The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือทิพยอำนาจ

เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะอธิบายโพธิปักขิยธรรม ด้วยสำนวนและภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อประโยชน์แก่นักปฏิบัติ ผู้มีการศึกษาปริยัติธรรมน้อยจะได้อาศัยศึกษาและปฏิบัติ หนังสือได้กล่าวถึงเรื่องสมาธิวิธีที่พอจะถือเป็นคู่มือในการทำสมาธิได้ พร้อมกับอธิบายวิธีบำเพ็ญฌาน และเจริญทัสนะในพระพุทธศาสนาเพื่อประโยชน์แก่ผู้ต้องการปฏิบัติ รวมถึงวิธีสร้างทิพยอำนาจตั้งแต่ขั้นต่ำๆ ขึ้นไปถึงขั้นสูงสุด เพื่อเป็นคู่มือของผู้ต้องการสร้างทิพยอำนาจขึ้นไว้บำเพ็ญประโยชน์ หนังสือ "ทิพยอำนาจ" จักเป็นคู่มือที่ดีสำหรับผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาธรรมะในส่วนปรมัตถปฏิปทา ต้องการเจริญกัมมัฏฐาน เนื่องจากผู้แต่งได้อธิบายไว้อย่างพร้อมสรรพทุกทางแล้ว

โดย พระอริยคุณาธาร (ปุสฺโส เส็ง ป.๖)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kindness Dharma Foundation, 2020-06-12 20:30:16

หนังสือทิพยอำนาจ

หนังสือทิพยอำนาจ

เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะอธิบายโพธิปักขิยธรรม ด้วยสำนวนและภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อประโยชน์แก่นักปฏิบัติ ผู้มีการศึกษาปริยัติธรรมน้อยจะได้อาศัยศึกษาและปฏิบัติ หนังสือได้กล่าวถึงเรื่องสมาธิวิธีที่พอจะถือเป็นคู่มือในการทำสมาธิได้ พร้อมกับอธิบายวิธีบำเพ็ญฌาน และเจริญทัสนะในพระพุทธศาสนาเพื่อประโยชน์แก่ผู้ต้องการปฏิบัติ รวมถึงวิธีสร้างทิพยอำนาจตั้งแต่ขั้นต่ำๆ ขึ้นไปถึงขั้นสูงสุด เพื่อเป็นคู่มือของผู้ต้องการสร้างทิพยอำนาจขึ้นไว้บำเพ็ญประโยชน์ หนังสือ "ทิพยอำนาจ" จักเป็นคู่มือที่ดีสำหรับผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาธรรมะในส่วนปรมัตถปฏิปทา ต้องการเจริญกัมมัฏฐาน เนื่องจากผู้แต่งได้อธิบายไว้อย่างพร้อมสรรพทุกทางแล้ว

โดย พระอริยคุณาธาร (ปุสฺโส เส็ง ป.๖)

Keywords: #มูลนิธิการุณย์ธรรม,#เมล็ดพันธ์แห่งการตื่นรู้,#KindnessDharmaFoundation

กระแสจิตฝา ยชัว่ โสฬสจิต
๑. สราคจิตต จิตเจอื รัก
๒. สโทสจิตต จติ เจอื ชงั กระแสจติ ฝา ยดี
๓. สโมหจิตต จติ เจอื หลง วตี ราคจิตต จติ หายรกั
วตี โทสจติ ต จิตหายชงั
กระแสจติ ฝายชัว่ วตี โมหจติ ต จิตหายหลง
๔. สังขิตตจติ ต๑ จติ หดหู
กระแสจติ ฝา ยชั่ว
กระแสจติ ฝา ยดี วกิ ขติ ตจติ ต จิตฟุงซาน
๕. มหัคคตจติ ต จติ กวา งขวาง
๖. อนุตตรจติ ต จิตยิ่งใหญ กระแสจิตฝายชวั่
๗. สมาหติ จติ ต จิตตง้ั มั่น อมหคั คตจิตต จติ คบั แคบ
๘. วิมุตตจิตต จติ อิสระ สอตุ ตรจติ ต จติ ไมย่งิ ใหญ
อสมาหติ จิตต จิตซัดสา ย
อวิมตุ ตจิตต จิตตดิ ขดั .

หมายเหต:ุ นเี้ รยี งลําดบั ตามมหาสตปิ ฏฐานสตู ร.

จะอธบิ ายลักษณะจติ ๑๖ น้นั พอเปนทส่ี ังเกตของผศู ึกษาตอ ไป แตจะอธบิ ายฝา ยดกี อน
จติ หายรัก หายชงั หายหลงน้ัน เปนจติ ทจ่ี างจากความรัก ความชัง และความหลง กลับคืน
สสู ภาพเดมิ แทของจติ จึงจัดไวใ นฝายดี ตามธรรมดาปถุ ุชนทุกคนยอมมกี ิเลสเปน ปกติ แตก เิ ลส
น้ันมิไดแสดงตัวใหปรากฏชัดๆ เสมอไปจะแสดงตัวใหปรากฏชัดกต็ อ เมือ่ มอี ารมณมาสมั ผัส ยั่วยวน
กอ กวนข้ึนเทา น้ัน โดยปกตกิ ิเลสจงึ เปนเพยี งอนุสัย คอื นอนเนอ่ื งอยูในจติ ของปุถุชนอยางมิด
เมย้ี นเหมอื นไมมกี เิ ลสอะไรเลย ลกั ษณาการตอนน้แี หละทเี่ รียกวา ปกตจิ ิตชนิดหนง่ึ เปนจิตปกติ
ของปุถชุ น แตมิใชป กตจิ ติ ของพระขีณาสพ เพราะจิตของพระขีณาสพไมมอี นสุ ยั จิตปกตขิ อง
ปถุ ชุ นนมี้ ีลักษณะไมรอน ไมรายแตป ระการใด คอ นไปทางลักษณะเยน็ เสยี ดว ยซํ้า เหมอื นนํ้าทม่ี ี
ตะกอนนอนอยูภายใต เมือ่ นํ้าน้ันไมกระเพอื่ ม ยอ มมีลักษณะใส แตย งั มีตะกอนจมนอนอยู จงึ ไม
เปน นํ้าใสสะอาดแท ขออปุ มานี้ฉันใด จิตใจทีห่ ายรัก หายชงั หายหลงก็ฉันนน้ั เพราะจิตยังไม
ปราศจากกิเลสอยางเดด็ ขาด ยงั มสี วนแหงกิเลสเจืออยู เปนแตก เิ ลสไมฟ ุง จติ จงึ ใสในสภาพปกติ
ของตนเทานน้ั อาจจะกลบั ขนุ ข้นึ เมอ่ื ไรกไ็ ด ในเม่อื ถูกกระเทอื น ฉะน้ัน จติ ปกติชนิดนี้จงึ หมายถึง
จติ ทีย่ งั มกี เิ ลสอยู แตก ิเลสนอนไมฟ ฟู ุง ขน้ึ ครอบคลุมจิต จติ ในลักษณะสภาพเชน น้นั ยอมมกี ระแส
ปกติไมรอนไมรา ย คอ นขา งมกี ระแสเยน็ สวนจิตเจือราคะ โทสะ โมหะ เปนจิตผดิ ปกติ คอื แปร
สภาพไปสูค วามรกั ความชัง ความหลง ถกู ความรัก ความชงั ความหลง ครอบงํา ทําใหม ลี ักษณะ
รอนรมุ กลัดกลมุ ลมุ หลงและขุนมวั เหมอื นน้ําเจือสีหรอื สงิ่ สกปรก ถกู กระทบกระเทือนเปนระลอก
กระฉอกกระฉอ น ยอมขุนขน ไมผ องใส แลดูเงาไมเห็นฉะนั้น. จติ เจือความรัก ความชงั และความ

ทิพยอาํ นาจ ๑๐๑

หลง เปน จติ รา ย มีลักษณะรอนตางๆ กัน คอื จิตเจือราคะมลี ักษณะรอนอบอนุ จิตเจือโทสะมี
ลักษณะรอ นแผดเผา จติ เจอื โมหะมลี ักษณะรอ นอบอาว.

สงั ขิตตจติ ต จติ ยอ หยอน หมายเอาจิตซึง่ ไมม อี ารมณรอน อารมณเ ย็นมายว่ั ยวนกอ กวน
แตถ กู อารมณมดื อารมณมัวมารบกวน จิตปุถุชนนั้นเมือ่ ถูกอารมณมาสัมผัสยอมแตกกระจายซัด
สายฟฟู ุงไปตามลกั ษณะของอารมณ เหมือนปุยนนุ หรอื สําลีทถ่ี ูกลมพดั ฉะนั้น จติ ที่ฟงุ ไปตาม
อารมณเ ปนจิตเสยี ปกติ ยอ มมีกระแสรอ นรมุ ตามลักษณะของอารมณหรอื กิเลสทส่ี ัมปยุตตน้นั ๆ
ถาสัมปยุตตดวยราคะก็คิดพลา นไปในกามารมณ ถาสมั ปยตุ ตดวยโทสะกค็ ิดพลา นไปในเร่อื ง
หงุดหงิดขัดเคอื ง ถา สมั ปยตุ ตดวยโมหะอยางแรงก็คิดพลานไปในเรอ่ื งสงสัย ทําใหเ กิดอาการลังเล
ใจ หวาดระแวงไปตา งๆ นานา แตถาอยูก ับโมหะทอ่ี อ นก็มืดกห็ ดตวั เปน จติ ออนกําลังซบเซาเซื่อง
ซึมมืดมวั ยอ หยอน ไมป ราดเปรยี วกระฉับกระเฉงแขง็ แรง จิตใจตามสภาพธรรมดายอ มมีลักษณะ
หดหเู ปนพักๆ สวนจติ ฟงุ ซานเปนจติ พลุงพลาน ไมดํารงตนเปนปกติ สมั ปยตุ ตไปดว ยอารมณ
วนุ วายและกิเลส จึงจดั เปนฝา ยชัว่ มกี ระแสผดิ ปกตเิ ปน กระแสรอนอบอุน แผดเผา และอบอา ว
อยางใดอยางหนงึ่ ตามลักษณะกิเลสท่ีเจือน้นั .

มหัคคตจิตต จิตกวา งขวาง เปนจิตมีคุณธรรมเจือ คือ เปน สมาธิขน้ั อปุ จาระ มกี ระแสจิต
แผกวางเปน ปรมิ ณฑลโดยรอบๆ ตัว มากนอยตามกาํ ลงั สมาธ.ิ ผูฝกหดั สมาธแิ บบนเี้ ม่อื จิตสงบลง
ยอ มแผกระจายจิตออกไปโดยรอบๆ ตัว กาํ หนดเขตช่ัวรมไมห นง่ึ บรเิ วณวัด บริเวณหมูบา น ตําบล
อาํ เภอ จังหวดั โดยลําดับไปจนสุดสามารถทจ่ี ะทาํ ได ทา นเรียกสมาธชิ นดิ น้วี า มหัคคตเจโตวิมตุ ติ
จติ หลุดพนจากลักษณะคบั แคบ ถงึ ความใหญโ ตกวางขวาง คลา ยอปั ปมญั ญาเจโตวิมตุ ติ จิตหลดุ
พน จากความชัง ถึงความรักในสรรพสัตว ไมมีเขตจาํ กัด ครอบคลุมโลกท้ังสนิ้ หมด มหัคคตจติ ตนี้
มีอาการแผจติ ออกไปกวา งเปน ปรมิ ณฑลโดยรอบ มใิ ชแผเ มตตาในสรรพสัตว จุดหมายของม
หัคคตจติ ตอยทู ีต่ องการกาํ จัดความรูส กึ คับแคบองจิตเปนสําคญั จิตคบั แคบนนั้ เปนจิตเจอื ดว ย
โทษ เปน ท่ีตง้ั แหงความเหน็ แกตวั มีความรสู กึ เศรา หมองไมเ บิกบาน เมือ่ ทําการเจรญิ จิตแบบแผ
กวาง ยอมแกโทษดังกลาวลงได. อน่งึ จติ ในข้นั อุปจารสมาธแิ บบทวั่ ไปมีลกั ษณะกวางขวาง แก
ความคบั แคบไดเชนเดยี วกัน เปนแตไมมีปริมณฑลกวา งไกลดังท่ีต้งั ใจทาํ ฉะนน้ั มหัคคตจิตตจงึ
หมายเอาจติ เปน สมาธิขนั้ อุปจาระ มกี ระแสสงบและสวางเปนปรมิ ณฑลโดยรอบๆ ตวั มากนอ ย
ตามกาํ ลงั ของการกระจายออก สว นอมหคั คตจติ ตเปน จิตตรงกันขา ม มีลักษณะคบั แคบ ไมมี
กระแสสวาง เปน จิตซอมซอ เศราหมอง.

อนตุ ตรจิตต จิตยงิ่ ใหญ เปนจิตมคี ุณธรรมเจือ คอื เปนสมาธขิ ้ันอัปปนาถึงความเปน
เอกภาพ มีอํานาจในตัวเอง เปนอิสระในการงานของตน ไมร สู กึ วา มีอะไรเปน นายเหนือตนในขณะ
อยใู นสมาธนิ ้นั จึงจดั วาไมมอี ะไรยงิ่ ใหญกวา จิตในฌานต้งั แตช้ันปฐมฌานขึ้นไปจนถงึ ช้ันสญั ญา-
เวทยิตนโิ รธ ไดนามวา อนุตตรจิตตทง้ั หมด เพราะจติ ในฌานท้ังหมดเปน เอกภาพ ยิ่งในฌานช้ันสูง
ย่งิ มเี อกภาพสมบูรณ จติ ที่เปน เอกภาพยอมมีลกั ษณะองอาจกลา หาญ ไมค ร่ันครา มตอ อะไร หาย
หวาดหายกลัวหายสะดุง มกี ระแสหนกั แนนและสวา งไสว สวนจติ ใจท่ีไมเ ปนเอกภาพยอ มรสู กึ
เหมอื นเปนทาสของสิ่งตา งๆ อยูโ ดยปกติ มหี วาดมีกลวั มีสะดงุ สะเทือนใจอยเู นืองๆ จึงเรยี กวา

ทิพยอํานาจ ๑๐๒

สอุตตรจติ ต จิตท่ีไมย่งิ โดยความก็คอื จิตเปนทาส ไมเปน ไทยแกตวั ยอมมลี กั ษณะออ นแอ อาจถูก
ปน ถูกหมุนไปไดทกุ ๆ ทาง มีกระแสเบาๆ ไมหนกั แนน และไมส วา งไสว.

สมาหิตจติ ต จติ ต้ังมัน่ เปน จติ เจือดวยคณุ ธรรม คือถึงความเปนอเนญชา เพราะไดรบั การ
ฝกฝนอบรมดว ยคุณธรรมตา งๆ มสี ติปญ ญาสามารถดํารงรกั ษาตวั ไดด ี ไมหวน่ั ไหวตอ อารมณหรอื
กิเลสใดๆ ทมี่ าสัมผสั มอี เุ บกขาธรรมในสิง่ น้ันๆ เสมอไปทท่ี า นกลา วไวว าอเนญชจติ ต ๑๖ ประการ
เปนเคา มลู ของฤทธ์ิ ดังกลา วในบทท่ี ๕ แลว จิตดงั กลาวน้ีมลี กั ษณะมน่ั คง เทยี่ งตรง ไมเอนเอียง
ไมห ว่นั ไหวและแจม ใสเสมอ มกี ระแสหนกั แนนดดู ด่ืมซาบซงึ้ และเย็นๆ สวนอสมาหติ จิตต จติ ไม
ต้ังมน่ั นั้นมลี กั ษณะตรงกนั ขามทกุ ประการ คือเปนจติ กลับกลอกเปนจติ ใจท่ไี มดี เสยี คณุ ภาพ ไม
เปนตนของตน ตกเปน ทาสของอารมณและกิเลส มลี กั ษณะมดื มัว วบู วาบไปมา.

วมิ ตุ ตจิตต จติ เปนอิสระ เปนจติ เจือดวยคณุ ธรรมสูง คือหลดุ พนจากสิ่งขดั ของ ถึงความมี
อิสระแกต วั อยูไดตามใจประสงค ไมตองพะวงวา จะมีใครมาขมเหง ตองการอยูสบายดว ยวหิ าร
ธรรมใดๆ กอ็ ยไู ดต ามใจประสงค นก้ี ลาวหมายถงึ วมิ ุตตจติ ตชั้นสงู สว นการพน จากกิเลสของจิตใจ
เพยี งชว่ั ขณะกด็ ี ขม ปราบไวน านๆ ก็ดี พนเพยี งบางสว นกด็ ี ก็ยอ มทาํ ใจใหรสู ึกปลอดโปรง เปน
อสิ ระตามสมควรแกค วามพนน้นั ๆ ซง่ึ ตรงกันขา มกบั จิตขัดของ ติดขัดในส่ิงตา งๆ ใหรสู กึ วา ตนไมมี
อิสรภาพแกต ัว ไมเปนตนของตน ตองคอยฟง บงั คับบญั ชาของนายคือกิเลสหรอื อารมณอยูเสมอ
ความเปน อิสระของจติ เปนคณุ ธรรมทดี่ ี เปน ทีพ่ ึงปรารถนาในพระพทุ ธศาสนา พระบรมศาสดา
ทรงวางวิธกี ารปฏิบัติไวโ ดยอเนกปรยิ ายกเ็ พ่ือใหบ รรลุถึงความมอี ิสระของจติ นีเ่ อง ผูบ รรลุถงึ ข้ัน
อิสระสงู สดุ แลว ยอมรูสกึ ตัววพน จากอํานาจถวงใหจ มดงิ่ ลงสเู หวนรกแลว โลง ใจ เบาใจท่ีสุด พระ
พทุ ธองคเ ม่อื ทรงบรรลถุ งึ ภูมิอิสรภาพเต็มที่นี้แลว ทรงยบั ย้ังอยูดว ยความสงบเปน เวลานานถึง ๗
สปั ดาห ท่ีเรยี กวาเสวยวิมตุ ตสิ ขุ ไมป รากฏวาเสวยพระกระยาหารเลยตลอดเวลาทพ่ี ักสงบอยนู ้นั
จนถึงสัปดาหสดุ ทา ยในวนั คํารบ ๗ จึงทรงรบั ขา วสตกู อน-สตผู งของสองพาณชิ คือตปุสสะ และ
ภัลลิกะ ซ่งึ บงั เอิญเดนิ ทางไปคาขายไปพบเขา เกิดความเลอ่ื มใสศรทั ธาปฏิญาณตนเปนอุบาสก
แรกทสี่ ดุ ในพระพุทธศาสนา จติ ใจท่บี รรลุถึงขนั้ อิสรภาพสงู สดุ ยอมมีลักษณะสวา งสดใสท่สี ดุ ดจุ ดงั
แกวมณีโชติฉะน้ัน และมีกระแสดงึ ดดู อยา งแปลกประหลาด สามารถโนม นา วจติ ใจของผูไดพบเหน็
ใหอ อ นโยนลงไดงาย สวนจติ ท่มี ีลักษณะติดขัดไมเ ปนอสิ ระแกต ัวนัน้ ยอ มมีกระแสใหร ูสกึ อึดอัดใน
ใจ ไมป ลอดโปรง ในใจ มกี ระแสมัวซัว.

บุคคลผมู เี จโตปริยญาณ ตอ งผา นการฝก ฝนอบรมจติ ตามหลักจิตตานุปสสนาสติปฏ ฐาน
ดังกลาวมาน้ี เม่อื สามารถตามรตู ามเห็นจติ ใจของตนทกุ ๆ อาการท่ีเปลย่ี นแปลงไปซง่ึ ลักษณะ
ใหญๆ ๑๖ ลักษณะน้นั แลว แมลกั ษณะปลกี ยอ ยออกไปกจ็ ะรูเห็นไดทกุ ลกั ษณะไป เมอื่ รจู ักจติ ใจ
ของตนดแี ลวยอมรูจติ ใจของผูอ ่นื ไดดีเชนเดียวกนั เพราะจติ มกี ระแสกระจายออกจากตัวเปน
ปริมณฑลโดยรอบดังกลา วมาแลว ผฝู ก จติ ใจไดด แี ลว ยอมเหมือนสรา งเครอ่ื งรับวิทยุไวรับกระแส
เสียงท่ีกระจายมาตามอากาศฉะนั้น บุคคลผูไ มฝก ฝนอบรมจติ ใหด ีแตตองการรจู ติ ใจของผอู ่ืนน้ัน
ยอ มมใิ ชฐ านทจี่ ะเปนได เหมือนไมม เี คร่ืองรับวิทยุ หรือเครื่องรบั วิทยุเสียแตตองการฟง เสียงซง่ึ
กระจายมาตามอากาศจากระยะไกลเกินวสิ ยั หูธรรมดาน้นั ยอมมิใชฐานะท่จี ะเปนไปไดฉ ะนั้น เหตุ

ทพิ ยอํานาจ ๑๐๓

น้นั ผตู องการรจู ติ ใจผอู นื่ พึงฝก หดั สงั เกตจิตใจตนเองใหทราบชดั ทกุ ลักษณาการเสยี กอน ตามหลัก
จิตตานุปสสนาสติปฏ ฐาน แกไขปรับปรุงลักษณาการทไ่ี มดขี องจติ ใจเสยี ใหม ใหกลายเปนจติ ใจมี
ลักษณะดี สงเสริมสว นท่ีดใี หดียิ่งข้ึนไปจนถึงทีส่ ุดเปนจติ ตวมิ ุตติ หลดุ พนจากความเปน ทาส ถงึ
ความเปน ไทย มอี สิ รภาพเต็มท่ี มคี วามเปนตนของตนทกุ เมอ่ื มีอํานาจเหนือกเิ ลสและอารมณท ุก
ประการกจ็ ะบรรลุถงึ ทพิ ยอาํ นาจ คือเจโตปรยิ ญาณสมดังความประสงค.

ตามทบี่ รรยายมานี้ วา โดยเจโตปริยญาณอยา งสูง เม่อื จะกลาวโดยปรยิ ายอยา งต่าํ ผฝู กฝน
อบรมจิตใจไดค วามสงบใจแมเพียงชนั้ อปุ จารสมาธิ ก็สามารถกาํ หนดรูกระแสจิตของผอู ื่นในช้ัน
เดียวกนั และตาํ่ กวาลงไปได โดยนยั นี้ไดค วามวา ผฝู ก ฝนจิตยอ มมเี จโตปริยญาณเปนบําเหน็จ
ความชอบเรอ่ื ยไปจนถึงชน้ั สูงสุด ไมตอ งทอ ใจวาเปน สงิ่ เกนิ วสิ ยั ของคนธรรมดา คนสามัญธรรมดา
ก็สามารถมไี ด ถา เอาใจใสส งั เกตใจตนเองอยูบอ ยๆ ความขอนี้พึงเห็นเชน คนเราเมื่อแรกพบปะกนั
ยอ มรูสึกชอบหรอื ชงั กันได ทั้งๆ ทย่ี ังมิไดแสดงกริ ยิ าอาการหรือการกระทาํ ใหเปน ท่นี าชอบหรอื นา
ชัง ทงั้ นเี้ ปนเพราะจติ ยอ มรจู ักจติ อยโู ดยธรรมดาแลว บคุ คลทมี่ ีกระแสจิตไมดเี มือ่ เราพบเห็นเขา
เราจะรสู กึ ไมชอบขึน้ มาทนั ที สวนผมู กี ระแสจิตที่ดเี มอ่ื เราพบเห็นเขาเราจะรูส กึ ชอบข้ึนมาทนั ที
เหมือนกัน สวนผูมกี ระแสจติ ปกติไมดีไมรายนนั้ เม่ือเราพบเห็นเขา เรากร็ สู กึ ปกตเิ ฉยๆ ไมเ กลียด
ชัง ทง้ั ไมร ูสึกชอบดวย แตผูศกึ ษาอยา ลืมวา ความรูส กึ ชอบ ไมชอบ หรอื เฉยๆ นเ้ี กดิ จากกิเลสของ
ตัวเองกม็ ี ทจ่ี ะรไู ดแนว ามใิ ชเกิดจากกเิ ลสของตวั เองก็ตอ งสังเกตรปู กตจิ ติ ของตนอยูเสมอ ซงึ่
รับรองตวั เองไดวา ความรูส กึ ที่เกิดขนึ้ นนั้ มไิ ดเกดิ จากกิเลสของตัว เปน ความรูส ึกทางกระแสสัมผสั
ท่ีผา นมาสมั ผสั กบั จิตใจของตนเขาเทา น้ัน.

การรจู กั จิตใจของผอู นื่ นอกจากรไู ดทางกระแสสัมผสั อนั เปน วิสยั ของเจโตปรยิ ญาณ
โดยเฉพาะแลว ยอมรูไดทางทพิ พจกั ษซุ ง่ึ จะกลาวขางหนา เพราะวา จิตใจของคนเราเปนธาตชุ นดิ
หนง่ึ ซึ่งมีความรูเปนลักษณะ เรยี กวามโนธาตุ แปลวา ธาตรุ ู ธาตุรนู ี้ประกอบดว ยแสงสีและกระแส
ธรรมดาวาแสงยอมมลี ักษณะตา งๆ กัน สวางมากนอยตางกัน แสงยอ มมสี ีประกอบเปน ลกั ษณะอีก
ดว ย เหมือนแสงไฟยอมเจอื ดว ยสอี นั เกิดจากเช้อื ตางกันฉะนน้ั เทวดารจู ักกนั วามศี ักดานุภาพมาก
นอ ยกวากนั ดวยสังเกตแสงสขี องจิตนี่เอง เพราะทวยเทพไมมีรางหยาบเปน เครอื่ งปดบัง แสงสขี อง
จิตยอมปรากฏชัด นอกจากแสงประกอบดว ยสีแลว ยงั ประกอบดวยกระแสดังกลาวมาแลว อกี ดว ย
ถา เราสงั เกตใหด จี ะทราบไดว า ในขณะทีเ่ ราไดสัมผัสกับแสงนั้นๆ เราจะรูร สสมั ผสั ข้ึนตา งๆ กัน
เชน แสงสวางสนี วลใหเกิดความรูส ึกชืน่ ใจ เบิกบานใจเปนตน ฉะนั้นจติ จงึ ประกอบดว ยแสงสีและ
กระแสดังกลาวแลว ผมู ที ิพพจกั ษเุ หน็ แสงจติ ประกอบดวยสีชนิดใดๆ แลวยอ มลงความเห็นไดวา
เปน จติ ชนดิ ใด เจอื ราคะหรอื โทสะโมหะประการใด โดยอาศัยความสังเกตแสงสีจติ ของตนเอง
เชนเดยี วกนั ขอนีจ้ ะไดก ลาวละเอยี ดในบทวาดวยทิพพจกั ษขุ า งหนา.

การกําหนดรูจ ติ ใจของผูอ ืน่ น้ัน เม่อื วา โดยลักษณะของเจโตปรยิ ญาณท่แี ทจ ริงแลว รูไดท าง
กระแสสมั ผสั ทางเดียว แตธ รรมดาผฝู ก ฝนจิตใจยอมเกดิ ญาณความรูหลายประการดวยกนั จึงอาจ
รูแมโ ดยประการอ่ืนดว ยอาํ นาจความรูอื่นๆ กไ็ ด พระอาจารยภ ูริทตั ตเถระ (ม่ัน) อาจารยของ

ทิพยอํานาจ ๑๐๔

ขา พเจาไดใ หขอสังเกตไววา ญาณความรทู ่ีเกิดขนึ้ ในการกาํ หนดรเู หตุการณ อปุ นิสัยใจคอของผูอื่น
นน้ั มี ๓ อยาง คอื

๑. เอกวธิ ญั ญา รูโดยสว นเดียว หมายความวา เกดิ ความรสู กึ ข้ึนทางใจทีเดยี ว เชนรูวา จะมี
เหตุการณอยางนนั้ ๆ ในวันนนั้ วันน้ี หรอื เม่อื น้ันเมอ่ื โนน แมเหตุการณท ี่กลา วมาแลว แตค ร้ังไหนๆ
ซ่ึงคนในสมัยปจ จุบันลมื กันหมดแลว กเ็ ชน เดียวกัน สวนอปุ นิสัยจิตใจของคนก็รูไดทางใจขนึ้ มา
เฉยๆ เชนเดียวกนั .

๒. ทวุ ธิ ญั ญา รโู ดยสวนสอง คือมีภาพนมิ ติ ปรากฏขนึ้ มากอ น แลวจึงรูความหมายของ
นิมิตน้ันอีกท.ี

๓. ติวธิ ัญญา รูโดยสวนสาม คอื มภี าพนิมิตปรากฏขึ้นกอนแลว แลว ตองกาํ หนดถามในใจ
เสียกอนเขา สูความสงบจนถึงฐตี จิ ติ ถอยออกมาถงึ ข้ันอปุ จาระ จงึ สามารถรเู ร่ืองตามนมิ ิตทปี่ รากฏ
น้ัน.

