The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ntknight478, 2023-01-24 11:12:03

รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69

รวมบทความ Processdinga 69 ปี (24 ม.ค.66)

รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 100 ความรุนแรงภายในประเทศเมียนมาร์ที่สร้างผลกระทบต่อผู้คน การให้กำลังใจผ่านโลกออนไลน์ การเกาะติดสถานการณ์ผ่าน แฮชแท็ก (Hashtags) และการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อบรรเทาปัญหาและตอบสนองความต้องการใน เบื้องต้น โดยผู้คนสามารถรับรู้สถานการณ์ ให้กำลังใจ หรือให้ความช่วยเหลือได้เพียงสัมผัสเดียว ในบางบริบทของ บางหน่วยงานอาจนำเอาจุดเด่นนี้ไปปรับใช้ในการออกแบบการให้ความช่วยเหลือหรือการสร้างการตระหนักรู้ทางสังคมได้ ซึ่งใช้ต้นทุนต่ำแต่ผลตอบแทนสูง และสามารถนำผลไปต่อยอดได้อีกในอนาคต อุปสรรคสำคัญในการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการให้ความช่วยเหลือ หากเป็นในด้านของการใช้สื่อออนไลน์นั้น มักจะมีความเสี่ยงในการใช้งาน เนื่องเพราะปัจจุบันมีการผลิตเนื้อหาสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง หากทางหน่วยงานดำเนินการแล้ว ไม่เป็นที่พูดถึงหรือไม่เป็นกระแสทางสังคม ก็อาจจะไม่ได้รับความสนใจและยอดการเข้าถึงตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ ดังนั้น จึงมิใช่ทุกหน่วยงานที่จะใช้สื่อออนไลน์ทุกครั้งแล้วประสบความสำเร็จในการดำเนินงาน แต่อาจต้องมองถึงโอกาสและผลที่จะ เกิดขึ้น หรือสิ่งที่ต้องการสื่อกับผู้คนอีกด้วย ในด้านของระบบสารสนเทศทั่วไป เช่น การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูล อุปสรรคสำคัญ คือการที่ฐานข้อมูลของแต่ละหน่วยงานแยกจากกัน ทำให้มีความไม่เชื่อมโยงกันในการใช้ข้อมูล หรือผู้ใช้บริการอาจต้องทำ ประวัติเข้าใช้บริการใหม่ ซึ่งทำให้ค่อนข้างเสียเวลาและเสียทรัพยากร รวมถึงความใหม่ของข้อมูลที่อาจจะไม่ถูกทำให้เป็น ปัจจุบัน อาจทำให้การนำข้อมูลมาใช้มีความผิดพลาดและไม่สามารถใช้ข้อมูลได้ จึงเป็นอุปสรรคและปัญหาสำคัญของ หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ต้องให้ความร่วมมือกันในการสร้างฐานข้อมูลร่วมเพื่อนำไปใช้ในการให้ความช่วยเหลือ ผู้ใช้บริการในอนาคต องค์ความรู้ด้านข้อมูลมหัต (Big data) และการเรียนรู้ของอัลกอริทึม (Machine learning) สู่การปรับใช้ในงานสังคมสงเคราะห์ หากกล่าวถึงข้อมูล ส่วนใหญ่อาจนึกถึงข้อมูลที่มาจากหนังสือ ตำรา หรือเล่มเอกสารที่ภายในมีข้อมูลอยู่มากมาย ในงานสังคมสงเคราะห์จะมีการเก็บข้อมูลของผู้ใช้บริการเป็นความลับ และข้อมูลทางราชการอื่นๆ อาทิ เอกสารประกอบ การให้ความช่วยเหลือ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า การเลือกพื้นที่เพื่อจัดเก็บข้อมูลมีส่วนสำคัญอย่างมากในการเก็บรักษาข้อมูล ให้สามารถนำมาใช้งานได้เมื่อต้องการ อีกทั้งอาจใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างหน่วยงาน กระทรวง กรม หรือองค์กรเอกชน ดังนั้น การปรับเปลี่ยนรูปแบบฐานข้อมูลหลักของหน่วยงาน จากแบบต่างฝ่ายต่างเก็บ เป็นการใช้ฐานข้อมูลพื้นฐานร่วมกันผ่านระบบ ข้อมูลมหัต (Big data) เพื่ออำนวยด้านการดึงข้อมูลพื้นฐานของผู้ใช้บริการมาใช้ในการให้ความช่วยเหลือ เช่น หากผู้ใช้บริการ ไปใช้บริการที่ศูนย์สาธารณสุข ก็จะมีข้อมูลพื้นฐานเบื้องต้นแสดงต่อเจ้าหน้าที่หรือพยาบาล หากผู้ใช้บริการมาใช้บริการกับ นักสังคมสงเคราะห์ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ก็จะมีการแสดงข้อมูลพื้นฐานเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ ทำการสืบค้นข้อเท็จจริงในระดับเบื้องต้น และนำข้อมูลนั้นไปประกอบใช้ในการวางแผนการให้ความช่วยเหลือต่อไปได้ ซึ่งการ ใช้ข้อมูลมหัต (Big data) อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในการปรับฐานการจัดเก็บข้อมูลได้ นอกเหนือจากการจัดเก็บข้อมูลและการใช้งานแล้ว สิ่งที่มาร่วมกันคือการเรียนรู้ของ หรือ Machine Learning หากเปลี่ยนฐานข้อมูลหลักมาใช้ร่วมกันของทุกหน่วยงานแล้ว การเรียนรู้ของอัลกอริทึม (Machine learning) สามารถช่วย ประเมินหรือวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้บริการในการใช้บริการได้ จากการจัดเก็บข้อมูลการใช้งานที่ผ่านมาของผู้ใช้บริการใน ทุกศูนย์บริการของภาครัฐและเอกชน หรือในกลุ่มผู้เปราะบางทางสังคม อาทิ เยาวชนที่มีอาการซึมเศร้าที่มีประวัติพยายาม ฆ่าตัวตายมาแล้ว การจัดเก็บข้อมูลและการประเมินพฤติกรรมของอัลกอริทึม (Machine Learning) จะช่วยสามารถประเมินได้ว่า ในขณะนั้นผู้ใช้บริการมีสภาพจิตใจหรือความคิดอย่างไรต่อตนเอง หรืออาจเป็นการติดตามผู้ใช้บริการทางอ้อมได้ เช่น ผู้ใช้บริการได้เข้ารับการรักษาตรงตามเวลาหรือไม่ เป็นต้น โดยการใช้การเรียนรู้ของอัลกอริทึม (Machine learning) ดังกล่าว มิใช่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ แต่เป็นการจัดเก็บข้อมูลจากพฤติกรรมการใช้งานศูนย์บริการของหน่วยงาน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 101 เท่านั้น เพื่อให้นักสังคมสงเคราะห์สามารถประเมินวิเคราะห์ในระดับเบื้องต้นก่อนได้ อีกทั้งยังเป็นการใช้เทคโนโลยีให้เกิด ประโยชน์ต่อวิชาชีพอีกด้วย อุปสรรคที่สำคัญที่สุดของการประยุกต์ใช้ข้อมูลมหัต (Big data) และการเรียนรู้ของอัลกอริทึม (Machine learning)คือ ค่าใช้จ่ายด้านการบำรุงรักษาและการพัฒนาระบบ เนื่องเพราะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้สำหรับการใช้งานฐานจัดเก็บข้อมูลขนาด ใหญ่และสามารถใช้ร่วมกันเป็นเครือข่ายระหว่างองค์กรได้ อีกทั้งการเข้าถึงตัวช่วยในการประเมินวิเคราะห์พฤติกรรมของ ผู้ใช้บริการจากการเข้ารับบริการ ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐและเอกชนจึงต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้การใช้ ข้อมูลมหัต (Big data) และการเรียนรู้ของอัลกอริทึม (Machine learning) ดังกล่าวเป็นไปได้จริงในสังคมไทย หรือในสายงาน สังคมสงเคราะห์ เพราะหากสามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้ได้จริงในกระบวนการทางสังคมสงเคราะห์ หรือขั้นตอนการให้ ความช่วยเหลือของหน่วยงานอื่นแล้ว จะสามารถนำไปต่อยอดในด้านอื่นๆ ได้ เช่น แนวทางในการพัฒนาระบบการให้บริการที่ ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายในรูปแบบต่างๆ ที่มีความเหมาะสมต่อการให้บริการ ผ่านการเรียนรู้ของอัลกอริทึม (Machine learning) ที่วิเคราะห์จากพฤติกรรมการให้บริการของภาครัฐและหน่วยงานเอกชน เป็นต้น ภายหลังจากการปรับปรุงให้เป็นฐานข้อมูลมหัต (Big data) ที่ใช้ร่วมกันทุกองค์กรแล้ว การแสวงหาผลประโยชน์จาก ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนจึงเป็นปัญหาที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ว่าจะมีบุคคลผู้ที่แสวงหาจากการนำออกข้อมูลเหล่านั้นไป จำหน่ายให้กับมิจฉาชีพหรือไม่ จึงเป็นอีกหนึ่งข้อท้าทายสำคัญหากมีการใช้ข้อมูลมหัต (Big data) และข้อมูลจากการเรียนรู้ ของอัลกอริทึม (Machine learning) หากนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ก็อาจทำให้ประชาชนเสียประโยชน์และเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้ การเข้ารหัสและการรักษาความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากในการรักษาข้อมูลความลับส่วนบุคคล หากเทคโนโลยีพัฒนาไป อีกขั้น ในอนาคตอันใกล้นี้ อาจจะมีการเก็บรักษาความปลอดภัยขั้นสุดยอด มีการใช้ข้อมูลมหัต (Big data) ร่วมกัน ส่งผลให้เกิด การคาดเดาพฤติกรรมและป้องกันเหตุที่ไม่อาจคาดคิดสำหรับกลุ่มเปราะบางทางสังคมภายใต้ฐานข้อมูลร่วมในอนาคตก็เป็นได้ ตัวอย่างของการให้ความช่วยเหลือผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศในสถานการณ์ฉุกเฉิน การให้ความช่วยเหลือผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในปัจจุบันมีเพิ่มมากขึ้น อย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งสร้างความเท่าเทียมและกระจายการให้ความช่วยเหลือให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายทางสังคม รวมถึง ขับเคลื่อนนโยบายและพัฒนาแนวทางการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 โดยใน บทความนี้จะกล่าวถึงระบบที่ให้ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายเด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุ กลุ่มเปราะบางทางสังคม ผู้ประสบปัญหาทางสังคมกรณีฉุกเฉิน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อให้ความช่วยเหลือ คุ้มครอง พิทักษ์สิทธิ์ และประสานส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่าง ทันท่วงทีซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1) ระบบสารสนเทศเพื่อการคุ้มครองเด็ก (Child Protection Information System-CPIS) โดยกรมกิจการเด็ก และเยาวชน ระบบสารสนเทศเพื่อการคุ้มครองเด็ก หรือชื่อเรียกโดยย่อว่า ระบบ CPIS ถูกพัฒนาระบบโดยกรมกิจการเด็กและ เยาวชน สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นการดำเนินการขับเคลื่อนองค์การให้เป็น Digital DCY กิจกรรมภายใต้ยุทธศาสตร์การคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2560-2564ยุทธศาสตร์ที่ 5ตัวชี้วัดยุทธศาสตร์5.1 พัฒนาระบบสารสนเทศ เด็กเพื่อการจัดการข้อมูลด้านการคุ้มครองเด็ก จุดประสงค์หลัก คือ การนำเอาเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญใน การส่งเสริม พัฒนา คุ้มครองเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วยเหลือคุ้มครองเด็กและการจัดสวัสดิการสำหรับเด็ก และครอบครัวเชิงรุก และการพิทักษ์สิทธิเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ข้อ 19 ว่าด้วยการปกป้องคุ้มครองเด็กจากความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยประเทศไทยได้เข้าร่วมอนุสัญญา เพื่อนำเอาข้อมูลไปใช้ ประโยชน์ในการปกป้อง คุ้มครอง และพิทักษ์สิทธิเด็กและครอบครัว อีกทั้งคำนึงถึงความต้องการของเด็กเป็นสำคัญ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 102 กระบวนการดำเนินงานของระบบสารสนเทศเพื่อการคุ้มครองเด็ก ประกอบไปด้วยระบบย่อยที่ช่วยขับเคลื่อน ในการให้การปกป้อง คุ้มครอง และพิทักษ์สิทธิเด็ก มีทั้งหมด 6 ระบบ ดังนี้ 1) ระบบการรับแจ้งเหตุ ผ่านแอปพลิเคชัน คุ้มครองเด็ก ซึ่งส่งข้อมูลไปยังบ้านพักเด็กและครอบครัวทั้ง 77 แห่ง และสถานรองรับเด็ก 2) ระบบคัดกรองเพื่อสนับสนุนการเลี้ยงดูเด็กตามมาตรฐานขั้นต่ำ (Child Maltreatment Surveillance ToolCMST) เป็นเครื่องมือสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการคัดกรองเด็กและประเมินความเสี่ยงระดับเบื้องต้น 3) ระบบจัดการรายกรณี เป็นเครื่องมือสำหรับผู้จัดการรายกรณี (พนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติ คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และผู้ปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองเด็ก) ใช้ในการวางแผนและติดตามการช่วยเหลือเด็ก 4) ระบบผู้ปฏิบัติงานด้านการคุ้มครองเด็ก เป็นเครื่องมือค้นหาผู้จัดการรายกรณีที่มีความสอดคล้องกับสภาพ ปัญหาและความต้องการของเด็กเฉพาะราย 5) ระบบสวัสดิการเด็ก เป็นสารสนเทศชุดสวัสดิการสำหรับเด็กและครอบครัว อาทิ กองทุนคุ้มครองเด็ก 6) ระบบตรวจสอบข้อมูลเด็กและครอบครัว จากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง เพื่อให้ผู้จัดการ รายกรณีทราบถึงข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเด็กและครอบครัวได้ ผลการดำเนินงานในเบื้องต้นผ่านระบบรับแจ้งเหตุและแอปพลิเคชันคุ้มครองเด็ก ประชาชนสามารถแจ้งเหตุได้ ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านแอปพลิเคชันคุ้มครองเด็กเมื่อพบเห็นเด็กและเยาวชนที่กำลังประสบปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นการเพิ่มช่องทางในการแจ้งเหตุ และสร้างเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเข้ามาเป็น ส่วนหนึ่งของเครือข่ายคุ้มครองเด็กและเยาวชน ซึ่งข้อดีของแอปพลิเคชันคุ้มครองเด็กคือสามารถถ่ายโอนภาพถ่าย (Upload) ได้ในทันที(ทั้งในกรณีประสบปัญหาต้องการความช่วยเหลือ หรือสถานการณ์อื่น เช่น เด็กและเยาวชนถูกกระทำด้วย ความรุนแรงภายในครอบครัว เป็นต้น) สามารถติดตามการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานได้ และข้อมูลการแจ้งเหตุจะถูก ส่งไปยังสถานรองรับ 107 หน่วยของกรมกิจการเด็กและเยาวชน เพื่อดำเนินการช่วยเหลือแก่เด็กและเยาวชนได้อย่างรวดเร็ว และทั่วถึง จากระบบย่อยของระบบสารสนเทศเพื่อการคุ้มครองเด็กดังกล่าวจะเห็นได้ว่า มีความคล้ายคลึงกับกระบวนการ ทางสังคมสงเคราะห์ในการให้ความช่วยเหลือผู้ใช้บริการ นับตั้งแต่การรับเรื่องแจ้งเหตุ การสืบเสาะข้อเท็จจริง การลงพื้นที่ (ใน กรณีเด็กที่มีความเสี่ยงและหน่วยงานระดับภูมิภาคจะดำเนินการลงพื้นที่) การวางแผนให้ความช่วยเหลือ การดำเนินการให้ ความช่วยเหลือ การติดตามผลการให้ความช่วยเหลือ และการยุติการให้บริการ กระบวนการทางสังคมสงเคราะห์ที่กล่าวมาทั้งหมด ถูกปรับบริบทให้อยู่ภายในแอปพลิเคชันเดียว แต่สามารถเชื่อมโยงกับเครือข่ายทั่วประเทศในการเตรียมความพร้อมเพื่อการให้ การช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ประสบปัญหาอยู่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 2) แอปพลิเคชัน Protect-U โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ปัจจุบันการเกิดอาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ นั้นเกิดขึ้นค่อนข้างมากในพื้นที่ประเทศไทย มิว่าจะเป็นอาชญากรรมที่ เกิดกับเยาวชน อาชญากรรมที่เกิดกับวัยผู้ใหญ่ ซึ่งหนึ่งในอาชญากรรมที่เกิดขึ้นและยังมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วทุกมุมโลก คือ การค้ามนุษย์ โดยการค้ามนุษย์มีความหมายคือ”การละเมิดประเภทหนึ่ง มีการแสวงหาผลประโยชน์จากการค้าประเวณี การผลิตหรือการเผยแพร่วัตถุหรือสิ่งลามกการแสวงหาประโยชน์ทางเพศในรูปแบบอื่น การเอาคนลงมาเป็นทาสซึ่งนับเป็น การด้อยค่าและทำให้มีฐานะเทียบเทียมทาส นำคนมาขอทาน การตัดอวัยวะเพื่อการค้า การบังคับใช้หรือบริการ” (ศูนย์ บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน, 2565) โดยหากมองในมุมมองสิทธิมนุษยชน การค้ามนุษย์ก็นับได้ว่าเป็นการล่วง ละเมิดในสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ดังนั้นเมื่อพบเจอผู้ที่กำลังเผชิญสถานการณ์การค้ามนุษย์ ควรต้องรีบแจ้งปัญหานี้ไปยัง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากไม่สามารถติดต่อกับหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานครได้ร่วมมือกันเพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ให้ประชาชนทั่วไปที่พบ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 103 เจอสามารถแจ้งเบาะแสให้แก่เจ้าหน้าที่เพื่อช่วยดำเนินการช่วยเหลือ เนื่องจากสถานการณ์ปัญหาการค้ามนุษย์ มิใช่เพียงปัญหา ระดับประเทศ แต่เป็นปัญหาระดับโลก ที่ทุกประเทศต้องร่วมกันแก้ไขเพื่อยุติกระบวนการค้าที่ไม่ถูกต้อง โดยข้อมูลจากสำนัก ข่าวได้ให้ข้อมูลไว้ว่า “ประเทศไทยได้รับการปรับเป็นระดับ 2 ซึ่งเป็นผลมาจากความพยายามในการเพิ่มจำนวนการสืบสวนคดีที่ เกี่ยวกับการค้ามนุษย์แนวทางการจัดหาแรงงานบังคับตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์” (BBC News ไทย, 2022) จากข้อความดังกล่าวทำให้เห็นว่าประเทศไทยมีการรับมือและแก้ไขในการปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ต้องมีการพัฒนาต่อไปเพื่อให้สามารถขึ้นไปอยู่ในระดับ 1 ในการแก้ไขและปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งจากปัญหานี้ ทางหน่วยงานจึงได้พัฒนาแอปพลิเคชัน PROTECT-U ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในการแก้ปัญหา สถานการณ์การค้ามนุษย์ โดยสามารถดาวน์โหลดเพื่อใช้งานได้ทั้งระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์(Android)และระบบปฏิบัติการ ไอโอเอส (iOS) ซึ่งไม่เสียค่าใช้จ่าย การใช้งานแอปพลิเคชันสามารถเลือกฟังก์ชันที่ต้องการได้ตามต้องการ โดยภายในแอปพลิเค ชันสามารถใช้งานได้หลากหลายคำสั่ง เช่น การแจ้งข้อมูลการค้ามนุษย์ สิทธิผู้เสียหาย ศูนย์ประสานงานล่าม อุดหนุนผลิตภัณฑ์ ข้อมูลสถิติสำคัญ และข้อมูลเกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ประโยชน์ของแอปพลิเคชันนี้มีเพื่อช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้เสียหายจากกระบวนการการค้ามนุษย์ ซึ่งมีการช่วยเหลือใน หลายๆ อย่างตลอดระยะเวลาการช่วยเหลือ เริ่มตั้งแต่ให้ผู้ประสบปัญหาที่กำลังรู้ตัวว่ากำลังจะถูกหลวงลวง ก็สามารถแจ้งทาง แอปพลิเคชันได้ทันที พร้อมทั้งสามารถระบุพิกัดเพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างแม่นยำ สามารถแจ้ง ณ ตำแหน่งใดก็ได้เพื่อประสาน ให้หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใกล้เคียงเข้าช่วยเหลืออย่างเร็วที่สุด ข้อดีของแอปพลิเคชันนี้คือการที่สามารถทำให้ผู้ที่ใช้งาน สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก ด้วยระบบฟังก์ชันที่ค่อนข้างชัดเจน มีรูปแบบภาษาอย่างสากล พร้อมรองรับผู้ใช้งานหลาย ประเภท แอปพลิเคชันนี้สามารถช่วยเจ้าหน้าที่และหน่วยงานในการปราบปรามและป้องกันการค้ามนุษย์ได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถรวบรวมข้อมูลหลายประเภทอันเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ไว้ในแหล่งเดียวกันได้อย่างครบครัน เช่น การรวบรวมระบบฐานข้อมูลการดำเนินคดีและการให้ความช่วยเหลือในกระบวนการค้ามนุษย์ ประกาศสิทธิของผู้เสียหาย สถิติการค้ามนุษย์ในประเภทต่างๆ ภายในประเทศ และ มีข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากผู้เสียหายเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ และก่อให้เกิดรายได้แก่ผู้เสียหายในขณะนั้น นอกจากนี้แอปพลิเคชันนี้สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ หน่วยงานให้เพิ่มมากขึ้น โดยประชาชนและหน่วยงานสามารถช่วยเสริมสร้างและแก้ไขปัญหาไปพร้อมกัน โดยทางหน่วยงาน เองก็มีนโยบายและแนวทางที่ดีต่อผู้ที่ช่วยแจ้งเบาะแส เนื่องจากในปัจจุบันการค้ามนุษย์เกิดขึ้นค่อนข้างมากและมีวิธีการที่ หลากหลายมากขึ้นในการลวงผู้อื่น ทว่าแอปพลิเคชันนี้ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของการใช้งานเรื่องสัญญาณอินเทอร์เน็ต เนื่องจาก หากไม่มีอินเทอร์เน็ต จักไม่สามารถแจ้งปัญหาได้อย่างทันท่วงที เช่น สถานการณ์ที่ผู้เสียหายกำลังต้องการแจ้งปัญหา ระหว่างหลบหนีจากการค้ามนุษย์ แต่บริเวณนั้นไม่มีสัญญาณ ผู้เสียหายก็จักไม่สามารถแจ้งปัญหาได้ เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ ที่อาศัยบริเวณดอยหรือใกล้ๆ กับชายขอบประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความเสี่ยงในเรื่องของการถูกล่อลวง เพื่อเข้าไปสู่กระบวนการค้ามนุษย์ หากเขาเหล่านี้เกิดสถานการณ์เช่นนั้น ทางหน่วยงานจักสามารถช่วยกลุ่มคนเหล่านี้ได้ อย่างไร ในเมื่อเขาไม่สามารถแจ้งเบาะแสได้เนื่องจากไม่มีต้นทุนด้านนี้ ซึ่งหากในอนาคตแอปพลิเคชันสามารถพัฒนา ให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าระบบได้โดยไม่ต้องใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตจักทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงได้ง่าย รวดเร็ว และลดความเสี่ยงที่จะ ตกในสถานการณ์การค้ามนุษย์ลดลง และความเสี่ยงถัดมาคือด้านการเก็บข้อมูลของผู้ใช้งาน เนื่องจากการเข้าใช้แอปพลิเคชัน จักต้องมีการลงทะเบียนและต้องใส่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล จึงเกิดความเสี่ยงในด้านของข้อมูลส่วนบุคคลหลุดหรือเกิดการนำไป เผยแพร่อย่างไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ เนื่องจากการที่ผู้แจ้งเบาะแส (ผู้ใช้งาน) ได้นำเบาะแสมาแจ้งเช่นนี้ อาจทำให้ผู้ใช้คน นั้นตกเป็นเป้าได้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 104 3) แอปพลิเคชัน Goal by dop โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุได้พัฒนาแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า Goal by dop เพื่อมุ่งเน้นการขับเคลื่อนงานด้านบริการ ดิจิทัล (Digital Service) ในด้านของการให้บริการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนผู้สูงอายุในเบื้องต้น ซึ่งเปิดใช้งานเมื่อเดือน มกราคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา โดยมีรายละเอียดของการให้บริการ ดังนี้ 3.1 บริการสินค้าออนไลน์สำหรับผู้สูงอายุ เป็นการจำหน่ายสินค้าโดยผู้สูงอายุในชุมชนที่เป็นเครือข่ายในสังกัด กรมกิจการผู้สูงอายุ 77 จังหวัด 3.2 บริการสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อรวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวและที่พักสำหรับผู้สูงอายุทั้ง 77 จังหวัด 3.3 บริการให้กู้ยืมเงินทุนประกอบอาชีพ เป็นระบบให้กู้ยืมเงินทุนออนไลน์สำหรับรายบุคคล วงเงินไม่เกิน 30,000 บาท และรายกลุ่ม วงเงินไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีเงินทุนในการประกอบอาชีพและมีรายได้ ให้กับตนเองหรือกลุ่มทางสังคม 3.4 บริการให้เงินสนับสนุนโครงการกองทุนผู้สูงอายุ เป็นระบบให้เงินสนับสนุนโครงการ 10 ประเภทโครงการที่ สามารถขอรับการสนับสนุนจากกองทุนผู้สูงอายุได้ ทั้งองค์กรเอกชน องค์การด้านผู้สูงอายุ ชมรมผู้สูงอายุและหน่วยงาน ภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมหรือโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุในชุมชน 3.5 บริการธนาคารเวลา (Time Bank) เป็นระบบบริการฝากถอนเวลาสำหรับจิตอาสา สำหรับบุคคลทั่วไป ไม่จำกัดอายุ เพื่อเป็นการส่งเสริมการทำความดีให้กับบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือ ระยะเวลาในการให้ความช่วยเหลือ บุคคลอื่นจะถูกนำมาสะสมและเก็บไว้ในธนาคารเวลา และเมื่อวันหนึ่ง หากบุคคลชราภาพที่มีเวลาสะสมอยู่ในธนาคารเวลา สามารถถอนออกมาเพื่อให้มีผู้ช่วยเหลือในด้านต่างๆ ที่ตนเองต้องการได้ อีกทั้งในยามชราภาพ ผู้สูงอายุมักต้องการได้รับ กำลังใจและความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง เพื่อการเป็นผู้สูงอายุที่มีความสุขได้ 3.6 บริการหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้นออนไลน์ สำหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจสามารถเข้าร่วมการอบรมได้ ด้วยตนเอง จำนวน 18 ชั่วโมง เพื่อให้สามารถนำองค์ความรู้ไปต่อยอดในการให้ความช่วยเหลือหรือดูแลผู้สูงอายุได้ 3.7 บริการยื่นขอรับสิทธิหรือสวัสดิการของกรมกิจการผู้สูงอายุ เช่น ขอรับเงินสงเคราะห์ออนไลน์ ได้แก่ การสงเคราะห์ผู้สูงอายุในภาวะยากลำบาก การสงเคราะห์ในการจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี การปรับสภาพแวดล้อมและ สิ่งอำนวยความสะดวกในการซ่อมแซมบ้าน เป็นต้น จากการให้บริการดังกล่าวข้างต้น ก่อนที่จะมีแอปพลิเคชัน Goal by dop การขอรับบริการดังกล่าว ภายใต้ นโยบายของกรมกิจการผู้สูงอายุ จำเป็นจะต้องเข้ามาที่กรมกิจการผู้สูงอายุ กรุงเทพมหานคร หรือสำนักงานพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ในกรณีที่เป็นผู้สูงอายุไม่สามารถเดินทางได้ด้วยตนเอง อาจเกิดความลำบากและเสียค่าใช้จ่ายใน การเดินทางได้ แต่การเปิดใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าว จะช่วยลดการเข้ามาติดต่อการขอรับบริการในพื้นที่หน่วยงาน ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และประหยัดเวลาอีกด้วย อีกทั้งหน่วยงานระดับภูมิภาคจะลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาด ของไวรัสโคโรนา-2019 และเชื้อโรคอื่นๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุได้ ดังนั้น การให้บริการโดยแอปพลิเคชัน Goal by dop ในกรณีที่เป็นเพื่อนบ้านหรือผู้พบเห็น สามารถให้ความช่วยเหลือและให้ข้อมูลสิทธิหรือสวัสดิการเบื้องต้นให้กับผู้สูงอายุที่ ประสบปัญหาที่ต้องการความช่วยเหลือได้ 4) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม หรือเรียกโดยทั่วไปว่า สายด่วน 1300 ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2556 ซึ่งมีการกระจายอยู่ใน ระดับภูมิภาคดำเนินการโดยบ้านพักเด็กและครอบครัวทั้ง 77 แห่ง ต่อมาในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2557 ได้มีการเปิดใช้บริการอย่าง เต็มรูปแบบ หลังจากนั้นได้มีการพัฒนาและปรับปรุงการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2559 ได้มีการยกระดับการให้บริการ จากเดิม 4 ประเด็นปัญหาสังคมเป็น 10 ประเด็น ปัญหาหลักของสังคม ได้แก่


