, 2018) การคัดเลือกกลุ่มผู้ ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเพื่อจำกัดและใช้งบประมาณให้คุ้มค่าเกิดประสิทธิภาพสูงสุดจึงเป็นแนวทางที่เหมาะสมมากที่สุด แม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวจะขัดแย้งกับหลักการของสวัสดิการเชิงสถาบันที่ได้รับการยอมรับว่าสร้างความเป็นธรรมแก่สังคม มากที่สุดก็ตาม โปรแกรมความคุ้มครองทางสังคม (Social Protection Programs: SPP) เป็นชุดของสวัสดิการสังคม ที่องค์การ สหประชาชาติ (United Nations: UN) สร้างขึ้นและแนะนำให้ประเทศสมาชิกนำไปใช้ต่อสู้ความยากจนและสร้างความเป็น ธรรมทางสังคม สวัสดิการสังคมในโปรแกรมความคุ้มครองทางสังคมประกอบด้วยสวัสดิการสังคมทั้ง 3 รูปแบบ คือ สวัสดิการ สังคมแบบส่วนที่เหลือ สวัสดิการสังคมแบบผลสัมฤทธิ์ทางอุตสาหกรรม สวัสดิการสังคมเชิงสถาบัน เช่น การช่วยเหลือทาง สังคม (Social Assistance) การประกันสังคม การศึกษา การสาธารณสุข ฯลฯ มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและรองรับความเสี่ยง ภัยด้านต่างๆ ที่มากระทบการดำเนินชีวิตของประชาชน วิกฤตเศรษฐกิจของโลกในต้นคริสต์ทศวรรษ 2010 ที่มีสาเหตุจากการเก็งกำไรในภาคการเงิน นอกจากจะส่งผล กระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมแล้ว ผลกระทบต่องบประมาณนับเป็นปัญหาหนักที่ทุกประเทศต้องเผชิญ หลายๆ ประเทศนำเงินสำรองของประเทศมาใช้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชน และเพื่อการใช้จ่ายงบประมาณ อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด (Hoelscher, Alexander & Scholz, p. 2) การนำวิธีการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่มี ความจำเป็นจริงๆ ที่รัฐต้องให้ความช่วยเหลือ หรือที่เรียกว่า การตรวจสอบความจำเป็นจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ การช่วยเหลือทางสังคมที่เป็นสวัสดิการสังคมรูปแบบส่วนที่เหลือ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลนำมาใช้โดยมุ่งเป้าไปยัง ผู้มีความจำเป็นและสมควรได้รับสวัสดิการสังคม นอกจากการช่วยเหลือทางสังคมแล้ว ในบางประเทศรัฐบาลได้ขยาย ระยะเวลารับเงินช่วยเหลือในกรณีว่างงานจากกองทุนประกันสังคมเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับระยะเวลาการว่างงานที่เพิ่มขึ้นด้วย เช่นกัน สวัสดิการสังคมเครื่องมือบรรเทาปัญหาวิกฤตโควิด-19 ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19 มาตรการที่รัฐบาลของทุกประเทศนำมาใช้คือ การออกมาตรการ ลดการติดต่อระหว่างคนในสังคม เช่น การปิดสถานที่ทำงาน สถานศึกษา สถานที่ท่องเที่ยว ห้างสรรพสินค้า และจำกัดชั่วโมง การออกจากเคหสถาน (เคอร์ฟิว) มาตรการที่นำมาใช้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตการทำงานและการขาดรายได้ของ คนจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลต้องใช้สวัสดิการสังคมเพื่อชดเชยความสูญเสียที่เป็นผลจากมาตรการดังกล่าว ตัวอย่างสวัสดิการสังคมที่ประเทศต่างๆ จัดให้แก่ประชาชนเพื่อรองรับผลกระทบจากโควิดตามระดับรายได้ของ ประเทศ โดยประเทศที่จัดอยู่ในประเทศที่มีรายได้มาก คือ สหรัฐอเมริกา สเปน ประเทศที่มีรายได้ปานกลางคือ สาธารณรัฐ ประชาชนจีน เปรู ประเทศรายได้น้อยคือ อินเดีย และปากีสถาน ดังต่อไปนี้(Taffa Abdoul-Azize & Gamil, 2020, p. 107)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 45 ประเทศสหรัฐอเมริกา: การช่วยเหลือทางสังคม สำหรับผู้ลงทะเบียนรับความช่วยเหลือจากโครงการช่วยเหลือเด็ก และความช่วยเหลือด้านอาหาร ประโยชน์สวัสดิการสังคมที่ได้รับคือ คูปองสำหรับซื้ออาหารและวัสดุอุปกรณ์สำหรับทำ ความสะอาดเพื่อป้องกันเชื้อไวรัสครอบครัวละ 800 ดอลลาร์ เงินสนับสนุนสำหรับผู้ใหญ่คนละ 1,200 ดอลลาร์ และเงิน สนับสนุนเด็กคนละ 800 ดอลลาร์การประกันสังคม สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 และครอบครัวที่มีบุตรหลานต้องหยุดเรียน เนื่องจากโรงเรียนปิดการเรียนการสอน โดยอนุญาตให้หยุดงานได้ 15 วัน โดยได้เงินเดือนค่าจ้างตามปกติ ประเทศสเปน: การช่วยเหลือทางสังคมสำหรับครอบครัวที่มีบุตรต้องหยุดเรียนเพราะโรงเรียนปิดการเรียนการสอน เนื่องจากโควิด-19 คนเร่รอน และผู้สูงอายุ ประโยชน์สวัสดิการสังคมที่ได้รับคือ เงินสนับสนุน อาหาร น้ำดื่ม อุปกรณ์ทำ ความสะอาดเพื่อป้องกันเชื้อไวรัส การประกันสังคมสำหรับคนทำงานที่ติดเชื้อโควิด-19 อนุญาตให้หยุดงานเพื่อกักตัวตาม ระยะเวลาที่รัฐบาลประกาศมาตรการสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 โดยได้รับค่าจ้างเงินเดือนตามปกติ ประเทศจีน: การช่วยเหลือทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ คนพิการ ครอบครัวยากจนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด คนต่างชาติที่ถูกกักตัวเนื่องจากติดเชื้อโควิด-19 โดยได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับการดำรงชีพ การประกันการว่างงาน สำหรับผู้ตกงานเนื่องจากผลกระทบโควิด-19 และไม่มีประกันสังคม โดยได้รับความช่วยเหลือเช่นเดียวกับผู้อยู่ในระบบ ประกันสังคมในจำนวนที่น้อยกว่า และความช่วยเหลือด้านภาษีสำหรับผู้ประกอบการภาคเอกชนขนาดเล็กและขนาดย่อม โดยได้รับการลดอัตราภาษีและเงินจ่ายสมทบกองทุนประกันสังคม ประเทศเปรู: การช่วยเหลือทางสังคมสำหรับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยได้รับเงินพิเศษสำหรับ ครอบครัวที่มีผู้ป่วยติดเชื้อและต้องกักตัว 15 วัน ครอบครัวละ 107 ดอลลาร์ และเงินจ่ายพิเศษสำหรับครอบครัวในพื้นที่ต้อง กักตัวห้ามออกนอกเคหะสถานตามคำสั่งรัฐบาล ครอบครัวละ 100 ดอลลาร์และการประกันสังคมสำหรับผู้สูงอายุ คนพิการ และบุคคลที่ไม่ได้รับค่าจ้างแรงงานในช่วงเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา โดยได้รับบำนาญเกษียณอายุเพิ่มคนละ 2 เดือน และ อนุญาตให้ถอนเงินจากบำนาญเกษียณอายุมาใช้ก่อนได้ไม่เกินร้อยละ 25 ของวงเงินที่จะได้รับจากการเกษียณอายุ ประเทศอินเดีย: การช่วยเหลือทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ หญิงม่าย สตรีพิการ เกษตรกร คนยากจนที่ทำงานรายวัน ผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการกักตัวของรัฐบาล เด็กที่ต้องหยุดเรียนเนื่องจากโรงเรียนปิดการเรียนการสอน โดยได้รับเงิน สนับสนุนการดำรงชีพ คูปองอาหาร อาหารกลางวันและอาหารเย็นสำหรับผู้อยู่อาศัยในพื้นที่กักตัว และการประกันสังคม สำหรับลูกจ้างที่ตกงานและผู้ประกอบการขนาดกลางที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป โดยได้รับชดเชยค่าจ้างร้อยละ 75 เป็น ระยะเวลา 3 เดือน อนุญาตให้สมาชิกถอนเงินที่สะสมในกองทุนประกันสังคมออกมาใช้จ่ายได้บางส่วน ประเทศปากีสถาน: การช่วยเหลือทางสังคมสำหรับสตรีและครอบครัวยากจนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยได้รับเงินสนับสนุนการดำรงชีพเพิ่มเติม ประเทศไทย: ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของ คนไทยและเศรษฐกิจในวงกว้าง ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อประชาชนมีความรุนแรงที่ไม่เท่ากัน คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและ สังคมที่ดีกว่าได้รับผลกระทบที่รุนแรงน้อยกว่าคนที่มีสถานะด้อยกว่า เนื่องจากความแตกต่างของความสามารถหารายได้ รูปแบบการทำงาน ลักษณะของที่อยู่อาศัย รูปแบบการเดินทาง ฯลฯ เราเรียกคนกลุ่มหลังนี้ว่ากลุ่มเปราะบาง ซึ่งมักเป็น ครัวเรือนที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียงและผู้ป่วยโรคเรื้อรังอาศัยอยู่ (ชาคร เลิศนิทัศน์ และ สมชัย จิตสุชน, 2563) ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่าสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของโคโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็วทั้งมาตรการทาง สาธารณสุขและการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต มาตรการต่างๆ ที่รัฐดำเนินการ เช่น (กรมประชาสัมพันธ์, 2565) เช่น โครงการคนละครึ่งสำหรับกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีรายได้ที่พอจะมีกำลังซื้อมาร่วมจ่ายกับรัฐ โครงการเพิ่มกำลังซื้อ ให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 14 ล้านคนเพื่อช่วยเหลือเยียวยาและลดภาระค่าใช้จ่าย ลดค่าเทอมนักเรียนนักศึกษา เงินเยียวยาสำหรับเกษตรกรในโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” เงินเยียวยารายเดือนแก่แรงงานนอกระบบและแรงงานอิสระ ปรับ เงื่อนไขสินเชื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคการท่องเที่ยวขนาดกลางและเล็ก มาตรการช่วยเหลือคนพิการในวิกฤตโควิค-19