ตามลักษณะความรู ดงั ทีท่ านอาจารยใ หข อสังเกตไวน้ี มใิ ชรดู วยญาณเพียงอยา งเดยี ว เปน
การรูดว ยญาณหลายอยาง มีทั้งเจโตปรยิ ญาณ มีท้งั ทิพพจกั ษญุ าณประกอบกัน นอกนัน้ กม็ ีญาณ
เล็กๆ นอยๆ ทท่ี านเรยี กวา อนาคตังสญาณ และอตีตังสญาณ เปน ตน ซงึ่ ญาณความรตู า งๆ นน้ั
ยอมเกิดแกผ มู ีจติ ใจผองแผวเสมอ เมื่อจะกลาวถึงจุดรวมของญาณตา งๆ กไ็ ดแกจ ิตใจบริสทุ ธิ์ผอง
ใสนัน่ เอง เมื่อฝกฝนอบรมใจใหบ รสิ ทุ ธผิ์ อ งใสแลว มิใชแตเ จโตปรยิ ญาณเทา นั้นจะเกดิ ข้ึน แม
ญาณอืน่ ๆ กจ็ ะเกิดข้นึ ดว ยตามสมควรแกก ําลังวาสนาบารมี และประโยคพยายาม จิตใจทีบ่ ริสุทธ์ิ
ผองใสนัน้ ถา จะสมมตชิ อ่ื ขึน้ ใหมใหส มกับลักษณะที่แทจริงแลว ก็อาจสมมตไิ ดวา ใจแกว เพราะมี
ลกั ษณะใสเหมอื นแกวมณโี ชติ ถา ฝก ฝนใจถึงช้ันใจแกวแลว ภาพเหตกุ ารณท ผี่ านมายอ มแสดงเงา
ข้นึ ท่ใี จแกวเสมอไป เหมอื นเงาปรากฏที่กระจกเงาฉะนน้ั ใจแกว จึงเปน จดุ ศูนยร วมของญาณทกุ
ประการ ผตู องการญาณพิเศษตา งๆ พึงฝก ฝนจติ ใจใหบรสิ ุทธผ์ิ ุดผอ งเหมอื นแกว มณโี ชติ ก็จะ
สาํ เร็จดังมโนรถทุกประการ.

วธิ ีปลกู สรา งเจโตปรยิ ญาณ ไมมีอะไรดวี ิเศษไปกวา จิตตานุปส สนาสตปิ ฏฐานดงั กลาวแลว
ฉะน้ัน จึงเปนอันวจ บเรอ่ื งที่กลา วในบทน้แี ลว ผูศ ึกษาทีต่ องการเจโตปริยญาณพงึ ฝก หดั ตามหลกั
จติ ตานปุ สสนาสตปิ ฏ ฐานนัน้ เถิด จะสมหวงั โดยไมยากเย็นเลย.

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๐๕

บทท่ี ๘

วธิ สี รา งทพิ ยอาํ นาจ ทพิ พโสต หทู พิ ย

ทพิ ยอํานาจขอนี้ หมายถึงความสามารถรับฟงเสยี ง ๒ อยาง คือ เสยี งทิพยและเสยี งมนษุ ย
ได ทั้งในทใ่ี กล ทง้ั ในทไ่ี กล ดว ยโสตธาตทุ พิ ยอนั บริสุทธ์เิ กินกวา โสตธาตุของมนุษย ทา นเรียกชอื่
ทิพยอํานาจขอ นว้ี า ทิพพโสตธาตุญาณ แปลวา ความรทู างโสตธาตุญาณทพิ ยบ รสิ ทุ ธิบ์ า ง เรยี ก
สั้นๆ ดงั ตง้ั เปนหัวขอ ขา งบนนี้บา ง รวมใจความเขา ก็คอื หทู พิ ยน ั่นเอง.

ธาตุวเิ ศษในรางกายมนุษย ซ่ึงสามารถรบั รสู ่งิ ที่เปน วิสัย ทา นจดั ไว ๖ ประการ คือ
๑. จักขธุ าตุ ธาตุตา มีความสามารถในการเห็นรูป.
๒. โสตธาตุ ธาตุหู มีความสามารถในการฟง เสยี ง.
๓. ฆานธาตุ ธาตจุ มูก มคี วามสามารถในการดมกล่นิ .
๔. ชิวหาธาตุ ธาตุล้นิ มีความสามารถในการลม้ิ รส.
๕. กายธาตุ ธาตกุ าย มีความสามารถในการรบั สัมผัสสิ่งซง่ึ มาสัมผสั และ
๖. มโนธาตุ ธาตใุ จ มคี วามสามารถรบั รูธ รรม คอื สงิ่ ท่ีเกิดข้ึนทางใจ.
ธาตเุ หลา นท้ี า นเรยี กวา อินทรยี ธาตุ แปลวา ธาตุคอื อินทรยี  หรือธาตุท่ีเปนใหญ ทา นวา เปน
ผลของกรรมท่ีทาํ ไวแตช าตกิ อ น ผทู าํ บุญไวกไ็ ดธาตุเหลานสี้ มบรู ณดี ผูทาํ บาปไวก ไ็ ดธาตุเหลาน้ี
บกพรอ ง ธาตุทงั้ ๖ น้ีจงึ มีดีเลวตามลกั ษณะของบุญบาป ซ่งึ เปนผูแตง อารมณอันเปน วิสัยของ
ธาตทุ ั้ง ๖ นั้น ทา นก็จดั ไว ๖ ประการเชน เดยี วกัน คือ
๑. รปู ธาตุ ธาตุรปู อันเปนวสิ ัยของตาจะพึงเห็น
๒. สัททธาตุ ธาตเุ สียง อันเปน วิสัยของหจู ะพังฟง
๓. คนั ธธาตุ ธาตกุ ลิ่น อนั เปน วสิ ัยของจมูกจะพึงดม
๔. รสธาตุ ธาตรุ ส อนั เปนวิสยั ของล้ินนะพงึ ลม้ิ
๕. โผฏฐพั พธาตุ ธาตุทีพ่ งึ ถูกตอง อนั เปนวิสยั ของกายจะพงึ สมั ผัส
๖. ธมั มธาตุ ธาตธุ รรม อันเปนวสิ ัยของใจจะพึงรู.
ธาตุทง้ั ๖ นี้ ยอ มมีท้งั ในรางกายตัวเอง ทั้งในรา งกายของผูอ่นื สง่ิ อ่นื เมื่อมาสัมผสั กบั ธาตุ
ภายในทัง้ ๖ นั้น จะเกิดเปนกระแสสะเทอื นใจ กต็ อเมือ่ วญิ ญาณธาตุ คือธาตรุ บั รอู ารมณซ ึ่งมี
ประจําทวาร ๖ ทาํ หนา ท่ีรับรูเสียกอ น ถา วญิ ญาณธาตุไมท าํ หนาทรี่ บั รูแมจ ะไดเหน็ ไดย นิ เปน ตนก็
สกั วาไดเ หน็ ไดยินเปนตนเทานั้น ไมก อใหเ กิดความรูสึกสะเทือนใจแตประการใด เชน ในเวลาเรา
กําลังคดิ อะไรเพลินๆ อยู มีอะไรมาผา นสายตาเราเราก็เห็น แตไมร ูสึกวิเศษข้ึนไปกวาน้ัน ฉะน้ัน
วิญญาณธาตจุ งึ เปนสือ่ สําคญั ทใี่ หเ กิดความสะเทอื นใจทีเ่ รยี กวา ผัสสะ วิญญาณธาตนุ ีท้ า นกจ็ ัดเปน
๖ และเรียกช่อื ตามทวาร ๖ เชน จกั ขวุ ิญญาณธาตุเปนตน ๖ คูณดวย ๓ จึงเปน ๑๘ ธาตุนจี้ ดั เปน
อารมณของวิปส สนาทพ่ี งึ ทาํ การศึกษาสาํ เหนยี กใหรแู จงเห็นจริง เพ่อื ทาํ ลายรงั ของอวิชชา
เพราะวาเม่อื ไมรแู จมแจงธาตุ ๑๘ ประการนแี้ ลว มักหลงใหลใฝฝน และสําคัญผิดในธาตุ ๑๘ นี้ ซ่ึง

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๐๖

เปน สายชนวนแหงทุกขในสงั สารวฏั สบื ไปไมรูจักสิ้นสุด เม่อื ศกึ ษาใหรจู ริงในธาตุ ๑๘ นี้แลว
อวชิ ชาในธาตุ ๑๘ น้ีก็เปนอันถกู ทาํ ลายไป สายชนวนแหง ทกุ ขก็ขาดสะบนั้ ลง เพราะเหตนุ ที้ า นจงึ
ใหศึกษาสําเหนียกธาตุ ๑๘ น้ใี หร แู จงเห็นจริงเปนทางเรืองปญ ญา.

บรรดาธาตุ ๑๘ ประการนั้น มโนธาตคุ ือธาตุใจหรือธาตรุ ูเ ปนตัวการสําคญั ทสี่ ดุ ในการ
กอใหเ กดิ สุขขน้ึ ในตน ถาใจรจู กั ตวั เองดี ใจกไ็ มกอทกุ ขแกต วั ถา ใจไมรจู ักตัวเองดี มักกอ ทุกขใสตวั
ฉะน้นั ทางพระพทุ ธศาสนาจงึ สอนหนักในทางใหรูจ ักใจตามความเปน จริง เพราะวา เมอ่ื รูจ ักใจ
ตามความเปนจรงิ แลว กจ็ ะรูจักสิ่งอ่นื งา ยขน้ึ ในการฝกเพือ่ ทพิ พโสตธาตนุ ีท้ างพระพทุ ธศาสนาก็
แนะนําใหฝ ก ใจกอ น แลวจงึ ใหหนั มากาํ หนดสําเหนยี กเสยี ง เพื่อรบั ฟง ดว ยโสตธาตอุ กี ทหี น่งึ เหตุ
ไรทางพระพุทธศาสนาจงึ นยิ มใหฝกใจกอนฝก ประสาททง้ั ๕ เปนเรอ่ื งควรพิจารณา ทาง
พระพทุ ธศาสนาถือวา ใจเปนจุดศนู ยก ลางที่รวมของความดี-ความชว่ั ใจเปนผูท ําดีทําชั่วกอ นสงิ่ อน่ื
เมอ่ื ใจดกี บ็ งั คบั กายวาจาใหทาํ ดี เมอ่ื ใจช่วั ก็บงั คบั กายวาจาใหทําชั่ว ใจเองเปน ผูดี-ผูช่ัว และเปน ผู
เสวยผลของความด-ี ความชั่วที่ตัวทําไว ฉะนนั้ ใจจึงเปนสิ่งสําคัญทีส่ ุด ควรไดร ับการศึกษาอบรม
ใหดที ส่ี ดุ กอนสิง่ อน่ื เม่อื ใจไดรับการอบรมดแี ลว ใจจะเปนท่ีตงั้ แหงทพิ ยภาวะ คือสิง่ เปนทพิ ยทั้ง
ปวง จะเกิดมที พิ ยอินทรยี  และทิพยอํานาจโดยลําดบั เมอื่ มที ิพยสมบัติเหลา นี้สมบรู ณในใจแลว
ยอมสามารถรบั รทู พิ ยวิสัยทัง้ ปวงไดเกนิ กวาทพิ ยโสตเสยี อีก ดวยเหตุน้ที างพระพทุ ธศาสนาจึงนิยม
ใหฝ ก ใจกอนฝกประสาท.

วธิ ีการฝก ใจเพอื่ ใหเ ปน ทตี่ ง้ั แหงทพิ ยอาํ นาจนี้ ทางพระพุทธศาสนาสอนใหอ าศยั อิทธบิ าท
ภาวนา อบรมใจจนไดส มาธิ เขาถงึ ขีดขั้นของฌานท่ี ๔ ดังไดก ลาวมาแลว ต้งั แตบ ทท่ี ๑ ถงึ บทท่ี ๔
ใจทสี่ งบเขา ถึงขดี ข้ันของฌานท่ี ๔ เปนใจที่สมบรู ณด วยทิพยภาวะ ยอ มมีทิพยอนิ ทรียส ามารถรบั รู
ทิพยวิสยั ทง้ั ปวง ถานอ มใจไปเพื่อรใู นทางใดกจ็ ะรูใ นทางนัน้ ไดทกุ ทาง คอื นอมใจไปในทางเห็นรปู
กจ็ ะเกิดตาทิพยส ามารถเห็นรปู ท้งั รูปทิพยและรปู มนุษยได นอมใจไปในทางฟง เสียงก็จะเกิดหู
ทิพยสามารถฟงเสยี งทพิ ยแ ละเสียงมนุษยได นอมใจไปในทางดมกลนิ่ กจ็ ะเกดิ ฆานทิพยส ามารถ
สูดดมกล่นิ ทิพยและกล่นิ มนุษยได นอมใจไปทางลมิ้ รสกจ็ ะเกิดชิวหาทิพยสามารถลม้ิ รสทิพยแ ละ
รสมนษุ ยได นอมใจไปในทางสมั ผัสก็จะเกิดกายทิพยส ามารถรบั สมั ผสั ทิพยและสมั ผสั มนุษยไ ด
ตกลงวา สามารถปลูกสรา งทิพยอินทรยี ข น้ึ ใชไ ดทุกประการ.

อน่งึ เมื่อศึกษาอบรมใจจนไดสมาธิเขา ถึงขีดข้ันของฌานท่ี ๔ แลว จะรูวาใจกบั กายเปนคน
ละสว น สามารถแยกออกจากกนั ไดเด็ดขาด ความรนู ีเ้ ปน ปจ จยั ใหเ กิดทพิ ยอํานาจ สามารถถอด
จติ ออกจากกายไปได เนรมติ รปู กายข้ึนอีกกายหน่ึงตา งหากจากกายเดมิ ซึ่งมีลกั ษณะละมา ย
เหมือนกายเดมิ ทสี่ ุด แลว ใชไปบาํ เพ็ญประโยชนในทไ่ี กลได ดังไดก ลาวมาแลวในบทท่ี ๖ คอื
มโนมยั ฤทธ์ิ เมื่อใจสามารถไปบาํ เพญ็ ประโยชนใ นทีไ่ กลไดเชนน้ัน ใจกต็ อ งมอี นิ ทรยี ท ุกสวน
เชนเดยี วกบั กายนี้ เปน ความรูสาํ หรับเปนปจจัยใหเกิดทพิ ยอํานาจขอน้ี (คอื ทพิ พโสตธาตุ) เม่ือรู
วา ใจมีทพิ ยอินทรยี เ ชนนีแ้ ลวยอมสะดวกทจ่ี ะฝกฟงเสยี งในลําดบั ตอไป.

อน่ึง เม่อื มโนธาตุ คอื ธาตุใจไดรับการฝก ฝนอบรมดเี ชน น้ัน ขณะเดียวกนั จักขุธาตุ โสตธาตุ
ฆานธาตุ ชิวหาธาตุ และกายธาตุ อนั เปนสว นรูปกาย กพ็ ลอยไดร ับการฝกฝนอบรมไปดวยในตัว

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๐๗

จะเกดิ เปน ธาตผุ องใสข้ึนกวา ปกติ สามารถรบั รอู ารมณอนั เปนวสิ ัยของตนไดดีกวา ปกตธิ รรมดา
คนตาฝาฟางเมอื่ ไดรบั อบรมทางจติ ใจมากขนึ้ จนเปนสมาธิ ตาจะหายฝา ฟาง คนหูตงึ จะเกิดมหี ดู ี
ขนึ้ คนจมูกดานก็จะเกดิ จมกู ดีข้ึน คนลิ้นชากจ็ ะเกิดลิน้ ดขี ึ้น คนกายชากจ็ ะเกดิ กายดีขึ้น การ
ฝกจงึ เปน ประโยชนแ มแกทางกายดว ยประการฉะน้ี จึงเปน การสมควรอยา งยงิ่ ทจ่ี ะสนใจศกึ ษา
อบรมใจใหดี ทางโยคีก็คงจะทราบเหตผุ ลอยางน้เี หมอื นกนั จึงวางวธิ ีฝก เพือ่ ทพิ ยอํานาจไววา การ
ต้ังสังยมะในประสาททง้ั ๕ จะบังเกิดผลทําใหป ระสาทท้งั ๕ ผองใส สามารถรับสัมผสั ไดดี และ
อาจสามารถรับสัมผัสทพิ ยวสิ ยั ไดดวย ดังน้ี วิธกี ารทางพุทธศาสนาพงุ สจู ดุ ศูนยกลางคอื ใจกอนอนื่
ใหฝ ก ใจใหดีแลว จงึ ฝกกาย สว นวธิ กี ารทางโยคพี งุ ไปตามจดุ ท่ีหมายจะใหเ กิดทพิ ยอาํ นาจประการ
นน้ั ๆ ทีเดยี ว ความแตกตา งทางพุทธศาสนากับทางโยคเี ปนเชน นี้ ผศู ึกษาพึงสาํ เหนียกไวด วย.

ความสามารถในการฟง เสยี งไกลและเสียงทิพยน้นั เปนวสิ ยั ของทิพยอนิ ทรยี  มใิ ชว สิ ยั ของ
โสตประสาทธรรมดา ฉะน้ัน โสตประสาทธรรมดาเราจะทาํ ใหส ามารถยิง่ ไปกวา ธรรมดาเกนิ ไป
ยอมไมอาจเปน ไปได เพราะประสาทรูปสามญั นนั้ เปนวบิ ากสมบตั ิ สําเรจ็ มาแตกรรมหนหลัง จะให
มนั ดวี เิ ศษย่งิ ขน้ึ ไปกวา กาํ ลังกรรมซ่ึงเปน ผตู กแตงสรางกรรมน้ันยอมไมไ ดอ ยูเอง เพยี งแตท าํ ใหดี
ขนึ้ กวา ปกติไดบ า งเล็กนอยเทานั้น สวนทพิ ยอินทรียน น้ั เปนส่ิงทเ่ี ราสามารถจะแตงสรา งเพิม่ เตมิ
ใหดีวเิ ศษยง่ิ ข้นึ ไปเทาไรก็ได เพราะเปน วิสัยของใจ เปนสงิ่ มใี นใจหรอื เปนสิ่งประกอบกบั ใจ เปน
อนิ ทรียท ีเ่ นือ่ งกบั ใจเสมอไป ถาไดร บั การฝก ฝนอบรมดีเปนใจผองใส ทพิ ยอินทรยี ก ผ็ อ งใสไปดว ย
ถา ใจไดรับอบรมดียิ่งเปนใจวิเศษเปน แกว ไดแลว ทพิ ยอินทรยี ก ผ็ อ งใสที่สดุ เปนอินทรียแกว ทีเดยี ว
ฉะนน้ั จุดของการฝกเพือ่ รับฟง เสยี งไกลและเสยี งทิพยน น้ั จงึ อยทู ีจ่ ิตใจโดยตรง เมอ่ื ฝกจติ ใจใหเปน
สมาธิขั้นจตตุ ถฌานไดแลว ชอื่ วาบรรลุถงึ ภมู ทิ ิพย ยอ มมีทิพยภาวะ มีทพิ ยอินทรียส มบรู ณพอทจี่ ะ
ฝก เพอื่ ฟงเสยี งตอไปได.

จิตใจเปน ธรรมชาติแปลกประหลาด ทีม่ คี วามสามารถทงั้ ในการเห็น การฟงเสยี ง การดม
กลิน่ การลิ้มรส การสัมผัส และการรบั รอู ารมณ เทา กับมีอินทรยี ท ง้ั ๖ พรอ มมลู ทด่ี วงจติ น้ันเอง
ฉะน้นั เมือ่ จติ ใจบรรลุถึงภมู ทิ ิพยเ มอื่ ไร ทพิ ยอินทรยี ทั้ง ๖ กม็ บี รบิ ูรณขึ้นเมือ่ น้ัน ทานจะฝก
อนิ ทรยี ใ นทางเหน็ ทางฟง ก็ยอ มจะสาํ เรจ็ ไดด ังประสงคท กุ ประการ ทีนีม้ ีปญหาตอ ไปวา ทิพย
วสิ ยั คอื แดนทพิ ยห รือสงิ่ เปน ทพิ ยน้ันคอื อะไร? มจี รงิ หรือไม? เปนปญหาท่ีควรพจิ ารณาตอ ไป.

ทิพยวสิ ยั นน้ั คือ สงิ่ ท่ีละเอยี ดประณตี มองเห็นไมไ ดด ว ยตาธรรมดา ไดยินไมไดดวยหู
ธรรมดา ไดกลิน่ ไมไดดวยจมกู ธรรมดา ไดรสไมไดดว ยลน้ิ ธรรมดา รสู กึ สมั ผสั ไมไดด ว ยกายธรรมดา
รไู มไ ดด วยใจหยาบๆ เปนวิสยั ที่จะรบั รูไ ดดวยทิพยอินทรียโดยเฉพาะ เปนส่ิงทม่ี อี ยทู ว่ั ไปแมในโลก
คอื พิภพท่ีเราอาศยั อยนู ้เี อง หากแตเปนคนละแดน คนละวิสยั จึงไมส ามารถเหน็ กนั ได สวนแดน
ทิพยท ่แี ทจ รงิ นั้นอยูหา งไกลจากโลกของเราออกไปในทางสูงมากทีส่ ดุ ประมาณระยะทางไมถ ูกวา
เทา ไร คือ อากาศผิวโลกทเ่ี ราอยูนย้ี อ มไดรับแสงสวา งจากดวงอาทิตยแ ละดวงจันทรคนละเวลา คือ
พระอาทติ ยสองโลกเวลากลางวนั พระจันทรส อ งโลกเวลากลางคนื แดนที่ดวงจนั ทรดวงอาทิตย
สอ งแสงไปถึงไดจัดวาเปนโลกมนษุ ย พอพน รัศมขี องดวงจนั ทรและดวงอาทติ ยไปน้ันจะถึงพิภพมืด
อากาศทึบ เปนแดนของราหูอสรุ นิ ทร เปน แดนที่มอี าณาเขตกวา งไกลมใิ ชน อย เมอ่ื พนแดนมดื ไป

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๐๘

จึงจะถึงแดนทิพย มแี สงสวา งตางสีมีรศั มเี ยน็ ชื่นใจ ไมมคี วามรอ นแผดเผาเหมอื นในแดนมนษุ ย
แดนทิพยน ้ีก็กวา งขวางและเปน ชั้นสูงต่ําลดหล่นั กัน มรี ศั มีสีสนั ตางกนั ดว ย ความใหญยิ่งตาํ่ ตอ ย
ของเทพเจา ในแดนทพิ ยนีเ้ ขาสงั เกตกนั ไดดว ยรัศมีสีสันนัน่ เอง ยอ มเคารพนบั ถอื ยําเกรงกันดวย
ศกั ดานุภาพแหงรัศมีสีสัน มิไดเคารพนบั ถอื ยําเกรงกันประการอื่น ฉะนั้น เราจึงไดท ราบจากพระ
ประวตั ิของพระบรมศาสดาวา ถา มเี ทพเจามาเฝา เทพเจาคนใดศกั ดานอ ยกถ็ อยออกไปๆ บางที
จนถงึ สุดขอบจักรวาลก็มี การกาํ หนดขอบจักรวาลนมี้ ไิ ดห มายถึงสุดแผน ดิน หมายถึงสดุ รัศมีแหง
โลกทแี่ สงจนั ทรอ าทิตยส อ งถงึ เลยนนั้ ไปตองถือวาเปนจกั รวาลอน่ื มิใชจ กั รวาลนี้ โลกทเ่ี ราอยูน้ี
ทานเรียกวา มงคลจักรวาล เปนแดนท่ีเจริญ มพี ระพทุ ธเจามาตรัสรูโ ปรดสตั วไ ด สวนจกั รวาลอืน่ ๆ
ทานวา ไมม พี ระพุทธเจา ไปตรัสรูโปรดสตั วเ หมอื นในจักรวาลน้ี จะไดตดิ ตามเร่อื งแดนทพิ ยต อ ไป
ตอ จากแดนสวรรคไปทางสูงดานเหนือจะพบแดนอกี แดนหนง่ึ ซ่งึ มีแสงสวางแจมจา ยิ่งกวา แดน
สวรรค เปนแดนแหงความสงบสุข ปราศจากความโกลาหลวนุ วายดว ยประการใดๆ ท้ังสน้ิ ตางคน
ตางอยูดวยความสงบสขุ ปราศจากการววิ าทชิงดีกัน แดนนี้เรียกวา พรหมโลก เมอื่ แดนทพิ ยคือ
โลกสวรรคและโลกพรหม อยูในท่หี า งไกลจากโลกมนษุ ยถงึ เพียงน้ี จงึ มใิ ชวสิ ัยทีม่ นุษยธรรมดาจะ
สามารถผานไปถงึ ได ทีม่ ผี ูเขียนเรอื่ งถากถางเยาะเยยศาสนาที่พรรณนาวาโลกสวรรคอ ยูบนฟา นัน้
เมอื่ เขาสามารถทาํ อากาศยานผา นไปในฟาได เขาจงึ พดู วา ไมเ หน็ สวรรคว มิ านทไ่ี หนในฟา มแี ต
อากาศเวหา เว้ิงวา งวางเปลา เอาอากาศยานผานไปกไ็ มต ดิ ขัด แตความจรงิ อากาศยานไปไดไ มถงึ
ครึ่งฟาเสยี ดว ยซ้ํา จะคุยโตวา ผานไปในฟา ไมเ ห็นมีสวรรควิมานเมืองแมนท่ีไหนนั้น เปนการคยุ
อยา งคนตาบอดนน่ั เอง ซ่ึงเม่ือคนตาดีไดฟ ง แลว ก็อดขนั ไมไดฉะนั้น.

เทพเจา ในแดนสวรรคแ ละแดนพรหม ทรี่ วมเรยี กวาแดนทพิ ยมีจริงหรือไมเ พียงไรนั้น จะช้ี
เหตผุ ลไวแ ตโดยสงั เขป ธาตุทีป่ ระกอบกันเขา เปนองคเ ทพเจาน้นั เปนธาตุทพิ ยซึ่งละเอยี ดยิง่ กวา
อุตธุ าตุโนโลกมนษุ ยห ลายพนั เทา เม่อื เปนเชนนจ้ี งึ มใิ ชวสิ ยั แหงตาธรรมดาจะพึงเหน็ ได ไมต อ ง
พดู ไกลแคแ ตธาตใุ นอากาศนเ้ี อง ตาธรรมดาก็มองไมเหน็ เสียแลว ธาตุในอากาศเปน อุตุธาตุ
นักวทิ ยาศาสตรใชก ลองจลุ ทรรศนสอ งดู ก็เห็นอินทรียช นิดหนงึ่ เล็กมาก รูจกั เปน รจู ักตายเหมอื น
ชีวะทงั้ หลาย จงึ เรยี กวา จลุ นิ ทรีย เม่อื เปน เชน นเ้ี ราจะอวดอา งเอาสายตาธรรมดามาเปน เคร่อื งวดั
วา ม-ี ไมม ี ดวยการเห็น-ไมเห็น ยอมไมไดอ ยูเอง ถาเราไมรูเรายอมรบั วาไมรยู งั ดกี วา ท่จี ะอวดรใู นสิง่
ทต่ี นไมส ามารถรู แลวกลาวปฏเิ สธหรือทบั ถมศาสนา ซง่ึ เปน การละเมิดมรรยาทแหงสุภาพชน.

