The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือทิพยอำนาจ

เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะอธิบายโพธิปักขิยธรรม ด้วยสำนวนและภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อประโยชน์แก่นักปฏิบัติ ผู้มีการศึกษาปริยัติธรรมน้อยจะได้อาศัยศึกษาและปฏิบัติ หนังสือได้กล่าวถึงเรื่องสมาธิวิธีที่พอจะถือเป็นคู่มือในการทำสมาธิได้ พร้อมกับอธิบายวิธีบำเพ็ญฌาน และเจริญทัสนะในพระพุทธศาสนาเพื่อประโยชน์แก่ผู้ต้องการปฏิบัติ รวมถึงวิธีสร้างทิพยอำนาจตั้งแต่ขั้นต่ำๆ ขึ้นไปถึงขั้นสูงสุด เพื่อเป็นคู่มือของผู้ต้องการสร้างทิพยอำนาจขึ้นไว้บำเพ็ญประโยชน์ หนังสือ "ทิพยอำนาจ" จักเป็นคู่มือที่ดีสำหรับผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาธรรมะในส่วนปรมัตถปฏิปทา ต้องการเจริญกัมมัฏฐาน เนื่องจากผู้แต่งได้อธิบายไว้อย่างพร้อมสรรพทุกทางแล้ว

โดย พระอริยคุณาธาร (ปุสฺโส เส็ง ป.๖)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kindness Dharma Foundation, 2020-06-12 20:30:16

หนังสือทิพยอำนาจ

หนังสือทิพยอำนาจ

เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะอธิบายโพธิปักขิยธรรม ด้วยสำนวนและภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อประโยชน์แก่นักปฏิบัติ ผู้มีการศึกษาปริยัติธรรมน้อยจะได้อาศัยศึกษาและปฏิบัติ หนังสือได้กล่าวถึงเรื่องสมาธิวิธีที่พอจะถือเป็นคู่มือในการทำสมาธิได้ พร้อมกับอธิบายวิธีบำเพ็ญฌาน และเจริญทัสนะในพระพุทธศาสนาเพื่อประโยชน์แก่ผู้ต้องการปฏิบัติ รวมถึงวิธีสร้างทิพยอำนาจตั้งแต่ขั้นต่ำๆ ขึ้นไปถึงขั้นสูงสุด เพื่อเป็นคู่มือของผู้ต้องการสร้างทิพยอำนาจขึ้นไว้บำเพ็ญประโยชน์ หนังสือ "ทิพยอำนาจ" จักเป็นคู่มือที่ดีสำหรับผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาธรรมะในส่วนปรมัตถปฏิปทา ต้องการเจริญกัมมัฏฐาน เนื่องจากผู้แต่งได้อธิบายไว้อย่างพร้อมสรรพทุกทางแล้ว

โดย พระอริยคุณาธาร (ปุสฺโส เส็ง ป.๖)

Keywords: #มูลนิธิการุณย์ธรรม,#เมล็ดพันธ์แห่งการตื่นรู้,#KindnessDharmaFoundation

หนงั สอื ทพิ ยอาํ นาจ

โดย พระอริยคุณาธาร (ปุสโฺ ส เส็ง ป.๖)

คาํ นาํ

ของผเู รยี บเรยี ง

เมอ่ื ในพรรษา พ.ศ.๒๔๙๓ ขณะพักวเิ วกอยูใ นปาแหง เขาสวนกวาง จงั หวัดขอนแกน ระลกึ
ขึน้ ไดถงึ คาํ อาราธนาของบุคคลหลายคน คําอาราธนาน้ันๆ เราใจใหค ิดแตงหนังสือเลมนข้ี ึ้น.

พระอาจารยกนั ตสีลเถระ (เสาร) อาราธนาใหแตง อธิบายโพธปิ กขิยธรรม ดวยสาํ นวนและ
ภาษางายๆ เพอ่ื ประโยชนแกนกั ปฏิบตั ิ ผูมกี ารศึกษาปรยิ ตั ธิ รรมนอย จะไดอาศยั ศกึ ษาและปฏบิ ัติ
หลวงประฑิตกรณี อาราธนาใหแ ตงสมาธิวิธีท่ีพอจะถือเปนคมู ือในการทาํ สมาธไิ ด. ภิกษรุ ูปหนง่ึ
อาราธนาใหแ ตงวิธบี ําเพญ็ ฌานและเจริญญาณทสั นะในพระพทุ ธศาสนา เพอื่ ประโยชนแกผู
ตองการปฏบิ ตั ิในดานนี้ และศิษยผ ูอ าราธนาใหแ ตงวิธีสรางทพิ ยอาํ นาจตัง้ แตขนั้ ต่ําๆ ขึ้นไปถงึ ขั้น
สงู สดุ เพือ่ เปน คมู ือของผตู อ งการสรางทพิ ยอาํ นาจข้ึนไวบาํ เพญ็ ประโยชน เมอ่ื ประมวลคาํ
อาราธนาเหลานี้เขาดว ยกัน เหน็ วา เปนความตองการในแนวเดยี วกัน พอจะทําเปน หนงั สอื เลม
เดยี วได จะไดปลดเปล้ืองคําอาราธนานน้ั ใหเ สรจ็ สิ้นไปเสียที ในขณะที่มีกาํ ลงั พอทาํ ไดน.้ี

อนึ่ง เม่อื ไดเ รยี บเรียงและพิมพพรหมจรรยคืออะไร? เผยแผไป สังเกตไดวา มผี ูส นใจในการ
ฝกฝนจิตใจตามหลักพระพทุ ธศาสนามากขึ้น หนังสือพรหมจรรยค ืออะไร? ไดประมวลหลกั
พรหมจรรยใ นพระพทุ ธศาสนาไวเพียงยอๆ ไมพอท่ีจะอาศยั เปน เคร่อื งมอื ของผเู ร่ิมศกึ ษา จงึ เปน
โอกาสดีทจี่ ะรีบเรยี บเรยี งวิธีฝกฝนอบรมจติ ใจ ตามหลกั พระพุทธศาสนาไวเสยี ในขณะนี.้

จึงประมวลเรื่องทต่ี องการมาเรยี บเรียงเขาลาํ ดบั และพิจารณาหาคําท่จี ะใชเ ปนชอื่ หนงั สือน้ี
ไดคาํ วา “ทพิ ยอํานาจ” ซึง่ เปนคาํ มีความหมายซึง้ ชวนสนใจ และยงั ไมมใี ครเคยใชเปนชอ่ื หนงั สือ
ประเภทนีม้ ากอ น แลวตรวจสอบเรอ่ื งเหลา นีใ้ นพระไตรปฎก เชน หมวดพระสตุ ตันปฎ กเทาท่ี
สามารถจะคน ได นาํ มาเรียบเรยี งเขา หมวดหมู ตามความเหมาะสมของเร่ืองนนั้ ๆ สวนหนงั สืออ่ืนๆ
แมมีความตอ งการจะคนเร่อื งมาเรียบเรยี งบาง ก็ไมมีอยูใกลม ือสกั เลม เดยี ว เพยี งแตอาศัยความ
จดจําเร่ืองน้นั ๆ บางประการทีเ่ คยอานมาแลว เทาน้ัน แมเ พียงเทานกี้ ็ตองถือวา เปนหน้ีบุญคณุ ของ
หนงั สอื เหลา นี้แลว ขา พเจาขอขอบคุณไวใ นที่นดี้ วย.

สาํ นวนโวหารและคําศัพทแ สงตางๆ ทีน่ ํามาใช ไดพยายามใชส ํานวนงา ยๆ และใชคาํ ที่มี
ความหมายตายตวั และใชกนั ดื่นแลว ทั้งนม้ี งุ ใหสาํ เร็จประโยชนแ มแ กผ ูพออา นออกเขียนไดแลว .
แตก ็ไมพ น ไปจากความยาก เพราะเนอื่ งดว ยหลักวิชาชั้นสูง จะอธิบายใหง า ยเกนิ ไปกไ็ มไดอ ยเู อง
ถา ผูอาน อานดวยความสนใจพินิจพจิ ารณาสักหนอ ยก็คงผา นพน ความยากไปไดบ าง.

ผลมงุ หมายของการฝก ฝนจติ ใจ ทางพระพุทธศาสนา คือ อาสวักขยญาณ (ญาณเปนเหตุ
ทําอาสวะกิเลสใหส ้ินไป) โดยตรง นอกน้ันเปนผลพลอยได ในเมอื่ อบรมจติ ใจไปถงึ ข้ันท่ีควรมี
ทพิ ยอํานาจบางประการนน้ั ๆ มิใชผลมุงหมายโดยตรง ถึงอยางนน้ั ผูมงุ บาํ เพ็ญประโยชนกวางขวาง

ทพิ ยอาํ นาจ ๒

กจ็ าํ เปน ตอ งฝก ใชท พิ ยอาํ นาจตางๆ ไปดว ย เพราะคนโดยมากชอบอํานาจ ยิง่ เปนอาํ นาจ
มหัศจรรยเทา ใด ย่ิงชอบเทา นั้น ทีม่ ีผูเขาใจวาสมยั น้คี นตอ งการเหตุผล ไมจําเปนตองมีฤทธเิ์ ดช
อาํ นาจมหศั จรรย ก็สามารถทําการเผยแผพ ระพุทธศาสนาได ขา พเจาไดย นิ แลว กน็ าํ มาไตรต รอง
แลวมองดโู ลกทั่วๆ ไปในปจ จบุ นั นี้ ก็ยังเหน็ วา อาํ นาจมหศั จรรยเ ปน สงิ่ จาํ เปนอยนู ั่นเอง มีคน
จํานวนนอยที่สุดที่ตองการเหตุผล คนสวนมากแมมีการศึกษาสูงสกั เพยี งไรกต็ าม มักไมคอยเช่อื
เหตผุ ลเทา ท่พี ูดสูกันฟงไดน้นั เลย ยิง่ เรอ่ื งที่ลกึ ลับเกนิ เหตุผลธรรมดา ซ่ึงไมสามารถหาเหตผุ ล
สามัญธรรมดามาพดู ใหฟ ง ไดแลว เขายงิ่ ไมยอมเชอ่ื วา มไี ดเปนได เมื่อหาเหตผุ ลมาพดู ใหฟ ง ไมได
เขากห็ าวาทางพระศาสนาหลอกลวงเขาใหเชอ่ื เขาไว เพอื่ พระศาสนาและคนของพระศาสนาจะ
ดาํ รงอยูไดเ ทาน้นั เขาไมเ ห็นวาศีลธรรมตามทท่ี างพระศาสนาส่ังสอนเขานั้นเปนประโยชนของเขา
เอง ทงั้ ๆ ท่เี ขาอยสู บายดว ยรมเงาของศลี ธรรม คนจําพวกนตี้ อ งอาศัยอาํ นาจมหศั จรรยเขา ชวย จึง
จะสามารถปลูกศรัทธาในพระศาสนา หรือศลี ธรรมอันดีแกเขาได.

พระพุทธศาสนาผานพน ภัยพิบัตริ า ยแรงมาไดจนถงึ ปจจุบนั กด็ วยอาํ นาจมหศั จรรย สมยั
พุทธกาลไมตองพูดถึงก็ได เพราะเปน สมยั เร่ิมตง้ั พระพทุ ธศาสนา ยอ มเปนความจาํ เปน อยูดี ทต่ี อ ง
ใชอ าํ นาจมหศั จรรยเ ขาชว ยในการเผยแผพระพุทธศาสนาสมัยหลงั พุทธปรนิ ิพพานมา ปรากฏใน
ประวตั ขิ องพระพทุ ธศาสนาวา ไดผานพนภยั พิบัติรายแรงมาดวยอาํ นาจมหศั จรรยหลายครั้ง เทา ท่ี
นึกเห็นพอจะนํามาเลา ได ดงั นี้

ครัง้ หน่ึง เม่ือพระพุทธศาสนาลวงไดป ระมาณ ๒๓๖ ป พระเจาศรธี รรมาโศกราชหันมานบั
ถอื พระพุทธศาสนา และทํานุบํารุงเปนการใหญ กเ็ พราะอํานาจมหศั จรรยของพระภกิ ษรุ ูปหนงึ่
และอํานาจมหัศจรรยข องพระโมคคัลลบี ตุ รติสสเถระ ถึงกับทําใหพ ระเจาศรีธรรมาโศกราช ทรง
มอบพระกายถวายพระชีวติ ในพระพุทธศาสนา และแผพระพทุ ธศาสนาเปน การใหญ.

อีกคร้ังหนงึ่ เมื่อพระพุทธศาสนาลว งไปประมาณ ๕๐๐ ป คณะสงฆตอ งแตกพา ย
พระพุทธศาสนาถกู ทําลายลงดวยมอื ของพระราชาชาวกรีก ทมี่ ารกุ รานและครอบงําอนิ เดีย
แหลงกาํ เนิดของพระพทุ ธศาสนา พระอัศวคตุ ตเถระ ซง่ึ เปนหัวหนาสงฆฝายเหนอื ถงึ ตอ งไป
อัญเชิญเทพบุตรใหจ ตุ ิลงมาเกิด แลว ใหพระผูสามารถไปพยายามเอามาบวชในพระพุทธศาสนา
อบรมใหส าํ เรจ็ ความรูสูงสดุ ในพระพุทธศาสนา พรอ มดวยอาํ นาจมหศั จรรยหลายประการ แลว
สงไปปราบพระราชาชาวกรีก แหง สาคลนคร ประเทศมจั ฉะ ซงึ่ ทรงพระนามวา พระเจามลิ ินท
พระราชาชาวกรีกทรงเหน็ อํานาจมหศั จรรยข องพระนาคเสนเถระ ท้ังทรงจาํ นนตอคาํ แกป ญ หา
ของพระเถระ จงึ บงั เกดิ พระราชศรัทธาในพระพทุ ธศาสนา และทรงมอบพระกาย ถวายพระชวี ิต
รับใชพ ระพุทธศาสนา ทรงทํานุบํารงุ และปอ งกนั ภัยแหงพระพุทธศาสนาดวยพระราชอํานาจ.

เม่อื หันมามองดเู หตกุ ารณข องโลกในปจ จบุ ันนี้แลว พิจารณาดูทางท่ีจะรอดพนภัยพิบัตขิ อง
พระพุทธศาสนา ก็เห็นมแี ตอ ํานาจมหัศจรรยเ ทา นั้นทจี่ ะชว ยได เพราะเพียงแตป ากพดู ปาวๆ
ชี้แจงเหตุผลเปนการไมเพียงพอเสียแลว คนของพระพทุ ธศาสนาจะตอ งเปนคนศักด์ิสทิ ธิม์ ฤี ทธิเ์ ดช
มหัศจรรย จงึ จะสามารถรักษาพระพุทธศาสนาใหดํารงอยูและแผไ พศาลไปได ความจรงิ
พระพทุ ธศาสนาเปน พระศาสนาท่ีศกั ดส์ิ ิทธใ์ิ นดานเหตผุ ลอยแู ลว คนของพระพทุ ธศาสนาตอง

ทิพยอาํ นาจ ๓

ศกั ด์ิสทิ ธ์ิ สามารถเปน พยานในเหตผุ ลตามทีท่ างพระพทุ ธศาสนากลาวไวด ว ยจึงจะสมกนั คือ ตอง
พูดไดแ ละทําไดตามพูดดว ย เมื่อเปนไดด งั วา นจี้ ะทําใหพระพทุ ธศาสนาเดน และศกั ด์สิ ทิ ธ์ยิ ่งิ ขึ้น
เพียงแตพูดได แตท าํ ไมไดต ามพูด กจ็ ะไมศ กั ดิ์สิทธิ์ จะเขาทาํ นองท่วี า “จงทาํ ตามที่ฉันพดู แตอยา
ทําตามฉัน” ในเมือ่ ไปสั่งสอนผอู ื่น ถงึ แมไมพ ูดคาํ นี้ออกมาตรงๆ กต็ าม การทาํ และพฤตกิ ารณท ี่
แสดงออกมา มนั บอกอยูโ ดยตรงแลว คนมคี วามคิดยอมรูจักอยดู ี เมอื่ เปน เชนนี้ คาํ พูดสั่งสอน
ยอ มไมมีน้ําหนกั พอจะจูงใจผฟู งใหเช่ือถอื ได กจ็ ะเปนเพยี งสกั วา พูดและฟง กนั ไปเทานน้ั เอง จะหา
คนทาํ ตามคาํ สง่ั สอนทางพระพทุ ธศาสนาจริงๆ ไมไ ด เม่ือเปนถงึ ขนั้ นี้ จะชือ่ วา ยงั มพี ระพทุ ธศาสนา
อยหู รอื ? ขอเชญิ ชวนพุทธบรษิ ัท มาชวยกันคดิ อา นหาทางทํานบุ ํารงุ และปอ งกันภัย
พระพทุ ธศาสนา มาชว ยกนั ทําใหเกิดมบี ุคคล ซ่งึ มตี นเปนพยานในคําส่งั สอนของพระบรมศาสดา-
จารย สามารถยนื ยันไดเตม็ ปากวา พระพุทธศาสนาอาํ นวยผลสงู สดุ แกผ ูปฏบิ ัติตามไดจริง ไม
ลา สมยั มรรค ผล นิพพาน ธรรมวเิ ศษมจี ริง แมในสมัยปจ จบุ นั ขาพเจา เรียบเรยี งทิพยอํานาจน้ี
ขึน้ มงุ หมายหาบคุ คลไดเ ปนพยานในคําสงั่ สอนของพระบรมศาสดา หวงั วาจะไดรบั ความสนใจ
จากสาธุชนท่วั กนั .

บญุ กุศลอันเกิดจากการเรยี บเรยี งหนังสอื น้ที ั้งหมด ขาพเจา ขออทุ ศิ ถวายแด พระมหา
กษัตริยาธริ าชเจา ผเู อกอคั รพุทธศาสนปู ถัมภกทุกพระองค และแกพระโบราณาจารย ผบู รหิ าร
พระพุทธศาสนาสืบตอ กันมาทุกทา น จนถงึ สมยั ปจจบุ ันน.้ี

อนง่ึ การคดั จากตนราง สาํ เรจ็ ดว ยน้าํ พกั นํา้ แรงของ พระภกิ ษุไกรลาส คนฺธรโต ทั้งสน้ิ จึง
ขอขอบคณุ เธอไวในท่นี ้ดี วย.

พระอรยิ คณุ าธาร
สาํ นักบําเพ็ญธรรมเขาสวนกวาง ขอนแกน

๒๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๓

ทพิ ยอํานาจ ๔

สารบาญ

บทนาํ ๑๒
ทพิ ยอาํ นาจคืออะไร ๒๐
อุทาหรณป าฏิหาริย ๒๗
ตโิ รภาพปาฏิหารยิ 
ปาฏิหาริยทเู รภาพ
ยมกปาฏิหาริย
ปาฏหิ ารยิ  ๓ อยาง
ทพิ ยวิสัย
วิชชา ๘ ประการ

บทที่ ๑
อะไรเปน ที่ตั้งแหง ทพิ ยอํานาจ
ฌาน ๔
นวิ รณ ๕
องคแ หง ฌาน ๕
ปฐมฌานมลี กั ษณะ ๖
ทตุ ิยฌานมลี กั ษณะ ๕
ปติมลี ักษณะ ๕
ตตยิ ฌานมลี ักษณะ ๖
จตตุ ถฌานมลี กั ษณะ ๖

บทที่ ๒
วิธีเจริญฌาน ๔
วธิ กี ารเกีย่ วกบั เวลา
วิธีการแก
วธิ กี ารปอ งกัน
วิธีการสงเสริม
วธิ ีการเกีย่ วกบั อิริยาบถ
วิธีเดินจงกรม
อานิสงสจ งกรม
นง่ั เจรญิ ฌาน

ทิพยอาํ นาจ ๕

นอนเจรญิ ฌาน ๓๗
วิธีเจรญิ ฌาน ๕๒
บริกรรมนิมิตต
อุคคหนิมิตต
ปฏิภาคนมิ ิตต
ฌายีบคุ คล
วธิ เี ลื่อนฌาน
ทพิ ยภาวะ

บทที่ ๓
บุพพประโยคแหง ฌาน
กรรมฐาน ๒
กรรมฐาน ๔๐
กสิณ ๑๐
วิธีปฏบิ ตั ิในกสิณ
อสุภ ๑๐
วิธปี ฏิบตั ิในอสุภ ๑๐
อนสุ สติ ๑๐
อาหาเรปฏกิ ูลสญั ญา
จตธุ าตุววัตถาน
พรหมวหิ าร ๔
อรปู กรรมฐาน ๔
จริต ๖
อัธยาศยั ๖
ปธานิยังคะ ๕
สัปปายะ ๔

บทท่ี ๔
อุปกรณแ หงทิพยอาํ นาจ
ลกั ษณะความดี ๓ อยาง
ลักษณะความช่ัว ๓ อยาง
โลกุตตรธรรมในมนษุ ย
สรีรศาสตร
ลักษณะอบรมอนิ ทรีย

ทิพยอํานาจ ๖

สังวร ๕
เจรญิ สติปฏฐาน ๔
เจริญอทิ ธิบาท ๔
สรางอนิ ทรีย
โพชฌงค ๗
เจรญิ อริยมรรค
เจริญอรปู ฌาน
เจรญิ สัญญาเวทยติ นโิ รธ
กฬี าในพระพุทธศาสนา
๑. ฌานกีฬา
๒. จติ ตกีฬา

บทที่ ๕ ๗๔
วิธปี ลกู สรา งทพิ ยอาํ นาจ
อภญิ ญา ๖
อิทธวิ ธิ ิ ฤทธ์ติ า งๆ
ฤทธิ์ ๑๐
อธิษฐานฤทธิ์ ๑๐
วิกพุ พนาฤทธ์ิ
มโนมยั ฤทธ์ิ
ญาณวปิ ผาราฤทธิ์
สมาธิผาราฤทธ์ิ
อรยิ ฤทธิ์
กมั มวิปากชาฤทธ์ิ
ปุญญฤทธ์ิ
วิชชามยั ฤทธิ์
สมั มัปปโยคปจจัยอชิ ฌนฤทธิ์
พหภุ าพ
เอโกภาพ
อาวภี าพ
ติโรภาพ
ติโรกฑุ ฑาสัชชมานภาพ
ปฐวอี ุมมชุ ชภาพ
อทุ กาภชิ ชมานภาพ

ทพิ ยอาํ นาจ ๗

อากาสจงั กมนภาพ
สนั ตเิ กภาพ
ทูเรภาพ
โถกภาพ
พหุกภาพ
กายวสกิ ภาพ
จิตตวสกิ ภาพ
ธูมายิกภาพ
ปช ชลิกภาพ
กาํ ลงั หนนุ ของอธษิ ฐานบารมี

บทที่ ๖ ๙๐
วธิ ีสรางทพิ ยอํานาจ มโนมยั ฤทธ์ิ ๙๗

บทท่ี ๗ ๑๐๖
วิธีสรา งทพิ ยอาํ นาจ ๑๑๓
เจโตปรยิ ญาณ รูจักใจผูอน่ื
พุทธกิจประจําวนั ๕
ปาฏหิ ารยิ  ๓
สงั ขาร ๓
เปรียบจติ ตสงั ขารเหมือนคล่นื วทิ ยุ
เปรยี บวจีสังขารเหมือนคลน่ื เสียง
โสฬสจติ
อธิบายลกั ษณะกระแสจิต
ความกาํ หนดรเู หตุการณและอปุ นสิ ยั ใจของผอู ื่น ๓ อยา ง

บทท่ี ๘
ทพิ พโสต หูทพิ ย
ธาตุวเิ ศษในกายมนษุ ย ๖
อารมณอนั เปนวสิ ยั ของธาตุ ๖
อธิบายวิธีปลกู สรา งหูทิพย

บทที่ ๙
วธิ สี รางทพิ ยอํานาจ

ทพิ ยอาํ นาจ ๘

บุพเพนิวาสานุสสติ ระลึกชาตกิ อนได ๑๒๒
เขตของจติ ๑๓๙
ระลกึ ชาตไิ ด รายที่ ๑
ระลึกชาตไิ ด รายที่ ๒
ระลกึ ชาตไิ ด รายที่ ๓
อานิสงสของการระลกึ ชาติได
วิธเี อาชนะความหลับ
วธิ ีทาํ เพ่ือระลึกชาติได
วัฏฏะ ๓

บทที่ ๑๐
ทพิ พจกั ขุ ตาทิพย
จักษุ ๘
ตาแกว
ทพิ พจกั ขเุ ทียบกบั ศาสตรตางๆ
พระพุทธศาสนาแผม าในประเทศไทย
โบราณวัตถสุ มัยพระเจาอโศกมหาราช
พุทธทํานาย
คําทํานายของบคุ คลยคุ ใหม
ทิพพจักขุญาณ เทยี บนักปราชญทางโบราณคดี
ลกั ษณะญาณ ๓
อตตี งั สญาณ
เรอ่ื งราวสมยั ดึกดาํ บรรพ
พระเถระทีน่ ําพระพุทธศาสนามาในสุวรรณภูมิ
อนาคตงั สญาณ
วิธกี ําหนดรูเหตกุ ารณใ นอนาคต
ปจจปุ นนังสญาณ
ภาพนิมติ ตในขณะหลบั
วิธฝี กสมาธิ
สมั ปยุตตจิต
เจริญกสิณ

บทที่ ๑๑
วิธีสรา งทพิ ยอํานาจ รูส ตั วเกิดตาย

ทพิ ยอํานาจ ๙

กรรมมีอํานาจใหผ ล ๑๔๘
เหตเุ ราใจใหส ัตวทาํ กรรม
ทฏิ ฐธรรมเวทนียกรรม
อานิสงสพ รหมจรรย ๙
อปุ ปช ชเวทนยี กรรม
อปราปรเวทนียกรรม อโหสิกรรม
ชนกกรรม
กําเนดิ ๔
อปุ ต ตถมั ภกกรรม อุปปฬกกรรม
อุปฆาตกกรรม
ครกุ รรม
พหุลกรรม
อาสนั นกรรม
กตตั ตากรรม
กรรมมลี กั ษณะ

บทที่ ๑๒
วธิ ีสรา งทิพยอํานาจ รูจ ักทําอาสวะใหสิน้
กรรมเกิดจากความรสู กึ แหง ใจ ๓ อยา ง
สภาวะที่สมปรารถนา ๗ ประการ
ปฏิปทาเพ่ือบรรลุจดุ หมายสูงสุด ๗ ประการ
หลกั อนมุ านพระนิพพาน
คน ๒ จําพวกไมเหน็ พระนิพพาน
วธิ ีเจรญิ วปิ ส สนา เพอ่ื ญาณทสั สนะ
ความบริสทุ ธิ์ ๗ ประการ
กิเลสของวปิ ส สนา ๑๐
วิปส สนาญาณ ๙ ประการ
อารมณข องวิปส สนา
วธิ เี จริญวิปสสนาอยางพิสดาร
วธิ เี จรญิ วิปส สนาอยางลัด
พระไตรลกั ษณญาณ
พระอาสวกั ขยญาณ
วธิ เี จริญอาสวักขยญาณอยางรวบยอด
สัญโญชน ๑๐

ทพิ ยอํานาจ ๑๐

อรยิ วาส ๑๐ ๑๖๙
อินทรียแกว ๑๗๔

บทท่ี ๑๓
วิธรี ักษาทพิ ยอาํ นาจ
ส่งิ เสียดแทรกใจไมใ หส งบ
นิวรณ ๕
สมั พาธเครอ่ื งคับใจ ๑๐
ความฉลาดในสมาธิ ๗

บทที่ ๑๔
วธิ ใี ชท ิพยอํานาจบําเพ็ญประโยชน
คุณอนนั ต โทษมหนั ต
พทุ ธจริยา ๓
การบาํ เพญ็ ประโยชน
วธิ ีใชทิพยอํานาจคมุ ครองตน
ภัยในโลก ๔ ประเภท
วิธใี ชทพิ ยอาํ นาจกําจดั ภยั อนั ตรายแกต น
วิธใี ชทพิ ยอาํ นาจบําบัดอาพาธแกตน
วิธีใชท พิ ยอาํ นาจระงับกเิ ลสของตน
วิธีใชทพิ ยอํานาจคุมครองผอู ่ืน
วิธใี ชท พิ ยอํานาจบรรเทาภยั แกผ ูอื่น
วธิ ีใชทพิ ยอํานาจบาํ บดั อาพาธผอู ื่น
วิธใี ชทิพยอาํ นาจปลูกศลี ธรรมแกผูอ ื่น

(การคน หาเนอื้ เรอ่ื งท่ีตองการ ใหก ดปุม Ctrl+f แลว พมิ พค าํ ท่ตี องการคนหาลงไป)

ทิพยอํานาจ ๑๑

ทิพยอํานาจ

พระอรยิ คณุ าธาร

เรียบเรยี ง

....................................................

บทนํา

ทพิ ยอาํ นาจคอื อะไร?

....................................................

เมอ่ื ไมนานมานี้ มีขา วในหนาหนังสือพมิ พฉบบั หนง่ึ วา มีสตรีในตางประเทศ เกิดมหี ูทิพย
ตาทพิ ย สามารถรเู ห็นเหตุการณในที่ไกล เกินวิสัยตามนษุ ยธรรมดาจะมองเหน็ และสามารถ
สนทนากบั วิญญาณของคนท่ีตายไปแลว รเู รอื่ งกันได หนังสอื พิมพฉบับน้ันใหขาวตอ ไปวา มี
นกั วทิ ยาศาสตรไปพสิ ูจนความจริงกป็ ระจักษวา สตรคี นน้ันซึ่งไมเ คยรูจักนักวทิ ยาศาสตรค นนั้นมา
กอน แตส ามารถบอกความจริงบางอยา งของนกั วทิ ยาศาสตรคนน้ัน ถูกตอ งเปนที่นาพศิ วง แต
นกั วทิ ยาศาสตรก็ไมกลา ลงความเหน็ รบั รองวาเปนไดดวยความรขู องสตรีคนนัน้ เอง สงสยั วาจะมี
อะไรสงิ ใจอยา งพวกแมม ดหมอผี ซึง่ มีดกดื่นในอัสดงคตประเทศ และเขาพากันรงั เกยี จถงึ กบั มี
กฎหมายลงโทษผฝู า ฝน หนังสือพิมพฉ บับนั้นใหขาวรายละเอยี ดตอ ไปวา สตรีคนนัน้ เกิดหทู พิ ยต า
ทพิ ยขนึ้ โดยบังเอญิ หลังจากปว ยหนกั มาแลว .

