The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ntknight478, 2023-01-24 11:12:03

รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69

รวมบทความ Processdinga 69 ปี (24 ม.ค.66)

รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 50 ในการนำเสนอที่มา และความสำคัญของหลักการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังที่นำไปสู่การกำหนดเป็นวาระสังคมสงเคราะห์โลกปี 2565 รวมทั้งข้อท้าทายของสถานะหลักการนี้ที่เป็นแนวทางพื้นฐานของ SDGs ทั้งนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ การเป็นกลุ่มเปราะบาง หรือคนชายขอบของสังคม อาจขึ้นอยู่กับบริบทและสถานการณ์ต่างๆ ด้วย มิใช่เพียงกลุ่มที่มีความยากจนหรือเป็นคนกลุ่มน้อย ของสังคมเท่านั้น ดังนั้น สำหรับผู้เขียนแล้ว การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มีความหมายที่ยืดหยุ่น ไม่สามารถให้ความหมายที่ตายตัว ได้ในทุกสถานการณ์ หน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องคือการพิจารณาว่านโยบายต่างๆที่สร้างสรรขึ้นเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน นั้น กลุ่มใดคือกลุ่มเปราะบางในมิตินั้นๆ ซึ่งบางครั้งต้องไม่ลืมว่าอาจมีกลุ่มอื่นๆที่ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในความเปราะบางตาม ความหมายที่คนส่วนใหญ่รับรู้แต่มีสิทธิที่จะได้บริการนั้นๆ ไปพร้อมกันด้วย เนื่องจากเงื่อนไขบางประการที่กลุ่มประชากรนั้น อาจจะมีความจำเป็นไม่แตกต่างกัน เช่นกรณีของวัคซีนโควิด-19 ที่ถูกจัดสรรให้กลุ่มที่ถูกนิยามโดยรัฐว่ามีความเปราะบางใน มิติสุขภาพได้เข้าถึงก่อน พร้อมกับการได้เข้าถึงวัคซีนของบุคลากรสุขภาพและครอบครัวด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยทั่วไปกลุ่มหลังนี้ ไม่ใช่คนชายขอบหรือเปราะบาง “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ไม่ใช่คำมั่นสัญญาเดียวแห่งการเปลี่ยนแปลงเท่านั้นที่จะทำให้ทุกคนเข้าถึงบริการหรือทำ ให้ทุกเสียงถูกได้ยินจากสังคมอย่างถ้วนหน้าได้ แต่ต้องใช้ร่วมกับแนวปฏิบัติอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเคารพในสิทธิมนุษยชน การตระหนักในความเท่าเทียมทางเพศ รวมทั้งการเสริมพลังในผู้หญิงด้วย มากไปกว่านั้นการตระหนักในสถานะความเป็น นามธรรมของ LNOB มีความท้าทายในการแปลงหลักการสู่การปฏิบัติจริงในการที่จะทำให้ SDGs สามารถขับเคลื่อน เข้าถึง ทุกกลุ่มเป้าหมาย และก้าวสู่ปลายทางของการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง คำสำคัญ: การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง, คำมั่นสัญญาแห่งการเปลี่ยนแปลง, เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน, คนชายขอบ บทนำ อารัมภบทของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals [SDGs]) โดย United Nations (UN, 2015) ได้มีการระบุไว้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการเพื่อประชาชน โลก และความเจริญรุ่งเรือง รวมทั้งความ พยายามเสริมสร้างสันติภาพสากลในเสรีภาพที่กว้างขึ้น ด้วยตระหนักดีว่าการขจัดความยากจนในทุกรูปแบบและทุกมิติเป็น ความท้าทายระดับโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นข้อกำหนดที่ขาดไม่ได้สำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน ทุกประเทศและผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียทั้งหมดที่ดำเนินการเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือครั้งนี้และการที่จะดำเนินการตามแผนนี้ได้ต้องมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะ ปลดปล่อยมนุษยชาติให้พ้นจากการกดขี่ ความยากจน เพื่อเป็นการรักษาและปกป้องโลก โดยการเริ่มต้นเพื่อเปลี่ยนโลกไปสู่ เส้นทางที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น มีการ “ให้คำมั่นว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง (We pledge that no one will be left behind)” (p.3) นอกจากนี้มีความพยายามที่จะตระหนักถึงสิทธิมนุษยชนของทุกคนและเพื่อให้บรรลุความเท่าเทียมทางเพศ และการเสริมอำนาจของผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทุกคน จึงมีการบูรณาการและสร้างสมดุล 3 มิติของการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการให้คำมั่นสัญญาในเชิงหลักการในปี 2015 แล้ว หลังจากนั้นเกือบ 7 ปีต่อมา มีรายงานของ UN (2022, June 22) ที่ยังชี้ให้เห็นว่า “ชนกลุ่มน้อยยังคงอยู่และถูกแยกออกจากความก้าวหน้าที่สำคัญใดๆ ในช่วง 30 ปีที่ ผ่านมาอย่างสมบูรณ์และน่าประหลาดใจ” (para. 5) โดย “ประเด็นของชนกลุ่มน้อยนั้นมีปรากฎน้อยมากในวาระของ สหประชาชาติดังนั้น จึงถึงเวลาที่จะต้องทบทวน ไตร่ตรอง และปฏิรูป เนื่องจากสิทธิของชนกลุ่มน้อยมักถูกกีดกันหรือถูก ละเลยบ่อยครั้งเกินไป” (para. 5-8) มากไปกว่านั้น ข้อมูลของ UN ได้เน้นย้ำถึงข้อเท็จจริงที่ว่ามีหลายกรณีที่ชนกลุ่มน้อย ถูกลบออกอย่างตั้งใจจากรายชื่อกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการการคุ้มครองในเอกสารและการริเริ่มขององค์การ สหประชาชาติด้วย ประกอบกับข้อมูลเชิงประจักษ์ที่สะท้อนถึงการเข้าสู่ช่วงวิกฤตอีกครั้งของกลุ่มเปราะบาง คือ กรณีที่มีผู้คน กว่า 100 ล้านคนถูกบังคับให้ต้องพลัดถิ่นเนื่องจากความวุ่นวายทั่วโลกในช่วงทศวรรษสุดท้ายของสงครามและความขัดแย้ง ภายใน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับชนกลุ่มน้อย มากไปกว่านั้น จำนวนมากกว่าสามในสี่ของคนไร้สัญชาติทั่วโลกยังเป็นบุคคลที่เป็น


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 51 ชนกลุ่มน้อยอีกด้วย ซึ่งข้อมูลนี้ยืนยันว่ากลุ่มเปราะบางยังไม่ได้รับความตระหนักตามที่ UN ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ในหลักการ ของ SDGs แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม “ชนกลุ่มน้อย” ยังถูกให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่องในฐานะประชากรกลุ่มหนึ่งที่ถูกมองว่ามี ความเปราะบาง เมื่อหลักการ “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ถูกนำมาใช้เป็นหนึ่งในหลักการพื้นฐานของ UN ที่มีต่อวาระแห่ง การพัฒนาปี2030 (The 2030 Agenda) นับตั้งแต่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนกลายเป็นแนวทางในการพัฒนาของประเทศ สมาชิก โดยเริ่มดำเนินการในปี ค.ศ. 2016 (พ.ศ. 2558) และการให้ความสำคัญขององค์กรระดับนานาชาติอื่นๆ ที่นำข้อความ นี้มาปรับใช้เช่นการนำมากำหนดเป็นวาระของงานสังคมสงเคราะห์โลกในปี 2565 ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของฐาน คิดนี้ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ที่ให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางหรือประชาชนชายขอบเป็น กลุ่มเป้าหมายหลักอยู่แล้ว สหพันธ์แรงงานสังคมสงเคราะห์นานาชาติ (International Federation of Social Workers [IFSW]) ได้กำหนดวัน สังคมสงเคราะห์โลกในปี 2565 ซึ่งตรงกับวันที่ 15 มีนาคม โดยมีการนำหลักการของ SDGs มาใช้ร่วมด้วย ภายใต้หัวข้อ “Cobuilding a new eco-social world: Leaving no one behind” หรือ “ร่วมกันสร้างโลกใบใหม่ที่ยั่งยืนทางนิเวศ-สังคม: ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ดังแผนภาพที่มีการใช้ประชาสัมพันธ์และรณรงค์วาระนี้ด้วยทุกภาษาเพื่อให้เข้าถึงประชากรทั่วโลก ภาพที่ 1 สัญลักษณ์และวาระสังคมสงเคราะห์โลก ปี 2565. ห ม า ย เห ตุ: World Social Work Day 2022. by International Federation of Social Workers, 2022, para 1. Retrieved from https://www.ifsw.org/social-work-action/world-social-work-day/world-social-work-day-2022/. การที่ UN ให้ความสำคัญประเด็นดังกล่าวใน SDGs ในปี 2559 และต่อมา IFSW กำหนดเป็นวาระในวันสังคม สงเคราะห์โลก ในปี 2565 นำมาซึ่งความสนใจของผู้เขียนในการนำเสนอบทความวิชาการนี้ด้วยเนื้อหาที่ได้จากการสืบค้น วรรณกรรมผ่านคำสำคัญ ได้แก่ Leaving No One Behind และ Left No One Behind และคำภาษาอังกฤษอื่นๆ ที่มี ความหมายเดียวกัน บนฐานข้อมูลออนไลน์www.googlescholar.com เป็นหลัก สืบค้นในช่วงเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน 2565 โดยบทความนี้มีวัตถุประสงค์หลักในการสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของ “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (Leaving No


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 52 One Behind) และเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในบทความนี้จะใช้ตัวย่อ LNOB แทน (เช่นเดียวกับที่เว็บไซต์ของ UN3 ใช้ตัวย่อนี้ เช่นกัน) โดยสาระสำคัญที่ค้นพบจากการทบทวนเอกสาร จำแนกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ (1) ที่มา ความหมาย คำที่เกี่ยวข้อง และ ความสำคัญ (2) กุญแจสำคัญในการประเมิน LNOB และการนำไปปฏิบัติโดยใช้แนวทางหลัก และ (3) กรณีตัวอย่างและ ความท้าทายของการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยแต่ละส่วนมีรายละเอียดเนื้อหาดังนี้ ที่มา ความหมาย คำที่เกี่ยวข้อง และความสำคัญ 1. ที่มาและความหมายของ “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” มีการกล่าวถึงที่มาและการให้ความหมายที่เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์ของ SDGs ที่ต้องการสร้างความชัดเจนในกลุ่ม ประชาชนที่มีผลการพัฒนาที่แย่ที่สุด ดังนั้น UN จึงมีการให้คำมั่นว่า “จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” (LNOB) ดังปรากฏใน อารัมภบทของ SDGs ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ถือเป็นบุคคลที่มีตัวตน แต่ต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติอย่างเฉพาะเจาะจง รวมทั้งการขาดทั้งเสียงและอำนาจ (Stuart et al., 2016) นอกจากนี้Stuart และคณะ ยังชี้ให้เห็นว่า LNOB คือ “ประเด็น ทางศีลธรรมในยุคของเราและเป็นหัวใจสำคัญของพิมพ์เขียวที่มีความทะเยอทะยานในการดำเนินการ” (p. 5) และยังมี การระบุว่าการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังคือคำมั่นสัญญาแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของวาระ 2030 เป็นกรอบการทำงานที่อิงกับ สิทธิซึ่งแสดงถึงความมุ่งมั่นที่แน่ชัดของประเทศสมาชิกสหประชาชาติทั้งหมดที่จะขจัดความยากจนในทุกรูปแบบ ยุติการเลือก ปฏิบัติและการกีดกัน ลดความเหลื่อมล้ำและความเปราะบาง รวมทั้งผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ซึ่งรวมถึงการให้ความสำคัญกับกลุ่มย่อยของประชากรทั้งหมด มีการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ เพื่อระบุว่าใครถูกกีดกันหรือเลือกปฏิบัติ อย่างไร และทำไม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดมีส่วนร่วมอย่างเสรี และมีความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ชายขอบมากที่สุด (United Nations Sustainable Development Group [UNSDG], 2019) ขณะที่ United Nations ESCAP (2022) ได้ให้ความหมาย LNOB ที่ครอบคลุมการเข้าถึงบริการและโอกาส ขั้นพื้นฐานอย่างทั่วถึง โดยไม่คำนึงถึงอายุ เพศ เชื้อชาติ ความมั่งคั่ง หรือที่อยู่อาศัยของบุคคล ครอบคลุมถึงการรักษาสิทธิใน การเข้าถึงของทุกคน ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและกฎหมายระดับประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ มีการกล่าวถึงแนวคิดของการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ว่าเป็นลักษณะของบุคคลโดยธรรมชาติที่แยกคน กลุ่มหนึ่งออกจากโอกาสที่ผู้อื่นชื่นชอบ ซึ่งในกลุ่มประชากรด้วยกันเอง จะมีคนกลุ่มหนึ่งเข้าถึง ในขณะที่อีกกลุ่มเข้าไม่ถึง บริการ โดยทั้งสองกลุ่มนี้อาจเป็นเชื้อเพลิงซึ่งกันและกัน มากไปกว่านั้น สิ่งที่ท้าทายความคิด คือ ประชากรชายขอบไม่ใช่คน จำนวนไม่กี่คนหรือคนส่วนน้อยเสมอไป จนมีคำกล่าวของ Stuart et al. (2016) ที่ว่า “ที่ชายขอบสุดโต่งของสังคม พวกเขา อาจเป็นประชากรส่วนใหญ่” (p. 18) อย่างไรก็ตาม ผู้เกี่ยวข้องต้องไม่ลืมที่จะตระหนักว่า ไม่ใช่คนชายขอบทุกคนจะยากจน ตามที่ UN ให้ความสำคัญและสร้างความเข้าใจว่ากลุ่มที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังใน SDGs คือ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำเท่านั้น นอกจากนี้ แนวคิดนี้ยังรวมถึงการไม่ทิ้งประเทศไว้ข้างหลัง (Leaving no country behind) ด้วย ซึ่งหมายถึง UN ต้องให้ความสำคัญต่อ การพัฒนาในทุกประเทศ และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำ LNOB ไปใช้ โดยแต่ละประเทศก็ต้องมีความมุ่งมั่นใน การพัฒนาประเทศของตนเองให้ก้าวทันและสู่ความยั่งยืนด้วย 2. คำที่มีการใช้ควบคู่กัน การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับวลี “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นอกจากจะใช้ควบคู่กับข้อความ “การเข้าถึง ผู้ที่เปราะบางที่สุดก่อน” แล้ว ยังมีข้อสังเกตสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า โวหารนี้ถูกนำมาใช้กับคำต่อไปนี้เช่นกัน ได้แก่ (1) เป้าหมาย 3 ตัวอย่างแหล่งข้อมูลจาก UN ที่มีการใช้ตัวย่อ LNOB เช่น https://unsdg.un.org/2030-agenda/universalvalues/leave-no-one-behind, https://unsdg.un.org/resources/leaving-no-one-behind-unsdg-operational-guide-uncountry-teams และ https://lnob.unescap.org/ เป็นต้น


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 53 การพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป็นประเด็นที่เชื่อมโยงกับการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังโดยตรง โดยการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเกิดขึ้น เนื่องมาจากเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่ง LNOB เป็นหนึ่งในหลักการพื้นฐานของ SDGs (2) การเข้าถึงผู้คนเหล่านั้นที่ อยู่ด้านหลังที่สุด (To reach those left furthest behind) ข้อสังเกตประการสำคัญของการใช้วลี “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (UNDP, 2015) ห รื อ to ensure “No one will be left behind” (United Nations Development Programme [UNDP], 2018; 2018 July) ที่ถูกใช้ในบริบทของ SDGs จะมีการใช้ควบคู่กับวลี “การพยายามเพื่อการเข้าถึงผู้ที่อยู่ไกลที่สุด ก่อน” (To endeavour to reach the furthest behind first) (UNDP, 2018 July) หรือข้อความอื่นๆ ที่มีความหมาย เดียวกันนี้ โดยนัยยะของการใช้คำควบคู่กันเช่นนี้ ชี้ให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับกลุ่มหรือคนเปราะบางที่สุดของสังคมก่อน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเป็นคนชายขอบของผู้คน ก็ยังมีลำดับความมากน้อยของความเปราะบางเช่นกัน (3) การคุ้มครองทาง สังคม (Social protection) คำนี้ได้รับความสนใจอย่างมากจากทั่วโลก หลายทศวรรษที่ผ่านมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โปรแกรมการคุ้มครองทางสังคมสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการลดความยากจนและความไม่เท่าเทียมกัน การเพิ่มทุนมนุษย์ และปกป้องชายหญิง เด็กหญิง และเด็กชายจากความเสี่ยง ดังนั้น การคุ้มครองทางสังคมจึงเป็นหนึ่งใน เสาหลักของงานที่มีคุณค่า เป็นวิธีการเข้าถึงผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังมากที่สุด ซึ่งการรวมกันของฐานคิดเหล่านี้ร่วมกับเจตจำนงทาง การเมืองที่เพิ่มขึ้น ได้กระตุ้นความกระหายในการดำเนินการของโครงการคุ้มครองทางสังคมในแทบทุกประเทศทั่วโลก (UNDP, 2015) (4) พื้นฐาน เบื้องต้น หรือลำดับแรก (Primer, principle และ basic) เมื่อมีการระบุถึงการไม่ทิ้งใครไว้ข้าง หลัง คำที่ใช้ควบคู่กันที่น่าสนใจ ได้แก่ Primer (UNDP, n.d.) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า LNOB คือ หลักการพื้นฐาน เบื้องต้น เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในอันดับต้นๆของการดำเนินนโยบาย (5) กลุ่มเปราะบาง คนชายขอบ ชนกลุ่มน้อย คำนี้ใช้ควบคู่ ขยายความข้อความการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังในกลุ่มเป้าหมายต่างๆไว้อย่างชัดเจน หรือเป็นข้อความที่เป็นนัยยะสื่อถึงวาระที่ สำคัญและกลุ่มประชากรหลักของ LNOB และ (6) สิทธิมนุษยชน (Human Rights) จารีตของโลกคำนี้คือหลักการพื้นฐานของ การอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ซึ่งเป็นหลักการแรกที่ส่งเสริมความเท่าเทียมของมนุษย์ ก่อนที่จะนำไปสู่การดำเนินการหรือแนวทาง รวมทั้งการกำหนดกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ตามคำที่มีการใช้ควบคู่กันในข้อที่ (1) ถึง (5) ข้างต้น 3. คำที่เกี่ยวข้องและมีการใช้แทนกัน สำนวนการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังที่มักถูกใช้ควบคู่กับกลุ่มเปราะบางหรือผู้ที่เข้าไม่ถึงโอกาส อย่างไรก็ตาม เอกสาร ทางวิชาการมีการใช้คำอื่นๆ ที่มีความหมายในลักษณะใกล้เคียงกัน เช่น Underserved population ซึ่งหมายถึง ประชากรที่ เผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงและใช้บริการและรวมถึงประชากรที่ไม่ได้รับบริการเนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ศาสนา รสนิยม ทางเพศ อัตลักษณ์ทางเพศ ประชากรที่ด้อยโอกาสทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ ประชากรที่ไม่ได้รับบริการเนื่องจาก ความต้องการพิเศษ (เช่น อุปสรรคทางภาษา ความทุพพลภาพ สถานะการเป็นคนข้ามชาติอายุ เป็นต้น) และประชากรอื่นๆ ที่รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขกำหนดว่าไม่ได้รับการดูแลตามความเหมาะสม (Cornell Law School, n.d.) เช่นเดียวกับที่ IGI Global (n.d.) ที่กำหนดว่าประชากรเข้าไม่ถึงบริการ เปราะบาง และมีความต้องการพิเศษ (Underserved, vulnerable, and special needs populations) หมายถึง สมาชิกชนกลุ่มน้อยหรือบุคคลที่มีประสบการณ์ไม่เท่าเทียมกันทางสุขภาพ ประชากรที่เผชิญกับอุปสรรคและความท้าทายในการเข้าถึงและใช้ทรัพยากร รวมทั้งหมายถึงผู้ที่ไม่มีเข้าไม่ถึงบริการ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารด้วยเหตุผลใดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องมาจากการมีรายได้ต่ำ นอกจากนี้ Dr. Marcella Nunez-Smith (2021, February 23) ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเฉพาะกิจด้านความเสมอภาค ทางสุขภาพในยุคโควิด-19 ได้กล่าวถึงคำเดียวกันนี้ ผ่านการระบุถึงความสำคัญของการใช้ข้อมูลเพื่อให้ทุกคนในประเทศ สหรัฐอเมริกาเข้ารับบริการสุขภาพได้อย่างถ้วนหน้า รวมถึงแรงงานข้ามชาติที่มีจำนวนมากและสำคัญต่อเศรษฐกิจและ อุตสาหกรรมภายใน ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่ยังไม่ได้รับบริการในช่วงโควิด-19 (Underserved populations) ตลอดจนชุมชนชาว ผิวสี ผิวดำและผิวน้ำตาลที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงเป็นสองเท่าเมื่อเทียบกับชาวผิวขาว ให้สามารถมีโอกาสและเข้าถึงบริการได้ อย่างเสมอภาค มากไปกว่านั้น ยังมีการใช้คำว่า Marginalized populationsซึ่งจากบทความของ Montesanti et al. (2017) ได้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 54 ระบุว่าบุคคลสามารถถูกทำให้เป็นชายขอบในบางช่วงของวงจรชีวิตและด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน เช่น สถานะชายขอบของ ผู้ใหญ่อาจเพิ่มขึ้นเมื่อพวกเขากลายเป็นผู้สูงอายุคำว่าชายขอบสามารถประสบกับผู้ที่เกิดมาในชนกลุ่มน้อยโดยเฉพาะ เป็นต้น ขณะที่ Marginalized groups (กลุ่มชายขอบ) ตามการให้ความหมายของ Young African Leaders Initiative (2016, December 12) คือ คนที่ถูกปฏิเสธไม่ให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และสังคมกระแสหลัก ไม่ว่า ด้วยเหตุผลใดก็ตาม โดยคนเหล่านี้จะได้รับผลกระทบในเบื้องต้นจากการเป็นคนชายขอบ คือ มีความเครียด วิตกกังวล โกรธ หรือซึมเศร้า ขณะที่ Girard (2020) ได้ให้ความสำคัญในแง่ของการที่ผู้เกี่ยวข้องระดับนโยบายขาดข้อมูลสำคัญ และการจัดการ กับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคนชายขอบ โดยมีการกล่าวถึงคำว่า Reaching the most marginalized และได้มีการระบุถึงชีวิตที่ ชายขอบ (Life at the margins) ซึ่งให้ความสำคัญเกี่ยวกับสิทธิของคนพิการที่เป็นชนกลุ่มน้อยและชุมชนพื้นเมือง (Minority and indigenous communities) ซึ่งเป็นประชากรที่ถูกมองข้ามและมักถูกกีดกัน รวมทั้งสุขภาพของมารดาและสตรีพื้นเมือง ซึ่งการเข้าถึงข้อมูลของกลุ่มเปราะบางที่สุดนี้ โดยย้ำว่า “สิทธิชนกลุ่มน้อยไม่ได้มีเพื่อให้เกิดการปฏิรูปโลก แต่เพื่อช่วยให้เสียง ที่อู้อี้ของพวกเขาถูกได้ยิน” (para. 7) อย่างไรก็ตาม กล่าวโดยสรุป คำว่า Leaving No One Behind เป็นสำนวนซึ่งเป็นความมุ่งหมาย เป้าหมายของ การดำเนินการ ซึ่งเป็นที่รับรู้โดยอัตโนมัติเมื่อกล่าวถึงข้อความนี้ทุกคนจะเข้าใจตรงกันว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มเปราะบาง ในขณะ ที่คำอื่นๆ ได้แก่ Underserved population, Marginalized populationsและ Minority and indigenous communities เป็น การชี้ถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกเรียกด้วยชื่อต่างๆ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ถูกมองว่าถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าไม่ถึงบริการ เป็น คนชายขอบ ชนกลุ่มน้อย และชุมชนพื้นเมือง ขณะที่ข้อความที่ว่า Reaching the most marginalized สะท้อนถึงคำที่ใช้ ควบคู่กับการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งก็คือ การเข้าถึงคนที่อยู่ไกลที่สุดหรือชายขอบที่สุดก่อน ซึ่งเป็นความหมายใกล้เคียงกัน และสุดท้ายคำว่า Life at the margins บ่งชี้ว่าชีวิตของคนที่อยู่ชายขอบเป็นอย่างไร เสียง(และความทุกข์)ของเขาเหล่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะถูกได้ยินจากคนภายนอกหรือไม่ 4. ความสำคัญของการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ค่านิยมสากลในการปฏิบัติงาน SDGs ของ UN โดยหลักการลำดับที่สอง คือ การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งเป็นคำมั่น สัญญาที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของวาระ 2030 รวมทั้งแสดงถึงความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนของประเทศสมาชิกสหประชาชาติ ในการขจัดความยากจนทุกรูปแบบ ยุติการเลือกปฏิบัติและการกีดกัน ตลอดจนลดความไม่เท่าเทียมและความเปราะบางที่ทิ้ง ผู้คนไว้เบื้องหลังและบ่อนทำลายศักยภาพของบุคคลและมนุษยชาติโดยรวม (UNSDG, 2022a) ทั้งนี้ LNOB ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงคนที่ยากจนที่สุดของคนจนเท่านั้น แต่ยังต้องต่อสู้กับการเลือก ปฏิบัติและความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มสูงขึ้นภายในและระหว่างประเทศ รวมถึงสาเหตุที่แท้จริง สาเหตุหลักของการถูกทิ้งให้อยู่ ข้างหลัง คือ รูปแบบของการเลือกปฏิบัติที่ต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการเลือกปฏิบัติทางเพศ อุปสรรคจำนวนมากที่ผู้คนต้องเผชิญใน การเข้าถึงบริการ ทรัพยากรและโอกาสที่เท่าเทียมกัน สถานการณ์เหล่านี้ไม่ใช่อุบัติเหตุแห่งโชคชะตาหรือการขาดทรัพยากร แต่เป็นผลจากกฎหมายการเลือกปฏิบัติ นโยบาย และแนวปฏิบัติทางสังคมที่ทำให้คนบางกลุ่มล้าหลังมากขึ้นเรื่อยๆ โดย LNOB ในฐานะเป็นหนึ่งในหลักการชี้นำของกรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ โดย UNSDG (2019) ครอบคลุมการใช้สิทธิมนุษยชนเป็นฐาน ความเท่าเทียมทางเพศและการเสริมอำนาจผู้หญิง และความยืดหยุ่นถือเป็นหลักการ สำคัญในการออกแบบแนวทางที่บูรณาการและคุ้มค่าใช้จ่าย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและช่วยป้องกันภัยพิบัติและวิกฤตต่างๆ รวมทั้งความยั่งยืนเป็นแนวทางที่ต้องคงไว้ ขณะที่ความรับผิดชอบถือเป็นกรอบความร่วมมือของระบบการพัฒนาด้วยเช่นกัน 5. LNOB ฐานะที่เป็นค่านิยมสากล (Universal values) ที่ระบุในวาระปี2030 นอกจากนี้ UNSDG (2022b) ได้ระบุถึงค่านิยมสากลว่า "เรามองเห็นโลกของการเคารพสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ในระดับสากล หลักนิติธรรม ความยุติธรรม ความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ การเคารพในเชื้อชาติ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 55 ชาติพันธุ์ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม… โลกที่ยุติธรรม เสมอภาค อดทน และเปิดกว้างในสังคมที่ตอบสนอง ความต้องการของผู้ที่อ่อนแอที่สุด" (para. 2) โดย “ค่านิยมสากลคือสิ่งที่ช่วยให้SDGs สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง….. หากการนำ SDGs ไปปฏิบัติไม่สามารถรักษาค่านิยมเหล่านี้ได้ในที่สุดความก้าวหน้าก็จะกลายเป็นภาพลวงตาในที่สุด” (para. 3) ทั้งนี้ในส่วนของค่านิยมสากลยังได้มีการระบุการขจัดความไม่เท่าเทียมกันทางเพศและการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบ โดย “เข้าถึงผู้ที่อยู่ข้างหลังก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” (para. 4) ความจำเป็นข้างต้นเหล่านี้รวมกันเป็นหลักการ 3 ประการที่ต้องคงไว้ในแนวทางการปฏิบัติของ SDGs ได้แก่ (1) สิทธิมนุษยชนในฐานะหลักการพื้นฐาน (Human rights-based approach) (2) การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Leave no one behind) และ (3) ความเท่าเทียมทางเพศและการเสริมพลังของผู้หญิง (Gender equality and women’s empowerment) ดังแผนภาพ ภาพที่2 ความจำเป็นที่เป็นแนวปฏิบัติตามหลักการชี้นำกรอบความร่วมมือ. หมายเหตุ: Universal Values. by United Nations Sustainable Development Group, 2022b, para 5. Retrieved from https://unsdg.un.org/2030-agenda/universal-values. 6. สิทธิมนุษยชน (Human Rights) ที่ส่งเสริม LNOB ในวาระ 2030 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน วาระ 2030 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนกำหนดวิสัยทัศน์ที่มีพื้นฐานมาจากมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยให้ความเท่าเทียมและการไม่เลือกปฏิบัติเป็นศูนย์กลาง ครอบคลุมสิทธิทางเศรษฐกิจและสังคม สิทธิพลเมือง การเมือง และวัฒนธรรม ตลอดจนสิทธิในการพัฒนา โดยประเทศสมาชิกได้ประกาศวิสัยทัศน์เกี่ยวกับ “โลกแห่งการเคารพสิทธิ มนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หลักนิติธรรม ความยุติธรรม ความเสมอภาค และการไม่เลือกปฏิบัติ ที่เคารพในเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และวัฒนธรรม ความหลากหลาย… โลกที่ลงทุนในลูกหลาน… โลกที่ผู้หญิงทุกคนและเด็กผู้หญิงทุกคนมีความ เท่าเทียมกันทางเพศอย่างเต็มที่…” (para. 8)4 โดยให้คำมั่นว่าจะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และ “การเข้าถึงคนที่อยู่ท้ายสุดก่อน 4 เรามองเห็นโลกของการเคารพในสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หลักนิติธรรม ความยุติธรรม ความเสมอภาค และการไม่เลือกปฏิบัติ ความเคารพต่อเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และความหลากหลายทางวัฒนธรรม และโอกาสที่ เท่าเทียมกันทำให้สามารถบรรลุศักยภาพของมนุษย์อย่างเต็มที่และมีส่วนทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน โลกที่ลงทุนใน ลูกหลานของตนและที่เด็กทุกคนเติบโตขึ้นโดยปราศจากความรุนแรงและการแสวงประโยชน์ โลกที่ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทุกคน มีความเสมอภาคทางเพศอย่างเต็มที่ และอุปสรรคทางกฎหมาย สังคม และเศรษฐกิจทั้งหมดในการเสริมสร้างพลังอำนาจของ พวกเขาได้ถูกขจัดออกไปแล้ว โลกที่ยุติธรรม เสมอภาค อดทน เปิดกว้าง และเปิดกว้างทางสังคม ซึ่งตอบสนองความต้องการ ของผู้ที่เปราะบางที่สุด