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 46 บทสรุป จากที่กล่าวมาข้างต้นจะพบว่า สวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือที่เคยถูกมองในด้านลบว่าเป็นสวัสดิการสังคมสำหรับ การช่วยเหลือกลุ่มคนที่ไม่สามารถช่วยตนเองได้ในสังคมที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม เนื่องจากการให้ความหมาย เมื่อเริ่มต้นนำคำนี้มาใช้ รวมถึงการจัดตำแหน่งให้อยู่ในสถานะสวัสดิการสังคมสำหรับผู้ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ส่งผลให้ สวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือกลายเป็นรูปแบบของสวัสดิการสังคมที่ไม่ควรนำมาใช้เมื่อเปรียบเทียบกับสวัสดิการสังคมเชิง สถาบันและสวัสดิการแบบผลสัมฤทธิ์ทางอุตสาหกรรม โดยมีความเชื่อว่าผู้รับประโยชน์จากสวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือจะ ถูกตีตราว่าเป็นคนไร้ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง และกลายมาเป็นภาระของสังคมที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือ ในความเป็นจริงแล้ว สวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือนอกจากจะมีบทบาทในการสร้างความมั่นคงทางสังคมแก่ผู้ที่ ไม่สามารถช่วยตนเองได้ในกรณีต่างๆ แล้ว สวัสดิการสังคมแบบนี้ยังถูกนำมาใช้เป็นสวัสดิการสังคมส่วนเสริมเพื่อช่วยให้คน บางกลุ่มสามารถเข้าถึงระบบบริการของรัฐที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถเข้าถึงได้มาก่อน รวมถึงการนำมาใช้เป็นสวัสดิการสังคม สำหรับรองรับสถานการณ์วิกฤต ไม่ว่าเป็นวิกฤตทางสังคมเศรษฐกิจ หรือวิกฤตด้านสุขภาพ โดยมุ่งเป้าไปยังบุคคลที่ได้รับ ผลกระทบจากวิกฤตจริงๆ เป็นการ “มุ่งเป้าโดยไม่ตีตรา” นอกจากสามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดแล้วยังเป็นการใช้จ่าย งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณของรัฐที่เกิดขึ้นเสมอเมื่อเกิดวิกฤต การทำความเข้าใจต่อสวัสดิการสังคมแบบส่วนที่เหลือให้ถูกต้องจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้ผู้รับ ประโยชน์ไม่ถูกมองว่าเป็นคนไร้ความสามารถเช่นที่ผ่านมา รวมทั้งลดแรงกดดันต่อผู้กำหนดนโยบายในการนำสวัสดิการสังคม แบบส่วนที่เหลือมาใช้ให้เหมาะสมกับปัญหา เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และเหมาะสมกับสถานการณ์ด้านงบประมาณของ ประเทศที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน เอกสารอ้างอิง กรมประชาสัมพันธ์. (2565). มาตรการช่วยเหลือภาครัฐ. สืบค้นจาก https://www.prd.go.th/th/content/category/ detail/id/31/iid/79430 ชาคร เลิศนิทัศน์ และ สมชัย จิตสุชน. (2563). ความเปราะบางของประชาชนกลุ่มเปราะบางภายใต้โควิด-19. สืบค้นจาก https://tdri.or.th/2020/06/impact-of-covid19-on-vulnerable-groups/ พงษ์เทพ สันติกุล. (2564). ความยุติธรรมในสวัสดิการสังคม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. Andersen, J. G. (2012). Welfare States and Welfare State Theory. Denmark: Centre for Comparative Welfare Studies Working Paper. Esping-Andersen, G. (1990). The Three Worlds of Welfare Capitalism. Princeton: Princeton University Press. Hoelscher, P., Alexander, G., & Scholz, W. (2009). Preventing and reducing poverty in times of crisis- the role of non‐ contributory cash transfers. Background paper for the UN Conference on Social Impact of the Economic Crisis in Eastern Europe. Turkey and Central Asia, Almaty, 7‐8 December 2009. Abdoul-Azize, H. T., & El Gamil, R. (2021). Social Protection as a Key Tool in Crisis Management: Learnt Lessons from the COVID-19 Pandemic. Global Social Welfare, 8(1), 107–116. Jacques, O. & Noel, A. (2020). Targeting within universalism. Journal of European Social Policy 2021, 31(1) 15–29. Keynes, J. M. (1963). The General Theory of Employment, Interest and Money. UK: Palgrave Macmillan. Paul, S. (2005). Targeting, Residual Welfare and Related Concepts. Public Administration, 83(2), 345–365.