The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือทิพยอำนาจ

เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะอธิบายโพธิปักขิยธรรม ด้วยสำนวนและภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อประโยชน์แก่นักปฏิบัติ ผู้มีการศึกษาปริยัติธรรมน้อยจะได้อาศัยศึกษาและปฏิบัติ หนังสือได้กล่าวถึงเรื่องสมาธิวิธีที่พอจะถือเป็นคู่มือในการทำสมาธิได้ พร้อมกับอธิบายวิธีบำเพ็ญฌาน และเจริญทัสนะในพระพุทธศาสนาเพื่อประโยชน์แก่ผู้ต้องการปฏิบัติ รวมถึงวิธีสร้างทิพยอำนาจตั้งแต่ขั้นต่ำๆ ขึ้นไปถึงขั้นสูงสุด เพื่อเป็นคู่มือของผู้ต้องการสร้างทิพยอำนาจขึ้นไว้บำเพ็ญประโยชน์ หนังสือ "ทิพยอำนาจ" จักเป็นคู่มือที่ดีสำหรับผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาธรรมะในส่วนปรมัตถปฏิปทา ต้องการเจริญกัมมัฏฐาน เนื่องจากผู้แต่งได้อธิบายไว้อย่างพร้อมสรรพทุกทางแล้ว

โดย พระอริยคุณาธาร (ปุสฺโส เส็ง ป.๖)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kindness Dharma Foundation, 2020-06-12 20:30:16

หนังสือทิพยอำนาจ

หนังสือทิพยอำนาจ

เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะอธิบายโพธิปักขิยธรรม ด้วยสำนวนและภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อประโยชน์แก่นักปฏิบัติ ผู้มีการศึกษาปริยัติธรรมน้อยจะได้อาศัยศึกษาและปฏิบัติ หนังสือได้กล่าวถึงเรื่องสมาธิวิธีที่พอจะถือเป็นคู่มือในการทำสมาธิได้ พร้อมกับอธิบายวิธีบำเพ็ญฌาน และเจริญทัสนะในพระพุทธศาสนาเพื่อประโยชน์แก่ผู้ต้องการปฏิบัติ รวมถึงวิธีสร้างทิพยอำนาจตั้งแต่ขั้นต่ำๆ ขึ้นไปถึงขั้นสูงสุด เพื่อเป็นคู่มือของผู้ต้องการสร้างทิพยอำนาจขึ้นไว้บำเพ็ญประโยชน์ หนังสือ "ทิพยอำนาจ" จักเป็นคู่มือที่ดีสำหรับผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาธรรมะในส่วนปรมัตถปฏิปทา ต้องการเจริญกัมมัฏฐาน เนื่องจากผู้แต่งได้อธิบายไว้อย่างพร้อมสรรพทุกทางแล้ว

โดย พระอริยคุณาธาร (ปุสฺโส เส็ง ป.๖)

Keywords: #มูลนิธิการุณย์ธรรม,#เมล็ดพันธ์แห่งการตื่นรู้,#KindnessDharmaFoundation

ผปู กครองเขตแดนทต่ี นอยูนั้นเปน ผูมีอชั ฌาสยั อํานวยความสะดวกใหตามสมควร ไมเ บียดเบียน
ขมเหง หรอื กลาวเสียดสีใหเกิดความขุนหมองใจ.

๓. อาหารสปั ปายะ อาหารเหมาะสม คอื อาหารที่ถกู ธาตุ กินแลว ไมทาํ ใหก เิ ลสฟุง ไมทํา
ใหรางกายออ นเพลยี มึนเมอื่ ย งวงซึม ทาํ ใหร างกายมีกําลงั แข็งแรง ทนทานตอ การพากเพยี ร ทาํ
ใหจ ติ ใจแจม ไมทอ แทอ อ นแอ ชวนใหท าํ ความเพยี ร.

๔. ธมั มสปั ปายะ ขอ ปฏบิ ตั เิ หมาะแกจริต คอื กรรมฐานที่เลอื กมาเปนขอปฏิบัติเหมาะแก
จรติ ขมปราบกิเลสอนั เปนเจาเรอื นลงได ไดฟ งธรรม ฟง วนิ ยั สะดวก และขอ ธรรมขอวินัยท่ีไดฟงก็
ดี อุบายปญ ญาท่ีปรากฏแกใจตนเองก็ดี สามารถขม ปราบกเิ ลสไดดี.

สัปปายะ ๔ ประการน้ี ผูเ ปนบรรพชิตสามารถหาใหค รบบริบรู ณได เพราะมชี วี ติ อสิ ระ ไม
มธี ุระกงั วล ในการอาชพี ผูกพนั ตนอยเู หมือนผูเปน คฤหสั ถ แตในปจ จบุ ัน ชวี ติ ของบรรพชติ ก็ใกล
เขา ไปทางฆราวาสมากแลว โดยท่ตี องอยูรวมเปนหมูในอารามภายในละแวกบาน ทงั้ ยังมีภาระ
กังวลในการบริหารหมูอีกดวย สวนผไู มมหี นา ทใี่ นทางบริหารหมโู ดยตรงกร็ ับภารธรุ ะของครูบา-
อาจารย ของเจา อาวาสบางประการ เปนภาระผูกพนั ตน เกอื บจะเปนคนหมดอสิ รภาพอยูแ ลว
เคราะหดอี ยหู นอ ยที่อารามสวนมากมผี ูศรัทธาปลกู สรา งใหพอเพยี งท่ีจะอยอู ยางไมค ลุกคลีนัก คือ
สามารถจะอยไู ดค นละหอง หรอื คนละหลังไดอยา งสบาย พอหายใจสะดวกอยูบ าง เวลากลางคืนก็
เงียบพอสมควร ถาเปน ผไู มป ระมาทกพ็ ออาจหาเวลาทาํ ความเพยี รไดอยู สวนคฤหัสถผ คู รองเรอื น
เปนผมู ีชวี ิตคลุกคลี มภี าระผกู พนั ในการอาชีพ ยากทจี่ ะหาสัปปายะใหบริบูรณ แตกม็ ใิ ชจ ะไร
โอกาสเสยี ทีเดียว เวลาวางงานและเวลาสงบเงียบกย็ งั มี พอจะปลีกตนปฏบิ ตั กิ จิ อนั ประเสริฐนีไ้ ด
มหาบรุ ุษคอื คนนาํ้ ใจใหญ อดทน มเี พียร มีปญญา อัธยาศยั ประณตี มกี ุศลมลู แตงสรางสังขาร จะ
เปนบรรพชิตหรอื คฤหัสถก ็ตาม แมจะอยใู นทเี่ ชน ไร ในหมูชนหมูไหน ไดอ าหารถูกธาตุหรือไมก็
ตาม ก็ยอ มมีอุบาย-ปญ ญา ปฏิบัตเิ อาตนพนทกุ ขไ ด เปน แตยากลาํ บากและเนิน่ ชา หนอย ฉะน้ัน
เมือ่ ไมไ ดส ัปปายะบริบูรณ กไ็ มควรทอ ถอย พึงอธษิ ฐานใจใหร สู กึ ประหนง่ึ วา ตนคนเดียวอยูในโลก
แลวทาํ ความพากเพยี รพยายามเถดิ .

ทิพยอํานาจ ๕๑

บทที่ ๔

อปุ กรณแ หง ทพิ ยอาํ นาจ

ทา นไดอ า นบทที่ ๑-๒-๓ มาแลว ยอ มทราบวิธปี ฏบิ ัติอบรมจิตใจตามหลกั พระพทุ ธศาสนา
พอสมควร หากจะใชวิธีเทา ที่บอกไวใน ๓ บทนั้นเปนเคร่ืองมอื ปลกู สรา งทิพยอํานาจกพ็ อเพียงแลว
แตเพ่ือใหสะดวกและงายย่งิ ข้ึน ควรทราบวิธอี ันเปนอปุ กรณแกทิพยอํานาจไว สําหรับปฏิบตั ิ
ประกอบกัน ดงั จะกลาวในบทนี้

จิตใจเปนธรรมชาติละเอยี ดออนสขุ มุ าล นอมไปทางดีกไ็ ด นอมไปทางชั่วก็ได หรือพูดฟง
กันงายๆ วา เปนท่ีตง้ั แหงความดแี ละความชว่ั ความดีและความชัว่ น้ันตางก็มีพลงั งานในตัวของ
มันเอง และพลงั งานของทง้ั สองฝา ยนนั้ เปน ปฏิปก ษกนั โดยธรรมชาติ มีการตอสลู างผลาญกนั อยู
เนอื งนิตย จติ ใจเปนสนามตอ สูของทง้ั สองฝา ยน้นั และเปนผูพลอยไดซ ึ่งผลแหง การตอสนู ั้นดวย
คือพลอยเปน สุขเมอ่ื ความดีชนะ พลอยเปนทุกขเดือดรอ นเมอื่ ความชวั่ ชนะ จติ ใจเองยอ มมีอิสรเสรี
ท่จี ะเขา กบั ฝายใดก็ได ในเม่อื พจิ ารณาดว ยปญ ญาแลว เห็นควรเขา กบั ฝายใด และมที างเอาตัวรอด
จากอาํ นาจท้ัง ๒ ฝายน้นั ดว ย ไมจําเปน จะยอมจํานนใหอาํ นาจของทง้ั สองฝา ยนน้ั มาครองความ
เปน เจา เปนใหญเ สมอไปก็ได.

วิธีการท่ีจะเอาตวั รอดจากอํานาจของความดแี ละความชวั่ น้ัน เราตองรเู ทาลกั ษณะอาํ นาจ
ทั้งสองนน้ั อยา งถูกตอ ง แลว เขา กับฝา ยท่เี ปน ธรรม เปด ชองทางใหอํานาจทเ่ี ปน ธรรมหลัง่ ไหลเขา
มามีอํานาจครองความเปน ใหญใ นจติ ใจของเราไปกอน แลวจึงผนั ผอ นเพอื่ ความเปนอสิ รเสรีในบ้นั
ปลาย.

ในบทน้ี ขา พเจา จะไดช้ลี ักษณะอาํ นาจความดีและความชัว่ ทง้ั สองฝา ยน้ัน เพ่ือทราบและ
เลอื กปฏบิ ัตใิ นทางที่จะเพ่มิ พูนอํานาจทเี่ ปนธรรมใหม ากขนึ้ ในตัวเรา เพอ่ื เราจะไดม อี ทิ ธพิ ลเพียง
พอท่ีจะสลัดตนออกจากอํานาจของฝา ยอ่นื บรรลุถงึ “ความเปนตนของตน” เต็มท่ี มเี สรีทจี่ ะอยู
อยางสบายตอ ไป.

อนึง่ ไมวาในหมูชนหมใู ดในโลกน้ที ่ีจะไมมกี ฬี าชนิดใดชนิดหน่งึ เปน เครือ่ งเลนเพลิดเพลิน
และบาํ รุงพลานามยั นั้นเปน อนั ไมม ี แมในหมูชนผมู ีจิตใจสงู สงสกั เพียงไรก็ตาม ก็ยอมมกี ีฬาสําหรบั
เลนเพลดิ เพลนิ และเปน เคร่อื งบํารุงพลานามัยดวยเชนเดยี วกนั ฉะน้ันในบทนีก้ จ็ ะไดอ ธบิ ายถึง
กฬี าในพระพทุ ธศาสนาไวด ว ย เพอื่ วา เมอ่ื ทานตองการเลนกีฬาเพ่ือความเพลิดเพลนิ หรอื เพอ่ื
พลานามยั อยา งใดอยา งหนงึ่ กจ็ ะไดเลนตามตองการ.

ตอไปนจี้ ะอธบิ ายลักษณะความดีและความชว่ั พรอมดวยวธิ ีเปด ชองใหความดีมามอี าํ นาจ
ในจิตใจ และปด ชอ งมิใหค วามชวั่ มาเปนเจา จติ ใจ เพ่อื เปน แนวทางสงั เกตและปฏบิ ัติ สว นวิธีการ
เอาตวั รอดจากอํานาจของทัง้ สองเพือ่ เปน ตนของตนเตม็ ทีน่ ั้น จะไดร อไวกลา วในบทวา ดวยวธิ ีปลกู
สรางทิพยอาํ นาจช้ันสูง.

ทพิ ยอาํ นาจ ๕๒

ความดีกบั ความช่ัว มีลกั ษณะตรงกนั ขามเสมอไป ต้ังแตช ้ันตํา่ ทสี่ ุดจนถึงชั้นสงู ทสี่ ดุ เปรียบ
ประดุจนํ้ากับไฟ ซึ่งมีลกั ษณะตรงกันขา มเสมอไปฉะนั้น ความดีนั้นมีลักษณะท่พี อประมวลมา
กลาวไดเ ฉพาะลกั ษณะใหญๆ เพยี ง ๓ ลักษณะ ดังนี้

๑. ความดีมลี กั ษณะทาํ จติ ใจใหเ ย็น
๒. ความดีมลี ักษณะทาํ จิตใจใหป ลอดโปรง
๓. ความดีมลี ักษณะทําจติ ใจใหแ จมใส
สวนลกั ษณะปลีกยอ ยของความดี ยอมมีมากมาย แตก ็พอสังเกตไดโ ดยอาศยั ลักษณะ
ใหญๆ ท้งั ๓ ลกั ษณะนีเ้ ปน เครื่องวินิจฉยั เทยี งเคียง ถา สงั เกตใหด กี ็จะไมห ลงเขาใจผิดไปได.
ความช่ัวมลี กั ษณะตรงกันขา มกับความดี มีลักษณะทพ่ี อจะประมวลมาไดเฉพาะลักษณะ
ใหญๆ เพียง ๓ ลกั ษณะ ดงั นี้
๑. ความชั่วมลี กั ษณะทาํ จิตใจใหรอ น
๒. ความชัว่ มีลักษณะทําจติ ใจใหอดึ อดั
๓. ความชั่วมีลักษณะทาํ จิตใจใหมืดมัว
สว นลกั ษณะปลีกยอยของความช่ัวก็มีมากมายเชน เดียวกนั แตกพ็ อสังเกตไดโดยอาศัย
ลักษณะใหญ ๓ ลกั ษณะน้เี ปน เครือ่ งวินจิ ฉยั เทยี บเคียง ถาสงั เกตใหด กี จ็ ะไมห ลงเขา ใจผิดไปได.
ความดียอ มอาศยั สง่ิ ทด่ี ีเปนปจ จยั โดยนัยเดียวกัน ความช่ัวกย็ อมอาศัยสิ่งที่ชั่วเปนปจจยั
สิ่งทดี่ แี ละชัว่ นน้ั ปนออกเปน ๒ ชัน้ คอื ชั้นโลกและชั้นธรรม ชั้นโลกไดแก รปู เสียง กลนิ่ รส และ
โผฏฐพั พะ ชัน้ ธรรมไดแกธรรมคือสภาวะทม่ี าสัมผสั กบั จิตใจได.
จะอธิบายชั้นโลกกอ น โลกบริบูรณด วยรูปอันเปนวิสยั ของตา เสียงอันเปน วสิ ัยของหู
กลิ่นอันเปนวิสยั ของจมูก รสอันเปนวสิ ัยของล้นิ และโผฏฐัพพะอนั เปน วสิ ัยของกาย สงิ่ เหลา น้ี
ยอมมีทัง้ ดแี ละไมดี ทัง้ เปนสิ่งท่มี ีประจําโลก ถา โลกปราศจากส่งิ เหลา น้ี โลกกไ็ มเปน โลกอยูได
โลกมนุษยก ็ตอ งมสี ่งิ ทัง้ ๕ น้ี โลกสวรรคกต็ อ งมีสงิ่ ท้ัง ๕ น้เี ต็มอยู โลกที่ตํา่ กวา สวรรคและมนุษย
ลงไปกต็ องมสี ง่ิ ท้ัง ๕ น้ีเชน เดียวกนั ส่ิงทง้ั ๕ นี้เปน สว นประกอบใหเปนโลกสมบรู ณ ถาโลก
ปราศจากสงิ่ ทัง้ ๕ น้แี ลว จะเปน โลกทส่ี มบูรณไมได แมแ ตอตั ภาพของคนเราตลอดถงึ สรรพสัตวท ่ี
พระบรมศาสดาตรัสเรยี กวาโลก ก็ประกอบดวยสงิ่ ทั้ง ๕ นที้ กุ ประการ ในทีใ่ ดมีสิ่งท้งั ๕ นี้ ในท่ี
น้นั ตอ งเปนโลก จะเปน อ่นื ไปมิได การพน โลกหรือถึงท่สี ดุ โลกตามความหมายในพระพุทธศาสนา
กห็ มายถึงพน จากอาํ นาจของส่ิงทงั้ ๕ นน้ี น้ั เอง คือส่งิ ทัง้ ๕ น้ีไมมอี าํ นาจเหนือจิตใจ คนธรรมดา
สามัญเมื่อประสพส่ิงทง้ั ๕ น้ีอนั เปนสง่ิ ภายนอกตวั ก็ดี ภายในตัวก็ดี ยอมเกิดความรูสกึ ขึ้นเปน ๒
ฝา ย ฝายใดฝา ยหนงึ่ เสมอ คือความรสู ึกฝา ยดีกบั ฝายช่ัว ความรูส ึกฝา ยดีนนั่ แหละคอื ความดี
ความรูสกึ ฝายชวั่ นน่ั แหละคือความชวั่ ความดคี วามช่ัวดังวาน้ีเปน ชน้ั โลก ใหผลดชี ั่วอยูในโลกนี้
เอง เมอื่ เราพเิ คราะหใ หดีกจ็ ะเหน็ วา สง่ิ ทีท่ าํ ใหเราเกดิ ความรสู กึ ฝายดีนั้นเปนสงิ่ ท่ีดี ส่งิ ที่ทําให
เราเกิดความรูสึกฝา ยช่ัวนน้ั เปนส่งิ ท่ีชวั่ ท่วี านี้หมายเฉพาะในกรณสี ามัญธรรมดาทัว่ ไป สว นใน
กรณพี เิ ศษสําหรบั มคี วามรสู ึกพิเศษอยูในใจนนั้ ยอ มเกดิ ความรูสึกผิดแปลกไปจากลกั ษณะสามญั
ดังวานนั้ ได เชนคนที่มคี วามรูสึกรษิ ยาอยใู นใจ พอเหน็ กิริยาอาการแชม ชื่นของผไู ดดิบไดดี แทนที่

ทพิ ยอาํ นาจ ๕๓

จะรสู ึกแชมชื่นไปดวย ก็กลบั รสู กึ เศรา สรอ ยหงอยเหงา หรือรูสกึ หมนั่ ไสไ ปกไ็ ด ในลักษณะฝาย
ตรงกนั ขามกเ็ หมอื นกัน บคุ คลผตู ง้ั ใจสังเกตความจรงิ ของโลกในแงต า งๆ พอไดเห็นรูปท่ีนา พึง
เกลียดพงึ หนา ย เชน ซากของคนหรือสัตวท ต่ี ายแลว แทนทจี่ ะเกดิ ความรูสึกเกลียดชงั หรอื เบือ่
หนา ยอยางในกรณีธรรมดาสามัญ ก็จะเกิดความรสู กึ ซาบซึ้งในแงแหงความจริงของโลกขึ้นมาทันที
จะวาเกลยี ดชังหรือเบื่อหนา ยรูปนั้นกไ็ มใ ช ทัง้ ยงั ผลใหเกิดความรูสึกหายกาํ หนัดในรปู ไดทนั ที ขอ
นีแ้ ล เปนเหตุผลใหทางพระพุทธศาสนาวางวธิ ีปฏบิ ัตเิ กย่ี วกับใหดูหรอื พิจารณาอสภุ ะ เปน เครื่อง
สอนใจไว.

สวนชัน้ ธรรม ไดแกสิ่งซึง่ มาสมั ผสั เขา กับจติ ใจโดยเฉพาะ และกอ ใหเ กดิ ความรูสกึ ดีหรือชวั่
ขึ้นในจิตใจน้ันเอง ธรรมเปนสภาวะที่สุขุมประณีตเหน็ ไดยากรไู ดยาก แตก ็ไมเ กนิ วสิ ยั ทีจ่ ะรจู ะเหน็
ได ธรรมยอมมีหยาบ ปานกลาง และละเอยี ด เชนเดียวกบั ทางโลก ธรรมชั้นหยาบยอ มมีลกั ษณะ
ใกลต อ ความเปนโลก หรือคลายคลึงกบั โลกทีส่ ดุ ธรรมท่ีพอปานกลางมีลกั ษณะหางออกจากโลก
ไปบา ง สวนธรรมทีล่ ะเอียดประณตี ยอ มมลี ักษณะหา งไกลจากโลกถงึ กับตรงกันขา มทเี ดยี ว แตจ ะ
อยา งไรก็ตามเม่อื กลา วโดยสวนสามญั ทั่วไปแลว โลกกับธรรมตอ งอาศัยกันและกันเปนไป เกอ้ื กลู
อดุ หนนุ กันบาง ลางผลาญทาํ ลายกันบา ง พอแตอ าศยั กนั เฉยๆ บาง เปนเชน นี้อยูต ลอดนิรนั ดรกาล
จะชี้ใหเห็นโลกกับธรรมชั้นต้นื ๆ ที่เก้ือกูลหรือหกั ลางกนั ใหเ หน็ คนที่มจี ิตใจเขมแข็ง มีความรสู ึก
ฝายดอี ยใู นใจเสมอ ผิวพรรณวรรณะจะเปลงปลั่งสดใส มพี ลานามยั ดี ถึงหากจะเผอิญเกิดเจ็บปวย
ข้ึน กจ็ ะรักษาหายไดไ ว ทเี่ ปนดังน้ี เพราะกาํ ลงั ใจน้ันเองเปนเหตุ สวนผมู จี ิตใจออนแอ มี
ความรูสกึ ฝายช่ัวอยใู นใจเสมอ ผิวพรรณวรรณะเศรา หมองซีดเผอื ด พลานามัยไมค อ ยดี หากมีอนั
เปน เกิดเจบ็ ปวยขึ้น จะรักษาหายยากท่สี ุด ทเ่ี ปนดังนี้เพราะขาดกาํ ลังใจอุดหนนุ ซาํ้ มหิ นํา
ความรสู ึกออ นแอของใจน้ันกลบั ทาํ ลายสุขภาพทางกายลงเสยี ดว ย ความขอ น้ยี อมเปนจริง ไมเ ช่ือ
ลองถามนายแพทย เขาจะรับรองเหตผุ ลขอน้ีทันที.

ความดคี วามช่วั ช้ันธรรมนี้ พงึ สงั เกตสภาวะอนั เกิดกับใจโดยเฉพาะ ซ่ึงไมไดองิ อาศยั สิง่ ทงั้
๕ ซ่งึ เปน โลกเกิดข้ึนแตป ระการใดประการหน่ึงเลย ลักษณะแหง จติ ใจในฌานช้ันตนๆ ยงั
ประกอบดว ยสภาวะทเ่ี กิดกบั ใจโดยอาศัยสิง่ ท้งั ๕ อยา งใดอยางหนึ่ง ฉะน้ันจงึ นับวา เปน ชั้นโลก
ครนั้ จิตสงบเขาถงึ ลักษณะฌานชั้นสูงข้ึนไป สภาวะทเ่ี กิดกบั ใจนัน้ ๆ มิไดองิ อาศัยสง่ิ ทงั้ ๕ ประการ
ใดประการหน่งึ เลย จงึ นับวา เปนช้นั ธรรม แตเปนธรรมชั้นหยาบ จงึ มลี กั ษณะใกลต อ โลกหรอื
คลา ยคลึงกับโลก จติ ในฌานช้ันประณตี ประกอบดวยสภาวะทส่ี ขุ ุมประณีต หา งจากลักษณะของ
โลกออกไป แตย ังมีสว นท่คี ลายคลึงกับโลกอยูบาง สวนจติ ใจในฌานชัน้ สูงสดุ หรอื ในธรรมชัน้
สูงสดุ นน้ั ประกอบดว ยสภาวะทีส่ ุขมุ ประณีตท่สี ดุ ไมมีลกั ษณะของโลกเจือปนอยูเลย เปนลกั ษณะ
ของธรรมลวนๆ ตรงกันขา มกบั โลกทกุ อยา ง ชั้นนแี้ ลที่ทานเรยี กวา “โลกตุ ตรธรรม” มีไดใ นความ
เปนมนุษยนี้แหละ ไมใ ชส่งิ ที่เกินวสิ ยั ของมนุษย หากแตเปน “อจั ฉรยิ มนุสสธรรม” คอื ธรรมของ
มนษุ ยม หศั จรรย ผูบ รรลถุ งึ ธรรมชั้นนี้เปน บุคคลที่เพยี บพรอมไพบลู ยดวยความสขุ สมปรารถนา
ลกั ษณะภาวะของโลก คอื ความเปลยี่ นแปลง ความบีบคัน้ ความเปนอ่ืน จะไมมีเลยในธรรมชัน้

ทพิ ยอํานาจ ๕๔

น้ัน คงมีแตลักษณะตรงกันขาม คอื ความเทย่ี งแท ความวางโปรง ความเปน ตนของตนเองอยา ง

สมบรู ณท่ีสดุ .

เมื่อทราบไดท ราบลักษณะของความดี-ความช่วั ทั้งที่เปนช้ันโลกและชน้ั ธรรมพอสมควร

เชนนแี้ ลว ควรทราบวิธปี ด ก้ันความช่ัว เปดชองความดี เพอื่ ใหความดีหลั่งไหลเขา มาครองความ

เปน ใหญใ นจติ ใจตอ ไป.

ชอ งทางไหลเขา สจู ติ ใจของความดี และความชวั่ ก็คือ ตา หู จมกู ลิ้น กาย ซึง่ มีประสาทที่

ใหสาํ เรจ็ การเหน็ ไดย ิน รูส กึ กล่ิน รูสึกรส และรูสึกเย็นรอนออนแข็งประจาํ อยู เวนแตผ ูม ปี ระสาท

ทางชอ งน้ันๆ พกิ ารเทา นนั้ เม่ือสิง่ ท่ีเปนโลก คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐพั พะ ผา นมาในวถิ ี

ประสาททัง้ ๕ แลว จะเกิดวญิ ญาณสื่อคอื ความรสู กึ เหน็ เปน ตน สงกระแสสะเทอื นไปตามวถิ ี

ประสาทแลนเขา ถงึ ใจ ซ่ึงเปน เจา ครองความเปนใหญใ นรา งกาย ใจจะรบั รแู ละเสวยรสของสิง่ นั้น

แลวทาํ การพจิ ารณาวินิจฉัยวา ควรทาํ อยางไรตอ ส่งิ น้ัน ถา เปนส่งิ ที่ชอบใจกจ็ ะรบั เอาไว และหาทาง

ไดม ามากๆ ถาเปน สงิ่ ไมชอบใจก็จะผลกั ดนั ออก และหาทางกําจัดออกไปใหห าง ถาเปนสงิ่ ไม

กอใหเ กดิ ความชอบใจหรือไมชอบใจกจ็ ะรสู ึกเฉยๆ ไมเอาใจใสแ ตป ระการใด ปลอยใหมันตกไปเอง

กระแสแหง ความรสู ึกทางวถิ ปี ระสาท ตลอดถึงความรสู ึกในใจน้ันจะสงทอดถึงกนั เรว็ ท่สี ุด และการ

พจิ ารณาวินจิ ฉัยกเ็ ปนไปอยางรวดเรว็ มาก เพราะอาศัยความเคยชินเปนประมาณ ถาเอาสติปญ ญา

เขาไปประกอบทาํ การพจิ ารณาวนิ จิ ฉยั อารมณแลวจะเปน ไปโดยอาการเชื่องชา สขุ ุม และเทย่ี ง

ธรรม ตรงน้เี ปนจดุ สาํ คัญท่ีผูปฏิบตั ิจะพึงสาํ เหนยี กใหต ระหนักทส่ี ดุ และถอื เปนจุดทําการปฏบิ ตั ิ

จติ ใจจากลกั ษณะสภาพท่ตี ่าํ ทรามใหก า วขึน้ สูลกั ษณะสภาพท่ดี ีงามสงู สงยงิ่ ข้ึนไป.

สรีรศาสตรจะอธบิ ายใหท า นทราบลักษณะหนาทขี่ องประสาททัง้ ๕ คอื ประสาทตา หู

จมูก ลิ้น กาย แตไมส ามารถบอกทานไดถึงจดุ รวมของความรูสกึ วาอยูตรงไหน เม่ือวาถึงหวั ใจ

สรีรศาสตรก บ็ อกวามหี นา ท่สี ูบฉดี โลหติ ไปหลอ เลีย้ งรางกาย เมือ่ วา ถงึ มันสมอง สรรี ศาสตรก บ็ อก

วา มีหนาที่คิดนึกรูสึก และลงความเหน็ ดว ยวา “น่นั คอื จิตใจ” แตใ นทางพระพทุ ธศาสนาจะบอก

ทา นวา หัวใจนอกจากจะมีหนาท่ีสบู ฉีดโลหติ ไปเล้ยี งรา งกายแลว ยังมีหนาท่รี บั ถายทอดความรูส ึก

จากประสาททง้ั ๕ เขา สูจิตใจอกี ดวย แลว จติ ใจจงึ จะทาํ การพจิ ารณาวินจิ ฉยั โดยอาศยั มันสมอง

แลวสัง่ การทางมันสมองอกี ทหี นึง่ ความขอ นีพ้ งึ สังเกตเมื่อเวลาเราไดประสบสิง่ ทแี่ ปลกประหลาด

หรอื นา ตนื่ เตนหวาดเสยี ว เราจะรสู กึ หวั ใจเตน แรงผิดปกติ ถา เปน สิ่งทน่ี ากลัวทสี่ ดุ หวั ใจจะถงึ กบั

หยุดเตนเอาทเี ดียว เคยมีตัวอยางผูประสบเหตุทน่ี าตกใจทีส่ ดุ ถงึ กับสลบส้นิ สมปฤดีไปกม็ ี

ความรสู ึกในช้ันนจี้ ะแสดงอาการอยตู รงหวั ใจ หาไดแสดงทมี่ ันสมองไม ความรูสกึ ที่มนั สมองน้นั

จะมใี นตอนพจิ ารณาวินิจฉยั อารมณอ ันเปนข้นั ตอ ไป ฉะนั้นทางพระพทุ ธศาสนาจึงบัญญตั ิชอ งทาง

รบั รอู ารมณไวถ ึง ๖ ทาง เรยี กวาทวาร ๖ หรอื อนิ ทรีย ๖ และสอนใหอ บรมอินทรียท ้ัง ๖ น้นั ใหดี

ดว ย จะยกเอาหลกั คาํ สอนทสี่ อนใหอบรมอนิ ทรยี มาตั้งไวเปนหลกั ปฏบิ ัตปิ ด กนั้ ความชวั่ และเปด

ชองความดี ดงั ตอไปนี้

อานนท การอบรมอินทรียอ ยา งเย่ียมในอริยวินยั เปน อยา งไร? อานนท ภิกษุในธรรมวนิ ัยนี้

เห็นรูปดวยจกั ษุ ฟงเสียงดวยโสตะ สดู กล่นิ ดว ยฆานะ ลิม้ รสดว ยชิวหา สัมผสั โผฏฐพั พะดว ยกาย รู

ทิพยอํานาจ ๕๕

ธรรมดว ยใน ส่ิงนาพอใจ สง่ิ ไมนาพอใจ สิง่ เปน กลางๆ ยอ มเกิดขึ้นแกเธอ เธอรอู ยางนีว้ า สง่ิ นา
พอใจ สงิ่ ไมนา พอใจ ส่งิ เปน กลางๆ นเี้ กดิ แกเราแลว แตว ามันเปนส่งิ ทป่ี จ จยั ปรุงแตง อาศัยส่ิง
หยาบเกดิ ขึ้น อเุ บกขาเปน สิ่งสงบ เปน สงิ่ ประณตี ดังน้ี สง่ิ นาพอใจ ส่ิงไมนา พอใจ ส่งิ เปน กลางๆ ที่
เกิดแกเ ธอแลว นั้นยอมดับไป อุเบกขายงั คงดํารงอยู อยางน้ีแล อานนท การอบรมอินทรียอยา ง
เย่ยี มในอริยวนิ ัย.

อานนท พระเสขะเปน ผมู ปี ฏปิ ทาอยางไร? อานนท ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี เห็นรปู ดว ยจกั ษุ
ฟงเสยี งดวยโสตะ สดู กล่นิ ดว ยฆานะ ลม้ิ รสดวยชวิ หา สมั ผัสโผฏฐพั พะดว ยกาย รูธรรมดวยใจแลว
ส่งิ ทนี่ า พอใจ สง่ิ ท่ีไมนา พอใจ สิง่ ทีเ่ ปนกลางๆ ยอ มเกดิ ขน้ึ แกเธอ เธอยอ มเบ่อื ยอ มหนาย ยอม
เกลียดมนั อานนท พระเสขะเปน ผมู ีปฏปิ ทาอยางนแ้ี ล.

อานนท พระอริยะผูอบรมอินทรยี แลวเปนอยางไร? อานนท ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยนี้ เหน็ รปู
ดว ยจักษุ ฟง เสยี งดวยโสตะ สูดกล่นิ ดวยฆานะ ล้มิ รสดว ยชวิ หา สัมผัสโผฏฐพั พะดวยกาย รูธรรม
ดว ยใจแลว สิ่งทน่ี า พอใจ ส่ิงทีไ่ มนา พอใจ สิ่งที่เปนกลางๆ ยอมเกดิ ขึน้ แกเ ธอ ถา เธอหวังจะ...

๑. กําหนดความไมนา เกลยี ด ในสิ่งนาเกลียด
๒. กําหนดความนา เกลยี ด ในสง่ิ ไมนา เกลยี ด
๓. กําหนดความไมนา เกลียด ทงั้ ในสง่ิ นาเกลียด ท้ังในสง่ิ ไมน าเกลยี ด
๔. กําหนดความนา เกลียด ทง้ั ในสง่ิ ไมนาเกลียด ทั้งในสง่ิ นาเกลยี ด
๕. เวน ความนาเกลียดและไมนา เกลียดทง้ั ๒ นน้ั แลว เปนผูมสี ติสมั ปชญั ญะวางเฉยอยู
ดงั นี้ เธอก็ปฏบิ ตั ไิ ดตามความหวงั น้นั ทกุ ประการ อานนท พระอรยิ ะผอู บรมอินทรียแ ลว เปน
อยา งน้แี ล.
อานนท การอบรมอนิ ทรยี อยางเยีย่ มในอริยวินยั พระเสขะผูมปี ฏปิ ทา พระอรยิ ะผูอบรม
อินทรยี แ ลว เราแสดงแลวอยางนี้ ซึง่ เปนกรณยี ะทศี่ าสดาผูมคี วามเอ็นดู หวังความเกือ้ กลู แกส าวก
ควรทํา เราไดอาศัยความอนุเคราะห ทําแลว แกเ ธอทั้งหลาย เหลา น้ันรกุ ขมูล เหลานั้นทเ่ี รือนวาง
เธอท้งั หลายจงเพงพนิ ิจ อยา ประมาท อยา เดือดรอ นภายหลงั น้ีเปนอนุสาสนขี องเราสําหรบั เธอ
ทั้งหลาย ดงั นีแ้ ล.
การท่ีจําลองเอาหลักวิธีการอบรมอนิ ทรียมาตัง้ ไวท ั้งดุนเชนนี้ กเ็ พือ่ ใหทา นผอู า นไดทราบ
วธิ กี าร พรอมดว ยสาํ นวนโวหารทพ่ี ระบรมศาสดาทรงสง่ั สอนมาแลวอยางไร ตอไปนข้ี า พเจา จะ
ถอดใจความเพอ่ื ทราบวธิ ีปฏบิ ัติใหจะแจงอกี ชน้ั หน่งึ .
การฝกจติ ใจเน่ืองดวยอินทรยี  มพี ระบาลแี สดงไวในท่ีอืน่ เปนวธิ กี ารปฏิบัติขนั้ ตน กอนขั้นที่
จําลองเอาพระบาลีมาไวน ี้ จะขอถอดใจความมาไวเพื่อทราบทีเดียว ดงั น้ี
“เห็นรูปดวยจกั ษุ ฟงเสียงดว ยโสตะ สูดกล่ินดว ยฆานะ ลม้ิ รสดวยชิวหา สัมผัสโผฏฐัพพะ
ดวยกาย รธู รรมดวยใจแลว ไมยดึ ถืออารมณโ ดยนิมิต คอื รวมหมด หรือแยกสวนออกถือ ซ่ึงจะ
เปนชอ งทางใหอกศุ ลบาปกรรมติดตามมาครอบงาํ ปฏบิ ัตปิ ด กั้นอินทรียนัน้ ไว” วธิ ีน้เี ปนขนั้ ที่
เรียกวา สตสิ งั วร = ระวงั ดว ยสตเิ ปนการปองกนั บาป.