เร่อื งคลา ยคลงึ กันน้ี กม็ อี ยแู มในเมืองไทยเรา ขา พเจา ไดรูจ ักกบั สตรีคนหน่ึง เมือ่ ปท่ีแลว มา
น้เี อง เม่อื คุนเคยกันแลว สตรีคนนั้นไดเลาใหขา พเจาฟงวา ไดป ว ยหนกั มาแรมเดอื น ในระหวา ง
ปวยหนักนั้นใครจะมาหาหรอื พูดจาวา กระไรรลู วงหนา หมด ครัน้ หายปวยแลวก็ยงั มีไดเ ปนบางครัง้
บางคราว แตไมบอ ยนัก เน่ืองจากไมค อยไดสงบใจเหมอื นในคราวยงั ปวยอยู เพราะตองวุนวายกับ
ธุรกิจประจําวัน ซง่ึ เปน ธรรมดาของผูครองเรือน.

เรอ่ื งที่นาํ มาเลา นี้ เปนพยานใหเ ราทราบวา ภายในรางกายของมนษุ ยเ รานี้ มอี าํ นาจสงิ่
หนงึ่ แปลกประหลาดวิเศษเกินกวา อาํ นาจของคนธรรมดาซอ นอยู ทเี่ มื่อทราบวธิ ปี ลกุ หรอื ปลูก
สรางขึน้ ใหม ีประจาํ แลว จะเปน ส่งิ ท่มี หัศจรรย โดยสามารถรูเห็นส่ิงตางๆ ซง่ึ มนษุ ยธรรมดาไมอาจ
รเู ห็นได.

ในทางพระพทุ ธศาสนา ไดกลาวถงึ อาํ นาจทว่ี าน้ี และเรยี กชอ่ื วา ทิพพจักข-ุ ตาทพิ ย, ทิพพ
โสต-หทู ิพยค ลายจะยนื ยนั วา มีอํานาจทพิ ยในรางกายมนษุ ยน ี้ดวยแตนกั ศึกษาทางพระพุทธศาสนา

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๒

โดยสว นมากมองขา มไป ไมไดสนใจศกึ ษาเพือ่ พิสจู นค วามจริงเรอื่ งนี้ เมือ่ มใี ครพูดถงึ เรอ่ื งนี้ ก็มกั
ตาํ หนิหาวางมงาย เช่อื ในสิง่ ซ่ึงไมอาจเปนไปได หาไดเฉลียวใจไมว า พระบรมศาสดาเปน ผูทรง
แสดงไว ทง้ั ปรากฏในพระประวตั ขิ องพระองคว าทรงสามารถใชอ ํานาจนนั้ ไดอยา งดีดวย นาที่เรา
พทุ ธศาสนิกชนจะพึงศึกษาคน ควาพสิ จู นค วามจริงกันดูบา ง จะเปนส่งิ ไรส าระเทยี วหรือ ถา จะทํา
การพิสจู นว ชิ าหทู ิพยตาทิพย ใหทราบความจรงิ อยางมีหลกั ฐาน ขาพเจา กลับเห็นวาจะเปนทาง
ชว ยใหพ ระพทุ ธศาสนาเดนขน้ึ อกี เพราะสงิ่ ใดท่พี ระบรมศาสดาตรัสไว ซึ่งปรากฏมีอยใู น
พระไตรปฎ กหากเราพสิ จู นใ หเห็นจรงิ วา สิ่งนน้ั เปนไดตามที่ดาํ รสั ไว ก็ยอ มเปนพยานแหง พระ
ปญ ญาของพระบรมศาสดา เปนทางใหเ ราเกิดความเช่อื มนั่ ในพระปญญาตรัสรขู องพระบรมศาสดา
อยา งแนนแฟน จะเพ่ิมกําลงั ใหเ ราปฏิบตั ิตามพระบรมพทุ โธวาทไดโ ดยไมล งั เลใจ ทัง้ เปน หลักฐาน
ตอตา นปรัปวาทดวย เพราะในโลกสมัยวทิ ยาศาสตรเฟองฟนู ี้ เขาไมคอยเชอื่ ในอํานาจลึกลับนี้
เมือ่ พระพทุ ธศาสนากลาวถงึ เขาจงึ นาจะย้ิมเยาะอยูแลว แมแ ตเ ราซ่ึงเปนศาสนิกชนแทๆ ก็ยงั ไม
เชือ่ แลวจะใหนักวิทยาศาสตรเขาเชื่ออยางไร? เพราะเขาตั้งหลักเกณฑของเขาไวว า เขาจะเชือ่
เฉพาะสงิ่ ที่เขาไดพสิ จู นทราบความจริงแนช ดั แลว เทา นั้น หลักเกณฑท ่ีเขาต้งั ไวนเ้ี ปนหลักเกณฑท ่ี
ดี เปนวิสัยแหง นักศึกษาความจรงิ ซ่งึ จะไมย อมใหความเชอ่ื ของเขาไรเ หตผุ ล แมพระบรมศาสดา
ของเราก็ปรากฏวาทรงดําเนินปฏบิ ตั มิ าทาํ นองเดยี วกับนักวิทยาศาสตรใ นสมัยปจจบุ นั คอื ทรงทาํ
การพสิ จู นค วามจรงิ ทางใจ จนไดหลักฐานแนนอนแลว จงึ ทรงพอพระหฤทัยวา ไดตรสั รูแลว มไิ ด
ทรงไปเทีย่ วเก็บเอาความรูของผูอืน่ ทเ่ี ขาคนควาไวมารอ ยกรองเขา เปน หลกั แหงศลี ธรรมจรรยาที่
ทรงสัง่ สอน และมิไดท รงอา งวาใครเปนศาสดา หรอื ผูบงั คับบัญชาเหนือใหประกาศธรรมสั่งสอน
มหาชน พระองคทรงคนพบความจรงิ ดว ยพระองคเ อง แมห ลักความรูน ั้นๆ จะมีมาในลทั ธศิ าสนา
หรือในความเชอื่ ถือของมหาชนมาแลว แตโ บราณกาลก็ตาม ถา ยงั ไมไดพ ิสูจนดวยความรูของ
พระองคเ องกอ นแลวก็มไิ ดนํามาบัญญัติสั่งสอนมหาชนแตประการใด เปนแตไมม ีความรูสว นใดที่
เกนิ พระปญญาของพระองคไ ปเทานั้นเอง เราจึงไดพบวา บรรดาบญั ญตั ธิ รรมที่ถกู ตองตามหลัก
เหตผุ ลนนั้ ๆ ไดม าปรากฏในพระบญั ญตั ิของพระองคทั้งหมด ทีป่ รากฏวามีบางอยา งท่ไี มท รง
พยากรณไว กม็ ใิ ชวา ไมท รงทราบ เปนแตท รงเห็นวา ไมเปนประโยชน จงึ ไมท รงกลาวแกห รือแสดง
ไว เชน อนั ตคาหิกทิฏฐิ หรอื นิยตมิจฉาทิฏฐิ ไมท รงกลาวแก เปน แตท รงแสดงธรรมโดยปริยายอื่น
ใหฟง เมื่อผฟู ง พจิ ารณาตามก็ทราบความจรงิ ในเรอื่ งน้ันดว ยตนเอง แลว สิน้ สงสัยไปเอง วธิ ีการ
แกความเห็นของคนทพี่ ระบรมศาสดาทรงใช คลายวิธีการรกั ษาโรคของแพทยผูเช่ยี วชาญ ที่
ตรวจหาสมุฏฐานของโรคกอนแลว จึงรักษาแกท ่ีสมุฏฐาน ไมตามรักษาทอี่ าการเจ็บปวดซ่งึ เปน
ปลายเหตุ เพราะเม่ือแกสมุฏฐานถูกตองแลวโรคกส็ งบ อาการเจบ็ ปวดก็หายไปเอง ฉะน้นั เรื่องที่
ไมทรงกลา วแกอันตคาหิกทิฏฐิก็เชน เดยี วกัน เพราะความเหน็ นั้นเปนเพียงปลายเหตุ มใิ ชสมุฏฐาน
อนั เปนตัวเหตุดั้งเดิม จงึ ทรงแสดงธรรมโดยปริยายอ่ืนอันสามารถแกตวั เหตเุ ดิมซึ่งเปนสมฏุ ฐาน.

อํานาจลึกลับมหศั จรรย เกนิ วสิ ยั สามัญมนุษยนั้นแมมิไดตรัสเรียกวา ทิพยอํานาจ โดยตรง
กต็ าม ก็ไดท รงกลา วถึงอาํ นาจนน้ั ไวแลว อยา งพรอ มมูล และตรัสบอกวธิ ีปลกู สรา งอาํ นาจน้ันขึน้ ใช

ทิพยอํานาจ ๑๓

อยา งดีดวย เปนการเพยี งพอท่เี ราจะสันนิษฐานวา พระบรมศาสดาไดท รงบรรลอุ ํานาจน้นั ทุก
ประการ และทรงใชใ หเกดิ ประโยชนอ ยางมหาศาลมาแลวในสมัยทรงพระชนมอ ยู.

ความขอนีม้ หี ลกั ฐานในพระไตรปฎกมากมาย จะนํามาเลา พอเปนอุทาหรณ ดังตอ ไปนี้
๑.๑ เม่ือตรัสรแู ลวใหมๆ เสดจ็ ไปโปรดภกิ ษเุ บญจวัคคียท ส่ี วนกวาง อนั เปนที่พกั ของฤษี ณ
เมืองพาราณสี แลว เสดจ็ จาํ พรรษาที่น่ัน.
ในภายในพรรษา ทานพระยศเถระเมื่อยงั มิไดบวช บังเกดิ ความคิดเหน็ ข้ึนวา ฆราวาสคับ
แคบวนุ วายสุดทจ่ี ะทานทนได จึงหนอี อกจากบา นไปเฝา พระบรมศาสดาทส่ี วนกวางน้นั เดนิ บนไป
ตามทางวา ท่นี ่ีคับแคบ ทน่ี ่ีวุนวาย พระบรมศาสดาไดท รงสดบั จึงทรงขานรับวา ท่ีนไี่ มคับแคบ
ทน่ี ไี่ มวุนวาย เชิญมาทีน่ ่ี เราจะแสดงธรรมใหฟง ทานพระยศเถระกเ็ ขา ไปตามเสยี งที่ทรงเรียก เมื่อ
ไดถ วายบงั คมและนง่ั เรียบรอ ยแลว กไ็ ดรับฟง พระธรรมเทศนาอันนา จบั ใจ จนไดบ รรลุดวงตาเห็น
ธรรมข้ึนในใจ ทันใดนั้นบดิ าของทานกต็ ิดตามไปถึง พระบรมศาสดาเกรงวา เมอ่ื พระยศเถระกับ
บิดาไดเ ห็นกัน กจ็ ะเปน อันตรายแกธ รรมาภิสมัย จงึ ทรงทาํ ตโิ รภาพปาฏหิ ารยิ  คอื ทรงทาํ ฤทธ์ิ
กาํ บงั มใิ หบ ดิ ากับบตุ รเหน็ กัน แลว ทรงแสดงธรรมใหทัง้ สองนั้นฟง จนทา นพระยศเถระไดบรรลุถงึ
พระอรหตั ตผล ถึงความเปน ผูบรสิ ทุ ธแ์ิ ลว และบดิ าของทา นไดบ รรลดุ วงตาเห็นธรรมแลว จงึ ทรง
คลายฤทธ์ิใหบ ิดากับบุตรเหน็ กัน ทันใดนัน้ บิดาของทานพระยศเถระก็แจง ใหท ราบวา ทางบานพา
กันตามหา ขอใหทา นกลับบา น พระบรมศาสดาจงึ ชิงตรัสวา ยศะไดฟง ธรรม ถงึ ความเปนผูไมค วร
แกก ารครองเรอื นแลว บดิ าของทา นพระยศเถระจึงทูลอาราธนาพระบรมศาสดากบั ทานพระยศ
เถระไปฉันทีเ่ รือน ครนั้ บิดากลบั ไปแลว ทา นพระยศเถระจงึ ทลู ขอบรรพชาอุปสมบทเปนภิกษุใน
พระพุทธศาสนา แลวเปนปจ ฉาสมณะตามหลังพระบรมศาสดาไปฉันภัตตาหารที่เรอื นของบดิ า
เรอื่ งน้ีเปนอุทาหรณแหง อทิ ธิวิธี ชนิดที่เรยี กวา ตโิ รภาพ หรือทส่ี ามญั ชนเรียกวา กําบังหรือหายตวั
๒.๒ เมือ่ ออกพรรษาแรกนนั้ แลว เสด็จไปสอู ุรเุ วลา ตําบลเสนานคิ ม แควนมคธ เพอ่ื โปรด
ชฎิล ๓ พน่ี อง พรอมดว ยบริวาร เสด็จเขา ไปขอพกั อาศัย ทานอรุ ุเวลกสั สปะ ผเู ปนหวั หนาชฎลิ
ตอบขัดของ พระบรมศาสดาตรสั ขอรอ งดวยเหตุผลทางสมณวสิ ยั ถงึ ๓ ครงั้ ทา นจงึ ยอมรับใหพ ัก
อาศัย พระบรมศาสดาขอพกั ในโรงไฟ ทานก็หามวา มนี าคราย เกรงจะเปน อันตราย ขอใหพักในที่
อื่น พระบรมศาสดาตรสั รับรองวา ไมเ ปนไร แลว เสดจ็ ไปพกั ไดท รงทาํ ฤทธส์ิ ูกับนาครายจนมันหมด
พยศ รงุ เชาทรงจบั นาครายใสบ าตรมาใหทานอุรุเวลกสั สปะดู ทานกอ็ ศั จรรย แตยงั ไมป ลงใจเชื่อ
วา เปน “พระอรหันต” ผวู ิเศษกวาตน จึงไมย อมเปนสาวก.
วนั ตอ มาอกี เสด็จไปบณิ ฑบาตอุตตรกุรทุ วปี ไดผลหวา ลูกใหญมาสูทา นอุรเุ วลกัสสปะฉัน
ซึง่ เปนทีร่ ูก ันในสมัยนั้นวา ผลหวา ชนดิ นน้ั ไมมีในทใี่ กลๆ น้นั นอกจากในปาหิมพานต ในวัน
ตอ มาอกี เวลากลางคืนมีแสงสวา งในบริเวณทปี่ ระทบั ตลอดราตรีทัง้ สามยาม แตละยามกม็ ีแสง
สวางตางสีกันดวย รงุ เชา ทา นอุรเุ วลกสั สปะจึงทลู ถาม ตรัสพฤติการณวา ปฐมยามทา วมหาราชทง้ั
๔ มาเฝา มชั ฌิมยามทา วสกั กเทวราชลงมาเฝา ปจฉมิ ยามทาวมหาพรหมลงมาเฝา ทา นอรุ เุ วล-
..........................................................................................................................................................

๑. ว.ิ มหา. ๔/๑๕. , ๒. วิ. มหา. ๔/๕๔

ทิพยอาํ นาจ ๑๔

กัสสปะหลากใจแสดงความอัศจรรย อยากจะยอมตนลงเปนสาวกแลว แตยังมมี านะเกรงจะได
ความอบั อายแกส านศุ ิษย รงุ ขนึ้ อกี วันหน่ึง ฝนพรํา อากาศเยน็ จดั พวกชฎิลหนาวพากันผาฟน
เพอ่ื กอ ไฟผงิ พระบรมศาสดาทรงทําปาฏหิ าริยใ หผา ฟน ไมแ ตก และกอไฟไมต ิด พวกชฎิลพากัน
หลากใจและลงความเห็นวา เปน ดว ยฤทธ์ิของพระบรมศาสดา จงึ พากนั ไปออนวอนอาจารยข อให
พาพวกตนถวายตวั เปน ศษิ ยพ ระบรมศาสดา ทา นอุรุเวลกสั สปะไดโอกาส จึงพาศิษยบ ริวารเขา ขอ
บรรพชาอุปสมบทในสาํ นกั พระบรมศาสดา นอ งชายทัง้ สองซ่ึงอยูใ นอาศรมทางใตล งไปพาบรวิ าร
มาเยย่ี มพ่ชี าย เหน็ บวชเปน ภิกษแุ ลวก็พากันบวชตามพชี่ าย พระบรมศาสดาทรงเทศนาอบรมทาน
ทงั้ สาม พรอมดวยบรวิ ารพันหนงึ่ โดยปรยิ ายตางๆ จนเห็นวา มอี นิ ทรียแกกลา พอจะรับฟง พระ
ธรรมเทศนาเพ่ือปญ ญาชนชั้นสูงแลว จงึ พาไปสูตําบลคยาสสี ะ๑ ทรงแสดงอาทติ ตปรยิ าย โปรดให
บรรลุอรหตั ตผลทง้ั ๑,๐๐๐ องคพ รอ มกนั พอเวลาอนั สมควรแลว จงึ พาพระอรหันตทงั้ ๑,๐๐๐
องค เสด็จยาตราเขาสกู รงุ ราชคฤห เพ่ือโปรดพระเจาพมิ พสิ ารตอไป.

เร่ืองที่เลามาน้ี เปนอทุ าหรณแ หงปาฏหิ ารยิ ท ั้งหลายประการ คอื ทรงทรมานนาครา ยให
หายพยศไดน ั้นทรงใชป าฏหิ าริยบ ังควันกอน แลวจึงทรงใชปาฏหิ าริยเปลวเพลิงภายหลงั ที่ทรง
แหวกนํา้ จงกรมนั้น ทรงใช ปาฏหิ าริยตโิ รปาการภาพ คือทรงเนรมิตกําแพงขน้ึ กนั้ น้าํ ไว ท่ีเสดจ็ ไป
บิณฑบาตอตุ ตรกุรุทวีปนั้น ทรงใชป าฏิหารยิ เ หาะไป ทรงทราบวามเี ทวดามาเฝา ยามทง้ั สามของ
ราตรนี น้ั เปนดวยทิพพจกั ขุญาณ และ ทพิ พโสตญาณ ท่ีทาํ ใหพวกชฎิลผาฟน ไมแ ตก กอไฟไมต ดิ
นน้ั เปนดวยอธิษฐานฤทธิ.์

๓.๒ ในสมยั พระธรรมวนิ ยั กาํ ลังแผไ ปทว่ั มัชฌิมชนบทน้นั พราหมณพาวรซี ึ่งตั้งอาศรมอยูฝ ง
น้าํ โคธาวารี ในแดนทักษณิ าบถ คือ อินเดยี ภาคใต ไดทราบกติ ติศัพทของพระบรมศาสดาวา เปน
พระอรหันตสมั มาสัมพทุ ธเจา จงึ ผกู ปรศิ นาใหศ ิษยผใู หญ ๑๖ คนไปเฝา ทลู ถาม เพือ่ หย่ังภูมิของ
พระบรมศาสดาวาจะจรงิ อยางคาํ เลา ลือหรือไม เวลานั้นพระบรมศาสดาเสด็จประทับที่ปาสาณ-
เจดยี  ประเทศโกศล มาณพศษิ ยพ ราหมณพาวรที งั้ ๑๖ คน พรอมดว ยบริวารไปถึงเขาเฝา ในเวลา
เย็น ณ รม เงาปาสาณเจดียน นั้ พระบรมศาสดาทรงปฏิสนั ถารดวยสัมโมทนยี กถาพอสมควรแลว
จึงทรงแสดงพระปาฏิหาริยเปนประเดิมกอ นเปดโอกาสใหถามปรศิ นา ดว ยทรงชมโฉมพาวรี
พราหมณ ผเู ปนอาจารยของมาณพเหลานนั้ กอนวา มลี กั ษณะของมหาบรุ ุษ ๓ ประการ และตรสั
บอกความคดิ ของพาวรที ี่ผูกปรศิ นามาถามวา มีความประสงคเ ชน ไร แลว จงึ เปดโอกาสใหถ าม
ปริศนาทีละคนจนจบทัง้ ๑๖ คน ทา นเหลา น้ันกเ็ กิดอศั จรรยใ จขนพองสยองเกลา จนเกอื บจะไม
ทลู ถามปรศิ นา แตพระบรมศาสดาเห็นวา การแกปริศนานั้นจะเกิดสําเรจ็ ประโยชนใ หญหลวง จึง
ทรงบญั ชาใหถามปริศนาตอไปแลว ทรงแกปรศิ นาน้ันๆ ไดอยางคลองแคลวไมม กี ารขดั ของอึดอัด
ในท่สี ุดแหง การแกป ริศนาของแตละทาน ทา นเจาของปรศิ นาพรอ มดวยบรวิ าร กไ็ ดบ รรลุพระ
อรหัตตผลทง้ั หมด เวนแตปงคิยะ หลานทานพาวรีเทา น้นั เพราะโทษทีม่ ีใจหวงใยถึงทา นพาวรผี ู
เปนลงุ .
..........................................................................................................................................................

๑. คือ คชาสีสะ เขาหัวชาง. พ.ม.ส. , ๒. ข.ุ สุ. ๒๕/๕๒๔

ทพิ ยอํานาจ ๑๕

เร่ืองน้ี เปนอุทาหรณแ หง อทิ ธิปาฏหิ าริยห ลายประการ คอื ทรงทราบลกั ษณะพาวรี
พราหมณดวยทิพยจักษญุ าณ ทรงทราบความคดิ ของพาวรพี ราหมณดวยปรจติ ตวิชชาญาณ หรือที่
เรียกวา เจโตปรยิ ญาณ ทรงแกป ริศนาไดคลองแคลวไมต ิดขัดน้ัน เปนดว ยพระปรีชาญาณหลาย
ประการ มีพระปฏิสัมภทิ าญาณ เปน ตน.

๔.๑ สมัยหน่งึ ทรงรับนิมนตของพกาพรหมแลว เสด็จไปพรหมโลก ทรงทรมานพกาพรหม
ดวยอทิ ธปิ าฏิหารยิ ห ลายหลาก มกี ารเลน ซอ นหาเปน ตน แลวทรงแสดงธรรมสัง่ สอนใหพ กาพรหม
ละพยศรายไดดวยวิธที เ่ี รียกวา ญาณคทา.

๕. สมัยหน่งึ พระมหาโมคคลั ลานะ ไปทําความเพยี ร ณ บา นกลั ลวาลมตุ ตคาม ถกู ถีน-
มิทธะครอบงาํ สมเดจ็ พระผมู พี ระภาคเจา ทรงทราบดว ยเจโตปริยญาณ จงึ เสดจ็ ไปดว ยพระ
มโนมยั กาย ทรงแสดงวิธีแกถีนมิทธะแกพ ระเถระ แลวเสด็จกลบั ทปี่ ระทบั .

๖.๒ อีกครงั้ หน่งึ ทรงทรมานทานพระองคุลีมาลเถระ เมอ่ื ยังเปนโจร ดวยพระปาฏหิ าริย
ทูเรภาพ คือ ทรงดาํ เนินโดยปกติ แตทา นพระองคลุ มี าลตามไมท นั เห็นพระองคอ ยใู นระยะไกลอยู
เสมอ จงึ ตะโกนบอกใหหยดุ ทรงตอบไปวา พระองคหยุดแลว ทา นเองสิไมห ยุด พระองคุลมี าลรอง
ตะโกนไปวา ตรัสมุสา เดนิ อยูแทๆ บอกวา หยุดได ตรสั ตอบวา ทรงหยดุ ทําบาปแลวตางหาก ทา น
เองสิไมหยุดทาํ บาปใสต ัว พระองคลุ ีมาลไดสติ จงึ ท้งิ อาวุธเขา ไปเฝา ทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระ
บรมศาสดาก็โปรดใหบ รรพชาอุปสมบท แลว พามาวดั พระเชตวนั ในวันน้นั .

๗.๓ อกี ครัง้ หนงึ่ ซง่ึ เปน คร้ังท่มี ีประวัติการณโดง ดังท่ีสดุ คอื ครั้งทรงทํา ยมกปาฏิหาริย
เพือ่ ทรมานเดยี รถียน ิครนถ ท่มี าแขงดที าทายดวยประการตางๆ ครง้ั นั้นทรงทาํ ทก่ี รุงสาวตั ถี ณ
ตนไมม ะมว งชือ่ คัณฑามพฤกษ โดยแสดงพระองคใ หม หี ลากหลาย มีอิรยิ าบถและทํากิจตา งๆ กัน
บางนงั่ บางนอน บางแสดงธรรม บา งจงกรมกลางหาว และทรงทาํ ทอ น้ํา ทอไฟ และรังสีสลบั สใี ห
พุงออกจากพระวรกายเปน คูๆ แลวเสด็จลับพระองคไ ปในอากาศ ณ ยอดเขาพระสเุ มรุ นยั วา เสดจ็
ไปจาํ พรรษา ณ ดาวดึงส ทรงแสดงพระอภธิ รรมโปรดพระมารดา วนั ออกพรรษาจงึ เสดจ็ ลง ณ
ประตูนครสังกสั สะ ทางทิศเหนอื กรุงสาวตั ถี แลว ทรงทาํ อาวีภาพปาฏิหาริย คือทรงเปดโลกใหคน
และเทวดาเห็นกนั ได พระองคเสดจ็ ลงโดยบนั ไดแกว ทีเ่ ทวดานฤมิต มีพระอนิ ทรกบั พระพรหมตาม
เสดจ็ ท้งั สองขา ง ดวยบันไดเงินและทอง มหาชนไดป ระชุมกันตอนรับโดยสักการะมโหฬาร นยั วามี
ผปู รารถนาเปนพระพทุ ธเจากนั ในครั้งนนั้ มากมาย ประมาณเทาเมล็ดทรายในแมน ํ้าคงคา คนและ
เทวดาไดเ ห็นกนั ชดั แจงในครง้ั นน้ั .

ยมกปาฏิหารยิ  เปน สง่ิ ท่ีทําไดยากทสี่ ุด ไมมีพระสาวกรูปใดทําได ไมม ีใครสามารถเปน
คแู ขงได จงึ เปน ปาฏหิ าริยท่ีนาอศั จรรยทส่ี ุด.

เรื่องเหลา นีเ้ ปน เพยี งสว นนอย นาํ มาเลาพอเปน อุทาหรณเทา น้นั ถา จะเลา เรอ่ื งท่ที รงทาํ
ปาฏิหาริยใ นคราวตางๆ ใหสิ้นเชงิ แลว กจ็ ะกลายเปน หนังสอื เลมใหญ ซึ่งมิใชจ ดุ หมายของหนังสอื
เลมนี้.
..........................................................................................................................................................

๑. ม. มู. ๑๒/๕๙๐. , ๒. ม. ม. ๑๓/๔๗๙. , ๓. ยมกปฺปาฏหิ ารยิ วตถฺ ุ ธมมฺ ปทฏฐกถา ๖/๒๑๑

ทิพยอํานาจ ๑๖

ปาฏหิ าริยนี้ ทรงแสดงไววามี ๓ ประการ คือ

๑. อทิ ธิปาฏหิ ารยิ  ฤทธิอ์ ศั จรรย

๒. อาเทสนาปาฏิหารยิ  ดักใจถกู ตอ งอยางนา อัศจรรย

๓. อนุสาสนปี าฏิหาริย คาํ สงั่ สอนทน่ี าอัศจรรย โดยมเี หตุผลพรอมมูล และปฏบิ ตั ิไดผ ล

จริงๆ ดว ย.

ในปาฏิหารยิ ท ้ัง ๓ ประการนี้ ทรงสรรเสริญอนสุ าสนปี าฏิหาริยว าเปนเยีย่ ม เพราะย่งั ยนื

ดาํ รงอยหู ลายช่วั อายุคน และสําเร็จประโยชนแ มแกคนรนุ หลงั ๆ สว นปาฏหิ าริยอกี ๒ ประการน้ัน

เปนประโยชนเ ฉพาะแกผไู ดป ระสบพบเห็นเทาน้ัน และเปนสงิ่ ท่ีสาธารณะ แมชาวโลกบางพวกเขา

ก็ทาํ ได เชน ชาวคันธาระ และชาวมณีปรุ ะ เปนตน ทีเ่ รยี กกนั ในครั้งน้ันวา คันธารวชิ า มณวี ิชา

พระบรมศาสดาจึงไมท รงแสดงบอยนัก เวนแตจําเปน และเหน็ วาจะสําเร็จประโยชนจึงทรงทาํ

อิทธิปาฏิหาริยและอาเทศนาปาฏหิ ารยิ  นยั วาทรงหา มพระสาวกมใิ หแสดงอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ 

เชนเดียวกนั แตก ป็ รากฏวา มพี ระสาวกแสดงปาฏิหาริยกนั เร่อื ยๆ มา ตง้ั แตส มยั พระบรมศาสดายงั

ทรงพระชนมอยู จนถงึ สมัยหลังพุทธปรินพิ พานมานาน ทีต่ รัสส่งั ใหแสดงก็มี เชน ทรงแนะอุปเทศ

แหงฤทธ์แิ กพ ระมหาโมคคลั ลานะ ใหทรมานนนั โทปนันทนาคราช และตรัสสัง่ พระมหาโกฏฐิตะไป

ทรมานพญานาค ท่ที า ปยาคะ เปนตน เมอ่ื คราวจะทํายมกปาฏิหาริยกม็ พี ระสาวกสาวกิ าหลาย

องคข อแสดงฤทธ์แิ ทน แตไมทรงอนุญาต โดยทรงอา งวา เปน พทุ ธวสิ ัย และ พุทธประเพณ.ี

อํานาจอันแปลกประหลาดมหศั จรรย ดังทเ่ี ลามาน้ี เปนสง่ิ เกินวิสยั สามัญมนุษยจ ะทาํ ได

เปนเหมอื นเทพบันดาลฉะนั้น ขาพเจา จงึ พอใจเรยี กอํานาจชนิดน้ีวา ทิพยอํานาจ แตมไิ ด

หมายความวา อาํ นาจนเ้ี ปน ของเทวดาหรอื เทวดาดลใจใหท ํา ขา พเจา หมายถึงภาวะหน่ึงซงึ่ เปน

ภาวะทพิ ย มีอยูในภายในกายของมนษุ ยธ รรมดาน่ีเอง หากแตไมทาํ การปลกุ หรือปลูกสรางขึน้ ให

มีประจกั ษชดั จึงไมมีสมรรถภาพทําการอนั นา อัศจรรยได สวนผรู ูจักปลกุ หรือปลกู อํานาจชนดิ นนั้

ข้ึนใช ยอ มสามารถทําอะไรๆ ทนี่ าอศั จรรยไดเกินมนุษยธ รรมดา.