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 105 1) ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 2) การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น 3) ปัญหาการค้ามนุษย์ 4) ปัญหาผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหายาเสพติด 5) ปัญหาคนเร่ร่อน ไร้ที่พึ่ง 6) ปัญหาบุคคลขอทาน 7) ปัญหาเด็กและเยาวชน 8) ปัญหาบุคคลสูญหาย 9) ปัญหาผู้สูงอายุ 10) ปัญหาคนพิการ ต่อมาได้รับการยกเว้นค่าบริการสำหรับการใช้บริการเลขหมายโทรศัพท์แบบสั้น 4 หลัก ในปี พ.ศ. 2560 เปิดให้บริการครอบคลุมผู้ประสบปัญหาทางสังคมคนไทยในต่างประเทศ และมีการขยายคู่สายเพิ่มเป็น 60 คู่สาย เพื่อรองรับ การใช้บริการในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา-2019 รวมถึงมีการพัฒนาระบบรับแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย แจ้งปัญหาสังคม และขอรับบริการ พม. (e-service) เพื่อเพิ่มช่องทางการให้บริการประชาชน โดยเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2564 เป็นต้นมา (ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300, 2565) ขั้นตอนการให้บริการประชาชนของศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 เริ่มตั้งแต่ การรับฟังปัญหา ให้คำปรึกษาแนะนำ สอบข้อเท็จจริง และคัดกรองปัญหา หลังจากนั้น 5-15 นาที จะดำเนินการส่งต่อให้กับนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อพิจารณา แนวทางการช่วยเหลือ หากเป็นกรณีฉุกเฉินหรือวิกฤต จะประสานไปยังหน่วยเคลื่อนที่เร็ว (One Home) เพื่อดำเนินการให้ การสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพในทันที และในกรณีการให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิและสวัสดิการ จะดำเนินการ ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากได้รับการแจ้งเหตุ โดยขั้นตอนของศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 ดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับกระบวนการทางสังคมสงเคราะห์ แต่ถูกย่นระยะเวลาเหลือเพียง 15 นาทีในการประเมินสภาพ ปัญหาและความต้องการในเบื้องต้น ผ่านการแสวงหาข้อเท็จจริงและคัดกรองปัญหาผ่านทางโทรศัพท์ ซึ่งเป็นหัวใจหลักสำคัญ ในการให้บริการช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านสายด่วนการให้ความช่วยเหลือ 5) บัตรประชาชนแบบบัตรสมาร์ต (Smart card) โดยกระทรวงมหาดไทย ในส่วนของภาครัฐมีนโยบายผลักดันในการใช้บัตรสมาร์ต (Smart card) เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่การติดต่อราชการ ของประชาชน โดยมีแนวคิดในการใช้บัตรประชาชนใบเดียวในการติดต่อภาครัฐในส่วนต่างๆ มิจำเป็นต้องเซ็นสำเนาถูกต้อง เพื่อเป็นการเพิ่มความสะดวกสบาย ลดค่าใช้จ่ายในการถ่ายเอกสาร และเพิ่มความแม่นยำในการดำเนินงาน โดยมีหลักการ “Linking center” คือ แนวทางการบูรณาการฐานข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ โดยรัฐบาลได้มอบหมายให้กรม การปกครองเป็นหน่วยงานกลางในการเชื่อมฐานข้อมูลประชาชนกับส่วนราชการจำนวน 167 หน่วยงาน และสามารถจัดทำ ฐานข้อมูลประชาชนของตนเองตามอำนาจหน้าที่โดยใช้เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักเป็นดัชนีในการเก็บ (กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, 2563) เช่น ข้อมูลในด้านการศึกษา ข้อมูลลับทางราชการต่างๆ ที่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือเดินทาง และข้อมูลการรักษาพยาบาล เป็นต้น ซึ่งหากมองในแง่ของการใช้งานจริง ยังถือว่ามีการใช้บัตร สมาร์ต (Smart card) ค่อนข้างน้อย ยังมีการใช้เอกสารถ่ายสำเนาพร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องเป็นจำนวนมาก ซึ่งถือว่าเป็น ข้อท้าทายสำหรับรัฐบาลว่ามีนโยบายหรือมีแนวทางอย่างไรในการสนับสนุนและเผยแพร่ข้อมูลแก่ประชาชนในการใช้งานใน ส่วนนี้ ดังนั้นคณะผู้ศึกษาจึงเล็งเห็นว่ากรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ควรที่จะมีการปฏิบัติงานที่เป็นแนวทางอย่าง ชัดเจนให้มากขึ้น มีการวางระบบให้การทำงานของภาครัฐให้เสมอภาคและหลักการเดียวกันในทุกหน่วยงานของภาครัฐ เพื่อเป็นการลดภาระให้แก่ประชาชน เนื่องจากปัจจุบันนี้ แม้ว่านายกรัฐมนตรีจักให้มีนโยบายนี้มาได้ประมาณ 2 ปี แต่ผู้เขียน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 106 มองว่าในแง่ของการปฏิบัติจริงยังไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ในหลายพื้นที่ อันเป็นผลมาจากระบบการทำงานและมาตรฐานของภาครัฐ ที่ยังไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ ในการกระทำการใดหรือริเริ่มนโยบายใด ภาครัฐต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน เป็นหลัก นอกจากนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบ อาจมีส่วนร่วมในการพัฒนานโยบายร่วมกับสหวิชาชีพอื่น เพื่อให้ได้นโยบาย ที่เหมาะสมในการกำหนดทิศทางและขอบเขตของการทำงานให้ชัดเจน พร้อมทั้งมีการสื่อสารกับประชาชนให้ได้รับทราบ อย่างเข้าใจ นอกเหนือจากบัตรประชาชนแบบบัตรสมาร์ต (Smart card)แล้ว ยังมีแอปพลิเคชัน BMAQ ที่ช่วยในการลดระยะเวลา ในการติดต่อราชการของสำนักงานเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยประชาชนสามารถกดเข้ามาเพื่อจองคิว และมาตามคิว ที่จองไว้ได้ ลดการสัมผัสเสี่ยง ย่นระยะเวลาในการเข้ารับบริการ จัดระบบคิวให้มีความรวดเร็วได้ และอำนวยความสะดวกให้ ประชาชนสามารถวางแผนก่อนการเข้ารับบริการได้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่มีความสะดวกรวดเร็วเป็นอย่างมาก ข้อท้าทายที่เกิดขึ้นจากการที่นำเทคโนโลยีสารสนเทศในการเป็นผู้ดูแลสังคม เมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 ทางภาครัฐได้จัดบริการการดูแลทางสังคม เพื่อให้ กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงการช่วยเหลือการคุ้มครองทางสังคมได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการป้องกันความเสี่ยง และการลดอัตราการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส อาทิ ระบบสารสนเทศเพื่อการคุ้มครองเด็ก (Children protection information systems) ที่มีภารกิจหลักสำคัญในการให้การคุ้มครองทางสังคมในการปกป้อง คุ้มครอง และพิทักษ์สิทธิ สวัสดิภาพของเด็ก พร้อมทั้งมีเทคโนโลยีสารสนเทศอีกมากมายที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดบริการให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด แต่ยังคงพบช่องโหว่และข้อท้าทายที่เทคโนโลยีเข้ามา ทำให้พฤติกรรมของมนุษย์นั้นเกิด การเปลี่ยนแปลง โดยพบข้อค้นพบที่เป็นข้อท้าทายที่เกิดจากการที่เทคโนโลยีเข้าช่วยดูแลสังคม 3 ประเด็นดังต่อไปนี้ ในบริบท ของประเทศไทยที่มีความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่สูงขึ้น ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวยนำมาสู่การสร้างชนชั้นและให้ อภิสิทธิ์ต่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่มากจนนำมาสู่ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ผู้คนภายในสังคมเริ่มนับถือและให้คุณค่าของ ความเป็นมนุษย์ผ่านทรัพย์สินและเงินทองอันเนื่องมาจากระบบทุนนิยมที่กัดกินสังคมไทยมาอย่างช้านาน เมื่อรัฐบาลได้ จัดบริการทางสังคมผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้เกิดข้อท้าทายในการเข้าถึงตัวสวัสดิการในการดูแลประชาชนที่เป็น การจัดบริการทางสังคมด้านการคุ้มครองทางสังคมท่ามกลางสถานการณ์การระบาด เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงและสามารถ มีโทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่ในการเข้าถึงข่าวสาร แจ้งเหตุ ร้องขอความช่วยเหลือ หรือรับสวัสดิการเยียวยาและช่วยเหลือผ่าน ช่องทางออนไลน์ที่ทางรัฐจัดบริการให้มีสวัสดิการและการคุ้มครองทางสังคมในรูปแบบของเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้มี ประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากในสถานการณ์ระบาดที่ผ่านมานั้นไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการและไม่ได้รับสวัสดิการ การคุ้มครองทางสังคมที่เป็นสิทธิของตนที่ควรจะได้รับจากรัฐ อาทิ ผู้สูงอายุที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องของเทคโนโลยี ครอบครัว หรือบุคคลที่อยู่ท่ามกลางภาวะยากจน และผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เป็นต้น จึงเป็นข้อท้าทายเพราะกลุ่มเป้าหมายที่มี ความจำเป็นที่ต้องได้รับสวัสดิการในการเยียวยาและบรรเทาทุกข์นั้นกลับไม่สามารถเข้าถึงการคุ้มครองทางสังคมในรูปแบบ เทคโนโลยีที่รัฐต้องการจัดบริการเพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วต่อการเข้าถึง ประเด็นที่สองการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence) การใช้เทคโนโลยีในการทำงานเพื่อเป็นส่วนใน การสร้างความคุ้มครองทางสังคมและการดูแลทางสังคมเทียบเท่ากับมนุษย์ เนื่องจากเทคโนโลยีนั้นถูกพัฒนาโดยมนุษย์ที่ทำให้ มีศักยภาพในการตอบสนองความต้องการของมนุษย์ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเทคโนโลยีก็ไม่ใช่มนุษย์จึงมีความท้าทายในการนำ เทคโนโลยีมาทำงานร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งอาจจะไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด และครอบคลุม เพราะมนุษย์นั้นมีความซับซ้อนและมีความหลากหลายที่เป็นปัจเจก การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจัดบริการทางสังคมจึงไม่สามารถสร้างการเติมเต็มและการตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 107 ประเด็นที่สาม เมื่อมีการนำเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการจัดบริการการดูแลทางสังคม ทำให้มนุษย์นั้นสามารถ เข้าถึงรัฐและร้องขอความดูแลจากรัฐได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แต่หากนานเกินไปมนุษย์จะเกิดความมั่นคงจนเกินไปจากการที่ การคุ้มครองทางสังคมในรูปแบบสวัสดิการที่รัฐจัดให้นั้นสามารถเข้าถึงได้ง่าย โดยเป็นการคุ้มครองทางสังคมในรูปแบบทางตรง อันหมายถึง ไม่ว่าท่านจะที่อยู่ที่ใดก็สามารถใช้สวัสดิการทางสังคมเหล่านี้ได้ หากมองเป็นดาบสองคมที่เป็นข้อท้าทายจาก ปรากฏการณ์นี้ที่เกิดขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีรูปแบบการจัดบริการและการคุ้มครองทางสังคมนี้ อาจนำมาสู่การที่ทำให้ มนุษย์เข้าสู่ภาวะเลื่อนลอยและภาวะพึ่งพิงเทคโนโลยีที่มากจนเกินไป ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อชีวิตของมนุษย์ สังคม วัฒนธรรม รวมไปถึงสถาบันเศรษฐกิจ อาทิ การที่มนุษย์มีภาวะเลื่อนลอยและพึ่งพิงจากการที่รัฐมีการจัดการบริการทางสังคมและ การคุ้มครองทางสังคมที่เข้มแข็ง ทำให้มนุษย์รู้สึกปลอดภัย เกิดความไว้วางใจต่อรัฐ หากมองในทางเศรษฐกิจถือได้ว่าเป็น การเปลี่ยนผ่านทางสังคมที่มีเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่ มนุษย์หันไปพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้บทบาททางสังคมมี ความเปลี่ยนแปลงไป บางอาชีพถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี บางกิจกรรมทางสังคมถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อระดับบุคคลและระดับมหภาคทางโครงสร้างทางสังคมในอนาคต แนวทางการดูแลทางสังคมที่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในทุกมิติ สถานการณ์ทางสังคมไทยในปัจจุบัน เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ในอัตราร้อยละ 20 ของจำนวนประชากร ทั้งหมด และกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-aged Society) ภายในปี พ.ศ. 2576 ในอัตราร้อยละ 28 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งมีทิศทางตรงกันข้ามกับอัตราการเกิดใหม่ของประชากรไทยที่มีคุณภาพในการเลี้ยงดูบุตรได้ อย่างเหมาะสม ซึ่งสวนทางกับสถิติของจำนวนการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่นอีกระดับหนึ่ง ทำให้สังคมไทยค่อนข้างมีปัญหาใน การควบคุมประชากรพอสมควร อีกทั้งผู้ประสบปัญหาทางสังคมเดิมที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างถูกต้อง ตรงจุด และ เพียงพอต่อความต้องการ สวนทางกับการให้ความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่อาจมีการขับเคลื่อนและพัฒนา ล่าช้าอยู่บ้าง อีกทั้งข้อท้าทายที่สำคัญของการให้บริการโดยกรมต่างๆ ภายใต้สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ หรือบริการอื่นของสังกัดกระทรวงอื่น ไม่ถูกควบรวมอยู่ในจุดเดียวกัน มีการให้บริการกระจัดกระจายออกไปตาม ลักษณะขอบเขตของกลุ่มเป้าหมายตนเอง ดังนั้น รัฐบาลในฐานะการเป็นส่วนกลางของการบริหารจัดการทรัพยากรของ ประเทศ ควรส่งเสริมหรือขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแนวทางการดูแลทางสังคมที่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในทุกมิติ ดังนี้ 1. การส่งเสริมศูนย์กลางในการให้บริการของทุกกรม กระทรวง หรือหน่วยงานในการสัมผัสเดียว หรือ One Stop Touch เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการให้บริการอย่างทั่วถึง ลดการกระจัดกระจายของการให้บริการโดยหน่วยงานภาครัฐและ เอกชน แต่ยังสามารถสนับสนุนการให้บริการดังกล่าวได้ ผ่านจุดเชื่อมต่อ หรือควบรวมทุกบริการไว้ในแอปพลิเคชันเดียว ร่วมกันออกแบบให้ใช้ง่ายสะดวก และมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เพราะหากรัฐไทยสามารถทำได้ การให้ ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายทางสังคมจะกลายเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างเป็นระบบ 2. การทำงานแบบทีมสหวิชาชีพ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการร่วมมือและการวางแผนระหว่างสาขาวิชาชีพ ส่งผลให้ การปฏิบัติงานเกิดความลื่นไหลและสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ใช้บริการ กลุ่มเปราะบางทางสังคม หรือผู้ประสบปัญหาทาง สังคมได้อย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ 3. การเข้ารับบริการของหน่วยงานราชการ ควรให้หน่วยงานส่วนภูมิภาคขับเคลื่อนการพัฒนาระบบแอปพลิเคชันให้ ตอบสนองความต้องการของประชาชนในด้านการอำนวยความสะดวกในการให้บริการ เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชัน BMAQ เหมือนเขตกรุงเทพมหานคร ที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ลดสัมผัสเสี่ยง และช่วยให้ประชาชนสามารถวางแผนก่อน การเข้ารับบริการของหน่วยงานราชการได้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 108 4. การส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ให้เข้าไปอยู่ในหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติงานเชิงรุก อาทิอาชีพตำรวจ ควรมีการส่งเสริมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจมีใบประกอบวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ ไม่ได้หมายความว่าตำรวจทุกนายสามารถ เป็นนักสังคมสงเคราะห์ได้ แต่สามารถปฏิบัติงานที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ทางสังคมสงเคราะห์เพื่อการปฏิบัติงานใน สถานการณ์ฉุกเฉินหรือวิกฤตได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานในทุกระดับเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5. การขับเคลื่อนการดูแลทางสังคมในระดับชุมชนผ่านภาคีเครือข่าย เช่น สนับสนุนงบประมาณในการช่วยเหลือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) อาสาสมัครพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เชี่ยวชาญด้านคนพิการ (อพมก.) เป็นต้น เนื่องเพราะอาสาสมัครเหล่านี้มีการดำเนินงาน อย่างต่อเนื่องในชุมชน ซึ่งเป็นทุนทางสังคมที่รัฐบาลมีอยู่ แต่ขาดการสนับสนุนด้านงบประมาณ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญใน การดำรงชีพ หากมีการเพิ่มงบประมาณสนับสนุนจะสามารถทำให้เครือข่ายที่ปฏิบัติงานในระดับชุมชนเกิดกำลังใจ และสามารถ พัฒนาการให้ความช่วยเหลือ หรือรูปแบบการดูแลทางสังคมในชุมชนได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การประกาศใช้พระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 เป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญ ของภาครัฐในการสนับสนุนหรือพัฒนารูปแบบการให้บริการประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์ โดยการให้บริการทางออนไลน์นั้น จำเป็นจะต้องมีความสะดวก รวดเร็ว และง่ายต่อการใช้งาน อาจต้องมีการประชุมหารือ หรือการเปิดเวทีประชาคมของแต่ละ หน่วยงาน เพื่อรับฟังปัญหา และข้อเสนอแนะโดยตรงของประชาชน เพื่อนำมาปรับใช้ในการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ และ ปรับปรุงประสิทธิภาพในการให้บริการต่อไป บทสรุป การดูแลทางสังคมมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดูแลเพื่อนมนุษย์ในยามจำเป็นและฉุกเฉิน แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ ทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับการเข้าสู่ยุควิถีใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ทุกหน่วยงานรวมถึงบุคคลจำเป็นจะต้องปรับตัว ตามสถานการณ์ทางสังคมและบริบทแวดล้อม โดยจุดสำคัญของยุควิถีใหม่คือการลดสัมผัสและการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ สูงสุด จึงทำให้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลทางสังคม โดยในด้านของข้อมูลมหัต (Big data) และการเรียนรู้ของอัลกอริทึม (Machine learning) หากใช้ให้เป็นประโยชน์จะสามารถลดภาระของผู้ปฏิบัติงานเชิงรุก เน้นการปฏิบัติงานแบบทีมสหวิชาชีพภายใต้ฐานข้อมูลการให้ความช่วยเหลือเดียวกันได้ ซึ่งมีข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่ายและ การแสวงหาผลประโยชน์จากข้อมูล แต่ถึงอย่างนั้นกรมต่างๆ ภายใต้สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ พัฒนาระบบและแอปพลิเคชันเพื่อตอบสนองในการให้ความช่วยเหลือระดับเบื้องต้นต่อผู้ใช้บริการ กลุ่มเปราะบางทางสังคม และผู้ประสบปัญหาทางสังคมได้ เช่น ระบบสารสนเทศเพื่อการคุ้มครองเด็ก (CPIS) ที่มีส่วนอย่างมากในการช่วยเหลือเด็กและ เยาวชนที่ประสบปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ แอปพลิเคชัน PROTECT-U ในการแจ้งเหตุสำหรับกรณีการพบเห็นเบาะแส การค้ามนุษย์ แอปพลิเคชัน Goal by dop ที่ให้บริการต่อผู้สูงอายุ และศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 การแจ้งเหตุด่วน ฉุกเฉินที่มีหน่วยเคลื่อนที่เร็ว (One home) ในการลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือกรณีวิกฤติ จากการพัฒนาระบบและแอปพลิเคชัน ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังกล่าว จะเห็นได้ว่า หน่วยงานภาครัฐมีการปรับตัวและเท่าทันต่อเทคโนโลยี เพื่อมุ่งเน้นการให้ ความช่วยเหลือและให้บริการตามกลุ่มเป้าหมายของตนเอง โดยแนวทางที่จะสามารถดูแลกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มทางสังคมให้ ครอบคลุมทุกมิตินั้น รัฐบาลอาจต้องให้การสนับสนุน One Stop Touch โดยอาจเป็นแอปพลิเคชันหรือการเชื่อมโยงบริการที่ รวมไว้ที่เดียว เพื่อให้ประชาชนสามารถทำการแจ้งเหตุ ติดตามการให้ความช่วยเหลือ หรือเรียนรู้สิทธิและสวัสดิการอื่นๆ ของ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน อีกทั้งต้องมีรูปแบบการใช้งานที่ง่าย สะดวก และรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความเป็นพลวัตของ สังคมที่มีการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านอย่างไม่หยุดนิ่ง อีกทั้งการสนับสนุนเครือข่ายในชุมชน อาทิ อาสาสมัครสาธารณสุข ประจำหมู่บ้าน (อสม.) ซึ่งมีการขับเคลื่อนงานภายในชุมชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการดำเนินงานของภาครัฐและการปรับตัวของ ประชาชน สามารถอภิปรายให้เชื่อมโยงกับทฤษฎีหุบเหวการดับของนวัตกรรม กล่าวคือ การดำเนินงานของภาครัฐ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 109 จะเป็นการสร้างการยอมรับของประชาชนผ่านการออกแบบและพัฒนาการให้บริการ หากประชาชนยอมรับก็จะทำให้บริการ หรือแอปพลิเคชันนั้นสามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่หากไม่ได้รับการยอมรับก็จำเป็นจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไข ซึ่งการบังคับ ใช้พระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 เป็นปัจจัยสำคัญในการเร่งให้หน่วยงานภาครัฐต้องพัฒนา รูปแบบการให้บริการประชาชนผ่านช่องทางออนไลน์ อันเป็นการพยายามประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการให้บริการ ดูแลทางสังคมต่อประชาชนของภาครัฐที่มองเห็นภาพได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่ดีและอาจเป็นจุดต่อยอด ของอีกหลากหลายโครงการที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งต้องอาศัยทุกภาคส่วนในการให้ความร่วมมือ พัฒนา และขับเคลื่อน สังคมไทย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตทุกกลุ่มเป้าหมายผ่านกรอบแนวคิดและขอบเขตการให้บริการของตนเอง เนื่องเพราะงาน สังคมสงเคราะห์ไม่สามารถดำเนินงานเพียงลำพังได้ แต่ต้องได้รับการวางแผนที่รอบคอบ การปฏิบัติงานที่รัดกุม อันนำไปสู่ ผลลัพธ์ของการให้ความช่วยเหลือสังคม บรรเทาสภาพปัญหา และสร้างสังคมไทยที่น่าอยู่ได้อย่างยั่งยืน เอกสารอ้างอิง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย. (2563). ใช้บัตรประจำตัวประชาชนใบเดียวติดต่อราชการไม่ต้องสำเนา. สืบค้นจาก https://www.dopa.go.th/activity/view463 ณัฐวรรณ พละวุฑิโฒทัย. (2565). โรคประจำถิ่นและการแพร่ระบาด ของโควิดสายพันธุ์โอมิครอน.สืบค้นจาก https://www.sukumvithospital.com/content.php?id=3761 พจนานุกรม ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. (ม.ป.ป.). สารสนเทศ. สืบค้นจาก https://dictionary.orst.go.th/ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. (2564). ธรรมศาสตร์ จับมือ สสส.ชูนวัตกรรม "โซเชียลเทเลเมดิซีน"ติดอาวุธนักสังคมสงเคราะห์รับมือ โควิด-19. สืบค้นจาก https://tu.ac.th/thammasat-130764-socadmin-thaihealth-social-telemedicine ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300. (ม.ป.ป.). ประวัติความเป็นมาและการดำเนินงาน. สืบค้นจาก https://1300thailand.m-society.go.th/page/3 ศูนย์บัญชาการป้องกันการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน. (ม.ป.ป.). ปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์. สืบค้นจาก http://ccpl3.mol.go.th/ewt_news.php?nid=24 BBC NEWS ไทย. (2565). ค้ามนุษย์:TIP Report 2022 ยกระดับไทย นายกฯ บอก "ปกป้องคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์". สืบค้นจาก https://www.bbc.com/thai/thailand-62234093 Moore, G. A. (1991). Crossing the chasm: Marketing and selling high-tech priducts to mainstream customers. New York: HarperCollins. Peachii. (2022). You can't choose your vaccine in UK!. Retrieved from https://youtu.be/1rnOxt_e3hg


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 110 การพัฒนานโยบายสังคมโดยใช้สวัสดิการเน้นการคุ้มครองในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการลุ่มน้ำสะแกกรัง The Development of Social Policy usingProtective Welfare in EIA Sa Kae Krang Project นพดล ครุฑทอง1 Noppadol Kruttong, Ph.D.2 Abstract The purpose of this article is to introduce the idea of Social Policy development utilizing Protective Welfare in addition to the Environmental Impact Assessment (EIA) for the Sakae Krang Basin Development project, Uthai thani province. Currently, farmers are encouraged to plant the crops that are advised by the agricultural authorities. The government encourages the market to promote agricultural products. This is the Neo-Liberalism idea of using market mechanisms as Productive Welfare. However, if the government includes a mitigation plans for the well-being of individuals in the Environmental Impact Assessment, it will be referred to as Protective Welfare. The government will secure the people's opportunities and income. This makes it possible for people to engage in the labor market more efficiently and Redistribution, which is essential to Social Democracy Welfare to reduce social inequality. Keywords: Social Policy, Environmental Impact Assessment, and Protective Welfare บทคัดย่อ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวคิดการพัฒนานโยบายสังคม (Social Policy) โดยใช้สวัสดิการที่เน้น การคุ้มครอง (Protective Welfare) เพิ่มเติมไว้ในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) ของการพัฒนาลุ่มน้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี ซึ่งในปัจจุบันมีการส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกพืชที่ หน่วยงานทางการเกษตรแนะนำ โดยมีการสนับสนุนตลาดให้รองรับ อันเป็นการใช้กลไกตลาดเป็นแนวทางนำไปสู่สวัสดิการที่ เน้นผลิตภาพ (Productive Welfare) ซึ่งโน้มเอียงไปทางแนวคิดเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ (Neo-Liberalism) อย่างไรก็ตาม หากภาครัฐนำแนวคิดสวัสดิการที่เน้นการคุ้มครองมาใช้ร่วมกับมาตรการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนในการประเมินผล กระทบสิ่งแวดล้อม ประชาชนจะมีรายได้และโอกาสที่ได้รับการคุ้มครองจากภาครัฐ ซึ่งทำให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมใน ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และนำมาสู่การกระจายซ้ำ (Redistribution) อันเป็นหน้าที่สำคัญของสวัสดิการ แบบสังคมประชาธิปไตย (Social Democracy Welfare) เพื่อการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม คำสำคัญ: นโยบายสังคม, การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม, สวัสดิการที่เน้นการคุ้มครอง บทนำ ปัจจุบันภาครัฐได้ใช้นโยบายสังคมเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำผ่านยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) โดยมี กลไกประชารัฐในการขับเคลื่อน (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2561) ซึ่งมีการมุ่งเน้นการแก้ปัญหาช่วยเหลือ ผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านนโยบายเสริมสร้างโอกาสทาง การศึกษา การเข้าถึงการรักษาพยาบาล และการสร้างงานให้แก่ประชาชน การส่งเสริมเกษตรกรและสนันสนุนตลาดรองรับพืช 1 ผู้ชำนาญการสิ่งแวดล้อม, บริษัท ธารา คอนซัลแตนท์จำกัด, ประเทศไทย, Email: [email protected] 2 Environmental Expert, Dhara Consultants CO.LTD, Thailand. Corresponding author E-mail:


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 111 ที่หน่วยงานการเกษตรแนะนำให้ปลูกในมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการ ลุ่มน้ำสะแกกรัง ก็เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้เขียนเป็น ผู้มีส่วนร่วมในการจัดทำรายงานดังกล่าว ดังนั้นกลไกการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมจะสามารถใช้เป็นเครื่องมือใน การส่งเสริมและการสนับสนุนนโยบายสังคมเพื่อประโยชน์ต่อคุณภาพชีวิตของชุมชนและเกษตรกรอันเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ ของคนในสังคม แต่อย่างไรก็ตาม กลไกดังกล่าวเป็นแนวคิดสวัสดิการที่เน้นผลิตภาพ (Productive Welfare) มากกว่าแนวคิด สวัสดิการที่เน้นการคุ้มครอง (Productive Welfare) กล่าวคือ สวัสดิการที่เน้นผลิตภาพเป็นการให้สวัสดิการที่มุ่งให้ประชาชน เข้าสู่ตลาดแรงงานและมีรายได้ แต่สวัสดิการที่เน้นการคุ้มครองเป็นการให้สวัสดิการที่มุ่งเน้นสิทธิ รวมทั้งการกินดี อยู่ดี มีสุข อันเป็นความหมายสวัสดิการในภาพกว้างของปรัชญาสังคมประชาธิปไตย (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2565) ซึ่งหากทั้งสอง แนวคิดนี้สามารถสนับสนุนซึ่งกันและกัน และถูกนำมาใช้ในงานด้านสิ่งแวดล้อม จะทำให้ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมใน พื้นที่โครงการลุ่มน้ำสะแกกรัง แนวคิดนโยบายสังคมควบคู่กับนโยบายสิ่งแวดล้อม การประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ ครั้งที่ 26 (The 26th UN Climate Change Conference of the Parties: COP26 ) ในเดือนตุลาคม ถึง พฤศจิกายน พ.ศ.2564 ณ เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ในเครือสหราชอาณาจักรเป็นการแสดงผลงานวิจัยที่ค้นพบว่าอุณหภูมิโลกได้เพิ่มมากขึ้น และหากสูงขึ้น อีก 1.5 หรือ 2.0 องศาเซลเซียส จะเป็นอันตรายต่อมนุษยชาติและสิ่งมีชีวิตในโลก ดังนั้น การใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาด และการปรับพฤติกรรมมนุษย์จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะ เกิดขึ้น (กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม, 2564) จะเห็นได้ว่า การจัดการปัญหาทางสิ่งแวดล้อมต้องควบคู่ไปกับการจัดการ ปัญหาทางสังคม สอดคล้องกับนโยบายของธนาคารโลก ที่ต้องการให้มีการประสานระหว่างการจัดการทางสิ่งแวดล้อมและการจัดการ ทางสังคม โดยได้เสนอกรอบแนวคิดทางสิ่งแวดล้อมและสังคม (The World Bank Environmental and Social Framework) อันเป็นข้อตกลงที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาเพื่อเป็นเอกสารประกอบการอุดหนุนเงินเพื่อการพัฒนา โครงการในแต่ละประเทศ ที่มีจุดมุ่งหมายในการลดความยากจนและสนับสนุนการแบ่งปันความสำเร็จของโครงการให้กับ ชุมชน (THE WORLD BANK, 2017).นอกจากนี้การทบทวนเอกสารเรื่อง “นโยบายสิ่งแวดล้อมคือนโยบายสังคม-นโยบาย สังคมคือนโยบายสิ่งแวดล้อม” หรือ Environmental Policy is Social Policy - Social Policy is Environmental Policy ที่กล่าวถึงการพัฒนาที่ยั่งยืนต้องทำนโยบายสังคมและนโยบายสิ่งแวดล้อมให้เป็นหนึ่งเดียวและอยู่ในวงการเดียวกัน (Isidor Wallimann, 2013) และบทความเรื่อง การวางแผนเมืองยั่งยืน: ทำไมนโยบายสิ่งแวดล้อมต้องการนโยบายสังคม หรือ Planning Sustainable Cities: Why Environmental Policy Needs Social Policy ที่กล่าวถึง การที่ระบบนิเวศสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ไม่สามารถรวมกันได้ เนื่องจากเป้าหมายทางเศรษฐกิจมุ่งการเจริญเติบโต แต่ระบบนิเวศมีจำกัด จึงเป็น เหตุให้เกิดปัญหาโลกร้อน ดังนั้นประเทศต่างๆ ต้องหันมาใส่ใจในความสอดคล้องระหว่างนโยบายสังคม และนโยบาย สิ่งแวดล้อม (Matthias Drilling, 2013) จะเห็นได้ว่าแนวคิดในการพัฒนานโยบายสังคมควบคู่ไปกับนโยบายสิ่งแวดล้อมเป็นไป เพื่อให้มีความสอดคล้องของการพัฒนาประเทศเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ความเชื่อมโยงนโยบายสังคมและนโยบายสิ่งแวดล้อมของไทย นโยบายสังคมของรัฐบาลไทย มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งสอดคล้องกับ แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน โดยในปี พ.ศ.2561 รัฐบาลไทยได้ประกาศแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ ตามแนวทางของ BCG Economic Model (Community of Bio-economic Research Revolving Economy and Green Economy) ซึ่งประกอบด้วย 1) เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) ที่เน้นเรื่องการใช้ทรัพยากรที่นำมาผลิตในระบบ เศรษฐกิจชีวภาพต้องสามารถปลูกทดแทนหรือ นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Renewable) ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) ให้ความสำคัญกับการจัดการของเสียจากการผลิต


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 112 และบริโภค ด้วยการนำวัตถุดิบที่ผ่านการผลิตและบริโภคแล้วเข้าสู่กระบวนการผลิตใหม่ และ 3) เศรษฐกิจสีเขียว (Green economy) ที่เน้นการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล (ทัพไท หน่อสุวรรณ และคณะ, 2564) ในขณะที่นโยบายสิ่งแวดล้อมของไทย มีเป้าหมายในการจัดการสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โดยมี สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม มีภารกิจเกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย และแผนการส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม (กองวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อม, 2564) ซึ่งกลไกหนึ่งที่ใช้ในการจัดการสิ่งแวดล้อม คือ การพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของการพัฒนาโครงการที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนและคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยในปัจจุบันมาตรการลดผลกระทบ สิ่งแวดล้อมที่ถูกกำหนดขึ้น จะมีหน่วยงานจากกระทรวงต่างๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุข เข้ามาร่วมขับเคลื่อนระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อน ในกระบวนการดังกล่าว ยังสามารถเพิ่มเติมการพัฒนานโยบายสังคมโดยการเสริมสร้างสวัสดิการ และสร้างความเป็นธรรม ให้แก่ชุมชนอันเป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมทางสังคม หากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของ มนุษย์ ซึ่งมีบทบาทในการมุ่งเน้นการแก้ปัญหาลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เข้ามาร่วมขับเคลื่อนกลไกในการจัดการสิ่งแวดล้อม ดังกล่าวจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม อันเป็นการเชื่อมโยงนโยบาย สังคมและนโยบายสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน การจัดการสิ่งแวดล้อมและการจัดสวัสดิการในประเทศไทย ประเทศไทยในปัจจุบันนำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) มากำหนดในกฎหมายเพื่อกำหนดและควบคุมให้ มีการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาอนุญาตให้ดำเนินการดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งกำหนดให้ก่อนการดำเนินการโครงการใดๆ หรือรัฐจะอนุญาตให้ผู้ใดดำเนินการโครงการ ถ้าโครงการนั้นอาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสีย สำคัญอื่นใดของประชาชนหรือชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง รัฐต้องดำเนินการให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบ ต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน ผู้มีส่วนได้เสีย และความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาดำเนินการ หรืออนุญาตตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยพระราชบัญญัติ ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดนิยามการประเมินผลกระทบ สิ่งแวดล้อมไว้ในมาตรา 5 พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2561 มาตรา 5 ไว้ดังนี้ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หมายถึง กระบวนการศึกษาและประเมินผลที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ หรือกิจการหรือการดำเนินการใดของรัฐหรือที่รัฐจะอนุญาตให้มีการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียอื่นใดของประชาชน หรือชุมชน ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบดังกล่าว ผลการศึกษาเรียกว่า รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (กองวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม, 2564) การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งในเครื่องมือของภาครัฐ เพื่อจัดการสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย โดย การใช้รายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) มาประกอบการพิจารณาตัดสินใจดำเนินการโครงการ หรือกิจกรรม การพัฒนา ซึ่งในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมจะมีการกำหนดมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการ ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่โครงการ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดี ของชุมชน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 113 ในขณะเดียวกันกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตของ ประชาชน โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีบทบาทในการลดความเหลื่อมล้ำเกี่ยวกับสวัสดิการสังคม กล่าวคือ การสนับสนุนเกษตรกรยากจนให้เข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบเพื่อใช้ลงทุนการผลิตและดูแลสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น เกษตรกร ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบเพราะไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ จะให้เกษตรกรปลูกต้นไม้ตามเงื่อนไขของ โครงการ และใช้เป็นหลักประกันเงินกู้ได้ ซึ่งเป็นกรณีตัวอย่างที่ใช้จุดแข็งของกลุ่มเกษตรกรในการช่วยพวกเขาเอง ช่วยภาค เกษตรและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมไปในตัว (กมลทิพย์ แจ่มกระจ่าง, 2562) ดังนั้นหากการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม มีการกำหนดมาตรการสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการพัฒนาสวัสดิการที่เน้นการคุ้มครอง จะเป็นการสร้าง ความเชื่อมโยงการจัดการสิ่งแวดล้อม และการจัดสวัสดิการในประเทศไทย อันเป็นการส่งเสริมให้มีนวัตกรรมด้านสวัสดิการ สังคมและการพัฒนาสังคมในระดับท้องถิ่น ที่ตอบสนองต่อความต้องการจำเป็นของประชาชนและตอบสนองต่อการพึ่งตนเอง อย่างมั่นคงและอย่างยั่งยืน รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) กับมาตรการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและการสร้างงาน ประวัติการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สหรัฐอเมริกาเป็นจุดเริ่มต้นของระบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยรัฐสภาได้ออกกฎหมายว่าด้วยนโยบาย สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2512 หรือ The National Environmental Policy Act of 1969 (NEPA) เนื้อหาสำคัญของ กฎหมายฉบับนี้คือกำหนดให้มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมขึ้นอย่างเป็นทางการ แนวคิดเรื่องการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในประเทศสหรัฐอเมริกาได้แพร่หลายไปยังหลายประเทศ โดย ประเทศที่ได้รับอิทธิพลเหล่านั้นเริ่มออกกฎหมายเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรูปแบบของประเทศตนเอง ออกมา เช่น สหภาพยุโรป หรือ European Union (ขณะนั้นเป็นประชาคมยุโรปหรือ European Community) ได้ประกาศ นโยบายเรื่องดังกล่าวใน พ.ศ.2516 ประเทศออสเตรเลียในปีพ.ศ.2517 ประเทศไทยในปี พ.ศ.2518 ประเทศฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2519 เป็นต้น (ปวันรัตน์ คงวาณิช, 2558) ความหมายของการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ความหมายว่าการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นการศึกษาเพื่อคาดการณ์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมทั้งในทางบวกและทางลบ จากการพัฒนาโครงการหรือกิจการที่สำคัญเพื่อ กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และใช้ในการประกอบการตัดสินใจพัฒนาโครงการหรือกิจการ ผลการศึกษาจัดทำเป็นเอกสารเรียกว่ารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (กองวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม, 2564) หลักการระวังและป้องกัน ผลกระทบที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมบางอย่างมีความรุนแรงจนไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมได้ เช่น การสูญพันธุ์ ของพืชพันธุ์หรือสัตว์บางชนิด การกัดเซาะดิน หรือการทิ้งเทของเสียเป็นพิษลงในทะเล เป็นต้น และแม้ว่าความเสียหาย ดังกล่าวจะสามารถฟื้นฟูได้ แต่ส่วนใหญ่ต้องใช้เงินจำนวนมาก ทุกกิจกรรมล้วนก่อให้เกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อม การที่จะ ป้องกันมิให้ผลกระทบเกิดเลยจึงไม่สามารถทำได้ หลักการป้องกันมีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยมีหลักการว่าต้อง มีชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ที่ได้รับจากกิจกรรมนั้นๆ กับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้น เพื่อเป็นข้อพิจารณาว่า ควรที่จะทำกิจกรรมนั้นๆ หรือไม่ หรือหากเป็นกิจกรรมที่มีความจำเป็น ก็จะต้องดำเนินกิจกรรมโดยก่อให้เกิดผละกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมอย่างน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 114 การเกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมหนึ่งๆ อาจเกิดผลกระทบทั้งทรัพยากรน้ำ ดิน อากาศ ป่าไม้ สัตว์ป่า เป็นต้น จึงเป็นสิ่งที่ดีกว่าหากดำเนินการตามหลักการป้องกันโดยพิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพให้กฎหมายที่มีจุดประสงค์ใน การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เช่น การกำหนดกฎหมายที่เกี่ยวกับองค์กรที่มีอำนาจเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ก่อนการเริ่มดำเนินการ การสั่งอนุญาตดำเนินการ การแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการกำหนดค่ามาตรฐานต่างๆ เป็นต้น (ปวันรัตน์ คงวาณิช, 2558) การดำเนินการตามหลักการป้องกัน สามารถดำเนินการในรูปแบบการกำหนดโทษ หรือกำหนดค่าเสียหายที่สูง เพื่อ จูงใจให้ผู้ประกอบการเกิดความระมัดระวังในกิจกรรมมากขึ้นเพราะไม่ต้องการจ่ายค่าเสียหายจำนวนมากหากโครงการเกิด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย ปัญหาสิ่งแวดล้อมหลายกรณีที่เกิดขึ้นไม่สามารถระบุสาเหตุของผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ว่าเกิดขึ้นจากกิจกรรมหนึ่ง กิจกรรมใด และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ทำได้เพียงตั้งข้อสันนิษฐานเท่านั้นแต่ไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ ผลลัพธ์ที่ตามมา คือไม่สามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม กรณีปัญหาลักษณะนี้นำไปสู่แนวคิดที่ว่าการดำเนินกิจกรรม ใดแม้ไม่มีหลักฐานหรือบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมิได้หมายความว่ากิจกรรมนั้นๆ จะ ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมขึ้น และมิใช่ข้ออ้างที่จะสามารถดำเนินกิจกรรมนั้นโดยไม่มีการประเมินความเสี่ยงหรือ แนวทางการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมของประชาชน การมีส่วนร่วมของประชาชน (Public Participation) โดยทั่วไปการมีส่วนร่วมของประชาชนจะเกิดขึ้นเมื่อมี เหตุการณ์ที่มีผลกระทบหรือผลประโยชน์ส่วนรวม แนวคิดของการมีส่วนร่วมของประชาชน คือ ผู้ที่ได้รับผลจากกิจกรรมใดๆ ย่อมมีสิทธิที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการริเริ่มกิจกรรมนั้นๆ หลักการนี้ต้องการให้ผลของการมีส่วนร่วมเป็นตัวแปรใน การตัดสินใจริเริ่มกิจกรรมนั้น การใช้อำนาจในรูปแบบนี้ยังสอดคล้องกับหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย หลักการมีส่วน ร่วมของประชาชนถูกนำมาใช้ในด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยความที่ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน จึงมีการนำ การมีส่วนร่วมของประชาชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเพื่อร่วมวิเคราะห์เกี่ยวกับนโยบายทางสิ่งแวดล้อม การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในนโยบายสิ่งแวดล้อมมากขึ้นได้รับการตอบรับมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจาก ประชาชนเห็นว่าการมีส่วนร่วมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะปัญหาด้าน สิ่งแวดล้อมไม่ใช่ปัญหาที่รัฐบาลจะสามารถแก้ไขได้โดยปราศจากความร่วมมือของประชาชน การมีส่วนร่วมของประชาชนใน การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมจะทำให้ประชาชนรู้สึกมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และช่วยให้ประชาชนผู้เป็นทั้งต้นเหตุและผู้ที่จะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมตระหนักถึงบทบาทความรับผิดชอบของตนในด้าน สิ่งแวดล้อม นอกจากนี้การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้านสิ่งแวดล้อมควรถือเป็นสิทธิพื้นฐานในการปกป้องสิ่งแวดล้อมด้วย (United National, 2015) ประเทศไทยได้มีการยอมรับแนวคิดดังกล่าวเช่นกัน สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้นิยามการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมไว้ ดังนี้ การมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถึงกระบวนการซึ่งประชาชนหรือผู้มีส่วนได้เสียได้มีโอกาสแสดงทัศนะ แลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นเพื่อแสวงหา ทางเลือกและการตัดสินใจต่างๆ เกี่ยวกับโครงการที่เหมาะสม และเป็นที่ยอมรับร่วมกัน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงควรเข้าร่วมใน กระบวนการนี้ตั้งแต่แรก เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ การรับรู้ การเรียนรู้ และการปรับเปลี่ยนโครงการร่วมกัน ซึ่งจะเป็น ประโยชน์ต่อทุกฝ่าย (กองพัฒนาระบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม, 2563)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 115 แนวคิดสวัสดิการที่เน้นการคุ้มครองและสวัสดิการที่เน้นผลิตภาพ จากการทบทวนเอกสาร สวัสดิการที่เน้นผลิตภาพและสวัสดิการที่เน้นการคุ้มครองกับการลดความเหลื่อมล้ำ (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2562) พบว่า สวัสดิการที่เน้นผลิตภาพ (Productive Welfare) เหมือนเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะไป ใช้รูปแบบสวัสดิการที่เน้นการคุ้มครอง (Protective Welfare) ที่มีลักษณะเป็นการเน้นการจัดสวัสดิการที่เน้นสิทธิและลดการ เป็นสินค้า (decommodification) ทั้งนี้ สวัสดิการที่เน้นผลิตภาพเป็นการให้สวัสดิการที่มุ่งให้ประชาชนเข้าสู่ตลาดแรงงาน หรือมีรายได้ หรือมีผลิตภาพเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประชาชนไม่เป็นภาระด้านงบประมาณ อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านนโยบายสวัสดิการมองว่าในทุกประเทศล้วนมีทั้งสวัสดิการที่เน้นผลิตภาพและสวัสดิการที่เน้นการคุ้มครอง ทว่า สัดส่วนความสมดุลและการหน้าที่ของรูปแบบสวัสดิการทั้งสองยังต้องมีการศึกษาวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การหน้าที่ของ รูปแบบทั้งสองในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม รูปแบบสวัสดิการที่เน้นผลิตภาพ เป็นการจัดบริการสวัสดิการแบบผสม หมายถึงรัฐมีส่วนร่วมในการจัดบริการ น้อยลง และรวมเอาภาคตลาดเสรี บริษัทห้างร้านต่างๆ และครอบครัวเข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ ซึ่งเมื่อรัฐมีบทบาทน้อยลง การรวมศูนย์เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจก็เข้มข้นมากขึ้น การบริการสวัสดิการจะไม่เน้นการให้ความคุ้มครองแก่ประชาชน แบบถ้วนหน้า นั่นคือ โน้มเอียงไปทางแนวคิดเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ (Neo-liberalism) และการขยับห่างออกจากแนวคิด สวัสดิการแบบสังคมประชาธิปไตย (Social Democracy Welfare Regime) ซึ่งอาจจะห่างออกไปมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ นโยบายสังคมของแต่ละประเทศที่จะให้ความสำคัญกับสวัสดิการที่เน้นการคุ้มครอง (Protective Welfare) อย่างมีสมดุลกับ แบบผลิตภาพนิยม เพียงใด สวัสดิการแบบผลิตภาพนิยมจึงเป็นทั้งการลดภาระงบประมาณที่เป็นการช่วยเหลือแบบบรรเทาทุกข์ชั่วครั้งคราว ขณะเดียวกัน ก็มีคุณค่าเป็นการเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดแรงงานในกลไกการผลิตของประเทศ ได้เป็นอย่างดีเมื่อประชาชนมีงานทำ จึงมีความมั่นคงของชีวิตที่มีความยั่งยืน สวัสดิการแบบผลิตภาพนิยมจึงสอดคล้องกับ การพัฒนาที่มั่งคั่ง มั่นคงและยั่งยืน นอกจากนี้ สวัสดิการแบบผลิตภาพนิยมต้องไม่ใช่ทางเลือกที่ปฏิเสธการจัดสวัสดิการที่เน้น การคุ้มครอง ทว่า ต้องมีการดำเนินการอย่างควบคู่กันไป ทั้งนี้ ประชาชนทุกคนควรได้รับสิทธิในการดูแลสุขภาพ การศึกษา และอื่นๆ อย่างถ้วนหน้าและทั่วถึง เพื่อประชาชนจะได้มีโอกาสพัฒนาตนเองเพื่อเป็นกำลังการผลิตที่สำคัญและมีคุณค่า ความเป็นมนุษย์ในอนาคตอย่างยั่งยืน (กิติพัฒน์ นนทปัทมะดุลย์, 2562) การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการลุ่มน้ำสะแกกรัง และการส่งเสริมอาชีพเกษตรกร ลุ่มน้ำสะแกกรังตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศไทย มีพื้นที่ลุ่มน้ำรวมทั้งสิ้น 5,056 ตร.กม. ครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่ อุทัยธานี นครสวรรค์ และกำแพงเพชร ลักษณะลุ่มน้ำวางตัวตามแนวตะวันตก - ตะวันออก ทิศเหนือของลุ่มน้ำติดกับ ลุ่มน้ำปิง ทิศใต้ติดกับลุ่มน้ำท่าจีน ทิศตะวันตกติดกับลุ่มน้ำแม่กลอง และทิศตะวันออกติดกับลุ่มน้ำเจ้าพระยา บริเวณทิศ ตะวันตกของลุ่มน้ำเป็นเทือกเขาสูง เป็นเขตต้นน้ำของลำน้ำสาขาที่สำคัญหลายสาย ได้แก่ แม่น้ำวงก์คลองโพธิ์ และห้วยทับ เสลา ต้นกำเนิดของลำน้ำสะแกกรังคือเทือกเขาโมโกจู ซึ่งเป็นแนวแบ่งเขตระหว่างจังหวัดตากและจังหวัดนครสวรรค์ ลำน้ำ สาขาซึ่งเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำสะแกกรัง ได้แก่ ห้วยแม่วงก์ ไหลผ่านอำเภอแม่วงก์และอำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ไหล เลาะ เลียบผ่านภูเขาสะแกกรังจึงได้ชื่อว่า แม่น้ำสะแกกรัง ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาทางตอนเหนือของเขื่อนเจ้าพระยา ลุ่มน้ำสะแกกรัง ยังไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำต้นทุนเพียงพอที่จะสามารถบริหารจัดการน้ำ เพื่อบรรเทาปัญหาด้านการใช้ น้ำของลุ่มน้ำ (กรมชลประทาน, 2565) โดยสามารถแบ่งปัญหาการใช้น้ำของลุ่มน้ำสะแกกรังออกเป็น 3 ปัญหาหลัก ได้แก่ ภัยแล้ง: มีความต้องการใช้น้ำเพื่อการเกษตรเป็นปริมาณมาก พื้นที่เกษตรส่วนใหญ่ใช้น้ำจากฝนที่ตกในพื้นที่ เป็นหลัก ซึ่งปัญหาภัยแล้งมีกระจายโดยทั่วทั้งพื้นที่ลุ่มน้ำอย่างซ้ำซาก ปัจจุบันในพื้นที่อำเภอเมืองอุทัยธานี ประสบปัญหา


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 116 น้ำแล้งอย่างต่อเนื่องติดต่อหลายปี การแก้ปัญหาในปัจจุบันกรมชลประทาน ใช้วิธีการชักน้ำมาทางคลองเชื่อมบริเวณจุด บรรจบแม่น้ำสะแกกรัง และแม่น้ำเจ้าพระยา ทำหน้าที่เป็นคลองผันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยามาใช้ในพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำ สะแกกรัง แต่เนื่องจากปัญหาน้ำต้นทุนในช่วงแล้งของแม่น้ำเจ้าพระยา มีปริมาณน้อย ส่งผลให้ระดับน้ำที่กำหนดไว้ในการดึง น้ำมาใช้ในแม่น้ำสะแกกรังได้รับผลกระทบไม่สามารถจะนำน้ำมาใช้ได้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ นอกจากพื้นที่ เกษตรจะประสบปัญหาแล้ว ภัยแล้งยังส่งผลให้ประชาชนชาวแพพักอาศัยประมาณ 200 หลัง และผู้ประกอบการเลี้ยงปลา กระชัง จำนวน 1,132 กระชัง ได้รับความเดือดร้อนซ้ำซากเป็นประจำ อีกด้วย อุทกภัย: ฝนที่ตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำ และจากสภาพทางกายภาพ ภายในลุ่มน้ำที่บริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำตอนบนเป็นพื้นที่ ลาดชัน เมื่อฝนตกหนักจะเกิดน้ำป่าไหลหลากจากต้นน้ำลงมามากจน ลำน้ำสายหลักไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน ในพื้นที่ ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมอย่างมากอีกพื้นที่คือ อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ มลพิษทางน้ำ: การขยายตัวของเขตชุมชนเมือง ขาดแหล่งเก็บกักน้ำในพื้นที่ตอนบนเพื่อระบายน้ำมาเจือจางและ ผลักดันน้ำเสีย โดยจะมีน้ำเน่าเสียบริเวณแม่น้ำสะแกกรังตอนล่าง ในเขตอำเภอเมืองอุทัยธานี แผนหลัก (Master Plan) การพัฒนาแหล่งน้ำและการชลประทานในลุ่มน้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี สอดคล้องกับ แผนการศึกษาประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์พื้นที่ลุ่มน้ำสะแกกรัง (SEA) ของสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ที่ศึกษาแล้วเสร็จเมื่อเดือนมกราคม 2563 และแผนงานของกรมชลประทานที่ได้มีการศึกษาไว้ เพื่อกำหนดแนวทางของ แผนการพัฒนาแหล่งน้ำที่ให้ประสิทธิผลในการบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับการเกษตร รวมถึงระบบการกระจายน้ำ ในพื้นที่โครงการ และบรรเทาปัญหาอุทกภัย มีน้ำเพียงพอต่อการอุปโภค - บริโภค การรักษาระบบนิเวศท้ายน้ำ รวมทั้ง คุณภาพน้ำในชุมชนต่างๆ โดยศึกษาครอบคลุมทั้งลุ่มน้ำสะแกกรัง ทั้งมาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้างและใช้สิ่งก่อสร้าง นำมาศึกษา แผนหลักในการบรรเทาปัญหาน้ำแล้ง น้ำท่วม และคุณภาพน้ำในพื้นที่ต่างๆ จัดทำแผนและการบริหารจัดการที่สามารถ บรรเทาปัญหาภัยแล้ง น้ำท่วม และคุณภาพน้ำ โดยแบ่งออกเป็น 2 มาตรการ ดังนี้ 1) มาตรการไม่ใช้สิ่งก่อสร้าง โดยใช้การบริหารจัดการระบบของอาคารชลประทานเดิมที่มีอยู่เนื่องจากแม่น้ำสะแก กรังจะไหลลงมาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำสะแกกรัง ได้รับอิทธิพลจากระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา จึงต้องบริหารจัดการน้ำโดยควบคุมให้ระดับเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ +15.80 เมตร (รทก.) ถึง +16.00 เมตร (รทก.) เพื่อป้องกันไม่ให้ปริมาณน้ำในลำน้ำสะแกกรังไหลออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา เป็น ระยะทางประมาณ 27 กม. โดยพยายามรักษาปริมาณน้ำให้อยู่ในลำน้ำสะแกกรัง เพื่อใช้ประโยชน์ในกิจกรรมด้านต่างๆ 2) มาตรการใช้สิ่งก่อสร้าง โดยก่อสร้างประตูระบายน้ำเพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำต้นทุนเสริมให้กับแม่น้ำสะแกกรัง เนื่องจากมีแหล่งน้ำธรรมชาติที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา และมีการพัฒนาประตูระบายน้ำแม่น้ำสะแกกรัง รวมทั้ง การพัฒนาปรับปรุงคลองธรรมชาติให้เป็นคลองผันน้ำอ้อมอำเภอลาดยาว สำหรับมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมอาชีพของเกษตรกรในพื้นที่โครงการที่อยู่ในรายงาน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการพัฒนาลุ่มน้ำสะแกกรัง (กรมชลประทาน, 2565 ) แบ่งออกเป็น 2 ระยะดังนี้ 1) ระยะก่อสร้าง เสนอมาตรการดังนี้ 1.1 ระยะก่อสร้างต้องควบคุมการก่อสร้างองค์ประกอบโครงการต่างๆ ได้แก่ ท่อส่งน้ำ บ่อพักน้ำ และคลองส่งน้ำ ให้อยู่ภายในขอบเขตพื้นที่ที่กำหนดหรือกันเขตไว้ และต้องระวังไม่ให้ไปกีดขวางเส้นทางการสัญจร เส้นทางการระบายน้ำ หรือ รบกวนการใช้พื้นที่ของชุมชนบริเวณใกล้เคียงพื้นที่ก่อสร้าง 1.2 เสนอให้เตรียมความพร้อมด้านการบริหารจัดการน้ำโดยการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำ เพื่อช่วยรับผิดชอบในการ จัดสรรน้ำและบำรุงรักษา โดยให้ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการของผู้ใช้น้ำเข้าร่วมและมีบทบาทใน กิจกรรมทุกขั้นตอนของการจัดสรรน้ำ 1.3 ทางโครงการต้องดำเนินการพัฒนาองค์กรและการประชาสัมพันธ์ควบคู่ไปในช่วงก่อสร้างโครงการด้วย