เมอ่ื ธาตุทปี่ ระกอบกนั เขาเปนองคเทพเจาละเอยี ดยงิ่ เชนนั้น องคเทพเจา จึงมใิ ชวิสัยแหง
อนิ ทรียธรรมดาจะพึงรับรู เปนวิสยั แหง ทพิ ยอินทรียจะพึงรับรโู ดยเฉพาะ ทนี ลี้ องถอยลงมา
พิจารณาดูส่งิ ท่มี ีในผวิ โลกเรานอ้ี ีกที นอกจากมนุษยก ับสตั วดิรจั ฉานท่ีเราเห็นกันอยูแลวมีอะไรอีก
อยา งดที ีส่ ุดมนุษยนักวิทยาศาสตรบอกไดแคจ ุลนิ ทรียในอากาศ ซ่ึงคนธรรมดาไมเหน็ แตก ็รบั รอง
กันวามีจริง เพราะเชอื่ ภูมขิ องนักวิทยาศาสตร สวนทางศาสนาบอกไดว า มพี วกอทสิ สมานกายซงึ่ มี
รูปรา งละมา ยคลา ยคลึงกบั มนุษย มคี วามเปน อยูคลา ยมนุษย และปนเปอยใู นหมมู นุษยก ม็ ี อยหู าง
ออกไปจากแดนมนษุ ยก็มี พวกนีม้ ใิ ชพ วกทพิ ยแท เพราะรูปกายหยาบกวา พวกทพิ ย มคี วาม
เปนอยตู า่ํ ทรามกวาพวกทพิ ย จะเรยี กวาคร่ึงมนุษยคร่ึงทพิ ยก ไ็ ด ทางศาสนาเรยี กอีกชื่อวาอมนษุ ย

ทิพยอาํ นาจ ๑๐๙

แปลวา แมนมนุษย คอื คลา ยคลึงกับมนษุ ยน ั่นเอง คาํ สามัญท่รี ูกันทัว่ ไปสําหรับเรยี กพวกน้วี า ผี
คือไมรูวาอะไร ชักใหส งสัยและถามกนั เสมอวา อะไรๆ นัน่ เอง แมพวกนม้ี นษุ ยส ามัญก็ไมคอ ยเห็น
มเี หน็ ไดบ างครงั้ บางคราว ผูไดเ ห็นแลว ยอ มปฏิเสธไมไดวา ไมม ีผี แตผูไ มเ ห็นก็ไมอยากเชื่อวามี ถึง
อยางน้นั ก็นอยคนทไ่ี มก ลวั ผี ท้งั ๆ ท่ตี นเองปฏเิ สธวาไมมนี น่ั เอง ถาไมเ ชอ่ื ขอ ความน้ี โปรดไปเย่ียม
ปาชาในเวลาดกึ สงดั ดบู าง ทานจะเกดิ ความหวาดเสียว ขนลุกเกรียวข้ึนไดอยางประหลาด ทั้งๆ ท่ี
ใจของเราไมเ ชือ่ วา มีผี ขา พเจา จะยอมยกใหเฉพาะผไู ดอ บรมจิตใจอยา งดจี นทราบความจรงิ เร่ืองนี้
และกาํ จดั ความขลาดกลัวจากสันดานไดแลว เทานน้ั ที่ไมรูสกึ กลัว ในเมื่ออยใู นปา ชาเปล่ยี วๆ คน
เดยี วในเวลาดกึ สงดั มนุษยธ รรมดานอกนี้ตอ ใหใจแข็งเทา แข็งกจ็ ะอดหวาดสะดุงไมไ ดเลย ก็เม่ือใจ
ของทา นไมยอมเชอ่ื วา มผี ี ทําไมทานจงึ กลวั ในปาชาเวลาดึกสงัด อะไรทําใหทา นกลวั ? ถา ไมมีอะไร
ทา นกลัวทําไม? ปญหาเหลานท้ี านจะตอบไมไดเ ลย จนกวาทานจะรบั รองวามผี จี รงิ ๆ เรือ่ งผีมี
หรอื ไม? เปนปญหาประจําโลก ถงึ อยา งนนั้ กม็ มี นุษยไมนอ ยที่ยอมรับวา มีผี และมีการทรงเจา เขา
ผี แมใ นตา งประเทศซ่งึ เปน ประเทศที่เจรญิ แลวกย็ ังมกี ารทรงเจา เขา ผี บางประเทศถึงกบั มีสมาคม
คน ควาเร่ืองวิญญาณของผูต ายแลว แตหนกั ไปทางทรงเจาเขาผี จงึ ยังไมเ ปนที่เล่ือมใสของ
นักวิทยาศาสตรเ ทา ไรนัก ถาสมาคมคน ควาวญิ ญาณนั้นหันมาศึกษาตามหลักพระพทุ ธศาสนาจะ
ไดผลดกี วา วธิ ที รงเจา เขา ผอี ยางทท่ี ํากนั อยู แตถาสมาคมน้นั ไดก า วหนาไปในทางท่ีดมี หี ลกั วิชา
และเหตุผลดกี วา เดิม ขา พเจาขออภยั ดวย.

เมื่อไมน านมานี้ หนงั สือพิมพ “พิมพไทย” ลงขาวผหี วั ขาด เปลงเสียงขอความชวยเหลือใน
ยามดึกสงดั ทําใหคนในละแวกน้นั บงั เกดิ ความกลวั ไมกลา โผลห นา ออกนอกบานตลอดคืน ถาผีไม
มี อะไรเลา ที่เปลง เสยี งขอความชวยเหลอื ? คลายเสยี งมนุษยท่ีถูกทํารา ย แลว รองขอความ
ชวยเหลอื ฉะน้ัน มนษุ ยธ รรมดาสามารถฟงเสียงผไี ดใ นบางคราว เชน ตวั อยางท่ยี กมานี้ สวนผมู ี
ทพิ พโสตสามารถฟง เสียงผีไดท ุกเมือ่ ในเมอ่ื จํานงจะฟง ตามเหตุผลและตวั อยางทกี่ ลา วมานี้ พอจะ
ทําใหท า นผอู า นไดส ํานึกบางแลววา นอกจากมนษุ ยและดริ จั ฉานแลว ยังมอี มนษุ ยแ ละเทพเจาบน
สวรรคแ ละพรหมโลกอกี ดว ย.

เสยี งของอมนุษยเปนเสยี งดงั กวาเสยี งทพิ ย ใกลไ ปทางเสียงมนษุ ย เพราะรางของเขาหยาบ
และสญั ญาของเขาก็คลายมนษุ ย กระแสเสียงของเขาจึงแรงกวาเสียงทพิ ย หูมนษุ ยธ รรมดาไดยนิ
ในบางคราว สว นเสียงทพิ ยเ ปน เสยี งท่ีแผว เบา เพราะรา งกายของเขาประณีต สาํ เร็จขึ้นดว ยใจหรอื
ดว ยสญั ญา หมู นุษยธรรมดาฟงไมไดย ิน ตอ งฟง ดวยหูทพิ ยจ ึงจะไดย ิน นอกจากน้ียังมีเสยี งธรรมอกี
เปนเสียงแผวเบาย่ิงกวาเสียงทพิ ยห ลายเทา เสียงธรรมนเ้ี ปนเสียงของผูบ รรลุภูมิธรรมอันบริสทุ ธ์ิ
ซงึ่ ละอตั ภาพไปแลว ถา จะสมมตชิ อ่ื เรียกเสียใหมวา เสียงแกว กเ็ หมาะดี เพราะเปนวิสัยแหงหแู กว
จะฟงไดย ิน แมหูทิพยก ็ฟงไมไดย นิ ไมต องกลา วถงึ หูมนษุ ยธรรมดาจะฟงไดยนิ ทีนี้ลองหันกลับมา
สําเหนียกเสยี งมนุษยอ ีกที เสียงมนุษยท่พี ูดจาโดยปกติ ยอ มเปนวสิ ยั ของหูธรรมดาฟง ไดยนิ เวนแต
คนประสาทหูพกิ าร เสียงพดู ยอ มมีคอ ยมแี รงแลวแตกรณี ในกรณีทใี่ ชเ สยี งแรงกระแสเสียง
สามารถกระจายไปตามอากาศวิถีไดราว ๑๐๐ เสนเปน อยางมาก เชน เสยี งตะโกนอยางสดุ เสียง
แตโดยปกติไมถึงกําหนดทวี่ าน้ี สวนเสยี งคดิ ของคนเปนเสยี งแผว เบาคลายเสยี งทพิ ย หธู รรมดาฟง

ทพิ ยอํานาจ ๑๑๐

ไมไ ดย ิน ตอ งฟงดวยหทู พิ ยจงึ ไดยิน อยาวา แตเสียงคิดเลยแมเ สียงเตนตบุ ๆ แหงหัวใจ หูมนษุ ย
ธรรมดาก็ฟงไมไดยนิ ตอ งอาศัยเคร่ืองขยายเสียงฟงจึงไดย นิ กรณใี นเสยี งมนุษยเ ชนใด ในเสียง
ของสตั วดริ จั ฉานก็เชนนั้น พึงทราบโดยเทยี บเคียง ดิรจั ฉานบางจาํ พวกมีฤทธ์ิปด บงั ตัวไดก็มี เชน
นาค เราจะไดยนิ แตเสียงของเขา ไมส ามารถเหน็ ตัวเขาได ยังมีนาคบางกําเนิดเปนอุปปาติกะคลาย
เทพเจา พวกน้มี ีเสียงคลา ยเสยี งทพิ ย รปู กค็ ลายรูปทิพย เปน วสิ ัยแหงทพิ ยอนิ ทรีย เชนเดยี วกบั รูป
ทพิ ย- เสยี งทพิ ยด งั กลา วแลว เมือ่ ไดกําหนดลักษณะเสียงไวพ อเปน ท่สี งั เกตเชนน้ีแลว ก็เหน็ จะ
เพียงพอในการท่ีจะสําเหนียกวาเสยี งชนิดใดเปนวิสยั แหง หูชนิดใดแลว ตอ ไปนี้จะไดอ ธบิ ายวธิ ี
ปลูกสรางหทู พิ ยเพ่ือรบั ฟง เสยี งทพิ ยด งั กลา วมา ทานแนะวิธไี วใ นปฏิสมั ภิทามรรค ดังตอ ไปนี้

๑. เบอ้ื งตน พงึ ฝก หดั ทําใจใหเปนสมาธิ โดยอาศยั กําลงั ของอิทธิบาท ๔ ประการ จนได
สมาธิถึงข้ันฌานที่ ๔ ท่ีเรยี กวาจตุตถฌาน อันมีลักษณะจิตใจผอ งใสนิม่ นวล ปราศจากเครอ่ื งหมอง
มัวแลว.

๒. พงึ เขา สคู วามสงบจนถงึ ฌานท่ี ๔ แลว สาํ เหนยี กฟง เสยี งคน – สัตวดิรัจฉาน หรือเสยี ง
ใดๆ ในทศิ ทงั้ ๔ โดยรอบๆ ในระยะใกลๆ ตวั เสยี กอ น แลว จงึ ขยายออกไปโดยลําดับใหไ กลทส่ี ุดที่
จะไกลไดจ นถึงสดุ ขอบจกั รวาลเปน ทสี่ ดุ .

๓. พงึ เขาสคู วามสงบจนถึงฌานท่ี ๔ แลว สาํ เหนยี กฟงเสยี แผว เบา เชน เสียงเตนแหงหัวใจ
ของตนเอง เสยี งคลายทิพย เชน เสยี งความคดิ ของตนเองและเสยี งผี เสยี งทพิ ย เชน เสียงเทพเจา
ในฉกามาพจรสวรรค ๖ ชนั้ และเสียงพรหมในพรหมโลก.

๔. พงึ เขา สคู วามสงบจนถงึ ฌานที่ ๔ แลวสาํ เหนยี กฟงเสียงแกวดวยหูแกวตอ ไป จน
สามารถฟง ไดยนิ ชดั เจนเหมอื นฟงเสยี งคนธรรมดาพดู กัน.

คาํ วา สําเหนยี กฟง เสยี งนั้น หมายความวา ทําสตจิ ดจอ ฟง เสียง คอื พุง สติไปรวมอยูท ่ีโสต
ประสาท คอยฟงเสยี งท่ีเปนไปอยูโดยธรรมชาตนิ ั้นเอง. โสตประสาทจะคอยๆ ผองขึ้นทลี ะนอยๆ
โดยอาศัยสตสิ มาธอิ บรม จะสามารถฟงเสียงไดด ีกวา ปกติข้นึ เมื่อกาํ หนดสาํ เหนยี กโดยนัยน้ีไปไม
หยดุ ย้ังเสยี กลางคันกจ็ ะบงั เกดิ ทิพพโสตธาตุข้นึ สามารถรับฟงเสยี งในระยะไกลเกินปกติ และฟง
เสียงทพิ ยไ ดโดยลาํ ดบั ทนี ี้พึงผอนกาํ ลงั ของสตทิ พ่ี งุ ไปสูจุดคือโสตประสาทน้ันใหออนลง ชกั เขา มา
กําหนดอยู ณ ทามกลางหทยั วตั ถุตอไป กระแสเสียงจะผา นเขาไปสมั ผสั กบั โสตธาตุทพิ ย ณ ดวงใจ
โดยตรง ไมต องอาศยั โสตประสาทเปน ทางเขาก็ได แมจะอุดหูไวก็คงไดยินดว ยโสตธาตทุ ิพยอ ยู
ตามปกติ ชอ่ื วาสําเร็จโสตธาตุทพิ ยแ ลว มที พิ ยอํานาจในทางฟงเสยี งไดท กุ ชนิด สวนขัน้ หูแกวนั้น
พงึ ฝก หัดตอไป ทาํ ใจใหบริสุทธิ์สะอาดยง่ิ ขึ้น จนมลี ักษณะใสดจุ แกวมณโี ชติเปน ปกติ กส็ ามารถรับ
ฟง เสียงแกว ได ช่อื วา สาํ เรจ็ หูแกว แตข้ันนี้เปน ข้ันสงู สดุ ตอ งผา นการเจรญิ วิปสสนาญาณดวยจงึ จะ
สาํ เร็จผลด.ี

ขาพเจารับรองไววา วิธดี ังกลา วมานี้ เปนไปเพือ่ สําเรจ็ หทู พิ ยไดจ รงิ และขอยืนยนั ดว ยวา
เปนสิ่งไมเกินวิสัย คนในสมยั ปจจุบนั ก็สามารถสําเร็จได แตไ มอ าจหาพยานบคุ คลมายนื ยนั ได
เนือ่ งดวยบุคคลผเู ชนน้ีไมค อยยอมแสดงตนโดยเปดเผยประการหน่ึง กับอกี ประการหนึง่ เปนบคุ คล
ท่มี กี ฎขอบงั คบั มิใหแสดงตัวเปดเผยในวิชาประเภทน้ี ผสู นใจพเิ ศษในวชิ าประเภทนยี้ อมจะพบ

ทิพยอาํ นาจ ๑๑๑

บคุ คลผสู ําเร็จวชิ าหรอื ทิพยอาํ นาจประเภทตา งๆ ดังท่ีกลา วน้ี ในเมื่อทําตนใหเปน ที่ไวว างใจของ
บคุ คลประเภทนี้แลว ถา ยงั มีอะไรๆ แอบแฝงในใจอยู บุคคลประเภทน้ีจะไมแสดงอะไรใหปรากฏ
วา สําเร็จในวชิ าประเภทน้ีเลย.

ทิพยอาํ นาจ ๑๑๒

บทที่ ๙

วธิ สี รา งทิพยอาํ นาจ บพุ เพนวิ าสานสุ สติ ระลกึ ชาตกิ อ นได

ทพิ ยอํานาจขอ น้ี หมายถึงความสามารถในการนกึ ทวนคืนไปในเบ้อื งหลงั เพื่อสืบสาว
เรื่องราวของตนเองทเี่ ปนมาแลว ในอดีตกาลนานไกล สามารถรูไดว า ตนเองเคยเกิดเปน อะไรมาแลว
บา ง อยา งถวนถ่ีในสาระสําคญั ของชวี ิต เชน กําเนิดอะไร มชี อ่ื และสกุลวากระไร มผี ิวพรรณ
อยา งไร มอี าหารอยางไร เสวยสุขทุกขอ ยางไร อยู ณ ท่ีไหน มกี าํ หนดอายุเทา ไร ตายจากน้นั แลว
เกิดเปน อะไรตอ มา ฯลฯ ดังน้ี สามารถในการนึกทวนคืนเบอ้ื งหลังนี้ ยอมเปนไปตามสมควรแก
กาํ ลงั ของญาณ อนั เนอ่ื งดว ยวาสนาบารมี ต้งั แต ๑ ชาติไปถงึ ๑๐๐-๑,๐๐๐-๑๐,๐๐๐-๑๐๐,๐๐๐
ชาติ จนถึงจํานวนหลายอสงไขยกัป.

ความสามารถในการระลกึ ชาตินี้ เปนความรรู บั รองเร่ืองสังสารวฏั คอื การเวียนเกดิ เวียน
ตายวาเปนความจริง ผมู คี วามรูในดา นนแ้ี มร ะลึกชาติไดเ พียง ๒ – ๓ ชาติ ก็บรรเทาความสงสยั ใน
เรอ่ื งสงั สารวฏั ลงไดเปน กา ยกอง เขาจะไมยอมเชือ่ ในเรือ่ งตายสญู เปน อันขาด ความเห็นผิดใน
เรอ่ื งชีพกับสรีระเปน อนั เดียวกันหรอื คนละอนั กับความเหน็ ผดิ ในเร่ืองกรรมท่ที ําไววาจะใหผ ล
สบื เนอ่ื งไปในชาติหนาจริงหรอื ไมก็จะถกู บรรเทาลงเชนเดียวกัน ความสงสยั และความเห็นผดิ ดงั
วา นจี้ ะถูกกาํ จดั หมดสนิ้ ไปดว ยอํานาจพระอรหตั ตมรรคญาณ.

ความสาํ คัญของทิพยอาํ นาจขอนี้ อยูท่ีตวั อนุสสติ คือความนึกลาํ ดบั เหตกุ ารณข องชีวิต
อยา งละเอียดลออ สติธรรมดาสามารถนึกทวนเหตุการณในเบ้อื งหลังของชีวิต และทําการควบคุม
กริ ยิ าการของชีวติ มใิ หพ ล้ังพลาดไดเพียงในปจจบุ นั เทานนั้ ถงึ กระน้นั กม็ ิไดเ ปนอยางละเอยี ดลออ
ผมู ีการอบรมสติดจี งึ จะสามารถนกึ ทวนเหตุการณข องชีวติ ไดล ะเอยี ด ทั้งสามารถควบคุมชวี ิตใน
ปจจบุ ันไดด ดี วยสตทิ ส่ี ามารถดังวา น้ี ทา นเรียกวา สตเิ นปก กะ เปนสตทิ ส่ี ามารถรกั ษาตวั ให
ปลอดภยั หรือปราศจากความผดิ พลาดไดดี จัดเปนคุณธรรมอนั หนง่ึ ซง่ึ ทําใหไ ดที่พึ่งหรือเปน ตัวที่
พ่งึ ทีเดียว ท้ังในดานการครองชีพ ทง้ั ในดานการประพฤตศิ ีลธรรม สว นสติทมี่ ไิ ดร บั การอบรมดีจะ
ไมสามารถนกึ ทวนเหตกุ ารณของชีวติ ไดละเอียดลออ และหยอ นความสามารถในการควบคมุ ชวี ติ มิ
ใหผ ิดพลาดดวย สิ่งทท่ี าํ คาํ ทพ่ี ดู แลวแมเ พียงลวงมาปสองปก ็ลมื เลอื นเสยี แลว เชนน้เี ปน สติที่มิได
รับการอบรม สว นสตทิ ี่ไดร ับการอบรมจะสามารถนึกได ถงึ สง่ิ ท่ีคิดกจิ ทท่ี าํ คาํ ที่พดู แลว แมลวงมา
ตั้งนานปดีดกั ก็ไมล ืมเลือน บางคนนึกไดดจี นถงึ ความเปน ไปในวัยเดก็ ออนเพยี ง ๓ – ๔ ขวบ
ความสามารถเชนนี้มีไดนอยคน.

สตนิ ี้ นกั ปราชญสมยั ปจจุบนั เรยี กวา ความสํานึก เปน สิ่งควบคุมจติ ใหอ ยูใ นระเบียบ เขา
แบงเขตของจติ ออกเปน ๓ เขต คอื

(๑.) จติ ในสาํ นึก
(๒.) จติ ก่ึงสาํ นึก
(๓.) จิตนอกสํานกึ

ทพิ ยอํานาจ ๑๑๓

เขาใหอ รรถาธบิ ายตอ ไปวา จิตในสาํ นึกเปน จติ ในขณะมีความสาํ นึกรสู กึ ตัวเต็มที่ อยา งใน
ปกติเวลาตืน่ อยู จติ ก่ึงสํานกึ ไดแกจติ ในขณะครึ่งหลบั ครงึ่ ตนื่ สว นจติ นอกสาํ นกึ หมายถึงจติ
ในขณะหลับสนทิ ซ่ึงปราศจากสาํ นึกรสู ึกตัว.

จติ ในสาํ นึกมสี มองและประสาททัง้ ๕ เปนเคร่ืองมือในการรับรสู ่ิงตางๆ และคดิ อาน
วนิ จิ ฉัยเหตกุ ารณ เมอ่ื ชินตอ การใชเคร่ืองมืออันมีความสามารถนอยเชนนี้ จึงมกั คิดวา ตวั ไมม ี
ความรูสามารถพิเศษอะไรยง่ิ ขน้ึ ไปกวาปกติ ปราชญท างสรรี ศาสตรจึงทึกทกั เอาวา จิตคอื สมอง
หรือสมองเปนจิต ความจริงสมองเปน เพียงเครอ่ื งมือในการคดิ อา นวินิจฉัยอารมณหรอื เหตกุ ารณ
เทา น้นั มใิ ชต วั จิต สวนตัวจิตท่ีแทจริงคอื อะไรจะอธิบายตอ ไป จิตกง่ึ สาํ นึกซึง่ ไดแกจ ิตในขณะคร่งึ
หลบั คร่งึ ต่นื นั้น อยใู นความควบคมุ ของสตเิ พยี งกึง่ เดยี ว รสู กึ ตวั ไมเ ตม็ ที่ จิตในขณะนร้ี ูอ ะไรๆ
อยางเลอื นราง ทาํ การคิดอา นไมได ไมม ีความรูสึกทางสมอง แมใ นทางประสาทก็ออนเตม็ ที แทบ
จะไมร บั รูอะไรอยแู ลว สว นจิตนอกสํานึกอันไดแ กจ ิตใจในขณะหลับสนทิ นัน้ ไมรบั รอู ะไรๆ เลยแต
ก็ปฏเิ สธไมไ ดว า ไมม จี ติ อยูใ นขณะนัน้ ทกุ คนจะรับรองเปนเสยี งเดียวกนั วา มจี ติ อยูในขณะหลบั ถา
สามารถทาํ สตติ ิดตามควบคุมจิตไดท กุ ขณะแมกระท่งั ในขณะหลบั จะสามารถรับรูอ ะไรตา งๆ ไดดี
และจะรูวา จติ เปน คนละสวนกบั สมอง การฝกจิตใหเ ปนสมาธเิ ปน การทาํ สตอิ ยา งวิเศษ ความ
ไพบูลยแหงสตนิ ่นั เองเปนปจ จยั ใหจิตเปน สมาธอิ ยางดี สมาธิคอื ฌานท่ี ๔ มสี ติไพบูลยเตม็ ที่ ทาํ
การควบคุมจติ ใหด ํารงม่ันคง มีความรูสึกเปนกลางๆ ไมรูสกึ การหายใจ ถา จะเทยี บก็จะเทา กบั คน
นอนหลบั ธรรมดา ผดิ กันแตวา คนหลับไมร ูส ึกตวั คนเขาสมาธิมีความรูสกึ ตัว สวนสมาธชิ น้ั สูงสดุ
คอื สญั ญาเวทยติ นโิ รธ ดบั ความรูสึกกาํ หนดหมายและสุขทกุ ขเ ด็ดขาด แตยงั มสี ติควบคุมจิตอยู
รูอยู ณ ภายในนั่นเอง ถาจะเทียบจะเทากบั คนสลบปราศจากสตสิ มปฤดี ผิดกันแตคนเขา นิโรธยงั
มีสติ หากแตไมรับรูอ ะไรทงั้ หมดอันเปนสวนนอกจากจิต คนสลบไมมีสตเิ ลย ตามท่ีกลา วมานีส้ อ
แสดงวา จิตกับกายเปน คนละสวนจริงๆ สามารถแยกออกจากกันได ดังไดกลา วมาแลว ในบทที่ ๖
เร่อื งมโนมยั ฤทธ์ิ.

จิตเปนธรรมชาตริ ู และรองรบั ความรูต างๆ อันเกิดจากการศึกษาอบรมทกุ ประการ ทาง
พระพทุ ธศาสนาไดรคู วามจรงิ ขอ น้ี จึงสอนใหอบรมจิตดว ยประการตา งๆ เพอื่ ใหจิตรดู ีรูชอบยิง่ ขน้ึ
กวาพ้นื เพเดิม ความรทู เ่ี กิดจากการศกึ ษาอบรมเปน สมบัติวิเศษประจาํ จิต สบื เนอ่ื งไปถึงในชาติ
ตอ ๆ ไป ฉะนั้น คนเกดิ มาจึงมพี ืน้ ความรทู างจิตไมส มํ่าเสมอกนั เด็ก ๗ ขวบ มีความรดู ีเทา เทยี ม
กบั ผใู หญท่ผี า นวัยมานาน ไดรบั การศกึ ษาดกี วากม็ ี ในประเทศพมา ปรากฏขา วมเี ด็กอายุ ๗ ขวบ
มคี วามรทู างธรรม สามารถแสดงธรรมไดเ ทา กับผใู หญที่ผา นการศกึ ษาทางพระพทุ ธศาสนามานาน
เร่ืองเชนน้ีในสมัยพทุ ธกาลมีมากมาย พระบรมศาสดาของเราพอประสตู ิก็เสด็จดาํ เนนิ ได และตรสั
ได ทรงประกาศความเปนเอกบุคคลในโลก เมื่อเปนพระกมุ ารก็ปรากฏวามีพระสตปิ ญ ญาเกนิ คน
ธรรมดา สามารถเรยี นและจาํ ไดวองไว ครั้นไดตรัสรเู ปนพระพทุ ธเจาแลว เสดจ็ ไปเผยแผพ ระ
ศาสนาในนานาชนบท ปรากฏวามีเดก็ อายุ ๗ ขวบไดบรรลุธรรมอันลึกซึ้งหลายคน เปน ชายกม็ ี
เปน หญิงก็มี ฝา ยชายเชน บณั ฑิตสามเณร, สังกจิ จสามเณร, สานุสามเณร เปน ตน ฝายหญิงเชน
นางวสิ าขามหาอบุ าสิกา เปนตน การที่เปนไดเ ชนน้ันสอ งใหเห็นความจรงิ วา กายกบั จิตเปนคนละ

ทิพยอํานาจ ๑๑๔

สว น จติ ท่ีอยใู นรา งเด็กสามารถรธู รรมลึกซึง้ ไดน ั้น ยอมจะตอ งมีการทองเทย่ี วในสงั สารวัฏมานาน
และไดรับการศึกษาอบรมมามากแลว ถาไมมีพน้ื เพแหงจติ ใจสูงมากอ น ตอ ใหมสี มองดวี เิ ศษสัก
ปานใด ก็มอิ าจรธู รรมลกึ ซึง้ ในวยั ๗ ขวบไดเ ลย.

อน่ึง บุคคลผรู ะลึกชาตไิ ด ในสมัยพุทธกาลมมี าก สมเดจ็ พระผูมพี ระภาคเปน เยย่ี มท่ีสดุ
ปรากฏในพระประวตั ิทตี่ รัสเลาเอง ทรงยนื ยันวาระลกึ ไปไดไกลถึงแสนโกฏอิ สงไขยกัป พระ
อรหนั ตทัง้ หลายกร็ ะลึกไดอ งคล ะมากๆ เร่อื งราวทป่ี รากฏในอปทานลวนเปนความระลกึ ไดถึงกศุ ล
กรรมทเ่ี คยสรางสมอบรมมาในปุเรชาติท้งั น้ัน ทานนาํ มาเลาไวเพอื่ เปนตัวอยางของกุศลกรรมวา
สามารถอาํ นวยผลดีแกผ ูท ําตลอดกาลยดื ยาวนาน และเปน บารมเี กื้อหนุนใหจิตใจเลอ่ื นภูมิภาวะ
สูงขน้ึ โดยลําดบั ถาจะเลา เร่อื งผรู ะลกึ ชาตไิ ดในสมยั พทุ ธกาลก็จะเปนการเหลือเฟอ เปนพยานไกล
เกินไป จะเลาเรื่องผรู ะลึกชาตไิ ดซงึ่ ยังมีชีวิตอยูใ นปจ จบุ ันนีเ้ ปน พยานสกั ๒ – ๓ ราย ดังตอไปนี้

รายท่ี ๑ เปนเดก็ หญงิ ขา พเจา ไดพบต้งั แตเ ขาเปนหญิงแมเ รอื นในชาติกอน เมอื่ เขาตาย
แลวไดสกั ๕ ป มเี ด็กหญิงคนหนึ่งเกดิ กบั ลูกสาวของหญิงคนนั้น พอพดู ไดเ ดินได ไดไ ปเยีย่ มตาซ่งึ
เปนสามีเดิมของตน แตอยเู รือนอกี หลงั หนึ่ง หา งจากเรอื นท่ีเกิดใหมประมาณ ๑๐ เสน เมือ่ ขน้ึ ไป
บนเรือน ไปเที่ยวมองดูโนนมองดูนแ่ี ลวก็รอ งไห ผูใหญถ ามจงึ บอกความจรงิ ใหทราบวา ตนคือ
ภรรยาของตานน่ั เอง ไปเกิดกบั ลกู สาว ผูใหญต องการพิสจู นค วามจริงจึงใหบอกสง่ิ ของบางอยาง
ซึง่ ผูต ายเปนผูเก็บไว เขากบ็ อกได มีลูกกญุ แจหบี หน่งึ ซึ่งหาไมพบ เขาก็ไปชใี้ หไ ดถึงทซ่ี อ นลูกกุญแจ
เมือ่ ขาพเจา ไปทนี่ ัน้ เขาก็จําขา พเจา ได เหมอื นคร้งั เขาเปน หญงิ แมเรือน เวลานย้ี ังมชี ีวิตอยู ณ
หมูบานตาลโกน ตําบลตาลเนิ้ง อาํ เภอสวางแดนดิน จังหวดั สกลนคร.

รายท่ี ๒ เปน เดก็ ชาย ชาตกิ อ นน้นั เปนพระภกิ ษุในพระพุทธศาสนา ไดม ีตาํ แหนงทางคณะ
สงฆ เปนพระอปุ ชฌายะ และเจาคณะตาํ บลชนบท อาํ เภอชนบท จังหวดั ขอนแกน รบั นมิ นตไป
บวชนาค เกดิ อุปท วเหตถุ ึงมรณภาพ แลวไปเกดิ ใหม ณ หมบู านแหงหน่งึ ในเขตอําเภอบวั ใหญ
จงั หวดั นครราชสีมา ระลกึ ชาติได กลบั มาคนเอาสิง่ ของที่วดั เดมิ ได บรรดาลกู ศิษยล กู หาท่ีเคย
เคารพนับถอื มาแตกอ น พอทราบเขา ก็พากนั มาเคารพกราบไหวต ามเดมิ .