ทพิ ยอาํ นาจ ๕๖

สว นพระบาลที ่ีจาํ ลองมาไวแ ลว นี้ มีใจความดงั ตอไปนี้ คอื เม่ือเห็นรูปดวยจกั ษุ ฟงเสยี ง
ดวยโสตะ สดู กล่นิ ดวยฆานะ ลิม้ รสดวยชวิ หา สัมผสั โผฏฐัพพะดวยกาย รูธรรมดวยใจ ความพอใจ
ไมพอใจ และความรูสึกกลางๆ ยอมเกดิ ขึน้ เปน ธรรมดา แตอ าศยั ปญญารูเ ทา วา มันเปนส่ิงทป่ี จจัย
ปรงุ แตง อาศยั สิ่งหยาบเกิดข้ึน อเุ บกขาเปนธรรมสงบประณตี กวา เมอื่ รูเทาเชนน้ี ความรูสกึ พอใจ
ไมพอใจ และกลางๆ นั้นก็จะดับไป ใจเปนอเุ บกขาดาํ รงอยู เชนน้ีเปนการอบรมอินทรียดว ยปญ ญา
ละความพอใจ ไมพอใจ และความรสู ึกกลางๆ ดวยอาํ นาจปญญารูเทา เปน ขัน้ ปฏิบัตทิ ่ีเรยี กวา
ญาณสงั วร = ระวังดว ยญาณ เปน การขจดั อกุศลบาปธรรมใหจ างตกไปจากใจ บาํ รุงรกั ษาความดี
คอื อุเบกขาธรรมใหดํารงอยูเ ปนเคร่อื งหลอ เลี้ยงจิตใจใหเท่ียงธรรม ม่ันคงแข็งแรงสบื ไป.

ขน้ั ตอ จากนั้นมา เปนข้ันใชความอดทนตอสูก ับอารมณ ซง่ึ เกิดขึน้ เพราะเห็นรูป ไดย ินเสียง
ดมกลน่ิ ลม้ิ รส ถูกตอ งโผฏฐพั พะ และรธู รรมดว ยอินทรยี ทั้ง ๖ น้ัน ยอ มอึดอดั ระอดิ ระอา เกลียด
ชังอยู ไมพ อใจรับเอามันไวใ นจติ ใจ ไมน านมนั ก็เปล่ียนแปลงไปตามสภาพของมัน วธิ ีนี้เปนการขม
ความรสู กึ ฝา ยช่วั ดวยอํานาจความอดทนทเี่ รยี กวา ขันติสงั วร = ระวังบาปดวยความอดทน เปนข้ัน
ปราบอกศุ ลบาปธรรมใหต กไปจากใจ เรยี กอีกอยา งหน่ึงวา เสขปฏปิ ทา = วธิ ีปฏิบัติของพระเสขะ
= นักศกึ ษา.

อีกขัน้ หนงึ่ ซง่ึ เปนขั้นสดุ ทา ยในวิธีการฝก อนิ ทรีย ใชว ิธีเปล่ยี นความรูสกึ ในสงิ่ ท่ไี ดประสพ
ดว ยอินทรียทั้ง ๖ นั้นใหเปนไปตามตองการ คือใหร ูสกึ เกลียดก็ได ไมเ กลียดกไ็ ด ท้งั ในสิ่งนา เกลียด
ทัง้ ในสิ่งไมนา เกลยี ด และเวนความรูส ึกทั้งสองน้ันเสยี ใหมคี วามรูส กึ เปนกลางๆ มีสตสิ ัมปชญั ญะ
กาํ กับตนอยเู ทานั้นก็ได ข้ันนีเ้ ปนการใชความพากเพยี รเอากําลงั ใจที่มอี ยกู ดความรูสกึ อันเกิดขึน้
เองนั้นเสีย เปลยี่ นเปนความรสู กึ ตามตอ งการ เปนวธิ ีขบั ไลอ กุศลบาปธรรมใหอ อกไปจากใจที่
เรยี กวา วริ ยิ สังวร = ระวังบาปดว ยอํานาจความเพยี ร เปน วธิ ีการทพ่ี ระอรยิ เจา ใชอ บรมอนิ ทรีย
มาแลวเปน ผลดี สมเด็จพระผมู พี ระภาคจงึ ตรัสสอนใหใชวิธีนอ้ี ีกวิธีหนง่ึ ในการอบรมอินทรีย.

เมอ่ื สรุปรวมแลว ไดวิธอี บรมหรือฝกอินทรยี  ๔ ประการ คอื
๑. สติสงั วร เอาสตริ ะมัดระวงั อินทรีย ซ่ึงเปน ชองทางไหลขา วของอกุศลบาปธรรม มิให
มันไดชอ งไหลเขา มาครอบงาํ ใจ.
๒. ญาณสงั วร เอาความรทู ําการพจิ ารณาอารมณ และความรสู ึกทีเ่ กดิ ขนึ้ ใหรูเทาทนั คดั
เอาไวแตอ ุเบกขา คอื ความมใี จเปนกลางเฉยอยูน้ันไว ปลอ ยใหความรูสึกดีรา ยจางตกไปจากใจ.
๓. ขนั ตสิ งั วร เอาความอดทนเขา ขมความรสู ึกอันเกิดขึ้นจากอนิ ทรียทัง้ ๖ นน้ั จนมันดับ
ไปเอง.
๔. วิรยิ สังวร เอาความพากเพียรเขา แกไ ขเปล่ยี นแปลงความรสู ึกไปตามความตอ งการของ
ตน โดยทํานองหนามยอกเอาหนามบง จนสามารถทําความรูส ึกเปนกลางในอารมณทงั้ ดีรายได
อยา งด.ี
วิธีทัง้ ๔ น้ี เปนวิธีอบรมอินทรียอ ยางประเสริฐในอริยวินัย คือ พระพทุ ธศาสนา ผมู ุง ความ
เจริญกา วหนาทางจิตใจควรถอื เปน หลกั อบรมจิตใจ จะไดผลดโี ดยงาย เปน วิธีฝกใหจติ ใจมีอาํ นาจ
สามารถบังคับอารมณใ นใจของตนได ซงึ่ เปน วิธกี ารบังคบั ตนเองวธิ หี น่งึ เม่อื ทําไดด ี จติ ใจยอมมี

ทพิ ยอาํ นาจ ๕๗

อทิ ธพิ ลเหนอื ความรูส ึก สามารถวางสหี นาใหเปนปกตอิ ยูได ทง้ั ในเวลานายนิ ดี ทัง้ ในเวลานายิน
รา ย จดั เปนบุคคลที่นา อัศจรรย ผดิ แปลกไปจากมนษุ ยธ รรมดาสามญั เปน ไหนๆ.

เจรญิ สติปฏฐาน

สติปฏฐาน ไดแ กการบาํ รุงสติใหไ พบูลยเปน มหาสติ เพือ่ ความบริสทุ ธ์ิ เพ่อื ระงับความเศรา
โศก คร่ําครวญ เพอ่ื ดบั ทกุ ขโ ทมนสั เพ่อื บรรลวุ ชิ ชา เพือ่ เปดเผยพระนิพพาน มวี ิธกี ารดังตอไปน้ี

๑. กายานุปส สนา ตง้ั สติดูความเปลย่ี นแปลง เกิด-ดับ ของกาย ตามลาํ ดบั ขั้น ดงั นี้
(ก.) ตง้ั สติตามดูลมหายใจเขา -ออก ใหรทู นั ระยะสน้ั -ยาว, แผความรสู ึกไปทว่ั รางกายทกุ
สว น, ผอนบรรเทาลมหายใจใหส งบลงจนเปน ลมประณีตไมก ระเทือนความรูสึก, สาํ เหนยี ก
ธรรมดาประจํากาย คือความเกิด-ความเส่ือมสลายใหเ ห็นชัด ทง้ั ในกายภายใน ทั้งในกายภายนอก
ทง้ั สองสวนเทียบกัน, ดาํ รงสตไิ ววา กายมีเพยี งเปนท่ีรูเปน ท่ีระลกึ ไมต ิด และไมย ดึ ถือส่ิงใดๆ ท่ีได
พบเห็นในกายนั้น.
(ข.) ทําสติใหรูทันอาการเคลอ่ื นไหวกายโดยอิริยาบถท้ัง ๔ คอื ยืน เดิน นง่ั นอน,
สาํ เหนียกธรรมดาประจาํ กาย ตัง้ สตไิ วใหมน่ั โดยทาํ นองขอ ก.
(ค.) ทําสัมปชญั ญะใหร ูท ันอาการเคลื่อนไหวทกุ ๆ อาการของกาย เชน กา วไป ถอยกลบั
เหลยี วซาย แลดูขวา คู เหยียด พาดสงั ฆาฏิ ถือบาตร หม จวี ร กิน ดม่ื เคี้ยว ลิม้ รส ถา ยอุจจาระ-
ปส สาวะ เดิน ยืน นงั่ นอน หลับ ต่ืน พูด น่งิ และสาํ เหนียกธรรมดาประจํากาย กบั ต้งั สติโดยนยั
ขอ ก.
(ฆ.) ต้ังสติพจิ ารณาใหเ ห็นอาการ ๓๒ ในกาย คือ ผม ขน เล็บ ฟน หนงั เนอื้ เอน็ กระดกู
เย่อื ในกระดูก มา ม หัวใจ ตับ พังผดื ไต ปอด ไสใหญ ไสน อ ย อาหารใหม อาหารเกา ดี เสลด
หนอง เลือด เหง่อื มนั ขน นํา้ ตา มันเหลว นํ้าลาย นา้ํ มกู ไขขอ มตู ร (และมนั สมอง) แลว สําเหนียก
ธรรมดาประจํากาย กบั ตงั้ สติดังนยั ขอ ก.
(ง.) ตัง้ สติกําหนดพจิ ารณาดูกายใหเ หน็ โดยความมธี าตุทงั้ ๔ คือ ดนิ น้ํา ไฟ ลม ประชมุ
กนั อยใู นกายเต็มอยู สามารถแยกออกไดตามลักษณะธาตุทงั้ ๔ แลว สาํ เหนียกธรรมดาประจํากาย
และต้ังสตโิ ดยนัยขอ ก.
(จ.) ดสู รรี ะที่ตายแลวในลักษณะตางๆ กัน ตั้งแตตายใหมๆ จนกระท่ังเหลือแตกระดูกผุยยุ
เปนช้ินเล็กชิ้นนอ ย นอ มเขามาเทยี บกับสรรี ะของตนเองใหเ หน็ วาเชน เดยี วกนั แลวกําหนดดู
ธรรมดาประจาํ กาย และต้ังสตโิ ดยนยั ขอ ก.
เม่ือปฏิบตั ิตามลาํ ดบั ชน้ั ดงั กลาวมาน้ี ชื่อวา บาํ รุงสติใหไพบลู ยใ นการติดตามดกู าย ที่
เรียกวา กายานุปส สนาสติปฏฐาน จะเกดิ ความสํานึกและรเู หน็ ความจรงิ ของกายขึ้นอยางดที เี ดียว.
๒. เวทนานปุ สสนา ตัง้ สตติ ิดตามดคู วามรสู ึกรสของผสั สะ ที่เรียกวา เวทนาท้งั ๓ อาการ
คือ สุข ทกุ ข และไมทกุ ขไมส ุข ใหร ูทันทุกอาการ เวทนามีอามิสคือเกิดแตส มั ผสั กบั กามคุณกร็ ูท นั
เวทนาปราศจากอามสิ คือไมเ กดิ จากกามคุณก็รทู ัน แลวสาํ เหนยี กธรรมดาประจําเวทนา คอื ความ

ทพิ ยอํานาจ ๕๘

เกิดขึน้ แปรเปล่ียน เสื่อมไปของเวทนา จนรเู ห็นแจม แจง ในใจ และตัง้ สตไิ วเพียงเปนทร่ี เู ปนท่รี ะลึก
วาเวทนามเี ทา น้ัน ไมตดิ และไมยึดถอื สิ่งไรๆ ที่ตนไดประสพพบเหน็ ในเวลานั้นๆ.

๓. จิตตานปุ สสนา ต้ังสตติ ดิ ตามดูจิตใจของตน ใหรูทนั อาการปกติ, มีกิเลสเจือ, ปราศจาก
กิเลสเจือ, ฟงุ , ไมฟ ุง, ใหญ, ไมใ หญ, เยี่ยม, ไมเ ย่ยี ม, ต้งั มน่ั , ไมต ั้งมน่ั , หลุดพน, ไมหลุดพน, ของ
จิตใจทุกๆ อาการไป แลว สําเหนียกธรรมดาประจาํ จติ คือ อาการเกิดข้ึน แปรเปลย่ี น เสือ่ มสลาย
ไปใหร ทู ัน และต้งั สตไิ วเพียงเปน ที่รู และเปน ท่ีระลึกวา จิตมีเทา นั้น ไมติด และไมยดึ ถืออะไรๆ ท่ี
ตนไดประสพพบเห็นในจิตใจทกุ ๆ ประการ.

๔. ธัมมานปุ สสนา ตัง้ สตติ ามดธู รรม คอื สภาวะท่ปี รากฏแกจติ ใจ ซ่ึงทําลายคณุ ภาพของ
จิตใจบา ง บาํ รงุ จติ ใจใหมีคณุ ภาพบาง หมนุ จติ ใจอยโู ดยสภาวะปกติบาง จนรเู ทาทนั สภาวะน้ันๆ
ตามเปนจรงิ แลว สาํ เหนยี กธรรมดาของสภาวะนัน้ ๆ วา มีอาการเกิดขึน้ เปลยี่ นแปลงแปรไป
อยา งไร ควรละหรอื ควรเจริญอยา งไร หรือเพียงเปนสภาวะทคี่ วรกําหนดรูใ หแจมแจง และพึงตัง้
สติเพยี งเปน ท่ีรูเทา เปนทร่ี ะลกึ วา สภาวธรรมเปน สง่ิ มอี ยู ไมตดิ และไมย ดึ ถอื อะไรๆ ในธรรมท่ตี น
ไดป ระสพพบเห็นน้นั ๆ.

ผูเจริญสตปิ ฏฐาน ตอ งประกอบดว ยสติ สมั ปชัญญะ และอาตปะความเพยี รใหเ ปน ไป
ดวยกัน จงึ จะสามารถกาํ จดั ความเศราโศกคร่าํ ครวญ ความทุกขโ ทมนัสออกไปจากใจได และจงึ จะ
สามารถบรรลุถึงวชิ ชา และนิพพานสมประสงค.

เจรญิ อิทธิบาทภาวนาและปธานสังขาร

อทิ ธิบาท คือ ธรรมทเี่ ปนพน้ื ฐานของฤทธ์ิ หรือธรรมทใ่ี หส าํ เรจ็ ส่ิงประสงค เปนธรรมที่
จําเปนตอ งอบรม เพอื่ เปนอุปกรณแกทพิ ยอาํ นาจ มี ๔ ประการ และมีวธิ ีอบรมดังตอไปนี้

๑. ฉันทะ ความพอใจ ไดแ กความตอ งการทิพยอํานาจ มุงม่ันหมายมือที่จะไดจ ะถึงอยา ง
แรงกลา .

๒. วิรยิ ะ ความเพยี ร ไดแกความบากบน่ั มน่ั คง ไมวางธรุ ะในกศุ ลธรรม อันเปน บนั ไดไปสู
ทิพยอํานาจ พยายามไตไ ป คืบคลานไป ไมยอมถอยหลงั กาวหนาเรือ่ ยไป.

๓. จติ ตะ ความเอาใจฝก ใฝ ไดแ กความมีใจแนวแนใ นความมงุ หมายของตน และแนวแนใ น
การเจริญกุศลละอกุศล อนั เปน วิธกี า วไปสทู พิ ยอาํ นาจทลี ะขัน้ ๆ.

๔. วมิ งั สา ความไตรตรอง พจิ ารณา ไดแกค วามสอดสอ ง ไตส วน ทวนเหตุผล เลือกคดั
จดั สรรกศุ ล-อกุศลใหอ อกจากกนั เพือ่ ละกศุ ล-เจริญกุศลไดส ะดวก และสอดสองแสวงหาวิธีการ
เจริญทพิ ยอาํ นาจใหท ราบลูทางชดั ใจอกี ดวย.

ข้นั แรกอาศัยคุณธรรมทั้ง ๔ นี้ เจรญิ สมาธิกอน เมื่อไดส มาธแิ ลว จึงอาศยั สมาธทิ ่ไี ดเ พราะ
อาศัยธรรม ๔ ประการนี้ ทาํ ความพากเพยี รละอกุศล-เจริญกศุ ลใหเตม็ กาํ ลังอีกทีหนึ่ง ซง่ึ ทา น
เรียกวา ปธานสังขาร=แตง ความเพียร วธิ อี าศยั อิทธิบาทเจรญิ สมาธิขัน้ ตนน้ัน เรียกวา อิทธิบาท
สมาธ=ิ สมาธเิ กิดดวยอิทธบิ าท รวมกนั เขาเรยี กส้ันๆ วา อทิ ธิบาทภาวนา=เจริญอทิ ธิบาท.

ทิพยอํานาจ ๕๙

ทา นพรรณนาคุณแหง อิทธบิ าทภาวนามากวา ผูที่ไดเ จริญอทิ ธิบาทใหบรบิ ูรณเต็มทีแ่ ลว ถา
จํานงจะมีชีวติ อยกู ัปปห นึง่ หรอื เกินกวากัปปห นึง่ ก็สามารถอธษิ ฐานใหชวี ติ ดาํ รงอยูได พระผูม ี
พระภาคเจาตรสั แยมพรายหลายครั้ง เพ่อื ใหพ ระอานนทก ราบทลู อาราธนาใหท รงอธิษฐานพระ
ชนมชีพอยูถ ึงกัปหรอื เกนิ ๑ กวา แตพระอานนทรไู มท ันอั้นตูเสยี ทกุ ครง้ั ที่ทรงแยม พราย นยั วา มาร
ดลใจจงึ มิไดกราบทลู อาราธนา ภายหลงั เม่อื พระบรมศาสดาเสดจ็ ดับขนั ธปรินพิ พานแลว พระ
เถระท้ังหลาย มพี ระมหากสั สปเถระเปนตนจงึ พากันตาํ หนพิ ระอานนทในขอนอ้ี ยางมาก.

เร่ืองอํานาจแหงอิทธบิ าทภาวนาน้ี มีผยู กข้ึนเปนปญหาคอนขอดในภายหลังวา สรรเสริญ
คณุ ไวเ ปลา ๆ ถามอี ํานาจทําไดถ ึงเพียงนน้ั ทาํ ไมถึงไมทําเสียเอง จะรอใหคนอน่ื ตองอาราธนาทําไม
พระนาคเสนเถระแกแ ทนวา ทรงมีอาํ นาจถงึ เพียงนั้นมิไดต รัสมสุ า อยากจะทาํ ตามนัน้ แตมีผู
ประสงคมใิ หทรงลาํ บากพระกายไปนาน เหมือนพระเจา จกั รพรรดทิ รงพรรณนาถงึ ความสามารถ
ของมาอาชาไนยของพระองควา ฝเ ทาเร็วอาจข่รี อบโลกไดในวนั เดียว และปรารถนาจะทรงทาํ
เชน นั้น บรรดาเสนามาตยราชเสวกทั้งหลายผูท่ีมีความจงรักภกั ดีกลวั วา จะทรงลําบากพระกาย
เปลา ๆ จึงกราบทูลหามเสยี ฉนั ใด เร่ืองเก่ยี วกบั สมเด็จพระผูมพี ระภาคเจา ก็เปน ฉันน้ัน เพราะพระ
ธรรมวนิ ยั ทรงแสดงวา เพียงพอแลว อัตภาพเปน สง่ิ ประกอบไปดว ยทุกขทจี่ ําตองทน แมจะบริบูรณ
ดเี พียงไร ก็ไมพน ทต่ี องลาํ บากดว ยภยั ธรรมชาติทั้งภายในและภายนอก ปรากฏประหน่ึงคูถแกผู
วางอปุ าทานในอตั ภาพแลว ฉะน้นั ใครๆ ผแู ลเห็นความลาํ บากของพระผูมพี ระภาคเจาในขอนี้ จึง
ไมส ามารถท่ีจะเห็นพระองคท รงลําบากพระกายไปนาน สว นการตําหนิพระอานนทในภายหลงั ก็
ทําไปพอเปน ทเี ทาน้นั ดังน้ี.

สรา งอินทรยี และพละ

อนิ ทรยี  คอื สภาวะท่เี กือ้ กูลแกค วามเปนใหญรา งกายธรรมดาของคน ตองประกอบดวย
อินทรยี  คอื ตา หู จมูก ล้นิ กาย และใจ จึงใหสาํ เรจ็ กิจในการ ดู ฟง ดม ลิม้ รับสัมผัส และรเู รอ่ื ง
ไดฉ นั ใด กายพิเศษซ่งึ เปน สว นภายในกายธรรมดาน้ีอีกชั้นหนง่ึ จะเปนกายท่มี อี ํานาจพรอมมูล
เพอ่ื ทํากจิ ใหส าํ เรจ็ ไดก ต็ อ งประกอบดว ยอินทรยี ฉ ันน้ัน อินทรยี ส าํ หรับกายช้ันในท่ีตอ งเพ่มิ เตมิ ข้ึน
มี ๕ ส่ิง คอื

๑. ศรทั ธา ความเชื่อม่นั ในความรขู องครูสงั่ สอนตน สําหรบั พระพทุ ธศาสนา ไดแกเช่อื พระ
ปญญาตรสั รูของพระพทุ ธเจา.

๒. วริ ิยะ ความเพยี ร คือความบากบั่นขยันขนั แขง็ ไมทอดธุระในการละความชว่ั ทําความ
ดียิง่ ๆ ขนึ้ ไป.

๓. สติ ความย้งั คดิ หรอื การตรวจตราควบคุมตนเอง มิใหพ ล้ังพลาดในการทํา พูด คิด ยงั
กจิ ทีป่ ระสงคใ หสาํ เร็จลลุ วงไปดวยดี.

๔. สมาธิ ความมใี จมนั่ คง ไมเหลาะแหละ ไมงอนแงนคลอนแคลน หนักในเหตผุ ลเท่ยี งตรง
..........................................................................................................................................................

๑. คําวา กปั ในท่นี ้ี หมายถงึ อายุกปฺโป คือเกณฑอายขุ ัยของคนแตละสมยั .

ทพิ ยอํานาจ ๖๐

เหมอื นเสาอินทขีล ไมหว่นั ไหวตอ ลมฉะน้ัน.
๕. ปญญา ความฉลาด คอื รสู ภาวธรรมตามความเปนจรงิ ถูกตอง เปนความรูแจมกระจาง

ในใจตัดความสงสัยลงได อยา งสูงหมายถงึ รทู างส้นิ ทุกขถ ูกตอง.
ธรรมทง้ั ๕ นี้ เม่ือไดทาํ การอบรมใหบ ริบูรณข ึ้นจนมอี าํ นาจในหนา ท่ีของแตล ะขอ แลว

จัดเปนพละและเปน อนิ ทรีย หรอื จะรวมเขา กนั เปนพละกาํ ลงั อนั ยิง่ ใหญก็ได ผูม ธี รรมหมวดนเ้ี ตม็
เปย มในตน เปนบคุ คลผูสามารถจะรับทิพยอาํ นาจไวใ นตนได ถาปราศจากธรรมหมวดน้ีแลว จะไม
สามารถรบั ทิพยอาํ นาจไวไ ดเ พราะกําลังไมพ อนั่นเอง ฉะนั้น กอ นจะกาวไปสทู ิพยอาํ นาจ จงึ ควร
สรางทิพยพละและอนิ ทรยี ขึน้ กอน.

ศรทั ธาขอตน ตอ งไดร บั การปลกู สรา งเพมิ่ เตมิ ใหไ พบูลยเปนศรัทธามั่นคง วริ ยิ ะขอ ๒ นั้น
เม่อื ไดอบรมตามหลักปธานสงั ขาร ในการเจริญอิทธิบาทแลวกเ็ ปนอันไดสรา งสาํ เร็จแลว สตขิ อ ๓
ตองอบรมตามหลกั สติปฏ ฐาน ๔ คือใหมสี ตติ ้ังมั่นในการรูเ หน็ กาย-เวทนา-จติ -ธรรม จนมสี ติ
ไพบูลยเปนมหาสติ สมาธขิ อ ๔ เมื่อไดเจรญิ ฌานมาตรฐานทงั้ ๔ ประการสําเรจ็ แลว ก็ช่อื วามี
สมาธิบริบูรณใ นขั้นน้ีแลว ปญ ญาขอ ๕ ตองอบรมใหมากขนึ้ และใหเปน สัมมาปญญาคอื รดู ีรูช อบ
จึงเปนคุณแกต น เมื่อมอี ินทรีย ๕ บรบิ ูรณข้ึนทุกประการแลว กายชนั้ ในคอื นามกายจะเปลยี่ นรูป
เปน ทิพยกายทนั ที มอี ินทรยี  ๕ นน้ั เปนสวนประกอบใหม อี าํ นาจเห็น-ไดย นิ -ไดกลิ่น-ลมิ้ รส-สัมผัส
และรูอ ะไรๆได เชนเดยี วกับกายธรรมดาของคนเราผูฝ กหัดชาํ นาญแลวสามารถถอดออกจากราง
หยาบๆ นี้ไปเที่ยวอยูใ นทิพยโลกได ขอ น้ีจะไดกลา วในวธิ ีสรางทพิ ยอํานาจในบทขางหนา.

เจริญโพชฌงค

โพชฌงค คอื องคธรรมอันเปนเหตใุ หเกิดการตรสั รขู ้ึนในดวงจติ หรือเปนเหตปุ ลุกจิตใจให
ตนื่ เต็มทม่ี ี ๗ ประการ คือ

๑. สติ ความยั้งคิด มลี ักษณะตรวจตราควบคมุ จิตใจ และปรบั ปรุงธรรมขออื่นๆ ใหสมดลุ
กนั เม่ือไดอบรมตามหลักสตปิ ฏฐาน ๔ เพียงพอแลว กช็ ื่อวามสี ติสมั โพชฌงค.

๒. ธมั มวิจยะ ความวจิ ยั ธรรม คอื พนิ ิจคิดคนเหตผุ ลของสงิ่ น้ันๆ จนทราบชัดแกใจจรงิ ๆ
เมื่อไดป ฏบิ ัติตามปธานสงั ขารในการเจรญิ อทิ ธิบาทขอ ๔ กช็ ือ่ วา มีธรรมวิจยสัมโพชฌงคแ ลว .

๓. วิริยะ ความเพยี ร มีนัยเชนเดียวกับในปธานสังขาร ในการเจรญิ อิทธบิ าทขอ ๒.
๔. ปติ ความดูดด่ืม ไดแกปต ิในองคฌานนัน่ เองเมื่อไดเจรญิ ฌานมาตรฐาน ๔ ประการ
รจู ักปลูกปตีแลว ก็ชอ่ื วา มีปต สิ ัมโพชฌงคแ ลว.
๕. ปส สัทธิ ความราบเรยี บของกายใจ ไมเคล่อื นไหวกายใจในกริยาทไี่ มจําเปน เมอื่ ได
เจริญฌานมาตรฐานจนถงึ ชน้ั จตุตถฌาน ระงับกายสังขารคอื ลมหายใจไดแลว ชื่อวามีปสสัทธสิ ัม-
โพชฌงคแลว .
๖. สมาธิ ความมีใจมั่นคง เมอ่ื ไดเ จริญฌานมาตรฐาน ๔ ประการใหบ ริบรู ณแ ลว กช็ อ่ื วามี
สมาธสิ มั โพชฌงคแ ลว.

ทพิ ยอํานาจ ๖๑

๗. อุเบกขา การเขาไปเพงดดู วยใจเปนกลางเทย่ี งตรง อันเปน เหตุใหรจู ริงเห็นแจง เมอ่ื ได
เจรญิ อุเบกขาฌาน คือฌานที่ ๔ สําเรจ็ แลว ก็นับวา มีอเุ บกขาสมั โพชฌงคพอสมควร ถายงิ่ ได
เจรญิ ถึงช้ันอเุ บกขาฌานแลวย่ิงชอ่ื วา มีอเุ บกขาสมั โพชฌงคบ ริบรู ณดี วิธเี จรญิ โพชฌงคท ่ีจะให
ไดผ ลดี ตองอาศัยหลัก ๔ ประการ เปน เครือ่ งประกอบ คอื

๑. อาศยั ความเงยี บเปนเครื่องประกอบ.
๒. อาศัยความพรากจิตจากกามคณุ เปนเคร่ืองประกอบ.
๓. อาศัยความดับธรรมที่เปนขาศึกเปนเคร่ืองประกอบ.
๔. อาศยั นอมจติ ไปในทางสละโลกเปน เครอ่ื งประกอบ.
ความเงยี บมี ๓ ชั้น คอื เงียบทางกาย เงียบทางจิต และเงียบจากกเิ ลสเปน เหตยุ ึดขันธ ๕ วา เปน
ตวั ตนแกน สาร ความพรากจติ จากกามคณุ เปนขั้นตน ของฌาน ตอ จากน้ันไปตองหัดพรากจาก
อารมณข องฌานท่ีหยาบกา วไปสฌู านประณีตโดยลาํ ดบั จนถึงพรากจากอารมณไดเดด็ ขาด ความ
ดับธรรมท่เี ปนขาศกึ น้นั หมายต้ังแตชน้ั ตํา่ ท่สี ดุ จนถงึ สงู ทีส่ ดุ ส่ิงใดเปนปฏปิ ก ษกบั ความดตี อ ง
พยายามดบั สิง่ น้ันใหหมด สว นความนอ มจิตไปในทางสละโลกนั้นเปนการหดั ใจใหร จู ักเสยี สละ
ประโยชนนอยเพ่อื ประโยชนใหญโ ดยลําดบั ไมอาลัยตดิ อยใู นความสขุ ชั้นต่าํ ๆ ที่ตนไดประสพใน
เมอื่ ยังมที างจะไดค วามสขุ ดีกวาประณตี กวานนั้ ขึ้นไปจนถงึ สละโลกท้งั สน้ิ เพ่อี บรรลุธรรมอนั ยิง่
กวา โลกในที่สดุ คาํ วาโลกในที่นี้ กพ็ งึ ทราบโดยนยั ที่กลาวมาแลวในตอนตนๆ ของบทน้ี มไิ ดหมาย
โลกคอื แผน ดนิ แผนฟา และประชาสัตวแตป ระการใด ผตู อ งการสิ่งใดทีด่ กี วาประณีตกวาโลกเม่อื
พบแลวก็จําตอ งสละโลกอยดู ี แตเม่ือมคี วามอาลัยไมยอมสละ กจ็ ะไมไดป ระสพสิ่งทด่ี ีกวา ประณีต
กวา ถาหากบงั เอิญไดป ระสพก็จะหลุดมือไปโดยเร็ว คนผูไมยอมสละโลกเพอื่ ไดธ รรมก็จะเปน
เหมือนบรุ ุษไมย อมท้งิ มดั ปา นในเมอ่ื พบแกว ฉะนนั้ มีนทิ านเลา มาวา มชี าย ๕-๖ คน ไดท ราบขา ว
วาบานรา งแหง หน่ึง มีคนลม ตายไปดวยโรคปจ จุบนั จนหมดจึงชวนกนั ไปเก็บเอาทรพั ยท ี่ถกู ทอดทง้ิ
ไว ชายคนหนง่ึ พอไปถงึ เรอื นหลังแรก ไดเห็นมัดปานก็ดีใจเหลือลน คา ทต่ี นชอบถกั แห จึงแบก
เอามดั ปานนั้นไป ครั้นสอบคนไปยงั เรือนหลงั อน่ื ๆ ก็ไปพบเงนิ ทองและแกว โดยลําดบั กนั คนอนื่ ๆ
เขาทิ้งสิง่ ท่ีเขาถือมากอ นซ่ึงมีคา นอยกวา เสีย แลวเก็บเอาสง่ิ มคี ามากกวา ไป สว นตาทีช่ อบมัดปาน
อา งวา ไดแ บกมานานแลว จะท้ิงกเ็ สียดาย ครั้นจะเอาเงินทองหรือแกว ซงึ่ เปนส่ิงมคี า กวาเพิม่ ขึน้ ก็
เหลือกาํ ลังของตวั จงึ คงแบกมดั ปานกลบั บาน คนอน่ื ๆ เขารา่ํ รวยมีเงินทองแกวเลี้ยงชพี เปนสุข
สืบไป สวนตาทช่ี อบปาน ก็ยงั คงนัง่ ฟน ปา นถักแหไปตามเดมิ นทิ านเร่อื งนส้ี อนใหร จู กั สละสงิ่ มีคา
นอย เพื่อถอื เอาสิ่งมคี า มาก จึงจะมสี ขุ สมปรารถนา.

เจรญิ อรยิ มรรค

อรยิ มรรค คือขอ ปฏบิ ัติสายกลาง ประกอบดวยองค ๘ เปนขอ ปฏิบตั ิประเสริฐนาํ ไปสูแ ดน
สุขสมบูรณค อื

๑. สมั มาทิฏฐิ ความเห็นถกู คือเหน็ อริยสัจ ๔ เปน เหตุใหอยากพน ทุกขไปสูแดนสขุ สมบรู ณ
คือ พระนพิ พาน.

ทิพยอาํ นาจ ๖๒

๒. สมั มาสังกปั โป ความคดิ ชอบ คอื คดิ ออกจากกามคุณ (= โลก) คดิ ออกจากความเคียด
แคน คิดออกจากความเบยี ดเบียน.

๓. สัมมาวาจา พดู ชอบ คือประพฤติสจุ ริตทางวาจา ไมม เี จตนาพูดใหรายหรอื ทาํ ลาย
ประโยชนใ คร.

๔. สมั มากัมมนั โต ทาํ การงานชอบ คือประพฤติสุจรติ ทางกาย ไมม เี จตนาทาํ รา ยใคร ไม
ลวงละเมิดสทิ ธิใ์ นทรัพยและสามีภรรยาของผูอ่นื .

๕. สมั มาอาชโี ว เล้ียงชวี ิตชอบ คือเวนมิจฉาชพี ประกอบสัมมาชพี เลย้ี งชวี ิต ไมย อมใหชีวิต
บงั คบั ใหป ระกอบกรรมบาปใสต ัว คือไมยอมทาํ บาปเพราะชวี ติ เปน เหตุ.