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 117 2) ระยะดำเนินการ ให้ประสานขอความร่วมมือจากกรมส่งเสริมการเกษตร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อดำเนินตาม มาตรการดังนี้ 2.1 กำหนดกิจกรรมการปลูกพืชให้ชัดเจน โดยเฉพาะการปลูกข้าวและพืชไร่ ซึ่งเป็นพืชหลักของพื้นที่ 2.2 การให้ความรู้แก่เกษตรกรด้านการจัดการดิน และการจัดการปลูกพืชให้ถูกต้องเหมาะสมกับชนิดของดิน 2.3 ดำเนินการวิจัยเชิงสาธิตในพื้นที่เกี่ยวกับการจัดการผลิตพืช โดยเลือกเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ ปฏิบัติตาม คำแนะนำของนักวิชาการ สำหรับนักวิชาการต้องมีการติดตามการดำเนินงานและสรุปผลทุกปี เพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว 2.4 ลดต้นทุนการผลิตพืช/สัตว์ โดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในท้องถิ่นเพื่อการผลิตพืชและสัตว์แบบครบวงจรใน การทำการเกษตรสมัยใหม่ หรือแบบเกษตรทฤษฎีใหม่ ตั้งแต่การผลิตจนถึงการแปรรูป ส่งเสริมและแนะนำพันธุ์พืชที่เหมาะสม รวมทั้งให้ความช่วยเหลือทางด้านปัจจัยการผลิตอื่นๆ เช่น เครื่องจักรกล ปุ๋ย และสารเคมี ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร ท้องถิ่น 2.5 สนับสนุนและส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกรตามชนิดพืช/สัตว์ที่ผลิต หรือตามกิจกรรมที่เกษตรกรใน ท้องถิ่นทำร่วมกัน การให้คำแนะนำเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิก เช่น กลุ่มผู้ปลูกพืช ชนิดต่างๆ กลุ่มผู้ใช้น้ำ และกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ 2.6 ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนเงินทุนแก่เกษตรกรท้องถิ่น โดยผ่านสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารเพื่อ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หรือธนาคารออมสินเพื่อจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้แก่เกษตรกร 2.7 หน่วยงานภาครัฐต้องสนับสนุนและช่วยเหลือเกษตรกรท้องถิ่นโดยให้ความช่วยเหลือด้านการตลาดและ กลไกการตลาดของผลผลิตพืช/สัตว์ ข้อมูลข่าวสาร ความเคลื่อนไหวของชนิดและราคาพืชผลทางการเกษตรที่ตลาดมี ความต้องการสูง และได้รับผลตอบแทนสูงเพื่อให้แน่ใจว่าเกษตรกรท้องถิ่นจะเลือกปลูกพืชชนิดที่มีตลาดรองรับในแต่ละ ฤดูกาลเพื่อลดความเสี่ยงด้านการตลาดและยกระดับราคาของผลผลิตให้สูงขึ้น การอภิปราย การส่งเสริมแนวคิดสวัสดิการที่เน้นการคุ้มครองในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม จุดแข็ง ความท้าทายและข้อเสนอแนะ การพัฒนาลุ่มน้ำสะแกกรัง โดยกรมชลประทาน เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง อุทกภัย และมลพิษทางน้ำ เป็นการดำเนินงาน พัฒนาพื้นที่เกษตรกรรมตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพหมุนเวียน หรือ BCG Economic Model ของรัฐบาลไทย ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น อันสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐที่ทำให้นโยบายสังคมและนโยบาย สิ่งแวดล้อม มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สอดคล้องกับแนวคิดของ Isidor Wallimann ที่กล่าวว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนต้องทำ ให้นโยบายสังคมและนโยบายสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งเดียวและอยู่ในวงการเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ประเทศต่างๆ ควรให้ ความใส่ใจในความสอดคล้องระหว่างนโยบายสังคม และนโยบายสิ่งแวดล้อม จากแนวคิดของ Matthias Drilling ที่กล่าวถึง การที่ระบบนิเวศวิทยา สิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจไม่สามารถรวมกันได้ เนื่องจากเป้าหมายทางเศรษฐกิจมุ่ง การเจริญเติบโตแต่ระบบนิเวศและการกระจายทรัพยากรมีความจำกัด ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและความเหลื่อมล้ำทาง สังคมตามมา ดังนั้น การวางแผนพัฒนาของภาครัฐผ่านการกำหนดมาตรการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA จึงควรมีการส่งเสริมสวัสดิการให้แก่ประชาชน เพื่อให้นโยบายสังคมดำเนินการควบคู่ไปกับนโยบายสิ่งแวดล้อมใน การพัฒนาประเทศ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 118 รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการลุ่มน้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี มีการกำหนดมาตรการที่ เกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพของเกษตรกร โดยเสนอให้จัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำเพื่อช่วยกรมชลประทานรับผิดชอบในการจัดสรรน้ำ บำรุงรักษา และดูแลโครงการ กลุ่มผู้ใช้น้ำดังกล่าว ประกอบด้วย ผู้นำชุมชน เกษตรกร และชาวบ้านในพื้นที่โครงการที่มี การดูแลและจัดการปัญหาภายในชุมชนมาโดยตลอด กล่าวคือ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชน ในตำบลเนินแจง และตำบลเกาะเทโพ อำเภอเมืองอุทัยธานี ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่โครงการ มีการรวมตัวเพื่อช่วยเหลือกันใน การดูแลคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนทั้งด้านการประกอบอาชีพ สุขภาพ และการศึกษา สะท้อนให้เห็นถึงจุดแข็งของชุมชนที่มี พื้นฐานจิตสำนึกใส่ใจต่อสวัสดิการ (welfare minded) ดังนั้นการที่กรมชลประทานได้กำหนดมาตรการส่งเสริมการปลูกพืช และให้ความช่วยเหลือด้านการตลาดที่รองรับผลผลิตทางการเกษตร เป็นการส่งเสริมสวัสดิการที่เน้นผลิตภาพ (Productive Welfare) ดังนั้น บทความนี้จึงมีข้อเสนอแนะให้หน่วยงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้เข้ามามี ส่วนร่วมในการกำหนดมาตรการลดผลกระทบ (Mitigation Plan) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาสังคมและสวัสดิการสังคมในระดับ ท้องถิ่น ซึ่งจะสามารถขับเคลื่อนสวัสดิการที่เน้นการคุ้มครอง (Productive Welfare) ส่งผลให้นโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อม สามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนานโยบายสังคม เพื่อเป้าหมายในการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นประชาชนจะมี รายได้และโอกาสที่ได้รับการคุ้มครองจากภาครัฐซึ่งทำให้สามารถเข้าร่วมตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนำมาสู่ การกระจายซ้ำ (Redistribution)อันเป็นหน้าที่สำคัญของสวัสดิการแบบสังคมประชาธิปไตย (Social Democracy Welfare) และการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งเป็นการพัฒนานโยบายสังคมโดยใช้สวัสดิการเน้นการคุ้มครองในการประเมินผล กระทบสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ต้องร่วมกันพัฒนาระหว่างภาครัฐกับภาคประชาสังคม คือ ระบบและกลไกส่งเสริม การบูรณาการงบประมาณกองทุนต่างๆเพื่อสนับสนุนการจัดให้มีสวัสดิการที่เน้นผลิตภาพ และสวัสดิการที่เน้นการคุ้มครองใน พื้นที่โครงการให้เกิดขึ้นได้ ส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการลดความ เหลื่อมล้ำทางสังคม สรุป การเปลี่ยนสู่วิถีใหม่ของการปฏิรูปความห่วงใยดูแลทางสังคม สามารถดำเนินการได้โดยการพัฒนานโยบายสังคมให้ ควบคู่ไปกับนโยบายสิ่งแวดล้อม ซึ่งเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการจัดการสิ่งแวดล้อม คือ มาตรการลดผลกระทบและการเพิ่ม คุณภาพชีวิต ที่มีการวางแผนจากหน่วยงานต่างๆ และกำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อันเป็น กฎหมายที่การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจะต้องปฏิบัติตาม โดยที่ผ่านมามาตรการดังกล่าวโน้มเอียงไปในทาง สวัสดิการที่เน้นผลิตภาพ (Productive Welfare) ซึ่งแม้ว่าประชาชนจะมีรายได้มากขึ้นหลังจากการพัฒนาโครงการ แต่โอกาส ที่จะเข้าถึงการคุ้มครองทางสวัสดิการและคุณภาพชีวิตจากภาครัฐกลับยังไม่มากขึ้นตามมา ดังนั้น ภาครัฐจึงควรขับเคลื่อน นโยบายสังคมควบคู่ไปกับนโยบายสิ่งแวดล้อมผ่านสวัสดิการที่เน้นการคุ้มครอง (Protective Welfare) ซึ่งหน่วยงานที่ต้องมี บูรณการอย่างใกล้ชิด คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่งคงของ มนุษย์ อันจะทำให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการลดความเหลื่อมล้ำทาง สังคมของชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำสะแกกรัง ซึ่งเป็นกรณีศึกษาในการพัฒนาสังคม ควบคู่ไปกับการกำหนดมาตรการส่งเสริม คุณภาพชีวิตของชุมชนในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อไป


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 119 เอกสารอ้างอิง กมลทิพย์ แจ่มกระจ่าง. (2562). สังคมสงเคราะห์ชุมชนลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมได้อย่างไร. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กรมชลประทาน. (2565). รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการพัฒนาแม่น้ำสะแกกรัง จังหวัดอุทัยธานี. กรุงเทพฯ: ธาราคอนซัลแตนท์. กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม. (2564). การเผยแพร่ผลงานของประเทศไทยด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใน COP26. สืบค้นจาก https://actionforclimate.deqp.go.th/cop/2805/ กองพัฒนาระบบการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม. (2563). แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการจัดทำรายงาน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ: สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. กองวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (2564). การพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ: สำนักงาน นโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. กิติพัฒน์นนทปัทมะดุลย์. (2565). ปรัชญาและแนวคิดสังคมสงเคราะห์ศาสตร์. กรุงเทพฯ: พริกหวานกราฟฟิค. กิติพัฒน์นนทปัทมะดุลย์. (2562). สวัสดิการที่เน้นผลิตภาพและสวัสดิการที่เน้นการคุ้มครองกับการลดความเหลื่อมล้ำ. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ทัพไท หน่อสุวรรณ และคณะ (2564). การเกษตรในเมืองกับ BCG Economic Model. วารสารวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร, 38(3), ปวันรัตน์ คงวาณิช. (2558). มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการกลั่นกรองโครงการหรือกิจกรรมที่ต้องจัดทำรายงานวิเคราะห์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยเปรียบเทียบต่างประเทศ. วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต, คณะนิติศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. (2561). สานพลังประชารัฐ. กรุงเทพฯ: สำนักการพิมพ์สำนักงานเลขาธิการสภา ผู้แทนราษฎร. อมรเทพ อำนวยพล. (2564). มาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อม สะสม. วารสารบัณฑิตศึกษานิติศาสตร์, 14(1), Isidor Wallimann. (2013). Environmental Policy is Social Policy-Social Policy is Environmental Policy. New York: Springer Matthias Drilling. (2013). Planning Sustainable Cities: Why Environmental Policy needs Social Policy. New York: Springer THE WORLD BANK. (2017). Environmental and Social Framework. Washington DC: World Bank Group United Nations. (2015). Principles of public involvement. Retrieved from https://eia.unu.edu/course/index.html%3Fpage_id=131


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 120 การจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม Flood Management for Older Residents of Kantharawichai District, Mahasarakham Province วชิราภรณ์ วรรณโชติ1 Washiraporn Wannachot2 Abstract Since flooding acutely impacts vulnerable older residents with physical limitations and being a vulnerable group. Quantitative research was done to study flood management for older citizens and related factors. The Sample and Size was selected using Purposive Sampling from 66 samples, all older residents who experienced flooding in Kantharawichai District, Mahasarakham Province. Data was collected between 6-12 November 2022. By using a questionnaire that has been developed and checked for quality. Data was analyzed by descriptive and non-parametric inferential statistics with a Chi-square test at a statistical significance of .05. Results were that most samples are farmers, low incomes, and they have people living in the household. When flooding occurred, most samples received support from private organizations and outside assistance. there are various types of assistance, and All of them received food and potable water. Most samples had high flood management levels before and during flooding, with overall flood management level were high scores ( = 2.47 out of 3 points), the highest score is news monitoring flood risk ( =2.67).Issues remain, such as preparing medicines, food, potable water, and necessities. Household income, neighbors, and volunteers were factors influencing flood management for older residents. In addition, most samples did management planning for after the water receded especially about cleaning housing. These findings suggest that an older resident database should help prepare advance assistance before flood emergencies as well as long-term caring measures, and specific assistance for age-related hardships. Keywords: Older residents, flood management, Kantharawichai District บทคัดย่อ สถานการณ์การเกิดอุทกภัยก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้คนอย่างเป็นวงกว้าง ในกลุ่มผู้สูงอายุต้องเผชิญกับอุทกภัยด้วย ข้อจำกัดของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและการเป็นกลุ่มเปราะบาง จึงนำมาซึ่งการศึกษาครั้งนี้ที่มี วัตถุประสงค์(1) เพื่อ ศึกษาการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ และ (2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ งานวิจัยเชิงปริมาณนี้กำหนดขนาดและเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 66 คน จากผู้สูงอายุที่กำลังประสบอุทกภัยในพื้นที่ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 6-12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ด้วยการใช้แบบสอบถามที่ ผ่านการพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติอนุมานในกลุ่ม นอนพาราเมตริก ได้แก่ การทดสอบไค-สแควร์ที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ประกอบ 1 นักศึกษาหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขานโยบายสังคม คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 2 Ph.D. Student, Social Policy Program, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 121 อาชีพเกษตรกร มีรายได้น้อย และมีผู้ร่วมอาศัยอยู่ในครัวเรือนด้วย เมื่อต้องเผชิญอุทกภัย ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ได้รับ การสนับสนุนช่วยเหลือจากหน่วยงานเอกชนและบุคคลภายนอก โดยได้รับความช่วยเหลือในรูปแบบที่หลากหลาย ทั้งนี้ ผู้สูงอายุทุกคนได้รับความช่วยเหลือด้านอาหาร น้ำดื่ม ส่วนการจัดการอุทกภัยทั้งก่อนและระหว่างการเกิดอุทกภัย พบว่า ผู้สูงอายุมีการจัดการอุทกภัยในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.47 จากคะแนนเต็ม 3 โดยมีคะแนนสูงสุดด้าน การติดตามข้อมูลข่าวสาร ความเสี่ยงจากอุทกภัย ( =2.67) แต่ยังมีประเด็นที่แตกต่างด้านการเตรียม ยา อาหาร น้ำดื่ม ของใช้ จำเป็น ทั้งนี้ รายได้เฉลี่ยของครัวเรือน เพื่อนบ้านหรือคนชุมชน ความช่วยเหลือในรูปแบบกำลังคนหรืออาสาสมัคร เป็นปัจจัย ที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ ข้อค้นพบเหล่านี้ เป็นประโยชน์ต่อการนำไปพิจารณาจัดทำฐานข้อมูล ผู้สูงอายุ สำหรับการจัดเตรียมความพร้อมให้ช่วยเหลือล่วงหน้าก่อนเกิดสถานการณ์อุทกภัย การมีมาตรการการช่วยเหลือดูแล ผู้สูงอายุในระยะยาว และให้ความช่วยเหลือแบบเจาะจงสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่ประสบความยากลำบาก คำสำคัญ: ผู้สูงอายุ, การจัดการอุทกภัย, อำเภอกันทรวิชัย บทนำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกจากภาวะโลกร้อนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงทั้งภูมิอากาศ แปรปรวน อุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น ภัยคุกคามที่ถือเป็นภัยพิบัติสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือความ เสี่ยงจากอุทกภัย (Committee on Climate Change, 2016) สถานการณ์การเกิดภัยพิบัติส่งผลกระทบทั้งต่อความปลอดภัย ของชีวิตและทรัพย์สิน ความเป็นอยู่ที่ดีของบุคคลและชุมชน ตลอดจนกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ (กรมป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัย, 2559; United Nations [UN], 2015a) หนึ่งในประเภทภัยพิบัติของประเทศไทยที่มีแนวโน้มการเกิดขึ้น บ่อยครั้งและเกิดความเสียหายอย่างเป็นวงกว้าง คือ การเกิดอุทกภัย โดยข้อมูลสถานการณ์อุทกภัยของประเทศไทยย้อนหลัง สามปี (ข้อมูล พ.ศ. 2561-พ.ศ. 2563) พบผลกระทบที่มีแนวโน้มที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น จาก พ.ศ. 2561 ประเทศไทยมีพื้นที่ประสบ อุทกภัย จำนวน 14,964 หมู่บ้าน เกิดผลกระทบความเสียหายต่อประชาชน 1,009,289 คน ต่อมา พ.ศ. 2562 มีพื้นที่ประสบ อุทกภัย จำนวน 16,085 หมู่บ้าน ความเสียหายต่อประชาชน 1,593,434 คน และ พ.ศ. 2563 พื้นที่ประสบอุทกภัย 17,764 หมู่บ้าน เกิดความเสียหายต่อประชาชน 3,132,931 คน (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2563) ทั้งนี้ จากการเกิดอุทกภัยบ่อยครั้ง สะท้อนถึงแนวโน้มความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์เพิ่มขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอาจทำให้เกิด ภัยพิบัติที่ยากต่อการคาดการณ์และมีความไม่แน่นอนสูง (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, 2559) ปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ นอกจากกระทบต่อคนทั่วไปแล้ว ในกลุ่มผู้สูงอายุนั้น ยังได้รับผลกระทบอย่าง รุนแรง (มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย, 2557) ข้อมูลการประสบอุทกภัยของประเทศไทยในปี 2554 พบว่า จำนวนผู้สูงอายุที่เสียชีวิตจากอุทกภัย ช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน สูงขึ้น 4 เท่า ซึ่งเป็นอัตราการเสียชีวิตที่ มากกว่าวัยเด็กและวัยแรงงาน (สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ, 2554) นอกจากนี้ เมื่อเกิดอุทกภัยผู้สูงอายุ ยังประสบความยากลำบากในการอพยพ ปัญหาสุขภาพ ความเจ็บป่วย เนื่องจากผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว และ ไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องในระหว่างการประสบภัย ทั้งยังมีปัญหาความเจ็บป่วยที่เกิดจากการเผชิญภัย ความเครียด ความวิตกกังวล การดำรงอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม และการขาดแคลนสาธารณูปโภค (จินดาวรรณ เงารัศมีและคณะ, 2558; อาบกนก ทองแถม, 2563) นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจจากความเสียหาย ของทรัพย์สินและรายได้และผลกระทบด้านสังคม จากการช่วยเหลือที่ไม่ทั่วถึง และไม่ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างเพียงพอ (จินดาวรรณ เงารัศมีและคณะ, 2558; ปฏิมาพร ภูศรี, 2560) ผลกระทบจากการเกิดภัยพิบัติส่งผลถึงการดำรงชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูงอายุ (ปฏิมาพร ภูศรี, 2560) ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีแนวโน้มเพิ่มจำนวนสูงขึ้นทั่วโลก (UN, 2019; World Health Organization [WHO], 2022) รวมทั้ง ประเทศไทย ซึ่งจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด ในปี 2576 ที่จำนวนประชากรมากกว่าร้อยละ 28 ของจำนวนประชากร


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 122 ทั้งหมด มีอายุ 60 ปีขึ้นไป (มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย, 2562) เมื่อผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับรูปแบบ การอยู่อาศัยในครัวเรือนไทยที่มีขนาดเล็กลง ผู้สูงอายุอยู่ตามลำพังและอยู่อาศัยเฉพาะกับคู่สมรสมากขึ้น (มูลนิธิสถาบันวิจัย และพัฒนาผู้สูงอายุไทย, 2557) หากต้องประสบกับปัญหาอุทกภัยที่มีแนวโน้มการเกิดสูงขึ้น จึงเป็นความท้าทายต่อการจัดการ ปัญหา เนื่องด้วยผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีอุปสรรคต่อการรับมือเมื่อต้องเผชิญความเสี่ยงภัย เช่น ข้อจำกัดต่อการรับรู้ การเข้าถึง ข้อมูลข่าวสารเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับอุทกภัยและการขอรับการช่วยเหลือ เป็นต้น (ปาณิศา บุณยรัตกลิน และคณะ, 2565) มากไปกว่านั้น ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีความสามารถจำกัดเมื่อประสบอุทกภัยและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากมี ความเสี่ยงเพิ่มจากบุคคลปกติ (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, 2557; 2559) นอกจากนี้ เมื่อประสบภัยผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มักไม่ได้อพยพออกจากบ้านและยังคงใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ประสบภัย (อาบกนก ทองแถม, 2563) กลุ่มผู้สูงอายุจึงเป็นกลุ่มที่ต้องให้ความสำคัญในการป้องกันและรับมือกับอุทกภัย การให้ความสำคัญสำหรับ ผู้สูงอายุที่ต้องจัดการตนเองเพื่อการดำรงชีพในระหว่างประสบภัย ซึ่งรวมถึงการได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัว ชุมชน และหน่วยงานภายในและภายนอกพื้นที่เพื่อบรรเทาสถานการณ์ที่ยากลำบาก ซึ่งต้องมีการจัดการทำข้อมูลการให้ ความช่วยเหลือผู้สูงอายุ การเตรียมความพร้อมและดูแลตนเองเมื่อประสบภัย (มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย, 2563; สำนักส่งเสริมและพิทักษ์ผู้สูงอายุ, 2556) โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่การช่วยเหลือยังมาไม่ถึง การจัดการอุทกภัยจึงเป็น สิ่งจำเป็นที่ทำให้ผู้สูงอายุอยู่รอดในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญอุทกภัย ภายใต้แนวคิดการจัดการภัยพิบัติที่มุ่งเน้นการทำงาน อย่างมีส่วนร่วมเพื่อป้องกัน ช่วยเหลือ และฟื้นฟูร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกระดับทั้งระดับรัฐ ภาคเอกชน ท้องถิ่น และ ภาคประชาชนที่ได้รับความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (UN, 2015a) รวมทั้งเป็นการจัดการที่ให้ความสำคัญกับหน่วยสนับสนุนอื่นๆ ได้แก่ ครอบครัว องค์กรพัฒนาเอกชน อาสาสมัคร ทั้งด้านกำลัง งบประมาณ ข้อมูล การสื่อสารความเสี่ยง และการอพยพ (Kwan & Tam, 2021) เพื่อการตอบสนองดูแลผู้สูงอายุอย่างครอบคลุมทั้งระยะก่อน ระหว่าง และหลังเกิดภัยพิบัติ (นิตยา โชคทวีพาณิชย์ และ สุวิณี วิวัฒน์วานิช, 2558) จังหวัดมหาสารคาม เป็นพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยบ่อยครั้ง โดยมีพื้นที่เสี่ยงกับอุทกภัย จำนวน 12 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอกันทรวิชัย อำเภอแกดำ อำเภอโกสุมพิสัย อำเภอชื่นชม อำเภอเชียงยืน อำเภอนาเชือก อำเภอนาดูน อำเภอบรบือ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย อำเภอเมืองมหาสารคาม อำเภอยางสีสุราช และอำเภอวาปีปทุม จากข้อมูลประกาศเขต พื้นที่ประสบอุทกภัย พ.ศ. 2556-2564 ในจังหวัดมหาสารคามเกิดอุทกภัย จำนวนทั้งหมด 8 ครั้ง ยกเว้นเพียงช่วง พ.ศ. 2559 พื้นที่อำเภอกันทรวิชัยเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย เนื่องจากพื้นที่ติดกับแม่น้ำชี และประสบกับปัญหาอุทกภัยบ่อยครั้ง (สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดมหาสารคาม, 2564) ทั้งนี้ในด้านข้อมูลจำนวนผู้สูงอายุในอำเภอกันทรวิชัยมี จำนวนผู้สูงอายุ12,311 คน (สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม, 2565) และในปัจจุบัน พ.ศ. 2565 อำเภอกันทรวิชัย ยังเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยลักษณะการเกิดอุทกภัยได้สร้างความเสียหายต่อพื้นที่เกษตรกรรม เส้นทางคมนาคม และที่อยู่ อาศัย จากสถานการณ์การเกิดอุทกภัยในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัยบ่อยครั้ง ส่งผลให้ผู้สูงอายุต้องเผชิญอุทกภัยและประสบความ ยากลำบาก นอกจากนี้ลักษณะครอบครัวผู้สูงอายุในพื้นที่ยังพบว่ามีผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ลำพังและอยู่กับคู่สมรสเท่านั้น เนื่องจากลูกหลานไปทำงานต่างถิ่น ในขณะที่ประสบการณ์ส่วนบุคคล การช่วยเหลือตนเองและจากบุคคลอื่นๆ มีความสำคัญ ให้ผู้สูงอายุสามารถรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นได้ การศึกษาการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ ในพื้นที่อำเภอ กันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม จึงมีคำถามในงานวิจัยว่าผู้สูงอายุมีการจัดการอุทกภัยในระดับใด และปัจจัยใดที่มี ความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ ทั้งนี้ ข้อมูลที่ได้อาจนำมาซึ่งประโยชน์ในการวางแผนการช่วยเหลือด้าน การจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุต่อไป