รายท่ี ๓ เปนหญงิ ช่อื นารี อายปุ ระมาณ ๕๐ ป เวลานแ้ี กบวชเปนชี ไดม าหาขา พเจา เมอื่
ตน ปน ี้เอง แกไดเ ลาอดีตชาติของแกใหฟ งอยา งละเอียดลออวา ชาติกอ นน้ีแกเปนชา ง เกดิ อยูท ่ีเขา
สวนกวาง ซงึ่ เปน ทที่ ี่ขาพเจา กําลังน่งั เขียนเร่อื งทิพยอํานาจอยเู ดี๋ยวนี้ แกเลา วา ท่เี ขาสวนกวางน้มี ี
พญาชางตัวหนง่ึ เปน นายของชา งทัง้ หมดในเทอื กเขาภพู าน ทุกๆ ๑๕ วัน ชางทง้ั หลายตลอดจนถึง
หมูนกจะมาประชมุ ฟง โอวาทของพญาชาง ณ ทีก่ อนหินใกลฝง ลําธาร บนหลงั เขาหา งจากที่
ขา พเจา อยูไปประมาณ ๑๕ เสน สัตวทง้ั หลายฟง ภาษาใจกันออก สว นภาษาปากนน้ั เขาจะใชใน
กรณีพิเศษ เชน บอกเหตอุ ันตรายรอ งเรียกหากนั และรอ งดว ยความคกึ คะนองเทานั้น ตามปกติ
ธรรมดาพูดกนั ทางใจ แกเลา วาในคราวประชมุ ทุกๆ คร้งั แกกไ็ ดเ ขาประชุม แตเ ปนเวลายงั เด็ก
เกินไป ไมไดใสใ จฟง จงึ จดจาํ ไมไ ด ชางท่ีเขา ประชุมทกุ ตวั อยูในระเบียบสงบเงียบ และเคารพ
พญาชา งอยา งยิง่ เม่ือฟง โอวาทจบแลวกจ็ ะพากนั เดินผานหนา พญาชางเรยี งกนั ไปทีละตวั เปนการ
แสดงคารวะ คลา ยการเดินสวนสนามของทหารฉะน้ัน พญาชางน้ันไปอยตู ัวเดยี วในทีเ่ งยี บ ชาง

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๑๕

ทงั้ หลายปนวาระกนั ไปปรนนบิ ตั ิคราวละ ๔ – ๕ ตัว พอถึงกําหนด ๑๕ วัน พญาชา งจึงจะมา
ปรากฏตัวในทีป่ ระชมุ ใหโ อวาทแกชา งและนกทงั้ หลาย แกเลา เร่ืองเฉพาะของแกตอไปวา เม่ือแก
เกดิ มาทีแรก แมพามาอาบน้ําทลี่ ําธารตรงทางขามตอนเหนอื ของทขี่ าพเจา อยูเ ดี๋ยวน้ี รสู ึกหนาว
มาก แกมีพีช่ าย ๑ ตวั กาํ ลงั รนุ สวนพอ ไมปรากฏ การปรนนิบัติเลี้ยงดลู กู มีแตแ มเ ทา นั้น ซึง่ เปน
ธรรมเนียมของสตั วประเภทน้ี เมอ่ื แกอายุไดป ระมาณ ๓ เดือน มนี ายพรานชางมาคลองเอาแกไป
ได เขาผกู ติดกบั คอชา งตอ นาํ ไปบา นนาแอง ในเขตอาํ เภอหนองบวั ลําภู จงั หวดั อดุ รธานี เขาเลี้ยงดู
แกอยางลูก ตัง้ ช่ือใหร วู าอีตมุ ชอบเลน กับเดก็ ๆ และสามารถไปสง อาหารท่ีวัดแทนพอ แมไ ด คงจะ
ดว ยอานสิ งสไปสงอาหารไดน ี้เองทําใหแกไดม าเกิดเปนมนุษยในชาติปจ จบุ ันนี้ แกเลา ตอวา ตอ มา
มีเหตุบงั เอิญทาํ ใหลกู ชายของพอเกิดบาดเจ็บ คือแกพาลอดเฟอยหนาม สําคญั วา พน แลว จึงลุกขึ้น
ทําใหหนามครดู ศีรษะของเขาเลอื ดไหลถงึ กบั พลดั ตกจากคอของแก เขาโกรธมาก ไดใชข อสับแก
อยางไมป รานีปราศรยั แตแ กวา ไมคอ ยรูส ึกเจบ็ เทาไรนัก ถาเขาสับและงัดดว ยจึงจะรสู ึกเจ็บมาก
ไมก ่วี นั แผลทถ่ี กู สบั กจ็ ะหาย พอมาถึงบานเขากบ็ อกพอ จะขายอีตุมทนั ที พอ แมและยา ก็หามปราม
วา ไมใ ชค วามผดิ ของอีตมุ มนั เปน ความผดิ ของตนเองทีไ่ มร ะมดั ระวงั ตางหาก เจา ลกู ชายกด็ ันทรุ ัง
แตจะขายทาเดียว อยูมาไมนานมีชาวจงั หวัดหลม สกั (เพชรบูรณเดยี๋ วนี้) มาขอซื้อ เขาตกลงขาย
ยามคี วามอาลัยสงสารมาก ไดไปขอถอนเอาขนตาไวเปน ทร่ี ะลึก และราํ พนั สงั่ เสยี ดว ยประการ
ตางๆ ตวั แกเองก็รสู กึ อาลัยมากเหมือนกัน คร้ันออกเดนิ ทางไป ๑๕ วัน ถึงจงั หวดั เลย เกิดความ
อาลัยคิดถงึ พอ แมเ ปน กําลังเลยตาย พอรางลม นนั้ จติ ก็ออก รสู กึ ตัวเปนมนุษยผ หู ญิงทนั ที จงึ ดงึ เอา
ไสช า งมาเปน ผาสไบ สว นซิน่ สาํ หรับนงุ มแี ลว ไมทราบไดม าอยา งไร พอออกจากตวั ชา งมากร็ สู ึกวา
นงุ ซน่ิ อยูแลว แกเลา วาพอไดผาสไบถือแลว กร็ บี ออกเดนิ ทางกลบั ตามทางทไี่ ปในเวลาประมาณ ๕
โมงเชา มาถึงบานเกา ก็เปนเวลา ๕ โมงเชา เหมือนกนั ไปถามเขาทราบวา พอ ยายไปอยูบานใหม
คือบา นสามพรา ว อําเภอเมอื ง จงั หวดั อดุ รธานี แกตดิ ตามไป ผานตวั เมืองอุดรไป เห็นพระกาํ ลงั
ฉันเพลอยูอ ีก พวกสนุ ขั เหา หอนกรรโชกไลขบกดั แกอยา งชุลมุ น แกพยายามหลบไปได ไปถึงบาน
สามพรา วเปนเวลา ๕ โมงเชา พระกาํ ลงั ฉนั เพลอยเู หมอื นกนั ไดเ ห็นพอ และแมใหม คอื เมียคนใหม
ของพอ ไตถามเขาก็ไมพ ดู ดวย แกเอาซนิ่ กบั ผาสไบไปซุกซอ นไวทท่ี างแยกแหง หนึง่ ขุดหลมุ ฝง ไว
ลึกแคบ ัน้ เอว มีตนไมต น หนึง่ เปนเครอ่ื งหมาย คิดวา เกดิ แลว จะมาขดุ เอา ในระหวางทยี่ งั ไมไดเ กิด
นั้นแกเลาวา ไปอาศยั อยูในวัด ถา พอ แมไปวัดกต็ ิดตามพอแมม าบา น แตขึน้ เรอื นไมไ ด ไปยืนอยู
หนาเรือนนัน่ เอง วันหนึ่งเวลาค่ํา พอกินขาวแลวลกุ ออกมานอกชานเรือน กาํ ลงั ยนื ดื่มนํา้ แกเลย
ตามนาํ้ เขาไปอยูกบั พอ ตอ มาถูกจดั ใหไ ปอยูในหอ งเล็กๆ หองหนึง่ ช้นั แรกๆ ก็รูสกึ สบายดี ครั้น
ตอมาถงึ ๕ – ๖ เดอื นรสู ึกวาหองนอนน้ันคบั แคบ รูสกึ อดึ อดั อยากออก แตกอ็ อกไมได พอครบ
๑๐ เดอื นกค็ ลานออกจากหองได แลวลืมภาวะเกาไปพกั หนง่ึ มารสู กึ ตวั ถึงภาวะเกากต็ อเมอ่ื อายุ
ได ๒ – ๓ ขวบ พอพูดจาไดแลว พออายุได ๑๔ – ๑๕ ป ไดไ ปดทู ่ซี อนซน่ิ กับผาสไบ เห็น
เคร่อื งหมายตามทท่ี าํ เอาไว แกพยายามขุดหาเทาไรก็ไมพ บสิ่งท่ซี อนไว เห็นแตใ บตองกลว ยท่ใี ชหอ
ซ่งึ ผแุ ลว จับเขาก็เปอยหมด เมอ่ื ใหญโตพอมีเหยา มีเรือนแกกม็ เี หยา มีเรอื นไปตามประเพณี บัดน้ี
ไดสละเหยา เรือนมาบวชเปนชอี ยสู ํานักชี วดั บา นสามพรา ว อาํ เภอเมือง จังหวัดอดุ รธานี จนถงึ

ทิพยอาํ นาจ ๑๑๖

เดีย๋ วน้ี แกวา เร่ืองทไี่ ดผ า นมาในชีวิตชางชว่ั เวลาไมถ งึ ป ยงั จําไดด หี มดทกุ อยา งไมล มื เลือน เรอื่ ง
ขบขนั ในเวลาเปนชา งแกกไ็ ดเลาใหฟง หมดแทบทุกเรื่อง กอ นแตแกจะเลาไดใหแกปฏิญาณวา จะไม
โกหกแลว จึงใหเลา ใหฟง ฉะน้ันจึงเปน เร่อื งระลึกชาติไดจรงิ ๆ มใิ ชเรอื่ งคดิ ประดิษฐขึ้นเอง.

การระลึกชาติไดโดยทาํ นองน้ี โดยมากระลึกไดเพยี งชาติเดยี ว ไมเหมือนการระลึกชาตไิ ด
อันเกดิ ขึ้นจากการฝก ฝนอบรมจิต ซงึ่ สามารถระลกึ ไดมาก บุคคลผูฝก ฝนอบรมจติ แลวระลึกชาติได
ในสมัยปจ จบุ ันน้ีกม็ ีอยู แตเปนบุคคลทอ่ี ยูในกฎวินยั ซงึ่ ไมค วรจะนํามาเปดเผย แตม ีอยรู ายหน่งึ ซ่ึง
ผูนั้นไดลว งไปแลวเมือ่ เร็วๆ น้ี พอจะเปดเผยสูกนั ฟง ได จะเลา แตเ พยี งท่ีรูๆ กันอยู เทา ที่ขาพเจาได
ทราบมา ดงั ตอไปน้ี

พระอาจารยภรู ิทัตตเถระ (ม่ัน) อาจารยข องขา พเจา ทา นไดป ระพฤตสิ มณธรรมมานาน
ต้งั แตอุปสมบทเปนภิกษใุ นพระพทุ ธศาสนา เมอ่ื อายุยา งขนึ้ ปที่ ๒๓ จนถึงวัยชราอายุ ๘๐ ปจ ึงถึง
มรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ ทา นเปนอาจารยสอนธรรมทางวปิ สสนามศี ิษยานศุ ิษยมากหลาย ทาน
ไดเลา อดีตชาติของทา นแกส หธรรมกิ บางทาน ซึ่งเปนบคุ คลทที่ า นเคารพนับถือไววางใจ และแก
ศษิ ยบ างคน แมข า พเจา กไ็ ดรบั บอกเลา เปน บางตอน.

ตามทีไ่ ดเ ลาเร่อื งบุคคลผรู ะลึกชาติได ทงั้ โดยบังเอิญหรือโดยธรรมดา ทง้ั โดยการศกึ ษา
อบรมจติ ใจมาเปน ตวั อยา งน้ี ก็พอทีจ่ ะสนั นษิ ฐานไดแ ลว วา การระลกึ ชาตไิ ดน้ันเปนไดจริง ซงึ่ เปน
การรับรองสังสารวัฏ ทนี ้จี ะไดก ลา วถงึ เหตุผลของการระลกึ ชาติไดอกี ที่ไดกลา วมาแลว วา การ
ระลกึ ชาตไิ ดน ั้น ความสาํ คัญอยูที่ อนสุ สติ คือความนึกลาํ ดบั หรอื ความสํานึกได ซึง่ ไดม ีตดิ ตอ กนั
ในทุกขณะของจิตทั้ง ๓ เขต ดังปราชญปจจุบนั แบง ไวท ่ีไดกลา วมาแลว ถา ทาํ ไดตามนัน้ จะเกดิ
ผลดีหลายประการ.

(๑.) ทาํ ใหม ีสติ เปนสติรักษาตวั อยางเย่ยี ม
(๒.) ทาํ ใหม ีอิทธพิ ล สามารถบังคับความหลับและความตื่นได
(๓.) ทําใหส ามารถรอู ะไรๆ ไดดีเปน พิเศษ
ความหลับหรือความปราศจากสติอันเปน ปฏิปก ษก ับความต่นื ตัว ความสํานกึ ตัวนน้ั มี ๒
ประเภท คือ
(๑.) ความหลบั โดยธรรมดา ซง่ึ ไดแกก ารพักผอ นหลับนอนเพื่อบรรเทาความมนึ เม่อื ยของ
กายประเภทหนง่ึ กบั
(๒.) ความหลับใหลดว ยอํานาจกิเลส ซง่ึ ไดแกค วามประมาทมวั เมา ไมสาํ นกึ ตัว ปลอยตน
ไปตามอารมณร ะเริงไปตามเรอ่ื งจนลมื ตนลมื ตวั ประเภทหน่งึ .
ความหลับประเภทแรก เปน สิ่งจาํ เปน ของชวี ติ ทุกชวี ิต แมแ ตพระอรหนั ตกจ็ าํ ตอ งพกั ผอน
กายในการนอนหลับเหมอื นกัน ถาหลบั มากเกนิ ไปก็ใหโ ทษทาํ ใหช วี ิตเปนหมัน ถา หลบั นอ ยเกินไป
กใ็ หโ ทษทําใหร างกายอิดโรยมนึ เมอ่ื ยออนแอ ไมสามารถในการงานทั้งทางกายและทางใจ ถา หลบั
พอดยี อ มบรรเทาความมึนเมอ่ื ยของรา งกายได ทําใหรางกายมีกาํ ลงั สามารถในการงานทง้ั ทางกาย
และทางใจ ผทู าํ งานหนักตองหลับถึง ๘ ช่ัวโมงจึงจะพอดี ผูท าํ งานเบาหลบั เพยี ง ๔ – ๖ ช่ัวโมงก็
พอ ความหลับถงึ แมจ ะจาํ เปนแกช ีวิตและใหค ุณในเมอ่ื ประกอบพอดกี ต็ าม ปราชญทางจติ ศาสตร

ทิพยอํานาจ ๑๑๗

กถ็ ือวาเปนอุปสรรคอันหนงึ่ กั้นกางมใิ หเกิดความรูกระจา งแจง ทางจติ ใจขน้ึ ได จึงหาหนทาง
เอาชนะใหไ ด วธิ เี อาชนะความหลับน้ันมหี ลายวธิ ี ดังตอไปน้ี

๑. เอาสติกาํ หนดจดจอ ท่ีจดุ หลับ คือซอกคอใตล กู กระเดือก ผอ นสตใิ หออนลงๆ พอมี
อาการเคลม้ิ ๆ ใกลจะหลับ พึงรวมกําลงั สตแิ ลว เลือ่ นขึ้นไปกาํ หนดจดจอ ท่ีจุดต่ืน คอื ตรงหนา ผาก
เหนือหวา งคิ้วเล็กนอ ยจะรสู ึกหายงวงทนั ที พอจติ ใจแจมใสหายงว งแลว พงึ กาํ หนดท่ีจดุ หลับอีก
คร้ันจะหลับพึงเลือ่ นขึน้ ไปกําหนดท่จี ุดตื่นอกี ทาํ อยางนี้วนั ละหลายๆ เท่ียว ก็จะเกิดอทิ ธพิ ลใน
การบังคับความหลับและความตืน่ ของตนไดต ามตองการ ทีนี้เวลาจะหลบั จรงิ ๆ ตองทําสติ
กําหนดเวลาตื่นใหแนน อนไว แลวเอาสติกําหนดจดจอตรงจุดหลับ บงั คับดว ยใจวาจงหลบั แลว ทาํ
สติตามจิตไปเรอ่ื ยๆ จนกวา จะหลับไป ก็จะหลบั อยา งมสี ติรทู นั ในขณะจะหลบั เม่อื ชํานาญดีก็จะ
รูทนั ในขณะหลบั และจะรทู นั ในขณะตื่น ท้ังต่ืนตรงเวลาที่กําหนดไวดว ย เปนอันไดฝกทง้ั สตทิ ั้ง
ในขณะตื่นอยู ทั้งในขณะกาํ ลังจะหลับ ท้งั ในขณะหลบั เมือ่ ฝกชํานาญมีสตทิ ันท้ัง ๓ ขณะน้ันแลว
ช่ือวา มสี ติตดิ ตอ ตามกํากบั จติ ทุกขณะใหอ ยูในระเบียบอันดี.

๒. หรอื ฝกสตติ ามหลักสติปฏ ฐาน ดงั กลาวแลวในบทท่ี ๔ จนมีสติติดตอ สบื เน่อื งกัน ทนั
ความเคล่ือนไหวของกาย, ความรสู ึกสุขทุกขเฉยๆ, จิตท่แี ปรลักษณะไปตามสิ่งสมั ปยตุ ต, และเหตุ
ปจจยั ที่ปรงุ แตงจติ ใหเกดิ การเปลี่ยนแปลงลกั ษณะน้นั ๆ ตามความจริง สติน้ันก็จะมกี ําลงั ใหญเปน
มหาสติ สามารถควบคุมความเปนไปของกาย วาจา ใจ ใหอยใู นระเบียบ และใหจติ ใจเกิด
คณุ ลักษณะดีเดน ยงิ่ ข้นึ จนถึงดีท่ีสุด หลุดพน จากความเปนทาสของทุกส่งิ ถงึ ความเปนอสิ ระทส่ี ุด
ในอวสาน ถา ฝกสติไดดีตามหลกั นีแ้ ลว จะประสพผลสาํ เร็จในทางทิพยอาํ นาจทุกประการ.

๓. หรือฝกสติตามหลักอนุสสติ ๑๐ ประการ มพี ุทธานุสสติ เปนตน ดังกลา วไวในบทท่ี ๓
น้นั ประการใดประการหนึ่ง หรอื หลายประการตามแตจ ะเลอื กใชอันใด ฝกสตใิ หตอ เน่ืองดว ยอาศยั
นึกถงึ ส่งิ ทจ่ี ะปลุกเตือนจติ ใจใหส ํานึกตัวเปน เบอ้ื งตน กอน เม่ือจิตใจเกดิ สาํ นึกตวั แลว ดาํ รงอยใู น
ความสงบเปน ระเบียบเรียบรอย เปนจติ ใจสะอาดแจม ใส ชอื่ วาไดผ ลในการฝก สติตามแบบนี้ ตอ
นั้นพงึ อาศัยจติ ใจอนั บรสิ ทุ ธิ์น้นั เจรญิ ทิพยอํานาจ หรอื เจรญิ วปิ ส สนาญาณตามจิตใจประสงค ก็จะ
สําเร็จประสงคน ้นั ทกุ ประการ.

เม่อื ปฏบิ ตั ิตามวิธดี งั กลาวมาน้ี รับรองไดวา สามารถเอาชนะความหลบั ไดแนนอน จะเกิดมี
อิทธิพลเหนอื ความหลบั จะใหห ลับเวลาใดกไ็ ด ไมใ หห ลับเลยกไ็ ด แมจะรสู กึ งวงแสนงวงถา ตัง้ ใจ
จะไมห ลับแลวความงวงจะว่ิงหนที นั ที และในขณะเดยี วกันกบั ทีฝ่ กสตเิ พอื่ เอาชนะความหลับ
ประเภทธรรมดาน้ี ก็เปน อันไดเอาชนะความหลบั ประเภทที่ ๒ ไปในตัวดวย ความประมาทซ่ึงเปน
ความหลบั ภายในกนิ ลกึ ถงึ ใจนั้น จะถกู กาํ จดั ออกไปจากจิตใจ จิตใจจะเกิดสาํ นกึ ตัว ทาํ สิ่งควรทาํ
พูดคําควรพดู คิดเร่อื งควรคดิ บังคับจติ ใจใหอยใู นระเบยี บวินัยอนั ดี ไมม ีการปลอ ยตนไปตาม
อารมณส ุดแตใ คร จะรูจักพิจารณาหนาหลงั ย้ังคิดความผิดพลาดใหญห ลวงในชีวติ กจ็ ะมขี ้ึนไมไ ด
ดวยอํานาจสตคิ มุ ครอง.

จิตใจทีส่ ติ อนุสสตคิ มุ ครองแลวดวยดี จักเปนจิตใจผองใสบรสิ ทุ ธสิ์ ะอาด มพี ละอํานาจ
เขม แข็งมเี อกภาพสมบรู ณ เปนจิตใจในระดบั สูงพนจากภาวะตาํ่ ตอย เม่ือตอ งการนึกลาํ ดบั ถึง

ทิพยอํานาจ ๑๑๘

เหตกุ ารณข องชวี ติ ทลี่ ว งมาแลว ก็จะนึกเห็นไดตลอดทกุ ระยะทกุ ตอนของชวี ิต เหมือนบุคคลปนขน้ึ
ไปอยบู นทสี่ ูง สามารถมองดไู ดไกล แลเห็นอะไรๆ ในที่ต่าํ ไดดฉี ะนั้น จติ ใจอันสมบูรณดว ย
คณุ ลกั ษณะดงั กลา วนแ้ี หละสามารถสรางอนสุ สตญิ าณ ระลึกรจู กั ความเปนมาของตนในอดีตหลาย
รอยหลายพนั ชาติได ในเม่ือจาํ นงจะสรา งขึ้น ซึง่ มีวธิ กี ารโดยเฉพาะดังจะไดแ สดงตอ ไปขางหนาน้ี.

เหตุการณทผ่ี านมาในชีวิต จะประทบั ภาพพมิ พไวท ดี่ วงใจนัน้ เอง ในระยะแรกๆ ภาพนน้ั
จะโผลข้ึนในความรสู กึ ใหนึกถึงอยูเนืองๆ ครั้นลว งกาลมานานภาพเหตกุ ารณน้นั ๆ กค็ อ ยจางไป
จากความรูสึกนึกเห็น แตไปสถติ ม่นั อยูในดวงจิต เมื่อมีอะไรมาสะกิดกจ็ ะนึกเห็นข้ึนมาไดใหมอ ีก น้ี
เปนเรอ่ื งในภายในชีวติ ปจจุบนั ทีนีเ้ ราลองทาํ ความเชอื่ ตอ ไปอกี วาจิตใจเปนธรรมชาติไมร ูจกั ตาย
ไดผานการเกิดการตายมาแลว นับครั้งไมถวน เหตุการณท เ่ี ขาไดผ านพบมาในชวี ิตนน้ั ๆ ก็ยอ ม
ประทับเปน ภาพพิมพอ ยทู จ่ี ิตใจน้ันเอง ถา มีอะไรมาสะกดิ ใหน ึกขน้ึ ได กจ็ ะสามารถนกึ เห็น
เหตุการณของชวี ติ ในชาตกิ อ นๆ น้ัน เชนเดียวกับในชาตปิ จจบุ นั การทคี่ นโดยมากนกึ ถึง
เหตุการณแ หง ชวี ติ ในชาตกิ อ นไมไดก ็เพราะถูกชาตปิ จจุบันปกปดไว คอื ในระหวางปฏิสนธใิ นครรภ
มารดาเทากบั เขาไปอยใู นท่ีคับแคบมดื ทบึ เปนเวลานานถึง ๑๐ เดือน หรืออยา งนอยก็ราว ๗ – ๘
เดอื น ครนั้ คลอดออกมากต็ องอยูใ นอัตภาพท่ีออนแอขาดความสามารถในการนกึ คิดเปนเวลา
หลายป เม่อื เปนเชนนจ้ี งึ ลมื เหตุการณท ตี่ นผา นมาในชีวิตกอ นๆ เสีย อัตภาพซง่ึ เปน ทอ่ี าศัยของ
จติ ใจนเ้ี ปนสิ่งหยาบ มดื ทบึ ไมมสี มรรถภาพเพียงพอที่จะใชนกึ ถงึ เหตกุ ารณยอนหลงั ไปไกลๆ ได
ความบงั เกดิ ของอัตภาพ พรอ มกับความคิดนึกรสู ึกอันสมั ปยตุ ตในอัตภาพน้นั แหละเรยี กวา ชาติ
เปนตัวปดบงั ความรรู ะลกึ ชาตหิ นหลัง หรือจะพดู อีกนัยหนง่ึ ก็วา ปฏสิ นธปิ ดบงั ความรรู ะลึกชาติ
หนหลงั ได ถาสามารถทาํ สติใหทะลปุ ฏิสนธไิ ปไดเ มอ่ื ไรเปน ระลกึ ชาติไดเมือ่ นั้น ฉะน้ันจดุ โจมตสี ่ิง
ก้นั กางมิใหร ะลึกชาตไิ ด กค็ อื ปฏิสนธ.ิ

เมอื่ ไดท ราบจดุ โจมตีในการฝกเพ่อื ระลึกชาตไิ ดเ ชนนี้แลว ควรทราบวธิ โี จมตตี อ ไป ทา นให
คําแนะนําแกผฝู ก เพ่อื บพุ เพนิวาสานสุ สติญาณ ไวว า

๑. พงึ ฝกสตอิ บรมจติ ใจตามนัยที่ไดก ลา วมาแลว ดวยอาศยั อทิ ธิบาทภาวนา ๔ ประการ
จนไดส มาธติ ามลาํ ดบั ชนั้ ถึงฌานที่ ๔ เปน อยา งนอย พึงใหช าํ นาญในฌานอยางดีดงั กลา วไวในบท
ที่ ๒ จนมีเจโตวสี คอื มีอํานาจทางใจเพยี งพอ มีใจบริสทุ ธสิ์ ะอาดนมิ่ นวลเหนยี วแนน ไม
เปลี่ยนแปลงไปงาย ควรแกก ารทาํ ความนึกทวนลาํ ดับเหตุการณไ ดตั้งนานๆ หลายชวั่ โมง.

๒. เขา สูทส่ี งัดซ่ึงเปน ทีอ่ ากาศโปรง ปลอดภยั ตนมอี สิ ระท่ีจะอยูไดโดยไมถ กู รบกวนใน
ระหวาง นง่ั ในทา ท่สี บายทีน่ ่ังไดท นตามแบบดังกลา วไวในบทที่ ๒ แลว ทําความสงบใจถึงระดับ
ฌาน ๔ แลว จึงทําสตินกึ ทวนลําดับเหตกุ ารณแ หงชีวิตประจาํ วัน ถอยคืนไปในเบื้องหลังทผ่ี า นมา
ในชว่ั ชีวติ ปจ จุบันนอ้ี ยา งละเอียดถีถ่ วน จบั ตัง้ แตตอนตนเร่มิ น่งั ภาวนานี้คืนไปจนถงึ วันวาน วนั
กอน สัปดาหกอ น ปก ษก อน เดือนกอ น ปกอน โดยลําดับๆ จนถึงเวลานอนในครรภมารดา ถา
ตดิ ขดั ตรงไหนตอ งหยุดทาํ ความสงบน่ิงนานๆ เสียกอ น แลวจงึ นึกตอไปจนเหน็ สภาพของตนอยูใน
ครรภมารดา ตอนน้ีตอ งนกึ ใหเห็นแจม แจงท่ีสดุ นึกแลวนกึ อกี แจมแลวแจมอกี ทกุ ระยะของสภาพ
ในครรภนั้นจนทะลุไป คอื เห็นเหตกุ ารณกอ นเขาปฏิสนธใิ นครรภ ชือ่ วาตดี านสําคญั สาํ เร็จแลว .

ทิพยอาํ นาจ ๑๑๙

๓. พึงเขาสมาธิถึงฌานที่ ๔ แลวนกึ ทวนเหตกุ ารณข องชวี ิตโดยนยั ขอ ๒ จนทะลุดา น
ปฏิสนธิ มองเห็นเหตกุ ารณกอ นเขา ปฏสิ นธิไดแลว พงึ ทําสติทวนตามไปวา กอ นแตจะมาปฏิสนธิ
นั้นอยไู หน มีสภาพเปนอยา งไร ก็จะเหน็ เหตกุ ารณต า งๆ เปนภาพชวี ติ ที่ลวงแลวเปนตอนๆ เหมือน
ภาพบนจอภาพยนตร ก็จะรูขน้ึ พรอมกับภาพน้ันๆ วาเปน อะไรกบั ตน ถา ไมรูพงึ นึกถามขึ้นในใจ
แลว สงบอยู ก็จะรขู ้ึนตามความเปนจรงิ ช่อื วาสาํ เร็จบพุ เพนิวาสานสุ สติญาณสมปรารถนา
ตอจากน้นั จะไมเปนการลาํ บากในการระลกึ ชาตหิ นหลัง เม่ือตองการทราบแลว ทาํ ความสงบใจนึก
ถามดภู าพชวี ิตในอดีตท่ีตอ งการทราบ ก็จะปรากฏแกต าใจเสมอไป เปนจาํ นวนหลายรอ ยหลายพัน
ชาตทิ ีเดียว.