๖. สัมมาวายาโม พยายามชอบ คือพยายามละบาปอกศุ ล บําเพ็ญบุญกศุ ลใสต น ใหเปน
คนมีบุญมาก รงุ เรอื งดวยบญุ .

๗. สัมมาสติ นึกชอบ คอื นกึ ดูความจรงิ อันมีในกาย ในเวทนา ในจติ ในธรรม จนรูค วาม
จริงแจม แจง .

๘. สมั มาสมาธิ ความมัน่ คงของใจถกู ทาง คอื จิตเปน สมาธิตามหลักฌานมาตรฐาน ๔
ประการ เวน การประกอบสมาธิในทางผิด ซึง่ เปนไปเพื่อความผิดของขอ ปฏิบตั ทิ ุกๆ ประการ.

พระบรมศาสดาจารยต รัสวา “มรรคมีองค ๘ นี้ สัมมาสมาธิเปนองคป ระธาน๑ เปนประมขุ
นอกนั้นเปน องคประกอบ” เพราะเมอื่ บคุ คลมีใจม่นั คง เทยี่ งตรง มงุ ในทางถูกชอบแลว ความรู
เหน็ ความคิดอาน การพดู การทาํ การเลี้ยงชีพ ความพากเพยี รและความรอบคอบ ยอ มเปน ไป
ทางเดียวกันหมด พงุ สูจ ดุ หมายปลายทางที่ตนตง้ั ไว ยอ มจะบรรลผุ ลทม่ี งุ หมายสมประสงคโดย
รวดเร็ว สัมมาสมาธิเปรยี บเหมอื นเข็มทิศประจําเรอื เดินทะเลฉะน้ัน ถาเขม็ ทิศดีการเดนิ เรือยอ ม
บรรลถุ ึงที่หมายปลายทางสะดวกฉันใด การปฏบิ ัตธิ รรมก็เปน ฉันน้ัน.

การฝก ฝนอบรมจติ ใจตามวธิ ีเทา ทไ่ี ดบรรยายมาในบทที่ ๑ จนถึงบทท่ี ๔ นี้ ยอมเพียง
พอที่จะใชเปนเครอ่ื งมอื ปลกู สรา งทพิ ยอํานาจไดแ ลว เพราะจิตใจทไ่ี ดรับการอบรมตามวธิ ที ่ีกลา ว
มา เมอ่ื สาํ เร็จภมู ิรูปฌานท่ี ๔ แลว ยอมเปน จติ ใจทีม่ ีลกั ษณะดีงาม นิ่มนวล เหนยี วแนนมนั่ คง
และบริสทุ ธิ์ผดุ ผอง ควรแกก ารนอ มไปเพอ่ื ทพิ ยอาํ นาจอยางดี ถาทา นประสงคทพิ ยอํานาจใดๆ จะ
เปนชั้นโลกียก ็ตาม ชั้นโลกุตตระก็ตาม ก็ยอ มจะสําเรจ็ ไดดงั ประสงคทุกประการ.

แตว า ยงั มีภูมแิ หงจิตใจอีกบางประการ ซึง่ เปนอปุ กรณอ ยางดแี กท ิพยอาํ นาจ เปน เคร่อื ง
เลน เพลดิ เพลิน และบํารงุ พลานามยั อยางดีในพระพทุ ธศาสนา ควรศกึ ษาอบรมเพม่ิ เติมอีก ดงั จะ
ไดอ ธิบายในลําดับตอไปน.ี้

เจริญอรูปฌาน

อรปู ฌาน เปนภูมจิ ติ ใจท่ปี ระณตี ยิ่งกวาฌาน ๔ อนั เปน ฌานมาตรฐาน ที่ไดแ สดงแลว ใน
บทกอ นๆ ฌาน ๔ ประการนน้ั ทานเรียกชื่อรวมวารูปฌาน แปลตรงๆ วาเพง รปู แตความจริง
..........................................................................................................................................................

๑. องฺ. สตฺตก. ๒๓/๔๒

ทพิ ยอํานาจ ๖๓

มไิ ดเ พง รปู เสมอไป อารมณ คือขอ คดิ คํานึงหรอื พินจิ เพอ่ื อบรมจติ ใจใหเ ปน สมาธแิ ละเปนฌาน
ขัน้ ตนนั้น ยอมมที ้ังรูปธรรม ทัง้ อรปู ธรรม เชน หมวดอสภุ ะเปน รูปธรรม อปุ สมานสุ สติในหมวด
อนสุ สตเิ ปน อรปู ธรรม เปน ตน การทีท่ า นเรียกวารูปฌานยอ มหมายถึงภมู ิจิตใจเปนประมาณ คอื
จติ ใจในภมู นิ ยี้ ังแลเห็นรปู ธรรมในมโนทวารได แมอัตภาพของตนเองกเ็ ปนรปู ธรรม และปรากฏ
แกจิตใจอยูตลอดมา จนถึงฌานที่ ๔ ซ่ึงเปนช้นั สูงสุดในหมวดรูปฌาน สว นอรปู ฌานนั้นอารมณท่ี
นํามาคิดคํานงึ ก็เปน อรปู ธรรม เมอื่ จิตใจสงบเขา ถึงขีดข้ันของอรูปฌาน แมชนั้ ตน คอื อากาสานัญ
จายตนะก็จะไมส ามารถแลเห็นรูปธรรมในมโนทวาร แมอตั ภาพของตนเองกป็ รากฏเปนอากาศไป
ไมเห็นรปู รา งเหมือนในรูปฌาน ฉะน้ัน ทา นจึงเรยี กวาอรปู ฌาน ความแปลกตา งกันแหง รปู ฌาน
กบั อรูปฌานมีเพียงเทา นี้ ตอไปนี้จะไดอ ธบิ ายเปนขอๆ ผตู องการเจรญิ พงึ ศกึ ษาสาํ เหนยี กตามใหด ี
ดงั ตอไปนี้

๑. อากาสานัญจายตนฌาน

การท่ีจะทําความเขา ใจลักษณะฌานช้ันนไี้ ดแ จม แจง ผูศ ึกษาตอ งยอนไปสังเกตลกั ษณะ
ฌานช้ันที่ ๔ ในหมวดรูปฌานอกี ที จติ ในฌานช้ันน้ัน ยอมสงบม่นั คง รวมลงเปน หน่งึ มีอุเบกขา
และสติควบคุมอยูเปนใจบริสทุ ธ์ผิ อ งแผวปราศจากอุปกิเลส เปน ใจนมิ่ นวล ละมนุ ละไม ลมหายใจ
ระงบั ไป ปรากฏเปน กลมุ อากาศโปรงๆ แมอ ตั ภาพกป็ รากฏใสผองโปรง บางคลายแกวเจยี ระไน
ฉะน้นั สัมพาธะของฌานชน้ั น้ีกค็ ือลมหายใจ เมอ่ื ระงบั ไปไมปรากฏอาการเคลอื่ นไหว กลายเปน
อากาศหายใจแผซานคลุมตวั นิ่งอยู ทปี่ รากฏเปนกลุม อากาศใสๆ น่ันเอง ถากาํ ลงั แหง ความสงบใจ
ออ นลงเมอ่ื ใดก็ปรากฏมอี าการเคล่ือนไหว ทําใหเกิดความรสู ึกเปน ทกุ ข-สุขสะเทอื นถงึ ใจอยเู รอ่ื ยๆ
ไป ทานจึงจดั เปนเครอื่ งคับใจในฌานช้ันน้ี ผูประสงคจ ะหลกี หา งจากสัมพาธะขอ น้ีจงึ ทาํ ความ
สงบกาวหนาย่ิงขึ้น โดยวางสัญญาท่ีกาํ หนดหมายในรูป คอื อัตภาพอนั เปนท่ีตง้ั แหง ลมหายใจนั้น
และรปู อื่นๆ อนั มาปรากฏในมโนทวาร ทงั้ วางสัญญาทกี่ าํ หนดหมายในสิ่งตางๆ มีความรสู กึ นึกเห็น
เปน ตน ท้งั วางสัญญากําหนดหมายในสง่ิ สะเทอื นจติ ใจใหรสู ึกอดึ อัดดวย ทาํ ความกาํ หนดหมายอา-
กาสานะ คือ กลมุ อากาศหายใจท่ปี รากฏเปน กลุมอากาศโปรง ใสนน้ั ไวในใจเรื่อยไป ใจกจ็ ะสงบรวม
เปนหน่ึง มอี เุ บกขากํากบั กระชบั แนน ยิ่งขึ้น อากาสานะ คอื อากาศหายใจนน้ั จะโปรง ใสแผซ า น
กวางขวาง ไมมขี อบเขตจํากดั เหมอื นในจตุตถฌาน แมอัตภาพกจ็ ะโปรงใสกลายเปนอากาศไป ไมม ี
ส่งิ ใดๆ ทถ่ี ึงความเปนรปู จะปรากฏในมโนทวารในขณะนน้ั ความสงบจิตใจข้ันน้แี หละทเ่ี รยี กวา
อากาสานัญจายตนฌาน ผูเจรญิ ฌานชั้นน้พี ึงสาํ เหนียกไววา รปู สญั ญา คือความกําหนดหมายใน
รูปเปน สัมพาธะ คือส่งิ คับใจของฌานชั้นนี้ วิธีเจรญิ ฌานช้ันน้จี งึ ตองวางรูปสัญญาใหสนิท แลวใส
ใจแตอ ากาสานะอยา งเดยี ว กจ็ ะสาํ เรจ็ อากาสานญั จายตนฌานดงั่ ประสงค.

-
-
-

ทิพยอํานาจ ๖๔

๒. วิญญาณญั จายตนฌาน

อรปู ฌานท่ี ๑ น้ันมีส่งิ ทง้ั ๓ ปรากฏสมั พันธกนั อยคู ือ อากาสานะท่แี ผซา นกวางขวางเปน
อากาศโปรงใส เปน ทใ่ี สใจกาํ หนดหมายรอู ยนู ัน้ ๑ กระแสมโนวญิ ญาณคอื ความรเู หน็ อากาศนั้น
๑ และธาตุรซู ึ่งดํารงมัน่ คง ณ ภายในนั้น ๑ เมื่อสง่ิ ทงั้ ๓ น้ยี ังสัมพนั ธกนั อยตู ราบใด ความ
ปลอดภัยจากความสะเทอื นกย็ อมยงั หวงั ไมไดตราบนั้น เพราะอากาศเปน ตัวธาตุ และวญิ ญาณเปน
ตวั ส่อื สัมผัสนํากระแสสะเทอื นเขา สูจิตใจไดอยู อากาสานัญจายตนสัญญาจึงเปน สัมพาธะ คอื ส่ิง
คบั ใจไดอ ยูอ ีก ผูป ระสงคจ ะหลีกออกจากสงิ่ คบั ใจใหยง่ิ ขึน้ จึงพยายามวางสญั ญาน้ันเสยี มา
กาํ หนดหมายใสใจเฉพาะกระแสวญิ ญาณทางใจสบื ไป เม่ือใจสงบรวมลงเปน หนงึ่ มีอุเบกขากาํ กบั
มั่นคงแลว จะปรากฏเห็นกระแสมโนวญิ ญาณแผซานไพศาลไปทั่วอากาศท้งั หมด อากาศปรากฏ
ไปถึงไหน มโนวิญญาณก็แผซา นไปถงึ นั่น ไมม ขี อบเขตจํากดั ความสงบใจข้นั น้แี หละทา นเรยี กวา
วิญญาณญั จายตนฌาน ผตู อ งการเจริญฌานช้นั นีพ้ ึงทราบวาอากาสานัญจายตนสญั าเปนส่งิ คบั ใจ
ของฌานช้ันน้ไี ว วิธปี ฏิบตั กิ ็ตอ งพยายามปลอ ยวางสัญญานั้นเสีย หนั มาทําความกําหนดหมายใส
ใจแตวญิ ญาณ คือความรูทางใจอนั เปนกระแสรบั รูอากาศนั้นสบื ไป อยาไปใสใจอากาศเลย โดยวธิ ี
นี้กจ็ ะสําเร็จวิญญาณัญจายตนฌานสมประสงค.

๓. อากิญจญั ญายตนฌาน

อรูปฌานที่ ๒ วิญญาณกับอากาศยังมีสว นใกลชดิ กัน ทําใหเ กดิ การสังโยคกันไดง าย ไมเปน
ทป่ี ลอดภยั จากส่ิงคบั ใจ ผูประสงคท ําใจใหส งบประณตี หา งจากส่งิ บงั คบั ใจย่งิ ข้นึ จงึ ปลอยวาง
สญั ญาทก่ี ําหนดหมายกระแสวญิ ญาณนั้นเสีย มากาํ หนดหมายตัวมโนธาตุ คอื ผรู ซู งึ่ ดํารงอยู ณ
ภายใน ไมก ําหนดรูอะไรๆ อนื่ ๆ ในภายนอกแมแตน อย เมือ่ ใจสงบรวมลงเปน หนึ่งมอี เุ บกขากํากับ
อยอู ยา งมนั่ คง จะปรากฏมีแตธ าตุรูดํารงอยูโ ดดเดี่ยว ไมร ับรูอ ะไรๆ อืน่ ๆ ท้งั หมด นอกจาก
ความรสู กึ กลางๆ ทางใจเทานัน้ ปรากฏอยู จึงรสู กึ วา ไมมีอะไรแมนอยหนง่ึ (นัตถิ กิญจ)ิ กอกวน
จติ ใจใหราํ คาญ ความสงบจิตในขั้นน้ีทานเรยี กวาอากิญจญั ญายตนฌาน ผเู จรญิ ฌานชัน้ นพี้ งึ
สงั เกตสมั พาธะของฌานชั้นน้ไี วใหดี คือวญิ ญาณญั จายตนสัญญา ความกําหนดหมายกระแสมโน
วิญญาณนั่นเอง ปรากฏข้ึนทําความคับใจ คอื มนั อดทจ่ี ะรับรอู ะไรๆ อื่นๆ ในภายนอกไมไดนั่นเอง
เมื่อกระแสความรเู กิดข้ึนรบั รูอารมณอ ่นื ๆ จติ กต็ อ งถอยกลับจากอากญิ จัญญายตนฌานทันที วิธี
เจริญฌานชนั้ นจ้ี ึงตองพยายามกาํ หนดวางสญั ญาในกระแสวิญญาณใหเ ด็ดขาด จติ ใจกจ็ ะดํารงเปน
เอกภาพ มีความรูสึกกลางๆ ณ ภายในดงั ประสงค ช่ือวาสาํ เรจ็ อากญิ จญั ญายตนฌาน.

๔. เนวสัญญานาสญั ญายตนฌาน

อรปู ฌานที่ ๓ จิตใจดํารงเปน เอกภาพ มีความรสู ึกกลางๆ ณ ภายใน กระแสมโนวญิ ญาณ
คอยเกิดขึ้นรบกวน เปนเหตุใหร ับรูอะไรๆ อืน่ ๆ ซ่งึ ทําใหร ําคาญใจ คับใจ อดึ อัดใจ ยงั ไมป ลอดภัย
แท ผูประสงคความสงบใจโปรง ใจยง่ิ ข้นึ จึงสําเหนยี กทราบวา การกําหนดหมายรธู าตรุ นู ั่นเองเปน

ทพิ ยอาํ นาจ ๖๕

ตัวเหตภุ ายใน กอ ใหเ กดิ กระแสมโนวญิ ญาณคอยรบั รูอะไรๆ อยู จงึ พยายามวางมโนสญั ญาน้นั เสยี
แลวมากําหนดหมายความสงบประณีตของจติ ใจนั้นเองอยูเรื่อยไป เปนการผอ นสญั ญาใหอ อนลง
ใจจะไดส งบวางโปรงเปน เอกภาพจริงจงั ข้ึน เมอื่ ใจสงบรวมลงเปน หน่งึ ถงึ ความเปน เอกภาพ
เดนชัดข้ึนกวา เดิม ความรสู กึ อารมณเกอื บดับหมดไปแลว หากแตย ังมสี ญั ญาในความสงบประณีต
น้ันผกู มัดไวใ หจ ติ ใจแขวนตอ งแตงกบั โลกอยอู กี ยังไมเปนเอกภาพสมบรู ณจ รงิ ๆ สัญญายังเหลอื
นอ ย เกือบจะพูดไดวาไมม ี เปนสญั ญาละเอียดประณตี ที่สดุ เปนยอดสญั ญา พระบรมศาสดาตรสั
วา ฌานชัน้ นเี้ ปนยอดอปุ าทาน ดังนน้ั เราจึงเหน็ ความในพระประวัติของพระองคตอนเสดจ็ ไปทรง
ศกึ ษาลทั ธใิ นสาํ นักอาฬารดาบสและอทุ กดาบสนัน้ วา ทรงบรรลถุ งึ ฌานช้นั นี้ และทรงทราบวายงั มี
อปุ าทานไมใชนพิ พานแท ดังน้ี ความสงบแหง จติ ใจชั้นนแ้ี ล ทา นเรียกวา เนวสญั ญานาสญั ญายตน-
ฌาน ผปู ระสงคเ จรญิ ฌานชัน้ น้ี พงึ กําหนดรูสมั พาธะ คือสง่ิ ท่ที ําใหรูสกึ คับใจแคบใจขึ้นในฌานช้ัน
นไ้ี วใหดี ทา นวาอากญิ จญั ญายตนสญั ญา ซึ่งเมอ่ื กลา วใหชดั กค็ ือมโนสัญญานน่ั เองเปนตัวเหตุ
กอ ใหเ กิดความอึดอัดใจขึ้น มนั คอยจะโผลข ้นึ ในดวงจติ ทําใหมคี วามรสู กึ เต็มตวั รับรูอะไรๆ ข้นึ มา
อกี วิธีการในชน้ั น้ีคือพยายามดบั มโนสัญญาเสยี ใหห ายสนิทไปใสใ จอยแู ตความสงบประณีตของ
จิตใจสืบไป ใจกส็ งบลงเปน หนง่ึ ถึงความเปนเอกภาพ มคี วามรสู ึกกลางๆ กาํ กบั ใจอยูเพียงนิด
หนอย แทบจะกลา วไดวาไมมสี ญั ญา ชอื่ วาสาํ เร็จเนวสัญญานาสญั ญายตนฌานด่ังประสงค ฌาน
ชนั้ น้ีแลที่เปนปญหากันมากในหมูภกิ ษุในสมยั พทุ ธกาลวา บุคคลมีสญั ญาอยูแตไ มรับรอู ะไรๆ เลยมี
หรอื ไม? ทานแกกันวา มี และช้เี อาฌานชั้นน้ี ซ่งึ พระอานนทต รสั ความอัศจรรยไ ววา นาอศั จรรย
จรงิ ! อินทรยี  ๖ ก็มีอยู อารมณท้งั ๖ มีรปู เปนตนกม็ ีอยู สญั ญาของบุคคลกม็ ีอยู แตไ มร ับรูอะไรๆ
ไดเ ลย ดงั นี้.

รูปฌาน ๔ และอรปู ฌาน ๔ รวมกันตรัสเรยี กวา วิโมกข ๘ เปนธรรมเคร่ืองพน จากโลก
ตามลําดับกัน คือพนจากโลกหยาบๆ จนถงึ พน จากโลกช้ันละเอียดประณีต แตเปน ความพน ท่ยี งั
กาํ เริบได ไมเ ปนความพนเดด็ ขาด และตรสั เรยี กวา สมาบตั ิ ๘ คอื เปน ภมู ธิ รรมสําหรับเขาพกั ผอน
ของจติ เปน การพกั ผอนอยางประเสรฐิ ซง่ึ ทาํ ใหเ กิดพละอํานาจเพม่ิ พนู ขึ้นทกุ ๆ ที ผูประสงค
ความมอี ิทธิพลอนั ยิ่งพงึ ฝก ฝนอบรมตนใหบ ริบูรณด ว ยฌานสมาบัติ ดงั แสดงมาน้ี แลวทําการเขา
ออกใหชาํ นาญแคลวคลองวองไวตามลาํ ดับขัน้ ทั้ง ๕ ที่เรียกวาวสี ๕ ดังกลา วในบทท่ี ๒ น้ันแลว
ทานก็จะประสพความสาํ เร็จแหงทพิ ยอาํ นาจสมหวงั .

เจริญสญั ญาเวทยติ นิโรธ

ยังมีสมาบตั ิชั้นพิเศษอกี ช้ันหนงี่ ซึง่ สมเด็จพระบรมครู ไดท รงคน พบดว ยพระองคกอนใครๆ
แลว นาํ มาบญั ญตั เิ รียกวา สญั ญาเวทยติ นิโรธสมาบัติ และทรงวางวธิ ปี ฏิบัติไว ดงั จะกลา วตอ ไปนี้

ทานไดทราบเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบตั นิ ้ันแลว จะเห็นวา เปนภูมจิ ติ ท่ีสงู มากแลว แม
ยังมีสญั ญากเ็ หมือนไมมสี ัญญา ไมส ามารถรบั รูอ ารมณอ ะไรๆ ไดเลย ไฉนจะมีทางขึ้นตอไปอกี
พระบรมครขู องเราเมอ่ื ไดเ รยี นรูจบในสํานกั อาฬารดาบสและอุทกดาบส ทรงบรรลุถงึ ภูมจิ ติ ที่
เรยี กวา เนวสญั ญานาสัญญายตนะน้ันแลว ก็ตรสั ถามอาจารยว า ยงั มีภูมิจติ ทสี่ ูงยิ่งกวา นห้ี รอื ไม?

ทพิ ยอาํ นาจ ๖๖

ไดร ับตอบวา สดุ เพียงนี้ เมื่อทรงพจิ ารณาดว ยพระปรีชาญาณอนั เฉยี บแหลมกท็ รงทราบวายังมี
อปุ าทาน ดงั ไดก ลา วมาแลว จึงลาอาจารยเ สดจ็ ไปทรงคน ควา โดยลาํ พัง บังเอิญไปพบภกิ ษทุ ัง้ ๕
ท่เี รยี กวาปญ จวคั คยี  ซ่ึงออกบวชตดิ ตามหาพระองค ทา นทั้ง ๕ นี้ บางองคค อื โกณฑญั ญะ ไดเปน ผู
รว มทํานายพระลักษณะของพระองค และลงความเหน็ วา จะไดออกผนวชเปนศาสดาเอกในโลก จงึ
คอยเวลาอยู คร้ันไดทราบขาวการเสด็จออกผนวชของพระศาสดา จงึ ไปชวนเพอ่ื นออกบวชตาม
สวนองคอ ่ืนๆ นั้นเปนหลานของพราหมณผูไดรวมทาํ นายพระลกั ษณะ และลงความเห็นรว มกันกับ
โกณฑัญญพราหมณ จึงไดส่ังลกู หลานไววา เมอื่ พระศาสดาเสด็จออกทรงผนวชเม่ือไร จงรีบออก
บวชตดิ ตามทันที ฉะนั้นภกิ ษทุ ัง้ ๕ จึงไดติดตามมาพบพระองค ในเวลาทกี่ ําลังทรงเสาะแสวง
สันตวิ รบทโดดเดี่ยวพระองคเ ดียว จงึ พากันเขา ถวายตวั เปน ศิษยเ ฝา ปรนนบิ ัติตอ ไป พระศาสดา
ทรงเหน็ วาเปนผูไดผ า นการศึกษาลทั ธสิ มัยทางธรรมมาบาง จงึ ทรงปรึกษาหาทางปฏิบตั เิ พอ่ื รอด
พน จากสงั สารวฏั กะภกิ ษทุ ง้ั ๕ นัน้ ไดรับคําปรึกษาใหท รงทดลองปฏิบัตทิ รมานอยางอุกฤษฏ ท่ี
เรียกวา ทุกกรกริ ิยา จงึ ทรงนอ มพระทัยเชือ่ และทดลองปฏิบัติ วาระแรกทรงบาํ เพ็ญ อปาณกฌาน
คอื การเพง จนไมห ายใจ ทรงทําไดอ ยางอุกฤษฏ สุดท่มี นุษยธรรมดาจะทนทานได ก็ไมส ําเร็จผลดี
อยางไร จึงเปล่ยี นวิธใี หม คอื วาระที่ ๒ ทรงกลั้นลมหายใจไวใ หนานที่สุดที่จะนานได จนปวดพระ
เศียรเสียดพระอทุ รอยางแรง กไ็ มสําเรจ็ ผลดอี ีกเหมือนกนั จึงทรงเปลยี่ นวิธใี หม คือวาระท่ี ๓ ทรง
อดพระกระยาหาร โดยทรงผอนเสวยใหนอ ยลง จนถงึ ไมเสวยเลย ทรงไดรับทุกขเวทนาในการนี้
มากมาย ถงึ กบั สลบไสลสนิ้ สมปฤดีไปหลายครงั้ จงึ ทรงสนั นษิ ฐานแนพระทยั วาไมใชทางรอดพน ที่
ดแี น จงึ ทรงหวนนกึ ถงึ ความสงบพระหฤทัยทีไ่ ดท รงประสพมาเองในสมัยทรงพระเยาวว า จะเปน
หนทางที่ถูกเพ่อื ปฏบิ ตั ใิ หรอดพนได จงึ ตัดสนิ พระทัยดาํ เนนิ ทางนั้น ทรงกลบั ต้งั ตนบํารงุ พระกาย
ใหม ีกําลังแลว ทรงดําเนนิ ตามวธิ ที ีท่ รงคิดไว คอื ทรงกําหนดลมหายใจอนั เปนไปโดยปกตธิ รรมดา
ไมทําการกดขม บังคบั เพียงแตมพี ระสติตามรทู ันทุกระยะการเคลื่นเขา ออกของลมไปเทา น้นั ก็
ไดร บั ความสงบพระหฤทยั ไดทรงบรรลุฌานสมาบัติทง้ั ๘ โดยลําดบั แลว ทรงศึกษาสาํ เหนียก
จดุ สาํ คญั ของฌานสมาบตั ินนั้ ๆ จนทรงทราบชดั ตามความจรงิ ทกุ ช้ัน ดงั ทีต่ รัส สัมพาธะของฌาน
นัน้ ๆ ไวใหเ ปนที่กําหนดการโจมตี เม่ือเปนเชน น้ี จงึ ทรงทราบทางข้นึ ตอ ไปยงั จดุ สงบสูงสุด คือ
สัญญาเวทยติ นิโรธไดถกู ตอ ง เมื่อทรงทราบวาสัญญาที่เขาไปกาํ หนดหมายในอะไรๆ ทกุ อยา ง แม
เพียงนดิ หนอ ยก็เปน ตัวอุปาทานท่เี ปนเชือ้ หรือเปนส่ือสมั พันธกบั โลก กอใหเ กดิ การสงั โยคกบั
อารมณเกิดการกระเทือนจิตในข้นึ ได ทรงทราบวาการไมท าํ สญั ญากาํ หนดหมายในอะไรเลยนั่น
แหละเปนปฏปิ ทากา วไปสูจดุ สงบสงู สุด จึงทรงปฏิบตั ิตามน้ัน ก็ไดบ รรลถุ งึ สญั ญาเวทยิตนโิ รธสม
พระประสงคความสงบช้นั น้ี จติ ใจบรรลุถงึ ความเปนเอกภาพสมบรู ณ ไมม ีสัญญากาํ หนดหมาย
อะไร และไมมีความรูส ึกเสวยรสของอารมณแมแ ตอ เุ บกขาเวทนาเหมือนในฌานสมาบัติท่ีรองลงไป
กระแสโลก คือ รปู เสียง กล่ิน รส และโผฏฐัพพะ สง กระแสเขาไปไมถ ึง เพราะไมม สี ื่อสงั โยค จิต
กับโลกขาดออกจากกนั อยคู นละแดนเด็ดขาด นี้เปนความหลดุ พนของจติ ชัน้ สูงสุดในฝา ยโลกียท ่ยี งั
ตองกาํ เริบอยู เรยี กวา กุปปาเจโตวมิ ตุ ติ หรืออนิมิตตเจโตวิมุตติ เมอ่ื วา โดยลักษณะจิตใจแลวก็อยู
ในระดับเดยี วกนั กับโลกุตตรนิพพานน่นั เอง หากแตความพน ของจิตช้ันนย้ี ังไมกาํ จัดอวิชชาสวะให

ทพิ ยอาํ นาจ ๖๗

สญู สน้ิ หมดเชือ้ ได เม่ือใดกําจดั อวิชชาสวะใหส ูญสิ้นหมดเชอื้ ไดดว ยปญญา เมอื่ นน้ั ความพน ของจติ
จงึ เปน อกปุ ปาเจโตวิมุตติ วิมตุ ตทิ ไี่ มกาํ เรบิ สนิ้ ชาติ จบพรหมจรรย เสร็จกจิ กาํ จดั กิเลสแลว ไมต อง
เกดิ อีกตอ ไปในสังสารวัฏ หมดการหมุนเวยี นเกิดตายเพียงนนั้ ท่ีทานไมเ รียกวิมตุ ติน้วี าเปน ปญ ญา
วมิ ตุ ตเิ พราะมีฌานเปนบาทมากอ น ด่ังแสดงไวในจฬุ สาโรปมสตู รเปน ตัวอยา ง วิธปี ฏิบัติเพอ่ื บรรลุ
ถึงภูมิธรรมอันสูงสดุ นีจ้ ะไดแสดงในวาระแหงอาสวกั ขยญาณ ซงึ่ เปน ทพิ ยอํานาจสงู สดุ ในบทหนา.

สัญญาเวทยิตนิโรธนี้ เปนสมาบตั ชิ ้ันสงู สุดเปนท่พี กั ผอ นอยา งประเสรฐิ ท่ีสุด และเปน ยอด
แหงโลกยี วโิ มกข ทานกลาววา ผูเขา สมาบัติชนั้ น้แี มเอาภูเขามาทับก็ไมรูสึก และไมต ายดว ย ในเมื่อ
ยังไมถ งึ กาํ หนดออก คือผูจะเขา สมาบตั ชิ ้ันน้ีตองกาํ หนดเวลาออกไวดว ย เมื่อยังไมถึงกาํ หนดที่ต้ัง
ไวกจ็ ะไมอ อก เมือ่ ถึงกาํ หนดแลวจะออกเอง เวลาที่อยใู นสมาบตั ิชัน้ นี้รางกายจะหยุดเจรญิ เตบิ โต
และเสื่อมโทรม ดํารงอยูในสภาพเดิมจนกวา จะออก รา งกายจงึ จะทาํ หนาท่ีตามปกตติ อ ไป ดวย
เหตนุ ี้ทา นจงึ วาผูช าํ นาญในอิทธิบาทภาวนา อาจอธิษฐานใหชวี ติ ดํารงอยูไดก ปั หน่ึง หรือเกินกวา
กัปหนึ่งได.

ผูเขาสมาบตั ชิ ั้นน้ไี ด ทา นวามีแตพระอนาคามแี ละพระอรหนั ตเ ทาน้ัน และตองเปนผไู ด
เจรญิ สมาบตั ิ ๘ บริบูรณมากอ นดว ย ท่ีวาเปนยอดแหงโลกียวโิ มกขน ้ันหมายถงึ สัญญาเวทยิตนโิ รธ
ของพระอนาคามี เพราะอวิชชายังเหลอื อยู ยังมิไดถูกกําจัดใหหมดไปสนิ้ เชงิ แตท า นเปน ผทู ําให
เตม็ เปย มในอธิจติ ตสิกขา จึงสามารถเขา สมาบตั ิชนั้ นไี้ ด การท่ีนํามากลาวไวในอธิการนก้ี ็เพอื่ ให
ทราบวา ฌานสมาบัติในพระพทุ ธศาสนามีถงึ ๙ ช้นั เปรียบประดจุ ปราสาท ๙ ช้ัน ฉะนั้นสมาบัติ
๙ ชน้ั น้ี ทา นเรียกอีกอยา งวา อนปุ พุ พวหิ าร ซ่งึ แปลตรงศพั ทว า ภมู ิเปนทเ่ี ขาอยูตามลําดบั ช้ัน
สวนชั้นที่ ๑๐ เรยี กวา อรยิ วาส ภมู เิ ปนที่อยูของพระอรหันตโ ดยเฉพาะ ซง่ึ จะแสดงไวในบทที่ ๑๒.

กฬี าในพระพุทธศาสนา

ไดก ลา วมาในตน บทนวี้ า ในพระพทุ ธศาสนาก็มีกฬี าสําหรบั เลนเพลดิ เพลนิ และบาํ รุง
พลานามยั ฉะนน้ั ในวาระนจ้ี ะไดก ลาวถงึ กฬี าในพระพุทธศาสนาไว เพ่อื ผูมีใจเปนนักกีฬาจะได
เลน เพลิน และบาํ รุงพลานามยั ดงั กลา วแลว .

ในพระวนิ ยั หมวดอภิสมาจาร มพี ระพทุ ธบญั ญตั หิ ามกิริยานอกรตี นอกรอยของสมณะไว มี
การเลนอยางโลกๆ หลายประการ ตรัสวา ไมเ ปน การสมควรแกสมณะ แลว ทรงแสดงกีฬาอนั
สมควรแกส มณะไว ๒ ประการ คอื ฌานกฬี า และ จติ ตกีฬา ฌานกฬี าไดแกการเลน ฌาน จิตต
กีฬาไดแ กการเลน จติ มีอธิบายดังตอไปนี้

๑. ฌานกฬี า ฌานและสมาบัตดิ งั ไดกลา วมาในบทท่ี ๑-๒ และบทนี้ นอกจากบําเพญ็ ไว
เพือ่ เปน บาทฐานแหง การเจริญทิพยอํานาจ และเปน อปุ กรณแกท พิ ยอาํ นาจดังกลาวแลว ยงั เปน
เครอ่ื งมือในการกฬี าเพ่ือเพลิดเพลนิ และเพอ่ื พลานามัยดว ย การเขา ออกฌานตามปกติเปนไปโดย
ระเบียบ ไมมกี ารพลกิ แพลงผาดโผน จดั วาเปน การเจรญิ ฌานเพ่ือประโยชนเจรญิ ทพิ ยอํานาจ สวน
การเขาออกฌานโดยอาการพลิกแพลงผาดโผนนัน้ จดั เปน การกีฬาฌาน เปน ไปเพือ่ ความ
สนุกสนานเพลดิ เพลนิ และเพ่ือพลานามัย.