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 123 วัตถุประสงค์ การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัด มหาสารคาม และ (2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัด มหาสารคาม สมมติฐานการวิจัย ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่อายุสถานภาพสมรส สมาชิกในครัวเรือน ระดับการศึกษา การประกอบอาชีพ รายได้ครัวเรือน และโรคประจำตัว ปัจจัยด้านการเผชิญอุทกภัย ได้แก่ ลักษณะที่อยู่อาศัย การเกิดอุบัติเหตุและการเจ็บป่วย หน่วยงานหรือผู้ให้ ความช่วยเหลือ รูปแบบที่ได้รับความช่วยเหลือ และจำนวนครั้งที่ประสบภัย มีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุใน พื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นิยามศัพท์ปฏิบัติการ ผู้สูงอายุ หมายถึง บุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย อาศัยในพื้นที่ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัด มหาสารคาม อุทกภัย หมายถึง ภัยน้ำท่วมในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างเป็น วงกว้างต่อคนในชุมชนที่อาศัยในพื้นที่ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ทั้งบริเวณที่อยู่อาศัย พื้นที่เกษตรกรรม และเส้นทาง คมนาคมได้รับความเสียหาย เกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้สูงอายุ ผู้ประสบภัย หมายถึง ผู้สูงอายุที่อาศัยในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม และประสบอุทกภัย ในช่วง เดือน กันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 การเผชิญอุทกภัย หมายถึง จำนวนครั้งที่ผู้สูงอายุประสบอุทกภัยในช่วง 5 ปีย้อนหลัง ตั้งแต่ พ.ศ. 2561-2565 โดยใน พ.ศ. 2565ผู้สูงอายุประสบอุทกภัยช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน และได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ทั้งด้านลักษณะที่อยู่ อาศัย การเกิดอุบัติเหตุและการเจ็บป่วย โดยมีหน่วยงานหรือผู้ให้ความช่วยเหลือ ได้แก่ ครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน ชุมชน ภาครัฐ ตลอดจนหน่วยงานภายนอก เช่น หน่วยงานเอกชน มูลนิธิ เป็นต้น หรือบุคคลภายนอก และรูปแบบที่ได้รับ ความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ กำลังใจ กำลังคน/อาสาสมัคร ข้อมูลข่าวสาร การเตือนภัย สิ่งของจำเป็น อาหาร น้ำดื่ม เงิน ที่พักชั่วคราว ห้องน้ำ ไฟส่องสว่าง การบริการ เช่น การดูแลสุขภาพ การประสานงาน เป็นต้น การจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ หมายถึง ความสามารถในการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุไม่ว่าจะเป็นความสามารถ ในการจัดการดูแลช่วยเหลือตนเอง หรือความสามารถจัดการอันเกิดจากการได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลหรือหน่วยงานอื่น ทั้งการจัดการในช่วงก่อนเกิดอุทกภัย และระหว่างเกิดอุทกภัย ก่อนเกิดอุทกภัย หมายถึง ช่วงเวลาก่อนเดือนกันยายน พ.ศ.2565 ซึ่งยังไม่เกิดอุทกภัยในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม แต่มีการเตรียมความพร้อมในการรับมืออุทกภัยที่จะเกิดขึ้น ได้แก่ การเข้าใจถึงผลกระทบของอุทกภัย การติดตามข้อมูลข่าวสาร ความเสี่ยง การป้องกันความเสียหายจากอุทกภัย การเตรียม ยา อาหาร น้ำดื่ม ของใช้จำเป็น และ การมีส่วนร่วมในการวางแผนจัดการอุทกภัยในชุมชน ระหว่างเกิดอุทกภัย หมายถึง ช่วงเวลาการเกิดอุทกภัยในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ที่ผู้สูงอายุได้รับ ผลกระทบ ช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ได้แก่ การดูแลตนเองเบื้องต้นระหว่างอุทกภัย การติดตาม ข้อมูลการเตือนภัยสถานการณ์น้ำตลอดเวลา ทรัพยากรที่ใช้ดำรงชีวิตมีเพียงพอ ความสามารถอพยพย้ายที่อยู่อาศัย กรณี ระดับน้ำขึ้นสูง และสามารถติดต่อสื่อสารความช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 124 การวางแผนหลังน้ำลด หมายถึง ผู้สูงอายุมีการวางแผนหรือไม่มีการวางแผน หลังจากน้ำลด ทั้งนี้ ผู้สูงอายุที่มี การวางแผน ได้แก่ การทำความสะอาดที่อยู่อาศัย การสำรวจความเสียหาย การปรับเปลี่ยนการจัดวางสิ่งของในบ้าน การนำ ประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมหากเผชิญอุทกภัยครั้งต่อไป การซ่อมแซมที่อยู่อาศัย การติดตามแผนการช่วยเหลือจาก ภาครัฐ การพบแพทย์ ช่วยชุมชนทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง ฟื้นฟูอาชีพ การกู้ยืมเงิน เช่น เพื่อซ่อมแซม ปรับปรุงที่อยู่อาศัย ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เป็นต้น การวางแผนการถมบ้าน ดีดบ้าน สร้างบ้านใหม่ และย้ายที่อยู่อาศัย อำเภอกันทรวิชัย หมายถึง อำเภอหนึ่งในจังหวัดมหาสารคาม ซึ่งเป็นพื้นที่ติดกับแม่น้ำชีและได้รับผลกระทบจาก อุทกภัย ช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ขอบเขตการศึกษา ขอบเขตในการศึกษาครั้งนี้ ประกอบด้วย 1. ขอบเขตประชากรและพื้นที่ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป ที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โดยเก็บข้อมูลในพื้นที่ ระหว่างวันที่ 6-12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 มีระยะเวลา1 สัปดาห์มีจำนวนตัวอย่างจำนวน 66 คน 2. ขอบเขตด้านเนื้อหา การศึกษานี้ครอบคลุมขอบเขตด้านเนื้อหาการเผชิญอุทกภัยและการจัดการอุทกภัยของ ผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โดยอธิบายภายใต้แนวคิดการจัดการภัยพิบัติ และผู้สูงอายุกับ การจัดการภัยพิบัติ 3. ขอบเขตด้านเวลา ศึกษาวิจัยในช่วงเวลาการเกิดอุทกภัย ในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ช่วงเดือน กันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2565 ข้อตกลงเบื้องต้นในการวิจัย การศึกษาวิจัยนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในรายวิชาการวิจัยเชิงปริมาณของหลักสูตร จึงมีการออกแบบงานวิจัยนี้ เป็นเชิงปริมาณ ในลักษณะต่อไปนี้(1) ดำเนินการศึกษาวิจัยในช่วงการเกิดอุทกภัยในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม (2) มีช่วงเวลาการเก็บข้อมูลด้วยระยะเวลา 1 สัปดาห์ ระหว่างวันที่ 6-12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ซึ่งทำให้ (3) ส่งผลต่อขนาด และการเข้าถึงกลุ่มตัวอย่าง ทำให้ผู้วิจัยต้องใช้สถิติกลุ่มนอนพาราเมตริก (Nonparametric statistics) ในการวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ของกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก (Dwivedi et al., 2017) รวมทั้ง (4) วางแผนการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามในพื้นที่ และแบบสอบถามที่จัดทำในรูปแบบออนไลน์ (Google form) เพื่อให้สามารถเข้าถึงการเก็บข้อมูลจากตัวอย่างผู้สูงอายุใน ช่วงเวลาที่เกิดอุทกภัยและการระบาดของโควิด-19 ได้ แนวคิด ทฤษฎีที่ใช้ ผู้วิจัยทบทวนแนวคิดที่เกี่ยวข้องเพื่อทำความเข้าใจองค์ความรู้การจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุและใช้ในการกำหนด กรอบการศึกษาวิจัยการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ประกอบด้วยแนวคิด การจัดการภัยพิบัติและผู้สูงอายุกับการจัดการภัยพิบัติ โดยแต่ละแนวคิดมีหลักการสำคัญ ดังนี้ แนวคิดการจัดการภัยพิบัติ ภัยพิบัติ (Disaster) เกิดจากสาเหตุภัยทางธรรมชาติหรือจากมนุษย์ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตผู้คน และกระทบต่อ สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมอย่างเป็นวงกว้าง เกินกว่าความสามารถของชุมชนหรือสังคมจะรับมือได้โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, 2557) พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพุทธศักราช พ.ศ. 2550 ให้คำ นิยามที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติ โดยใช้คำว่า สาธารณภัย ที่ครอบคลุมถึง ภัยที่เกิดจากธรรมชาติ หรือการกระทำของบุคคลที่ทำ ให้เกิดขึ้น เช่น อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง โรคระบาด อุบัติเหตุที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินแก่ประชาชน หรือรัฐ รวมถึง ภัยทางอากาศ และการก่อวินาศกรรม ทั้งนี้ ใจความของพระราชบัญญัติ กำหนดถึงการทำแผนการป้องกันและ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 125 บรรเทาสาธารณภัย โดยการร่วมมือบูรณาการสนับสนุนการทำงานทั้งหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ หน่วยงานภาคเอกชน ครอบคลุมบทบาทการทำงานทั้งระดับประเทศ ระดับจังหวัด ระดับท้องถิ่น และความรับผิดชอบในเขต พื้นที่ของตน ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแก่ผู้ประสบภัย (พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, 2550) กรอบการดำเนินงานเซนไดเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ พ.ศ. 2558-2573 (SendaiFramework for Disaster Risk Reduction 2015-2030) เป็นแนวทางการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ผ่านการดำเนินงานอย่างบูรณาการทั้งทางด้าน กฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม การเมือง สุขภาพ วัฒนธรรม การศึกษา สิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี เพื่อการป้องกันความเสี่ยงใหม่ และลดความเสี่ยงที่มีอยู่ มุ่งเน้นการทำงานทุกระดับ ทั้งระดับรัฐ ภูมิภาคและท้องถิ่น โดยให้ความสำคัญกับ 4 ภารกิจ ดังนี้ (1) การเข้าใจความเสี่ยงจากภัยพิบัติในทุกมิติ ทั้งด้านความเปราะบาง ความเสี่ยงส่วนบุคคล ทรัพย์สิน และสิ่งแวดล้อม (2) การเสริมสร้างธรรมาภิบาลเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงทั้งระดับชาติ ระดับภูมิภาคและระดับโลก การเชื่อมโยงการทำงาน ทั้งทางกฎหมายและนโยบาย และส่งเสริมการมีส่วนร่วมทั้งภาคเอกชน และภาคประชาชนที่ได้รับความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (3) การลงทุนในการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติเพื่อฟื้นฟูความเข้มแข็ง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม ในระดับบุคคล ชุมชนและประเทศ และ (4) การเสริมสร้างการเตรียมความพร้อมในการเผชิญภัยพิบัติ ทั้งการเตรียมการล่วงหน้า และโอกาสการฟื้นคืนหลังเกิดภัยพิบัติอย่างเท่าเทียม (UN, 2015a) การดำเนินงานกรอบ การดำเนินงานเซนไดเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ สอดคล้องการบรรลุเป้าประสงค์ตามเป้าหมาย การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals [SDGs]) โดยเฉพาะเป้าหมายที่11 การสร้างเมือง การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์และที่อยู่ อาศัยมีความปลอดภัย ฟื้นคืนความเข้มแข็งและยั่งยืน ลดผลกระทบความเสี่ยงอันเกิดจากภัยพิบัติ ชุมชนสามารถรับมือ ปรับตัวกับความเสี่ยงภัยที่จะเกิดขึ้น และฟื้นคืนความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, 2559; UN, 2015b) โดยกรอบการดำเนินงานนี้เป็นกรอบการดำเนินงานที่ประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติ 187 ประเทศ ให้การรับรอง เมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558 ดังนั้น แนวทางการจัดการภัยพิบัติ จึงให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อม ทั้งด้านการพัฒนาความรู้ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น การพัฒนาระบบการแจ้งเตือนภัย พัฒนาระบบการสื่อสารให้สามารถเข้าถึง ข่าวสารและผลกระทบได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ การจัดทำแผนรับมือและฝึกการป้องกันภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในทุกระดับ นอกจากนี้ยังต้องมีการเตรียมพร้อมด้านปัจจัยสี่ การสนับสนุนทรัพยากรและพลังงาน การจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัย เมื่อชุมชน ต้องอพยพออกจากพื้นที่ การสร้างความตระหนักของชุมชนและสังคม การสร้างกลุ่มเครือข่ายศักยภาพที่จะให้ความรู้และ ถ่ายทอดไปสู่การปฏิบัติ การฝึกทักษะการกู้ชีพ การวางระบบการดูแลจัดการผู้ประสบภัยและผู้เสียชีวิต เพื่อให้ผู้ประสบภัย สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นปกติหรือใกล้เคียง (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, 2559) ทั้งนี้ แนวคิดการจัดการภัย พิบัติในปัจจุบัน เน้นการเข้ามามีส่วนร่วมของชุมชนมากขึ้นและมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้พื้นที่ชุมชนจัดการตนเอง และมี ความเข้าใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ประกอบกับการเชื่อมโยงการสร้างเครือข่าย บูรณาการการทำงานร่วมกัน ระหว่างภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน เครือข่ายชุมชน และภาควิชาการ เพื่อการตัดสินใจ เตรียมความพร้อม โดยมีแผน รับมือกับภัยพิบัติตั้งแต่การรับมือป้องกัน การจัดการเพื่อลดความเสี่ยงและลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้น การฟื้นฟูช่วงหลังการ เกิดภัยพิบัติ และการประเมินผลการทำงาน (กนกวรรณ มะโนรมย์ และคณะ, 2564) จากการทบทวนแนวคิดการจัดการภัยพิบัติผู้วิจัยพบข้อมูลสำคัญในการเชื่อมโยงการจัดการภัยพิบัติและ ความร่วมมือในการจัดการภัยพิบัติหลายระดับ ซึ่งประเทศไทยดำเนินงานภายใต้กรอบการดำเนินงานด้านภัยพิบัติของ นานาชาติ มีการจัดทำแผนรับมือป้องกันความเสี่ยง การให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดภัยพิบัติ การสร้างความเข้าใจต่อความเสี่ยงที่เกิดขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการทำงานให้ความช่วยเหลืออย่างรอบด้านทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ วัฒนธรรม สภาพแวดล้อม ผ่านความร่วมมือกับเครือข่ายจากหลายภาคส่วนและหลายระดับทั้งใน ระดับบุคคล ชุมชนและประเทศ นำมาพัฒนากรอบเชิงทฤษฎีและกรอบแนวคิดในด้านการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 126 ผู้สูงอายุกับการจัดการภัยพิบัติ ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทั้งการเปลี่ยนแปลงทางร่ายกายตามวัย มีความเปราะบางทางสุขภาพทาง กายจากการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย มีโรคประจำตัว และข้อจำกัดทางด้านร่างกาย การเคลื่อนไหว ความยากลำบาก ในการเดิน การยกของ ถือของ การฟัง การมองเห็น ปัญหาสุขภาพจิตใจ ซึ่งอาจมีผลเกี่ยวเนื่องจากทั้งปัญหาความเจ็บป่วย ความวิตกกังวล การเครียด ความรู้สึกไม่มั่นคง ความรู้สึกเหงาโดดเดี่ยวจากการสูญเสียเพื่อน ญาติหรือคู่ชีวิต (Abdi et al., 2019; WHO, 2022) เมื่อต้องประสบกับภัยพิบัติในกลุ่มผู้สูงอายุจึงมีข้อจำกัดในการรับมือกับภัยที่จะเกิดขึ้น ทั้งในกลุ่ม ผู้สูงอายุที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้และในกลุ่มผู้สูงอายุที่ยังสามารถช่วยเหลือตนเองได้ดี ยังมีศักยภาพในการดูแลตนเอง และ สามารถเตรียมการเผชิญกับภัยพิบัติได้ผู้สูงอายุจึงเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญในแผนการเตรียมความพร้อมเพื่อลดความเสี่ยง และรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นหน่วยงานในพื้นที่จะเป็นองค์กรในการรวบรวมข้อมูล แผนการป้องกันและรับมือกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น การซักซ้อมแผนปฏิบัติการการช่วยเหลือผู้สูงอายุ พร้อมทั้งจัดทำคู่มือใน การให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุ (มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย, 2563) การจัดการภัยพิบัติในกลุ่มผู้สูงอายุต้องให้ ความสำคัญกับการเตรียมการล่วงหน้า และจัดทำข้อมูลผู้สูงอายุให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ทั้งรายละเอียดตำแหน่งที่อยู่ สถานะ ทางสุขภาพ ผู้ติดต่อกรณีฉุกเฉิน มีการให้ข้อมูลการเตรียมความพร้อมและดูแลตนเองเมื่อเกิดภัยพิบัติการรับอาสาสมัคร การประสานงานโรงพยาบาล มีแนวทางปฏิบัติและคุ้มครอง และการเผยแพร่ข้อมูลประชาสัมพันธ์แก่ผู้สูงอายุ ตลอดจน การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่น ให้ผู้สูงอายุมีหลักประกันความปลอดภัย เพื่อป้องกันและลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น และสามารถดำรงชีวิตและประกอบอาชีพอย่างเป็นปกติ(สำนักส่งเสริมและพิทักษ์ผู้สูงอายุ, 2556) นอกจากนี้ การจัดการภัยพิบัติของผู้สูงอายุ ไม่เพียงแต่ให้ความสำคัญกับตัวผู้สูงอายุเองเท่านั้น แต่ยังต้องให้ ความสำคัญกับหน่วยสนับสนุนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว ผู้นำชุมชน สมาชิกในชุมชน อาสาสมัคร หน่วยงานราชการ รวมทั้งองค์กรเครือข่ายอื่นๆ ที่เข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ ทั้งด้านการส่งเสริมศักยภาพในการดูแลตนเอง ของผู้สูงอายุและการช่วยเหลือเมื่อต้องเผชิญภัยพิบัติ (Kwan & Tam, 2021) เนื่องจาก ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สัมพันธ์กับ การจัดการภัยพิบัติของผู้สูงอายุ ให้ผู้สูงอายุสามารถรับมือต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดอุทกภัย มีงานศึกษา ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ในการเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัย และพฤติกรรมของผู้สูงอายุในชุมชน พบว่า ทั้งปัจจัย ภายในของผู้สูงอายุ อันเป็นพฤติกรรม ธรรมชาติของร่างกายผู้สูงอายุ ได้แก่ ด้านอายุ รายได้ครอบครัว สุขภาพ และปัจจัย ภายนอกที่มีส่วนให้เกิดความรอบรู้และพฤติกรรมการเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัย ได้แก่ แรงสนับสนุนทางสังคม ทั้งกลุ่ม ครอบครัว เพื่อนบ้าน ชุมชน และหน่วยงานท้องถิ่น ตลอดจน ปัจจัยสถานการณ์ได้แก่ ประสบการณ์การเผชิญอุทกภัย มีส่วน สัมพันธ์ให้ผู้สูงอายุมีการเตรียมความพร้อมและตัดสินใจในการป้องกันความเสียหาย และรับมือเมื่อเกิดสถานการณ์อุทกภัยขึ้น (ปาณิศา บุณยรัตกลิน และคณะ, 2565) นอกจากนี้ การจัดการภัยพิบัติต้องคำนึงถึงความครอบคลุมของการเกิดภัยพิบัติ ทั้งระยะก่อนเกิดภัย ระหว่างเกิดภัย และระยะฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องสอดคล้องในการดูแลผู้สูงอายุ อย่างครอบคลุม ทั้งการให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุญาติหรือผู้ดูแลเกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติการประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดภัย กับผู้สูงอายุการจัดเตรียมทรัพยากร การประสานความร่วมมือกับชุมชน รวมทั้งการให้ความสำคัญในการฟื้นฟูทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ ตลอดจนการจัดการสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ (นิตยา โชคทวีพาณิชย์ และสุวิณี วิวัฒน์ วานิช, 2558) ซึ่งการนำเรื่องการจัดการภัยพิบัติมาให้ความสำคัญในกลุ่มผู้สูงอายุ ถือเป็นแนวคิดสำคัญในการลดความเสี่ยง และให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุในการป้องกัน ดูแลตนเอง รวมทั้งเกิดแนวทางการให้ความช่วยเหลือจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้ผู้สูงอายุสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจากภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มการเกิดขึ้นบ่อยครั้งในอนาคต แนวคิดผู้สูงอายุกับการจัดการภัยพิบัติ สะท้อนการข้อจำกัดบางประการของผู้สูงอายุเมื่อต้องเผชิญภัยพิบัติ ทั้งนี้ ผู้สูงอายุยังมีศักยภาพในการดูแลตนเองเมื่อต้องเผชิญภัยพิบัติประกอบกับการช่วยเหลือจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน การให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุตั้งแต่การเตรียมการก่อนประสบภัย ระหว่าง และหลังประสบภัย ทั้งในด้านการจัดสรร


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 127 ทรัพยากร การช่วยเหลือด้านสุขภาพร่างกาย จิตใจ ที่เป็นปัจจัยให้ผู้สูงอายุสามารถรับมือเมื่อต้องเผชิญภัยพิบัติได้ จากการ ทบทวนแนวคิดดังกล่าว ผู้วิจัยจึงนำมากำหนดกรอบเชิงทฤษฎี และกรอบแนวคิดในงานวิจัย ดังนี้ ภาพที่ 1 กรอบเชิงทฤษฎี(Theoretical framework). กรอบเชิงทฤษฎี กรอบแนวคิด จากการทบทวนแนวคิดการจัดการภัยพิบัติ และแนวคิดผู้สูงอายุกับการจัดการภัยพิบัติ นำมากำหนดกรอบแนวคิด ที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุเมื่อต้องเผชิญอุทกภัย ทั้งข้อมูลส่วนบุคคลและการเผชิญอุทกภัย โดยเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับ การจัดการอุทกภัยในช่วงก่อนเกิดอุทกภัย ระหว่างเกิดอุทกภัย และการวางแผนหลังน้ำลด ดังนี้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 128 ภาพที่ 2 กรอบแนวคิด (Conceptual framework). วิธีการศึกษา งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ ผู้วิจัยใช้วิธีการศึกษาประกอบด้วย (1) การศึกษารวบรวมข้อมูลจากเอกสาร งานวิจัย บทความวิจัยที่เกี่ยวข้อง และ (2) การศึกษาข้อมูลภาคสนาม โดยใช้แบบสอบถามและแบบสอบถามออนไลน์เป็น เครื่องมือในการเก็บข้อมูล เนื่องจากขณะเก็บข้อมูลอยู่ในระหว่างการเกิดสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ โดยเก็บข้อมูลกลุ่ม ผู้สูงอายุที่กำลังประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ประชากรและตัวอย่าง ประชากร คือ ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป ที่อาศัยในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม มีจำนวน 12,311 คน (สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม, 2565) ตัวอย่าง คือ ผู้วิจัยกำหนดขนาดและเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) ร่วมกับการใช้เทคนิค ความสมัครใจในการให้ข้อมูล โดยตัวอย่างผู้สูงอายุเป็นตัวแทนของครัวเรือน กำหนดระยะเวลาการเก็บข้อมูล 1 สัปดาห์ ได้ตัวอย่างผู้สูงอายุจำนวน 66 คน มีเกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion criteria) คือ (1) เป็นผู้สูงอายุที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม เมื่อช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2565 และ (2) สามารถสื่อสารและ ตอบคำถามในแบบสอบถาม หรือแบบสอบถามออนไลน์ได้ด้านเกณฑ์การคัดออก (Exclusion criteria) คือ ผู้สูงอายุมีปัญหา ด้านสภาพจิตใจจากการประสบอุทกภัยที่ส่งผลกระทบเมื่อตอบแบบสอบถาม และด้านเกณฑ์การถอน (Discontinuation criteria) คือ ผู้สูงอายุไม่สามารถตอบแบบสอบถามได้ครบถ้วน หรือขอถอนตัวออกระหว่างการตอบแบบสอบถาม เครื่องมือและการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย คือแบบสอบถาม โดยผู้วิจัยพัฒนาคำถามจากการทบทวนแนวคิดและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แบบสอบถามประกอบด้วยข้อมูล 4 ส่วนดังนี้


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 129 ส่วนที่ 1ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สูงอายุ จำนวน 7 ข้อ ได้แก่ อายุสถานภาพสมรส สมาชิกในครัวเรือน ระดับการศึกษา การประกอบอาชีพ รายได้ครัวเรือน โรคประจำตัว โดยลักษณะคำถามด้านเพศและรายได้ ให้เติมข้อความในช่องว่าง และข้อมูล ส่วนบุคคด้านอื่นๆ มีลักษณะให้เลือกคำตอบ โดยด้านสมาชิกในครัวเรือน กรณีอยู่กับผู้อื่นเลือกคำตอบได้มากกว่า 1 ตัวเลือก ส่วนที่ 2 ข้อมูลการเผชิญอุทกภัยของผู้สูงอายุ จำนวน 5 ข้อ ได้แก่ ลักษณะที่อยู่อาศัย การเกิดอุบัติเหตุและ ความเจ็บป่วย หน่วยงานหรือผู้ให้ความช่วยเหลือรูปแบบที่ได้รับความช่วยเหลือ มีลักษณะคำถามให้เลือกคำตอบ โดยคำถามสอง ข้อหลังเป็นการเลือกคำตอบมากกว่า 1 ตัวเลือก และคำถามด้านจำนวนครั้งที่ประสบภัยให้เติมข้อความในช่องว่าง ส่วนที่ 3คำถามการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุจำนวน 10ข้อ แบ่งคำถาม เป็นช่วงก่อนเกิดอุทกภัย และระหว่างเกิด อุทกภัย โดยให้ผู้สูงอายุเลือกตอบ มีเกณฑ์การวัดระดับการจัดการ โดยใช้มาตราส่วนประเมินค่าแบ่งเป็น 4ระดับ มีคำอธิบายระดับ การจัดการอุทกภัย และกำหนดระดับ ดังนี้ ระดับ มาก หมายถึง มีการจัดการตามประเด็นคำถามได้ โดยสามารถดำรงชีวิตใกล้เคียงปกติค่าคะแนนเท่ากับ 3 ระดับ ปานกลาง หมายถึง มีการจัดการตามประเด็นคำถามได้แต่ยังมีเรื่องที่ยังจัดการไม่ได้บ้าง ค่าคะแนนเท่ากับ 2 ระดับ น้อย หมายถึง มีการจัดการตามประเด็นคำถามได้เพียงเล็กน้อย ค่าคะแนนเท่ากับ 1 ระดับ ไม่มี หมายถึง ไม่สามารถจัดการในเรื่องนั้นได้เลย ค่าคะแนนเท่ากับ 0 (ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ไม่มีผู้สูงอายุ ท่านใดตอบจากผลการวิเคราะห์ข้อมูล) ทั้งนี้มีการนำค่าเฉลี่ยที่คำนวณได้มาแปลผลความหมาย และปรับระดับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุเป็น 3 ระดับ3 ดังนี้ช่วงคะแนน 2.34-3.00 หมายถึงการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุระดับมาก ช่วงคะแนน 1.67-2.33 หมายถึงการจัดการ อุทกภัยของผู้สูงอายุระดับปานกลาง และช่วงคะแนน 1.00 -1.66 หมายถึงการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุระดับน้อย ส่วนที่ 4 การวางแผนหลังน้ำลด กำหนดให้ผู้สูงอายุเลือกคำตอบได้มากกว่า 1 ตัวเลือก การตรวจสอบเครื่องมือ ผู้วิจัยนำแบบสอบถามให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3คน ตรวจสอบความตรง (Validity) ซึ่งเป็นการทดสอบความสอดคล้องของ เนื้อหา (Content Validity) โดยผลการตรวจสอบพบว่าทุกข้อคำถาม มีค่าคะแนน 0.67 ขึ้นไป ซึ่งถือว่าข้อคำถามมีความ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การศึกษา หลังจากนั้นทดสอบความเที่ยง (Reliability) โดยทดลองใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง ผู้สูงอายุที่ประสบอุทกภัยพื้นที่ใกล้เคียง จำนวน 10 คน แล้ววิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์อัลฟา (Alpha Coefficient) ของ Cronbach ได้ค่าความเที่ยง เท่ากับ 0.561 ซึ่งถือว่าเป็นค่าที่ต่ำกว่าปกติ (ต่ำกว่า 0.70) ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากความสัมพันธ์ ของข้อคำถาม หรือการมีจำนวนข้อคำถามที่น้อย (Tavakol & Dennick, 2011) ทั้งนี้ แม้ว่าค่าความเที่ยงที่ได้จะต่ำกว่าเกณฑ์ โดยทั่วไป แต่จากบางแหล่งอ้างอิง ได้แก่ Perry et al. (2004) ได้กำหนดค่าช่วงคะแนนที่ 0.50-0.70 เป็นความเที่ยงระดับ ปานกลาง จึงถือว่าแบบสอบถามนี้มีความเที่ยงที่เหมาะสมปานกลาง อย่างไรก็ตาม แบบสอบถามในส่วนของรายข้อมีค่าความ ตรงเชิงเนื้อหาที่ผ่านเกณฑ์ทุกข้อ ซึ่งถือเป็นวิธีการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมืองานวิจัยเชิงปริมาณที่มีความสำคัญมากกว่า และยอมรับได้ (แม้ว่าค่าความเที่ยงจะต่ำจากเกณฑ์ทั่วไป) การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามและชี้แจงรายละเอียด วัตถุประสงค์ในการศึกษาต่อผู้ร่วมการวิจัย ทั้งนี้ ด้วยอุปสรรคจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการเก็บข้อมูล และอาจกระทบต่อเส้นทางการสัญจร ผู้วิจัยจึงนำข้อมูลใน แบบสอบถามมาจัดทำในรูปแบบออนไลน์ (Google form) ไว้อีกช่องทางหนึ่ง โดยชี้แจงรายละเอียด วัตถุประสงค์ของงานวิจัย ในแบบสอบถามออนไลน์ และสร้างลิ้งค์สำหรับการส่งแบบสอบถามออนไลน์เพื่อเก็บข้อมูลกับผู้สูงอายุ โดยประสานสมาชิก ชุมชนในพื้นที่สำหรับการเก็บแบบสอบถาม โดยประชุมเพื่อชี้แจง อธิบายเพื่อทำความเข้าใจประเด็นคำถามในแบบสอบถาม และเปิดโอกาสการถามตอบข้อมูลให้มีความเข้าใจตรงกัน เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 6-12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 จากนั้น ตรวจสอบความครบถ้วนและความถูกต้องของข้อมูล รวมถึงการตรวจสอบข้อมูลใน Google form ก่อนที่จะนำไปวิเคราะห์ 3 การปรับค่าระดับคะแนนเป็น 3 ระดับ เนื่องจากไม่มีผู้สูงอายุตอบระดับการจัดการอุทกภัยในระดับ ไม่มี