ทิพยภาวะนัน้ จะปรากฏข้นึ แกบ คุ คลในเม่ือเจรญิ สมาธิจนไดฌาน ๔ แลว และฌาน ๔

นนั้ เองเปน ทพิ ยวิสัย คือ แดนทพิ ย ซ่งึ เม่ือบุคคลเขา ไปถึงแดนทพิ ยน้ีแลว ทกุ สง่ิ ทกุ อยางทเ่ี ก่ียวของ

กบั ตนโดยฐานเปนเคร่อื งใช ของกิน ความคดิ นกึ รูส กึ และความรู กย็ อมกลายเปนทพิ ยไปหมด ดงั ที่

ตรัสแกพ ราหมณและคหบดี ชาวเวนาคปุระวา เราเขาฌานท่ี ๑-๒-๓-๔ ถา จงกรมอยูท ่ีจงกรมก็

เปน ทพิ ย ถายืนอยทู ี่ยนื กเ็ ปนทพิ ย ถาน่งั อยูที่นง่ั ก็เปนทพิ ย ถา นอนอยูทน่ี อนก็เปนทิพย ... ดังน้ี

และมีในท่อี น่ื อีกหลายแหง ท่ีตรสั เกยี่ วกับเร่ืองน้ี ซ่ึงเม่ือรวมความแลว กท็ รงรับรองวาเม่อื เขา ฌาน

ที่ ๑-๒-๓-๔ แลว ทุกสิง่ จะกลายเปนทิพย อาหารทไี่ ดดวยการบิณฑบาตกเ็ ปน ทิพย ผาบังสุกุลก็

เปนทิพย โคนไมท ีอ่ าศยั ก็เปนทพิ ยวมิ าน ยาดองดว ยนํา้ มูตรเนา ก็กลายเปนยาทิพยไ ป เคร่ืองใช

สอยตางๆ ก็เปนทพิ ย ภาวะแหงจติ ใจในสมัยนั้นก็บริบรู ณไปดวยทพิ ยภาวะ สงิ่ ท่ีไดประสพพบเหน็

สมั ผสั ถูกตอง ลวนแตน า ชื่นใจ ประหนงึ่ วา ไดเขา ไปอยูใ นโลกทพิ ยอยางเตม็ ท่แี ลว ฉะนั้น.

ทิพยอาํ นาจ ๑๗

ฌานท้งั ๔ เปน ท่ีตัง้ แหง ทพิ ยอํานาจทง้ั ปวง คอื ทิพยอํานาจทัง้ ปวงจะเกิดขนึ้ แกบุคคล
ยอมตอ งอาศยั ฌาน ๔ เปน บาทฐาน เพราะฌาน ๔ เปน ทิพยวสิ ยั ทีบ่ รบิ ูรณดว ยภาวะทพิ ย ซ่งึ จะ
เปนกาํ ลังหนนุ ใหเกิดทพิ ยอํานาจไดง า ย.

ทิพยอํานาจนี้ เมอื่ วา โดยลกั ษณะอยางตา่ํ ยอ มหมายถงึ โลกยี อภญิ ญา ๕ ประการ แตเ มือ่
วาโดยลกั ษณะอยา งสงู ยอ มหมายถงึ โลกตุ ตรอภิญญา ๖ ประการ หรอื วิชชา ๘ ประการ คอื

๑. อิทธวิ ิธิญาณ ฉลาดในวธิ ที าํ ฤทธิ์
๒. มโนมยทิ ธิ ฤทธิส์ ําเรจ็ ดวยใจ
๓. ทพิ พโสตญาณ ฉลาดในโสตธาตทุ พิ ย
๔. เจโตปรยิ ญาณ ฉลาดในการรูใจผูอ่นื
๕. บุพเพนิวาสานุสสตญิ าณ ฉลาดในการระลกึ ชาตกิ อนได
๖. ทพิ พจกั ขุญาณ ฉลาดในทางตาทพิ ย
๗. จตุ ปู ปาตญาณ ฉลาดรจู ุติและอุปบตั ิ ตลอดถงึ การไดดีตกยากของสตั วตามกําลังกรรม
๘. อาสวกั ขยญาณ ฉลาดในการทําอาสวะใหส ิน้ ไป.
ขอ ๑-๓-๔-๕-๖ และ ๘ เปน อภญิ ญา ถาขาดขอ ๘ ไปกเ็ ปนเพียงโลกยิ อภญิ ญา ถา มีขอ
๘ กเ็ ปนโลกุตตรอภิญญา อภิญญา ๖ หรอื วิชชา ๘ ประการน้ขี าพเจาจะเรยี กวา ทิพยอาํ นาจตอ ไป.
ทิพยอาํ นาจน้ี พระบรมศาสดาและพระสาวกสาวกิ าไดท รงมี และไดใชบาํ เพ็ญประโยชน
มาแลว มหี ลักฐานมากมายในพระไตรปฎ ก เราผูอนชุ นหรือปจฉิมชนไมควรจะมองขามไป หรือไม
ควรดูหม่ินวาไมน า เช่ือ แลว แหละทอดธุระเสยี .
บคุ คลผูฝก ฝนอบรมตนจนไดทิพยอํานาจนี้ แมเพยี งบางประการ จะตองมศี ลี ธรรมเปน
หลกั ประจําใจมาแลว อยางพอเพยี ง อยางตา่ํ ก็จะตองมีศลี ๕ และกัลยาณธรรมประจาํ ใจ เปนผรู กั
ดเี กลียดบาปกลัวบาป ชอบสงบตามวิสยั ของคนดีไมเ ปนภยั แกส ังคม เขาจงึ ควรไดช ื่อวา “นรเทพ”
สว นบุคคลผสู มบูรณดว ยทพิ ยอาํ นาจทุกประการนน้ั ยอมบรบิ ูรณด วยศีลธรรมชน้ั สงู สุด เปนอุดม
บรุ ษุ ในพระพุทธศาสนา ไมเ ปน ขาศึกตอ โลก ทา นผเู ชนนี้ควรไดช่อื วา เทวาติเทพ ไดแลว.
บคุ คลท้งั สองจาํ พวกนี้ เมือ่ มที พิ ยอํานาจขน้ึ ยอ มวางใจไดว าจะไมน ําอาํ นาจนน้ั ไปใช
ในทางทเ่ี ปนโทษหรือผดิ ศีลธรรม ยอมใชบ าํ เพ็ญประโยชนต น ประโยชนท าน และประโยชน
สว นรวมของชาติและพระศาสนา ดงั ท่ีพระบรมศาสดาและพระสาวกสาวิกา ไดบําเพ็ญมาแลว.
ทีนี้มปี ญหาเกิดขึ้นวา ในสมยั ปจจุบนั น้ี จะสรางทิพยอํานาจขนึ้ ใชไดหรือไม? ขา พเจาขอ
ตอบเพยี งส้ันๆ วา เมอ่ื ทิพยอํานาจมไี ดใ นความบงั เอิญ ก็ยอ มจะมไี ดใ นการทําจริง และขอช้แี จงวา
พระบรมศาสดาทรงแสดงไววา พระธรรมเปนอกาลโิ ก คือไมจ ํากดั กาล มรรค ผล ธรรมวเิ ศษ มีอยู
ทกุ ยุคทกุ สมยั มิไดส ูญหายไปไหน เปน แตเมอ่ื บุคคลไมปฏิบตั ิบาํ เพ็ญ มรรค ผล ธรรมวเิ ศษกไ็ ม
ปรากฏ เพราะมรรค ผล ธรรมวิเศษ ข้ึนอยูกบั การปฏบิ ัติของบคุ คล เมื่อบคุ คลเปน ผปู ฏิบตั ิจริงจงั
ยอมจะตองไดธ รรมวเิ ศษหรือมรรค ผล อยางใดอยางหน่ึงเปนแน และจะถงึ ความเปน สกั ขีพยาน
ของพระบรมศาสดาจารยใ นธรรมนั้นๆ สมยั นปี้ ฏปิ ทาเพอื่ ไดเพือ่ ถึงมรรคผลธรรมวิเศษน้นั ๆ ยังมี
บรบิ ูรณ ยังไมอ นั ตรธานไปจากโลก.

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๘

ขาพเจา ขอเชิญชวนสาธชุ นมารว มกัน พิสูจนค วามจริงดวยการปฏบิ ตั ิ ขาพเจา จะประมวล
ปฏปิ ทามาไวในทีเ่ ดยี วกนั เพอ่ื สะดวกแกผ ูตอ งการปฏบิ ัติ ดังจะกลาวในบทตอ ไป.

..............................................

ทิพยอาํ นาจ ๑๙

บทท่ี ๑

อะไรเปน ทตี่ งั้ แหง ทพิ ยอาํ นาจ

ไดกลาวเกร่ินไวใ นบทนาํ วา ฌาน ๔ เปน ทพิ ยวสิ ัย และเปน ทตี่ ัง้ แหง ทพิ ยอาํ นาจดว ย
ดงั น้ันในบทนี้ จึงจะแสดงฌานไวเ พ่ือเปนหลักปฏิบตั ิสืบไป.

สมาธแิ ละฌานในพระพทุ ธศาสนามีมากประเภท แตท ตี่ รสั ไวเปนมาตรฐานในการเจริญ
เพอ่ื เปน ท่ตี ง้ั แหงทิพยอํานาจนั้น ไดแกฌ าน ๔ ประการ ที่เรยี กชือ่ ตามลาํ ดบั ปรู ณะสังขยาวา
ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตตยิ ฌาน และจตุตถฌาน ฌาน ๔ ประการนีต้ รัสเรยี กวา สัมมาสมาธิ
จดั เปน องคห น่ึงของมรรค ๘ และเปน องคประธาน มอี งค ๗ นอกนนั้ เปนบริขาร คือเปน
สวนประกอบ แตเมอ่ื วาโดยกจิ ตัดกเิ ลสแลว สมั มาทิฏฐเิ ปนหวั หนา เปนองคนํา องค ๗ นอกน้ันเปน
สวนประกอบ.

สมาธกิ บั ฌานมคี วามหมายกวา งแคบกวากัน คอื สมาธมิ ีความหมายกวางกวา ฌาน ความ
สงบม่ันคงของใจต้ังแตช้ันตา่ํ ๆ ชั่วขณะหนงึ่ จนถึงความสงบขนั้ สงู สดุ ไมมีอารมณเปน เครื่อง
กําหนด เรียกวาสมาธิไดท้ังน้ัน เชน ขณกิ สมาธิ สงบชวั่ ขณะนดิ หนอ ยมีไดแ กส ามัญชนทวั่ ไป,
อปุ จารสมาธิ สงบใกลต อความเปน ฌาน คอื เฉียดฌาน, อปั ปนาสมาธิ สงบแนว แนเปนฌาน,
สญุ ญตสมาธิ สงบวางโปรง , อนมิ ติ ตสมาธิ สงบไมมอี ารมณปรุงแตง , อัปปณหิ ติ สมาธิ สงบไมม ี
ท่ตี ้งั ลง คอื หาฐานรองรบั ความสงบเชน นนั้ ไมม ี สมาธเิ หลานีเ้ ปน ชั้นสงู มีไดแกบางคนเทาน้ัน.

สวนฌานมคี วามหมายจํากดั อยใู นวง คือ มอี งคหรืออารมณเปนเครอ่ื งกําหนดโดยเฉพาะ
เปน อยางๆ ไป ฌานที่ ๑-๒-๓-๔ นั้นมีอารมณข ้นั ตนไมจ าํ กดั แตมีองคเ ปนเครอื่ งกาํ หนดหมาย คือ
จติ เพง พินิจจดจอ อยูใ นอารมณอ ยา งเดยี วจนสงบลง มอี งคของฌานปรากฏข้ึนครบ ๕ ก็เปน
ปฐมฌาน, มีองค ๓ ครบบรบิ ูรณก ็เปนทตุ ิยฌาน, มีองค ๒ ครบบรบิ ูรณก็เปนตติยฌาน, มีองค
๒ ครบบริบูรณกเ็ ปน จตุตถฌาน พระอาจารยใ นปูนกอนทานเรียกช่ือฌานทั้ง ๔ นีไ้ ปตามอารมณ
ข้นั ตนก็มี เชน อสภุ ฌาน มอี สภุ ะเปนอารมณ, เมตตฌาน มีเมตตาเปนอารมณ, สติปฏ ฐานฌาน
มสี ติปฏฐานเปน อารมณ, อนสุ สตฌิ าน มอี นุสสตเิ ปน อารมณ ฯลฯ ฌานชั้นสูงมอี ารมณเ ปน
เครอ่ื งกําหนดเฉพาะอยางๆ ไป เชน อากาสานญั จายตนะ มีอากาศเปน เครอื่ งกําหนด,
วญิ ญาณัญจายตนะ มีวญิ ญาณเปน เครื่องกาํ หนด, อากญิ จญั ญายตนะ มคี วามไมม อี ะไรเปนเครือ่ ง
กาํ หนด, เนวสัญญานาสญั ญายตนะ มคี วามสงบประณีตเปน เครอื่ งกําหนด ฯลฯ ฌานช้นั สูงนี้จะ
ไวก ลา วในบทวา ดวยอุปกรณแหง ทิพยอํานาจขา งหนา บทน้จี ะกลา วแตฌาน ๔ ประการ ซง่ึ เปน
ฌานมาตรฐานและเปนทตี่ ัง้ แหงทิพยอํานาจเทานน้ั .

กอนทจ่ี ะวนิ ิจฉยั ลกั ษณะของฌาน ๔ ชัน้ น้ี จะขอนาํ พระบาลีอันเปน หลักฐานแสดง
ลักษณะฌาน ๔ ชั้นนีม้ าตงั้ ไวเปน หลกั กอ น พระบาลอี ันเปนหลักฐานแสดงฌาน ๔ นม้ี ีมากแหง
และแสดงลกั ษณะไวต รงกันหมด ทั้งแสดงวา ฌาน ๔ ชนั้ นี้เปน สมาธพิ ละ สมาธสิ มั โพชฌงค และ
สมั มาสมาธิองคแ หง มรรคดวย พระบาลีมดี ังตอ ไปน้ี

ทิพยอาํ นาจ ๒๐

๑. ปฐมฌาน – วิวจิ เฺ จว กาเมหิ ววิ ิจจฺ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวติ กฺกํ สวิจารํ วเิ วกชํ ปต สิ ขุ ํ ปมํ
ฌานํ อุปสมปฺ ชฺช วหิ รติ. สงัดเงียบจากกาม สงัดเงยี บจากอกศุ ลธรรม แลว เขาปฐมฌาน ซึ่งมวี ติ ก
มวี จิ าร มีปต ิ และมสี ุขเกิดจากวิเวกอย.ู

๒. ทตุ ิยฌาน – วติ กกฺ วจิ ารานํ วูปสมา อชฌฺ ตฺตํ สมปฺ สาทนํ เจตโส เอโกทภิ าวํ อวติ กฺกํ
อวิจารํ สมาธิชํ ปต ิสขุ ํ ทตุ ิยํ ฌานํ อุปสมปฺ ชชฺ วิหรต.ิ ระงบั วติ กวิจาร แลวเขาทตุ ิยฌาน ซงึ่ มคี วาม
ผอ งใสในภายใน มคี วามปรากฏเดนเปนดวงเดยี วแหง จติ ใจ ไมมวี ิตกวจิ าร มปี ติและสุขเกดิ แต
สมาธิอย.ู

๓. ตตยิ ฌาน – ปติยา จ วริ าคา อเุ ปกขฺ โก จ วิหรติ สโต จ สมปฺ ชาโน สขุ จฺ กาเยน ปฏสิ -ํ
เวเทติ ยนฺตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ “อเุ ปกฺขโก สติมา สขุ วิหารตี ิ ตติยํ ฌานํ อุปสมปฺ ชฺช วหิ รต”ิ สาํ รอก
ปติ และเขา ตตยิ ฌาน ซงึ่ เปน ผูวางเฉย มีสตสิ มั ปชัญญะ และเสวยสขุ ดวยกาย ท่ีพระอริยเจา กลาว
วา ผวู างเฉยมสี ติอยเู ปนสุข ดังนี้.

๔. จตุตถฌาน – สุขสสฺ จ ปหานา ทุกขฺ สฺส จ ปาหนา ปพุ เฺ พว โสมนสสฺ โทมนสฺสานํ
อตถฺ งคฺ มา อทกุ ขฺ มสขุ ํ อุเปกขฺ าสตปิ าริสุทธฺ ึ จตุตถฺ ํ ฌานํ อุปสมปฺ ชชฺ วหิ รต.ิ ละสุขละทุกข และดับ
โสมนัสโทมนสั กอ นนัน่ เทียว แลวเขาจตุตถฌาน ซง่ึ ไมมสี ขุ ไมมีทุกข มแี ตอ เุ บกขากบั สติ และความ
บริสุทธ์ขิ องจติ เทาน้ัน.

นวิ รณ ๕

ในเบ้อื งตนทีจ่ ะทาํ ความเขา ใจลักษณะของฌาน ควรทาํ ความเขา ใจลกั ษณะของกเิ ลสทก่ี ้ัน
กางจติ มิใหบ รรลฌุ านกอน เพราะเมื่อกเิ ลสชนดิ ท่เี รียกวานิวรณ ยังมีอาํ นาจครองใจอยแู ลว จิตจะ
เขา ถึงฌานไมได นวิ รณน ้ัน มี ๕ ประการ คือ

๑. กามฉนฺโท ความติดใจในกามคณุ
๒. พยาปาโท ความคมุ แคน
๓. ถนี มทิ ธฺ ํ ความทอ ใจและซมึ เซา
๔. อทุ ฺธจจฺ กุกฺกุจจฺ ํ ความฟงุ ซานและรําคาญใจ
๕. วิจิกจิ ฺฉา ความลงั เลใจ
กเิ ลสทั้ง ๕ ประการน้ี แมแ ตป ระการใดประการหน่ึงเขาครองอาํ นาจในจติ ใจ ใจจะเสีย
คณุ ภาพออนกําลงั เสยี ปญ ญาไปทันที และจะมลี กั ษณะหมองมวั คดิ อานอะไรไมไดเ หตุผลท่ีแจม
แจง บางทีถงึ กบั มืดตอ้ื คิดอะไรไมออกเอาทีเดียว.
กามคณุ ๕ คอื รูป เสียง กลิน่ รส และโผฏฐัพพะ ตรสั เรียกวา สมั พาธ คือ สิง่ แคบ เมื่อใจ
ไปตดิ พันอยูก บั สงิ่ คบั แคบ ก็ยอ มเกิดความรสู ึกคบั แคบขนึ้ ในใจ เหมอื นเขาไปอยใู นทแ่ี คบฉะน้ัน
ฌานตงั้ แตปฐมฌานไป ตรสั เรียกวา โอกาสาธคิ ม คือ สภาพวา งโปรง หรอื ชองวา ง ในท่เี ขา ถึง
ความสงบ เปนฌานยอ มรูส กึ ปลอดโปรง เหมือนเขาไปอยูในท่ีวางโปรง ฉะนัน้ เมื่อกามคุณทั้ง ๕
ยังมีอาํ นาจเหนอื ใจ ยั่วใหใ จเกิดกาํ หนัดขดั เคืองคุมแคน ขูใ หเ กิดความทอ ใจ ออ นใจ หมดหวงั ให

ทิพยอาํ นาจ ๒๑

เปนใจออ นปวเปย ซึมกะทอื เผยอหัวไมข้ึนหรือกลัวหงอ คาํ รามใหเ กิดความตื่นเตนตกใจคิดเพอไป

และใหเกดิ รําคาญใจหงุดหงดิ ปน ใหเขาใจผดิ เกิดสองจติ สองใจข้ึน รวนเรไมแนใจวา จะทําอยางไร

ดี เหมือนยืนทท่ี างแยก ไมร จู ะไปทางไหนถกู ฉะน้ัน กามคณุ และกิเลสอนั มีลกั ษณะดังกลา วน้ี ยงั มี

อํานาจเหนอื จิตใจอยเู พียงไร จติ ใจจะสงบเปน สมาธ-ิ เปนฌานไมไดเ พียงนั้น เมื่อใดกามคณุ และ

กิลสเหลานี้สงบลงไป ไมม ีกาํ ลังเหนอื จติ ใจแลว เมื่อนนั้ จติ จะสงบเปน สมาธิและเปนฌาน จะถึง

สภาพโปรงใจที่เรียกวา โอกาสาธคิ ม ทันที ปฐมฌานน้ันทา นกําหนดลักษณะเบอ้ื งตน วา สงัดจาก

กามและอกุศลธรรม กห็ มายถงึ สงดั จากกามคุณ ๕ และนวิ รณ ๕ นัน่ เอง แลว จงึ สงบใจลงได

เขา ถงึ ความเปนฌานตอ ไป ลักษณะของจิตท่สี งดั จากกามและอกุศลธรรมนี้ ทานไมจัดเปนองค

ฌาน จดั เปน เพียงบพุ พปโยคฌาน ซ่งึ นา จะไดแกอปุ จารสมาธิ อันเปนความสงบเฉยี ดฌาน คอื ใกล

ตอ ความเปนฌานน่ันเอง สว นองคข องปฐมฌานนนั้ ทานจัดไว ๕ คือ วิตก ความตรกึ คือความคิด,

วิจาร ความตรอง คอื ความอาน, ปต ิ ความอม่ิ คอื ความชุมชน่ื , สุข คือความสบาย, และ

เอกัคคตา คอื ความเปนหนึ่ง ซงึ่ หมายถึงสมาธนิ ่ันเอง เมอื่ ใจเปนสมาธปิ ระกอบดว ยลกั ษณะทง้ั ๕

นแ้ี ลว ชอ่ื วา เขาปฐมฌานได องคฌ าน ๕ ประการนี้ทานวา เปนปฏปิ ก ษกันกบั นวิ รณ ๕ ดังนี้

๑. วติ ก–ความคิด เปน ปฏปิ ก ษก ับ ถนี มทิ ธะ

๒. วิจาร–ความอาน เปนปฏิปก ษกับ วจิ กิ จิ ฉา

๓. ปต–ิ ความชมุ ช่ืน เปน ปฏิปกษก บั พยาปาทะ

๔. สขุ –ความสบาย เปนปฏิปกษกบั อุทธจั จกกุ กุจจะ

๕. เอกัคคตา–ความเปน หนึ่ง เปน ปฏิปก ษก ับ กามฉันทะ

ท้งั นี้ทา นใหอ รรถาธบิ ายไวว า
วิตก = ความคิด ยอมมลี กั ษณะยกจติ ข้ึนสูอารมณ และเคลา คลึงอารมณน นั้ ซ่ึงตรงกันขา ม
กับถนี มทิ ธะ ซ่งึ มลี กั ษณะหดหูทอถอย ซมึ เซา ปลอยอารมณ ไมอยากคดิ อะไร เมอ่ื ความคิดกบั
ความไมอยากคดิ ประจันหนากัน กย็ อ มจะมีการตอสูหักลา งกันขนึ้ และฝา ยใดฝา ยหนง่ึ จะถงึ แก
พายแพไ ป ฝา ยชนะกเ็ ขาครองความเปนใหญใ นจติ ตอไป ถาความคิดมีกาํ ลงั แรงกวา ความไม
อยากคดิ ก็จะตอ งตกไปจากจติ ทนั ที สมเด็จพระผูมีพระภาคทรงแนะนําพระมหาโมคคลั ลานเถระ
ใหแ กถ นี มิทธะกใ็ หใชความคดิ น้เี อง เปนแตใ ชโวหารวา สัญญา คอื วากอ นแตยังไมงว งซึมไดก าํ หนด
หมายในอะไร พอความงวงมาถงึ ก็พงึ ใชส ญั ญาน้ันอกี ใหม ากขึน้ กวาเดมิ ซง่ึ บงความวาใหใ ช
ความคดิ เปนเครื่องแกถีนมิทธะ.
วิจาร = ความอา น มลี ักษณะตรวจตราพจิ ารณาเหตุผล และขอเท็จจรงิ ใหไดความแนชัด
ยอ มเปนลกั ษณะตรงกนั ขามกับวจิ ิกิจฉา ซ่งึ มีลกั ษณะสงสัย ไมแ นใจในเหตผุ ลหรือขอ เทจ็ จริงนั้นๆ
เม่อื ลกั ษณะทง้ั สองนีม้ าประจันหนา กันเขาก็จะเกดิ การตอสกู นั และฝายใดฝายหนึง่ จะตอ งพายแพ
ไป ถา ความอา นมีกาํ ลังเหนือกวากย็ อมชนะ ครองความเปน ใหญในจิตตอ ไป ขอนีม้ องเห็นงาย เรา
สงสยั ในเรอื่ งใด เม่อื ตัง้ ใจพนิ ิจเร่ืองน้ันอยา งเอาจริงเอาจัง เรากส็ ้นิ สงสยั ทนั ท.ี
-

ทพิ ยอาํ นาจ ๒๒

ปต ิ = ความชุมชนื่ มีลกั ษณะช่นื ฉํา่ สดใส ทาํ กายใหผ อ งใส จิตใจสดชืน่ ยอ มเปน ลักษณะท่ี
ตรงกันขามกับพยาปาทะ ซึง่ มีลักษณะรุมรอน เหีย่ วแหง จดื ชดื ซีดเผอื ด เมื่อลักษณะท้งั สองมา
ประจนั หนากนั เขา ก็จะตองเกดิ ตอ สกู ันขึ้น และจะตองพายแพไปฝา ยหนงึ่ ถาปต ิมกี าํ ลังมากกวา ก็
ยอมชนะ และครองความเปนใหญในจติ ใจตอ ไป ความจรงิ ขอ น้ีพอมองเหน็ ได คนใจดนี ิสัยสดช่ืน
รนื่ เรงิ ไมโ กรธงา ย ถงึ โกรธความถือโกรธคมุ แคน ในใจกม็ ีกาํ ลังออ น พลันท่ีจะจางตกลงไปจากใจ.

สขุ = ความสบาย มีลกั ษณะปลอดโปรง ไมอึดอดั กลัดกลมุ เปนลักษณะตรงกันขามกับ
อุทธัจจะ และกุกกจุ จะ ซ่ึงมลี กั ษณะเดือดพลา น พุพลงุ และหลกุ หลิก ลกุ ลน รําคาญ เหมือนน้าํ
เปนคล่นื ระลอกฉะน้ัน เม่ือลกั ษณะทั้งสองฝายนี้มาประจนั หนากนั เขา ก็จะตองเกิดการตอสู
หักลางกนั และจะตอ งปราชัยไปฝายหนึ่ง ถา ความสขุ สบายมีกาํ ลงั เหนือกวา ก็ขมอทุ ธจั จะ และ
กุกกจุ จะลงได และเขาครองความเปนใหญใ นจติ ใจตอไป คนมีความสขุ ยอมสงบอยไู ด ไมล ุกลน
เหมอื นคนมีทุกข เชน น่งั สบายกม็ กั นั่งนานๆ ได แตถ า ไมส บายแลว แมเวลานดิ หนอยกร็ ูสกึ นาน
ถา จาํ เปนตอ งน่งั ตอไปกเ็ กดิ รําคาญหงุดหงดิ ข้ึนในใจ.

เอกคั คตา หรือ สมาธิ = ความมใี จเปน หน่ึง หรอื ความสงบ มีลักษณะนง่ิ ๆ เที่ยงตรง ไมซ ดั
สาย หรอื สั่นไหว เปนลักษณะตรงกันขามกับกามฉันทะ ซึง่ มลี กั ษณะกระสบั กระสา ย ด้ินรน
กระดกุ กระดิกเรา จิตใหส่ันสะเทือน เมื่อลักษณะทั้งสองนี้มาประจันหนากนั ก็จะตองเกิดการตอสู
กันขึ้น และจะตองพายแพไปฝา ยหน่งึ เม่ือเอกัคคตามีกําลงั กวา กย็ อ มชนะและครองอํานาจในจติ
เอกัคคตาเปนลักษณะอยางออ นของอเุ บกขา พูดฟง กันงา ยๆ ก็คือวาเอกคั คตาคืออุเบกขาอยา ง
ออนๆ น่ันเอง พระบรมศาสดาตรัสวา กามราคะละไดด ว ยอเุ บกขา กามฉนั ทะ กับกามราคะกม็ ี
ความหมายอยางเดียวกัน ฉะน้ัน กามฉันทะจึงระงับดวยเอกัคคตาในปฐมฌาน สมจรงิ กบั พระพุทธ
อุทานวา สุขา วริ าคตา โลเก กามานํ สมติกฺกโม ความไมก ําหนัดกามคณุ ครอบงํากามราคะได
เปน ความสขุ ดังน้.ี

เทา ทอ่ี ธบิ ายมานี้ ไดความวา ปฐมฌาน มีลกั ษณะ ดังนี้
๑. จติ สงบเงยี บ กามคณุ และอกศุ ลธรรมสงบไป เปนใจปลอดโปรง วงั เวงเหมือนอยูปา
เปลย่ี วคนเดียวฉะนั้น.
๒. จิตคิดอารมณห น่งึ คือขอกมั มัฏฐาน ทาํ การเคลาคลงึ คลอเคลยี อยูก บั อารมณนั้น.
๓. จติ อานอารมณ คือพินจิ ขอกมั มัฏฐาน ทาํ การไตส วนสืบสวนอยใู นอารมณนั้น.
๔. จิตชุมช่ืน คอื เบกิ บานเพราะผานพบความสงดั เงยี บจากกามคณุ และอกุศลธรรมซง่ึ ไม
เคยผา นมากอน.
๕. จิตมคี วามสขุ คอื สบายใจ โลงใจ เพราะไมม กี ามคณุ และอกุศลธรรมกอกวนใจให
วุนวาย.
๖. จติ มีความเปน หน่งึ คอื จติ เปนอิสระแกต ัว มีสิทธ์ทิ าํ กิจอันเปน ประโยชนต นไดอยา ง
สบายไมตอ งพะวงวา จะมีนายมาบงั คบั ใหละทงิ้ การงานของตนไปเพอ่ื ประโยชนของนาย หมาย
ความสนั้ ๆ วา จติ เสร.ี
เมื่อไดค วามในปฐมฌานเชนนี้แลว จะไดอธิบายลักษณะทตุ ยิ ฌานสบื ไป.

