The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ntknight478, 2023-01-24 11:12:03

รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69

รวมบทความ Processdinga 69 ปี (24 ม.ค.66)

รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 150 ผู้ตอบแบบสอบถามมีข้อจำกัดด้านสัญญาณอินเตอร์เน็ตระหว่างการตอบแบบสอบถาม ส่วนสุดท้ายเกณฑ์การยุติการตอบ แบบสอบถาม คือผู้ตอบแบบสอบถามขอยุติการตอบหรือขอถอนตัวออกจากการตอบแบบสอบถาม เครื่องมือและการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป เกี่ยวกับเพศ ภูมิลำเนา ประเภท ที่พักอาศัย จำนวนรายวิชาเรียน และบุคลิกภาพของนักศึกษา จำนวน 5 ข้อ ลักษณะคำถามเป็นแบบเลือกตอบและเติมคำ และส่วนที่ 2 ข้อมูลการปรับตัวของนักศึกษา ทั้งด้านสังคม ด้านการเรียน ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านผู้สอน จำนวน 19 ข้อ ลักษณะการตอบเป็นแบบมาตรประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ ได้แก่ การปรับตัวระดับมากที่สุด, มาก, ปานกลาง, น้อย และน้อยที่สุด รวมทั้งอีกตัวเลือกสำหรับกลุ่มนักศึกษาที่ไม่สามารถปรับตัวได้ ทั้งนี้คณะผู้วิจัยทำการตรวจสอบคุณภาพของแบบสอบถามด้านความตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) เพื่อ ตรวจสอบความสอดคล้องของข้อคำถามกับวัตถุประสงค์การศึกษา โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน เป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพ โดยพบว่าทุกข้อคำถามมีความสอดคล้อง หลังจากนั้นเป็นการใช้แบบสอบถามกับกลุ่มทดลองผู้ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ กลุ่มตัวอย่างจริงจำนวน 20 คน แล้ววิเคราะห์ความเชื่อมั่นแบบสอบถามด้วยการหาสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) พบว่าแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นที่ 0.807 ซึ่งถือว่าแบบสอบถามมีคุณภาพ เหมาะสม ที่จะนำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างได้โดยการศึกษาครั้งนี้เก็บรวบรวมข้อมูลในรูปแบบออนไลน์ผ่าน google form รวมทั้งการสแกนผ่าน QR Code การวิเคราะห์ข้อมูล 1. วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป และผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์การวิจัย ข้อที่ 1 เพื่อศึกษาการปรับตัวภายหลังการ เปลี่ยนรูปแบบการเรียนจากออนไลน์ (Online) สู่การเรียนการสอนในห้องเรียน (On-Site) ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยการวิเคราะห์ด้วยการหาค่าความถี่ (Frequency) ค่าเฉลี่ย (Mean) ร้อยละ (Percentage) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2. วิเคราะห์ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์การวิจัย ข้อที่ 2 เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยของนักศึกษาที่มีความสัมพันธ์กับ การปรับตัวภายหลังการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนจากออนไลน์ (Online) สู่การเรียนการสอนในห้องเรียน (On-Site) ของ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต วิเคราะห์หรือทดสอบสมมติฐานการวิจัยด้วยการทดสอบค่าไคสแควร์ (Chi-square test) ที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จริยธรรมในการวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ ดังนั้น คณะผู้วิจัยจะมีการแจ้งไว้ในส่วนแรกของ แบบสอบถามออนไลน์ถึงความสมัครใจเข้าร่วม และการหยุดหรือถอนตัวจากการทำแบบสอบถามกรณีที่ไม่ประสงค์ทำต่อ หรือไม่ชัดเจนที่จะตอบข้อคำถาม ทั้งนี้ การนำเสนอรายงานวิจัยครั้งนี้เป็นการนำเสนอผลในภาพรวม ซึ่งจะไม่กระทบต่อ นักศึกษาที่ตอบแบบสอบถามไม่ว่าจะในกรณีใด ผลการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูลในสถานการณ์จริง สามารถเก็บได้จำนวน 303 คน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 83.24 ของจำนวนขนาด ตัวอย่างที่กำหนดไว้แต่แรก (จำนวน 364 คน) ทั้งนี้การนำเสนอผลการศึกษา จำแนกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป และการปรับตัวของกลุ่มตัวอย่างและส่วนที่ 2 การทดสอบสมมติฐาน โดยแต่ละส่วนมีรายละเอียด ดังนี้ ส่วนที่1 ข้อมูลทั่วไปและการปรับตัวของกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ข้อมูลทั่วไป


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 151 ผลการวิเคราะห์การปรับตัวภายหลังการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนจากออนไลน์ (Online) สู่การเรียนการสอนใน ห้องเรียน (On-Site) ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 พบว่า มีผู้ตอบแบบสอบถามเมื่อจำแนกตามเพศ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 64.4 (195 คน) รองลงมาเพศชาย ร้อยละ 22.1 (67 คน) และสุดท้าย LGBTQ+ ร้อยละ 13.5 (41 คน) นักศึกษาครึ่งหนึ่ง ร้อยละ 51.5 (156 คน) มีภูมิลำเนาอยู่ในภาคกลาง รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 18.8 (57 คน) ในขณะที่ ภาคตะวันออกมีจำนวนน้อยที่สุด คือเพียงร้อยละ 5.3 (16 คน) เท่านั้น ในปัจจุบันนักศึกษาเหล่านี้จะพักอาศัยอยู่กับหอพัก เอกชนรอบๆ มหาวิทยาลัย ร้อยละ 53.5 (161 คน) พักอาศัยในหอใน ร้อยละ 38.5 (116 คน) มีเพียงร้อยละ 8.0 (24 คน) ที่อาศัยที่อยู่บ้านของตนเอง นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 นี้จำนวนมากที่สุดจะมีจำนวน รายวิชาเรียนอยู่ที่ 5 รายวิชา ร้อยละ 29.5 (87 คน) รวมถึงบุคลิกภาพของนักศึกษามากกว่าครึ่ง ร้อยละ 58.4 (177 คน) เป็น แบบ Introvert คือ เก็บตัว 1.2 ข้อมูลด้านการปรับตัว ผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้านการปรับตัวทั้ง 4 ด้าน ซึ่งเป็นส่วนที่ตอบวัตถุประสงค์การศึกษาข้อที่ 1 มีผล การศึกษาดังนี้ 1.2.1 การปรับตัวรายด้าน 1.2.1.1 การปรับตัวด้านสังคม พบว่า จากจำนวนข้อคำถาม 5 ข้อ (คะแนนเต็ม 25 คะแนน) มีค่าคะแนน เฉลี่ยการปรับตัว เท่ากับ 18.37 (ค่ากลาง = 19 คะแนน) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 4.35 คะแนนต่ำสุด เท่ากับ 3 และคะแนนสูงสุด เท่ากับ 25 คะแนน เมื่อพิจารณาในภาพรวมหรือจำแนกเป็น 3 ระดับของการปรับตัว พบว่า ร้อยละ 35.3 (107 คน) มีการปรับตัวในระดับมาก รองลงมาจำนวนเท่าๆ กัน คือ ร้อยละ 32.3 (98 คน) มีการปรับตัวในระดับน้อยและ ปานกลาง เมื่อพิจารณารายข้อคำถาม ทุกข้อคำถาม นักศึกษามีการปรับตัวในระดับมาก โดยเฉพาะการ ยอมรับและเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างเมื่อทำงานกลุ่มกับเพื่อน ร้อยละ 44.6 (135 คน) รองลงมา คือ การมีปฏิสัมพันธ์ กับเพื่อนใหม่ จำนวน 125 คน (ร้อยละ 41.3) 1.2.1.2 การปรับตัวด้านการเรียน พบว่า จากจำนวนข้อคำถาม 5 ข้อ (คะแนนเต็ม 25 คะแนน) มีค่า คะแนนเฉลี่ยการปรับตัว เท่ากับ 17.79 (ค่ากลาง = 18 คะแนน) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.78 คะแนนต่ำสุด เท่ากับ 5 และคะแนนสูงสุด เท่ากับ 25 คะแนน เมื่อพิจารณาในภาพรวมหรือจำแนกเป็น 3 ระดับของการปรับตัวด้าน การเรียน พบว่าเกือบครึ่ง ร้อยละ 40.3 (122 คน) มีการปรับตัวในระดับน้อย รองลงมาคือระดับปานกลาง ร้อยละ 34.7 (105 คน) และระดับน้อย ร้อยละ 25.1 (76 คน) เมื่อพิจารณารายข้อคำถาม เช่นเดียวกัน ที่นักศึกษาส่วนใหญ่มีการปรับตัวในทุกข้อคำถามใน ระดับมาก กล่าวคือ การมีส่วนร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ในชั้นเรียน จำนวน 113 คน (ร้อยละ 37.3) การเข้าชั้นเรียนได้ตรงตาม กำหนดเวลาเรียน จำนวน 110 คน (ร้อยละ 36.3) และจำนวนใกล้เคียงกัน ร้อยละ 35.6 (108 คน) ปรับตัวระดับมากต่อ การวัดและประเมินผลในชั้นเรียน 1.2.1.3 การปรับตัวด้านสภาพแวดล้อม พบว่า จากจำนวนข้อคำถาม 4 ข้อ (คะแนนเต็ม 20 คะแนน) มีค่าคะแนนเฉลี่ยการปรับตัว เท่ากับ 13.71 (ค่ากลาง = 14 คะแนน) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.41 คะแนนต่ำสุด เท่ากับ 0 และคะแนนสูงสุด เท่ากับ 20 คะแนน เมื่อพิจารณาในภาพรวมหรือจำแนกเป็น 3 ระดับของการปรับตัว พบว่า ร้อยละ 35.6 (108 คน) มีการปรับตัวในระดับปานกลาง รองลงมาคือระดับน้อย ร้อยละ 33.0 (100 คน) และระดับมาก ร้อยละ 31.4 (95 คน) เมื่อพิจารณาข้อคำถามรายข้อ นักศึกษาส่วนใหญ่มีการปรับตัวในระดับปานกลาง เช่น การใช้ อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีในชั้นเรียน ร้อยละ 38.0 (115 คน) บรรยากาศในห้องเรียน ร้อยละ 36.6 (111 คน) การเข้าใช้บริการ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 152 สถานที่ต่างๆ ในมหาวิทยาลัย ร้อยละ 35.0 (106 คน) ขณะที่ การเดินทางไปยังอาคารเรียนหรือสถานที่ต่างๆ ในมหาวิทยาลัย นักศึกษาร้อยละ 37.3 (113 คน) มีการปรับตัวในระดับมาก 1.2.1.4 การปรับตัวด้านผู้สอน พบว่า จากจำนวนข้อคำถาม 5 ข้อ (คะแนนเต็ม 25 คะแนน) มีค่าคะแนน เฉลี่ยการปรับตัวด้านนี้เท่ากับ 15.87 (ค่ากลาง = 17 คะแนน) ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 4.16 คะแนนต่ำสุด เท่ากับ 5 และคะแนนสูงสุด เท่ากับ 25 คะแนน เมื่อพิจารณาในภาพรวมหรือจำแนกเป็น 3 ระดับของการปรับตัว พบว่า มากกว่าครึ่ง ร้อยละ 58.4 (177 คน) มีการปรับตัวในระดับน้อย รองลงมาคือระดับปานกลาง ร้อยละ 29.4 (89 คน) และ ระดับมาก ร้อยละ 12.2 (37 คน) เมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า นักศึกษามีการปรับตัวในระดับมากและปานกลางในรายข้อคำถาม ต่างๆ เท่าๆ กัน กล่าวคือ มีการปรับตัวในระดับปานกลาง ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับอาจารย์ผู้สอน ร้อยละ 35.3 (107 คน) การมีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์ผู้สอน ร้อยละ 33.0 (100 คน) ขณะที่นักศึกษามีการปรับตัวระดับมาก โดยเฉพาะ ความเข้าใจต่อเนื้อหาการบรรยายของอาจารย์ ร้อยละ 38.4 (115 คน) ความเข้าใจต่อรูปแบบการสอนของอาจารย์ ร้อยละ 33.0 (100 คน) 1.2.2 การปรับตัวในภาพรวม ทั้งนี้เมื่อพิจารณาการปรับตัวทั้ง 4ด้าน ในภาพรวม ซึ่งมีจำนวนข้อถาม 19ข้อ (รวมคะแนนเต็ม 95คะแนน) พบว่า มีคะแนนการปรับตัวเฉลี่ย 65.74 ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 12.91 คะแนนต่ำสุด คือ 20 คะแนน และ คะแนนสูงสุด คือ 95 คะแนนเต็ม เมื่อจำแนกระดับการปรับตัวตามค่าคะแนนจากการวัดการปรับตัวของนักศึกษาแบบ อิงกลุ่ม พบว่า ประมาณ 1 ใน 3 คือ ร้อยละ 34.3 (104 คน) ต้องปรับตัวในระดับที่มาก รองลงมาคือระดับน้อย ร้อยละ 33.9 (100 คน) และระดับปานกลาง ร้อยละ 32.7 (99 คน) ข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ เมื่อพิจารณาค่าคะแนนเฉลี่ยการปรับตัวในแต่ละด้าน พบว่า มีการปรับตัวมาก ที่สุดในด้านสังคม รองลงมา คือ ด้านการเรียน ด้านผู้สอน และด้านสภาพแวดล้อม มากไปกว่านั้น แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่เป็นการไม่สามารถปรับตัวได้ของนักศึกษา ดังนี้ (1) ด้านสังคม ร้อยละ 2.0 (6 คน) ในการอยู่ร่วมกับเพื่อนใหม่ และร้อยละ 1.7 (5 คน) ในการเข้าร่วม กิจกรรมต่างๆ ของคณะหรือมหาวิทยาลัย (2) ด้านการเรียน ร้อยละ 1.3 (4 คน) การทำงานตามที่อาจารย์มอบหมาย และจำนวนเท่ากัน ร้อยละ 1.0 (3 คน) ไม่สามารถปรับตัวกับการมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆ และความกล้าในการซักถามผู้สอน (3) ด้านสภาพแวดล้อม มีร้อยละ 1.3 (4 คน) การใช้อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีในชั้นเรียน และร้อยละ 1.0 (3 คน) ไม่สามารปรับตัวในการเข้าใช้บริการสถานที่ต่างๆ ในมหาวิทยาลัย (4) ด้านผู้สอน มีจำนวนมากที่สุดในการไม่สามารถปรับตัวได้ ในกรณีของ ความกล้าในการขอคำแนะนำ ในเรื่องทั่วไปจากอาจารย์ ร้อยละ 2.0 (6 คน) รองลงมา ร้อยละ 1.3 (4 คน) การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเมื่ออาจารย์ซักถาม ในห้องเรียน ส่วนที่ 2 การทดสอบสมมติฐาน ข้อมูลการวิเคราะห์ผลตามวัตถุประสงค์การวิจัย ข้อที่ 2 เป็นการทดสอบสมมติฐาน ด้วยการทดสอบค่าไค-สแควร์ (Chi-square test) ที่นัยสำคัญทางสถิติตที่ระดับ .05 มีผลการวิเคราะห์ดังนี้ 2.1 ตัวแปรเพศ จากการวิเคราะห์พบว่า เพศของนักศึกษามีความสัมพันธ์ต่อการปรับตัวในด้านสังคม และด้าน การเรียน ขณะที่ด้านสภาพแวดล้อมไม่มีความสัมพันธ์กับเพศของนักศึกษา แต่ที่น่าสนใจคือเพศมีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์ กับการปรับตัวด้านผู้สอน (พิจารณาจากค่า Sig. = .053)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 153 การปรับตัวด้านสังคมที่ขึ้นอยู่กับเพศ ชี้ให้เห็นแนวโน้มว่าเพศหญิงมีการปรับตัวในระดับมาก ในขณะที่เพศชาย และ LGBTQ+ มีการปรับตัวด้านนี้อยู่ในระดับน้อยเป็นส่วนใหญ่ การปรับตัวด้านการเรียนที่ขึ้นอยู่กับเพศ พบว่า เพศชายและ LGBTQ+ มีการปรับตัวในระดับที่น้อย ขณะที่เพศ หญิง มีแนวโน้มการปรับตัวในระดับน้อยและปานกลาง 2.2 ตัวแปรภูมิลำเนา จากการวิเคราะห์พบว่า ภูมิลำเนาเดิมที่นักศึกษาเคยอาศัยอยู่นั้นมีความสัมพันธ์ต่อ การปรับตัวในด้านสังคม และด้านการเรียน ในขณะที่ด้านสภาพแวดล้อมและด้านผู้สอนไม่มีความสัมพันธ์กับภูมิลำเนาเดิมของ นักศึกษา การปรับตัวด้านสังคมที่ขึ้นอยู่กับภูมิลำเนา มีแนวโน้มว่านักศึกษาที่มีภูมิลำเนาในภาคกลางมีแนวโน้มที่จะมี การปรับตัวมากกว่านักศึกษาในภาคอื่นๆ การปรับตัวด้านการเรียนที่ขึ้นอยู่กับภูมิลำเนา พบว่า นักศึกษาจากภาคเหนือมีแนวโน้มจะปรับตัวในระดับมาก ในขณะที่นักศึกษาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง มีการปรับตัวในระดับน้อย 2.3 ตัวแปรประเภทที่พักอาศัย จากการวิเคราะห์พบว่า ประเภทที่พักอาศัยในปัจจุบันของนักศึกษากับการปรับตัวมี ความสัมพันธ์ต่อทั้ง 4 ด้านการปรับตัวของนักศึกษา การปรับตัวด้านสังคมขึ้นอยู่กับประเภทที่พักอาศัย พบว่า นักศึกษาที่พักอาศัยในกอพักมีการปรับตัวในระดับที่ มาก ในขณะที่นักศึกษาที่พักที่บ้านของตนเอง มีการปรับตัวในระดับที่น้อย การปรับตัวด้านการเรียนขึ้นอยู่กับประเภทที่พักอาศัย พบว่า นักศึกษาที่พักอาศัยในหอพักเอกชน มีการปรับตัว ที่หลากหลาย ทั้งในระดับปานกลาง น้อย และมาก ตามลำดับ ในขณะที่นักศึกษาที่พักอาศัยในหอในและบ้านของตนเองมี การปรับตัวในระดับน้อย การปรับตัวด้านสภาพแวดล้อมขึ้นอยู่กับประเภทที่พักอาศัย พบว่า นักศึกษาที่พักหอเอกชน และบ้านของ ตนเอง มีการปรับตัวในระดับน้อย ปานกลาง และมาก ตามลำดับ ในขณะที่นักศึกษาพักหอใน มีแนวโน้มที่จะปรับตัวในระดับ ที่มาก การปรับตัวด้านผู้สอนขึ้นอยู่กับประเภทที่พักอาศัย พบว่า นักศึกษาที่พักอาศัยทั้งในหอใน หอเอกชน และ บ้านพักตนเอง มีแนวโน้มที่จะปรับตัวในระดับที่น้อย 2.4 ตัวแปรจำนวนรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียน จากการวิเคราะห์พบว่า จำนวนรายวิชาไม่มีความสัมพันธ์ต่อ การปรับตัวของนักศึกษาทั้งในด้านการเรียน ด้านสภาพแวดล้อม และด้านผู้สอน แต่จะมีความสัมพันธ์กับการปรับตัวในด้าน สังคม การปรับตัวด้านสังคมขึ้นอยู่กับจำนวนรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียน พบว่า นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนจำนวนวิชา มากกว่า กลับมีแนวโน้มที่จะปรับตัวในระดับน้อยกว่า ในขณะที่นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนจำนวนน้อยวิชา มีแนวโน้มจะ ปรับตัวทั้งในระดับน้อย ปานกลาง และมาก 2.5 ตัวแปรบุคลิกภาพ จากการวิเคราะห์พบว่า บุคลิกภาพของนักศึกษานั้นมีความสัมพันธ์กับการปรับตัวในด้าน สังคม ด้านการเรียน และด้านสภาพแวดล้อม แต่ในด้านผู้สอนนั้นไม่มีความสัมพันธ์ต่อการปรับตัว การปรับตัวด้านสังคมขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพ พบว่า นักศึกษาที่มีพฤติกรรมชอบเก็บตัว มีแนวโน้มปรับตัวในระดับ ที่มาก เช่นเดียวกับนักศึกษาที่ชอบเข้าสังคม แต่ข้อมูลที่น่าสนใจคือ นักศึกษาที่มีทั้งสองบุคลิกภาพในตนเอง จะมีการปรับตัว ในระดับที่น้อย การปรับตัวด้านการเรียนขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพ พบว่า นักศึกษาทั้งสองบุคลิกภาพต่างมีการปรับตัวในระดับที่ น้อย ทั้งนี้ที่น่าสนใจคือ นักศึกษาที่มีลักษณะชอบเก็บตัว จะมีแนวโน้มข้อมูลการปรับตัวในระดับปานกลาง น้อย และมาก ตามลำดับ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 154 การปรับตัวด้านสภาพแวดล้อมขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพ พบว่า นักศึกษาที่เก็บตัว จะมีการปรับตัวในระดับ ปานกลาง และน้อย ตามลำดับ ในขณะที่นักศึกษาที่ชอบเข้าสังคม จะมีการปรับตัวในทุกระดับ (น้อย ปานกลาง และมาก) ไม่ต่างกัน เช่นเดียวกับนักศึกษาที่มีสองบุคลิกภาพ ดังรายละเอียดผลการวิเคราะห์ตามตารางที่ 1 ตารางที่1 ผลการทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลทั่วไปและการปรับตัวของนักศึกษา ตัวแปรอิสระ (ข้อมูล ทั่วไป) ตัวแปรตาม (การปรับตัว) ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการทดสอบสมมติฐาน ที่นัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ค่าทางสถิติ องศาอิสระ ค่านัยยะ สำคัญ เพศ ด้านสังคม 15.116 4 .004* ยอมรับสมมติฐาน ด้านการเรียน 12.220 4 .016* ยอมรับสมมติฐาน ด้านสภาพแวดล้อม 4.415 4 .353 ปฏิเสธสมมติฐาน ด้านผู้สอน 9.341 4 .053 ปฏิเสธสมมติฐาน ภาพรวม 4 ด้าน 11.658 4 .020* ยอมรับสมมติฐาน ภูมิลำเนา เดิม ด้านสังคม 25.535 10 .004* ยอมรับสมมติฐาน ด้านการเรียน 20.678 10 .023* ยอมรับสมมติฐาน ด้านสภาพแวดล้อม 10.094 10 .432 ปฏิเสธสมมติฐาน ด้านผู้สอน 16.143 10 .096 ปฏิเสธสมมติฐาน ภาพรวม 4 ด้าน 23.667 10 .009* ยอมรับสมมติฐาน ประเภท ที่พักอาศัย ด้านสังคม 25.051 6 .000* ยอมรับสมมติฐาน ด้านการเรียน 17.070 6 .009* ยอมรับสมมติฐาน ด้านสภาพแวดล้อม 14.790 6 .022* ยอมรับสมมติฐาน ด้านผู้สอน 15.628 6 .016* ยอมรับสมมติฐาน ภาพรวม 4 ด้าน 14.185 6 .028* ยอมรับสมมติฐาน จำนวน รายวิชาที่ ลงทะเบียน เรียน ด้านสังคม 26.782 4 .000* ยอมรับสมมติฐาน ด้านการเรียน 9.052 4 .060 ปฏิเสธสมมติฐาน ด้านสภาพแวดล้อม 7.456 4 .114 ปฏิเสธสมมติฐาน ด้านผู้สอน 3.939 4 .414 ปฏิเสธสมมติฐาน ภาพรวม 4 ด้าน 9.835 4 .043* ยอมรับสมมติฐาน บุคลิกภาพ ด้านสังคม 18.675 4 .001* ยอมรับสมมติฐาน ด้านการเรียน 13.458 4 .009* ยอมรับสมมติฐาน ด้านสภาพแวดล้อม 11.438 4 .022* ยอมรับสมมติฐาน ด้านผู้สอน 6.198 4 .185 ปฏิเสธสมมติฐาน ภาพรวม 4 ด้าน 7.981 4 .092 ปฏิเสธสมมติฐาน * มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 155 สรุปผลการศึกษา ผลการวิจัยเรื่องการปรับตัวภายหลังการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนจากออนไลน์ (Online) สู่การเรียนการสอนใน ห้องเรียน (On-Site) ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต สรุปผลตามการตอบสมมติฐานการวิจัย ได้ ดังนี้ สมมติฐานการวิจัยที่ 1 1. ผลการวิเคราะห์การปรับตัวของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ กล่าวคือ นักศึกษาจำนวนมากที่สุด (ประมาณ 1 ใน 3) หรือร้อยละ 34.3 มีการปรับตัวอยู่ในระดับมาก 2. ผลการวิเคราะห์การปรับตัวของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ของ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อจำแนกเป็นรายด้านพบว่านักศึกษามีการปรับตัวในระดับมากในด้านสังคม ปรับตัวในระดับ ปานกลางในด้านสภาพแวดล้อม ในขณะที่มีการปรับตัวในระดับน้อยในด้านการเรียนและด้านผู้สอน ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาค่าคะแนนเฉลี่ยการปรับตัวในแต่ละด้าน เรียงลำดับการปรับตัว พบว่า มีการปรับตัวมากที่สุดใน ด้านสังคม รองลงมา คือ ด้านการเรียน ด้านผู้สอน และด้านสภาพแวดล้อม สมมติฐานการวิจัยที่ 2 การตอบสมมติฐานการวิจัยในส่วนของการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลทั่วไปและการปรับตัวของนักศึกษา พบว่า มีทั้งการยอมรับสมมติฐานการวิจัยและการปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ (ดังที่นำเสนอในตารางที่ 1) โดยส่วนของ การยอมรับสมมติฐานการวิจัย ตามลำดับตัวแปรอิสระ ดังนี้ (1) เพศมีความสัมพันธ์กับการปรับตัวด้านสังคมและด้านการเรียน เช่นเดียวกับ (2) ภูมิลำเนาเดิมของนักศึกษา ในขณะที่ (3) ประเภทที่พักอาศัยของนักศึกษากลับมีความสัมพันธ์ต่อการปรับตัว ทั้ง 4 ด้าน แตกต่างจาก (4) จำนวนรายวิชาที่เรียนที่มีความสัมพันธ์กับการปรับตัวในด้านสังคมเพียงด้านเดียว และ (5) บุคลิกภาพของนักศึกษาทั้ง Introvert และ Extrovert นั้นมีความสัมพันธ์กับการปรับตัวในด้านสังคม ด้านการเรียน และ ด้านสภาพแวดล้อม การอภิปรายผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ จากผลการศึกษาดังกล่าว สามารถอภิปรายผลการปรับตัวในด้านต่างๆ ได้ดังนี้ การปรับตัวโดยรวมของนักศึกษา การปรับตัวโดยรวมของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ชั้นปีที่ 2 ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 1/2565 มีการปรับตัวภายหลังการเรียนในห้องเรียน ในภาพรวมในระดับที่มาก สอดคล้องกับงานวิจัยของวนัสนันท์ ขลิปปั้น และ มนัสนันท์ หัตถศักดิ์ (2563) ศึกษาปัจจัยที่มีต่อความสัมพันธ์กับการปรับตัวของนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยดุสิตธานี พบว่า นักศึกษามีการปรับตัวอยู่ในระดับมาก ซึ่งจะแตกต่างกับงานวิจัยของ ธเนศ แม้นอินทร์ (2564) ศึกษา การปรับตัวของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา พบว่า นักศึกษามีการปรับตัวในระดับ ปานกลาง โดยในงานวิจัยนี้พบว่าผลการศึกษา ด้านสังคมนักศึกษามีการปรับตัวมาก ส่วนในด้านการเรียนและด้านผู้สอนนั้น พบว่านักศึกษามีการปรับตัวในระดับน้อย และด้านสภาพแวดล้อมนักศึกษามีการปรับตัวได้ระดับปานกลาง ผู้วิจัยจึงตั้ง ข้อสังเกตว่าการที่นักศึกษามีการปรับตัวในด้านการเรียนและด้านผู้สอนน้อยนั้นเป็นผลมาจากการที่อาจจะมีประสบการณ์เรียน กับอาจารย์ท่านที่มีความคุ้นเคย จากช่วงที่เรียนในรูปแบบออนไลน์ก่อนหน้านี้ รวมถึงเนื้อหาการเรียน วิธีการสอน และ รูปแบบการวัดผลก็อาจจะไม่มีความแตกต่างจากการเรียนรูปแบบออนไลน์มากนัก เลยส่งผลให้นักศึกษาไม่ต้องปรับตัวมาก ในขณะเดียวกันในด้านสังคมนักศึกษากลับมาการพยายามปรับตัวในระดับมาก อันเป็นผลสืบเนืองจากการต้องเข้าสู่สังคม