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 130 การวิเคราะห์ข้อมูล เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วนและมีความถูกต้อง ผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ผลผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังนี้ ส่วนที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล การเผชิญอุทกภัยของผู้สูงอายุ และการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ ในพื้นที่ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และผู้วิจัยนำเสนอค่าสูงสุด ค่าต่ำสุด ค่ามัธยฐาน และส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ประกอบข้อมูลด้านอายุ และรายได้ของผู้สูงอายุ ส่วนที่ 2 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลส่วนบุคคล การเผชิญอุทกภัยของผู้สูงอายุ และการวางแผนหลังน้ำลด กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ การวิจัยนี้ใช้สถิตินอนพาราเมตริก (Nonparametric statistics) โดยใช้การทดสอบไคสแควร์(Chi-square test) กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (Kennedy-Shaffer, 2019) จริยธรรมการวิจัย ผู้วิจัยตระหนักถึงจริยธรรมงานวิจัยในมนุษย์ของกระบวนการทำวิจัย ดังนี้ (1) การเก็บข้อมูลในช่วงระหว่างการเกิด อุทกภัย ผู้วิจัยพึงตระหนักถึงเงื่อนไขความยากลำบากในการเผชิญภัยพิบัติและการเคารพต่อผู้สูงอายุโดยการแนะนำตัวและ ขออนุญาตเก็บข้อมูลทุกครั้ง ชี้แจงรายละเอียดวัตถุประสงค์ ให้เวลาผู้สูงอายุได้ตัดสินใจตอบแบบสอบถามโดยสมัครใจ ไม่เร่ง เร้าต่อคำตอบ ผู้วิจัยตระหนักถึงการรักษาความลับต่อผู้สูงอายุที่ตอบแบบสอบถาม โดยนำเสนอผลการศึกษาในภาพรวม เท่านั้น เนื้อหาในผลการศึกษาจะไม่ปรากฎข้อมูลส่วนบุคคล หรือคำตอบที่จะระบุถึงตัวผู้สูงอายุที่ให้ข้อมูลได้ (2) นักวิจัย ตระหนักและระมัดระวังเมื่อเก็บข้อมูลกับผู้สูงอายุ โดยการสังเกตการแสดงออก สภาพจิตใจ ความยากลำบากของผู้สูงอายุ ในช่วงให้ข้อมูล หากผู้สูงอายุแสดงถึงความไม่สบายใจเมื่อตอบแบบสอบถาม จะต้องยกเลิกการตอบแบบสอบถามตาม ความต้องการของผู้สูงอายุและ (3) การคำนึงถึงหลักความยุติธรรม โดยผู้วิจัยกำหนดเกณฑ์การคัดเข้า คัดออก เกณฑ์การถอน ตามวัตถุประสงค์การวิจัย ผลการศึกษาและอภิปรายผล ผลการศึกษาซึ่งสามารถเก็บข้อมูลจากผู้สูงอายุแบบเผชิญหน้าได้ทั้งหมด ประกอบด้วยข้อมูล 5 ส่วน เพื่อตอบ คำถามตามวัตถุประสงค์ ได้แก่ ส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคล ส่วนที่ 2 การเผชิญอุทกภัยของผู้สูงอายุส่วนที่ 3 การจัดการ อุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ส่วนที่ 4 การวางแผนหลังน้ำลด ส่วนที่ 5 ปัจจัยที่มี ความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างทั้ง 66 คน พบว่าผู้สูงอายุมีอายุน้อยที่สุด 60 ปี และมีอายุมากที่สุด 90 ปีมีค่ามัธยฐาน ของอายุ คือ 69 ปี ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 60-69 ปี ร้อยละ 51.5 รองลงมาอยู่ในช่วงอายุ70-79 ปีร้อยละ 40.9 ผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่ มีสถานภาพสมรส ร้อยละ 68.2 รองลงมาคือสถานภาพหม้าย ร้อยละ 18.2 สำหรับข้อมูลการอยู่อาศัยกับสมาชิกใน ครัวเรือน พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่อาศัยอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในครัวเรือน ร้อยละ 90.9 โดยอาศัยอยู่กับคู่สมรสมากที่สุด ร้อยละ 70.0 รองลงมา คือ อาศัยอยู่กับบุตร ร้อยละ 60.0 ข้อมูลระดับการศึกษา พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ มีระดับการศึกษาสูงสุด คือ ระดับประถมศึกษา ร้อยละ 90.9 รองลงมา คือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 4.5 ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ประกอบอาชีพหลักเป็น เกษตรกร ร้อยละ 59.1 ในขณะที่ รองลงมา เป็นจำนวนผู้สูงอายุที่ไม่ได้ประกอบอาชีพ ร้อยละ 31.8 สำหรับข้อมูลรายได้เฉลี่ยของครัวเรือนของผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 5,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 54.5 รองลงมา คือ ช่วงรายได้ 5,001-10,000 บาท และ 10,001-20,000 บาท จำนวนเท่ากัน คือ ร้อยละ 19.7 โดยมีค่า มัธยฐานของรายได้ เท่ากับ 4,650 บาท ครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำสุด คือ 700 บาท และครัวเรือนที่มีรายได้สูงสุด คือ 50,000 บาท ด้านข้อมูลโรคประจำตัว ผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่ ไม่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 62.1 (ดังข้อมูลตารางที่ 1)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 131 ทั้งนี้ ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 37.9 (25 คน) ผู้สูงอายุทุกคนมีโรคประจำตัวคือโรคเบาหวาน รองลงมา คือ โรคความดัน ร้อยละ 80.0 (20 คน) และโรคหอบหืด ร้อยละ 8.0 (2 คน) นอกจากนี้ ยังมีโรคตับ โรคไขมันในเลือดสูง โรคไต โรคเก๊าท์ ไทรอยด์และมือเท้าชา ร้อยละ 4.0 (จำนวน 1 คนเท่ากัน) ตารางที่ 1 จำนวนและร้อยละของผู้สูงอายุจำแนกตามข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลส่วนบุคคล จำนวน (n=66 คน) ร้อยละ ข้อมูลส่วนบุคคล จำนวน (n=66 คน) ร้อยละ อายุ ระดับการศึกษาสูงสุด 60-69 ปี 34 51.5 ประถมศึกษา 60 90.9 70-79 ปี 27 40.9 มัธยมศึกษาตอนต้น 3 4.5 80 ปีขึ้นไป 5 7.6 มัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช 2 3.0 ค่ามัธยฐาน=69 ปี ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์=4 ปี ค่าต่ำสุด=60 ปี ค่าสูงสุด=90 ปี ปริญญาตรีหรือสูงกว่า 1 1.5 สถานภาพสมรส การประกอบอาชีพหลัก สมรส 45 68.2 ไม่ได้ประกอบอาชีพ 21 31.8 หม้าย 12 18.2 เกษตรกร 39 59.1 โสด 7 10.6 รับจ้างทั่วไป 3 4.5 หย่า 1 1.5 ผู้ประกอบการ/ค้าขาย 2 3.0 แยกกันอยู่ 1 1.5 เกษียณอายุ 1 1.5 รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนต่อเดือน (บาท) การอยู่อาศัยกับสมาชิกในครัวเรือน ≤5,000 บาท 36 54.5 อยู่กับผู้อื่น 60 90.9 5,001-10,000 บาท 13 19.7 อยู่คนเดียว 6 9.1 10,001-20,000 บาท 13 19.7 กรณีอยู่กับผู้อื่น จำนวน(n=60) ร้อยละ 20,001-30,000 บาท 1 1.5 อยู่กับคู่สมรส 42 70.0 มากกว่า 30,000 ขึ้นไป 3 4.5 อยู่กับบุตร 36 60.0 ค่ามัธยฐาน=4,650 บาท ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์=4,900 บาท ค่าต่ำสุด=700 บาท ค่าสูงสุด= 50,000 บาท อยู่กับหลาน 20 33.3 โรคประจำตัว อยู่กับญาติ 2 3.3 ไม่มีโรคประจำตัว 41 62.1 มีโรคประจำตัว 25 37.9 จากผลการศึกษาผู้สูงอายุที่มีรายได้ 700-800 บาท เป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวในครัวเรือน และไม่ได้ประกอบ อาชีพ ซึ่งข้อมูลด้านรายได้ปรากฏสัมพันธ์ตามเกณฑ์อายุการจ่ายเบี้ยยังชีพ แสดงถึงรายได้หลักของผู้สูงอายุมาจากเบี้ยยังชีพ ผู้สูงอายุ (นารถลดา ขันธิกุล และคณะ, 2561) แตกต่างจากกลุ่มผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ร่วมกับสมาชิกครัวเรือน มีรายได้จากคนใน ครอบครัว ซึ่งคาดการณ์ถึงการนำรายได้มาใช้ในการจัดการเมื่อต้องเผชิญอุทกภัย นอกจากนี้ด้านการประกอบอาชีพหลัก พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร ซึ่งการเกิดอุทกภัย ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อพื้นที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยัง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 132 รวมถึงผลกระทบทางด้านอาชีพ เนื่องจากพื้นที่เกษตรกรรมได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และไม่สามารถประกอบอาชีพได้ (จินดาวรรณ เงารัศมีและคณะ, 2558) ในเรื่องนี้ งานของ ดุษฎีอายุวัฒน์และคณะ (2560) สะท้อนถึงจำนวนครัวเรือนที่ ประกอบอาชีพภาคการเกษตร มีความสัมพันธ์ต่อความเปราะบาง จากการได้รับความเสี่ยงในอาชีพจากอุทกภัย ซึ่งมีผลต่อ การดำรงชีพของผู้ประสบภัย โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงที่เกิดอุทกภัยบ่อยครั้ง ส่วนที่ 2 การเผชิญอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัยจังหวัดมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุร้อยละ 97.0 ให้ข้อมูลการประสบอุทกภัยและเกิดผลกระทบความยากลำบาก ความเสียหาย ต่อทรัพย์สิน ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ย้อนหลัง (พ.ศ. 2561-2565) จำนวน 2 ครั้ง และ ผู้สูงอายุ ร้อยละ 3.0 ประสบภัย จำนวน 3 ครั้ง ข้อมูลด้านลักษณะที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยู่อาศัยในบ้านสองชั้น ร้อยละ 60.6 รองลงมาเป็นบ้านชั้นเดียว ร้อยละ 33.3 จากการเก็บข้อมูลในระหว่างที่ผู้สูงอายุประสบอุทกภัยในปี 2565 พบว่า ผู้สูงอายุทั้ง 66 คน ไม่ได้รับอุบัติเหตุ และความเจ็บป่วยจากอันเนื่องมาจากการเผชิญอุทกภัยที่ต้องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล ทั้งนี้ ในช่วงเวลาเกิดอุทกภัย หน่วยงานหรือผู้ให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุมากที่สุด คือ หน่วยงานภายนอก เช่น เอกชน มูลนิธิ หรือ อาสาสมัคร หรือ บุคคลภายนอกชุมชน เป็นต้น ร้อยละ 87.9 รองลงมาคือ หน่วยงานของรัฐ ร้อยละ 71.2 และเพื่อนบ้านหรือคนชุมชน ร้อยละ 57.6 ตามลำดับ นอกจากนี้ ผลการศึกษาพบข้อมูลที่น่าสังเกต คือ ครอบครัว เป็นหน่วยที่ช่วยเหลือผู้สูงอายุน้อยที่สุด ร้อยละ 25.8 อาจเนื่องด้วย ณ ขณะนั้น ครอบครัวผู้สูงอายุเป็นผู้ประสบภัยเช่นเดียวกัน ผู้ให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุส่วนใหญ่จึงเป็น บุคคลภายนอก ผู้สูงอายุทั้งหมดได้รับความช่วยเหลือ เป็นอาหาร และน้ำดื่ม ร้อยละ 100.0 รองลงมา คือ การได้รับสิ่งของ จำเป็น ร้อยละ 95.5 ความช่วยเหลือในรูปแบบกำลังคนหรืออาสาสมัคร ร้อยละ 30.3 และการได้รับข้อมูลข่าวสาร การเตือนภัย ร้อยละ 15.2 ตามลำดับ (ดังข้อมูล ตารางที่ 2) ทั้งนี้ รูปแบบการช่วยเหลือที่ผู้สูงอายุไม่ได้รับ คือ การช่วยเหลือในรูปแบบเงิน เนื่องจากช่วงการเก็บแบบสอบถามอยู่ในช่วงระหว่างผู้สูงอายุประสบอุทกภัย ตารางที่ 2 จำนวนและร้อยละของผู้สูงอายุจำแนกตามเผชิญอุทกภัยในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ข้อมูลการเผชิญอุทกภัย จำนวน (n=66 คน) ร้อยละ ข้อมูลการเผชิญอุทกภัย จำนวน (n=66 คน) ร้อยละ ลักษณะที่อยู่อาศัย รูปแบบความช่วยเหลือ(ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) บ้านสองชั้น 40 60.6 อาหาร 66 100.0 บ้านชั้นเดียว 22 33.3 น้ำดื่ม 66 100.0 บ้านใต้ถุนสูง 4 6.1 สิ่งของจำเป็น 63 95.5 หน่วยงานหรือผู้ให้ความช่วยเหลือ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) กำลังคน 20 30.3 หน่วยงาน/บุคคลภายนอกชุมชน 58 87.9 ข้อมูลข่าวสาร การเตือนภัย 10 15.2 หน่วยงานของรัฐ 47 71.2 กำลังใจ 8 12.1 เพื่อนบ้าน/ คนชุมชน 38 57.6 ที่พักชั่วคราว 7 10.6 ญาติพี่น้อง 19 28.8 ห้องน้ำ 7 10.6 ครอบครัว 17 25.8 การบริการ เช่น การดูแลสุขภาพ การประสานงาน เป็นต้น ไฟส่องสว่าง 2 3.0 จำนวนครั้งที่ประสบอุทกภัย ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ย้อนหลัง (พ.ศ. 2561-2565) 2 3.0 2 ครั้ง 64 97.0 3 ครั้ง 2 3.0


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 133 จากข้อมูลตารางที่ 2ลักษณะที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่อาศัยในบ้านสองชั้น ซึ่งผู้สูงอายุสามารถเตรียม การเคลื่อนย้ายสิ่งของไปยังบริเวณชั้นสองของบ้านหรือขนย้ายสิ่งของไว้ในตำแหน่งสูงได้โดยงานของ ชนาภิวัฒน์ขันทะ และ อุ่นเรือน เล็กน้อย (2564) ระบุถึงลักษณะที่อยู่อาศัยเป็นข้อมูลที่สะท้อนถึงความเปราะบางของครัวเรือนและการป้องกันผลกระทบ จากอุทกภัย ทั้งนี้ กรณีผู้สูงอายุที่มีสมาชิกในครอบครัวอาศัยอยู่ร่วมกัน ครอบครัวจะเป็นผู้ช่วยเหลือในการขนย้ายสิ่งของเพื่อ ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น (Kwan & Tam, 2021) นอกจากนี้ หากพิจารณาข้อมูลด้านการเผชิญอุทกภัยของผู้สูงอายุ ในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ผู้สูงอายุได้รับความช่วยเหลือในทุกระดับ ทั้งครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน คนในชุมชน หน่วยงานของรัฐและบุคคลภายนอก ซึ่งให้ความช่วยเหลือในรูปแบบที่หลากหลายไม่ว่าจะด้วยกำลังกาย กำลังใจ ข้อมูลข่าวสาร ปัจจัยสี่และสิ่งจำเป็นต่างๆ ในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญอุทกภัย กรณีนี้งานของ ปฏิมาพร ภูศรี (2560) สะท้อนถึง ผลกระทบจากอุทกภัยที่เป็นผลกระทบในด้านบวก คือ แม้ว่าอุทกภัยจะก่อให้เกิดผลในทางลบอย่างมาก แต่ยังปรากฎข้อมูล การช่วยเหลือจากคนในชุมชนและคนภายนอกในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ ทั้งด้านกำลังคน สิ่งของ การแจ้งข่าวสารและ การประสานงานกัน เพื่อให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดอุทกภัย ตลอดจนมีรูปแบบการบรรเทาแก้ปัญหาด้านอารมณ์ โดย การแสวงหาการสนับสนุนทางสังคมเพื่อให้กำลังใจ และการหาทางผ่อนคลายในช่วงเวลาที่ยากลำบาก (ปองสุข ศรีชัย และ ปภาวดี เนตรสุวรรณ, 2564) กรณีผู้ให้ความช่วยเหลือและรูปแบบความช่วยเหลือที่มีความหลากหลายเช่นนี้ ยังสอดคล้องกับ กรอบการดำเนินงานเซนไดเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ พ.ศ. 2558-2573 (Sendai Framework for Disaster Risk Reduction 2015-2030) ที่กล่าวถึงการจัดการภัยพิบัติต้องให้ความสำคัญและเชื่อมโยงการทำงานทุกระดับ ทั้งระดับรัฐ ภาคเอกชน ท้องถิ่น และภาคประชาชน เพื่อลดความเสี่ยงจากภัยที่เกิดขึ้น ทั้งในด้านการเตรียมความพร้อมและการให้ ความช่วยเหลือกันในภาวะวิกฤติทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมของคนในชุมชน (UN, 2015a) นอกจากนี้ข้อสังเกตประการสำคัญในผลการศึกษาพบว่า ครอบครัวและญาติพี่น้อง เป็นกลุ่มที่ให้ความช่วยเหลือ ผู้สูงอายุน้อยกว่าหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานหรือบุคคลกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่ภายนอกชุมชน ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากครอบครัว และญาติพี่น้องนั้นได้รับการประสบภัยเช่นเดียวกัน จากรูปแบบการอยู่อาศัยในชุมชนชนบท ที่เครือญาติจะอาศัยอยู่ในชุมชน เดียวกันจึงคาดการณ์ถึงการประสบภัยร่วมกัน นอกจากนี้ อาจมีสาเหตุจากสมาชิกครอบครัวหรือเครือญาติของผู้สูงอายุย้าย ถิ่นฐานอาศัยอยู่ต่างพื้นที่ในช่วงเวลาที่เกิดอุทกภัย ซึ่งหากนำข้อมูลผลการศึกษามาประกอบการพิจารณาพบว่า หน่วยงานหรือ บุคคลภายนอกชุมชน หน่วยงานของรัฐ เป็นผู้ให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ประสบอุทกภัยที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่ทั้งนี้ ข้อมูลยัง ปรากฎถึงการให้ความช่วยเหลือผู้สูงอายุในทุกระดับ ดังนั้น เมื่อผู้สูงอายุต้องเผชิญกับอุทกภัยจึงสามารถใช้ประโยชน์จากความ ช่วยเหลือทั้งในระดับบุคคล ระดับครอบครัว และระดับชุมชน มาเชื่อมโยงและประสานความร่วมมือทั้งองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ภาคเอกชน และชุมชน เพื่อใช้ในการวางแผนการการให้ความช่วยเหลือทั้งในช่วงก่อนเกิดภัยพิบัติ ระหว่างเกิดภัยพิบัติ และหลังเกิดภัยพิบัติ (วราภรณ์ ทนงศักดิ์, 2563) ด้านข้อมูลจำนวนครั้งที่ประสบอุทกภัย ในช่วงระยะเวลา 5 ปี ย้อนหลัง (พ.ศ. 2561-2565) แสดงถึงประสบการณ์ที่ผู้สูงอายุได้เคยเผชิญกับอุทกภัย 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ งานของ ปาณิศา บุณยรัตกลิน และคณะ (2565) กล่าวถึงการอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยมีความสัมพันธ์ในทางบวก กล่าวคือ ทำให้มี ประสบการณ์และรู้สึกตื่นตัว ตลอดจนเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ส่วนที่ 3 การจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม 1)ข้อมูลส่วนนี้ เป็นการตอบวัตถุประสงค์การศึกษาข้อที่ 1 ข้อมูลการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอ กันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม จำแนกเป็นช่วงก่อนเกิดอุทกภัยและระหว่างการเกิดอุทกภัยโดยกำหนดระดับการจัดการอุทกภัย ของผู้สูงอายุมีคะแนนเต็มที่ 3 คะแนน ผลการศึกษาพบว่า ผู้สูงอายุมีระดับการจัดการอุทกภัยทั้ง 2 ช่วง ภาพรวมในระดับมาก คะแนนเมื่อจำแนกข้อมูลรายด้าน พบว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีระดับการจัดการอุทกภัยรายด้านในระดับมาก โดยในช่วงก่อนเกิด อุทกภัยผู้สูงอายุมีการติดตามข้อมูลข่าวสาร ความเสี่ยงจากอุทกภัย ( =2.67, S.D.=0.48)ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดเมื่อเทียบกับด้าน อื่นๆ ทั้งนี้ มีเพียงด้านการเตรียม ยา อาหาร น้ำดื่ม ของใช้จำเป็นที่มีการจัดการในระดับปานกลาง ( =2.29, S.D.=0.55) ใน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 134 ระหว่างการเกิดอุทกภัย ผู้สูงอายุมีการติดตามข้อมูลข่าวสารการเตือนภัยสถานการณ์น้ำตลอดเวลา ( =2.56, S.D.=0.50) และ มีทรัพยากรที่ใช้ดำรงชีวิตมีเพียงพอ ( =2.35, S.D.=0.60) (ดังข้อมูลตารางที่ 3) 2)ผู้วิจัยจัดกลุ่มลำดับคะแนนการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ในภาพรวม โดยจัดลำดับคะแนนการจัดการอุทกภัย ได้แก่ ≤10 คะแนน คือ การจัดการระดับน้อย 11-20 คะแนน คือ มีการจัดการระดับ ปานกลาง และ 21-30 คะแนน คือ มีการจัดการอยู่ในระดับมาก ทั้งนี้ ผลคะแนนในภาพรวม พบว่าการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่อยู่ในระดับมาก โดยผู้สูงอายุที่มีการจัดการอุทกภัยระดับมาก ร้อยละ 86.4 (57 คน)และผู้สูงอายุที่มีการจัดการอุทกภัย ในระดับปานกลาง ร้อยละ 13.6 (9 คน) ตารางที่ 3 ระดับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ประเด็นคำถาม ระดับการจัดการ (n=66) ร้อยละ(จำนวน) S.D. ระดับการ จัดการ มาก ปานกลาง น้อย ก่อนเกิดอุทกภัย 1. เข้าใจถึงผลกระทบของอุทกภัย 47.0(31) 53.0(35) - 2.47 0.50 มาก 2. การติดตามข้อมูลข่าวสาร ความเสี่ยง 66.7(44) 33.3(22) - 2.67 0.48 มาก 3. การป้องกันความเสียหายจากอุทกภัย 56.1(37) 39.4(26) 4.5(3) 2.52 0.59 มาก 4. การเตรียม ยา อาหาร น้ำดื่ม ของใช้ จำเป็น 33.3(22) 62.1(41) 4.5(3) 2.29 0.55 ปานกลาง 5. การมีส่วนร่วมในการวางแผนจัดการ อุทกภัยในชุมชน 28(42.4) 37(56.1) 1.5(1) 2.41 0.53 มาก ระหว่างการเกิดอุทกภัย 6. การดูแลตนเองเบื้องต้นระหว่างอุทกภัย 43.9(29) 53.0(35) 3.0(2) 2.41 0.55 มาก 7. การติดตามข้อมูลการเตือนภัยสถานการณ์ น้ำตลอดเวลา 56.1(37) 43.9(29) - 2.56 0.50 มาก 8. ทรัพยากรที่ใช้ดำรงชีวิตมีเพียงพอ 40.9(27) 53.0(35) 6.1(4) 2.35 0.60 มาก 9. สามารถอพยพย้ายที่อยู่อาศัย กรณีระดับ น้ำขึ้นสูง 50.0(33) 50.0(33) - 2.50 0.50 มาก 10. สามารถติดต่อสื่อสารความช่วยเหลือ กรณีฉุกเฉิน 56.1(37) 39.4(26) 4.5(3) 2.52 0.59 มาก การอภิปรายผลระดับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ผู้สูงอายุส่วน ใหญ่มีการจัดการอุทกภัยอยู่ในระดับมาก โดยผู้สูงอายุมีการติดตามข้อมูลข่าวสาร ความเสี่ยงจากอุทกภัย ทั้งช่วงก่อนเกิด อุทกภัยและระหว่างเกิดอุทกภัยเพื่อติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำตลอดเวลา มีความสามารถในการจัดการดูแลการป้องกัน ความเสียหายและการเตรียมทรัพยากร การดูแลตนเองเมื่อเกิดอุทกภัย ตลอดจนความสามารถติดต่อสื่อสารความช่วยเหลือ กรณีฉุกเฉิน ทั้งนี้ ผู้สูงอายุยังมีส่วนร่วมในการวางแผนจัดการอุทกภัยในชุมชน ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถรับมือของผู้สูงอายุ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 135 เมื่อต้องเผชิญอุทกภัย สอดคล้องกับงานของวีรชน นรานุต และคณะ (2561) พบว่า ข้อมูลรับรู้ความเสี่ยงอุทกภัย และข้อมูล ด้านความตระหนักรู้อุทกภัย ภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการติดต่อสื่อสารเกี่ยวกับ ข้อมูลข่าวสารอุทกภัย นอกจากนี้ การเตรียมความพร้อมรับมืออุทกภัยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้าน การติดตามสถานการณ์และการแจ้งเตือนภัย ข้อมูลข้างต้น จึงสะท้อนถึงการให้ความสำคัญของการจัดการอุทกภัย ทั้งในด้าน การติดตามข่าวสาร ความสามารถในการประสานงาน ทักษะการเอาตัวรอด ตลอดจนการส่งเสริมความคิดเห็นและการมี ส่วนร่วมของคนในชุมชน การเตรียมความพร้อมทั้งในระดับครัวเรือนและแผนชุมชนในการรับมือเมื่อเกิดภัยพิบัติ (ชนาภิวัฒน์ ขันทะ และอุ่นเรือน เล็กน้อย, 2564) นอกจากนี้ ในประเด็นด้านการติดตามข้อมูลข่าวสาร ความเสี่ยง ตลอดจนการติดตามสถานการณ์อุทกภัย ทั้งในช่วง ก่อนเกิดและระหว่างเกิดอุทกภัย สะท้อนความเป็นไปได้ในการเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและมีประโยชน์ต่อ การจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ งานของ ศรัณย์ลิตา โชติรัตน์(2558) ระบุถึงการสื่อสาร การเฝ้าระวังภัยพิบัติจากอุทกภัยผ่าน สื่อต่างๆ ได้แก่ สื่อโทรทัศน์ โทรศัพท์ การสื่อสารระหว่างบุคคล หอกระจายข่าว และสื่อออนไลน์ ด้วยข้อมูลที่ชัดเจน เข้าใจ ง่าย ทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและการติดตามและเฝ้าระวังภัยพิบัตินั้น อีกทั้ง การสนับสนุนจากสื่อและแหล่งข้อมูลข่าวสาร ที่ทำให้ผู้สูงอายุรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างเหมาะสมและมีข้อมูลในการป้องกันภัย (ปาณิศา บุณยรัตกลิน และคณะ, 2565) ในประเด็นด้านการเตรียม ยา อาหาร น้ำดื่ม ของใช้จำเป็นช่วงก่อนเกิดอุทกภัยที่ผู้สูงอายุมีการจัดการในระดับปานกลาง งานของ Yodsuban and Nuntaboot (2021) มีแนวทางที่น่าสนใจในการเตรียมความพร้อมเรื่องดังกล่าว โดยการใช้ ประโยชน์จากสวัสดิการชุมชน เพื่อจัดสวัสดิการสิ่งของจำเป็นช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุในช่วงก่อนเกิดอุทกภัย ทำให้ผู้สูงอายุรับมือ กับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นได้ ส่วนที่ 4 การวางแผนของผู้สูงอายุหลังน้ำลด ข้อมูลการวางแผนหลังน้ำลด ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีการวางแผนหลังน้ำลด ร้อยละ 81.8 โดยวางแผนการทำ ความสะอาดที่อยู่อาศัย ร้อยละ 81.5 รองลงมา คือ การสำรวจความเสียหาย ร้อยละ 68.5 ปรับเปลี่ยนการจัดวางสิ่งของใน บ้าน เช่น ย้ายสิ่งของไว้ชั้นสอง หรือที่สูงถาวร เป็นต้น และการนำประสบการณ์การประสบภัยเพื่อเตรียมความพร้อมหาก เผชิญอุทกภัยครั้งต่อไป จำนวนเท่ากัน คือ ร้อยละ 42.6 การซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ร้อยละ 40.7 ตามลำดับ (ดังข้อมูล ตารางที่ 4) ทั้งนี้ ข้อคำถามในแบบสอบถาม ส่วนการวางแผนหลังน้ำลด ในประเด็นการวางแผนการถมบ้าน ดีดบ้าน สร้างบ้านใหม่ และย้ายที่อยู่อาศัยนั้น ผู้สูงอายุไม่เลือกตอบในประเด็นดังกล่าว ตารางที่4 จำนวนและร้อยละข้อมูลการวางแผนหลังน้ำลดของผู้สูงอายุ ข้อมูลการวางแผนหลังน้ำลด จำนวน (n=66) ร้อยละ มีการวางแผนจำนวน 54 81.8 ไม่มีการวางแผน 12 18.2 ข้อมูลการวางแผนของผู้สูงอายุ (ตอบได้มากกว่า 1 ตัวเลือก) จำนวน (n=54) ร้อยละ การทำความสะอาดที่อยู่อาศัย 44 81.5 การสำรวจความเสียหาย 37 68.5 ปรับเปลี่ยนการจัดวางสิ่งของในบ้าน 23 42.6 การนำประสบการณ์เพื่อเตรียมความพร้อมหากเผชิญอุทกภัยครั้งต่อไป 23 42.6 การซ่อมแซมที่อยู่อาศัย 22 40.7


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 136 ข้อมูลการวางแผนหลังน้ำลด จำนวน (n=66) ร้อยละ การติดตามแผนการช่วยเหลือจากภาครัฐ 13 24.1 การพบแพทย์ 13 24.1 ช่วยชุมชนทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง 11 20.4 การฟื้นฟูอาชีพ 9 16.7 การกู้ยืมเงิน 2 3.7 จากผลการศึกษาผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีการวางแผนหลังน้ำลด ในด้านการทำความสะอาดที่อยู่อาศัย การสำรวจ ความเสียหายซึ่งสอดคล้องกับงานของ ปฏิมาพร ภูศรี (2560) พบว่าหลังจากเกิดภัยอุทกภัย เกิดผลกระทบและความเสียหาย กับทรัพย์สินที่อยู่อาศัย จึงมีการจัดการโดยการประเมินความเสียหาย การติดตามการเยียวยาให้ความช่วยเหลือ การทำ ความสะอาดชุมชนจากสภาพแวดล้อมที่สกปรก ทั้งนี้ ผู้วิจัยเห็นว่าข้อมูลด้านการทำความสะอาดที่อยู่อาศัยและการสำรวจ ความเสียหายที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่เลือกนั้นเป็นการวางแผนที่เป็นปกติทั่วไปเพื่อจัดการกับความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยหาก เปรียบเทียบกับช่วงวัยอื่นๆ ก็อาจมีข้อปฏิบัติเช่นเดียวกัน แต่ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับกรณีผู้สูงอายุคือการพบแพทย์หลังน้ำ ลด เนื่องด้วยหากพิจารณาจากผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวจำนวน 25 คน จำนวนผู้สูงอายุที่มีการวางแผนพบแพทย์เพื่อตรวจ สุขภาพ/รักษาอาการเจ็บป่วย เกือบครึ่งหนึ่งนั้น สะท้อนถึงผลกระทบของอุทกภัยที่มีต่อภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุ รวมถึง การได้รับยาและการรักษาอย่างต่อเนื่อง ในระยะหลังเกิดภัยพิบัติ นอกจากนี้ ด้านข้อมูลการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุยังสะท้อนถึงรายจ่ายที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย ซึ่งอาจมีความเชื่อมโยงต่อการติดตามแผนการช่วยเหลือจากภาครัฐ เรื่องเงินเยียวยา และการกู้ยืมเงิน เพื่อซ่อมแซม ปรับปรุงที่อยู่อาศัย ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เป็นต้น ในประเด็นนี้ สอดคล้องกับงานของ อาบกนก ทองแถม (2563) ที่เสนอเรื่องระบบการดูแลผู้สูงอายุเรื่องการฟื้นฟูด้านสุขภาพ ด้านสังคม และเศรษฐกิจเพื่อให้ ผู้สูงอายุสามารถกลับไปดำเนินชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว ทั้งนี้ งานวิจัยดังกล่าวสะท้อนข้อจำกัดประการสำคัญคือ ผู้สูงอายุ ไม่สามารถเข้าถึงเมื่อต้องติดต่อกับราชการ การมีฐานข้อมูลผู้สูงอายุเพื่อสำรวจความต้องการของผู้สูงอายุหลังเกิดภัยพิบัติจึง เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อนำมาวางแผนในขั้นตอนให้การพิจารณาช่วยเหลือต่อไป ส่วนที่ 5 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ข้อมูลส่วนนี้ ตอบวัตถุประสงค์ข้อที่2 ในการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่ อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม พบว่า ข้อมูลส่วนบุคคล ด้านรายได้เฉลี่ยของครัวเรือน ปัจจัยข้อมูลการเผชิญอุทกภัยของ ผู้สูงอายุด้านหน่วยงานหรือผู้ให้ความช่วยเหลือเมื่อประสบภัยน้ำท่วม ได้แก่ เพื่อนบ้านหรือคนชุมชน ด้านรูปแบบที่ได้รับ ความช่วยเหลือ ได้แก่ กำลังคนหรืออาสาสมัคร มีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (ดังข้อมูล ตารางที่ 5)