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 56 หรือกลุ่มที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังสุดก่อน” โดยการดูแลไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง (para. 4)5 เป็นความมุ่งมั่นทะเยอทะยานส่วนหนึ่ง ที่ถูกนำไปใช้ ทั้งนี้ สิทธิมนุษยชนในฐานะหลักการพื้นฐาน การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และความเท่าเทียมทางเพศและการเสริม พลังของผู้หญิงตามที่กล่าวไว้ในแผนภาพที่ 2 ข้างต้น การดำเนินการตามหลักการชี้นำจะใช้แนวทาง 4 ประการ ดังแผนภาพ ที่ 3 ภาพที่3 แนวทางที่ใช้ในการดำเนินการตามหลักการชี้นำกรอบความร่วมมือ. หมายเหตุ: Universal Values. by United Nations Sustainable Development Group, 2022b, para 7. Retrieved from https://unsdg.un.org/2030-agenda/universal-values. แนวทางที่ใช้ในการดำเนินการตามกรอบข้างต้น ซึ่งได้แก่ (1) มีความสอดคล้องกับบรรทัดฐานและมาตรฐานสากล (Alignment with international norms and standards) (2) มีความเสมอภาคและไม่เลือกปฏิบัติ (Equality and nondiscrimination) (3) การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและมีความหมาย (Active and meaningful participation) และ (4) กลไก ความรับผิดชอบที่แข็งแกร่ง (Robust accountability mechanisms) 7. การสนับสนุนนโยบายสำหรับทีมสหประชาชาติของแต่ละประเทศในการบูรณาการสิทธิมนุษยชนเข้ากับการ ดำเนินการ SDGs หลักการที่สำคัญของการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยฐานคิดของสิทธิมนุษยชน โดย UN (2015) ได้ระบุแนวทางไว้ ดังนี้(1) สหประชาชาติต้องวางความจำเป็นในการจัดการกับความไม่เท่าเทียมกันและการไม่เลือกปฏิบัติเป็นหัวใจสำคัญของ ความพยายามในการสนับสนุนการดำเนินการ SDGs และเป้าหมาย (2) การระบุถึงความไม่เท่าเทียมกันและการเลือกปฏิบัติ รวมถึงการเลือกปฏิบัติแบบแยกส่วน จะต้องเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการวิเคราะห์ซึ่งต้องมีการสร้างหลักฐานและการเก็บ รวบรวมข้อมูลและการแยกส่วนที่อยู่นอกเหนือความเป็นเพศ ภูมิศาสตร์และอายุ เพื่อรวมเหตุผลทั้งหมดของการเลือกปฏิบัติ ที่ต้องห้ามภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ มีการระบุและวิเคราะห์การเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบและสาเหตุต้นตออื่นๆ ของความไม่เท่าเทียมกัน และมีการตอบสนองที่เหมาะสมผ่านกฎหมาย นโยบาย และแผนงานเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ (3) การจัดการกับความไม่เท่าเทียมทางเพศต้องมีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากการเลือกปฏิบัติตามเพศยังคงเป็นรูปแบบ การเลือกปฏิบัติที่แพร่หลายที่สุด ซึ่งถือเป็นการกีดกั้นไม่ให้ประชากรครึ่งหนึ่งของโลกได้พัฒนาจนเต็มศักยภาพ (4) การจัดการ กับสาเหตุของการพลัดถิ่นและการย้ายถิ่น ผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลและกลุ่มต่างๆโดยเน้นที่สิทธิของผู้ได้รับผลกระทบจาก 5 เมื่อเราเริ่มต้นการเดินทางร่วมกันที่ยิ่งใหญ่นี้ เราให้คำมั่นว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยตระหนักว่าศักดิ์ศรีของ มนุษย์เป็นพื้นฐาน เราต้องการที่จะเห็นเป้าหมายและเป้าหมายที่บรรลุสำหรับทุกประเทศและทุกชนชาติและทุกภาคส่วนของ สังคม และเราจะพยายามไปให้ไกลที่สุดก่อน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 57 ความขัดแย้ง ความรุนแรง ภัยพิบัติและความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ความไม่เท่าเทียมกันและการเลือกปฏิบัติต้องเป็น องค์ประกอบหลักในการบรรลุSDGs (5) ความร่วมมือใหม่กับองค์กรภาคประชาสังคมและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ โดยวิธีการ และแหล่งข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรวมตัวบ่งชี้ที่จะวัดความไม่เท่าเทียมกันและการเลือกปฏิบัติที่มีอยู่ และ (6) สหประชาชาติ ควรใช้และสนับสนุนการใช้แนวทางที่ยึดหลักสิทธิมนุษยชนอย่างสม่ำเสมอในการวางแผน ออกแบบ ดำเนินการ และติดตาม SDGs ทั้งหมด เพื่อลดความไม่เท่าเทียมกันและการเลือกปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ความพยายามควรมุ่งเป้าไปที่ การบรรลุความเท่าเทียมกันทั้งที่เป็นทางการและในสาระสำคัญ และต้องมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับอุปสรรคด้านโครงสร้าง การย้อนกลับของการกระจายอำนาจ ทรัพยากรและโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกัน และการท้าทายกฎหมายการเลือกปฏิบัติบรรทัด ฐานทางสังคมและแบบแผนที่ทำให้ความไม่เท่าเทียมกันและความเหลื่อมล้ำคงอยู่ต่อไป นโยบายข้างต้น จะสังเกตได้ว่า UN ใช้หลักการของสิทธิมนุษยชนเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนนโยบาย ซึ่งอาจ ตีความได้ว่า หากการละเมิดสิทธิมนุษยชนยังคงมีอยู่ในสังคมโลก การทิ้งใครไว้ข้างหลัง ย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาอย่าง แน่นอน ดังนั้น ข้อความหลักที่ UN ให้ความสำคัญซึ่งปรากฏในฐานคิดทุกประเด็น คือ “การจัดการกับความไม่เท่าเทียมและ การเลือกปฏิบัติ” “ประชากรย้ายถิ่น” และรวมถึง “การร่วมมือของภาคีและการสนับสนุน” ซึ่งการบูรณาการทั้ง 6 แนวทาง ข้างต้น ครอบคลุมทั้งหลักการ กลุ่มเป้าหมาย และวิธีการดำเนินการในการที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง กุญแจสำคัญในการประเมิน LNOB และการนำไปปฏิบัติโดยใช้แนวทางหลัก การนำวาระ 2030 มาใช้ใน 193 ประเทศสมาชิกสหประชาชาติซึ่งให้คำมั่นที่จะรับประกันว่า "จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ ข้างหลัง" และ "พยายามไปให้ไกลที่สุดก่อน" จากบทความของ UNDP (2018, July) ยืนยันว่าการจะเข้าใจคนที่ถูกทิ้งไว้ ข้างหลัง และเพื่อกำหนดรูปแบบการตอบสนองที่มีประสิทธิภาพ ควรประเมิน LNOB ด้วยกุญแจสำคัญ 5 ประการ คือ (1) การเลือกปฏิบัติ(Discrimination) การกีดกันหรือการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมที่ผู้คนต้องเผชิญโดยพิจารณาจาก ลักษณะเฉพาะของตนอย่างน้อยหนึ่งด้าน (กำหนดหรือสันนิษฐาน) รวมถึงเพศ เชื้อชาติอายุชนชั้น ความทุพพลภาพ รสนิยม ทางเพศ ศาสนา สัญชาติชนพื้นเมือง สถานะการอพยพ ฯลฯ (2) ภูมิศาสตร์(Geography) ผู้ที่อดทนต่อความโดดเดี่ยว ความเปราะบาง การขาดหายไปหรือเข้าไม่ถึงบริการสาธารณะ การคมนาคมขนส่ง อินเทอร์เน็ต หรือช่องว่างด้านโครงสร้าง พื้นฐานอื่นๆ เนื่องจากที่อยู่อาศัยของพวกเขา (3) ธรรมาภิบาล (Governance) สถานที่ใดที่ประชาชนต้องเสียเปรียบเพราะ ไร้ประสิทธิภาพ ไม่ยุติธรรม ไร้ความรับผิดชอบ หรือสถาบันระดับโลก ระดับชาติและ/หรือระดับย่อยที่ไม่ตอบสนองต่อ นโยบาย ผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่เท่าเทียม กฎหมาย นโยบาย กระบวนการ หรืองบประมาณไม่เพียงพอหรือไม่ยุติธรรม เขาเหล่านั้นมีอิทธิพลหรือมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขาหรือไม่ (4) สถานภาพทาง เศรษฐกิจและสังคม (Socio-economic status) การถูกลิดรอนหรือเสียเปรียบในด้านรายได้ชีวิต ความคาดหวังและ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ใครมีโอกาสน้อยที่จะรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ได้รับการดูแลและมีการศึกษา การแข่งขันใน ตลาดแรงงาน การรับความมั่งคั่งและ/หรือผลประโยชน์จากการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพ น้ำสะอาด สุขาภิบาล พลังงาน การคุ้มครองทางสังคม และบริการทางการเงิน และ (5) แรงกระแทกและความเปราะบาง (Shocks and fagility) ใครบ้างที่ เปราะบางต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติความรุนแรง ความขัดแย้ง การพลัดถิ่น ภาวะ ฉุกเฉินด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ ภาวะขาลง ราคา หรือแรงกระแทกอื่นๆ โดยกุญแจนำทาง ทั้ง 5 ประการนี้สามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้โดยใช้ 3 แนวทางหลัก ได้แก่ (1) การตรวจสอบข้อเสีย หรือจุดอ่อนที่ผู้คนต้องเผชิญหน้า (2) การให้อำนาจแก่ผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หรือผู้ที่เสี่ยงต่อการถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และสุดท้าย (3) การบังคับใช้นโยบาย SDGs ที่ครอบคลุม มองการณ์ไกล และเร่งด่วน ตามแนวทางที่ UNDP (2018) ได้กำหนดไว้ตาม ตารางที่ 1


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 58 ตารางที่ 1 แนวทางการสนับสนุน “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และ “พยายามเข้าถึงคนที่เปราะบางที่สุดก่อน” การสนับสนุนจาก UNDP Examine Empower Enact การสำรวจว่าทำไม คนถึงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง การให้อำนาจแก่ผู้ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง การออกนโยบาย กฎหมาย ปฏิรูป การแทรกแซงเพื่อเผชิญหน้ากับ ผู้ขับเคลื่อนที่ทิ้งผู้คนไว้ข้างหลัง SDGs (1) การดำเนินการแบบบูรณาการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังการประเมิน” โดยใช้กรอบการทำงานที่นำเสนอใน ที่ นี้ เป็ นจุ ดเริ่มต้ นของการคิ ด วิเคราะห์และดำเนินการ (1) อำนวยความสะดวกในแนวทางตามสิทธิการ เขียนโปรแกรมที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมที่มี ความหมายการมีส่วนร่วมของพลเมืองและ การสนับสนุนบทบาทของประชาชน ชุมชน และ องค์กรภาคประชาสังคมเพื่อกำหนดรูปแบบ การตัดสินใจของสาธารณชนและให้รัฐบาล รับผิดชอบในการตระหนักถึงสิทธิของตน (1) การบูรณาการคำมั่นสัญญาว่าจะ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังในกลยุทธ์SDGs แผนงาน และงบประมาณผ่านแนวทาง ที่เน้นความเท่าเทียมและอิงตามสิทธิ (2) เสริมสร้างขีดความสามารถของ ประเทศในการรวบรวม วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลและหลักฐานที่แยก ส่วนรวมถึงการทำความเข้าใจข้อเสีย และการกีดกันที่ทิ้งผู้คนไว้ข้างหลัง (2) สนับสนุนรัฐบาลเพื่อให้แน่ใจว่าการรายงาน SDGsติดตามและทบทวน โดยมีประชาชนเป็น ศูนย์กลาง มีความอ่อนไหวทางเพศเคารพสิทธิ มนุษยชน และให้ความสำคัญกับผู้ที่อ่อนแอที่สุด และอยู่เบื้องหลัง (2) ส่งเสริมกฎหมาย นโยบายแคมเปญ ข้อมูลสาธารณะที่เน้นความเท่าเทียม และตามสิทธิ กรอบการทำงานเพื่อ จัดการกับการตีตราและการเลือกปฏิบัติ (3) ทำงานร่วมกับรัฐบาล สถาบัน สิทธิมนุษยชนแห่งชาติและภาค ประชาสังคมเพื่อสร้างสถาบันกลไก การตอบรับของชุมชนและรวบรวม ข้อมูลที่มีผู้คนเป็นศูนย์กลาง (3) การขยายโอกาสให้กับภาคประชาสังคมใน ท้องถิ่น สถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและ ชุมชนเครือข่ายเพื่อดึงดูดผู้มีอำนาจตัดสินใจ รวมถึงสร้างฉันทามติเกี่ยวกับนโยบายที่จำเป็น ต่อจัดการกับช่องว่างในความคืบหน้าSDGs โดย คำนึงถึงภาระหน้าที่ของรัฐและคำแนะนำจาก องค์กรสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชน (3) ส่งเสริมความเป็นท้องถิ่นของ SDGs เพื่อทำความเข้าใจและจัดการกับอัตรา ความก้าวหน้าที่แตกต่างกัน กำหนด SDGs กลไกสนับสนุนและขีดความ สามารถในระดับกลาง ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น (4) เปิดใช้งานการใช้หลักฐานที่มีอยู่ ทั้งหมดเพื่อทำความเข้าใจและติดตาม ความคืบหน้า SDGs ที่อยู่เบื้องหลัง และเปราะบางที่สุดเมื่อเทียบกับผู้อื่น (4) เสริมสร้างขีดความสามารถของผู้มีบทบาท ภาคประชาสังคม การขยายและปกป้องพื้นที่ สำหรับการมีส่วนร่วมของประชาชนในชีวิตทาง การเมืองและชีวิตสาธารณะ (4) การสร้างระบบธรรมาภิบาลท้องถิ่นที่ รับผิดชอบ ตอบสนอง และครอบคลุม เพื่อลดความไม่เท่าเทียมกัน (5) ระดมทุกระดับของรัฐบาลชุมชน ชายขอบ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และ พันธมิตรเพื่อเติมเต็มช่องว่างใน ข้อมูลที่แยกส่วนด้วยการสำรวจและ การลงทะเบียนที่ได้รับการปรับปรุง เทคนิคและเทคโนโลยีใหม่การสำรวจ การรับรู้ความรู้ของผู้ปฏิบัติงาน กลไกการมีส่วนร่วม ฯลฯ (5) การสร้างขีดความสามารถของหน่วยงาน ระดับชาติและระดับท้องถิ่นเพื่อให้ครอบคลุม ตอบสนองและรับผิดชอบต่อประชากรของพวก เขาโดยเน้นเป็นพิเศษที่เบื้องหลังของผู้คนและ สถานที่ (5) สนับสนุนรัฐบาลและผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียอื่นๆเพื่อระบุและรายงานอย่างมี ประสิทธิภาพในพื้นที่เป้าหมายSDGs ที่ ประสบความสำเร็จและมีความทะเยอ ทะยานที่จำเป็นต่อการไม่ทิ้งใครไว้ ข้างหลัง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 59 การสนับสนุนจาก UNDP Examine Empower Enact การสำรวจว่าทำไม คนถึงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง การให้อำนาจแก่ผู้ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง การออกนโยบาย กฎหมาย ปฏิรูป การแทรกแซงเพื่อเผชิญหน้ากับ ผู้ขับเคลื่อนที่ทิ้งผู้คนไว้ข้างหลัง SDGs (6) ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมทางการ เมืองของสตรีและเยาวชนในรัฐสภาและขั้นตอน การเลือกตั้งในฐานะผู้สมัครและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (6) ส่งเสริม สนับสนุน และเรียนรู้จาก นโยบายและการแทรกแซงเพื่อปรับปรุง โอกาสและความสามารถของคน กลุ่ม และชุมชน และรัฐบาล ตามลำดับ (7) การประเมินทางเลือกด้านการเงินที่ ไม่ทิ้งนโยบายและการแทรกแซง จากตารางข้างต้น การตระหนักถึงโอกาสที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อบรรลุความมุ่งมั่นในการบรรลุวาระ 2030 บทความนี้เสนอว่าประเทศต่างๆ ใช้แนวทางแบบบูรณาการ โดยอาศัย “อำนาจ” ที่เสริมกำลังซึ่งกันและกันเพื่อตรวจสอบให้ อำนาจ และบังคับใช้การเปลี่ยนแปลง ซึ่งประกอบไปด้วย (1) การสำรวจว่าทำไมคนจึงถูกทิ้งไว้ข้างหลัง (Examine why people are left behind) เพื่อทำความเข้าใจและจัดการกับผู้ขับเคลื่อนที่ทิ้งผู้คนไว้ข้างหลัง ประเทศต่างๆ จะต้องรวบรวม และใช้ข้อมูลที่รอบด้าน และข้อมูลที่ขับเคลื่อนโดยภาคประชาชนมากขึ้นเรื่อยๆ (2) การให้อำนาจแก่ผู้ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง (Empower those who are left behind) เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย SDGs คนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจะต้องเป็นตัวแทนของ การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเต็มที่และเท่าเทียมกัน จำเป็นต้องมีการดำเนินการเร่งด่วนเพื่อให้อำนาจพวกเขา รวมถึงการสร้าง ความมั่นใจว่าการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในการตัดสินใจและการจัดตั้งกลไกที่ปลอดภัยและครอบคลุมสำหรับการมี ส่วนร่วมของพลเมือง และ (3) การออกนโยบาย กฎหมาย ปฏิรูป การแทรกแซงเพื่อเผชิญหน้ากับผู้ขับเคลื่อนที่ทิ้งผู้คนไว้ข้าง ห ลั ง SDGs (Enact policies, laws, reforms, interventions to confront the drivers that leave people behind across SDGs) ผู้ปฏิบัติหน้าที่และผู้มีอำนาจจะต้องกำหนดรูปแบบ ส่งมอบ และปรับปรุงนโยบายที่มุ่งเป้าไปที่ขจัดความไม่เท่าเทียม กันและรักษามาตรฐานขั้นต่ำของความเป็นอยู่ที่ดี กล่าวโดยสรุป กุญแจทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ การเลือกปฏิบัติ ภูมิศาสตร์ ธรรมาภิบาล สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม และแรงกระแทกและความเปราะบาง จะสามารถนำไปใช้ได้ด้วยแนวทางของการสำรวจสาเหตุการให้อำนาจกลุ่มเปราะบาง และการออกนโยบายของผู้มีอำนาจ ที่จะช่วยให้ LNOB เกิดขึ้นได้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีตัวอย่างและความท้าทายของการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เนื้อหา “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ตามที่ได้จากการทบทวนวรรณกรรมและนำเสนอในสองส่วนแรกของบทความนี้ อาจเป็นข้อมูลของหลักการที่มีความเป็นนามธรรม ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างสถานการณ์จริงและการบริหารจัดการเพื่อ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความหมายของคนชายขอบหรือกลุ่มเปราะบาง และเงื่อนไข ข้อจำกัดเฉพาะ ของนโยบายภายใต้สถานการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลต่อการจัดลำดับความสำคัญหรือการเข้าถึงบริการของประชาชนและกลุ่มที่ ถูกนิยามว่าเปราะบาง ดังนี้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 60 กรณีตัวอย่างจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern [PHEIC]) มีบทเรียนรู้ที่น่าสนใจหลายประการที่กลายเป็นความจดจำ ที่ไม่อาจลืมของผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งหากวิเคราะห์การดำเนินการของประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ในมิติของสุขภาพ โดยเชื่อมโยง กับหลักการการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มีประเด็นที่น่าสนใจ จำแนกได้ดังนี้ 1. วัคซีนโควิดกับการจัดลำดับกลุ่มเป้าหมายในสังคมไทย 1.1. เปราะบางที่(อาจ)ไม่ใช่ยากจน แต่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นภัยทางธรรมชาติที่ถือได้ว่ามีความรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นต่อมวล มนุษยชาติรวมทั้งส่งผลกระทบในวงกว้างและทุกมิติของชีวิต โดยทุกประเทศใช้มาตรการต่างๆ ตามที่องค์การอนามัยโลก กำหนดเป็นแนวทางในการส่งเสริม ป้องกัน และรักษาสุขภาพให้รอดพ้นจากโรคระบาดนี้ จนกระทั่งวัคซีนได้ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อ ช่วยป้องกันและลดความรุนแรงของโรคเมื่อมีการติดเชื้อ สิ่งที่น่าสนใจคือ ขณะที่ประเทศไทยมีข้อจำกัดเรื่องปริมาณของวัคซีน ที่ไม่สามารถให้บริการทุกคนได้อย่างถ้วนหน้า เพียงพอในระยะวิกฤตของการระบาด จึงมีการจัดลำดับความสำคัญของการให้ วัคซีนในกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เป็นต้น ซึ่งความเปราะบางของกลุ่มนี้ เป็นความอ่อนแอทางสรีรวิทยาและกายวิภาคศาสตร์ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อด้วยความสูงวัยและ ภูมิต้านทานของร่างกายที่ลดลง รวมทั้งพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีข้อจำกัด ดังนั้น ถ้าติดเชื้อแล้วก็จะมีความเสี่ยงสูงที่อาการป่วย จะมีความรุนแรง และมีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ ทั้งนี้ หากพิจารณาในมิติของสุขภาพ อาจมีคำอธิบายว่า กลุ่มเปราะบางที่เข้าถึงวัคซีนก่อนกลุ่มอื่นๆ คือ กลุ่มที่มีความเสี่ยงตามข้างต้น น่าจะเป็นการอธิบายที่สามารถเข้าใจได้อย่างเป็นเหตุและผล เนื่องจากสถานการณ์การระบาด ครั้งนี้ ผู้ที่มีความเปราะบางที่สุด คือ กลุ่มที่เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและเสียชีวิต เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ดังเช่นที่ Braveman (2014) เห็นว่าความเสมอภาคเป็นความพยายามให้มีมาตรฐานด้านสุขภาพที่สูงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้สําหรับทุกคน และให้ความ สนใจเป็นพิเศษต่อความต้องการของผู้ที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการมีสุขภาพที่ไม่ดีด้วยเหตุผลทางวิชาการนี้จึงทำให้กลุ่มนี้มี สิทธิได้รับและเข้าถึงวัคซีนก่อน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า กลุ่มนี้“ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะวัยและสถานะสุขภาพมีความเสี่ยงที่สุด” ซึ่งเป็นตัวอย่างของกลุ่มที่อยู่ในความหมายของความเปราะบางและเป็นกลุ่มที่ถูกให้ความสำคัญและเข้าถึงบริการสุขภาพก่อน กลุ่มอื่น 1.2 เปราะบางที่ไม่ใช่ชายขอบ แต่เป็นด่านหน้าที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่ากลุ่มอื่น บุคลากรสุขภาพ ซึ่งถือเป็นผู้ให้บริการด่านหน้าที่สำคัญที่สุดที่ต้องเผชิญกับความหลากหลายของการเจ็บป่วย ของผู้ใช้บริการ รวมทั้งการให้บริการตรวจ ป้องกันโรค และรักษาพยาบาลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ดังนั้น แม้กลุ่มนี้จะไม่ใช่คนชาย ขอบ และอาจไม่เกี่ยวข้องกับความเปราะบางหรือความยากจน แต่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับวัคซีนก่อนกลุ่มอื่นๆ เพื่อให้ ตนเองมีภูมิคุ้มกันร่างกายเมื่อต้องให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชนที่มีความหลากหลาย ขณะเดียวกัน สมาชิกสายตรงใน ครอบครัวของบุคลากรสุขภาพเป็นอีกกลุ่มต่อเนื่องที่ได้รับวัคซีนด้วย เนื่องจากการอยู่อาศัยในครอบครัวเดียวกับบุคลากร สุขภาพ จึงทำให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากการที่สมาชิกในครอบครัวสัมผัสจากการให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนและ ผู้ป่วย จะเห็นได้ว่า กลุ่มบุคลากรสุขภาพและญาติสายตรง อาจไม่ใช่กลุ่มที่เป็นตัวอย่างของความหมาย กลุ่มเปราะบางหรือชายขอบ แต่ได้รับสิทธิในการเข้าถึงวัคซีนก่อนกลุ่มอื่นๆ ด้วยเหตุผลข้างต้น กล่าวโดยสรุป นี้คือตัวอย่าง ของการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ต่อการ(ให้)เข้าถึงของกลุ่มเสี่ยงตามนโยบายของรัฐ ซึ่งจะเห็นได้ว่า แต่ละสถานการณ์ที่ เกิดขึ้นในสังคม รวมทั้งลักษณะภัยพิบัติที่เกิดขึ้น มีผลต่อการให้ความหมายของกลุ่มเปราะบาง ชายขอบ และการจัดลำดับ บริการก่อนหลัง สองกรณีข้างต้นนี้จะสังเกตได้ว่า คนที่เข้าถึงบริการวัคซีนได้ก่อนในช่วงแรกของการระบาด ไม่ใช่


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 61 กลุ่มเปราะบางทั้งหมดตามการให้นิยามโดยทั่วไปตามที่นำเสนอในเนื้อหาในบทความส่วนที่ 1 และ 2 เท่านั้น แต่รวมถึงกลุ่มที่ สุขภาพแข็งแรง (อาจ)ไม่ใช่กลุ่มที่รายได้ต่ำ ไม่ใช่คนส่วนน้อยของสังคม…สถานการณ์เช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มเปราะบาง ยังคงมีความหมายเพียงกลุ่มชายขอบ หรือกลุ่มที่มีความยากจน ช่วยเหลือตนเองได้น้อยเท่านั้นใช่หรือไม่ และความหมายของ กลุ่มเปราะบางควรจะเป็นอย่างไรในสถานการณ์ต่างๆ กรณีนี้อาจสะท้อนได้ว่าในสถานการณ์ PHEIC เช่นนี้ ความเปราะบาง เนื่องมาจาก “การเผชิญความเสี่ยงด้านสุขภาพมากกว่าคนอื่น” หรือ “ความเปราะบางของบุคคล ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงต่อ ชีวิต” ทั้งนี้ข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือ การให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้มีโรคประจำตัว และรวมถึง บุคลากรสุขภาพด่านหน้า อาจถือว่า เป็นการไม่ทอดทิ้ง(ไว้ข้างหลัง) แต่ในขณะเดียวกัน ในช่วงแรกสังคมไทยอาจละเลย ความเปราะบางของบุคคลกลุ่มอื่นๆ เช่น แรงงานข้ามชาติ กลุ่มคนเร่ร่อน กลุ่มที่ไม่มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ในการ จัดลำดับและให้ลงทะเบียนเข้ารับวัคซีน เป็นต้น…สถานการณ์เช่นนี้ ยังเรียกได้ว่า เป็นการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หรือเข้าถึงคนที่ อยู่ข้างหลังสุดก่อน ได้หรือไม่ หรือยังเป็นการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่เลือกที่จะจัดลำดับให้คนที่เสี่ยงที่สุดได้รับวัคซีนก่อน โดยเฉพาะพลเมืองของประเทศ ซึ่งนั่นหมายถึง พลเมืองของประเทศมีความเปราะบางมากกว่าผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะวิเคราะห์หรือตัดสินว่านี้คือหลักการที่ตายตัว ภายใต้สถานการณ์ข้อจำกัดด้านวัคซีน และ ทรัพยากรสุขภาพที่มีไม่พอสำหรับทุกคนในประเทศ 2. การเข้าถึงหน่วยบริการสุขภาพของต่างประเทศ 2.1 แม้เปราะบางมากกว่า แต่เข้าไม่ถึงในวันที่ทรัพยากรมีจำกัด กรณีสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศอิตาลี ที่มีการรายงานถึงการจะไม่รักษาผู้สูงอายุที่ติด เชื้อและอายุมากกว่า 80 ปี เนื่องมาจากเครื่องมือ เทคโนโลยีทางการแพทย์มีไม่เพียงพอสําหรับผู้ป่วยทุกคน โดยเป็นไปไม่ได้ ที่หน่วยบริการสุขภาพจะให้บริการผู้ป่วยหนักได้ทุกคน เมื่อเป็นเช่นนั้น บุคลากรสุขภาพอาจถูกบังคับด้วยสถานการณ์ให้ จัดลําดับความสําคัญของการให้การดูแลสําหรับผู้ที่มีโอกาสที่ดีที่สุดของความสําเร็จ (Dunn, 2020) ซึ่งก็หมายถึง ให้การดูแล ผู้ติดเชื้อที่มีโอกาสรอดชีวิตก่อน ดังนั้น จะเห็นได้ว่า เมื่อพิจารณากรณีนี้จะเห็นได้ว่า แม้ผู้สูงอายุหรือผู้มีอายุมากมี ความเปราะบางมากกว่า (เช่นกรณีการเข้าถึงวัคซีนของไทย) กลุ่มผู้ที่มีอายุน้อยกว่า แต่จะไม่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่มี จำกัดได้ เนื่องจากทรัพยากรสุขภาพที่มีถูกเลือกให้กับผู้ที่มีโอกาสรอดชีวิตมากกว่า…สถานการณ์เช่นนี้ จะมองได้ว่า เป็นการทิ้ง กลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้มีอายุมากไว้ข้างหลังได้หรือไม่ กรณีเช่นนี้ สะท้อนถึงว่ากลุ่มเปราะบางถูกทิ้งไว้ข้างหลังเพราะความสูงวัย(และทรัพยากรสุขภาพมีจำกัด) ดังนั้น ความเปราะบางไม่เพียงถูกนิยามและจัดการต่างกันในแต่ละประเทศ แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ด้วย 2.2 ความเสี่ยง(ความเปราะบาง)เท่ากัน แต่ความเป็นพลเมืองสำคัญกว่าคนย้ายถิ่น นอกจากนี้ ในช่วงที่การระบาดมีความรุนแรง มีหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยที่ให้ความสําคัญใน การป้องกันและรักษาต่อพลเมืองของตนเองมากกว่าคนย้ายถิ่น ผู้ลี้ภัย หรือแรงงานข้ามชาติ เนื่องด้วยข้อจํากัดด้าน หลักประกันสุขภาพและความไม่เพียงพอของเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ช่วยชีวิต เมื่อทรัพยากรสุขภาพมีไม่เพียงพอสำหรับคน ทุกคนในเวลาเดียวกันในภาวะวิกฤต พลเมืองของประเทศนั้นๆ จึงเข้าถึงบริการสุขภาพได้ก่อนหรือเร็วกว่า (ดังเช่นสถานการณ์ ในข้อที่ 3.1.2 ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยเช่นกัน) ทั้งๆที่กลุ่มย้ายถิ่นอยู่ในกลุ่มตัวอย่างความหมายของประชากรเปราะบาง ตามที่ UN ได้เน้นย้ำไว้ก็ตาม อาจกล่าวได้ว่า “ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะไม่ใช่พลเมืองของประเทศ” หรือ “แม้ไม่ใช่กลุ่ม เปราะบาง แต่ความเสี่ยงของพลเมืองในประเทศสำคัญกว่า” กรณีตัวอย่างและคำอธิบายข้างต้นที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจไม่สามารถ ตอบเรื่องการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังได้อย่างสมบูรณ์ในทุกสถานการณ์ เมื่อพิจารณาบริบทการจัดการของประเทศอื่นๆ ที่เผชิญ สถานการณ์วิกฤตของการระบาด เช่น บางประเทศเลือกที่จะให้ผู้ที่สุขภาพแข็งแรงได้อยู่รอดก่อน เมื่อทรัพยากรสาธารณสุขมี