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 156 เพื่อน ที่ต้องมีการปฏิสัมพันธ์ การทำงานกลุ่มร่วมกัน การแสดงความคิดเห็น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ในการเรียนออนไลน์นั้นไม่ได้ เกิดขึ้น เลยทำให้การเรียนรูปแบบห้องเรียนนี้นักศึกษาจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวอย่างมาก การปรับตัวด้านสังคม การปรับตัวด้านสังคม ผลการศึกษาพบว่านักศึกษามีการปรับตัวอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับ นันทนพ เข็มเพชร (2561) ศึกษาความสามารถในการปรับตัวของนิสิตระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัย มหาสารคาม พบว่า ความความสามารถในการปรับตัวด้านสังคมอยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับ กรรณิการ์ แสนสุภา และคณะ (2563) ศึกษาการปรับตัวของนักศึกษารามคำแหงในสถานการณ์โควิด-19 พบว่า นักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีการปรับตัวด้านสังคมอยู่ในระดับมาก แต่จะแตกต่างกับงานวิจัยของ ณัฐวุฒิ ศรีวัฒนาวานิชและ ณัทธร พิทยรัตน์เสถียร (2557) ศึกษาเรื่องการปรับตัวในมหาวิทยาลัยของนิสิตชั้นปีที่ 1 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย พบว่า มีการปรับตัวในมหาวิทยาลัยโดยรวมในระดับปานกลาง และแตกต่างจาก ธเนศ แม้นอินทร์ (2564) ที่ ศึกษาการปรับตัวของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา พบว่า การปรับตัวของนักศึกษาด้าน สังคมของนักศึกษาอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตว่าการที่นักศึกษามีการปรับตัวในด้านสังคมในระดับมากนั้น เป็น เรื่องที่ปกติ เนื่องจากการกลับมาเรียนในมหาวิทยาลัยครั้งแรกหลังจากการเรียนในรูปแบบออนไลน์ (Online) มานั้น เปรียบเสมือนการเรียนจากชั้นเตรียมอุดมศึกษา มาเป็นระดับอุดมศึกษา จะต้องเริ่มการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ การอยู่ ร่วมกับเพื่อนใหม่หลายคน การเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของทางคณะ หรือมหาวิทยาลัย การแสดงความคิดเห็นในการทำงาน กลุ่มร่วมกับเพื่อน เมื่อได้รับการมอบหมาย การยอมรับและเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างเมื่อต้องได้ทำงานกลุ่มร่วมกับ เพื่อน ทั้งหมดนี้นักศึกษาต้องพยายามปรับตัวอย่างมาก เลยทำให้ผลการศึกษาการปรับตัวด้านสังคมอยู่ในระดับที่มาก การปรับตัวด้านการเรียน การปรับตัวด้านการเรียน ผลการศึกษาพบว่านักศึกษามีการปรับตัวในระดับน้อย ซึ่งอาจจะมีข้อสังเกตเพราะ การเรียนในรูปแบบออนไลน์ที่ผ่านมานั้น นักศึกษามีความคุ้นชินต่อการทำงาน รูปแบบงานที่เคยทำ รูปแบบการเรียน เวลาเริ่ม เรียนของคลาส และการกล้าซักถามอาจารย์ในชั้นเรียน ทำให้เมื่อกลับมาเรียนในห้องเรียนของมหาวิทยาลัยแล้วนั้น ก็เป็นเรื่อง ที่ปรับได้ดี ไม่ต้องปรับตัวมาก ทั้งนี้ผลการศึกษานี้แตกต่างจากงานวิจัยของ ชนัดดา เพ็ชรประยูร และคณะ (2554) ศึกษา ความสามารถในการปรับตัวของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ในมหาวิทยาลัยของรัฐ พบว่า ความสามารถในการปรับตัวด้านการเรียนอยู่ ในระดับปานกลาง และแตกต่างกับการศึกษาของนันทนพ เข็มเพชร (2561) เรื่อง ความสามารถในการปรับตัวของนิสิตระดับ ปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม พบว่า ความความสามารถในการปรับตัวด้าน การเรียนอยู่ในระดับปานกลาง การปรับตัวด้านสภาพแวดล้อม การปรับตัวด้านสภาพแวดล้อม ผลการศึกษาพบว่านักศึกษามีการปรับตัวอยู่ในระดับปานกลาง สอดคล้องกับ ชลธิชา มินทร์พยัคฆ์ (2546) กล่าวถึงการที่บุคคลสามารถปรับตัวได้ คือ บุคคลที่เป็นตัวของตัวเอง เข้าใจ ยอมรับตนเองและ ผู้อื่น รวมทั้งสามารถรับรู้ ประสบการณ์ต่างๆ ตามความเป็นจริง นำประสบการณ์นั้นมาจัดให้สอดคล้องกับโครงสร้างหรือ บุคลิกลักษณะ ของตนอย่างไม่ขัดแย้งหรือบิดเบือน และมีการรับรู้ความคิดเกี่ยวกับตนเองในทางบวก ส่วนบุคคลที่ปรับตัว ไม่ได้จะมีความขัดแย้งระหว่างความคิดเกี่ยวกับตนกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นมาใหม่อย่างมาก ทำให้เกิดความตึงเครียด วิตก กังวล สับสน ไม่แน่ใจ สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง และมีความคิดเกี่ยวกับตนเองในทางลบส่งผลก่อให้เกิดความเครียดที่ รุนแรง การที่นักศึกษามีการปรับตัวอยู่ในระดับปานกลางถือว่ายังสามารถปรับตัวได้ในบางเรื่อง โดยมีทั้งการเข้าใจยอมรับ ตนเองและผู้อื่น แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความสับสนและไม่แน่ใจในตนเองอยู่บ้าง ซึ่งผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตว่าการที่นักศึกษามี การปรับตัวในด้านสภาพแวดล้อมในระดับปานกลางนั้น เป็นเรื่องที่ปกติ แต่ก็มีข้อพิจารณาเกี่ยวกับการปรับตัวที่ต้องคำนึงถึง ในด้านบรรยากาศภายในห้องเรียนที่อาจไม่เหมือนกับตอนที่นักศึกษาเรียนออนไลน์ที่บ้าน การใช้บริการสถานที่ต่างๆ ใน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 157 บริเวณมหาวิทยาลัย รวมทั้งการใช้อุปกรณ์หรือเทคโนโลยีต่างๆ ในการเรียนที่เปลี่ยนไป จากเดิมเรียนออนไลน์นักศึกษา จำเป็นต้องเรียนกับหน้าจออุปกรณ์ ขณะที่เมื่อเรียนในห้องนักศึกษาต้องให้ความสนใจกับทั้งเนื้อหาการเรียนการสอนจาก หน้าจอในชั้นเรียนและอาจารย์ผู้สอนในห้องเรียนไปด้วย หมายความว่านักศึกษายังสามารถปรับตัวได้ในบางเรื่อง ขณะที่ บางเรื่องยังไม่สามารถปรับตัวได้ โดยเริ่มมีผลกระทบหรือข้อกังวลต่อการเรียนในห้องเรียน (Online) ในมหาวิทยาลัยและควร ต้องมีการปรับตัวในบางเรื่อง การปรับตัวด้านผู้สอน การปรับตัวด้านผู้สอน ผลการศึกษาพบว่านักศึกษามีการปรับตัวอยู่ในระดับน้อย สอดคล้องกับ ประธาน วัฒนวาณิชย์(2529) กล่าวว่า การเรียนและการปรับตัวของผู้เรียนจะต้องมีความพร้อม คือการมีจุดมุ่งหมายในการเรียนอย่าง แน่นอน ย่อมจะเรียนได้ดีกว่าผู้ที่ไม่มีความพร้อมในการเรียน การมีสมาธิในการเรียน (Concentration) การเรียนจะมี ประสิทธิภาพต้องอาศัยการปรับตัวและมีความตั้งใจที่จะจดจ่ออยู่กับการเรียน มีความพร้อมที่จะเรียน และสนใจในวิชานั้นๆ สิ่งที่เป็นอุสรรคต่อสมาธิในการเรียน เช่น ความหิว ความอิ่ม เสียงดัง ฯลฯ ต้องขจัดให้หมดไปขณะที่ฟังคำบรรยายหากเกิดข้อ สงสัย ควรรีบจดไว้เพื่อไม่ให้ข้อสงสัยนั้นรบกวนสมาธิในการเรียนในช่วงนั้นๆ การจัดลำดับเรื่องที่เรียน นักศึกษาจะต้องรู้จัก จัดลำดับในเรื่องที่จะเรียน ให้เป็นหมวดหมู่ก่อนหลัง มิฉะนั้นจะสับสนปนเปทำให้เรียนไม่เข้าใจ เกิดความเบื่อหน่ายไม่อยาก เรียน ซึ่งผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตว่าการที่นักศึกษามีการปรับตัวในด้านผู้สอนน้อยนั้นเป็นผลมาจากการที่อาจจะมีประสบการณ์ การเรียนกับอาจารย์ท่านที่คุ้นเคย จากช่วงที่เรียนรูปแบบออนไลน์ก่อนหน้านี้ รวมถึงเนื้อหาการเรียน วิธีการสอน และรูปแบบ การวัดผลก็อาจจะไม่มีความแตกต่างจากการเรียนรูปแบบออนไลน์มากนัก จึงส่งผลให้นักศึกษาไม่ต้องปรับตัวมาก เนื่องจาก การมีสมาธิในการเรียนส่งผลต่อการปรับตัวและการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีสิ่งที่เป็นอุสรรคต่อสมาธิในการเรียน เช่น ความหิว ความอิ่ม เสียงดัง เป็นต้น ซึ่งเมื่อนักศึกษาสามารถมีความพร้อมต่อการเรียนและเตรียมความพร้อมต่อรูปแบบ การสอนของอาจารย์แต่ละรายวิชาในภาพรวมเป็นอย่างดี เมื่อไม่เข้าใจในเนื้อหาก็มีความกล้าที่จะซึกถามแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นร่วมกับอาจารย์ผู้สอน ทำให้นักศึกษามีการปรับตัวอยู่ในระดับน้อย เนื่องจากนักศึกษามีการเตรียมความพร้อมต่อ การเรียนและวิธีการสอนของผู้สอนเป็นอย่างดี จึงไม่จำเป็นต้องมีการปรับตัวมาก ข้อเสนอแนะ จากกระบวนการและผลการศึกษาวิจัยครั้งนี้ นำไปสู่ข้อเสนอแนะดังนี้ ข้อเสนอแนะที่ได้จากผลการศึกษา จากผลการศึกษาที่ได้รับจากการวิเคราะห์ข้อมูล นำไปสู่ข้อเสนอแนะที่น่าสนใจ ดังนี้ 1) แม้นักศึกษาจะยังมีการปรับตัวด้านสังคมอยู่ในระดับที่มาก แต่ผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานด้านกิจกรรม นักศึกษาของคณะ และมหาวิทยาลัย ควรมีการจัดกิจกรรมเพื่อให้นักศึกษาได้รู้จักสังคมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้มากขึ้น เนื่องจากนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างของการศึกษาครั้งนี้ ยังไม่มีประสบการณ์ในการเข้ามาเรียนในห้องเรียน (Onsite) ที่ศูนย์รังสิตมาก่อน ตลอดเวลาที่เป็นนักศึกษาในชั้นปีที่ 1 นอกจากนี้นักศึกษาเองก็ต้องฝึกและเรียนรู้การปรับตัว เพื่อเข้ากับสังคมเพื่อนใหม่ กิจกรรมต่างๆ ของมหาวิทยาลัย การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ซึ่งการปรับตัวนี้มีความต่างออกไปจาก การเรียนออนไลน์(Online) และการเรียนในระดับมัธยมศึกษา 2) ด้านการเรียน มีการปรับตัวในระดับที่รองลงมาจากด้านสังคม ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากการเรียนออนไลน์ (Online) และการเรียนในระดับมัธยมศึกษาก่อนหน้า มีความต่างอย่างมากกับการเรียนในระดับอุดมศึกษา ดังนั้น คณาจารย์ ผู้สอนรายวิชาต่างๆ และนักศึกษาเองต้องช่วยกันต่อการปรับตัวในด้านนี้ ทั้งการที่อาจารย์ต้องกระตุ้น เตือนนักศึกษา มีรูปแบบการเรียนการสอนที่สร้างความเข้าใจ ชี้แจงรายละเอียดการเรียนให้ชัดเจน ในขณะที่นักศึกษาต้องฝึกทักษะและ การปรับตัวในการเข้าชั้นเรียน การมีส่วนร่วมในกิจกรรม การพัฒนาความกล้าในการซักถามแลกเปลี่ยนในชั้นเรียน เป็นต้น


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 158 3) ด้านผู้สอน ซึ่งเป็นด้านที่นักศึกษาต้องมีการปรับตัวมากเช่นกัน ดังนั้น ในส่วนนี้ถือเป็นหน้าที่ของผู้สอนที่ต้องสร้าง บรรยากาศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อนักศึกษาซึ่งไม่เคยเรียนในห้องเรียน (On-site) มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการชี้แจงเนื้อหารายวิชาที่ ชัดเจน การสร้างสัมพันธภาพกับนักศึกษา การกระตุ้นการแลกเปลี่ยนเพื่อส่งเสริมความกล้าในการแสดงออก แสดงความเห็น ของนักศึกษา เป็นต้น ทั้งนี้ในส่วนของนักศึกษาที่ไม่สามารถปรับตัวได้เลยในด้านต่างๆ แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่มีความสำคัญที่ผู้เกี่ยวข้อง ในทุกระดับ ทั้งตัวนักศึกษาเอง เพื่อน อาจารย์ คณะ มหาวิทยาลัย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในมหาวิทยาลัย อาจต้องมี กิจกรรมสร้างสรรค์ร่วมกันหรือการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อช่วยส่งเสริมให้นักศึกษาปรับตัวและใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยได้อย่างมี ความสุขมากขึ้น ซึ่งจากผลการศึกษาครั้งนี้ ประเด็นที่ควรมุ่งเน้นเพื่อส่งเสริมการปรับตัวของนักศึกษา คือ การเข้าร่วมกิจกรรม ต่างๆ ของคณะหรือมหาวิทยาลัย การทำงานตามที่อาจารย์มอบหมาย การใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในชั้นเรียน รวมทั้งการฝึกทักษะ การส่งเสริมความกล้าในการขอคำแนะนำจากอาจารย์อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักศึกษาที่ไม่สามารถปรับตัวได้เลยนี้ ควรได้รับ การเข้าถึง ช่วยเหลือจากผู้เกี่ยวข้องเป็นรายบุคคลด้วย ข้อเสนอแนะเพื่อการศึกษาวิจัยครั้งต่อไป จากกระบวนการศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะต่อการวิจัยครั้งต่อไป ดังนี้ (1) ควรมีการศึกษาหรือขยายการศึกษา ไปสู่นักศึกษาทุกชั้นปีถึงการปรับตัวในการเรียนในห้องเรียน (On-site) (2) ควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในประเด็น การปรับตัวด้านกิจกรรม เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่ต้องมีการปรับตัวกับเพื่อนใหม่ซึ่งมีจำนวนหลายชั้นปี หลายคณะใน มหาวิทยาลัย (3) เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อนักศึกษาและการจัดการของมหาวิทยาลัยมากยิ่งขึ้น ควรศึกษาปัจจัยเกี่ยวกับ คุณภาพชีวิตของนักศึกษาภายหลังการปรับตัวจากการเรียนออนไลน์สู่การเรียนการสอนในห้องเรียน (On-site) ที่ส่งผลต่อ ความสุขในการเรียนและการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อนำผลที่ได้รับไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักศึกษาต่อไป และ (4) ควรมีการศึกษาเชิงลึกในนักศึกษาที่ไม่สามารถปรับตัวได้เลยในมหาวิทยาลัย เพื่อให้เกิดการเข้าถึงการช่วยเหลือดูแลที่ เหมาะสม ข้อจำกัดการศึกษา การศึกษาวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัยได้เผชิญข้อจำกัดในการศึกษากล่าวคือ การไม่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้ครบตาม ขนาดตัวอย่างที่กำหนดไว้ เนื่องจากข้อจำกัดในการเข้าถึงนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่ยังมีรูปแบบการเรียนที่หลากหลาย และด้วย ข้อจำกัดของระยะเวลาในการศึกษาวิจัยของรายวิชาวิจัย อย่างไรก็ตาม ขนาดตัวอย่างที่เก็บรวบรวมได้ คิดเป็นร้อยละ 83.24 หรือจำนวน 303 คน (จาก 364 คน) ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่สามารถนำมาศึกษา วิเคราะห์ทางสถิติได้และสามารถให้ภาพ แนวโน้มและผลการศึกษาครั้งนี้ได้ กิตติกรรมประกาศ การศึกษาวิจัยเรื่อง “การปรับตัวภายหลังการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนจากออนไลน์สู่การเรียนในห้องเรียน ของ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต” ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีโดยได้รับความเอื้ออาทร ความกรุณาและเอาใจใส่ จากบุคคลหลายฝ่ายอย่างดียิ่งตลอดมาคณะผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ดร.วรรณวดี พูลพอกสิน ที่กรุณาให้ คำแนะนำ จุดประกายความคิด เพิ่มเติมองค์ความรู้สละเวลาส่วนตนเพื่อคอยให้การปรึกษาแก่คณะผู้วิจัยเสมอมา รวมทั้ง สร้างขวัญและกำลังใจให้แก่คณะผู้วิจัยเสมอมาตลอดระยะเวลาการศึกษา 1 ภาคเรียน รวมทั้งขอขอบคุณ นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ที่ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือคณะผู้วิจัยอย่างดียิ่ง สุดท้ายขอขอบคุณเพื่อนๆ ใน ห้องเรียนวิชา สค.312 การวิจัยและการจัดการความรู้ทางสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์สำหรับมิตรภาพ การแลกเปลี่ยน ความรู้เป็นขวัญ กำลังใจอย่างดียิ่ง ความห่วงใย และช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่ทำให้รู้ว่าพวกเราก็ทำสำเร็จได้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 159 ท้ายที่สุด ขอขอบคุณบุพการีญาติพี่น้อง ทุกครอบครัวที่มีส่วนเกี่ยวข้องและสนับสนุน ความสำเร็จ รวมทั้งแรง บันดาลใจจากอาจารย์ทุกท่าน เหนือสิ่งอื่นใดที่คณะผู้วิจัยได้รับ คือ “การสนับสนุนจากครอบครัวซึ่งเป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อ ความสำเร็จในวันนี้” และขอมอบคุณค่าแห่งการศึกษาวิจัยนี้กลับคืนสู่ผู้สร้างสรรสังคมทุกท่าน เอกสารอ้างอิง กรมควบคุมโรค. (2563). โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19). สืบค้นจาก https://ddc.moph.go.th/ กรรณิการ์ แสนสุภา และคณะ. (2563). การปรับตัวของนักศึกษาในสถานการณ์โควิด-19. สืบค้นจาก https://shorturl.asia/YjwCF. คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย. (2564). แนวทางการจัดการเรียนการสอน และการจัดสอบ สำหรับภาคฤดูร้อน /2563 และภาคเรียนที่ 1/2564 ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัส COVID -19. สืบค้นจาก https://tu.ac.th/ ชลธิชา มินทร์พยัคฆ์. (2546). การปรับตัวทางสังคม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาลสังกัดเทศบาลนคร อุดรธานี. ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาจิตวิทยาการศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย, มหาสารคาม. ทะนงศักดิ์ แสงสว่างวัฒนะ และคณะ. (2563). "New Normal" วิถีชีวิตใหม่และการปรับตัวของคนไทยหลังโควิด-19: การงาน การเรียน และธุรกิจ. สืบค้นจาก https://shorturl.asia/5PQli เทื้อน ทองแก้ว. (2563). การออกแบบการศึกษาในชีวิตวิถีใหม่: ผลกระทบจากการแพร่ระบาด COVID-19. คุรุสภาวิทยา จารย์, 1(2), 1-10. ธนพรรณ กลั่นเกษร. (2551). บุคลิกภาพเก็บตัวและแสดงตัวกับทัศนคติต่อความรักและความสัมพันธ์ทางเพศของผู้สูงอายุ. สารนิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาจิตวิทยาพัฒนาการ, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ธเมศ แม้นอินทร์. (2564). การปรับตัวของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต, 16(2), 79-90. นันทพร เข็มเพชร. (2561). ความสามารถในการปรับตัวของนิสิตระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. วารสารการเมืองการปกครอง, 8(2), 188-199. นันทิชา บุญละเอียด. (2554). การปรับตัวของนิสิตระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาสถิติ ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์. ส่วนหนึ่งของวิชาการศึกษาตามหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต, สาขาวิชาสถิติปีการศึกษา 2554 ภาควิชาคณิตศาสตร์คณะวิทยาศาสตร์, มหาวิทยาลัยบูรพา ชลบุรี. นิรมล สุวรรณโคตร. (2553). การปรับตัวของนิสิตระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยนเรศวร. (ปริญญานิพนธ์กศ.ม. (การอุดมศึกษา). ส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาการอุดมศึกษา. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ประกาศมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. (2563). มาตรการและคำแนะนำการป้องกันควบคุมโรคไวรัสโคโรนา 19 (COVID-19) (ฉบับที่ 12). สถานการณ์โควิด-19. สืบค้นจาก https://tu.ac.th/uploads/news-tu/images/may63/file/ Thammasat-University-Notification-12-TH.pdf ประธาน วัฒนวาณิชย์ และคณะ. 2529. เรื่องไม่ยากถ้าอยากเรียนเก่ง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ โอ.เอส.พริ้นติ้งเฮาส์. ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร พ.ศ.2565. (30 ตุลาคม 2565). ราชกิจจานุเบกษา, 139(232ง), 47-48. วนัสนันท์ ขลิบปั้น และมนัสนันท์ หัตถศักดิ์. (2563). ปัจจัยที่มีต่อความสัมพันธ์กับการปรับตัวของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 วิทยาลัยดุสิตธานี. วารสารวิทยาลัยดุสิตธานี, 14(3), 578-594.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 160 WHO Thailand. (2563). โรคโควิด 19 คืออะไร, 20 กันยายน 2565, https://shorturl.asia/lBIU4 Baker, R. W., & Siryk, B. (1984). Measuring adjustment to college. Journal of Counseling Psychology, 31(2), 179-189. Krejcie R. V., & Morgen E. W. (1970). Determining Simple fo Research Activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607-610. Lazarus, R. S. (1966). Psychological stress and the coping process. New York: McGraw-Hill. Lazarus, R. S., & Folkman, S. (1984). Stress appraisal and coping. New York: Springer Publishing Company. Rogers, C. (1967). Client-Centered Therapy. Boston: Houghton Miffin. Selye, H. (1976). The stress of life. (Rev.ed). New York: McGraw Hill Book Co.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 161 ห้องที่ 2: การนำเสนอผลงานวิชาการ เรื่อง การเสริมพลังความเข้มแข็งโดยครอบครัว กลุ่ม ชุมชน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 162 รูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐานกับการสังคมสงเคราะห์บุคคลและครอบครัวเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก The strength-based model with individual and family social work for hard-to-reach target groups เคท ครั้งพิบูลย์1 Kath Khangpiboon2 Abstract This study aims for a strengthen-based model with individual and family social work for target groups that are hard to reach. It is a qualitative study using thematic analysis and reviews of literature. To study the social situation of target groups that are difficult to reach. A resilience-based model targets hard-to-reach groups with basic welfare and building self-reliance. Moreover, to develop policy proposals, mechanisms, welfare systems, and services to improve welfare security. The study found to develop work systems and organizational management for hard-to-reach target groups. The Finding is that there is a concept to support building strength from the foundation: Strength-Based approach, Holistic view, Integration, Activity Daily Living, Capacity building, Vulnerability, and Social Welfare. It promotes and supports all sectors to drive social welfare management. Although, develop a society suitable for the target group and area, especially target groups that are difficult to reach. Then, Organizational capacity for policy and service administration and any activity designed to help people service users identify and build on their strengths. Such as including activities like self-assessment tools. Activities that encourage service users to reflect on past achievements and achievements. Alternatively, exercises that help service users identify and develop their abilities and skills. Keywords: Model, Strength-based, Hard to reach group. บทคัดย่อ รูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐานกับกลุ่มเป้าหมายกับการสังคมสงเคราะห์บุคคลและครอบครัวเพื่อกลุ่มเป้าหมาย ที่เข้าถึงยาก เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์แก่นสาระเป็นวิธีวิทยาผ่านการรวบรวมเอกสารต่างๆ เพื่อศึกษา สถานการณ์สังคมของกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก รูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐานกับกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยากกับสวัสดิการขั้น พื้นฐานและสร้างการพึ่งพาตนเอง และเพื่อพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย กลไก ระบบสวัสดิการและการให้บริการเพื่อพัฒนา ความมั่นคงในชีวิต ประการสุดท้ายและพัฒนาระบบงานและการบริหารจัดการองค์กรเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก พบว่า มีแนวคิดสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก ได้แก่ แนวทางการดูแลทางสังคมแบบองค์รวม การบูรณาการ การพัฒนาสังคม การช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวัน การเสริมสร้างศักยภาพ มิติความเปราะบางของประชาชน สวัสดิการงคม การส่งเสริมสนับสนุนทุกภาคส่วนให้เกิดพลังขับเคลื่อนการจัดสวัสดิการสังคม พัฒนาสังคมที่เหมาะสมกับ กลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก ควรเสริมสร้างขีดความสามารถองค์การเพื่อการบริหารนโยบาย 1 อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ประเทศไทย 2 Lecturer, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 163 และการบริการ กิจกรรมใดๆ ก็ตามที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถระบุและสร้างจุดแข็งของตนเองได้ ซึ่งอาจ รวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น เครื่องมือประเมินตนเอง กิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้ใช้บริการสะท้อนถึงความสำเร็จและความสำเร็จที่ผ่านมา หรือแบบฝึกหัดที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการระบุและพัฒนาความสามารถและทักษะของตน คำสำคัญ: รูปแบบ, ความเข้มแข็งเป็นฐาน, กลุ่มที่เข้าถึงยาก บทนำ นักบริหารสวัสดิการสังคม นักพัฒนาสังคมและนักวิชาชีพสังคมสงเคราะห์จำเป็นต้องคิด วางแผน หรือมีมาตรการ ทางนโยบายและการปฏิบัติการ มีระบบสวัสดิการกลุ่มเป้าหมายที่ครอบคลุม ทั่วถึง เป็นธรรม มีระบบการคัดกรอง การช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันต้องมีระบบสวัสดิการที่เชื่อมโยงสังคมกับคนทุกสถานะให้มีส่วนร่วมในการจัด สวัสดิการ ไม่เพียงแต่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐเท่านั้น กลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มที่เข้าถึงยากยังเป็นความท้าทายของ สังคมไทยในการป้องกันและแก้ไขปัญหาระยะยาว หลายประเด็นที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญสำหรับนักบริหารนโยบาย สวัสดิการสังคม เช่น ปัญหาการคนไร้บ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ ความต้องการด้านที่ทำกิน และความไม่เสมอภาคระหว่างเพศ คนชายขอบที่ถูกนำเสนอในมิติที่เป็นประเด็นทับซ้อน (Intersectionality) (จิราลักษณ์, 2547) การเปลี่ยนผ่านของสังคมจึง เกิดการกลายเป็นปัจเจกนิยม อิทธิพลของลัทธิบริโภคนิยม การช่วยเหลือเกื้อกูลกันทางสังคมลดน้อยลง การกลายเป็นคนที่ถูก มองไม่เห็นในบริการและนโยบายสังคม ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อความมั่นคงในชีวิตและความเป็นอยู่ที่ของสังคมไทย โดยภาพรวมทั้งสิ้น สถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจมีปัจจัยต่อสวัสดิการสังคม ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการที่จะปฏิรูปสังคม ในหลายด้าน ผู้คนต่างให้ความสนใจต่อประเด็นการเมืองมากยิ่งขึ้น การศึกษากระบวนการทางนโยบายสังคมจึงมีความสำคัญ นั่นเพราะจะทำให้ประชาชนมองเห็นกลไกที่สามารถดูแลชีวิตความเป็นอยู่และการตระหนักในการมีส่วนร่วมแบบ ประชาธิปไตยต่อสังคมได้ (กิติพัฒน์, 2553) จากการที่ประเทศไทยมีพัฒนาการทางด้านสวัสดิการสังคมที่เข้าถึงประชากรกลุ่ม เฉพาะขยายมาสู่การจัดการแบบมีหลักประกันสิทธิกับประชาชนทุกคนโดยมีกฎหมายรับรองเป็นทิศทางของการสร้างระบบ สวัสดิการสังคมขึ้นในทางนโยบาย การเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยจากบริโภคนิยมและความเจริญก้าวหน้าทางการสื่อสาร สารสนเทศ ทำให้สภาพปัญหามีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น นอกจากปัญหาความยากจนซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งที่สำคัญ เชื่อมโยงประเด็นการมีความมั่นคงทางรายได้หรือการมีสภาพการทำงานที่ดีเท่านั้น หากแต่สัมพันธ์กับการขาดโอกาส ขาดสิทธิ อันส่งผลกระทบต่อชีวิตเป็นนิเวศวิทยา ทั้งการเมือง สุขภาพอนามัย สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และการเข้าไม่ถึงบริการสังคม อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของโลกและอนุภูมิภาคมีผลการวางแผนนโยบายสวัสดิการสังคม เช่น การเข้ามาของแรงงานข้ามชาติ การอพยพย้ายถิ่น ขณะเดียวกันขบวนการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้คน เช่น การเลือกปฏิบัติ การตีตราก็เป็นประเด็นท้าทาย สถานการณ์เช่นนี้ทำให้องค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งรัฐและเอกชนให้ความสนใจในการกำหนด มาตรการการดูแลร่วมกับเครือข่าย องค์กรระหว่างประเทศและรัฐบาลของประเทศต่างๆ จำเป็นต้องพัฒนาระบบสวัสดิการ สังคมของประเทศให้ครอบคลุมเพื่อรองรับการมองร่วมกันในเป็นส่วนหนึ่งให้กับประเทศและไม่ทิ้งใครไม่ข้างหลัง การขยายอิทธิพลบทบาทของประเทศมหาอำนาจที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศ ระบบเศรษฐกิจของ โลก และการเกิดโรคอุบัติใหม่ เช่น การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) รวมทั้งปัญหาด้านสภาพ อากาศและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในมิติต่างๆ ทั้งด้านการจ้างงานและอาชีพ ด้านเทคโนโลยี ด้านเศรษฐกิจ ด้านการสาธารณสุข ด้านพัฒนาสังคมและการจัดสวัสดิการสังคมภายในประเทศ อีกทั้งการเป็นสังคมผู้สูงอายุ ระดับสุดยอดในปี 2574 (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, 2564) จากสถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่ ประสบปัญหากับภาวะความยากจน ภาวะการขาดแคลน ไม่มีความมั่นคง เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมในการเข้าถึงสิทธิหรือ โอกาสต่างๆ มีความรุนแรงมากขึ้นได้ ดังนั้น ภายใต้บริบทโครงสร้างประชากร เศรษฐกิจ สภาพสังคม สภาพภูมิอากาศ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 164 สิ่งแวดล้อมและปัจจัยการพัฒนาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการวางแผนพัฒนาที่รอบครอบและครอบคลุม ทุกมิติเพื่อตอบสนองต่อประชาชนทุกช่วงวัยและประเทศได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน การพัฒนาทางด้านแนวคิดการพัฒนาสังคมและสวัสดิการนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมและบริบทของสังคม เรื่องอำนาจและชนชั้นเข้ามามีส่วนทำให้คนในสังคมตระหนักถึงความไม่เท่าเทียม ความรุนแรงของการตีตราและการเลือก ปฏิบัติ(จิราลักษณ์จงสถิตย์มั่น, 2547) การปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์จึงมีบทบาทเข้ามาสนับสนุน และป้องกันสังคม ความรู้ของนักสังคมสงเคราะห์กับการทำงานที่มุ่งเน้นการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับผู้ใช้บริการ การเน้นการต่อต้านเรื่องความไม่เท่าเทียมและการเรียกร้องถึงความยุติธรรม จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของการให้บริการ ส่วนที่ สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การให้บริการของนักสังคมสงเคราะห์ที่สร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ใช้บริการด้วยการปฏิบัติที่เคารพ ในคุณค่าของกลุ่มผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเปราะบาง กลุ่มเฉพาะ กลุ่มที่เข้าถึงยากจะสามารถทำได้อย่างไรและ ด้วยวิธีการใด กล่าวได้ว่าไม่มีรูปแบบงานสังคมสงเคราะห์ "ใหม่" (IFSW, 2022) ที่เป็นที่ยอมรับหรือนำไปใช้ในระดับสากล อย่างไร ก็ตาม มีแนวทางและรูปแบบต่างๆ มากมายที่ใช้ในการปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์ และรูปแบบเหล่านี้อาจแตกต่างกันไป ในแง่ของจุดเน้น เป้าหมาย และสมมติฐานพื้นฐาน โมเดลทั่วไปบางส่วนที่ใช้ในงานสังคมสงเคราะห์ ได้แก่ รูปแบบจุดแข็งเป็นฐาน มุ่งเน้นไปที่จุดแข็ง ความสามารถ และทรัพยากรของบุคคล ครอบครัว และชุมชน และ พยายามสร้างจุดแข็งเหล่านี้เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีและจัดการกับความท้าทายต่างๆ (IFSW, 2022) รูปแบบการเสริมอำนาจ การพยายามให้เสริมอำนาจบุคคลและชุมชนด้วยการให้ความรู้ ทักษะ และทรัพยากรที่พวก เขาต้องการเพื่อสนับสนุนตนเองและทำการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในชีวิตของพวกเขา (IFSW, 2022) รูปแบบการดูแลบาดแผลทางจิตใจ การตระหนักว่าบุคคลและชุมชนจำนวนมากเคยประสบกับการบาดเจ็บ และ พยายามที่จะให้การสนับสนุนและบริการในลักษณะที่อ่อนไหวต่อผลกระทบของการเจ็บปวดทางใจและส่งเสริมการเยียวยา และการฟื้นตัว (IFSW, 2022) รูปแบบความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ การพยายามที่จะซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากความขัดแย้งทางสังคมและ ระหว่างบุคคลโดยการรวบรวมฝ่ายที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งและกระตุ้นให้พวกเขาทำงานร่วมกันเพื่อหาทางออกที่พึงพอใจ ร่วมกัน (IFSW, 2022) รูปแบบความยุติธรรมทางสังคม มุ่งเน้นไปที่การจัดการกับความไม่เท่าเทียม ความอยุติธรรมในระบบ และพยายามที่ จะส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคมและความเท่าเทียมกันสำหรับปัจเจกบุคคลและชุมชนทั้งหมด (IFSW, 2022) เป้าหมายของการปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์คือ การส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีและความพอเพียงของบุคคลและ ชุมชน และทำงานเพื่อความยุติธรรมทางสังคมและความเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน รูปแบบหรือแนวทางเฉพาะที่ใช้จะขึ้นอยู่ กับความต้องการและเป้าหมายของบุคคลและชุมชนที่รับใช้ ตลอดจนบริบทที่งานสังคมสงเคราะห์ดำเนินการอยู่ สำหรับประเทศไทย มีข้อกำหนดด้านกฎหมายที่ระบุหน้าที่ของรัฐในการดูแลคุณภาพชีวิตประชาชน ได้แก่ พระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ. 2546 เป็นบทบัญญัติที่เป็นฐานให้การขับเคลื่อนนโยบายสังคมที่เริ่มจาก รัฐเป็นสำคัญ โดยได้ให้ความหมายสวัสดิการสังคม หมายถึง ระบบการจัดบริการสังคม ซึ่งเกี่ยวกับการป้องกัน การแก้ไขปัญหา การพัฒนา และการส่งเสริมความมั่นคงทางสังคม เพื่อตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และพึ่งตนเองได้อย่างทั่วถึง เหมาะสม เป็นธรรม และให้เป็นไปตามมาตรฐานทั้งทางด้านการศึกษา สุขภาพอนามัย ที่อยู่อาศัย การทำงานและการมีรายได้ นันทนาการ กระบวนการยุติธรรม และบริการทางสังคมทั่วไป โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์ สิทธิที่ประชาชนจะต้องได้รับ และมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการสังคมทุกระดับ (กระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์, 2552)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 165 กล่าวได้ว่า สวัสดิการสังคม หมายถึง ระบบการจัดบริการสังคม เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาทางสังคมและพัฒนา สังคม รวมทั้งการส่งเสริมความมั่นคงทางสังคม เพื่อให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตได้ในระดับมาตรฐาน โดยบริการดังกล่าว จะต้องตอบสนองความต้องการพื้นฐานของประชาชนให้ได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ทั้งในด้านการมี ศึกษาที่ดี การมีสุขภาพอนามัย การมีที่อยู่อาศัย การมีงานทำ การมีรายได้ การมีสวัสดิการแรงงาน การมีความมั่นคงทางสังคม นันทนาการ และบริการสังคมทั่วไป โดยระบบบริการสังคมต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสิทธิที่ประชาชนต้องได้รับ และเข้ามามีส่วนร่วมในระบบการจัดบริการสังคมในทุกระดับ การรับรองว่าสวัสดิการจะเท่าเทียมและทั่วถึงนั้นจึงเป็นคำถามสำคัญว่าประเทศไทยก้าวไปถึงจุดนั้น หรือไม่ สวัสดิการสังคมตอบสนองต่อประชาชนในด้านใดบ้าง จากคำนิยามความหมายของสวัสดิการสังคม จึงเป็นเรื่องท้าทาย ต่อการขับเคลื่อนทั้งนโยบาย การบริหารจัดการ และการปฏิบัติให้เกิดขึ้นจริง อาจกล่าวได้ว่า สวัสดิการที่ดำเนินการโดยรัฐทำ ให้ประชาชนเป็นเพียงผู้รอรับเท่านั้นและมองเพียงว่าเป็นการช่วยเหลือที่ต้องดำเนินการให้ ที่ผ่านมาการดำเนินการทางด้าน สวัสดิการสังคมจึงเป็นแบบเลือกให้เฉพาะผู้ที่ด้อยโอกาสเป็นสำคัญ โดยไม่สามารถปรับตัวได้กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และเลือกให้ในรูปแบบของการบรรเทาทุกข์เป็นส่วนใหญ่ ผู้ด้อยโอกาสก็เป็นผลพวงมาจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจจึงทำให้ การมองการช่วยเหลือกับกลุ่มที่ด้อยกว่าจึงเกิดขึ้น และเกิดเป็นความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ประกอบกับความเข้าใจที่ว่า จะต้องรอรัฐช่วยเหลือเท่านั้น (วันทนีย์และคณะ, 2547) จากสถานการณ์สังคม และระบบสวัสดิการสังคมจึงเป็นที่มาของการนำเสนอรูปแบบรูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐาน กับการสังคมสงเคราะห์บุคคลและครอบครัวเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก นับเป็นความต้องการศึกษาเพื่อให้ได้ทั้งแนวคิด กระบวนการ การปฏิบัติการที่เสริมศักยภาพ เสริมพลัง และเสริมความรู้ต่อกลุ่มประชากรที่เข้าถึงยากให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถพึ่งพาตนเองได้ข้อเสนอรูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐานนี้ถือเป็นการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย กลไก ระบบสวัสดิการ และการจัดบริการเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในการดำรงชีวิตและความเข้มแข็งของชุมชน เสริมพลังทางสังคมให้แก่ ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนเพื่อการมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการและพัฒนาสังคม และการพัฒนาระบบงานและการจัดการ องค์กรเพื่อการบริหารนโยบายและการบริการที่มีประสิทธิภาพ วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์สังคมของกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก แนวคิดความเข้มแข็งเป็นฐานกับกลุ่มเป้าหมายที่ เข้าถึงยากกับสวัสดิการขั้นพื้นฐานและสร้างการพึ่งพาตนเอง 2) เพื่อพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย กลไก ระบบสวัสดิการและการให้บริการเพื่อพัฒนาความมั่นคงในชีวิต เสริมสร้าง พลังทางสังคมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการและพัฒนาสังคม 3) เพื่อพัฒนาระบบงานและการบริหารจัดการองค์กรเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก เครื่องมือและวิธีการศึกษา การศึกษาจากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร และการทบทวนเอกสาร โดยการสืบค้น จัดระเบียบ และ สังเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่เพื่อความเข้าใจในบริบทของรูปแบบ ช่องว่างที่ต้องแก้ไขในแนวคิดทฤษฎีและการปฏิบัติทั้งนี้ได้ ดำเนินการทบทวนวรรณกรรมจากเอกสารต่างๆ ได้แก่ เอกสารประกอบคำสอน ตำรา หนังสือ งานวิจัย บทความและสื่ออื่นๆ ได้แก่ ข้อมูลออนไลน์ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลสำหรับการอภิปรายและวิเคราะห์สำหรับการเสนอรูปแบบครั้งนี้โดยใช้ การวิเคราะห์แก่นสาระ (Thematic Analysis) (สุภางค์จันทวานิช, 2553) นำมาใช้เพื่ออธิบายประเด็นสำคัญและการตีความ ข้อมูล