บคุ คลผูร ะลกึ ชาติไดดว ยอํานาจการฝกสติอบรมจติ ใจดังกลา วมาน้ี จะระลึกไดห ลายชาติ
และรเู หตุการณส ําคัญๆ ในชาติน้ันๆ พรอมทง้ั กรรมท่ีแตงกาํ เนิดใหเกดิ ใหมด วย ยอมจะเกดิ ศรทั ธา
ความเชื่อม่ันในสงั สารวฏั และอํานาจกรรม เปน ศรัทธาพละ มีกาํ ลังเหนี่ยวร้ังตนมใิ หป ระมาทพลาด
พล้ังในศีลธรรมใหเ กดิ ความขะมกั เขมน พากเพียรในการประพฤติศีลธรรม บาํ เพ็ญกุศลกรรม สรา ง
บารมีธรรมย่งิ ๆ ขึ้นไป การระลกึ ชาติไดด วยอาํ นาจเจริญภาวนา มีประโยชนยิง่ ใหญด ังน้ี นอกจาก
เปนประโยชนแกต นแลวยงั อาํ นวยประโยชนใหแกผ อู ื่นอีกดวย ผรู ะลึกชาติตนเองไดเชน นยี้ อม
ระลึกชาติของผูอืน่ ท่ีเกี่ยวขอ งกบั ตน หรอื คนหา งออกไปก็ไดตามสมควร แลวจะไดช ว ยเหลอื คน
นน้ั ๆ ตามความสามารถ คนทีเ่ คยรกั เคยชอบหรอื เคยเคารพเชือ่ ฟงกนั มากอน ถงึ มาเกิดใหมนิสยั
นั้นๆ ยอมติดตามมาเหมอื นกัน ถาใหค นผูเขาเคยรักเคยชอบ เคยเคารพนับถอื ไปชวยเหลอื กันเขา
จะทาํ ไดด ีโดยงาย ถา เห็นวา ไมมีนิสัยท่ีควรจะทรมานได จะไมพ ยายามใหเสียเวลาหรอื เสยี
ประโยชน เวนแตเพื่อตอ ตา นภยั ของสว นรวมซ่ึงจําเปน อยูเ องท่ีผูมีตาดีแลว จะเพกิ เฉยละเลยเสยี
มิไดในเมอ่ื พจิ ารณาแลวเห็นวา สามารถตอ ตานได ถา เหน็ เหลือวสิ ัยจงึ จะวางอเุ บกขา รวู าคราว
วบิ ตั ิมาถงึ แลว ไมด้ินรนขวนขวายใหลาํ บากเหน่อื ยยากเปลา ๆ.

สงั สารวัฏคอื การเวียนเกดิ เวยี นตายเปนชาตกิ ําเนดิ ตางๆ ทฝี่ กอนสุ สตเิ พือ่ รูระลกึ ไดน ั้นเปน
สวนใหญ เหมอื นจกั รตัวใหญฉ ะนั้น ยังมสี งั สารวฏั ซง่ึ เปนสวนเลก็ ละเอยี ดซง่ึ เปรียบเหมือนจกั รตวั
เลก็ ทห่ี มนุ เรว็ จ๋ยี งิ่ กวาจกั รตวั ใหญน้ันอีก ทานกําหนดไวด ังน้ี

๑. กิเลสวัฏฏะ ไดแ กกเิ ลสคอื ความรูส ึกฝายช่ัว ซงึ่ เกดิ ขึน้ กบั ใจโดยอาศัยส่ิงย่วั เยาหรือเรา
ใจใหเ กดิ ขนึ้ มีอวิชชาความรไู มแจม ทําใหเ กิดความเห็นผดิ คิดผิด และพดู ผดิ ทาํ ผิดขน้ึ เปนตัวตน
เปนรากแกว ของกิเลสแหง ใจทัง้ มวล เมอ่ื มีอวชิ ชาเปนตวั เหตุฝงอยใู นจิต ครั้นอารมณม าสมั ผัสรบ
เรา ขนึ้ กเ็ กดิ ราคะความกาํ หนัด โทสะความขัดเคอื ง โมหะความหลงใหลไปตามลกั ษณะของสงิ่ เรา
น้ันๆ เปน เคามูลของบาปอกุศลขึ้นในใจ อันนี้เปน จักรตัวเลก็ ๆ แตสําคัญท่ีสดุ ในบรรดาจกั ร ทที่ าํ
ใหเ กดิ การหมุนเวียนเกิดตายในโลก.

๒. กัมมวฏั ฏะ ไดแกกรรมคอื การจงใจทาํ พดู คิด ดวยอาํ นาจกิเลสรบเราดลใจใหทาํ เปน
กรรมดบี าง เลวบาง เม่อื ทาํ ไปแลวยอมเปนภาพพิมพใ จอยางลกึ และมีกําลงั แรงสามารถหมนุ จติ ใจ
ไปในลกั ษณะดหี รอื เลวตามลักษณะกรรมนั้นๆ อันนี้กเ็ ปนจักรตัวเลก็ ๆ ตัวหนงึ่ แตส ําคัญทีส่ ดุ ใน
การกอกาํ เนดิ และผลกั ดันจิตใจในดานดีหรือเลว.

ทพิ ยอํานาจ ๑๒๐

๓. วปิ ากวฏั ฏะ ไดแกผ ลกรรมคือความดีเลว ความสุขความทุกข ไดดตี กยาก อันเปนผล
สืบเนื่องมาแตก รรมดีเลวทีต่ นทาํ ไว คือกรรมดแี ตงความดี คอยอุปถมั ภบาํ รงุ ใหไดรับความสุขความ
เจริญ กรรมชั่วแตงความเลว และคอยสงผลใหไ ดร บั ทุกขลําบากเดือดรอ นเรอื่ ยไป คอยบนั่ รอน
ความสขุ ในเม่อื กรรมดีแตง ความดแี ลว เมื่อผลกรรมปรากฏขึ้นแลว จิตผูเสวยผลกรรมยอมรูสึกตดิ
ใจหรือเกลียดชงั ผลกรรมนนั้ ๆ เกดิ เปน กิเลสสบื เนอื่ งไปอีก ผลกรรมกจ็ ัดเปน จักรตัวเลก็ ๆ ตัวหนงึ่
ซ่ึงมีความสําคัญในอันหมนุ จิตใหวง่ิ ไปในโลก.

สังสารจกั ร ๓ สว นนี้แล เปนจกั รตวั ในทม่ี ีความสําคัญย่งิ การเกดิ ดถี ึงสขุ ตกทุกขไดย ากใน
ชาติกาํ เนิดตางๆ นั้น ยอ มเปน ไปตามจกั ร ๓ ตวั นี้ ผูร ะลกึ ชาติไดด วยอาํ นาจอนุสสตญิ าณแลว
ยอ มเกดิ ความเชื่อมั่นในสังสารวฏั และอาํ นาจกรรม เมือ่ ทาํ การพจิ ารณาใหซงึ้ ลงไปอีก ก็จะพบ
สังสารจกั ร ๓ ตัวนี้อันเปนไปในภายในจิตใจอีกทหี นง่ึ แลวจะเกิดญาณรแู จงขึ้นในเรอ่ื งสังสารวฏั
อยางทะลุปรุโปรง ตัดความสงสยั ในเรือ่ งตายเกิดตายสญู เสยี ได และตดั ความสงสยั ในเรอ่ื งอาํ นาจ
กรรมเสียไดด วยพอสมควร นี้เปน ผลสงู สุดทีจ่ ะพงึ ไดจ ากการระลกึ ชาติได ฉะนน้ั สาธชุ นผู
ปรารถนาทิพยอํานาจขอ นี้ พงึ ฝกฝนเอาตามวธิ ีท่ีกลาวมา กจ็ ะสาํ เรจ็ สมความปรารถนา.

ทพิ ยอํานาจ ๑๒๑

บทที่ ๑๐

วธิ สี รา งทพิ ยอาํ นาจ ทพิ พจกั ขุ ตาทพิ ย

ทิพยอาํ นาจขอนี้ หมายถงึ ความสามารถในการเหน็ รูปทิพย เห็นเหตกุ ารณ หรือความ
เปนไปของสรรพสัตว และเห็นสงิ่ ล้ลี บั ไดดว ยอาํ นาจตาทพิ ย อนั บริสทุ ธิ์เกนิ กวา ตามนษุ ยธ รรมดา
ทา นเรียกทพิ ยอํานาจขอ นว้ี า ทพิ พจกั ขุญาณ แปลวา รูเห็นดว ยตาทพิ ยหรอื เห็นดวยตาทิพย เรยี ก
สัน้ ๆ ดงั ตงั้ เปนชื่อขางบนน้ีบาง.

สง่ิ ทส่ี ามารถในการเหน็ หรือมีลักษณะเห็นไดดังตา ทานเรยี กวา จักษุท้งั นนั้ จะประมวลคํา
ชื่อจักษุทท่ี า นกําหนดไวในที่ตางๆ มาไวใ นท่นี ้ี พรอ มกับอธบิ ายลกั ษณะความหมายไวพอเปน ที่
สงั เกต ดังตอไปนี้

๑. มงั สจกั ษุ ตาเน้ือ ไดแกตาธรรมดาของสามญั มนุษย ซ่งึ สามารถมองเหน็ รูปวตั ถุทั้งปวง
และสิง่ ซึ่งเน่ืองดว ยรปู วตั ถุ เชน พยบั แดดและแสงสวา งเปนตน ความสาํ คญั ของตาเน้ืออยูท่ีจักขุ
ประสาท หรือท่ีเรยี กวาแกวตา มิไดอ ยทู ี่เนอื้ ตาทงั้ หมด หากแตเปนสิ่งเนอ่ื งกัน เมอื่ สวนประกอบ
ของดวงตาเสียไปแมประสาทจกั ขุหรือแกวตายงั ดกี ็จะทําใหร ูส กึ มัวฝา ฟาง มองดูอะไรไมคอย
เหน็ ชัด.

๒. ปญญาจักขุ ตาปญญา ไดแ กค วามรูความเห็นเหตุผลและความจรงิ สวนสามัญ อนั
สาธารณะท่วั ไปแกวญิ ชู นทง้ั ปวง ผูม ีปญญาดียอ มมองเหน็ เหตผุ ลและความจรงิ อันเปนสวน
สามัญไดง าย คลายมองเหน็ ดว ยตาธรรมดา ผูมปี ญ ญาทรามยอมมองเห็นเหตผุ ลและความจรงิ สวน
สามัญไดย าก เหมือนคนตาฟางมองเหน็ อะไรไมถนัดชัดเจนฉะน้ัน.

๓. ฌานจักขุ ตาฌาน ไดแกก ารเห็นสรรพนมิ ติ ในฌานของผูบําเพญ็ ฌาน คลา ยเห็นดว ยตา
ธรรมดาเปน ที่รูกันอยูใ นหมพู ทุ ธศาสนิกชนวา ตาใน นั่นเอง ตาชนิดน้ีกส็ ามารถมองเหน็ เหตกุ ารณ
ในอดตี อนาคต และปจจบุ นั ได คลา ยคลงึ กับตาทิพย เปน แตย ังไมบรสิ ุทธเ์ิ ทาเทยี มตาทิพย เห็นได
แตส่งิ หยาบๆ และเหน็ ไดในระยะใกล คือถา เปน สว นอดตี ก็เปนอดตี ใกล ถาเปน อนาคตก็เปน
อนาคตใกล ถา เปนสว นปจจุบันก็เปน ปจ จบุ นั ใกล.

๔. ทิพพจักขุ ตาทิพย ไดแกตาของเทพเจา หรือบุคคลผูเ จริญฌานสมบูรณดวยทพิ ย
อนิ ทรีย มีภาวะทางใจเสมอดวยเทพเจาแลว ตาทิพยย อ มสามารถเหน็ ทพิ ยรปู ท้ังปวง เห็น
เหตุการณหรือความเปน ไปของบุคคลในระยะไกล ท้ังในสวนอดีต อนาคต และปจจบุ นั และ
สามารถเหน็ สง่ิ ซ่ึงลลี้ บั มีอะไรปกปดกาํ บัง กับมองทะลไุ ปในส่ิงกีดขวางท้งั ปวงได เกินวสิ ัยตามนษุ ย
ธรรมดาหลายลา นเทา ตาทพิ ยนี้เปนทิพยอํานาจทม่ี งุ หมายจะอธบิ ายในที่น้ี.

๕. ธมั มจกั ขุ ตาธรรม ไดแกว ิปส สนาญาณของพระอรยิ โสดาบัน ซ่งึ มองเหน็ ทะลุความจรงิ
ในดานโลกวา ทุกส่ิงทมี่ ีเกิดตองมดี ับ และมองเห็นทะลคุ วามจริงในดานธรรมวา ทกุ สง่ิ ไมม เี กดิ ตอง
ไมม ีดับ หมายความวา เหน็ โลกและธรรมทะลแุ ลว เช่ือม่นั วา มีธรรมชาติไมม ที ุกข ซ่งึ ตรงกันขามกบั

ทิพยอาํ นาจ ๑๒๒

โลกซึง่ เปนธรรมชาติมที ุกข เปน ผูหย่ังลงสกู ระแสธรรม ดาํ เนินตรงไปสดู านปราศจากทุกขไ ดอ ยา ง
ไมยอมถอยหลงั มีหวงั บรรลุภูมิทีป่ ราศจากทกุ ขไดแ นนอนแลว .

๖. ญาณจกั ขุ ตาญาณ ไดแกป รชี าสามารถหยัง่ รหู ย่งั เหน็ เหตผุ ล และความจริงสวน
วสิ ามญั ท้งั ในดา นโลกและดา นธรรมยิ่งๆ ขึ้นของพระอรยิ บุคคลช้ันสูงกวาพระโสดาบัน ต่าํ กวา พระ
อรหันต สามารถบรรเทาราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางไปจากขนั ธสนั ดานไดมากย่ิงกวา ภูมพิ ระ
โสดาบัน ไตรลักษณญาณเกอื บจะแจมแจงทกุ ประการแลว ความเห็นลกั ษณะความไมเท่ยี ง และ
ความเปน ทกุ ขข องโลกแจม แจงแกใ จแลว แตค วามเห็นลกั ษณะความเปนอนัตตาของโลกยงั ไมแจม
แจงแกใ จ ยังมัวซวั ในบางส่ิง อวิชชาจึงยังเหลืออยใู นขนั ธสนั ดาน เปนเหตใุ หม อี ุปาทานในทกุ ขเ ปน
บางสว น.

๗. พทุ ธจักขุ ตาพทุ ธะ ไดแกปรีชาญาณท่สี ามารถมองเหน็ โลกและธรรมตามความเปน
จริงไดหมดทกุ แงทุกมมุ แลว สามารถสังหารอวิชชาขาดเดด็ จากขันธสันดาน บรรลถุ ึงภูมพิ ระ
นิพพาน ดับทุกขโ ศกโรคภัยไดห มดแลว ถึง “ความเปน แกว” ดวงหนึ่งในจํานวนแกว ๓ ดวง คือ
พทุ ธรตั นะ ธรรมรตั นะ และสังฆรัตนะ ผูบรรลุถึงภมู ินี้เรียกวา พระอรหันต มีจติ ใจบรสิ ุทธด์ิ จุ แกว
มณีโชติ เปนผตู ่นื ตัวเต็มทแ่ี ลว หายละเมอเพอ ฝน แลว เมอ่ื ใจบริสทุ ธดิ์ ุจแกว มณีโชติ แมป รีชาญาณ
ของทานกบ็ รสิ ทุ ธิ์ดจุ แกวเชน เดยี วกันฉะนั้น เม่อื จะสมมติใหเขา ใจงาย ขาพเจา จึงพอใจเรียกวา
ตาแกว เปน ตาของทานผูตน่ื ตัวเตม็ ที่แลวจําพวกเดยี ว เปนตาท่สี ามารถมองเห็น “พระแกว” คือ
“วิสุทธิเทวา” บรรดาทีป่ รินพิ พานไปแลว ท้งั สามารถฟงเสียงพระแกวไดด ว ย เปนตาทด่ี ีวเิ ศษ
ประเสรฐิ สงู สง กวา ตาทพิ ย เพราะเทพเจา ธรรมดาซง่ึ มตี าทิพยไมสามารถมองเหน็ พระแกว คอื พระ
อรหนั ต และไมสามารถไดยนิ เสยี งของทานดว ย เวนแตเ ทพเจา ผูบรรลถุ ึงภูมิพระแกว บางพระองค
เทา นน้ั .

๘. สมันตจักขุ ตารอบดา น ไดแกพ ระสัพพญั ุตญั ญาณ พระอนาวรญาณ พระทศพลญาณ
และพระเวสารชั ชญาณ ของพระบรมศาสดาจารยส มั มาสมั พุทธเจา ซง่ึ เปนพระญาณครอบสากล
โลกสากลธรรม สมดวยคํายอพระเกยี รติพระองควา โลกจกั ขุ โลกนั ตทสั สี ทรงเห็นโลก ทรงเหน็
ทสี่ ุดโลก คนธรรมดาอยูในโลกแตไ มเห็นโลก จงึ กระทบกระท่ังกับโลกร่าํ ไป สวนพระบรมศาสดา
ทรงเห็นโลกแลวจึงไมกระทบกระทงั่ กบั โลก นกั ธรรมสามัญทง้ั หลายแมศ กึ ษาธรรม ประพฤติธรรม
แตก ็ยังไมเห็นธรรมถูกถวนทกุ แงทกุ มุม จงึ กระทบกระท่ังกบั ธรรมรา่ํ ไป สวนพระบรมศาสดาทรง
เหน็ ธรรมถกู ถวนทุกแงท กุ มุม จึงไมก ระทบกระทั่งกบั ธรรม ทรงเปน อันหนึง่ อันเดยี วกบั ธรรมเสมอ
ไป พระเนตรคอื พระปรีชาญาณของพระองคแจมใสทสี่ ุด สามารถมองเหน็ ไดก วางไกลท่สี ุด
โดยรอบทุกทิศทุกทาง มองทะลไุ ปทั่วสากลจักรวาล ย่ิงกวาตาของทาวพันตาหลายลา นเทา ยิ่งกวา
ตาของทา วมหาพรหมผเู ปน ประชาบดใี หญย งิ่ ในหมูประชาสตั วหลายแสนเทา ทรงมองเห็น
เหตุการณเ บื้องหลังท่ีผานมาแลว ไดไ กลประมาณแสนโกฏิอสงไขยกัป ทรงเห็นเหตกุ ารณเบื้อง
หนา ทีจ่ ะมาถึงไดไ กลประมาณแสนโกฏอิ สงไขยกปั เชนเดยี วกัน ทรงเหน็ เหตกุ ารณจําเพาะหนาได
ถว นถี่ทกุ ประการ และทรงเห็นเหตุผลไดล ะเอียดถี่ถวนทส่ี ุด จึงทรงสามารถบัญญตั ิพระธรรมวนิ ัย
ไวเ ปน หลกั ศกึ ษาแกพทุ ธเวไนยไดป ระณีตบรรจง สมบูรณด ว ยอรรถพยัญชนะ พรอ มพรง่ั ดวยเหตุ

ทิพยอํานาจ ๑๒๓

และผล ทนตอการพิสูจนข องนักปราชญ ไมมีใครอาจคานติงได สมกับคํายอพระเกยี รตวิ า สมนั ต-
จกั ขุ พระผูมจี กั ษุรอบดานแทเ ทียว.

บรรดาจักขุดังไดกลาวมา มังสจกั ขเุ ปนตาธรรมดาของสามัญมนษุ ย สาํ เร็จมาแตกุศลกรรม
ทท่ี าํ เอาไวแตบ ุพเพชาติ มิใชวสิ ัยทจ่ี ะพึงแตง สรา งเอาไดใ นปจ จบุ นั หากจะฝก หดั ใหดบี า งกเ็ พยี ง
เล็กนอ ยคือทาํ ใหจกั ษปุ ระสาทผองใส ใชการไดดกี วาปกตบิ า งเล็กนอ ย แตจ ะใหมงั สจกั ขกุ ลายเปน
ทิพยจกั ขนุ ั้นเปน การเกนิ วิสยั มิใชฐานะทจี่ ะเปน ไปได, ปญญาจกั ขเุ ปนตาปญญาท่ีสาธารณะแก
สามัญชนอาจแตง สรา งใหดีวิเศษขน้ึ ไดด วยการศึกษาสาํ เหนียกคําสอนของนกั ปราชญด วยการคิด
อานเหตผุ ลตนปลายของสิ่งทง้ั หลาย และดวยการอบรมใจใหผ องแผวหายขุนมวั , ฌานจกั ขเุ ปนตา
ในของผูเจริญฌาน รเู ห็นเหตกุ ารณไดบ างเปน บางประการ เปนส่งิ สามารทําใหเ กดิ มขี น้ึ ได ไมใ ชส งิ่
เกนิ ความสามารถของสามัญมนษุ ย, ทิพพจักขุเปน ตาใจทีแ่ จมใส มองเห็นรปู ทิพยและเหตุการณ
ไดด วี เิ ศษ เปนสิ่งเน่อื งกบั ใจ สามารถสรางข้ึนได ไมเ กนิ วิสยั สามญั มนุษยเ หมอื นกนั , ธรรมจกั ขเุ ปน
ตวั วิปส สนาญาณทปี่ ระหารกเิ ลสข้ันตน สาธชุ นผไู มป ระมาทอาจทาํ ใหเกดิ ข้ึนได ไมเปนส่งิ เกินวสิ ัย
เชน เดยี วกนั , ญาณจกั ขเุ ปนตวั วิปสสนาญาณขั้นสูงข้ึนไป อนั อรยิ ชนผบู รรลุภูมธิ รรมขั้นตน แลว พึง
ขวนขวายสรางสืบตอขึ้นไป, พทุ ธจักขุเปนตาแกว ของพระอรหันตผ ูเสรจ็ กจิ กําจัดกิเลสแลว อยูเ ยน็
ใจ ไมเปน ส่งิ เกินวสิ ัยทีจ่ ะกา วไปถงึ เหมือนกัน เพราะผูเปนพระอรหันตท านกเ็ ปนปุถุชนมากอน
มิใชเ ปนพระอรหันตแ ตก ําเนดิ , สวนสมนั ตจกั ขุนน้ั เปน วสิ ัยของทานผมู บี ารมใี หญย ิง่ จะพึงไดพงึ
ถึง มิใชวสิ ยั ของสามัญชน เมอื่ ไดทราบลักษณะจักขตุ างๆ พอสมควรฉะนแ้ี ลว ควรเร่มิ ศกึ ษาทพิ พ
จักขุโดยเฉพาะได ฉะนั้น จะไดกลา วถงึ ทพิ พจกั ขุตอ ไป การที่จะเขาใจทิพพจกั ขุไดงายนน้ั ตอง
เขา ใจกาํ เนดิ ทิพยท ีม่ ที ิพพจักขโุ ดยกําเนิดพอสมควร ฉะนั้น จะไดอธบิ ายกําเนิดทพิ ยและทพิ พจกั ขุ
โดยกําเนิดกอ น แลว จงึ จะอธบิ ายลักษณะทพิ พจกั ขุท่ีทําใหเกิดขน้ึ ตอ ไป.

เทพเจา เปนพวกกําเนดิ ทพิ ย มที ิพยอินทรยี ส มบรู ณท ุกประการ มที ่ีอยคู ือฉกามาพจรสรรค
และพรหมโลก ดังกลา วแลวในบทวาดวยทิพพโสต ยังมีพวกทเี่ ปน ทิพยแ ละคลายทพิ ยบ นพ้ืนโลก
ใกลๆ กับแดนมนษุ ยน ี้อีก พวกท่เี ปน ทิพยน้ันเปนเทพเจา ชั้นภาคพ้นื ดินและอากาศบางจาํ พวก
สว นพวกคลา ยทิพยนั้นเปนพวกอทิสสมานกาย หรอื อมนุษย มคี วามเปน อยูคลายคลงึ กบั มนุษย
เปนแตรางของเขาละเอียดและเบากวา รา งของมนษุ ย ไปมาไดวอ งไว คนทั้งหลายรูจ กั พวกนใี้ นชื่อ
วา พวกลบั แลบา ง พวกบงั บดบาง พระภมู ิเจาที่บา ง อยางตาํ่ คือคําวาผี พวกนม้ี ีตาดกี วามนษุ ย
ธรรมดามาก มองเหน็ ทะลุเคร่อื งกดี ขวางได และมองเหน็ ไดไกลเกินตาปกติของมนษุ ยหลายรอ ย
หลายพนั เทา เชน เขาอยูกรงุ เทพฯ มองไปเห็นถึงยโุ รปและอเมริกา ตาชนดิ น้ีเรียกวา ตาทพิ ย โดย
กาํ เนิดของพวกทพิ ยห รอื พวกคลายทิพย ทีนเี้ ราลองหนั มาดจู ําพวกสัตวด ริ ัจฉานบาง ซง่ึ มนั อยู
ใกลๆ กับมนษุ ย มีรปู ระกอบขน้ึ ดวยธาตุหยาบๆ เหมอื นมนษุ ย แตมันมีตาดกี วามนษุ ยห ลายเทา
เชน สุนัข ไก เห็นผไี ด สัตวปาหากินกลางคืนมันเห็นอาหารท่ีมนั ตองการได เห็นอันตรายของมันได
เชน เสือเปนตน มดมองทะลุส่งิ กดี ขวางได เคยมผี ูท ดลองเอาน้าํ ตาลวางไวในทปี่ ราศจากมด ช่ัว
เวลาไมถงึ ช่ัวโมงมดจะยกโขยงกนั มาจากทไ่ี กล มากนิ นํ้าตาลนนั้ ภายหลงั ทดลองใหม เอานาํ้ ตาล
วางไวใ นทมี่ ีนํ้ากั้นโดยรอบ มดจะไมม าเลยสกั ตัวเดียว แสดงวา มันมองเห็นวา มีอะไรกน้ั ซึ่งไม

ทิพยอํานาจ ๑๒๔

สามารถเขา ไปกินนํ้าตาลได มนั จึงไมม า ถาจะวามนั มาครั้งแรกเพราะไดก ลิ่น ครงั้ ท่ี ๒ ซง่ึ เอาน้าํ

หลอไวก็คงจะสงกล่นิ ไปไดเชนกัน ทาํ ไมมันจึงไมม ากิน การทีม่ ันไมมาในครง้ั ท่ี ๒ จงึ สอ แสดงวามัน

มีตาทพิ ย มองเหน็ สิ่งกดี ขวางในระยะไกลเกนิ สายตาธรรมดา เรอื่ งน้แี มข าพเจากไ็ ดทดลองและ

ประจกั ษผลเชน ท่เี ลานเี้ หมอื นกนั ทีน้หี ันมาดใู นหมูมนุษยเ ราบาง คนท่มี ีตาดวี เิ ศษเกนิ คนธรรมดา

ด่ังมดหรือเทพเจามบี า งหรือไม? ไดเ คยอา นเรอื่ งคนทมี่ องเห็นเหตกุ ารณอ นาคตในตา งประเทศ ที่

มีผูน ํามาเขียนเลาไวม ากราย จาํ ไมไดต ลอด จึงไมอ าจเลาไวในท่ีนไ้ี ด ทงั้ เห็นวา เปนพยานไกล

เกินไป อยากจะไดพ ยานใกลๆ กวา น้ีสักหนอย นกั ดาราศาสตรส ามารถคาํ นวณเวลาจันทรคราส

สุริยคราสไดถ กู ตองแมนยาํ ทั้งวนั เวลาเขา ออก นักอตุ ุนิยมศาสตรสามารถพยากรณอากาศ เมฆ

ฝน พายุ ไดแ มนยํา นักโหราศาสตรสามารถพยากรณเหตกุ ารณข องโลกและเหตุการณเฉพาะ

บคุ คลไดถกู ตองเปนสวนมาก และนกั จติ ศาสตรส ามารถพยากรณเหตุการณข องโลกและของบคุ คล

ไดแ มน ยําเหมือนตาเห็น ท่ีเปนไดท ั้งนี้แมมิใชทพิ พจักขุโดยตรงก็เปน เรอื่ งใกลเ คยี ง พอจะ

สนั นิษฐานไดวา ทพิ พจักขอุ าจมีไดเชนกัน นักศาสตรต างๆ ดงั กลา วมานีเ้ ขาอาศยั ปญ ญาจกั ขุ รู

เหตุผลกฎเกณฑข องสงิ่ น้ันๆ แลว คํานวณคาดคะเนเหตุการณใ นอนาคตได ปญ ญาจักขเุ ปน ส่งิ