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 62 จำกัด หรือกรณีของโควิด-19 อาจมองได้ว่า การป้องกันโรคด้วยวัคซีนเป็นการมุ่งไปที่กลุ่มเปราะบางหรือผู้มีความเสี่ยงก่อน ส่วนการรักษามุ่งไปที่ผู้ที่มีโอกาสรอดชีวิต (ซึ่งอาจมีปัจจัยเรื่องอายุที่มีความเกี่ยวข้องหรือมีความเสี่ยงต่อภาวะสุขภาพเข้ามา เกี่ยวข้องด้วย) เหล่านี้ คือความท้าทายในเชิงรูปธรรมเมื่อนำหลักการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังไปปฏิบัติจริง โดยปฏิเสธไม่ได้ว่า แต่ละสถานการณ์ยังมีเงื่อนไขภายในที่มีชุดข้อมูลทางวิชาการเป็นแนวทางในการปฏิบัติด้วย ดังนั้น การจะคำนึงถึงและให้ ความหมายของผู้ที่อยู่ข้างหลังคือกลุ่มเปราะบาง กลุ่มชายขอบ อาจไม่เพียงพอ ไม่เสมอไป ในการให้นิยามที่เป็นเอกภาพเมื่อ นำหลักการนี้ไปปฏิบัติจริงในสถานการณ์และบริบทต่างๆ ของสังคมโลก 3. ความท้าทายต่อสถานะของ “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ปฏิเสธไม่ได้ว่า LNOB เป็นหลักการที่สวยหรูซึ่งแฝงไปด้วยกลไกที่มีความท้าทายในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน ตามที่นักวิชาการได้ให้ความเห็นต่อข้อความนี้ในหลากหลายมิติ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลการทบทวน วรรณกรรมข้างต้น ผู้เขียนมองความท้าทายของ LNOB ได้ดังนี้ (1) สถานะที่เป็นหลักการสำคัญ คำมั่นสัญญา หัวใจสำคัญใน การขับเคลื่อนความสำเร็จของ SDGs โดยความท้าทายที่สำคัญและยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนคือ หลักการพื้นฐานนี้จะนำไปสู่ การดำเนินการจริงได้หรือไม่ และการขับเคลื่อนด้วยหลักการนี้ โดยการไม่ให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย จะทำ ให้บรรลุ การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ได้จริงหรือไม่ (2) สถานะที่ย้ำเตือนให้ผู้ปฏิบัติต้องเป็นผู้นำด้านการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน หากผู้เกี่ยวข้องยังไม่ตระหนักและเคารพในสิทธิของมนุษย์ที่มีไม่ต่างกัน มองไม่เห็นความเหลื่อมล้ำ อาจทำให้มองเห็น แต่ตนเอง กลุ่มของตนเอง โดยไม่เห็นคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง (3) สถานะที่ไม่ใช่เพียงสำนวนโวหารที่สวยหรูหรือกำลังนำไปสู่ การเปลี่ยนแปลงที่วัดผลได้จริง (The BMJ, n.d.) เป็นที่รับรู้ว่าข้อความนี้มีนัยยะซ่อนอยู่ในหลายแง่มุม ทั้งการเคารพสิทธิของ ผู้อื่น การให้ความสำคัญกับคนชายขอบ การไม่มองความเป็นอื่น รวมทั้งเป็นคำพูดที่สะท้อนถึงการดูแลทุกคนในสังคมอย่าง เท่าเทียม แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่า การนำข้อความนามธรรมนี้สู่ความเป็นรูปธรรมจะวัดผลของการดำเนินการได้อย่างไร เครื่องมือที่ใช้วัดมีความเหมาะสมและถูกต้องหรือไม่ที่จะครอบคลุมสิทธิของทุกคนในสังคมโลก และ (4) สถานะที่ไม่ใช่เพียง แนวคิดที่อยู่ในกระดาษ เป็นข้อความที่มีพลังแต่ไม่มีชีวิตในกระดาษ จะถูกนำออกสู่โลกความเป็นจริงในสถานการณ์ บริบท และท่ามกลางความหลากหลายของชีวิตมนุษย์ที่มีความเป็นพลวัตและมีโอกาสในการเข้าถึงบริการแตกต่างกัน ได้อย่างไร ความท้าทายเหล่านี้ เป็นคำถามที่รอคำตอบต่อสถานะ “จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้อย่างไร” จะมีการ ดำเนินการในฐานะที่ LNOB เป็นหลักการ เครื่องมือ และการเข้าถึงกลุ่มเปราะบางและคนชายขอบในสังคมอย่างแท้จริง ได้ อย่างไร อย่างไรก็ตาม หากมองว่า การถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ส่วนหนึ่งมาจากความยากจนซึ่งเป็นปัญหาที่ซับซ้อน ก็ต้องยอมรับว่า การขจัดความยากจนไม่ใช่เพียงหรือมีเพียงการดำเนินการในรูปแบบที่เป็นการกุศลเท่านั้น แต่ต้องมีกลยุทธ์ที่ครอบคลุม เพื่อ ลดความไม่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การเสริมสร้างสิทธิแรงงาน และอื่นๆ ซึ่งจะมีส่วนทำให้การไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังเป็นจริงได้ (GHW5, 2017) มากไปกว่านั้น ต้องยอมรับว่าการพัฒนาที่ไม่ทิ้งใครไว้ ข้างหลังจะเป็นไปไม่ได้เลย หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระบบที่หยั่งรากลึก ไม่ว่าจะเป็น ระบบเศรษฐกิจและการเมือง ที่มักจะอยู่บนพื้นฐานของการกระจายความมั่งคั่งและอำนาจการตัดสินใจที่ไม่เท่าเทียมกัน (United Nations Committee for Development Policy, 2018) บทสรุป UN ใช้หลักการพื้นฐานในวาระแห่งการพัฒนา ปี 2030 โดยการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ควบคู่กับคำว่า “เข้าถึง ผู้ที่อยู่ไกลที่สุดหรือผู้ที่มีความเปราะบางที่สุดก่อน” เป็นรากฐานของการปฏิบัติตาม SDGs ซึ่งการเดินทางตามนโยบายนี้ ผ่าน มาเกือบถึงครึ่งทางแล้ว จากปี 2015 จนถึงปีปัจจุบัน (ปี 2022) อย่างไรก็ตาม สำนวนนี้เหมือนเป็นความคุ้นชิน คุ้นเคยของ นักพัฒนาหรือผู้กำหนดนโยบายด้านสังคมอยู่ก่อนแล้ว การเกิดขึ้นของ SDGs จึงเหมือนเป็นการนำสำนวนนี้มาย้ำเตือน ให้ผู้เกี่ยวข้องได้ตระหนักร่วมกันอีกครั้ง มากไปกว่านั้น การใช้คำควบคู่กันของ UN ในกรณีนี้ ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มเป้าหมาย


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 63 ที่เปราะบาง ยังมีระดับความเปราะบาง ความเป็นชายขอบที่แตกต่างกัน หลักการจึงมุ่งไปที่คนที่อยู่ไกลหรืออ่อนแอที่สุดก่อน เนื่องจากอาจมีความจำเป็นและต้องการการช่วยเหลือมากที่สุด หรือหากพิจารณาในอีกแง่ การมุ่งไปที่คนสุดท้ายก่อนแล้วค่อย ขยับมายังกลุ่มอื่นๆ ก่อนหน้าที่เปราะบางน้อยกว่า เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครตกหล่นจากการเข้าถึงบริการ แต่ที่น่าสนใจมากไป กว่านั้น คือ การตีความ และการกระตุ้นเตือนให้เห็นถึงความเป็นชายขอบที่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนส่วนน้อย คนชายขอบของ สังคม และไม่จำเป็นว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับความยากจนเสมอไป เป็นสิ่งที่ต้องทบทวนเช่นกัน แม้หลักการการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ดูเหมือนจะเป็นคำมั่นสัญญาที่มีความยากในการขับเคลื่อนระดับมหภาค แต่สำหรับระดับบุคคลหรือจุลภาค โวหารนี้นับเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ทุกคนหรือภาคประชาชนสามารถร่วมมือกันช่วยยุติการกีดกัน และการแยกตัว ไม่ว่าจะเป็นการให้ความรู้ตัวเองเกี่ยวกับสิทธิพิเศษที่ตนเองมีเพื่อทำความเข้าใจมุมมองของสมาชิกของชุมชน ชายขอบอื่นๆให้ดีขึ้น (Young African Leaders Initiative, 2016) หรือการช่วยกันพิทักษ์สิทธิให้ตนเองและผู้อื่น รวมทั้ง การเสริมพลังกลุ่มเปราะบางในการเข้าถึงบริการต่างๆ ในขณะเดียวกัน สำหรับภาคส่วนด้านวิชาการ ก่อนที่จะไม่ทิ้งใครหรือ ประเทศไว้ข้างหลัง มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องหรือนักวิชาการต้องอยู่ด้านหน้าในฐานะที่เป็นผู้นำ ผู้ให้ความรู้ใน การเคารพสิทธิ การสร้างความเท่าเทียม และการตีความในความเฉพาะของกลุ่มต่างๆ ก่อน ก่อนที่จะให้การคุ้มครองทางสังคม ในกลุ่มชายขอบและกลุ่มเปราะบางได้อย่างมีความเข้าใจและมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปสู่การบรรลุคำมั่นสัญญาต่อ การเปลี่ยนแปลงของ SDGs ที่มุ่งมั่นในการลดหรือขจัดความเป็นชายขอบของกลุ่มประชากรในสังคมโลก เอกสารอ้างอิง Nunez-Smith, M. (2021). Dr. Marcella Nunez-Smith หัวหน้าทีมเฉพาะกิจด้านความเสมอภาคทางสุขภาพในยุคโควิด-19 ที่จะนำ ‘data-driven’ ให้ทุกคนและเชื้อชาติในสหรัฐฯ เข้ารับบริการสุขภาพได้อย่างถ้วนหน้า. สืบค้นจาก https://www.sdgmove.com/2021/02/23/us-head-of-covid19-health-equity-task-force-data-driven/ Braveman, P. A. (2014). What are health disparities and health equity? We need to be clear. Public Health Reports, 129(suppl 2), 5-8. DOI: 10.1177/00333549141291S203 Civicus, Development initiatives, Project everyone. (n.d.). Leave no one behind toolkit. The global goal For sustainable development. Dunn, A. (2020). Fact check: Were elderly Italians left to die? And is socialized health care to blame? The Arizona Republic. Retrieved from https://www.usatoday.com/story/news/factcheck/2020/03/20/ fact-check-were-italians-left-die-socialized-medicine-blame-coronavirus/2887743001/ German, T., & Randel, J. (2017). Delivering results to leave no one behind: What results– Who counts? A discussion paper for the results community OECD workshop. GHW5. (2017). Leave no one behind-are SDGs the way forward? GHW5 1st proof. indd. Girard, N. (2020). Reaching the most marginalized: An intersectional approach to minority rights. Retrieved from https://minorityrights.org/programmes/library/50-report/intersectional-approach/ Hofmann, U., & Juergensen, O. (2017). Leaving no one behind: Mine action and the sustainable Development goals. Geneva International Centre for Humanitarian Demining (GICHD) and United Nations Development Programme (UNDP). IGI Global. (n.d.). What is underserved population. Retrieved from https://www.igi-global.com/dictionary/ underserved-population/30907


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 64 International Federation of Social Workers. (2022). World Social Work Day 2022. Retrieved from https://www.ifsw.org/social-work-action/world-social-work-day/world-social-work-day-2022/ Legal Information Institute, Cornell Law School. (n.d.). Underserved population. Retrieved from https://www.law.cornell.edu/definitions/uscode.php?width=840&height=800&iframe=true&def_id= 34-USC-1008625459-1259336281&term_occur=5&term_src=title:34:subtitle:I:chapter:121: subchapter:III:part:B:subpart:3:section:12341 Lucci, P. (n.d.). Implementing the commitment to leaving no one behind in cities: What it means in practice. The cities alliance joint work programme on cities in the Global Agendas. Montesanti, S. R., Abelson, J., Lavis, J. N., & Dunn, J. R. (2017). Enabling the participation of marginalized populations: Case studies from a health service organization in Ontario, Canada. Health Promotion International, 32(4), 636–649. DOI: 10.1093/heapro/dav118 Stuart, E., Bird, K., Bhatkal, T., Greenhill, R., Lally, S., Rabinowitz, G., Samman, E., Sarwar, M.B., & Lynch, A. (2016, July). Leaving no one behind: A critical path for the first 1,000 days of the Sustainable Development Goals. Flagship report developmentprogress.org The BMJ. (n.d.). Leaving no woman, no child, and no adolescent behind. Retrieved from https://www.bmj.com/leaving-no-one-behind United Nations. (2015). Transforming our world: The 2030 agenda for sustainable development. Retrieved from https://sdgs.un.org/sites/default/files/publications/21252030%20Agenda% 20for%20Sustainable%20Development%20web.pdf United Nations. (2017). Leaving no one behind: Equality and non-discrimination at the Heart of Sustainable Development. United Nations System Chief Executives Board for Coordination. United Nations. (2022). Policy support for UNCTs in integrating human rights into SDG implementation. Retrieved from https://unsdg.un.org/sites/default/files/Policy-Operational-Support-to-UNCTs-onHR-in-SDG-Implementation-FINAL...-1-1.pdf United Nations. (2022). After 30 years, minorities still need to be seen and heard. Retrieved from https://www.ohchr.org/en/stories/2022/06/after-30-years-minorities-still-need-be-seen-and-heard United Nations Children’s Fund. (2021). Water, sanitation, and hygiene (wash): A guidance notes for leaving no one behind (LNOB). [email protected] United Nations Committee for Development Policy. (2018). Leaving no one behind. Excerpt from Committee for Development Policy, Report on the twentieth, See Official Records of the Economic and Social Council, 2018, Supplement No. 13 (E/2018/33) United Nations Development Programme. (2018). What does it mean to leave no one behind? A UNDP discussion paper and framework for implementation. United Nations Development Programme. (n.d.). Leaving no one behind: A social protection primer for practitioners. Bureau for Policy and Programme Support United Nations Development Programme.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 65 United Nations ESCAP (2022). An introduction to the leaving no one behind (LNOB) analysis, a virtual Training for Philippines. Retrieved from https://www.unescap.org/events/2022/introduction-leaving-no-onebehind-lnob-analysis-virtual-training-philippines United Nations Sustainable Development Group. (2022a). Leave No One Behind. Retrieved from https://unsdg.un.org/2030-agenda/universal-values/leave-no-one-behind United Nations Sustainable Development Group. (2022b). Universal Values. Retrieved from https://unsdg.un.org/2030-agenda/universal-values World Health Organization, Regional Office for Africa. (2017). Leave no one behind: Strengthening health systems for UHC and the SDGs in Africa. the WHO Regional Office for Africa, Brazzaville, Congo. Young African Leaders Initiative. (2016). Five ways to be an ally to marginalized groups. Retrieved from https://yali.state.gov/five-ways-to-be-an-ally-to-marginalized-groups/


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 66 บทบาทงานสังคมสงเคราะห์กับพหุลักษณ์ทางการแพทย์ในสังคมไทย The Role of Social Work and Medical Pluralism in Thai Society สุขุมา อรุณจิต1 Sukhuma Aroonjit2 Abstract This article is not intended to criticize or judge the diversity of health systems because the author believes that no single system is complete in itself. The contribution of conventional medicine is health care that provides empirical results in examination, measurement, diagnosis, therapy, treatment, and treatment evaluation that has been widely accepted around the world. However, alternative medicine has a relationship between physical, mental, social, and spiritual health intergratedly. It also gives importance to life balance in order to maintain good health and reflects the local health cultural values. The purpose of this article aims to reflect on how the health care system in Thai society has the characteristics of medical pluralism imbued in the people's way of life in society in the past present and future. Medical pluralism in society will still remain and be a part of people's health care. Social work practitioners, especially medical social workers, need to understand where the social work role lies, whether it is the role of counselor, facilitating or mentoring role, Assessor, coordinating role, and empowerment role by considering the principles of acceptance, principles of self-determination, principles of equality, principles of confidentiality, principles of participation when social workers must face diversity of worldviews and health cultures. Keywords: Medical social worker, Complementary and alternative medicine, Medical pluralism บทคัดย่อ บทความนี้มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งวิพากษ์หรือตัดสินระบบสุขภาพที่มีความแตกต่างหลากหลาย เนื่องด้วยผู้เขียน มีความเชื่อว่าไม่มีระบบใดเพียงระบบเดียวที่สมบูรณ์ในตนเอง คุณูปการของการแพทย์แผนปัจจุบันคือการบริบาลสุขภาพที่ ปรากฏผลชัดเจนในเชิงประจักษ์ทั้งการตรวจ วัด วินิจฉัย บำบัด รักษา ประเมินผลการรักษา ทำให้ได้รับการยอมรับอย่าง แพร่หลายทั่วโลก ในขณะที่การแพทย์ทางเลือก มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันระหว่างสุขภาพกาย จิต สังคมและจิตวิญญาณ อย่างเป็นบูรณาการ โดยให้ความสำคัญกับสมดุลชีวิตเพื่อการดูแลรักษาสุขภาพ สะท้อนถึงคุณค่าวัฒนธรรมสุขภาพของท้องถิ่น บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะสะท้อนให้เห็นว่าระบบการดูแลสุขภาพในสังคมไทย มีลักษณะของความเป็นพหุลักษณ์ทาง การแพทย์(Medical Pluralism) แทรกซึมอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมอย่างแนบเนียนทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต เป็น ส่วนหนึ่งในการดูแลรักษาสุขภาพของผู้คน ผู้ปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์โดยเฉพาะนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ จึง จำเป็นต้องทำความเข้าใจตำแหน่งแห่งที่ของบทบาทในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของการเป็นผู้ให้ คำปรึกษา บทบาทในการอำนวยความสะดวก บทบาทของการเป็นผู้ประเมิน บทบาทในการประสานงาน และบทบาทในการ 1 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร., ประจำคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ประเทศไทย 2 Assistant Professor Dr. Faculty of Social Administration, Thammasat Universities, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 67 เสริมพลัง โดยคำนึงถึงหลักการยอมรับ หลักการตัดสินใจด้วยตนเอง หลักการความเสมอภาค หลักการรักษาความลับ หลักการมีส่วนร่วม เมื่อนักสังคมสงเคราะห์ต้องเผชิญกับความเชื่อ โลกทัศน์วัฒนธรรมด้านสุขภาพที่มีความหลากหลาย เหล่านั้น คำสำคัญ: สังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์, การแพทย์ทางเลือก, พหุลักษณ์ทางการแพทย์ บทนำ ระบบการดูแลสุขภาพในสังคมไทยแต่เดิมนั้นมีแนวทางที่เน้นการบำบัดรักษาด้วยวัฒนธรรม พิธีกรรม ซึ่งแนวทาง เช่นนี้จะปรากฏอยู่ในระบบการแพทย์แบบตะวันออก มีกระบวนทัศน์เกี่ยวกับสุขภาพบนความเชื่อพื้นฐานที่ว่า ความเจ็บป่วย ไม่สบาย เกิดขึ้นจากการเสียสมดุลภายในร่างกายหรือเกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติกระทำ (ชัยพร อุโฆษจันทร์, 2565) แนวทางการรักษาความเจ็บป่วยจึงต้องปรับสมดุลให้ร่างกายกลับมาเป็นปกติดังเดิม การรักษานั้นไม่ได้แยกส่วนออกจากกัน ระหว่างร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณและสังคม ในขณะที่ระบบสุขภาพอีกกระบวนทัศน์หนึ่งของระบบการแพทย์แบบตะวันตก มองร่างกายและจิตใจแยกส่วนออกจากกัน เมื่อเกิดความเจ็บป่วยทางร่างกายขึ้น นั่นหมายถึงอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดชำรุด เสียหายหรือทำงานผิดปกติ มีการวินิจฉัยอาการเพื่อบ่งชี้ความเจ็บป่วยด้วยอุปกรณ์ชั่ง ตวง วัด อย่างชัดเจนในเชิงประจักษ์ แนวทางการบำบัดรักษาสุขภาพจะใช้ยา เคมี อุปกรณ์เพื่อเน้นการรักษาเฉพาะส่วนที่ผิดปกติซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นแนวทาง การรักษาที่ตรงกันข้ามกับแนวทางแรก การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ด้านสุขภาพ ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะต้องเผชิญกับความหลากหลายของระบบสุขภาพ เหล่านี้และอาจเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากใจจากแนวทางที่แตกต่างกัน นักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์จึงต้องให้ ความสำคัญกับการเพิ่มพูน ทำความเข้าใจในปรัชญาและปฏิบัติการสุขภาพที่แตกต่างหลากหลาย (กิติพัฒน์นนทปัทมะดุลย์, 2562) ในบริบทของสังคมไทย เพื่อที่จะทำให้นักสังคมสงเคราะห์สามารถเตรียมการเพื่อมีปฏิสัมพันธ์ ปฏิกิริยาการตอบสนอง ระหว่างนักสังคมสงเคราะห์และผู้ใช้บริการได้อย่างเหมาะสม บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อสะท้อนถึงบทบาทนักสังคม สงเคราะห์บนหลักการปฏิบัติงานในสังคมพหุลักษณ์ทางการแพทย์ เพื่อตอบสนองปัญหาความต้องการของแต่ละบุคคลที่มี ความแตกต่างหลากหลายกันออกไป พหุลักษณ์ทางการแพทย์ในสังคมไทย ลักษณะของการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์ทางเลือก แนวความคิด ความเชื่อในระบบการดูแลสุขภาพของประเทศตะวันตกมีฐานอยู่บนวิทยาศาสตร์และเข้ามามีอิทธิพล ต่อความคิด ความเชื่อของคนทั่วโลก ทำให้ระบบการดูแลสุขภาพยึดถือแนวทางของประเทศตะวันตกเป็นแนวทางหลักใน ปัจจุบัน จึงนิยมเรียกกันว่า “การแพทย์แผนปัจจุบัน” ส่งผลให้ระบบการดูแลสุขภาพของสังคมต่างๆ รวมถึงระบบสุขภาพของ สังคมไทยแต่เดิม ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ระบบดูแลสุขภาพแบบ ตะวันตกที่เป็นการแพทย์แผนปัจจุบัน กลายมาเป็น “การแพทย์ทางเลือก” ทั้งหมด ทั้งนี้ผู้เขียนต้องการอธิบายเพิ่มเติม ให้เข้าใจว่า “ทางหลัก” กับ “ทางเลือก” นั้น มาจากการพิจารณาว่าในสังคม แนวทางหนึ่งจะนำมาเป็นตัวเลือกใน การตัดสินใจว่าจะใช้ทางไหน สำหรับ “แนวทางหลัก” คือแนวทางที่คนส่วนใหญ่ใช้กัน ส่วน “แนวทางเลือก” เป็นแนวทางรอง ที่คนส่วนน้อยกว่าเลือกที่จะใช้ (เทวัญ ธานีรัตน์, 2565) ดังนั้น การพิจารณาทางหลักกับทางเลือก จึงขึ้นอยู่กับ เวลาและ สถานที่ ในระยะเวลาแตกต่างกันความหมายก็แตกต่างเช่นกัน นั่นย่อมหมายความว่าหากคนยอมรับระบบสุขภาพทางเลือก และใช้กันมาก ในที่สุดก็จะกลายเป็นทางหลักไปอีกเช่นกัน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 68 ทั้งนี้ ยังมีการจำแนกรูปแบบของการแพทย์ไว้อย่างหลากหลาย การจำแนกการแพทย์ทางเลือกนั้นแต่ละสังคมหรือ แต่ละประเทศ อาจมีการกำหนดนิยาม การจัดกลุ่มไว้แตกต่างกันไป ยังไม่มีการระบุชัดเจนตายตัว และอาจมีการใช้คำว่า การแพทย์ทางเลือกในลักษณะของคำรวมๆ กว้างๆ สำหรับการแพทย์ที่มีรูปแบบ วิธีการ แนวทาง ที่แตกต่างออกไปจาก การแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้งนี้ บทความนี้ได้เลือกใช้คำว่าการแพทย์ทางเลือกในลักษณะของการแบ่งแบบกว้างๆ เช่นเดียวกัน เป็นข้อตกลงสร้างฐานความเข้าใจร่วมกันในเบื้องต้น ความหมายของการแพทย์คือ การประกอบวิชาชีพที่กระทำหรือมุ่งหมายจะกระทำต่อมนุษย์เกี่ยวกับการตรวจโรค การวินิจฉัยโรค การบำบัดโรค การป้องกันโรค การส่งเสริมและการฟื้นฟูสุขภาพ (โครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย, 2563) และเมื่อพิจารณาในการให้ความหมายของการแพทย์แผนปัจจุบัน (Conventional medicine) คือ การแพทย์ที่ให้การรักษา ทางยา เคมีบำบัด การผ่าตัด รังสี และวิชาแพทย์สาขาต่างๆ โดยวิชาความรู้ด้านแพทยศาสตร์ และการพยาบาลเป็นวิชา ความรู้ที่แพทย์ พยาบาล ต้องผ่านการเรียน การสอน การฝึกฝนจากโรงเรียนแพทย์ (สุพินดา กิจทวี, 2563) แนวคิดการรักษา ของแพทย์แผนปัจจุบัน (หรือทั่วไปเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแผนตะวันตก) เป็นรูปแบบหนึ่งซึ่งผู้ที่ให้การรักษาหรือผู้ประกอบ วิชาชีพจะต้องสำเร็จการศึกษาวิชาชีพแพทย์ และได้รับใบประกอบเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตามหลักความรู้ในทางวิทยาศาสตร์ที่ ทั่วโลกยอมรับเท่านั้น สำหรับการแพทย์ทางเลือก (Complementary and Alternative Medicine: CAM) เป็นการแพทย์ที่ไม่เป็น ทางการและไม่ได้รับการพิสูจน์เพื่อเป็นข้อมูลบ่งชี้ชัดอย่างเช่นการแพทย์ทางตะวันตก สำหรับสหรัฐอเมริกา ศูนย์แห่งชาติเพื่อ การแพทย์ทางเลือกและเสริม (National Center of Complementary and Alternative Medicine: NCCAM อ้างถึงใน ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ, 2565) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันสุขภาพแห่งชาติได้แบ่งการแพทย์ทางเลือกออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ 1) ระบบการแพทย์ทั้งหมด (Alternative medical systems) คือ การแพทย์ทางเลือกที่มีวิธีการตรวจรักษาวินิจฉัย และการบำบัดรักษาที่มีหลากหลายวิธีการ ทั้งด้านยา เครื่องมือบำบัดและหัตถการ เช่น การแพทย์แผนโบราณของจีน (Traditional Chinese Medicine: TCM) การแพทย์อายุรเวชของอินเดีย ฯลฯ 2) การรักษาร่างกายและจิตใจ (Mind-body interventions) คือ วิธีการบำบัดรักษาแบบใช้กายและใจ เช่น การใช้สมาธิบำบัด โยคะ ชี่กง ฯลฯ 3) การปฏิบัติทางชีววิทยา (Biologically based therapies) คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยใช้สารชีวภาพ สารเคมี เช่น สมุนไพร 4) การปฏิบัติแบบบงการ และปฏิบัติการตามร่างกาย (Manipulative and body-based methods) คือ วิธีการบำบัดรักษาโดยการใช้ หัตถการต่างๆ เช่น การนวด การจัดกระดูก (Osteopathy chiropractic) ฯลฯ และ 5) เวชศาสตร์พลังงาน (Energy therapies) คือ วิธีการ บำบัดรักษาที่ใช้พลังงาน เช่น การสวดมนต์บำบัด พลังจักรวาล โยเร ฯลฯขณะที่ประเทศไทยมีการแบ่งประเภทการแพทย์ ทางเลือก ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1) การแพทย์ทางเลือกที่เป็นระบบ (Systematic) ที่ได้รับการรับรองทางกฎหมาย มีสมาคมหรือสภาวิชาชีพมาดูแล เช่น การแพทย์แผนจีน อายุรเวช ธรรมชาติบำบัด ฯลฯ 2) การแพทย์ทางเลือกที่ไม่จัดระบบ (Nonsystematic) ไม่มีการรับรอง อาจเป็นศาสตร์เพียงลำพัง เช่น การแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์ชุมชน สวดมนต์บำบัด โยคะ ชี่กง อาหารบำบัด พลังงานบำบัด (สุพินดา กิจทวี, 2563) ดังนั้น การจัดกลุ่มประเภทของการรักษาในแต่ละสังคมจึงมี ความแตกต่างกัน นอกเหนือจากการแสวงหาการรักษาตามแบบแผนจากแพทย์ที่กล่าวมาแล้ว เมื่อบุคคลเผชิญกับช่วงเวลาวิกฤติและ โรคภัยไข้เจ็บ มิติทางจิตวิญญาณจะมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องมากที่สุด (Rafii et al, 2020) โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง มักจะ ใช้ทรัพยากรทางศาสนาและจิตวิญญาณ (Religious and Spiritual Resources: RSR) ด้วยการขอพร การอธิษฐานขอ การขอคำปรึกษาจากนักบวชหรือผู้นำศรัทธา การเข้าร่วมพิธีทางศาสนา การอ่านคำสอนคำสวดของศาสนาต่างๆ การนับถือ สิ่งลี้ลับ ฯลฯ ซึ่งความเชื่อของผู้ป่วยอาจเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันระหว่างการใช้ทรัพยากรทางศาสนาและจิตวิญญาณ (RSR) และ การแพทย์ทางเลือก (CAM) กับการรักษาแบบดั้งเดิม กล่าวคือ รูปแบบวัฒนธรรมสุขภาพที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิม พิธีกรรมและความเชื่อด้านสุขภาพขึ้นอยู่กับพื้นฐานความเชื่อเกี่ยวกับสาเหตุการเกิดปัญหาสุขภาพ โดยมีความผูกพันกับ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 69 ความเชื่อทางศาสนา (Banthoengsuk, 2018; สามารถ ใจเตี้ย และณัทธร สุขสีทอง, 2563) และสะท้อนถึงระบบความเชื่อ ที่สัมพันธ์กันระหว่างกาย จิต จิตวิญญาณ และสังคม ที่การแพทย์ปัจจุบันไม่สามารถทำได้ (Tatsumura et al., 2003) มีผล การสำรวจที่พบว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 64% พึ่งพาศาสนาและจิตวิญญาณในช่วงที่ตนเองหรือเครือญาติเจ็บป่วย (Rafii et al., 2020) แกนกลางความเชื่อคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ ความเชื่อและพฤติกรรมที่แสดงผ่านวัฒนธรรมสุขภาพนี้ สร้างความสบายใจให้แก่ตัวผู้ป่วยหรือครอบครัว ส่งผลต่อจิตใจเป็นหลัก เพื่อควบคุมให้เกิดความผาสุกทางจิตวิญญาณ ความปกติสุขในจิตใจ การเผชิญความเครียด การควบคุมและจัดการความเครียด ความซึมเศร้า ช่วยในการการเยียวยาจิตใจ และอาจส่งผลต่อสุขภาพของผู้ป่วยด้วย ดังนั้น ระบบการดูแลสุขภาพ ปฏิบัติการด้านสุขภาพจึงมีความหลากหลาย การแพทย์แผนปัจจุบัน มีจุดเน้นใน การดูแล บำบัด รักษา ในแนวทางของวิทยาศาสตร์ที่มีความชัดเจน แพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพต้องผ่านการศึกษาในสถาบันการศึกษา และได้รับการรับรองในวิชาชีพ ในขณะที่การแพทย์ทางเลือกมีมากมายหลายแนวทาง อุดมไปด้วยความเชื่อ วัฒนธรรมสุขภาพ ที่เชื่อมโยงสาเหตุการเจ็บป่วยทางกาย เข้ากับจิตใจ สังคม และวิญญาณ ผู้ปฏิบัติการรักษาจะใช้ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับ วัฒนธรรม นำมารักษาทุกแง่มุมของความเจ็บป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยหายจากความทุกข์ทรมาน ความแตกต่างหลากหลายของ ระบบการดูแลสุขภาพและปฏิบัติการด้านสุขภาพนี้รวมเรียกว่า “พหุลักษณ์ทางการแพทย์” (Medical Pluralism) (โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, 2549) ดำรงอยู่ในวิถีชีวิตของคนในสังคม สถานะการแพทย์ทางเลือกในปัจจุบัน ปัจจุบันการแพทย์ทางเลือกได้รับการยอมรับให้เป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งในการรักษาคนไข้และมีบทบาทในการดูแล สุขภาพมากขึ้นในสังคมไทย เนื่องจากการสนับสนุนจากหน่วยงานของภาครัฐ มีการบรรจุไว้ในพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ มาตรา 47 (พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ, 2550) รวมถึงกำหนดไว้ในแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550- 2554) การสร้างทางเลือกสุขภาพที่หลากหลายผสมผสานภูมิปัญญาไทยและสากล และแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีสุขภาพในการสร้างสุขภาพ ตลอดถึงการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพ บนพื้นฐานภูมิปัญญาไทย ทั้งนี้ การแพทย์ทางเลือกบางประเภทสามารถใช้ร่วมกับการรักษาการแพทย์แผนปัจจุบันหรืออาจใช้ แทนการรักษาการแพทย์แผนปัจจุบันในบางกรณีที่จะถูกใช้เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย การใช้ยาสมุนไพรเฉพาะที่ใช้การบำบัด ด้วยยาตามใบสั่งแพทย์เพื่อช่วยลดหรือบรรเทาผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ เป็นกลยุทธ์การผ่อนคลายอย่างหนึ่งที่ควบคู่ไปกับ การบรรเทาความทุกข์ทรมานจากการผ่าตัดหรือการทำเคมีบำบัด เพื่อเติมเต็มบางอย่างที่ขาดหายไปในการแพทย์แผนปัจจุบัน คนไทยจำนวนไม่น้อยเมื่อเกิดความเจ็บป่วยจะใช้การบำบัดรักษาโดยการแพทย์ทางเลือกอย่างน้อยหนึ่งวิธี ซึ่งกระจายอยู่ทุกกลุ่ม ทุกระดับรายได้ ช่วงอายุและมีสถานพยาบาลจำนวนไม่น้อยที่ได้ผสมผสานการแพทย์แผนปัจจุบัน เข้ากับการแพทย์ทางเลือกเข้าไว้ด้วยกันจนเป็นหนึ่งเดียว ผู้ป่วยหรือผู้ใช้บริการด้านสุขภาพสามารถตัดสินใจเลือกแนวทางที่ ตรงตามความต้องการมากที่สุด มีผลสำรวจพบว่า การใช้บริการด้านสุขภาพในโรงพยาบาลของผู้ใช้การแพทย์ทางเลือก ส่วนมากเคยใช้บริการแพทย์ทางเลือกด้านสุขภาพในโรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลของรัฐนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และโรงพยาบาลศูนย์(ปทิตตา จารุวรรณชัย และ กฤช จรินโท, 2559) ปัจจุบันการแพทย์ทางเลือกเป็นแนวทางที่มีอยู่ในสถานพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชนระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล ในรูปแบบของการฝังเข็ม การนวด การประคบสมุนไพร การครอบแก้ว การฝึกสมาธิ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น สถาน บำบัดยาเสพติดปรากฎการใช้การแพทย์ทางเลือกร่วมในขั้นตอนการบำบัดดูแลรักษา เช่น ในขั้นตอนถอนพิษ จะมีการฝังเข็ม การใช้สมุนไพรในขั้นตอนการฟื้นฟู จะมีกิจกรรมการฝึกทำสมาธิ โยคะ ชี่กง เป็นต้น (สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข, 2562) นอกจากนี้ในสถานการณ์วิกฤตการณ์โรคระบาด COVID-19 สถานพยาบาลหลายแห่ง แพทย์ได้ใช้ยาแผนปัจจุบัน ควบคู่ไปกับยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เพื่อใช้รักษาอาการเบื้องต้น ที่ระบุตามข้อมูลสิทธิบัตรของจีนว่าสามารถต้านเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 (โควิด-19) ได้ (Gupta et al., 2017) แต่มีข้อบ่งใช้เฉพาะสำหรับบุคคลและการหลีกเลี่ยงใช้ร่วมยาบางชนิด