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 166 ผลการศึกษา จากการศึกษาสถานการณ์สังคมของกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก พบว่า มีแนวคิดน่าสนใจสนับสนุนประเด็น ความเข้มแข็งเป็นฐานกับกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก ได้แก่ การสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก: การเน้นความเข้มแข็งเป็นฐาน (Strength-Based Approach-SBA) แนวทางการดูแลทางสังคมแบบองค์รวม (Holistic View) การบูรณาการการพัฒนา สังคม (Integration) การช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวัน (Activity Daily Living-ADL) การเสริมสร้างศักยภาพ มิติความเปราะบางของประชาชน และสวัสดิการสังคม (Social Welfare) กล่าวคือ การทำความเข้าใจสวัสดิการในฐานะเป็น สิ่งที่ขับเคลื่อนชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจึงต้องเรียนรู้กระบวนการที่เรียกว่า แนวคิดสนับสนุนเพื่อการสร้างรูปแบบและ นำไปสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ วิธีคิดช่วยกำหนดแนวโน้มการก้าวไปสู่สังคมที่ประชาชนได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถ เข้าถึงสวัสดิการและสามารถช่วยเหลือตนเองได้ จากการศึกษาสามารถนำเสนอแนวคิดที่สนับสนุนความเข้มแข็งเป็นฐานได้ ดังต่อไปนี้ แนวทางการดูแลทางสังคมแบบองค์รวม (Holistic View) คือ แนวทางที่คำนึงถึงบุคคลทั้งหมด รวมถึง ความต้องการทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ วิธีการนี้ตระหนักว่าบุคคลไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากส่วนที่แยกจาก กันเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ มากมาย ในทางปฏิบัติแนวทางแบบองค์รวมในการดูแลทางสังคมเกี่ยวข้องกับการพิจารณาความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมของแต่ละ บุคคล แทนที่จะพิจารณาเฉพาะปัญหาหรือความต้องการเฉพาะ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับการทำงานร่วมกับแต่ละบุคคลเพื่อ ระบุและตอบสนองความต้องการทั้งหมดของพวกเขา แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ด้านใดด้านหนึ่งของชีวิต ตัวอย่าง หากบุคคลหนึ่ง กำลังต่อสู้กับปัญหาสุขภาพจิต แนวทางการดูแลแบบองค์รวมอาจเกี่ยวข้องกับการให้การบำบัดและการใช้ยาเท่านั้น แต่ยัง รวมถึงความต้องการทางสังคมและร่างกายของพวกเขาด้วย เช่น การเข้าถึงที่อยู่อาศัยและเครือข่ายทางสังคมที่สนับสนุน แนวทางนี้พยายามแก้ไขที่ต้นเหตุของความท้าทายของแต่ละคนแทนที่จะรักษาตามอาการ (Crisp, 2011) กล่าวได้ว่า แนวทางแบบองค์รวมในการดูแลสังคมมีศูนย์กลางอยู่ที่ความเชื่อที่ว่าบุคคลเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนและ เชื่อมโยงถึงกัน และความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขาได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ มากมาย การพิจารณาบุคคลทั้งหมดและทำงาน เพื่อตอบสนองความต้องการทั้งหมด วิธีการแบบองค์รวมสามารถช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมและปรับปรุงคุณภาพ ชีวิตของผู้ที่ได้รับการดูแล การบูรณาการการพัฒนาสังคม (Integration) Burnham (2010) หมายถึง กระบวนการบูรณาการเป้าหมาย นโยบาย และโครงการการพัฒนาสังคมเข้ากับนโยบายและการปฏิบัติในด้านอื่นๆ เพื่อส่งเสริมแนวทางการพัฒนาแบบองค์รวม และครอบคลุมมากขึ้น สิ่งนี้สามารถเกี่ยวข้องกับการบูรณาการเป้าหมายและลำดับความสำคัญของการพัฒนาสังคมเข้ากับ การพัฒนาเศรษฐกิจ นโยบายสิ่งแวดล้อม และนโยบายและแนวปฏิบัติด้านอื่นๆ และมีประโยชน์หลายประการในการบูรณาการ การพัฒนาสังคมเข้ากับนโยบายด้านอื่นๆ เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบทางสังคมของนโยบายและโครงการในด้านต่างๆ เช่น การพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นต้น เป็นไปได้ที่จะมั่นใจได้ว่านโยบายและโครงการเหล่านี้มีความครอบคลุมมากขึ้นและเป็นประโยชน์ ต่อผู้คนในวงกว้าง แทนที่จะเลือกเพียงไม่กี่คน สิ่งนี้สามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนและเท่าเทียม มากขึ้น กล่าวได้ว่า การรวมเป้าหมายและลำดับความสำคัญของการพัฒนาสังคมเข้าไว้ในพื้นที่นโยบายอื่นๆ สามารถช่วย สร้างแนวทางการพัฒนาที่เหนียวแน่นและบูรณาการมากขึ้น แทนที่จะแก้ไขปัญหาสังคมอย่างโดดเดี่ยว สิ่งนี้สามารถช่วยให้ แน่ใจว่าการพัฒนาทุกด้านกำลังทำงานไปสู่เป้าหมายร่วมกัน และมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงใน เชิงบวก การบูรณาการการพัฒนาสังคมเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืนมากขึ้น และสามารถ ช่วยให้แน่ใจว่าความต้องการและความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลและชุมชนทั้งหมดได้รับการพิจารณาในกระบวนการตัดสินใจ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 167 การช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวัน (Activity Daily Living - ADL) Costenoble (2021) เป็นงานและ กิจกรรมพื้นฐานที่บุคคลต้องปฏิบัติเพื่อรักษาความเป็นอิสระและความเป็นอยู่ที่ดี งานเหล่านี้อาจรวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น การอาบน้ำ การแต่งตัว การรับประทานอาหาร การใช้ห้องน้ำ และการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ในบริการสังคม อาจใช้ ADL เป็นตัวชี้วัดสถานะการทำงานของแต่ละบุคคลและความสามารถในการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ตัวอย่างเช่น นักสังคมสงเคราะห์หรือผู้ประกอบวิชาชีพอื่นๆ อาจประเมินความสามารถของแต่ละบุคคลในการดำเนินการ ADL เพื่อพิจารณาคุณสมบัติของพวกเขาสำหรับความช่วยเหลือหรือการสนับสนุนบางประเภท เช่น การดูแลในบ้านหรือสิ่งอำนวย ความสะดวกในการดำรงชีวิตที่ได้รับความช่วยเหลือ ทั้งนี้มีหลายวิธีที่บริการทางสังคมสามารถช่วยเหลือบุคคลที่มี ADL ได้ สิ่งเหล่านี้อาจรวมถึงการให้การดูแลที่บ้าน การประสานงานการขนส่งไปยังการนัดหมายหรือการทำธุระ และการเข้าถึงอุปกรณ์ช่วยเหลือและเทคโนโลยีที่สามารถทำให้ ADL ทำงานได้ง่ายขึ้น นักสังคมสงเคราะห์อาจทำงานร่วมกับบุคคลและครอบครัวของพวกเขาเพื่อพัฒนาแผนเพื่อจัดการกับ ความท้าทายใดๆ ที่พวกเขาอาจประสบในการดำเนินการ ADL และเพื่อระบุการสนับสนุนหรือทรัพยากรเพิ่มเติมที่อาจจำเป็น บริการทางสังคมในการสนับสนุนบุคคลที่มี ADL คือการช่วยให้พวกเขารักษาความเป็นอิสระและความเป็นอยู่ที่ดี และเพื่อให้ แน่ใจว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนและทรัพยากรที่จำเป็นในการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์และพอเพียง (Costenoble, 2021) การเสริมสร้างศักยภาพ (Capacity Buiding) (กิติพัฒน์นนทปัทมะดุลชย์, 2553) หมายถึง กระบวนการพัฒนา ความสามารถของบุคคล องค์กร และชุมชนในการแก้ไขปัญหาสังคมและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม สิ่งนี้สามารถ เกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการจัดฝึกอบรมและการศึกษา การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างและระบบของ องค์กร และการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ การเสริมสร้างศักยภาพสามารถเป็นส่วนสำคัญของโครงการและความคิด ริเริ่มด้านสวัสดิการสังคม เนื่องจากสามารถช่วยให้แน่ใจว่าบุคคลและองค์กรมีทักษะ ความรู้ และทรัพยากรที่จำเป็นในการ แก้ไขปัญหาสังคมอย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก โดยการสร้างขีดความสามารถ เป็นไปได้ที่จะ ปรับปรุงประสิทธิผลของโครงการและความคิดริเริ่มด้านสวัสดิการสังคม และตอบสนองความต้องการของบุคคลและชุมชนที่ รับบริการได้ดียิ่งขึ้น มีหลายวิธีที่สามารถสร้างศักยภาพในด้านสวัสดิการสังคมได้ ตัวอย่างของกิจกรรมเสริมสร้างศักยภาพ (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2553) ได้แก่ การจัดฝึกอบรมและการศึกษา ซึ่งอาจรวมถึงการฝึกอบรมเกี่ยวกับหลักการสวัสดิการสังคมและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุด ตลอดจนทักษะและเทคนิคเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานที่กำลังทำอยู่ การเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างและระบบขององค์กร การปรับปรุงระบบและกระบวนการภายในขององค์กร ตลอดจนการสร้างเครือข่ายและพันธมิตรที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับองค์กรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ การสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ เกี่ยวข้องกับการสร้างความร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งภายในและภายนอกภาคสวัสดิการสังคม เพื่อแบ่งปันทรัพยากรและความเชี่ยวชาญ และทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน กล่าวได้ว่า การเสริมสร้างศักยภาพถือเป็นส่วนสำคัญของงานสวัสดิการสังคม เนื่องจากช่วยพัฒนาทักษะ ความรู้ และทรัพยากรของบุคคล องค์กร และชุมชน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาสังคมและส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น มิติความเปราะบางของประชาชน (กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ, 2564) มิติของกลุ่มคนเปราะบางนั้นมี ความเสี่ยงมากที่สุด กล่าวคือ ยิ่งเป็นเปราะบางมากเท่าใด โอกาสของการเผชิญความเสี่ยง การถูกคุกคาม การตีตราและ การเลือกปฏิบัติก็จะมากขึ้นตามไปด้วย วิธีการดำเนินการให้การช่วยเหลือจึงต้องคำถึงความละเอียดอ่อนและการดำเนินการที่ สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเปราะบาง การถูกมองไม่เห็นของประชากรกลุ่มเปาะบางในช่วงโรคระบาดที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าภารกิจของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้ดำเนินการเข้าถึงและมองเห็นกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นจากการ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 168 ติดตามลงพื้นที่ทั้งในพื้นที่เมืองและต่างจังหวัด การประชุมเพื่อนำเสนอรายงานความคืบหน้าเพื่อให้มั่นใจได้ว่ากลุ่มเป้าหมาย ได้รับการช่วยเหลือแล้ว สวัสดิการนับเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่จะนำไปสู่การลดปัญหาสังคม รวมทั้งการพัฒนาระบบสวัสดิการ ที่จะเป็นกลไกที่ ช่วยป้องกันมิให้เกิดปัญหาอื่นๆ อันเนื่องมาจากการเข้าไม่ถึงของประชาชน จนอาจรวมไปถึงการรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องสิทธิ กล่าวได้ว่า สวัสดิการนับเป็นปัจจัยของการสร้างโอกาส การให้สวัสดิการก็คือการให้โอกาส แต่จำเป็นต้องมีการแก้ปัญหา เชิงบูรณาการ ซึ่งต้องครอบคลุมถึงนโยบายสังคม 6 ด้าน ดังนี้ 1. ความยุติธรรมทางสังคม (social justice) 2. ศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ในสังคม (social dignity) 3. ความมั่นคงทางสังคมหรือความมั่นคงในการดำรงชีพ (social security) 4. สิทธิพื้นฐานทางสังคม (social basic right)5. การสร้างสรรค์ทุนทางสังคม (social capital building)และ 6. การมีส่วนร่วมจาก คนในสังคมหรือการมีหุ้นส่วนทางสังคม (social partners) (ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ, 2546, น. 247-249) กล่าวได้ว่า การดำเนินการนโยบายทางสังคมโดยเฉพาะประเด็นเรื่องการสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมนั้น นับเป็นเรื่องที่ประชาชนต่างสนใจและมีความละเอียดอ่อนต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก สภาพของประชาชนที่ยังต้องเผชิญกับ การต่อสู้จากระบบเศรษฐกิจ การไม่มีรายได้ การไม่มีงานทำ จนทำให้หลายคนขาดซึ่งพลังในการเรียกร้องให้เข้าถึงบริการ หลายครั้งเป็นผลกระทบจากนโยบายรัฐหลายด้านส่งผลตรงต่อความยากลำบากในการดำเนินชีวิตของประชาชน เช่น เรื่อง สิ่งแวดล้อม ชาติพันธุ์ และความหลากหลายทางเพศ ซึ่งในหลายกรณีกลุ่มคนเหล่านั้นก็รู้สึกถึงการถูกลิดรอน การถูกเอารัดเอา เปรียบ รู้สึกด้อยคุณค่าจากเข้าไม่ถึงบริการสวัสดิการ ซึ่งหากทิศทางการจัดสวัสดิการที่ยึดโยงเอาหลักนโยบายสังคมข้างต้นไป เป็นส่วนสนับสนุนก็จะเป็นการสร้างคุณค่าต่อการมองเห็นประชาชนชายขอบได้ชัดเจนมากขึ้น สวัสดิการสังคม (Social Welfare) (จิราลักษณ์จงสถิตย์มั่น, 2547) แนวทางสำคัญที่จะทำให้สังคมไทยก้าวข้าม การมองเรื่องสวัสดิการเป็นเรื่องไกลตัวและคับแคบอาจต้องอาศัยการทบทวนองค์ประกอบของสวัสดิการที่กำลังเป็นหัวข้อ สำคัญในการสร้างนโยบายทางสังคมและการจัดบริการทางสังคมในระดับประเทศและระดับภูมิภาคที่สอดคล้องกับบริบททาง สังคม ประกอบด้วย องค์ประกอบของระบบสวัสดิการ ดังนี้ 1. การให้บริการสังคม (วันทนีย์วาสิกะสิน และคณะ, 2547) หมายถึง การที่รัฐให้บริการขั้นพื้นฐานกับประชาชน ทุกคน เช่น การศึกษา การสาธารณสุข ฯลฯ บริการสิ่งอำนวยความสะดวกและปัจจัยการดำรงชีพ ที่อยู่อาศัย ไฟฟ้าประปา การให้การศึกษาฟรี 15 ปีการให้ประกันสุขภาพกับทุกคน การพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นต้น 2. ระบบประกันสังคม (วันทนีย์วาสิกะสิน และคณะ, 2547) หมายถึง โครงการที่รัฐเป็นผู้จัดและดำเนินการเพื่อ คุ้มครองป้องกันไม่ให้ประชาชนที่มีรายได้ประจำได้รับความเดือดร้อนในการดำรงชีพเนื่องจากประสบปัญหาทำให้ไม่สามารถ ทำงานเลี้ยงชีพได้ตามปกติเป็นระบบที่ช่วยดูแลประชาชนในกรณีที่ประสบปัญหาเป็นครั้งคราว เช่น ตกงาน พืชผลเสียหาย ราคาพืชผลตกต่ำ สิทธิประโยชน์จากองค์ประกอบนี้มีลักษณะชั่วคราว แต่อาจมีบางโครงการที่มีลักษณะถาวร เช่น สิทธิ์ได้รับ ประโยชน์จากการว่างงานในระบบประกันสังคม การได้ประโยชน์จะเกิดก็ต่อเมื่อผู้ประกันตนว่างงานลง แต่สิทธิ์ในการได้รับ การประกันมีลักษณะถาวรตราบเท่าที่ผู้ประกันตนยังอยู่ในระบบ 3. ระบบการช่วยเหลือทางสังคม (วันทนีย์วาสิกะสิน และคณะ, 2547) หมายถึง บริการช่วยเหลือประชาชนที่มี ความเดือดร้อนและอยู่ในสภาวะที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ซึ่งรวมไปถึงการป้องกัน แก้ไข ฟื้นฟูและพัฒนากลุ่มบุคคล ชุมชน ทั้งที่ประสบและไม่ประสบปัญหาความเดือดร้อน ให้สามารถช่วยเหลือตนเองและอยู่ดีมีสุขได้ระบบที่มุ่งดูแลผู้ด้อยโอกาส เช่น คนพิการ ผู้ป่วยเรื้อรังที่ทำงานไม่ได้ เป็นต้น สิทธิประโยชน์ในระบบนี้มีลักษณะกึ่งชั่วคราวกึ่งถาวร เนื่องจากผู้มีสิทธิ์มักมี ลักษณะถาวร เช่น พิการถาวร ป่วยถาวร เป็นต้น 4. ระบบการส่งเสริมสนับสนุนหุ้นส่วนทางสังคม (วันทนีย์วาสิกะสิน และคณะ, 2547) เป็นการบริหารจัดการ เพิ่มเติมเพื่อให้ระบบสวัสดิการสังคมทำงานได้ดียิ่งขึ้น การเพิ่มภาคประชาสังคมให้เข้ามามีส่วนร่วมรวมทั้งองค์กรภาคธุรกิจ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 169 ศาสนาได้เข้ามามีบทบาทต่อยอดในการสนับสนุน เช่น การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม ส่งเสริมความเท่าเทียมกันใน การมีชีวิตในสังคม เป็นต้น นโยบายสังคมก็เดินตามนโยบายทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด หรือไม่ก็เป็นเพียงการแก้ไขผลกระทบจากนโยบายทาง เศรษฐกิจ ดังนั้นกระบวนการสวัสดิการสังคมจึงต้องแสวงหาแนวทางที่รัฐเองไม่ควรเป็นผู้เสนอหลักหรือเป็นศูนย์รวมอำนาจใน การจัดการให้แก่ประชาชนอีกต่อไป ควรจะเป็นการเพิ่มพื้นที่ให้ภาคส่วนอื่นๆ ของสังคมที่เป็นภาคประชาสังคม เช่น ชุมชน องค์กรชุมชน กลุ่มองค์กรชุมชน สถาบันท้องถิ่น หรือแม้แต่กลุ่มคนด้อยโอกาส อยู่ชายขอบของสังคม รวมถึงกลุ่มธุรกิจเอกชน ที่มีจิตสำนึกต่อสังคม หรือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นต่างก็มีพลัง ศักยภาพที่จะคิดริเริ่มสวัสดิการใหม่ๆ บริหารจัดการ ดูแล รับผิดชอบด้วยความแตกต่างหลากหลาย (จิราลักษณ์จงสถิตย์มั่น, 2547) การสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก: การเน้นความเข้มแข็งเป็นฐาน (Strength-Based Approach-SBA) ความเข้มแข็งเป็นฐาน (Strength-Based Approach-SBA) คือ การเน้นค้นหาจุดแข็งที่มีและเลือกจุดแข็งนั้นมาพัฒนาหรือ ใช้งานให้มากขึ้น โดยหลักการนี้เชื่อว่าจุดแข็งเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ดีและเร็วกว่าการพัฒนาจุดอ่อน ในขณะเดียวกันบุคคล ที่ประสบความสำเร็จในการฟื้นคืนพลังไม่มีใครไม่มีจุดอ่อน แต่บุคคลเหล่านั้นประสบความสำเร็จได้เพราะเลือกใช้จุดแข็งที่มีมา ใช้ได้อย่างโดดเด่น รูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐานได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในสาขางานสังคมสงเคราะห์ เนื่องจาก มุมมองแบบองค์รวมที่มีบุคคลเป็นศูนย์กลางซึ่งมุ่งเน้นไปที่ต้นทุนของผู้ใช้บริการมากกว่าการมองปัญหาที่เป็นผลกระทบ จากบริบท รูปแบบความเข้มแข็งนั้นใช้แบบจำลองและทฤษฎีที่หลากหลาย และประกอบด้วยความร่วมมือระหว่าง นักสังคมสงเคราะห์และผู้ใช้บริการ ซึ่งทำแผนและประเมินจุดแข็งเหล่านี้เพื่อเป็นรากฐานสำหรับการวางแผนการดำเนินงาน สังคมสงเคราะห์ (Pattoni, 2012) การปฏิบัติงานแบบเน้นความเข้มแข็งเป็นฐาน คือ กระบวนการทำงานร่วมกันระหว่างปัจเจกบุคคล กลุ่ม การบริการ และผู้ให้การสนับสนุนทำให้สามารถทำงานร่วมกัน เพื่อกำหนดผลลัพธ์ที่ดึงเอาจุดแข็งและต้นทุนทางสังคมของบุคคลนั้นมาใช้ จากบริบทที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคุณภาพของความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นระหว่างผู้ที่ให้การสนับสนุน และผู้ที่ ได้รับการสนับสนุน ตลอดจนองค์ประกอบที่ผู้ขอรับการสนับสนุนนำมาสู่กระบวนการการทำงานร่วมกันส่งเสริมโอกาสสำหรับ บุคคลที่จะเป็นผู้ร่วมและส่วนหนึ่งบริการและสนับสนุนมากกว่าผู้บริโภคบริการเหล่านั้นแต่เพียงผู้เดียว (Williams & Stickley, 2011) กล่าวได้ว่า ความเข้มแข็งเป็นฐาน เป็นวิธีการทำงานร่วมกับบุคคลหรือกลุ่มที่เน้นจุดแข็ง ความสามารถ และ ทรัพยากรมากกว่าจุดอ่อนหรือการขาดดุล มีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่าผู้คนมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จและมีแรงจูงใจ เมื่อพวกเขาสามารถใช้จุดแข็งและสร้างเสริมทักษะและความรู้ที่มีอยู่ กลุ่มเปราะบาง คือ บุคคลหรือกลุ่มทั้งหมดที่อาจได้รับ ประโยชน์จากวิธีการตามจุดแข็ง (SBA) ในการให้บริการ ความเข้มแข็งเป็นฐาน พยายามที่จะระบุและสร้างจุดแข็ง ความสามารถ และทรัพยากรของบุคคลและกลุ่มเหล่านี้ แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่จุดอ่อนหรือการขาดดุลเพียงอย่างเดียว วิธีนี้ สามารถช่วยเพิ่มพลังและกระตุ้นพวกเขา และสร้างความมั่นใจและความนับถือตนเอง ในการให้บริการ ความเข้มแข็งเป็นฐาน อาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่างๆ (Williams & Stickley, 2011) ดังนี้ การประเมินจุดแข็งและความต้องการของแต่ละบุคคลหรือกลุ่ม และพัฒนาแผนการที่สร้างจากจุดแข็งและ ตอบสนองความต้องการของพวกเขาในลักษณะที่เป็นไปได้และยั่งยืน ให้การสนับสนุนและทรัพยากรที่ช่วยให้บุคคลหรือกลุ่มสามารถพัฒนาทักษะและความสามารถใหม่ๆ หรือเพื่อสร้าง จุดแข็งที่มีอยู่กระตุ้นให้บุคคลหรือกลุ่มทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเอง แทนที่จะตั้งเป้าหมายให้กับพวกเขา จัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเกื้อกูลซึ่งช่วยให้บุคคลหรือกลุ่มรู้สึกมีค่าและได้รับการสนับสนุนแสวงหา และสร้างความร่วมมือกับองค์กรชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ที่สามารถจัดหาทรัพยากรและการสนับสนุนเพิ่มเติม