ทิพยอํานาจ ๒๓

ทตุ ยิ ฌาน ซ่งึ ปรากฏตามพระบาลีทยี่ กมาต้ังไวเปน หลักนัน้ และแสดงลกั ษณะไววา ระงับ
วิตกวจิ ารแลว จงึ เขาทุตยิ ฌาน ซงึ่ มคี วามผอ งใสในภายใน ฯลฯ ดังน้ี แปลวา ทุติยฌาน ละองค ๒
ขางตนของปฐมฌานเสีย เหลือแตเพียง ๓ องค คือ ปต ิ สขุ กบั เอกัคคตา และมีลกั ษณะพเิ ศษ
เพมิ่ ขน้ึ คอื ผองใสกบั เปนหน่ึงเดนของใจ ซง่ึ ยงั ไมมใี นปฐมฌาน เพราะในปฐมฌานนน้ั จิตตองคดิ
อานอารมณ คอื ขอธรรมกมั มฏั ฐานงวนอยู ยงั ไมวางมือในอารมณไ ด จิตจงึ ตองสงั โยคกับอารมณ
อนั เปน ภายนอกอยตู ลอดเวลา จงึ ยังไมมลี กั ษณะผองใส และเปนหนึง่ เดน ได คร้ันมาถึงฌานที่ ๒
น้ี วิตกวิจารระงับไป อารมณภายนอกก็ตองระงับไปดวย จึงมแี ตจ ิตดวงเดยี วเสวยอารมณภ ายใน
คอื ปติ สุข อันเกิดจากความสงบนน่ั เองอยางชื่นฉํ่า ผูดํารงอยูใ นฌานชั้นนีจ้ ึงเปนผูนงิ่ ๆ ชื่นบาน
ณ ภายในใจ ถาจะพูดใหช ดั วา นัง่ อมย้ิมก็ได สมเดจ็ พระบรมศาสดาทรงอธบิ ายคําวา อรยิ ดุษณี ก็
ทรงชีเ้ อาอาการของผูเ ขาทุตยิ ฌาน โดยใจความวา ภิกษุเขาทุติยฌาน มีใจผองใสในภายใน ไมค ิด
อา นอะไร และไมสงใจไปอนื่ มหี นา ตาช่ืนบาน ไมพดู จา และไมเคลื่อนไหวอิรยิ าบถ หรอื
อากัปกิริยาใดๆ นง่ั น่งิ ๆ อยูอยางน้แี ล เรยี กวา อรยิ ดุษณี ดังน้ี เมื่อวา ตามหลกั ทุตยิ ฌานในพระ
บาลีนี้ ตอ งวาประกอบดวยองค ๕ เหมือนกัน แตพระโบราณาจารยท า นกําหนดไวเ พยี ง ๓ องค
เทานัน้ เปน อันไดความวา ทตุ ิยฌานมลี กั ษณะแหงจติ ท่ีพึงสาํ เหนียกไว ดงั นี้

๑. จติ ไมคิดอา นอะไร วางความคดิ อา นอารมณ คือ กัมมฏั ฐานแลว เหมือนคนทาํ ธรุ ะเสร็จ
แลว กาํ ลงั พกั ผอ นฉะนั้น.

๒. จิตผอ งใสและเปนหน่ึงเดน คอื จติ ไมส ังโยคกับอารมณอนั เปนภายนอก ทจ่ี ะทําใหมี
อาการกระเพื่อม เปนร้ิวระลอกนอ ยๆ จึงเกดิ มีอาการผอ งแผวและเดน ชัดขนึ้ เหมอื นดวงจนั ทรพน
จากเมฆฉะน้ัน.

๓. จิตชน่ื บาน ดว ยอาํ นาจความสงบ.
๔. จิตสบาย ดว ยอํานาจความสงบ.
๕. จติ เปน หน่ึงยิ่งขึ้น เพราะปราศจากอารมณอนั เปน ภายนอกเขาควบคูกบั จติ คงมีแต
อารมณภายใน คอื ปติ สขุ เทานั้น.
เม่ือไดความในทตุ ิยฌานแลว เชนนี้ จะไดอ ธบิ ายลักษณะตติยฌานสบื ไป.
ตตยิ ฌาน ตามลักษณะท่ปี รากฏในพระบาลีที่อญั เชญิ มาตงั้ ไวเปนหลักนั้น คอื สิ้นกาํ หนดั
ในปตแิ ลว จงึ เขา ตติยฌาน ซึง่ เปนผมู ีอเุ บกขา มีสติ สัมปชัญญะ เสวยสขุ ดวยกาย (คอื นามกาย)
อยู โดยนัยนเี้ ปนอนั วา ตอ งละองคท่ี ๓ ของปฐมฌานเสียอกี คงเหลอื แต ๒ องค คือ สขุ กบั
เอกัคคตา แตมลี กั ษณะพิเศษเพ่มิ ข้นึ ในฌานชั้นนีอ้ ีก ๓ คือ อเุ บกขา สติ และสัมปชญั ญะ ฉะน้ันจงึ
คงมีองค ๕ เหมอื นกนั แตพ ระโบราณาจารยทา นกาํ หนดไวเพียง ๒ องคเ ทาน้ัน.
ทําไมในฌานช้ันนจี้ ึงตอ งกาํ จัดปต ิ เปนเรอื่ งท่คี วรรูไว ปต ิน้ันมลี กั ษณะทัง้ ออ นและรนุ แรง
ทา นจําแนกตามลักษณะทพี่ อกําหนดได ๕ ลกั ษณะ ดังน้ี
๑. ขทุ ฺทกาปติ ปต เิ ลก็ นอย มีลกั ษณะชน่ื ๆ เพียงนิดหนอ ย เหมือนฝอยนาํ้ กระเซ็นถูกกาย
ฉะนนั้ .

ทพิ ยอาํ นาจ ๒๔

๒. ตรุณาปติ ปต อิ อนๆ มีลักษณะเยน็ กาย เย็นใจ ช่ืนใจ เหมือนลมออ นๆ พัดมาเฉื่อยๆ
ตองกายพอเย็นสบายฉะนั้น.

๓. ผรณาปต ิ ปตซิ าบซา น มีลกั ษณะชมุ ชื่น แผซา นไปทั่วสรรพางคก ายทัว่ ทุกเสนขน
เหมือนอาบนํา้ เย็นทว่ั ท้ังตวั ไดรบั ความชุมเยน็ ดฉี ะน้ัน.

๔. โอกฺกนตฺ กิ าปติ ปตซิ ูซ า มีลักษณะชื่นฉ่ํา ทําใหเ กิดอาการขนพองสยองเกลา นาํ้ ตาไหล
หวั ใจเตนแรงต้ึกตัก้ เหมือนคนลงแชใ นนาํ้ เย็นนานๆ เกดิ อาการหนาวสัน่ ขึ้นฉะน้นั .

๕. อพุ ฺเพงฺคาปติ ปติตืน่ เตน มีลักษณะฟขู ้นึ ทําใหจติ ใจเบากายเบาและพองโตขน้ึ บางที
ถึงกบั ทาํ ใหลอยไปในอากาศได เหมอื นคนทไี่ ดรับสง่ิ ท่นี า ตืน่ เตนท่ีสดุ ในชวี ติ เชน ไดรบั การยกยอ ง
หรอื บาํ เหน็จรางวัลจากผหู ลกั ผูใหญโดยไมน ึกไมฝ น ยอมเกดิ ความต่นื เตน ลงิ โลด ถงึ กบั กระโดด
โลดเตนอยา งเดก็ ๆ ก็ไดฉะน้ัน.

เมือ่ ปตมิ ลี กั ษณะดังกลา วมา แมเ พียงปติเลก็ นอยก็สามารถทําใจใหกระเพือ่ มหรอื ไหวนิดๆ
เหมือนน้าํ ใสๆ ทีใ่ สไ วในภาชนะต้งั ไวในท่ีไมม่นั คง เมื่อคนเดินไปเดินมายอ มทาํ ใหน ้าํ ในภาชนะนั้นมี
รว้ิ นอ ยๆ ขน้ึ ได ปตจิ งึ เปนอันตรายของอุเบกขาสุข ซ่ึงเปนองคสาํ คัญของตติยฌาน จาํ เปนตอ ง
กาํ จดั เสีย ปติดํารงอยูไดดวยอาํ นาจความพอใจยนิ ดรี ับเสวยอยู ไมด ํารงใจใหเ ปนกลางไว เมอื่ เห็น
โทษของปตแิ ลว ตอ งการเสวยสุขประณตี สขุ มุ จึงวางความพอใจในปติเสีย ทําสตสิ มั ปชญั ญะกาํ กบั
ใจใหเปนกลางย่ิงข้นึ ปตกิ ็คอยจางไปโดยลําดบั ในทส่ี ุดปต กิ ็หายหมดไปจากใจ คงยงั เหลือแตสขุ
สุขุมประณีตกระชับกบั อุเบกขา ทา นจึงเรียกวา อุเบกขาสุข และใชเ ปน ชอ่ื ฌานของชน้ั น้ใี นทบ่ี าง
แหง ดว ย เมอ่ื ปตจิ างไปหมดแลว กส็ ามารถเขาตติยฌาน และดาํ รงฌานไวต ามตอ งการได.

สวนสุขในฌานช้ันน้ีตางจากสขุ ในฌานที่ ๑-๒ ซึ่งผา นมาแลว สุขในฌานที่ ๑-๒ เปน สขุ
เวทนาชัดๆ แผคลุมทงั้ ทางกายทางใจ สว นสขุ ในฌานท่ี ๓ นี้ เปนสุขเวทนาทสี่ ุขมุ ใกลไ ปทาง
อุเบกขา เปนความสุขทางใจโดยเฉพาะ ไมค ลุมไปถึงรูปกาย ท่วี า เสวยสขุ ดว ยกายน้ันหมายนาม
กาย มใิ ชร ูปกาย ฌานชั้นนีพ้ ระอริยเจา ชมเชยวาเปน สุขวิหาร กโ็ ดยฐานท่เี ปนสขุ ประณตี สขุ มุ ใน
ภายใน ไมกระเทือนถงึ รปู กาย สามารถหลบทุกขเวทนาทางกายได ทง้ั อาจระงับอาพาธไดดว ย.

เปนอนั ไดความวา ตติยฌานมีลกั ษณะเปนทีส่ ังเกต ดังตอ ไปน้ี
๑. จติ จางปติ คอื หมดความรูสึก ดูดดม่ื ชมุ ชนื่ ดังในฌานกอน.
๒. จิตเปน กลาง คอื วางเฉยไมรบั เสวยปต .ิ
๓. จติ มสี ตคิ วบคมุ คือสติมีกาํ ลังแกก ลาขน้ึ มีอาํ นาจควบคุมใจใหด ํารงเปน กลางเทย่ี งตรง.
๔. จิตมสี ัมปชญั ญะกํากับ คือจิตมคี วามรูสกึ ตัวเองชัดขนึ้ รเู ทาอาการของจติ ใจในขณะน้นั
ทนั ทุกอาการ.
๕. จติ เสวยสุขมุ สุข คือเสวยสขุ ประณตี ณ ภายในดวยนามกาย ปราศจากความรูสึกทาง
รปู กาย ตดั กระแสสมั พนั ธทางรปู กายได.
๖. จติ ถึงความเปนหน่ึง คอื เปนจิตดวงเดียว มอี ารมณนอย สขุ ุมประณตี .
เมอ่ื ไดค วามในตติยฌานเชนนี้แลว ควรทําความเขาใจในจตตุ ถฌานตอ ไป.

ทิพยอาํ นาจ ๒๕

จตตุ ถฌาน ตามลกั ษณะทป่ี รากฏในพระบาลี ดงั ท่ียกมาต้งั ไวเ ปนหลกั น้ัน คอื ละสุข ทุกข
และดบั โสมนสั โทมนัส ไดก อ นแลว จงึ เขา จตตุ ถฌาน ซง่ึ ไมม สี ขุ ทกุ ข มีแตอ ุเบกขา กบั สตแิ ละ
ความบรสิ ทุ ธิข์ องจิตอยู.

เปนปญหาทน่ี า คิดขอ หนง่ึ คือ ทุกข และโทมนสั นาจะละได และดับไปต้งั แตฌานช้ันตนๆ
มาแลว ไฉนจงึ จะตองมาละและดบั ในช้นั นอี้ ยอู ีก? การท่จี ะแกป ญหาขอ นต้ี ก จะตอ งนึกถึงความ
จริงขอ หนึ่งวา สขุ ทุกข และโสมนัส โทมนัส เปนเวทนา ซ่งึ มลี ักษณะเปล่ยี นแปลงไมค งท่ี เมอื่ สขุ
เวทนามีในทใี่ ด ทกุ ขเวทนาก็ตองมีในท่ีน้นั โสมนัสมีในทใ่ี ด โทมนัสกจ็ ะตองมีในท่นี ้ันดว ย ในเม่อื
มันเปลย่ี นแปลงไป ฉะนัน้ ในฌานที่ ๔ นี้ จึงตองมีการละสขุ ทกุ ข และโสมนัส โทมนสั เปน
เบอื้ งตนกอน สุขทกุ ขและโสมนัสโทมนัสในเบ้อื งตนนเี้ กดิ มาจากลมอสั สาสะ ปส สาสะ คือลม
หายใจเขา-ออกน่ันเอง เพราะลมหายใจนเ้ี ปน หนามของจตุตถฌาน คือ คอยเสยี ดแทงใหเกิดสุข
ทกุ ข และโสมนสั โทมนัสอยเู สมอ ถา ยังระงบั ลมหายใจเขา-ออกไมไ ดต ราบใด สุขทุกขแ ละโสมนัส
โทมนัสกจ็ ะตองบงั เกดิ มีอยตู ราบนั้น เม่อื เปน เชนนเี้ ราจงึ จบั จุดไดว า ลมหายใจเปนส่งิ ท่ีควรผอ น
บรรเทาใหละเอียดลงไปโดยลําดับ จนกวามันจะระงบั ไป เม่ือลมหายใจระงับไปก็ช่อื วา ละสุขทุกข
และดบั โสมนสั โทมนสั ไดโ ดยปรยิ าย แลว ยอ มเขา ถึงฌานท่ี ๔ ได ซงึ่ ฌานในช้ันน้ี จิตใจจะรูสกึ ไม
สขุ ไมท ุกข มีความเปนกลาง กบั ความมสี ติและความบรสิ ทุ ธิ์กํากับใจอยูเทานนั้ เปนฌานท่ีมีเวทนา
จืดชืด ใจบรสิ ทุ ธิ์ผุดผอ ง นม่ิ นวล ไมมสี ่งิ ยวนใจ ปราศจากหมองมวั ในภายใน ควรแกก ารนอ มไป
เพอื่ ทิพยอาํ นาจไดแลว เมื่อวา ตามลกั ษณะทป่ี รากฏในพระบาลี จตุตถฌานกป็ ระกอบดว ยองค ๕
เหมอื นกัน แตพ ระโบราณาจารยก ําหนดไวเ พียง ๒ คอื อุเบกขา กับ เอกัคคตา.

เปน อนั ไดค วามวา จตตุ ถฌานมีลกั ษณะท่ีควรสงั เกต ดังตอไปน้ี
๑. ละสขุ ทุกข ได คือ ระงบั ลมหายใจอันเปน ทีต่ ้งั แหง สขุ ทุกขได.
๒. ดบั โสมนสั โทมนสั ได คอื ระงับลมหายใจเปน ท่ตี ัง้ ของมันไดน ่ันเอง.
๓. จิตไมมที กุ ข คอื จิตเสวยเวทนาที่จืดชืด ซ่งึ ไมก วนความรสู ึก.
๔. จติ เปนกลาง คอื จิตมคี วามรูสกึ เปน กลาง เทยี่ งธรรม ซึง่ ขอน้ีเปนขอสําคัญทสี่ ุดในองค
ฌานท่ี ๔ นี้ ทา นจึงเรยี กช่อื ฌานนวี้ า อเุ บกขาฌาน.
๕. จติ มีสติพละกาํ กับ คอื สตใิ นช้นั น้เี ปน สตพิ ละ สติสมั โพชฌงค และสตสิ ัมมาสติ ซ่งึ เปน
องคข องมรรค เขาควบคุมจิตใจไวอ ยางกระชบั ท่ีสุด จึงมีพละกาํ ลังเพียงพอทจ่ี ะเปน บาทฐานแตง
สรา งทพิ ยอาํ นาจได.
๖. จิตมคี วามบรสิ ทุ ธิ์ผุดผอง.
หมายเหต:ุ องค ๕ ของจตตุ ถฌาน ตามลกั ษณะในพระบาลี คือ
๑. อทกุ ขมสขุ เวทนา รูสกึ ไมสุขไมทุกข.
๒. อเุ บกขา ใจเปน กลางเทย่ี งธรรม.
๓. สติ สตมิ กี าํ ลงั ควบคมุ .
๔. ปารสิ ทุ ธิ จิตใจบรสิ ุทธ์ิผดุ ผอ ง.
๕. เอกัคคตา จิตใจสงบเปนหนึง่ .

ทิพยอํานาจ ๒๖

บทที่ ๒

วิธเี จรญิ ฌาน ๔

เมือ่ ไดท ราบลักษณะของฌาน ๔ ดังกลาวมาในบทท่ี ๑ พอสมควรแลว จงึ ควรทราบวธิ ี
เจรญิ ฌาน ๔ นนั้ สืบไป เพ่ือเปนขอ สังเกตในเวลาปฏิบัตจิ รงิ ๆ เหมือนเรยี นวิชาแผนทไ่ี วเ ปน
ขอ สงั เกตในเวลาไปสํารวจภูมปิ ระเทศฉะนัน้ .

ขอสาํ คัญควรทราบไวในเบ้อื งตน คือ การเจริญฌานเปน การอบรมจิตใหส ขุ มุ ประณตี และ
บริสทุ ธ์ิ จิตท่ีตองอบรมนั้นคอื อะไร กไ็ มควรเปนปญหายุงยาก เพราะทกุ คนมีจิตใจอยูแลว ตวั ท่ี
รจู ักสขุ ทุกขดชี วั่ น่ันแหละคอื จติ หมายถงึ ธรรมชาตชิ นิดหนึ่งซ่ึงมคี วามรเู ปนลักษณะ และครอง
ความเปน ใหญใ นอัตภาพของตน ธรรมชาตชิ นดิ น้ีจะเรียกชอ่ื วา กระไรบา งไมส ําคญั ความสําคญั อยู
ทรี่ วู า เปนธรรมชาติที่มอี ํานาจในรางกาย ถาไดฝก ใหดีแลว จะนาํ ประโยชนม าใหเหลือหลาย การท่ี
พยายามจะรลู ักษณะทีแ่ ทจรงิ ของจติ กอ นการอบรมจติ นน้ั เปนสิง่ เปน ไปไมไ ด เพราะจติ เปน
ธรรมชาติละเอียด ทง้ั มสี วนประกอบหลายซับหลายซอ น ถาขืนพยายามจะไปรูเขา จะเกิดยุง ซง่ึ เขา
ทํานองวา “รกู อนเกดิ สะเดิดกอนตาย” เปนเรอื่ งยุงยาก มแี ตพ าใหเ กิดกังขาสงสัยรา่ํ ไป ท้ังเปน
ทางพอกพูนทิฏฐคิ าหะใหแ นน แฟน ซ่งึ ยากแกก ารชําระเปนอนั มาก.

จิตใจเปนที่ตั้งของกิเลส-ความไมมกี เิ ลส, ของความดี-ความไมด ี, ของความสุข-ความทกุ ข,
ของความรผู ิด-และรูถ กู .

ความรผู ดิ เปน ปจ จยั ของกเิ ลส กิเลสเปนปจจยั ของความไมด ี ความไมดีเปน ปจจัยของความ
ทกุ ข โดยนัยตรงกนั ขาม ความรูถกู เปนปจจยั ของความไมม กี ิเลส ความไมม กี เิ ลสเปนปจจยั ของ
ความดี ความดีเปนปจ จยั ของความสุข เมือ่ เปนดงั นี้เรากป็ น แดนออกไดเปน ๒ แดน คอื แดนสขุ
กบั แดนทุกข ทางที่จะนาํ ไปสแู ดนทง้ั สองน้ี ก็ปนออกเปน ๒ ทางไดเ ชนกนั คอื ทางสุขกับทาง
ทุกข ทางสุขไปสแู ดนสขุ ทางทุกขไปสแู ดนทุกข เม่อื เปน เชนนจ้ี ะมุงไปแดนสขุ หรือแดนทุกขกนั
แน? ถามงุ ไปแดนไหนก็จงรบี ตัดสินใจ แลวรบี เรงปฏิบตั ิดําเนินไป เม่ือเดินไมหยุด ก็จะตองถึง
ทสี่ ดุ ของทางเขาสักวนั หนง่ึ เปน แน ทสี่ ดุ ของทางนั่นแหละเปนแดนที่ทา นมุงไปละสขุ หรอื ทกุ ขก ็รู
เอง ไมต อ งถามใคร.

เมื่อจับหลกั สาํ คัญไดว า จติ เปน ทตี่ ้ังของสขุ และทกุ ขเ ชน นี้แลว ก็ลงมืออบรมจติ ไดท ันที ไม
ตอ งรีรอ เพราะตา งก็มีจติ ซึง่ ตอ งเสวยทกุ ขแ ละสขุ ทกุ วนั ทาํ อยางไรจึงจะมสี ขุ สมบรู ณสม
ปรารถนา กค็ วรรีบทาํ อยา งน้ัน ดีกวาจะปลอ ยไปตามยถากรรม ซึ่งไมแ นวาจะไปสขุ หรอื ไปทกุ ข.

วธิ ีการเจรญิ ฌาน ซงึ่ เปน การอบรมจิตใจนั้น ทานมิไดจ าํ กดั กาลเวลาและอริ ิยาบถ คือ ให
ทาํ ไดทุกเมอื่ และทุกอิรยิ าบถ คือ ยืน เดิน น่ัง นอน แตถ ึงอยา งนั้นก็ยงั มวี ิธกี ารจําเพาะกาล และ
อิริยาบถอยูดว ย ซ่ึงเราจาํ ตอ งศกึ ษาใหรไู ว เพื่อปฏบิ ัติใหถูกตอ งตามวธิ ีนั้นๆ ดงั ตอไปนี้

ทิพยอาํ นาจ ๒๗

๑. วิธกี ารเกี่ยวกบั เวลา

ชีวิตของคนเราเนือ่ งอยูกับเวลา คอื ชวี ติ จะตองผานเหตุการณตา งๆ ไปทุกระยะวินาที สง่ิ
ทผ่ี านมาสมั ผสั เขากับตา หู จมกู ล้ิน กาย และใจของเราน้นั ทา นเรียกวาอารมณ เปนส่งิ ทม่ี อี ยู
เตม็ โลก และจะตอ งประกอบกบั ชีวิตของเราเสมอไป เวลาที่สงิ่ เหลา นี้ผา นมาสมั ผสั ทวาร คอื ตา
หู ฯลฯ ของเราน่ันแหละเปนเวลาทส่ี าํ คญั ทีส่ ดุ ถา นายประตู คอื สติ เปนผูรอบคอบระมดั ระวงั ดี
ก็ไมเ กดิ โทษ แตถา นายประตเู ผลอไมร ะมดั ระวงั ใหดีกเ็ กิดโทษข้ึน โทษทีเ่ กิดขึ้นกม็ ีท้งั อยา งออ นๆ
และอยา งรายแรง ทาํ ใหจิตผเู ปน เจาของเสยี คุณภาพไป ถาอารมณทีผ่ า นมาสมั ผัสเปนสิง่ ท่ีจะนํา
ใจไปทางบญุ กศุ ล ยอมทาํ ใจใหเกดิ มคี ณุ ภาพดีขึ้น เมอ่ื เปนเชนนี้ ทา นจงึ กาํ หนดวธิ ีการเกย่ี วกับ
เวลาไว มีทง้ั วธิ กี ารแก วธิ ีการปองกัน และวิธกี ารสงเสรมิ .

วธิ กี ารแก

๑. รีบปฏบิ ัตกิ ารทตี่ รงกันขา มกับโทษน้ันทนั ที เชน ความกาํ หนัดเกิดขนึ้ เพราะเหตุเห็น
หรือ นึกคิดอารมณทสี่ วยงามเปนตน กร็ ีบสลัดอารมณน น้ั เสีย แลว คดิ ถงึ ส่งิ ไมสวยไมงาม หรอื รบี
สงบใจใหไ ดถ ึงขัน้ เอกคั คตา ความกาํ หนัดกจ็ ะสงบไป ฯลฯ

๒. รบี เปล่ียนอริ ิยาบถทันที เชน นัง่ อยู เกิดอารมณขุนหมองข้ึนในใจโดยเหตใุ ดเหตุหนงึ่
พึงลุกยนื หรอื เดนิ เสีย อารมณเชนน้ันก็จะสงบไป.

๓. รบี ทาํ กิจอยา งใดอยางหน่งึ ทันที เชน อยวู า งๆ ความรสู กึ ฝา ยต่ําเกิดขึน้ พงึ รบี ทํากจิ การ
งานอยา งใดอยา งหน่งึ เสีย ใสใ จอยกู ับกิจท่ที ํานัน้ ความรูสกึ ฝายต่าํ กจ็ ะตกไปจากจิตทนั ที.

วธิ ีการปอ งกนั

สํารวมอนิ ทรีย ๖ (อนิ ทริยสงั วร) ดวย
๑. ทาํ สตคิ วบคุมอินทรียเสมอทกุ ขณะไป (สตสิ ังวร).
๒. ทําความรูเ ทาอารมณใ หท นั ทวงที (ญาณสังวร).
๓. ทาํ ความอดทนตออารมณท ส่ี มั ผัส (ขนั ติสังวร).
๔. ทําความพากเพียรละกิเลสลวงหนาไว (วริ ิยสงั วร).

วิธกี ารสงเสรมิ

๑. รีบประคบั ประคองความรสู ึกฝายสงู ใหดําเนนิ ไปจนสดุ กระแสของมัน ถา สามารถตอ
กระแสความรูสกึ นั้นใหสงู ยงิ่ ๆ ขึ้นได กร็ ีบทาํ ทนั ที อยาละโอกาส.

๒. รีบทาํ กิจตามความคิดฝา ยสูงท่เี กิดขน้ึ นน้ั ใหส ําเรจ็ ไปโดยเรว็ อยาผดั เวลาไป เพราะจติ
เปนธรรมชาตกิ ลับกลอกไว อาจละทิง้ ความคดิ ทด่ี นี ้ันในภายหลงั ได.

๓. รีบทาํ ความพากเพียรอบรมจติ ในเวลาทจ่ี ติ ปลอดโปรง จะไดผลดีรวดเร็ว เพราะเวลา
เชนนั้นทานวา เปน เวลามารใหโ อกาส ถาปลอยใหเ วลาเชน นน้ั ผานไปเปลา ๆ จะเสียใจภายหลัง.

ทพิ ยอาํ นาจ ๒๘

๔. รีบทาํ ความพากเพยี รกา วหนา เร่อื ยไป ในเมื่อไดส มาธิข้ันตน ๆ แลว อยา วางใจและทอด
ธุระเสยี และพงึ ระมดั ระวังอันตรายของสมาธดิ ว ย.

๒. วธิ กี ารเกี่ยวกบั อิรยิ าบถ

อริ ิยาบถ คือ อาการเคลอื่ นไหวของรา งกาย ในความควบคุมของใจ มี ๔ ประการ คอื ยนื
เดนิ นง่ั นอน วธิ ีการอบรมจติ เกี่ยวกบั อิรยิ าบถ เปนดังนี้

๑. ยนื อบรมจติ มักใชป ฏบิ ัติคน่ั ในระหวางการเดนิ จงกรม เพ่อื พักผอนรางกายเปนระยะๆ
ไป คือ ยนื พักขาขา งหน่ึง โดยผลดั เปลย่ี นกันไป ในเม่ือขาหนง่ึ เม่ือย ก็เปล่ียนพักอกี ขาหนึ่ง ในขณะ
ทย่ี นื น้ันก็ทาํ การอบรมจติ เร่อื ยไป เมอ่ื ปฏิบัตใิ นอิรยิ าบถยืนพอสมควรแลว ควรใชอิริยาบถอื่น
ตอไป.

๒. เดนิ จงกรม คอื เดินสาํ รวมจติ ไปมา บนทางทท่ี าํ ไวอ ยา งดี ราบร่ืนสะอาด กวาง
ประมาณ ๒ ศอก ยาวประมาณ ๒๐ ศอก หรอื ๒๐ กาว ทางเชนนี้เรยี กวา ทางจงกรม ตอ งทาํ ไว
ในทเ่ี งยี บสงัด ไมเปดเผยเกินไป และไมท บึ เกินไป อากาศโปรง ถามีที่เหมาะพอทาํ ไดพงึ ทําเปน ทาง
เฉียงตะวัน เงาของตัวเองไมร บกวนตัวเอง และทา นวาเปน การตดั กระแส แตถา จะทาํ ที่จงกรมตาม
ลักษณะท่ีวา น้ไี มได แมที่เชน ใดเชนหน่งึ ก็พงึ ใชเถิด ขอสาํ คัญอยูท ก่ี ารเดินสํารวมจิตเทาน้นั .