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 70 (คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล, 2565) ทั้งนี้ ฟ้าทะลายโจรเป็นยาสมุนไพรที่เกิดจาก ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีการรับรองอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ (National list of essential medicines) ซึ่งอยู่ในส่วนของบัญชี ยาสมุนไพร (กลุ่มนโยบายแห่งชาติด้านยา, 2565) ดังตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการแพทย์ทางเลือกมี อิทธิพลต่อวิถีชีวิตผู้คนในสังคมไทยเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลพบว่าการแพทย์ทางเลือกมีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ไม่เพียงแต่ในกลุ่มประเทศ ตะวันออกเท่านั้น แต่ยังแพร่ขยายความนิยมไปสู่ประชากรในประเทศตะวันตกมากยิ่งขึ้นด้วย (International Library of Medicine, 2022) จากการสำรวจของศูนย์การแพทย์ทางเลือกและการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติสหรัฐอเมริกาพบว่า มากกว่า 40% ของผู้ใหญ่และเกือบ 12% ของเด็กทั่วสหรัฐอเมริกาเคยใช้การแพทย์ทางเลือกตามข้อมูลของศูนย์การแพทย์ทางเลือก และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติและยิ่งจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปในอนาคต (International Library of Medicine, 2022; Reardon, 2009) ด้วยปัจจัยประกอบหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกผิดหวังต่อการรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน การอพยพย้ายถิ่นของคนที่มีลักษณะแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา นำไปสู่การแพร่กระจายของวัฒนธรรมสุขภาพที่แตกต่าง เป็นต้น ฉะนั้นแล้ว ระบบการดูแลสุขภาพและการปฏิบัติการด้านสุขภาพมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ประกอบด้วยไป ด้วย การแพทย์แผนปัจจุบัน การแพทย์ทางเลือก และการแพทย์ที่ผสมผสานระหว่างแผนปัจจุบันกับการแพทย์ทางเลือก และ แนวโน้มของการใช้การแพทย์ทางเลือกนับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากหลายปัจจัย การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์เกี่ยวกับด้าน สุขภาพ จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องเผชิญกับความหลากหลายของระบบสุขภาพที่ผู้ใช้บริการเลือกใช้ในการดูแล บำบัด รักษา ความเจ็บป่วยของตนเองและสมาชิกในครอบครัว งานสังคมสงเคราะห์กับวัฒนธรรมสุขภาพที่หลากหลายของผู้ใช้บริการ ความพยายามในการกำหนดนิยามใหม่ของสุขภาพเริ่มเกิดขึ้นในทศวรรษที่ 1950 ซึ่งได้รับแรงกระตุ้นจากมุมมอง ขององค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับสุขภาพว่าเป็น “สภาวะที่สมบูรณ์ของร่างกาย จิตใจ และสังคมที่ดี และไม่ใช่แค่การไม่มีโรค หรือความทุพพลภาพ” (WHO, 1948 as cited in Institute of Medicine, 2005) ถือเป็นการเปิดมุมมองที่กว้างสำหรับ ระบบสุขภาพที่นำไปสู่ฐานคิดใหม่นอกเหนือจากฐานคิดที่จำกัดอิงอยู่ในฐานคิดทางวิทยาศาสตร์ที่มุ่งรักษาทางร่างกาย อย่างเฉพาะเจาะจงเพียงอย่างเดียว ทว่าควรคำนึงถึงสุขภาพผู้ป่วยที่เกี่ยวเนื่องกันระหว่างชีววิทยา สังคมวิทยา และจิตวิทยา การตอบสนองทั้งทางพฤติกรรมและชีวภาพต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมและกายภาพในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ ลักษณะเฉพาะบุคคลและคุณลักษณะของสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง ล้วนมีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิต ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของมนุษย์ เนื่องจากไม่มีระบบใดที่มีความสมบูรณ์แบบในตัวเองการตอบสนองความเจ็บป่วยของผู้ป่วยและผู้เกี่ยวข้องในทุกมิติ (Kleinman, 1985 อ้างถึงใน โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, 2549) เมื่อเกิดความเจ็บป่วยบุคคลอาจไม่ได้พึ่งพาระบบใดระบบหนึ่ง เพียงอย่างเดียว (พิมทรัพย์ พิมพิสุทธิ์, 2561) ความหลากหลายของระบบดูแลสุขภาพ จึงเป็นพหุลักษณ์ทางการแพทย์ที่ ปรากฏขึ้นทั่วทุกสังคมโลก (โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, 2549) ผู้ป่วย ครอบครัว เครือญาติและชุมชน อาจเลือกดูแลสุขภาพด้วย วิธีการที่หลากหลายตามประสบการณ์วัฒนธรรม ประเพณีและความเชื่อของบุคคลหรือชุมชน (ชนิดา มัททวางกูร และคณะ, 2557) แตกต่างกันออกไป เมื่อพิจารณาตามทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยม (Structure and functionalism) ที่เน้นการทำ ความเข้าใจกับการคงอยู่และเรื่องของโครงสร้าง ฐานคติในการศึกษาสังคมของกลุ่มโครงสร้างหน้าที่นิยมมองว่า ภายในสังคม จะมีการทำหน้าที่ของระบบย่อยอย่างเป็นระบบนั้น พื้นฐานทฤษฎีเชื่อในเรื่องความเป็นองค์รวม (Holistic) ของชีวิตและสังคม (นฤพล ด้วงวิเศษ, 2566) กล่าวได้ว่าวัฒนธรรมสุขภาพของแต่ละท้องถิ่น เกิดจากการสั่งสมความรู้ที่สืบทอดพัฒนากันมาจน เป็นแบบแผนวิธีพฤติกรรม ขนบจารีต ประเพณีมีผลให้ระบบการดูแลสุขภาพของกลุ่มต่างๆ มีรูปแบบที่แตกต่างหลากหลาย


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 71 สะท้อนถึงความรู้ความเข้าใจ วิธีคิดของมนุษย์แต่ละกลุ่มที่มีต่อความเจ็บป่วยในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป สอดคล้อง สัมพันธ์กับบริบทแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ สังคม ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ที่มีลักษณะเฉพาะ และได้รับการถ่ายทอดจากรุ่น หนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ องค์ความรู้ที่เกิดจากปฏิสัมพันธ์เชื่อมโยงการพึ่งพิงอาศัย กันระหว่างมนุษย์ สัตว์ ธรรมชาติในระบบนิเวศเดียวกัน เชื่อมโยงการดูแลรักษาสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic healthcare) ระหว่างกาย จิต สังคม ปัญญา (จิตวิญญาณ) เพื่อสร้างสมดุลชีวิต ภายใต้บริบทแวดล้อมที่แตกต่างกัน (Bernard, 2022) บนพื้นฐานความเชื่อว่าสุขภาพที่ดีเป็นภาวะสมดุลของร่างกายกับจิตใจของบุคคล กระบวนการรักษามุ่งรักษาจิตใจคนมากกว่า มุ่งรักษาโรค ดังนั้น ความสำคัญของการดูแลรักษาสุขภาพแบบองค์รวมจึงกว้างขวางมากกว่าการดูแลรักษาเพื่อไม่ให้เป็นโรค แต่ยังครอบคลุมถึงการส่งเสริมการดำเนินชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข (รณรงค์ จันใด, 2561) ซึ่งอาจเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ ในชุมชน อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรม (โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์, 2549) ที่มีการสืบทอดกันมา ภายใต้วัฒนธรรมที่มี ความหลากหลายหรือที่เรียกว่า “พหุวัฒนธรรม” (Multiculturalism) นี้สะท้อนถึงการตระหนัก ยอมรับ การเคารพและ การเห็นคุณค่าของอัตลักษณ์เฉพาะตัวของวัฒนธรรมที่แตกต่าง การดำรงอยู่ของการแพทย์ทางเลือกได้สะท้อนถึงแนวคิด พื้นฐานเกี่ยวกับความหลากหลายตามแนวคิดของ Blum (1998) ทั้งในมิติของการเรียนรู้คุณค่ามรดกทางวัฒนธรรมของตนเอง มิติของการเคารพและปรารถนาที่จะเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจวัฒนธรรมของกลุ่มอื่นและมิติแห่งการให้คุณค่ากับความหลากหลาย ทางวัฒนธรรมในสังคม แต่ละสังคมต่างก็มีวิธีการเอาชนะความเจ็บป่วยที่แตกต่างกันจนพัฒนามาเป็นระบบดูแลสุขภาพเฉพาะตัวของชุมชน มีการจัดการกับการดูแลสุขภาพตามความเชื่อในอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ ภูตผีปีศาจ สะท้อนการจัดการ ด้านสุขภาพด้วยการเซ่นไหว้ กราบไหว้ บูชา บวงสรวง ประกอบพิธีกรรม เช่น การบายศรีสู่ขวัญ การเรียกขวัญให้กับผู้ป่วย การสะเดาะเคราะห์ การสวดมนต์ภาวนาให้ผู้ป่วยหายจากโรคภัย เพื่อเสริมสร้างกำลังใจ ฯลฯ เหล่านี้แสดงออกถึงการกระทำ ที่มีความสัมพันธ์ในร่างกายหรืออาจเกิดจากความสัมพันธ์ภายนอกตนเอง ระหว่างคนกับคน คนกับชุมชน คนกับจิตวิญญาณ สิ่งเหนือธรรมชาติ คนกับธรรมชาติ ก่อเกิดเป็นพิธีกรรมเพื่อดูแลสุขภาพ มุ่งเน้นความสำคัญกับความเชื่อ การให้คุณค่า เชิงสัญลักษณ์นิยม (Symbolism) ซึ่งเป็นระบบสัญลักษณ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นสิ่งที่มนุษย์กระทำจากความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น กลายเป็นฐานของการพัฒนา สร้างรูปแบบการควบคุมและจัดโครงสร้างความสัมพันธ์ ปฏิสัมพันธ์ของบุคคลและการรวมกลุ่ม (รุ้งนภา ยรรยงเกษมสุข, 2556) เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ ดังนั้น คุณค่าในเชิงสัญลักษณ์ของการดูแล รักษาสุขภาพตามอัตลักษณ์วัฒนธรรมชุมชน ที่มุ่งหวังให้ผู้ป่วยหายจากอาการเจ็บป่วย เป็นกุศโลบายหนึ่งในการเสริมกำลังใจ ให้ผู้ป่วย รวมถึงญาติพี่น้องให้ได้รู้สึกว่าเกิดความหวังจากการช่วยเหลือในสิ่งที่ตนเองศรัทธา เมื่อพิจารณาการดูแลสุขภาพของกลุ่มคน ชุมชน ท้องถิ่นต่างๆ ด้วยแนวคิดนิเวศวิทยา โดยเฉพาะนิเวศวิทยา วัฒนธรรม (Cultural Ecology) ที่พยายามอธิบายถึงการปรับตัวของมนุษย์ต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคมเพื่อให้มี ชีวิตรอดภายใต้สิ่งแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเน้นการอธิบายเรื่องโครงสร้าง ลำดับชั้น ความสัมพันธ์ ที่เอื้อให้เกิด ความเข้าใจแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม พิธีกรรม สัญลักษณ์และสภาพแวดล้อม (นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ, 2566) จะเห็นได้ว่า วิธีการทางนิเวศวิทยาวัฒนธรรมนั้น มีความคล้ายคลึงกับหลักพื้นฐานของการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ กล่าวคือ การดูแลรักษาสุขภาพด้วยการแพทย์ทางเลือกที่แสดงถึงวัฒนธรรมสุขภาพของแต่ละพื้นที่ มองความเจ็บป่วยในสุขภาพกาย สัมพันธ์กับสุขภาพจิต ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ควบคู่กันทั้งทางสังคมระบบนิเวศและจิตวิญญาณ แนวคิดเหล่านี้สะท้อนความ สอดคล้องของบุคคลกับสภาพแวดล้อม เชื่อมโยงหลายมิติเข้าไว้ด้วยกัน ในลักษณะเดียวกันกับพื้นฐานของวิชาชีพสังคม สงเคราะห์ที่เชื่อในความสัมพันธ์ดังกล่าว (Block, 2006) งานสังคมสงเคราะห์มุ่งเน้นหรือให้ความสำคัญกับปัจจัยทางด้านกาย จิต สังคม สภาวะแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพหรือพยาธิสภาพ (ปรียานุช โชคธนวณิชย์, 2558) นั่นหมายความว่า พื้นฐาน แนวคิดการแพทย์ทางเลือก และพื้นฐานแนวคิดของการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์มีความสอดคล้องหรือเป็นไปในทิศทาง เดียวกัน โดยมองว่าสุขภาพและความเป็นอยู่ เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ รวมถึงชีววิทยา พฤติกรรม สังคมและ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 72 สิ่งแวดล้อม มีผลให้เกิดการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยหลายอย่างมีอิทธิพลต่อสุขภาพหรือทุ พลภาพของแต่ละบุคคล การปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์จึงต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านั้นอย่างรอบด้าน เพื่อพยายามทำความเข้าใจและแสวงหาแนวทางในการปรับปรุงสุขภาพ รวมถึงความเป็นอยู่ของผู้ใช้บริการให้ดียิ่งขึ้น การทำความเข้าใจระบบคุณค่า ระบบอำนาจท้องถิ่น การทำความเข้าใจเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในปรัชญาและปฏิบัติการ สุขภาพที่แตกต่างหลากหลายสำหรับนักสังคมสงเคราะห์นั้น เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิบัติงาน (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2562) นักสังคมสงเคราะห์ต้องมีความเข้าใจถึงลักษณะพหุลักษณ์ทางการแพทย์ในบริบทสังคม นำมาซึ่งการเคารพใน ความหลากหลายทางสังคมและชาติพันธุ์ของผู้ใช้บริการเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการ สังคม เนื่องจากระบบวัฒนธรรมสุขภาพนั้นมีการดำรงอยู่และพัฒนาเรื่อยมาภายใต้บริบทของสังคมที่มีความแตกต่างกัน แต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างทางความเชื่อ วัฒนธรรม ระบบคุณค่าและอำนาจ การกำหนดความสัมพันธ์ต่างๆ ในชุมชน นักสังคมสงเคราะห์ต้องเน้นให้ความเป็นธรรม ยอมรับหลากหลาย และความมั่นคงยั่งยืนของสังคมและธรรมชาติ บนพื้นฐาน การเคารพต่อส่วนรวมและเพื่อนมนุษย์ การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การเสริมสร้างพลังสังคมท้องถิ่นในการเรียนรู้ และถ่ายทอดภูมิปัญญา ผ่านการขัดเกลาทางสังคม การควบคุมความสัมพันธ์ของคนในสังคม ดังนั้น การทำความเข้าใจวัฒนธรรมสุขภาพของนักสังคมสงเคราะห์ในพหุลักษณ์ทางการแพทย์ เป็นแนวทางหนึ่งใน การเตรียมการเพื่อการปฏิสัมพันธ์เชิงวิชาชีพระหว่างนักสังคมสงเคราะห์กับผู้ใช้บริการ นักสังคมสงเคราะห์กับทีมสหวิชาชีพ ถึงประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นข้อควรพิจารณา การเสนอแนะ การให้ข้อมูลที่จำเป็น การอธิบายทางเลือกวิธีปฏิบัติ สามารถให้คำแนะนำที่สอดคล้องลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมของบุคคลได้ดี รวมถึงสามารถอธิบายถึงจุดเด่นหรือปัญหา อุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้น หลักการเลือกระบบการดูแลสุขภาพในรูปแบบต่างๆ ที่สอดคล้อง เหมาะสม และสามารถตอบสนอง ปัญหาความต้องการได้อย่างมีบูรณาการระหว่างกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณของแต่ละบุคคลที่มีความแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้จะเป็นการตรวจสอบความโน้มเอียงทางความคิดเกี่ยวกับการแพทย์ของนักสังคมสงเคราะห์เองด้วย อีกนัยหนึ่งถือ เป็นการเคารพต่อสิทธิความคิด ความเชื่อส่วนบุคคลอีกด้วย สถานการณ์ที่ยากลำบากใจ (Dilemma) ในพหุลักษณ์ทางการแพทย์ ความแตกต่างกันของแต่ละท้องถิ่น ในการดูแลสุขภาพของแต่ละบุคคล อาจจะมีลักษณะของการผสมผสานระหว่าง ความเชื่อ ค่านิยม ความนิยมชมชอบส่วนบุคคลกับการปฏิบัติการทางการแพทย์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะแก้ไข ปัญหาด้านสุขภาพบนความหลากหลายทางวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ ส่งผลให้ผู้ป่วยหรือผู้ใช้บริการในงานสังคมสงเคราะห์ ทางการแพทย์มีความเชื่อ ทัศนคติและพฤติกรรมทางวัฒนธรรมสุขภาพที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกัน ในด้านของผู้ปฏิบัติงาน สังคมสงเคราะห์ แน่นอนว่านักสังคมสงเคราะห์แต่ละคนนั้น ย่อมมีจุดยืนเกี่ยวกับการแพทย์ที่แตกต่างกันเช่นเดียวกัน นักสังคมสงเคราะห์บางคนอาจยอมรับเฉพาะการแพทย์แผนปัจจุบันและปฏิเสธการการแพทย์ทางเลือก ในขณะที่บางคน อาจยอมรับทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์ทางเลือก การปฏิบัติงานท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม นักสังคมสงเคราะห์จึงควรตระหนักถึงค่านิยม ความคิด ความเชื่อ อคติของตนเอง และตระหนักถึงมุมมองของผู้ใช้บริการอยู่ เสมอ (Webb, 2014) การปฏิบัติงานจึงต้องมีความระมัดระวังในการให้ข้อมูล คำแนะนำ ข้อเสนอแนะในการใช้การแพทย์ ทางเลือกกับผู้ใช้บริการเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้การแพทย์ทางเลือกจะมีฐานแนวคิดที่ทรงคุณค่าด้านการเชื่อมโยงกาย จิต จิตวิญญาณ สังคม เข้าไว้ด้วยกัน แต่ใช่ว่าจะไม่มีโทษ เฉกเช่นเดียวกับการแพทย์ทางหลักที่มีคุณูปการต่อสุขภาพเป็น อย่างมาก แต่ยังมีช่องว่างแห่งการดูแลสุขภาพที่เป็นปัญหาอุปสรรคอยู่ไม่ใช่น้อย ทว่าสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ท้ายที่สุดคือ การยอมรับและเคารพถึงความแตกต่างในความเชื่อ ความคิดเห็น ทัศนคติ และพฤติกรรมของปัจเจก เนื่องจากผู้คนในสังคม ต่างมีความแตกต่างหลากหลายทางสังคม เชื้อชาติ วัฒนธรรม ศาสนา ฯลฯ แสดงถึงการเคารพถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ นักสังคมสงเคราะห์พึงตระหนักในการปฏิบัติงาน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 73 หลายครั้งที่งานสังคมสงเคราะห์ต้องเผชิญกับความยากลำบากใจในการปฏิบัติงานอันเกี่ยวข้องกับประเด็น ความหลากหลายในระบบดูแลสุขภาพ เกิดความลังเล สงสัย ในแนวคิดด้านสุขภาพบนพื้นฐานทางชีววิทยาและปรัชญา ที่แตกต่างกันมากระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันกับการแพทย์ทางเลือก (Reardon, 2009) ที่ส่งผลทำให้แนวทาง การบำบัดรักษาแตกต่างและไม่สอดคล้องกัน เกิดประเด็นการคำถามต่อระบบการดูแลสุขภาพที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างมี หลักฐานเป็นเหตุเป็นผลในเชิงประจักษ์ จากการศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการรักษาแพทย์ทางเลือกนั้น มีข้อค้นพบถึงความคับ ข้องใจในหลายประเด็น ดังตัวอย่างต่อไปนี้ ประเด็นแรก นักสังคมสงเคราะห์ต่างทราบดีว่า แนวทางการแพทย์บางอย่างได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญแล้วว่ามี ความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ในขณะที่บางอย่างยังไม่ได้รับการยืนยันและบางอย่างยังเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพ ความห่วง กังวลอาจเกิดได้ในระหว่างการปฏิบัติงานถึงเรื่องความปลอดภัยต่อสุขภาพจากการแพทย์ทางเลือก (Fisher et al., 2016; Hall et al., 2011) แม้ว่าสิ่งที่นำมาใช้ในการแพทย์ทางเลือกจะขึ้นชื่อว่า “ธรรมชาติ” แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป ทั้งในแง่ ของคุณสมบัติ การออกฤทธิ์และปริมาณที่เข้าสู่ร่างกาย (International Cancer Institute, 2022; Smith et al., 2014) การปนเปื้อนและเปลี่ยนแปลง การไม่สลายตัวหลังจากรับประทานเข้าไป จะมีผลที่บ่งชี้ถึงความไม่ปลอดภัยหรือการไม่ได้รับ ประโยชน์อย่างเต็มที่ การเลือกใช้การแพทย์ทางเลือกจึงอาจต้องพิจารณาถึงความปลอดภัยหรือผลข้างเคียงบางอย่างให้รอบ ด้าน ซึ่งบางครั้งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ (Tidy, 2022) ประเด็นที่สอง การแพทย์ทางเลือกนั้นไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดถึงความน่าเชื่อถือของแนวทางการรักษา (Tidy, 2022; Hall and et al., 2012; Lu et al., 2010, ปัทมา แคสันเทียะ และ ทิพาพร กาญจนราช, 2563) ด้วยลักษณะของการแพทย์ ทางเลือกที่มีอยู่อย่างหลายหลาก วิธีการในการบำบัดรักษาความเจ็บป่วยจึงมีหลายรูปแบบ แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม ท้องถิ่นทั่วทุกมุมโลก แม้กระทั่งยาสมุนไพรที่นิยมนำมาใช้รักษา คาดว่าทั่วโลกมีไม่ต่ำกว่า 300 ชนิด (เทวัญ ธานีรัตน์, 2565) วิธีการรักษา บำบัด ยาที่ใช้รักษา ฯลฯ ยังไม่สามารถตรวจพิสูจน์ถึงความน่าเชื่อถือได้ทั้งหมด ประเด็นถัดมา การใช้แนวทางการรักษาแบบเสริมหรือผสมผสานร่วมกันหลายแนวทาง อาจมีผลเป็นอันตรายหรือ อาจมีปฏิกิริยาต่อต้านกับยาที่ได้รับอยู่ก่อนแล้วก็เป็นได้ (International Cancer Institute, 2022; Smith and et al., 2014) เนื่องจากระหว่างการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์ทางเลือกแตกต่างกันมาก อีกทั้ง การศึกษาประสิทธิภาพ ประสิทธิผลจากรูปแบบการรักษาแบบผสมผสานนั้นก็ค่อนข้างยากในการพิสูจน์เชิงวิทยาศาสตร์ เนื่องจากระบบเหล่านี้มัก เกี่ยวข้องกับความซับซ้อนและมีหลายแง่มุม ซึ่งเป็นการยากสำหรับนักสังคมสงเคราะห์ที่จะให้คำแนะนำหรืออธิบายถึง ผลการรักษาจากการประเมินเปรียบเทียบกับการรักษาแบบเดียว ประเด็นสุดท้าย เป็นความห่วงกังวลต่อผลการรักษาจากการแพทย์ทางเลือกที่ผู้ใช้บริการเลือกนำมาใช้นั้น บางครั้ง อาจจะนำมาซึ่งผลที่ไม่พึงประสงค์กับผลข้างเคียงจากการบำบัดด้วยการยา วิธีการ หรือกระบวนการต่างๆ (Smith et al., 2014) นอกจากนี้ ยังพบว่าในบางกรณีแนวทางการแพทย์ทางเลือกยังสะท้อนข้อมูลว่าไม่สามารถทำให้อาการเจ็บไข้ได้ ป่วยทุเลาลงหรือหายไป (Ng et al., 2021) แสดงให้เห็นถึงผลของการรักษายังไม่สอดคล้องกับความมุ่งหวังหรือเป้าประสงค์ ของการมีสุขภาพอนามัยที่ดีได้ สถานการณ์ที่ยากลำบากใจในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ภายใต้แนวทางการรักษาการแพทย์ทางเลือก จึงอาจ เกิดประเด็นต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น การแพทย์ในแต่ละแนวทางอาจมีความยากในการเปรียบเทียบหรือบ่งบอกได้ว่า แนวทางไหนดีที่สุด แต่ละระบบล้วนมีข้อเด่นและข้อจำกัดแตกต่างกัน ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันมุ่งรักษาโรคทางชีวภาพ ความเจ็บป่วยเฉพาะส่วนและสามารถเห็นผลจากการรักษาได้อย่างชัดเจน ในขณะที่การแพทย์ทางเลือกสะท้อนคุณค่าทาง วัฒนธรรมสุขภาพ มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงชีวิตทั้งกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณอย่างกลมกลืน และอาจเห็นผลได้ เช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติทำสมาธิเมื่อเกิดภาวะเจ็บป่วย การประพรมน้ำมนต์โดยพระหรือผู้นำความเชื่อทางจิต