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 170 สรุป เป้าหมายของแนวคิดความเข้มแข็งเป็นฐาน ในการให้บริการ คือ การช่วยให้บุคคลและกลุ่มบุคคลบรรลุ ความเป็นอิสระ ความพอเพียง และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยสร้างจากจุดแข็งและทรัพยากรของผู้ใช้บริการ แนวทางในด้าน การส่งเสริมการสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก และมีความสอดคล้องกับการเน้นความเข้มแข็งเป็นฐาน (Strength-Based Approach-SBA) ผ่านเป้าหมายการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย กลไก ระบบสวัสดิการ และการจัดบริการเพื่อเสริมสร้าง ความมั่นคงในการดำรงชีวิตและความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น เสริมพลังทางสังคมให้แก่ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนเพื่อการมี ส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการและพัฒนาสังคม และพัฒนาระบบงานและการจัดการองค์กรเพื่อการบริหารนโยบายและ การบริการที่มีประสิทธิภาพ การอภิปรายผลการศึกษา กลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก ได้แก่ คนไร้ที่พึ่ง ผู้อยู่ในภาวะยากลำบาก บุคคลขอทานผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มเสี่ยง มีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถพึ่งพาตนเองได้ประชาชนบนพื้นที่สูงและในพื้นที่นิคมสร้างตนเองมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและ สังคม เป็นแนวทางหลักที่วางไว้เพื่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผน องค์กรที่รับผิดชอบด้านสวัสดิการสังคมมีอำนาจหน้าที่ เกี่ยวกับกับการพัฒนาสังคม การจัดสวัสดิการสังคม การสังคมสงเคราะห์ การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิและการให้บริการ สวัสดิการสังคมแก่คนไร้ที่พึ่ง ผู้ทำการขอทาน สมาชิกนิคมสร้างตนเอง ราษฎรบนพื้นที่สูง และกลุ่มเป้าหมายพิเศษ รวมถึง การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาสังคมและจัดสวัสดิการสังคม โดยมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบสวัสดิการสังคมและการพัฒนาสังคม มีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถพึ่งพาตนเองได้มีส่วนร่วมจัดการ ตนเองในระดับพื้นที่ (กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ, 2564) ตัวอย่างเช่น สถานการณ์และหน้าที่ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นสิ่งที่ท้าทายในการปรับปรุง และพัฒนา กระบวนการทำงานให้สามารถตอบโจทย์สถานการณ์ในปัจจุบันและรองรับกับอนาคตที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ ประชาชนกลุ่มเป้าหมายได้รับการพัฒนาศักยภาพได้อย่างยั่งยืน ส่งผลต่อเป้าหมายตามภารกิจ และวิสัยทัศน์กรมพัฒนาสังคม และสวัสดิการตามที่กำหนดไว้ นอกจากกลุ่มเป้าหมายที่กล่าวไปข้างต้น ยังมีกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยากทั้งบริการ และการสนับสนุนทางนโยบาย ได้แก่ 1. กลุ่มเด็กและเยาวชน 2. กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ 3. กลุ่มคนพิการ 4. กลุ่มผู้หญิง ครอบครัว และผู้ถูกละเมิดทางเพศ 5. กลุ่มผู้สูงอายุ 6. กลุ่มชุมชนเมือง คนจนเมือง คนเร่ร่อน 7. กลุ่มแรงงาน นอกระบบ 8. กลุ่มแรงงานข้ามชาติและแรงงานต่างด้าว 9. กลุ่มคนจากจังหวัดชายแดนใต้10. กลุ่มคนที่มีปัญหาสถานะบุคคล และกลุ่มชาติพันธุ์11. กลุ่มคนไทยในต่างประเทศ 12. กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเอดส์ และผู้ได้รับผลกระทบ 13. กลุ่มผู้ที่อยู่ ในกระบวนการยุติธรรม (กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ, 2564) ปี 2564 กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ตั้งการจัดบริการสังคมให้กับกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งไว้ จำนวน 1,396,830 คน มีประชาชนกลุ่มเป้าหมายใช้บริการสังคม จำนวน 1,093,605 คน คิดเป็นร้อยละ 74.42 โดยเฉพาะการช่วยเหลือ กลุ่มเปราะบางในสถานการณ์โควิด 19 การเยียวยาด้านการเงิน การให้บริการช่วยเหลือทางสังคม การเข้าถึงสิทธิและบริการ ของรัฐ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคของสังคม ในด้านการแก้ไขปัญหาใน การดำรงชีวิตของประชาชน ปัญหาสังคมมีความซับซ้อนขึ้นส่งผลให้ไม่สามารถแก้ไขช่วยเหลือได้ทันต่อสถานการณ์ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคม การเมืองส่งผลให้ขาดความชัดเจนในการขับเคลื่อนงานตามภารกิจ การวิเคราะห์ สภาพแวดล้อมภายในของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มีข้อท้ายทาย ดังนี้(กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ, 2564) 1. ขาดการบูรณาการในจัดการฐานข้อมูลและยังไม่สามารถนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจาก การจัดเก็บข้อมูลยังมีลักษณะต่างคนต่างทำ และไม่ครอบคลุมความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลทั้งในระดับนโยบาย และระดับปฏิบัติ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 171 2. การปรับโครงสร้างกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการยังไม่มีความชัดเจนเนื่องจากขาดการวิเคราะห์อย่างรอบด้านถึง เหตุผลความจำเป็นในการแบ่งส่วนราชการภายในกรมที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับ บทบาทภารกิจใหม่ 3. ขาดการจัดการฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ การบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานไม่ถูกต้องแม่นยำ ส่งผลต่อ การนำไปใช้ในการวางแผนการทำงาน 4. ระบบการจัดสรรงบประมาณไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับความต้องการของหน่วยงานและบริบทของแต่ละ พื้นที่ มีผลทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ นับเป็นความท้าทายต่อการออกแบบบริการและการบริการงานของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ โดยเฉพาะ ความรับผิดชอบต่อกลุ่มเป้าหมายที่เปราะบางที่หลากหลายกลุ่ม การทำงานกับกลุ่มเปราะบางมีความละเอียดอ่อนและ ประชาชนให้ความสนใจต่อกระบวนการให้การช่วยเหลือและดำเนินการ จากภารกิจ อำนาจหน้าที่ กฎหมาย กลุ่มเป้าหมาย และผลการปฏิบัติทำให้เห็นความจำเป็นของการวางระบบทั้งแนวคิดและการปฏิบัติที่มีประชาชนเป็นเป้าหมายสูงสุด การยึด โยงบริการกับผู้ใช้บริการ ครอบครัว ชุมชนของกลุ่มเป้าหมายนับได้ว่าเป็นจุดเด่นของบริการสังคมสงของกรมพัฒนาสังคมและ สวัสดิการ จากประเด็นข้อท้าทายข้างต้นเป็นการยืนยันว่ายังมีความต้องการในการคิดและออกแบบรูปแบบที่ให้สามารถเข้าถึง กลุ่มเป้าหมายทั้งจากระดับปฏิบัติการถึงนโยบาย พบว่า กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการมีการจัดทำยุทธศาสตร์องค์กรใน การทำงานกับกลุ่มเป้าหมาย และเห็นถึงการวางรากฐานไปที่ความเข้มแข็งเป็นหลักกับการออกแบบบริการ สวัสดิการ การบริหาร โดยขอยกแนวทางการปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์ดังนี้ (กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ, 2564) การสร้างความรู้ความเข้าใจให้ทุกภาคส่วนตระหนักถึงความสำคัญและพร้อมเข้าร่วมในการขับเคลื่อนแผน ยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ โดยสร้างความเข้าใจถึงวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ และประเด็นยุทธศาสตร์โดยใชรูปแบบ การสื่อสารที่เหมาะสมเพื่อให้การสร้างความรู้ความเข้าใจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง การสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ โดยการจัดทำฐานข้อมูลสนับสนุน การดำเนินงาน การศึกษาและปรับปรุงกฎ ระเบียบ ที่เกี่ยวข้องให้เอื้อต่อการดำเนินงานและการสร้างช่องทางให้ผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน การจัดการความรู้ เพื่อเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ขององค์กร การบริหารความเสี่ยง เพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงานที่อาจมีความเสี่ยง ไม่สามารถดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ ได้สำเร็จตามเป้าประสงค์ อันเป็นการป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการนำแผนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ การอาศัยเทคนิคต่างๆ ในการถ่ายทอดแผนยุทธศาสตร์สู่ระดับหน่วยงานในสังกัดและบุคลากรอย่างหลากหลาย ที่สำคัญ ได้แก่ การถ่ายทอดโดยตรงระหว่างบุคคล เช่น การพบปะพูดคุย การประชุม และการถ่ายทอดผ่านเทคโนโลยี การสื่อสาร เช่น เว็บไซต์ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ หนังสือเวียน หนังสือแผ่นพับ สื่อสิ่งพิมพ์ เป็นต้น ยุทธศาสตร์มีความสำคัญต่อการออกแบบสวัสดิการสังคม เริ่มมองจากส่วนของนโยบายสวัสดิการสังคม การคิด การสร้างสรรค์นโยบาย ในปัจจุบันล้วนเป็นสิ่งที่ในทุกองค์กรหน่วยงานพยายามสร้างขึ้นเพื่อเป็นแม่แบบในการดำเนินงานให้ได้ ตามที่ตั้งไว้ กล่าวได้ว่าการพิจารณาการเลือกใช้นโยบายในทุกระดับจึงต้องมีข้อคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น โดยเป็นไปตาม ศักยภาพความสามารถของบริบทสังคมที่ต้องเกิดขึ้นตรงตามนโยบายที่วางไว้ การอาศัยหลักการการแสวงหาคำตอบ เพื่ออธิบายถึงประโยชน์ในตัวเนื้อนโยบายที่จะเกิดขึ้นได้จากข้อท้าทายและยุทธศาสตร์องค์กรข้างต้น สามารถพิจารณาสู่ การกำหนดประเด็นการนำรูปแบบความเข้มแข็งมาใช้เป็นฐานคิดหลัก เพื่อตอบประเด็นการพัฒนาองค์กรและข้อท้าทายตาม ยุทธศาสตร์ข้างต้นได้และสามารถนำมาออกแบบแนวทางการจัดกิจกรรมโดยใช้แนวคิดความเข้มแข็งเป็นฐานกับ กลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก ดังนี้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 172 ตารางที่ 1 แสดงตัวอย่างของกิจกรรมที่สอดคล้องรูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐานสำหรับกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย เป้าหมาย เครือข่าย ร้อยละของการเข้าถึง ความเข้มแข็ง กลุ่ม เปราะบาง กลุ่มที่เข้าถึง ยาก กลุ่มเฉพาะ 1. เครื่องมือประเมิน ตนเองที่ช่วยให้ผู้คนระบุ จุดแข็งและด้านสำหรับ การเติบโต 2. โปรแกรมการฝึกสอน หรือการให้คำปรึกษาที่ ช่วยให้ผู้คนตั้งเป้าหมาย และทำงานโดยใช้จุดแข็ง ของตนแบบฝึกหัดที่ช่วย ให้ผู้คนระบุและพัฒนา ทักษะหรือความคิด สร้างสรรค์ การประชุมเชิง ปฏิบัติการหรือการ สัมมนาที่สอนกลุ่ม เปราะบาง ครอบครัว ชุมชน เครือข่าย อาสาสมัครถึงวิธีการ ระบุและพัฒนาจุดแข็ง ของผู้ใช้บริการ ร้อยละ 100 ของกิจกรรม สามารถการช่วยให้ผู้คน ระบุและสร้างจุดแข็งของ ตน เพื่อให้พวกเขา สามารถประสบ ความสำเร็จและเติมเต็ม ชีวิตส่วนตัวและอาชีพ ของตนได้มากขึ้น กิจกรรมที่กระตุ้นให้ ผู้คนไตร่ตรองถึง ความสำเร็จและ ความสำเร็จที่ผ่านมา และระบุรูปแบบหรือ ประเด็นที่บ่งบอกถึง จุดแข็ง กล่าวได้ว่า ตัวอย่างของกิจกรรมสามารถนำเอาข้อเสนอตามตารางข้างต้นไปใช้ในโครงการสำหรับการทำงานกับ กลุ่มเป้าหมาย การกำหนดเป้าหมาย เครือข่าย การเข้าถึง และหลักความเข้มแข็ง จะเป็นแนวทางในการวางกรอบสำหรับ การประเมินและติดตามผลด้วย สำหรับเครื่องมือประเมินตนเองที่ช่วยให้ใช้บริการระบุจุดแข็งและด้านสำหรับการเติบโต และ โปรแกรมการฝึกสอนหรือการให้คำปรึกษาที่ช่วยให้ผู้คนตั้งเป้าหมายและทำงานโดยใช้จุดแข็งของตนแบบฝึกหัดที่ช่วยให้ผู้คน ระบุและพัฒนาทักษะหรือความคิดสร้างสรรค์ กล่าวคือ การเลือกและเอาเครื่องมือทางสังคมสงเคราะห์มาใช้สำหรับ การติดตามและการประเมิน ตัวอย่างเช่น การช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวัน (Activity Daily Living-ADL) เป็นต้น สำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการหรือการสัมมนาที่สอนกลุ่มเปราะบาง ครอบครัว ชุมชน เครือข่าย อาสาสมัครถึงวิธีการระบุ และพัฒนาจุดแข็งของผู้ใช้บริการ กล่าวคือ การนำประเด็นที่ผู้ใช้บริการเผชิญได้ส่วนร่วมผ่านการนำเสนอและพูดคุยผ่านบุคคล ที่ไว้ใจ เพื่อน กลุ่ม หรือชุมชนที่สามารถให้พื้นที่ในการรับฟังและร่วมมือในการแก้ไขปัญหา ทั้งนี้เครือข่ายอาสาสมัครหรือผู้นำ ชุมชนมีความสำคัญที่ทำให้เกิดการสนับสนุนกิจกรรมและการเปลี่ยนแปลง ผ่านกิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้คนไตร่ตรองถึง ความสำเร็จและความสำเร็จที่ผ่านมา และระบุรูปแบบหรือประเด็นที่บ่งบอกถึงจุดแข็ง สร้างความไว้ใจและถือเป็นการใช้ ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้บริการ อย่างไรก็ตามการใช้ความเข้มแข็งเป็นฐานอยากรอบด้าน นับเป็นการส่งเสริมสนับสนุนทุกภาคส่วนให้เกิดพลัง ขับเคลื่อนการจัดสวัสดิการสังคม พัฒนาสังคมที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ เสริมสร้างขีดความสามารถองค์การ เพื่อการบริหารนโยบายและการบริการ กิจกรรมใดๆ ก็ตามที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้คนสามารถระบุและสร้างจุดแข็งของ ตนเองได้ ซึ่งอาจรวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น เครื่องมือประเมินตนเอง กิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้คนสะท้อนถึงความสำเร็จและความสำเร็จ ที่ผ่านมา หรือแบบฝึกหัดที่ช่วยให้ผู้คนระบุและพัฒนาความสามารถและทักษะของตน สำหรับนักปฏิบัติการ เช่น นักสังคมสงเคราะห์ ผู้มีหน้าที่ปฏิบัติงานระดับรายบุคคล ครอบครัว ชุมชนและนโยบาย สามารถปฏิบัติงานได้โดยใช้กระบวนการจัดการที่สำคัญที่ทำให้ผู้ใช้บริการได้รับบริการที่เป็นประโยชน์สูงสุดหรือดีที่สุด โดย ดำเนินการตั้งแต่การประเมิน วางแผน ดำเนินการ ประสานงาน การติดตามกำกับงาน และประเมินทางเลือกที่สามารถ ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสม เชื่อมโยงผู้ใช้บริการเข้าสู่ระบบการให้บริการ ทรัพยากรและโอกาส