ทพิ ยอาํ นาจ ๖๘

การเขาออกฌานเพอื่ เปน การกีฬานน้ั พระโบราณาจารยไดว างแบบไว ๔ แบบ มีช่ือเรียก
ดงั ตอ ไปน้ี

ก. เขาลําดับ ไดแกฌานตามลําดบั ฌานและลําดับอารมณข องฌาน อารมณข องฌานทีใ่ ช
เลน กนั โดยมากใชแตกสิณ ๘ ประการ คือ รปู กสณิ ๔ วรรณกสณิ ๔ รวม ๘ พอดกี ับฌาน ๔ ชั้น
วิธเี ขา คอื ใชปฐวีกสิณเปนอารมณเ ขา ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแลวเขาทตุ ิยฌาน ออกจากทตุ ยิ
ฌานแลวเขาตตยิ ฌาน ฯลฯ จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แลว เปลย่ี นอารมณใหม
ตามลาํ ดบั กนั คือ ใชอาโปกสณิ เปน อารมณ เขา ออกฌานทง้ั ๘ ตามลาํ ดับโดยนยั กอ น ทาํ อยางนี้
จนหมดกสณิ ทง้ั ๘ วธิ ีของพระโบราณาจารยท านใชเทยี นติดลูกสลกั ตั้งไวใ นบาตร จดุ เทียนนน้ั ตงั้
ไวขา งหนา สาํ หรับกาํ หนดเวลา เมอ่ื ลูกสลกั ตกลงในบาตรมเี สียงดงั ก๊ัก ก็เปลย่ี นฌานทหี น่งึ จะทาํ
กาํ หนดเขาฌานช้ันหนงึ่ ๆ นานสักเทา ไรก็แลวแตความพอใจ แลว กําหนดเวลาโดยลกู สลักน้ันเอง
ถาตดิ ลูกสลักหา งกัน เวลาในระยะฌานหนง่ึ ๆ กต็ อ งหา งกัน ถาตดิ ลูกสลกั ถ่ี เวลาในระยะฌาน
หน่ึงๆ ก็สั้น ลกู สลักนัน้ ทําดว ยตะก่ัว ทําเปน ลูกกลมๆ ขนาดเทาลกู มะขามปอมหรอื ลูกมะยม ลกู
สลักน้บี างทีทา นกเ็ รยี กวาลกู สังเกต สําหรบั สงั เกตเวลานัน่ เอง การเขา ลาํ ดับนไี้ ดอธบิ ายมาแลวใน
วธิ ีเจรญิ รูปฌาน ๔ เพ่ือความชาํ นาญในการเขา ออกฌานตามลาํ ดบั ชั้น ทีน้ีตองลาํ ดบั ฌานถึง ๘
ชั้น และลําดบั อารมณถ ึง ๘ อยาง คงตองกินเวลามใิ ชเล็กนอย แตค งไมรสู ึกนานสาํ หรับผูเพลินใน
ฌาน เหมอื นคนเลน หมากรกุ หรอื เลนไพเพลนิ ยอ มรสู ึกวาเวลาคืนหนง่ึ ไมนานเลยฉะนั้น ผูเลนฌาน
ก็ยอมเปนเชน เดยี วกนั .

ข. เขาทวนลําดบั ไดแกเขาฌานชั้นสูงกอ น แลว ทวนลงมาหาฌานชนั้ ตน อารมณข อง
ฌานกเ็ หมือนกัน ใชโอทาตกสิณกอน แลวจงึ ใชก สิณทวนลงมาถงึ ปฐวกี สิณ เปนการทวนลําดับทั้ง
ฌานและกสิณอนั เปนอารมณของฌาน วิธกี ารกาํ หนดเวลาก็ใชลกู สลกั หรอื ลูกสังเกตเชนเดยี วกบั
วิธีในขอ ก.

ค. เขา สลบั มี ๒ วิธีคือ สลับฌานวธิ ีหน่ึง สลบั อารมณข องฌานวิธีหน่งึ วธิ ีตน ใชอารมณ
ตามลําดับ แตส ลบั ฌานในระหวา งๆ คอื เขาปฐมฌาน ทุตยิ ฌาน อากาสานญั จายตนะ อา
กญิ จัญญายตนะ ทตุ ิยฌาน จตุตถฌาน วญิ ญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสญั ญายตนฌาน สวน
วิธีที่ ๒ เขา ฌานตามลําดับแตส ลบั อารมณ คอื ฌานที่หนงึ่ ใชปฐวีกสณิ เปน อารมณพ อถงึ ฌานท่ี ๒
ใชเตโชกสิณเปนอารมณ ฯลฯ ตัวอยางเปนดังนี้

ปฐม – ปฐวี,
ทุตยิ – เตโช,
ตติย – นลี ,
จตุตถ – โลหิตะ,
อากาสานัญจายตนะ – อาโป,
วิญญาณญั จายตนะ – วาโย,
อากญิ จญั ญายตนะ – ปต ะ,
เนวสัญญานาสญั ญายตนะ – โอทาตะ

ทพิ ยอํานาจ ๖๙

แลวยังมีพลกิ แพลงตอไปอกี คือ สลบั ทง้ั ฌานทงั้ อารมณข องฌาน การกําหนดเวลาใชล กู
สลกั ดังในขอ ก.

ง. เขา วัฏฏ ไดแ กก ารเขาฌานเปน วงกลม คอื เขาไปตามลาํ ดบั ฌานถงึ ท่สี ุด แลวกลับ
เขา ฌานท่ี ๑ ไปอีก วนไปจะกี่รอบก็แลว แตค วามพอใจของผเู ลน การกาํ หนดเวลาใชล กู สลกั
เชนเดยี วกบั ในขอ ก. วิธเี ขา ฌานแบบวงกลมนีท้ านสมมุตเิ รยี กอีกอยางวา “หว งลกู แกว” ดกู ็
สมจริง เพราะจติ ใจทดี่ าํ รงอยใู นฌานยอ มผอ งใสเหมอื นแกว เม่อื เขาฌานเปนวงกลมกย็ อมทําให
แกวคอื ใจนน้ั เกดิ เปนวงกลมขึ้น และวงกลมนน้ั เกยี่ วเนือ่ งกันไปดจุ สายสรอ ยสงั วาล หากจะเรียกให
สละสลวยขนึ้ อกี วา “สงั วาลแกว ” ก็นาจะเหมาะด.ี

การใชลกู สลกั เปน เคร่ืองกาํ หนดเวลานั้น ใชแตในเม่ือยงั ไมชํานาญในการกาํ หนดเวลา ครั้น
ชํานาญในการกาํ หนดเวลาดว ยใจแลว ก็เลกิ ใชล กู สลกั ได.

๒. จิตตกฬี า จิตทไี่ ดร บั การอบรมดว ยสมาธติ งั้ แตช้ันตาํ่ ๆ เพยี งความเปนหนึ่งของจิตชั่ว
ขณะหนึ่งข้ึนไป จนถึงความสงบประณตี ของจติ ช้ันสงู สุด และท่ีไดอ บรมดวยคุณธรรมตางๆ มี
ศรทั ธาความเชอ่ื เปนตน ยอ มเกดิ มีพละอํานาจ สามารถทาํ การพลิกแพลงผาดโผนไดแปลกๆ ยอม
กอ ใหเกดิ ความสนกุ สนานเพลิดเพลนิ และเกดิ พลานามัยเพ่ิมพูนข้ึนดว ย การเลนกฬี าทางจติ นไี้ ม
มขี อบเขตจํากดั อาจดดั แปลงพลิกแพลงเลนไดต ามชอบใจ แตตอ งเปนกฬี าทีเ่ ปนประโยชนดวย
จะกําหนดไวพอเปน แนวคดิ ดังตอ ไปนี้

ก. แบบกายบรหิ าร เปนการเลน เพ่ือบรหิ ารกายใหมีสุขภาพอนามัยดี และเพื่อเปน กายค
ตาสตดิ วย วิธเี ลน ใชจ ติ ทปี่ ระกอบดวยกระแสตางๆ พุง ผา นไปท่ัวรา งกายทกุ ๆ สว น ใหสัมผสั ดวย
กระแสจิตตามชนิดทีต่ อ งการ ทานกําหนดกระแสจติ ท่คี วรใชไว ดงั น้ี

๑. จิตประกอบดว ยกระแสวติ ก คือความคิด
๒. จติ ประกอบดวยกระแสวจิ าร คอื ความอา น
๓. จติ ประกอบดว ยกระแสที่ปราศจากวติ กวจิ าร
๔. จติ ประกอบดวยกระแสปต ิ คอื ความช่ืนบาน
๕. จิตประกอบดว ยกระแสปราศจากปต ิ
๖. จติ ประกอบดว ยกระแสความสุขใจ
๗. จติ ประกอบดว ยกระแสอเุ บกขา คือความมีใจเปนกลาง.
ทาํ จติ ใหป ระกอบดว ยกระแสเหลา น้ีอนั ใดอันหนึ่ง แลว แผก ระแสน้ันไปยงั สวนตางๆ ของ
รางกายจากบนถึงลาง จากลางถงึ บน กลับไปกลบั มาหลายๆ เทย่ี ว จะใชอิริยาบถนอนหรือนัง่ ก็ได
ทางกายเมือ่ ไดรับสัมผัสกับกระแสจติ ทัว่ ถึงเชน น้ี ยอมมีกําลังกระปรกี้ ระเปรา เลอื ดลมยอมเดนิ
สะดวก ทําใหผวิ พรรณสดใสขึ้น.
อนึ่ง จติ ท่นี ํากระแสแผซ านไปตามสวนตางๆ ของรางกายนน้ั จะบงั เกิดความรจู กั สว น
ตา งๆ ของรางกายดขี นึ้ เทา กบั เรียนรกู ายวภิ าควทิ ยาไปในตวั .
นอกจากกระแสจติ ๗ ประการ ดงั กลาวแลว แสงสตี า งๆ กป็ ระกอบเปนกระแสจิตได
เชนเดยี วกัน แสงสีนวลท่เี รียกวา อาโลกะ ก็เปน ประโยชนในทางบําบัดโรคในกายบางประการ ท้ัง

ทิพยอํานาจ ๗๐

ทําใหผวิ พรรณผุดผอ งคลา ยทาดวยแปงนวลฉะนัน้ แสงสเี หลืองออนอกี หนงึ่ เปนประโยชนท าํ ให
รางกายสดชน่ื ผวิ พรรณสดใสเปลง ปลงั่ วธิ ที ํา กําหนดจิตใหประกอบดวยแสงสวางสีนวล หรือสี
เหลอื งออ นดังกลา วแลว แลว แผก ระจายแสงสนี น้ั ไปท่ัวสรรพางคก ายทุกสว น ทวนข้ึน-ตามลง
หลายๆ เทย่ี ว ก็จะเกดิ ประโยชนด งั กลาวแลว.

ข. แบบจติ ตบริหาร เปน การกฬี าเพอ่ื บรหิ ารจิตใหมีสุขภาพอนามัยและอทิ ธิพล ควบไป
กับความเพลดิ เพลิน เพราะธรรมชาติของจติ ใจกเ็ ปน สิ่งทตี่ อ งการความบริหารเชนเดียวกบั รา งกาย
จติ ใจท่ไี ดร ับการบรหิ ารดี ยอมมีความสุข ปราศจากโรค และมีอิทธพิ ล ความฉลาดในกระบวนจติ
ยอ มเปน ประโยชนในการบรหิ ารจิตอยางมาก การทาํ อะไรอยางเปนการเปนงานเสมอไป ยอมทํา
ใหรสู กึ เหนด็ เหน่อื ยและระอิดระอา ถา ทาํ เปนการกีฬาเสียบาง แมจะตอ งเหน็ดเหนือ่ ยก็รสู กึ วา ให
เกดิ กําลังใจ มีความแชม ช่นื เบกิ บานดีขึ้น ฉะน้นั ปราชญท างจติ ใจทานจึงกาํ หนดใหมกี ฬี าทาง
จติ ใจขึ้นใช จติ ตกีฬาท่ีจะเปน ประโยชนบริหารจติ ใจนั้นกไ็ ดแก การแตง อารมณ คือแตงความรสู ึก
ใหเปนไปในสง่ิ ตางๆ หรอื โดยวธิ ีตา งๆ ดังตอ ไปนี้

๑. แตง ความรสู ึกตามกระแส ทุกส่งิ ยอ มมกี ระแสในตวั ของมันเอง สงิ่ ท่ีนารักก็มกี ระแส
ความรกั เปนประจํา สงิ่ ท่นี าเกลียดกม็ ีกระแสความเกลยี ดเปนประจํา เมื่อเราไดป ระสบหรือนกึ ถงึ
สงิ่ ทนี่ ารักหรอื นาเกลียด เรากจ็ ะเกิดความรสู กึ รกั หรอื เกลียดข้ึนทันที การแตง ความรูสึกอนโุ ลม
ตามกระแสของส่ิงน้ันๆ อยางนี้ เปนจติ ตกีฬาขั้นแรกทาํ ไดง า ยๆ.

๒. แตง ความรสู ึกทวนกระแส ทกุ สิ่งยอ มมกี ระแสดังกลา วในขอ ๑. ทีนใ้ี หพ ยายามทํา
ความรูส กึ ทวนกระแสของสง่ิ นั้นๆ ขึ้นไป คือ แทนท่ีจะรสู ึกรักในส่งิ นารกั กใ็ หรูส กึ เกลียด แทนท่ี
จะรูสกึ เกลียดในสิง่ นา เกลยี ด กใ็ หรสู กึ ไมเกลยี ด ดังนี้เปนตน ข้ันน้อี อกจะทําไดยาก แตถา ทําได
จะเปน ประโยชนม าก.

๓. แตงความรสู ึกตดั กระแส คอื ใหร สู ึกรักก็ได ไมร ักก็ได ท้ังในสงิ่ นา รกั ท้ังในส่งิ ไมน า รัก ทาํ
ใหรสู ึกเกลียดก็ได รูส กึ ไมเ กลียดก็ได ทั้งในสง่ิ นา เกลยี ดทงั้ ในส่งิ ไมนาเกลียด ขน้ั น้ยี ิง่ ทาํ ไดย าก ถา
ทําไดก เ็ ปน ประโยชนย ่งิ .

๔. แตงความรูส กึ เปน กลางระหวา งกระแส คือ ใหม ีความรสู กึ เปน กลางในส่งิ นารกั และนา
เกลียด ในสง่ิ นา ยินดแี ละนา ยนิ รา ย ในส่งิ นา ต่ืนเตนและไมนา ตืน่ เตน ฯลฯ ขั้นนี้ทําไดยากทีส่ ุด
และถา ทําไดก เ็ ปน ประโยชนทสี่ ดุ .

๕. กําหนดความรูสึกเห็นเปนอสภุ ะข้นึ ในรางกายตนเอง หรอื ในรางกายของผูอ่นื อยางใด
อยา งหนง่ึ ถาจิตตนเองมีกามราคะอยู กามราคะก็จะดับไปจากจิตทนั ที ถากามราคะมีอยใู นจิต
ของผอู ื่นซึ่งเปน ผูถูกเพง ใหเ ปนอสุภะนัน้ กามราคะก็จะดับไปจากจิตผนู ั้นทันท.ี

๖. กาํ หนดความรูสกึ เมตตาข้นึ ในจิตใหเ ต็มเปย ม แลวกระจายความรสู กึ นัน้ ออกไปจากตวั
โดยรอบๆ ทุกทศิ ทกุ ทาง เปน ปรมิ ณฑลกวา งออกไปโดยลําดับ จนไมมีขอบเขต ครอบคลุมโลกไว
ท้งั หมด แลวทวนกลับคืนเขา หาตวั เอง จะเกิดเมตตาพละข้นึ ในตน สามารถระงบั ความเปนศตั รูท่มี ี
อยใู นผอู น่ื ได และทําใหบ ังเกิดจติ เมตตาขน้ึ ในคนทงั้ หลาย ในสัตวท ้ังปวง.

ทิพยอํานาจ ๗๑

๗. กาํ หนดความรูส กึ กรุณา-มทุ ติ า-อุเบกขา ข้ึนในจิตใหเต็มเปย มแลวทําโดยนยั ขอ ๖ จะ
เกดิ กรุณาพละ มุทติ าพละ และอเุ บกขาพละข้นึ ในตน กรณุ าพละสามารถกาํ จดั วิหิงสาคือความ
เบยี ดเบียนได มทุ ิตาพละสามารถระงบั ความรษิ ยา และปลูกความชืน่ บานแกบ ุคคลได อุเบกขา
พละสามารถระงับกามราคะ ความกาํ หนัดในเพศตรงกนั ขา มใหส งบลงได.

๘. กําหนดใหเ หน็ พละอํานาจ อนั มอี ยูในสิ่งตางๆ เชน กําลงั ชางสารเปนตน แลวนอ มนึก
ใหรูสกึ วา กาํ ลังอาํ นาจของส่ิงนัน้ ๆ ไดม ามีอยใู นตัวของตน จะบงั เกิดมกี าํ ลังขึน้ เสมอกบั กาํ ลังของ
ส่ิงทต่ี นกาํ หนดเห็นน้ัน.

๙. กําหนดใหเกิดความรูสกึ วา กายของตนเบาเหมือนสาํ ลี และมีความรวดเรว็ ดัง่ กาํ ลงั ของ
จติ จะบังเกดิ อิทธพิ ลขน้ึ ทาํ ใหก ารเดนิ ทางถึงเรว็ ไมรูสึกเหน็ดเหนือ่ ย.

๑๐. กาํ หนดความสวา งแจม ใสข้ึนในใจ แลวแผก ระจายความสวางนัน้ ออกไปรอบๆ ตวั เปน
ปรมิ ณฑล แผกวา งออกไปโดยลําดับจนท่ัวโลกท้ังสน้ิ จะทําใหรสู ึกปลอดโปรง แลเห็นโลก
กวา งขวางไมคับแคบ.

๑๑. กําหนดความรสู กึ กลน่ิ ตา งๆ ขึน้ ใหร ูส กึ ประหนึ่งวากลิ่นนนั้ ๆ ไดมอี ยู ณ ท่ีนัน้ ในขณะ
น้นั จะเกดิ อิทธิพลในการสรา งกล่นิ ขึ้น ใหปรากฏในความรสู ึกของผอู น่ื ไดดว ย สามารถระงับกลิ่นท่ี
ไมพงึ ประสงค สรางกล่ินทพี่ ึงประสงคข ึน้ ใชไดด ว ยอาํ นาจใจ.

๑๒. กาํ หนดความรสู ึกนกึ เห็นภาพของส่ิงตางๆ เชน ดอกไมเ ปน ตน ใหชัดใจตนเอง แลวให
รูสกึ ประหนึ่งวา ภาพน้ันไดปรากฏแกส ายตาของผอู น่ื ดว ย จะบังเกดิ อิทธพิ ลสามารถเนรมิตภาพ
ของสง่ิ ตางๆ ข้นึ ใหปรากฏแกส ายตาของคนอน่ื ๆ ได.

การกีฬา เทาท่ไี ดกาํ หนดไวพอเปนตวั อยา งนี้ ถาพยายามเลน ทุกๆ วนั ยอ มจะไดผลคุม คา
ของเวลาไมเหน่ือยเปลา ขอใหทา นทดลองเลนดู แลวจะติดใจ.

ค. แบบอทิ ธพิ ล เปน กฬี าชนิดทเี่ พิ่มพนู พละอํานาจสามารถในสิง่ ตา งๆ อยา งนาอศั จรรย
เปนการบริหารทงั้ กายและจติ ไปพรอมๆ กัน แบบนี้ตอ งใชอวัยวะเปนที่กาํ หนด คอื เปน จดุ เพงของ
จิต พระโบราณาจารยกําหนดไว ๙ แหง โยคกี าํ หนดไวม ากกวา ๙ แหง เมื่อเพงตรงอวัยวะน้ันๆ
จะบังเกดิ ผลคือ อทิ ธพิ ลตางๆ กนั ดังตอไปน้ี

๑. ตรงทอ งนอยใตสะดือประมาณ ๒ นว้ิ จะบังเกดิ ผลผอนบรรเทาทกุ ขเวทนาทางกายลง
ได.

๒. ตรงสะดอื จะบงั เกดิ รูเหน็ สว นตา งๆ ของรา งกายข้ึนตามความเปนจริง.
๓. ตรงเหนอื สะดือประมาณ ๒ น้ิว จะบังเกดิ ความรสู กึ กําหนัด และเกิดกําลงั กาย
กระปรก้ี ระเปราขน้ึ .
๔. ตรงทรวงอกระดบั หัวใจ จะบังเกดิ การตรัสรขู ึ้น.
๕. ตรงคอกลวง ใตลูกกระเดอื ก จะทําใหห ลบั .
๖. ตรงคอกลวง เหนอื ลูกกระเดือก จะทาํ ใหหายหวิ .
๗. ตรงปลายจมกู จะกอ ใหเ กดิ ความปต ยิ นิ ดี ซาบซาน.
๘. ตรงลกู ตา จะบังเกิดจติ ตานภุ าพ.

ทพิ ยอํานาจ ๗๒

๙. ตรงระหวางค้ิว จะบังเกดิ ความตน่ื หายงว งได.
๑๐. ตรงกลางกระหมอ ม จะบงั เกดิ ปฏิภาณผอ งแผว และสามารถเหน็ ทวยเทพไดดวย.
๑๑. ตรงทา ยทอย จะไมร สู กึ ทุกขเวทนาทางกายแตป ระการใด เปนทห่ี ลบเวทนาไดดี.
๑๒. ตรงประสาทท้งั ๕ จะบังเกิดสมั ผสั ญาณ มีความสามารถรบั รสู ่งิ ท่มี าสัมผสั ทาง
ประสาททัง้ ๕ ไดด .ี
นอกจากท่รี ะบไุ วน ีก้ ม็ อี ีกหลายแหง แตเ ห็นวาเกินความตอ งการ เทา ท่รี ะบุไวน ้กี ็พอสมควร
แลว เปน ที่ท่คี วรฝก หัดเพงจิตกําหนดเลน ๆ ดูทกุ วัน วนั ละ ๕ นาทีถึง ๑๕ นาที กจ็ ะเหน็ ผลบา ง
ตามสมควร อยางนอยกเ็ ปนการบริหารกายและจิต และเปน อันไดเจรญิ กายคตาสตไิ ปในตวั ทาน
พรรณนาอานิสงสการเจรญิ กายคตาสตไิ วมากมาย มีใหสาํ เร็จอภิญญา ๖ ประการเปนตน ฉะนั้น
ขอเชญิ ทานหันมาเลนกีฬาทางจติ ในพระพทุ ธศาสนาน้ดี ูบาง บางทีจะสนกุ ดีกวากฬี าทางกายเปน
ไหนๆ.

หลวงปูม่นั ภูริทตฺโต

ทิพยอํานาจ ๗๓

บทที่ ๕

วิธปี ลกู สรา งทพิ ยอาํ นาจ

บดั นี้มาถงึ บทสําคญั ซง่ึ เปน จหุ มายของหนงั สอื เลมนี้แลว ขาพเจา จะไดพ าทา นทาํ ความ
เขา ใจลักษณะ พรอ มดวยวธิ ีปลกู สรางทพิ ยอาํ นาจแตละประการ ตามหวั ขอท่ีไดยกขึน้ ไวใ นบทนาํ
นั้นแลว.

แตกอนท่ีจะนาํ ทา นไปทําความเขาใจลักษณะทิพยอํานาจแตละประการน้ันจะขอพาทาน
ทาํ ความเขาใจในสว นทัว่ ไปเสยี กอน เพราะเปน ปญหาเฉพาะหนาซ่ึงจาํ ตองเขาใจกระจางแจง เสยี
แตเ บือ้ งตน จงึ จะไมเกิดเปนปญหายุงยากในระหวางทีท่ าํ ความเขา ใจทพิ ยอาํ นาจแตละประการ
น้นั .

คาํ วา “ทพิ ยอํานาจ” เปนคําทีข่ าพเจาบญั ญัติขึ้นเอง เพอื่ เรีกอภิญญาและวิชชาชั้นสูงใน
พระพทุ ธศาสนาอยางส้นั ๆ เทานน้ั อภิญญาและวิชชาในพระพุทธศาสนานั้น เปนวชิ ชาทีแ่ ปลก
ประหลาดมหัศจรรย คลายสาํ เร็จดว ยอํานาจเทพเจา ทงั้ บางวิชชาก็มีช่ือเรียกวา “ทพิ ย....” เสีย
ดว ย เชน ทิพพโสต ทพิ พจักขุ แตขา พเจามงุ หมายจะรวมเรยี กวชิ ชาน้ันๆ ดว ยคําส้ันๆ ใหเรียก
งายๆ และเหมาะสมเทาน้ัน ฉะนน้ั ขอทา นผอู านอยาไดต ีความหมายของชอื่ นไี้ ปเปนอยา งอ่นื .

อภิญญาในพระพทุ ธศาสนามี ๖ ประการ สวนวิชชาช้ันสูงในพระพทุ ธศาสนามีหลาย
ประเภท เรียกวาวิชชา ๓ ประการบา ง วิชชา ๘ ประการบาง เมื่อประมวลอภญิ ญาและวิชชาเขา
กันแยกเรยี กเฉพาะแตทีแ่ ปลกกนั ไดเพียง ๘ ประการ ดงั จะยกช่ือมาไวอกี ดังน้ี

๑. อทิ ธิวธิ ิ ฤทธต์ิ า งๆ
๒. มโนมยทิ ธิ ฤทธ์สิ ําเรจ็ ดว ยใจ
๓. เจโตปริยญาณ รูจ ักใจของผูอ ื่น
๔. ทิพพโสต หทู พิ ย
๕. ปพุ เพนวิ าสานสุ สติ ระลกึ ชาติกอนได
๖. ทพิ พจักขุ ตาทิพย
๗. จตุ ูปปาตญาณ รูสตั วเกิด-ตาย ไดดี-ตกยากดวยอํานาจกรรม
๘. อาสวกั ขยญาณ รูจ ักทาํ อาสวะใหส น้ิ ไป
ทิพยอํานาจ ๘ ประการนี้ มีขดี ขัน้ ของความสําเรจ็ อยูสองขนั้ คอื ข้ันโลกยี แ ละขนั้ โลกุตตระ
ตราบใดทยี่ ังไมบรรลถุ ึงอาสวักขยญาณ ตราบน้ันยังเปน ขนั้ โลกีย เม่ือใดบรรลถุ ึงอาสวักขยญาณ
เม่อื นนั้ ชอื่ วาสําเร็จถงึ ขั้นโลกุตตระ ทพิ ยอํานาจขัน้ โลกียไ มม่นั คง อาจเสื่อมหายไปไดในเม่อื รกั ษา
ไมดหี รอื พลั้งพลาดศีลธรรมรา ยแรงขนึ้ เพราะยังไมม ีอะไรเปน ประกนั ครัน้ สําเร็จถึงขั้นโลกุตตระ
แลว ทพิ ยอาํ นาจทั้งหมดกลายเปน มน่ั คงสถาพร ไมเส่ือมสลาย เพราะมอี าสวกั ขยญาณเปนประกัน
จิตใจของผูบรรลุถงึ อาสวักขยญาณเปน จิตใจม่ันคง ไมห วาดสะดุง แมจ ะรายแรงสกั ปานใดกต็ าม
เม่อื จติ ม่ันคงเชน นั้นฌานอันเปนฐานรองของทิพยอํานาจก็ม่ันคง ทิพยอาํ นาจจงึ มัน่ คงไปดวย.

ทิพยอาํ นาจ ๗๔

ผจู ะปลกู สรางทพิ ยอาํ นาจ จะต้งั จดุ หมายเอาเพยี งขนั้ โลกียห รือมุงถงึ ข้ันโลกุตตระก็ได
ตามใจ เพราะเปนสทิ ธขิ องผูปฏิบัตแิ ตละคนโดยเฉพาะ ผปู ฏบิ ัตจิ ะบรรลถุ ึงจุดหมายท่ีตนต้ังไว
หรือไม นน่ั ยอมแลวแตก ารปฏิบัติเปนประมาณ ถาการปฏบิ ัตเิ ปนไปถูกตองตามวิธีและเปนไป
สมาํ่ เสมอดี พรอมทั้งวาสนาบารมหี นุนหลังอยแู ลว ยอมจะบรรลุถึงจุดหมายประสงค ถา การ
ปฏิบัตไิ มเปน ดงั วามาแลว ก็ยากทจ่ี ะบรรลุถึงจุดหมายทต่ี ้ังไว มผี กู ลวั วา ถาปฏบิ ัติเจรญิ ภาวนาจะ
สาํ เรจ็ เปน พระอรหนั ตไ ปกอ น ตนจะไมไ ดล ิ้มรสของโลกยี สขุ สมปรารถนาด่ังนี้กม็ ี ขา พเจา ขอ
แนะนาํ วา ถาจะกลวั สาํ เร็จแลว กลวั ไมสาํ เรจ็ ยังดกี วา เพราะเมือ่ ใจไมเอาแลว จะใหไ ดพ ระอรหตั
โดยบงั เอิญน้ันเปนไมมเี ลย ขา พเจา เคยเห็นแตผูปฏิบัติไมบ รรลถุ ึงจดุ หมายทีต่ นต้ังไวน ่ันแหละ
มากกวา ผูบรรลถุ งึ จดุ หมาย ทั้งน้ีกเ็ พราะพระอรหตั ผลหรืออาสวกั ขยญาณนนั้ เปนภูมธิ รรมท่ี
สงู สดุ ในพระพุทธศาสนา ผจู ะบรรลถุ ึงภูมนิ ้นั จะตอ งเปนบคุ คลผมู บี ุญลน เหลือ คนจนบุญไมอ าจ
บรรลถุ งึ ภูมินัน้ ได ผกู ลัวจะบรรลุนัน้ รูตวั แนนอนหรือวามบี ญุ เหลอื ลน คนท่ีกลัวความสขุ กค็ อื คน
ไมม ีสขุ ภูมิพระอรหนั ตเ ปนภมู ทิ ่ีมสี ุขทสี่ ดุ ผูไ มเ คยลม้ิ รสความสุขประณีต เคยประสบแตส ุขเจอื
ทกุ ขจึงหวาดกลวั ตอ ความสุขลวนๆ อันมีอยูในภูมิพระอรหนั ตน้ัน ถา บคุ คลเปนผมู ีบุญไดก อสราง
มามากแลว จะไมกลัวตอการบรรลภุ มู ิพระอรหตั ตผลเลย เม่อื เร่มิ ลงมือปฏิบัตเิ จริญภาวนาก็จะ
บังเกิดปติ ดดู ด่มื อยากเจริญใหกาวหนา ยง่ิ ข้ึน ไมยอมถอยหลงั เลยทเี ดยี ว.

อนง่ึ อยากขอทาํ ความเขา ใจกับผูศกึ ษาทิพยอํานาจน้ีอกี วา ทพิ ยอํานาจเปนความรู
ความสามารถนา มหศั จรรย เหนอื ความรูความสามารถของมนษุ ยส ามญั ยอมจะตองต้ังอยบู น
รากฐานอนั สูงกวา ธรรมดา คอื วา กอ นจะสําเรจ็ ถงึ ขัน้ ทพิ ยอาํ นาจน้ี จะตอ งสาํ เรจ็ ภมู ิธรรมขั้นที่
เรียกวา ฌานมาแลว ประกอบกบั มีศีลธรรมดงี ามประจาํ ใจดวย ฌานนน้ั หมายถงึ ฌานมาตรฐาน
๔ ประการ ทกี่ ลาวในบทที่ ๑ – ๒ เปน สําคัญ ฌานท่ีสงู กวาน้ันเปนเคร่อื งอุปกรณชว ยใหส าํ เรจ็
ทพิ ยอาํ นาจเร็วเขา ฉะน้ัน ผูศกึ ษาอยา ลืมความสาํ คญั ของฌานและศลี ธรรมอันดใี นเมอ่ื จะทําการ
ปลูกสรา งทพิ ยอํานาจ เปรียบเหมอื นเราจะสรางบา น จําตอ งแสวงหาเคร่อื งเรอื นมาใหพรอม แลว
ตอ งทาํ พ้นื ท่ีตรงจะปลกู น้นั ใหร าบเรียบแนนหนาถาวรดวย เรอื นที่ปลูกข้นึ จงึ จะม่นั คงฉันใด การ
ปลูกสรางทพิ ยอาํ นาจกเ็ ปนฉันนั้น เม่อื ไดทาํ ความเขาใจในสว นทว่ั ไปฉะน้ีแลว ขา พเจาจะพาทา น
ไปทําความเขาใจกับทพิ ยอํานาจแตล ะประการน้ันตอไป ทพิ ยอํานาจแตละประการ มเี หตุผลและ
วิธกี ารทจี่ าํ ตอ งพูดมากจึงจะเขา ใจกนั ทพิ ยอาํ นาจมถี งึ ๘ ประการ เมือ่ บรรจลุ งในบทเดยี วกจ็ ะ
เปนบทใหญม าก จึงไดแยกออกเปนบทๆ นบั ตง้ั แตบทนจี้ นถงึ บทที่ ๑๒ ดังทานจะไดอา นตอ ไป
ขางหนา แตทงั้ นมี้ ิไดห มายความวาตางจุดหมายกนั มีจุดหมายอันเดยี วกัน คอื บอกวิธปี ลูกสราง
ทพิ ยอาํ นาจทัง้ สนิ้ .

อิทธิวธิ ิ ฤทธิต์ า งๆ
คําวาฤทธใิ์ นภาษาไทยของเรา ยอ มเปนที่เขา ใจกันอยวู า หมายถงึ การทาํ สิ่งทน่ี าอศั จรรย
สาํ เร็จไดเ กินวิสยั ของคนธรรมดา ซง่ึ มีความหมายตรงกับทีม่ าของคําน้ใี นภาษาบาลแี ลว จงึ ไม

ทิพยอาํ นาจ ๗๕

จาํ เปนตองอธิบายความหมายใหยืดยาว ฉะน้ัน จะไดน ําเอาประเภทของฤทธิ์ตามท่ที า นจําแนกไว

ในพระบาลมี าตั้งไว แลว ทําความเขา ใจเปนอยา งๆ ไปทเี ดยี ว ดงั ตอ ไปน้ี

ฤทธิ์มี ๑๐ ประเภท คอื

๑. อธษิ ฐานฤทธ์ิ ฤทธิ์ท่ีตอ งอธิษฐานใหสําเรจ็

๒. วกิ พุ พนาฤทธิ์ ฤทธ์ทิ ่ีตองทาํ อยา งผาดแผลง

๓. มโนมยั ฤทธิ์ ฤทธิส์ ําเร็จดว ยกําลังใจ

๔. ญาณวปิ ผาราฤทธ์ิ ฤทธ์ิสาํ เรจ็ ดว ยกาํ ลังญาณ

๕. สมาธิผาราฤทธ์ิ ฤทธ์สิ ําเรจ็ ดว ยอาํ นาจสมาธิ

๖. อริยฤทธิ์ ฤทธ์สิ ําเร็จดวยวิสัยของพระอริยเจา

๗. กมั มวปิ ากชาฤทธิ์ ฤทธิ์เกดิ แตผ ลกรรม

๘. ปญุ ญฤทธ์ิ ฤทธ์ขิ องผมู บี ุญ

๙. วชิ ชามัยฤทธ์ิ ฤทธส์ิ าํ เรจ็ ดวยวทิ ยา

๑๐. สมั ปโยคปจจยิชฌนฤทธ์ิ ฤทธิ์ทส่ี าํ เรจ็ เพราะประกอบกจิ กุศลใหส ําเร็จไป.