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 74 วิญญาณ การทำสมาธิการประกอบพิธีกรรมโดยผู้นำศรัทธา ความเชื่ออาจเรียกว่าสามารถใช้เป็นยาหลอกได้ หรือหมายถึง เป็นการทำให้จิตใจสงบนิ่ง จิตใจที่เป็นสุข ก็นับเป็นยาที่เกิดขึ้นทางใจส่งผลต่อทางกายได้อย่างดีในผู้ป่วยหลายราย ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากใจของนักสังคมสงเคราะห์นี้ จึงมีแนวโน้มไปในทิศทางที่นักสังคมสงเคราะห์ต้อง พยายามแสวงหาความรอบรู้ด้านสุขภาพ การแนะนำให้ผู้ป่วยศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดรอบคอบ รวมถึงการปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ (Hall et al., 2012) เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ นักสังคมสงเคราะห์วิชาชีพจึงต้องพึงตระหนัก ไว้เสมอว่า ผู้ใช้บริการหรือผู้ป่วยจำนวนมากต้องการที่จะเลือกแนวทางการรักษาบนฐานความคิด ความเชื่อ ค่านิยมและความ ศรัทธาของตนเอง ความแตกต่างเหล่านี้ ทำให้นักสังคมสงเคราะห์อาจต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากใจ กลืนไม่เข้าคาย ไม่ออก เกิดความลังเล สับสนและสงสัย วิถีสังคมพหุลักษณ์ทางการแพทย์บุคคลและกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทาง วัฒนธรรมย่อมท้าทายความสามารถของนักสังคมสงเคราะห์ในการตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย การทราบถึงบทบาท หน้าที่และข้อคำนึงถึงหลักการปฏิบัติงานจึงมีความจำเป็น เพื่อนำไปใช้ให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตและเป็นส่วนหนึ่งในการดูแล รักษาสุขภาพคนในสังคมต่อไป บทบาทงานสังคมสงเคราะห์กับพหุลักษณ์ทางการแพทย์ ความรับรู้ถึงสภาพความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย การรับรู้ถึงความรู้สึกสุขสบาย ไม่มีความเจ็บปวด การรับรู้ถึง ความสามารถที่จะจัดการกับความเจ็บปวดทางร่างกายได้รวมถึงการรับรู้ความรู้สึกทางบวกที่บุคคลมีต่อตนเอง รู้คุณค่า ภาคภูมิใจ รับรู้ถึงความคิด สมาธิ การตัดสินใจและการจัดการด้านอารมณ์ จิตใจ ความเชื่อ เป็นส่วนหนึ่งของการมีคุณภาพ ชีวิตที่ดี (กรมสุขภาพจิต, 2565) ประชาชนส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้บริการแนวทางการแพทย์ปัจจุบัน ในขณะที่ผู้คนจำนวนไม่ น้อยเลือกใช้การรักษาด้วยการแพทย์ทางเลือกซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรับมือและจัดการกับปัญหาความต้องการ ด้านสุขภาพของตนเองและครอบครัว ผู้ปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ทางด้านการแพทย์หรือด้านสุขภาพอนามัย เรียกว่า นักสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ หรือนักสังคมสงเคราะห์สุขภาพ เป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ของโรงพยาบาล คลินิกผู้ป่วย ศูนย์สุขภาพชุมชน สถานบำบัดฟื้นฟูในชุมชน ฯลฯ (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2562, น. 228) อยู่ในฐานะตำแหน่งที่ไม่เหมือนใครในทีม บุคคลากรด้านสุขภาพ มีหน้าที่เชื่อมประสานและปฏิบัติงานเพื่อบูรณาการเชื่อมโยงระหว่างกาย จิต สังคมของผู้ป่วย จึงมี บทบาทหน้าที่ที่สำคัญในกรณีของการปฏิบัติงานที่ผู้ป่วยมีความสนใจ ลังเลใจ ในการเลือกใช้ระบบการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะ ในสังคมพหุวัฒนธรรม ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสุขภาพ งานสังคมสงเคราะห์จึงต้องเพิ่มมุมมองความรู้ ความตระหนักและความเข้าใจเกี่ยวกับเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ เพศ ประชากรที่อพยพ ฯลฯ (Webb, 2014) อันเกี่ยวโยงกับ วัฒนธรรมสุขภาพ ทั้งนี้ ในส่วนของความหลากหลายวัฒนธรรมสุขภาพนั้น มีการจัดการเรียนการสอนสังคมสงเคราะห์ที่สอด รับกับปัญหา ความต้องการที่หลากหลายของผู้คน โดยมีการเรียนการสอนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแพทย์ทางเลือก รวมอยู่ ในเนื้อหาของหลักสูตรการศึกษาด้านสังคมสงเคราะห์เช่น University of South Florida School of Social Work ใน สหรัฐอเมริกา คณะสังคมสงเคราะห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในประเทศไทย เป็นต้น เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจและเตรียม ความพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในการปฏิบัติงาน สร้างมุมมองการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ในพหุ วัฒนธรรม (Multicultural social work practice) เพื่อให้ตระหนักถึงวิธีการปฏิบัติงานที่หลากหลายและเพื่อให้เข้าใจว่ามี วิธีการดูแลสุขภาพอื่นๆ นอกเหนือจากวิธีที่เป็นแบบแผนที่คนส่วนใหญ่ยึดถือ (Reardon, 2009) นอกจากนี้ ยังเป็น การสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญา แนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพในกระบวนทัศน์หลักที่อยู่บนฐานทางวิทยาศาสตร์และอีกกระบวนทัศน์ หนึ่ง ที่ให้คุณค่ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น เรียกว่า วัฒนธรรมสุขภาพ มุ่งเน้นการมองมิติสุขภาพเชิงบูรณาการระหว่างกาย จิต สังคม ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับหลักการในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 75 บทบาทนักสังคมสงเคราะห์เพื่อการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ในพหุวัฒนธรรมนั้น จุดร่วมสำคัญคือนักสังคม สงเคราะห์ต้องมีความสามารถในการจัดการ ดำเนินงาน ปฏิบัติงานที่เหมาะสมทางวัฒนธรรม บูรณาการความรู้ ทัศนคติ ความเชื่อ และทักษะสู่การปฏิบัติที่ตอบสนองปัญหา ความต้องการของผู้ใช้บริการได้อย่างสอดคล้อง (Kohli, H, Huber, R, Faul, A., 2010) ทั้งนี้ บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ต้องตั้งมั่นอยู่บนค่านิยมพื้นฐานในการความเคารพคุณค่าและศักดิ์ศรี โดยเนื้อแท้ของมนุษย์ทุกคน ส่งเสริมสิทธิการตัดสินใจด้วยตนเองของแต่ละบุคคลและการมีส่วนร่วมในสังคม ต่อต้านการเลือก ปฏิบัติ ยอมรับความแตกต่างหลากหลายของผู้คนในสังคม โดยนักสังคมสงเคราะห์ควรมีบทบาทต่อพหุลักษณ์ทางการแพทย์ ดังต่อไปนี้ 1. บทบาทการให้คำปรึกษาถูกมองว่าเป็นประเด็นสำคัญมากของงานสังคมสงเคราะห์ทั่วโลก (Asquith et al., 2005) ในทำนองเดียวกัน บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์ในการให้คำปรึกษาจึงมีความสำคัญอย่างมากในพหุลักษณ์การแพทย์ ความแตกต่างหลากหลายในการดูแลรักษาสุขภาพจากความหลากหลายของสังคมพหุวัฒนธรรมมีผลทำให้ ทัศนคติ ความเชื่อ ความคิด วิถีปฏิบัติของผู้คนมีความหลากหลาย บทบาทของนักสังคมสงเคราะห์การให้คำปรึกษาแก่ผู้ใช้บริการทั้งในระดับ บุคคลที่เป็นผู้ป่วยและระดับกลุ่มที่เป็นครอบครัว เครือญาติ การให้คำปรึกษาจะเป็นความสัมพันธ์ของการสื่อสาร ในลักษณะ ของการสื่อสารแบบสองทาง โดยนักสังคมสงเคราะห์ในฐานะที่ปรึกษาที่มีแนวคิดว่าการเปลี่ยนแปลงมุมมองหรือพฤติกรรม ต้องมาจากการมีส่วนร่วมของผู้ใช้บริการเอง นักสังคมสงเคราะห์ต้องใช้ทักษะการฟัง การพูด สนทนา การอธิบายทางเลือกวิธี ปฏิบัติ การสังเกตเพื่อตรวจสอบอารมณ์ความรู้สึกของผู้ใช้บริการ เป้าหมายของการให้คำปรึกษาเพื่อให้ผู้ใช้บริการเกิด ความเข้าใจในตนเอง ตระหนักถึงปัญหา มีความรู้ ความเข้าใจในทางเลือกวิธีปฏิบัติที่เพียงพอและเหมาะสม เพื่อช่วยให้ สามารถสร้างทางเลือกในการแก้ไขปัญหา สำรวจตรวจสอบทางเลือกหรือแนวทางในการตัดสินใจเลือกด้วยตัวของตัวผู้ป่วยเอง ในบริบทของประวัติส่วนตัวของแต่ละคน การให้คุณค่า ความหมาย ความเชื่อ และวิถีชีวิตที่มีความแตกต่างกันออกไปตาม ปัจเจกบุคคล ให้คำแนะนำที่สอดคล้องลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมของบุคคลได้ดี ทั้งนี้ สำหรับวิธีการการแพทย์ทางเลือกบางอย่างที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน จากการศึกษา วิจัย ทดลอง นักสังคม สงเคราะห์จะต้องกระตุ้นให้ผู้ป่วยใช้วิจารณญาณในการพิจารณาถึงคุณและโทษอย่างรอบคอบ ต่อการเลือกวิธีการดูแลรักษา สุขภาพ โดยอาจแนะนำให้ผู้ป่วยปรึกษาผู้รู้และผู้มีประสบการณ์หลายๆ คน (พระไพศาล วิสาโล, 2555) ดังนั้น ในบทบาท การให้คำปรึกษาจึงเกี่ยวเนื่องกับบทบาทของการเป็นผู้ให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง เหมาะสมมีความจำเป็นแก่ผู้ป่วย มีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า ยังมีผู้ป่วยจำนวนมากขาดความรู้ ความเข้าใจที่เพียงพอ ถูกต้องและเหมาะสม เกี่ยวกับการแพทย์ แผนปัจจุบัน และการแพทย์ทางเลือก (ปทิตตา จารุวรรณชัย และ กฤช จรินโท, 2559) ไม่ทราบถึงการเข้าถึงข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และไม่สามารถตัดสินใจในการเลือกรักษาได้ เนื่องจากการขาดข้อมูลที่จำเป็นในการตัดสินใจใคร่ครวญด้วยตัวเองอย่างละเอียด ถี่ถ้วน (Joan et al, 2006) 2. นักสังคมสงเคราะห์มีส่วนในการอำนวยความสะดวกในการตัดสินใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับ การดูแล บำบัด รักษาด้วย การแพทย์ทางเลือก ใช้ทักษะและเทคนิคในการให้ความรู้แก่ผู้ป่วย ข้อควรพิจารณาในการเลือก ผลที่อาจเกิดขึ้นทั้งเชิงบวก และเชิงลบ สามารถอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจอย่างชัดเจน ซึ่งบทบาทของการเป็นผู้อำนวยความสะดวกนั้นยังเกี่ยวข้องกับการให้ คำปรึกษา โดยนักสังคมสงเคราะห์จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลให้เกิดความรอบรู้และสามารถถ่ายทอดความรู้แก่ผู้ป่วยได้อย่าง ชัดเจน โดยเฉพาะข้อพิจารณาถึงการใช้การแพทย์ทางเลือก (คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, มหาวิทยาลัยมหิดล, 2565) ที่มีข้อควรพิจารณาดังหลักการต่อไปนี้ ประเด็นที่ 1 ความน่าเชื่อถือ (Rational) โดยการให้ข้อควรพิจารณาจากวิธีการหรือองค์ความรู้ด้านการแพทย์ ทางเลือกชนิดนั้น ประเทศต้นกำเนิดให้การยอมรับหรือไม่ มากน้อยเพียงใด หรือมีการใช้แพร่หลายหรือไม่ ใช้มาเป็นเวลานาน เพียงใด มีการบันทึกไว้หรือไม่ อย่างไร เป็นต้น นักสังคมสงเคราะห์อาจตั้งข้อสังเกตแก่ผู้ป่วยในด้านผู้ปฏิบัติงานในระบบ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 76 การแพทย์ทางเลือก ที่ควรต้องผ่านการฝึกอบรมตามมาตรฐานที่กำหนดและได้รับใบอนุญาตของการปฏิบัติงานในระบบ การแพทย์ทางเลือกเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการได้ดี ประเด็นที่ 2 ความปลอดภัย (Safety) เป็นเรื่องสำคัญมากว่า แนวทางการแพทย์ทางเลือกนั้น จะส่งผลกับ สุขภาพของผู้ป่วยอย่างไร สามารถเป็นพิษแบบเฉียบพลันหรือแบบเรื้อรังหรือไม่ อันตรายจะเกิดขึ้นในระยะยาวหรือไม่ วิธีการ นั้นจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ เป็นต้น นักสังคมสงเคราะห์อาจสอบถามเพิ่มเติม ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และให้ คำแนะนำแก่ผู้ป่วยในการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้ป่วยเอง ประเด็นที่ 3 การมีประสิทธิผล (Efficacy) ข้อพิจารณาหนึ่งในแนวทางเลือกคือ ควรจะต้องสามารถพิสูจน์หรือมี ข้อพิสูจน์มาแล้วว่าใช้ได้ผลจริง มีข้อมูลยืนยันได้ว่าได้ผล ซึ่งอาจต้องมีจำนวนมากพอหรือใช้มาเป็นเวลานาน และอาจเป็นที่ ยอมรับจากการศึกษาวิจัยหลากหลายวิธีการ โดยแนะนำให้ผู้ป่วยหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจหรือนักสังคม สงเคราะห์สามารถเข้าไปมีส่วนช่วยในการหาข้อมูลเพิ่มเติมจากผลการศึกษาถึงประสิทธิผลของแนวทางที่ผู้ป่วยสนใจ ประเด็นที่ 4 ความคุ้มค่า (Cost - Benefit - Effectiveness) โดยเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายว่าที่เกิดด้วยวิธีนั้นๆ คุ้มค่ากับการรักษาโรคที่ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานหรือไม่ โดยนักสังคมสงเคราะห์อาจเทียบกับฐานะทางการเงินของผู้ป่วยแต่ ละคน กับความคุ้มค่า รวมถึงความเสี่ยงทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว ที่อาจเกิดขึ้นเป็นต้น 3. บทบาทในการเป็นผู้ประเมินสภาวะของผู้ใช้บริการและครอบครัว ทั้งในด้านความต้องการ ปัญหาหรือความเสี่ยง ด้วยการประเมินผ่านสภาวะกาย จิต และสังคม นำมาวิเคราะห์ ประเมิน ความซับซ้อน สาเหตุและอิทธิพล ยกตัวอย่างเช่น 1) การประเมินสภาวะทางกาย เช่น การวิเคราะห์ประเมิน ความแข็งแรง ความอ่อนแอ สภาพที่เป็นจริงทางด้านสุขภาพ ร่างกาย 2) สภาวะทางจิตสังคม เช่น สภาพทางจิตใจ ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวหรือเครือญาติ กลุ่มสังคมรอบตัว เพื่อ พิจารณาปัญหา ปัจจัยความเข้มแข็ง ความอ่อนแอ 3) ประเมินสภาวะครอบครัว เช่น ประเมินบทบาทครอบครัว แนวคิด ความเชื่อของคนในครอบครัวต่อแนวทางการดูแลรักษาสุขภาพ พื้นฐานความสัมพันธ์ในครอบครัว สิ่งแวดล้อมรอบตัวที่อาจมี ผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของสมาชิกในครอบครัว 4) การประเมินความเสี่ยง โดยอาจเป็นความเสี่ยงหรือผลกระทบจาก การรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน ความเสี่ยงจากภัยอันตรายหรือความไม่ปลอดภัยที่อาจมาจากการเลือกรักษาด้วย การแพทย์ทางเลือก หรือสภาพแวดล้อมโดยรอบ เช่น ลักษณะบ้านของผู้ใช้บริการอยู่ใกล้ลำคลองที่เป็นคลองสีดำ กลิ่นเหม็น จัด จึงเสี่ยงต่อการมีสัตว์เลื้อยคลานเข้าบ้านหรือเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ 5) การประเมินความต้องการ เช่น ความต้องการ ในด้านทรัพยากรต่างๆ เพื่อช่วยเหลือ ความต้องการในแนวทางการดูแลรักษาสุขภาพ ความต้องการในการรักษาด้วย การแพทย์ทางเลือก เป็นการประเมินภาวะองค์รวมที่ต้องเชื่อมโยงกาย จิต สังคมทั้งระบบ เพื่อประโยชน์ในการนำผลการ ประเมินนั้นไปใช้ในการวางแผนทำงานร่วมกับผู้ใช้บริการและครอบครัว รวมทั้งการนำผลการประเมินไปใช้ในการทำงานใน รูปแบบสหสาขาวิชาชีพเพื่อดูแลช่วยเหลือผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะกับกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่มีฐานคิดอยู่บนการแพทย์ แผนปัจจุบัน ทั้งนี้ เอกลักษณ์ทางวิชาชีพของงานสังคมสงเคราะห์จะขึ้นอยู่กับค่านิยมและหลักการงานสังคมสงเคราะห์ (Asquith and et al., 2005) เป็นสำคัญ อาจส่งผลให้มุมมอง ทัศนะ หรือแนวความคิดของนักสังคมสงเคราะห์อาจแตกต่าง ออกไปจากวิชาชีพอื่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก โดยนักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทในการนำเสนอข้อเท็จจริงจากการประเมิน ผู้ใช้บริการ การร่วมแสดงความคิดเห็น หาแนวทางในการช่วยเหลือ ดูแล ร่วมวางแผนเพื่อแก้ไขปัญหาของผู้ใช้บริการ อย่างเหมาะสม 4. นักสังคมสงเคราะห์มีหน้าที่ในการประสานงาน หรืออำนวยความสะดวกในการช่วยให้ผู้ป่วยสามารถสื่อสารกับ บุคลากรทางการแพทย์ได้เข้าใจตรงกัน และช่วยเหลือผู้ป่วยในการสื่อสารกับผู้ปฏิบัติงานด้านการดูแลสุขภาพทั้งการแพทย์ แผนปัจจุบันและการแพทย์ทางเลือก เนื่องจากการสื่อสารเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความไว้วางใจ รวบรวมข้อมูล และมี ส่วนช่วยเหลือผู้ป่วยในการตอบสนองทางอารมณ์ การตัดสินใจ (Frenkel et al., 2010) โดยอาจจะเสนอแนะ ให้คำแนะนำ แนวทางการตั้งคำถาม ที่ผู้ป่วยควรถาม เพื่อให้ทราบรายละเอียดที่เป็นประโยชน์ ใช้ประกอบการตัดสินใจในการรักษาได้ดีขึ้น


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 77 5. นักสังคมสงเคราะห์ช่วยในการเสริมพลังแก่ผู้ป่วย แน่นอนว่าผู้ป่วยมักจะรู้สึกท้อแท้ หดหู่ใจ หมดกำลังใจ และอยู่ ในช่วงวิกฤติ เต็มไปด้วยความตึงเครียดที่เกิดขึ้น นักสังคมสงเคราะห์มีบทบาทในการเสริมพลัง อาจผ่านการสนทนาพูดคุยเพื่อ สร้างแรงบันดาลใจในการรักษาให้แก่ผู้ป่วยเกิดความเข้มแข็งทางจิตใจ ให้ความร่วมมือในการรักษาตามแนวทางที่เหมาะสม หรือตามแนวทางที่ผู้ป่วยเชื่อ ศรัทธา เพื่อให้กลับไปใช้ชีวิตตามเป้าหมายที่อยากทำต่อไป นอกจากนี้ นักสังคมสงเคราะห์อาจ ประยุกต์ใช้หลักความเชื่อทางศาสนาที่มีการบูรณาการกาย จิต จิตวิญญาณ สังคมเข้ามาใช้ในการปฏิบัติงาน เนื่องจากศาสนามี ความสัมพันธ์กับความทุกข์ทางจิตใจและคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ (Ramirez et al., 2012) นักสังคมสงเคราะห์อาจ เลือกการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา เพื่อฟื้นฟู เยียวยาสภาพจิตใจ เป็นอีกแนวทางที่สามารถเสริมสร้างกำลังใจและ เสริมพลังทางจิตใจให้แก่ผู้ป่วย นอกจากนี้ การแสดงบทบาท หน้าที่ของนักสังคมสงเคราะห์ต้องควบคู่ไปกับการยึดถือหลักการในงานสังคม สงเคราะห์เป็นหลักปฏิบัติที่มุ่งเน้นการช่วยเหลือผู้อื่นและยกระดับความเป็นอยู่ของผู้คน (DuBois & Miley, 2010) นำไปสู่ การตัดสินใจเลือกรูปแบบการปฏิบัติงานที่เหมาะสม เป็นกฎทั่วไปเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมตามสถานการณ์ปัญหา (ระพีพรรณ คำหอม, 2555) ผู้เขียนเน้นการอธิบายถึงหลักการงานสังคมสงเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคล ประกอบด้วย หลักการยอมรับ หลักการตัดสินใจด้วยตนเอง หลักการความเสมอภาค หลักการรักษาความลับ และหลักการมีส่วนร่วม (สุขุมา อรุณจิต, 2565) มีดังนี้ หลักการที่ 1 นักสังคมสงเคราะห์ต้องยึดหลักการยอมรับ แสดงถึงความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคล เคารพความคิดเห็น ความรู้สึก ยอมรับความแตกต่างทางทัศนคติ ความเชื่อ พฤติกรรมที่มีความเป็นปัจเจก ตามแนวคิดมนุษย์ นิยม เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละคนมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม สังคม เชื้อชาติ ฯลฯ วัฒนธรรมสุขภาพของแต่ละบุคคลจึงอาจมี ความแตกต่าง นักสังคมสงเคราะห์จึงต้องคำนึงถึงความแตกต่างหลากหลายและยอมรับความแตกต่างเหล่านั้น แม้ว่าจะเห็น ด้วยอย่างสอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกับฐานคิด ทัศนคติ และพฤติกรรมของผู้ป่วยหรือไม่ก็ตาม หลักการที่ 2 ในหลักการตัดสินใจด้วยตนเอง นักสังคมสงเคราะห์ต้องการปฏิบัติงานอยู่บนฐานความเชื่อว่าผู้ป่วย ทุกคนต่างมีสิทธิในการตัดสินใจ เพื่อที่จะกำหนดและเลือกสิ่งที่เหมาะสมและดีที่สุดสำหรับการดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง ผู้ปฏิบัติงานมีบทบาทเพียงแค่การส่งเสริมความสามารถในการแก้ไขปัญหาให้บุคคลเกิดความเข้าใจในตนเอง สร้างทางเลือกใน การจัดการปัญหา และสนับสนุนให้รับผิดชอบต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง หลักการที่3 นักสังคมสงเคราะห์ต้องปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเสมอภาคกันทั้งหมด ไม่เลือกปฏิบัติ ปราศจากอคติ แม้ว่า ผู้ป่วยจะมีความแตกต่างทั้งด้านเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เพศ อายุ สถานะ ชนชั้น ฯลฯ หลักการที่ 4 การรักษาความลับเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ ในงานที่เกี่ยวข้องกับ การแพทย์ มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ปกปิดเรื่องการรักษาโดยการแพทย์ทางเลือก อันเกี่ยวเนื่องมาจากเหตุผลหลากหลาย ประการของผู้ป่วย นักสังคมสงเคราะห์จึงต้องให้ความเป็นส่วนตัวและต้องรักษาความลับให้กับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการเปิดเผย ข้อมูลให้ผู้อื่นทราบ หลักการที่ 5 ผู้ป่วยจะต้องเข้ามามีส่วนร่วม ในทุกขั้นตอนของกระบวนการงานสังคมสงเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็น กระบวนการวิเคราะห์ วางแผน การดำเนินงานและการประเมินผล เกี่ยวข้องมีฐานะที่เป็นสิทธิของผู้ป่วยเอง นอกจากการมี ส่วนร่วมในการทำงานร่วมกันระหว่างนักสังคมสงเคราะห์กับผู้ป่วยแล้ว หลักการมีส่วนร่วมนี้ยังหมายรวมถึงการมีส่วนร่วมใน การทำงานกับทีมสหวิชาชีพ เพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้เกิดประโยชน์สำหรับตัวผู้ป่วยสูงสุด


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 78 ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการส่งเสริมให้นักสังคมสงเคราะห์ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ มีความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานด้าน การแพทย์ทางเลือก เพื่อเตรียมความพร้อมการปฏิบัติงานในสังคมที่มีลักษณะพหุวัฒนธรรม เมื่อต้องเผชิญกับผู้ป่วยที่มี ความแตกต่างหลากหลายทั้งความคิด ทัศนคติความเชื่อ วัฒนธรรม ฯลฯ 2. ควรมีการกำหนดระบบการสื่อสารที่ชัดเจน เช่น รูปแบบการสื่อสาร การประชุม ฯลฯ ระหว่างทีมผู้ปฏิบัติงาน สหวิชาชีพ บุคคลากรทางการแพทย์ ได้แก่ แพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ เพื่อที่จะได้ดำเนินการ จัดการปัญหาต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที เมื่อเกิดประเด็นอันเกี่ยวข้องสถานการณ์ที่ยากลำบากใจจากการแพทย์แผนปัจจุบันและ การแพทย์ทางเลือก ที่อาจเกิดขึ้นได้ 3. ควรมีการจัดทำแผนระบบการดูแลผู้ป่วย ผังงาน (flowchart) การปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงกระบวนการปฏิบัติงาน ของทีมบุคคลากรทางการแพทย์หรือทีมสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน กรณีผู้ป่วยมีความสนใจในการแพทย์ทางเลือก 4. สถานศึกษาควรมีการเพิ่มหรือเสริมเนื้อหาในเรื่องการแพทย์ทางเลือกในหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ รวมถึง หลักสูตรของบุคคลากรทางการแพทย์ออกแบบให้มีการเรียนการสอนโดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจ เตรียม ความพร้อมให้แก่บุคคลากรผู้ปฏิบัติงานที่ต้องเผชิญกับพหุลักษณ์ทางการแพทย์ในอนาคต 5. ควรมีแนวทางการส่งเสริม สนับสนุน การวิจัย การรวบรวมองค์ความรู้ สร้างฐานข้อมูลเกี่ยวกับการแพทย์แผน ปัจจุบัน คู่ขนานไปกับการแพทย์ทางเลือก เพื่อเพิ่มโอกาสในด้านการดูแลรักษาสุขภาพ การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ เป็น ส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มากขึ้น บทสรุป ระบบดูแลรักษาสุขภาพของสังคมไทยแต่เดิมเน้นความสอดคล้องสัมพันธ์ระหว่างร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณและ สังคม มีความหลากหลายไปตามวัฒนธรรมหรือพหุวัฒนธรรม ความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น ผสมผสานความเชื่อทางศาสนา จิตวิญญาณและสิ่งเหนือธรรมชาติ ถือเป็นมรดกวัฒนธรรมสุขภาพของท้องถิ่น เมื่อองค์ความรู้จากประเทศฝั่งตะวันตกที่เน้น การแสวงหาสัจธรรม ความจริงและความรู้เพื่อนำไปสู่การค้นพบว่าด้วยเหตุผล ทำหน้าที่อธิบายให้เห็นถึงสาเหตุและผลลัพธ์ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือวิธีการเชิงประจักษ์โดยการทดลองและการสังเกต เพื่อเผยเห็นข้อเท็จจริงและสร้าง ความกระจ่างชัด ฐานความเชื่อความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์สามารถ ชั่ง ตวง วัดได้จึงมีอิทธิพลกับความคิด ความเชื่อด้าน สุขภาพในวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมประเทศฝั่งตะวันออก ปัจจุบันแม้ว่าฐานความคิด ความเชื่อทางสุขภาพจะอยู่บนฐานทาง วิทยาศาสตร์เป็นหลัก แต่ทว่ารากเหง้าของสังคมไทยคือรากฐานทางวัฒนธรรม ความเชื่อ ที่สัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ และสรรพสิ่งรอบตัวไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ สิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิตและสิ่งเหนือธรรมชาติ วัฒนธรรมสุขภาพจึงปรากฏออกมาใน ลักษณะของความเชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่างคน กาย จิต วิญญาณ และสรรพสิ่ง เหล่านั้นด้วย สังคมไทยจึงมีระบบการดูแล สุขภาพในรูปแบบการแพทย์แผนปัจจุบันเป็นหลัก และรูปแบบการแพทย์ทางเลือกที่ดำรงอยู่ ควบคู่กันมาตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคต เหล่านี้สะท้อนถึงความเป็นพหุลักษณ์ทางการแพทย์ที่คอยดูแลรักษาสุขภาพของคนในสังคมไทยได้อย่างชัดเจน ในส่วนของงานสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ท่ามกลางสังคมพหุวัฒนธรรมและมีพหุลักษณ์ทางการแพทย์จำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องมีฐานความรู้ความเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรมของผู้คนที่มีความแตกต่างด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ เพศ ฯลฯ เพื่อสร้างความเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายวัฒนธรรมสุขภาพ มีความรู้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการดูแลรักษา สุขภาพ วิธีการ กระบวนการ ประโยชน์และโทษหรือข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์ ทางเลือก เพื่อที่จะสามารถนำองค์ความรู้ ต่างๆ ไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างมีหลักการ ได้เต็มประสิทธิภาพ บนหลักการงานสังคมสงเคราะห์ที่เป็นสิ่งที่คอยควบคุมการปฏิบัติงาน ความหลากหลายเหล่านี้ย่อมเป็น ข้อท้าทายสำคัญในการที่นักสังคมสงเคราะห์จะตอบสนองความต้องการที่หลากหลายเหล่านั้นอย่างไร อย่างไรก็ตาม แต่ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าความคิดเห็นของนักสังคมสงเคราะห์หรือผู้เชี่ยวชาญจะเป็นอย่างไร การมอบอำนาจให้ผู้ใช้บริการได้ ตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกอย่างรอบคอบและระมัดระวังในการนำไปใช้ในการดูแลสุขภาพตนเองยังคงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 79 เอกสารอ้างอิง กรมสุขภาพจิต. (2565). เครื่องชี้วัดคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลกชุดย่อ ฉบับภาษาไทย. สืบค้นจาก https://dmh.go.th/test/whoqol/ กลุ่มนโยบายแห่งชาติด้านยา. (2565). บัญชียาหลักแห่งชาติและหลักฐานเชิงประจักษ์. สืบค้นจาก http://ndi.fda.moph.go.th/Drug_national กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2562). บทวิจารณ์หนังสือ Handbook of health Social Work. วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, 27(2), 228-253. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์. (2549). พหุลักษณ์ทางการแพทย์: มุมมองมานุษยวิทยากับความหลากหลายของมุมมองสุขภาพ. ใน พหุลักษณ์ทางการแพทย์กับสุขภาพในมิติสังคม วัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล. (2565). สรรพคุณ ฟ้าทะลายโจร, สืบค้นจาก https://www.rama.mahidol.ac.th/altern_med/th/ocam โครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย, กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม. (2563). สุขภาพและการแพทย์. สืบค้นจาก https://thaimooc.org/taxonomy/category/hea_cate ชนิดา มัททวางกูร, สันติ ศรีสวนแตง และ ผ่องพรรณ ตรัยมงคลกูล. (2557). การสังเคราะห์และการปรับตัวและจุดยืนของภูมิ ปัญญาการแพทย์พื้นบ้านในระบบสุขภาพชุมชน: กรณีศึกษาจังหวัดกาญจนบุรี. วารสารเกษตรศาสตร์ (สังคม), 35(2), 206-222. ชัยพร อุโฆษจันทร์. (2565). การหายไปของคน-ผีจากการเรียนสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ใต้ร่มเงาชีวะ-การแพทย์ใน บริบทสังคมไทย. วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. 30(1), 154-177. เทวัญ ธานีรัตน์.(2565). การแพทย์ทางเลือก คืออะไร. สืบค้นจาก http://www.msdbangkok.go.th/- Alternative%20Medicine/What%20Alternative%20Medicine.htm. นฤพล ด้วงวิเศษ. (2566). คำศัพท์ทางมานุษยวิทยา. สืบค้นจาก https://www.sac.or.th/databases/-anthropologyconcepts/glossary/55. ปทิตตา จารุวรรณชัย และ กฤช จรินโท. (2559). คุณลักษณะของผู้ใช้การแพทย์ทางเลือกในโรงพยาบาลของรัฐ. วารสารบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์, 9(2), 73-84. ปรียานุช โชคธนวณิชย์. (2558). การเยี่ยมบ้านในงานสังคมสงเคราะห์สุขภาพ: แนวคิดพื้นฐานเพื่อการปฏิบัติงาน. วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, 23(2), 126-150. ปัทมา แคสันเทียะ และทิพาพร กาญจนราช. (2563). ปัญหาและข้อเสนอแนะในการทดแทนยาแผนปัจจุบันด้วยยาสมุนไพร ในโรงพยาบาลของรัฐ: การศึกษานำร่องจากมุมมองของบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลชุมชนในภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ. วารสารเภสัชกรรมไทย, 13(4), 837-846. พระไพศาล วิสาโล. (2555). องค์รวมแห่งสุขภาพ: ทัศนะใหม่ เพื่อดุลยภาพแห่งชีวิตและการบำบัด รักษา. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโกมลคีมทอง. รณรงค์ จันใด. (2561). แนวทางการพัฒนาระบบการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุแบบองค์รวมในเขตเทศบาลนครนนทบุรี. สถาบันพระปกเกล้า, 16(1), 96-110. ระพีพรรณ คำหอม. (2555). หลักและกระบวนการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์จุลภาค (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. รุ้งนภา ยรรยงเกษมสุข. (2556). ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์กับการอธิบายปรากฏการณ์สังคมจากมุมมองตัวแสดง. วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย, 5(2), 69-89.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 80 ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ. (2565). การแพทย์ทางเลือก. สืบค้นจาก https://www.bangkokhealth.com สามารถ ใจเตี้ย และณัทธร สุขสีทอง. (2563). ภูมิปัญญาพื้นบ้านล้านนาเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพผู้สูงอายุเขตเมือง และ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย กรณีศึกษาเทศบาลตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่. วารสารการพัฒนาชุมชน และคุณภาพชีวิต, 8(3), 581–591. สุขุมา อรุณจิต. (2565). ศาสตร์ประยุกต์ในงานสังคมสงเคราะห์. ปทุมธานี: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สุพินดา กิจทวี, รัชนี จันทร์เกษ และดวงแก้ว ปัญญาภู(บก.). (2563). การแพทย์บูรณาการ ทางเลือกใหม่ในการดูแลสุขภาพ ใน สาระการประชุมวิชาการประจำปี การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 17 “นวดไทย สมุนไพรไทย สร้างสุขทุกวัย”, 2-3 กันยายน 2563 ห้องประชุมฟินิกซ์ 1-6 ศูนย์แสดงสินค้า และการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี. กรุงเทพฯ: กองวิชาการและแผนงาน กลุ่มงานวิชาการและ คลังความรู้ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารสุช. สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (2562). แนวทางการปฏิบัติงานสำหรับนักสังคมสงเคราะห์กับผู้ป่วยยาเสพติด. นนทบุรี: บอร์น ทู บี พับลิซซิ่ง จำกัด. Asquith, S., Clark, C. & Waterhouse, L. (2005). The Role of the Social Worker in the 21st Century a Literature Review. Retrieved from https://www.semanticscholar.org/paper/The-role-of-the-socialworker-in-the-21st-century%3A-Asquith-Clark/f1adfbe1dd135751ed2d8fdd5802f0ac78a53d09 Banthoengsuk, H. (2018). Local wisdom on rituals and beliefs related to caring mental health of elderly people in Ponemuang community at Ubon ratchathani province. UBRU Journal of Public Health Research, Ubon Ratchathani Rajabhat University. 6(2), 30–42. Bernard, M. (2022). The Effects of The Metaverse On Society. Retrieved from https://bernardmarr.com/theeffects-of-the-metaverse-on-society/ Block, P. B., (2006). Gehlert, S. and Browne, T. A. (Ed). Handbook of Health Social work. New Jersey: John Wiley & Sons, Inc. Blum, L. A. (1998). Multiculturalism, and Interracial Community: Three Educational Values for a Multicultural Society. In Applied Ethics: A Multicultural Approach. Second edition(pp. 14–30). USA.: Prentice Hall. DuBois,B. & Miley,K.K. (2010). Social Work: An Empowering Professional.6 th Ed. U.S.A.: Pearson Education, Inc. Fisher, C., Adams J., Hickman L. & Sibbritt D. (2016). The use of complementary and alternative medicine by 7427 Australian women with cyclic perimenstrual pain and discomfort: a cross-sectional study. BMC Complement Altern Med. 18(16), 129. DOI: 10.1186/s12906-016-1119-8. Frenkel, M., Ben-Arye, E. & Cohen, L. (2010). Communication in cancer care: discussing complementary and alternative medicine. Integr Cancer Ther, 9(2). 177-185. DOI: 10.1177/1534735410363706. Gupta, S., Mishra KP, and Ganju, L. (2017). Broad-spectrum antiviral properties of andrographolide. Arch Virol, 162(3), 611-623. DOI: 10.1007/s00705-016-3166-3. Hall, H. G., McKenna, L G. & Griffiths, DL. (2012). Midwives' support for Complementary and Alternative Medicine: a literature review. Women Birth, 25(1), 4-12. DOI: 10.1016/j.wombi.2010.12.005. Hall, H. G., Griffiths, D. L. & McKenna, L. G. (2012). The use of complementary and alternative medicine by pregnant women: a literature review. Midwifery, 27(6), 817-24. DOI: 10.1016/j.midw.2010.08.007.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 81 Institute of Medicine. (2005). Complementary and Alternative Medicine in the United States. Washington (DC): National Academies Press (US). International Cancer Institute. (2022). Complementary and Alternative Medicine. Retrieved from https://www.cancer.gov/about-cancer/treatment/cam International Library of Medicine. (2022). Complementary and Alternative Medicine in the United States. Retrieved from https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK83804/ Joan,R. F., LevineE., & Sherman, P. (2006). Helping patients make decisions about complementary and alternative treatments: the social work role. J Psychosoc Oncol,24(1), 81-106. DOI: 10.1300/J077v24n01_07. Kohli, H., Huber, R. & Faul, A., (2010). Historical and theoretical development of culturally competent social work practice, Journal of Teaching in Social Work. 30, no.3 0884-1233, 259. Lu, J. H., Tsay, S. L. & Sung, S. C. (2010). Taiwanese adult cancer patients' reports of using complementary therapies. Cancer Nurs, 33(4), 320-326 DOI: 10.1097/NCC.0b013e3181d1c7ee. Ng, J. Y., Verma, K. D. & Gilotra, K. (2021). Quantity and quality of complementary and alternative medicine recommendations in clinical practice guidelines for type 2 diabetes mellitus: A systematic review. Nutr Metab Cardiovasc Dis, 31(11). 3004-3015. DOI: 10.1016/j.numecd.2021.07.029. Rafii, F., Eisavi, M., & Safarabadi, M. (2020). Explaining the Process of Spiritual healing of Criticallyill Patients: A Grounded Theory Study. Ethiop J Health Sci, 30(4). 579–587. DOI: 10.4314/ejhs.v30i4.13 Ramirez, S. P., Macêdo, D. S., Sales, P. M., Figueiredo, S. M., Daher, E. F., Araújo, S. M., Pargament, K. I., Hyphantis T. N. & Carvalho, A. F. (2012). The relationship between religious coping, psychological distress and quality of life in hemodialysis patients. J Psychosom Res, 72(2). 129-135. DOI: 10.1016/j.jpsychores.2011.11.012. Reardon, c. (2009). Complementary and Alternative Therapies in Behavioral Health. Social Work Today, 9(6), Retrieved from https://www.socialworktoday.com/archive/112309p8.shtml Smith, P.J., Clavarino, A., Long, J. & Steadman, K.J. (2014). Why do some cancer patients receiving chemotherapy choose to take complementary and alternative medicines and what are the risks?. Asia Pac J Clin Oncol, 10(1). 1-10. DOI: 10.1111/ajco.12115. Tatsumura, Y., Maskarinec, G., Shumay M. D. & Kakai, H. (2003). Religious and spiritual resources, CAM, and conventional treatment in the lives of cancer patients. Altern Ther Health Med, 9(3). 64-71. Tidy, C. (2022). Complementary and Alternative Medicine. Retrieved from https://patient.info/treatmentmedication/complementary-and-alternative-medicine-cam Webb, T. (2014). Multiculturalism: Implications for Culturally Competent Social Work Practice. Retrieved from https://www.socialworkers.org/assets/secured/documents/practice/diversity/WKF-NL33514%20Multiculture-PP.pdf