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 173 การเข้าถึงทรัพยากรโดยการเสริมสร้างความสามารถในการใช้บริการสังคมและการสนับสนุนทางสังคมต่างๆ การเสริมพลัง อำนาจ เพิ่มพูนทักษะการแก้ไขปัญหา และกลไกการจัดการกับปัญหา การพิทักษ์สิทธิและสนับสนุนการจัดการระบบบริการ ที่มีประสิทธิภาพด้านการจัดสรรทรัพยากรและบริการ และการปรับปรุงและพัฒนาศักยภาพของระบบการให้บริการตลอดจน การปรับปรุงนโยบายให้ทันต่อสังคมและหลักสากล อาจวางลำดับการจัดบริการสังคม ดังนี้ (โสภา อ่อนโอภาส และ นุชนาฎ ยูฮันเงาะ, 2564) จัดบริการแบบปัจเจกบุคคล เป็นการจัดบริการที่ออกแบบการให้บริการโดยคำนึงถึงความต้องการจำเป็นที่ เฉพาะเจาะจงที่ตอบสนองต่อปัญหาของผู้ใช้บริการรายนั้นๆ ไม่ส่งผลอันตราย (Do No Harm) และคำนึงถึงความปลอดภัย จัดบริการอย่างครอบคลุม เป็นการจัดบริการที่ครอบคลุมทุกมิติของชีวิตของผู้ใช้บริการ การจัดระบบบริการที่ป้องกัน การให้บริการซํ้าซ้อนกันของแต่ละหน่วยงาน การพึ่งพาตนเอง การจัดบริการทางสังคมเป็นการช่วยเหลือหรือให้บริการภายใต้ แนวคิดที่จะต้องให้ผู้ใช้บริการสามารถพึ่งพาตนเองได้ในที่สุด บริการอย่างต่อเนื่อง เป็นการบริการที่ดูแลต่อเนื่องจนกว่า ผู้ใช้บริการจะสามารถเพิ่มพูนศักยภาพในการดูแลตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ บริการคุ้มค่าคุ้มทุน และประหยัด การลงมือปฏิบัติการเป็นการทำงานร่วมกับทีมงานเพื่อค้นหาปัญหาและวางแผนหรือกำหนดแนวทางการเข้าถึงระบบ บริการ ที่จำเป็นแก่ผู้ใช้บริการ ทั้งนี้ในกระบวนการวางแผน ผู้จัดการรายกรณีต้องทำงานกับ แหล่งทรัพยากร ทั้งบุคคล หน่วยงาน สถาบันทั้งภายในและภายนอก เพื่อประสานและจัดหาบริการที่มีความเหมาะสมกับปัญหา ความต้องการของ ผู้ใช้บริการ ขณะเดียวกันต้องค้นหาความเข้มแข็งหรือ พลังในตัวผู้ใช้บริการ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการได้มองเห็นคุณค่า ความสามารถในตนเอง และมีกำลังใจที่จะร่วมเข้าสู่กระบวนการคุ้มครอง ฟื้นฟู การเข้าถึงบริการ สิทธิละการดำเนินชีวิต ของตนให้คืนสู่ภาวะปกติได้โดยเร็ว (โสภา อ่อนโอภาส และนุชนาฎ ยูฮันเงาะ, 2564) นอกจากนี้ เพื่อให้รูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐานมีความชัดเจนขึ้นทั้งด้านการเข้าถึงการจัดบริการและดำเนินการ ร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย ประชากรกลุ่มเป้าหมายพิเศษที่ได้รับการพัฒนาศักยภาพ สามารถเข้าถึงบริการสวัสดิการสังคม การประสานงานกับภาคีเครือข่าย การมีส่วนร่วมในการจัดสวัสดิการและพัฒนาสังคม ส่งเสริมบทบาทและพัฒนาศักยภาพ อาสาสมัครเครือข่ายและภาคประชาสังคม การพัฒนาศักยภาพ สามารถเข้าถึงสวัสดิการสังคมตามเกณฑ์ที่กำหนด ได้รับ การพัฒนาศักยภาพ สามารถเข้าถึงบริการสวัสดิการสังคมและพึ่งพาตนเองได้และความเข้มแข็งเป็นฐาน ส่งเสริมสนับสนุน ทุกภาคส่วนให้เกิดพลังขับเคลื่อนการจัดสวัสดิการสังคม พัฒนาสังคมที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายพื้นที่ เสริมสร้าง ขีดความสามารถองค์การเพื่อการบริหารนโยบายและการบริการ นับว่าเป็นการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย กลไก ระบบ สวัสดิการและการให้บริการเพื่อพัฒนาความมั่นคงในชีวิต เสริมสร้าง พลังทางสังคมของภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนให้มีส่วนร่วม ในการจัดสวัสดิการและพัฒนาสังคม และพัฒนาระบบงานและการบริหารจัดการองค์กรเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก อย่างไรก็ตามขอเสนอรูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐานผ่านโครงการหรือกิจกรรมที่สนับสนุนความเข้มแข็งเป็นฐาน สามารถดึงเอาความเข้มแข็งของกลุ่มหมายออกมาและมีส่วนร่วมในการเข้าถึงบริการ ประกอบด้วยประเด็นและระดับของ แนวคิดกิจกรรม ได้แก่ การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย กลไก และระบบสวัสดิการสังคมและพัฒนาสังคม การยกระดับคุณภาพ ชีวิตและเสริมสร้าง ขีดความสามารถของกลุ่มเป้าหมาย การจัดสวัสดิการสังคมและพัฒนาสังคมที่เหมาะสม กับกลุ่มเป้าหมาย และพื้นที่และการสริมสร้างขีดความสามารถองค์การ เพื่อการบริหารนโยบายและการบริการ อาจเลือกประเด็นให้สอดคล้อง กับโครงการและกิจกรรมดังต่อไปนี้(ปรับปรุงจาก Social Care Institute for Excellence (2015)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 174 ตารางที่2 รูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐานผ่านโครงการหรือกิจกรรมที่สนับสนุนความเข้มแข็งเป็นฐาน ประเด็น/โครงการ หรือ กิจกรรม การพัฒนาข้อเสนอเชิง นโยบาย กลไกและ ระบบสวัสดิการสังคม และพัฒนาสังคม การยกระดับคุณภาพชีวิต และเสริมสร้าง ขีดความสามารถของ กลุ่มเป้าหมาย การจัดสวัสดิการสังคมและ พัฒนาสังคมที่เหมาะสม กับ กลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ การสริมสร้างขีด ความสามารถองค์การ เพื่อการบริหารนโยบาย และการบริการ การเข้าถึง จัดบริการ ดำเนินการร่วมกับ กลุ่มเป้าหมาย ประชากร กลุ่มเป้าหมายพิเศษ ที่ได้รับการพัฒนา ศักยภาพ สามารถ เข้าถึงบริการ สวัสดิการสังคม -เน้นความเป็นปัจเจกชน (Individual) -คุณภาพบุคคล (Personal qualities) -ความรู้และทักษะ (Knowledge and skills) -สัมพันธภาพ (Relationships) -ความปรารถนาแรง กล้าและความสนใจ (Passions and interests) - ประเด็นทับซ้อนทาง อัตลักษณ์และ พหุวัฒนธรรม (Intersectionality and Multiculturalism) - ปัจเจก (Individual) -สุขภาพ (Health) -การเงิน (Finances) - ที่อยู่อาศัย (Housing) -การเดินทาง (Transport) -สังคม ครอบครัวและ เครือข่าย (Social-family and social networks) -ด้านกาย-ทรัพย์สิน (Physical-tangible assets) - มนุษย์-ภายนอก ทรัพย์สิน (Humaninternal, intangible assets) -วัฒนธรรม-ความเชื่อ (Cultural-values, principles, beliefs) การประสานงานกับ ภาคีเครือข่าย การมี ส่วนร่วมในการจัด สวัสดิการและพัฒนา สังคม ส่งเสริม บทบาทและพัฒนา ศักยภาพ อาสาสมัคร เครือข่ายและภาค ประชาสังคม -การพิทักษ์สิทธิสำหรับ ความเป็นธรรมทาง สังคมและเศรษฐกิจ สำหรับมวลหมู่สมาชิก ในชุมชน (Advocate for social and economic justice for members of diverse communities) -ชุมชนเครือข่าย จุดเชื่อมถึง เพื่อนบ้าน (Community/ Networking Links with neighbours) -จุดร่วมของชุมชน (Community groups) -Shared interest groups -ผู้นำชุมชน (Community leaders) -ชุมชนและเครือข่าย Community/Networking - บริการสุขภาพและบริการ สังคม Health and social care services -กิจกรรมยามว่าง Leisure -โรงเรียน Schools -การสร้างเครือข่าย Community buildings -ส่งเสริมสวัสดิการสังคม เพื่อทุกคน (Promote social welfare Help people from all) การพัฒนาศักยภาพ สามารถเข้าถึง สวัสดิการ สังคมตาม เกณฑ์ที่กำหนด ได้รับการพัฒนา ศักยภาพ สามารถ เข้าถึงบริการ สวัสดิการ สังคมและ พึ่งพาตนเองได้ - ทฤษฎีระบบ นิเวศวิทยา (Ecological Systems Theory) - ทฤษฎีระบบครอบรัว (Family Systems Theory) - ทฤษฎีการเรียนรู้ (Contingency Theory) -การแก้ไขปัญหา (Problem Solving) -การยึดศูนย์กลางการ ปฏิบัติ (Task Centered Practice) -การบำบัดแนวศูนย์กลาง (Solution Focused Therapy) -การบำบัดแนวเล่าเรื่อง (Narrative Therapy) -การปรับพฤติกรรมการรู้ คิด (CognitiveBehavioral Therapy) -การดูแลเชิงประจักษ์ (Evidence-based Care) -การจัดการรายกรณี (Case Management) - ทีมสหวิชาชีพ (Muti Disciplinary Team) - ภูมิหลังที่ส่งผลให้บุคคล เผชิญความท้าทาย (backgrounds overcome the individual challenges they are facing) -รวบรวมจริยธรรม การปฏิบัติงาน สังคมสงเคราะห์ (Embody the social work code of ethics)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 175 ประเด็น/โครงการ หรือ กิจกรรม การพัฒนาข้อเสนอเชิง นโยบาย กลไกและ ระบบสวัสดิการสังคม และพัฒนาสังคม การยกระดับคุณภาพชีวิต และเสริมสร้าง ขีดความสามารถของ กลุ่มเป้าหมาย การจัดสวัสดิการสังคมและ พัฒนาสังคมที่เหมาะสม กับ กลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ การสริมสร้างขีด ความสามารถองค์การ เพื่อการบริหารนโยบาย และการบริการ -การแก้ไขภาวะวิกฤต (Crisis Intervention) ความเข้มแข็งเป็นฐาน ส่งเสริมสนับสนุน ทุกภาคส่วนให้เกิด พลังขับเคลื่อนการจัด สวัสดิการสังคม/พัฒนา สังคมที่เหมาะสมกับ กลุ่ม เป้าหมาย/พื้นที่ เสริมสร้างขีด ความสามารถองค์การ เพื่อการบริหารนโยบาย และการบริการ -คณะทำงานและผู้นำ เชิงประจักษ์ (The evidence base Workforce and leadership) - ปฏิบัติการแนวสมานฉันท์ (Restorative Practice (RP)) -สัญญาณของความ ปลอดภัยและความ เป็นอยู่ที่ดี(Signs of Safety and Wellbeing) -การสร้างความปลอดภัย บุคคล (Making Safeguarding Personal (MSP)) -การพัฒนาชุมชนโดยอาศัย สินทรัพย์ชุมชนเป็นฐาน (Asset-based community development (ABCD)) -การประสานงานพื้นที่ (Local Area Coordination (LAC)) -การประเมินและวางแผน ผ่านC3 (Three Conversations Mode) -การประเมินความเข้มแข็ง ROPES (Resources Options Possibilities Exceptions Solutions) ปรับปรุงจาก: Social Care Institute for Excellence, 2015. จากตารางข้างต้นแสดงให้เห็นถึงโครงการหรือกิจกรรมที่นำไปสู่การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย การเข้าถึงเครือข่ายชุมชม องค์กร การเข้าถึงบริการ และการวางความเข้มแข็งเป็นฐาน เช่น การเลือกกิจกรรมที่คำนึกถึงประเด็นอัตลักษณ์เชิงซ้อนและ พหุวัฒนธรรม ใช้วิธีการทำงานกับเน้นความเป็นปัจเจกชน (Individual) คุณภาพบุคคล (Personal qualities) ความรู้และ ทักษะ (Knowledge and skills) สัมพันธภาพ (Relationships) และความปรารถนาแรงกล้าและความสนใจ (Passions and interests) แสวงหาความเข้มแข็งผ่านการประเมินรอบด้านจากปัจเจก (Individual) สุขภาพ (Health) การเงิน (Finances) ที่อยู่อาศัย (Housing) และการเดินทาง (Transport) โดยดึงนโยบายที่คำนึกถึงประเด็นที่เกี่ยวข้อง อาจได้แก่ สังคมครอบครัวและเครือข่าย (Social-family and social networks) ด้านกาย- ทรัพย์สิน (Physical-tangible assets) มนุษย์- ภายนอก ทรัพย์สิน (Human-internal, intangible assets) และวัฒนธรรม-ความเชื่อ (Cultural-values, principles, beliefs) มาประกอบเพื่อการดำเนินกิจกรรมที่เสริมสร้างความเข้มแข็งจากภายในของผู้ใช้บริการ เนื่องจากโครงการหรือ กิจกรรมข้างต้นเป็นเพียงข้อเสนอเพื่อให้เห็นว่าฐานคิดของความเข้มแข็งสามารถออกแบบสู่บริการสังคมและโยงไปถึงนโยบาย สังคมได้ องค์กรที่ให้ความสำคัญต่อแนวคิดได้มากย่อมออกแบบโครงการ กิจกรรมและนำไปสู่การประเมินและติดตามผลที่วัด ได้ อีกทั้งประชาชนที่เข้าถึงยากต้องอาศัยการมีแนวคิดสนับสนุนที่จะให้เกิดการเข้าถึงบริการและไม่หายไปจากระบบบริการ อย่างไรก็ตามจากรูปแบบความเข็มแข็งเป็นฐานข้างต้น สะท้อนถึงการจัดบริการสวัสดิการสังคมมีลักษณะ การเคลื่อนไหวเพื่อขจัดปัญหาความยากจนและปัญหาความไม่เป็นธรรมทางสังคมของกลุ่มเปราะบางด้วย การพัฒนาการมา จากการเรียนรู้การปฏิบัติกับผู้ใช้บริการที่มีความท้าทายของปัญหาและปัญหาเชิงโครงสร้างสังคม มีการนำเสนอการทำงานใน เชิงการพิทักษ์สิทธิให้ประชาชน และการสร้างพลังอำนาจให้กับประชาชนควบคู่กันไป โดยไม่ละเลยในการวิเคราะห์เรื่องชนชั้น และการเข้าถึงทรัพยากรของบุคคลในสังคม แม้ในบริบทสภาวะแวดล้อมทางสังคมก็เป็นสิ่งที่ยากเย็นอย่างยิ่งสำหรับปัจเจก บุคคลหนึ่ง ดังนั้นการรวมตัวกันในลักษณะที่เป็นเอกภาพกับบุคคลอื่นๆ ที่มีสภาพเดียวกันในรูปแบบของการกระทำรวมหมู่ นับว่าเป็นสิ่งสำคัญจำเป็นอย่างยิ่งจำเป็นที่ต้องสร้างกลุ่มที่ให้ความสนับสนุนในหมู่ปัจเจกหลายๆ คนที่อยู่ในสถานการณ์ เดียวกัน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 176 ความเข้มแข็งจึงไม่ใช่เพียงจากปัจเจกเท่านั้น แต่ยังไปถึงระดับอื่นๆ เช่น คณะทำงานและผู้นำเชิงประจักษ์ในชุมชน การส่งเสริมให้การจัดสวัสดิการแบบมีภาคีมาร่วมสนับสนุนจึงต้องทำให้มีการรักษากลุ่มต่างๆ ในระยะยาวเพื่อการสร้าง ความมั่นคง การสนับสนุนให้มีการสร้างผู้นำชุมชนขึ้นมาให้มากขึ้นและสร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่สามารถมาต่อยอดในชุมชนได้ และ การจัดการความรู้เป็นอีกประเด็นที่สำคัญที่จะทำให้คนในชุมชนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนและช่วยเสนอแนะเพื่อกำหนดทิศทาง และการขยายการดูแลตนเองและชุมชนให้มีความครอบคลุมในประเด็นสังคมด้านอื่นๆ จะเห็นได้ว่ารูปแบบความเข้มแข็ง เป็นฐาน ส่งผลต่อการสร้างหลักประกันได้ด้วยตนเองโดยคนในชุมชนจึงทำให้เกิดเป็นความเข้มแข็งตั้งแต่ระดับรากฐานของ สังคมผ่านชุมชนไปสู่ครัวเรือน แบบการพัฒนาชุมชนโดยอาศัยสินทรัพย์ชุมชนเป็นฐาน (ABCD) ชุมชนมีบทบาทในการดูแล ทุกข์สุขของประชาชนในรูปแบบต่างๆ เริ่มตั้งแต่การช่วยเหลือเกื้อกูลระหว่างเพื่อนบ้านยามเจ็บป่วย ที่พักอาศัย เป็นต้น ไปจนถึงการร่วมกลุ่มอาชีพในรูปแบบต่างๆ การให้ชุมชนได้ใช้ความเข้มแข็งของตนเอง จึงมีทางออกด้วยรวมกลุ่มกัน หลายชุมชนเองก็เป็นต้นแบบทางด้านการพัฒนาในแบบสร้างระบบประกันทางสังคมขึ้นเอง ผ่านกลุ่ม อาชีพ กลุ่มสตรี กลุ่มออมทรัพย์ หรือเป็นกองทุนสวัสดิการ เป็นต้น รูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐานกับกลุ่มเป้าหมายที่เขาถึงยาก เพื่อกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงสวัสดิการพื้นฐาน พัฒนาสู่การ พึ่งพาตนเอง จะเป็นระบบที่ช่วยคุ้มครองและพัฒนาสังคมประการหนึ่ง คือ สวัสดิการสังคมซึ่งอาจจัดขึ้นโดยภาคส่วนใดภาค ส่วนหนึ่ง หรือริเริ่มจากความความมือหลายภาคส่วนจนกระทั่งกลายเป็นระบบสวัสดิการสังคมแบบพหุลักษณ์ (Pluralistic social welfare system) (จิราลักษณ์จงสถิตย์มั่น, 2547) ที่คำนึงถึงความแตกต่างของมนุษย์และความหลากหลายในปัญหา และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มีหน้าที่ช่วยเหลือ ป้องกัน แก้ไข และพัฒนาสังคมต้อง เข้าไปเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายนี้ ต้องก้าวไปมีบทบาทในการปฏิบัติงานเชิงรุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานใน พื้นที่ หน่วยงานทางสังคมที่สำคัญยิ่งในการเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนามนุษย์และสังคม เมื่อศึกษาประเด็นความเข้มแข็งเป็นฐาน ทำให้การมองเห็นทุนทางสังคมและเครือข่ายทางสังคมที่มีอยู่ก็สามารถทำ ให้เห็นหนทางไปสู่การสร้างสวัสดิการสังคมได้ชัดเจนมากขึ้น การขับเคลื่อนสวัสดิการจึงไม่ใช่การโยนความรับผิดชอบ (อัมมาร สยามวาลา และคณะ, 2549) เรื่องสวัสดิการสังคมมาให้ประชาชนรับผิดชอบกันเองเท่านั้น แต่รัฐจะต้องไม่หยุดนิ่ง เพิกเฉย หากแต่ต้องรักษาบทบาทในการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มและชุมชนให้เข้มแข็งโดยขยายมิติชุมชนให้ครอบคลุมชุมชนและต้อง ไม่ปิดกั้นประชาชนในการเรียกร้องสิทธิสวัสดิการที่ยังไม่ครอบคลุมกลุ่มคนชายขอบต่างๆ เข้าไม่ถึงสวัสดิการที่จัดโดยรัฐที่มีอีก จำนวนมากด้วยต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการสร้างสวัสดิการที่ทั่วถึงและเท่าเทียม ด้วยการนำผลจากการเรียนรู้ (Learn) มาสู่การพัฒนาทั้งแนวคิดและบริการ (Develop) การกำกับติดตามอย่างเข้าใจ (Monitor) และการวิเคราะห์เพื่อหา วิธีการที่ดี (Analyze) เพื่อการพัฒนาศักยภาพกลุ่มเป้าหมายแบบบูรณาการให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามภารกิจ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ภาพที่ 1 การทำความเข้าใจนโยบายสังคม.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 177 จากข้อเสนอรูปแบบข้างต้น มีแนวคิดสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก ได้แก่ แนวทางการดูแลทางสังคม แบบองค์รวม การบูรณาการการพัฒนาสังคม การช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวัน การเสริมสร้างศักยภาพ มิติ ความเปราะบางของประชาชน สวัสดิการสังคม การส่งเสริมสนับสนุนทุกภาคส่วนให้เกิดพลังขับเคลื่อนการจัดสวัสดิการสังคม พัฒนาสังคมที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก ควรเสริมสร้างขีดความสามารถ องค์การเพื่อการบริหารนโยบายและการบริการ กิจกรรมใดๆ ก็ตามที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการคนสามารถระบุและ สร้างจุดแข็งของตนเองได้ ซึ่งอาจรวมถึงสิ่งต่างๆ เช่น เครื่องมือประเมินตนเอง กิจกรรมที่กระตุ้นให้ผู้ใช้บริการสะท้อนถึง ความสำเร็จและความสำเร็จที่ผ่านมา หรือแบบฝึกหัดที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการระบุและพัฒนาความสามารถและทักษะ จึงเป็น ระบบสนับสนุนดังกล่าวนั้นเป็นความพยายามที่สร้างเสริมให้เกิดการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้นโยบายสังคมสามารถ ขยายความหมายของสวัสดิการสังคมได้มากขึ้นจึงต้องอาศัยการสร้างความเข้าใจเรื่องการมีส่วนร่วมและทำให้เข้าใจหลักการ วิเคราะห์นโยบายไปด้วยกัน สรุป รูปแบบความเข้มแข็งเป็นฐานกับกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยากกับสวัสดิการขั้นพื้นฐานและสร้างการพึ่งพาตนเอง และ เพื่อพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย กลไก ระบบสวัสดิการและการให้บริการเพื่อพัฒนาความมั่นคงในชีวิต การพัฒนาระบบงาน และการบริหารจัดการองค์กรเพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก แนวคิดสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก ได้แก่ แนวทางการดูแลทางสังคมแบบองค์รวม การบูรณาการการพัฒนาสังคม การช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวัน การเสริมสร้างศักยภาพ มิติความเปราะบางของประชาชน สวัสดิการสังคม การส่งเสริมสนับสนุนทุกภาคส่วนให้เกิดพลัง ขับเคลื่อนการจัดสวัสดิการสังคม พัฒนาสังคมที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เข้าถึงยาก ควรเสริมสร้างขีดความสามารถองค์การเพื่อการบริหารนโยบายและการบริการ กิจกรรมใดๆ ก็ตามที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ ผู้ใช้บริการคนสามารถระบุและสร้างจุดแข็งของตนเองได้มีผลต่อการออกแบบสวัสดิการเพื่อรองรับกับปัจจุบันและอนาคตทั้ง สวัสดิการสังคมสำหรับประชาชน เป็นการสร้างมาตรฐานทางวิชาชีพ วิธีการหรือแนวทางการศึกษาสังคมสงเคราะห์และ การพัฒนาสังคมโดยใช้ชุมชนเป็นฐานก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันในฐานะที่เป็นวิธีการปฏิบัติงานเชิงป้องกันหรือการทำงาน เชิงรุกมากกว่ารอให้ผู้ใช้บริการประสบกับความเดือดร้อนแล้วเข้ามารับการช่วยเหลือจากองค์กรภาครัฐและเอกชน สวัสดิการ จากรัฐเพียงด้านเดียวอาจไม่ได้ตอบโจทย์กับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ การพัฒนาทางด้านแนวคิดการพัฒนาสังคมและสวัสดิการนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมและบริบทของสังคม ที่เรื่องอำนาจและชนชั้นเข้ามามีส่วนทำให้คนในสังคมเกิดความไม่เท่าเทียมและมีความรุนแรงของการตีตราและการเลือก ปฏิบัติ การปรับเปลี่ยนวิธีคิดในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์จึงมีบทบาทเข้ามาสนับสนุนความรู้ของนักสังคมสงเคราะห์ด้วย การทำงานที่มุ่งเน้นการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับผู้ใช้บริการ การเน้นการต่อต้านเรื่องความไม่เท่าเทียมและ การเรียกร้องถึงความยุติธรรมจึงเป็นเป้าหมายสำคัญของการให้บริการ ส่วนที่สำคัญอีกประการ คือ การให้บริการของ นักสังคมสงเคราะห์ที่สร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ใช้บริการด้วยการปฏิบัติที่เคารพในคุณค่าของกลุ่มผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะใน กลุ่มที่มีความเปราะบางและกลุ่มที่เข้าถึงยาก เอกสารอ้างอิง กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2553). ทฤษฎีวิพากษ์ในนโยบายและการวางแผนสังคม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2553). ทฤษฎีสังคมสงเคราะห์ร่วมสมัย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 178 จิราลักษณ์ จงสถิตมั่น. (2547). พลวัตรความรู้สังคมสงเคราะห์กับสังคมสงเคราะห์ไทยในบริบทที่เปลี่ยนแปลง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. จิราลักษณ์ จงสถิตมั่น. (2549). สังคมสงเคราะห์กลุ่มชน. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ. (2549). สวัสดิการสังคม ในมิติกินดี อยู่ดี มีสุข มีสิทธิ์. กรุงเทพฯ: ศูนย์ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมือง, คณะเศรษฐศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วันทนีย์ วาสิกสิน, สุรางค์รัตน์ วศินารมณ์ และ กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2547). ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสวัสดิการสังคมและ สังคมสงเคราะห์ (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สุภางค์ จันทวานิช. (2553). การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. โสภา อ่อนโอภาส และนุชนาฎ ยูฮันเงาะ. (2564). เอกสารประกอบการการบรรยายการจัดการรายกรณี. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล. (2564). ปรับแผนรับมือ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด”. สืบค้นจาก https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/34878#:~:text=%2D%2D,%E0%B9%83%E0%B8 %99%204%20%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E 0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8 %87%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%20 อัมมาร สยามวาลา และคณะ. (2549). การประเมินความเสี่ยงและความเปราะบางทางสังคม: การวัดภาวะความยากไร้ และความเปราะบางสังคมสู่แนวทางนำไปปฏิบัติได้ในประเทศไทย. สืบค้นจาก http://tdri.or.th/wpcontent/uploads/2012/12/h103.pd Baron, S., Colomina, C., Pereira, T., & Stanley, T. (2019). Strengths-based approach: Practice framework and practice handbook. Department of Health & Social Care, United Kingdom. Burnham, J. (2010). Creating reflexive relationships between practices of systemic supervision and theories of learning and education. In: C. Burck & G. Daniel (Eds.), Mirrors and Reflections: Processes of Systemic Supervision (pp. 49–78). London: Karnac. Beth, R. C. (2011). If a Holistic Approach to Social Work Requires Acknowledgement of Religion, What Does This Mean for Social Work Education? Social Work Education. Social Work Education, (30)6, 663- 674. Costenoble, A., Knoop,V., Vermeiren, S., Vella,R.A., Debain, A., Rossi, G., Bautmans, I., Verté, D., Gorus, E. & DeVriendt,P. (2021). A Comprehensive Overview of Activities of Daily Living in Existing Frailty Instruments: A Systematic Literature Search.The Gerontologist, 61(3), e12–e22. DOI: 10.1093/geront/gnz147 Department for Health and Social Care (2019). Strengths-based approach: practice framework and practice handbook. Retrieved from https://assets.publishing.service.gov.uk/government/uploads/ system/uploads/attachment_data/file/778134/stengths-based-approach-practice-framework-andhandbook.pdf Financial Conduct Authority. (2021). Finalised guidance FG21/1 Guidance for firms on the fair treatment of vulnerable customers, London: FCA.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 179 Glicken, M. (2004). Using the strengths perspective in social work practice. Boston, MA: Pearson Education. International Federation of Social Workers- IFSW (2022). The role of social workers in advancing a new eco-social world. Retrieved from https://www.ifsw.org/the-role-of-social-workers-in-advancing-anew-eco-social-world/ Pattoni, L. (2012). Strengths-based approaches for working with individuals. Insight, 16. Retrieved from http://www.iriss.org.uk/resources/strengths-based-approaches-working-individuals Pulla, V. (2017). Strengths-based approach in social work: A distinct ethical advantage. International Journal of Innovation, Creativity and Change, 3(2), 97–114. Social Care Institute for Excellence. (2015a). Strengths-based approaches for assessment and eligibility under the Care Act 2014. Retrieved from http://www.scie.org.uk/care-act-2014/assessment-andeligibility/strengths-based-approach/ Social Care Institute for Excellence. (2015b). Care Act guidance on strengths-based approaches. Retrieved from https://www.scie.org.uk/strengths-based-approaches/guidance Social Care Institute for Excellence. (2018). What is a strengths-based approach?. Retrieved from https://www.scie.org.uk/strengths-based-approaches Williams, S., & Stickley, T. (2011). Stories from the streets: People’s experiences of homelessness. Journal of Psychiatric & Mental Health Nursing, 18(5), 432–439. DOI: 10.1111/j.1365-2850.2010.01676.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 180 แนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติของกรมกิจการสตรีและ สถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ Development Guideline for Driving Family Assembly Resolution Proposal lead to implementing of Department of Woman’s Affairs and Family Development, Ministry of Social Development and Human Security สัณหณัฐ ดีทองอ่อน1 Sunhanut Deethongoon2 ปิ่นหทัย หนูนวล3 Pinhathai Nunuan4 Abstract The purposes of the research were explore the problems and barriers of Driving Family Assembly Resolution Proposal of Department of Woman’s Affairs and Family Development, Ministry of Social Development and Human Security and Development Guideline for Driving Family Assembly Resolution Proposal of Department of Woman’s Affairs and Family Development, Ministry of Social Development and Human Security by using the Mixed Method Research. Using a questionnaire and interview were educational tools and samples which is officer group from 76 Provincial Offices of Social Development and Human Security and Social Development Office of Bangkok total 77 persons, 5 central and regional policymakers. Statistical data analysis by using a percentage mean and standard deviation and qualitative data were analyzed by content analysis. The result showed that problems and barriers of Driving Family Assembly Resolution Proposal lead to implementing capability had highest problem and barrier in lower level has a mean of 1.38 while power and commitment between organizations and participation had lowest problem and barrier in lower level. The mean were 0.75 and 0.21, respectively. Performance Guideline for Driving Family Assembly Resolution Proposal lead to implementing includes: organization arrangement, perception, coordination, resource allocation, operation and continuation. The overall opinion were at a high level. Suggestions, Department of Woman’s Affairs and Family Development, Ministry of Social Development and Human Security should design process explicit of Driving Family Assembly Resolution Proposal together with giving priority to the development of personnel in the operation and budget support lead to achievement in driving the policy. Keywords:Family assembly, Guideline for driving, Department of Woman’s Affairs and Family Development 1 นักศึกษาระดับมหาบัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ประเทศไทย. 2 Master’s students Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร., อาจารย์ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ประเทศไทย. 4 Assistant Professor Dr., Lecturer of Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 181 บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคของการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว ของ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และศึกษาแนวทาง การพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ด้วยระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธีใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือศึกษากับ กลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มผู้ปฏิบัติงานจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด 76 จังหวัด และสำนักพัฒนา สังคม กรุงเทพมหานคร 77 คน และกลุ่มผู้กำหนดนโยบายของส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 5 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ การหาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และวิเคราะห์ข้อมูล เชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ผลการศึกษา พบปัญหาและอุปสรรคของการขับเคลื่อนข้อเสนอ มติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติด้านสมรรถนะ มีปัญหาและอุปสรรคมากที่สุด อยู่ในระดับน้อย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.38 ขณะที่ ด้านอำนาจและความผูกพันระหว่างองค์กร และด้านการมีส่วนร่วม มีปัญหาและอุปสรรคน้อยที่สุด อยู่ในระดับน้อย โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.75 และ 0.21 ตามลำดับ สำหรับการปฏิบัติงานตามแนวทางการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชา ครอบครัวสู่การปฏิบัติ ได้แก่ ด้านการจัดองค์กร ด้านการยอมรับ ด้านการประสานหน่วยงาน ด้านการจัดสรรทรัพยากร ด้านการดำเนินการ และด้านการสร้างความต่อเนื่อง ในภาพรวมมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ข้อเสนอแนะ กรมกิจการสตรี และสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ควรมีการออกแบบกระบวนการขับเคลื่อน ข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวที่ชัดเจน พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรในการปฏิบัติงาน และการสนับสนุน งบประมาณ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการขับเคลื่อนนโยบาย คำสำคัญ: สมัชชาครอบครัว, แนวทางการขับเคลื่อน, กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว คำนำ สถานการณ์ครอบครัวในปัจจุบัน โครงสร้างของครอบครัวหรือรูปแบบครัวเรือนที่เปลี่ยนแปลงไป ครอบครัวมี รูปแบบในมิติที่หลากหลาย เช่น ครอบครัวพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวเดียวกันที่แยกกันอยู่ ครอบครัวขยาย ครอบครัว ข้ามรุ่น ครอบครัวแหว่งกลาง ครอบครัวที่ผู้สูงอายุอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง ครอบครัวเปราะบาง ครอบครัวผสม ครอบครัววัยรุ่น ปัญหาของครอบครัวมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต พ่อแม่และลูกไม่ได้ทำบทบาทหน้าที่อย่างเต็มที่ พ่อแม่ต้องทำงานเพื่อหา รายได้ สมาชิกในครอบครัวมีพฤติกรรมใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต การสื่อสารกันน้อยลง เกิดความเหินห่างของ ครอบครัว ส่งผลให้ครอบครัวมีแนวโน้มการปฏิสัมพันธ์ในแง่มุมต่างๆ ไม่มีการทำกิจกรรมร่วมกันภายในครอบครัว ทำให้ สัมพันธภาพในครอบครัวไม่อบอุ่น ละเลยการอบรมปลูกฝังจริยธรรม คุณธรรม ค่านิยม ตลอดจนการหล่อหลอมบุคลิกภาพ และพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ผลักภาระโดยให้เป็นหน้าที่ของสถาบันการศึกษาหรือสถาบันอื่นในสังคม ทำให้ปฏิสัมพันธ์ของ ครอบครัวที่มีต่อชุมชนและสังคมมีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้ยังมีปัญหาพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศของเด็กและเยาวชน ฯลฯ ครอบครัวซึ่งเป็นรากฐานของสังคมอยู่บนพื้นฐานที่เปราะบาง (กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว, 2565) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการกำหนดทิศทางในการทำงานด้านพัฒนาสถาบันครอบครัว กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเป็นหน่วยงานของภาครัฐที่ให้ ความสำคัญต่องานด้านการพัฒนาสถาบันครอบครัว มุ่งส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวมีความเข้มแข็ง มีความเป็นปึกแผ่น จากนั้นจึงมีการพัฒนานโยบาย มาตรการ กลไกต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันครอบครัว มีการจัดทำ แผนปฏิบัติการด้านครอบครัว พ.ศ. 2563-2565 เพื่อให้ครอบครัวมีชีวิตที่เป็นสุขและปราศจากความรุนแรง สามารถพึ่งพา ตนเองได้ โดยมีอาชีพที่สุจริต ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง สามารถเลี้ยงลูกให้มีความสุขและมีพัฒนาการรอบด้านที่เหมาะสม ตามวัย ครอบครัวเป็นพลังสร้างสังคมที่มีคุณภาพ ลดปัจจัยเสี่ยงและสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายและบั่นทอน พร้อมทั้งเพิ่ม