จะไดท ําความเขาใจเปนขอ ๆ ไป ดังตอ ไปนี้

๑. อธษิ ฐานฤทธิ์ ฤทธิท์ ่ีตอ งอธษิ ฐานใหสําเร็จน้ี เปน ขอมงุ หมายของอิทธิวิธนี ี้โดยเฉพาะ

เพราะวา เม่ือกลาวถึงอิทธวิ ธิ ีแลว พระผมู ีพระภาคทรงจําแนกไวแ ตป ระเภทอธิษฐานฤทธิป์ ระเภท

เดียว ฤทธท์ิ ี่ตอ งทําการอธษิ ฐานใหส ําเรจ็ น้มี ีหลายหลาก ลว นแตเปน ฤทธท์ิ ่ีนาอัศจรรยย ิง่ เชน

คนๆ เดยี วอธฐิ านใหเ ปนมากคนได คนมากอธษิ ฐานใหเปนคนเดียวได ท่ีกําบงั ไมเปดเผยอธษิ ฐาน

ใหเ ปน ทีเ่ ปดเผยได ท่ีเปดเผยอธิษฐานใหเปนทกี่ าํ บังได อธิษฐานใหฝ ากําแพง ภูเขา กลายเปน

อากาศแลว เดนิ ผานไปไดไ มต ิดขัด เหมอื นไปในทวี่ างฉะนน้ั อธิษฐานใหดนิ เปนนํา้ แลวดาํ เลนได

เหมือนดํานาํ้ ฉะนั้น อธิษฐานใหน ํ้าเปนแผน ดินแลวเดินไปบนน้าํ ไดเ หมือนเดนิ บนพน้ื ดินฉะนั้น

อธษิ ฐานใหอากาศเปน ดินแลว นั่งขัดสมาธิลอยไปบนอากาศไดเหมอื นนกฉะน้ัน นอกจาก

นงั่ ขัดสมาธิแลวจะเดินยนื นั่งนอนไปในพื้นอากาศอยา งปกติเหมอื นบนดินก็ได อธษิ ฐานใหดวง

จันทรด วงอาทิตยมาอยูใกลๆ มือแลว ลูบคลําจับตองดว ยมือเลน ได เหมอื นคนจับตอ งลูบคลาํ รปู

อยา งใดอยา งหนึง่ ซงึ่ อยูใกลๆ มอื ฉะน้ัน และอธษิ ฐานใหท ไ่ี กลเปนใกล ทใ่ี กลเปน ไกล ของมากให

นอ ย ของนอ ยใหมาก ตองการเห็นรปู พรหมดวยทิพยจักษกุ ็ได ตองการฟง เสยี งพรหมดวยทิพ-

ยโสตก็ได ตอ งการูจิตของพรหมดวยเจโตปริยญาณกไ็ ด ตอ งการไปพรหมโลกแลว อธิษฐานใหกาย

เหมอื นจิตใหจิตเหมอื นกายแลว ไปพรหมโลกโดยปรากฏกายก็ได ไมปรากฏกายก็ได เนรมิตรปู ให

มอี วัยวะครบถว นอนิ ทรียบ รบิ รู ณส าํ เร็จดว ยใจแลวไปปรากฏทพ่ี รหมโลกก็ได ถา จาํ นงจะเดนิ ยืน

นัง่ นอนในพรหมโลกน้ันก็ทําได ถา จํานงจะบงั ควนั ทาํ เปลวเพลิง แสดงธรรมถามปญหาแกป ญหา

ยนื พูดจาสนทนากบั พรหมกท็ ําไดท กุ ประการ อยางนี้แลเรียกวาอธิษฐานฤทธ.์ิ

๒. วิกุพพนาฤทธิ์ ฤทธ์ิที่ตองทําอยา งผาดแผลงนัน้ ทานยกตวั อยางพระสาวกของสมเดจ็

พระสขิ ีสมั มาสัมพทุ ธเจา มีนามวา อภิภู ไปยนื อยูในพรหมโลกแลว ยงั พันโลกธาตใุ หรแู จง ทางเสยี ง

คือใหไดย ินเสยี ง ปรากฏกายแสดงธรรมบา ง ไมปรากฏกายแสดงธรรมบา ง ปรากฏแตกงึ่ กายทอน

ทิพยอาํ นาจ ๗๖

บนแสดงธรรมบาง ทา นละเพศปกติเสียแลว แสดงเพศเปนเดก็ บา ง เพศนาคบา ง เพศครุฑบา ง เพศ
ยักษบ า ง เพศอสูรบา ง เพศพระอนิ ทรบ าง เพศเทพเจา บา ง เพศพรหมบา ง เพศสมุทรบา ง เพศ
ภเู ขาบา ง เพศปาบา ง เพศราชสหี บาง เพศเสอื โครงบา ง เพศเสือเหลืองบา ง แสดงกองทัพเหลา
ตางๆ คือ พลชาง พลมา พลรถ พลเดนิ เทา บาง อยางนี้เรยี กวา วิกุพพนาฤทธ์ิ ในพทุ ธสมัยแหง
พระผมู พี ระภาคของเราก็ปรากฏวา มพี ระสาวกแสดงฤทธิช์ นิดน้ีเหมอื นกัน แมพระภิกษทุ ย่ี งั เปน
ปถุ ชุ นก็ทาํ ได เชนพระเทวทัตทําฤทธิ์ชนดิ น้ีใหพระเจาอชาตศตั รูเมือ่ ยงั เปนยพุ ราชเกดิ เลื่อมใสจน
ไดค บคดิ กันทาํ อนันตริยกรรมอยา งโหดรา ยเพราะความโลภ แลวถึงความวบิ ัติฉบิ หายในปจจบุ นั
ทันตา เวนแตพ ระเจา อชาตศัตรเู ทา นั้นท่กี รรมมิใหผ ลทนั ตาเหน็ เพราะกรรมไมรา ยแรงเทาพระ
เทวทัต ท้ังรพู ระองคท ันแลวรบี แกไข กอนท่กี รรมจะใหผลในปจ จุบนั ตอ มาเมือ่ พระบรมศาสดา
เสด็จปรินพิ พานแลว ก็ทรงไดเ ปนเอกอคั รพทุ ธศาสนูปถัมภก ยกสงั คายนาพระธรรมวินยั ครงั้ แรก
ดวย จงึ ทาํ ใหก รรมหนักกลายเปน เบาไดบาง.

๓. มโนมยั ฤทธิ์ ฤทธิส์ าํ เร็จดวยกาํ ลังใจนี้ จดั เปนทิพยอาํ นาจอีกประการหนง่ึ ตา งหาก จะ
ไดอธบิ ายภายหลัง.

๔. ญาณวปิ ผาราฤทธิ์ ฤทธ์ิสาํ เรจ็ ดวยกาํ ลังญาณนนั้ ทา นแสดงไววา การละความสาํ คญั
วาเทย่ี ง เปนสขุ อัตตา ฯลฯ ไดส าํ เร็จดว ยปญ ญาเห็นตามเปนจรงิ ของสงั ขารวาไมเทย่ี ง เปนทุกข
เปนอนัตตา ฯลฯ น้ันเปนฤทธป์ิ ระเภทหน่ึง รวมความวา วิปสสนาญาณก็เปน ฤทธ์ิ เพราะสําเรจ็ กิจ
กําจดั กิเลสได.

๕. สมาธิผาราฤทธิ์ ฤทธสิ์ าํ เรจ็ ดวยอํานาจสมาธิน้ัน ทานแสดงไววา การละนวิ รณได
สาํ เรจ็ ดวยปฐมฌาน ฯลฯ การละอากญิ จัญญายตนสญั ญาไดสาํ เร็จดวยเนวสัญญานาสญั ญายตน
สมาบตั ิ กจ็ ัดเปนฤทธ์ิอีกประการหนึง่ รวมความวา ฌานสมาบตั ิซง่ึ ทําหนาที่กําจัดกเิ ลสหรอื อธรรม
อนั เปน ขาศึกของสมาบัติใหส ําเรจ็ ได กจ็ ัดเปน ฤทธ์ิดวย ฉะน้ัน ผูบรรลฌุ านแมแตป ฐมฌานกช็ อ่ื วา
สําเรจ็ ฤทธป์ิ ระเภทน้ีแลว .

๖. อริยฤทธิ์ ฤทธิ์สําเร็จดว ยวิสัยของพระอริยเจานนั้ ทานแสดงตวั อยางไวว า สามารถ
กาํ หนดความไมรังเกียจในสิง่ นา เกลียด สามารถกําหนดความรงั เกยี จในส่ิงไมนา เกลยี ด สามารถ
กาํ หนดความไมรงั เกียจท้งั ในสง่ิ นาเกลยี ด-ทง้ั ในสิ่งไมนาเกลยี ด สามารถกาํ หนดความรังเกียจทั้ง
ในสิ่งไมน า เกลียด-ทั้งในส่ิงนา เกลียด และสามารถวางใจเปน กลางอยางมีสติสัมปชญั ญะ ทงั้ ในส่ิง
นา เกลยี ดและไมนาเกลยี ดน้ันได ทานอธบิ ายวา เปนดว ยอํานาจเมตตา หรอื เห็นเปนธาตไุ ปจงึ ไม
รงั เกยี จ และในดา นรงั เกยี จน้ันเปนดว ยอาํ นาจการเหน็ โดยเปนสิง่ ไมงามหรอื ไมเ ท่ยี ง สวนสามารถ
วางใจเปนกลางไดน้ัน ทา นวามีอุเบกขาในอารมณ ๖ โดยปกตซิ ึ่งเปนคุณลกั ษณะของพระอรหนั ต
โดยเฉพาะ บคุ คลผมู คี วามสามารถบงั คบั ความรูสกึ ของตนไดด ีนั้นทา นยอมยกใหพ ระอรยิ เจา
เพราะไดผ า นการฝกฝนอบรมจติ ใจมาอยา งดแี ลว ปถุ ุชนไมส ามารถบงั คับความรสู กึ ของตนไดดี
เหมือนพระอริยเจา ฉะนั้น ความสามารถบังคับความรูสึกของตนไดจ งึ จดั เปนฤทธ์ิประเภทหน่งึ
ซง่ึ เปน ผลของการประพฤตธิ รรมทางพระพทุ ธศาสนา เปนฤทธ์ปิ ระเสริฐโดยฐานะเปน เคร่ือง
ปอ งกันตัวอยูทกุ เมอ่ื .

ทิพยอาํ นาจ ๗๗

๗. กมั มวิปากชาฤทธ์ิ เกดิ แตผ ลกรรม ทานยกตัวอยา งไววา เปน ฤทธ์ิของนกทง้ั ปวง เทพ
เจาทัง้ มวล มนษุ ยบ างจําพวก และวินบิ าตบางเหลา แตทา นมไิ ดช้ลี งไปวา ไดแ กฤทธ์ิเชนไร
ขา พเจาจะวาดภาพพอนึกเห็นดงั น้ี ธรรมดานกบนิ ไปในอากาศไดท ัง้ หมด ความสามารถเชนนไ้ี มมี
ในสัตวด ริ ัจฉานเหลา อ่ืน แมใ นหมูมนุษยธรรมดาก็ไมมี จงึ จดั วาเปน ฤทธชิ์ นิดหนง่ึ ซึง่ มใี นหมนู ก
เทพเจา ทัง้ ปวงเปนกาํ เนดิ วเิ ศษไมตอ งนอนในครรภข องมารดา เกิดปรากฏเปนวญิ ูชนทันที ไปมา
ในอากาศไดโดยปกตธิ รรมดา แสดงกายใหป รากฏกไ็ ด ไมใหป รากฏก็ได ความสามารถเชนนี้ไมมีใน
สัตวประเภทอืน่ จงึ จัดเปน ฤทธโิ์ ดยกําเนิดของเหลาเทพเจา สวนฤทธิ์ของมนุษยบางจําพวกนนั้
เหน็ จะหมายความสามารถเกิดคนธรรมดาในบางกรณี เชน เมอ่ื ไมนานมาน้ี มีขาวในหนา
หนงั สอื พิมพวา มเี ดก็ หญงิ อายุ ๑๐ กวา ขวบ สามารถรอ งเพลงและเลนเปยโนไดดกี วา คนทฝ่ี กหัด
มาตั้งนานๆ โดยที่เดก็ หญงิ คนนั้นไดรับการฝกหัดเพียงเล็กนอ ยเทาน้นั เปนที่ตื่นเตนกันในชาว
ตา งประเทศวาเดก็ หญิงคนนน้ั คงเคยเปน นกั รองเพลงและดนตรีมาแลว แตชาตกิ อนเปนแน จึง
สามารถทาํ ไดด ีในช่ัวเวลาเลก็ นอ ยเชนนี้ สว นวินิบาตนัน้ เปนกําเนิดของผตู กต่าํ จําพวกหน่ึง มที ุกข
เบาบางกวา เปรตบางจําพวก คงเน่อื งแตพ ลั้งพลาดในศลี ธรรมเพยี งเลก็ นอ ย แลวตกตาํ่ ไปสูกาํ เนดิ
นั้น ความดที ที่ าํ ไวย ังตามไปอุปถัมภอ ยู ทําใหเ ปนผูมีฤทธิเ์ ดชคลายเทพเจา ในบางกรณี ฤทธิ์
ดงั กลาวมาน้ีถาไมยอมยกใหว า เปน ผลของกรรมเกา ที่ทาํ เอาไวแ ตช าติกอนแลว ก็ไมท ราบวา จะยก
ใหเ ปนอาํ นาจของอะไรดี เพราะไมปรากฏวา มีการฝก ฝนอบรมเปน พิเศษในปจจบุ นั ท่ีจะทาํ ใหมี
ความสามารถเชน น้ัน.

๘. ปญุ ญฤทธ์ิ ฤทธิ์ของผมู ีบุญ ทา นยกตวั อยา ง เชน พระเจา จกั รพรรดิสามารถเสด็จพา
จาตรุ งคนิ ีเสนา ตลอดถงึ คนเลีย้ งมาเหาะไปในอากาศได โชตยิ เศรษฐี ชฎลิ เศรษฐี เมณฑกเศรษฐี
และโฆสิตเศรษฐใี นสมัยพทุ ธกาล มบี ญุ สมบตั ิเกดิ ขึน้ ผิดประหลาดกวา มนุษยธ รรมดา มิไดออกแรง
ทํามาหากนิ แตม สี มบัตมิ ัง่ คั่ง ทัง้ ไมม ใี ครสามารถไปลักแยง เอาไดด วย เรอื่ งบุญฤทธ์ินเี้ รายอมรบั
กันวา มไี ด เชน พระมหากษัตราธริ าชเจา ผูมีบญุ ญาภิสมภาร ในประวัตศิ าสตรข องชาติไทยหลาย
พระองค ท่ีทรงมพี ระประวตั มิ หัศจรรย เชน สมเด็จพระรว งเจา กรงุ สโุ ขทยั , สมเดจ็ พระนเรศวร
มหาราช, สมเด็จพระนารายณม หาราช, สมเด็จพระเจาตากสินมหาราช, สมเดจ็ พระปยมหาราช
เจา ร.๕ เปน ตน แมในหมสู ามญั ชนเราก็ยอมรบั กันวา คนผจู ะไดด ีมสี ุขนน้ั นอกจากการทาํ ดีใน
ปจ จุบนั แลว ยอ มตองอาศยั บุญบารมอี ุดหนุนดวย จนมีคตวิ า “แขง อะไรแขง ได แตแขง บุญวาสนา
แขง ไมไ ด” ดงั น้ี บญุ ทท่ี าํ ไวแตชาติกอนยอมตดิ ตามอุปถัมภบ คุ คลผูทาํ ในที่ทกุ สถานในกาลทกุ เมอื่
สงผลใหเ ปนบุคคลดีเดนในหมูชนเกนิ คาดหมาย สมพอเสยี ก็ไมเ สีย สมพอตายกไ็ มตาย ผูเชอ่ื มนั่ ใน
บญุ ไดผ กู เปนคําสุภาษติ ไวว า “เมื่อบุญมาวาสนาชวย ทีป่ วยกห็ าย ท่ีหนายก็รกั เม่ือบญุ ไมมา
วาสนาไมช ว ย ท่ปี ว ยกห็ นกั ที่รักก็หนาย” ดังน้ี อํานาจบุญวาสนาทา นจงึ จัดวาเปน ฤทธ์ิประเภท
หน่งึ ดว ยประการฉะนี้.

๙. วชิ ชามยั ฤทธิ์ ฤทธิ์สาํ เรจ็ ดว ยวิทยา ทานแสดงตัวอยา งไววาวทิ ยาธร รายวทิ ยาแลว
เหาะไปในอากาศได แสดงกองทัพคือพลชาง พลมา พลรถ พลเดินเทา ในทอ งฟาอากาศได ในสมยั
ปจจบุ นั เรามีพยานในขอนอ้ี ยา งดีแลว คือผูท รงคณุ วิทยาในวทิ ยาศาสตรแขนงตา งๆ ไดสาํ แดงฤทธิ์

ทิพยอํานาจ ๗๘

เดชแหง คุณวทิ ยาประเภทนั้นๆ ใหป ระจกั ษแ กโลกมากมาย เชน สรา งอากาศยานพาเหินฟาไปได
สรางเคร่ืองสงและรับวิทยุสามารถสง เสยี งไปปรากฏทุกมุมโลก เม่ือตงั้ เคร่ืองรับยอมสามารถรบั ฟง
เสยี งน้นั ได และสามารถสรา งเคร่ืองสงและรับภาพในทไ่ี กลไดเชนเดยี วกับสง และรบั เสียง ฯลฯ
เปนอันรับรองกันวา ฤทธิ์ประเภทนม้ี ไี ดแนแ ลว .

๑๐. สัมมปั ปโยคปจ จัยอิชฌนฤทธิ์ ฤทธสิ์ าํ เร็จเพราะการประกอบกิจชอบ ทานอธิบายวา
ไดแกก ารละอกุศลมกี ามฉนั ทะเปน ตนไดดวยคุณธรรมมเี นกขมั มะเปนตน เปนผลสาํ เร็จอยางสูง
ไดแกก ารละสรรพกเิ ลสไดด วยพระอรหตั มรรคเปนผลสาํ เร็จ จดั เปนฤทธิ์ประเภทหน่ึง.

ฤทธิป์ ระเภทน้ี คลา ยฤทธป์ิ ระเภทหมายเลข ๔–๕ ซงึ่ กลา วมาแลว แตป ระเภทนี้กวางกวา
โดยหมายถงึ คณุ ธรรมทั่วไป อันมอี ํานาจกําลังกาํ จัดความชัว่ ได เมือ่ ความดที าํ หนา ที่กาํ จัดความช่ัว
ไปไดข ั้นหน่งึ ๆ ก็จดั วาเปนฤทธห์ิ นนึ่งๆ ในประเภทน้ไี ด สวนฤทธป์ิ ระเภทหมายเลข ๔-๕ น้ัน
หมายถงึ อํานาจวิปสสนาปญ ญากบั อํานาจฌาน เฉพาะทท่ี าํ หนา ทีก่ ําจัดปจจนกึ ของตนโดยตรง
เทานนั้ ฉะนั้น บคุ คลผปู ระกอบคณุ งามความดสี าํ เรจ็ กําจัดความชวั่ ออกจากตัวไดแมส ักอยา ง
หน่ึงก็ชอื่ วามีฤทธิใ์ นประเภทน้ีบางประการแลว เมือ่ บรรลถุ งึ พระอรหัตตผลก็ชอื่ วา มฤี ทธ์ิประเภทนี้
อยา งสมบูรณทันท.ี

บรรดาฤทธิ์ ๑๐ ประเภทน้ี ฤทธิท์ ปี่ ระสงคจ ะกลา วในทิพยอาํ นาจขั้นตนน้ี ไดแกฤทธิ์ ๓
ประเภทขางตน เทานนั้ ฤทธ์ิประเภทหมายเลข ๓ ไดย กข้นึ เปนทิพยอํานาจประการหน่ึงตา งหาก
จึงยังเหลอื สําหรับทพิ ยอาํ นาจขอ น้เี พยี ง ๒ ประเภท คือ อธิษฐานฤทธ์ิ กับ วิกพุ พนาฤทธ์เิ ทานน้ั
ฉะนั้น จะไดอธิบายลกั ษณะ เหตุผล พรอ มดว ยอทุ าหรณ และวธิ ปี ลกู สรา งทิพยอาํ นาจ ๒ ประเภท
นต้ี อไป.

อธิษฐานฤทธิ์ ปรากฏตามนิเทศท่ีทา นแจกไวมี ๑๖ ประการ คอื
๑. พหุภาพ ไดแกก ารอธษิ ฐานใหคนๆ เดยี วปรากฏเปนมากคน มจี าํ นวนถึงรอ ย พนั หม่ืน
คนกไ็ ด ทานยกตัวอยางทา นพระจฬู ปน ถกเถระ มเี รอ่ื งเลา วา พระมหาปนถกเถระผูพี่ชายของ
พระจูฬปนถกเถระ ไดออกบวชในพระธรรมวินยั ของพระศาสดา เมื่อไดล ุถึงยอดแหงสาวกบารมี
แลว นึกถึงนองชาย จงึ ไปนาํ มาบวชในพระธรรมวินยั ดวย นอ งชายคอื พระจฬู ปนถกเถระน้ันปรากฏ
วา สติปญญาทบึ พ่ชี ายใหเ รียนคาถาสรรเสรญิ พระพทุ ธเจาเพยี งคาถาเดยี ว ตั้ง ๔ เดือนกจ็ ะไมไ ด
พ่ีชายจงึ ขบั ไลไ ปตามธรรมเนยี มอาจารยกับศษิ ย พระบรมศาสดาทรงทราบวาเปน ผูมีอุปนิสัย
หากแตมกี รรมบางอยา งขดั ขวางอยูเล็กนอ ยจงึ ทาํ ใหเ ปน คนทบึ ในตอนแรก แตตอไปจะเปนผู
เปรื่องปราดได จงึ เสดจ็ ไปรับมาอบรม ทรงประทานผาขาวผืนหนง่ึ ใหถือบรกิ รรมวา รโชหรณํ ๆ
เรื่อยไป ทา นปฏบิ ัติตามพระพุทธโอวาทนั้น ไดเ ห็นมลทนิ มอื ตดิ ผา ขาวเศราหมองขึ้น เกิดวิปสสนา
ญาณแจงใจขึ้นทันทีน้ันเอง เมื่อเจรญิ วิปสสนาญาณไมทอถอยทา นกล็ ถุ ึงภูมพิ ระอรหัตตผล เกิด
ความรอบรทู ัว่ ถงึ ในพระไตรปฎก และไดรบั ยกยองจากพระบรมศาสดาในภายหลงั วา เปน ยอดของ
ผเู ชยี่ วชาญทางเจโตววิ ฏั คอื การพลิกจติ พ่ีชายคงยังไมท ราบวานอ งชายลถุ งึ ภูมิพระอรหตั แลว
เม่ือมผี ูม านิมนตสงฆไปฉันภตั ตาหารในบาน ทา นก็มไิ ดนับนองชายเขา ไปในจํานวนสงฆ เม่อื พระ
บรมศาสดาพรอ มดว ยสงฆป ระทบั ณ ทีน่ มิ นตแ ลว ทรงตรวจดไู มเ ห็นพระจูฬปนถกเถระจงึ ตรัส

ทิพยอาํ นาจ ๗๙

บอกทายกวายังมีพระตกคา งอยูใ นวัดรปู หนง่ึ ทายกก็ใหไปนมิ นตมา คร้ันผูไปถึงวัด แทนทจี่ ะเห็น
พระรปู เดยี วดงั่ พระพทุ ธดํารสั กก็ ลับเหน็ พระตั้งพนั รูป นงั่ ทาํ กจิ ตางๆ กันเต็มรม ไม ไมทราบจะ
นิมนตองคไ หนถกู จึงกลบั ไปกราบทูลใหท รงทราบ ตรัสส่ังใหไ ปนิมนตใ หมร ะบุชอ่ื พระจฬู ปนถก
เถระ ทายกก็ไปนิมนตอีก พอไปถึงกร็ ะบชุ ื่อตามตรสั สง่ั วาขอนิมนตไ ปฉันภัตตาหาร พอจบคาํ
นิมนตก ็ไดยนิ เสียงตอบข้ึนพรอมกันตง้ั พันเสียงวาตนชื่อพระจฬู ปนถกเถระ ทายกก็จนปญญาไม
ทราบวา จะนิมนตอ งคไหนอีก จงึ กลบั คืนไปเฝา กราบทูล ทีนีต้ รสั สง่ั วา จงมองดูหนา ๑ องคไหนหนา
มเี หง่ือใหไปจบั มอื องคนน้ั มา ทายกไปนมิ นตและปฏบิ ตั ติ ามท่ตี รสั สั่ง ก็ไดพ ระจูฬปน ถกเถระมาด่งั
ประสงค ทนั ทีนั้นเอง พระจาํ นวนต้ังพนั องคก็หายวับไป คงมพี ระองคเ ดยี วคือพระจูฬปนถกเถระ
เทา น้ัน ทายกเห็นแลวเกดิ อัศจรรยข นพองสยองเกลาจงึ นําความกราบทลู พระบรมศาสดา ตรสั วา
เปนวสิ ัยของภิกษุผมู ีฤทธิ์ในพระธรรมวินัยน้ี เรือ่ งนีเ้ ปนตัวอยา งในอิทธปิ าฏหิ ารยิ พหภุ าพ แม
พระบรมศาสดากท็ รงทาํ เชน ในคราวทํายมกปาฏหิ าริย ทรงเนรมิตพระองคข้นึ หลายหลาก ลวน
ทรงทาํ กิจตางๆ กันในทอ งฟาเวหาหนดั่งกลาวไวในบทนาํ การทาํ ฤทธิพ์ หุภาพนใ้ี ชมโนภาพเปน
เครอื่ งนําทาํ ใจใหส งบ แลว อธิษฐาน กเ็ ปน ไดดัง่ นั้นทันที จะกําหนดใหเปนกรี่ อ ยกพ่ี นั และจํานวน
เทาไร ใหทาํ กจิ อะไร กก็ าํ หนดตามใจแลว อธิษฐานใหเ ปน เชน นั้น.

๒. เอโกภาพ ไดแกก ารอธิษฐานใหคนมากกลับเปนคนเดียว เปน วิธีตรงกนั ขามกับพหุ-
ภาพ และตอ งทําคูกนั เสมอไป คือเมอื่ ทาํ ใหมากแลวก็อธษิ ฐานกลับคนื เปน คนเดียวตามเดิม สวน
คนมากจรงิ ๆ ทาํ ใหป รากฏเพียงคนเดยี วหรือนอ ยคนนน้ั จะตอ งใชวิธกี ําบังเขาชวย คอื ปดบงั มิให
มองเห็นคนอนื่ ๆ มากๆ ใหเห็นแตเพียงคนเดียวหรือนอ ยคน วิธีนจ้ี ะไดก ลา วในขอ อ่นื ตวั อยาง
อิทธิปาฏหิ าริยเ อโกภาพนีก้ ไ็ ดแกพ ระจูฬปนถกเถระน่ันเอง จงึ เปน อนั ไดความชัดวา เอโกภาพ
หมายถึงอธษิ ฐานกลับคนื เปนคนเดยี วนั่นเอง.

๓. อาวภี าพ ไดแกการอธิษฐานใหทก่ี าํ บังเปนที่เปดเผย ดงั่ ทพ่ี ระบรมศาสดาทรงทาํ ใน
คราวเสดจ็ ลงจากดาวดงึ ส ทรงอธษิ ฐานใหโลกท้งั สน้ิ สวางไสวทั่วหมด ทําใหม นุษยแ ละเทวดาเหน็
กนั ได ท่ีเรียกวาปาฏหิ าริยเปดโลก ดังเลา ไวในบทนาํ นนั้ แลว.

ปาฏหิ ารยิ อาวีภาพน้ี ใชอ าโลกสิณเปน เคร่อื งนําทาํ ใจใหสงบเปนฌาน แลวอธษิ ฐานดวย
ญาณวา จงสวา ง กําหนดไวในใจใหสวางเพยี งใดกจ็ ะสวางเพียงนนั้ ทนั ที ถา กําหนดใหสวางหมดทั้ง
โลก โลกทง้ั สนิ้ กจ็ ะสวางไสว แมจ ะอยูไ กลกนั ตงั้ พันโยชนกจ็ ะแลเห็นกันไดเ หมือนอยูใกลๆ กัน
ฉะน้ัน.

๔. ตโิ รภาพ หรอื กาํ บัง-หายตัว ไดแ กการอธษิ ฐานที่โลง แจง ใหเ ปน ทมี่ ีอะไรกําบัง เชนให
มีกําแพงก้ันเปน ตน ด่ังพระบรมศาสดาทรงทําปาฏหิ ารยิ จงกรมในนา้ํ คราวไปทรมานปรุ าณชฏิล
และคราวทรงกําบงั มใิ หพ ระยศเถระกบั บิดาเห็นกัน ซึ่งไดเลาไวใ นบทนํานั้นแลว.

ปาฏหิ ารยิ ติโรภาพนี้ ใชม โนภาพนกึ ถงึ เครือ่ งก้ันโดยธรรมชาติ เชน ฝากําแพงเปนตน เปน
เคร่ืองนํา หรือใชกสิณ เชนนลี กสิณ หรอื อากาสกสณิ เปน เคร่ืองนําก็ได เพอื่ ทาํ ใจใหสงบเปน ฌาน
..........................................................................................................................................................

๑. ในอรรถกถาธรรมบท องคไหนขานกอ นใหจบั ชายจีวรขององคน ั้น.

ทิพยอํานาจ ๘๐

แลวอธิษฐานดวยญาณวา จงกําบงั ดงั น้ี กจ็ ะสําเร็จดงั อธษิ ฐานทนั ท.ี
๕. ติโรกุฑฑาสัชชมานภาพ หรือลองหน ไดแกก ารอธิษฐานทที่ บึ ซ่งึ มอี ะไรกน้ั กางอยูโดย

ธรรมชาติ เชน ฝา กาํ แพง ภูเขา ใหก ลายเปน ท่ีโปรง สามารถเดินผา นไปไดดั่งในทีว่ า งๆ ฉะนั้น
อทุ าหรณใ นขอนี้ยังไมเคยพบจะมีผูทําหรอื ไมไ มท ราบ แตนาจะทาํ ไดเชนเดียวกับอาวีภาพ
ปาฏหิ ารยิ  เปนแตปาฏิหารยิ นใ้ี ชอากาสกสิณเปนเครื่องนําทําใจใหส งบเปนฌานแลว อธิษฐานดวย
ญาณวา จงเปน อากาศ ก็จะเปน ไดด่งั อธิษฐานนนั้ ทนั ที พระอาจารยภ ูรทิ ตั ตเถระ (มน่ั ) เคยเลา ให
ฟง วา เมอื่ คราวทานไปอยูถ้ําเชยี งดาว จังหวดั เชยี งใหม เม่ือไปอยแู รกๆ รูส ึกอึดอดั คบั แคบท้งั ๆ ถํา้
นั้นกก็ วา งพอสมควร ทานจงึ เขา อากาสกสิณเบกิ ภูเขาทัง้ ลูกใหเ ปน อากาศไป๑ จึงอยไู ดส บาย ไม
รสู กึ อดึ อดั เหมือนแรกๆ แตทา นมไิ ดเลาวาสามารถเดนิ ผานภูเขาไปไดหรือไม? ผชู ํานาญทาง
อากาสกสณิ นาจะทดลองทําดูบาง นา จะสนุกดี.

๖. ปฐวอี มุ มุชชภาพ หรอื ดําดนิ ไดแกการอธษิ ฐานแผน ดินใหเ ปนแผนนาํ้ แลว ลงดําผดุ
ดาํ วายไดสนุกๆ เหมือนทําในนํา้ ธรรมดาเชนน้ัน ตัวอยางในขอนีย้ ังไมเ คยพบ ไดพบแตคาํ กราบ
ทลู ของนางอบุ ลวรรณาเถรี ในคราวที่พระผูมพี ระภาคจะทรงทํายมกปาฏิหาริยว า นางสามารถทํา
ได แลวทลู อาสาจะทําปาฏหิ าริยแทนพระบรมศาสดา เพ่ือใหเดยี รถียและมหาชนเกดิ อัศจรรยวา
แมแตสาวิกาของพระผูมพี ระภาคเจา ก็มฤี ทธนิ์ าอศั จรรยเพียงน้ี แลว พระบรมศาสดาจะมีฤทธ์นิ า
อัศจรรยเพียงไหน.

ปาฏหิ ารยิ ข อ น้ีบงชัดแลว วา ตองใชอ าโปกสณิ เปนเครอ่ื งนํา ทําใจใหสงบเปนฌาน แลวจึง
อธษิ ฐานดว ยญาณวา จงเปนนา้ํ กจ็ ะเปน ไดดัง่ อธิษฐานทนั ที.

๗. อทุ กาภชิ ชมานภาพ หรอื ไตนํ้า ไดแ กก ารอธิษฐานนาํ้ ใหเปนแผนดิน แลว เดนิ ไปบนนา้ํ
ไดเหมือนเดินบนแผนดนิ ฉะน้ัน ขอนกี้ ไ็ มป รากฏมีอุทาหรณ คงเนื่องดวยหาที่นาํ้ ทาํ ปาฏิหารยิ ขอน้ี
ไมไ ดกระมงั ! คร้ังหนง่ึ พระบรมศาสดากบั พระสาวก เดินทางไปจะขา มแมน าํ้ แหงหนึ่ง ผูคนกําลัง
สาละวนจดั หาเรอื แพเพอื่ สงขามแกพ ระศาสดาและพระสาวก เม่อื จดั เสรจ็ พระบรมศาสดากบั พระ
สาวกลงเรอื แลว ตรวจดูไมเ หน็ พระอกี ๒ รปู จึงคอยอยนู านก็ไมเ ห็นมา พระบรมศาสดาจึงตรสั วา
ไมต องคอยผูที่ขา มไปแลว ครัน้ ขามไปถงึ ฝง โนนก็พบพระทง้ั สองรปู นน้ั นั่งรออยกู อนแลว สมจรงิ ด่งั
พระพทุ ธดํารสั การขา มนา้ํ ของพระสองรปู นั้นปรากฏวา เหาะขามไป มไิ ดไตไ ปบนนา้ํ จงึ มใิ ช
อุทาหรณข องปาฏหิ ารยิ นี.้

ปาฏหิ าริยขอนี้ บง ความแจมแจง อยวู า ตองใชปฐวีกสิณเปนเคร่อื งนําทําใจใหสงบเปนฌาน
แลวจงึ อธษิ ฐานดวยญาณวา จงเปนแผนดิน ก็จะเปนไดดงั่ อธิษฐาน.

๘. อากาสจังกมนภาพ หรือปาฏิหารยิ เ หนิ ฟา ไดแกการอธษิ ฐานอากาศใหเ ปนแผนดิน
แลว น่งั ขัดสมาธิบนอากาศได สาํ เร็จอริ ยิ าบถเดิน ยนื นง่ั นอน ไดเ หมอื นบนแผน ดนิ ฉะนนั้
อทุ าหรณในขอน้ีมมี าก พระผูมพี ระภาคเจาทรงทาํ มากครง้ั ครง้ั ทรงทาํ ยมกปาฏิหารยิ ก ็ทรงใช
ปาฏหิ าริยน ้ปี ระกอบดว ย คอื ทรงเนรมติ พระองคขึน้ หลายหลาก ทาํ กจิ ตางๆ กนั บนนภากาศกลาง
..........................................................................................................................................................

๑. พระอาจารยม ัน่ เคยทําฤทธิ์หายตวั ใหดู และบอกวาใชอ ากาสกสิณเหมอื นกัน.