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 82 การเปลี่ยนผ่านความหมาย “สังคมสงเคราะห์” ในสังคมไทย The Transformation of the Definition of Social Work in Thai Society สุวรา แก้วนุ้ย1 Suwara Kaewnuy2 Abstract Creating understanding of the true meaning of “social work” continues to lack understanding and communication to society, and the work of social workers has not yet led to a helpful comprehensive interpretation. The purpose of this article is to analyze the process of creating a meaning to “social work” which will lead to an evolution of change in the definition truly linked to the philosophy of the occupation. The Transformation of the Definition was dictated by the context of government and politics, economy, society, generational beliefs and culture which can be categorized in five periods, namely (1) prior to AD 1900 social work was charitable welfare; (2) AD 1900-1940 social work was systematic assistance; (3) AD 1941- 1965 social work was an occupation and organizing of social welfare; (4) AD 1966-1990 social work was improving welfare and the quality of human life; (5) AD 1991- present in which social work is social equality, rights and strengthening power. Although the definition of social work changes over time, societal understandings are still tied to charity and relief efforts. In spite of the main goal to development in society, building unity in society, societal integrity and strengthening the forces that liberate those who have been suppressed based on the foundations of social equality, timely in relation to changing situations, human rights, creating participation and joint responsibility and respecting diversity. Social workers are an important component in making the main concepts, principles become concrete through working based on the social work philosophy. Keywords: Transformation, Definition, Social work บทคัดย่อ การทำความเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของงาน “สังคมสงเคราะห์” ยังขาดการทำความเข้าใจและสื่อสารสู่สังคม และการปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ยังไม่นำไปสู่การตีความหมายอย่างรอบด้านครอบคลุม บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์กระบวนการเปลี่ยนผ่านความหมายของ "สังคมสงเคราะห์" อันนำไปสู่ความหมายที่เชื่อมโยงกับปรัชญาวิชาชีพที่ แท้จริง ลำดับพัฒนาการของความหมายถูกกำหนดสร้างผ่านบริบททางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ความเชื่อและ วัฒนธรรมตามยุคสมัยที่มีความสัมพันธ์กับสังคมโลกและสังคมไทย โดยแบ่งออกเป็น 5 ช่วงเวลา ได้แก่ (1) ก่อนปี ค.ศ. 1900 การสังคมสงเคราะห์คือการสงเคราะห์แบบการกุศล (2) ปี ค.ศ. 1900-1940 การสังคมสงเคราะห์คือการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ (3) ปี ค.ศ. 1941-1965 การสังคมสงเคราะห์คือความเป็นวิชาชีพและการจัดสวัสดิการสังคม (4) ปี ค.ศ. 1966-1990 การสังคม สงเคราะห์คือการพัฒนาสวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตมนุษย์ และ (5) ปี ค.ศ. 1991-ปัจจุบัน การสังคมสงเคราะห์คือความยุติธรรม 1 นักศึกษาหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสังคม คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2 Ph.D. Student, Program in Social Policy, Faculty of Social Administration, Thammasat University Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 83 ทางสังคม สิทธิ และการเสริมพลังอำนาจ ซึ่งแม้ความหมายของการสังคมสงเคราะห์จะเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา แต่ความเข้าใจ ของสังคมยังยึดโยงกับการกุศลและการช่วยแบบบรรเทาทุกข์ที่ปลายเหตุ ทั้งที่เป้าหมายหลักเพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาทางสังคม สร้างความสมานฉันท์ในสังคม สร้างบูรณภาพทางสังคม และการเสริมสร้างพลังอำนาจสู่การปลดปล่อย ผู้คนที่ถูกกดทับ บนพื้นฐานความยุติธรรมทางสังคม การเท่าทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง สิทธิมนุษยชน การสร้างการมือ ส่วนร่วมและความรับผิดชอบร่วมกัน และการเคารพในความหลากหลาย ดังนั้นการเปลี่ยนผ่านความหมายไปสู่การปฏิบัติต้อง อาศัยนักสังคมสงเคราะห์เป็นส่วนสำคัญของการทำให้หลักคิด หลักการที่เป็นนามธรรมขยับไปสู่รูปธรรมอย่างแท้จริง คำสำคัญ: การเปลี่ยนผ่าน, ความหมาย, สังคมสงเคราะห์ บทนำ กว่า 100 ปีที่งานสังคมสงเคราะห์เข้ามามีบทบาทในสังคมไทย ผ่านภาพจำ หรือการให้ความหมายที่ถูกยึดโยงไว้กับ การให้ความช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาทางสังคม การบริจาค หรืองานการกุศล ทั้งนี้อาจเป็นเพราะกระบวนการทำ ความเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของ “สังคมสงเคราะห์” ยังขาดการทำความเข้าใจและสื่อสารต่อสังคม และการปฏิบัติงาน ของนักสังคมสงเคราะห์ยังไม่นำไปสู่การตีความหมายอย่างรอบด้านครอบคลุม ดังนั้นการวิเคราะห์ความหมายของ "สังคม สงเคราะห์" ในสังคมไทย จึงอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจความหมายอันจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนวิธีคิด และ มุมมองต่องานสังคมสงเคราะห์ได้ การสังคมสงเคราะห์มีรากฐานมาจากความห่วงใย ผู้ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนและไม่สามารถช่วยตนเองได้ โดยได้รับอิทธิพลมาจากคำสอนในศาสนาต่างๆ รูปแบบการทำงานที่มีพื้นฐานมาจากการกุศล งานอาสาสมัคร จึงทำให้ภาพที่ ปรากฎของงานสังคมสงเคราะห์มุ่งที่การให้ และผูกโยงกับการแจกเงิน สิ่งของ หรือทรัพยากรที่ผู้ที่ประสบปัญหาต้องการ ทั้งที่ วิวัฒนาการของงานสังคมสงเคราะห์ได้พัฒนาไปสู่ความเป็นวิชาชีพ และใช้แนวคิดทางสังคมศาสตร์ประยุกต์ แนวคิดทาง จิตวิทยา สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา และแนวคิดทางวิทยาศาสตร์มาปรับใช้ในกระบวนการทำงาน แต่คนส่วนใหญ่ในสังคม ก็ยังคงเข้าใจว่างานสังคมสงเคราะห์เป็นงานการกุศล โดยมุ่งเน้นที่การ “ให้” หรือ “การสงเคราะห์” หรือ “การช่วยเหลือ” มากกว่ามองในทรรศนะอื่นๆ (วันทนีย์ วาสิกะสิน และคณะ, 2557) การพิจารณาความหมายของงาน “สังคมสงเคราะห์” จึงจำเป็นต้องพิจารณาให้เห็นถึงความหมายที่หลากหลาย ออกไป จึงจะสามารถทลายกรอบกรอบคิด ความเชื่อแบบเดิม การทำความเข้าใจการเปลี่ยนผ่านของความหมายของงานสังคม สงเคราะห์เปรียบได้กับมุมมองต่อเรื่องเหรียญสองด้าน ในการมองย่อมมีสองด้าน มิฉะนั้น มันจะไม่ใช่เหรียญสองด้านของ เหรียญมันอยู่ตรงข้ามกัน ทั้งยังไม่เคยรับรู้การสะท้อนของอีกด้านของเหรียญเลย แต่มันกลับมีความหมายต่อการมีอยู่ของ เหรียญเสมอ (Derrida, 1993 cited in Kelly, 1998 อ้างถึงใน กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2563) ทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่มี ความหมายที่หลากหลายมุม งานสังคมสงเคราะห์ก็เช่นกันที่มิใช่เพียงแค่การมุ่งเน้นที่การให้ หรือการสงเคราะห์ หรือ การช่วยเหลือเพียงด้านเดียว การทำความเข้าใจการเปลี่ยนผ่านความหมายของการสังคมสงเคราะห์ในแต่ละช่วงเวลา เป็นวิธีการศึกษาที่ตั้งอยู่บน ความเชื่อว่า ความหมายของภาษาเป็นสิ่งที่ไม่คงที่ และสัญญะที่เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของภาษา ก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้ สื่อความหมายอย่างตรงไปตรงมา แต่ความหมายของคำมีการเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงไปสู่ความหมายใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2563) หากทำการวิเคราะห์เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนผ่านของความหมาย "สังคมสงเคราะห์" ใน สังคมไทยคงต้องทำการอธิบายเชื่อมโยงในมิติของความเป็นมาของสังคมสงเคราะห์ในระดับนานาชาติด้วย ซึ่งเป็นส่วนที่มี อิทธิพลต่องานสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทยด้วย ผู้เขียนในฐานะนักวิชาการด้านสังคมสงเคราะห์ แสวงความรู้แบบ ไม่หยุดนิ่งจึงตั้งข้อสงสัยและถกคิดในการเปลี่ยนผ่านความหมายใหม่ของงานสังคมสงเคราะห์ดังนั้นบทความนี้มี


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 84 วัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนผ่านของความหมายการ "สังคมสงเคราะห์" อันนำไปสู่ความหมายใหม่ที่เชื่อมโยงกับ ปรัชญาวิชาชีพที่แท้จริง เฉดความหมายของ “สังคมสงเคราะห์”: นิยามความหมายสากล3 การพิจารณาถึงความหมายของ “สังคมสงเคราะห์” ต้องเริ่มจากการมองนิยามความหมายอันหลากหลาย ที่ถูก กำหนดไว้ด้วยนักวิชาการทั้งต่างประเทศและในประเทศไทย โดยพัฒนาการของการให้คำจำกัดความของการสังคม สงเคราะห ในต่างประเทศ ได้แบ่งออกเป็น 5 ช่วงเวลา ดังนี้ ในช่วงก่อนปี 1900: การสงเคราะห์แบบการกุศล การสังคมสงเคราะห์ถูกให้ความหมายว่าเป็นวิชาชีพแห่งการช่วยเหลือ สืบเนื่องจากการได้รับอิทธิพลจากการทำงาน ขององค์กรการกุศลและชนชั้นสูงในการปกครองในยุคสมัยนั้น ที่มีแนวทางการทำงานเป็นรูปแบบ Charity Organization Society หรือ COS นักสังคมสงเคราะห์ในขณะนันมักจะเรียกกันว่า “Friendly visitors” ซึ่งใช้วิธีการเยี่ยมเยียนผู้ยากจน เดือดร้อนเป็นหลักในการทำงาน เพื่อให้เงินช่วยเหลือคนยากจน ซึ่งบทบาทหลักของผู้ที่ไปเยี่ยมตามบ้านเป็นการพยายาม แยกแยะว่าผู้ใดสมควรได้รับความช่วยเหลือ โดยไม่คำนึงถึงองค์ประกอบของปัญหาความทุกข์ยากของประชาชน ซึ่งผู้ที่ถูกคัด ออกจากความช่วยเหลือส่วนใหญ่ได้แก่ พวกลักขโมยจนเป็นนิสัย ผู้ที่เกียจคร้านจนเกินแก้ไข กลุ่มคนที่ติดสุรา ผู้ที่สำส่อนทาง เพศและโสเภณี โดยทัศนะของการทำงานในยุคนั้นจะใช้หลักจริยธรรมที่เชื่อมโยงกับมิติทางศาสนามาเป็นเครื่องมือใน การตัดสิน (Rengasamy, 2009 และ วันทนีย์ วาสิกะสินทร์ และคณะ, 2557) ในช่วงปี 1900-1940: การช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ในช่วงต้นคริสตร์ศตวรรษที่ 19 แมรี ริชมอนด์ ผู้ให้กำเนิดงานสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย ให้ความหมายของงาน สังคมสงเคราะห์ว่า เป็นศิลปะแห่งการช่วยเหลือและเป็นการใช้สามัญสำนึกในสถานการณ์ที่ไม่สามัญ และอีกความหมายของ การสังคมสงเคราะห์ที่ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์คือ สังคมสงเคราะห์เป็นกระบวนการที่จะพัฒนาบุคลิกภาพ โดย การปรับเข้าหากันระหว่างบุคคลต่อบุคคล และระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม (Rengasamy, 2009 และ วันทนีย์ วาสิกะสินทร์ และคณะ, 2557) ในปี ค.ศ. 1935 เบอร์ทา ซี. เรย์โนลดส์ ได้ให้ความหมายสังคมสงเคราะห์ไว้ว่า งานสังคมสงเคราะห์เป็นงานที่ ช่วยเหลือคนในการปรับตัวให้สอดคล้องกับครอบครัว กลุ่มและชุมชน ดังนั้น การให้ความหมายในช่วงปี 1900-1940 จึงการเน้นให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาในเรื่องบุคลิกภาพ การปรับตัว ให้เข้ากับสังคม โดยมีการทำงานในสามระดับคือ ระดับบุคคล ครอบครัวหรือกลุ่มชน และชุมชนที่อยู่อาศัย โดยภาพของ ความหมายยังชี้ให้เห็นถึงการแก้ไขปัญหา การช่วยเหลือ โดยไม่คำนึงถึงการป้องกันปัญหาแต่อย่างใด ในช่วงปี 1941-1970: ความเป็นวิชาชีพและการจัดสวัสดิการสังคม ในช่วงถัดมาการให้ความหมายของการสังคมสงเคราะห์เริ่มถูกกล่าวถึงความเป็นวิชาชีพและการจัดสวัสดิการสังคม อย่างเป็นระบบมากขึ้น ในปี1942 Arthur E. Fink ไดใหคําจํากัดความไววาการสังคมสงเคราะหเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะของ การจัดหาบริการเพื่อชวยสงเสริมความสามารถภายในสวนบุคคลและหนาที่ทางสังคม (Social Functioning) ของบุคคล ซึ่งใช กับบุคคลแตละคนหรือเป็นกลุมก็ไดคําวาศิลปะ (Art) หมายถึง ความเหมาะสมกลมกลืนเข้ากันไดสวนศาสตร์(Science) หมายถึง ความรู้ 3 คำว่า “เฉด” ในบทความนี้ ผู้เขียนใช้แทนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ คำว่า shad ซึ่งให้ความหมายว่า “ค่อยๆ เปลี่ยน”


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 85 ในปี ค.ศ. 1948 เฮอร์เบอร์ต เอช. สตรุป ให้ความหมายสังคมสงเคราะห์ไว้ว่า งานสังคมสงเคราะห์ คือศิลปะของ การนำเอาทรัพยากรต่างๆ มาใช้ในการตอบสนองความต้องการ โดยการนำเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ของการช่วยเหลือ เพื่อให้คนช่วยตัวเองได้ โดยการให้ความหมายของการทำงานสังคมสงเคราะห์ในช่วงนี้จะมีลักษณะที่เป็นศาสตร์และศิลปะในการทำงาน โดย ให้ความสำคัญกับแง่มุมความเป็นศิลปะในการทำงาน เชื่อมโยงกับการทำงานกับมนุษย์ที่มีความแตกต่างหลากหลายกันไป และมีการใช้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์มาปรับใช้ในกระบวนการทำงานด้วย ในช่วงปี1970-1990: การพัฒนาสวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตมนุษย์ การให้ความหมายในมิติการพัฒนาสวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตมนุษย์เริ่มชัดเจนขึ้นในปี 1973 สมาคมนักสังคมสงเคราะห แหงชาติของสหรัฐอเมริกา (NASW) ให้ความหมายของสังคมสงเคราะห์ไว้ว่า หมายถึง กิจกรรมทางวิชาชีพที่จัดขึ้นเพื่อมุ่งให้ ความช่วยเหลือมนุษย์โดยการส่งเสริม ฟื้นฟู และพัฒนาความสามารถของบุคคล ครอบครัว กลุ่ม และชุมชน ให้สามารถปฏิบัติ หน้าที่ในสังคมได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมทางสังคมด้วย ในปี ค.ศ. 1976 โซเฟีย ที.บิวทริม ให้ความหมายสังคมสงเคราะห์ไว้ว่า งานสังคมสงเคราะห์ คือวิชาชีพแห่ง การช่วยเหลือ โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การส่งเสริมสวัสดิภาพของมนุษย์ ผ่านการป้องกันและขจัดปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ ให้ หมดสิ้นไป ซึ่งการให้ความหมายของการทำงานสังคมสงเคราะห์มีลักษณะที่เป็นศาสตร์และศิลป์ในการทำงาน โดยให้ ความสำคัญกับแง่มุมความเป็นศิลปะในการทำงาน เชื่อมโยงกับการทำงานกับมนุษย์ที่มีความแตกต่างหลากหลายกันไป และ มีการใช้แนวคิดทางวิทยาศาสตร์มาปรับใช้ในกระบวนการทำงานด้วย มุ่งเน้นไปสู่การพัฒนามนุษย์มากขึ้น ในช่วงปี1991-ปัจจุบัน: ความยุติธรรมทางสังคม สิทธิ และการเสริมพลังอำนาจ ตั้งแต่ปี 1990 โลกของเราเข้าสู่ยุคของนโยบายเศรษฐกิจใหม่และโลกาภิวัตน์ ประเทศต่างๆ จากการเปลี่ยนแปลง ด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ส่งผลให้ลักษณะปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์มีความซับซ้อนมากขึ้น หากเราสังเกต นิยามศัพท์ของสังคมสงเคราะห์สากลที่มีการทบทวนความหมายของสังคมสงเคราะห์ ในทุกทศวรรษ โดยองค์การนานาชาติ ด้านสังคมสงเคราะห์ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในโลกสองแห่ง ได้แก่ สมาคมการศึกษาสังคมสงเคราะห์นานาชาติ หรือ IASSW (International Association of Schools of Social Work) และสหพันธ์นักสังคมสงเคราะห์นานาชาติ หรือ IFSW (International Federation of Social Workers) ได้มีการทบทวนนิยามความหมายของวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ สากล (Global definition of social work) ในทุกๆ 10 ปี เมื่อปี ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557) ได้แจ้งแก่องค์กรสมาชิกทั่วโลกว่า “สังคมสงเคราะห์คือวิชาชีพที่เน้นการปฏิบัติเป็นฐานและเป็นวิทยาการสาขาหนึ่งที่ส่งเสริม/สนับสนุนการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม การพัฒนาสังคมโดยบูรณาการศาสตร์ ศิลป์ และภูมิปัญญา อาศัยการประสานและจัดการทรัพยากร เพื่อแก้ไข ฟื้นฟู และดำเนินการในจุดที่มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสภาวะแวดล้อม ที่เกี่ยวข้องกับคน ครอบครัว กลุ่ม ชุมชน สังคม รวมทั้ง การเสริมพลัง การพิทักษ์สิทธิ เพื่อความเป็นอิสระของมนุษย์ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งกาย จิต สังคม ปัญญา โดยคำนึงถึงสิทธิ มนุษยชน ความเป็นธรรมทางสังคม คุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ภายใต้กรอบมาตรฐาน และ จรรยาบรรณทางวิชาชีพ” ดังนั้นความหมายของงานสังคมสงเคราะห์ในระยะหลัง จึงมุ่งเน้นในแง่การพัฒนา การส่งเสริมสวัสดิภาพของมนุษย์ การพิทักษ์สิทธิ์ รวมถึงการรักษาความเป็นอิสระในตนเองเพื่อเสริมพลังและสร้างคุณค่าให้มนุษย์มากที่สุด โดยงานสังคม สงเคราะห์เป็นวิชาชีพที่ยังต้องทํางานกับผู้ประสบปัญหาทางสังคมที่เกิดจากความ ไม่เท่าเทียมกันและความ อยุติธรรมทาง สังคม อีกทั้ง ต้องทํางานกับผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลาย การเผชิญกับปัญหาทางสังคมร่วมกับปัญหาอื่นๆ ทั้งทางกาย และจิตใจมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นด้วย


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 86 ความเป็นมาของการสังคมสงเคราะห์ไทย กับการสะท้อนรากฐานของความหมาย การสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทย เกิดจากรากฐานของศาสนาและมิติความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งปรากฎให้เห็นตั้งแต่อดีตที่มีการบันทึกรูปแบบการให้ความช่วยเหลือ ทั้งในระดับประชาชนกับประชาชน ผู้มีฐานะตำแหน่ง ทางสังคมกับประชาชน และพระมหากษัตริย์ กับประชาชน ดังเห็นได้ตั้งแต่รัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หากราษฎร ผู้ใดมีความทุกข์ร้อน ก็ให้ไปสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้ที่ศาล พระองค์ก็จะเสด็จมาทรงพิจารณาพิพากษาอรรถคดี และทรงรับฟัง เรื่องราวร้องทุกข์ต่างๆ ตลอดจนทรงช่วยเหลือแก้ไขปัญหานั้นๆ นอกจากนี้ในสมัยก่อนวัดได้มีบทบาทในด้านสังคมสงเคราะห์ เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งวัดจะเป็นศูนย์กลางของการนันทนาการ การจัดงานรื่นเริงและงานเทศการต่างๆ ประจำปีและเป็นศูนย์กลาง ของการศึกษา การรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วย ที่พักอาศัยของผู้ยากไร้ แม้กระทั่งกลุ่มคนยากจน ขอทาน ที่มีการพึ่งพาวัดเป็นที่ พักพิงและแหล่งอาหาร แต่รูปแบบการช่วยเหลือเหล่านี้ไม่นับเป็นการสังคมสงเคราะห์ที่เป็นรูปองค์การของประเทศไทยใน ปัจจุบัน การสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทย เริ่มเป็นรูปองค์กรในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยนั้น ได้มีการปฏิรูปสังคมหลายอย่างเช่น ปฏิรูปการศึกษา การสาธารณสุขการบริหารงานของรัฐ การเลิกทาส (พ.ศ.2448) หน่วยงานที่เกี่ยวกับสวัสดิการของประชาชนหลายแห่งก็ได้รับการจัดตั้งขึ้น เช่นในปี พ.ศ. 2429 รัฐได้จัดตั้งโรงพยาบาลศิริราช ขึ้น เพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยไข้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2438องค์การสภากาชาดไทยได้เริ่มก่อตั้งขึ้น เดิมมีชื่อว่าสภาอุณาโลมแดง ซึ่งทำ หน้าที่ช่วยเหลือบรรเทาทุกข์แก่ทหารที่ป่วยเจ็บทั้งหลาย ในปี พ.ศ. 2435 ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนอนาถาขึ้นโดย พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ ได้ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างขึ้นที่ตำบลโรงเลี้ยงเด็ก ได้รับเด็กหญิงที่เป็นกำพร้า หรือเด็กที่พ่อ แม่ยากจน ไม่สามารถจะอุปการะได้ นำมาให้การศึกษาอบรม ต่อมาโรงเรียนนี้ได้เลิกล้มไปและในปี พ.ศ. 2454 ท่านผู้หญิงยม ราชได้เป็นหัวหน้าเรี่ยไรเงินจัดตั้งโรงเรียนนี้ขึ้นอีกให้ ชื่อว่า “โรงเรียนเบญจมราชูทิศ” มีสมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรม ราชินีพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ในรัชวงศ์จักรี ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ ท่านผู้หญิงยมราชเป็นผู้อำนวยการ ต่อมาเมื่อท่านผู้หญิง ยมราชถึงแก่อนิจกรรม จึงโอนกิจการนี้ให้แก่เทศบาลนครกรุงเทพฯ เมื่อ พ.ศ. 2481 ได้ย้ายสถานที่ใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนชาติสงเคราะห์ ในที่สุดเทศบาลนครกรุงเทพฯ ได้โอนโรงเรียนชาติสงเคราะห์ตั้งแต่ พ.ศ. 2491 เป็นต้นมา ปัจจุบัน ก็คือ บ้านราชวิถี (ประวัติความเป็นมาของงานสังคมสงเคราะห์, 2556) การสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทย เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้นในช่วง ปี พ.ศ. 2483 รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญของ สวัสดิการของประชาชน จึงได้จัดตั้งกรมประชาสงเคราะห์ขึ้น เพื่อทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือ และส่งเสริมความเป็นอยู่ของ ประชาชนให้มีการอยู่ดีกินดี พร้อมทั้งปรับปรุงสวัสดิภาพให้ดีขึ้น การดำเนินงานของกรมประชาสงเคราะห์ได้นำวิธีการ สังคมสงเคราะห์ไปใช้ให้ บริการแก่ประชาชนโดยตรง (First setting) เช่น วิธีการสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย การสังคมสงเคราะห์ กลุ่มชน การจัดระเบียบชุมชน ฯลฯ เป็นต้น (กรมประชาสงเคราะห์, 2543) ต่อมาในปี พ.ศ. 2487 ได้มีจัดการเรียนการสอนสังคมสงเคราะห์ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยกรมสโมสรวัฒนธรรมหญิง และ นำไปสู่การก่อตั้งตั้งคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2497 ต่อจากนั้นการสังคมสงเคราะห์ใน ประเทศไทยก็เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ในปีพ.ศ. 2501 ได้มีการจัดตั้งสมาคมนักสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่ การประชุมการสังคมสงเคราะห์แห่งชาติเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2503 ที่จัดการประชุมที่กรุงเทพมหานคร มีองค์การและ หน่วยงานทางสังคมสงเคราะห์ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน จากส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเข้าร่วมประชุม ผลจากการประชุม ครั้งนี้ได้ก่อตั้งสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ขึ้น ตั้งแต่ช่วงหลังปี พ.ศ. 2530 ประเทศไทยมีการเปิดพื้นที่ทางการศึกษามากขึ้น ได้มีการจัดตั้งคณะสังคมสงเคราะห์ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ และเริ่มเปิดการเรียนการสอนสาขาสังคมสงเคราะห์ในหลายมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2545 ได้มีการยกระดับการทำงานของกรมประชาสงเคราะห์ไปสู่การก่อตั้งกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ และมีการผลักดันให้ออกพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ.2546 ที่รองรับบทบาทนัก