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 182 ปัจจัยเกื้อหนุน และสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ครอบครัว จัดบริการที่เหมาะสม สร้าง พัฒนา และเผยแพร่องค์ความรู้ที่จำเป็น สำหรับครอบครัวให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง องค์กรทุกภาคส่วนมีการประสาน และดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล อีกทั้ง กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ยังได้ตระหนักถึงการดำเนินงานที่เกิดจากการมีส่วนร่วมของทุก ภาคส่วน ในอันที่จะได้มาซึ่งประเด็นปัญหา ข้อค้นพบ ที่จะนำไปสู่การระดมความคิดเห็น การรับฟังข้อเสนอแนะ แนวทาง การพัฒนา เพื่อพัฒนามาตรการในการขับเคลื่อนภารกิจด้านครอบครัวให้เกิดประสิทธิภาพ (กรมกิจการสตรีและสถาบัน ครอบครัว, 2563) กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีแนวทางการพัฒนา เพื่อตอบสนองการบริหารจัดการที่เอื้อต่อความเข้มแข็งของครอบครัว และส่งเสริม สนับสนุนเครือข่ายทางสังคมเพื่อพัฒนา ครอบครัว ผ่านการสร้างและผลักดันเครือข่ายทางสังคมทุกรูปแบบ ทุกระดับ ให้มีศักยภาพในการขับเคลื่อนการพัฒนา ครอบครัวอย่างต่อเนื่องและสร้างการมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรม โดยผลักดันและสนับสนุนให้ทุกเครือข่ายเข้ามามีส่วนร่วมใน การส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว ส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานของเครือข่ายทางสังคม และให้มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างเครือข่ายทางสังคมกลุ่มต่างๆ เพื่อบูรณาการงานด้านพัฒนาครอบครัวอย่างมีทิศทาง อีกทั้งมีการพัฒนาการบริหาร จัดการการทำงานด้านครอบครัวอย่างเป็นระบบ โดยการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านครอบครัว หรือ สมัชชาครอบครัวในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับจังหวัด และระดับชาติ (กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว, 2559) สมัชชาครอบครัวจึงเป็นกลไกสำคัญในการระดมความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ จากทุกเครือข่ายในสังคม เพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ และแนวทางในการส่งเสริมและประสานงานสถาบัน ครอบครัว ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมและประสานงานสถาบันครอบครัวแห่งชาติ พ.ศ. 2551 ให้มีคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ครอบครัวแห่งชาติ (กยค.) และให้คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนา ครอบครัว (กสค.) ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการประชุมสมัชชาครอบครัวระดับจังหวัด และระดับชาติ อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง โดยสมัชชาครอบครัวเป็นการรวมกลุ่มของครอบครัวหรือตัวแทนของครอบครัว และภาคประชาชนจากทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อระดมความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อส่งเสริม ประสานงาน ระดมความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ และประสานงาน แนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัว อีกทั้งยังเปิดพื้นที่ให้ตัวแทนครอบครัว ภาคประชาชน และภาคีเครือข่ายทุกภาค ส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอประเด็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว ทั้งประเด็นปัญหา เชิงพื้นที่ และประเด็นปัญหาเชิงโครงสร้าง พร้อมทั้งให้ กสค. รวบรวมข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากที่ประชุมสมัชชา ครอบครัวระดับชาติ เสนอต่อ กยค. เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาใช้เป็นแนวทางในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ รวมไปถึงการแก้ไขปรับปปรุงกฎหมาย หรือระเบียบปฏิบัติต่อไป (เอกสารมติสมัชชาครอบครัวระดับชาติประจำปี 2555) จากการดำเนินงานที่มา และข้อมูลที่ได้จากการค้นพบจากบุคลากร พบว่าการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชา ครอบครัวไปสู่การปฏิบัติ ยังคงมีอุปสรรคในการดำเนินการ เนื่องจากข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวระดับจังหวัดและระดับชาติ หลายข้อเสนอยังคงเป็นข้อเสนอที่ซ้ำในบางปี กระบวนการหรือรูปแบบในการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว ทั้งใน ขั้นตอนการแปลงนโยบาย และการยอมรับจากองค์กร ผู้ปฏิบัติงานไม่สามารถวิเคราะห์ปัญหาครอบครัวได้ชัดเจน สาเหตุ เพราะองค์ประกอบข้อมูลด้านครอบครัว ยังมีความกระจัดกระจายมากพอสมควร ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้ ผู้ปฏิบัติงานอาศัยชุดข้อมูลเดิม ส่งผลให้ไม่สามารถขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็น รูปธรรม หรือกำหนดเป็นมาตรการ นโยบาย หรือยุทธศาสตร์ ในการส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งให้แก่สถาบันครอบครัวได้ รวมทั้งปัญหาในการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว ที่เป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนนโยบาย ได้แก่ ด้านสมรรถนะ ด้านการควบคุม ด้านการมีส่วนร่วม และด้านอำนาจและความผูกพันขององค์กร เป็นต้น


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 183 ด้วยเหตุนี้ผู้ศึกษาได้เห็นช่องว่างที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานที่ผ่านมา คือ กระบวนการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชา ครอบครัว และปัญหาอุปสรรคในการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่กีดขวางความสำเร็จของ การนำนโยบายไปปฏิบัติ เนื่องจากปัญหาด้านเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบาย ปัญหาด้านสมรรถนะของหน่วยงาน ปฏิบัติ ปัญหาด้านการสนับสนุนของฝ่ายการเมือง และปัญหาด้านกระบวนการการปฏิบัติงาน (นรีวรรณ เทพสุขดี, 2557) ส่งผลให้ขาดการขับเคลื่อนให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม และขาดกลไกการขับเคลื่อนและติดตามผลการดำเนินงาน ตามข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว นักศึกษาจึงจัดทำ “แนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่ การปฏิบัติ ของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” เพื่อช่วยให้ การขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวเกิดผลในทางปฏิบัติ สามารถสนับสนุนให้เกิดการดำเนินการตามมติสมัชชา ครอบครัวระดับชาติอย่างเป็นรูปธรรมได้ในทุกระดับ และพัฒนาแนวทางในการดำเนินงานด้านครอบครัวให้สอดรับกับ สถานการณ์ครอบครัวที่เหมาะสมต่อไป การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคของการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวของ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และเพื่อศึกษาแนวทาง การพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งจากการทบทวนวรรณกรรม จิตราภรณ์ ศรีลาฤทธิ์ (2561) ได้กล่าวถึงปัญหาและอุปสรรคใน การนำนโยบายไปปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วยปัญหาด้านสมรรถนะของหน่วยงานที่นำนโยบายไปปฏิบัติ โดยสมรรถนะของ หน่วยงานที่รับผิดชอบในการนำนโยบายไปปฏิบัติ ปัญหาด้านการควบคุม เป็นความสามารถในการวัดความก้าวหน้าของ นโยบาย ปัญหาด้านความร่วมมือและการต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ปัญหาด้านอำนาจและความสัมพันธ์กับองค์การอื่นที่ เกี่ยวข้อง จะมีสาเหตุมาจากผู้รับผิดชอบมีปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ภายใต้สภาพแวดล้อมทางการเมือง และปัญหาด้าน ความสนับสนุนและความผูกพันขององค์การ ซึ่งเกิดจากการขาดการสนับสนุนจากกลุ่มอิทธิพล กลุ่มผลประโยชน์ นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง ตลอดจนสื่อมวลชน ทำให้ส่งผลต่อความล้มเหลวของนโยบาย นอกจากนี้ฆนิศา งานสถิร (2553) กล่าวเกี่ยวกับการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ ว่า กระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติ ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนระดับมหภาค ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน คือ 1) การแปลงนโยบายให้อยู่ในรูปของแผน และโครงการ ซึ่งเป็นการกำหนดนโยบายในรูปแบบของกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี หรือระเบียบ เพื่อเป็นแนวทางในการนำนโยบายไปปฏิบัติ โดยมีการระบุหน่วยงานชัดเจน ทั้งนี้ การดำเนินการแปลงนโยบาย ของหน่วยงานที่รับผิดชอบ จะต้องคำนึงถึงการจัดรูปแบบองค์กร ในลักษณะของกลไกต่างๆ การดำเนินการแปลงเป้าหมาย เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งการประสานหน่วยงาน และการจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้บรรลุผลของนโยบายและ 2) ขั้นตอน การดำเนินงานหรือขั้นตอนการยอมรับ เมื่อหน่วยงานส่วนกลางได้ดำเนินการแปลงนโยบาย หน่วยงานส่วนกลางจะต้องทำให้ หน่วยงานส่วนภูมิภาคยอมรับ แล้วนำไปปฏิบัติ โดยหน่วยงานส่วนกลาง จะต้องทำความเข้าใจถึงสถานะของหน่วยงาน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของภูมิภาคนั้นๆ ส่วนขั้นตอนระดับจุลภาค เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการยอมรับนโยบายจาก ส่วนกลาง นำมาปฏิบัติ เพื่อให้เป็นนโยบายที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของแต่ละภูมิภาค โดยขั้นตอนระดับจุลภาค ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นตอนการระดมพลัง เป็นการดำเนินงานการพิจารณารับนโยบาย และการแสวงหา การสนับสนุนจากสมาชิกในหน่วยงาน องค์กร และประชาชนกลุ่มต่างๆ ในภูมิภาค 2) ขั้นตอนการปฏิบัติ เป็นการแสวงหา วิธีการในการปรับแผนการปฏิบัติงานของหน่วยงาน และ 3) ขั้นตอนการสร้างความปึกแผ่นและความต่อเนื่อง โดยผู้บริหาร ในระดับภูมิภาคจะต้องพัฒนาองค์กร สร้างแรงจูงใจในการมีส่วนร่วม เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดการยอมรับ และรู้สึกผูกพันใน นโยบาย