ทิพยอาํ นาจ ๘๑

หาว บางทรงแสดงธรรม บา งทรงจงกรม บา งทรงนัง่ สมาธิ บา งทรงบรรทมสหี ไสยาสน เปนตน บน
อากาศกลางหาวนนั้ เอง กอนหนา ที่จะไดทรงทาํ ยมกปาฏหิ ารยิ น ี้ มเี ร่ืองเลา วา พระมหาโมคคัล-
ลานเถระกับพระปณ โฑลภารทวาชเถระ ไปบณิ ฑบาตดวยกัน ไดยนิ คําโฆษณาของเศรษฐีคนหนึ่ง
วา เขายังไมป ลงใจเชื่อวา มพี ระอรหันตเ กดิ ขึ้นในโลก ถามจี ริงขอใหเ หาะเอาบาตรไมแ กนจันทนที่
แขวนอยูบนอากาศนี้ไป เขาพรอ มดว ยบตุ รภรรยาจะถวายตัวแกผนู น้ั ยอมเคารพนบั ถือ
สกั การบูชาตลอดชีวิต ถาพน ๗ วนั ไปไมม ีใครเหาะมาเอาบาตรนไ้ี ด เขาก็จะลงความเหน็ วา ไมมี
พระอรหนั ตใ นโลกแนแลว คาํ อวดอา งของสมณคณาจารยน นั้ ๆ วาเปนอรหันตเปนมสุ า เปนคาํ ลวง
โลก ดัง่ น้ี ทานท้งั สองจึงปรกึ ษากันวาเราจะทําอยา งไรดี วันนก้ี เ็ ปนวันท่คี รบ ๗ วนั แลว ถา จะ
ปลอยไป เขากจ็ ะปรามาสพระอรหันตเ ลน ได เพราะเศรษฐคี นน้ีมีอทิ ธิพล คนเช่ือถือถอยคาํ แกมาก
อยู เขากจ็ ะพากันลบหลดู ูหมนิ่ สมณะทัง้ หลาย ไมส นใจฟงคําแนะนําสง่ั สอนตอ ไป เวนแตผมู ี
สตปิ ญญารูจกั คดิ และพจิ ารณา ทา นทั้งสองลงความเหน็ วา ควรทาํ ปาฏหิ าริย เพ่ือปองกันเสย้ี น
หนามได จึงวางภาระนใ้ี หแกพ ระปณ โฑลภารทวาชเถระเปน ผูทํา ทานไดใชป ลายเทา คบี แผนศิลา
แผนใหญ พาเหาะลอยขึ้นไปในอากาศสงู ๗ ชวั่ ลําตาล เหาะลอยวนรอบพระนคร ๗ รอบ แลว
ปลอยแผนศลิ าใหไ ปตกลงยังท่ีเดมิ ของมัน สว นตวั ทา นเหาะลอยไปเอาบาตรไมแกนจันทนย ัง
เศรษฐคี นน้นั พรอมดว ยบตุ รภรรยาใหเลือ่ มใสในพระพทุ ธศาสนา มหาชนไดต ดิ ตามขอใหพระปณ -
โฑลภารทวาชเถระแสดงอทิ ธิปาฏิหารยิ ม ปี ระการตางๆ อีกหลายคร้งั ความทราบถึงพระบรม
ศาสดา จึงตรัสประชมุ สงฆสงั่ หามแสดงอทิ ธิปาฏิหารยิ พ รํา่ เพรื่อ ใหทุบบาตรแกนจันทนแจกกัน
โดยตรสั วา เปนบาตรไมควรบริโภค พอขา วการทรงส่งั หามแสดงอิทธิปาฏิหาริยน ี้กระจายไป พวก
เดยี รถยี นคิ รนถก ็ไดท า ทายเปนการใหญ โดยเขาใจวา เมอื่ ทรงหามพระสาวกมิใหแ สดงปาฏิหาริย
แลว พระบรมศาสดาก็คงไมท รงแสดงอิทธิปาฏิหาริยเชนเดียวกัน แตเ ดียรถียนคิ รนถตอ งผดิ หวัง
หมด เพราะพระบรมศรีสคุ ตทรงรบั จะแสดงอทิ ธปิ าฏหิ าริยแขง กับเดียรถยี นิครนถท ีม่ าทาทาย ดงั่
เรอื่ งปรากฏในยมกปาฏิหารยิ ทน่ี ํามาเลาไวในบทนาํ นั้นแลว พวกเดียรถียน ิครนถห ลงกลตก
หลมุ พรางแทบจะแทรกแผนดินหนีกม็ .ี

อทิ ธิปาฏิหารยิ เหินฟานี้ นอกจากใชป ฐวกี สิณเปน เคร่ืองนาํ ดงั กลา วแลว ทา นวา ใชลหภุ าพ
คือความเบาเปนเครือ่ งนาํ กไ็ ด อธบิ ายวา เขา จตตุ ถฌานแลวอธิษฐานใหกายเบาเหมือนสาํ ลี แลว
ลอยไปในอากาศได หรือลอยไปตามลมได เหมือนสําลีหรือปยุ นนุ ฉะนั้น เพราะลหสุ ัญญาปรากฏ
ชัดในจตุตถฌาน คอื รสู กึ เบากายเบาจิต กายกโ็ ปรงบางเกือบจะกลายเปน อากาศอยแู ลว ยอ ม
เหมาะทจี่ ะใชท าํ ปาฏหิ าริยข อนี้สะดวกดี.

๙. สันตเิ กภาพ ไดแกก ารอธษิ ฐานใหส ง่ิ ที่อยใู นที่ไกลมาปรากฏในท่ใี กล เชน อธษิ ฐานให
ดวงจนั ทร ดวงอาทติ ย ซ่งึ อยูใ นที่ไกลมาปรากฏในที่ใกลๆ มอื แลว ลบู คลาํ จบั ตอ งได หรืออธษิ ฐาน
ใหท่ีไกลเปน ทีใ่ กลท่ีเรยี กวา ยน แผน ดิน เชนสถานท่ีหางไกลหลายรอ ยโยชน อธิษฐานใหมาอยู
ใกลๆ เดินไปประเดยี๋ วเดยี วก็ถึง เชนน้ีเปนตน.

อทิ ธปิ าฏหิ ารยิ น ี้ มีอทุ าหรณหลายหลาก เชน คราวท่พี ระบรมศาสดาเสด็จไปทรมาน
ปรุ าณชฎลิ ไดเสดจ็ ไปบิณฑบาตถงึ อุตตรกุรุทวีป ซงึ่ เปนท่ไี กล กลับมาถึงพรอ มกับผูไปบณิ ฑบาต

ทิพยอํานาจ ๘๒

ในท่ใี กลๆ ดังเลา ไวในบทนําน้นั แลว เมอื่ คราวทรงทาํ ยมกปาฏหิ าริยเสร็จ เสดจ็ ไปจาํ พรรษา ณ
ดาวดึงส ปรากฏวา กา วพระบาทเพียง ๓ กาวกถ็ งึ ดาวดงึ สเทวโลก อนึ่ง ปรากฏในตาํ นาน
พระพุทธเจา เสดจ็ เลียบโลกกว็ า ไดเสดจ็ ไปในท่ีตางๆ ซึ่งเปน ระยะทางหา งไกลมากในชวั่ เวลาไมก่ี
วนั สุดวสิ ยั ทคี่ นธรรมดาจะเดินทางดวยเทา ไดไกลถึงเพียงน้ัน สถานบา นเมืองในแควนสุวรรณภูมิ
มากแหง ไดม ีตํานานรับสมอางขอ น้ี เชน พระพุทธบาทสระบรุ ี กว็ าเสดจ็ มาประทบั เหยยี บรอยพระ
พทุ ธบาทไวด วยพระองคเ อง รอยพระพุทธบาทตามรมิ ฝง แมนาํ้ โขงอกี หลายแหง เชนที่ เวินกุม
โพนสนั เปน ตน กม็ ีตาํ นานรับสมอางเชนเดยี วกัน ทางภาคเหนอื กม็ รี อยพระบาทหลายแหง ทีม่ ี
ตํานานเชนน้ี แตขาพเจาไมไ ดไ ปเห็นสถานท่ีเหลานั้นดวยตนเองท้งั หมด ทีส่ ระบุรี เวนิ กุม โพน
สนั ขา พเจา ไดไปนมสั การ มผี ยู ืนยนั รับรองวา เสด็จมาประทับรอยพระบาทไวด วยพระองคจรงิ .

อีกเร่ืองหนึง่ พระเถระรปู หน่ึงอยูเกาะลงั กา เวลาพระอาคันตุกะมาพักกะทานมาก ทานพา
ไปบณิ ฑบาตถึงกรงุ ปาฏลบี ตุ รในอินเดีย โดยทาํ อิทธปิ าฏิหาริยย นแผนดินทะเลกน้ั ระหวางเกาะ
ลงั กากบั อินเดีย ปรากฏแกพ ระภิกษผุ ไู ปดวย เปนลาํ คลองเลก็ ๆ น้าํ สเี ขยี วๆ เทา นน้ั ทา นเนรมติ
เปนไมสะพานไตข ามไป ครั้นไปถงึ อินเดียแลว พระทไี่ ปดวยก็แปลกใจ จึงถามทา นวา เปนเมืองอะไร
ทานบอกวาเมืองปาฏลีบตุ ร พระท่ไี ปดว ยตงิ วากป็ าฏลีบุตรอยใู นอนิ เดยี มิใชหรือ นเี่ ราอยูเกาะ
ลงั กา ไฉนจึงจะมาถึงเมืองปาฏลบี ุตรไดชั่วเวลาไมนาน พระเถระบอกความจรงิ ใหท ราบดงั เลาไว
เบื้องตน พระเหลานนั้ เกิดอศั จรรยขนพองสยองเกลา และไดความเช่ือม่ันในพระธรรมวินัย เปน
พลวปจ จยั ใหเรง ความเพียรบาํ เพญ็ สมณธรรมยงิ่ ขึน้ จนไดบรรลุมรรคผลตามสมควรแกว าสนา
บารมขี องตนๆ เรอ่ื งยนแผนดินไดน้ี แมใ นปจ จบุ นั ก็ปรากฏวามผี ูท ําได แตไ มอ าจนํามาเลา ไวใ น
ท่ีน้ไี ด.

อิทธิปาฏิหารยิ สนั ตเิ กภาพน้ี ใชม โนภาพเปนเคร่อื งนํา คอื นกึ เหน็ สถานทหี่ รอื สิ่งทอี่ ยูไกล
น้นั ใหแจมชัด แลว อธษิ ฐานดวยญาณวา จงอยูใกล ก็จะเปน ไดด ง่ั อธษิ ฐานทันท.ี

๑๐. ทูเรภาพ ไดแ กก ารอธิษฐานใหท ใ่ี กลเปนท่ไี กล หรือใหส ่ิงทีอ่ ยใู กลไ ปปรากฏอยูไกล
ด่ังในคราวทพ่ี ระผมู พี ระภาคเจา ทรงทรมานพระองคุลมี าลเถระเปนตวั อยา ง ดงั ไดเลา ไวในบทนาํ
นน้ั แลว พระองคทรงพระดาํ เนนิ โดยปกติ แตพระองคุลีมาลเถระเมือ่ ยังเปน โจร ว่ิงตามจนสดุ ฝเ ทา
ก็ไมท นั ปรากฏเห็นพระองคเ สด็จอยูในที่ไกลเสมอ จนถงึ รองตะโกนใหท รงหยุด อีกครั้งหนึ่งกาํ ลัง
แสดงธรรมแกนางวิสาขามหาอบุ าสกิ า และหญงิ สหาย ๔ – ๕ คน หญิงเหลา น้ันซอ นสรุ าไปดื่มใน
เวลาฟง เทศน เมอ่ื เมาเขา แลวทําทา จะฟอนรําตามวสิ ยั ของคนเมา พระบรมศาสดาทรงสงั เกตเห็น
จึงทรงทรมานดวยอิทธิปาฏหิ าริยทูเรภาพ ทําใหหญิงเหลา น้นั ไปปรากฏอยใู นท่ีไกลสดุ สายตา จน
เกิดความกลวั ตวั สัน่ งนั งก และสรางเมา จึงทรงทาํ ใหม าปรากฏในท่ใี กลต ามเดิม หญงิ เหลา นั้นทูล
ขอขมาคารวะ และรับพระไตรสรณคมน ตงั้ อยูในศลี ๕ – ๘ ตลอดชวี ิต.

ปาฏหิ ารยิ น ้ี ก็ใชมโนภาพเปนเครื่องนาํ เชนเดยี วกับสันติเกภาพ คอื นกึ เห็นสิ่งที่อยใู กลห รือ
สถานทใ่ี กลใ หแจม ชัดในใจ และนึกเหน็ เปน อยูไกล แลวอธิษฐานดว ยญาณวา จงอยไู กล กจ็ ะ
เปนไดด่ังอธษิ ฐานทนั ที.

ทพิ ยอํานาจ ๘๓

๑๑. โถกภาพ ไดแกก ารอธษิ ฐานใหของมากปรากฏเปน ของนอยเพยี งนดิ หนอ ย๑ ขอน้ไี ม
เคยพบตวั อยาง คงเปนเพราะไมมีเหตจุ ําเปน ใหทาํ ก็ได ปาฏหิ าริยนี้ ใชมโนภาพนกึ เห็นสงิ่ ของ
มากมายเปน เพยี งนดิ หนอยใหแ จมชัดในใจ แลว อธษิ ฐานดวยญาณวา จงเปน นิดหนอย กจ็ ะเปน ได
ด่ังอธิษฐาน หรอื จะใชปาฏิหารยิ ก าํ บังใหเ หน็ แตเล็กนอยกไ็ ดเ หมอื นกัน.

๑๒. พหกุ ภาพ ไดแกก ารอธษิ ฐานใหข องนอ ยปรากฏเปน ของมาก มตี ัวอยา งหลายหลาก
เชน ในครง้ั หนึ่งพระบรมศาสดาตรสั สัง่ พระมหาโมคคัลลานเถระใหไ ปทรมานเศรษฐตี ระหน่ี ในกรงุ
สาวัตถคี นหนึ่งไมปรากฏนาม เศรษฐีกบั ภรรยากําลงั ทอดขนมเบอ้ื งอยูช้ันบนของปราสาท โดย
เกรงจะมผี ขู อกนิ พระมหาโมคคลั ลานเถระทาํ ปาฏิหารยิ เหาะไปปรากฏตัวอยใู นอากาศตรงชอง
หนา ตา ง เศรษฐีเห็นแลวกไ็ มพ อใจ จงึ กลาวคาํ ประชดพระเถระ พระเถระกเ็ ฉย ในทสี่ ุดเศรษฐี
ราํ คาญใจหนักขึน้ จงึ ตกลงใจแบง ใหค ร่ึงหน่ึง ๒ คนสามภี รรยาชวยกนั ดงึ จนเหงอ่ื ไหลไคลยอย กไ็ ม
สามารถแบงขนมน้ันได ทัง้ นเ้ี ปนดวยอํานาจปาฏหิ าริยของพระเถระ เศรษฐจี งึ ตกลงใจถวายหมด
ครั้นแลว พระเถระไมร ับ บอกวาพระบรมศาสดาพรอมดวยพระสงฆสาวก ๕๐๐ รูป กําลังน่ังรอฉัน
อยูที่วัดพระเชตวัน ขอใหเศรษฐกี ับภรรยานาํ ไปองั คาสดวยตนเอง เศรษฐีอิดเอ้ือนอยูห นอ ยหนงึ่
แตแ ลว ก็ตกลงยอมไป พระเถระพาไปทางอากาศ ไปองั คาสพระบรมศาสดาและพระสงฆส าวก
๕๐๐ รปู ดวยขนมเบื้องเพียงแผน เดยี ว จนอิม่ หนาํ สาํ ราญหมดทกุ รูป คร้นั แลว ก็ยังปรากฏอยูเทา
เดมิ เศรษฐจี ึงกราบทลู วา จะใหทาํ อยา งไรอกี ตรัสใหนําไปเททิ้งท่ีเงือ้ มใกลซุมประตูพระเชตวนั
สถานท่ีน้ันเลยตอ งเรยี กวา เงอื้ มขนมเบอื้ งสบื มา เศรษฐกี บั ภรรยาเห็นความอัศจรรยใน
พระพุทธศาสนา บังเกิดศรทั ธาเลอ่ื มใส ไดบ ริจาคทรัพยบ าํ รงุ พระพทุ ธศาสนามากมาย เรือ่ ง
สาํ หรบั ปาฏิหาริยขอ น้ีมมี าก ถา จะนํามาเลา กจ็ ะยืดยาว.

ปาฏิหารยิ น้ี ใชม โนภาพเปน เคร่อื งนาํ ทาํ ใจใหสงบเปนฌาน แลว อธิษฐานดว ยญาณวา จง
มาก ดงั น้กี จ็ ะเปน ไดด่งั อธษิ ฐาน.

๑๓. กายวสกิ ภาพ ไดแกการโนมจติ และการอธิษฐานจิตใหเ ปน เหมือนกาย แลวหยั่งลงสู
สุขสัญญา และลหสุ ัญญา ทําใหกายเบา แลว ไปปรากฏกายในพรหมโลกได ถาตองการสาํ เร็จ
อิรยิ าบถ คอื เดิน ยืน นัง่ นอน ก็ทาํ ได ถา ตอ งการจะเหน็ พรหมดว ยทิพพจกั ษุกไ็ ด ฟง เสยี งพรหม
ดวยทพิ พโสตก็ได รใู จพรหมดว ยเจโตปรยิ ญาณกไ็ ด ตองการสนทนาปราศรยั กับพรหมกไ็ ด
ตอ งการแสดงธรรมถามปญหาแกปญหา หรอื ตองการทําอยางใดๆ ก็ทาํ ไดทกุ ประการ ณ พรหม-
โลกนัน้ เรื่องนพี้ ระบรมศาสดาทรงทํา มีเรื่องเลาไวใ นพรหมนมิ ันตนกิ สูตร ทรงเลาวา เม่อื คราว
เสด็จประทับท่ภี ควนั แควนอกุ กฏั ฐะ ทรงทราบความคดิ ผดิ ๆ ของทาวพกาพรหม จึงเสด็จไป
พรหมโลกชั่วพริบตาเดียวกถ็ ึง แลว ไดสนทนากับพรหมถงึ เรือ่ งท่ีคดิ เห็นน้ันวาเปน ความเหน็ ท่ผี ดิ
ทันทกี ม็ ีมารชว่ั ชามาขพู ระองคดวยประการตา งๆ เปนตนวา ผไู มเ คารพนบั ถือพระพรหม ตายแลว
จะไปสกู ําเนิดกายทเ่ี ลว พระบรมศาสดาตรัสตอบดว ยพระวาจาท่ีสอวา ทรงรเู ทาทัน และตรสั วา
พระองคเ ปน ผยู ิง่ กวา พรหม แลวเกดิ ทากนั ข้ึนวา พรหมจะหายไปใหพ ระองคต ามหา พรหมกห็ าย
..........................................................................................................................................................

๑. ทรงอธิษฐานบาตรท่ที า วจตุโลกบาลนาํ มาถวาย ๔ ใบใหเปน ใบเดียว.

ทพิ ยอาํ นาจ ๘๔

ไปไมไ ด พระองคจ ึงตรัสทา วา จะหายไปใหพรหมตามหาบาง พรหมตามหาไมพ บ ทง้ั ๆ ทที่ รงแสดง
ธรรมใหไ ดยินกอ งอยู พรหม พรหมปุโรหติ และพรหมปารสิ ัช เกิดอศั จรรยย อมยกใหวา ยง่ิ กวา
พรหมจรงิ ๆ ทนี ั้นมมี ารช่ัวรายแทรกเขา มาขสู าํ ทบั อีก หามวา เม่ือรเู องดแี ลวก็อยา สอนผอู ่นี เพราะ
พระสัมมาสมั พทุ ธเจา ทั้งหลายทต่ี รสั รูม ากอนแลว ผูสง่ั สอนผอู ืน่ ตายแลวไปดาํ รงอยใู นกายเลว ผูไม
สัง่ สอนผูอนื่ ตายแลว ไปดํารงอยูในกายประณีต เราเตือนทานเพราะหวงั ดี อยาสอนผอู น่ื ดงั นี้
พระบรมศาสดาทรงทราบวาเปน คาํ ของมารชวั่ รา ยแลวตรัสหามคําน้ัน ทรงยืนยนั วาทรงทราบ
ธรรมดาของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา ท้ังหลายดีแลว จําตองสอนผอู น่ื จึงจะสมกบั ความเปน
พระพุทธเจา ทรงนําเรอื่ งนีม้ าเลา ทวี่ ัดพระเชตะวัน กรุงสาวัตถี และตรสั สงั่ ใหเ รยี กวาพรหมนมิ นั -
ตนกิ สูตร เพราะเปน ความเชอ้ื เชญิ ของพรหม มใิ ชของมารดังน้ี พระโบราณาจารยน าํ เรื่องนม้ี า
ประพนั ธเ ปน คําฉันทถวายพระพรชัยมงคล ซง่ึ พระสงฆใชสวดพรพระอยูใ นทุกวนั น้ี๑ ทานยอ
ใจความวา คราวทรมานพกาพรหมนน้ั ทรงใชพระคฑาวิเศษ คอื พระปรีชาญาณ ทรงทรมานพกา-
พรหมพรอ มทงั้ บรษิ ัทใหล ะความเห็นผดิ ได นับเปนชัยชนะทเ่ี ลอ่ื งลอื โดง ดังคร้ังหนง่ึ .

การไปพรหมโลกอยางปรากฏกาย เปน ปาฏหิ าริยท ีท่ ําไดยาก ตองมีเจโตวสี คอื มีอาํ นาจ
ทางใจแรงกลา สามารถนอมนกึ ใหกายกับจติ มีสภาวะเทากนั ท้ังในทางความเบาและความเรว็
พรอมกบั การอธษิ ฐานใหเ ปนดังนั้นดว ย คร้ันแลว ตองเขาฌานช้ันทมี่ ีทั้งสขุ สัญญาและลหสุ ัญญา
คอื ตติยฌาน จงึ จะไปพรหมโลกไดดงั่ ประสงค ถา จะเขา จตตุ ถฌานซง่ึ มแี ตลหสุ ัญญากจ็ ะเลยไป
จะไมพ บหมูพรหมสมหมาย พงึ สังเกตวา ภูมขิ องฌานซง่ึ กําหนดไวเ ปนภมู ิของฤทธิ์นั้น เพื่อใหเ ลือก
เขาฌานท่มี ภี ูมเิ สมอกนั กบั โลกท่มี ุง จะไป และฤทธ์ิท่ีมุงจะทํา ไมใหเขาฌานเลยภมู ไิ ป เชน จะไป
เทวโลกซง่ึ บรบิ ูรณไ ปดว ยความสขุ แชมช่ืน ตองเขาปต ิสขุ ภูมิ คอื ทุตยิ ฌาน จงึ จะเห็นเทวโลก.

การทําใหกายกบั จิตมีสภาวะเทากันน้ี อาจจะตรงกบั ท่ีทางโยคี (คือ ทานปตญั ชลี) กาํ หนด
จิตโดยวสิ ยั ของกาย และอธิษฐานใหกายเบา สามารถเหาะลอยไปในอากาศชา ๆ คลายไปดว ยกาย
ธรรมดาดงั่ น้ี.

๑๔. จติ ตวสิกภาพ ไดแ กการนอมกาย และอธษิ ฐานกายใหเปนเหมอื นจติ แลวหยงั่ ลงสู
สุขสัญญาและลหุสัญญา แลวไปพรหมโลกโดยไมป รากฏกาย คร้นั แลวจึงเนรมติ รูปทสี่ ําเร็จดวยใจมี
อินทรยี บริบูรณใหไ ปปรากฏเบอ้ื งหนาพรหม แลว ทาํ กิจตางๆ มสี นทนาเปน ตน กับพรหม ดังในขอ
๑๓ กท็ าํ ไดท กุ ประการ.

ปาฏิหารยิ น ้ตี รงกันขามกบั ขอ ๑๓ คอื ขอน้ีใหน อมกายและอธษิ ฐานใหเ ปน เหมือนจิต
ธรรมชาติจิตน้ันเบาและรวดเรว็ วอ งไว เม่ือกายมีวสิ ยั เทาจิตกย็ อมเบา รวดเร็วและวอ งไว ไมเปน
วิสัยท่ใี ครๆ ผไู มม ตี าทวี่ ิเศษจะพงึ เหน็ ได ปาฏหิ าริยนอี้ าจจะตรงกับทที่ างโยคี (คอื ทา นปตัญชล)ี
บญั ญตั ิไวว า ลหภุ าพนั่นเอง เขาอธบิ ายวา ทําใหก ายเบาและรวดเรว็ เทาจิต สามารถไปมาไดวอ งไว
และผานไปไดในท่ีทกุ แหง ไมต ิดขัด เหมือนการไปมาของจติ ฉะนน้ั .

วธิ ปี ฏิบัตใิ นขอ น้ี พงึ เทียบเคียงกบั ทก่ี ลา วไวในขอ ๑๓ นัน้ ทุกประการ.
..........................................................................................................................................................

๑. มผี ูสงสยั วาเหตไุ รจึงเรยี กวาถวายพรพระ พรมี ๒ ประเภทคอื พรพระกบั พรเทวดา บทพาหุ เปน ตน เปนพรพระ.

ทพิ ยอาํ นาจ ๘๕

๑๕. ธูมายกิ ภาพ หรือบังควนั ไดแกการอธิษฐานใหบงั เกิดเปนควันกลุมคลมุ ตวั ไว เพ่อื
ปด บังมิใหอ ีกฝายมองเห็นตวั โดยมากใชทรมานพวกนาค ซง่ึ เปน พิษราย ปาฏิหาริยนใ้ี ชนลี กสณิ ก็
ได ใชมโนภาพนกึ เอาควนั ไฟซึ่งเปนไปตามธรรมชาตินนั้ ก็ได มาเปนอารมณ ทําใจใหส งบเปน ฌาน
แลว อธิษฐานดวยญาณวา จงเปน ควัน กจ็ ะเปน ไดดัง่ ประสงค.

๑๖. ปชชลกิ ภาพ หรือเปลวเพลงิ ไดแ กการอธิษฐานใหเ กดิ เปลวเพลงิ ลุกรงุ โรจนโ ชตนา
การทวมตวั เปน ปาฏิหารยิ ที่ใชท รมานนาครา ยโดยมาก เชนเดยี วกับขอ ๑๕ ธรรมดานาคกลวั ไฟ
ใชป าฏิหารยิ นที้ รมานยอมไดผล ทําใหเขากลัวและยอมออ นนอ มไดง าย.

ปาฏหิ ารยิ ขอ ๑๕ และขอนี้มักใชตดิ ๆ กันเสมอ ในการทรมานนาครายใชขอ ๑๕ กอ นแลว
จงึ ใชขอ นีใ้ นภายหลัง พระบรมศาสดาไดท รงทาํ คราวไปทรมานปรุ าณชฎิลดงั กลาวไวในบทนําแลว
ครั้งหนง่ึ ทรงสัง่ พระมหาโมคคลั ลานเถระไปทรมานนันโทปนันทนาคราช โดยทรงแนะอปุ เทศให
พระเถระไปทรมานดว ยปาฏิหารยิ หลายประการ มปี าฏิหารยิ  ๒ ประการนดี้ ว ย จึงทรมานสําเรจ็
อกี เร่อื งหน่งึ ทรงส่ังพระมหาโกฏฐิตเถระ ไปทรมานพญานาคทที่ าปยาคะ ก็ใชป าฏหิ าริย ๒
ประการน้ี สามารถทรมานพญานาคสําเร็จ.

ปาฏหิ ารยิ น ีต้ องใชเตโชกสิณ เปนเครอื่ งนําทาํ ใจใหส งบ แลว อธษิ ฐานดวยญาณวา จงเปน
เปลวเพลงิ กจ็ ะเปน ไดด่ังอธิษฐาน ปาฏหิ ารยิ น แ้ี มในปจ จบุ ันก็มีผูทําได แตไ มอาจนาํ มาเลาได.

สวนวิกพุ พนาฤทธ์ิ ปรากฏแจมแจง ในนิเทศ ดังไดยกมากลาวในตอนแจกประเภทแหง ฤทธ์ิ
นั้นแลว ฤทธปิ์ ระเภทนี้ไมมขี อบเขตจํากดั อาจดดั แปลงพลิกแพลงทําไดต างๆ ยง่ิ กวา ที่ปรากฏใน
นเิ ทศน้ันก็ได เปนฤทธท์ิ ่ีตองใชมโนภาพกับกําลงั ใจเปนสําคญั .

เมอ่ื พจิ ารณาถึงทางท่ีจะพึงเปน ไดแหง ฤทธิ์ ๔ ประเภทนีแ้ ลว ไดเหตุสาํ คัญ ๔ ประการ คือ
๑. กําลังฌานอันเปนภูมิแหงฤทธิ์.
๒. กาํ ลงั กสณิ หรอื มโนภาพ ซึง่ มีอิทธิบาท ๔ เปน กําลงั หนนุ .
๓. กาํ ลังใจซึ่งเปน ตนตอของฤทธ์ิ ๑๖ ประการ.
๔. กําลังอธิษฐาน ซง่ึ มีบทของฤทธ์ิ ๘ ประการเปน กําลงั อดุ หนุน.
ฉะน้ัน จะไดขยายความแหงกาํ ลังอันสาํ คัญ ๔ ประการน้ี ใหเ ปนที่เขา ใจแจม แจง จะไดถ ือ
เปน หลกั ในการสรา งฤทธ์ิ ๒ ประเภทนี้สืบไป.
๑. กําลงั ฌานอันเปนภมู ิแหงฤทธิ์นั้น ทานจาํ แนกไว ๔ ภูมิ คอื วิเวกชาภมู ิ ภมู แิ หง ความ
เงยี บจากกามคณุ และอกุศลธรรม ซึง่ ไดแ กป ฐมฌาน ๑ , ปติสขุ ภมู ิ ภมู ิแหง ปต สิ ขุ เกิดแตส มาธิ ซ่งึ
ไดแกท ุติยฌาน ๑ , อเุ บกขาสุขภมู ิ ภมู แิ หงอุเบกขาสุข ซึ่งไดแ กตติยฌาน ๑ , อทกุ ขมสขุ ภูมิ ภูมิ
แหง จิตไมท ุกขไมส ุข ซงึ่ ไดแกจตุตถฌาน ๑ รวมความวาภมู ิแหง ฌานทง้ั ๔ ประการเปนทตี่ ั้งแหง
ฤทธ์ิไดทงั้ หมด แลวแตก รณี ฤทธิบ์ างประการอาศยั ภมู แิ หงจิตในฌานช้ันต่ํา แตบ างประการตอง
อาศัยภูมแิ หงจิตในฌานชน้ั สงู จงึ จะมีกาํ ลังเพียงพอทจ่ี ะทําได ฤทธิ์ชนดิ ใดควรใชฌ านเพยี งภูมไิ หน
ตอ งอาศัยการฝก ฝนทดลองแลว สงั เกตเอาเอง เรื่องของฌานไดก ลา วมามากแลว คงเปน ท่ีเขา ใจ
และคงเชอื่ อาํ นาจของฌานบา งแลว แมแตค วามสําเรจ็ ในฌานนน้ั เอง ทานก็จดั เปนฤทธปิ์ ระเภท
หนึ่งอยแู ลว จึงไมต อ งสงสยั วา ฌานจะไมเปน กาํ ลงั สาํ คัญในการทําฤทธิ์ประการหนง่ึ .

ทิพยอาํ นาจ ๘๖

๒. กําลังกสิณ หรือมโนภาพ ซ่งึ มอี ิทธิบาท ๔ เปน กําลังหนุนนน้ั คอื กสณิ ๑๐ ประการ
ดงั กลาวไวใ นบทท่ี ๓ นนั้ ตอ งไดรบั การฝก หดั ใหช าํ นิชาํ นาญ สามารถใชเ ปนกีฬาไดดังกลา วในบท
ท่ี ๔ สวนมโนภาพนนั้ หมายถึงภาพนึกหรอื ภาพทางใจ ซง่ึ จาํ ลองมาจากภาพของจริงอีกทีหน่งึ
คลายดวงกสิณน่ันเอง เปนแตม โนภาพมไิ ดจ าํ กัดวตั ถแุ ละสีสันวรรณะอยา งไร ภาพนกึ หรอื ภาพ
ทางใจน้ีจะตองไดร ับการฝก หัดอบรมไวใหชํา่ ชอง เปนภาพแจม แจง เจนใจ สามารถนึกวาดขึน้ ดว ย
ทนั ทีทันใด เชนเดยี วกบั ดวงกสิณ การฝก หัดเพงกสณิ และทาํ มโนภาพน้ี ตองอาศัยกําลังอดุ หนุน
ของอทิ ธิบาทภาวนาเปนอยา งมากท่สี ดุ อิทธิบาทภาวนานี้ไดอธิบายไวแ ลว ในบทท่ี ๔ เม่อื ไดฝ กเพง
กสณิ และฝก มโนภาพไวชํา่ ชองแลว เปนทีม่ ่ันใจไดทีเดยี ววา จะทําฤทธไ์ิ ดด ัง่ ประสงค.

๓. กําลงั ใจ ซง่ึ เปน ตนตอของฤทธิ์ ทานจําแนกไว ๑๖ ประการ คือ
(๑.) จิตมั่นคง ไมแฟบฝอเพราะเกยี จคราน
(๒.) จิตมน่ั คง ไมฟฟู งุ เพราะความฟงุ ซาน
(๓.) จิตมนั่ คง ไมร านเพราะความกําหนดั
(๔.) จิตมน่ั คง ไมพลานเพราะพยาบาท
(๕.) จติ มน่ั คง ไมก รนุ เพราะความเห็นผดิ
(๖.) จติ มั่นคง ไมตดิ พนั ในกามคุณารมณ
(๗.) จิตมน่ั คง หลุดพน จากกามราคะ
(๘.) จิตมั่นคง พรากหา งจากกเิ ลสแลว
(๙.) จิตม่ันคง ไมถ กู กิเลสคลมุ ครอบทบั ไว
(๑๐.) จติ มน่ั คง เปน หนง่ึ ไมส า ยไปเพราะกิเลสตา งๆ
(๑๑.) จิตมั่นคง เพราะศรทั ธาอบรม
(๑๒.) จติ มั่นคง เพราะความเพียรประคบประหงม
(๑๓.) จติ มั่นคง เพราะสตฟิ ูมฟก ไมพล้ังเผลอ
(๑๔.) จติ มั่นคง เพราะสมาธคิ รอบครองไว
(๑๕.) จิตมัน่ คง เพราะปญ ญาปกครองรักษา
(๑๖.) จิตมั่นคง เพราะถงึ ความสวางไสวหายมืดมัว
จติ ทีม่ ่ันคงแขง็ แรงดงั กลา วมาน้ี นบั วา เปน กําลังสําคญั ที่สุดในการทาํ ฤทธิ์ ทา นจงึ จัดเปน
ตน ตอของฤทธิ์ ผูประสงคส รางฤทธ์ิตอ งพยายามอบรมจิตใจดวยคณุ ธรรมตางๆ ดังกลาวไวในบทท่ี
๔ นนั้ ทุกประการ.
๔. กําลงั อธิษฐาน ซง่ึ มีบทของฤทธิ์ ๘ ประการเปนกําลงั หนนุ คือวา การบาํ เพญ็ อธษิ ฐาน
บารมีที่จะสําเร็จได ตอ งอาศัยกาํ ลงั หนนุ ของอิทธิบาท ๔ และสมาธอิ ันไดเพราะอาศยั อิทธิบาท ๔
ประการน้ัน ประกอบกัน บคุ คลผจู ะสามารถอธิษฐานใหเ กดิ ฤทธเิ์ ดชตางๆ ไดน ั้น จะตอ งบาํ เพญ็
อธิษฐานบารมีมาอยา งมากมาย เปนคนมีนา้ํ ใจเดด็ เด่ียว ลงไดต้ังใจทําอะไรหรือเปลงวาจาปฏิญาณ
วา จะทาํ อะไรอยางไรไปแลวถาไมเ ปนผลสําเรจ็ จะไมยอมหยุดย้ังเลย แมจําตอ งสละชวี ิตกย็ อม ดั่ง
สมเดจ็ พระบรมศาสดาของเราเปนตัวอยา ง ในสมัยเปน พระโพธสิ ัตวทรงบําเพ็ญพระบารมเี พือ่ พระ

ทิพยอํานาจ ๘๗

โพธิญาณ เคยต้งั พระหฤทยั ไววา ใครประสงคด วงพระเนตรกจ็ ะควกั ให ใครประสงคด วงหฤทัยก็จะ
แหวะให ภายหลังมีผมู าทลู ขอดวงพระเนตรมิไดทรงอดิ เออ้ื นเลย ไดตรัสเรียกนายแพทยใ หม าควกั
พระเนตรออกทาํ ทานทันที แมจ ะไดทรงรับทุกขเวทนาสาหัสจากการน้ัน ก็มิไดป ริปากบน แมส กั
คาํ เดียว ครั้นมาในปจ ฉิมชาติท่ีจะไดต รัสรพู ระอนุตตรสัมมาสมั โพธญิ าณ เปนพระศาสดาเอกใน
โลก ก็ไดทรงบาํ เพญ็ พระอธษิ ฐานบารมีมน่ั คง ทรงบากบนั่ มั่นคงกา วหนาไมถ อยหลงั ตลอดมา
จนถงึ วาระจะไดตรัสรู ก็ทรงอธิษฐานจาตรุ งคมหาปธาน คอื ความเพยี รใหญยง่ิ ประกอบดวยองค ๔
คือ ทรงต้ังพระหฤทยั เด็ดเดย่ี ววา เน้อื เลอื ดจะเหอื ดแหง ยังเหลือแตหนงั เอ็น และกระดกู ก็ตามที
ถา ยงั ไมบ รรลสุ มั มาสมั โพธิญาณแลว เราจะไมย อมหยดุ ยง้ั ความเพียรเปนอันขาด ดังนี้ อาศัย
อาํ นาจนา้ํ พระหฤทยั เดด็ เด่ียวมั่นคงเปน กาํ ลัง ก็ไดท รงบรรลุพระอนตุ ตรสัมมาสมั โพธิญาณสม
ประสงค.