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 87 สังคมสงเคราะห์เป็นครั้งแรก ในปัจจุบันการทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทย ได้มีการก่อตั้งสภาวิชาชีพสังคม สงเคราะห์ ภายใต้ พ.ร.บ.วิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. 2556 ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแล กำกับ และติดตาม การดำเนินงานของนักสังคมสงเคราะไทย (สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์, 2563) ภาพที่ 1 ความเป็นมาของวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทย. เฉดความหมายของ “สังคมสงเคราะห์”: นิยามความในสังคมไทย การสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทยปรากฎเป็นรูปธรรมชัดเจน ในช่วงรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ได้จัดตั้งกรม ประชาสงเคราะห์ขึ้นเมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2583 และมีความเป็นวิชาชีพ เมื่อมีการตั้งหลักฐานทางการศึกษาอย่างมั่นคงในช่วงปี พ.ศ. 2497 ที่จัดการศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นครั้งแรก เมื่อตั้งคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็น ช่วงที่มีงานวิชาการของการสังคมสงเคราะห์ถูกบันทึกไว้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ในประเทศไทยมีผู้ให้ความหมายของการสังคม สงเคราะห์ไว้หลากหลาย แบ่งได้ดังนี้ ความหมายสังคมสงเคราะห์ในแบบกว้าง พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดํารัสในพิธีเปิดการประชุม การสังคมสงเคราะห์แห่งชาติครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2505 ว่า....การสังคมสงเคราะห์นั้น มีความหมายกว้างขวางมาก กินความถึงการดําเนินการทุกอย่างที่จะช่วยเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์หรือกลุ่มชนที่ร่วมกันเป็นสังคม เป็นชาติและผู้ไม่สามารถช่วย ตัวเองได้ให้มีความสุข ทั้งทางกายและจิตใจ ให้ได้มีปัจจัยอันจําเป็นแก่การครองชีพ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและ การบําบัดโรคภัยไข้เจ็บ ได้รับการศึกษาอบรมตามควร ตลอดจนมีความรู้ที่จะนํามาเลี้ยงชีพโดยสุจริตเพื่อความเรียบร้อย และ ความเป็นปึกแผ่นของสังคม...” (69 คําสอนของในหลวง “ครองแผ่นดินโดยธรรม”, ม.ป.ป.) ความหมายที่สะท้อนความเป็นวิชาชีพในสังคมไทย จากการกำหนดความหมายของการสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทย ส่วนใหญ่นักวิชาการไทยได้ให้ความหมาย สะท้อนถึงความเป็นวิชาชีพ ในการช่วยเหลือป้องกัน แก้ไข ฟื้นฟู และพัฒนาบุคคล กลุ่ม ชุมชน ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนและ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 88 ไม่ประสบปัญหา ผ่านขั้นตอนการทำงานที่เป็นระบบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการจัดบริการทางสังคม และ การบริหารทรัพยากรที่มีมาใช้ในการทำงาน เพื่อร่วมทำงานกับผู้ใช้บริการจนนำไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ มีการเปลี่ยนแปลงที่ ดีขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น โดยขอนำความหมายของการสังคมสงเคราะห์ที่ถูกเสนอไว้ (จิราลักษณ์ จงสถิตมั่น, 2535 อ้างถึงใน วันทนีย์ วาสิกะสินทร์ และคณะ, 2557) ดังต่อไปนี้ “คุณนวลนาฏ อมาตยกุล (2516) การสังคมสงเคราะห์หมายถึงวิชาชีพหนึ่งวิชาชีพ สังคมสงเคราะห์ถือกำเนิดขึ้นมา เพื่อช่วยมนุษย์ให้มีชีวิต และความเป็นอยู่อย่างสมศักด์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และช่วยสังคมให้มีลักษณะเอื้ออำนวยให้มนุษย์ เจริญงอกงาม สามารถเป็นพลังทางเศรษฐกิจและสังคม ให้แก่ประเทศชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ” “นันทนีย ไชยสุต (2516) อดีตคณบดีคณะสังคมสงเคราะหศาสตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า การสังคมสงเคราะห์ หมายถึง การจัดให้มีมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็น รายบุคคล เป็นกลุม หรือทั้งชุมชน โดยใช้หลักทฤษฎีของการสังคมสงเคราะห์เป็นแนวปฏิบัติผู้ที่ปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ หรือที่เรียกว่า นักสังคมสงเคราะห์จะต้องปฏิบัติงานนี้โดยใช้หลักวิชาชีพ หรือนัยหนึ่งก็คือใช้หลักการวิชาการและกระบวนการ ของการสังคมสงเคราะห์ไม่ใช่พียงแต่หยิบยื่นสิ่งที่ผู้มีปัญหาต้องการก็เป็นอันใช้ได้นับว่าได้ให้บริการสังคมสงเคราะห์แล้ว” “ยุพา วงศ์ไชย (2523) ระบุว่าการสังคมสงเคราะห์หมายถึง ศาสตร์และศิลป์ของการจัดหาบริการเพื่อช่วยส่งเสริม ความสามารถของบุคคลให้สามารถปฎิบัติหน้าที่ของตน ที่มีอยู่ในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และดำรงชีพอยู่ได้อย่างเป็น สุข” “นันทนีย์ ไชยสุต (2525) ได้ให้ความหมายของการสังคมสงเคราะห์ว่าหมายถึง การจัดให้มีมาตรการต่างๆ เพื่อ ป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นรายบุคคล เป็นกลุ่มหรือทั้งชุมชน โดยใช้หลักทฤษฎีของการสังคม สงเคราะห์เป็นแนวปฏิบัติ ผู้ที่ปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ หรือที่เรียกว่า นักสังคมสงเคราะห์ จะต้องปฎิบัติงานนี้โดยใช้หลัก วิชาชีพ หรือนัยหนึ่ง คือใช้หลักการ วิธีการ และกระบวนการของการสังคมสงเคราะห์ ไม่ใช่เพียงแต่หยิบยื่นสิ่งที่ผู้มีปัญหา ต้องการก็เป็นอันว่าได้ให้บริการสังคมสงเคราะห์แล้ว” “ศรีทับทิม พานิชพันธุ์ (2529) นิยามไว้ว่า สังคมสงเคราะห์เป็นวิธีการที่ใช้เป็นเครื่องมือในการจัดบริการสังคม ประเภทต่างๆ โดยตรงให้แก่บุคคล กลุ่ม และชุมชน ซึ่งประสบปัญหาความเดือดร้อนและอื่นๆ จนไม่สามารถช่วยตนเองได้ใน ระยะแรก จำเป็นต้องกาศัยการช่วยเหลือจากนักสังคมสงเคราะห์ซึ่งมีความรู้ ทัศนคติและประสบการณ์ หรือทักษะในงาน สังคมสงเคราะห์เป็นอย่างดี โดยที่นักสังคมสงเคราะห์จะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ใช้ความสามารถหรือศักยภาพของเขาเอง ข่วยให้เขาสามารถปฎิบัติหน้าที่ทางสังคมได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสมาชิกครอบครัว กลุ่ม และ ชุมชน ตลอดจนสังคมได้ด้วยดี มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงปลอดภัย และเสถียรภาพที่ดี “วิไลวัจส์กฤษณะภูติ (2529) กล่าวว่า การสังคมสงเคราะห์ เป็นศาสตร์ เป็นศิลป์ และวิชาชีพ ใน อันที่จะ ดําเนินการเพื่อปูองกันและแก้ไขช่วยเหลือผู้ที่ประสบความเดือดร้อนต่างๆ ซึ่งไม่สามารถจะ ช่วยเหลือตนเองได้ ให้มีส่วนร่วม ในการแก้ไขปัญหาของตนต่อไป ทั้งนี้โดยการนําเอาทรัพยากรที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยบรรเทาความต้องการและปัญหา ทั้งของเอกชน กลุ่มชน และชุมชน โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์จุดมุ่งหมายที่สําคัญคือ ช่วยเขาเพื่อให้เขาช่วยตนเองได้ (Help them to help themselves)” “นงลักษณ์ เทพสวัสดิ์ (2531) ให้คำจำกัดความไว้ว่า การสังคมสงเคราะห์ เป็นศาสตร์ เป็นศิลป์และวิชาชีพ ในอันที่ จะดำเนินการป้องกัน และแก้ไขช่วยเหลือ ผู้ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ ซึ่งไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ให้มี ส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของตนเองต่อไป ทั้งนี้โดยการนำเอาทรัพยากรที่มีอยู่มาประยุกต์ใช้ เพื่อช่วยบรรเทาความต้องการ และปัญหาของทั้งบุคคล กลุ่มชน และชุมชน โดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ และมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ ช่วยเขาเพื่อให้เขาช่วย ตนเองได้”


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 89 “ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช (2533) ได้ให้ความหมายว่า งานสังคมสงเคราะห์เป็นการนําเอาความรู้ ความเข้าใจใน ศาสตร์ต่างที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และสังคม เช่น พฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์มา ประยุกต์ใช้ในการทําความเข้าใจ ในปัญหาความเดือดร้อนของมนุษย์และสังคม ผนวกกับองค์ความรู้ในกระบวนการช่วยเหลือมนุษย์และสังคม ด้วยระเบียบ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับทัศนคติ หลักการ วัตถุประสงค์ของการให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้บุคคล กลุ่ม ชุมชนและ สังคม สามารถ ช่วยเหลือและพึ่งพาตนเองได้ มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น” “คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนางานสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ ( 2530) ได้ให้ความหมายไว้ในแผนพัฒนาการ สังคมสงเคราะห์แห่งชาติฉบับที่ 1 ว่า การสังคมสงเคราะห์ หมายถึง ศาสตร์และศิลป์ในการป้องกัน แก้ไข ฟื้นฟู และพัฒนา บุคคล กลุ่ม ชุมชน ทั้งที่ประสบและไม่ประสบปัญหาความเดือดร้อน ให้สามารถช่วยเหลือตนเองและสังคมได้” “พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายการสังคมสงเคราะห์ไว้ว่า เป็นการดำเนินงานเพื่อ ช่วยเหลือบุคคลให้สามารถช่วยเหลือตนเองได้” “พระราชบัญญัติวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. 2556 ได้กำหนดความหมายของวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ ว่าเป็น วิชาชีพที่ต้องใช้ความรู้และทักษะทางสังคมสงเคราะห์ในการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาของบุคคล ครอบครัว กลุ่มคน หรือชุมชนเพื่อให้กระทําหน้าที่ทางสังคมและดํารงชีวิตได้อย่างปกติสุข” อย่างไรก็ตามแม้การกำหนดความหมายของการสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทย จะสะท้อนถึงความเป็นวิชาชีพใน การทำงาน แต่ผู้คนในสังคมไทยส่วนใหญ่ยังคงเข้าใจและยึดติดกับงานสังคมสงเคราะห์ที่มีลักษณะเป็นงานการกุศล โดยมุ่งเน้น ที่การให้ หรือการช่วยเหลือ และมองการสงเคราะห์เป็นเพียงการแจกข้าวของเพื่อบรรเทาทุกข์ให้ผู้คน มากกว่าการเข้าใจใน มิติของการแก้ไข ฟื้นฟู และพัฒนาผู้ใช้บริการ ครอบครัว และชุมชน ให้ดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข มีเสถียรภาพและคุณภาพ ชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน สิ่งนี้จึงเป็นความท้าทายของการทำงานของนักสังคมสงเคราะห์รุ่นใหม่ที่จะขยายภูมิทัศน์ในการมองการ สังคมสงเคราะห์ในรูปแบบที่เป็นวิชาชีพได้อย่างไร ความหมายที่การสังคมสงเคราะห์ในมิติศาสนา ความหมายของงานสังคมสงเคราะห์อีกมิติที่เป็นการสะท้อนคุณค่าของแก่นการทำงานสังคมสงเคราะห์ที่วิเคราะห์ ให้เห็นชั้นขององค์ประกอบของคำว่าสังคมสงเคราะห์มาจากบทความเรื่องคืนสู่ความหมายแท้ของสังคมสงเคราะห์ของ พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ที่เผยแพร่ในปี 2532 โดยพระเทพเวทีได้วิเคราะห์ว่า “ตามศัพท์ (สังคมสงเคราะห์) แปลง่ายๆ ว่า การสงเคราะห์สังคม แต่ถ้าแปลให้ลึกว่านั้น ก็มีความหมายทางธรรม สงเคราะห์ คําบาลีเป็น สงฺวคห (สังคห) แปลว่า ประมวล รวบรวม จับมารวมเข้าด้วยกัน ยึดเหนี่ยวใจให้รวมกันเป็นหนึ่ง ผูก ใจไว้ สังคห ที่แปลว่า ยึดเข้าไว้ด้วยกันนั้น หมายถึง ยึดในแง่นามธรรมและยึดในแง่รูปธรรม ทางนามธรรม คือ ยึดเหนี่ยว ผูกจิตใจให้รวมกันเป็นหนึ่ง ทางรูปธรรม คือ ให้คนมารวมกัน ประสานเข้าด้วยกัน “สังคห” เป็นภาษาบาลี แต่เมื่อจะเอาเข้ามาในไทย เราเอารูปสันสกฤตซึ่งมีตัว “ร” คือ “สังครห” เข้ามา แล้วไทย ก็แผลงเป็นสังเคราะห์บ้าง สงเคราะห์บ้าง ความจริงนั้น ทั้งสองคํานี้เป็นคํา เดียวกัน แต่เราใช้สงเคราะห์ในความหมายหนึ่ง และสังเคราะห์ในอีกความหมายหนึ่ง ถ้าเราจะใช้ “สังคห” ให้ถูกต้องตามความหมายทางธรรม จะต้องก้าวไปให้ถึงขั้นนี้ คือ ทําให้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คําว่า “สังคห” หรือ สงเคราะห์นี้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ด้วยกันเป็นชุดเดียวกับคําอื่นอีกสามคํา เรียงลําดับเป็น สังคห อวิวาท สามัคคี และเอกภาพ คือ ความยึดเหนี่ยวประสานกันไว้ ความไม่ ทะเลาะวิวาท ความพร้อมเพรียง และความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน ที่เราใช้ว่า เอกภาพ เวลาแปลเป็น ภาษาอังกฤษ ถ้าแปลอย่างเบื้องต้นก็ว่า help หรือ assistance แต่ถ้า จะแปลให้ลึกลงไปในสาระ ก็แปลกันตั้งแต่ sympathy จนถึง solidarity หรือ social integration (พระเทพเวที, 2532, อ้างถึงใน วันทนีย์ วาสิกะสิน และคณะ, 2557)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 90 ดังนั้น ความมุ่งหมายของสังคมสงเคราะห์ จึงไม่ใช่เป็นเพียงเอาอะไรไปให้เขา ไม่ใช่เอาบริการไปให้ เอาทรัพย์สินเงิน ทองไปให้ แต่หมายถึงทําให้เขา ไม่ใช่เอาบริการไปให้ เอาทรัพย์เงินทองไปให้ แต่หมายถึงทําให้สังคมรวมใจกัน ผนึกยึดเหนี่ยว กันไว้ให้ได้ ถ้ามองในแง่นี้หน้าที่ของนักสังคมสงเคราะห์จึงไม่ใช่เป็นเพียงเอาอะไรไปหยิบยื่นให้แต่กำลังทำหน้าที่ก่อให้เกิด การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาทางสังคม เกิดการสร้างความสมานฉันท์ในสังคมและการเสริมสร้างพลังอำนาจสู่ การปลดปล่อยผู้คนที่ถูกกดทับอีกด้วย คุณค่าและความหมายของงานสังคมสงเคราะห์ จากความหมายของสังคมสงเคราะห์ในสังคมไทย สะท้อนชัดถึงความเป็นวิชาชีพในการทำงาน ในการช่วยเหลือ ป้องกัน แก้ไข ฟื้นฟู และพัฒนาบุคคล กลุ่ม ชุมชน ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนและไม่ประสบปัญหา ผ่านขั้นตอน การทำงานที่เป็นระบบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการจัดบริการทางสังคม และการบริหารทรัพยากรที่มีมาใช้ใน การทำงาน เพื่อร่วมทำงานกับผู้ใช้บริการจนนำไปสู่การพึ่งพาตนเองได้ มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น แต่ผู้คนในสังคมไทยส่วนใหญ่ยังคงเข้าใจและยึดติดกับงานสังคมสงเคราะห์ที่มีลักษณะเป็นงานการกุศล โดยมุ่งเน้นที่การให้ หรือการช่วยเหลือ และมองการสงเคราะห์เป็นเพียงการแจกข้าวของเพื่อบรรเทาทุกข์ให้ผู้คน อาจเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้ถูกยึดโยงกับ ปรัชญาของวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ที่ถูกส่งต่อกันมา คือ “การช่วยเขาให้ช่วยตนเองได้” (help them to themselves) “การช่วยเขาให้ช่วยตนเองได้” เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปรัชญาสังคมสงเคราะห์และบ่อยครั้งที่ถูกตีความไปเป็นเพียง การแจกข้าวแจกของหรือให้การสงเคราะห์เพียงวัตถุให้จนถึงระดับมากๆ จนผู้ใช้บริการดีขึ้น ซึ่งนั่นไม่ใช่ปรัชญาของวิชาชีพ ที่แท้จริง ถ้าจะให้เข้าใจชัดเจน ปรัชญาสังคมสงเคราะห์น่าจะเป็นความเชื่ออย่างลึกซึ้งถึงปรัชญามนุษย์นิยม ศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์ สิทธิมนุษยชนและความเป็นธรรมทางสังคม เมื่อวิเคราะห์เชื่อมโยงกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เราก็จะพบว่าปรัชญาชุด นี้มีธรรมชาติที่สอดรับกับความสัมพันธ์ทางสังคมในแนวนอน ไม่ใช่แนวดิ่ง ไม่ว่าผู้ใช้บริการของนักสังคมสงเคราะห์จะเป็นคน ชนชั้นใด ยากดีมีจน หรือเป็นคนชายขอบ หรือประสบความยากลำบากสักเพียงใด เมื่อพิจารณาจากหลักการต่างๆ ที่อยู่ใน กรอบแนวคิดปรัชญามนุษย์นิยม อาทิ หลักปัจเจกบุคคล หลักการยอมรับ หลักการแสดงความรู้สึกอย่างมีเป้าหมาย หลักการ ควบคุมอารมณ์หลักการไม่ตำหนิติเตียน หลักการมีส่วนร่วมของผู้ใช้บริการ หลักการให้ผู้ใช้บริการตัดสินใจด้วยตนเอง และ หลักการรักษาความลับ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนบ่งบอกชัดเจนว่า การทำงานของนักสังคมสงเคราะห์ไม่ใช้ความสัมพันธ์แนวดิ่ง หรือ ความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์อย่างแน่นอน (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2561) หากวิเคราะห์ความหมายของสังคมสงเคราะห์เมื่อแปลความตามความเข้าใจส่วนใหญ่ของสังคม คือการมองเห็นเพียง เปลือกที่ห่อหุ้ม และการสงเคราะห์เป็นการแจกข้าวแจกของหรือช่วยแบบบรรเทาทุกข์ที่ปลายเหตุ ชั่วครั้งชั่วคราว แต่เมื่อแปล ความหมายแท้อย่างลุ่มลึกตามความหมายของ พระเทพเวทีจะพบว่า สังคมสงเคราะห์นั้นเป็นการสร้างสังคมให้มีบูรณาการได้ โดยจำเป็นต้องมีชุดของความรู้ ทัศนคติและทักษะที่ลุ่มลึก ที่จะทำงานกับประชาชนแล้วเกิดผลเป็นการสร้างสังคมที่มีเอกภาพมีบูรณาการ ถ้าผู้ปฏิบัติงานใช้ความหมายของสังคมสงเคราะห์แค่เบื้องต้น คือ การให้ความช่วยเหลือ (help หรือ assistance) เหมือนการกระทำการที่เป็นด้านตรงข้ามของความหมายแท้ที่ลุ่มลึก งานสังคมสงเคราะห์ที่ทำจะปรากฎออกเป็นแบบผิวเผิน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสังคมให้มีเอกภาพอย่างแท้จริง หรืออีกนัยหนึ่ง ยิ่งนักสังคมสงเคราะห์ทำงานได้แค่ระดับความหมายผิวเผิน ก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนติดอยู่ในกับดักของความสัมพันธ์แนวดิ่งหรือระบบอุปถัมภ์นั่นเอง ตรงกันข้าม หากนักสังคม สงเคราะห์ ยิ่งทำงานอย่างสอดคล้องกับความหมายแท้ระดับลุ่มลึกเท่าใด นักสังคมสงเคราะห์คนนั้น ก็ยิ่งระมัดระวังกับ หลักการด้านศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และยิ่งเป็นการเติมเต็มความเข้มแข็งของความสัมพันธ์ในแนวราบ อันมีคุณค่าและ สร้างความหมายไปสู่เป็นการปฏิรูปเพื่อการเปลี่ยนแปลงต่อไป (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2561) โดยสามารถสรุปรูปแบบ การความสัมพันธ์ระหว่างนักสังคมสงเคราะห์กับผู้ใช้บริการได้ดังนี้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 91 ตารางที่ 1 รูปแบบความสัมพันธ์ในแนวราบและแนวดิ่ง ระหว่างนักสังคมสงเคราะห์กับผู้ใช้บริการ รูปแบบความสัมพันธ์ในแนวราบระหว่าง นักสังคมสงเคราะห์กับผู้ใช้บริการ รูปแบบความสัมพันธ์ในแนวดิ่งระหว่าง นักสังคมสงเคราะห์กับผู้ใช้บริการ นักสังคมสงเคราะห์เน้นการช่วยเหลือเพื่อพิทักษ์สิทธิ คุ้มครอง ทางสังคม มุ่งให้เกิดการฟื้นฟูและพัฒนาต่อผู้ใช้บริการ นักสังคมสงเคราะห์เน้นการช่วยเหลือแบบเก็บตก การสงเคราะห์ แบบบรรเทาทุกข์ หรือการช่วยเหลือเฉพาะหน้า ต่อผู้ใช้บริการ นักสังคมสงเคราะห์จะสร้างความร่วมมือและ ทำงานภายใต้หลัก ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเน้นการสร้างความหมายไปสู่เป็น การปฏิรูปเพื่อการเปลี่ยนแปลงต่อไป นักสังคมสงเคราะห์จะมีอำนาจเหนือกว่าผู้ใช้บริการ และ การช่วยเหลือเป็นการลดทอนคุณค่า ศักศรีดิ์ความเป็นมนุษย์ นำไปสู่การสร้างการทำงานสังคมสงเคราะห์ในรูปแบบความเป็น ธรรมทางสังคม ความเสมอภาค เท่าเทียม นำไปสู่การสร้างการทำงานสังคมสงเคราะห์ในรูปแบบระบบ อุปถัมภ์ การปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ สู่การสร้างความหมายที่เป็นรูปธรรม การสังคมสงเคราะห์มีปรัชญาความเชื่อด้านมนุษย์นิยม เชื่อในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เคารพหลักการสิทธิมนุษยชน เหล่านี้เป็นกระบวนทรรศน์ที่สอดรับกับเปลี่ยนความหมายของการสังคมสงเคราะห์จากแนวคิดไปสู่การปฏิบัติ ที่นักสังคม สงเคราะห์จะต้องปฏิบัติกับผู้ใช้บริการอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนในชนชั้นใด มีฐานะดีหรือยากจน หรือเป็นคนชาย ขอบ การทำงานของนักสังคมสงเคราะห์ควรเป็นไปในแนวราบ ไม่ใช้ความสัมพันธ์แนวดิ่ง หรือความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์มา เป็นหลักการทำงาน (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2558) อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้บริการของนักสังคมสงเคราะห์มักเป็นผู้ที่มีความเปราะบาง และรู้สึกไร้พลังอำนาจ (powerless) เมื่อมีการปฏิสัมพันธ์กับนักสังคมสงเคราะห์ ผู้ใช้บริการส่วนหนึ่งจะพยายามจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของตนไปในจุดที่อยู่ต่ำชั้น กว่า นักสังคมสงเคราะห์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความรู้สึกถ่อมตน ไม่เชื่อมั่นตนเอง หรือรู้สึกอ่อนแอจนต้องการการคุ้มครอง ป้องกันจากผู้ที่อยู่เหนือกว่าปฏิสัมพันธ์ที่แนะออกมาจากความต่ำต้อยด้อยค่าของผู้ใช้บริการเช่นนี้ หากนักสังคมสงเคราะห์ ไม่มีความตระหนักระวัง หรือไม่ฉุกคิดถึงท่าทีที่ผู้ใช้บริการวางตนต่ำชั้นเช่นนี้ นักสังคมสงเคราะห์อาจวางตนผิดพลาดที่ไปอยู่ ในจุดที่แสดงความเหนือชั้นกว่าผู้ใช้บริการ เมื่อเป็นเช่นนี้ ความสัมพันธ์แนวดิ่ง หรือความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ก็จะเริ่มสำแดง บทบาทของมันทันที การแสดงออกด้วยท่าทีของนักสังคมสงเคราะห์จึงเป็นทักษะที่ละเอียดอ่อน นักสังคมสงเคราะห์ พึงแสดงตนเพื่อสื่อให้รู้ว่า นักสังคมสงเคราะห์มีทรัพยากรและมีคำปรึกษาที่มีศักยภาพในการช่วยเขาให้ช่วยตนเองได้ ทว่า นักสังคมสงเคราะห์ก็ยังไม่ใช่คนที่อยู่สูงกว่า หรืออยู่เหนือกว่าผู้ใช้บริการอยู่ดี เราต้องสื่อให้ผู้ใช้บริการรู้ว่า เราเคารพเขาเสมอ (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2558) หากพิจารณาถึงการปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ นับเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้สังคมเข้าใจการสร้างความหมายของ การสังคมสงเคราะห์ที่เป็นรูปธรรมได้ จากถ้อยคำเดิมที่คนทั่วไปขาดความเข้าใจความหมายของงานสังคมสงเคราะห์ที่และมองว่า เป็นการแจกข้าวแจกของหรือบรรเทาทุกข์ชั่วครั้งคราว หรือเป็นการช่วยเหลือแบบการกุศล ซึ่งมุมมองต่อการสังคมสงเคราะห์ กลายเป็นความหมายที่สอดรับกับระบบความสัมพันธ์แนวดิ่งหรือระบบอุปถัมภ์แบบดั้งเดิม ทำให้ไม่เห็นคุณค่าความหมายของ การสังคมสงเคราะห์ที่แท้จริง (ดูวิสัชนาของพระเทพเวที, 2532 ใน วันทนีย์ วาสิกะสิน, สุรางค์รัตน์ วศินารมณ์และ กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2553) ทว่า หากเรายึดความหมายที่แท้จริง เราก็จะเห็นการหน้าที่ของการสังคมสงเคราะห์ที่สร้างบูรณาการ ทางสังคม (social integration) และการบูรณาการทางสังคมจะบรรลุผล จนทำให้สังคมมีเอกภาพได้จำเป็นต้องผลิตสร้างขึ้นโดย มีฐานคิดของการตระหนักในปรัชญาที่ว่าด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และการเชื่อมั่นว่ามนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียม กัน ตลอดจนการคำนึงถึงหลักการสิทธิมนุษยชน นักสังคมสงเคราะห์จึงเป็นส่วนสำคัญของการทำให้ความหมาย หลักคิด