วิธจี งกรมนี้ พระบาลไี มแสดงไว แตที่ปฏบิ ัติกนั ใหเ อามอื ทงั้ สองกมุ กนั ไวขางหนา ปลอย
แขนลงตามสบาย ทอดสายตาลงตา่ํ มองประมาณชั่ววาหนึง่ ทําสติสมั ปชัญญะควบคมุ จติ ใหอยูใน
ความสงบ จะเอากมั มฏั ฐานบทหนึง่ มาเปนอารมณห รอื ไมกต็ าม แลวกาวเดินชาๆ ไปสุดหวั จงกรม
แลว หยุดยืนนิดหนอย จงึ กลับหลังหนั กาวเดินมาสูท่ีตั้งตน ครั้นถงึ ที่ต้ังตนหยุดยืนนิดหนอ ย แลว
กลับหลงั หนั กาวเดนิ ไปอกี โดยทํานองน้ีเรอื่ ยๆ ไป เมือ่ เมือ่ ยขาพึงยนื พกั ดังทก่ี ลา วไวในอิริยาบถ
ยืน หรือจะนง่ั พกั ในอิรยิ าบถนั่ง ซงึ่ จะกลาวตอไปก็ได.

อานสิ งสท ่ีไดในการจงกรมนี้ พระบรมศาสดาตรัสวา๑
๑. เดินทางไกลทน.
๒. ทําความเพียรทน.
๓. เจ็บปว ยนอย เดอื ดรอ นนอ ย.
๔. อาหารท่ดี ่ืมกินแลว คอยๆ ยอ ยไปไมบดู เนา .
๕. สมาธทิ ี่ไดด วยการจงกรม ดํารงมั่นนาน ไมเคล่อื นงาย.
สว นการเดินยดื แขง ยืดขาน้ันไมมแี บบ แลวแตอ ธั ยาศยั และความถนัด การเดินชนิดน้ัน
ทา นเรียก ชงั ฆวหิ าร เปนชนดิ การเดนิ เลนเรอ่ื ยเปอ ยไปตามอธั ยาศยั น่ันเอง ถงึ อยา งน้ันนกั ปฏิบัติ
กไ็ มล ะโอกาสเหมือนกนั ยอมมีสติควบคุมจิตใจ หรอื คิดอา นอะไรๆ ซึ่งเปนเครือ่ งอบรมใจไปดว ย.
-
-
..........................................................................................................................................................

๑. มาใน สุตตนั ตปฎก อังคุตตรนกิ าย เลม ๒๒ หนา ๓๑.

ทิพยอํานาจ ๒๙

๓. น่งั เจรญิ ฌาน อิรยิ าบถนง่ั ในการเจริญฌานน้ี พระบาลีบอกไวส ัน้ ๆ เราเขาใจกันไม
คอยแจม แจง ที่ทรงแสดงไวใ นวิธีเจรญิ อานาปานสตวิ า ใหน ่ังคูขา (บาลวี า ปลลฺ งกฺ ํ อาภชุ ิตวฺ า) จะคู
ขาแบบไหนก็ไมชดั อกี ท้ังนค้ี งเปนเพราะวิธนี ่งั แบบนน้ั เปนท่ีเขา ใจงายในสมยั โนน ที่ทรงใชคํา
ส้ันๆ เชนน้ันพอรูเรอื่ งกัน คําวา ปลฺลงกฺ ํ อาจตรงกบั คาํ ไทยวา นงั่ แทนก็ได กิรยิ านงั่ แทนก็คือ
น่งั ขดั สมาธินั่นเอง โดยวิธนี ัง่ คขู าทอนลา งเขามา เอาขาขวาทอ นลา งทับขาซา ยทอ นลาง พอให
ปลายเทา ทงั้ สองจดถึงเขา ทั้งสองพอดี วิธีนัง่ แบบน้ีตรงกบั แบบของโยคี ท่เี ขาเรียกวา ปทมาศนะ
นั่งแบบกลีบบัว จะดวยเหตุนีก้ ระมัง นักจิตรกรจึงวาดภาพพระพุทธเจานงั่ บนดอกบัว การนง่ั แบบ
น้บี ังคับใหตอ งนงั่ ตัวตรงจึงสบาย และน่ังทนดว ย สตรีไทยรงั เกยี จการนง่ั แบบน้ี โดยถอื วา เปน การ
ขาดคารวะ จงึ ชอบนัง่ แบบที่เรยี กวา พบั เพยี บ คือ ขาคขู างหน่ึงพบั ไปขา งหลงั อกี ขางหน่ึงคูเ ขา มา
ยันเขา ขา งหนึ่งไว ทานีบ้ ุรุษเพศไมค อยถนดั ถึงจะนยิ มใชอยใู นหมผู ดู ีก็นง่ั กันไมค อยทน แมในหมู
บรรพชติ ทต่ี อ งใชอ ยบู อ ยๆ ก็นั่งไมค อยทน สแู บบบัลลังกไ มไ ด ยังมแี บบนั่งอีกแบบหนงึ่ ในการ
เจริญฌาน คอื แบบนั่งตั่ง ไดแกนงั่ เกา อห้ี อยเทาน่นั เอง วธิ นี ี้ใชใ นการเจริญกสิณ สว นน่งั ตามสบาย
นั้นไมม ีแบบตายตวั แลวแตความถนดั ของบุคคล.

เมอื่ ไดทราบแบบนัง่ เชนน้แี ลว พงึ ทราบวิธปี ฏบิ ัติในการนง่ั สืบไป.
ก. นั่งแบบบัลลงั ก ตั้งตวั ใหตรง อยาใหเอน วางหนา ใหตรง อยากม อยา เงย และอยาเอียง
วางมือบนตกั เอามือขวาวางทับมือซา ย พอใหห วั แมมือจดกัน ต้งั สตใิ หมัน่ สํารวมจิตเขา มาตัง้ ไว
ตรงกลางทรวงอก เอาขอ กัมมฏั ฐานขอหนงึ่ ที่ตนเลอื กแลว มาคดิ และอา นเรอ่ื ยไปจนกวา จะไดค วาม
เมื่อไดค วามแลวจิตจะสงบเปน หนึ่ง มีปตแิ ละสขุ เกิดขนึ้ เล้ียงจิตใหเกิดความชุมชนื่ กายใจ มี
ความสขุ กายสบายจติ โปรง ใจข้นึ มากนอยตามกาํ ลงั ของความวเิ วก และความสงบ พงึ ดาํ รง
ความรสู ึกเชนนี้ไวใหนานท่ีสุดท่ีจะนานได เมอื่ เห็นวาสมควรแลว พงึ คอ ยๆ ถอยจติ ออก คือ นกึ
ขึน้ วาจะออกเทานน้ั จติ ก็จะเคล่ือนจากฐานทันที แลวคอยๆ ผอ นความรสู ึกใหจ างออกทีละนอ ยๆ
จนกลบั มาสูความรูส กึ อยา งธรรมดา แลว จงึ พจิ ารณาส่ิงแวดลอ มในขณะนน้ั จดจําเอาไวเปน
บทเรยี นสําหรบั คราวหนา และพิจารณาตรวจลักษณะองคฌานทปี่ รากฏแกจ ติ ในคราวนน้ั ใหแจม
ใจ แลว จึงเคลือ่ นไหวอิรยิ าบถตอไป อยาออกจากสมาธโิ ดยรีบรอ น จะทําใหป ระสาทไดรบั ความ
กระเทือนแรงไป เหมอื นต่ืนนอนแลว รีบลกุ อยางตะลตี ะลาน ยอ มไมสบายฉะนั้น.
ข. นัง่ แบบนง่ั ตั่ง นงั่ บนเกา อ้ี หรือตั่ง หอ ยเทาลงจดพนื้ ถา เทา ไมจดถึงพื้นเพราะตั่งหรือ
เกา อีส้ ูง พงึ หาอะไรรองเทา พอใหส บายๆ โดยไมตองหอยขาตองแตง วางมือแบบเดยี วกับนงั่
บลั ลงั กก็ได เอามือท้ังสองกมุ กันไวบนตักก็ได วางตวั และหนาใหตรงเชนที่กลา วในขอ ก. (น่ังแบบ
บัลลังก) ตอน้นั ไปพึงปฏิบตั โิ ดยนยั ท่กี ลาวในขอ ก. ถาเจรญิ กสิณ ก็พึงตงั้ ดวงกสิณใหหางจากที่น่งั
ประมาณวาหน่ึง แลว น่ังตามแบบ ลืมตาดูดวงกสณิ พินิจใหแ นแลว หลบั ตานึกดู จนเห็นภาพดวง
กสิณชดั เจนในตาใจ วิธีปฏิบัตติ อ ไปนจ้ี ะไดกลาวไวในขอ วา ดว ยกสณิ พงึ ตดิ ตามไปอา นท่ีน้ันอีก.
ค. น่ังแบบพับเพียบ แบบนเ้ี ปนแบบทถี่ นัดของสตรไี ทย พึงนง่ั พบั เพียบวางมือบนตกั
วางตวั ใหต รง วางหนา ใหตรง ดาํ รงสติใหมนั่ สาํ รวมจิตคิดอา นขอ กมั มฏั ฐานทเ่ี ลือกไว โดยนัยที่
กลา วในขอ ก. น้ันทกุ ประการ.

ทพิ ยอาํ นาจ ๓๐

ง. นงั่ แบบสบาย คอื น่งั ตามถนัดของตนๆ แลว คิดอานขอ กัมมัฏฐานอนั ใดอันหนึ่ง หรือไม
คิดอา นอะไร เพียงแตตั้งสตสิ ําเหนยี กอยทู ่ีจติ คอยจับตาดคู วามเคล่อื นไหวของจิต หรอื สังเกตลม
หายใจเขาออกตามแตอ ัธยาศยั .

การท่แี นะนําขอ นี้ไวก ็โดยทกี่ ารบาํ เพ็ญฌาน ยอมทําไดท ุกทา ผูไมประมาทยอมไมปลอ ยให
เวลาลว งไปเปลาๆ ยอมสาํ เหนียกจับตาดจู ิตใจของตนเสมอๆ แมใ นเวลาทาํ กิจใดๆ อยูกไ็ มล ะท้งิ
เลย.

อนึง่ ในการนง่ั เจรญิ ฌานน้ี กม็ กี ารพกั ผอ นกายในระหวา งๆ ไดเ ชนเดยี วกนั วธิ พี กั กายใน
การนัง่ คือ เม่ือนง่ั ตรงๆ เมื่อยแลว พึงนง่ั ยอตัวลงสักหนอ ย หายเมอ่ื ยแลว จึงนั่งตัวตรงอกี สว นการ
พักมือในระหวางก็ทาํ ไดเชนกัน คอื พักในทา วางมือพลกิ ควา่ํ พลิกหงาย หรอื ประสานมอื ก็ได แต
ตองระวังอยาใหจ ิตเคล่อื นจากฐานเทา นนั้ คาํ วา ฐาน น้หี มายถงึ วา จิตดาํ รงอยใู นอารมณเชนไร
หรือในความสงบขนาดไหน ในขณะน้นั อันน้ันจดั เปนฐานคือทต่ี ้ังของจิตในขณะนั้น.

๔. นอนเจรญิ ฌาน อิริยาบถนอนในการเจรญิ ฌาน มี ๒ อยา ง คอื นอนพกั ผอ นรางกาย
กบั นอนเพอ่ื หลบั มีวธิ ปี ฏิบัติตางกนั ดังน้ี

ก. นอนพักผอ นรางกาย คอื เม่ือเจริญฌานในอริ ิยาบถท้ัง ๓ มาแลว เกดิ ความมนึ เมอ่ื ย
หรอื ออนเพลียรา งกาย พงึ นอนเอนกายเสยี บาง นอนในทา ทส่ี บายๆ ตามถนัด จะหลบั ตาหรือลมื
ตาก็ได กาํ หนดใจอยใู นกมั มัฏฐานขอ ใดขอหนึง่ หรือเอาสติควบคมุ ใจใหสงบน่ิงอยูเฉยๆ กไ็ ด.

ข. นอนเพื่อหลับ การนอนหลับ เปน การพกั ผอ นที่จาํ เปน ของรางกาย ใครๆ ก็เวนไมได
แมแตพ ระอรหันตก ็ตอ งพกั ผอ นหลบั นอนเชน เดยี วกับปุถชุ น ทที่ า นวา พระอรหนั ตไมห ลับเลยนัน้
ทา นหมายทางจิตใจตางหาก มไิ ดห มายทางกาย การหลับนอนแตพ อดี ยอ มทาํ ใหร างกายสดชื่น
แข็งแรง ถา มากเกินไปทําใหอวนเทอะทะไมแข็งแรง ถา นอยเกนิ ไปทําใหอดิ โรยออ นเพลีย
ความจาํ เสื่อมทรามและงว งซึม ประมาณทพี่ อดนี ้ัน สําหรับผทู าํ งานเบาเพยี ง ๔-๖ ชั่วทุมเปน
ประมาณพอดี ผทู ํางานหนกั ตอ งถงึ ๘ ช่วั ทมุ จึงจะพอดี ในเวลาประกอบความเปน ผตู ื่น
(ชาครยิ านุโยค) น้ัน ทรงแนะใหพกั ผอ นหลบั นอนเพยี ง ๔ ช่ัวทุม เฉพาะยามทามกลางของราตรี
เพยี งยามเดยี ว เวลานอกนนั้ เปนเวลาประกอบความเพยี รทง้ั สิ้น และทรงวางแบบการนอนไว
เรียกวา สีหไสยา คอื นอนอยางราชสีห การนอนแบบราชสีหนน้ั คอื นอนตะแคงขา งขวา เอนไป
ทางหลงั ใหหนา หงายนิดหนอย มอื ขางขวาหนุนศีรษะ แขนซา ยแนบไปตามตวั วางเทาทบั เหล่อื ม
กันนิดหนอยพอสบาย แลว ตงั้ สติอธษิ ฐานจติ ใหแขง็ แรงวา ถงึ เวลาเทา น้ันตอ งต่ืนข้ึนทาํ ความเพียร
ตอไป กอ นหลับพึงทําสตอิ ยา ใหไปอยูกบั อารมณภายนอก ใหอยทู จี่ ติ ปลอยวางอารมณเรอ่ื ยไป
จนกวาจะหลบั ถาใหส ติอยูก ับอารมณภ ายนอกแลวจะไมห ลับสนทิ ลงได ครัน้ หลบั แลวต่ืนข้ึน พึง
กาํ หนดดูเวลาวา ตรงกบั อธษิ ฐานหรือไม? แลวพึงลุกออกจากท่ีนอน ลา งหนา บวนปาก ทาํ ความ
พากเพยี รชาํ ระจิตใจใหบ ริสุทธจิ์ ากนิวรณส ืบไป ถาสามารถบังคบั ใหต่ืนไดต ามเวลาทกี่ ําหนดไวไม
เคลือ่ นคลาด ชอื่ วาสําเรจ็ อาํ นาจบงั คับตวั เองขน้ั หน่ึงแลว พงึ ฝก หัดใหช ํานาญตอไป ทั้งในการ
บังคบั ใหห ลับ และบังคับใหตื่นไดตามความตอ งการ จึงจะช่ือวามอี าํ นาจเหนือกาย ซึง่ เปน
ประโยชนอ ยา งยงิ่ ในการปฏิบัตอิ บรมจติ ใจขนั้ ตอ ๆ ไป.

ทิพยอํานาจ ๓๑

เมอ่ื ไดท ราบวธิ เี จริญฌานโดยอิริยาบถทง้ั ๔ เชนน้ีแลว พงึ สาํ เหนยี กวิธเี จริญฌานทวั่ ไป ดงั
จะกลา วตอไปน้ี

ไดท ราบมาแลว วา การเจริญฌานเปนการอบรมจิตใหสงบ เพอ่ื ใหจ ิตบริสทุ ธผิ์ ุดผอง
เหมือนการกล่ันน้ําใหใ สสะอาดฉะนน้ั ธรรมชาติของนํา้ มีความใสสะอาดเปนลกั ษณะดั้งเดมิ ท่ี
กลายเปนนํา้ ขนุ เพราะถกู เจือดวยสิง่ อ่ืนในภายหลงั ฉันใด จิตใจโดยเนอ้ื แทก็เปน ธรรมชาติใสผอ ง
แตที่จิตน้ันมากลายเปน ธรรมชาติเศรา หมองไป เพราะอุปกเิ ลสจรเขา มาเจอื ปนในภายหลังฉันน้ัน
วธิ ีกลัน่ กรองจิตใหบรสิ ุทธผิ์ ดุ ผอ งเปนสภาพแทน ้นั ยอมตอ งอาศยั เคร่ืองกรองทเ่ี หมาะสม เคร่อื ง
กรองนั้นไดแ กก มั มัฏฐาน ๔๐ ประการ ดงั จะกลาวในบทตอไป พงึ เลือกใชบ ทหน่ึงหรอื หลายบท
ตามควรแกเ หตุ เพือ่ ขม กเิ ลสที่ฟขู ้นึ ในขณะน้นั ใหส งบไป กมั มฏั ฐานนน้ั โดยทั่วไปก็เรยี กวาอารมณ
แตเม่ือนําเขา มาอบรมจิตแลว กลบั เรียกวา นิมิตไป พึงทราบความหมายของนมิ ิตในการอบรมจติ ซึง่
แปรสภาพไปตามระยะดงั นี้

๑. บริกรรมนิมติ ไดแกขอกมั มัฏฐานท่ีนํามาเปนขอ อบรมจิต ปรากฏอยใู นหว งนึกคิดของ
บคุ คลเปนเวลาช่วั ขณะจิตหนงึ่ แลว เคล่ือนไป ตอ งตัง้ ใหมเปน พักๆ ไป อยางนีแ้ ลเรยี กวา บริกรรม
นมิ ิต จิตในขณะนเี้ ปนสมาธเิ พียงชวั่ ขณะจติ หนง่ึ จึงเรียกวา ขณิกสมาธิ.

๒. อคุ คหนิมติ ไดแกขอกัมมฏั ฐานน้ันเหมอื นกนั ปรากฏอยใู นหว งความนึกคดิ ของบคุ คล
อยา งชัดเจนขึ้น ดวยอํานาจกาํ ลงั ของสติสัมปชญั ญะควบคมุ และดํารงอยูน านเกินกวา ขณะจติ หนงึ่
จิตไมต กภวังคง า ย องคของฌานปรากฏขึ้นในจติ เกอื บครบถว นแลว อยา งน้เี รียกวา อคุ คหนมิ ติ จติ
ในขณะน้ันเปน สมาธิใกลตอ ความเปนฌานแลว เรียกวา อุปจารสมาธิ ถาจะพดู ใหช ัดอีกกว็ า เขา
เขตฌานน่ันเอง.

๓. ปฏภิ าคนิมิต ไดแกข อ กัมมัฏฐานทนี่ าํ มาอบรมจติ นัน่ เอง เขาไปปรากฏอยูในหวงนกึ คิด
ของบุคคลแจมแจง ชัดเจน ถา เปนรปู ธรรมก็เปนภาพชดั เจนและผองใสสวยสดงดงามกวาสภาพเดิม
ของมนั ถาเปนอรปู ธรรมกจ็ ะปรากฏเหตุผลชดั แจง แกใจพรอมทง้ั อุปมาอปุ ไมยหลายหลาก จะเห็น
เหตุผลทีไ่ มเคยเห็น และจะทราบอปุ มาทไี่ มเคยทราบอยางแปลกประหลาด อยา งนี้แลเรยี กวา
ปฏภิ าคนมิ ติ จติ ใจในขณะนนั้ จะดํารงมนั่ คง มอี งคฌานครบถว น ๕ ประการเกดิ ขน้ึ ในจติ บํารุง
เลย้ี งจิตใหสงบสุขแชมชืน่ อยา งยง่ิ จงึ เรยี กวา อปั ปนาสมาธิ จดั เปน ฌานช้ันตนทแ่ี ทจริง จิตจะ
ดํารงอยูในฌานนานหลายขณะจิต จงึ จะเคล่อื นจากฌานตกลงสูภวังค คอื จติ ปกติธรรมดา.

นมิ ิตทัง้ ๓ เปน เครือ่ งกําหนดหมายของสมาธทิ ัง้ ๓ ชนั้ ดังกลา วมานน้ั ทานจึงเรียกชอ่ื
เชนนน้ั ผูปฏบิ ตั ิพงึ สําเหนยี กไวเปนขอสังเกตขีดขนั้ ของสมาธสิ าํ หรับตนเองตอ ไป.

ทนี ี้จะไดเร่มิ กลา วถึงวิธเี จรญิ ฌานทีแ่ ทจ ริงสบื ไป เม่อื ผูปฏิบัตทิ ําการอบรมจิตมาจนถึงได
สมาธิ คือความเปน หนงึ่ ของจิตขน้ั ที่ ๓ ท่ีเรยี กวา อปั ปนาสมาธแิ ลว ชือ่ วา เขาข้ันของฌาน เปน
ฌายบี คุ คล แลว ในขั้นตอ ไป มีแตจ ะทาํ การเจรญิ ฌานน้นั ใหช่าํ ชองย่ิงข้ึนโดยลําดับขั้นทงั้ ๕
ดงั ตอ ไปน้ี

-

ทิพยอาํ นาจ ๓๒

๑. ขนั้ นกึ อารมณ
ฝก หดั นกึ อารมณท ่ใี ชเปนเครื่องอบรมจติ จนไดฌ านนั้นโดยชาๆ กอน เหมือนเมื่อไดคร้ัง
แรก ตองนึกคดิ และอา นอารมณต ั้งนานๆ ใจจึงจะเหน็ เหตผุ ลและหยงั่ ลงสคู วามสงบได แลว คอ ย
หัดนึกอารมณน ัน้ ไวเ ขา โดยลําดบั ๆ จนสามารถพอนึกอารมณนน้ั ใจกส็ งบทันที เชนนีช้ ่ือวา มี
อํานาจในการนึกอารมณ ทที่ า นเรยี กวา อาวัชชนวสี = ชาํ นาญในการนึก.
๒. ขน้ั เขา ฌาน
ฝก หดั เขา ฌานโดยวธิ ีเขาชา ๆ คือ คอยๆ เคลอ่ื นความสงบของจติ ไปสูความสงบย่งิ ขึ้น
อยางเชือ่ งชา คอยสังเกตความรูส กึ ของจติ ตามระยะท่เี คลอ่ื นเขา ไปนั้น พรอมกบั อารมณท่ีใหเกดิ
ความรสู กึ เชนนน้ั ไปดว ย แลว หัดเขา ใหไวข้นึ ทกุ ทๆี จนสามารถเขา ไดทันใจ ผา นระยะรวดเร็ว
เขาถงึ จดุ สงบท่เี ราตอ งการเขาทันที เชนน้ีช่อื วา มีอาํ นาจในการเขาฌาน ท่ที า นเรียกวา สมาปช-
ชนวสี = ชํานาญในการเขา.
๓. ขน้ั ดาํ รงฌาน
ฝก หัดดํารงฌานโดยวิธกี าํ หนดใจดํารงอยใู นฌานเพียงระยะสัน้ ๆ ใหช าํ นาญดีเสยี กอ น แลว
จงึ กาํ หนดใหยัง้ อยูนานยิง่ ข้ึนทลี ะนอ ยๆ จนสามารถดํารงฌานไวไ ดต้งั หลายๆ ชั่วโมง ต้งั วัน จนถงึ
๗ วัน เมอื่ การกาํ หนดฌานเปนไปตามทก่ี ําหนดทกุ ครั้งไมเคลือ่ นคลาดแลว ช่ือวามอี าํ นาจในการ
ดาํ รงฌาน ทที่ านเรียกวา อธษิ ฐานวสี = ชํานาญในการอธิษฐาน.
๔. ขน้ั ออกฌาน
ฝกหดั ออกฌาน โดยวิธีถอนจิตออกจากความสงบอยา งชาๆ กอน คอื พอดาํ รงอยใู นฌาน
ไดต ามกําหนดที่ต้งั ใจไวแ ลว พงึ นกึ ขน้ึ วา ออก เทาน้ันจติ ก็เร่ิมไหวตัว และเคลอ่ื นออกจากจดุ สงบ
ที่เขา ไปยับยง้ั อยูน้นั พงึ หดั เคลอื่ นออกมาตามระยะโดยทาํ นองเขา ฌานท่ีกลา วแลว และพึงสงั เกต
ความรูสกึ ตามระยะนัน้ ๆ ไวด วย จนมาถึงความรูสกึ อยางปกตธิ รรมดา ช่อื วา ออกฌาน ในครง้ั ตอๆ
ไปพงึ หดั ออกใหว องไวข้ึนทีละนอยๆ จนถงึ สามารถออกทนั ทที ี่นกึ วา ออก คือ พอนกึ กอ็ อกไดทันที
โดยไมม กี ารกระเทอื นตอ วิถปี ระสาทแตประการใด เชน นี้ชื่อวา มีอาํ นาจในการออกฌาน ที่ทา น
เรยี กวา วุฏฐานวสี = ชํานาญในการออก.
๕. ขนั้ พิจารณาฌาน
ฝกหดั พจิ ารณาฌาน โดยวธิ เี มื่อถอยจติ ออกจากฌาน มาถงึ ข้ันความรูสึกปกตธิ รรมดาแลว
แทนทจ่ี ะลกุ โดยเรว็ ออกจากที่ หรือหันไปสนใจเร่อื งอน่ื กห็ ันมาสนใจอยูกบั ฌานอีกที นึกทวนดู
ลกั ษณะฌานพรอ มท้งั องคป ระกอบของฌานนนั้ แตละลกั ษณะใหแ จมใสขน้ึ อีกครั้ง โดยความสขุ มุ
ไมรบี รอ น ครงั้ ตอ ไปจงึ หดั พจิ ารณาใหร วดเรว็ ข้ึนทีละนอยๆ จนสามารถพอนึกก็ทราบทั่วไปใน
ฌานทนั ที เชนนี้ชอ่ื วา มอี ํานาจในการพิจารณาฌาน ทีท่ า นเรยี กวา ปจ จเวกขณวสี = ชํานาญใน
การพิจารณา.
ในขั้นตอไปกม็ แี ตขั้นของ การเลื่อนฌาน คือกา วหนาไปสูฌ านชนั้ สูงกวา ถาทา นผปู ฏบิ ัติ
ไมใ จรอ นเกินไป เมื่อฝก โดยข้นั ทง้ั ๕ ในฌานขั้นหน่ึงๆ ชํานาญแลว การกาวไปสฌู านช้ันสูงกวาจะ

ทพิ ยอาํ นาจ ๓๓

ไมลําบากเลย และไมคอยผดิ พลาดดวย ขอใหถือหลักของโบราณวา “ชาเปน การ นานเปนคณุ ”
ไวเปน คตเิ ตือนใจเสมอๆ.

วธิ กี ารทจ่ี ะเลอื่ นฌานไดสะดวกดงั ใจน้ัน อยทู ี่กาํ หนดหัวเลย้ี วหัวตอของฌานไวใหด ี คอื ขนั้
ตอไปจะตอ งละองคฌานทเี่ ทาไร และองคฌ านนั้นมีลกั ษณะอยา งไร ดาํ รงอยไู ดดวยอะไร ดงั ที่
ขาพเจาไดอธิบายไวแลว ในตอนวา ดว ยลักษณะฌานท้งั ๔ นั้น เมื่อกาํ หนดรูแจม ชัดแลว พึง
กําหนดใจไวดว ยองคท ีเ่ ปนปฏิปกษก ับองคท่ีตองละน้ันใหมาก เพียงเทา น้จี ิตกเ็ ล่อื นขึน้ สฌู านช้ันสูง
กวาไดท นั ที เม่อื เขา ถึงขดี ชั้นของฌานช้ันนน้ั แลว พึงทําการฝก หดั ตามขนั้ ทง้ั ๕ ใหชํานาญ แลวจึง
เล่ือนสูช ัน้ ท่ีสงู กวา ข้ึนไป โดยนัยนี้ ตลอดทง้ั ๔ ฌาน.

เพ่อื สะดวกแกการกาํ หนดหวั ตอ ของฌานดงั กลาวแลว แกผ ูปฏิบัติ จงึ ขอช้ี “หนาม” ของ
ฌานใหเ หน็ ชัด โดยอาศัยพระพุทธภาษิตเปน หลัก ดงั ตอไปนี้

พระบรมศาสดาตรัสชี้หนามของฌานไววา เสียง เปนหนามของปฐมฌาน, วติ ก =
ความคิด วจิ าร = ความอาน เปนหนามของทุติยฌาน, ปต ิ = ความชมุ ช่ืน เปน หนามของตติย-
ฌาน, ลมหายใจ เปนหนามของจตุตถฌาน ดังน.้ี

ในขน้ั ปฐมฌาน จิตยังสังโยคกบั อารมณอ ยู อายตนะภายในยังพรอมทจี่ ะรบั สัมผัสอายตนะ
ภายนอกไดอ ยฉู ะนั้น เสียง จึงสามารถเสยี ดแทรกเขาไปทางโสตประสาทสจู ุดรวมคือใจ แลวทาํ ใจ
ใหก ระเทอื นเคลื่อนจากอารมณท ีก่ ําลังคิดอานอยู บรรดาอายตนะภายนอกท่สี ามารถเสียดแทรก
ทําความกระเทือนใจในเวลาทาํ ฌานนน้ั เสียงนบั วาเปน เยย่ี มกวาเพือ่ น ยงิ่ เปน เสียงท่กี ระแทก
แรงๆ โดยกะทันหนั ย่ิงเปนหนามท่ีแหลมทสี่ ุด สามารถกระชากจติ จากฌานทนั ทที นั ใด แตถา ดื่ม
ด่ําในอารมณของฌานใหม ากยิ่งข้ึนเปน ทวีคูณแลว เสียงก็จะทําอะไรใจเราไมไ ด ไดยินก็เหมือน
ไมไดยิน ไมก ระเทอื นถงึ ใจน่ันเลย.