อธิษฐานบารมที ่จี ะดีเดน ได ตอ งประกอบดว ยอธิษฐานธรรมซึง่ เปนกาํ ลังหนุน ๔ ประการ
คือ

๑. สัจจะ ความสัตย มมี น่ั หมายไมกลบั กลอก
๒. ทมะ มีความสามารถบงั คับจติ ใจไดด ี
๓. จาคะ มนี า้ํ ใจเสยี สละอยางแรงกลา เม่ือรวู าสิ่งใดเปนประโยชนย่งิ ใหญกวา ทีม่ ีอยูแลว
จะไมร ีรอเพอื่ สง่ิ น้ันเลย ยอมทุมเททุกสง่ิ ทุกอยางกระทั่งชีวติ เขา แลก และ
๔. ปญญา มคี วามฉลาดเฉลยี ว รูจกั สิ่งท่เี ปน ประโยชน-ไมเ ปน ประโยชน, ควร-ไมค วร,
เปน ได-และเปน ไปไมไ ด.
แลว ดาํ รงในสัตยอันเปนประโยชน และเปน ธรรมบังคบั จิตใจใหเปนไปในอํานาจ ทมุ เท
กาํ ลังพลงั ลงเพ่อื ประโยชนท่มี งุ หมายน้นั .
อธิษฐานบารมีท่ไี ดอ บรมฝก ฝน โดยทาํ นองดังกลา วน้ี ยอมเปน สง่ิ มีพลานภุ าพเกินทจ่ี ะ
คาดคิดถงึ ไดวา มีประมาณเพียงใด ผมู อี ธษิ ฐานบารมไี ดอบรมแลวอยางนี้ เมื่อต้ังใจหรือมงุ หมายที่
จะใหเ กดิ อํานาจมหัศจรรยอยา งไร กย็ อมจะสาํ เรจ็ ไดท กุ ประการ เมอ่ื ใจศักดสิ์ ทิ ธ์ิเชนน้ัน แมการ
กระทําและคาํ พูดแตละคาํ ท่เี ปลง ออกมา ก็ยอมศักดิ์สทิ ธเิ์ ปน ฤทธิ์เดชเชนเดยี วกัน ดังสมเดจ็ พระ
รว งเจา กรงุ สโุ ขทยั มพี ระวาจาศักด์ิสทิ ธิส์ ามารถสาปขอมดาํ ดินใหกลายเปน หินไปไดฉ ะนั้น.
เมือ่ ไดทราบหนทางที่จะใหบังเกิดฤทธอิ์ าํ นาจมหศั จรรยด ังนีแ้ ลว ควรทราบวิธีทาํ ฤทธิน์ ้ัน
ตอ ไป เพ่อื เม่ือถงึ เวลาจําเปน ตองทําฤทธิ์ กจ็ ะไดทําไดทีเดยี ว.
อธิษฐานฤทธท์ิ ้งั ๑๖ ประการนัน้ เมอื่ จะทําฤทธ์ิชนิดใด พงึ สาํ เหนียกดูวา ควรใชกสณิ
หรอื มโนภาพชนิดใดแลว พงึ อาศยั กสิณหรือมโนภาพชนิดน้ันเปนพาหนะนําใจใหสงบเปนสมาธิ
เขา ถงึ ภมู ิทส่ี ามารถจะอธษิ ฐานฤทธ์ชิ นิดนั้น แลว พึงออกจากฌานในทนั ใด พึงอธษิ ฐานคือต้ังใจ
แนวแนวา จงเปน (อยา งนัน้ ) ครั้นอธฐิ านแลว พึงเขา สคู วามสงบอีก กจ็ ะสาํ เรจ็ ฤทธ์ิตามทอ่ี ธิษฐาน
ทนั ที.

ทพิ ยอํานาจ ๘๘

สวนวกิ พุ พนาฤทธิ์ พึงอาศัยมโนภาพเปนพาหนะนาํ ไปสูค วามสงบถงึ ข้นั ของฌาน อันเปน
ภูมิของฤทธิน์ ้ันๆ แลวนอมจติ ไปโดยประการทตี่ อ งการใหเ ปน น้ัน กจ็ ะสําเรจ็ ฤทธ์ินั้นสมประสงค
เชน ตองการแปลงกายเปน ชา ง พงึ นึกวาดภาพชา งขึ้นในใจใหแ จม ชัด จนจติ เปนฌานข้ันใดข้ันหนงึ่
แลวจึงนกึ นอมใหภ าพชา งน้ันเดนชัดยง่ิ ขึ้น แลวแสดงกิรยิ าอาการตามใจประสงคใหเหมือนชาง
จรงิ ๆ ตอ ไป กช็ ื่อวาสําเร็จฤทธิ์ขอนไี้ ด สว นขอ อื่นๆ ก็พงึ ทราบโดยนัยเดียวกัน.

การทําฤทธิท์ ้งั สองประเภทนี้ เมอ่ื ทาํ เสร็จแลวพงึ อธิษฐานเลิกทุกครง้ั อยา ปลอยทิง้ ไวจะ
เปนสัญญาหลอกตนเองอยูร่าํ ไป ทา นผูสนใจในทพิ ยอํานาจขอ นก้ี ็ดี ขออ่นื ๆ ท่ีจะกลาวขางหนา ก็
ดี หากยงั ไมเขา ใจแจม แจง ขา พเจา ยนิ ดีชว ยเหลอื โดยเฉพาะเปนรายๆ ไป เชิญตดิ ตอไตถามไดทุก
เมือ่ .

ทพิ ยอํานาจ ๘๙

บทท่ี ๖

วธิ สี รา งทพิ ยอาํ นาจ มโนมยั ฤทธ์ิ ฤทธสิ์ าํ เรจ็ ดวยใจ

ฤทธิป์ ระเภทน้ี ปรากฏในคําอธิบายเรอ่ื งฤทธิ์ในปฏิสัมภิทามรรค จดั ไวในประเภทอิทธิวิธิ
แตใ นอทิ ธินิเทศท่ีทรงแสดงไวในพระบาลี มไิ ดม ปี รากฏฤทธ์ิประเภทนี้ ในญาณทสั สนะ ๘ หรือท่ี
เรยี กวาวิชชา ๘ ประการ ทรงยกข้ึนเปนขอหนึ่งตางหาก เรียกวา มโนมยาภินมิ มนะ แปลวา การ
เนรมติ รูปสาํ เร็จดวยใจ มลี ักษณะคลา ยคลึงกบั วิกุพพนาฤทธิ์ คอื ฤทธ์ผิ าดแผลง ดงั แสดงแลว ใน
บทท่ี ๕ แปลกกนั แตวาฤทธิ์ประเภทน้ีไมมีลักษณะผาดแผลง เพยี งแปลงรูปกายขึน้ อีกกายหนึ่งจาก
กายเดิมนแี้ ลว ไปปรากฏกายในท่ีอน่ื อีกที การจัดไวในประเภทอทิ ธิวธิ กิ ช็ อบแกเ หตุ แตขา พเจา
ประสงคจ ะจดั ไวเปน ทิพยอาํ นาจประการหนึง่ ตางหาก ดงั ท่ีพระผมู ีพระภาคทรงแสดงไวใ นวชิ ชา
หรือญาณทัสสนะ ๘ ประการ.

คาํ วามโนมัยฤทธ์ิ หมายถึงฤทธท์ิ างใจทีต่ อ งเนรมติ กายหรือรปู รา งอนั สมบูรณ มีอนิ ทรีย
ครบเหมือนรูปรางตวั จริงข้ึน แลว สงกายหรือรูปรางนั้นไปทาํ กิจแทนตนยงั ทีไ่ กล หรอื ใหป รากฏขึ้น
ในทเ่ี ฉพาะหนาก็ได ทา นเรยี กรูปกายทเ่ี นรมิตข้ึนน้ันวา มโนมัยกาย หรือนิรมานกาย พระบรม
ศาสดาและพระสาวกชอบใช เพราะสะดวกในการบําเพ็ญประโยชนโ ปรดเวไนยในที่ไกล ไมเ ปน
ฤทธิ์ท่ีทําใหมหาชนเกิดตืน่ เตน ตมู ตาม เปนฤทธเ์ิ งยี บๆ จะเห็นก็เฉพาะผูท่มี ุง ไปโปรด หรือผูที่มี
ทิพยจกั ษเุ ทานั้น ถึงคนอนื่ ๆ จะเหน็ บา งกเ็ ลือนราง เพราะไปมาโดยวิสัยใจ ยอมรวดเร็วมาก
ประมาณเพยี งชัว่ ลดั นวิ้ มือ หรอื ช่ัวพริบตาเดยี วเทา นัน้ ยากท่ีคนธรรมดาสามัญจะทนั สงั เกตเห็น
เวน แตทานผทู าํ ฤทธจ์ิ ะแสดงชา ๆ เพอ่ื ใหส ามัญชนเหน็ ได ดังในกายวสกิ ภาพปาฏิหารยิ  ท่ีได
อธิบายมาแลวในขอวา ดวยอิทธิวิธ.ิ

พระบรมศาสดาเสด็จไปโปรดเวไนยซ่ึงอยูห างไกลกัน จะเสดจ็ ไปโดยธรรมดากไ็ ดป ระโยชน
ไมค มุ หรือไมทันกบั เวลา โดยมากทรงเสด็จดว ยพระมโนมยั กาย เชนคราวเสด็จไปโปรดพระมหา
โมคคลั ลานเถระ ณ บานกัลลวาลมุตตคาม เพื่อทรงแสดงวิธแี กถีนมิทธะแกพระเถระ ซึ่งกาํ ลังถูก
ถีนมทิ ธะครอบงาํ ดงั ไดเ ลาเรื่องน้ีไวใ นบทนาํ แลว ตามเร่ืองปรากฏวาทรงเปลง พระรัศมโี อภาสไป
ปรากฏพระองคอยูตรงหนา ทรงแสดงธรรมใหฟง ผไู ดร ับโปรดแลเหน็ พระองคชัดเจน เหมือน
พระองคเสดจ็ ไปดวยพระกายธรรมดา ถงึ กบั ปูลาดอาสนะถวาย และกราบถวายบงั คมคอยฟงพระ
ธรรมเทศนา ดงั เร่ืองท่ีจะเลาตอ ไปน้ี

ครงั้ หน่งึ สมเด็จพระผูม พี ระภาคเจา เสด็จประทับทีส่ วนกวาง ช่ือ เภสกลาวนั ใกลน คร
สงุ สมุ ารคิระ ในภัคคะชนบท สมัยนั้นทา นพระอนรุ ุทธเถระพกั อยู ณ สวนกวาง ชือ่ ปาจีนวงั สะ ใน
เจดยี ช นบท คนละประเทศกบั พระบรมศาสดา ครั้งนน้ั ทา นพระอนุรุทธเถระ กําลังดํารถิ งึ มหา-
ปรุ ิสวติ ก ๗ ขอ พระผมู พี ระภาคเจา ทรงทราบดําริน้ันแลว จงึ เสดจ็ หายพระองคไ ปจากท่ีประทับ
เสด็จไปสูท่ีพกั ของทา นพระอนรุ ุทธเถระเพยี งชั่วเวลาคแู ขนเหยียดแขนเทานั้นก็ถงึ ไปปรากฏ

ทิพยอาํ นาจ ๙๐

พระองคเฉพาะพักตรท านพระอนรุ ทุ ธเถระ แลว ประทับนง่ั บนอาสนะทปี่ ูลาดถวาย สว นทา นพระ
อนุรุทธเถระไดถวายบงั คมพระผมู ีพระภาคเจา แลว น่ัง ณ ทอี่ นั สมควร.

ครน้ั แลว พระบรมศาสดา จึงทรงรับรองดําริ ๗ ขอของทา นพระอนรุ ทุ ธเถระวา เปน มหา-
ปรุ ิสวิตก คอื เปนความคิดของมหาบรุ ุษ แลว ทรงแสดงเพมิ่ ใหอ กี ๑ ขอ รวมเปน ๘ ขอ เรียกวา
มหาปรุ สิ วิตก ๘ ประการ และทรงแสดงอานิสงสต อ ไปวา เมอื่ ตรึกตรองตามมหาปรุ สิ วติ ก ๘
ประการน้ันแลวจะเขา ฌานที่ ๑ – ๒ – ๓ – ๔ ไดโ ดยงา ย ไมยากลําบาก และเม่ือไดฌาน ๔
ประการนัน้ แลว เปรียบเทยี บดูกบั ความสขุ ของคฤหบดี หรอื บุตรของคฤหบดี ผทู ี่มีปจจยั เลย้ี งชีพ
อยา งสมบูรณด ีทีส่ ดุ ก็จะเห็นทนั ทีวา ปจจัย ๔ ของสมณะ คือ ปณฑิยาโลปโภชนะ อาหารทไ่ี ป
รบั มาจากชาวบาน ผูม ีศรัทธาคนละเล็กละนอยคลุกเคลา ปนเปกนั ก็ดี, ปง สุกลุ จวี ร ผา เปอ นฝนุ ท่ี
ไปเก็บมาทําผา นุงหมกด็ ,ี รุกขมลู เสนาสนะท่อี ยูต ามธรรมชาตภิ ายใตรมไมก็ด,ี ปูติมตุ ตเภสัชยา
ดองดว ยน้าํ ปส สาวะเนา กด็ ี เปนสงิ่ ดีกวา สะดวกสบายกวา ทัง้ เปนไปเพื่อบรรลุพระนิพพานดวย
ดังนี้. ครั้นแลวจึงตรัสสงั่ ใหทานพระอนรุ ทุ ธเถระจาํ พรรษา ณ ทน่ี น้ั ตอ ไป สว นพระองคไ ดเสด็จ
กลบั ไปสวนกวางเภสกลาวนั ชวั่ ครเู ดยี วก็ถึง แลวทรงแสดงมหาปรุ สิ วติ ก ๘ ประการนั้นแกภ ิกษุ
ทง้ั หลาย ณ ท่ีประทับนั้นอกี คร้ังหนง่ึ .

สวนทานพระอนรุ ุทธเถระ จาํ พรรษา ณ สวนกวางปาจนี วังสะ ในเจดยี ช นบทตอ ไป ใน
ภายในพรรษารบี เรงความเพียรไมนานนกั ก็บรรลถุ งึ ภูมิพระอรหัตตผล ไดเ ปนพระอรหันตพ ระองค
หนง่ึ ในพระพุทธศาสนาไดภ าษติ คาถาน้ีในเวลาน้ันวา

“พระศาสดาผูเ ยี่ยมยงิ่ ในโลก ทรงทราบความคิดของเรา จึงเสด็จมาหาเราดว ยพระฤทธิ์
มโนมยั กาย ทรงแสดงธรรมตามท่ีเราคิดเห็น เพม่ิ เติมใหย ิง่ ขึ้นไป พระพทุ ธเจาผทู รงยนิ ดีในธรรมไม
เนิน่ ชา ไดทรงแสดงธรรมท่ีไมเนิ่นชา แกเรา เรารูแจง ธรรมของพระองคแ ลว บรรลวุ ชิ ชา ๓ เสร็จกิจ
พระพทุ ธศาสนาแลว จงึ ยนิ ดอี ยใู นพระพุทธศาสนาของพระศาสดาพระองคน ้นั ” ดังน้.ี

ภายหลงั มาทานพระอนรุ ทุ ธเถระ ไดรบั ยกยอ งจากพระบรมศาสดาวา ยอดเยยี่ มกวาภิกษผุ ู
มีทพิ ยจกั ษทุ ง้ั หลาย.

อกี เรื่องหนงึ่ มีกุลบุตรคนหน่ึงชื่อวกั กลิ ไดเหน็ พระบรมศาสดามีพระรปู โฉมสงางาม พระ
ฉวีวรรณผดุ ผอง กเ็ กิดความเลื่อมใสออกบวชในพระธรรมวินยั ของพระบรมศาสดา ติดตามดูพระผู-
มพี ระภาคเจา อยเู นอื งๆ ตอมาเมอ่ื ทรงเหน็ วามีอินทรียพ อสมควรแลว จงึ ทรงแสดงธรรมเนอ่ื งดวย
อสภุ ะใหฟง ทา นเกดิ ความคดิ และไปเรง ความเพยี รในท่ีวเิ วกใกลภ ูเขาแหง หน่ึง ครัน้ ตอมาเกิด
อาพาธหนัก โยมอปุ ฏฐากนาํ ไปทําการรกั ษาพยาบาลอยใู นบา น อาพาธย่ิงกําเรบิ หนัก อยากเห็น
พระผูมพี ระภาคเปน ขวัญตาครงั้ สดุ ทา ยกอนตาย หากทรงพระกรุณาโปรดเสดจ็ มาเพราะกาํ ลงั
อาพาธหนัก จะไปเฝา ดวยตนเองมไิ ด พระบรมศาสดาไดตรัสสง่ั ไปกับคนผไู ปเฝาวา เธออยากจะ
เหน็ ทําไม ซง่ึ รางกายอันเปนของเปอ ยเนาน้ี ผูใดเหน็ ธรรมผูนั้นชือ่ วา เห็นเรา ผใู ดเห็นเราผูน้ันช่ือวา
เห็นธรรม จงเรงทาํ ความเพยี รทางจติ เมอ่ื ถงึ เวลาอนั ควรเราจะไปเอง ดังน้ี พอทานพระวกั กลิได
รับทราบพระพทุ ธดาํ รัสแลว สง่ั ใหโ ยมอุปฏฐากหามเอาทา นไปไว ณ ขา งภเู ขา ซงึ่ เปนท่ีเงียบทท่ี า น
เคยไปอาศัยทําความเพยี รอยูกอนอาพาธ ทา นไดเรงทาํ ความเพยี รทางใจตลอดวันและคืนโดยไม

ทิพยอํานาจ ๙๑

ประมาท อาพาธทวีหนักข้ึน ทา นกเ็ รงทําความเพยี รหนักขน้ึ เปนทวีคณู พระบรมศาสดาทรงรอ
เวลาอยู พอไดโอกาสจึงเปลงพระรัศมีโอภาสไปปรากฏพระกายในทเี่ ฉพาะหนา ของทา นวักกลิทันที
เมื่อทา นแลเห็นกเ็ กิดปต ปิ ราโมทย พยายามจะลุกข้นึ กราบถวายบงั คม แตพระบรมศาสดาผูมีพระ
มหากรุณาไดตรัสหาม และตรัสถามถึงอาการปวยพอสมควรแลว ทรงแสดงธรรมเพยี งส้นั ๆ วา
ภิกษุผูม ากไปดวยปราโมทย เปนผูเล่อื มใสในพระพทุ ธศาสนา สามารถบรรลสุ ันตบิ ทคือพระ
นิพพาน ซ่งึ เปน ที่ระงับสงั ขาร มีสุขจรงิ แท ดงั น้ี แลว เสดจ็ กลบั พอพระผูมพี ระภาคเสด็จไปแลว ไม
นาน ทา นทาํ การเจริญปตปิ ราโมทย เกดิ สุขกายสบายจติ จิตตง้ั มัน่ เปนสมาธโิ ดยงายแลวเจรญิ
วิปสสนาตอ ในคืนวนั น้ันเองทานก็ลถุ งึ ยอดแหง สาวกบารมีญาณ ไดเปนพระอรหันตอ งคห น่งึ ใน
พระพุทธศาสนา ทันใดน้ันเทวดาไดไ ปเฝา กราบทูลพฤตกิ ารณของพระวกั กลเิ ถระใหท รงทราบ
พระผมู ีพระภาคตรสั วา แมเราเองกท็ ราบแลว ในคืนวันนั้นเองตอนใกลร งุ ทานก็ปรินิพพานไป
เพราะทนทานตอ อาพาธไมไ หว มารใจบาปไดไปพยายามคนหาดวงวญิ ญาณของพระวักกลเิ ถระวา
ไปไหนกห็ าไมพบ เกิดเปน ควนั กลมุ รอบบริเวณ รุง เชาพระบรมศาสดาจึงพาพระสงฆจ าํ นวนหนึ่ง
ไปทําฌาปนกิจศพพระวกั กลเิ ถระ แลว เก็บอัฐไิ ปกอ สถูปบรรจไุ วเ พ่ือเปนทกี่ ราบไหวของคนและ
เทวดาตอไป คร้ันในสมยั ทที่ รงประกาศเอตทัคคฐานแกพ ระสาวก-สาวิกา วา ใครเยี่ยมยอดในคุณ
ขอ ไหนบาง กท็ รงยกยองพระวักกลเิ ถระวา เยีย่ มยอดกวาภิกษทุ ั้งหลายผศู รทั ธาวิมตุ ติ คอื ผูพน
จากกิเลสดวยอาํ นาจความเชือ่ ม่ันในพระบรมศาสดา เช่อื ฟงคาํ ส่ังสอน ปฏบิ ัติตามคาํ สั่งอยา งเด็ด
เด่ยี วดังเรือ่ งทเี่ ลามา ก็แสดงวา ทา นพระวักกลิเถระเชอ่ื ฟง พระบรมศาสดาอยา งดีเยี่ยม จึงทรงยก
ยองไวในคุณขอ น้ใี หเปนที่ปรากฏ เปนตวั อยา งแกป จฉิมชนตาชน คอื คนผเู กดิ มาในภายหลงั เม่ือได
ฟงเร่อื งราวนแ้ี ลว กจ็ ะไดถ อื เอาเปนคติประพฤติตาม ใหสามารถเปนพยานในพระพทุ ธดํารัสทว่ี า
“ผใู ดเห็นธรรมผนู ั้นเหน็ เรา ผใู ดเห็นเราผูน ้ันเห็นธรรม” ซง่ึ มีความหมายวา พระผูม พี ระภาคผพู ระ
บรมศาสดาทแี่ ทจริงนั้น มใิ ชร ูปกายอันเปอ ยเนาผุพงั ไปเชน นนั้ เลย หากแตเปน พระธรรมอนั ไมร จู ัก
ตายนน้ั ตา งหาก ผูหยัง่ ลงสกู ระแสพระอมตธรรมนน้ั แลว ยอมไดเห็นเฝาแหนพระผมู ีพระภาค ผู
พระบรมศาสดาของตนสมดังประสงคแ ทจ ริง กลายเปนรตั นะดวงหนึง่ ซงึ่ มคี ติเสมอกนั กบั พทุ ธ
รัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรตั นะ รัตนะทัง้ ๓ นเ้ี ปนแกนสารไมร ูจ กั สญู สลาย เปนสง่ิ ไมรูจ กั ตาย
มีอยทู กุ กาลสมยั ผสู นใจในเร่ืองนโ้ี ปรดดูในหนังสือพรหมจรรยคอื อะไร? ตอนวาดวยพุทธปรัชญา
กจ็ ะทราบไดว า จติ ที่บรรลถุ งึ อมตธรรมแลว เปน วมิ ุตติสาร ซง่ึ ตายไมเ ปน คนและเทวดาสามัญไม
เห็น เวนแตพ รหมบางพวกผูบ รรลุวิสุทธิธรรมเทาน้ันสามารถเหน็ ได.

พระมหาโมคคัลลานะ ซงึ่ ไดรับยกยองจากพระบรมศาสดาวา ยอดเยย่ี มกวาบรรดาพระ
สาวกผมู ฤี ทธิ์ และเปนอัคคสาวกเบื้องซา ยของพระบรมศาสดา เปน กาํ ลังใหญใ นการเผยแผ
พระพุทธศาสนาในประชาชนท่วั ไปไดดี ทา นมกั ใชมโนมัยฤทธ์ินไี้ ปปรากฏในสวรรคบา ง ในนรก
บาง แลวนําขา วหรือเรื่องราวในสวรรคและนรกนั้นมาบอกเลา แกชาวมนษุ ยใหท ราบ เพื่อใหชาว
มนษุ ยบ ังเกดิ ความเชอ่ื มั่นในกรรมดี-กรรมชั่ว วาสามารถอาํ นวยผลในโลกไดจริง จะไดม ่นั อยใู น
กรรมดมี ีศีลธรรมงามยิ่งข้ึน ดังนี้ เรื่องปรากฏท่ที านรวบรวมไวในพระไตรปฎ ก หมวดเปตวตั ถุและ
วมิ านวตั ถเุ ปนสว นมาก จะนํามาเลา ไวสกั ๒ เร่อื ง ดังตอ ไปนี้

ทพิ ยอาํ นาจ ๙๒

ครง้ั หน่งึ ทานพระมหาโมคคลั ลานเถระ เขาสมาธถิ อดมโนมยั กายไปชมสวรรค ไดพบ
เทพธดิ าองคห นึ่งซึง่ มวี รรณะสดใสสวางรงุ เรืองทว่ั ทิศ เหมือนดาวประกายพรึก จึงไตถ ามวา ทํา
ความดีอะไรไว จงึ ไดส มบตั ิเห็นปานน้ี เทพธิดานัน้ เมื่อถกู พระมหาโมคคัลลานเถระถามถึงผลกรรม
ก็ดใี จ กราบเรยี นทานวา ดิฉันเปน อบุ าสกิ าอยเู มืองสาเกต สมบูรณด วยทานและศลี ยินดีในการ
จําแนกแจกทานทกุ เมอื่ ไดถ วายเครอื่ งนงุ หม ภตั ตาหาร เสนาสนะ เครือ่ งตามประทีป โดยมีใจผอง
ใสยิ่ง ในทานผูมีจิตใจตรงแลว วันดิถี ๑๔-๑๕ คา่ํ และดถิ ี ๘ คํ่า กงึ่ ปก ษ ดิฉันไดรกั ษาอโุ บสถศลี
ประกอบดวยองค ๘ ประการตลอดปกษอ ยา งนาอศั จรรย สํารวมดใี นศีลทกุ เมอื่ คอื เวนการฆา
สัตว, ลักทรพั ย, ประพฤติลว งใจสามี, มสุ าวาท, และการด่มื ของมึนเมา ยินดีในสกิ ขาบท ๕
ประการ ฉลาดในอริยสัจ เปน อุบาสิกาของพระผูมพี ระเนตรดี มพี ระยศ ซงึ่ ทรงพระนามวา โคตมะ
จึงไดสมบัติเหน็ ปานน้ี ดิฉันไดฟง เรอ่ื งราวสวนอุทยานในสวรรคช อื่ นันทวันเนืองๆ จึงเกิดพอใจต้งั
จติ ไวในท่ีนน้ั แลว ไดเกิด ณ นันทวันสมประสงค ดฉิ นั ไมเชอ่ื ฟงพระพทุ ธดาํ รัสของพระศาสดาผู
อาทติ ยพันธุ ตัง้ จิตไวใ นที่ต่ํา จงึ เกิดเดือดรอ นภายหลัง ดฉิ ันจะอยรู ักษาอโุ บสถศีลในวมิ านน้ีไมน าน
เทาไหร เมอ่ื ถูกถามถงึ กาํ หนดอายุในสวรรคของนาง นางบอกวา ดฉิ ันจะอยูท นี่ ี้เพยี ง ๖ หมน่ื ป
เทานั้นทานมหามนุ ี! แลวก็จะจตุ จิ ากน้ีไปเกดิ รว มหมูมนษุ ย ดงั น้ี พระมหาเถระจึงกลาวเตือนวา
ทา นอยากลวั อโุ บสถศลี ทา นไดรบั พุทธพยากรณแ ลววาเปนพระโสดาบนั เปนผวู ิเศษแลว ทา นละ
ทคุ ตไิ ดแ ลว ดงั น้ี สวนเรอ่ื งเกย่ี วกบั เปรตท่ีทานไดไปพบเหน็ ในแดนนรก ดังตอ ไปนี้

ครั้งหน่ึง ทานเขา สมาธิแลว ไปสแู ดนเปรต ซงึ่ ใกลกบั แดนนรก ไดเหน็ เหตุการณแปลก
ประหลาด จึงถามเขาวา ขา งหนา ไปโดยชางเผือก ทา มกลางไปโดยรถเทยี มดว ยมาอัศดร เบอ้ื งหลงั
หญิงสาวไปในวอ ยอมสวา งรงุ เรอื งท่ัวทั้ง ๑๐ ทิศ สว นทา นท้งั หลายมีมอื ถือสาก หนารองไห ตวั
แตกแตน คร้ังเปนมนษุ ยทําบาปอะไรไว จงึ ตอ งดืม่ เลอื ดของกันและกนั ดงั นี้ ไดรับคาํ ตอบวา
ขางหนา ผไู ปโดยชางเผอื กตัวประเสริฐซ่ึงกา วไปดว ยเทาทงั้ ๔ น้ัน เปนบตุ รคนโตของขา พเจา
ท้งั หลาย เขาใหทานแลว มสี ขุ ราเริง ผไู ปโดยรถเทียมมา อศั ดร ๔ ตัว ซงึ่ ผูกเทยี มกันเปนหมวดดีนัน้
เปนบตุ รคนกลางของขา พเจา ทัง้ หลาย เขาไมตระหนี่ เปนทานบดี ยอมรุงเรอื ง สวนหญงิ ผไู ปในวอ
ขางหลงั นน้ั เปนลูกสาวคนเลก็ ของขา พเจา ทง้ั หลาย นางมีปญญา ตาใสเหมือนตาเน้อื มีสขุ รา เรงิ
ดว ยการจาํ แนกแจกทาน เขาเหลาน้ีมีจติ เลือ่ มใสไดถวายทานแกส มณพราหมณในกาลกอ น สวน
ขา พเจา ทัง้ หลายไดเ ปน คนตระหน่ี ดา ทอสมณพราหมณทีเ่ ขาเหลานัน้ ถวายทานบาํ รงุ บําเรออยู จงึ
ซูบผอม เหมือนไมออถกู ไฟเผาฉะนนั้ พระมหาเถระจงึ ถามตอ ไปวา ทานทั้งหลายกนิ อะไร? นอน
อะไร? อยอู ยางไร? ซึ่งเมือ่ โภคะท้งั หลายเพยี งพอมใิ ชน อย จงึ คลาดความสขุ ถงึ ทกุ ขในบดั นี?้ ไดรบั
คําตอบวา ขา พเจา ทัง้ หลายฆากันและกัน แลว ดืม่ กินหนองและเลอื ด คร้ันดื่มมากแลวก็ไมใหทาน
ทั้งไมบ รโิ ภคเอง อยางนี้น่ันเอง สตั วผ ตู อ งตายซงึ่ มโี ภคะมากมาย ไมบ รโิ ภคเอง ทัง้ ไมทําบญุ ตาย
แลวจงึ ไปครํา่ ครวญอยยู มโลก เกิดเปนเปรตหวิ กระหายเหลือประมาณในปรโลก ภายหลงั ตอ งถกู
เผาไหมอยูนาน เพราะทาํ กรรมซึ่งมีทุกขเปนกําไรไว จงึ ตอ งเสวยทกุ ขแ สนเผด็ รอน ทรัพยก บั
ขา วเปลือกก็สวนหนึ่ง ชีวิตก็สวนหนึ่ง ผูฉลาดรวู า เปนคนละสวนกันแลว ควรทําทพี่ ึ่ง นรชนเหลา ใด
ฉลาดในธรรม รอู ยา งนี้ นรชนเหลา น้ันยอมไมป ระมาทในทาน เพราะเชอ่ื ฟงคําพระอรหันต ดงั น้ี.

ทิพยอาํ นาจ ๙๓

สวนพระสารีบุตรเถระอัคคสาวกเบ้อื งขวา ซึง่ ไดร ับยกยองจากพระบรมศาสดาวา เลศิ กวา
ภกิ ษสุ าวกผูมีปญญายง่ิ นนั้ เปนกาํ ลงั ยิ่งใหญของสมเดจ็ พระผูม พี ระภาคเจา ในการเผยแผพ ระธรรม
วินยั ทรงยกยองวา สามารถประกาศอนุตตรธรรมจกั รไดเทา เทียมกับพระองค ทรงแนะนําภกิ ษุ
ทง้ั หลายใหคบหาสมาคม เคารพนับถอื เชอ่ื ฟง ทานกเ็ ช่ยี วชาญทางจติ มฤี ทธานภุ าพไมนอย ไดเคย
ไปเห็นเปรตซ่ึงเปนแดนเปรต หญงิ เปลอื ยกาย ผิวพรรณทราม ผอมกะหรอ ง สะพร่งั ดว ยเสน เอน็
ทานจึงถามวาเปน อะไรอยทู ี่น่ี ไดร บั ตอบวา ดิฉันเปน นางเปรต ทานผูเจริญ! ตกทกุ ขไดยากอยู
ยมโลก เพราะทาํ บาปกรรมไว จึงจากยมโลกไปสูเปตโลก ทานถามตอไปวา ทาํ กรรมชว่ั ไวด ว ยกาย
วาจา ใจ อยางไรหรอื ? จากโลกน้ไี ปสโู ลกเปรตดว ยผลกรรมอะไร? ไดร ับตอบวา บิดามารดาหรือ
แมญ าตซิ ง่ึ เปนผมู จี ิตใจเล่อื มใสตอสมณพราหมณไ มอนเุ คราะหดิฉัน ไมช กั ชวนดิฉนั วา จงใหท าน
บางเลย ดฉิ ันจากมาเปลาเปลือยอยอู ยางนถ้ี ึง ๕๐๐ ป ตองถกู ความหิวกระหายขบกดั นเ้ี ปน ผล
บาปกรรมของดฉิ ัน ทานเจาคะ! ดิฉนั ขอไหวทา น ทา นผูกลาหาญ! ทานผูม อี านุภาพมาก! โปรด
อนเุ คราะหดฉิ ัน โปรดใหท านอะไรๆ แลวอทุ ิศแกดฉิ ันดวยเถดิ โปรดปลดเปล้อื งดิฉันจากทคุ ตบิ าง
เถดิ เจา ขา! พระเถระรับคาํ แลว ใหค าํ ขา วคําหน่ึง ผา เทา ฝามือ นํา้ ดม่ื ถาดนอ ยๆ ถาดหนึ่งแกภกิ ษุ
ทง้ั หลาย แลวอทุ ิศทักษณิ าแกนางเปรตนั้น ผลก็เกดิ ในลาํ ดับนัน้ ทันที โภชนะผา นุงหม นํ้าด่ืมนเี้ ปน
ผลของทกั ษณิ า ลาํ ดบั นัน้ นางกเ็ ปนผูสะอาด นงุ หมผา สะอาด ทรงผาผืนดมี าแตแ ควนกาสี มผี า
อาภรณงดงาม เขา ไปหาพระสารบี ุตร พระเถระเหน็ แลวจึงถามวา ทา นมวี รรณะสดใส สวา ง
รงุ เรอื งท่ัวทุกทิศ เหมือนดาวประจํารุง วรรณะเชนน้ีสาํ เร็จแกทา นเพราะกรรมอะไร? เม่อื เปน
มนษุ ยไดท าํ บญุ อะไรไว? จึงมอี านุภาพรุงเรือง มีวรรณะสองสวางทั่วทกุ ทศิ ไดร บั คาํ ตอบวา ทา น
มุนีผกู รณุ าสัตวโลกไดเ ห็นดิฉันผูผ อมเหลอื งอดอยาก เปลา เปลอื ยผวิ ถงึ ทกุ ข คร้ันแลว ไดใหคําขา ว
ผา เทาฝา มอื นํ้าดมื่ ถาดนอยๆ แกภ กิ ษทุ ้ังหลายแลวอุทิศแกดิฉนั ทานจงดผี ลแหงคําขา วคาํ เดยี ว
กลายเปน ภตั รท่ีจะตอ งกินถงึ หมื่นป ดิฉนั เปนผไู ดกามสมบัตติ ามตอ งการ บรโิ ภคโภชนะมีกับขาว
รสตา งๆ มากอยา ง ทา นจงดผู ลแหง แผน ผาเทา ฝา มอื ซึง่ กลายเปน ผานงุ หมมากกวา ของพระเจา
นันทราช ทหี่ มในประเทศ เปนผา ไหม ผาขนสตั ว ผา ปา น และผา ฝายไพบลู ย มีคามากหอยยอ ยอยู
เต็มอากาศ ดิฉนั จะนงุ หมผานัน้ ๆ อนั เปน ทรี่ กั แหงใจ ทา นจงดผู ลแหง นาํ้ ดืม่ ถาดนอยๆ ซึ่ง
กลายเปน สระโบกขรณสี ่ีเหลยี่ มลกึ ตบแตง ดี มนี ํ้าใส ทาราบรื่นเย็นดี อบอวลดว ยกลิน่ ดาดาษดว ย
ดอกปทุม บรบิ รู ณด ว ยสัตวน้ํา ดิฉันยอ มรื่นรมย ยอมเลน ยอมบันเทงิ ไมม ีภยั แตอยา งใด จึงมาเพ่ือ
ไหวท า นมนุ ี ผูมีความกรณุ าตอ สัตวโลกเจาขา ดงั น้ี!