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 184 เครื่องมือและวิธีการศึกษา การศึกษาแนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติของกรมกิจการสตรีและ สถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) ด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Approach) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Approach) โดย ผู้ศึกษาค้นคว้าจากเอกสาร (Document Study) และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติ แนวทางการดำเนินงานสมัชชาครอบครัวของผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ปัญหาและอุปสรรคของการขับเคลื่อนนโยบายด้าน ครอบครัวที่นำไปสู่การปฏิบัติ และการศึกษาภาคสนาม (Field Study) เก็บข้อมูลโดยใช้วิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) ที่ได้จัดทำขึ้น กับกลุ่มผู้ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ ประกอบด้วย สำนักงาน พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด 76 จังหวัด และสำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร เก็บข้อมูลจาก ผู้ปฏิบัติงานที่หน่วยงานมอบหมายให้รับผิดชอบงานสมัชชาครอบครัวระดับจังหวัด จำนวน 77 คน โดยมีเกณฑ์การคัดเลือก ผู้ร่วมวิจัย คือ ไม่จำกัดตำแหน่งในการปฏิบัติงาน เป็นผู้ปฏิบัติงานที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และสำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร มอบหมายให้รับผิดชอบงานสมัชชาครอบครัวระดับจังหวัด และยินดีเข้าร่วมการวิจัย และเกณฑ์การคัดออกผู้ร่วมวิจัย คือ กลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงานที่หน่วยงานมอบหมายให้รับผิดชอบงานสมัชชาครอบครัว ระดับจังหวัด กลุ่มตัวอย่างมีความประสงค์หยุดให้ข้อมูล และกลุ่มตัวอย่างมีเหตุผลที่ไม่สามารถให้ข้อมูลได้โดยนำผลวิจัย เชิงปริมาณมาสนับสนุนการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ก่อนจะดำเนินการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกรายบุคคล (In-depth Interview) กับกลุ่มผู้กำหนดนโยบายของส่วนกลาง จากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่มีความเกี่ยวข้องในประเด็นการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่ การปฏิบัติจำนวน 2 คน และผู้กำหนดนโยบายของส่วนภูมิภาค จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด จำนวน 3 คน โดยมีลักษณะเป็นคำถามปลายเปิด และทดสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยนำส่งให้แก่ผู้เชี่ยวชาญสามท่าน เพื่อทำการทดสอบ (IOC) ได้เท่ากับ 0.97 และเลือกคำถามที่มีค่า IOC มากกว่า 0.5 มาใช้เป็นคำถาม จากนั้นนำไปทดสอบ กับผู้ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ ซึ่งไม่ได้รับผิดชอบงานสมัชชาครอบครัวจังหวัด เพื่อหาความเที่ยงตรง จำนวน 30 ชุด และ นำแบบสอบถามที่ได้จากการทดสอบมาหาค่าความเชื่อมั่นแบบอิงกลุ่ม โดยวิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s AlPha-Coefficient) ได้เท่ากับ 0.91 ถือได้ว่าแบบสอบถามมีความน่าเชื่อถือและนำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างได้ จากกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ คือ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์จังหวัด 76 จังหวัด และสำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร รวมจำนวน 77 คน และกลุ่มผู้กำหนดนโยบายของ ส่วนกลาง จากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และผู้กำหนด นโยบายของส่วนภูมิภาค จากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด รวมจำนวน 5 คน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติเพื่อการวิจัยทางสังคมศาสตร์ โดยใช้สถิติการแจกแจง ความถี่ (Frequency) หาค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ก่อนจะนำผลการศึกษามาเสนอ โดยใช้การบรรยายประกอบตารางอธิบายข้อมูลในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาและ อุปสรรคของการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ และการปฏิบัติงานตามแนวทางการขับเคลื่อนข้อเสนอ มติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ โดยใช้ลักษณะของแบบสอบถามเป็นแบบประเมินค่า (Rating Scale) ระดับความคิดเห็น 3 ระดับ และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ที่ใช้ในการจัดกลุ่มของข้อมูลที่ได้ จากการสัมภาษณ์แนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ ของกรมกิจการสตรีและสถาบัน ครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 185 ผลการศึกษา ผลการศึกษา “แนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ ของกรมกิจการสตรีและ สถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” พบว่า ปัญหาและอุปสรรคของการขับเคลื่อน ข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว ประกอบด้วย ด้านสมรรถนะ ด้านการสนับสนุนองค์กร ด้านการควบคุม ด้านอำนาจและ ความผูกพันระหว่างองค์กร และด้านการมีส่วนร่วม มีปัญหาและอุปสรรคของการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่ การปฏิบัติอยู่ในระดับน้อย โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.38, 0.91, 0.87, 0.75 และ 0.21 ตามลำดับ ในขณะที่ภาพรวม การปฏิบัติงานตามแนวทางการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ 6 ด้าน อยู่ในระดับมาก ผลการศึกษา พบว่า ด้านการดำเนินการ ด้านการสร้างความต่อเนื่อง ด้านการจัดสรรทรัพยากร ด้านการประสานหน่วยงาน ด้านการยอมรับ อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.84, 2.84, 2.83, 2.80 และ 2.76 ตามลำดับ และด้านการจัดองค์กร อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.34 ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ พบประเด็นต่างๆ สรุปได้ดังนี้ ด้านกระบวนการขับเคลื่อนงาน พบข้อเสนอ 4 ประเด็น คือ 1) ประเด็นการจัดสมัชชาครอบครัวควรมีความสอดคล้องกับ แผนปฏิบัติการด้านครอบครัว สถานการณ์ปัจจุบัน และสถานการณ์ด้านครอบครัว สภาพทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และ บริบทในพื้นที่ 2) ข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวควรมีลักษณะเป็นรูปธรรมที่หน่วยงานดำเนินการ ชุมชน และประชาชน สามารถเข้าใจ และนำไปปฏิบัติ รวมถึงวัดผลได้จริง 3) ควรมีการจัดทำแพลตฟอร์ม/แอพพลิเคชั่นที่ดึงดูดความสนใจให้ ประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น และ 4) ควรมีการสร้างความเข้าใจเกี่ยวประเด็นสมัชชาให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล ก่อนการดำเนินการจัดสมัชชาในจังหวัด ด้านการจัดสรรทรัพยากร พบข้อเสนอ 4 ประเด็น คือ 1) ควรมีแนวทางในการสรรหาทรัพยากร เพื่อสนับสนุน ข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว 2) ควรมีการจัดสรรทรัพยากรบุคคลในการทำงานด้านสมัชชาครอบครัวอย่างเพียงพอและ เหมาะสม 3) ควรมีการจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอและสอดคล้องกับแผนปฏิบัติการตามไตรมาส และ 4) ควรนำแผนงาน/ โครงการ/กิจกรรมที่ได้จากมติสมัชชาครอบครัว ไปสู่การสนับสนุนงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนงานตามแผนงานหรือโครงการ ด้านการมีส่วนร่วม พบข้อเสนอ 2 ประเด็น คือ 1) ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการประชุมสมัชชา ครอบครัวทั้งระดับจังหวัดและระดับชาติ และ 2) การขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือ จากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เพื่อบูรณาการทำงานร่วมกันแบบองค์รวม ด้านการประชาสัมพันธ์ พบข้อเสนอ 1 ประเด็น คือ ควรมีการประชาสัมพันธ์ความสำเร็จของประเด็นสมัชชาที่ ประชาชนเสนอในแต่ละปีที่เห็นเป็นรูปธรรม รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ผลการดำเนินงานตามข้อเสนอของประชาชน ผลการศึกษาแนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ ของกรมกิจการสตรีและ สถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ข้อมูลจากการสัมภาษณ์ 2 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มที่ 1 ผู้กำหนดนโยบายของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ กลุ่มที่ 2 ผู้กำหนดนโยบายของสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด พบว่า ด้านสมรรถนะ บุคลากรเพียงพอต่อการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว ซึ่งกรมกิจการสตรีและสถาบัน ครอบครัว ควรให้ความสำคัญกับบุคลากร โดยการสนับสนุนวิทยากรจากหน่วยงานภายนอก เพื่อสร้างองค์ความรู้และ การถ่ายทอดให้กับผู้ปฏิบัติในการเป็นวิทยากร อีกทั้ง งบประมาณที่กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวดำเนินการจัดสรรให้ ไม่เพียงพอต่อการดำเนินการ เนื่องจากเป็นงบประมาณที่จัดสรรให้ดำเนินการเพียงครั้งเดียว ไม่สามารถต่อยอดสู่การปฏิบัติได้ หากหน่วยงานส่วนกลาง สามารถดำเนินการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอได้จะสามารถดำเนินการขับเคลื่อนได้อย่างมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 186 ด้านการควบคุม กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ขาดกระบวนการการติดตามและประเมินผล เนื่องจาก ไม่มี การสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนนโยบาย ซึ่งควรมีการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาจากพื้นที่ และนำข้อมูลคืนกลับไปยัง พื้นที่ เพื่อใช้ในอนาคตได้ดังนั้น ควรมีแนวทางในการดำเนินการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวที่ชัดเจน พร้อมทั้ง สร้างความเข้าใจให้กับผู้ปฏิบัติงาน เพื่อขยายผลสู่การปฏิบัติได้อย่างครอบคลุม และเพิ่มกระบวนการสะท้อนกลับจากหน่วย ปฏิบัติ ด้านการมีส่วนร่วม ควรเน้นกระบวนการมีส่วนร่วม เนื่องจากเป็นหัวใจหลักของงานสมัชชาครอบครัว อาศัย หลักการ บ้าน วัด โรงเรียน ในการดำเนินการถ่ายทอดและสื่อสาร ในขณะที่การมีส่วนร่วมในกระบวนการติดตามและ ประเมินผลมีการดำเนินการน้อยมาก เนื่องจากปัญหางบประมาณที่มีขีดจำกัด และภารกิจงานประจำที่มีจำนวนมาก ทำให้ ไม่สามารถมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผลได้ ด้านอำนาจและความผูกพันระหว่างองค์กร และด้านการสนับสนุนองค์กร ควรมีการสร้างสัมพันธภาพร่วมกับ เครือข่ายทุกครั้ง เพื่อให้เกิดความร่วมมือซึ่งกันและกัน ซึ่งมีความจำเป็นในการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม โดยผู้ปฏิบัติงานควร ต่อรองกับผู้บริหารของจังหวัด เพื่อวางแผนงบบริหารจัดการของจังหวัด พร้อมทั้งนำเสนอประเด็นครอบครัวที่ส่งผลกระทบต่อ ประชาชนในจังหวัด นอกจากนี้ไม่พบปัญหาด้านการสนับสนุนองค์กร เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากทุกกลุ่ม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ การอธิบายความต้องการ ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเกิดความเข้าใจ สร้างความเป็นเจ้าของนโยบายร่วมกัน และพร้อมขับเคลื่อน งานด้านครอบครัว ยกเว้นนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัด ที่ไม่ได้แสดงบทบาทในการสนับสนุนการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชา ครอบครัวมากพอ ด้านการจัดองค์กร ควรมีการจัดประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวจังหวัด อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เนื่องจากการจัดประชุมเพียงครั้งเดียว ไม่สามารถดำเนินการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวให้มีประสิทธิภาพได้ โดยควรจัดประชุมครั้งที่ 1 เพื่อกำหนดประเด็นในการจัดสมัชชาครอบครัว และจัดประชุมครั้งที่ 2 เพื่อวางแผนการขับเคลื่อน ข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว และหากมีการจัดตั้งคณะทำงานโดยเฉพาะ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ควรมีบทบาท หน้าที่ในการเสริมพลังคณะทำงานให้มีความพร้อม ทั้งนี้ คุณสมบัติของผู้ที่รับผิดชอบงานสมัชชาครอบครัวจังหวัด ประกอบด้วย สามารถวิเคราะห์งานครอบครัวแบบมีองค์รวม มีความเข้าใจกระบวนงานสมัชชาครอบครัวอย่างชัดเจน มีทักษะ การประสานงานและการสื่อสารที่ดี รวมทั้งสามารถทำงานเป็นทีมได้ ด้านการยอมรับ ผู้ปฏิบัติงานควรมีความเข้าใจกระบวนงานสมัชชาครอบครัว เข้าใจบริบทของพื้นที่ เข้าใจ ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และเข้าถึงสิ่งเหล่านั้น พร้อมทั้งถ่ายทอด สื่อสารให้ชัดเจน โดยกรมกิจการสตรีและสถาบัน ครอบครัว ควรออกแบบกระบวนการดำเนินงานหรือแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนให้กับพื้นที่ เพื่อให้บุคลากรสามารถเข้าใจ แนวทางและบริบทแบบมีองค์รวม มองเป้าหมายได้อย่างชัดเจน โดยวิเคราะห์จากสภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ พร้อมทั้ง อาศัยความร่วมมือกับผู้บริหารของจังหวัด เพื่อให้เกิดการยอมรับมากยิ่งขึ้น ด้านการประสานหน่วยงาน และด้านการจัดสรรทรัพยากร เสนอแนะให้สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 11 แห่ง ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นอีกหนึ่งกลไกในการสนับสนุนการดำเนินงานขับเคลื่อน ข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจงานด้านวิชาการ สามารถสนับสนุนประเด็นการสื่อสารและ สร้างความเข้าใจกับผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ได้ซึ่งผู้ปฏิบัติงานมีความจำเป็นในการสร้างสัมพันธภาพร่วมกันกับเครือข่าย เพื่อให้ เกิดการทำงานที่ง่ายขึ้น สามารถพึ่งพิงซึ่งกันและกันได้และควรให้ตัวแทนครอบครัว เข้ามามีบทบาทในการพิจารณาข้อเสนอ มติสมัชชาครอบครัว ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมด้วย สำหรับการจัดสรรทรัพยากร ควรมี การจัดสรรทรัพยากรตามความจำเป็นของแต่ละพื้นที่ บุคลากร ขนาดของจังหวัด และปัญหาทางสังคมของแต่ละจังหวัด ผ่านการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในระดับจังหวัดในประเด็นเรื่องการดำเนินงานด้านครอบครัว เพื่อสามารถนำไปขยายผลสู่การปฏิบัติได้ทั้งนี้ ไม่พบปัญหาการแทรกแซงงบประมาณ แต่ผู้ปฏิบัติงานควรแสวงหางบประมาณ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 187 จากแหล่งต่างๆเช่น งบประมาณกองทุนสวัสดิการสังคม กองทุนเด็ก กองทุนผู้สูงอายุ เป็นต้น พร้อมทั้งเจรจาต่อรองให้หน่วยงาน เหล่านั้นเห็นความสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบาย ด้านการดำเนินการ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ควรออกแบบกระบวนการขับเคลื่อนที่ชัดเจน และเข้าใจ ง่าย พร้อมทั้งกำหนดบทบาทของกลไกในแต่ละระดับ และเลือกประเด็นที่มีความน่าสนใจ 1-2 ประเด็น โดยวิเคราะห์จาก สถานการณ์ทางสังคม หรือแผนปฏิบัติการด้านครอบครัว พร้อมทั้งกำหนดพื้นที่ที่ชัดเจนและให้ความสำคัญกับผู้ปฏิบัติงาน เนื่องจากผู้ปฏิบัติงานจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง โดยเน้นความพร้อมด้านความรู้และงบประมาณ ด้านการสร้างความต่อเนื่อง กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ควรจัดทำแผนการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชา ครอบครัวเป็นรายปี เพื่อช่วยกำกับและติดตามให้เกิดความต่อเนื่อง โดยจัดทำแผนในระยะ 3 ปี หรือ 5 ปีพร้อมทั้งเสนอแนะ แนวทางในการพัฒนาองค์กร ประกอบด้วย เน้นระบบการทำงานเป็นทีมและการสื่อสารที่มีคุณภาพ การให้ความสำคัญกับงาน และรู้สึกเป็นเจ้าของนโยบายร่วมกัน การทำกิจกรรมร่วมกัน การเติมเต็มความรู้อย่างสม่ำเสมอ การจัดการความรู้ภายใน หน่วยงาน และการแลกเปลี่ยนประเด็นการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวระหว่างจังหวัด การอภิปรายผลการศึกษา จากผลการศึกษา ผู้ศึกษาพบประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้ ด้านสมรรถนะ พบว่า มีปัญหาและอุปสรรคมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.38 อยู่ในระดับน้อย เนื่องจาก ความสำเร็จของการนำนโยบายไปปฏิบัติของหน่วยงาน ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่รับผิดชอบในการนำนโยบายไปปฏิบัติ มีความสามารถในการดำเนินการด้านสมรรถนะ ตั้งแต่ปัจจัยด้านบุคลากร ด้านงบประมาณ ด้านวัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนด้าน วิชาการ หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว เพื่อให้การดำเนินงานสำเร็จเป็นไปตาม เป้าหมาย ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาเชิงปริมาณ ที่พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีปัญหาเกี่ยวกับความเพียงพอของงบประมาณต่อ การขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวมากที่สุด จำนวน 29 คน คิดเป็นร้อยละ 37.7 รวมทั้งสอดคล้องกับ จิตราภรณ์ ศรีลาฤทธิ์ (2561) ที่กล่าวว่า สมรรถนะตามโครงสร้างองค์กร มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนงานในกิจกรรมต่างๆ ดังนั้น ความสำเร็จของการนำนโยบายไปปฏิบัติขึ้นอยู่กับขีดความสามารถที่จะปฏิบัติงาน โดยอาศัยโครงสร้างขององค์การที่เหมาะสม บุคลากรที่อยู่ในองค์การจะต้องมีความรู้ความสามารถในด้านการบริหารและด้านเทคนิคอย่างเพียงพอ รวมทั้งมีความพร้อม ด้านวัสดุอุปกรณ์ สถานที่ เครื่องมือเครื่องใช้ และงบประมาณ และ ศิริพงษ์ ลดาวัลย์ อยุธยา (2542) ที่กล่าวว่าความสำเร็จ ของการนำนโยบายไปปฏิบัติ ไม่ว่านโยบายนั้นจะเป็นประเภทใดก็ตาม ส่วนหนึ่งย่อมขึ้นอยู่กับว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบใน การนำนโยบายไปปฏิบัติมีความสามารถในการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของนโยบายนั้นได้ระดับไหน ดังนั้นปัญหา ทางด้านสมรรถนะ เป็นปัญหาที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยย่อยอีกหลายๆ ประการ นับตั้งแต่ปัจจัยทางด้านบุคลากร ปัจจัยทางด้าน เงินทุน ปัจจัยทางด้านวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนด้านวิชาการ หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับนโยบายนั้น สรุปได้ว่า สมรรถนะขององค์กร หากมีความพร้อมในด้านบุคลากร งบประมาณ สถานที่ วัสดุอุปกรณ์ ตลอดจนนักวิชาการที่ให้ องค์ความรู้ต่างๆ จะส่งผลให้การขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวไปสู่การปฏิบัติได้ ถึงแม้ว่างบประมาณจะเป็นอีกหนึ่ง ปัจจัยหลักที่บุคลากรในองค์กรไม่สามารถจัดการได้ก็ตาม จากข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของผู้ให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ผู้วิจัยสามารถสรุปด้านสมรรถนะได้ดังนี้ คือ บุคลากรเพียงพอ ต่อการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว และได้รับการสนับสนุนวิทยากรที่มีองค์ความรู้ด้านครอบครัว สำหรับ งบประมาณที่กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวดำเนินการจัดสรรให้ไม่เพียงพอ เนื่องจากเป็นงบประมาณ ที่จัดสรรให้ ดำเนินการเพียงครั้งเดียว ไม่สามารถต่อยอดสู่การปฏิบัติได้ควรขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากหน่วยงานอื่นเพิ่มเติม หรือ แหล่งกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนสวัสดิการสังคม กองทุนเด็ก กองทุนผู้สูงอายุ เป็นต้น สอดคล้องกับ กฤษณ์ รักชาติเจริญ และคณะ (2559) ที่กล่าวว่า งบประมาณและแรงจูงใจ เป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้องค์กรประสบผลสำเร็จ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 188 โดยงบประมาณ มีความสำคัญเพราะเป็นตัวชี้วัดความสามารถขององค์กร เพื่อช่วยให้การนำนโยบายไปปฏิบัติบรรลุผล และ มีงบประมาณสนับสนุนอย่างเพียงพอ รวมทั้งสอดคล้องกับ ศิริพงษ์ ลดาวัลย์ อยุธยา (2542) ที่กล่าวว่า หากหน่วยงานที่ รับผิดชอบในการนำนโยบายไปปฏิบัติถูกจำกัดโดยเงื่อนไขของการใช้เงินทุน ซึ่งข้อจำกัดในการใช้เงินทุนมีมาก หรือมีระเบียบ ข้อบังคับไว้มากจนขาดความยืดหยุ่น จะเป็นการบั่นทอนสมรรถนะของหน่วยปฏิบัติมากขึ้นเท่านั้น ด้านการมีส่วนร่วม พบว่า มีปัญหาและอุปสรรคน้อยที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.21 อยู่ในระดับน้อย เนื่องจาก หน่วยงานและบุคลากรให้ความร่วมมือและมีส่วนร่วม ตั้งแต่กระบวนการแรก ตลอดจนกระบวนการสุดท้ายของการขับเคลื่อน นโยบายด้านครอบครัว ประกอบด้วย การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การปฏิบัติการ การขับเคลื่อนนโยบายด้านครอบครัว และ การติดตามและประเมินผล ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาเชิงปริมาณ ที่พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีปัญหาเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมใน การติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวมากที่สุด จำนวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 9.1 รวมทั้ง สอดคล้องกับ กฤษณ์ รักชาติเจริญ และคณะ (2559) ที่กล่าวว่าองค์กรที่เน้นการมีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรฐาน จะทำให้ เกิดประสิทธิผลในการนำนโยบายไปปฏิบัติ เช่น มีส่วนร่วมกำหนดวัตถุประสงค์ ดำเนินกิจกรรม ร่วมติดตามและควบคุม และ สอดคล้องกับ Huntington & Nelson (1975) ที่กล่าวว่า ลักษณะของการมีส่วนร่วมของประชาชนจะมีการพิจารณาจาก กิจกรรม และการบริหาร ซึ่งจะต้องมีการศึกษาควบคู่กันไป ในระดับกิจกรรมนั้น จะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นของการทำให้ ประชาชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมได้มากที่สุด ส่วนในด้านการบริหารนั้น จะเป็นลักษณะของผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ที่จะ เปิดทางให้ประชาชนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น หรือแสดงออกถึงการเข้าร่วมในกิจกรรม จากข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของผู้ให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ผู้วิจัยสามารถสรุปด้านการมีส่วนร่วมได้ดังนี้ คือ ควรเน้น กระบวนการมีส่วนร่วมให้มากที่สุด เนื่องจากเป็นหัวใจหลักของสมัชชาครอบครัว ซึ่งอาศัยหลักการ บ้าน วัด โรงเรียนใน การดำเนินการถ่ายทอดและสื่อสาร นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมในกระบวนการติดตามและประเมินผลมีการดำเนินการน้อยมาก เนื่องจากปัญหางบประมาณที่มีขีดจำกัด และภารกิจงานประจำที่มีจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถมีส่วนร่วมในการติดตามและ ประเมินผลได้ซึ่งสอดคล้องกับ Cohen and Uphoff (1981) ที่กล่าวว่า การมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผล ซึ่งเป็น การมีส่วนร่วมในการควบคุม ตรวจสอบ และการดำเนินการกิจกรรมทั้งหมด สิ่งที่สำคัญที่จะต้องสังเกต คือ พิจารณาจาก ความเห็นชอบและความคาดหวังที่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลในกลุ่มต่างๆ ได้ ด้านการดำเนินการ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.84 อยู่ในระดับมาก เนื่องจากหน่วยปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อน นโยบายด้านครอบครัว จะต้องนำนโยบายจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ มาปฏิบัติในแต่ละพื้นที่ให้เกิดความเหมาะสม สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ และสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นใน พื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาเชิงปริมาณ ที่พบว่ากลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว จำเป็นต้องเข้าใจถึงสถานะของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของพื้นที่มากที่สุด จำนวน 67 คน คิดเป็นร้อยละ 87.0 รวมทั้งสอดคล้องกับ วันทนีย์ วิวรรธน์ภาสกร (2550) ที่กล่าวว่า กระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติในระดับจุลภาค โดยนโยบายจะถูกกำหนดจากส่วนกลาง เพื่อให้ภูมิภาคนำไปปฏิบัติในสภาพแวดล้อมของแต่ละภูมิภาค ซึ่งมีความแตกต่างกัน โดยหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องในระดับจุลภาคต้องเป็นผู้ตัดสินใจ และสอดคล้องกับ จุมพล หนิมพานิช (2549) ที่กล่าวว่า เมื่อมีการยอมรับหลังจากมีการระดมพลัง ก็จะดำเนินการปฏิบัติจริง สร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้น โดยแสวงหาวิธีการในการปรับ แผนปฏิบัติงาน เพื่อดำเนินการปรับแผน แผนงาน โครงการ ให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่น อีกทั้ง ท้องถิ่น เองก็ต้องมีวิธีการแสวงหาวิธีการ เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนให้มีความเหมาะสมกับแผนงานหรือโครงการนั้นๆ ได้ จากข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของผู้ให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ผู้วิจัยสามารถสรุปด้านการดำเนินการได้ดังนี้ คือ กรมกิจการ สตรีและสถาบันครอบครัว ควรออกแบบกระบวนการขับเคลื่อนที่ชัดเจน และเข้าใจง่าย พร้อมทั้งกำหนดบทบาทของกลไก แต่ละระดับ เลือกประเด็นที่มีความน่าสนใจ 1-2 ประเด็น โดยวิเคราะห์จากสถานการณ์ทางสังคม หรือแผนปฏิบัติการด้าน ครอบครัว สามารถกำหนดพื้นที่ที่ชัดเจนได้ โดยให้ความสำคัญกับผู้ปฏิบัติงาน เนื่องจากผู้ปฏิบัติงานจะเป็นผู้นำ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 189 การเปลี่ยนแปลง เน้นความพร้อมด้านความรู้และงบประมาณ ซึ่งสอดคล้องกับ จิตราภรณ์ ศรีลาฤทธิ์ (2561) ที่กล่าวว่า ขั้นตอนการปฏิบัติ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ปฏิบัติโดยตรง ซึ่งอาจดำเนินการตัดสินใจ หรือกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานขึ้น โดยพฤติกรรมในการตัดสินใจของผู้ปฏิบัติในระดับภูมิภาค จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ปฏิบัติแต่ละบุคคล โดยนโยบาย ด้านการบริการสังคม ผู้ปฏิบัติจะต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้รับบริการโดยตรง ดังนั้น การสร้างความสำเร็จของการปฏิบัติให้เกิดขึ้น จึงขึ้นอยู่กับการแสวงหาแนวทางในการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้รับบริการ หรือสภาพแวดล้อมในแต่ละ พื้นที่ รวมทั้งสอดคล้องกับ ฆนิศา งานสถิร (2553) ที่กล่าวว่า ขั้นตอนการปฏิบัติ เป็นการแสวงหาวิธีการในการปรับแผน การปฏิบัติงานของหน่วยงาน ทั้งนี้อาจเป็นการปรับพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงานให้เข้ากับแผนและโครงการ หรือการปรับแผน และโครงการให้เข้ากับพฤติกรรมการปฏิบัติงานของสมาชิกในหน่วยงาน ด้านการสร้างความต่อเนื่อง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.84 อยู่ในระดับมาก เนื่องจากหน่วยงานที่ดำเนินการขับเคลื่อน นโยบายด้านครอบครัว ควรแสวงหาวิธีการ เพื่อให้เกิดการยอมรับในนโยบายด้านครอบครัว โดยผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียหรือผู้ที่ ได้รับผลประโยชน์ ทั้งนี้ ผู้บริหารควรมีการชักจูงให้ผู้ที่ปฏิบัติงานเล็งเห็นถึงความสำคัญของนโยบายที่กำหนดขึ้น นอกจากนี้ ผู้ปฏิบัติงานควรมีความพร้อมและเต็มใจในการปฏิบัติตามนโยบายด้วย เพื่อทำให้กระบวนการในการขับเคลื่อนนโยบาย ด้านครอบครัวเกิดผลสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาเชิงปริมาณ ที่พบว่ากลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยให้ผู้บริหารใน ระดับภูมิภาคจะต้องพัฒนาองค์กร เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดการยอมรับและผูกพันในนโยบายตามข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว มากที่สุด จำนวน 66 คน คิดเป็นร้อยละ 85.7 รวมทั้งสอดคล้องกับ จุมพล หนิมพานิช (2549) ที่กล่าวว่าการสร้างความเป็น ปึกแผ่น โดยผู้ที่รับผิดชอบงานในส่วนกลาง จะต้องดำเนินการมอบหมายหรือฝากฝังให้ผู้บริหารในระดับท้องถิ่น หรือ ผู้ที่ปฏิบัติงานในระดับท้องถิ่น โดยผู้บริหารจะต้องมีการชักจูงให้ผู้ที่ปฏิบัติงานเล็งเห็นถึงความสำคัญของนโยบายที่กำหนดขึ้น นอกจากนี้ผู้ปฏิบัติงานจะต้องมีความพร้อมและเต็มใจในการปฏิบัติตามนโยบาย และสอดคล้องกับ วันทนีย์ วิวรรธน์ภาสกร (2550) ที่กล่าวว่า การสร้างความต่อเนื่อง จะเป็นผลพลอยได้จากขั้นตอนการปฏิบัติ เพราะความสำเร็จของการเกิดนโยบาย จะต้องเกิดจากการนำไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่องโดยผู้ปฏิบัติ จากข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของผู้ให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ผู้วิจัยสามารถสรุปด้านการดำเนินการได้ดังนี้ คือ กรมกิจการ สตรีและสถาบันครอบครัว ควรจัดทำแผนการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวเป็นรายปีเพื่อช่วยกำกับและติดตามให้ เกิดความต่อเนื่อง โดยจัดทำแผนในระยะ 3 ปี หรือ 5 ปี พร้อมทั้งพัฒนาองค์กร เช่น ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและ การสื่อสาร การให้ความสำคัญกับงานและรู้สึกเป็นเจ้าของนโยบายร่วมกัน การเติมเต็มความรู้อย่างสม่ำเสมอ การจัดการ ความรู้ภายในหน่วยงาน และการแลกเปลี่ยนประเด็นการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวระหว่างจังหวัด ซึ่งสอดคล้อง กับ ฆนิศา งานสถิร (2553) ที่กล่าวว่า ผู้บริหารในระดับภูมิภาคจะต้องพัฒนาองค์กร สร้างแรงจูงใจในการมีส่วนร่วม เพื่อให้ ผู้ปฏิบัติงานเกิดการยอมรับ และรู้สึกผูกพันในนโยบาย พร้อมทั้งมีความพร้อมและเต็มใจในการปฏิบัติตามนโยบาย รวมทั้ง สอดคล้องกับ Robert and Frank (1980) ที่กล่าวว่า การสร้างความเป็นปึกแผ่นหรือความต่อเนื่อง ครอบคลุมถึงการแสวงหา วิธีการที่จะทำให้นโยบายนั้นถูกปรับเปลี่ยนและได้รับการยอมรับเป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติ โดยขั้นตอนนี้เป็นการหาทางทำให้ นโยบายนั้นได้รับการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ด้านการจัดองค์กร มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.34 อยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ขาดความชัดเจนของเป้าหมายและแผนงาน โดยคำนึงถึงองค์ประกอบเรื่องการจัดรูปแบบขององค์กร กลไกของหน่วยงาน หรือกลไกในรูปแบบคณะกรรมการในการขับเคลื่อนนโยบายด้านครอบครัว ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาเชิงปริมาณ ที่พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นให้ควรมีการจัดประชุมสมัชชาครอบครัวระดับจังหวัด เพื่อระดมความคิดเห็นในการส่งเสริมและ พัฒนาสถาบันครอบครัว อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง จำนวน 56 คน คิดเป็นร้อยละ 72.7 โดยถือเป็นประเด็นที่กลุ่มตัวอย่าง ตัวอย่างมีความคิดเห็นน้อยที่สุดกว่าทุกด้าน รวมทั้งสอดคล้องกับ ฆนิศา งานสถิร (2553) ที่กล่าวว่า การดำเนินการแปลง นโยบายของหน่วยงานที่รับผิดชอบ จะต้องคำนึงถึงการจัดรูปแบบองค์กร ในลักษณะของกลไกต่างๆ การดำเนินการแปลง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 190 เป้าหมาย เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ รวมทั้งการประสานหน่วยงาน และการจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้บรรลุผลของนโยบาย และ สอดคล้องกับ จุมพล หนิมพานิช (2549) ที่กล่าวว่า การจัดรูปแบบองค์กรโดยกลไกแบบคณะกรรมการ เป็นรูปแบบที่กลไกมี อำนาจหน้าที่อยู่ที่กลุ่มเฉพาะกลุ่มหนึ่งมากกว่าผู้บังคับบัญชา ซึ่งจำนวนคณะกรรมการ อาจขึ้นอยู่กับว่านโยบายนั้นๆ มีความ เกี่ยวข้องกับหน่วยงานใดบ้าง ผู้ที่เป็นคณะกรรมการจะอยู่ในระดับใด ทั้งนี้อาจมีการจัดตั้งอนุกรรมการ คณะทำงานขึ้นมา อีกด้วย จากข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของผู้ให้สัมภาษณ์ดังกล่าว ผู้วิจัยสามารถสรุปด้านการจัดองค์กรได้ดังนี้ คือ ควรมีการจัด ประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวจังหวัด อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เนื่องจากการจัดประชุมเพียงครั้งเดียว ไม่สามารถดำเนินการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวให้มีประสิทธิภาพได้ โดยควรจัดประชุมครั้งที่ 1 เพื่อกำหนด ประเด็นในการจัดสมัชชาครอบครัว และจัดประชุมครั้งที่ 2 เพื่อวางแผนการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว และหากมี การจัดตั้งคณะทำงานโดยเฉพาะ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ควรมีบทบาทหน้าที่ในการเสริมพลังคณะทำงานให้มี ความพร้อม ทั้งนี้ คุณสมบัติของผู้ที่รับผิดชอบงานสมัชชาครอบครัวจังหวัด ประกอบด้วย สามารถวิเคราะห์งานครอบครัวแบบ มีองค์รวม มีความเข้าใจกระบวนงานสมัชชาครอบครัวอย่างชัดเจน มีทักษะการประสานงานและการสื่อสารที่ดี และสามารถ ทำงานเป็นทีมได้ซึ่งสอดคล้องกับ กฤษณ์ รักชาติเจริญ และ คณะ (2559) ที่กล่าวว่า การนำนโยบายไปปฏิบัติให้เกิดผลสำเร็จ องค์กรจะต้องมีความกระตือรือร้น บุคลากรผู้ร่วมปฏิบัติงานต้องมีจำนวนเพียงพอและมีคุณภาพที่เหมาะสม มีการดำเนินงาน ภายใต้การบังคับบัญชาที่ชัดเจน สมาชิกในองค์กรมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน รวมทั้งสอดคล้องกับ ถวัลย์รัฐ วรเทพพุฒิพงษ์ (2546) ที่กล่าวว่า ความสำเร็จของการนำนโยบายไปปฏิบัติ จะขึ้นอยู่กับองค์กรที่รับผิดชอบในการนำนโยบายไปปฏิบัติว่ามีขีด ความสามารถที่จะปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับความคาดหวังเพียงใด นโยบายที่จะประสบความสำเร็จได้จึงมีความจำเป็นที่ จะต้องอาศัยโครงสร้างขององค์กรที่เหมาะสม บุคลากรในองค์กรจะต้องมีความพร้อมเป็นอย่างดี สรุป การศึกษาเรื่อง “แนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ ของกรมกิจการสตรี และสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” มีวัตถุประสงค์2 ประการ คือ เพื่อศึกษาปัญหา และอุปสรรคของการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์และเพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวของ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์โดยใช้เครื่องมือ จำนวน 2 ชุด ประกอบด้วย แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากบุคลากร และเสนอผลการศึกษาด้วย การพรรณนาประกอบตาราง และข้อมูลเชิงอนุมาน โดยการประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูปสำหรับ การวิจัยทางสังคม จากผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้ ประชากรที่ศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 64 คน คิดเป็นร้อยละ 83.1 และเป็นเพศชาย จำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 16.9 ส่วนประสบการณ์การประชุม/อบรม/สัมมนา พบว่า มีประสบการณ์การประชุมสมัชชาครอบครัวระดับ จังหวัดมากที่สุด จำนวน 58 คน คิดเป็นร้อยละ 28.0 รองลงมามีประสบการณ์การประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมและ พัฒนาครอบครัวจังหวัด จำนวน 54 คน คิดเป็นร้อยละ 26.1 รองลงมามีประสบการณ์การประชุมชี้แจงแนวทางการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับ สนง.พมจ. จำนวน 49 คน คิดเป็นร้อยละ 23.7 และมีประสบการณ์การประชุมสมัชชา ครอบครัวระดับชาติน้อยที่สุด จำนวน 46 คน คิดเป็นร้อยละ 22.2 และผู้ให้สัมภาษณ์ จำนวน 5 คน ประกอบด้วยผู้กำหนด นโยบายของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด รวมทั้งสิ้น 82 คน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 191 ปัญหาและอุปสรรคของการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ ของกรมกิจการสตรีและสถาบัน ครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปัญหาและอุปสรรคของการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ ของกรมกิจการสตรีและสถาบัน ครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประกอบด้วย 5 ด้าน ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่กีดขวางความสำเร็จ ของการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ ให้เกิดผลในทางปฏิบัติโดยปัญหาและอุปสรรคอยู่ในระดับน้อย ทั้งนี้ มีปัญหาและอุปสรรค ด้านสมรรถนะ มากที่สุด รองลงมาด้านการสนับสนุนองค์กร ด้านการควบคุม ด้านอำนาจและความผูกพันระหว่างองค์กร และ ด้านการมีส่วนร่วม ตามลำดับ ซึ่งผู้วิจัยได้ตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีปัญหาและอุปสรรคด้านสมรรถนะอยู่ในระดับ มากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 1.38) เนื่องจากการปฏิบัติงานขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวในระดับพื้นที่ ไม่มีงบประมาณ เพียงพอต่อการขับเคลื่อน ซึ่งมีสาเหตุจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ไม่มีการจัดสรรงบประมาณในการขับเคลื่อน ข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว ส่งผลให้เกิดอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนงานในระดับพื้นที่ และไม่สามารถนำนโยบายไปสู่ การปฏิบัติได้ดังนั้น กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ควรจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ เพื่อให้การขับเคลื่อนข้อเสนอ มติสมัชชาครอบครัวมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่มีปัญหาและอุปสรรคด้านการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับน้อยที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 0.21) เนื่องจาก ผู้ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่มีกระบวนการการมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการตัดสินใจ กระบวนการวางแผนบริหาร จัดการ และกระบวนการติดตามและประเมินที่ถือว่ามีส่วนร่วมน้อยที่สุด เนื่องจากปัญหางบประมาณที่มีขีดจำกัด และภารกิจ งานประจำที่มีจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถมีส่วนร่วมในการติดตามและประเมินผลได้ทั้งนี้ ผู้ปฏิบัติงานควรอาศัย ความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายต่างๆ ในการดำเนินงาน พร้อมทั้งสร้างสัมพันธภาพกับเครือข่ายและบุคลากรภายในองค์กร ทุกครั้ง เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวร่วมกับเครือข่ายได้ และเกิดความร่วมมือซึ่งกันและกัน แนวทางการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ การปฏิบัติงานตามแนวทางการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ ของกรมกิจการสตรีและสถาบัน ครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประกอบด้วย 6 ด้าน ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานของ ผู้ปฏิบัติงานที่รับผิดชอบงานสมัชชาครอบครัวระดับจังหวัดของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ ด้านการดำเนินการ และด้านการสร้างความต่อเนื่อง มีระดับความคิดเห็นมากที่สุด รองลงมาด้านการจัดสรรทรัพยากร ด้าน การประสานหน่วยงาน และด้านการยอมรับ ตามลำดับ ในขณะที่ด้านการจัดองค์กร มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งผู้วิจัยได้ตั้งข้อสังเกตว่า กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นต่อด้านการดำเนินการ และด้านการสร้างความต่อเนื่อง อยู่ในระดับ มากที่สุด (ค่าเฉลี่ย = 2.84) เนื่องจาก ผู้ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่มีความต้องการให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เข้าใจสถานะของหน่วยงานในมิติต่างๆ ของพื้นที่ และสามารถปรับแผนงานให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของ กลุ่มเป้าหมายและสถานการณ์ด้านครอบครัวในแต่ละพื้นที่ได้พร้อมกับสร้างปฏิสัมพันธ์กับเครือข่ายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วย ให้กระบวนการขับเคลื่อนสามารถตอบสนองต่อนโยบายในการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว ส่วนการสร้าง ความต่อเนื่อง ผู้ปฏิบัติงานมีความต้องการให้ผู้บริหารในหน่วยงานพัฒนาองค์กร และพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้มี ความพร้อมในการดำเนินงาน รวมทั้งสร้างแรงจูงใจในการมีส่วนร่วม เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดการยอมรับในนโยบาย เช่น ส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการสื่อสาร การให้ความสำคัญกับงานและรู้สึกเป็นเจ้าของนโยบายร่วมกัน การเติมเต็มความรู้ อย่างสม่ำเสมอ การจัดการความรู้ภายในหน่วยงาน และการแลกเปลี่ยนประเด็นการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว ระหว่างจังหวัด


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 192 ข้อเสนอแนะ การศึกษาเรื่อง “แนวทางการพัฒนาการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติของกรมกิจการสตรี และสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์” พบข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาการ ขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ ของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ใน 2 ระดับ ดังนี้ ข้อเสนอระดับนโยบาย คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ครอบครัวแห่งชาติ (กยค.) ดำเนินการปรับปรุงและแก้ไขแนวทางการจัด ประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวจังหวัดโดยกำหนดให้มีการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนา ครอบครัวจังหวัด อย่างน้อยปีละ 3 ครั้ง โดยการประชุมครั้งที่ 1 กำหนดให้ฝ่ายเลขานุการนำเรื่องประเด็นและรูปแบบ การจัดประชุมสมัชชาครอบครัวระดับจังหวัดเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณา การประชุมครั้งที่ 2 กำหนดให้ฝ่ายเลขานุการนำเรื่อง แผนการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวระดับจังหวัดเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณา และการประชุมครั้งที่ 3 กำหนดให้ ฝ่ายเลขานุการรายงานผลการติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว พร้อมทั้งรายงาน ผล การจัดสมัชชาครอบครัวระดับจังหวัดให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวทราบทุกปี ควรจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ ต่อกระบวนการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัว โดยให้มีความสอดคล้อง กับแผนปฏิบัติการตามไตรมาส ส่งเสริมให้มีการพัฒนากลไกในระดับพื้นที่ โดยเสนอให้สำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 11 แห่ง มีบทบาทใน การส่งเสริม สนับสนุน การดำเนินงานสมัชชาครอบครัวให้กับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินการจัดประชุม ชี้แจงและถ่ายทอดนโยบายด้านครอบครัวแก่ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ของทุกปี เพื่อให้รับทราบ นโยบายได้อย่างเข้าใจและทั่วถึง โดยผู้กำหนดนโยบายของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว จะต้องมีแนวทางปฏิบัติที่ ชัดเจน สามารถสื่อสารและนำไปปฏิบัติได้จริง และคำนึงถึงสภาวะของหน่วยงานในระดับพื้นที่ได้ ควรเพิ่มการประชาสัมพันธ์ความสำเร็จของประเด็นสมัชชาครอบครัวที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเสนอ พร้อมทั้งรายงานผล การขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวในปีที่ผ่านมาให้ผู้มีส่วนส่วนเสียรับทราบ ควรเปิดโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานมีส่วนร่วมในการวางแผนกับผู้บริหาร เพื่อสร้างความตระหนัก และความเข้าใจระหว่าง ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน เพื่อนำไปสู่แนวทางในการดำเนินงานต่อไป เสนอให้มีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในระดับจังหวัดในประเด็นเรื่องการดำเนินงาน ด้านครอบครัว ข้อเสนอระดับปฏิบัติ จัดทำคู่มือกระบวนงานสมัชชาครอบครัว เพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนข้อเสนอมติสมัชชาครอบครัวสู่การปฏิบัติ เพื่อให้กระบวนงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ควรบริหารจัดการมอบหมายงาน ทั้งปริมาณงานและภารกิจงานให้มีความเหมาะสมกับบุคลากร เพื่อให้บุคลากร สามารถทำงานได้รับมอบหมายสำเร็จ และจัดสรรเวลาในการขับเคลื่อนนโยบายด้านครอบครัวได้ จัดกิจกรรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมและพัฒนากระบวนการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์นโยบาย ด้านครอบครัว ควรมีการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นสมัชชาครอบครัวให้กับผู้ปฏิบัติในพื้นที่ พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลและ ตัวอย่างที่ดี ก่อนดำเนินการจัดประชุมสมัชชาครอบครัวระดับจังหวัด