ในขนั้ ทุติยฌาน ความคิดความอา น จะกลายเปน หนามตําจติ ขนึ้ มาในทันที คอื เมื่อไรดิง่ ลง
สคู วามสงบเงยี บโดยไมค ดิ อานอะไรเลยน้ัน ใจกจ็ ะผอ งแผวอยโู ดดเดี่ยวเดียวดาย ภาพนมิ ิตใน
ขณะน้ันคือ จติ จะใสแจว เหมอื นนาํ้ ใสน่งิ ๆ ฉะน้ัน แตคร้ันแลวเพราะความเคยชิน คอื จิตเคย
ทอ งเท่ียวอยูใ นอารมณม านาน หรอื อารมณเคยคลอเคลยี อยูกับจติ มานาน เมื่อมาพรากกนั เชนนกี้ ็
จะพรากกนั นานไมไ ด ตอ งมาเยอื นบอยๆ จะคอยๆ ปดุ ขึน้ ในจติ เหมือนปุดฟองนํ้า ทป่ี รากฏขึ้นมา
จากสว นใตสดุ ของพื้นนํ้าในเมื่อนํา้ เร่มิ ใสใหมๆ ฉะน้ัน เมอ่ื ความคดิ อานปุดโผลข้ึนในจติ จติ กไ็ หว
ฉะน้นั ทานจงึ วา เปนหนามของฌานชั้นน้ี วธิ ีแกกค็ ือ ไมเอาใจใสเ สยี เลย เอาสตกิ มุ ใจใหน งิ่ ๆ ไว
เหมอื นแขกมาเยอื น เหมอื นเราไมเ อาใจใสต อนรับ แขกกจ็ ะเกอกลับไป และไมม าอีกบอ ยนัก
หรอื ไมม าอกี เลยฉะนั้น.

ในข้ันตติยฌาน ปติ = ความชมุ ชื่น ซ่งึ เปน ทิพยาหารในฌานที่ ๑-๒ น้ัน จะเกิดเปนหนาม
ของฌานช้ันน้ที ันที จะคอยทาํ ใหจติ ใจฟองฟอู ยบู อยๆ เหตผุ ลก็เหมือนในขั้นทุตยิ ฌานน่นั เอง คอื
ปตเิ คยเปนทิพยาหารของใจมานานแลว เม่ือมาพรากไปเสียเชน นี้ ก็อดจะคิดถึงและมาเยอื นไมไ ด
วิธแี กก ต็ อ งใชสติกมุ ใจใหว างเฉย ไมเอาใจใสถงึ อีกเลย มนั ก็จะหายหนา ไป ถาไมเรยี ก มันก็จะไม
มาอีก.

ทิพยอํานาจ ๓๔

ในขนั้ จตุตถฌาน ลมหายใจ ซง่ึ เปน เครอ่ื งปรุงแตง กายสืบตอชีวิตน้นั เปนท่ีตั้งของสขุ ทุกข
และโสมนัสโทมนัส เม่ือมาปรากฏในความรับรขู องจิตอยูต ราบใด สุขโสมนัส และทุกขโทมนสั ซง่ึ
อาศัยอยกู บั มนั ก็จะปรากฏทําการรบกวนจิตอยตู ราบนนั้ เพราะลมหายใจเปนพาหนะของมัน ลม
หายใจมอี ยูไดโดยธรรมดาเอง แมจ ติ ไมเขา ไปเปน เจาการ ก็คงมีอยเู หมือนเวลานอนหลบั แตใน
ความรสู กึ ของคนตนื่ อยู คลา ยกะวา มันเปนอันเดียวกันกบั จิต จนไมอ ยากวางธุระในมัน เขาไปเปน
เจา การกบั มนั อยเู รื่อยไป ผูเ ขา ฌานไมเหมอื นคนหลบั ตรงกันขามเปน คนต่ืน เมอ่ื เปนเชนนี้ลม
หายใจจึงคอยแหลมเขา ไปหาจิตบอ ยๆ เมือ่ แหลมเขาไปเม่ือไรจติ ใจก็มักจะสัมปยตุ ตก ับมนั หรอื
มิฉะน้ันกส็ ะเทือน จึงช่ือวาเปนหนามของจตตุ ถฌาน วธิ ีการแกกค็ อื เอาสตกิ ุมจติ ใหว างเฉยท่สี ุด
ไมใสใ จถึงสว นหนึ่งสว นใดของกายอีกเลย ลมหายใจกไ็ มป รากฏในความรับรูของจิต ท้งั จะ
กลายเปน ลมละเอียดน่ิงเต็มตัว ไมมอี าการเคล่อื นไหวไปมา และเวลานน้ั จะรูสึกประหน่งึ วา ตนน่งั
อยูใ นกลุมอากาศใสๆ สงบนิง่ แนอยู เหมอื นน่ังเอาผาขาวสะอาดโปรง บางคลมุ ตัวตลอดศีรษะ
ฉะน้นั .

ผูปฏบิ ัติพงึ สําเหนียกตอไปอกี วา การเจริญฌานน้ัน เปรียบเหมอื นการสาํ รวจภูมปิ ระเทศ
ซ่ึงจําตองเดนิ สํารวจกลับไปกลบั มา เท่ยี วแลว เท่ยี วเลาจนชํา่ ชอง มองเหน็ ภมู ิประเทศในหวงนกึ
อยางทะลุปรโุ ปรงฉะนน้ั เพราะฉะน้ัน ตอ งเดินฌานท่ีตนไดแ ลว ตั้งแตปลายจนตน เทีย่ วแลว
เทีย่ วเลา เปน เหตใุ หเ กิดความชา่ํ ชองในฌานทะลปุ รโุ ปรง.

ทิพยภาวะ

กอนจบบทนี้ ขา พเจาขอชีแ้ จงเร่ืองทิพยภาวะท่ไี ดพูดเกร่ินไวใ นตอนตนของบทนส้ี ัก
เล็กนอ ย ในคราวท่ีพระบรมศาสดาตรัสแกช าวบา นเวนาคะปรุ ะน้ัน ทรงชแ้ี จงวัตถภุ ายนอกในเมอ่ื
เจรญิ ฌานแลววา เปนทพิ ย นั่นเปนการชีว้ ตั ถุท่เี กยี่ วขอ งเพือ่ ใหเ ห็นงาย ทง้ั เปนเครื่องยืนยันถึง
ภาวะแหงจติ ใจในขณะน้ันวาบรบิ รู ณไ ปดวยทพิ ยสมบตั ิแลว จะมาไยดีอะไรกับสงิ่ ภายนอกซ่งึ เปน
ส่งิ ทหี่ ยาบกวาหลายเทา พนั ทวี เมอื่ ชวี ิตจะตอ งเปน อยูไดดวยวัตถุปจ จัย แมเชนใดเชนหนง่ึ ก็เปนท่ี
เพียงพอแลว ไมจ ําเปนตอ งใชวัตถุปจจยั ทเ่ี ลอคา และฟมุ เฟอ ย.

ความสุขของคนมไิ ดอยูทีว่ ตั ถุอันเลอคา หรอื ฟุม เฟอ ย แตอ ยทู ่ีความอม่ิ เตม็ ตา งหาก เมอ่ื ใจ
ยงั ไมอม่ิ เตม็ แมจะมงั่ มีเหลือลนสกั ปานใด กม็ ิไดร บั ความสขุ ฉะนนั้ จดุ ทเ่ี ราควรเอาใจใสจงึ อยทู ่ีใจ
ของเราเอง เม่อื แกใ จใหหายหิว มีความอ่มิ เต็มดว ยอุบายวิธใี ดวิธีหนึง่ ไดแลว นั่นช่อื วา บรรลุถงึ
ความสุขท่แี ทจ รงิ .

พระบรมศาสดาทรงราํ พงึ เม่ือคราวจะเลกิ ทกุ กรกริ ยิ าวา “เราควรกลวั ดวยหรอื ซงึ่
ความสขุ อันปราศจากอามสิ ทป่ี ถุ ุชนเขาไมเสพกนั เราควรกลบั ไปเดินทางน้ัน ซง่ึ มีสุขชมุ ชืน่ ใจ ก็
แตว า บัดน้รี า งกายเราออนแอเต็มที ไมม ีกาํ ลงั พอที่จะเรม่ิ ความเพยี ร เพือ่ บรรลุสขุ ชนดิ นั้นได เรา
ควรบํารงุ รา งกายใหแ ขง็ แรงพอสมควรกอน...” ดงั น้ี ครนั้ แลว ภายหลังกท็ รงบรรลุถงึ ความสุขน้ัน
และตรสั วา เปนความสขุ ทีป่ ราศจากอามสิ ผูประสพความสขุ ชนิดนีจ้ ะไมค าํ นงึ ถงึ ความเลอคา และ

ทิพยอาํ นาจ ๓๕

ฟมุ เฟอยของวัตถุภายนอก วัตถปุ จจยั แมเชนใดเชนหนง่ึ ก็ดูเหมือนเปนของดวี เิ ศษไปหมด และพอ
แกความตองการ ด่งั ท่ีตรัสเรียกวา เปนทิพยน้ันแลว .

การท่ีวตั ถภุ ายนอกในความรสู ึกของผูเ ขา ฌาน ๔ ปรากฏเปน ทพิ ยไ ปน้ัน กด็ ว ยมีทิพยภาวะ
อยใู นจติ ใจพอเพียง หาไมกป็ รากฏเปนทพิ ยไปไมได ฉะนั้น พึงทราบทิพยภาวะในจติ ใจของผไู ด
ฌานไวบ าง การที่จะรไู ดก ต็ องอาศยั อนมุ านจากความรูสึกของคนธรรมดาในบางครง้ั บางคราวเปน
หลกั เวลาเราคิดอา นเรอ่ื งอะไรอยา งหนึ่งซ่งึ เราพอใจ เราจะรูสกึ เพลดิ เพลิน เกิดความดูดดื่มไม
อยากหยดุ และรูสึกวา มสี ขุ เหลือลน ถา ไดม เี วลาคิดอานอะไรเพลนิ ๆ เชนนน้ั น้ีแหละที่พงึ อาศยั เปน
หลัก อนมุ านไปถงึ ความรสู กึ ของผไู ดฌ าน และพึงทราบวา อารมณของผไู ดฌ านประณีตกวา ดกี วา
ของคนธรรมดาสามญั หลายเทา พนั ทวี อารมณป ระณตี ทีป่ รุงแตง จิตใจของผูไดฌ านอยใู นขณะนนั้
นน่ั แหละเรยี กวา “ทพิ ยภาวะ” ท่ีทําใหรูสึกสิ่งท้ังปวงภายนอกทีต่ นบริโภคใชส อยอยู แมเปน เพียง
สงิ่ พน้ื ๆ ไมว เิ ศษวิโส กลายเปน สิ่งวเิ ศษวโิ ส คือเปนทพิ ยไ ปดว ย และทิพยภาวะนแี้ หละจะเปน
เคร่อื งเกื้อหนุนใหเกิดทพิ ยอาํ นาจตอ ไป ผตู อ งการทพิ ยอาํ นาจจะมองขามไป แลว จะปลูกสรา ง
ทิพยอาํ นาจข้นึ ไดน้ัน มใิ ชฐานะทีจ่ ะเปน ไปได เพราะฉะนน้ั ผตู อ งการทพิ ยอํานาจจงึ ควรเจรญิ
ฌาน ซึ่งเปนทต่ี ั้งแหง ทพิ ยภาวะ ใหเ ปน ผบู ริบรู ณด วยทิพยสมบตั กิ อ น แลวจงึ อาศยั เปน ท่ีปลกู สราง
ทิพยอาํ นาจตอ ไป จึงจะเปนไดสมปรารถนา.

ทพิ ยอํานาจ ๓๖

บทท่ี ๓

บพุ พประโยคแหง ฌาน

ทา นท่ไี ดอานบทท่ี ๑-๒ มาแลว ยอมทราบวา ภมู ิจติ ของผไู ดฌานสงู ย่งิ เพียงไร และ
หา งไกลจากลักษณะจติ ใจของมนุษยสามัญปานฟา กบั ดิน การท่ีจะกาวพรวดพราดจากลักษณะ
จิตใจของคนสามัญข้นึ ไปสูลกั ษณะจิตใจของผไู ดฌานนัน้ ไมมีทางจะสาํ เรจ็ ได จําจะตองปรับปรงุ
ลกั ษณะจติ ใจจากความเปนมนษุ ยผไู รศ ีลข้นึ ไปสูความเปนผมู ศี ีลเสียกอ น เพราะทานวา ศลี เปน
ทต่ี ัง้ ของสมาธิและฌาน ผมู ศี ลี สมบูรณด ีจงึ จะมสี มาธิและฌานได ศลี นั้นเม่ือวา โดยตนเคา ไดแ ก
ความเปนปกติของจิต คือเปนจติ ทีป่ ราศจากความคิดรา ย ความคดิ เบียดเบียน ความคมุ แคนคิดหา
ชอ งทางทาํ รายคนท่ตี นเกลียด เปน จติ ท่ปี ราศจากความคดิ โลภเพงเลง็ หาชอ งยอ งเบาเอาทรพั ยสิน
ของผูอ ่นื และลว งกรรมสทิ ธ์ใิ นสิง่ ทเี่ ขาหวงแหน และเปนจิตท่ปี ราศจากความเห็นผดิ ไปจากคลอง
ของมนษุ ยธรรม มีความเหน็ ชอบอยา งมนุษยท ด่ี ีเขาเห็นกันอยู คอื เห็นวาทาํ ดไี ดด ี ทาํ ชั่วไดช ่ัว โลก
นี้มี โลกอ่นื มี บิดามารดาผใู หกาํ เนิดมี ผเู กิดผดุ ข้นึ เอง (เชน เทวดา) มี ฯลฯ

การรกั ษาปกตภิ าพของจติ เปน การรักษาตนศีล สว นการรักษาศลี ตามสกิ ขาบททท่ี รง
บญั ญตั ิไวน ้ัน เปนการรักษาปลายศีล เพราะตน เหตุของความดี-ความชว่ั อยทู ่จี ิต ถา จิตช่วั คือมี
กเิ ลสและทุจรติ แลว ยอมบงั คบั กายวาจาทําช่ัว ถา จิตดีคอื เปนปกติ กเิ ลสและทุจริตไมค รอง
อาํ นาจเหนอื จิต จติ ยอมไมบ ังคบั กายวาจาใหท ําชัว่ การรักษาจติ จึงเปนการรกั ษาตน เหตุ การ
รักษากายวาจาเปน การรกั ษาปลายเหตุ แตก เ็ ปน ความจาํ เปนอยเู หมือนกนั ทจี่ ะตอ งรักษาตาม
สกิ ขาบทพทุ ธบญั ญัติ เพ่อื ปดกัน้ อกุศลบาปธรรม มิใหม นั หลัง่ ไหลออกไปทางกายวาจา และ
ปองกันอกุศลบาปธรรม มใิ หมันไดช อ งเขามาครอบงาํ ยาํ่ ยีจติ ใจ หากแตว าการรักษาศลี ตามขอหา ม
นั้นไกลตอ ความเปน สมาธิ ไมพ อจะเปน บาทฐานของสมาธแิ ละฌานได ตองรักษาศีลท่ีจิตใจ คอื
รกั ษาความเปนปกติของจิตใจใหม ั่นคงแข็งแรง เมอ่ื จติ ใจดาํ รงอยูในความเปนปกตนิ านๆ เขา ก็
ยอมมลี กั ษณะผอ งแผว ชืน่ บาน เยอื กเย็นและม่นั คง ควรแกความเปนพ้ืนฐานที่ตง้ั ของสมาธติ อ ไป
การรักษาศลี อยางนแ้ี ลเปน ศีลในองคอรยิ มรรค ซง่ึ เปนศีลเสมอภาค ผเู ปนพระอรยิ บุคคลไมว า
บรรพชิตหรอื คฤหัสถ ยอมมีศีลชนิดน้ีเสมอกัน สว นศีลทร่ี ักษาตามสกิ ขาบทพุทธบญั ญัตินน้ั ยอ ม
ไมสมา่ํ เสมอกนั เปนการรักษาศลี ใหเหมาะสมกบั ภาวะท่เี ปนบรรพชิตหรือคฤหสั ถเ ทานั้น เมอื่
รักษาไดดกี เ็ ปน ทางเจริญปต ิปราโมทย ทาํ ใหจติ ใจผอ งแผวขน้ึ ได รกั ษาศีลตามสิกขาบทมวี ธิ ี
อยา งไร ไมป ระสงคจะกลาวในที่น้ี ผปู ระสงคจ ะทราบโปรดศกึ ษาจากหนงั สอื อ่ืนๆ ซ่ึงมีผูเขยี นไว
มากแลว .

อนง่ึ การอบรมจิตใหเ ปน สมาธแิ ละฌานน้นั ยอมตองอาศยั อุบายอนั แยบคายจึงจะสําเร็จ
งา ย อบุ ายอันแยบคายนัน้ ทานเรยี กวา กรรมฐาน ทานแยกไวเ ปน ๒ ประเภท คือ สมถกรรมฐาน
ประเภทหน่ึง, วปิ ส สนากรรมฐานประเภทหนึ่ง จะกลาวในบทนีเ้ ฉพาะแตสมถกรรมฐาน ซ่ึงเปน

ทพิ ยอาํ นาจ ๓๗

ประเภทอบรมจติ ใจใหเ ปน สมาธแิ ละฌาน สว นวิปสสนากรรมฐานอันเปน ประเภทอบรมจิตใจให
เกิดปญ ญาน้ัน จะกลาวในบทอน่ื .

การอบรมจิตใจใหเ ปน สมาธิและฌานตามหลักสมถกรรมฐาน จัดเปน บุพพประโยคของ
ฌาน จะขา มเลยไปเสยี มไิ ด จาํ เปนตอ งใชสมถกรรมฐานขอ หนึง่ หรือหลายขอ เปน เครื่องอบรม
จิตใจเสมอไป จิตใจจงึ จะเปนสมาธิและฌานไดดังประสงค.

สมถกรรมฐานนน้ั พระบรมศาสดาตรสั ไวในท่ตี า งๆ โดยปริยายหลากหลาย พระโบราณา
จารยป ระมวลมาไวในที่เดยี วกนั มจี าํ นวนถงึ ๔๐ ประการ จัดเปนหมวดได ๗ หมวด คือ

กสณิ ๑๐
อสุภะ ๑๐
อนุสสติ ๑๐
อาหาเรปฏกิ ูลสัญญา ๑
จตธุ าตวุ วัตถาน ๑
พรหมวหิ าร ๔
อรูปกรรมฐาน ๔
มวี ภิ าคดงั จะกลา วตอไป การที่แสดงอุบายทาํ ความสงบจิตใจไวมากเชน นี้ กเ็ พอื่ ใหเหมาะ
แกจ ริตอธั ยาศัยของเวไนย ซ่งึ มจี รติ อธั ยาศัยตางๆ กัน มไิ ดหมายใหทกุ คนเจริญทั้ง ๔๐ ประการ
จนครบ.
กสณิ คอื วงกลมทาํ ดว ยวตั ถตุ างๆ ขนาดวัดผาศูนยกลางคืบ ๔ น้วิ สาํ หรบั เปน เคร่ืองเพง
ทาํ จิตใจใหสงบ มี ๑๐ ประการ คอื
๑. ปฐวีกสณิ วงกลมทําดวยดินบริสุทธิ์สอี รณุ คอื สีเหลอื งปนแดง เชน สหี มอใหม วิธีทาํ
เอาดินบรสิ ุทธิ์สีอรุณมาขยาํ ใหเหนียวดีแลว ลาดลงบนแผนกระดานวงกลม ขนาดวดั ผาศูนยกลาง
คบื ๔ นิว้ ขัดใหเกลี้ยงงาม ปราศจากมลทนิ เชนเสนหญา เปนตน ทําใหเกลี้ยงเกลา เปนเงาไดยงิ่ ด.ี
๒. อาโปกสิณ วงกลมทาํ ดวยน้าํ ใสบรสิ ุทธิ์ ปราศจากสีและตะกอน วิธีทาํ เอานา้ํ บรสิ ทุ ธิ์
ใสภาชนะที่มขี อบปากกวางกลมมน วดั ผา ศนู ยก ลางไดค บื ๔ นิ้ว ใสน ้ําเตม็ ขอบปาก.
๓. เตโชกสิณ วงกลมทาํ ดว ยไฟ วิธีทํา กอ ไฟดว ยฟนไมแ กน ใหลุกโชนเปน เปลวสีเหลอื ง
เหลืองแก และเอาแผนหนงั หรือเสอ่ื ลาํ แพนมาเจาะรเู ปนวงกลม กวางขนาดวัดผา ศูนยกลางคืบ ๔
นวิ้ ต้ังบังกองไฟใหม องเหน็ ไดโ ดยชอ งวงกลมเทา นน้ั .
๔. วาโยกสิณ เพง ลมท่ีพัดสมั ผสั อวัยวะ หรือพัดยอดไมย อดหญาใหห ว่ันไหว กสณิ น้ที ํา
เปน วงกลมหรือดวงกลมไมได ทานจึงแนะใหเ พง ลมท่พี ัดอยูโดยธรรมชาติของมันน้นั เปนอารมณ
จนมองเหน็ กลุมลมหรือสายลมทพี่ ดั ไปมานนั้ ตดิ ตา หลบั ตามองเห็น ทา นหามเพงลมท่ีพดั ปน ปว น
เชน ลมหัวดวน เปนตน.
๕. นีลกสณิ วงกลมทําดว ยสีเขยี ว วธิ ที ํา เอาส่งิ ทีม่ ีสเี ขียวบริสทุ ธิ์ เชน ดอกบวั เขยี ว หรอื
ผาเขยี ว ฯลฯ มาทํา ถา เปนดอกไมพึงบรรจลุ งในภาชนะที่มขี อบปากกลม วดั ผาศูนยก ลางไดค ืบ
๔ นวิ้ ใหเ ต็มขอบปาก อยาใหก านหรอื เกสรปรากฏ ใหแลเห็นแตก ลีบสเี ขียว ถาเปน ผาพงึ ขงึ กับ

ทิพยอาํ นาจ ๓๘

ไมวงกลมขนาดนั้นใหต ึงดี อยา ใหย ูย่ี ถา ไดผา เน้ือละเอยี ดเปน เหมาะดี สเี ขียวนี้หมายเขียวคราม ท่ี
เรยี กวา นลิ นน่ั เอง.

๖. ปตกสณิ วงกลมทําดวยสเี หลือง วิธที าํ เอาสง่ิ ท่ีมีสีเหลอื งบรสิ ทุ ธ์ิ เชน ดอกกรรณิการ
เหลอื ง หรอื ผาสเี หลอื งเปน ตน มาทาํ โดยทาํ นองเดียวกับนลี กสิณ สีเหลอื งน้ี หมายถึงสีเหลอื งออน
หรือเหลอื งนวลสีเขียวใบไมหรือมรกต เปนสีทใ่ี กลกับสเี หลืองออ น ทา นวาอนโุ ลมเขา กับกสณิ นี้ได.

๗. โลหติ กสิณ วงกลมทําดว ยสีแดง วิธที ํา เอาสิ่งที่มีสีแดง เชน ดอกบัวแดง ผาแดง ฯลฯ
มาทาํ โดยทาํ นองเดยี วกันกับนีลกสณิ .

๘. โอทาตกสณิ วงกลมทําดวยสีขาว วธิ ที าํ เอาสง่ิ ทข่ี าวสะอาด เชน ดอกบัวขาว ผาขาว
ฯลฯ มาทํา โดยทํานองเดียวกนั กบั นีลกสิณ.

๙. อากาสกสิณ วงกลมอากาศ วธิ ที ํา เจาะฝาเปน รูปกลม วัดผาศูนยก ลางคบื ๔ นิ้ว หรอื
เจาะเสอื่ ลาํ แพนขนาดเดยี วกันน้ันก็ได เพง ดูอากาศภายในชองวงกลมน้ัน หรือจะขดไมเปนวงกลม
ขนาดนั้นตงั้ ไวบ นปลายหลกั ในทแี่ จง แลวเพง ดอู ากาศภายในวงกลมน้ันก็ได.

๑๐. อาโลกกสิณ วงกลมแสงสวา ง วธิ ที ํา เจาะกนหมอเปนรกู ลม วดั ผาศูนยกลางคบื ๔
น้วิ ตามตะเกยี งหรอื เทยี นไขไวภ ายในหมอ ใหแสงสวางสองออกมาตามรทู เ่ี จาะไว และหันทาง
แสงสวา งน้นั ใหไปปรากฏท่ฝี าหรอื กาํ แพง แลวเพง ดูแสงสวา งทีส่ องเปน ลาํ ออกไปจากรทู ไ่ี ปปรากฏ
ทฝี่ าหรอื กาํ แพงนั้น.

อาโลกกสณิ น้ี ปรากฏในสมถกรรมฐาน ตามทพ่ี ระโบราณาจารยป ระมวลไว แตทป่ี รากฏ
ในพระบาลี ในพระไตรปฎกหลายแหงแทนที่ ขอ นเ้ี ปน วญิ ญาณกสิณ คือ เพงวญิ ญาณ ทัง้ น้ีนาจะ
เปน เพราะกสณิ ๑-๘ เปนรูปกสิณ สวนกสิณ ๙-๑๐ เปนอรูปกสณิ ซึง่ ใชเปน อารมณข องอรูปฌาน
คือ อากาสานัญจายตนะ และ วญิ ญาณัญจายตนะ ตามลําดบั กัน แสงสวางนาจะใกลต อเตโช หรอื
มิฉะน้ันกใ็ กลตอวิญญาณ ซง่ึ มลี กั ษณะสวางเชนเดยี วกัน เม่ือเพง ลักษณะสวางแลวนาจะใกลตอ
วญิ ญาณมากกวา ถาเปน วญิ ญาณกสิณจะทาํ วงกลมดว ยวัตถุไมได ตอ งกําหนดดวงขึ้นในใจที่เดยี ว
ใหเปน ดวงกลมขนาดวดั ผาศูนยกลางคืบ ๔ นว้ิ อาโลกะและวญิ ญาณมีลักษณะใกลก นั มาก และ
อํานวยผลแกผูเพงทํานองเดียวกัน คอื นําทางแหงทิพยจักษุอยางดีวเิ ศษ ผดิ กนั แตล กั ษณะการ
เพงเทา นน้ั คือ วิญญาณกสณิ ตองเพง ขา งในไมใ ชเพง ขา งนอกเหมอื นอาโลกกสณิ และอาํ นวยตา
ทิพยดกี วา วเิ ศษกวาอาโลกกสณิ .

วิธปี ฏิบตั ิ พงึ ชาํ ระตนใหส ะอาด นุง หมผา สะอาด ไปสทู ่เี งียบสงัด ปด กวาดบรเิ วณให
สะอาด ตง้ั ตั่งสูงคบื ๔ น้วิ สาํ หรับนัง่ อันหนง่ึ สําหรบั วางวงกสณิ อนั หนง่ึ นั่งหา งจากวงกสณิ
ประมาณ ๕ ศอก นัง่ ในทาท่สี บาย วางหนาใหตรง ทอดตาลงแลดดู วงกสณิ พอสมควรแลว หลบั ตา
นึกดู ถายงั จาํ ไมไ ดพ งึ ลมื ตาข้นึ ดใู หม แลว หลบั ตานกึ ดู โดยทาํ นองน้ี จนกวาจะเหน็ วงกสณิ ในเวลา
หลบั ตาได เมอื่ ไดแ ลว พึงไปนัง่ เพง ดวงกสิณในท่อี ยูใหช าํ นาญ จนสามารถทําการขยายดวงกสณิ ให
ใหญ และยนใหเลก็ ไดต ามตอ งการ เพยี งเทา นช้ี ่ือวาสาํ เรจ็ กสิณแลว จิตใจจะสงบเปนสมาธิ
ตามลําดบั คือ ชัว่ ขณะ เฉียดฌาน และเปนฌาน ๑-๒-๓-๔ ตามลาํ ดบั ไป ในการเลื่อนช้ันของ
ฌานนนั้ ตอ งคอยๆ เลอ่ื นไป อยาดวนกา วหนาในเมื่อฌานท่ไี ดแ ลวตนยงั ไมชาํ นาญในการเขา ออก

ทพิ ยอํานาจ ๓๙

การย้งั อยู การนึกอารมณของฌาน และการพิจารณาองคข องฌาน จะพลาดพลั้งแลว จะเสียผลท้งั
ขา งหนาขา งหลัง.

สวนวาโยกสณิ เปนกสณิ ทท่ี าํ วงกลมไมไ ด และยกไปมาไมได ทา นแนะวาพึงแลดูลมทพี่ ัด
ไปมาโดยปกตนิ ้ัน แลว จดจาํ ลักษณะอาการเอาไว แลว ไปสทู สี่ งัด ปฏบิ ัติตนโดยนัยทกี่ ลา วมาแลว
นั่งนกึ ถงึ อาการลมพัด จนอาการนน้ั ปรากฏชดั แกใ จ ชอ่ื วา ไดก สณิ ขอน้ีแลว ตอไปก็พงึ ปฏิบัตติ าม
นัยที่กลาวมาแลว .