เนอ่ื งดว ยจติ ใจ แมท ิพพจกั ขกุ ็เปน สิง่ เนอื่ งกับจติ ใจไฉนจึงจะมีไมไ ด นักฝก ฝนจติ ใจใน

พระพุทธศาสนาสมยั ปจ จบุ นั แมจะมไิ ดรบั สมัญญาวานักจิตศาสตร ก็มใิ ชปราศจากความรทู าง

จิตใจ เปนแตไมไดแสดงความรูท างดานนี้ใหป รากฏแกโลกอยางผาดโผน คนทงั้ หลายจงึ ไมรวู า ชาว

พุทธเปน นกั จิตศาสตร สมยั พทุ ธกาลชาวพทุ ธมชี ื่อเดน ในทางจติ ศาสตร มคี วามสามารถทาง

ทิพยอํานาจหลายประการ พระบรมศาสดาจารยท รงเปน เยยี่ มทสี่ ดุ ทรงสามารถในทิพยอาํ นาจทกุ

ประการ พระอคั รสาวกซา ย-ขวาเปนเย่ยี มรองลงมา พระอนุรทุ ธเถระทรงเปนเยย่ี มทางทพิ พจักขุ

โดยเฉพาะ ในสมยั พระบรมศาสดาเสดจ็ ปรินพิ พานน้นั ทานทรงทราบไดดวี า เสดจ็ ปรนิ พิ พานแลว

หรอื ยัง คือในวาระที่ทรงเขา สคู วามสงบตามลําดบั และทวนลําดบั อยูนั้น ถา ดูดวยตาธรรมดาก็วา

เสดจ็ ปรินิพพานแลว แตพ ระอนุรทุ ธเถระบอกวายังไมเ สดจ็ สปู รนิ ิพพาน เปนแตท รงเขาฌาน

สมาบัติ เมื่อพระบรมศาสดาทรงยับยง้ั อยูในฌานพอสมควรแลว จงึ เสด็จปรินพิ พานในระหวา ง

แหงฌานที่ ๔ และที่ ๕ ทันทีนั้นพระอนุรทุ ธเถระจึงบอกวาเสดจ็ ปรินพิ พานแลว พทุ ธบรษิ ัทจึงได

จดั การพระบรมศพ เม่อื พระบรมศาสดาเสดจ็ ปรินิพพานลว งมาไดประมาณ ๒๓๖ ปเศษ พระมหา

โมคคัลลีบตุ รตสิ สเถระเล็งดูกาลอนาคตของพระพทุ ธศาสนา เห็นวา ตอไปชมพทู วปี จะไมเปน ที่ตัง้

ของพระพทุ ธศาสนาๆ จะไปเจริญรุงเรอื งในทวีปอ่ืน จึงไดถ วายพระพรพระเจา อโศกมหาราชขอ

อปุ ถัมภ เพอ่ื จดั สงพระเถรานเุ ถระเปนคณะไปเผยแผพระพุทธศาสนายังนานาประเทศนอกชมพู

ทวีป ดานใตถ งึ เกาะลังกา ดา นตะวนั ตกถงึ เปอรเซีย ดา นเหนือถึงประเทศแถบเชงิ เขาหมิ าลยั ดา น

ตะวนั ออกถงึ สวุ รรณภูมิ เหตกุ ารณก ็สมจรงิ ดังคาด พอพระพุทธศกั ราชประมาณ ๑,๑๐๐ ปเศษ

พระพุทธศาสนาก็อนั ตรธานจากชมพทู วีป ไปเจรญิ รงุ เรืองยงั นานานประเทศจรงิ ๆ สวุ รรณภมู ิ คือ

แหลมทองซึ่งหมายถึงผืนแผน ดนิ ต้งั แตอาวเบ็งกอลมาถึงทะเลญวนไดเปน ท่ีรบั รองพระพทุ ธศาสนา

มาต้งั แตพ ระพุทธศกั ราชประมาณ ๒๓๖ ปเ ศษ มีโบราณวตั ถุสมยั พระเจา อโศกมหาราชเปนสักขี

พยานในโบราณสถานนัน้ ๆ เชน พระปฐมเจดีย ที่จังหวัดนครปฐม มวี งลอ ธรรมจกั รทาํ ดว ยศิลา

ทพิ ยอํานาจ ๑๒๕

ขนาดใหญโ ตมาก ซง่ึ เปนท่ีนยิ มในสมยั น้ัน เพราะยังไมเกดิ ประเพณีสรา งพระพทุ ธรูป ทเี่ มอื งเสมา

(รา ง) ในจงั หวัดนครราชสีมากม็ ีวงลอ ธรรมจักร ทาํ ดวยศิลาขนาดเดียวกนั กบั ทนี่ ครปฐม และที่

ตาํ บลฟาแดดสูงบาง จงั หวัดกาฬสินธุมีภาพสลกั ศิลาเปน เรอื่ งพทุ ธประวัติ ซง่ึ เปน พยานวา

พระพทุ ธศาสนาไดเ จรญิ รงุ เรือง ณ แหลมทอง โดยเฉพาะที่นครปฐมและนครราชสีมาในสมัย

เดียวกัน ประมาณวา ในราวพุทธศตวรรษท่ี ๔ การท่พี ระมหาโมคคัลลีบุตรติสสเถระสามารถคาด

เหตุการณไดถกู ตองเปนระยะไกลถงึ เกือบพนั ปเ ชนนี้ ยอมตอ งมที ิพพจกั ขแุ จม ใสจรงิ ๆ แนน อน

เมอ่ื ทราบแลวทา นกด็ ําเนินการแกว ิกฤตการณไ วล ว งหนาทนั ที ผลดีท่เี กดิ ข้ึนคือ พระพทุ ธศาสนา

แพรห ลายและดาํ รงอยไู ดในนานานประเทศนอกชมพูทวปี มาจนถึงปจ จบุ นั ชมพูทวปี คอื อินเดยี ซ่งึ

เปน ทีก่ าํ เนิดของพระพทุ ธศาสนาไดว างเปลาจากพระพุทธศาสนามานานประมาณพันปแลว เพ่งิ จะ

มีพระภกิ ษจุ ากลังกา พมา และอาหม เขาไปทาํ การเผยแผพระพุทธศาสนาในชมพูทวปี อีกเมอื่

ประมาณ ๖๐ ปมานเ่ี ทานน้ั ถึงกระน้ันกย็ ังหวงั ความเจริญรงุ เรืองเหมอื นในสมยั พุทธกาลไดย าก

เพราะสภาพเหตกุ ารณข องบา นเมืองและประชาชนเปลยี่ นแปลงไปจากเดิม ลัทธิศาสนาอ่นื ไดฝ ง

รากแทนท่ีพระพุทธศาสนามานาน บุคคลผจู ะนําพระพทุ ธศาสนาไปปลูกฝง ลงยงั อินเดยี ไดอกี

จะตองเปน ผมู ีบญุ ญาภสิ มภาร และอทิ ธาภินิหารเปน ท่อี ศั จรรย ย่งิ กวาเจาลทั ธคิ ณาจารยใ นถิน่ น้ัน

อยา งมาก คาํ ทาํ นายโบราณชิ้นหน่ึงไดเ ปนทตี่ ่ืนเตนสนใจกัน เมอ่ื ประมาณ ๑๐ กวา ปมาน้มี วี า

เมือ่ พระพุทธศาสนาถึงกึ่ง ๕,๐๐๐ ปน บั แตพทุ ธปรนิ พิ พานมา พระพทุ ธศาสนาจะกลับ

เจรญิ รุงเรอื งถึงขีดสงู สุดคลา ยสมัยพุทธกาล พระมหาเถระโพธิสัตวผ มู ีบญุ ญาภสิ มภาร มีอิทธาภนิ -ิ

หาร เชีย่ วชาญทางอภิญญาในสุวรรณภมู ิ จะไดเ ปนประธานาธิบดสี งฆ ทําการเผยแผ

พระพุทธศาสนาไปยงั นานาประเทศ เร่ิมตนท่อี นิ เดีย ไปยโุ รปและอเมริกา ประชาชนชาวโลกจะหนั

มานบั ถือพระพทุ ธศาสนามากมาย คนทง้ั หลายจะนิยมในการฝก ฝนอบรมจิตใจในทาง

พระพทุ ธศาสนา ประเทศชาติบา นเมืองก็จะรม เยน็ เปนสขุ ดว ยรม เงาของพระพทุ ธศาสนา ดังน้ี
บดั นี้กจ็ วนจะถงึ สมัยกงึ่ พระพุทธศาสนาแลว๑ เงาเจรญิ แหงพระพุทธศาสนาเริม่ ปรากฏแลว ชาว

อศั ดงคตประเทศกําลังหันมาสนใจในพระพทุ ธศาสนามากขึ้น แตใ ครเปนตัวการตามทาํ นายน้ัน ยงั

มไิ ดเ ปนทีป่ รากฏแกวงการพระพทุ ธศาสนา ขอใหคอยดูตอไปวาจะจริงเท็จแคไหน ถา คาํ ทาํ นาย

เปนจรงิ ขนึ้ ก็แปลวา ชาวพทุ ธผใู หคําทาํ นายไวน ้ันมที ิพพจกั ขวุ เิ ศษทส่ี ุดไดแนๆ ทเี ดยี ว และตวั การ

ในคําทํานายนน้ั จะเปนบุคคลที่นา อัศจรรยท ีส่ ดุ ของโลกสมัยใหมดว ย.

ทนี ล้ี องหันไปพิจารณาเหตกุ ารณตามพุทธทาํ นายดูบา งวาเปน จรงิ เพียงไร จะไดนํามาให

พิจารณาเฉพาะขอ ทีพ่ อจะมองเห็นความจริงได คําทาํ นายน้นั ปราชญทางภาคอิสานประพนั ธเ ปน

คําโคลงและใชโ วหารเปนปริศนาโดยมาก ตองแปลความหมายถกู ตอง จึงจะทราบวาคําทาํ นายน้นั

ถกู ตองกับความจริง คาํ ทาํ นายเรมิ่ ตนวา เมื่อพระพทุ ธศาสนาลวงไปถงึ ๒,๐๐๐ ปเ ม่ือไร

เหตุการณต า งๆ แปลกประหลาดจะเกิดขน้ึ ในโลก คือภิกษใุ นพระพุทธศาสนาจะเกดิ นยิ มสะสมเงิน

ทองซอ้ื จา ยขายกิน ลกู ศิษยจ ะไมยําเยงเกรงกลัวครูบาอาจารย คนแกค นเฒา จะถูกเดก็ ๆ เยาหยอก

..........................................................................................................................................................

๑. ถึงแลว คอื พ.ศ.๒๕๐๐-๒๕๑๖.

ทพิ ยอํานาจ ๑๒๖

เลน ดั่งเพอ่ื นๆ หญงิ ชายอายุ ๑๓ ปส ามารถมีลูกได, ฟองนา้ํ จะกลายเปน รูปชางแผดเสยี งไปตาม
ลําแมนํา้ หมายถงึ เรือยนตก ลไฟ, หินกอ นเบอ เรอ จะฟูน้าํ และไหลไปตามนํา้ ได หมายความวา จะมี
วัตถุทาํ ดว ยหินลอยน้ําได หรอื อกี นยั หน่ึงคนซงึ่ เคยเปนผหู นกั แนน ในศลี ธรรมจะกลายเปนคนใจ
เบา ผันแปรไปตามกระแสกเิ ลสซึ่งเปรียบดว ยหนองนํ้า, นักปราชญจ ะทําการทดน้ําตามหว ยหนอง
คลองบึงบางตา งๆ จนทําใหนาํ้ ไมไหลเหมอื นแตก อน ในท่สี ุดที่ขังนา้ํ น้ันๆ กจ็ ะขาดเขินน้ําแหง ผาก
ไป, คางคกจะรอ งขัดฝน๑ หมายความวามนุษยจ ะประดิษฐเ คร่ืองทําฝนเสียเองไมตองงอธรรมชาติ,
ไสเ ดือนและปลากงั้ จะบนิ หมายความวาจะเกดิ มีสายโทรเลข โทรศัพท ซ่งึ มีลักษณะเหมอื น
ไสเดือน และจะเกิดมีอากาศยานซงึ่ มีรปู ลักษณะคลา ยปลากัง้ บนิ บนได, หนจู ะทําฤทธิใ์ หแมวกลัว
หมายความวาคนจําพวกหน่งึ ซงึ่ เคยออ นนอ มยอมกลัวผมู อี าํ นาจยิ่งใหญ จะเกิดความฮกึ หาญทาํ
การใหค นผูย ่ิงใหญยอมกลวั ได, หมาจง้ิ จอกจะเหา ชา ง หมายความวา บคุ คลจาํ พวกหนงึ่ ซึ่งมี
ลกั ษณะเหมือนหมาจงิ้ จอกจะเกิดหาญ กลา วตเิ ตยี นบุคคลผูม ีลกั ษณะเหมอื นชา ง, กุง จะกุมกนิ
ปลาบึก หมายความวาคนโกงจะโกงกนิ คนดมี ีศลี ธรรม, ปลาซวิ จะไลก ดั จระเข จระเขจ ะหนไี ปซอน
อยตู ามเงือ้ มผา หมายความวา คนใจเบาเหมอื นปลาซวิ จะทาํ การขับไลคนโตซ่ึงเปรียบเหมือนจระเข
ใหตอ งหลบหลีกปลกี ตัวไปหลบซอนอยตู ามหุบผา ฯลฯ ลองพิจารณาดูซวิ า เปน จริงหรอื ไมใ น
ปจจุบนั น้ี ทีน้ลี องหันมาพจิ ารณาดคู ําทํานายของบคุ คลยุคใหม ซึ่งพอจะรเู รอ่ื งกันไดอ ยูบาง คอื
พระบาทสมเดจ็ พระเจาอยูหวั รชั กาลที่ ๑ แหงกรงุ เทพฯ นี้ไดท รงพยากรณวา ความสุขสมบรู ณ
ของพระราชวงศของพระองค จะดาํ รงอยูแค ๑๕๐ ป พอครบกําหนดกเ็ กดิ การปฏวิ ตั ิเปลย่ี นแปลง
การปกครองเปน แบบประชาธปิ ไตย กษัตริยอ ยภู ายใตร ัฐธรรมนูญ ซ่ึงเปน กฎหมายสูงสุดของ
ประเทศทันที เจา พระคณุ พระอุบาลคี ณุ ูปมาจารย (สิรจิ ันทเถระ จันทร) เมือ่ ไปสรา งวดั เขาพระ
งาม ที่จงั หวัดลพบุรี สรา งพระพทุ ธรปู ไวบนไหลเขา ใหนามพระวา กึง่ ยคุ คือ ทานคิดวาในสมยั ก่ึง
พระพทุ ธศาสนานัน้ พระพทุ ธศาสนาจะเจรญิ รุงเรอื งคลา ยกับสมัยพทุ ธกาล ทานพจิ ารณาดูชวี ติ
ของทา นจะไมไดอ ยูเ ห็นสมยั นั้น แตคิดอยากทําอะไรไวเปนท่ีระลกึ สาํ หรบั กึ่งยคุ บา ง จงึ คิดคํานวณ
นบั แตว ันตรัสรูมาจนถงึ เวลาทที่ า นสรา งพระพทุ ธรูปใหญนน้ั ครบ ๒,๕๐๐ ปพ อดี จงึ ไดจัดการ
ฉลองและขนานพระนามพระพุทธรูปน้ันวา พระกึง่ ยคุ ในคราวมงี านฉลองวดั และพระพุทธรปู ใหญ
นน้ั มีผูตอวาทา นวา มาสรางวัดไวในปาในดงใหญโ ต ตอไปจะมใี ครมาดูแลรกั ษา ทาํ เสยี เงนิ เสยี
ทองไปเปลาๆ ทา นจึงกลาวตอบเปนคาํ ทํานายวา ตอ ไปไมนานสถานท่ีนจี้ ะมีบา นเมอื งคนอยูเต็ม มี
ไฟฟาใชสวา งไสวทว่ั ไปแมกระทงั่ ในวัดน้ี ดังนี้ บัดน้เี หตุการณก ็เปนจรงิ ดงั ท่ีทา นทาํ นายไวทุก
ประการ ทานเหลา นี้ตองมอี นาคตังสญาณอนั เปนสว นหนง่ึ ของทพิ พจักขุญาณแนๆ จงึ สามารถ
ทราบเหตุการณล ว งหนา ไดเ ชนนน้ั .

ชาวประมงที่ลงหาปลาในทะเล ขณะทเ่ี ขาลงดําน้ําหาปลาน้ัน ถาจะมีภัยจากปลาใหญ เชน
ปลาฉลามหรอื ปลาหมอ เขาสงั เกตเหน็ คลื่นใตน้ําเปนทางมากอน ถา รีบข้ึนจากนาํ้ เสยี ทันทกี ็พน ภัย
โดยนยั เดียวกันเหตกุ ารณใ หญๆ ทีจ่ ะมมี าในอนาคตยอมมเี งามากอ น ผมู ีตาดียอมสงั เกตเหน็ และ
..........................................................................................................................................................

๑. ฝนเทียม

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๒๗

คาดการณถ ูกตองดงั ตวั อยางท่ีใหไวแลว สว นเหตกุ ารณใ นอดตี ไกลน้ันยอมท้งิ เงาหรอื รองรอยไวใน
วัตถุสถาน หรอื พน้ื ท่ีน้ันใหค นตาดีหย่งั ทราบไดเชนเดยี วกัน นักปราชญทางโบราณคดีผมู ีความรู
เชยี่ วชาญ หยบิ วัตถุโบราณขึน้ มาช้ินหนง่ึ พิจารณาดอู ยคู รูเดียวกบ็ อกไดวาเปน ของทาํ ในสมยั ไหน
ชนชาตใิ ดเปนคนทาํ การท่ีนักโบราณคดีทราบไดเ ชนน้นั นอกจากรปู ลกั ษณะและความนานของ
วัตถุน้ันเปนเครื่องบอกแลว กระแสจติ ของผสู รางวัตถนุ น้ั ซง่ึ ยังตราติดอยกู ับวัตถุนั้นเปนเครื่องบอก
อกี ดว ย คือพอสมั ผัสวัตถนุ ้ันเขา กระแสจติ อันตราติดอยกู ับวตั ถุก็แลนเขาสมั ผสั กับจติ ใจของผจู บั
ตอ งทนั ที นักโบราณคดีซ่งึ เปนผูละเอียดลออ มีสมาธแิ นว แน จงึ สามารถรับทราบสัมผสั กระแสจิต
น้นั มองเหน็ ภาพความเปนไปในอดตี อาจวาดภาพพสิ ดารกวางขวางไดดวย เราจึงรสู ึกแปลกใจใน
การท่นี กั โบราณคดวี าดภาพเหตุการณข องบานเมืองในอดีตไดเปนคุง เปนแคว คลา ยไดเ ห็นมาดวย
ตาตนเองฉะนนั้ ศาสตราจารยย อรชเซเดส ไดไปสํารวจเมืองอูทอง แรมคืนในที่น้ันเพยี งคืนเดยี ว
เขาสามารถบรรยายภาพเหตุการณข องเมืองอูทองสมัยยงั ดี กบั สมยั เมืองแตก ใหเราฟง อยางกะ
เขาไดเ ห็นกะตาของเขาเอง การทเี่ ปนไดเชนน้ันก็เน่ืองดวยความมีสมาธแิ นว แนของเขา สามารถ
รับสมั ผสั กับกระแสจติ ของคนในอดตี ได ท้งั มองเห็นภาพทางใจคลา ยเหน็ ดวยตาธรรมดาอกี ดว ย
เขาจงึ สามารถบรรยายภาพเหตกุ ารณในอดีตไดด ี และมสี ว นถูกตองตรงกบั ความจริงเปนสวนมาก
ดังเปน ที่ยอมรบั รองความจริงทางประวตั ศิ าสตรน ั้นแลว นอกจากความรเู หน็ เหตุการณในสวนอดตี
และอนาคตแลว ยังมีความรเู ห็นเปนสว นปจ จุบนั เฉพาะหนาอกี ดวย ผูมีจิตใจเปนสมาธิแนวแน
จะสามารถรูเห็นเหตุการณอ ันจะเกิดขึ้นในวนั หนึง่ ๆ ไดล ว งหนากอ นที่เหตุการณน ั้นจะมาถงึ คลา ย
ชาวประมงรจู กั คลนื่ ภยั จากปลาใหญใ นทะเลฉะน้นั เหตกุ ารณประจําวนั โดยมากเปน เหตกุ ารณ
เล็กนอ ยไมสลักสําคญั ถา เปน เหตกุ ารณใ หญโ ตสลกั สําคญั จะมีเงามาปรากฏลวงหนา นานๆ ผมู ี
ญาณจะเหน็ ภาพเหตกุ ารณน่ันลว งหนาแตเวลาเน่ินๆ ญาณทงั้ ๓ สวนนี้แหละเปนสวนประกอบ
ของทิพพจกั ขุญาณ ฉะนั้น จะไดก ําหนดลักษณะญาณ ๓ ประการนไ้ี วพ อเปน ทสี่ งั เกตของผสู นใจ
ศึกษา ดังตอ ไปนี้

๑. อตีตังสญาณ ปรชี าหย่งั เห็นเหตกุ ารณในสวนอดีตกาลนานไกล มลี ักษณะใหม องเห็น
ภาพเหตกุ ารณท ีล่ ว งมาแลวขึ้นในมโนทวาร แลวรวู า เปน เหตกุ ารณอ ะไร แตครง้ั ไหน บคุ คลผมู ี
ญาณชนิดนเี้ ม่ือไปท่ีไหนจะทราบเร่อื งราวของท่ีนัน้ ในสมัยอดตี ตามความเปนจริง เหมือนตนเองได
เห็นมา ถา เปน นกั ประวัติศาสตรจ ะสามารถเขยี นบรรยายเหตกุ ารณบ า นเมอื งนั้นๆ ในสมัยอดีตไดด ี
เปนท่ีนา อัศจรรย เหตกุ ารณท ล่ี วงมาแลวนบั ตัง้ หลายพนั ป หรอื ยิง่ กวา ก็ตาม ภาพของเหตกุ ารณ
น้นั ๆ ยงั เหลือตดิ อยูกับท่นี ั้นไมลบเลอื นไปตามกาลเวลา จิตใจของคนผูอยูอาศัยสถานที่น้นั ในสมยั
น้นั เปนอยางไรก็ยอ มทิง้ กระแสใหตราตดิ อยกู บั วัตถุสถานหรอื พื้นภูมนิ ้ัน ไมลบเลือนไปงายๆ
เชน เดียวกนั อนง่ึ บุคคลผเู คยอยูอาศยั สถานทีน่ ั้น แมตายไปแลว ตง้ั นานๆ วญิ ญาณของเขากย็ งั เฝา
แฝงอยู ณ ทน่ี ้ันกม็ ี สง่ิ เหลานท้ี าํ ใหผ มู ีญาณสามารถเหน็ และรูส ึกทางมโนสัมผัสได จึงสามารถรู
เรอ่ื งราวขนึ้ ได ขาพเจาขอใหขอ สงั เกตสําหรบั ผไู ดอ บรมจติ ในทางสมาธิเพ่ือกาํ หนดรูเหตุการณใ น
อดตี ดงั ตอไปน้ี

ทิพยอาํ นาจ ๑๒๘

ถาทา นไปพกั ณ ท่ีใด ถา ท่ีนัน้ เปน ท่ีซึ่งทานเคยอยอู าศยั หรอื เคยเกิดตายมาแลว เมอื่ ทา น
ทําความสงบใจแมเ พียงขั้นอุปจารสมาธเิ ทา นั้น ภาพเหตกุ ารณในอดีตจะมาปรากฏเกิดขน้ึ ในมโน
ทวาร เหมอื นภาพบนจอภาพยนตรฉะน้ัน แลว จะเกิดญาณหย่ังรูต ามภาพน้นั ข้ึนในลําดบั ถาไมร ู
พึงกาํ หนดถามในใจวา เปนภาพอะไรเมื่อไร แลว ทาํ ความสงบตอ ไปใหเขา ถึงขีดขน้ั ของฌานท่ี ๔
แลว เคลือ่ นจิตออกมาเพียงขนั้ อุปจารสมาธิ กจ็ ะเกิดญาณหยัง่ รูขนึ้ ตามเปนจริง ถาทา นเปน
ผเู ชี่ยวชาญทางจติ จะกินเวลาเพียงไมกีน่ าทกี ็ทราบเรื่องตลอด ถาท่ีน้ันมไิ ดเกย่ี วของกับชวี ิตของ
ทา นในกาลอดีตมาเลย จะไมมีภาพเชน น้ันปรากฏขึ้นเอง ถาทานอยากทราบวา ในอดีตที่น้ันเคย
เปนอะไร พงึ ทําความสงบใจถงึ ขนั้ อปุ จารสมาธิ แลวกาํ หนดถามในใจวา ท่นี ้ีเคยเปนอะไร แลวทํา
ความสงบใจตอไปจนถึงขีดขั้นของฌานท่ี ๔ ย้งั อยใู นฌานพอสมควรแลว จึงเคลอื่ นจิตถอยออก
มาถึงขั้นอปุ จารสมาธิ ภาพเหตกุ ารณในอดีตก็จะปรากฏขน้ึ ตามเปนจรงิ ถา ที่น้นั เคยเปนอะไรมา
กอ นกจ็ ะปรากฏภาพ และจะเกิดญาณหย่งั รขู ้นึ ถา ยังไมรกู พ็ งึ ปฏบิ ตั โิ ดยนัยกอ นก็จะรูเรอ่ื งได.