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 92 หลักการที่เป็นนามธรรมขยับรูปไปสู่รูปธรรม ผ่านการทำงานสังคมสงเคราะห์ในความหมายที่แท้ ที่เป็นการขับเคี่ยวทาง วาทกรรมอย่างลึกซึ้งกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เป็นแนวดิ่งนั่นเอง ยิ่งนักสังคมสงเคราะห์เข้าใจระบบอุปถัมภ์อย่างลึกซึ้งเท่าใด นักสังคมสงเคราะห์ก็ยิ่งเห็นคุณค่าของปรัชญา ค่านิยม จริยธรรมทางวิชาชีพ ความรู้ ทัศนคติและทักษะ ฯลฯ ที่เราต้องใช้เป็น เครื่องมือในการปกป้องคุ้มครอง พัฒนา บำบัดรักษา ฟื้นฟูให้ผู้ใช้บริการ เปลี่ยนแปลงและก้าวข้ามระบบอุปถัมภ์ไปสู่ความเป็น มนุษย์อย่างแท้จริง (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2558) บทสรุปสู่การเปลี่ยนผ่านเพื่อสร้างความหมายใหม่ของงาน “สังคมสงเคราะห์” การทำความเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของงาน “สังคมสงเคราะห์” ยังขาดการทำความเข้าใจและสื่อสารสู่สังคม และการปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ยังไม่นำไปสู่การตีความหมายอย่างรอบด้านครอบคลุม หากพิจารณาลำดับ พัฒนาการของความหมายถูกกำหนดสร้างผ่านบริบททางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม ความเชื่อและวัฒนธรรมตาม ยุคสมัยที่มีความสัมพันธ์กับสังคมโลกและสังคมไทย ซึ่งแม้ความหมายของการสังคมสงเคราะห์จะเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา แต่ความเข้าใจของสังคมยังยึดโยงกับการกุศลและการช่วยแบบบรรเทาทุกข์ที่ปลายเหตุ ทั้งที่เป้าหมายหลักเพื่อมุ่งเน้นให้เกิด การเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาทางสังคม สร้างความสมานฉันท์ในสังคม สร้างบูรณภาพทางสังคม และการเสริมสร้างพลัง อำนาจสู่การปลดปล่อยผู้คนที่ถูกกดทับบนพื้นฐานความยุติธรรมทางสังคม การให้ความหมายงานของงานสังคมสงเคราะห์ ในศตวรรษที่ 21 งานสังคมสงเคราะห์เป็นวิชาชีพที่ยังต้องทํางานกับ ผู้ประสบปัญหาทางสังคมที่เกิดจากความไม่เท่าเทียมกันและความอยุติธรรมทางสังคม อีกทั้ง ต้องทํางานกับผู้คนที่มี ความแตกต่างหลากหลาย การเผชิญกับปัญหาทางสังคมร่วมกับปัญหาอื่นๆ ทั้งทางกายและจิตใจมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งรูปแบบการทำงานสังคมสงเคราะห์แบบเก่าไม่อาจนํามาซึ่งการแก้ไขปัญหาของผู้ประสบปัญหาได้อีกทั้ง การทํางานร่วมกับ ทีมสหวิชาชีพ จึงมีความจําเป็น อย่างยิ่งที่องค์กรด้านสังคมสงเคราะห์ต้องจัดกระบวนการทำงาน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้ นักสังคมสงเคราะห์สามารถตระหนักรู้เข้าใจตนเอง และมีศักยภาพในการพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่อง ที่สามารถสร้าง การเรียนรู้และกรอบอ้างอิงใหม่ที่ถูกต้องและสร้างสรรค์ให้การช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม เท่าทัน กับสถานการณ์และ การ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อให้ผู้ใช้บริการ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุข (น้ำผึ้ง มีศิล, 2562) ปรัชญาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ที่แท้จริง เป็นความเชื่ออย่างลึกซึ้งถึงปรัชญามนุษย์นิยม ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิมนุษยชนและความเป็นธรรมทางสังคม เมื่อวิเคราะห์เชื่อมโยงกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจ จะพบว่าปรัชญาชุดนี้มี ธรรมชาติที่สอดรับกับความสัมพันธ์ทางสังคมในแนวนอนไม่ใช่แนวดิ่ง ไม่ว่าผู้ใช้บริการของนักสังคมสงเคราะห์จะเป็นคนชนชั้น ใด ยากดีมีจน หรือเป็นคนชายขอบ หรือประสบความยากลำบากสักเพียงใด เมื่อพิจารณาจากหลักการต่างๆ ที่อยู่ในกรอบ แนวคิดปรัชญามนุษย์นิยม อาทิ หลักปัจเจกบุคคล หลักการยอมรับ หลักการแสดงความรู้สึกอย่างมีเป้าหมาย หลักการควบคุม อารมณ์ หลักการไม่ตำหนิติเตียน หลักการมีส่วนร่วมของผู้ใช้บริการ หลักการให้ผู้ใช้บริการตัดสินใจ ด้วยตนเอง และหลักการ รักษาความลับ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนบ่งบอกชัดเจนว่า การทำงานของนักสังคมสงเคราะห์ไม่ใช้ความสัมพันธ์แนวดิ่ง หรือ ความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์อย่างแน่นอน (กิติพัฒน์ นนทปัทมัดุลย์, 2565) ดังนั้น ความหมายใหม่ของการสังคมสงเคราะห์ในสังคมไทย จึงต้องมีความหนักแน่นและเข้มแข็งในด้านวิชาชีพที่มี พื้นฐานมาจากการปฏิบัติและหลักการทางวิชาการที่มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาทางสังคม เกิดการสร้าง ความสมานฉันท์ในสังคม สร้างบูรณภาพทางสังคม และการเสริมสร้างพลังอำนาจสู่การปลดปล่อยผู้คนที่ถูกกดทับ โดยมี หลักการพื้นฐานที่เป็นหัวใจสำคัญของงานสังคมสงเคราะห์ ได้แก่ ความยุติธรรมทางสังคม สิทธิมนุษยชน การสร้างการมือ ส่วนร่วมและความรับผิดชอบร่วมกัน การเคารพในความหลากหลาย และเท่าทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง โดย การทำงานภายใต้หลักวิชาการทฤษฎีทางสังคมสงเคราะห์ สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ และความรู้เฉพาะกลุ่มชน รวมไปถึง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 93 การเข้าใจมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ และโครงสร้างทางสังคม เพื่อจัดการกับความท้าทายในชีวิตและยกระดับความเป็นอยู่ที่ดี ขึ้นให้เกิดขึ้นในสังคมต่อไป กิตติกรรมประกาศ การจัดทำบทความวิชาการเรื่อง การเปลี่ยนผ่านความหมาย “สังคมสงเคราะห์” ในสังคมไทย ในครั้งนี้ผู้ศึกษา ขอขอบพระคุณศาสตราจารย์ ดร.กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์ที่เป็นต้นทางทางความคิดในช่วงการเรียนรายวิชา นบส.801 ปรัชญา แนวคิด และทฤษฎีนโยบายสังคม หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสังคม คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ศึกษาขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ให้คำปรึกษาและสร้างการตระหนักให้ได้เล็งเห็นประโยชน์จาก การทบทวนเอกสาร และสังเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ ขอขอบพระคุณทุกข้อมูลที่ผู้วิจัยนำมาใช้อ้างอิงในครั้งนี้ สุดท้าย ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เป็นที่ปรึกษาในงานครั้งนี้จนทำให้การดำเนินการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และข้อบกพร่องจาก การจัดทำบทความวิชาการนี้ผู้ศึกษาขอน้อมรับและนำไปปรับปรุงในโอกาสต่อไป เอกสารอ้างอิง กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2558). การศึกษาระบบอุปถัมภ์กับปัญหาสังคมไทย: การประยุกต์ใช้ของนักสังคมสงเคราะห์ วิชาชีพ. วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. 23(1), 177-197. กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2558). วิชาชีพสังคมสงเคราะห์กับการปฏิรูปสังคม: ความท้าทายแห่งยุคสมัย. รายงานสืบเนื่อง (Proceedings) สัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครบรอบ 61 ปีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 23 มกราคม 2558 คณะสังคมสงเคราะห์ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ปทุมธานี: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2563). รูปแบบการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์แนวเรื่องเล่า: การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ บนฐานแนวคิดหลังทันสมัย. เอกสารคำสอนวิชา สค. 222 หลักและวิธีการสังคมสงเคราะห์1. คณะสังคมสงเคราะห์ ศาสตร์. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2565). ปรัชญาและแนวคิดสังคมสงเคราะห์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์พริกหวานกราฟฟิค จำกัด. ทัศนีย์ ลักขณาภิชนชัช. (2534). การสังคมสงเคราะห์ชุมชน. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. นงลักษณ์ เทพสวัสดิ์. (2555). ทฤษฎีและการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. น้ำผึ้ง มีศิล. (2562). การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง: ความท้าทายในการศึกษาสังคมสงเคราะห์. วารสารสังคมภิวัฒน์. 9(2), 54–62. นิรนาม. (ม.ป.ป). 69 คําสอนของในหลวง “ครองแผ่นดินโดยธรรม. สืบค้นจาก http://www.engrdept.com/69.pdf นิรนาม. (2545). การกำหนดแนวทางและมาตรฐานการปฏิบัติงานของผู้ทำหน้าที่นักสังคมสงเคราะห์ตวามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา. สืบค้นจาก http://library.mol.go.th/opac/ebook/06484.1.pdf ประเสริฐ ปอนถิ่น. (2561). พระสงฆ์กับการสงเคราะห์ชุมชน. สารนิพนธ์พุทธศาสตรบัณฑิต, เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย. พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต). (2532). คืนสู่ความหมายแท้ของสังคมสงเคราะห์. วารสารการประชาสงเคราะห์, 32(2), 69-73. พระราชบัญญัติวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. 2556. (2556). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 130 ตอนที่ 8 ก. หน้า 1-17. เพจสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ รพ.ราชวิถี. (2556). ประวัติความเป็นมาของงานสังคมสงเคราะห์. สืบค้นจาก https://www.facebook.com/swrajavithi/posts/457932894278715/


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 94 ยุพา วงค์ไชย. (2534). ทฤษฎีการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์. กรุงเทพฯ: ศักดิโสภาการพิมพ์. ระพีพรรณ คำหอม. (2556). หลักการและกระบวนการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์จุลภาค. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. วันทนีย์ วาสิกะสิน, สุรางค์รัตน์ วศินารมณ์ และ กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์. (2557). ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับสวัสดิการสังคมและ สังคมสงเคราะห์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์. (2563). เอกสารประชุมสภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์สัญจรภาคใต้ ประจำปี 2563. การประชุม สภาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์สัญจรภาคใต้ ประจำปี 2563, 5 ธันวาคม 2563 โรงแรมหรรษา เจบี อ.หาดใหญ่. สงขลา. อภิชัย พันธเสน. (2544). เศรษฐกิจพิเพียงในรูปแบบที่พึงปรารถนาของระบบสวัสดิการสังคมไทย. ปาฐกถาพิเศษของมูลนิธิ ศาสตราจารย์ปกรณ์ อังศุสิงห์ เนื่องในการประชุมวิชาการวันปกรณ์ 44, 12 กุมภาพันธ์ 2544 โรงแรมปรินซ์พาเลซ. กรุงเทพมหานคร. Bhatt, S., & Sanyaal, S. (2019). Definitions of Social Work in Past Hundred Years: A Review. Journal of Social Work Education, Research and Action, 5(1). International Federation of Social Workers (IFSW). (2014). Global definition of the social work profession. Revieted from https://www.ifsw.org/what-is-social-work/global-definition-of-social-work/ National Association of Social Workers (NASW). (n.d.). Social work practice. Revieted from https://www.naswnyc.org/page/420 Rengasamy, S. (2009). History of Social Work.Revieted from https://www.scribd.com/doc/14826079/History-ofSocial-Work


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 95 เทคโนโลยีสารสนเทศสู่การเปลี่ยนแปลงผ่านรูปแบบการดูแลทางสังคมในยุควิถีใหม่ New Form of Information Technology in the Modern Era บัณฑิตา เหลี่ยมศรีจันทร์1 Bantita Leamsrichan2 นันท์นภัส ปิ่นสุวรรณ3 Nannapat Pinsuwan4 นาวิน บุญนำมา5 Nawin Boonnumma6 Abstract This article aims to study a new form of social care applied to information technology because human beings must be taken care of all the times since womb to tomb. Therefore, social care is another level of care developed by the government or inventing innovations to support services or assistance in various forms. However, a dynamic society causes the pattern of social care to change according to the social flow, significantly since the corona virus-2019 directly impacted lifestyles that require adaptation which has led to the new normal lifestyle. There is a change in life which is to interact with human beings less that makes technology an essential role in accessing information, services, welfare, or assistance in various fields and is the beginning of the development of information technology that will help social care designed by the state reach the people more evenly. However, applying technology to social care is still very challenging for developers and governments. This will cause the design of social care guidelines to be supported and listened to by people who are essential in using the service to keep up with the needs of the people who must be ready to cope with social situations that are constantly fluctuating and uncertain. Keyword: Social care, Information Technology, New Normal บทคัดย่อ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดูแลทางสังคมรูปแบบใหม่ที่ประยุกต์ใช้ร่วมกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่อง เพราะมนุษย์ต้องได้รับการดูแลอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ดังนั้น การดูแลทางสังคมจึงเป็นรูปแบบ การดูแลอีกระดับหนึ่งที่อาจถูกพัฒนาโดยรัฐบาล หรือการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อรองรับการให้บริการหรือความช่วยเหลือใน 1 นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประเทศไทย 2 Second-year student, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 3 นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประเทศไทย 4 Fourth-year student, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 5 เจ้าหน้าที่โครงการส่งเสริมและพัฒนาทักษะชีวิตเด็กและเยาวชนไทยในศตวรรษที่ 21 กลุ่มการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิ กองคุ้มครองเด็กและ เยาวชน กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประเทศไทย (ศิษย์เก่าคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) 6 Staff of Promotion and Development of lift skills for Thai children and Youth in 21st Century Project, Protection and Rights Protection Group, Children and Youth Protection Division, Department of Children and Youth, Ministry of Social Development and Human Security, Thailand (Alumni of Faculty of Social Administration, Thammasat University) Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 96 รูปแบบต่างๆ แต่เนื่องด้วยสังคมที่เป็นพลวัต ทำให้รูปแบบการดูแลทางสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสธารทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา-2019 ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินชีวิตที่ต้องมีการปรับตัวซึ่งก้าวเข้าสู่ ยุควิถีใหม่อย่างเต็มรูปแบบ มีการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้สัมผัสหรือมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์น้อยลง ซึ่งทำให้เทคโนโลยีเข้ามามี บทบาทสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ บริการ สวัสดิการ หรือการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ และเป็นจุดเริ่มต้นของ การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศที่จะช่วยให้การดูแลทางสังคมที่ถูกออกแบบโดยรัฐให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างเท่า เทียมมากยิ่งขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับการดูแลทางสังคมยังมีข้อจำกัดที่ท้าทายต่อนักพัฒนาและรัฐบาล อยู่มาก ซึ่งจะทำให้การออกแบบแนวทางการดูแลทางสังคมต้องได้รับการสนับสนุนและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนโดย ตรงที่เป็นบุคคลสำคัญในการใช้บริการ และให้ทันต่อการใช้งานของประชาชนที่ต้องพร้อมรับกับสถานการณ์ทางสังคมที่มีความ ผันผวนไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา คำสำคัญ: การดูแลทางสังคม, เทคโนโลยีสารสนเทศ, ยุควิถีใหม่ บทนำ การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส-2019 ดำเนินมาถึงการยอมรับและปรับรูปแบบวิถีใหม่ในการดำเนินชีวิตของผู้คน ทั่วโลก หรือในทางวิทยาไวรัส (Virology) คือ การเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) หรือการที่เชื้อไวรัสลดความรุนแรงลง ประชากรมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น อัตราเสียชีวิตต่ำ อัตราป่วยคงที่ และสามารถคาดการณ์การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้ (ณัฐวรรณ พละวุฑิโฒทัย, 2565) ซึ่งในประเทศไทยได้ประกาศให้เชื้อไวรัสโคโรนา-2019 กลายเป็นโรคประจำถิ่นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565 อีกทั้งได้ผ่อนปรนมาตรการฉุกเฉินในการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสดังกล่าวแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคง ค้างอยู่ในสังคมและเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดใหญ่ นั่นคือ การที่มีกลุ่มผู้เปราะบางทางสังคมเพิ่มมากยิ่งขึ้น เช่น ผู้สูงอายุที่อยู่บ้านเพียงลำพัง เด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน และกลุ่มผู้ถูกเลิกจ้างงานและ ว่างงาน จึงทำให้ไม่อาจตอบได้อย่างเป็นทางการว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา-2019 ยุติลงโดยสมบูรณ์ เนื่องเพราะ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดยังคงดำเนินต่อไปโดยไร้การควบคุมและวางแผนในการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจ ควบคุมได้ยากกว่าเชื้อไวรัส โดยการที่จะบรรเทาหรือยุติปัญหาของกลุ่มผู้เปราะบางทางสังคมนั้น อาจต้องใช้รูปแบบการดูแลทางสังคมผ่านกลไก ของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการร่วมกันขับเคลื่อน พัฒนา และผลักดันการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ คุ้มค่า และสามารถบรรเทาสภาพปัญหาได้จริง ในปัจจุบัน หลายหน่วยงานในประเทศไทยมีการปรับประยุกต์การทำงานร่วมกับ เทคโนโลยีสารสนเทศมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยบรรเทา แก้ไข และให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้เปราะบางทางสังคมในระดับเบื้องต้น สู่การช่วยเหลือในระยะยาวได้ โดยในบทความนี้จะเป็นการกล่าวถึง ความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคสารสนเทศระบบ ออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ ความเท่าทันทางเทคโนโลยีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหา รวมถึง ตัวอย่างของการให้ความช่วยเหลือผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งนี้ เพื่อตกผลึกและออกแบบแนวทาง การดูแลทางสังคมที่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในทุกมิติ ในบทความนี้ คณะผู้ศึกษาขอนิยามคำจำกัดความทั้ง 3 คำ ได้แก่ เทคโนโลยี สารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ดังนี้1) เทคโนโลยี(Technology) หมายถึง วิทยาการที่นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติและ อุตสาหกรรม (พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554, ม.ป.ป.) 2) สารสนเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูลต่างๆ ที่ได้ ผ่านการเปลี่ยนแปลง ประมวลผล หรือการสรุปผลด้วยวิธีต่างๆ และเก็บรวบรวมไว้ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ตามความต้องการ ของผู้ใช้งาน และ 3) เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) หมายถึง การนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มมูลค่าให้กับ สารสนเทศ ทำให้สารสนเทศมีประโยชน์และสามารถใช้งานได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายรวมถึงการใช้เทคโนโลยีในด้าน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 97 ต่างๆ เพื่อรวบรวม จัดเก็บ ใช้งาน ส่งต่อ หรือสื่อสารได้ โดยการนิยามดังกล่าวจะเป็นการสร้างความเข้าใจร่วมกันตลอด การกล่าวถึงในบริบทต่างๆ ของทั้ง 3 คำ ในบทความเรื่องนี้ รูปแบบการดูแลทางสังคมในยุควิถีใหม่ การดูแลทางสังคม (Social care) เป็นการจัดบริการทางสังคมเพื่อก่อให้เกิดการช่วยเหลือ ดูแล บรรเทาและป้องกัน การดูแลทางสังคมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดบริการทางสังคมที่สอดคล้องต่อความต้องการของมนุษย์ท่ามกลางสถานการณ์ และบริบททางสังคมที่เป็นพลวัต กล่าวคือ การจัดบริการทางสังคมนั้นจะต้องมีการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องต่อการดูแล การให้ ความช่วยเหลือและตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ในบริบทแวดล้อมต่างๆ การดูแลทางสังคมในงานสังคมสงเคราะห์จึงมี บทบาทในการช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้มนุษย์สามารถพึ่งพาตนเองได้ การป้องกันและการดูแลมนุษย์ในมิติต่างๆ เพื่อยับยั้ง ปัญหาสังคม การช่วยให้มนุษย์เกิดความปลอดภัยและมั่นคงภายในชีวิตผ่านการดูแลทางสังคม โดยการดูแลทางสังคมนั้น ถูกวิวัฒนาการและปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกาภิวัตน์ จากการทำงานโดยมนุษย์ต่อมนุษย์ในอดีต เข้าสู่การนำ เทคโนโลยีและสารสนเทศมาประยุกต์ใช้เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ในการจัดการดูแลทางสังคม โดยในปัจจุบันเทคโนโลยี มีบทบาทมากขึ้นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของ มนุษย์โดยสมบูรณ์ เช่น การติดต่อสื่อสารผ่านแอปพลิเคชันที่ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกมากยิ่งขึ้น การทำ ธุรกิจและการค้าผ่านระบบดิจิตอลที่สามารถทำให้ฐานระบบเศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างไร้พรมแดน หลังจากการแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสโคโรน่า-2019 นั้น ทำให้เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทต่อชีวิตของมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด ความสำคัญของเทคโนโลยี สารสนเทศเข้ามาครอบคลุมต่อชีวิตของมนุษย์อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการลงทะเบียนสำหรับการรับวัคซีนป้องกันโรค การได้รับเงินเยียวยาท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากจากรัฐในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ การดำรงชีพผ่านแอปพลิเคชันใน การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไปสู่ตนเองและผู้อื่น เทคโนโลยีจึงมีบทบาทหนึ่งที่ช่วยในการบรรเทาการแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัสโคโรน่า-2019 จากสถานการณ์ระบาดดังกล่าว ส่งผลให้รูปแบบการดูแลทางสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีการบรรเทาทุกข์ ของประชาชนท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด เนื่องจากไม่สามารถใช้การดูแลทางสังคมในรูปแบบปกติที่มีการสร้าง สัมพันธภาพทางตรงได้ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นข้อท้าทายสำคัญที่นำมาสู่การดูแลสังคมในยุควิถีใหม่ เพื่อให้ประชาชนที่กำลังเผชิญกับ สถานการณ์ทางสังคมที่ไม่แน่นอน สามารถได้รับการดูแลทางสังคมเพื่อก่อให้เกิดความรู้สึกที่มั่นคงต่อชีวิตในสถานการณ์ ทางสังคมที่ผกผัน เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส และสร้างความปลอดภัยของชีวิตมนุษย์รูปแบบการดูแลทางสังคม จึงมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้สามารถเข้าถึงประชาชนได้แม้นในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ การนำเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ หรือการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการติดต่อสื่อสาร ประสานงาน ขอความช่วยเหลือ จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญต่อรูปแบบ การดูแลทางสังคมในยุควิถีใหม่ที่การติดต่อสื่อสาร การร้องขอความช่วยเหลือสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ ประชาชนที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐสามารถเข้าถึงการดูแลทางสังคมได้อย่างทันท่วงที เช่น การให้คำปรึกษา การเข้าถึง สวัสดิการในการเยียวยาผู้ประสบปัญหาทางสังคม การช่วยเหลือดูแลอาการท่ามกลางความเจ็บป่วยด้านสุขภาพที่ไม่สามารถ คาดเดาได้ การยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือจากการดูแลทางสังคมในมิติต่างๆ เป็นต้น ความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคสารสนเทศระบบออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ การพัฒนาจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นผลให้เกิดการพัฒนาระบบออนไลน์ นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ เพิ่มขึ้น เพื่อนำมาใช้สำหรับการพัฒนาประเทศ พัฒนาด้านการศึกษา พัฒนาอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยว รวมถึงพัฒนา ระบบการแพทย์ให้มีความแม่นยำ การเปลี่ยนแปลงของระบบสารสนเทศก่อให้เกิดการพัฒนาและเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว อีกทั้งในปัจจุบันได้เข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งในงานสังคมสงเคราะห์ก็ได้เกิดนวัตกรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 98 ใหม่ๆเพื่อนำมาปรับใช้สำหรับการให้บริการ สืบเนื่องจากในปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น อันเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม ของผู้ใช้บริการ เช่น สภาพเศรษฐกิจ สภาพครอบครัว ปัญหาสุขภาพ เป็นต้น ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงส่งผลให้มีจำนวนผู้ใช้บริการ เพิ่มขึ้น หน่วยงานจึงจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในงานสังคมสงเคราะห์เพื่อประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ผู้ใช้บริการระดับ จุลภาคและระดับมหภาคตามความเหมาะสมของเครื่องมือที่นำมาปรับใช้โดยการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีสามารถนำทฤษฎี หุบเหวการดับของนวัตกรรมเข้ามาอธิบาย ซึ่งเป็นทฤษฎีที่พัฒนามาจากทฤษฎีการแพร่กระจายวัฒนธรรม อันสามารถสรุป ใจความได้ว่า “การที่นวัตกรรมอันใดอันหนึ่งจักสามารถต่อยอดไปยังจุดสูงสุด จักต้องได้รับการยอมรับจากกลุ่มคนในสังคม ดังนี้ ผู้บุกเบิก (Inventor) ผู้นำกระแส (Early adopters) ผู้ที่อยู่ในกระแส (Early majority) ผู้ตามกระแส (Late majority) และผู้ล้าหลัง (Laggard) โดยเฉพาะการยอมรับจากกลุ่มผู้นำกระแส (Early adopters) เนื่องจากหากคนกลุ่มนี้ยอมรับ จักเป็น ผลให้นวัตกรรมสามารถไปต่อได้ แต่หากไม่ถูกยอมรับจากคนกลุ่มนี้ก็จักดับสลายไป” (Moore, G.A., 1991) ในปัจจุบันงานสังคมสงเคราะห์ได้นำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อให้บริการ เช่น การให้คำปรึกษา การวิเคราะห์ค่าความเครียด ของผู้ใช้บริการ การบันทึกข้อมูลต่างๆของผู้ใช้บริการด้วยความสะดวกมากขึ้น และการเข้าถึงข้อมูลทางวิชาการที่เกี่ยวกับงานสังคม สงเคราะห์ได้ง่ายขึ้น เป็นต้น ทว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้มิได้มีเฉพาะผลด้านบวก แต่ยังมีข้อท้าทายอีกมากมายที่ต้องได้รับ การพัฒนา ดังนี้ ประเด็กแรกคือความแตกต่างในการสื่อสารระหว่างการพบปะกันและการสื่อสารโดนผ่านตัวกลางสื่อออนไลน์ เนื่องจากการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์จำเป็นต้องสนทนาร่วมกับผู้ใช้บริการโดยการพบเจอและพูดคุยกันแบบเผชิญหน้า เพราะนักสังคมสงเคราะห์สามารถสังเกตพฤติกรรมของผู้ใช้บริการได้ผ่านแววตา ภาษากาย และทำให้สามารถรับฟังปัญหา ของผู้ใช้บริการได้อย่างชัดเจน อีกทั้งการเผชิญหน้ากันยังสามารถเสริมสร้างพลังอำนาจให้แก่ผู้ใช้บริการได้มากกว่า เนื่องด้วย การสื่อสารมีความสำคัญในการปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์อย่างยิ่ง ผู้ใช้บริการจักให้ความร่วมมือเพียงใด ขึ้นอยู่กับ การสร้างสัมพันธภาพในการสื่อสารระหว่างกันและกัน นอกจากนี้การสื่อสารผ่านสื่อออนไลน์ยังมีข้อจำกัดในแง่ของสัญญาณ อินเทอร์เน็ต ประเด็นถัดมาคือความสามารถในการใช้เทคโนโลยีในการปฏิบัติงาน เนื่องด้วยวิชาชีพนักสังคมสงเคราะห์ ปฏิบัติงานสืบเนื่องกันมาเป็นระยะเวลานาน จึงมีทั้งนักสังคมสงเคราะห์อาวุโส และนักสังคมสงเคราะห์รุ่นใหม่ที่เกิดมา ท่ามกลางการเติบโตของเทคโนโลยี ดังนั้นจึงเป็นอีกข้อท้าทายในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงานว่าจักมีแนวทางเช่นไร ให้สามารถใช้เทคโนโลยีไปในทางเดียวกัน เพราะช่องว่างระหว่างวัยเองก็มีส่วนสำคัญในการปฏิบัติงาน และข้อท้าทายสุดท้าย คือปัญหาในแง่ของข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวมักเป็นข้อมูลสำหรับการทำธุรกรรมด้านการเงินและเป็นข้อมูล ส่วนตัวที่ไม่สามารถเผยแพร่ต่อสาธารณชน หากเก็บข้อมูลของผู้ใช้บริการไม่ปลอดภัย อาจเป็นช่องว่างในการละเมิดสิทธิ ของผู้ใช้บริการ ผลลัพธ์จากการประยุกต์ใช้การดูแลทางสังคมร่วมกับเทคโนโลยีสารสนเทศ การวิวัฒน์เข้าสู่สังคมโลกาภิวัตน์เป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่เร่งให้แต่ละประเทศต้องผลักดันการเข้าถึงเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น โดยมีการผนวกรวมเอาระบบสารสนเทศเข้ามาเป็นตัวกลางในการกระจายการเข้าถึงบริการหรือสวัสดิการต่างๆ ของรัฐ จึงได้มี การประยุกต์ใช้การดูแลทางสังคมร่วมกับเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยในประเทศอังกฤษ ช่วงแรกเริ่มของการให้วัคซีนแก่ ประชาชน โดยประชากรชาวอังกฤษมีจำนวนประมาณ 55 ล้านคน ดังนั้นการจัดสรรวัคซีนให้เข้าถึงประชาชนอย่างทั่วถึงจึง เป็นเรื่องที่ยาก หากไม่นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาปรับใช้ เนื่องจากฐานข้อมูลประชากรอยู่ในระบบของรัฐบาล เช่น ข้อมูลทั่วไป ข้อมูลผู้ป่วย ข้อมูลด้านที่พักอาศัย จึงทำให้ประเทศอังกฤษสามารถลำดับความเสี่ยงของประชากรได้อย่างเสมอ ภาค โดยมีการเรียงผู้ที่มีสิทธิได้รับการฉีดวัคซีน เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ประกอบอาชีพที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ หลังจากนั้นจึงให้ประชาชนทั่วไปได้รับวัคซีนเมื่อถึงลำดับ โดยแจ้งผ่านข้อความทางโทรศัพท์ จากการประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลที่มี อยู่ของภาครัฐดังกล่าวจึงสะท้อนได้ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถให้ความช่วยเหลือมนุษย์ได้หากเริ่มต้นจากการมองหา


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 99 สิ่งที่มีอยู่ก่อน วางแผนและจัดลำดับความสำคัญ เพื่อนำไปสู่การดำเนินการตามขั้นตอน รวมถึงการพัฒนาต่อยอดและพร้อม รับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยในประเทศไทยได้มีตัวอย่างการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ร่วมกับการดูแลทางสังคม สามารถศึกษาจาก สถานการณ์ที่ประเทศไทยต้องเผชิญหน้ากับการระบาดของไวรัสโคโรนา-2019 ซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจและสภาพร่างกายของ ประชาชน โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในประเด็นดังกล่าว จึงมีแนวคิดในการช่วยเหลือประชาชน โดยเป็นการร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และภาคีภาคเครือข่าย ซึ่งเป็นการผสมผสานกับ นวัตกรรมการแพทย์ทางไกล (Social Telemedicine) เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพขั้นพื้นฐานได้อย่างทั่วถึง โดยเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนวัตกรรมและนักสังคมสงเคราะห์ ด้วยข้อบังคับของกฎหมายและข้อจำกัดของไวรัส โคโรนา-2019 ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ประชาชนเกิดความกังวล ถูกกีดกันจากสังคม สุขภาพย่ำแย่ลง รวมถึง เศรษฐกิจที่ถดถอยอันเป็นผลจากพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 โดยจากการดำเนิน โครงการดังกล่าว ทำให้นักสังคมสงเคราะห์ได้ทราบว่าประชาชนมีผลกระทบทางจิตใจเป็นอย่างมาก จึงได้มีการเปิดการอบรม 4 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรให้คำปรึกษาเบื้องต้น หลักสูตรทักษะเสริมพลังอำนาจ หลักสูตรเทคนิคการใช้คำปรึกษาการปรับ ความคิดเปลี่ยนพฤติกรรม และหลักสูตรการดูแลเด็ก เพื่อพัฒนานักสังคมสงเคราะห์ให้มีทักษะ รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์ม การแพทย์ทางไกล เพื่อติดตามผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น(มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2564) นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ในการพัฒนาสังคมโดยมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาปรับใช้ในประเทศ อีกทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน ของนักสังคมสงเคราะห์ในการวิเคราะห์และการประเมินได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการสะท้อนความร่วมมือของภาคประชาชน ภาครัฐ และภาคเอกชนที่มีบทบาทต่อการดูแลทางสังคม ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสามารถเอื้ออำนวยให้เกิดการดูแลทางสังคมได้ เป็นการช่วยจัด ระเบียบทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงสามารถช่วยในการวิเคราะห์ ประเมิน และฟื้นฟูประชาชนได้อย่างเป็น ระบบ ทว่าเทคโนโลยีก็มีข้อท้าทายหลากหลายที่ต้องก้าวข้ามเพื่อไม่ให้ขัดต่อกฎหมายหรือเพิ่มความเหลื่อมล้ำอันอยู่ภายใต้ การพัฒนาในโลกทุนนิยมในปัจจุบัน ความเท่าทันทางเทคโนโลยีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหา การก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีที่ลื่นไหลไปตามความสามารถในการพัฒนาระบบสารสนเทศ ส่งผลโดยตรงต่อ การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงการให้บริการของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์การแพร่ระบาด ของไวรัสโคโรนา-2019 ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในภาพรวมในด้านของการเปลี่ยนเข้าสู่วิถีใหม่ ลดการสัมผัส เน้นการใช้ เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ สามารถดำเนินการตามขั้นตอนได้ปกติ และเพื่อลดระยะเวลาในการเข้ามาติดต่อสอบถามโดยตรง ของผู้ใช้บริการในสถานที่ให้บริการ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถูกปรับให้เหลือเพียงการสัมผัสแค่ครั้งเดียวในการขอเข้ารับ บริการ หรือเพียงการโทรหาสายด่วนเพื่อขอความช่วยเหลือทั้งในกรณีเร่งด่วนและการแจ้งเหตุ ซึ่งถือได้ว่าเป็นกระบวนการ สำคัญในการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกยุคดิจิทัลภายใต้วิถีใหม่ผ่านการปรับตัวของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา-2019 มีแนวโน้มลดลงแล้ว แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาด ใหญ่ยังคงอยู่ เช่น ปัญหาทางสังคมที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ปัญหาเด็กและเยาวชน หลุดออกจากระบบการศึกษา ปัญหาการค้ามนุษย์และผู้อพยพย้ายถิ่นจากสถานการณ์ความรุนแรงภายในประเทศ จากการ เพิ่มขึ้นของปัญหาคงค้างจากสถานการณ์ดังกล่าวจึงเป็นความท้าทายของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการพัฒนารูปแบบ การให้ความช่วยเหลือ มาตรการเยียวยา หรือการรับฟังการแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาปรับแก้ไขปัญหา อย่างตรงจุด ในบางกรณีเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างแนวทางในการให้ ความช่วยเหลือได้ เช่น การสร้างกระแสทางสื่อออนไลน์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ของสมาชิกภายในสังคม อาทิ สถานการณ์


Click to View FlipBook Version