อสภุ ะ คอื ส่ิงท่ไี มสวยงาม นาพึงเกลียดพึงหนาย เม่ือนึกเปรยี บเทียบกับอตั ภาพท่ียงั มี
ชีวิตอยูกจ็ ะทําใหเกดิ ความสังเวช คือ ซาบซ้งึ ถงึ ความจริง อันเปน ลกั ษณะประจาํ ของสงั ขาร
รา งกายเปน อยางดี ทานแนะใหนาํ มาพจิ ารณาเปน อารมณ เพือ่ เกดิ สังเวชและเบื่อหนาย บรรเทา
ราคะ คือความกาํ หนัดในอัตภาพ และบรรเทาอสั มิมานะ คือความสาํ คัญผดิ คดิ วา เปนตัวตนของ
ตนจรงิ จงั อสุภะในทีน่ ห้ี มายเฉพาะที่เปน ซากศพ หรืออวยั วะสว นใดสวนหน่ึงของคนตายแลว
ตลอดถึงของสัตวดวย พระโบราณาจารยท านประมวลมาไว ๑๐ ชนดิ คือ

๑. อทุ ธมุ าตกะ ศพข้นึ อืด
๒. วินลี กะ ศพขึ้นพองเขียว
๓. วปิ ุพพกะ ศพเนาเฟะ นํ้าหนองไหล
๔. วิฉนิ ทกะ ศพขาดเปน ทอ นๆ
๕. วิขายติ กะ ศพท่ถี กู สตั วกัดกนิ
๖. วิขติ ตกะ ศพทก่ี ระจดั กระจาย
๗. หตวขิ ติ ตกะ ศพที่ถูกสบั ฟน แทง
๘. โลหิตกะ ศพทีม่ ีเลอื ดแดงๆ ไหล
๙. ปฬุ ุวกะ ศพท่ีหนอนไชคลาคลํ่า
๑๐. อัฏฐิกะ กระดูกชนิดตา งๆ

ในมหาสตปิ ฏฐานสตู ร ทีฆนิกาย ทรงแสดงไว ๙ ลกั ษณะ คอื
๑. ศพท่ีตายแลวขน้ึ อืด พองเขียว-เนา เฟะ
๒. ศพทส่ี ตั วมสี นุ ขั เปนตน กาํ ลังกัดกินอยู
๓. โครงกระดูกสัตวม เี อ็นรัดยึดไว ยงั มเี น้ือเลือด
๔. โครงกระดูกสัตวมเี อ็นรัดยดึ ไว เปอ นเนอ้ื เลือด
๕. โครงกระดกู สัตวม เี อน็ รัดยดึ ไว ปราศจากเน้อื เลือด
๖. กระดูกท่กี ระจดั กระจายไปคนละทศิ ละทาง
๗. กระดกู ที่เปน สขี าวๆ
๘. กระดูกที่เปนสเี หลอื งๆ
๙. กระดูกทีผ่ ุยุยเปนผงละเอียดแลว

ทพิ ยอํานาจ ๔๐

สว นทสกนิบาต อังคุตตรนกิ าย ทรงแสดงไวโ ดยเปนสัญญา มี ๕ ลกั ษณะ คือ
๑. อัฏฐิกสญั ญา กาํ หนดหมายกระดูก
๒. ปุฬวุ สญั ญา กําหนดหมายหมหู นอนไชศพ
๓. วนิ ลี กสญั ญา กําหนดหมายศพขึ้นพองเขยี ว
๔. วฉิ นิ ทกสัญญา กาํ หนดหมายศพที่เปนทอ นๆ
๕. อทุ ธมุ าตกสัญญา กําหนดหมายศพข้ึนอดื
พระโบราณาจารยค งประมวลเอาลกั ษณะที่ใกลก ัน รวมเปนลกั ษณะเดยี ว และเพม่ิ ลกั ษณะ
บางอยางซึง่ นา จะมี จงึ รวมเปน ๑๐ ลกั ษณะ อยางไรก็ตามจดุ หมายของการพิจารณาอสภุ ะอยูท่ี
ใหเกดิ ความรสู กึ ซาบซงึ้ ในความจริงของอตั ภาพ โดยมีอสภุ ะเปน ประจักษพ ยานเทานนั้ จะใช
อสภุ ะในลกั ษณะใดก็ได แมที่สุดแตแผลในตัวของตวั ซง่ึ เกดิ จากเหตตุ า งๆ ก็นํามาพจิ ารณาเปน
อสุภะได.
วธิ ีปฏบิ ตั ิในเรือ่ งนี้ ทา นแนะนาํ ไวห ลายปริยาย ตามสมควรแกอสุภะน้ันๆ ประมวลแลว
เปน ดังน้ี
๑. ไปพจิ ารณาอสุภะในปาชา หรือในที่ใดทีห่ นง่ึ ซงึ่ มีอสุภะ ถาศพน้นั ยงั บริบูรณต องเปน
เพศเดยี วกนั จึงจะไมเกิดโทษ เมอ่ื ไดนิมิตแลวพึงกลับมาน่งั นึกถงึ ภาพอสภุ ะนน้ั ในท่อี ยูใหแจมชดั ใน
หวงนกึ ยิ่งข้ึน.
๒. ไปนําเอาอสุภะที่พอนาํ มาได ประดษิ ฐานไวในท่อี ันสมควรแลว เพง พจิ ารณาใหเกดิ ภาพ
ติดตา นึกเห็นไดโ ดยนยั ขอ ๑.
๓. นึกหมายภาพอสภุ ะขน้ึ ในใจ ใหปรากฏเปน ภาพท่ีนาเบอื่ หนายในหวงนึกของตวั เอง
โดยทไ่ี มต อ งไปดอู สุภะก็ได.
เมอ่ื จะเจริญกรรมฐาน พงึ ปฏิบตั ิตนโดยนยั ทีก่ ลา วไวใ นเร่ืองกสิณ.
อนุสสติ คอื การนึกถึงบคุ คลและธรรม หรอื ความจริงอันจะกอใหเกดิ ความเล่ือมใส ความ
ซาบซ้งึ เหตผุ ล หรือความสงบใจอนั ใดอนั หนงึ่ เปนอบุ ายวธิ ที พี่ ระผมู ีพระภาคเจา ทรงวางไวให
สาธุชนทวั่ ไปท้งั บรรพชติ ท้ังคฤหัสถ ก็ปฏิบัติไดสะดวก แมจ ะมีภารกจิ ในการครองชพี หรือธุรกิจ
ของหมูคณะ ของพระศาสนาลน มอื ก็อาจปฏบิ ตั ิได เพราะเปน อารมณทหี่ าไดง า ยสะดวกสบาย
และทาํ ไดในทีแ่ ทบทกุ แหง ทง้ั ในบาน ทงั้ ในปา ท้ังในทีช่ ุมชน เวนอานาปานสติขอ เดยี วท่จี าํ ตองทํา
ในท่ีสงัดเงยี บ ปลอดโปรง จึงจะสําเรจ็ ผล อนุสสติ มี ๑๐ ประการ คือ
๑. พทุ ธานสุ สติ นกึ ถงึ พระพุทธเจา คอื บุคคลผหู นึง่ ซ่ึงเปน อจั ฉรยิ มนุษย เปนผูม ีคุณธรรม
สงู สุดนาอศั จรรย และนาเคารพบูชา เปน พระบรมศาสดาผชู ม้ี รรคาแหงความพน ทกุ ขแกเ วไนย
นกิ ร เปนผูสอ งโลกใหส วาง ฯลฯ ใหน กึ ดว ยความเลอ่ื มใสไปในพระพทุ ธคณุ ตา งๆ ตามทต่ี นไดส ดบั
มา โดยเฉพาะทข่ี นึ้ ใจกค็ ือพุทธคณุ ๙ บท มี อรหํ เปนตน บทใดบทหน่งึ หรือทั้งหมด.
๒. ธมั มานุสสติ นึกถงึ พระธรรม คอื สภาวะทีจ่ รงิ แท อันพระบรมศาสดาทรงคนพบ แลว
นํามาบัญญัติส่ังสอน เปน ภาวะละเอียดประณีต ดาํ รงความจริงของตนยง่ั ยืน ไมเ ปล่ยี นแปลง เปน
สภาวะที่เทีย่ งธรรมไมเ ขา ใครออกใคร ใครปฏิบตั ิผดิ ธรรม ก็ไดรับโทษเปน ทกุ ข ใครปฏิบตั ิถูกธรรม

ทพิ ยอาํ นาจ ๔๑

กไ็ ดรับอานสิ งสเ ปน สขุ เปน เชนนี้ทุกกาลสมัย ไมม ีใครเปลย่ี นแปลงหรือลบลา งความจรงิ อนั นไี้ ด
ฯลฯ โดยเฉพาะแลว พงึ นึกไปตามพระธรรมคุณ อันเปนทข่ี ึ้นใจ ๖ บท มี สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม
เปน ตน บทใดบทหน่ึงหรือทง้ั หมด.

๓. สังฆานสุ สติ นึกถึงพระสงฆ คือชนหมูหนง่ึ ซึง่ เปน พระสาวกของพระผมู พี ระภาคเจา
เปนผทู ป่ี ฏบิ ัติตามแบบแผนสิกขาสาชพี ของสมณะทพี่ ระบรมศาสดาทรงบญั ญตั ไิ วเ ปนอยา งดี ถงึ
ความเปน สกั ขพี ยานของพระบรมศาสดาจารยในธรรมทีท่ รงบญั ญตั ไิ ว คอื เปนผปู ฏิบตั ิตามได และ
ประจักษผลสมจริงตามที่ทรงบัญญตั ิไวน ้ัน มอี ยู ๔ จําพวก คือ (๑.) พระโสดาบัน (๒.) พระ
สกิทาคามี (๓.) พระอนาคามี (๔.) พระอรหันต เปน บคุ คลที่นา กราบไหวเคารพสักการบูชา เปน
นาบุญของชาวโลก ฯลฯ โดยเฉพาะพึงนึกไปตามคณุ บทของพระสงฆ ๙ บท มี สุปฏิปนโฺ น ภควโต
สาวกสงโฺ ฆ เปน ตน บทใดบทหนึ่งหรอื ท้ังหมดกไ็ ด.

๔. สีลานสุ สติ นกึ ถึงศลี คอื คณุ ชาติอนั หนง่ึ ซ่ึงมลี ักษณะทาํ ใจใหเ ปนปกติ-ใหเ ยน็ -ใหไ ม
เดือดรอ นกินแหนงใจ และควบคมุ ความประพฤติทางกาย ทางวาจาใหป ราศจากโทษ แผค วามสงบ
สุข-ความรมเย็นไปยังผอู น่ื -สัตวอ ื่นๆ ทั่วไป แลวนึกถึงศลี ของตนที่ตนไดปฏบิ ตั ิรักษาอยูนั้นวา
ปฏบิ ัติรกั ษาไดด เี พียงไร.

๕. จาคานสุ สติ นึกถงึ ทานบริจาค คอื คุณชาตอิ ันหนงึ่ ซง่ึ มลี ักษณะทาํ ใจใหก วา งขวาง-ให
เกิดเมตตากรณุ า-ใหกลาสละของรักของหวงแหนเพือ่ ประโยชน เปน คณุ ชาตทิ ค่ี า้ํ ชูโลกใหดาํ รงอยู
ในสันตภิ าพ-สนั ติสุข โลกดาํ รงความเปนโลกที่มสี ขุ พอสมควร ดวยอํานาจความเสยี สละของบคุ คล
แตละบคุ คลพอสมควร หากโลกขาดทานบริจาคคํา้ จนุ โลกจะถึงความปนปวนและลมจม ชวี ิตของ
มนุษยแ ตละชีวิตท่เี ปน มาได ก็ดวยอาํ นาจทานบริจาคของบิดามารดาหรอื ผอู ุปถมั ภ ไมมีชวี ิตใดท่ี
ปราศจากการอุปถัมภอุมชขู องผูม ีเมตตาแลว ดํารงอยูได แลวพึงนึกถงึ ทานบรจิ าคของตนเองวา ตน
ไดสาํ นกึ ในคณุ ทานบริจาคและไดท ําทานบรจิ าคมาแลวอยา งไรบาง.

๖. เทวตานุสสติ นึกถึงเทวดา หรือบคุ คลผทู าํ ความดีดวยกาย-วาจา-ใจ แลวอบุ ตั ิข้ึนใน
สวรรค ถึงความเปนผูบรบิ รู ณดว ยกามคณุ อนั เปน ทิพย เลิศกวา ประณตี กวา กามคณุ อนั เปนของ
มนษุ ย แลว นึกถงึ คุณธรรมทีอ่ าํ นวยผลใหไ ปเกดิ ในสวรรค มีศรัทธาความเชอ่ื กรรมวา ทําดีไดด ี ทํา
ชว่ั ไดชว่ั เปนตน แลว นึกเปรยี บเทียบตนกับเทวดาวามีคุณธรรมเหมอื นกันหรอื ไม.

๗. อุปสมานสุ สติ นึกถงึ พระนพิ พาน คอื ธรรมชาติอันสงบประณตี อนั หน่งึ ซึง่ เม่ือถงึ เขา
แลว ยอ มหมดทุกข-หมดโศก-หมดโรค-หมดภัย มใี จปลอดโปรงเย็นสบาย หมดความวุนวาย-
กระเสอื กกระสนทรุ นทุราย ตัดกระแสวงกลมไดขาดสะบัน้ ไมตองหมุนไปในคตกิ าํ เนดิ เกิดแกตาย
อกี เลย. ธรรมชาตินัน้ พระบรมศาสดาทรงคนพบดวยพระองคเอง แลว นํามาบญั ญตั เิ ปด เผยให
ปรากฏขนึ้ และบอกแนวทางปฏบิ ตั ิไวเปนอยางดี เพือ่ ใหเขา ถึงธรรมชาตนิ ั้น.

ธรรมชาติน้ันเปน อมตะ-มสี ุข-สนิ้ สดุ ซ่ึงเปน สง่ิ ตรงกันขามกบั โลก โลกมีลกั ษณะทเี่ รียกวา
“ตาย” คือความแตก-ขาด-ทําลาย เปนลกั ษณะประจําตัว โลกมีลกั ษณะทเ่ี รียกวา “ทุกข” คือ
ความลาํ บาก-คบั แคนบีบค้นั เปนลกั ษณะประจําตวั โลกมลี ักษณะที่เรียกวา “ไมแ น” คือมคี วาม
เปลย่ี นแปลง ไมส ้ินสุด-ไมหยุดยง้ั เปนลกั ษณะประจาํ ตวั โลกเปนดานนอก พระนิพพานเปนดา น

ทพิ ยอาํ นาจ ๔๒

ใน คนสามญั มองเห็นแตด า นนอกไมมองดานใน จึงไมไ ดค วามเย็นใจ เมอื่ ใดบุคคลมามองดา นใน
ศกึ ษาสําเหนียกดวยดี พินิจดว ยปญ ญาอนั บริสทุ ธิแ์ ลว เมอื่ น้นั เขาจะพบเห็นธรรมชาติอันปราศจาก
ทุกข คือ พระนิพพาน.

ในท่ีใดมีทกุ ข ความสนิ้ ทุกขก จ็ ะตอ งมใี นทนี่ ้ัน ก็ในทใ่ี ดมีความรมุ รอน ความส้ินแหง ความ
รุมรอ นจะตอ งมีในที่น้นั ความยอ คือเมือ่ มีรอ นก็ยอ มมเี ย็นแก มีมดื กย็ อ มมสี วา งแก เมอ่ื มีทกุ ขก็
จะตอ งมีสขุ แกเปน แท.

การนึกถงึ พระนพิ พานโดยบดั นกี้ ็ดี โดยนยั ทีต่ นไดศ ึกษาเลาเรยี นมาจากตําราแบบแผนก็ดี
จกั เปนอบุ ายทาํ ใจใหส งบเย็นลงได.

๘. มรณานุสสติ นกึ ถงึ ความตาย คอื สภาวะที่จริงแทอนั หนึง่ ซ่ึงเมอ่ื มาสชู วี ติ แลว ทาํ ให
ชีวติ ขาดสะบัน้ ลง แตกอนเคยไปมาได ด่ืมกินได นงั่ นอนได ทํากจิ ตา งๆ ได หัวเราะและรองไหไ ด
คร้ันมรณะมาถงึ แลว กิริยาอาการเหลานั้นยอมอันตรธานไปทันที มรณะน้ีมีอํานาจใหญย่งิ ท่ีสดุ ไม
มมี นษุ ยคนใดเอาชนะมนั ได นกั วิทยาศาสตรท เ่ี กงที่สดุ กย็ งั ไมสามารถเอาชนะมันได พระบรมครู
ของเราไดร ับยกยองวา เปนยอดปราชญม อี าํ นาจใหญย งิ่ กวา เทวาและมนุษยหลายเทา พนั สว น ทรง
ยนื ยนั พระองคว า “บรรลุถึงธรรมอันไมตาย” ก็ยงั ทรงตอ งทอดทง้ิ พระสรีรกายไวใ นโลก ใหเ ปน
ภาระแกพ ุทธบริษทั จัดการถวายพระเพลิง มพี ระบรมธาตเุ ปน สักขีพยานอยใู นปจจบุ ันน้ี. ใครเลา
ที่ไมตองตาย? ตลอดกาลอนั ยืดยาวนานของโลกน้ี มีคนเกิดคนตายสืบเน่ืองกันมาจนนับประมาณ
ไมถ ว นแลว มใี ครบา งซง่ึ เกดิ แตแ รกมีมนุษยใ นโลกยง่ั ยนื มาจนถงึ บัดน.ี้

อนึ่ง ความตายน้ี จะมาสชู วี ิตของบคุ คลโดยไมมนี มิ ิตบอกเหตุลว งหนา ดว ย ไมมใี ครกาํ หนด
รูวนั เวลาตายของตนไดล วงหนานานๆ ท่ีจะไดมีเวลาเตรยี มตัว และกะการงานใหทนั กาํ หนด
ฉะนนั้ จึงไมค วรวางใจในชวี ิต กจิ ใดที่ควรทํา ควรรบี ทํากจิ นน้ั เสยี อยา ผดั วนั ประกนั พรงุ .

การนกึ ถึงความตายแลว เกิดใจฝอ หมดเยือ่ ใยในชีวติ ไมอยากจะทาํ กิจอะไร งอมืองอเทา
รอคอยความตายเชนน้ี ไมสําเร็จประโยชน เปนการคิดผดิ พงึ กลบั ความคดิ เสยี ใหม พึงนกึ ถึงความ
ตายแลว เตือนสตติ นใหต่ืนตัวขึ้น ไมป ระมาทหลับใหลอยู รีบทํากรณียท ีค่ วรทําใหทนั เวลา รีบ
พากเพียรชาํ ระลางจิตใจของตนใหส ะอาด ปราศจากกิเลส กอ นความตายมาถงึ ดงั นี้จงึ จะสําเร็จ
ประโยชนตามความประสงคของกรรมฐานบทน.ี้

๙. กายคตาสติ นกึ ถึงสิ่งเปนกาย คือสวนหนึง่ ๆ ซึง่ ประกอบกันขน้ึ เปน อตั ภาพรางกาย ท่ี
เรียกวา อาการ ๓๒ ไดแก ผม ขน เล็บ ฟน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดกู มาม หัวใจ ตับ
พงั ผดื ไต ปอด ไสใ หญ ไสนอ ย อาหารใหม อาหารเกา ดี เสลด หนอง เลือด เหงอื่ มนั ขน นํา้ ตา
มันเหลว นาํ้ ลาย น้ํามกู ไขขอ มตู ร สมอง๑ นึกถึงสิง่ เหลาน้แี ตล ะสว นๆ โดย วณฺโณ-สี คนโฺ ธ-กล่ิน
รโส-รส โอโช-โอชะ สณฺฐาโน-สัณฐาน ใหป รากฏชัดเจนแกใจ.

ขน้ั แรกพงึ ทองจาํ อาการ ๓๒ น้ีใหแ มนยํา วาไดท ้ังตามลาํ ดบั ทง้ั ทวนลาํ ดับ ขนั้ สอง
สาํ เหนยี กลักษณะของอาการ ๓๒ น้ันแตล ะส่ิง โดยสี กล่นิ รส โอชะ สัณฐาน ขั้นสามพึงดขู องจรงิ
..........................................................................................................................................................

๑. บางอาจารยวา เย่ือในสมอง.

ทิพยอาํ นาจ ๔๓

ใหเ หน็ ดว ยตาแมสกั อยา งหนง่ึ พอใหเ ปน ภาพตดิ ตาไวบาง ข้นั ส่ีทําการนกึ ถึงอาการ ๓๒ นีท้ ัง้ หมด
ไปตามลาํ ดับ แลว ทวนกลบั หลายๆ เท่ียว ข้นั หาเมอื่ อาการใดใน ๓๒ น้ันปรากฏชดั เจนแกใจ ที่สดุ
พึงถือเอาอาการนน้ั ทาํ การนึกเหน็ ใหมากติดตอ เรือ่ ยๆ จนเกดิ เปนภาพชัดเจนทสี่ ดุ ขยายใหใหญ
ใหมากไดต ามตองการ ชอื่ วา สาํ เร็จกายคตาสติแลว .

กายคตาสติน้ี พระผมู ีพระภาคทรงพรรณนาอานิสงสไวมากมาย มอี ํานวยผลใหสาํ เร็จ
อภญิ ญา ๖ ปฏสิ ัมภทิ า ๔ เปนตน .

๑๐. อานาปานสติ นกึ ถงึ ลมหายใจเขา ออก คอื สภาพปรุงแตงกายใหด าํ รงสืบตอไปได
เมือ่ ใดสภาพนหี้ ยุดชะงกั ไป ไมทาํ การสบื ตอ เมอ่ื นน้ั ชวี ติ ก็ขาด ท่ีเรียกวาตาย วญิ ญาณธาตุอนั
อาศัยอยูใ นรา งกายกอ็ อกจากรางไป นว้ี า โดยลกั ษณะสามญั สว นลกั ษณะพเิ ศษนน้ั อาการไม
หายใจยอ มมไี ดแกบุคคล (๑.) ผูอยูในครรภมารดา (๒.) ผูดํานาํ้ (๓.) ผสู ลบชนดิ หนึ่ง และ (๔.) ผู
เขาจตตุ ถฌาน ในเวลาปกตยิ อมตอ งมอี าการหายใจ คือ สดู ลมเขา สูรา งกาย ผายลมออกจาก
รางกายเสมอ แมใ นเวลาหลับ สภาพปรงุ แตง กายนีก้ ท็ ําหนา ที่อยูเรื่อยๆ ไป.

วิธปี ฏิบัติในกรรมฐานบทนี้ พงึ อยูในปา ในรมไม หรือในท่ีวาง ซงึ่ เปนท่สี งดั อากาศโปรงเย็น
สบาย อาบนาํ้ ชําระกายใหสะอาด นุงหมผาสะอาด ปราศจากกลนิ่ เหมน็ สาบ นง่ั ในทา ท่ีเรยี กวา
บัลลังก ตั้งกายใหต รง ดาํ รงสติใหม นั่ กาํ หนดลมหายใจเขา-ออก อันเปนไปอยูโดยปกติน้ันใหรทู ัน
ท้ังเวลาลมเขา เวลาลมออก แลวกาํ หนดระยะเวลาลมเขาออกสัน้ ยาวใหร ูทัน ตอ น้ันกําหนดท่ีทีล่ ม
สมั ผสั คอื ตนลมสมั ผสั ทีป่ ลายจมกู กลางลมสัมผสั ทที่ รวงอก ปลายลมสมั ผัสทต่ี รงสะดือ ในเวลา
ลมออกตรงกันขามกบั ท่กี ลาวมานี้ คอื ทวนลาํ ดบั ออกไป ในระยะแรกๆ สติจะปรากฏประหนึ่งวา
แลนไปตามอาการของลมเขาลมออก แตเม่อื ทําไปนานๆ ในระยะตอๆ ไปสตจิ ะใหญโ ตครอบคลมุ
รางกายแมทงั้ หมดไว จะไมมีอาการแลนตามอาการอกี ตอ ไป และลมหายใจกจ็ ะปรากฏละเอยี ด
เขาทกุ ที จนปรากฏวาไมม ใี นท่ีสดุ จะเหน็ วา ลมปรงุ กายซา นอยูทั่วทุกสวน แมก ระทัง่ ปลายเสนขน
เมื่อมาถึงขน้ั นีช้ อื่ วาไดผลในการเจริญอานาปานสตกิ รรมฐานขนั้ ตนแลว พึงเจริญใหแคลวคลอง
เชยี่ วชาญตอ ไป.

อานาปานสตกิ รรมฐานนี้ สามารถตดั กระแสวติ กไดดี เหมาะสําหรบั คนวติ กจรติ คอื คน
ชอบคิดชอบนึก เปน กรรมฐานสุขุม ประณตี เหมาะสาํ หรบั มหาบุรุษ พระบรมศาสดาทรงบําเพ็ญ
กรรมฐานขอ น้มี าก เวลาทรงพกั ผอ น ท่เี รยี ก “ปฏิสลั ลนี วิหาร” ก็ทรงอยดู ว ยอานาปานสตสิ มาธิ
วิหารเสมอ ทรงแสดงอานสิ งสข องกรรมฐานบทน้ีไวมากมายวา กายก็ไมล าํ บาก จักษกุ ไ็ มล าํ บาก
จิตกพ็ น จากอาสวะ ละความคิดเกีย่ วกบั เสยี งทเ่ี คยชินได กาํ หนดนาเกลียดในสง่ิ ไมนาเกลียดได
กําหนดไมน าเกลียดในส่ิงนาเกลยี ดได กําหนดนา เกลียดไดทั้งในสิ่งไมน า เกลยี ด ทงั้ ในสง่ิ ไมน า
เกลยี ด กําหนดไมนา เกลยี ดไดทั้งในสงิ่ นาเกลียด ทั้งในส่งิ ไมน า เกลียด ไดฌานสมบัตโิ ดยไมย าก
ตงั้ แตฌานที่ ๑ ถงึ สัญญาเวทยิตนิโรธ กาํ หนดรูเวทนาไดด ี ไดบรรลอุ รหัตตผล หรอื อนาคามีใน
ปจ จบุ ัน ฯลฯ.

อาหารเรปฏกิ ลู สญั ญา กําหนดความนา เกลียดในอาหาร สง่ิ ที่เรานํามากลนื กินเขา ไปบํารุง
เล้ยี งรางกายเรียกวา อาหาร โดยปกติเปน ส่ิงที่เราไมเกลียด ถา รสู ึกเกลียดข้นึ เมอ่ื ไร ก็จะกลืนเขาไป

ทพิ ยอํานาจ ๔๔

ไมไดเมื่อนัน้ ส่ิงท่เี ราไมเ กลียดนั้นเปนเคร่ืองสองใหร ูวา เรามฉี ันทะราคะในสิ่งนน้ั อยแู ลว อาหาร
ที่เราพอใจเราก็จะอยาก เมอื่ ความอยากรุนแรงกก็ อ เกดิ ความโลภและทุจริตเปน ลาํ ดับไป อาหาร
เปนสิง่ ทีเ่ ราตอ งกินทุกวัน ถา เราไมพจิ ารณาใหดีกจ็ ะเปนปากทางใหบ าปอกุศลไหลเขาตัวเราทุกวัน
ฉะนั้นจึงควรกาํ หนดความนา เกลยี ดในอาหาร เพ่อื ตดั ตนเหตแุ หงบาปอกศุ ลเหมอื นตดั ตนไฟแตหวั
ลมฉะนน้ั ทีจ่ ะเหน็ ความนาเกลยี ดของอาหารได ตองกําหนดเทยี บเคียงเวลาทั้งสอง คือเวลาเขา
กบั เวลาออก ไดแกเวลากนิ กบั เวลาถาย เวลากนิ รวมหมูก นั กนิ ได เวลาถายจะทําเชนนั้นไมได นา
เกลยี ด ฯลฯ พงึ เพง ดอู าหารท่ีระคนอยใู นภาชนะเทยี บกับอาหารเกาในทอ ง และในเวจกฎุ วี า มี
สภาพเหมือนกันหรอื คลา ยคลงึ กัน แตนน้ั ก็จะเกดิ ปฏิกลู สญั ญาขึน้ แทบจะกลนื กนิ อาหารนั้นไมไ ด
แตตอ งขืนใจกินดว ยนกึ เพียงวา เปนเคร่ืองยงั ชพี ใหสืบตอไป โดยนยั นี้ความอยากความติดรส
อาหาร ความโลภอาหารและความทุจริตเนอื่ งดวยอาหารกจ็ ะบรรเทาเบาบางลง และหายไปโดย
ลาํ ดบั จิตใจยอ มสงบระงบั ไมด ิน้ รน จดั วา ไดผ ลในกรรมฐานขอนีใ้ นข้ันตนแลว พึงเจรญิ ใหมาก ให
ชํานิชํานาญสืบไป.

จตุธาตุววัตถาน กาํ หนดธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุนาํ้ ธาตไุ ฟ ธาตุลม อันมีอยใู นกายของตน
โดยกาํ หนดเอาวา สงิ่ ทีม่ ีลักษณะแขนแข็งในรางกายรวมเปน ธาตุดนิ สิ่งทมี่ ีลักษณะเอบิ อาบซึม
ซาบไหลไปมาไดใ นรางกายรวมเปนธาตนุ ํ้า ส่งิ ท่ีมลี ักษณะรอนอบอนุ ในรา งกายรวมเปนธาตไุ ฟ
ส่งิ ท่ีมลี ักษณะพดั ไปมาในรางกายรวมเปนธาตลุ ม กาํ หนดใหม องเห็นส่ิงน้นั ๆ ชัดเจน จนเห็นชัดใน
ใจวา กายนเี้ ตม็ ไปดวยธาตุท้ัง ๔ หรือเปนกลมุ ธาตุท้ัง ๔ แลวกําหนดส่งิ ทมี่ ลี ักษณะเปนธาตุดิน
น้ํา ไฟ ลม ในภายนอก ทม่ี าสัมผัสเขา กบั กายน้ี หรือทีเ่ ราตองกนิ ดมื่ ใชสอยอยูท ุกวันนั้นวา เปนแต
ธาตุทัง้ สิ้น จนเหน็ ชัดขึ้นในใจวา “ธาตกุ ินธาตุ” เม่ือใด เมือ่ น้ันช่อื วา ปฏบิ ัติกรรมฐานนี้สาํ เรจ็ ผล
ในขัน้ ตน แลว พงึ ปฏิบตั ใิ หช ํานิชาํ นาญตอ ไป.