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 137 ตารางที่ 5 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ปัจจัย ค่าทดสอบ (Value) องศาเสรี (df) ค่านัยสำคัญทางสถิติ Asymptotic significance (2-sided) ปัจจัยข้อมูลส่วนบุคคล อายุ 0.854 2 0.652 สถานภาพสมรส 3.819 4 0.431 การอยู่อาศัยกับสมาชิกในครัวเรือน 2.174 1 0.186 ระดับการศึกษา 7.127 3 0.068 การประกอบอาชีพ 9.330 4 0.053 รายได้เฉลี่ยของครัวเรือน 21.221 4 0.000* โรคประจำตัว 0.092 1 1.000 ปัจจัยข้อมูลการเผชิญอุทกภัยของผู้สูงอายุ ลักษณะที่อยู่อาศัย 4.921 2 0.085 หน่วยงานหรือผู้ให้ความช่วยเหลือเมื่อท่านประสบภัยน้ำท่วม ครอบครัว 0.068 1 1.000 ญาติพี่น้อง 0.219 1 1.000 เพื่อนบ้าน/ คนชุมชน 5.332 1 0.030* หน่วยงานของรัฐ 0.219 1 1.000 หน่วยงานภายนอก เช่น เอกชน มูลนิธิ หรือ อาสาสมัคร/ บุคคลภายนอกชุมชน เป็นต้น 0.998 1 0.298 รูปแบบที่ได้รับความช่วยเหลือ กำลังใจ 0.998 1 0.298 กำลังคน/อาสาสมัคร 4.531 1 0.048* ข้อมูลข่าวสาร การเตือนภัย 0.132 1 1.000 สิ่งของจำเป็น 0.496 1 1.000 ที่พักชั่วคราว 1.483 1 0.241 ห้องน้ำ 1.483 1 0.241 การบริการ เช่น การดูแลสุขภาพ การประสานงาน เป็นต้น 0.326 1 1.000 ไฟส่องสว่าง 0.326 1 1.000 จำนวนครั้งที่ประสบอุทกภัย 0.326 1 1.000 *มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 138 จากข้อมูลปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม มีข้อสังเกตในด้าน ปัจจัยข้อมูลส่วนบุคคล ด้านการประกอบอาชีพ เนื่องจาก แม้ว่าข้อมูลจะบ่งชี้ถึงค่านัยสำคัญทางสถิติที่ .053 ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตามหากพิจารณาที่ค่าตัวเลขแล้ว มีความใกล้เคียง ระดับนัยสำคัญที่ .05 ซึ่งอาจตีความได้ว่า ปัจจัยด้านการประกอบอาชีพมีความใกล้เคียงหรือมีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์กับ การจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ เนื่องด้วยหากพิจารณาข้อมูลด้านอาชีพที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร ซึ่งได้รับ ผลกระทบและความเสียหายที่เกิดจากอุทกภัย ประเด็นด้านรายได้ที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีรายได้ของครัวเรือนต่ำกว่า หรือเท่ากับ 5,000 บาทต่อเดือน เมื่อเกิดอุทกภัยจึงพบความเชื่อมโยงกับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจเมื่อผู้สูงอายุต้องจัดการกับ อุทกภัย ได้แก่ ค่าใช้จ่ายตั้งแต่ก่อนน้ำท่วมคือการถมบ้านและดีดบ้าน ช่วงน้ำท่วม ต้องมีค่าใช้จ่ายในการขนย้ายสิ่งของ การสร้าง เพิงริมถนน และหลังน้ำท่วมมีค่าใช้จ่ายจากการซ่อมแซมบ้านเรือน รวมถึงมีภาระหนี้สินจากการกู้ยืมเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย (จินดาวรรณ เงารัศมีและคณะ, 2558) นอกจากนี้ งานของ ปาณิศา บุณยรัตกลิน และคณะ (2565) สะท้อนปัจจัยด้านรายได้ ครอบครัว ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเตรียมทุน สิ่งของในการเตรียมรับมือกับอุทกภัยที่จะเกิดขึ้น รวมทั้งปัจจัยแวดล้อมที่มีส่วนให้ เกิดความรอบรู้และพฤติกรรม การเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัย ได้แก่แรงสนับสนุนทางสังคม ได้แก่ กลุ่มครอบครัว หรือบุคคล ใกล้ชิด เพื่อนบ้าน ชุมชน และหน่วยงานท้องถิ่น ซึ่งเป็นส่วนสนับสนุนส่งเสริมให้ผู้สูงอายุรับมือกับอุทกภัยได้ ซึ่งสอดคล้องกับผล การศึกษาที่ว่าเพื่อนบ้านหรือคนในชุมชนมีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในขณะเดียวกันงานของ Seebauer and Babcicky (2017) ระบุถึงผู้ประสบภัยมีความเชื่อมั่นในอาสาสมัครอย่างมากและความเชื่อมั่นดังกล่าวมีความสัมพันธ์ ต่อการรับรู้ความเสี่ยงจากอุทกภัยที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นต่ออาสาสมัครและเพื่อนบ้านยังมีความสัมพันธ์ต่อ การพึ่งพาการสนับสนุนทางสังคมเมื่อเกิดอุทกภัย ด้านรูปแบบการช่วยเหลือด้านกำลังคนหรืออาสาสมัครที่มีความสัมพันธ์ต่อการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ จากข้อมูลในงานวิจัยผู้วิจัยมีความเห็นว่าผู้สูงอายุแม้จะเป็นกลุ่มที่มีอายุมาก ดังเช่นในกลุ่มผู้มีอายุ 80 ปีขึ้นไป การสนับสนุน ทางด้านกำลังคน อาสาสมัคร มีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยเหลือจัดการการเผชิญหน้ากับอุทกภัย ซึ่งผู้สูงอายุส่วนใหญ่ อาศัยอยู่กับบุคคลอื่นๆ ในครัวเรือน ตลอดจนเครือญาติ เพื่อนบ้าน และอาสาสมัครภายนอก เป็นสรรพกำลังในการให้ความ ช่วยเหลือ เช่น การเคลื่อนย้ายสิ่งของ การป้องกันความเสียหายของทรัพย์สิน การอพยพออกจากพื้นที่ เป็นต้น นอกจากนี้ใน ประเด็นการช่วยเหลือของเพื่อนบ้านหรือคนในชุมชนที่สัมพันธ์กับการจัดการภัยพิบัติ งานของ ดุษฎีอายุวัฒน์และคณะ (2560) ระบุถึงพฤติกรรมของชุมชน การสนับสนุนทางสังคม และการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการภัยพิบัติอุทกภัย มีอิทธิพล ต่อการบริหารจัดการก่อนการเกิดอุทกภัย จึงมีข้อเสนอให้ภาครัฐส่งเสริมทักษะและความพร้อมของชุมชนในการรับมือกับ อุทกภัย เนื่องจากชุมชนเป็นผู้ที่เข้าใจในลักษณะของชุมชนทั้งทางกายภาพ สังคม และด้านทุนมนุษย์ นอกจากนี้ จากกรอบแนวคิด ผู้วิจัยยังได้ทดสอบความสัมพันธ์ของการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอ กันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคามกับการวางแผนหลังน้ำลด พบว่า ระดับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุไม่มีความสัมพันธ์กับ การวางแผนหรือไม่มีการวางแผนหลังน้ำลดของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ที่นัยสำคัญสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 สรุปผลการศึกษา กลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่การอยู่อาศัยกับสมาชิกในครัวเรือน มากกว่าครึ่งประกอบอาชีพหลักเป็น เกษตรกร และมีรายได้ครัวเรือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 5,000 บาทต่อเดือน ผู้สูงอายุทุกคนล้วนมีประสบการณ์เผชิญอุทกภัย 2 ครั้งขึ้นไปใน รอบ 5 ปี ย้อนหลัง (พ.ศ. 2561-2565) ทั้งนี้ ในปีปัจจุบัน (พ.ศ. 2565) ที่ผู้สูงอายุเผชิญอุทกภัย ผู้สูงอายุได้รับความช่วยเหลือ ทั้งจากหน่วยงานภายนอก เช่น เอกชน มูลนิธิ อาสาสมัคร หรือ บุคคลภายนอกชุมชน หน่วยงานของรัฐ เพื่อนบ้าน คนชุมชน


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 139 ญาติพี่น้อง และครอบครัว เป็นต้น โดยมีรูปแบบการให้ความช่วยเหลือที่หลากหลาย และทุกคนได้รับการช่วยเหลือด้านอาหาร และน้ำดื่ม รองลงมา คือ การได้รับสิ่งของจำเป็น ความช่วยเหลือในรูปแบบกำลังคนหรืออาสาสมัคร และการได้รับข้อมูล ข่าวสาร การเตือนภัย ตามลำดับ ด้านข้อมูลการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีระดับ การจัดการอุทกภัยทั้งช่วงก่อนเกิดอุทกภัยและระหว่างเกิดอุทกภัยรายด้านในระดับมาก ยกเว้นเพียงด้านการเตรียม ยา อาหาร น้ำดื่ม ของใช้จำเป็นที่มีการจัดการในระดับปานกลาง ทั้งนี้ ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุ พบว่า รายได้เฉลี่ยของครัวเรือน ผู้ให้ความช่วยเหลือซึ่งเป็นเพื่อนบ้านหรือคนชุมชน และรูปแบบที่ได้รับความช่วยเหลือด้าน กำลังคนหรืออาสาสมัคร มีความสัมพันธ์กับการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกจากนี้ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีการวางแผนหลังน้ำลด แต่ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจคือ ผู้สูงอายุจำนวน 12 คน ตอบคำถามถึงการไม่มีการวางแผนหลังน้ำลด ข้อเสนอแนะที่ได้จากการศึกษา จากผลการศึกษาพบว่า รายได้ครัวเรือนของผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำกว่าหรือเท่ากับ 5,000 บาทต่อเดือน และ มีความสัมพันธ์กับการจัดการภัยพิบัติของผู้สูงอายุ ข้อมูลส่วนนี้หากนำมาพิจารณา อาจมีความสัมพันธ์กับทุนในการจัดเตรียม ยา อาหาร น้ำดื่ม ของใช้จำเป็นที่ผู้สูงอายุมีความสามารถในการจัดการระดับปานกลาง นอกจากนี้ ยังมีผู้สูงอายุจำนวนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ตามลำพังในครัวเรือน และมีผู้สูงอายุที่ไม่มีการวางแผนหลังน้ำลด จึงมีข้อเสนอ ดังนี้ (1) ระดับครอบครัว ชุมชน ช่วยเหลือผู้สูงอายุในการจัดเตรียมทรัพยากรที่จำเป็นก่อนประสบภัย ได้แก่ การจัดเตรียม ยา อาหาร น้ำดื่ม ของใช้จำเป็น และประสานหน่วยงานภาครัฐและองค์กรภายนอก กรณีทรัพยากรไม่เพียงพอ (2) ภาครัฐ โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดควรมีการจัดทำฐานข้อมูลผู้สูงอายุ ทั้งเรื่องรายได้ครัวเรือน อาชีพ การอยู่ อาศัย สำหรับการจัดเตรียมความพร้อมก่อนเกิดอุทกภัย โดยประสานการทำงานร่วมกับชุมชนและองค์กรภายนอกที่เกี่ยวข้อง ในการให้ความช่วยเหลือล่วงหน้า (3) ภาครัฐ ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรมีมาตรการการช่วยเหลือดูแลระยะยาว โดยทำงานร่วมกับชุมชนในพื้นที่ เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพในช่วงการฟื้นฟูหลังเกิดอุทกภัย เนื่องจาก ผลการศึกษาพบว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งต้องอาศัยช่วงการฟื้นฟูอาชีพและรายได้ในระยะเวลาหนึ่ง (4) จากผลการศึกษาพบว่า มีผู้สูงอายุที่วางแผนการกู้ยืมเงิน เพื่อซ่อมแซม ปรับปรุงที่อยู่อาศัยค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่าย ในชีวิตประจำวัน หลังน้ำลด ดังนั้น ภาครัฐจึงควรมีมาตรการช่วยเหลือเป็นการเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุในกลุ่มดังดังกล่าว เพื่อลด ผลกระทบจากการประสบอุทกภัยที่ทำให้ผู้สูงอายุประสบความยากลำบากในระยะยาว เช่น ผลกระทบจากหนี้สิน เป็นต้น (5) ระดับชุมชน ควรมีการติดตามผู้สูงอายุจำนวน 12 คน ที่ไม่มีวางแผนหลังน้ำลดสำหรับการช่วยเหลือเกื้อกูลในชุมชน และ ผู้นำชุมชนอาจประสานงานภาครัฐเพื่อให้ความช่วยเหลือและรับมือกับการเผชิญอุทกภัยในครั้งต่อไป ข้อเสนอแนะต่อการศึกษาวิจัยครั้งต่อไป แม้ว่าการศึกษาในครั้งนี้ พบว่า ผู้สูงอายุมีระดับการจัดการอุทกภัยในระดับมาก แต่เนื่องจากผู้วิจัยเก็บข้อมูลในช่วง ระยะเวลาระหว่างที่ผู้สูงอายุเผชิญอุทกภัย ดังนั้น จึงมีข้อเสนอแนะการศึกษาครั้งต่อไป ดังนี้(1) ควรมีการศึกษาข้อมูล ผลกระทบของผู้สูงอายุในช่วงหลังเกิดอุทกภัย เพื่อให้ทราบข้อมูลอันเป็นผลจากการจัดการอุทกภัยและการประเมินผลกระทบ หลังเผชิญอุทกภัย (2) ควรมีการศึกษากระบวนการฟื้นคืน (Resilience) ของผู้สูงอายุหลังจากเผชิญอุทกภัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ เกี่ยวข้องกับการจัดการอุทกภัยในระยะยาวและมีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และ (3) การศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพเพิ่มเติม เพื่อ อธิบายข้อมูลการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุและเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของผู้สูงอายุกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการอุทกภัย อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 140 ข้อจำกัดในการศึกษา แม้ว่าการวิเคราะห์ข้อมูลจะใช้สถิตินอนพาราเมตริก แต่ผลการวิเคราะห์ยังสามารถให้แนวโน้มของข้อมูลและภาพ ของการจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุที่น่าสนใจได้ นอกจากนี้ ตามที่ผู้วิจัยได้กำหนดวิธีการเก็บข้อมูลว่าจะดำเนินการทั้งใน รูปแบบของแบบสอบถามที่เก็บแบบเผชิญหน้า และเก็บข้อมูลในรูปแบบ Google form แต่เมื่อกระบวนการวิจัยเข้าสู่ระยะ เก็บข้อมูลจริง เป็นช่วงที่ระดับน้ำลด จึงทำให้ผู้วิจัยสามารถเข้าพื้นที่และเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากผู้สูงอายุในพื้นที่ได้ ทั้งหมด 66 คน ซึ่งกรณีนี้แม้ว่าจะไม่เป็นไปตามการออกแบบการวิจัยที่กำหนดไว้แต่แรก แต่ถือว่าการเก็บรวบรวมข้อมูลมี ประสิทธิภาพกว่าการเก็บข้อมูลแบบออนไลน์ กิตติกรรมประกาศ การจัดทำงานวิจัยเรื่อง การจัดการอุทกภัยของผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ผู้วิจัย ขอขอบพระคุณผู้สูงอายุทุกท่านที่สละเวลาตอบแบบสอบถาม แม้ในช่วงเวลาที่ท่านประสบกับความยากลำบากจากอุทกภัย ผู้วิจัยขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ดร.วรรณวดี พูลพอกสิน อาจารย์ผู้สอนประจำรายวิชาการวิจัยเชิงปริมาณขั้นสูงใน นโยบายสังคม (นบส. 804) หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขานโยบายสังคม ที่ให้ความรู้ทางวิชาการ หลักและกระบวนการ คิดเชิงเหตุผล และข้อพึงสังเกตในการทำงานวิจัยเชิงปริมาณ รวมทั้งการให้คำปรึกษาตลอดระยะเวลาการทำวิจัย ซึ่งทำให้ ผู้วิจัยได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ในการทำวิจัยในครั้งนี้ รวมถึงการนำไปสู่การปรับปรุงและพัฒนางานวิจัยในครั้งต่อไป เอกสารอ้างอิง กนกวรรณ มะโนรมย์, ปิ่นวดี ศรีสุพรรณ, สุรสม กฤษณะจูฑะและ ธวัช มณีผ่อง. (2564). การศึกษาเรื่องเล่าและประสบการณ์ เกี่ยวกับผลกระทบอุทกภัยเชิงปฏิบัติการแบบ มีส่วนร่วมสู่ความสามารถในการรับมือภัยพิบัติอย่างยั่งยืนในจังหวัด อุบลราชธานี(รายงานการวิจัย). กรุงเทพฯ: สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2557). หนังสือคำศัพท์ด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ. กทมฯ: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2559). การลดความเสี่ยงจากสาธารณภัย(พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: เวิร์ค พริ้นติ้ง. จินดาวรรณ เงารัศมี, สุภาภรณ์ สุดหนองบัว, ณรงค์ศักดิ์ หนูสอน และ ปราโมทย์ วงศ์สวัสดิ์. (2558). ผลกระทบจากอุทกภัยตาม การรับรู้ของผู้สูงอายุ อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก. วารสารการพยาบาลและสุขภาพ, 9(2), 23-32. ชนาภิวัฒน์ ขันทะ และ อุ่นเรือน เล็กน้อย. (2564). การประเมินความเปราะบางของครัวเรือนต่อการจัดการศูนย์ช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยน้ำท่วม: ชุมชนหมู่1 พัฒนา เทศบาลบ้านไผ่จังหวัดขอนแก่น. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 8(6), 314-330. ดุษฎีอายุวัฒน์, วรัชยา เชื้อจันทึก และ ยรรยงค์ อินทร์ม่วง. (2560). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการบริหารจัดการก่อนการเกิด ภัย พิบัติอุทกภัยของชุมชนลุ่มนํ้าลำตะคอง. วารสารราชพฤกษ์, 15(1), 11-19. นิตยา โชคทวีพาณิชย์และ สุวิณี วิวัฒน์วานิช. (2558). การศึกษาการจัดการพยาบาลในภาวะภัยพิบัติสำหรับผู้สูงอายุ. วารสารพยาบาลตำรวจ, 7(1), 183-196. นารถลดา ขันธิกุล, อังคณา แซ่เจ็ง, ประยุทธ สุดาทิพย์และ สุรเชษฐ์ อรุโณทอง. (2561). การเตรียมความพร้อมของผู้สูงอายุ ในการรับสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขจากภัยพิบัติทางธรรมชาติในภาคเหนือ ประเทศไทย. วารสารสาธารณสุขล้านนา, 14(2), 1-12. ปฏิมาพร ภูศรี. (2560).แนวทางการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมบนฐานการมีส่วนร่วมของพหุภาคี. วารสารสังคมสงเคราะห์ศาสตร์, 25(2), 69-93.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 141 ปาณิศา บุณยรัตกลิน, สมจินดาชมพูนุท และศิริมล คัมภีร์พันธุ์. (2565).การสังเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความรอบรู้ใน การเตรียม พร้อมรับมืออุทกภัย และพฤติกรรมของผู้สูงอายุในชุมชน. วารสารพยาบาล, 71(2), 38-47. ปองสุข ศรีชัย และ ปภาวดี เนตรสุวรรณ. (2564). การรับรู้และรูปแบบการเผชิญปัญหาของผู้ประสบภัยพิบัติ: กรณีศึกษา ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ในเขตอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย. วารสารราชพฤกษ์, 19(2), 73-81. พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550. (2550, 7 กันยายน). ราชกิจจานุเบกษา, 124(52 ก), 1-23. มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย. (2557). สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2557. สืบค้นจาก https://ipsr.mahidol.ac.th/ipsrbeta/FileUpload/PDF/Report-File-520.pdf มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย. (2562). รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย ปี 2562. สืบค้นจาก https://thaitgri.org/?wpdmpro=%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%87%e0%b8%b2 %e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%96%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0 %b8%a3%e0%b8%93%e0%b9%8c%e0%b8%9c%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b8%aa%e0%b8 %b9%e0%b8%87%e0%b8%ad-9 มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย. (2563). สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย ปี. สืบค้นจาก https://opendata.nesdc.go.th/dataset/24f9a434-42f9-4746-8355-d7208d703233/resource/166cc693-d019- 4d05-9f51-700581cff841/download/-2563.pdf วราภรณ์ ทนงศักดิ์. (2563). รูปแบบฐานข้อมูลกลุ่มเปราะบางสำหรับการจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ. วารสารสังคมศาสตร์ และมานุษยวิทยาเชิงพุทธ, 5(6), 201-215. วีรชน นรานุต, สุมาลี สว่าง, และกฤษดา เชียรวัฒนสุข. (2561). การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการอุทกภัยโดย การตรวจสอบความพร้อม ในระดับครัวเรือนกรณีศึกษาจังหวัดสุราษฎร์ธานี. RMUTT Global Business and Economics Review, 13(1), 105-121. ศรัณย์ลิตา โชติรัตน์. (2558). แนวทางการพัฒนาระบบสารสนเทศและข้อมูลข่าวสารเพื่อการเข้าถึงสารสนเทศในการติดตาม และเฝ้าระวังภัยพิบัติน้ำท่วมของประชาชนบริเวณลุ่มน้ำปัตตานี. วารสารวิชาการคณะมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์, 11(1), 9-48. สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดมหาสารคาม. (2564). พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยจังหวัดมหาสารคาม.สืบค้นจาก https://datastudio.google.com/reporting/6761bc4a-fb86-4a48-942c-f64f31551623/page/MG2IC สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ. (2554). สุขภาพทรุดเพราะน้ำท่วม โศกนาฏกรรมซ้ำอุบัติภัย. สืบค้นจาก https://www.hiso.or.th/hiso/picture/reportHealth/tonkit40_1.pdf สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2563). สรุปสถานการณ์อุทกภัยของประเทศไทย พ.ศ. 2552-2563. สืบค้นจาก http://statbbi.nso.go.th/staticreport/page/sector/th/21.aspx สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดมหาสารคาม. (2565). จำนวนผู้สูงอายุจังหวัดมหาสารคาม. สืบค้นจาก http://mkho.moph.go.th/ltc-advanced/frontend/web/index.php/module/person/person/report1 สำนักส่งเสริมและพิทักษ์ผู้สูงอายุ. (2556). คู่มือการคุ้มครองชีวิตผู้สูงอายุ (และทุกคน) ล่วงหน้าในสถานการณ์ที่มีภัยพิบัติ. สืบค้นจาก https://www.dop.go.th/download/knowledge/knowledge_th_20160906103959_1.pdf อาบกนก ทองแถม, ม.ล. (2563). การลดความเสี่ยงจากภาวะภัยพิบัติในผู้สูงอายุ. วารสารพยาบาลสภากาชาดไทย, 13(1), 76-89.


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 142 Abdi, S., Spann, A., Borilovic, J., Witte, L. D., & Hawley, M. (2019). Understanding the care and support needs of older people: a scoping review and categorisation using the WHO international classification of functioning, disability and health framework (ICF). BMC Geriatrics, 19(195), 1-15. Retrieved from https://doi.org/10.1186/s12877-019-1189-9 Committee on Climate Change. (2016). UK Climate Change Risk Assessment 2017 Synthesis report: priorities for the next five years. Retrieved from https://www.theccc.org.uk/wpcontent/uploads/2016/07/UK-CCRA-2017-Synthesis-Report-Committee-on-Climate-Change.pdf Dwivedi, A. K., Mallawaarachchi, I., & Alvarado, L. A. (2017). Analysis of small sample size studies using nonparametric bootstrap test with pooled resampling method. Statistics in Medicine, 36(14), 2187-2205. Retrieved from https://doi.org/10.1002/sim.7263 Kennedy-Shaffer, L. (2019). Before p < 0.05 to Beyond p < 0.05: Using History to Contextualize p-Values and Significance Testing. The American Statistician, 73(S1), 82–90. Retrieved from https://doi.org/10.1080/00031305.2018.1537891 Kwan, C. & Tam, H.C. (2021). Ageing in Place in Disaster Prone Rural Coastal Communities: A Case Study of Tai O Village in HongKong. Sustainability, 13(9), 1-21. Retrieved from https://doi.org/10.3390/su13094618 Perry, R. H., Charlotte, B., Isabella, M., & Bob, C. (2004). SPSS Explained. Routledge: London, UK Seebauer, S., & Babcicky, P. (2017). Trust and the communication of flood risks: comparing the roles of local governments, volunteers in emergency services, and neighbours.Journal of Flood Risk Management, 11(3), 305–316. Retrieved from https://doi.org/10.1111/jfr3.12313 Tavakol, M., & Dennick, R. (2011). Making sense of Cronbach’s alpha. International Journal of Medical Education, 2(1), 53-55. Retrieved from https://www.ijme.net/archive/2/cronbachs-alpha.pdf United Nations. (2015a). The Sendai Framework for Disaster Risk Reduction 2015-2030, Retrieved from Retrieved from https://www.undrr.org/publication/sendai-framework-disaster-risk-reduction-2015- 2030 United Nations. (2015b). Transforming our world: The 2030 Agenda for Sustainable Development, Retrieved from https://sustainabledevelopment.un.org/content/documents/21252030% 20Agenda%20for%20Sustainable%20Development%20web.pdf United Nations. (2019). Global Issues: Ageing,Retrieved from https://www.un.org/en/global-issues/ageing World Health Organization. (2022). Ageing and health, Retrieved from https://www.who.int/newsroom/fact-sheets/detail/ageing-and-health Yodsuban, P., & Nuntaboot, K. (2021). Community-based flood disaster management for older adults in southern of Thailand: A qualitative study. International Journal of Nursing Sciences, 8(4), 409-417. Retrieved from https://doi.org/10.1016/j.ijnss.2021.08.008


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 143 การปรับตัวภายหลังการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนจากออนไลน์สู่การเรียนในห้องเรียน ของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต1 Adaptation after the transition from Online to On-site learning of students, Thammasat University, Rangsit Campus กาลัญญู เชื้อเมืองพาน2 Karanyu Chueamueangphan3 ฐิติมา ศรีสมบูรณ์4 Thitima Srisomboon5 อาทิตยา หิรัญญาภรณ์6 Artitaya Hiranyaporn7 Abstract COVID-19 epidemic situation impact all around including the lives of people after that. The purpose of this research was to study the adaptation and to analyze the factors related to the adaptation after changing from online learning to classroom learning among Thammasat University students. The study was conducted from a sample group of 2022 academic of second-year students. The sample size was 364 people. After that, a specific access method was used using a questionnaire that was developed as a tool for collecting data in an online format and data were analyzed by finding frequency, percentage, mean, standard deviation. The relationship was analyzed by chi-square test with statistical significance at the .05 level. The study found that 34.3% of the samples had a high level of adaptation after learning in the classroom. But it was noted that although social adaptation was at a high level. But in terms of learning, there is a small level of adaptation. And when analyzing the relationship, it was found that most of the factors were related to the four aspects of adaptation: social, learning, environment, and teaching side. The results of the study can be useful to those involved in considering activities or enhancing skills for life especially learning that is different from online learning and social conditions different from the previous level of education. This will help students to adapt themselves in terms of learning and other aspects more quality in the university society in the next normal era. Keywords: Adaptation, Classroom learning (on-site), Online learning, Thammasat University students 1 บทความวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในระดับปริญญาตรี รายวิชา สพ.312 การวิจัยและการจัดการความรู้ทางสังคมสงเคราะห์ทางการแพทย์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 2 นักศึกษาหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประเทศไทย 3 Bachelor’s students of Social Work Program, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 4 นักศึกษาหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 5 Bachelor’s students of Social Work Program, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. 6 นักศึกษาหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย 7 Bachelor’s students of Social Work Program, Faculty of Social Administration, Thammasat University, Thailand. Corresponding author E-mail: [email protected]