อกี เรอื่ งหน่ึง ทานไดพ บหญิงเปรตตนหนึง่ ซึง่ มีพรรณะเศราหมองซบู ซดี เชนตนกอ น
สอบถามไดค วามวา เคยเปนมารดาของทา นมาในชาติอื่นๆ มาเกิดในแดนเปรต หิวกระหาย
เหลือเกนิ ตองกนิ น้ําลายนา้ํ มูกและโลหติ ไมมีทีพ่ ง่ึ พงิ อาศัย ขอใหทา นบรจิ าคทานอุทิศผลให เพอื่
จะไดพ นจากการกินนํา้ เลือดนาํ้ หนองบาง ทา นไดฟง คาํ มารดาแลว มีใจสงสาร จงึ ปรกึ ษาพระมหา
โมคคลั ลานะ ทานพระอนุรุทธะ และพระกัปปน ะ พากนั สรางกุฎี ๔ หลังถวายในสงฆจาตรุ ทิศ
แลว อทุ ศิ กฎุ ี ขา ว นา้ํ เปน ทกั ษณิ าแกม ารดา ทนั ใดน้นั บงั เกิดผลเหน็ ประจกั ษ มวี ิมาน ขาว นา้ํ
ผา ผอน เปน ผลของทกั ษิณา นางมกี ายสะอาด นุง หมผา สะอาด ทรงผา ผนื ดมี าแตแควน กาสี มผี า

ทิพยอํานาจ ๙๔

อาภรณงดงาม เขาไปหาทานพระมหาโมคคลั ลานะ เลา ความจรงิ ใหทราบวาเปน มารดาเดมิ ทีพ่ ระ
สารีบตุ รทาํ บญุ อุทิศให ไดรับผลพน ทกุ ขรอ นแลว มุงมาเพื่อไหวทา นมนุ ี ผูม ีความสงสารสตั วโลก
นั้น เจา ขา ! ดังน้.ี

พระมหาเถระทง้ั สอง เปน ผมู ีอํานาจทางจติ ดว ยกนั ยอมสามารถถอดใจออกจากราง
เนรมิตกายหน่งึ ขน้ึ แลว ไปบําเพ็ญประโยชนใ นที่ไกลได เรือ่ งทีเ่ ลา มาก็เปน เรอื่ งในทไ่ี กล ไมใชในที่
อยขู องทา น จงึ สนั นษิ ฐานวา จะตอ งใชม โนมัยกายไปพบเห็น กิตติศัพททที่ า นพระมหาเถระทั้งสอง
บําเพ็ญประโยชน เปน กาํ ลงั ใหญของพระบรมศาสดา ดจุ พระกรขวาซายนี้ ไดแ พรกระจายไปจน
เปนทีป่ องรา ยของเดียรถียน ิครนถ พระมหาเถระท้ังสองเคยถกู ประทุษรายในกรุงราชคฤห ครง้ั
สุดทาย พระมหาโมคคัลลานเถระก็ถกู ประทษุ รายถงึ ตองนพิ พาน ขา พเจาไดเ ลาเร่ืองเกีย่ วกับ
มโนมัยฤทธิ์เหลงิ เจง้ิ ไปไกลแลว จะขอวกเขาหาเร่อื งตอไป.

การสามารถถอดดวงจติ ออกจากราง และเนรมติ รปู กายข้ึนอีกรูปกายหนงึ่ ซ่งึ มรี ปู ลกั ษณะ
เหมอื นรูปกายจริงของตน แลว สง ไปทาํ กิจหรอื ปรากฏในท่ีไกลไดนัน้ ยอ มตอ งอาศยั กําลงั ใจและ
มโนภาพดังไดกลาวไวแลวในขอวา ดว ยอิทธิวิธิ จึงไมจ ําเปน ตอ งกลาวในที่นีอ้ กี .

วิธถี อดจติ นั้น คลา ยแบงภาพจติ ออกไปทําการ ความรูสึกแหงจติ ในกายเดิมกย็ งั มีอยู แตม ี
สายโยงถงึ กนั ตลอดเวลา อกี อยา งหนง่ึ ถอดออกไปทั้งหมดโดยไมมีความรูสึกเหลืออยูใ นรา งกาย
เดมิ เลย คลายไปหมดทง้ั ตวั ก็ได วิธีแรกทําไดง ายโดยทไ่ี มต องเขา ฌานอยางสูงชนิดท่หี มดความรสู ึก
ในกายเดิม คือเพยี งแตท าํ มโนภาพขึน้ เนรมิตรูปรางของตนไปปรากฏ ณ เฉพาะผทู เี่ ราตองการ
ชวยเหลือหรอื พบปะนนั้ แลวทาํ กจิ ตามประสงคแลว กก็ ลบั ในขณะท่สี ง จติ ไปน้นั รางกายเดมิ จะ
อยูในทา หรืออริ ยิ าบถใดๆ ก็ตาม สวนมโนมยั รปู ตองใหอ ยูในทาหรอื อริ ิยาบถปกตติ ามธรรมเนียม
การพูดจา การแสดงธรรมกอ็ อกไปจากจติ ในรางกายเดมิ น้ี มโนมัยรูปเปนแตเ พยี งภาพปรากฏ และ
ถายทอดเสยี งอีกทหี นึ่ง สวนวธิ ีหลังตองเขาสมาธิ แลว สง จติ ทั้งหมดออกไปจากราง แลว เนรมติ กาย
ขึน้ ตามรปู ลกั ษณะกายเดิมใหค รบถวน แลวไปทาํ กจิ หรือไปปรากฏกายในทีใ่ ดๆ โดยมคี วามรูสึก
เต็มตัวในมโนมยั กายน้ันทเี ดยี ว สว นกายเดิมท่ีอยูเบ้ืองหลงั นนั้ ไมม คี วามรูสกึ ดํารงความเปน ปกติ
อยดู วยอาํ นาจฌานรกั ษาเทา น้ัน วิธนี ีไ้ ปไดนานๆ และรสู กึ สนกุ สนานดว ย พวกเขาฌานแบบไปดู
นรก สวรรคห รอื โลกดา นอื่นๆ ใชว ธิ ีน้ีทง้ั น้นั มีขาววาโยคสี ามารถถอดใจออกจากรางไปเทย่ี วใน
โลกอื่นนับเปน เวลาตง้ั เดอื นๆ กไ็ ด โดยทีก่ ายเดมิ ไมเปน อันตรายประการใด วธิ ีถอดจิตออกจาก
รางตามวิธหี ลังน้ีเปน ดงั น้ี

(๑.) ทาํ อาโลกกสิณ จนไดด วงสวาง-ใสดีแลว .
(๒.) ยอ ดวงกสิณน้ันใหเล็กลงประมาณเทา ลูกมะขามปอมแลว .
(๓.) รวมกาํ ลังใจสงดวงนัน้ ออกทางกระหมอมไปสูที่ทปี่ ระสงคจ ะไป.
(๔.) เมอ่ื รสู ึกกายเบาวบู และไปปรากฏตัวอยใู นทซี่ ึง่ กําหนดจะไปน้นั แลว ชื่อวาถอดจิตไป
ไดแลว.
(๕.) พงึ ขยายดวงกสิณใหโตตามเดิมอกี พรอ มกับเนรมิตกายใหป รากฏชัดข้ึน แลว ทาํ กจิ มี
สนทนาเปน ตน กบั เทวดาหรือผูใ ดผูห นงึ่ ที่ไดพบในคราวนัน้ .

ทิพยอาํ นาจ ๙๕

(๖.) เม่อื จะกลับ พึงยนดวงกสณิ ใหเล็กลงเทา ลกู มะขามปอมแลว จึงกลบั .
(๗.) ถา มมี ารมาก้นั กางในระหวางทาง เชนถูกอมเปนตน พึงรวมกาํ ลงั ใจขยายดวงกสิณให
ใหญกวาง หรอื แผจติ ออกใหกวางทส่ี ุดเทาท่ีจะทาํ ได มารก็จะกระจายไปหรือเปดทางใหไ ป.
(๘.) จุดเพงทาํ ดวงกสณิ นั้น คือเพดานปากกับจมกู ตอกัน เมือ่ ไดดวงแลว จงึ รวมกาํ ลัง
สงออกไปทางกระหมอ ม.
(๙.) ภูมิจติ ในขณะนั้น ถา จะไปสวรรค ตองใหเ ปนปติสขุ ภมู ิ ถา จะไปพรหมโลกตอ งใหเปน
อเุ บกขาสุขภมู ิ ถา จะไปมนษุ ยโลกและอบายโลก เขา ฌานเพียงวเิ วกชาภมู เิ ทาน้ันก็ไปได.
วิธีถอดจติ ตามแบบน้ี ใชกันอยใู นหมูพทุ ธบรษิ ัทในสมยั ปจจบุ ัน.

ทพิ ยอํานาจ ๙๖

บทที่ ๗

วธิ สี รา งทิพยอาํ นาจ เจโตปรยิ ญาณ รจู กั ใจผอู น่ื

ทพิ ยอํานาจขอน้ี เปน อปุ กรณในการแสดงธรรมอยางวิเศษ การแสดงธรรมทจ่ี ะสบกบั จริต
อัธยาศยั และความคดิ เห็นของบุคคล จนถงึ ทําใหผฟู งเกดิ อศั จรรยแ ละยอมเชื่อฟง ไดอ ยา งนน้ั ยอม
อาศัยทิพยอํานาจขอนเี้ ปน กําลังสําคญั อดุ หนุนอยู พระบรมครูของเราทรงใชทิพยอาํ นาจขอ น้ี
เสมอในการทรมานเวไนย ใครควรไดร บั การทรมานดวยวธิ ีใด ดว ยพระธรรมเทศนาอยา งไร ยอ ม
ทรงกําหนดไวใ นพระหฤทยั กอ นแลว จึงทรงดาํ เนินการในภายหลัง ขอน้ียอมสมจรงิ กบั พระพุทธกจิ
ทท่ี รงปฏิบัตปิ ระจาํ วัน คือ

๑. ปุพพฺ ณฺเห ปณฑฺ ปาตฺจ เวลาเชา เสด็จบิณฑบาตโปรดสตั ว สงเคราะหผ ตู อ งการบญุ ให
ไดท ําทานในเขตดี ถา ผคู วรไดร ับการสงเคราะหใ นวันน้นั อยใู นทใ่ี กล กม็ ักเสดจ็ ไปสงเคราะหใ น
เวลาบิณฑบาตนัน้ เอง.

๒. สายณฺเห ธมฺมเทสนํ เวลาเย็นทรงแสดงธรรมแกประชาชนซึง่ พากนั มาฟง คือในท่ีใดท่ี
เสด็จไปประทบั ประจาํ อยูน าน ในทน่ี ั้นประชาชนผเู คารพนบั ถือยอ มถือเปน กรณสี าํ คัญ เวลาเย็น
ซ่ึงเปน เวลาวางงาน และพระบรมศาสดาจารยก อ็ อกจากทพ่ี กั ผอ นในเวลากลางวัน ตางกเ็ ขาเฝา ฟง
พระธรรมเทศนาเสมอ เชนประชาชนในกรุงสาวตั ถีเปนตัวอยา ง.

๓. ปโทเส ภิกขฺ ุ โอวาทํ เวลาพลบคํา่ ทรงโอวาทพระภกิ ษใุ หเขา ใจในขอ วัตรปฏบิ ัติอบรม
จิตใจ และใหฉลาดในขอธรรมทจ่ี ะนาํ ไปสัง่ สอนประชาชน หรอื โตตอบปญ หาทกุ ๆ เวลาค่าํ
พระภิกษุทง้ั หลายจะมาชมุ นมุ กันในโรงอปุ ฏ ฐาก พระบรมศาสดาจารยจ ะทรงกําหนดจติ ใจของ
ภกิ ษุท้ังหลายดว ยเจโตปริยญาณแลวเสด็จไปทโี่ รงอุปฏ ฐาน ทรงโอวาทและแสดงธรรมแกความ
สงสยั ของภกิ ษุท้ังหลายพอสมควรแลว จึงเสด็จกลับพระคนั ธกฎุ ซี ึ่งเปนทป่ี ระทับ บางคราวถงึ กบั
รุงสวา ง ณ อปุ ฏ ฐานศาลาน้นั เอง.

๔. อฑฒฺ รตฺเต เทวปหฺ นํ เวลาเทยี่ งคืนทรงแกปญ หาเทวดา คอื วาเทวดามาเฝาเวลาเที่ยง
คืนเสมอ และชอบนําปญ หาตา งๆ มาทูลถาม จงึ เปน ภารกจิ ท่ีทรงแกปญ หาเทวดาในเวลานั้น ครั้น
รุงเชา กต็ รัสเลา ใหภกิ ษุทง้ั หลายฟง เพื่อจดจาํ เอาไว.

๕. ปจจฺ ูเส ว คเต กาเล ภพฺพาภพเฺ พ วโิ ลกนํ เวลาจวนใกลร ุง ทรงตรวจดูสัตวโลกผคู วร
โปรด คอื พอจวนรุง สวางไมวา ประทับ ณ ทีใ่ ดๆ จะทรงเขา พระกรณุ าสมาบตั ิเสมอ ทรงแผน ํา้
พระทัยสงสารสตั ว อยากจะโปรดใหพ น ทุกขไ ปท่ัวโลกทุกทิศทุกทาง ใครเปนผมู ีอุปนิสยั ควรโปรด
กจ็ ะมาปรากฏในขา ยพระญาณ ทรงกาํ หนดจรติ อัธยาศยั ดวยเจโตปรยิ ญาณแลว พอรุง เชา กเ็ สด็จ
ไปโปรดทนั ที ถา เปน ท่ีใกลก เ็ สด็จไปในคราวบิณฑบาตน้นั เอง ถา เปนทีไ่ กลก็เสด็จไปภายหลงั
บิณฑบาตแลว การทีท่ รงตรวจดสู ตั วโลกดวยพระกรุณาสมาบัตนิ ี้ ทรงถอื เปนธรรมเนยี มที่ตอ ง
ปฏบิ ัติเปนอาจณิ มิไดละเวนเลย.

ทิพยอํานาจ ๙๗

การกาํ หนดรจู รติ อัธยาศยั เสยี กอ นแลว จงึ แสดงธรรมสงั่ สอน ยอมไดผ ลศักดสิ์ ิทธิ์
เหมือนกับบงหนามดวยหนาม หรอื เกาถกู ที่คนั ฉะน้ัน. พระบรมศาสดาและพระสาวกผชู ํานาญ
ทางเจโตปริยญาณจงึ ทรงใชเ สมอ.

อนงึ่ การสามารถกําหนดรจู ิตใจ แลว บอกไดว า ผนู ัน้ มจี ิตใจอยางไร มีความคิดเห็นอะไรใน
ขณะนน้ั มกี เิ ลสหรอื คุณธรรมอะไรแทรกซึมอยูในใจ ควรแกไขหรือสง เสรมิ อยางไรจงึ จะเปน ผลดี
เชน นี้ทานจดั เปนปาฏหิ าริยอ ันหนึ่ง เรยี กวา อาเทสนาปาฏิหารยิ  แปลวา การดักใจถูกตองเปน ทีน่ า
อัศจรรย เปน ปาฏิหารยิ  ๑ ใน ๓ คือวา ปาฏิหาริยม ี ๓ ประการดงั กลาวมาแลวในบทท่ี ๕ คอื

๑. อิทธปิ าฏิหารยิ  ไดแกฤทธเ์ิ ปนที่นาอศั จรรย.
๒. อาเทสนาปาฏิหารยิ  ไดแ กก ารดักใจถกู ตอ งเปนท่ีนา อัศจรรย.
๓. อนุสาสนีปาฏหิ าริย ไดแ กคาํ สอนเปนท่ีนาอศั จรรย คอื เปนคาํ สัง่ สอนประกอบดว ย
เหตุผล ความจริง และสามารถปฏบิ ัติตามได ทั้งใหผลสมจรงิ แกผ ปู ฏบิ ัตดิ งั ตรสั ไว ไมเ ปนการเกิน
วสิ ัย ทง้ั เปน คําสงั่ สอนเหมาะแกทกุ สมยั ดวย.
ในบรรดาปาฏหิ ารยิ  ๓ นี้ ทรงยกยองอนสุ าสนปี าฏหิ าริยว า เยยี่ มยอด ดวยประทานเหตุผล
วา ยง่ั ยืนเปนประโยชนนาน แมแ กป จฉิมชนคนรุนหลังๆ สวนอิทธปิ าฏิหารยิ แ ละอาเทสนา
ปาฏิหารยิ น ั้นเปน ประโยชนเฉพาะผไู ดประสบพบเห็น หรอื คนรุนน้ันเทา น้ัน ไมเปน ประโยชนแก
คนรุนหลังๆ ดังอนุสาสนี ถึงอยา งน้ันกด็ ี พระผมู ีพระภาคก็มิไดท รงละการทาํ ฤทธแ์ิ ละดักใจ ทรง
ใชปาฏิหารยิ ท ง้ั ๓ นน้ั อยูเสมอ พระอนุสาสนยี อ มสาํ เร็จขน้ึ ดวยปาฏหิ าริย ๓ ประกอบกนั ฉะน้ัน
จึงสําเรจ็ ประโยชนด ี.
เปน ความจริงทแี่ นนอนทส่ี ุด ถาคนผใู หคําส่ังสอนเปน คนมีอานภุ าพทางใจ ท้งั มีญาณหย่ังรู
อัธยาศัยของผรู ับคาํ ส่ังสอน และเปนผูทําไดในส่งิ ทีต่ นสัง่ สอนแลว คาํ สง่ั สอนยอ มมีรสชาตดิ ดู ดื่ม
และซาบซึง้ ถงึ ใจของผฟู ง เปน เหตใุ หผูรับคําส่ังสอนบังเกิดสตแิ ละปญญาไดดี ดว ยเหตุนี้ปาฏิหาริย
ทัง้ ๓ ประการจงึ จําเปน ตอ งใชในการแนะนาํ สั่งสอนผอู นื่ เสมอไป ผูม ีอานุภาพทางใจแมมไิ ดจ งใจ
ใชอ ิทธปิ าฏิหารยิ ก ็ตาม อํานาจใจน้ันยอมแผรัศมีครอบคลมุ จิตใจผูฟงใหเ กิดความสงบ ความ
เคารพยาํ เกรง ความต้งั ใจฟงอยูโดยปกติแลว จงึ เปน อันแสดงอิทธปิ าฏหิ าริยอ ยูใ นตัวแลว สวน
การดกั ใจหรือกําหนดรูใจก็เหมอื นกนั สําหรบั ผมู ใี จผองแผวยอมสามารถรับสัมผสั กระแสจติ ของ
ผอู นื่ ไดท กุ ขณะไป ถึงไมตั้งใจกาํ หนดรกู ย็ อ มรูไดอ ยูแลว การแสดงธรรมหรอื ใหคาํ แนะนําส่ังสอน
จงึ อาจปริวตั ิไปตามอัธยาศยั ของผูรับธรรมเทศนา หรือคาํ แนะนาํ ส่งั สอนไดโดยปกติ อนสุ าสนขี อง
ทา นผูสามารถเชน นี้ ยอ มมรี สชาติดูดด่ืมซาบซงึ้ ถึงใจ เปน อนุสาสนีปาฏิหาริยแ ท. ผูมโี อกาสไดร ับ
คําสงั่ สอนของผูเชนน้ัน ยอมเทากบั ไดรับโสรจสรงดวยนาํ้ ทิพย หรือไดรับพรสวรรค ยอ มแชมชื่น
เบกิ บานใจทันทีทันใด.
เจโตปรยิ ญาณ นอกจากอํานวยประโยชนใ นการแสดงธรรมแลว ยงั เปนประโยชนใ นการ
เลือกคบคาสมาคมกับคนไดดดี วย เพราะวา อาเสวนะ คือการคบคา สมาคมยอมเปน ปจ จยั นอม
เอียงอัธยาศัยใจคอของคนเราใหเ ปลี่ยนแปลงไปได ถา จิตใจนอมเอยี งไปในดานดีก็เปนศรีแกต ัว
ถา นอมเอยี งไปในดา นรายกเ็ ปน ภัยแกตวั นักปราชญทานจงึ สอนใหเลือกคบคน เวนการคบคา

ทพิ ยอาํ นาจ ๙๘

สมาคมกบั คนชวั่ สมาคมกับคนดี คนดีและคนชั่วทานวา มคี วามประพฤตเิ ปนเครอ่ื งหมายใหร ู คอื
คนดมี ีความประพฤตดิ ี และคนชว่ั มคี วามประพฤติชั่วเปนลกั ษณะ แตถ ึงกระน้นั ก็มใิ ชร ูไดงา ย
เพราะคนโดยมากยอ มมนี สิ ยั ปด ช่ัวเปดดี เราจะหาคนเปดเผยตรงไปตรงมาไดยาก ถา เรามีเจโต-
ปรยิ ญาณแลว เราจะรจู กั คนดีคนเลวไดไ วทสี่ ดุ เพราะคนเราปด อะไรๆ ในสว นภายนอกน้ันยอ มปด
ได แตจะปดใจปดไมอ ยู ผรู สู ึกตวั วา มีความชวั่ พยายามปกปดเพือ่ มใิ หผอู ่นื รนู ้นั ยอ มมีความรสู ึก
ในใจรนุ แรง ทําใหเ กิดกระแสทางใจขนึ้ แลวเกิดเปนลกู คล่ืนแผซา นออกไปเปน ปริมณฑล คนผูมี
เจโตปรยิ ญาณยอมรบั ทราบไดดี ผูพยายามปกปดความชว่ั ของตัวจึงเทากับเปดเผยความช่ัวในใจ
ยง่ิ ขน้ึ สมกบั คําวา “ย่ิงปดเทา กับยิง่ เปด” เพราะเหตุวา กระแสจิตยอมเกิดจากความรสู ึกสะเทือน
ใจนั่นเอง กอนอน่ื ทา นแสดงสิ่งปรุงแตง ไว ๓ ประการ คอื

๑. กายสงั ขาร สง่ิ ปรุงแตง กาย ไดแกลมหายใจเขา-ออก ซงึ่ เปนไปอยโู ดยปกตธิ รรมดา ทาํ
ใหร างกายเจริญอยแู ละเจริญเติบโตสบื ตอกันไป เม่ือใดลมหายใจขาดไป เมือ่ นั้นกายกห็ ยุดดํารง
และหยุดเจริญเตบิ โต ถึงแกความขาดสิน้ ชีวติ อินทรยี ลงทนั ท.ี

๒. วจสี ังขาร ส่ิงปรุงแตงวาจา ไดแ กว ติ กคอื ความคิด และวิจารคอื ความอา น อันเปนไปอยู
ในจิตใจของคนปกติธรรมดาทุกคน กอ นท่จี ะพูดจาปราศรยั ยอ มตองคดิ อา นเรื่องทีจ่ ะนาํ มาพดู
และคดิ อา นปรุงแตงคําพดู เขา เปนพากย เปน ประโยค ใหผ ูฟงรเู รื่องท่ตี นพูด เมื่อคดิ อา นขึน้ ยังมิ
ทันไดพ ูดออกมาทางปากก็ยอมเกิดเปนสัททชาติทนั ที ผมู ีทิพพโสต-หูทิพย ยอมไดย ินเชนเดยี วกับ
เสยี งพดู ทางปาก สวนผูม ีเจโตปรยิ ญาณยอ มรับทราบกระแสสัมผสั แหง ความคิดอา นน้นั ได
งายดาย.

๓. จิตตสงั ขาร ส่งิ ปรงุ แตงจิต ไดแ กสัญญาและเวทนา สญั ญาหมายถึงความรสู ึกสัมผัสทาง
ทวาร ๖ จาํ ไดว าเปนอะไร เวทนาหมายถึงความรูสกึ รสสมั ผัส คอื เยน็ รอน ออน แขง็ เปนที่
สบาย ไมส บาย หรือเฉยๆ น้ัน ความรสู กึ ๒ ประการนีป้ รุงแตง จิตใหเกดิ ความรูสึกด-ี รายข้ึนในใจ
อยเู สมอ และเปน เหตใุ หคดิ อา น ตรึกตรองหาลทู างเพ่ือไดสงิ่ ดี เวน ส่ิงรายเสมอ เมอื่ จะพูดกย็ อม
พูดไปตามความคดิ อานน่ันเอง สญั ญาและเวทนาทาํ ใหเกิดกระแสคล่นื ข้นึ ในจิตกอนสง่ิ อน่ื ๆ ดังน้ี
ผมู ีเจโตปริยญาณจึงสามารถรบั รไู ดใ นเม่ือมาสมั ผัสเขากบั ใจ เพราะสง่ิ ใดที่เกดิ เปนกระแสคลน่ื
แลว สง่ิ นั้นจะตอ งแผซ านออกไปเปน ปรมิ ณฑลรอบๆ ตวั จะปด ไวไมอยู เหมอื นคลื่นนา้ํ เกดิ จาก
ความสะเทือน ยอมเปนกระแสคลน่ื กระจายออกไปจนสดุ กําลงั ของมนั ฉะนั้น.

จิตตสังขาร และ วจสี งั ขาร ๒ ประการน้ี ถาจะเปรียบกับคลน่ื ภายนอก จติ ตสังขารเปรยี บ
ไดกบั คล่ืนวิทยุ วจีสังขารเปรยี บไดกบั คล่นื เสียง ซึง่ แผกระจายไปในอากาศวิถฉี ะนนั้ สมยั ปจ จุบัน
วทิ ยาศาสตรสามารถคนพบความจริงเร่อื งวทิ ยุและเสยี ง จงึ ประดษิ ฐเคร่ืองสง และรับคลนื่ ทั้งสองน้ี
เปนผลสําเรจ็ ทําใหเ ราไดฟ งเสยี งอันมาจากระยะไกลได สวนคลื่นจติ ตสงั ขารและวจีสงั ขารน้ี เมอ่ื
จะบญั ญตั ิศัพทใหคลายคลงึ กบั คลน่ื ทั้งสองนั้น ขาพเจา ขอบญั ญตั คิ ลืน่ จติ ตสังขารวา คลน่ื จติ , ขอ
บัญญัติคล่ืนวจีสงั ขารวา คล่นื เสยี ง คลนื่ จติ และคลน่ื เสียงยอ มแผกระจายออกจากแหลง คือตัวเอง
เปนปรมิ ณฑลอยูเ สมอ กวางแคบตามกําลังของคลน่ื จติ ซง่ึ เปนแรงสง นั่นเอง ถา ความกระเทือน
ทางจติ แรง คลืน่ กแ็ รง และสามารถสงไปไดไ กลมากเชนเดยี วกับคลนื่ วิทยฉุ ะนั้น ผูมเี คร่ืองรับคลนื่

ทิพยอาํ นาจ ๙๙

จติ และคลน่ื เสียงยอมสามารถรับรรู บั ฟง ได เหมือนผมู เี คร่อื งรับวิทยุฉะนั้น จิตใจที่ไดร ับการฝก ฝน
จนใสแจวแลว นนั้ จะเปนเครือ่ งรับรูค ลื่นจติ เปนอยางดี จิตใจทไี่ ดร ับการฝกฝนเชนนั้นดว ย มีทพิ พ
โสตดว ย จะสามารถรับฟง คลนื่ เสยี งไดเปนอยา งดี เวน แตจ ะไมเ ปดรบั รูรบั ฟงเทา นั้น ถามีความ
จํานงจะรบั รูรบั ฟงแลวเปนตอ งรแู ละไดยินเสมอ.

นอกจากความสามารถในการรับรคู ล่ืนจติ และรับฟง คล่นื เสียงของจติ ดงั กลา วมาแลว
ผเู ช่ียวชาญทางจิตอยา งเยย่ี ม เชน พระบรมศาสดา สามารถรับรสู ภาพของจิตกอ นแตทจ่ี ะมีความ
กระเทือนจิตและคดิ อา นเสยี ดวยซ้ํา เชนในเวลาทบ่ี ุคคลอยูในฌานไดต ัง้ ใจไวอ ยา งไร มคี วามรูส ึก
ในขณะน้นั อยา งไร มคี วามนอมเอยี งไปทางไหน เม่อื ออกจากฌานแลว จะรสู ึกรสสัมผัสอยา งไร
และจะคดิ อา นอยา งไรตอ ไป เชนนี้ พระบรมศาสดาทรงสามารถคาดการณถ ูกตอ งหมด มีเรือ่ งหน่ึง
ในพระไตรปฎก ซ่ึงควรเปน อุทาหรณแหงเจโตปริยญาณอยา งดี จะนาํ มาเลา ตอไปน้ี

สมยั หน่ึง สมเดจ็ พระผมู พี ระภาคเจา ประทับท่ีบุพพาราม กรงุ สาวัตถี วนั นัน้ เปน วันอุโบสถ
พระจันทรเ พญ็ พระมหาเถระทม่ี ชี ่อื เสียง คนรูจักมากมายหลายทาน อาทิเชน พระมหาโมคคลั ลา-
นะ พระอนุรทุ ธะ ฯลฯ ตา งก็มาเฝาและรอฟงพระปาฏิโมกข พระอานนทไดจ ัดแจงชมุ นุมสงฆ
พรอมเพรยี งในเวลาเย็น แลวไปเฝากราบทลู เวลาใหท รงทราบ สมเด็จพระผูม ีพระภาคเจากท็ รงนง่ิ
คร้นั ปฐมยามลวงไปแลว พระอานนทกไ็ ปเฝากราบทลู เตอื นอีก กท็ รงนิง่ อกี คร้นั มัชฌมิ ยามลว งไป
แลวพระอานนทก ็ไปเฝา กราบทลู เตอื นอกี จึงตรัสวาสงฆไมบ ริสทุ ธ์ิ ไมส มควรจะสวดพระปาฏิโมกข
พระอานนทจงึ กลบั ไปแจงพระพุทธดาํ รสั แกพ ระมหาเถระในที่ชมุ นุม พระมหาเถระรปู หนึง่ ไดล ุก
ข้นึ ประกาศพระพทุ ธดาํ รสั นัน้ แลวบอกใหสาํ รวจตวั เอง ใครเปนผูไ มบริสุทธิ์จงออกไปจากท่ีชมุ นุม
ภกิ ษทุ ้ังหลายตา งก็นิ่ง ไมม ใี ครแสดงตัววา ไมบ ริสทุ ธิ์แลวออกจากทช่ี ุมนมุ ไป พระมหาเถระ
ประกาศซํา้ อีกเปนครัง้ ที่ ๒ และท่ี ๓ โดยลําดับ ก็ไมม ีใครแสดงตัววาไมบ ริสุทธ์เิ ชนเดิม จงึ ทนั ทนี ้ัน
พระมหาโมคคัลลานเถระไดต รวจจติ ภกิ ษทุ ้ังหลายดวยเจโตปริยญาณ ทราบวาภกิ ษรุ ูปหนึ่งเปนผู
ไมบ ริสุทธิส์ มจรงิ กับพระพทุ ธดํารัส จงึ บอกระบุชอื่ ภกิ ษุนนั้ ใหออกไปจากท่ีชุมนมุ ภกิ ษุน้ันก็ยงั นง่ิ
อยูอ ีก พระอานนทจึงลุกขึ้นไปลากแขนเธอออกไปจากทชี่ ุมนมุ แลว ไปกราบทลู สมเด็จพระผมู พี ระ
ภาควา บดั น้มี ีสงฆบ รสิ ทุ ธิแ์ ลว โปรดทรงแสดงพระปาฏิโมกขเถดิ พระเจาขา สมเดจ็ พระผมู พี ระ
ภาคเจาเสดจ็ ไปสทู ี่ชมุ นุมแลว ทรงแสดงปาฏิโมกขในทา มกลางสงฆผ ูบรสิ ทุ ธิ์ เมือ่ ทรงแสดงพระ
ปาฏิโมกขจบลงแลวจงึ ตรสั วา ไมเปนการสมควรเลยที่ตถาคตจะแสดงพระปาฏิโมกขใ นสงฆผ ูไม
บรสิ ุทธิ์ ถา ขืนแสดง ศีรษะของผูไมบรสิ ุทธิ์นั้นก็จะพงึ แตก ๗ เส่ียง ดงั น.ี้

ความจริง จติ ใจโดยธรรมชาติยอมมกี ระแสอยเู สมอ กระแสจิตใจของบคุ คลยอ มมีลกั ษณะ
ตางๆ กนั แลว แตส ิ่งสัมปยุตตในขณะน้ัน ถา สงิ่ สัมปยุตตเ ปนฝายดีกระแสจิตก็ยอ มดี ถา สงิ่
สมั ปยตุ ตเ ปน ฝายไมดกี ระแสจติ ก็ยอมไมดี ผูมคี วามเชย่ี วชาญทางเจโตปรยิ ญาณอยา งเยย่ี ม
สามารถรบั รูก ระแสจติ ดังวานี้ไดด ี เทากับรูใจตนเอง เพราะทานผเู ชนน้นั ยอ มไดผา นการฝก ฝนจิต
ในจิตตานปุ ส สนาสติปฏ ฐานมาเปน อยางดีแลว กระแสจิตตามทท่ี านกาํ หนดไวใ นจิตตานปุ สสนา
สติปฏฐาน มี ๑๖ ลกั ษณะ ซง่ึ เปน ลกั ษณะใหญๆ แบงเปน ฝายดแี ละฝายไมดี เพื่อทําการศึกษา
สําเหนียกใหท ราบกันทกุ ลกั ษณะไป จะไดแกไขสว นช่ัว และปรับปรุงสวนดีใหดยี ง่ิ ขึ้นไปดังตอไปนี้

ทิพยอาํ นาจ ๑๐๐


Click to View FlipBook Version