พรหมวหิ าร อยอู ยา งพรหม บุคคลจําพวกหน่ึงซ่งึ ทําความดแี ลว ไดอุบตั ิในพรหมโลก
เรียกวาพรหม พรหมนัน้ มีใจสะอาด น่มิ นวล ออนโยน ควบคมุ ใจไวในอํานาจไดดี มคี ุณธรรม
ประจาํ ใจ ๔ ประการ คือ เมตตา กรณุ า มุทิตา และอุเบกขา ธรรม ๔ ประการนีจ้ ึงไดน ามวา
“พรหมวหิ าร” การอบรมใจโดยยึดเอาลกั ษณะของพรหมเปน ตัวอยา ง และปลกู ธรรม ๔ ประการ
น้ันขึ้นในใจของตน ทาํ ตนใหเ หมือนพรหม เรียกวาเจริญพรหมวิหาร พึงเจรญิ ไปตามลาํ ดบั ขอธรรม
๔ ประการ คอื

๑. เมตตา ความรกั ที่บริสุทธ์ิ มีลกั ษณะมงุ ดี หวงั ดี ตรงกันขามกบั ความขึ้งเคียดเกลียดชัง
และเปน ความรกั ท่ีปราศจากกามราคะ (คือความกาํ หนดั ) เปนชนิดความรกั ระหวางมารดาบิดากับ
บตุ รธิดา.

๒. กรุณา ความเอ็นดู มีลักษณะทนดูดายไมไ ด พอใจชวยเหลือเก้อื กลู ใหเ ขาไดร ับสุข โดย
ไมเ หน็ แกเหนื่อยยากและส่งิ ตอบแทน ตรงกันขา มกับความพยาบาทมาดรา ย.

๓. มทุ ติ า ความช่ืนใจ มีลกั ษณะราเริงช่ืนบาน พลอยมีสวนในความสขุ ความเจรญิ ของ
ผูอื่น ตรงกนั ขามกับความริษยา ซึง่ ไมอ ยากใหใครไดดมี สี ขุ กวา ตนหรอื เทา เทยี มตน.

ทพิ ยอํานาจ ๔๕

๔. อุเบกขา ความเทีย่ งธรรม มลี ักษณะเปน ผใู หญใ จหนักแนน รจู ักส่งิ เปน ได-เปนไมได ดี
แลว มองเห็นความเปนไปตามกรรมของสัตวแจง ชัดในใจ ควรชวยก็ชว ย ไมควรชว ยก็ไมชว ย เปน
ผูรจู กั ประมาณ ทําใหค ุณธรรม ๓ ขอ ขา งตนสมดลุ กันดวย ใจจะสงบเยน็ ดวยคณุ ธรรมขอ นีอ้ ยา ง
มากทีเดยี ว จึงสามารถขมกามราคะไดอ ยางด.ี

วธิ ีปฏบิ ตั ิ ปลกู คุณธรรม ๔ ประการนข้ี ึน้ ในใจทลี ะขอกอ น ทาํ ใจใหมลี กั ษณะตาม
คณุ ธรรม ๔ ประการนีท้ ีละขอ แลว แผน ํา้ ใจเชน นั้นไปยังผอู ื่น ต้ังตน แตค นทีเ่ รารักอยูแลว (เวน คน
ตางเพศกัน) ไป คนท่เี ปนกลาง – คนท่ีเกลียดชัง – คนทั่วไป – สตั วท่ัวไปตลอดสากลโลกทุกทศิ
ทุกทาง เมอ่ื ปฏบิ ัตไิ ดถึงขั้นน้ีช่ือวาสําเร็จอปั ปมัญญาเจโตวมิ ตุ ติ ใจจะมีอทิ ธพิ ลเกิดคาดหมาย
กาํ จัดศัตรูภาพไดด ี กรณุ าพละกาํ จัดทารุณภาพไดด ี มุทิตาพละกาํ จดั ความทุกขโ ศกของผูอ่ืนไดดี
อุเบกขาพละกาํ จดั กามราคะในเพศตรงกนั ขามไดดี สตรีกบั บุรษุ ผูม ีอเุ บกขาพละจะเปน มติ รสนิท
สนมกนั ได โดยไมละเมิดอธิปไตยของกันและกนั .

อรปู กรรมฐาน คอื สง่ิ มิใชรปู เปนนามธรรมทปี่ รากฏแกใจ หรือทร่ี สู กึ ไดดวยใจ ทา นให
นาํ มาเปน บทบริกรรม คือเปน ขออบรมจติ ใหสงบ มี ๔ ประการ คือ

๑. อากาศ ไดแกความเว้ิงวา ง-วางเปลา -ปลอดโปรง-ไมมีท่สี ิน้ สุด-ไมต ิดขดั ไมอ าจมองเห็น
ไดด ว ยตาเนื้อ และไมอาจสมั ผสั ไดด วยกาย ส่งิ ที่เห็นไดห รือสัมผสั ไดในอากาศนัน้ เปน อากาสธาตุ
คือธาตุในอากาศ เชน กอนเมฆ หรือละอองนํ้า ฯลฯ

๒. วิญญาณ ในที่นไี้ ดแกธ าตุรู ซึง่ เปน ธาตุวิเศษศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ มรี ูเปนลกั ษณะ ประกอบดวย
แสงสคี ลายเปลวไฟฉะนนั้ ธรรมดาเปลวไฟยอมมีความรอ นเปน ลกั ษณะ ประกอบดว ยแสง-สี คอื มี
แสงสวา งสีตางๆ ฉนั ใด วญิ ญาณก็มี “ร”ู เปนลักษณะ ประกอบดว ยแสง-สี คือมแี สงสวาง สตี างๆ
ฉนั น้ัน วญิ ญาณท่ยี ังมสี ี เปนวญิ ญาณที่ยังไมบ ริสุทธ์ิ วญิ ญาณที่ปราศจากสี เปนวญิ ญาณที่
บรสิ ทุ ธ์ิ ซงึ่ มลี กั ษณะใสบรสิ ุทธิ์ดุจแกวมณีโชติ.

๓. ความไมมีอะไร ไดแ กความโปรงใจ ปราศจากความอึดอดั -ความคบั แคน-ความราํ คาญ
เหมือนหนึง่ ตนคนเดียวอยโู ดดเดย่ี วในสญุ ญวิมาน ฉะน้นั .

๔. ความสงบ ความประณตี ไดแกค วามดาํ รงมั่นคงของจติ ละเอียดออน ประณีต
สละสลวย ไมเปนคล่ืนระลอก กระฉอกกระฉอ นวูบวาบ.

วิธีปฏิบตั ิ วางสญั ญาในอารมณตางๆ ทัง้ ท่ีเปนรูปและอรูปเสีย กําหนดจติ ใหอยูในอารมณ
อันเดียว คือ อรปู กรรมฐานนี้อันใดอันหนงึ่ เม่ือวางสญั ญาในอารมณต า งๆ ได และจติ กาํ หนดจด
จอ อยูแตอ ารมณอันเดียวน้ีได แมจ ะดาํ รงอยูไดเ พยี งชั่วขณะหนง่ึ ก็ชอ่ื วาสาํ เร็จอรูปฌานนแี้ ลว พึง
ฝกหัดใหเชี่ยวชาญชํานาญยงิ่ ขึ้นไป.

อรปู ฌานน้ี เปน ฌานประณตี โดยอารมณ เรียกชอื่ เชนน้ีตามอารมณท เี่ ปนอรูปเทานั้น
เขาใจกนั โดยมากวา ผูจะเจรญิ อรปู ฌานนีไ้ ดจะตอ งเจริญรูปฌานสําเรจ็ มากอ น ความจรงิ อรูป
กรรมฐานน้ี เปน อารมณของสมถะชนิดหนง่ึ แตเปนอารมณละเอียดประณีตกวารูปกรรมฐาน
เทานั้น เม่อื เปนเชนนี้ จะจับตงั้ ตน เจรญิ อรปู กรรมฐานทีเดยี วก็ยอ มจะได เปนแตทําไดยากสกั
หนอ ย ไมเ หมอื นผูเ คยผานรูปกรรมฐานมากอ น.

ทพิ ยอํานาจ ๔๖

ความแปลกกันแหงอากาสกสณิ กบั อากาสฌาน นอี้ ยทู ีอ่ ากาสกสณิ เพง วงกลมอากาศ พงุ
ออกไปขางนอก สว นอากาสฌานเพง อากาศโดยไมกาํ หนดขางหนาขา งหลงั วางจิตเปน กลาง ใสใ จ
แตอ ากาศอยางเดยี ว เม่ือจติ สงบกจ็ ะเหน็ มีแตอากาศเวง้ิ วา ง ไมม ขี อบเขตจาํ กัด ไมม อี ะไรซ่งึ เปน
รูปธรรมปรากฏในความรูส กึ ในขณะน้ัน ปรากฏประหนึง่ วา ตนคนเดียวอยโู ดดเดยี่ วในนภากาศ
ฉะนั้น อรูปฌานนี้จะไวก ลา วพสิ ดารในบทขางหนา .

สมถกรรมฐาน ๔๐ ประการน้ี แยกออกเปน ๒ ประเภท คอื รปู กรรมฐาน และอรูป
กรรมฐาน ฌานทส่ี ําเร็จข้นึ โดยอาศัยรูปกรรมฐานเปนอารมณ เรยี กวารปู ฌาน ฌานทส่ี ําเร็จขนึ้
โดยอาศยั อรูปกรรมฐานเปนอารมณเรียกวา อรปู ฌาน.

และทานแบงออกโดยกจิ เปน ๒ ประเภทเหมอื นกัน คอื กรรมฐานทเี่ ปนอารมณช นิดใช
ความคดิ คํานึงใครค รวญเหตุผลเขาประกอบเพือ่ อบรมจติ ใหส งบน้นั ประเภทหนึง่ ผูบําเพ็ญสมถ-
กรรมฐานประเภทนเ้ี รยี กวา “วปิ สสนายานิก” ซ่ึงมคี วามหมายวา ผบู าํ เพญ็ ภาวนาทอ่ี าศยั
ความเหน็ เหตุผลหรือความจริงในกรรมฐานขอ นน้ั ชัดใจ เปน พาหนะนําจติ ไปสูความสงบ อกี
ประเภทหนงึ่ คอื กรรมฐานที่เปน อารมณสงบ-ประณตี โดยธรรมชาติ ไมตอ งใชความคิดคาํ นงึ
ใครครวญเหตุผลเขาประกอบ เพียงแตก ําหนดน่งิ สําเหนียกอยแู ตในอารมณเดียวนั้นเรอ่ื ยไปจนจติ
สงบลง ผูบาํ เพ็ญสมถกรรมฐานประเภทนี้ เรียกวา “สมถยานิก” ซึ่งมีความหมายวา ผูบําเพ็ญ
ภาวนาที่อาศยั ความสงบเปน ยานพาหนะนําจิตไปสคู วามสงบ ทา นจะเลอื กบาํ เพญ็ ประเภทไหนก็
แลว แตจรติ อธั ยาศยั ของทานจะเหมาะกับกรรมฐานประเภทไหนเปนประมาณ จะถอื เอาความยาก
งายเปนประมาณหาไดไ ม ฉะนน้ั กอนแตทา นจะเลือกกรรมฐานบทใดมาเปน บทบรกิ รรม คอื ขอ
อบรมจติ น้นั ควรตรวจจรติ อัธยาศัยของตนใหร ูแนชัดเสียกอ น ดังตอไปนี้.

จริต ๖

พระบรมศาสดาทรงจาํ แนกจริต คอื กเิ ลส และคณุ ธรรมทที่ องเที่ยวอยูในจติ ใจของบุคคล
ฝา ยละ ๓ รวมเปน ๖ ประการ คอื

๑. ราคจริต คนกาํ หนัดกลา มีราคะ คือความกาํ หนดั ในกามคุณทอ งเที่ยวอยูในจิตมาก
จนเปน เจาเรือน คอื ครองความเปนใหญใ นจิตใจ ดลใจใหกาํ หนัดในกามคุณมาก ติดพนั ในกามคณุ
จนถงึ ลุม หลงมวั เมา ราคะเปน ประดุจหนามยอกใจ การแกร าคะก็ตอ งใชวริ าคะ คอื หนามวิเศษ
เหมอื นหนามยอกก็เอาหนามบง ฉะน้ัน ราคะต้งั ลงท่ีกามคุณ คอื รูปสวยงามนารักนา ชนื่ ใจ, เสยี ง
ไพเราะ, กลนิ่ หอม, รสอรอ ย, สัมผสั นมุ ละเอยี ดออน ราคะทาํ ใหมองไมเ ห็นตําหนิที่นาเบ่อื หนา ย
ของกามคณุ ซ่งึ มอี ยโู ดยธรรมดาแลว วธิ ีแกจึงตองพลกิ เหลย่ี มขน้ึ มองดคู วามนาเบอ่ื หนา ยนา
เกลยี ดอันมอี ยใู นกามคุณนั้น ฉะน้ันกรรมฐานเนอื่ งดวย อสภุ ะ-ปฏิกลู จงึ เปน สัปปายะ คือเหมาะ
แกค นราคจรติ เปนไปเพ่ือความเจริญ แมปจจยั เลีย้ งชพี กต็ อ งเปน สง่ิ ปอนๆ-เศราหมอง-หยาบ จงึ
จะเปน ไปเพื่อถอนราคะออกจากใจได.

ทพิ ยอาํ นาจ ๔๗

๒. โทสจริต คนใจราย มีโทสะ คือความดรุ ายทองเทย่ี วอยูในจติ ใจมากจนเปน เจาเรือน
คอื ครองความเปน ใหญใ นจติ ใจ ดลใจใหด รุ าย กร้วิ โกรธ แมใ นเหตุเลก็ ๆ นอยๆ อันไมสมควรโกรธ
ก็โกรธ ประดจุ ผยี กั ษสงิ ใจฉะนน้ั ธรรมดาผียอ มกลัวเทวดาฉนั ใด อธรรมคือโทสะก็ยอ มพา ยแพแ ก
ธรรมฉนั น้นั ธรรมอันจัดเปนเครือ่ งแกโทสะน้นั ตองเปน ธรรมฝายเย็น สภุ าพ ออ นโยน จึงมี
ลักษณะตรงกนั ขามกบั โทสะ เมื่อโทสะซ่งึ เปรยี บเหมือนผียกั ษสิงใจอยู จงึ ควรเชญิ ธรรมซง้ึ เปรยี บ
เหมือนเทวดามาสิงใจแทนทเ่ี สีย เพราะธรรมดายกั ษย อ มกลัวเทวดาฉนั ใด ธรรมจะกาํ จดั อธรรม
ออกไปฉนั นัน้ ฉะนัน้ กรรมฐานอันเนือ่ งดว ยคุณธรรมฝายสงู เชน เมตตา กรณุ า ฯลฯ พุทธคณุ
ธรรมคณุ สังฆคณุ ฯลฯ จึงเปนสปั ปายะ คือ เหมาะแกค นมีโทสจริต เปนไปเพ่อื ความเจรญิ แม
ปจ จยั เลี้ยงชพี กต็ อ งเปน สิ่งสวยงาม-ประณีต-สขุ มุ จงึ จะเปนไปเพื่อถอนโทสะออกจากจติ ใจ.

๓. โมหจรติ คนหลง มีโมหะ คอื ความหลงทองเท่ียวอยใู นจติ ใจมากจนเปนเจาเรือน คือ
ครองความเปนใหญในจติ ใจมาก ดลใจใหม ดื มัว อ้ันตู ไมรจู กั ผิดชอบช่ัวดี แมม วี ัยผา นมานานควร
เปน วญิ ูชนไดแ ลว ก็ยังคงมีลักษณะนิสัยเหมือนเด็กๆ อยู และดลใจใหม องเห็นในแงที่ตรงกันขา ม
กับเหตผุ ลและความจริงเสมอ ประดุจกลีสงิ ใจฉะนน้ั กลี คอื ผีชนิดหน่ึง มีลกั ษณะมดื ดํา ทาํ ใหเปน
คนหลง คลัง่ เพอไปตา งๆ ปราศจากความรสู กึ ผิดชอบชั่วดใี นเมื่อมันเขา สงิ ใจ โมหะทานเปรียบ
เหมือนกลนี ้ัน ผีกลกี ลัวแสงสวา ง ฉะนน้ั การแกโ มหะจึงตองอาศัยธรรมะ ซงึ่ มลี ักษณะสวาง-
กระจางแจง เปนปจจัย เชน การอยูใ กลไ ดปรึกษาไตถ ามทา นผพู หูสูตเนอื งๆ ขอธรรมที่มเี หตผุ ล
กระจา งในตัว ไมมแี งชวนใหส งสัย กรรมฐานที่เหมาะแกคนจําพวกน้ี ตอ งเปนกรรมฐานท่ีเน่ือง
ดวยกสิณและอรูป ซ่งึ เปนอบุ ายเปด ใจใหส วาง แมปจ จยั เล้ยี งชีพก็ตองเปน ส่ิงโปรง บาง-เปด เผย-
สะดวก ทอ่ี ยูถ า เปน ท่ีโปรงๆ หรือกลางแจงเปน เหมาะทส่ี ุด.

๔. สัทธาจรติ คนเจาศรัทธา มศี รัทธาความเชื่อทอ งเทีย่ วอยูใ นจติ มากจนเปนเจา เรอื น คือ
ครองความเปนใหญในจิตใจ ดลใจใหเ ช่อื สิง่ ตา งๆ งายจนเกือบจะกลายเปนงมงายไป ความจริง
ศรทั ธาเปนคณุ ธรรม เมอ่ื มีอยูในใจยอมหนุนใหทําความดีไดง า ยเหมือนมีทนุ สํารองอยูแลว ยอม
สะดวกแกก ารคา หากําไรฉะนนั้ คนเจา ศรัทธาเปนคนใจบุญสนุ ทาน ชอบดี รักงาม ทาํ อะไรก็
ประณตี บรรจง เปน คนใจละเอยี ดออน บาํ เพญ็ กรรมฐานไดแทบทกุ อยาง แตทเ่ี หมาะทสี่ ุด คอื
อนุสสติ และกรรมฐานท่เี กยี่ วกับการคิดคน หาเหตผุ ล เชน จตธุ าตุววตั ถาน ฯลฯ.

๕. พทุ ธจิ รติ คนเจา ปญญา มีพทุ ธคิ อื ความรทู อ งเที่ยวอยใู นจติ มากจนเปนเจาเรอื น คือ
ครองความเปนใหญอ ยใู นจิตใจ ดลใจใหรูอะไรๆ ไดงา ยๆ จนเกอื บจะกลายเปนคนสรู ไู ป ความ
จริง พุทธิ เปนคณุ ธรรมนาํ ใหร ูเหตผุ ล และความจริงไดงาย คนจาํ พวกน้ีชอบทาํ อะไรๆ ดวยความรู
และก็มกั ผิดพลาดเพราะความรเู หมอื นกัน ฉะนั้น กรรมฐานอันเปนทส่ี ปั ปายะแกค นจาํ พวกนี้
ตอ งเปน กรรมฐานที่ประคับประคองจิตใจไปในเหตุผลทถ่ี ูกตอง ทาํ ใหป ญญามหี ลกั ฐานมัน่ คง เชน
อุปสมานุสสติ เปน ตน.

๖. วิตกั กจริต คนเจา ความคดิ มีวิตกั กะคอื ความคิดทองเท่ียวอยูในจติ ใจมากจนเปน เจา
เรอื น คอื ครองความเปนใหญในจิตใจ ดลใจใหค ิดใหอานอยเู ร่อื ย จนกลายเปนฟงุ ซานหรอื เลอ่ื น
ลอยไป ความจริงวติ กั กะเปน คุณธรรม เมือ่ มีอยูในใจยอมหนุนใหเปนคนชางคิดชา งนกึ ในเหตุผล

ทพิ ยอาํ นาจ ๔๘

และความจริงจากแงต างๆ เปนทางเรอื งปญ ญา แตถามากเกนิ ไปจะตกไปขา งฝา ยโมหะ กลายเปน
หลงทศิ ทางไปได ทเ่ี ขาเรียกวา “ความคิดตกเหว” ไมร จู กั แกไ ขตนออกจากความผิด ไดแ ตคิดเพอ
ไปทา เดยี ว กรรมฐานที่เหมาะแกคนจาํ พวกนต้ี อ งเปนกรรมฐานทไี่ มตอ งใชความคิด เชน กสณิ -
อรูป และทีเ่ หมาะทีส่ ดุ คอื อานาปานสติ.

จรติ ๑ – ๓ เปนอกุศลเจตสิก ๔ – ๖ เปนอัญญสมานาเจตสกิ ใกลไปขา งฝายกศุ ล คนมี
จรติ ๑ – ๓ เปน เจาเรือนจงึ มกั ทําความชวั่ ใหป รากฏ สว นคนมจี รติ ๔ – ๖ เปน เจาเรอื นจงึ มักทาํ
ความดีใหป รากฏ.

อัธยาศัย ๖

๑. โลภัชฌาสยะ คนมคี วามโลภเปนเจาเรอื น เปนคนมักได-ตระหน่ี-หวงแหน.
๒. โทสชั ฌาสยะ คนมีโทสะเปนเจาเรือน เปน คนดุราย โกรธงา ย ใจรอนเหมือนไฟ.
๓. โมหัชฌาสยะ คนมีโมหะเปนเจาเรอื น เปนคนหลงงายลมื งา ย ใจมดื มัว ซบเซา มึนซมึ .
๔. อโลภชั ฌาสยะ คนมีอโลภะเปนเจาเรอื น เปนคนใจบญุ สุนทาน เอื้ออารี มีใจพรอมท่จี ะ
สละเสมอ.
๕. อโทสชั ฌาสยะ คนมีอโทสะเปน เจาเรือน เปน คนใจด-ี เยอื กเย็น มีใจพรอ มท่ีจะใหอภัย
เสมอ.
๖. อโมหัชฌาสยะ คนมีอโมหะเปนเจา เรือน เปนคนใจผอ งแผว -เปดเผย มีใจปราศจาก
มายาสาไถย พรอ มท่ีจะรับผดิ อยางหนาชืน่ ใจบาน ในเม่อื ทําความผิด.
คนมีอัธยาศัยฝา ยอกุศล คือ ๑ – ๓ นน้ั เปนคนหยาบ มักทําความชวั่ หยาบทางกาย วาจา
ใจ ใหปรากฏ คนมีอธั ยาศยั ฝายกศุ ล คอื ๔ – ๖ นั้น เปนคนละเอยี ด ประณตี มกี ิเลสนอ ยเบาบาง
ในขนั ธสันดาน มกั ไมทําความชวั่ หยาบทางกาย วาจา ใจ ใหปรากฏ มีแตท าํ คุณงามความดีให
ปรากฏทางกาย วาจา ใจ เสมอ คนจําพวกนง้ี ายแกการอบรมศลี ธรรมในขั้นสูง ถา ไมประมาทและ
ไดกลั ยาณมิตรแลว อาจปฏิบตั บิ รรลมุ รรคผลนพิ พานในชาติปจจบุ ันไดงา ย.
เมอื่ รวมจริตและอัธยาศยั เขากนั แลว พเิ คราะหด ูกจ็ ะไดบคุ คล ๓ จาํ พวก คอื
(๑.) พวกจรติ อธั ยาศัยหยาบ อินทรยี ออน แนะนําในกศุ ลสัมมาปฏบิ ตั ยิ าก.
(๒.) พวกจริตอัธยาศัยปานกลาง อนิ ทรียป านกลาง อาจแนะนาํ ในกุศลสัมมาปฏิบัตไิ ด.
(๓.) พวกจริตอธั ยาศยั ประณตี อินทรยี กลา แนะนําในกุศลสัมมาปฏิบตั งิ าย.

ปธานยิ ังคะ ๕

เม่ือไดพ เิ คราะหดจู ริตอัธยาศัยแลว พึงพิเคราะหด ูอัตภาพวา สมบรู ณพ รอ ม เกิดมาจากกศุ ล
สมบตั หิ รือไม? เพราะถาอตั ภาพไมสมบรู ณพรอม ธาตไุ มแขง็ แรงเนอื่ งจากอกุศลสมบตั เิ ปนปจ จัย
ขืนไปทําความพากเพียรอยางขะมกั เขมน เขา เกิดเจบ็ ปว ยรา ยแรงถึงธาตุพกิ าร สตวิ ิปลาสข้นึ ก็จะ
ลงโทษขอ ปฏิบัติวาพาใหเ ปน เชนน้ัน เรือ่ งนไ้ี ดเ กิดเปน ขอ หวาดหว่ันแกสาธชุ นอยูมาก เลย
กลายเปน เครอ่ื งมือขูอ ยางดขี องมารไป ความจริงขอสมั มาปฏบิ ัตมิ แี ตใ หค ุณ ไมใหโ ทษเลย ผู

ทิพยอํานาจ ๔๙

ปฏิบัติตามขอ สัมมาปฏิบัตแิ ลวเกดิ เจบ็ ปว ยขึ้นน้ัน มิใชเ ปน เพราะขอปฏบิ ตั ิ เปนเพราะเหตุอื่น
ตางหาก เมือ่ ไดส อบสวนดตู ัวเองแลว เห็นวา สมบรู ณพรอม พอท่ีจะปฏิบัตพิ ากเพียรไดแ ลว ก็ไม
ควรจะหวาดหว่นั วา จะเปน บาเปนหลังไป นอกจากพเิ คราะหอตั ภาพแลว พึงพิเคราะหองคคณุ อนั
เปน ประธานและเปนกําลังหนนุ ในการปฏิบัติอกี ดว ย.

หลักทค่ี วรพจิ ารณานน้ั สมเด็จพระผูมพี ระภาคเจา ทรงวางไวแลว ดงั ตอ ไปน้ี
ภิกษทุ ง้ั หลาย องคคุณอนั เปนท่ีตัง้ แหงความเพยี ร มี ๕ ประการ คือ
๑. สทโฺ ธ โหติ สททฺ หติ ตถาคตสฺส โพธึ เปนผมู ีศรัทธาเช่อื พระปญ ญาตรัสรูของตถาคต =
เชอ่ื ความรูของคร.ู
๒. อปฺปาพาโธ โหติ อปฺปาตงฺโก สมเวปากินยิ า คหณยิ า สมนฺนาคโต เปนผมู ีอาพาธนอย
มคี วามเดือดรอนนอ ย ประกอบดวยธาตุในรา งกายอันสาํ เรจ็ มาแตว ิบากแหงกรรมสมา่ํ เสมอ ไมเย็น
เกินไป ไมร อ นเกินไป พอปานกลาง ทนทานตอการพากเพียร.
๓. อสโฐ โหติ อมายาวี เปน คนไมโ ออ วด ไมม มี ายา เปนผูเ ปด เผยตนตามเปนจริงในพระ
ศาสดา หรอื ในสพรหมจารีผวู ญิ ชู น.
๔. อารทธฺ วิริโย วิหรติ เปนผูพากเพยี รละอกศุ ล เจรญิ กศุ ล ขยันขันแข็ง บากบ่ันม่ันคง ไม
วางธุระในกุศลธรรม.
๕. ปญฺ วา โหติ เปน ผูม ีปญญา ประกอบดวยปญญาอันประเสริฐ ท่ีใหเ กดิ ความเบอ่ื
หนา ย เหน็ ความเกิด-ความตาย และใหถงึ ธรรมเปน ท่ีส้นิ ทกุ ขโดยชอบ.๑
เมื่อไดพิเคราะหต ามหลักนแี้ ลว เห็นวาตนเปนผูพ รงั่ พรอมเพอ่ื ปฏบิ ัติพากเพียรแลว พึง
เลอื กกรรมฐานอันเหมาะแกจริตอธั ยาศยั แลว แสวงหาทีป่ ระกอบความพากเพียรตอไป.

สปั ปายะ ๔

สถานทท่ี ีเ่ หมาะแกก ารพากเพยี รน้นั สมเดจ็ พระบรมศาสดาทรงแสดงไวห ลายปรยิ าย เม่ือ
ประมวลแลว ตอ งเปน ทซ่ี ง่ึ ประกอบดว ยสัปปายะ ๔ ประการ คอื

๑. อาวาสสัปปายะ ท่อี ยูเ หมาะสม คือที่ซงึ่ ตนมีอิสระทจี่ ะอยูไดสบาย กลางวันปราศจาก
คนพลุกพลาน กลางคืนเงียบสงดั ปราศจากกลิน่ ไอของมนษุ ย เปน ที่ท่ีอมนษุ ยไมหวงแหน หรอื
ยินดีใหอ ยูดว ยกันไดโดยปลอดภัย สตั วร ายเชนยุงไมชมุ พอทนได นาํ้ ใชนํา้ กินมอี ยูใกล หาไดงาย
โคจรคามไมใ กลเกนิ ไป และไมไ กลเกินไป มที างไปมาสะดวก มีพระเถระพหสู ูตซ่ึงอาจแกค วาม
สงสัยใหไ ด อยูใกลหรือยดู วยกนั ในท่ีนัน้ สะดวกแกการไตถามขอ สงสยั ขอ งใจ อากาศปลอดโปรง
ถูกกับธาตุ ทั้งอํานวยผลทางใจคอื โลง ใจ สงบใจไดง าย ไดอ บุ ายปญญาบอยๆ ชวนใหทาํ ความเพยี ร
และกเิ ลสไมฟุง.

๒. บุคคลสปั ปายะ บคุ คลเหมาะสม คอื ผูอยรู ว มกนั ก็ดี ผไู ปมาหาสชู ัว่ ครง้ั คราวก็ดี เปน ท่ี
ถกู อธั ยาศัยกนั สามารถเกื้อกูลกันในทางสัมมาปฏบิ ตั ิได อยา งต่าํ ๆ กต็ อ งไมเ ปนภยั แกก นั ทง้ั
..........................................................................................................................................................

๑. มาใน พระสตุ ตันตปฎก อังคุตตรนิกาย เลม ๒๒ หนา ๗๔.

ทพิ ยอาํ นาจ ๕๐


Click to View FlipBook Version