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 144 บทคัดย่อ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรอบด้าน รวมไปถึงการใช้ชีวิตของผู้คนหลังจากนั้น การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการปรับตัวและเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปรับตัวภายหลังการเปลี่ยน รูปแบบการเรียนจากออนไลน์สู่การเรียนการสอนในห้องเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยศึกษาจากกลุ่ม ตัวอย่างที่เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ของปีการศึกษา 2565 กำหนดขนาดตัวอย่างจำนวน 364 คน หลังจากนั้นใช้วิธีการเข้าถึง ตัวอย่างแบบเจาะจงโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านการพัฒนาเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลในรูปแบบออนไลน์ วิเคราะห์ ข้อมูลโดยการหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยการทดสอบ ค่าไค-สแควร์ที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการศึกษาพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 34.3 มีการปรับตัวภาพรวมภายหลังการเรียนในห้องเรียนในระดับที่มาก แต่มี ข้อสังเกตคือแม้การปรับตัวด้านสังคมจะอยู่ในระดับมาก แต่ด้านการเรียนนั้นมีการปรับตัวในระดับน้อย และเมื่อวิเคราะห์ ความสัมพันธ์พบว่าปัจจัยต่างๆ ส่วนใหญ่จะมีความสัมพันธ์กับการปรับตัวทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านสังคม ด้านการเรียน ด้านสภาพแวดล้อม และด้านผู้สอน จากผลการศึกษาสามารถเป็นประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวข้องในการนำไปพิจารณาจัดกิจกรรม หรือการเสริมสร้างทักษะต่อการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการเรียนที่ต่างไปจากการเรียนออนไลน์ สภาพสังคมที่ต่างไปจากระดับ การศึกษาก่อนหน้า ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้นักศึกษาสามารถปรับตัวในมิติด้านการเรียน และด้านอื่นๆ ได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้นใน สังคมของความเป็นมหาวิทยาลัยในยุคชีวิตวิถีถัดไป คำสำคัญ: การปรับตัว, การเรียนในห้องเรียน, การเรียนออนไลน์, นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บทนำ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นการระบาดของโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วง เดือนธันวาคม ในปลายปี พ.ศ.2562 ครั้งแรกที่นครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยผู้ติดเชื้อจะมีลักษณะ อาการ คือ ไข้สูง ไอแห้ง อ่อนเพลีย ตลอดจนมีอาการปอดอักเสบ จากการระบาดของโรคครั้งนี้ทำให้ทั่วโลกตื่นตระหนก โดยองค์การอนามัยโลก (World Health Organization [WHO]) ได้กำหนดชื่ออย่างเป็นทางการสำหรับเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า COVID-19 ซึ่งย่อมาจาก "Corona VIirus Disease starting in 2019” และต่อมาวันที่ 11 มีนาคม 2563 องค์การอนามัยโลกประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคระบาดใหญ่ (Pandemic) ที่ส่งผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติ อย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการศึกษาทุกระดับทั่วโลก (WHO Thailand, 2020) ทั้งนี้รัฐบาลไทยได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อเป็นการป้องการแพร่ระบาดโควิด-19 โดยมีการแนะนำแนวทางการป้องกันตนจากโรคดังกล่าวไว้ ได้แก่ การเว้นระยะห่าง ทางสังคม การใส่หน้ากากอนามัย การล้างมือด้วย เจลแอลกอฮอล์ รวมถึงการปฏิบัติตามคำแนะนำจากกรมควบคุมโรค (กรมควบคุมโรค, 2563) ขณะที่มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีการประกาศ แนวทางการจัดการเรียนการสอน “ให้ทุกศูนย์การศึกษาภายใต้สังกัดของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใช้รูปแบบออนไลน์ (Online) ในการจัดการเรียนการสอนและจัดการสอบ และต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ประกาศ และมาตรการที่เกี่ยวข้องของ ทางราชการและมหาวิทยาลัย” (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2564) ทำให้ในช่วงปีพ.ศ. 2562-2564 นั้นมหาวิทยาลัยจะต้อง ดำเนินการสอนและจัดการสอบแบบออนไลน์ (Online) มาตลอดทั้ง 3 ปีที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ของโรคระบาด ทั้งนี้ ภายใต้การเรียนการสอนและการจัดสอบแบบออนไลน์(Online) ที่ผ่านมา ส่งผลให้ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ต้องเผชิญ กับการปรับตัวเป็นอย่างมากทั้งต่อการดูแลสุขภาพตนเอง ตลอดจนการเรียน เพื่อให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ต่อไปได้โดยในช่วงของการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดนั้นได้ส่งผลกระทบอย่างรอบด้าน ทั้งด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ และเด่นชัดคือด้านการศึกษา (เทื้อน ทองแก้ว, 2563) แต่ระยะเวลา 3 ปีผ่านมานั้นสร้างบทเรียนให้แก่ประเทศ และโลกอย่างมาก ในการคิดค้นนวัตกรรมและยารักษาหรือป้องกัน ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง แนวโน้มผู้ติดเชื้อลดลง และ


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 145 ไปในทิศทางที่ดีขึ้น และตั้งแต่ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2565 เป็นต้นไป มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ประกาศให้มี การจัดการเรียนในรูปแบบปกติได้อย่างเต็มรูปแบบ(มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2565) ทำให้ทุกอย่างกลับมาอยู่ในช่วง สถานการณ์ที่ใกล้เคียงปกติที่สุดหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงของการใช้ชีวิตแบบปกติใหม่ (New normal) ที่ก้าวสู่ชีวิตวิถีถัดไป (Next normal) การกลับมาดำเนินชีวิตของคนในสังคมที่พยายามให้ได้ใช้ชีวิตได้ตามปกตินั้น แม้ในความเป็นจริงอาจยังไม่สามารถ กลับมาได้ตามปกติเช่นเดิมได้ แต่ก็มีความพยายามให้ใกล้เคียงปกติที่สุด เช่นการศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ให้กลับเข้ามาเรียนได้ แบบในห้องเรียน (On-site) แต่ก็ยังอยู่ภายใต้มาตรการการป้องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นการใส่หน้ากาก อนามัย การเว้นระยะห่าง หรือการสังเกตอาการตนเอง ด้วยเหตุของการกลับมานี้ทำให้ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ต่างต้อง ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า “การปรับตัว” มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ในช่วงรอยต่อ หรือการเปลี่ยนผ่านของสถานการณ์วิกฤตนี้ นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นนักศึกษาที่ได้เรียนในชั้นเรียนเป็นครั้งแรก ในปีการศึกษา 2565 นับตั้งแต่ได้ผ่านกระบวนการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย นับแต่ปี 2564 ซึ่งใช้รูปแบบการเรียนออนไลน์ ตลอดทั้งปีการศึกษา ประกอบกับนักศึกษากลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่จบการศึกษาก่อนหน้าในระดับการศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ตอนปลาย ซึ่งมีรูปแบบการเรียนการสอนที่ต่างไปจากการศึกษาหรือการเป็นนักเรียนในระดับอุดมศึกษา ดังนั้น การศึกษาใน ปีการศึกษา 2565 สำหรับนักศึกษากลุ่มนี้จึงนับเป็นครั้งแรกที่จะได้ใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยและการเรียนในรูปแบบห้องเรียน (On-site) จึงต้องมีการเตรียมความพร้อม ทั้งกาย และจิตใจ เพื่อเข้ามาเรียนและใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก การต้อง ปรับตัวในวิถีชีวิตถัดไปของนักศึกษากลุ่มนี้ ทำให้คณะผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่นี้ ทั้งในด้านสังคม ด้านการเรียน ด้านสิ่งแวดล้อม และด้านผู้สอน (Baker, 1984) ท่ามกลางการเรียนการสอนในห้องเรียน ซึ่งคาดว่าผลที่ได้จากการศึกษาจะ เป็นแนวทางของผู้เกี่ยวข้องในการเสริมสร้างทักษะ คุณภาพชีวิตให้นักศึกษา ตลอดจนสามารถเป็นแนวทางต่อการจัดการเรียน การสอน รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัยและนักศึกษาได้ต่อไป วัตถุประสงค์การวิจัย การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาการปรับตัวภายหลังการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนจากออนไลน์ (Online) สู่การเรียนการสอนในห้องเรียน (On-site) ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต และ (2) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปรับตัวภายหลังการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนจากออนไลน์สู่การเรียนการสอนใน ห้องเรียนของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต สมมติฐานการวิจัย สมมติฐานการวิจัยครั้งนี้ คือ (1) การปรับตัวภายหลังการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนจากออนไลน์(Online) สู่การเรียน การสอนในห้องเรียน (Onsite) ของนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในภาพรวมของการปรับตัว อยู่ใน ระดับมาก และ (2) เพศ ภูมิลำเนา ประเภทที่พักอาศัย จำนวนรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียน และบุคลิกภาพของนักศึกษา มีความสัมพันธ์กับการปรับตัวภายหลังการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนจากออนไลน์สู่การเรียนการสอนในห้องเรียนของนักศึกษา ชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ที่นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นิยามศัพท์ปฏิบัติการ นักศึกษา หมายถึง นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ที่ลงทะเบียนเรียนใน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 146 การเรียนการสอนแบบ On-Site หมายถึง การจัดการเรียน การสอน และการวัดความรู้ ตลอดจนการทำกิจกรรม ทางการเรียนภายในห้องเรียนของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ก่อนช่วงที่จะมีการระบาดของโควิด-19 การเรียนการสอบแบบ Online หมายถึง การจัดการเรียน การสอน และการวัดความรู้ ตลอดจนการทำกิจกรรม ต่างๆ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่าน Platform ออนไลน์ เช่น Zoom meeting, Microsoft Team หรือ Google Meet เป็นต้น การปรับตัว หมายถึง การแสดงออกของนักศึกษาในการพยายามที่จะปฏิบัติตนเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและ สถานการณ์ต่างๆเพื่อรักษาความสมดุลของชีวิตเป็นผลให้เกิดความสุขกายสบายใจประสบความสำเร็จในการเรียนและการใช้ ชีวิตของการเป็นนักศึกษา ซึ่งคณะผู้ศึกษาแบ่งการปรับตัวออกเป็น 4 ด้านคือ ด้านสังคม ด้านการเรียน ด้านสภาพแวดล้อม และด้านผู้สอน ด้านสังคม หมายถึง การที่นักศึกษาสามารถอยู่ร่วมกับกลุ่มเพื่อนนักศึกษาได้อย่างมีความสุข มีมนุษย์สัมพันธ์กับ เพื่อน เข้ากับเพื่อนได้ดี เคารพในสิทธิผู้อื่น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม การให้ความช่วยเหลือเพื่อน การแสดงความห่วงใยซึ่งกัน และกัน การแสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นให้ความร่วมมือในการทำงานและมีความมั่นใจในตัวเอง ด้านการเรียน หมายถึง การที่นักศึกษาสามารถรับผิดชอบ เอาใจใส่ในการเรียน มีความขยัน มีสมาธิ ติดตาม การเรียนได้ทันเวลา กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น และซักถามเกี่ยวกับเนื้อหาความรู้ต่ออาจารย์ มีการทบทวนบทเรียน และ การเตรียมความพร้อมในการเรียน ด้านสภาพแวดล้อม หมายถึง การที่นักศึกษาสามารถปรับตัวให้เข้ากับลักษณะใดๆ ภายในมหาวิทยาลัย ได้แก่ บรรยากาศวัตถุสิ่งของความเพียงพอสำหรับนักศึกษา และลักษณะบริเวณอาคารสถานที่ที่จะส่งเสริมและเอื้ออำนวยต่อชีวิต และการปรับตัวของนักศึกษา ด้านผู้สอน หมายถึง การที่นักศึกษาสามารถเข้าใจถึงวิธีการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์มีปฏิสัมพันธ์กับ อาจารย์ได้อย่างเหมาะสม มีความสุภาพอ่อนน้อม มีทัศนคติที่ดีต่อการปรึกษาปัญหาเรื่องการเรียนและเรื่องทั่วๆ ไปและ อาจารย์เอาใจใส่ในงานที่อาจารย์มอบหมาย ปฏิบัติตามกฎระเบียบและปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่อาจารย์แนะนำ บุคลิกภาพ หมายถึง พฤติกรรมทางสังคมของนักศึกษาที่ปฏิบัติอย่างเคยชิน จากความชอบและมีความพึงพอใจใน การแสดงออกพฤติกรรมนั้น โดยจำแนกเป็นพฤติกรรมเก็บตัว (Introvert) คือ การที่นักศึกษามีความสุขต่อการอยู่ตามลำพัง รวมถึงมักจะไม่ได้เข้าหาผู้อื่นก่อน นอกจากนี้จะรู้สึกใช้พลังงานมากเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องพบเจอกับผู้คนจำนวนมาก และพฤติกรรมเข้าสังคม (Extrovert) คือ การที่นักศึกษาชื่นชอบการเข้าสังคม ชอบพูดคุย และจะเข้าหาผู้อื่นอยู่เสมอ ทำให้ ต้องพบปะกับผู้คนใหม่ๆอยู่เสมอ ขอบเขตการศึกษา การศึกษาเรื่อง การปรับตัวภายหลังการเปลี่ยนรูปแบบการเรียนจากออนไลน์(Online) สู่การเรียนการสอนใน ห้องเรียน (On-Site) ของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีขอบเขตด้านการศึกษา 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 ขอบเขตด้านเนื้อหา ประกอบด้วย แนวคิดเกี่ยวกับการปรับตัว เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการปรับตัวในแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้าน สังคม ด้านการเรียน ด้านสภาพแวดล้อมและด้านผู้สอน ส่วนที่ 2 ขอบเขตด้านประชากร โดยการศึกษาครั้งนี้มีกลุ่มตัวอย่าง เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จำนวน 364 คน และส่วนที่ 3 ขอบเขตด้าน ระยะเวลา โดยการศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้ระยะเวลาในการศึกษาตามภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม - พฤศจิกายน 2565


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 147 ข้อตกลงเบื้องต้นในการศึกษา การศึกษาวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในรายวิชาด้านการวิจัยของหลักสูตรสังคมสงเคราะห์ศาสตรบัณฑิต ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งส่งผลต่อระยะเวลาที่จำกัดในกระบวนการศึกษา และการเก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่าง ที่ต้องดำเนินการในรูปแบบออนไลน์ เนื่องจากยังมีสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 อีกทั้งการเรียนการสอนใน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ยังคงเป็นทั้งรูปแบบออนไลน์ และในห้องเรียน การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง แนวคิดที่นำมาเกี่ยวข้องในการศึกษาครั้งนี้ มีดังนี้ การปรับตัว คือกระบวนการตอบสนองของสิ่งมีชีวิตต่อสิ่งเร้า ที่ทำให้ระบบชีวิตนั้นๆ ต้องปรับกระบวนการเพื่อ รักษาดุลยภาพชีวิตไว้ (Lazarus, 1996; Selye, 1976) ความหมายของการปรับตัวได้มีการให้ความหมายแตกต่างกันไปในแต่ ละสาขาความรู้ โดยความหมายของการปรับตัวตามทฤษฏีทางจิตวิทยาก็เป็นอีกหนึ่งสาขาความรู้ที่มีการให้ความหมายการ ปรับตัวไว้ ในทฤษฏีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ฟรอยด์ได้ให้ความหมายของการปรับตัว คือ ความสามารถในการปรับ ระดับความต้องการตนเองตามธรรมชาติ เพื่อให้สามารถตอบสนองความพอใจของตนในระดับหนึ่ง ด้วยกลไกป้องกันตัวเอง เพื่อให้เป็นคนที่สังคมยอมรับได้ ต่อมามีนักคิดใหม่ที่ให้ความหมายของการปรับตัวต่อจากฟรอยด์ ที่เรียกว่า กลุ่มทฤษฏีฟรอยด์ ใหม่ (Neo Freucian) พูดถึงการปรับตัวว่าเป็นการมุ่งตน (Ego) ทำให้มนุษย์มีความเข้มแข็ง สามารถประสบความสำเร็จจาก การแก้วิกฤตแต่ละขั้นตอนของชีวิต โดยมีสังคม สิ่งแวดล้อม แลปัจจัยอื่นที่ไม่สามารถควบคุมได้ช่วยหล่อหลอมในการปรับตัว บุคคลที่ปรับตัวได้ คือ บุคคลที่เป็นตัวของตัวเอง เข้าใจ ยอมรับตนเองและผู้อื่น รวมทั้งสามารถรับรู้ ประสบการณ์ ต่างๆ ตามความเป็นจริง นำประสบการณ์นั้นมาจัดให้สอดคล้องกับโครงสร้างหรือบุคลิกลักษณะ ของตนอย่างไม่ขัดแย้งหรือ บิดเบือน และมีการรับรู้ความคิดเกี่ยวกับตนเองในทางบวก ส่วนบุคคลที่ปรับตัวไม่ได้จะมีความขัดแย้งระหว่างความคิด เกี่ยวกับตนกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นมาใหม่อย่างมาก ทำให้เกิดความ ตึงเครียด วิตกกังวล สับสน ไม่แน่ใจ สูญเสียความเป็น ตัวของตัวเอง และมีความคิดเกี่ยวกับตนเองในทางลบส่งผลก่อให้เกิดความเครียดที่รุนแรง แนวคิดเกี่ยวกับการปรับตัวของ เซอเย่ ได้กล่าวถึง ความเครียดว่าเป็นกลุ่มอาการหรือภาวะที่ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่มาคุกคาม ทำให้ร่างกายเกิด การเปลี่ยนแปลงวิถีทางที่จะทำให้ดำรง ชีวิตอยู่ได้คือ การต่อสู้และการปรับตัว ซึ่งการปรับตัวเป็นวิธีที่ดีที่สุด จากข้อความ ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เมื่อมนุษย์ถูกกระตุ้นโดยสาเหตุของความเครียด (Stressed) ก็จะเกิดปฏิกิริยาตอบได้ที่เรียกว่า Stressed Reaction เมื่อเกิดปฏิกิริยาดังกล่าวร่างกายจะใช้กลไกในการปรับตัว เพื่อให้เกิดความสมดุลของร่างกายและจิตใจ ดังนั้น การปรับตัวจึงเป็น ความสามารถของสิ่งมีชีวิต ในการรักษาความสมดุลระหว่างภายในตนเองกับสิ่งแวดล้อม (Selye, 1978) ทฤษฎีของ Roger (1967) ได้พิจารณาการปรับตัวในแง่ของการปรับตัวภายในตนเอง โดยเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเป็น ศูนย์กลางของประสบการณ์ต่างๆ รอบตัว ซึ่งเปลี่ยนตลอดเวลา ส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่บุคคลได้รับรู้ คือบุคคลมี การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น รวมทั้งมีการประเมินผลจากการปฏิสัมพันธ์นั้นเกิดขึ้นเป็นตัวเรา (Self) หรือ “โครงสร้างของตน” ขึ้นมา เป็น การรับรู้เกี่ยวกับตนในด้านต่างๆ เช่น บุคลิกลักษณะความสามารถบทบาทต่างๆ ของตนในการเกี่ยวข้องกับผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม ทัศนคติและค่านิยมต่างๆ ของตัวเราประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลได้รับจึงมีส่วนสำคัญในการกำหนดบุคลิกภาพ บุคคลให้แตกต่างกัน โดยที่แต่ละคนจะเข้าใจและรู้จักโลกส่วนตัวของเขาให้ดีที่สุด และในงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การปรับตัว คือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์ทุกคนในฐานะที่เป็นสัตว์สังคม อย่างที่เห็นชัดเจนคือการปรับตัวในการเรียนในระดับชั้นที่ สูงขึ้น โดยมีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายของการปรับตัว ในหนังสือจิตวิทยาการปรับตัว อธิบายความหมาย การปรับตัวว่าคือความสามารถในการจัดการตัวเองเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ และสภาพปัญหาที่มีความอึดอัดใจ ขับข้องใจ ความเครียด หรือแม้แต่ความวิตกกังวลต่างๆ จนส่งผลให้บุคคลนั้นสามารถอยู่ร่วมกับสถานการณ์หรือสภาพปัญหานั้นได้อย่าง


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 148 มีความความสุข นอกจากนี้ยังร่วมถึงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไป ยังเกิดความสุขได้ ถือว่าบุคคลนั้นมีสุขภาพจิตที่ดี ขณะเดียวกันหากบุคคลพยายามเผชิญกับสถานการณ์ และสภาพปัญหานั้นแล้ว แต่ยังไม่เกิดความสุขขึ้นมา คงความทุกข์ เหมือนเดิม ความรู้สึกนี้ส่งผลให้บุคคลไม่สามารถปรับตัวได้อย่างมีความสุข มีสุขภาพจิตที่ไม่ดี อาจจะส่งผลร้ายแรงกลายเป็น ความเจ็บป่วยทางจิตหรือประสาทได้ (วราภรณ์ ตระกุลสฤษดิ์, 2545) การปรับตัวในการเรียนของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยนั้นจะต้องเกิดขึ้นตั้งแต่การปรับตัวจากระดับเตรียมอุดมศึกษา มายังระดับอุดมศึกษา ตลอดจนถึงในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ที่ส่งผลให้นักศึกษาต้องเรียนใน รูปแบบออนไลน์(Online) ในระยะหนึ่ง จนถึงระยะหนึ่งที่สถานการณ์นั้นได้คลี่คลายลงแล้ว สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ที่เรียน ออนไลน์(Online) ในระยะแรก และปัจจุบันต้องเปลี่ยนเป็นการเรียนในชั้นเรียน (On-site) ถือเป็นการเข้าสู่มหาวิทยาลัยครั้ง แรกในระดับอุดมศึกษา โดยที่ได้มีการศึกษาการปรับตัวของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำแนกเป็น (1) การปรับตัวในชีวิตประจำวัน (2) การปรับตัวด้านการเรียน (3) การปรับตัวด้านอารมณ์ และ (4) การปรับตัวด้านสังคม พบว่า การปรับตัวของนักศึกษาใน ภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยการปรับตัวด้านการเรียนและด้านสังคมอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนการปรับตัวด้านอารมณ์ อยู่ในระดับมาก การเปรียบเทียบความแตกต่างของการปรับตัวของนักศึกษาด้านการเรียน ด้านอารมณ์ และด้านสังคมกับ ปัจจัยส่วนบุคคลพบว่านักศึกษาที่สังกัดคณะแตกต่างกัน มีการปรับตัวด้านการเรียนและด้านอารมณ์แตกต่างกัน และนักศึกษา ที่มีผลการเรียนเดิมแตกต่างกัน มีการปรับตัวด้านการเรียนและด้านสังคมแตกต่างกัน ส่วนเพศ ภูมิลำเนา การพักอาศัย แหล่งทุน มีการปรับตัวในแต่ละด้านไม่แตกต่างกัน ในขณะที่การเรียนของนักศึกษาจะมีผลการเรียนดีหรือไม่ (ธเนศ แม้นอินทร์, 2564) การเรียนของนักศึกษาให้ได้ผลดีมีลักษณะดังนี้ (1) ความอยากเรียน (Motivation) การทำให้มีความศรัทธาอยากเรียนนับว่า เป็นสิ่งจำเป็นในอันดับแรกของการเรียนและความสำเร็จไปแล้วเกินครึ่ง วิธีการกระตุ้นให้นักศึกษาเกิดความอยากเรียนคือ ต้องเร้าใจตนเองให้เกิดความสนใจอยากเรียน (2) การแสดงตอบต่อการอยากเรียน (Reaction) การเรียนจะได้ผลมากน้อย เพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับความพร้อมของผู้เรียน คือ ผู้เรียนจะต้องมีความพร้อมอย่างแรกคือการมีจุดมุ่งหมายในการเรียน อย่างแน่นอน ย่อมจะเรียนได้ดีกว่าผู้ที่ไม่มีความพร้อมในการเรียน (3) มีสมาธิในการเรียน (Concentration) การเรียนจะมี ประสิทธิภาพต้องอาศัยความตั้งใจที่จะจดจ่ออยู่กับการเรียน ความพร้อมที่จะเรียน และสนใจในวิชานั้นๆ สิ่งที่เป็นอุสรรคต่อ สมาธิในการเรียน เช่น ความหิว ความอิ่ม เสียงดัง ฯลฯ ต้องขจัดให้หมดไปขณะที่ฟังคำบรรยายหากเกิดข้อสงสัย ควรรีบจดไว้ เพื่อไม่ให้ข้อสงสัยนั้นรบกวนสมาธิในการเรียนในช่วงนั้นๆ และ (4) การจัดลำดับเรื่องที่เรียน (Organization) นักศึกษาจะต้อง รู้จักจัดลำดับในเรื่องที่จะเรียน ให้เป็นหมวดหมู่ก่อนหลัง มิฉะนั้นจะสับสนปนเปทำให้เรียนไม่เข้าใจ เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากเรียน (ประธาน วัฒนวาณิชย์, 2529) การปรับตัวเป็นการจัดการตัวเองในช่วงสถานการณ์ผ่านเปลี่ยนของชีวิตมนุษย์ทั้งสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อ การใช้ชีวิตในระยะสั้นหรือระยะยาวก็ตาม ทำให้ในฐานะมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมจำเป็นต้องเรียนรู้ ยอมรับ และใจต่อ สถานการณ์นั้นๆ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดีตามมาตรฐานหลักสิทธิมนุษยชน โดยการปรับตัว จะเกิดขึ้นกับทุกเพศทั้งเพศชายหรือเพศหญิง และในทุกช่วงวัย ทำให้ในช่วงการเรียนในระดับอุดมศึกษา นักศึกษาจำเป็นต้อง มีการเรียนรู้ ยอมรับ และเข้าใจที่จะอยู่ในสังคมต่อไปให้ได้ แต่สิ่งที่จะทำให้นักศึกษาสามารถปรับตัวได้ดีหรือไม่ดีนั้น คณะผู้วิจัยได้แบ่งปัจจัยออกเป็น (1) ด้านสังคม (2) ด้านการเรียน (3) ด้านสภาพแวดล้อม และ (4) ด้านผู้สอน และขึ้นอยู่กับ เพศ ภูมิลำเนา จำนวนรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียน และบุคลิกภาพทั้งแบบการเก็บตัว-การแสดงตัว การศึกษาวิจัยครั้งนี้ คณะผู้วิจัย จึงจะพยายามศึกษาการปรับตัวของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา ดังที่ปรากฏในกรอบแนวคิด


รายงานสืบเนื่องการสัมมนาวิชาการเนื่องในโอกาสการสถาปนาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. ปีที่ 69 149 ภาพที่ 1 กรอบแนวคิด (Conceptual framework). วิธีการวิจัย วิธีการศึกษา ประชากรและตัวอย่าง การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงปริมาณ (Quantitative research) กำหนดขนาดตัวอย่างซึ่งเป็นนักศึกษาระดับ ปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ซึ่งมีจำนวน 7,303 คน (สำนักทะเบียน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2565) โดยใช้สูตรในการกำหนดขนาดตัวอย่างของ Krejcie and Morgan (1970) ได้ตัวอย่าง จำนวน 364 คน หลังจากนั้นใช้วิธีการเข้าถึงตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) โดยผู้ตอบแบบสอบถามต้องมี คุณสมบัติตามที่กำหนด โดยใช้เกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion criteria) คือ (1) เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 ในหลักสูตรระดับปริญญาตรี ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ที่ลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 (2) มีความเต็มใจที่จะตอบ แบบสอบถาม และ (3) สามารถตอบแบบสอบถามในรูปแบบออนไลน์(Google form) ส่วนเกณฑ์การคัดออก (Exclusion criteria) คือ ผู้ตอบแบบสอบถามไม่สามารถตอบข้อคำถามให้เสร็จสิ้นหรือครบถ้วนได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลก็ตาม รวมทั้ง การปรับตัวด้านสังคม - การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน - การเคารพสิทธิผู้อื่น - การให้ความช่วยเหลือเพื่อน - การทำงานร่วมกับเพื่อน การปรับตัวด้านการเรียน - การรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย - การสามารถแบ่งเวลาในการเรียน - การซักถามประเด็นที่สงสัยต่อผู้สอน - การทบทวนเนื้อหาเรียน การปรับตัวด้านสภาพแวดล้อม - การสามารถเดินทางภายในมหาวิทยาลัยได้ - การมีทรัพยากรที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตใน มหาวิทยาลัย การปรับตัวด้านผู้สอน - การเข้าใจในวิธีการสอนของผู้สอน - การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอน - การเข้าถึงผู้สอน • เพศ • ภูมิลำเนา • ประเภทที่พักอาศัย • จำนวนรายวิชาลงทะเบียน • บุคลิกภาพแบบเก็บตัว-แสดงตัว


Click to View FlipBook Version