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 47 Saikkonen, P., & Ylikanno, M. (2020). Is There Room for Targeting within Universalism? Finnish Social Assistance Recipients as Social Citizens. Social Inclusion, 8(1), 145–154. Sachweh, P. (2018). Crisis experiences and welfare attitudes during the Great Recession: A comparative study on the UK, Germany and Sweden. Acta Sociologica 2019, 62(2), 135–151. Titmuss, R. (1974). Social Welfare: An Introduction. New York: Pantheon Books. Townsend, P. (1976). Sociology and Social Policy. Harmondsworth: Penguin.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 48 ห้องที่ 1: การนำเสนอผลงานวิชาการ เรื่อง “การดูแลทางสังคมในยุควิถีใหม่”


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 49 การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง: คำมั่นสัญญาแห่งการเปลี่ยนแปลงของ SDGs เพื่อการเข้าถึง(ของ)คนชายขอบสังคม Leaving No One Behind: Sustainable Development Goals Transformative Promises to Attain Marginalized Populations วรรณวดี พูลพอกสิน1 Wanwadee Poonpoksin2 Abstract The fundamental principle to Leaving No One Behind (LNOB) is a cornerstone of the 2030 Agenda for Sustainable Development Goals (SDGs), often mentioned in conjunction with the aspiration to “endeavour to reach the furthest behind first.” This approach translates as boosting universal access to services, especially for marginalized groups. This article comprises a literature review of relevant terms to present source materials on the significance of the LNOB principle as applied to World Social Work Day 2022. Challenges for underserved populations may depend on different contexts and situations, in addition to poverty and societal minority status. As LNOB may be defined flexibly so stakeholders must determine who is vulnerable according to policies created for individual well-being. Some groups unclassified as vulnerable technically may yet possess rights to receive services due to certain conditions. For example, access to the Novel Coronavirus 2019 (COVID-19) vaccine is allocated prioritizing those deemed by the state vulnerable in terms of health; access to vaccines is likewise provided to health personnel and their families, who are not considered as marginalized in general. In addition to serving as a transformative promise to facilitate universal access to services accessible and make voices of vulnerable groups audible in society, LNOB is typically cited alongside the principles of respect for human rights and gender equality, including women’s empowerment. The abstract nature of the LNOB ideal poses extensive challenges to convert principles into practice to attain SDGs, reach all target groups, and energetically arrive at sustainable development. Keywords: Leaving No One Behind (LNOB), Transformative promise, Sustainable Development Goals (SDGs), Marginalized populations บทคัดย่อ หลักการพื้นฐาน “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของวาระเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนปี 2030 โดยมักถูกใช้ควบคู่กับข้อความ “การพยายามไปให้ไกลที่สุดก่อน” ซึ่งถือเป็นแนวทางปฏิบัติที่จะทำให้ทุกคน โดยเฉพาะ กลุ่มชายขอบของสังคมเข้าถึงบริการได้ บทความนี้เป็นผลลัพธ์ของการทบทวนวรรณกรรมโดยใช้คำที่เกี่ยวข้อง มีวัตถุประสงค์ 1 รองศาสตราจารย์ ดร., อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กรุงเทพฯ 2 Associate Professor Dr., full-time faculty member, Department of Social Work, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Bangkok. Corresponding author E-mail address: [email protected]


Click to View FlipBook Version