เพอื่ เปนประโยชนแกนักโบราณคดี และนักประวัตศิ าสตร จะไดสงั เกตและคน ความาเขียน
เรอื่ งราวในสมยั ดกึ ดําบรรพของแหลมทองสูก ันฟง ประดับสตปิ ญ ญา จะวาดภาพแหลมทองในสมยั
๔,๐๐๐ ปก อนโนน ไว ดงั ตอ ไปนี้

นบั ถอยหลงั คืนไปจากปจจุบนั นี้ ประมาณ ๔,๐๐๐ ป แผน ดนิ ที่รกู นั วา สุวรรณภูมนิ ี้ มี
อาณาเขตตัง้ แตฝ ง ตะวันออกของอาวเบ็งกอลไปจดฝง อาวตงั เกย๋ี ดา นเหนือสดุ จดถงึ เทอื กเขา
หิมาลยั ดา นตะวนั ออกดา นใตจดถงึ ชวามลายู ดนิ แดนภายในเขตทกี่ ําหนดน้เี ปน ทอี่ ยูของชนชาติ
เผาผิวเหลอื งหรอื ขาวใส รูปรา งสนั ทัดหนา รูปไข ผวิ พรรณละเอียดเกลี้ยงเกลามชี อ่ื เรยี กวา มงเกา
คือชาติมงคลเกาน่นั เอง บาลีเรยี กวาอริยกชาติ เรียกเสยี ใหมว าอารยนั เกา ก็ได เพราะมีอารยนั ใหม
เกิดข้นึ ทางอินเดียแลว แตเดิมน้ันชนชาตินมี้ ภี มู ิลําเนาอยแู ถบเชิงเขาหิมาลัย ดา นตะวันออก ตรง
เหนอื อา วเบง็ กอล เมื่ออารยนั ใหมคอื ชนชาติผวิ ขาวหลง่ั ไหลลงมาจากดานเหนอื เขาหมิ าลยั ขาม
ตรงที่ลาดต่าํ ของเขาหิมาลยั ดา นตะวันตก ยกเขา ครอบครองผนื แผนดินเหนอื อานเปอรเซยี แลวรน
มาทางตะวนั ออกจนถึงใจกลางชมพูทวปี รุกไลเ จาของถิ่นเดมิ คอื ชนชาติผวิ ดําใหร นลงไปทางใต
สุดของชมพทู วีป และรุกเบยี ดชาตมิ งเกา ใหร ดุ หนา มาสูสวุ รรณภมู ิย่งิ ข้นึ เม่ือชาติมงเกาเขามา
ครอบครองสุวรรณภมู กิ ็ไดครองความเปน เจา เปนใหญทั่วไป เพราะมีวัฒนธรรมดกี วาเจา ของพืน้ ท่ี
ซ่ึงเปน ชนชาตปิ า เถอื่ นท่ัวไป ไดม กี ารปกครองกันโดยระเบียบเรียบรอย เปนอาณาจักรหลาย
อาณาจกั ร คือผนื แผนดนิ ท่ีเปน ประเทศพมามอญเดี๋ยวนี้ ดานตะวันตกจดอา วเบ็งกอล ดาน
ตะวันออกจดถึงเขาธงไชย ดา นใตจดถงึ ฝง ทะเล ดา นเหนอื จดถงึ แดนภตู ันตะ เชิงเขาหิมาลยั มี
ช่ือเรียกในครงั้ นัน้ วาสธุ รรมวดี มนี ครหลวงชือ่ สธุ รรมนคร ตงั้ อยูฝง ทะเลใตป ากอา วเบง็ กอลลงไป
ท่เี รียกในบัดน้ีวา เมืองสะเทมิ ผืนแผน ดินทเี่ ปนแหลมยน่ื ลงไปในทะเล ต้งั แตเหนอื จงั หวดั นครปฐม
ลงไปจนถึงชาวมลายอู าณาจกั รหน่ึง มีชื่อเรียกในครั้งนนั้ วา ศรีวชิ ัย มีนครหลวงชอื่ นครชัยศรี ตั้งอยู
ท่ีฝง ทะเลตรงจังหวัดนครปฐมเดี๋ยวนี้ เปนเมืองทาคา ขาย ผนื แผนดินแถบเขาบรรทดั ดา นใต ตง้ั แต
สดุ แหลมทองตะวันออกไปจนจดเขาธงไชยทางตะวนั ตก ดา นเหนอื ถงึ ทตี่ ้ังจงั หวัดอุตรดิตถเ ดย๋ี วน้ี
ดานใตจ นเขตศรีวิชยั ราวเมอื งสุพรรณบุรี เปนอาณาจกั รหน่ึงมีชื่อเรียกในครงั้ นั้นวา ทวาราวดี มี

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๒๙

นครหลวงชือ่ สุรบุรี ตง้ั อยูฝง อา วทางตะวนั ออกใตพระพทุ ธบาทสระบรุ ีลงไปหนอ ยหนงึ่ เมอื งลพบุรี
เวลานั้นเปนเมืองปากอา วภาคเหนือของประเทศไทยในปจ จุบนั และเลยข้นึ ไปจนถงึ ดินแดนท่ี
เปนมหรฐั ตุงคราศรีเด๋ยี วนี้ เปนอาณาจกั รหนงึ่ มชี ือ่ เรียกในครงั้ นนั้ วาโยนก มีนครหลวงชือ่ ชยเสนะ
ต้ังอยฝู งแมน ํ้าโขงตอนเหนือภาคอิสานของประเทศไทยในปจจบุ ัน และดินแดนทเี่ ปนประเทศลาว
บัดน้ี เปนอาณาจักรหน่งึ มีชอื่ เรยี กในคร้ังนั้นวาพนม มีนครหลวงช่ือโพธิสาร ตัง้ อยูบนเกาะใน
ทะเลสาบตรงท่เี ปน เมอื งสกลนครเดยี๋ วนี้ ผนื แผน ดินในท่ีลุม ราบของแมน้าํ โขงตอนบนดาน
ตะวนั ออกเขาหมิ าลยั มที ะเลสาบใหญ ๒ แหง คอื หนองแส และกาหลง ดานเหนือจดเขาลา นชาง
ดา นใตจดเขาลา นชอ ง ดานตะวันออกจดเขาอวายลาว ดา นตะวันตกจดแดนภูตันตะเปนอาณาจกั ร
หนง่ึ มีช่อื เรยี กในครง้ั น้ันวา แถน มีนครหลวงช่อื เมอื งหนองแส หรือเมอื งแถน ตัง้ อยรู ิมทะเลสาบ
หนองแส ภายหลังมาแยกเปนสองอาณาจักร ตอนใตเรียกชื่ออาณาจกั รวาแมน ตงั้ อยูฝง ทะเลสาบ
กาหลง แมน ้ําสําคญั ของสองอาณาจกั รนี้ นอกจากแมน ํา้ โขงซึง่ ไหลผา นจากเหนอื ลงใตท างดา น
ตะวนั ตกของอาณาจกั รแลว อาณาจกั รแถนมแี มน า้ํ ลูกยางไหลผา นไปตะวันออก ตกทะเลจีน สว น
อาณาจักรแมนมีแมนา้ํ บง้ั ลมกบั บ้งั ไฟ ออกจากทะเลสาบกาหลงใหลไปตกทะเลกวางตุง อีก
อาณาจกั รหนง่ึ ซ่ึงเปน ของชนชาตเิ ผา ผวิ เหลืองเหมือนกัน ต้ังอยูตรงผนื แผนดนิ สวุ รรณภูมดิ า น
ตะวันออก มแี มนํา้ สาํ คัญคือแมนํ้าดําและแมน ํ้าแดง ออกจากเขาลานชองไหลไปตกทะเลตงั เกีย๋
ผืนแผน ดนิ ยาวไปตามชายทะเลจากเหนอื ลงใตถงึ ที่เปนประเทศเขมรบัดน้ี เรียกชอื่ อาณาจกั รใน
คร้ังน้ันวาจลุ ลณี หรอื ณีเฉยๆ มนี ครหลวงช่อื อารวี หรอื วีเฉยๆ สมัยหลงั ตอ มาเรยี กเมอื งหลานาํ้
ประชาชนชาตเิ ผา ผวิ เหลืองในอาณาจักรดงั กลาวท้งั หมดนพี้ ูดภาษาเปนคาํ พยางคเ ดียวโดดๆ แต
ละคํามีความหมายตายตวั เปนถอยคาํ ฟง เขา ใจงายและไพเราะสละสลวย มีหลกั ภาษาเปน ระเบยี บ
แบบแผน เปนภาษาเดยี วกนั กบั ชนชาติเผา ผวิ เหลอื ง ซึง่ ยงั อยู ณ ดินแดนเดมิ แถบเชิงเขาหมิ าลยั
เหนอื อา วเบ็งกอลขึน้ ไป ในสมัยพุทธกาลหมอชวี กโกมารภจั จไปทลู ลาพระผมู ีพระภาคเจา ไปอยใู น
ราชสํานักพระเจากรุงศรีวิชยั ในสุวรรณภูมนิ านถงึ ๑๒ ป ครั้นกลบั ไปกรุงราชคฤห ประเทศมคธ
แลวไดไ ปเฝา พระผูมพี ระภาคเจากราบทลู สนทนาดว ยภาษาชาวสุวรรณภมู ิ ซง่ึ พระผูมพี ระภาคเจา
ก็ตรัสดวยไดอ ยา งสนกุ สนาน หมอชีวกหลากใจจงึ กราบทลู ถาม ตรสั ตอบวาเปนภาษากาํ เนดิ ของ
พระองคเ อง ชาวศากยะพูดกนั ดว ยภาษานี้ หมอชีวกจึงกราบทูลชมวาเปน ภาษาไพเราะสละสลวย
ฟง เขา ใจงา ย แตละคํามคี วามหมายตายตวั หลังพุทธปรนิ พิ พานตอ มาประมาณ ๓๐๐ ปเ ศษ พระ
โสณเถระกบั พระอุตรเถระเปนหัวหนา คณะ ถกู จดั สงมาทาํ การเผยแผพ ระพทุ ธศาสนาในสวุ รรณ
ภูมิ ทา นขามอา วเบ็งกอล ข้นึ บกทีเ่ มอื งสธุ รรมนคร ประเทศสธุ รรมวดี เดนิ มาสูนครชัยศรี ประเทศ
ศรีวิชัย แลว เลยี บอา วขึ้นมาลพบุรี สรุ บุรี ประเทศทวาราวดี ขน้ึ เหนือไปโดยลาํ ดับถงึ ประเทศโยนก
ซ่งึ มเี มืองชยเสนะเปนราชธานี ที่ทราบกันในภายหลงั นวี้ า เมืองเชยี งแสน แลว ลอ งลงไปตามลํา
แมน้ําโขงถึงประเทศพนม ซึ่งมีเมอื งโพธิสารเปนราชธานี ไดยับยงั้ ทําการอยปู ระเทศนี้นาน
พระพทุ ธศาสนาเจริญรงุ เรอื งในประเทศนี้มาก ไดจ ัดสง ปราชญแหงประเทศนีไ้ ปทําการเผยแผ
พระพทุ ธศาสนายงั อาณาจักรแถน แมน และจลุ ลณี จนถงึ อาณาจกั รจนี เปนทีส่ ดุ พระพุทธศาสนา
ไดหยง่ั รากฐานลงในดินแดนสวุ รรณภูมิต้งั แตพ ทุ ธศตวรรษที่ ๔ เปนตนมาจนถงึ ปจจุบันบัดน้ี

ทิพยอํานาจ ๑๓๐

ประชาชนเผาผิวเหลืองดเู หมอื นจะถอื วา เปนพระศาสนาของพระมหามนุ ี แหง เชือ้ ชาตขิ องตนเอง

ซ่งึ จะละทงิ้ เสยี มิไดท ีเดียว.

๒. อนาคตงั สญาณ ปรชี าหยง่ั เห็นเหตกุ ารณใ นอนาคตไกล มลี กั ษณะมองเหน็ ภาพ

เหตุการณอนั จะมใี นอนาคตซึง่ ปรากฏชดั ในมโนทวาร แลวหยั่งรวู าเปนเหตกุ ารณอะไร จะเกิดขนึ้

เมอ่ื ไร ณ ที่ไหน บุคคลผูมีญาณชนดิ น้ีสามารถพยากรณเหตุการณอนาคตไดแ มน ยําดจุ ตาเห็น ดัง

สมเดจ็ พระบรมศาสดาทรงพยากรณวา บา นปาฏลีจะเปน ทแ่ี กห อสนิ คา ในอนาคต และจะเปนมหา

นครเจรญิ รุง เรือง ซง่ึ ตอมาไมนานกเ็ ปนจรงิ ดังพยากรณ ทุกวันนกี้ ็ยังคงเปนเมืองทาทส่ี าํ คัญแหง

หน่ึงของอนิ เดยี คอื ปฏนา ซ่งึ แตก อ นเรยี กวาเมอื งปาฏลบี ุตร เปนนครหลวงของอินเดีย รุง เรอื ง

ที่สดุ ในสมยั พระเจาอโศกมหาราชครองชมพทู วีป ไดทรงพยากรณว า พระอานนทจ ะทรงบรรลุภมู ิ

พระอรหันตใ นวันเร่มิ ทาํ ปฐมสังคายนา กส็ มจรงิ ดงั ทรงพยากรณ ไดทรงพยากรณเหตุการณ

เก่ยี วกบั พระศาสนาของพระองคไวห ลายเรอื่ งหลายตอน ระบุช่อื บุคคลผูจ ะเปน หวั หนา ทํา

สงั คายนาไวถูกตอ งหมดทุกคร้งั ท้งั ๓ ครง้ั ท่ีทําในชมพูทวปี ทรงพยากรณเ หตกุ ารณของพระ

ศาสนาในสมัย ๒,๐๐๐ ปไวก ็ถกู ตอ ง และทรงพยากรณเ หตกุ ารณข องโลกไวก ถ็ กู ตอ งมาแลวเปน

สว นมาก ดังไดเลา ไวในเบือ้ งตนของเร่อื งนี้ พระมหาโมคคลั ลบี ุตรตสิ สเถระเลง็ เห็นวา ตอไปเบือ้ ง

หนา พระพุทธศาสนาจะอนั ตรธานจากชมพูทวีป ขอพระบรมราชูปถมั ภจัดสง พระเถระไปทําการ

เผยแผพระพุทธศาสนายังนานาประเทศ เหตกุ ารณกเ็ ปน จรงิ ตามนัน้ ในเมอ่ื พระพุทธศกั ราชลวงได

พันปเ ศษ ประเทศอินเดียตองสูญจากพระพทุ ธศาสนามาประมาณเกอื บพันป เราตองเปนหน้ีปรีชา

ญาณสว นนีข้ องพระมหาโมคคัลลีบตุ รตสิ สเถระอยา งมากมาย มคี ําทาํ นายวา สมยั กงึ่

พระพทุ ธศาสนาจะมขี ึ้นถงึ ขีดสงู สดุ คลายสมัยพุทธกาล จะมีผูบรรลุมรรคผลนพิ พานถงึ ภูมพิ ระ

อรหันต เชย่ี วชาญทางอภญิ ญา และพระมหาเถระโพธสิ ตั วผ มู ีบญุ ญาภนิ หิ ารในสุวรรณภมู ิจะไดร ับ

เกียรตเิ ปนประธานาธบิ ดสี งฆส ากล จะทาํ การเผยแผพ ระพทุ ธศาสนาไปทว่ั โลก ต้งั ตนทีอ่ ินเดียไป

ยุโรปและอเมรกิ า มหาชนชาวโลกจะหันมานับถือพระพทุ ธศาสนาเปน อันมาก โลกจะรม เย็นเปน

สุขดว ยรม เงาของพระพุทธศาสนา ดงั นี้ ขา พเจา ไดเรยี นถามพระอาจารยภรู ทิ ตั ตเถระ (มั่น) วาคํา

ทาํ นายโบราณนจี้ ะเปนจริงไหม ทานวา เจาพระคุณพระอุบาลีคณุ ูปมาจารย (สริ จิ ันทเถระ จันทร)

บอกวาจรงิ เม่ือขาพเจา ถามถึงความเห็นเฉพาะตัวของทาน ทา นก็บอกวาเปน จรงิ เวลานีก้ ็จวนถงึ

แลว เราคอยดตู อ ไป.

วธิ ีการกําหนดรูเหตกุ ารณใ นอนาคต สําหรบั ผูอ บรมจติ ใจน้นั เปน ดงั นี้ เมื่อตอ งการอยาก

ทราบเหตุการณในอนาคตของโลก ของพระศาสนา หรอื ของตนเอง พงึ ทําความสงบใจถงึ ขน้ั

อปุ จารสมาธิ แลว นกึ ถามข้นึ ในใจวาจะมเี หตกุ ารณอ ะไรเกดิ ข้ึนแกโลก แกพระศาสนา หรอื แก

ตนเอง แลวพึงทาํ ความสงบตอ ไปจนถึงขดี ขนั้ ของฌานท่ี ๔ แลว พึงเคลือ่ นจติ ถอยออกมาถงึ ข้ัน

อปุ จารสมาธิ ถาเหตุการณอะไรจะมีข้ึนก็จะปรากฏภาพเหตกุ ารณน ้นั ขึน้ ในมโนทวาร จะเกิดญาณ

หย่งั รูขน้ึ ในลําดบั นน้ั ดว ย แตถา ไมรพู งึ กาํ หนดถาม แลวเขาสูความสงบดังวธิ ที ่กี ลา วแลว ในขอ

อตตี ังสญาณนั้น ก็จะทราบได ทานผูเชีย่ วชาญทางจติ ใจอาจรเู หน็ ไดโดยมิตอ งทาํ การกาํ หนดรูดังที่

วาน้ี เพราะจติ ใจของทานบริสุทธ์แิ จม ใสประดจุ กระจกเงาบานใหญ เหตุการณอะไรจะเกิดขึน้ ที่

ทพิ ยอํานาจ ๑๓๑

ไหน เมือ่ ไร จะมีเงาปรากฏทจ่ี ิตใจของทา นเสมอไป บางทานอาจใชว ิธอี ธิษฐานไววา ถาจะมี
เหตกุ ารณอะไรเกิดขึ้นขางหนา จงปรากฏใหทราบลว งหนา เมอื่ ถงึ เวลาใกลเหตุการณจ ะเกดิ ขึน้ เงา
ของเหตกุ ารณจ ะมาปรากฏท่จี ติ ใหท า นทราบดังนี้ก็มี แตบางทานเกรงวา การกาํ หนดรกู ด็ ี การ
อธิษฐานไวก ็ดี จะทําใหเ กดิ สัญญาลวงขนึ้ ได จึงไมย อมทาํ อะไรอยา งอืน่ นอกจากการทําการชําระ
จิตใจใหบ ริสุทธิ์ผอ งใสไวป ระดุจเงาบานใหญ ใหเ งาเหตุการณม าปรากฏขนึ้ เอง.

๓. ปจจุปนนงั สญาณ ปรชี าหยงั่ รหู ย่ังเหน็ เหตุการณในปจ จุบัน มลี กั ษณะใหม องเห็นภาพ
เหตกุ ารณอ ันจะเกิดขึน้ ในระยะกาลใกลๆ และรไู ดวา เปนเหตกุ ารณอ ะไร จะเกดิ ขน้ึ ท่ีไหน อยา งไร
กบั มลี กั ษณะใหม องเหน็ เหตุการณจ ําเพาะหนาไดแ จม แจง มีปฏภิ าณทนั เหตกุ ารณน ั้นๆ ดว ย
บคุ คลผูมีญาณชนิดน้จี ะสามารถนาํ ชีวติ ผา นเหตุการณทีน่ าหวาดเสียวไปไดอยางนาอศั จรรย ซึ่งไม
นกึ ไมฝ น วา จะเปน ไปได จะมปี ฏิภาณทนั กบั เหตุการณท กุ ครั้งไป เหตุการณท จ่ี ะมขี ึ้นในชวี ิต
ประจําวนั ยอมปรากฏเปนภาพนิมติ ในขณะหลบั หรอื ในขณะทําสมาธิ มลี ักษณะที่พึงสาํ เหนียก
ดังตอไปน้ี

(๑.) กามคุณ คือลาภผลสกั การะ มักจะปรากฏภาพนมิ ติ เปน ภาพสตรี เดก็ ดอกไม มือ
อจุ จาระ นํ้าหลาก ข้นึ ในมโนทวารขณะทําความสงบใจ หรอื มิฉะน้ันกใ็ นขณะหยงั่ ลงสคู วามหลับ
ถา ภาพท่ีเห็นเปนสง่ิ ประณีตบรรจง ลาภผลสักการะท่ีจะบงั เกิดกป็ ระณีตบรรจง ถาเปน ภาพส่งิ
สกปรกลามก ลาภผลสักการะท่ีจะบงั เกดิ ก็สกปรกเศราหมอง ถาเปนภาพน้ําหลากจะเกิดลาภผล
สกั การะเหลือเฟอ ถาในขณะท่ภี าพนมิ ิตปรากฏนัน้ ใจสะเทือน แสดงวา จะเกิดความยนิ ดียินรายใน
ลาภผลสักการะ ถาใจเฉยๆ ก็จะมอี เุ บกขาธรรมในอารมณค ือลาภผลสักการะนนั้ .

(๒.) นนิ ทา ปสงั สา คือความนินทาและสรรเสรญิ เม่ือจะเกดิ ข้นึ มักจะปรากฏเปนภาพชาง
เย่ยี มหนา ตา ง สองกระจก หรือมองเห็นหนา ตาตวั เอง ขึ้นในมโนทวารขณะทาํ ความสงบใจหรือ
ขณะหยงั่ ลงสูค วามหลับ ถา ปรากฏวา ใจสะเทือนตอภาพนมิ ติ นนั้ แสดงวาจะเกิดความยนิ ดยี ินรา ย
ในนินทาหรอื สรรเสริญนั้น ถาใจเฉยๆ แสดงวาจะมอี เุ บกขาธรรมในนินทาและสรรเสรญิ .

(๓.) สุขัญจทุกขงั คือความสุขและความทกุ ขจ ะเกิดข้นึ มักจะปรากฏภาพนมิ ติ เปน อากาศ
โปรง ที่อยสู วยงาม นํา้ พุพงุ เปน ฝอย แสดงวา จะอยูเย็นเปนสุขสบาย ถาภาพนมิ ิตปรากฏเปน ภาพ
ลุยโคลนตม เดินทชี่ ื้นแฉะ นอน แตงตัวดวยอาภรณใ หมๆ ปลงผม กินอาหาร แสดงวา จะเกิด
เจ็บปว ยไมผ าสกุ สบายขึ้น ถาปรากฏวา ใจสะเทือนตอ ภาพนิมิตแสดงวาจะเกดิ ความยนิ ดยี ินรายใน
สุขและทกุ ข ถา ใจเฉยๆ แสดงวา จะมอี เุ บกขาธรรมในสุขและทกุ ขน ้นั .

(๔.) กิจจากจิ จงั คือการทาํ ส่งิ เปนประโยชนแ ละไรประโยชนจ ะเกิดขึน้ มักจะปรากฏภาพ
นิมติ เปนภาพเดนิ บนสะพาน เหน็ รั้วเห็นสะพาน เหน็ กาํ แพง ขา มรั้วกาํ แพง มสี ิ่งขวางหนา แสดง
วา จะไดทํากจิ เปน ประโยชนหรือไรประโยชนตามลกั ษณะนิมติ นัน้ ถา ใจสะเทอื นในขณะภาพนิมติ
ปรากฏแสดงวาจะเกดิ ความยนิ ดยี ินรา ยในการทํากิจ ถาใจเฉยๆ แสดงวา จะมีอุเบกขาธรรมในขณะ
ทาํ กจิ นนั้ ๆ.

(๕.) ยสายสงั คือความมยี ศและความไรยศจะเกดิ ขึ้น มักปรากฏภาพนมิ ิตเปน ภาพไตภูเขา
ปน ที่สงู ขั้นบันได ขึ้นปราสาท ขึ้นเจดีย แสดงวาจะไดย กยองเชิดชูไวในตําแหนง หรือเกียรติ ถา

ทพิ ยอํานาจ ๑๓๒

ปรากฏภาพวา ไตปา ยปนหรือขนึ้ ท่ีนน้ั ๆ ดว ยความลําบากและล่นื ไถลพลัดตกลง แสดงวา จะเสอ่ื ม
ความยกยอ งในตําแหนงหรือเกยี รติ หรอื ถึงกบั เสียยศเสยี ศกั ดิท์ เี ดียว ถา ใจสะเทือนในขณะปรากฏ
ภาพนมิ ติ จะเกิดความยนิ ดียินรา ยในยศหรอื อยศน้นั ถาใจเฉยๆ กจ็ ะมอี เุ บกขาธรรมในยศหรืออ
ยศทีเ่ กิดขนึ้ น้ัน.

(๖.) ชยาชยัง คอื ความมีชยั -ปราชยั จะเกิดขึ้น มักจะเกดิ ภาพนิมิตเปน ภาพพายเรือในนาํ้
หรอื บนบก ลอยคอในนาํ้ ถา พายเรือในนํา้ จะปราชยั ถา พายเรอื บนบก หรือลอยคอในน้ําจะไดชยั
ชนะ ถา ในขณะปรากฏภาพนมิ ิตนนั้ ใจสะเทอื นก็จะเกิดความยนิ ดยี ินรายในชัยชนะหรอื ปราชยั
ถาใจเฉยๆ กจ็ ะมีอุเบกขาธรรมในชัยชนะหรอื ปราชยั นัน้ .

ไดน ําลักษณะภาพนมิ ติ และการตคี วามหมายมาไวใหสงั เกตเพยี งบางสว น ผสู นใจพึงศกึ ษา
สาํ เหนยี กดวยตนเองก็จะทราบไดด ี ขอสําคญั อยา ตง้ั ความรงั เกยี จและอยา ติดนิมติ อันเกดิ ข้นึ พึง
วางใจเปนกลางแลวศกึ ษาสาํ เหนยี กเพ่อื รูเทาทนั ก็จะเกิดญาณในสว นปจจุบันอยา งดใี นกาลตอไป.

เม่ือไดทาํ ความเขา ใจลกั ษณะญาณในกาลทัง้ ๓ กาลอนั เปนสว นประกอบทิพพจักขญุ าณ
ฉะนี้แลว พึงทําความเขาใจลกั ษณะทิพพจกั ขญุ าณโดยเฉพาะตอ ไป ทิพพจกั ขญุ าณมีลกั ษณะเห็น
รูปทพิ ยท้ังปวง คอื เหน็ เทพเจา ตง้ั แตภาพพืน้ ดนิ ขึ้นไปจนถงึ พรหมโลก เหน็ สิง่ ในระยะไกล คือมอง
ทะลไุ ปในสากลจักรวาล เห็นสิง่ ลี้ลับคือสิง่ มอี ะไรกาํ บัง เหน็ สภาพจติ ใจของบุคคลอนื่ สตั วอ ื่น มี
รายละเอยี ดดังตอไปนี้

๑. เหน็ รูปทิพย คอื เทพเจา นนั้ มีลกั ษณะการเห็นเชนเดยี วกับเห็นดวยจักษธุ รรมดา เม่ือ
เทพเจามาหารอื วาไปพบเขา ณ ทใ่ี ดๆ ผมู ที ิพพจกั ขยุ อ มเห็นและพูดจาสนทนากับเขาได
เชนเดยี วกบั เห็นคนและพูดจาสนทนากบั คนไดฉะน้ัน สว นการเห็นผีน้ัน แมผ มู ีฌานจกั ษุกอ็ าจเหน็
ได ไมต องถงึ มีทพิ พจกั ข.ุ

รปู ทพิ ย เปนรูปทผี่ องแผว ใสสะอาดเหมอื นแกว และเบาวอ งไว มีรศั มีสวา งรงุ เรืองเปน
ปริมณฑล ท่ีเรียกวา สวา งท่ัวทศิ ในสํานวนบาลี เพราะเปนรูปสาํ เรจ็ ดวยใจหรือสญั ญาของเขา ผมู ี
ทิพพจกั ขทุ ่บี ริสุทธิ์ผอ งใสเทา นัน้ จงึ จะเหน็ รปู ทพิ ยไ ด ขณะทเ่ี ทพเจา มาปรากฏกายเฉพาะหนา
น้นั จะมรี ศั มสี วา งรงุ เรืองมากอน ครนั้ แลว ก็จะเห็นเทพเจา โดยรปู ลักษณะสสี ันวรรณะตาม
บญุ ญานุภาพของเขา เหมอื นเห็นคนในท่เี ฉพาะหนา ฉะนัน้ เม่อื เขามีกิจธรุ ะอะไร เขาก็จะรบี บอก
ใหทราบ เพราะเขาอยไู มน าน และอยากจะทราบอะไรจากเขา หรือมกี จิ ธุระอะไรทีจ่ ะพูดกบั เขาก็
ตองรบี พูด พดู เสรจ็ ธุระเขาจะลาและหายวับไปทันที การท่ีเทพเจา ไมสามารถยง้ั อยไู ดน านในแดน
มนุษย ก็เพราะทนกล่ินไมไ หว แตถา มาหาผูมีศีลบริสทุ ธ์แิ ลวคอ ยยังชัว่ เพราะกลิน่ ศลี กลบกลนิ่
สาบของมนษุ ยไดบาง ดังคําวา สลี คนฺโธ อนุตฺตโร กลนิ่ ศลี เยี่ยมกวากลน่ิ ทง้ั หลาย มจี ันทนแ ละ
กฤษณาเปนตน เพราะหอมทวนลมไปไดไกล แลว มานมสั การและฟง ธรรมตามเวลาอนั ควร ดังเทพ
เจา ไปเฝา ฟงพระธรรมเทศนาหรือถามปญ หากะพระบรมศาสดาฉะนัน้ วธิ ีฝก ฝนจติ เพื่อใหเกิด
ญาณทสั สนะรเู หน็ เทพเจา ไดน้ัน ตรัสเรียกวา อธเิ ทวญาณทสั สนะ และตรัสยนื ยนั วา เมอ่ื อธิเทว
ญาณทัสสนะของพระองคย ังไมบรสิ ุทธแ์ิ จมใสเพียงใด ยังไมทรงปฏิญาณวาตรัสรูพระอนตุ ตรสัมมา
สัมโพธญิ าณเพียงนัน้ ตอ เม่ืออธิเทวญาณทัสสนะของพระองคบ ริสุทธผ์ิ อ งใสดแี ลว จงึ ทรงปฏญิ าณ

ทิพยอาํ นาจ ๑๓๓

วา ตรสั รพู ระอนตุ ตรสัมมาสมั โพธญิ าณ จะไดน าํ วธิ ฝี ก เพอ่ื อธเิ ทวญาณทัสสนะมาตง้ั ไวพ อเปน
แนวทางปฏบิ ัติของผูใครปฏิบัติ ดังตอไปน้ี

พระผมู ีพระภาคเจา เม่อื คราวประทับตาํ บลคยาสสี ะ ไดต รสั เลา วธิ ีฝก สมาธเิ พือ่ อธิเทว-
ญาณทสั สนะไวว า

(๑.) เมอ่ื พระองคย งั เปน โพธสิ ัตวกอนหนา ตรสั รู ไดรูจักโอภาส (คอื แสงสวางทางใจ) แตไ ม
เห็นรปู ทง้ั หลายได จงึ ทรงต้ังความมงุ หมายเพ่ือเห็นรูป.

(๒.) เมือ่ พากเพียรไป ไดเห็นรปู ดังพระประสงค แตไ มสามารถยับย้งั สนทนาปราศรัยกับ
เทพเจา ได จึงทรงต้งั ความมงุ หมายเพ่ือสามารถยับย้ังสนทนาปราศรัยกับเทพเจา.

(๓.) เมอ่ื พากเพยี รไป ไดสามารถยบั ยัง้ สนทนาปราศรยั กบั เทพเจา ได แตไ มท ราบวา เทพ
เจาเหลาน้ันมาจากเทพนิกายใด จึงทรงตงั้ ความมงุ หมายเพ่อื ทราบ.

(๔.) เม่อื พากเพยี รไป ไดทราบเทพเจา เหลา น้ันวามาจากเทพนกิ ายนี้ เทพนิกายโนน สม
ปรารถนา แตไมท ราบวา ไดเปนเทพเจา ดวยกรรมอะไร จึงทรงตงั้ ความมงุ หมายเพอ่ื ทราบ.

(๕.) เม่อื พากเพยี รไป ก็ไดท ราบตามความมุงหมายขอ ๔ แตยังไมทราบวา เทพเจาเหลา นั้น
มอี าหารอยา งไร เสวยสุขทกุ ขอยา งไร จงึ ตั้งความมงุ หมายเพือ่ ทราบ.

(๖.) เมอื่ พากเพยี รไป ไดทรงทราบตามความมุงหมายขอ ๕ แตย งั ไมทราบวาเทพเจา
เหลานนั้ มอี ายุเทาไร จะดาํ รงอยนู านเทาไร จึงทรงต้ังความมงุ หมายเพ่ือทราบ.