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 193 ส่งเสริมให้ผู้ปฏิบัติงาน ดำเนินการนิเทศงานในพื้นที่ เพื่อติดตามและให้คำแนะนำสำหรับผู้ปฏิบัติงานในท้องถิ่น (ศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน) เอกสารอ้างอิง กมลาภรณ์ แจ่มกระจ่าง. (2557). กระบวนการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำ กรณีศึกษาชุมชนคลองรังสิต ตำบลบึงชำอ้อ อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี. กรุงเทพฯ: สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว. (2563). แผนปฏิบัติการด้านครอบครัว พ.ศ. 2563-2565. กรุงเทพฯ: ผู้แต่ง. กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว. (2565). เอกสารหลักการประชุมสมัชชาครอบครัวระดับชาติ ประจำปี 2565. กรุงเทพฯ: ผู้แต่ง. กฤษณ์ รักชาติเจริญ, ดำรงศักดิ์ จันโททัย, จันทนา อินทฉิม และเมทิณี แสงกระจ่าง. (2559). ปัจจัยชี้วัดความสำเร็จใน การขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติสู่การปฏิบัติ. BU Academic Review, 15(2), 1-16. กฤษณ์ รักชาติเจริญ และภัทร์ พลอยแหวน. (2560). ปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จและปัจจัยสภาพปัญหา อุปสรรค และ ข้อจำกัดของการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ ของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ. MFU CONNEXION, 6(1), 142-161. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2543). การจัดการเครือข่าย: กลยุทธ์สำคัญสู่ความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษา. กรุงเทพฯ: สถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา. โกวิทย์ พวงงาม. (2545). การปกครองท้องถิ่นไทย หลักการและมิติใหม่ในอนาคต.กรุงเทพฯ:สำนักพิมพ์วิญญูชน. ฆนิศา งานสถิร. (2553). กระบวนการนำนโยบายคืนคนดีสู่สังคมไปสู่การปฏิบัติของกรมราชทัณฑ์: การเตรียมความพร้อม ผู้ต้องขังก่อนปล่อย. วิทยานิพนธ์สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. จิตราภรณ์ ศรีลาฤทธิ์. (2561). การนำนโยบายการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของกระทรวงมหาดไทยไปปฏิบัติ: การแก้ไขปัญหาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายไปปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: คณะรัฐศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. จินดารัตน์ โพธิ์นอก. (2558). การนำนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพไปปฏิบัติ กรณีธรรมนูญสุขภาพเฉพาะพื้นที่. กรุงเทพฯ: คณะรัฐศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. จุมพล หนิมพานิช. (2549). การวิเคราะห์นโยบาย: ขอบข่าย แนวคิด ทฤษฎี และกรณีตัวอย่าง. นนทบุรี: สำนักวิชาการ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ชรัส ปุณณัสสะ. (2553). ความสำเร็จในการนำนโยบายธรรมาภิบาลไปปฏิบัติของเทศบาลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต, สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์. ณัฐธิดา ชมชายผล. (2558). การขับเคลื่อนนโยบายการป้องกันยาเสพติดการจัดระเบียบสังคมรอบสถานศึกษา ระดับอุดมศึกษา กรณีศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต จังหวัดปทุมธานี. กรุงเทพฯ: คณะรัฐศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. นรีวรรณ เทพสุขดี. (2557). ปัญหาของการนำนโยบายการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท ไปสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: คณะรัฐศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. นฤมล นิราทร. (2543). การสร้างเครือข่ายการทำงาน: ข้อควรพิจารณาบางประการ. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ประเสริฐ เล็กสรรเสริญ และ ประภาเพ็ญ สุวรรณ. (2560). การพัฒนารูปแบบการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพของ สมัชชาสุขภาพ จังหวัดนนทบุรี. Veridian E-Journal Silapakorn University, 10(3), 2205-2220.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 194 ปิยะนันท์ ทรงสุนทรวัฒน์. (2559). บทบาทของสภาเด็กและเยาวชนในการขับเคลื่อนกิจกรรม เทศบาลนครนครราชสีมา. กรุงเทพฯ: คณะรัฐศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. พระดาวเหนือ บุตรสีทา. (2557). การสร้างเครือข่ายและการจัดการเครือข่ายในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาของชุมชน บ้านพบธรรมนำสุข อำเภอทุ่งเสลี่ยม จังหวัดสุโขทัย. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) และคณะ. (2556). การพัฒนาระบบการบริหารจัดการและการสร้างเครือข่ายองค์กร พระพุทธศาสนาในประเทศไทย. นนทบุรี: ดีไซน์ดีไลท์ จำกัด. เพ็ญจันทร์ เลิศรัตน์. (2551). การพยาบาลผู้สูงอายุ: การบูรณาการครอบครัวในการดูแลผู้สูงอายุ. ขอนแก่น: คณะพยาบาลศาสตร์, มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ไพบูรณ์ วัฒนศิริธรรม และ พรรณทิพย์ เพชรมาก. (2551). การบริหารสังคมศาสตร์แห่งศตวรรษ เพื่อสังคมไทยและสังคมโลก. กรุงเทพฯ: สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน. ไพรัตน์ เตชะรินทร์. (2527). กลวิธีและแนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในงานพัฒนาชุมชน. กรุงเทพฯ: ศักดิ์โสภาการพิมพ์. เมตต์ เมตต์การุณ์จิต. (2553). การบริหารจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วม: ประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และราชการ (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: บุ๊คพอยท์ รุจา ภู่ไพบูลย์. (2541). การพยาบาลครอบครัว: แนวคิดทฤษฎีและการนำไปใช้(พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: หจก.วี เจ พริ้นติ้ง. วชิรวัชร งามละม่อน. (2564). การนำนโยบายไปปฏิบัติ. สืบค้นจาก http://file.siam2web.com/trdm/journal/ 201331_80183.pdf วรเดช จันทรศร. (2531). การนำนโยบายไปปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: หจก.สหายบล็อกและการพิมพ์. วรรณา จีรุพันธ์. (2551). ปัจจัยที่มีผลต่อการนำนโยบายไปปฏิบัติ: ศึกษากรณีนโยบายแก๊สโซฮอล์. กรุงเทพฯ: คณะรัฐศาสตร์. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ศิริพงษ์ ลดาวัลย์ ณ อยุธยา. (2542). ทฤษฎีและแนวความคิดทางรัฐประศาสนศาสตร์. เชียงใหม่: ม.ป.พ. สนธยา พลศรี. (2550). เครือข่ายการเรียนรู้ในงานพัฒนาชุมชน. กรุงเทพฯ: โอเอสพริ้นติ้ง เฮ้าส์. สุกัญญา ธิลำพูน. (2557). การมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการพัฒนาสตรีด้านอาชีพของศูนย์สงเคราะห์และ ฝึกอาชีพสตรีภาคเหนือ จังหวัดลำปาง. วิทยานิพนธ์สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาการบริหารและ นโยบายสวัสดิการสังคม, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สุชาดา จักรพิสุทธิ์. (2547). ปฏิรูปการศึกษาในสังคมไทยชุมชนกับการมีส่วนร่วมจัดการศึกษา นักวิชาการมหาวิทยาลัย เที่ยงคืน. สืบค้นจาก http: midnightuniv.org/midnight 2545/document9562.html สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ. (2553). แนวทางการมีส่วนร่วมของกลุ่มเครือข่ายในกระบวนการสมัชชาสุขภาพ แห่งชาติ. (อัดสำเนา). เสถียร จิรรังสิมันต์. (2549). ความรู้เกี่ยวกับองค์กรเครือข่าย. กรุงเทพฯ: สำนักส่งเสริมและประสานการมีส่วนร่วมองค์กร เครือข่าย, สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. เสรี พงศ์พิศ. (2548). วัฒนธรรมองค์การของโลกยุคใหม่ เครือข่าย ยุทธวิธีเพื่อประชาคมเข้มข้น ชุมชนเข้มแข็ง. กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 195 ก้าวย่างการเรียนรู้การสื่อสารด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ในงานสังคมสงเคราะห์ของ “คลินิกวัยรุ่น” เพื่อบริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชน A Growing Learning Step towards Communication with Humanized Care in Social Work Services of Teen Centers to Provide the Youth Friendly Health Services สุพิชชา การินทร์1 Supitcha Karin2 มาลี จิรวัฒนานนท์3 Malee Jirawattananon4 Abstract Communication with humanized care is essential and a relationship with compassion, generosity, love and kindness in Social Work. Under values and human dignity with equal power between social workers and the youth to provide the Youth Friendly Health Services. The objectives of this article are 1) To open space for knowledge, understanding, communication with the humanized care in Social Work of Teen Centers in hospitals under the Medical Service Department, Bangkok Metropolitan Administration. 2) To reflect on experiences related to Communication with Humanized care to learning, challenges for social workers of Teen Centers in hospitals under the Medical Service Department, Bangkok Metropolitan Administration. Using the study data gathered from the literature review and interviews with 15 social workers who serve of Teen Centers in hospitals under the Medical Service Department, Bangkok Metropolitan Administration. Finding that communication with humanized care which social workers must be developed in many sides at the same time such as knowledge, techniques, skills and attitudes. First, there should be practice recognizing mental symptoms, self-worth and self-potential. Preparing and making sure for self-reflection. Filling knowledge, competence, techniques and skills of social workers and strengthening experiential learning in the midst of the era where the world is facing difficult situations, the complex problems of teenagers and the influence of media and technology to affect them. However, the social workers can use a variety of media as tools in the communication with humanized care to provide the Youth Friendly Health Services. Keywords: Social work, Communication with humanized care, Youth friendly health services, Teen centers บทคัดย่อ การสื่อสารด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญในงานบริการสังคมสงเคราะห์ เป็นความสัมพันธ์ด้วยความรัก ความเมตตากรุณา เอื้ออาทรต่อกัน ภายใต้คุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เสมอกันด้วยอำนาจที่เท่าเทียมกันระหว่าง นักสังคมสงเคราะห์กับวัยรุ่น เพื่อมุ่งสู่บริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชน โดยบทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เปิดพื้นที่ความรู้ความเข้าใจการสื่อสารด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ (Humanized Care) ในงานสังคมสงเคราะห์ “คลินิก 1 นักศึกษาปริญญาโท, คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย 2 Master Degree Student at Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 3 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร., ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย 4 Assistant Professor Dr., Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 196 วัยรุ่น” ในโรงพยาบาล สังกัดกรุงเทพมหานคร 2) สะท้อนประสบการณ์การสื่อสารด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ การเรียนรู้ ข้อท้าทายของนักสังคมสงเคราะห์ “คลินิกวัยรุ่น” ในโรงพยาบาล สังกัดกรุงเทพมหานคร ใช้ข้อมูลที่ศึกษารวบรวมจาก การทบทวนวรรณกรรม และการสัมภาษณ์นักสังคมสงเคราะห์ที่ให้บริการของคลินิกวัยรุ่นในโรงพยาบาล สังกัด กรุงเทพมหานครทุกแห่ง จำนวน 15 คน พบว่าการสื่อสารด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์นั้น นักสังคมสงเคราะห์ต้องมีการพัฒนา หลายด้านควบคู่กัน ทั้งด้านความรู้ เทคนิค ทักษะ และทัศนคติ อันดับแรกควรมีการฝึกฝนการรับรู้อาการทางใจ การเห็นคุณค่า และศักยภาพ ในตนเอง มีการเตรียมความพร้อม หมั่นสะท้อนไตร่ตรองในตนเอง มีการเติมความรู้ มีความสามารถ เทคนิค และทักษะของนักสังคมสงเคราะห์ และสร้างเสริมการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ท่ามกลางยุคสมัยที่โลกเผชิญสถานการณ์ ความทุกข์ยาก ปัญหาที่ซับซ้อนของวัยรุ่น อิทธิพลของสื่อและเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อทั้งวัยรุ่นและนักสังคมสงเคราะห์ อย่างไรก็ดี สื่อประเภทต่างๆ สามารถนำมาร่วมเป็นเครื่องมือหนึ่งของการสื่อสารภายใต้การสื่อสารด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ เพื่อบริการสุขภาพ ที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชน คำสำคัญ: งานสังคมสงเคราะห์, การสื่อสารด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์, บริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชน, คลินิกวัยรุ่น บทนำ บริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชน (Youth friendly health services) เป็นหนึ่งในนโยบายและ ยุทธศาสตร์สำคัญที่ช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพของกลุ่มวัยรุ่น โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ร่วมกับองค์การทุน เพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ(UNICEF) และกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ(UNFPA) เห็นชอบร่วมกันในวาระการปฏิบัติ ด้านสุขภาพให้เป็นไปตามหลักการ ด้านการดูแล (Quality of care) การเข้าถึงได้(Accessible) เป็นที่ยอมรับ (Acceptable) เท่าเทียม (Equitable) เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ (Appropriate and effective) ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศ สมาชิก ได้รับดำเนินการที่จะทำให้วัยรุ่นและเยาวชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และบริการสุขภาพและอนามัยการเจริญพันธุ์ ที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพที่เรียกว่า YFHS โดยกรมอนามัย กรมควบคุมโรค และกรมสุขภาพจิต ร่วมกันสนับสนุนก่อเกิด บริการสุขภาพที่เป็นมิตรในโรงพยาบาล และสถานบริการสาธารณสุขทุกระดับ ดูแลสุขภาพวัยรุ่นแบบองค์รวม ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต พัฒนาการด้านการเรียนรู้ อารมณ์ และสังคม ร่วมกัน อย่างไรก็ดี ยังมีข้อท้าทายและช่องว่างการจัดบริการหลาย ประการ เช่น การขาดข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการอนามัยการเจริญพันธุ์ในวัยรุ่น สาเหตุที่วัยรุ่นและเยาวชนเข้ามาใช้บริการ จำนวนน้อย (องค์การยูนิเซฟ ประจำประเทศไทย; Tangmunkongvorakul, A., Banwell, C., Carmichael, G., Utomo, I.D., Seubsman, S.A., Kelly, M & Sleigh, A., 2012 อ้างถึงใน สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์, 2563, น. 2-3) เป็นต้น ปัจจุบันสถานการณ์ และปัญหาของวัยรุ่นมีความซับซ้อน และรุนแรงแตกต่างจากในอดีต ส่วนหนึ่งที่สำคัญ คือ บริบทเชิงโครงสร้างทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นลักษณะที่มีความผันผวน (V-Volatility) ความไม่แน่นอน (U-Uncertainty) ความซับซ้อน (C-Complexity) และความคลุมเครือ (A-Ambiguity) หรือที่เรียกว่า “VUCA world” จาก สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นโรคอุบัติใหม่ ในปี พ.ศ. 2561 และกลายเป็นโรคระบาด (Epidemic) ในปี พ.ศ. 2562 สู่การระบาดใหญ่ (Pandemic) ในปี พ.ศ. 2563 และเปลี่ยนสู่โรคประจำถิ่น ในปี พ.ศ. 2565 (พันธุ์ทิพา หอมทิพย์, 2565) นอกจากนี้ ยังมีสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษจากฝุ่นละออง PM 2.5 การใช้ความรุนแรง และ ภาวะสงคราม และปฏิสัมพันธ์ผู้คนที่ปรับเปลี่ยนมีการพึ่งพาอาศัยอุปกรณ์สื่ออิเล็กทรอนิกต่างๆ มากขึ้นในชีวิตประจำวัน สิ่งต่างๆ ดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อคนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาอัตลักษณ์ความเป็นตัวตน รอยต่อระหว่างการเป็นเด็กและผู้ใหญ่ ช่วงวัยที่อยากรู้อยากลองและต้องการได้รับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน ล้วนนำมา ซึ่งความเปราะบางเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาต่างๆ บนโลกจริง และโลกเสมือนหรือโลกออนไลน์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 197 วิถีชีวิตของวัยรุ่นและเยาวชนท่ามกลางวิถีใหม่ (New Normal) และการเปลี่ยนจากวิถีถัดไป (Next Normal) ภายใต้โลก แบบ “VUCA world” วัยรุ่นอาจต้องการทั้งการประคับประคองดูแล และการเปิดพื้นที่มีอิสรภาพลองเรียนรู้ถูกผิด จากประสบการณ์ตรง เพื่อให้วัยรุ่นสามารถก้าวเติบโตได้ต่อไป จึงไม่มีสูตรสำเร็จสำหรับวัยรุ่น และงานบริการสุขภาพ ที่เป็น มิตร YFHS จึงมีความสำคัญ โดยเฉพาะผู้ให้บริการ นักวิชาชีพต่างๆ จึงต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง งานสังคมสงเคราะห์ ของคลินิกวัยรุ่น เพื่อบริการสุขภาพที่เป็นมิตร YFHS นั้น เป็นการทำงานของนักสังคมสงเคราะห์ ทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพ โดยนักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากด้านร่างกาย จิตใจอารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ รวมถึงการป้องกันและฟื้นฟูปัญหา ตลอดจนให้บริการส่งต่อและติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง (บุญธิดา บุญแก้ว, 2559, น. 15-16) ปฏิบัติงานภายใต้กรอบจรรยาบรรณและค่านิยมทางวิชาชีพ ให้ความสำคัญกับการ มีศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ เป็นการจัดบริการด้วยใจ (Service mind) หรือการบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ (Humanized care) โดยที่สังคมสงเคราะห์จะต้องมีความเอื้ออาทร (Caring) ความเห็นอกเห็นใจ (Sympathy) ความเชื่อถือ และไว้วางใจ (Trust and confidence) และการให้ความเคารพ (Respect) เพื่อเสริมสร้างบริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่น เป็นการดูแลแบบองค์รวม เน้นความสมดุลของร่างกาย จิตใจอารมณ์ สังคมและจิตวิญญาณ สอดคล้องกับแนวคิด สังคมสงเคราะห์สากลของ National Association of Social Work (NASW) ที่กล่าวว่า (จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร และคณะ, 2564, น. 323) “นักสังคมสงเคราะห์คือ ผู้อุทิศตนเพื่อจัดบริการสวัสดิการของมนุษยชาติ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของทุกคน โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ” นักสังคมสงเคราะห์ควรมีความตระหนักถึงความสำคัญของสื่อสาร ทั้งการสื่อสารด้วยวัจนภาษา และอวัจนภาษา เพราะเป็นสะพานที่เชื่อมต่อสัมพันธภาพระหว่างผู้ใช้บริการ คือนักสังคมสงเคราะห์กับผู้ใช้บริการคือวัยรุ่น ทั้งวัยรุ่นทั่วๆ ไป และกลุ่มวัยรุ่นที่มีความเปราะบางทางสังคม การพัฒนาความสามารถในวิธีการ เทคนิค และทักษะที่เป็นการสื่อสารด้วย หัวใจความเป็นมนุษย์ เพื่อบริการสุขภาพที่เป็นมิตร นอกจากนี้ การสื่อสารยังมีความสำคัญในทุกขั้นตอนของกระบวนการ ปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ สามารถเข้าใจถึงพฤติกรรมการพูดและท่าทางของผู้ใช้บริการ เกิดการเห็นอกเห็นใจ ความจริงใจ และอบอุ่น เกิดการเคารพการตัดสินใจของผู้ใช้บริการเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง เสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้ใช้บริการ เข้าใจ อารมณ์และความรู้สึกของผู้ใช้บริการ สามารถวิเคราะห์จุดเด่นหรือจุดแข็งของผู้ใช้บริการ สามารถเก็บรวบรวบรวมข้อมูลเพื่อ ประเมินสภาพปัญหาและเพื่อวางแผนแนวทางการช่วยเหลือ รวมทั้งเป็นการพัฒนาการสื่อสารที่เข้าใจทั้งตัวผู้ให้บริการและ ผู้ใช้บริการด้วย (Farukuzzaman & Mahbubur Rahman, 2019, pp. 39-41) บทความนี้ จึงนำเสนอ เรื่อง ก้าวย่างการเรียนรู้การสื่อสารด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ในงานสังคมสงเคราะห์ของ “คลินิกวัยรุ่น” เพื่อบริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชน โดยการศึกษาค้นคว้าทบทวนวรรณกรรม จากแหล่งข้อมูล เอกสาร ตำรา หนังสือ และงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลจากการสัมภาษณ์นักสังคมสงเคราะห์ของ “คลินิกวัยรุ่น” ในโรงพยาบาล สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 5 แห่ง ดังนี้ 1) โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงพยาบาลสิรินธร และโรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ สำหรับวัตถุประสงค์ ของบทความฯ ครั้งนี้ คือ 1) เปิดพื้นที่ความรู้ความเข้าใจการสื่อสารด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ (Humanized Care) ในงาน สังคมสงเคราะห์ “คลินิกวัยรุ่น” ในโรงพยาบาล สังกัดกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อสะท้อนประสบการณ์การสื่อสารด้วย หัวใจความเป็นมนุษย์ การเรียนรู้ข้อท้าทาย ของนักสังคมสงเคราะห์ “คลินิกวัยรุ่น” ในโรงพยาบาล สังกัดกรุงเทพมหานคร การนำเสนอเนื้อหาประกอบด้วย 4 ตอน ดังนี้ 1) การดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์(Humanized Care) 2) ความรู้จากการ ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 3) รูปแบบการสื่อสารในงานสังคมสงเคราะห์และการปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ “คลินิกวัยรุ่น” กรุงเทพมหานคร 4) การสะท้อนก้าวย่างการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ การสื่อสารด้วย หัวใจความเป็นมนุษย์ เพื่อเสริมสร้างบริการสุขภาพที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นและเยาวชน และบทสรุปส่งท้าย


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 198 การดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์(Humanized care) การดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ (Humanized care) การบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ เป็นความอ่อนโยนต่อชีวิต อ่อนน้อมต่อธรรมชาติ อ่อนไหวต่อความทุกข์ ทำให้ ผู้ใช้บริการอุ่นใจ และผู้ให้บริการมีความสุข การบริการด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์จะเน้นความสมดุลของร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นการดูแลแบบองค์รวม (โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, 2552 อ้างถึงใน สุทธานันท์ กัลป์กะ และ ผกาสรณ์ อุไรวรรณ, 2013, น. 160) เป็นการให้บริการด้วยความเข้าใจชีวิตจริงของผู้รับบริการบนความแตกต่าง ของแต่ละบุคคล เคารพคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อย่างเอื้ออาทร มีความรัก ความเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่นด้วย ความเต็มใจ จริงใจ ปรารถนาดีต่อผู้อื่น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน มีความเข้าใจสาเหตุและเหตุผลของพฤติกรรม ให้บริการตาม ปัญหาและความต้องการของผู้ใช้บริการ โดยรับฟังความคิดเห็นของผู้ใช้บริการเป็นหลัก และเชื่อในศักยภาพและความสามารถ ของผู้ใช้บริการแต่ละบุคคล โดยองค์ประกอบที่สำคัญของการบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ ประกอบด้วย (วรุณยุพา รอยกุลเจริญ, 2550; จินดามาศ โกศลชื่นวิจิตร, 2556; สุทธานันท์ กัลป์กะ และ ผกาสรณ์ อุไรวรรณ, 2556; พนารัตน์ วิศวเทพนิมิต และ กมลรัตน์ เทอร์เนอร์, 2560) ความเอื้ออาทร (Caring) เป็นความเข้าใจในชีวิตและผู้ใช้บริการอย่างแท้จริง มีความรัก ความเมตตากรุณา ความสนใจ เอาใจใส่ การทำความเข้าใจในการมองผู้ป่วยในฐานะที่เป็นมนุษย์มากขึ้นกว่าเดิม และเป็นเสมือนญาติมิตร ความเห็นอกเห็นใจ (Sympathy) สามารถมองเห็นความทุกข์ของผู้ใช้บริการ ให้บริการอย่างเข้าใจ เอาใจเขามาใส่ใจ เรา เข้าใจความรู้สึกนึกคิด เข้าถึงและเข้าใจในความทุกข์ด้วยการรับรู้ปัญหาของผู้ใช้บริการ ความเชื่อถือและไว้วางใจ (Trust and confidence) การสร้างความไว้วางให้แก่ผู้ใช้บริการ ทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึก ไว้วางใจว่าจะดูแลเขาอย่างดี อย่างเต็มความรู้ความสามารถ ด้วยความเท่าเทียมและไม่เลือกปฏิบัติ ทำให้ผู้ใช้บริการกล้า เปิดเผยเรื่องราวและกล้าแสดงความคิดเห็น การให้ความเคารพ (Respect) เป็นการให้ความสำคัญต่อคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ยอมรับใน ความแตกต่างของบุคคล ไม่ดูถูก ไม่ตีตราและไม่ตัดสินผู้ใช้บริการ คุณลักษณะที่เป็นองค์ประกอบของการบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ดังกล่าว ความเอื้ออาทร ความเห็นอกเห็นใจ ความเชื่อถือและไว้วางใจ และการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ล้วนเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่พึงมีใจนำสู่ แนวทางการปฏิบัติต่อกันในงานบริการมนุษย์ที่เกี่ยวข้องด้วยผู้คนที่หลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้บริการที่มีความเปราะบาง ทางสังคม งานสังคมสงเคราะห์กับบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ นักสังคมสงเคราะห์เป็นวิชาชีพสำคัญหนึ่งของทีมสหวิชาชีพที่ให้บริการในโรงพยาบาล มีบทบาทหน้าที่สัมพันธ์กับ สภาพปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และอื่นๆ มากมาย โดยนําความรู้ความสามารถ ทักษะทางสังคมสงเคราะห์และการบริหาร จัดการทรัพยากรที่มีอยู่มาส่งเสริมและสนับสนุนทางด้านการพยาบาล เพื่อให้การรักษาทางด้านการแพทย์มีประสิทธิภาพ มากขึ้น งานสังคมสงเคราะห์จึงเป็นงานที่ใช้เทคนิค กระบวนการ วิธีการ และหลักการทางสังคมสงเคราะห์เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย ครอบครัว และชุมชน ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสามารถปฏิบัติหน้าที่ทางสังคมได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม โดยการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของตนเอง (บุญธิดา บุญแก้ว, 2559, น. 15-16) หรือเรียกอีกอย่างว่า งานสังคมสงเคราะห์คลินิก ที่เป็นการปฏิบัติงานที่เน้นการให้บริการทางตรง (Direct service) กับผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น รายบุคคล ครอบครัว หรือกลุ่ม ลักษณะงานสังคมสงเคราะห์คลินิกเป็นทั้งวิธีการและกระบวนการที่เป็นขั้นตอน ประกอบด้วย การศึกษาข้อเท็จจริงของปัญหาสังคมของผู้ใช้บริการ การประเมินและวินิจฉัยสาเหตุแห่งปัญหา การวางแผนให้ความช่วยเหลือ การดำเนินการตามแผน การประเมินผล และการติดตามผล มีขอบเขตครอบคลุมในเรื่องการให้คำปรึกษา การบำบัดทางจิตใจ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 199 การทำงานกับพลวัติทางจิตของมนุษย์ และการทำงานกับมนุษย์ในสภาวะแวดล้อม เพื่อแก้ไข ป้องกันความผิดปกติทางสังคม อารมณ์ และจิตใจ (National Association of Social Workers: NASW, 2005 อ้างถึงใน บุญธิดา บุญแก้ว, 2559, น. 16) ภายใต้กรอบจรรยาบรรณและค่านิยมทางวิชาชีพนั้น นักสังคมสงเคราะห์จำเป็นต้องพัฒนาวิชาความรู้ที่เท่าทัน บริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และการตระหนักในศักดิ์ศรีและคุณค่าความเป็นมนุษย์ การยึดมั่นในหลักความยุติธรรม สังคม ไม่เลือกปฏิบัติ ยอมรับความหลากหลาย ประพฤติตนภายใต้กรอบจริยธรรมทางวิชาชีพ การปฏิบัติงานด้วย ความซื่อสัตย์ การมีความรับผิดชอบต่อการพัฒนาระบบงานในองค์กร การเพิ่มความตระหนักต่อประโยชน์ของประชาชนและ สังคม นับเป็นค่านิยมที่ดีงามของวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ สอดคล้องกับแนวคิดสังคมสงเคราะห์สากลของ National Association of Social Work (NASW) ที่กล่าวว่า “นักสังคมสงเคราะห์คือ ผู้อุทิศตนเพื่อจัดบริการสวัสดิการของมนุษยชาติ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของทุกคน โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ” (จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร และคณะ, 2564, น. 323) การบริการด้วยใจ (Service mind) หรือการบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ (Humanized care) ของ นักสังคมสงเคราะห์สอดคล้องกับแนวคิดมนุษย์นิยมของมาสโลว์ ที่กล่าวว่า นอกเหนือจากความต้องการทางด้านร่างกายแล้ว มนุษย์มีความต้องการภายในที่ทุกคนใฝ่หา นั่นคือ ต้องการความปลอดภัย ต้องการความรู้สึกเป็นเจ้าของ มีความรักความ เคารพตนเอง มีความนับถือในตนเองและต้องการบรรลุศักยภาพขั้นสูงสุดของตนเอง ดังนั้นชี้ให้เห็นว่าแนวคิดนี้เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อช่วยให้มนุษย์ตระหนักและพัฒนาความสามารถอันสูงส่งของเราในด้านความคิดสร้างสรรค์ความเห็นอกเห็นใจ ความรัก จริยธรรม ความมีน้ำใจและเอกลักษณ์อื่นๆ ที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษของมนุษย์ (สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์และคณะ, 2558, น. 25) มนุษย์นิยมคือหลักปรัชญาที่สอนเน้นหนักให้เรานิยมชมชอบ ยอมรับ เคารพนับถือคุณค่าของความเป็นมนุษย์ให้อยู่ เหนือกว่าสิ่งใดและสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด เริ่มจากเจตจำอิสระ (Free will) ของมนุษย์เองที่จะคิดที่จะทำอะไร ด้วยตัวมนุษย์เองใน อันที่จะสร้างสรรค์ และส่งเสริมความสุขของมวลมนุษย์ให้คุณภาพของความเป็นมนุษย์เพิ่มพูนสูงส่งยิ่งๆขึ้นไป เป็นการอุทิศตน เพื่อคุณประโยชน์แก่มนุษย์ชาติ โดยไม่จำกัดกาล สถานที่และตัวบุคคล ตลอดจนเชื้อชาติในสังคมมนุษย์ มนุษย์นิยมยึดถือ ความถูกต้องชอบธรรมและยุติธรรม ไม่มีการถือเขาถือเรา การเอาใจเขามาใส่ใจเรา พร้อมกับเอาใจเราไปใส่ใจเขา และ พยายามกระทำต่อผู้อื่นในสิ่งที่ตัวเราเองต้องการให้เขากระทำต่อเรา (สิทธิ์ บุตรอินทร์, 2532, น. 11 อ้างถึงใน สภาวิชาชีพ สังคมสงเคราะห์และคณะ, 2558, น. 27) ความรู้จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง การศึกษาที่กล่าวถึงการดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นพื้นฐานการให้บริการของบุคลากรด้านสุขภาพ การบริการด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์จึงเป็นการดูแลสุขภาพผู้ใช้บริการแบบองค์รวม ดังการศึกษาของ พนารัตน์ วิศวเทพนิมิต และกมลรัตน์ เทอร์เนอร์, 2560) กล่าวว่า การบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ เป็นการให้บริการสุขภาพแบบองค์รวม ที่เคารพคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยเข้าใจและยอมรับความแตกต่างของบุคคล การเข้าใจชีวิตคนตามบริบท และ ข้อจำกัดในการดำรงชีวิตของผู้ใช้บริการ ผลของการบริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ทำให้ผู้ให้บริการเกิดความเข้าใจ ชีวิตและผู้ใช้บริการอย่างแท้จริง เกิดความเห็นอกเห็นใจ ยอมรับในตัวตนของผู้ใช้บริการ เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีพฤติกรรมบริการด้วยความเอื้ออาทร มีความยืดหยุ่น ให้บริการได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้บริการ และประยุกต์ความรู้ ที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้บุคลากรด้านสุขภาพทำงานอย่างมีความสุขด้วย ดังนั้น “หัวใจสำคัญของการบริการสุขภาพด้วย หัวใจความเป็นมนุษย์ คือ การให้บริการสุขภาพที่เข้าใจชีวิตคน ซึ่งเป็นชีวิตที่มีการดำรงชีพ มีบริบทเฉพาะของแต่ละบุคคล” นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มคุณค่าสถานบริการสุขภาพในการพัฒนาคุณภาพบุคลากรและองค์กรที่ยั่งยืน การดูแลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ เป็นการสื่อสารที่มีความเกี่ยวข้องกับทักษะการฟังอย่างตั้งใจ และการฟังอย่างลึกซึ้ง ดังการศึกษาของ ตะวันรัตน์ สกุลรุ่งจรัส และชยนุช ไชยรัตนะ(2563) กล่าวว่าการสื่อสารอย่างเข้าอกเข้าใจและการฟังอย่างตั้งใจ


Click to View FlipBook Version