(๗.) เมอ่ื พากเพียรไป ไดท ราบความมุงหมายขอ ๖ แตยังไมทราบวาเทพเจา เหลา นั้นเคย
อยรู ว มกับพระองคม าหรือไม จึงทรงตง้ั ความมุง หมายเพ่ือทราบ.

(๘.) เพอ่ื พากเพียรไป ก็ไดท รงทราบตามความมงุ หมายขอ ๗ น้ันสมดังปรารถนา.
แลวตรสั ย้าํ ในท่ีสุดวา ภกิ ษทุ งั้ หลาย! อธเิ ทวญาณทัสสนะมปี รวิ ัฏ ๘ ประการน้ียงั ไมบริสุทธ์ิ
ดีเพยี งไร เราก็ยังไมไดต รสั รูพระอนตุ ตรสัมมาสัมโพธิญาณเพยี งนน้ั เมือ่ ใดอธเิ ทวญาณทัสสนะมี
ปริวฏั ๘ ประการนี้บรสิ ุทธด์ิ ีแลว เมอ่ื นั้นเราจึงไดต รสั รพู ระอนุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณแจง ชัด
ญาณทัสสนะไดเกดิ แกเ ราวา เจโตวมิ ตุ ตขิ องเราไมกําเรบิ ชาตนิ ้ีเปน ชาติสดุ ทาย ภพใหมไ มม อี กี
ดังน้ี รวมใจความของวธิ ีตามท่ีตรสั น้ีไดวา
ก. ทําใหเกดิ โอภาส คือแสงสวาง โดยวธิ ีดังจะกลาวขา งหนา.
ข. ดํารงสมาธิไวใ หไดนานท่สี ุดที่จะนานได.
ค. สาํ เหนยี กเพอื่ รูเรือ่ งควรรูเกี่ยวกบั เทพเจานนั้ จนรูหมดทุกประการ.
เมอื่ มีอธเิ ทวญาณทัสสนะ ๘ ประการนีแ้ ลว ชือ่ วา มีทิพพจกั ขุ เห็นรปู ทพิ ยได.
๒. เห็นสิง่ ในระยะไกลนั้น ไดแกมคี วามสามารถแผรัศมคี วามสวางทางใจ ไปทวั่ สากล
จกั รวาล แลว มองเหน็ สิ่งทม่ี ีอยภู ายในรศั มแี สงสวา งนั้น โลกธาตุมอี ยู ณ ท่ีใดๆ กม็ องเห็นหมด
รูปลกั ษณะสณั ฐานของโลกเราน้ีกม็ องเหน็ ไดช ัด เหมอื นมองเห็นสงิ่ เลก็ นอ ยบนฝามอื ไดฉะน้นั
สภาพบา นเมือง ถนนหนทาง ถ้ําภูเขาเลากาหรอื พ้นื ภมู ิประเทศซึง่ ยังไมเ คยไปเห็นเลยก็จะมองเห็น
ตรงกบั สภาพที่เปนจรงิ ทกุ ประการ พระบรมศาสดาเสดจ็ ไปท่ีไหนไมตองตรสั ถามทาง และไปถกู ก็
ดว ยญาณชนดิ น้ี พระกมั มฏั ฐานรนุ เกา พวกหนง่ึ ฝกหัดเดินธุดงคไปในที่ตา งๆ ไมยอมถามถึงหนทาง

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๓๔

ท่ีจะไป ใครจ ะไปท่ีไหนกก็ ําหนดในใจแลวไป ชั้นแรกจะหลงทางวนเวียนปว นเปยนไปมา แตก ็
อดทนเอา ในที่สุดก็จะเกดิ ญาณทางดวงใจ รจู ักทางไปกําหนดทิศทางไดแ มนยาํ เดนิ ลดั ตดั ตรงไปสู
ท่ีหมายปลายทางไดด กี วา คนธรรมดาท่ชี ํานาญทางในทางนั้นเสียอีก จนถงึ บางทา นมีคนเลา ลือวา
ยนหนทางได ซง่ึ เปนฤทธ์ิประการหนงึ่ แตความจริงเปนเพยี งรจู ักทางลดั ตัดตรงเทาน้นั .

๓. เหน็ สงิ่ ลล้ี บั ไดน้นั คอื สามารถมองทะลเุ ครอ่ื งกดี ขวางกําบังได เชน ฝา กาํ แพง ภเู ขา
หรอื วัตถใุ ดๆ ก็ตาม แลวมองเหน็ ส่งิ ซ่งึ ตอ งการเหน็ อันซอ นเรนปดบังในภายในเครอื่ งกาํ บงั นั้นๆ
ความสามารถในการนส้ี ําเร็จขึ้นไดดว ยอํานาจใจบริสทุ ธ์ผิ ดุ ผอง ปราศจากเครอ่ื งหมองมวั ในภายใน
ใจเชนน้ันยอ มเปนที่ตั้งแหงทิพยอนิ ทรียอ ยา งดี ธรรมชาตใิ จยอ มไปไดใ นทที่ งั้ ปวง ไมม ีติดขดั เม่อื
ไปไดในทท่ี ้ังปวงไมต ดิ ขัด กย็ อมเห็นไดในทท่ี ง้ั ปวงไมตดิ ขัดเชนเดยี วกัน ฉะนัน้ จึงสามารถเห็นสิง่ ล้ี
ลบั ไดในเมอื่ ประสงคจะดู แตธรรมดาผกู า วข้นึ สูภูมิศีลธรรมอันดีจนถงึ มที ิพพจกั ขนุ ้ี ยอ มไม
ปรารถนาดซู อกแซกไปในสง่ิ ท่ไี มค วรดูควรเห็น ไมเ หมือนคนธรรมดาผูไมมตี าชนิดน้ี มักจะ
ปรารถนาเหน็ ในส่งิ ทไ่ี มควรเห็น เหมอื นเด็กๆ ชอบดูอะไรตออะไรซอกแซก แตครั้นบรรลคุ วามเปน
ผใู หญแ ลวนสิ ยั ชอบดอู ยางเด็กๆ น้ันกห็ ายไปฉะนนั้ .

๔. เหน็ จติ ใจของคนอื่นได คือสามารถมองเหน็ ลกั ษณะสภาพจิตใจของคนอื่น สัตวอ ื่น
ถกู ตองตรงกบั ความจรงิ จิตใจของบุคคลธรรมดายอ มประกอบดวยรูปลกั ษณะแสงสี๑ และกระแส
อนั เปนวสิ ยั แหงทิพพจกั ขไุ ดด ังนี้

ก. จติ สัมปยุตตดวยราคะ มีรปู ลกั ษณะยัว่ ยวน ประกอบดว ยสแี ดงสดหรือสเี หลอื งสม มี
กระแสสมั ผสั อบอุน ยวนใจ.

ข. จติ สมั ปยตุ ตดวยโทสะ มรี ูปลกั ษณะนากลวั ประกอบดวยสีแดงเขมหรอื เหลอื งแก มี
กระแสสมั ผสั เรารอน กดขม ใจ.

ค. จิตสัมปยุตตดวยโมหะ มีรูปลกั ษณะนาเกลียด ประกอบดว ยแสงสีมวั สีดาํ หรอื สเี มฆ มี
กระแสสัมผสั รอนอบอา ว อดึ อัดใจ.

ฆ. จิตสมั ปยตุ ตดวยคุณธรรม มีศรัทธา ศีล เปนตน มีรปู ลกั ษณะนานิยม ประกอบดว ยแสง
สสี วางสดใส มีกระแสสัมผสั ชนื่ ๆ เยน็ ๆ เบาใจ.

ง. จติ สัมปยุตตดว ยสมาธิ มีรูปลกั ษณะนา เคารพเกรงขาม ประกอบดวยแสงสวางเปน
ประกายสดใส มีกระแสสัมผสั ดดู ดมื่ ชุมช่ืน เย็นใจ.

จ. จิตสมั ปยุตตด ว ยปญญา มรี ปู ลกั ษณะนาบชู า ประกอบดวยแสงสวางเปน ประกายแวว
วาว มกี ระแสสัมผสั จงู ใจ โปรง ใจ.

ฉ. จติ สมั ปยตุ ตดวยวมิ ุตติ มรี ูปลกั ษณะนา ทศั นา ประกอบดว ยแสงสวา งแจม จา เปน
ประกายผอ งแผว มกี ระแสสัมผัสซาบซา น เฟอ งฟูใจยง่ิ .

รูปลกั ษณะ แสงสี และกระแสของจิตใจตามท่ีกลาวนี้เปน เพยี งสังเขป กําหนดไวพ อเปน
แนวสงั เกตศึกษาของผูสนใจในทิพพจักขญุ าณ ผูมที พิ พจักขุญาณมองเห็นจติ ใจของคนของสตั วโ ดย
..........................................................................................................................................................

๑. จิตใจแทๆ ไมมีสี แตจ ติ ใจของคนมกี เิ ลสปรากฏมสี ี แกผ ูมที พิ พจักษ.ุ

ทพิ ยอํานาจ ๑๓๕

รปู ลกั ษณะแสงสี และรสู กึ กระแสสัมผสั ทางใจเชนนั้นแลว ยอ มวนิ ิจฉัยไดถ กู ตองวา คนนนั้ สัตวน้ัน
มจี ติ ใจอยางไร ควรไดร ับการสงเคราะหด ว ยวธิ ใี ดหรือไม ทงั้ นก้ี เ็ ปนดวยไดอบรมจติ ใจตนเอง ได
สังเกตรูปลักษณะแสงสี และกระแสจติ ของตนเองเปนอยางดแี ลว เม่ือประสบกบั จิตใจของผูอ่ืนจงึ รู
เห็นได เชนเดยี วกับรเู หน็ จิตใจของตนเอง ดังกลา วไวในเจโตปริยญาณน้ันแลว.

นอกจากตาทพิ ยทีส่ ามารถเห็นรูปทิพยเปนตน ดงั กลาวมาแลว ยงั มตี าชั้นสูงอีกชนิดหน่ึง ที่
ขา พเจา สมมติเรียกวา ตาแกว ยอ มสามารถเหน็ พระแกว คือวิสทุ ธิเทวา ซ่งึ ไดแ กพ ระอรหันต ตา
ชั้นนี้เปนของพระอรหันตผตู ่ืนเต็มท่ีแลว ไมป ระสงคจะกลา วพสิ ดารในท่ีนี้ เพยี งเยืองความไวใ ห
ทราบนิดหนอยเทานั้น.

เมือ่ ไดท ราบลกั ษณะทพิ พจกั ขพุ อสมควรเชนนี้ ยอมเปนการเพียงพอทจี่ ะทราบวิธีปลูก
สรา งทิพพจกั ขตุ อ ไป ไดกลาวไวห ลายแหง แลว วา ท่ตี งั้ ของทพิ ยอนิ ทรยี น้ันคอื จิตใจ เม่ือบรสิ ทุ ธิ์
ทพิ ยอนิ ทรยี กบ็ รสิ ทุ ธ์ิเชนเดยี วกัน ฉะนัน้ จุดของการปลูกสรางทิพพจักขุคอื จติ ใจ ในการฝกจติ
เพ่ือใหเ กดิ ทิพพจกั ขุ มีลาํ ดบั ขนั้ ดังตอไปน้ี

๑. อาศยั อิทธบิ าทภาวนา เปนกําลงั ฝกจติ ใจใหไ ดสมาธิถงึ ฌานที่ ๔ เปนอยางตํา่ ทําการ
เจริญฌานน้นั ใหชาํ นิชํานาญดว ยขั้นทงั้ ๕ ของฌานจนไดเ จโตวสี มีอาํ นาจทางใจ ดังกลาวไวในบท
ท่ี ๒.

๒. เจรญิ กสิณ อนั เปนเครอื่ งนาํ ทพิ พจักขุโดยเฉพาะ ช่ําชองจนเปนปฏิภาคนมิ ติ กสิณ อนั
เปนเคร่อื งนาํ ทิพพจักขนุ ้มี ี ๓ ประการ คอื

(๑) เตโชกสณิ .
(๒) โอทาตกสิณ.
(๓) อาโลกกสณิ .
วธิ ีปฏบิ ัตกิ สณิ ไดก ลา วไวแ ลวในบทท่ี ๓ ในบรรดากสิณ ๓ ประการ พระผมู ีพระภาคเจา
ตรัสวา อาโลกกสณิ เปนเยีย่ มทสี่ ุด ปราชญฝร่ังนิยมใชลกู แกวหรือนํา้ ใสๆ เปนเคร่ืองนําทพิ พจักขกุ ็
นาจะเขากนั ได เพราะแสงสวางกับแกวยอมคลา ยคลึงกนั ขา พเจาไมขอแนะนาํ ในการเพง ลกู แกว
และนาํ้ ตามวธิ ฝี ร่งั เพราะไดม ีผเู ขยี นไวแลว ผูตองการจะหาอา นได.
๓. เมื่อไดก สิณอันเปนเครื่องนาํ ทิพพจกั ขุประการใดประการหน่งึ แลว ถา เปนเตโชกสิณ
และโอทาตกสิณพึงเจริญใหย ่ิง จนปรากฏดวงกสณิ เปน สขี าวใสบรสิ ุทธก์ิ อน จงึ จะฝก เพือ่ ทพิ พจักขุ
ได ถา เปน อาโลกกสิณเมอ่ื ไดแ มเ พียงขนั้ อุคคหนมิ ิตปรากฏกเ็ ปนแสงใสพอควร เมอื่ จติ สงบถงึ ขั้น
อปั ปนา กจ็ ะเปนแสงใสบรสิ ุทธิ์ เปน ที่ตั้งแหงทิพพจกั ขไุ ด ตอน้ันไปพึงฝกทพิ พจกั ขุโดยวธิ ี
อธิเทวญาณทสั สนะ ดงั กลา วมาแลว คอื
(๑.) ทาํ โอภาสใหมีประมาณมาก และใหเปนแสงใสบรสิ ทุ ธไ์ิ ดเทาไรยงิ่ ดี แผรศั มโี อภาสไป
เปนปรมิ ณฑลรอบๆ ตัวใหไดก วางขวางทสี่ ดุ .
(๒.) สาํ เหนียกในใจเพ่ือเห็นรปู ทิพยไวเสมอ เม่อื เห็นแลว พึงพยายามยั้งอยใู นสมาธอิ ันมี
สมรรถภาพใหเ ห็นรปู ทพิ ยไดน้ันใหนานทีส่ ุดเทา ท่จี ะนานได พงึ ศกึ ษาสาํ เหนยี กเหตใุ หส มาธิ

ทพิ ยอํานาจ ๑๓๖

เคล่อื น ดงั ทตี่ รสั แกพ ระอนรุ ทุ ธเถระน้ันใหดี แลวพยายามกาํ จัดเหตุเชนน้ันใหหายไป เหตุใหสมาธิ
เคล่อื นทตี่ รัสแกพ ระอนุรุทธะ มีในอุปก กิเลสสูตร ตรสั ไว ๑๐ อยา ง คอื

(๑) วจิ กิ จิ ฉา ความสงสยั
(๒) อมนสิการ ความไมเอาใจใส
(๓) ถนี มิทธะ ความทอแทซบเซา
(๔) ฉมั ภติ ัตตะ ความหวาดสะดงุ
(๕) อมุ พิละ ความต่นื เตน
(๖) ทุฏลุ ละ ความหยาบกระดา ง
(๗) อัจจารทั ธวริ ิยะ ความเพียรเกนิ ไป
(๘) อติลีนวริ ิยะ หยอ นความเพยี รเกินไป
(๙) นานตั ตสญั ญา ใสใ จมากอยา งย่ิง
(๑๐) อตชิ ฌายติ ัตตัง รปู านงั เพงรูปมากเกนิ ไป
(๓.) พึงสําเหนียกเพอื่ รูเรอ่ื งเกยี่ วกับเทพเจาทไ่ี ดพ บเห็นนั้นใหรเู รอื่ งตลอด อนุโลมตามวธิ ีท่ี
ขาพเจากลา วไวใ นขอ วา ดว ยอตีตงั สญาณ และอนาคตังสญาณ น้ันเรอ่ื ยๆ ไป.
๔. เพอื่ ปองกนั มิใหหลงตนลมื ตัว พงึ เจริญอภภิ ายตนะ ๘ ประการ ตอ ไปนีด้ ว ย คือ
(๑) เมื่อทา นใสใ จรปู ธรรมอันใดอันหน่ึง ณ ภายในจนจิตใจเปนหนึง่ จะเกดิ เห็นรูปกาย
ภายนอกเพียงนิดหนอย ซ่งึ มพี รรณะดีหรือเลวแลว พงึ กําหนดใจไวเ สมอวาเราเปน ผรู ูเห็นครอบงํา
รปู เหลา นั้นดงั นีเ้ สมอไป.
(๒) ทําดงั ขอหน่ึง ไดเหน็ รูปกายภายนอกมากมายมีพรรณะดีหรอื เลวแลว พงึ กาํ หนดใจไว
ดังในขอ ๑ เสมอไป.
(๓) เม่อื ทา นใสใจอรปู ธรรมอันใดอันหน่งึ ณ ภายในจนใจเปน หน่ึง เกิดเห็นรูปกายภายนอก
นิดหนอย มพี รรณะดหี รือเลวแลว พงึ กําหนดใจไวดังในขอ ๑ เสมอไป.
(๔) ทาํ เหมือนขอ ๓ ไดเหน็ รูปภายนอกมากมาย มีพรรณะดีหรอื เลวแลว พึงกาํ หนดใจไว
ดังในขอ ๑ เสมอไป.
(๕-๘) ทาํ เหมือนขอ ๓ ไดเหน็ รปู ภายนอกประกอบดวยสีตางๆ คือ เขยี ว เหลือง แดง ขาว
ผาสีเขียว เหลอื ง แดง ขาว และเครอ่ื งประดับสเี ขียว เหลือง แดง ขาว แลว พงึ กําหนดใจไวเสมอไป
วา เรารูเห็นครอบงาํ รปู เหลา น้นั ดงั น้ี ความหลงตนลืมตวั ก็จะถูกกําจดั ไป เปนไปเพอื่ รูย ง่ิ เหน็ จริง
สิง่ ควรรคู วรเห็นย่งิ ขึ้น ไมต ิดอยใู นส่งิ ไดรูไดเ ห็นน้นั ๆ หรือไมหลงไปวา ส่งิ นนั้ ๆ เปนตัวเปนตนของ
ตน หรอื เปนของๆ ตน.
๕. เมือ่ เจรญิ กสณิ อนั เปนเครือ่ งนําทพิ พจักขุโดยเฉพาะประการใดประการหนง่ึ จนถึงช้ัน
ฌานที่ ๔ ก็ดี เจรญิ กรรมฐานอันใดอันหนึ่งอ่ืนๆ จนไดฌานที่ ๔ ก็ดี นับวาไดบรรลภุ มู อิ นั เปนทต่ี ้งั
แหง ทพิ ยอํานาจแลว เมอื่ จะนอมไปเพ่ือทิพพจกั ขุตอ ไปพงึ สาํ เหนยี กกอนวาฌานท่ี ๔ นน้ั จติ ใจใส
สะอาดปราศจากราคีแลว มีรศั มีสวางแลเหน็ กายและใจตนเองไดชดั เจนแลวพึงฝกแผร ัศมสี วางนนั้
ใหเ ปน ปรมิ ณฑลออกไปรอบๆ ตวั ใหก วางขวางไกลท่ีสุดจนสดุ ขอบจักรวาลไดย ่งิ ดี และพึงอยดู วย

ทพิ ยอํานาจ ๑๓๗

อาโลกสญั ญานน้ั ท้งั กลางคืนและกลางวันเนอื งๆ ทาํ ใจใหเ ปด เผยทกุ เมื่อ อยายอมใหความรสู ึกทที่ ํา
ใจใหหอเหีย่ วมัวซวั มาครอบงาํ เปน อันขาด จิตใจเมอ่ื ไดรบั อบรมดวยแสงสวา งอยูอ ยางน้ี ยอมเปน
ใจบรสิ ุทธผ์ิ อ งใส มีรัศมแี จมใสย่ิง เปรียบดงั แกวมณีโชติฉะนั้น เม่ือน้ันทิพพจกั ขอุ นั บรสิ ุทธิเ์ กินกวา
จกั ขสุ ามัญมนษุ ยก ็เกิดขน้ึ ได รเู ห็นอะไรๆ เกินวสิ ัยสามญั มนุษยด ังกลา วมาแลว ถา ปุถุชนไดท พิ พ
จกั ขุมกั จะลาํ บากเม่ือเหน็ สง่ิ นา กลัว เชนยกั ษ ใจหวาดสะดุงแลว สมาธยิ อมเคลื่อน ทพิ พจกั ขยุ อ ม
หายไปฉะน้ัน เม่อื ไดแลวอยาพึงวางใจ พึงเจรญิ ธรรมยิ่งๆ ข้ึนไป.

ทิพยอํานาจ ๑๓๘

บทท่ี ๑๑

วิธสี รา งทพิ ยอาํ นาจ จตุ ปู ปาตญาณ
รสู ัตวเ กดิ ตาย ไดด ตี กยาก ดว ยอาํ นาจกรรม

ทิพยอํานาจขอนี้ หมายถึงความสามารถในการเห็นสรรพสตั ว ซ่งึ กําลังเกิดตายไดด ตี กยาก

และรูดว ยวาเปนเพราะกรรมที่เขาทาํ ไวน่นั เอง ความสามารถดังนปี้ ระกอบดวยญาณ ๒ ประการ

คือ ทพิ พจกั ขุญาณดงั กลาวแลวในบทกอน และยถากัมมปู คตญาณ รวู า สรรพสัตวเ ปน ไปตามกรรม

ท่เี ขาทําไวเ อง มใิ ชดวยอาํ นาจสงิ่ อนื่ ซงึ่ จะกลาวในขอ น้ี การที่ยกบทน้ีขึน้ เปนทิพยอาํ นาจประการ

หนงึ่ ก็เพราะเปน วชิ ชาสําคัญในพระพทุ ธศาสนา ความรเู รือ่ งอํานาจกรรมเปนความรอู นั สําคัญยง่ิ ใน

พระพทุ ธศาสนา บรรดาพระธรรมเทศนาท่ีพระบรมศาสดาทรงส่ังสอนไมพนไปจากจากหลกั กรรม

ทรงส่ังสอนใหละกรรมเลว ใหประกอบกรรมดี และใหช ําระจติ ใจใหผองใส ซงึ่ ทงั้ ๓ นี้เปน หลักการ

สง่ั สอนทท่ี รงมอบไวแกเ หลา พทุ ธสาวกในคราวทรงประชุมสาวกครั้งใหญย งิ่ อนั เปนประวตั ิการณ

ของพระพุทธศาสนา เมื่อแรกเรม่ิ ทรงตงั้ หลักพระพทุ ธศาสนา ณ นครราชคฤห ประเทศมคธ.

หลกั กรรมเปน หลักแหงพุทธปรชี าอนั ใหญยิ่งในพระพทุ ธศาสนา เพราะพระผมู พี ระภาคเจา

ทรงเปน กรรมวาที ทรงยืนยนั วา กรรมเปนสงิ่ มีอํานาจใหญย ิ่งในการเกิดตาย ไดดตี กยากของสรรพ

สตั ว ดงั เปนท่ีรับรองในหมูพ ุทธบริษทั วา “แรงใดสแู รงกรรมไมม ี” พระมหาโมคคลั ลานเถระได

บรรลุภูมพิ ระอรหันตแ ลว นาจะพน จากอาํ นาจกรรมโดยประการท้งั ปวง ถึงอยางนั้นกย็ ังตองรับ

สนองผลกรรมท่ีมันใหผ ลสืบเนือ่ งกนั มาแตห ลายชาติ ยังไมขาดกระแส ถูกพวกโจรทุบตีถงึ ตอง

ปรินิพพาน แมพระบรมศาสดาจารยผโู ลกยกยองเปน เอกบุคคลแลว ก็ยงั ตอ งทรงรับสนองผลกรรม

ในบางกรณี ผมู ีความรูดใี นเรอื่ งอํานาจกรรม ยอมอดทนในเมือ่ ตอ งเสวยผลของกรรม ไมยอมใหมนั

เราใจใหเ กดิ กิเลสสบื ตอไป ใหมันส้ินกระแสลงเพียงเทานนั้ ไมเหมือนสามญั สตั วเ มอ่ื ไดเสวยผลของ

กรรมทตี่ นทําไวเ อง แทนที่จะรูสํานึกและยอมรบั เสวยผลแตโดยดี ก็กลบั รสู ึกไมพ อใจ แลว ทํากรรม

ใหมเพิม่ เติมลงไปอีก เปนเวรสืบเนอื่ งกันไปไมข าดสายลงได อาจตง้ั อยตู ั้งกปั ต้งั กัลป ดังเวรของกา

กับนกเคา และงเู หา กับพังพอน ซ่ึงมีมานานและมอี ยูกระทง่ั ทกุ วันนี้ เมอื่ พบปะกันเขาเขาไมเ วนที่

จะประทุษรา ยกันและกัน พระบรมศาสดาไดท รงทราบความจริงเร่อื งกรรมซัดพระทยั แลว จึงตรสั

สอนมใิ หสืบตอกรรมเวร ใหอดทนเสวยผลของกรรมไปฝายเดียว แลว เวรจะระงับไมเ วียนไปอีก ดัง

พระบาลที ่เี ปนหลักในความขอน้วี า

น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กทุ าจนํ

อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนตฺ โน.

แปลวา ในกาลไหนๆ เวรในโลกน้ี ยอ มไมระงับดวยเวรเลย แตจ ะระงับไดด วยไมท าํ เวร

ธรรมคือวธิ รี ะงบั เวรดวยไมสบื เวรน้ี เปนวธิ ีเกาแก ดังน้ี.

ทพิ ยอํานาจ ๑๓๙

กรรมทีส่ ัตวท าํ ไว ซึง่ มอี ํานาจใหผ ล ทานแบงออกเปน ๒ ประเภทคอื กุศลกรรม ๑
อกุศลกรรม ๑ กศุ ลกรรมน้นั เปนกรรมทที่ ําดวยความฉลาด เปน ความดที ี่มีอํานาจบงั คบั ความชว่ั
และลา งความชวั่ ได ทานจงึ เรียกวา กัลยาณธรรมและบุญกรรม สว นอกศุ ลกรรมเปน กรรมท่ีทาํ ดวย
ความโง เปน ความช่ัวทม่ี ีอาํ นาจเผาลนใหรอ นรุม ดังถกู ไฟเผา ทานจึงเรียกวาบาปกรรม และมี
ลักษณะทาํ ใหสกปรกเศรา หมอง ทานจึงเรยี กวาอบญุ ญกรรม เมอื่ เรยี กส้นั ๆ ทา นเรียกกรรมฝายดี
วา กศุ ล, กัลยาณะ, บญุ , เรียกกรรมฝายช่ัววา อกศุ ล, บาป, อบญุ ในพระบาลอี นั เปน หลกั บาง
แหงตรสั เรียกกรรมดีวา สุกกะ=ขาว ตรัสเรยี กกรรมช่ัววา กณั หะ=ดาํ ซึง่ ทําใหม องเหน็ ลกั ษณะ
ของความดีและความชั่วไดแจมใสยิง่ ขึ้น คือ ความดมี ีลักษณะขาวสะอาด ผอ งใส สดสวย ความชว่ั
มีลกั ษณะดาํ สกปรก เศรา หมอง หยาบกระดา ง และตรัสเหตทุ ี่ทาํ ใหสกปรกวา โอกะ = น้าํ ซงึ่
หมายถึงกิเลสอันมีลักษณะเหมือนนา้ํ ท่ไี มสะอาด ทาํ ใหเ ศรา หมองได แลวตรัสสอนใหอาศัยสิ่งมใิ ช
น้ํา ละกามคือความกําหนัด แลว ยนิ ดีในพระนิพพานอันเงยี บสงัด ซง่ึ ยากท่ีสามญั สัตวจ ะยินดนี น้ั
ตอ ไปจะไดยกพระบาลนี ั้นมาตั้งไว เพ่ือเปนหลักพิจารณาดังตอไปนี้

กณหฺ ํ ธมมฺ ํ วิปฺปหาย สกุ ฺกํ ภาเวถ ปณฺฑโิ ต
โอกา อโนกมาคมฺม วเิ วเก ยตฺถ ทรู มํ
ตตฺราภริ ติมิจเฺ ฉยฺย หติ วฺ า กาเม อกิจฺ โน.
แปลวา บณั ฑิตพงึ ละธรรมดําเสีย พงึ เจรญิ ธรรมขาว พงึ อาศยั สง่ิ มใิ ชน ้ํา ออกจากน้ําแลว ละกาม
ท้ังหลาย หายกงั วลแลว ยนิ ดีในพระนพิ พานอนั เงยี บสงัด ยากทีส่ ตั วจ ะยนิ ดนี ้นั ดังนี้.
กิเลสอนั เปน ตัวเหตุเรา ใหสตั วทํากรรมใสตัวนน้ั ทา นเปรยี บดว ยนํ้า ธรรมดานา้ํ ยอ มทาํ ให
เปยก ผา ท่ีเปยกนาํ้ ยอมเปรอะเปอน หมน หมองงา ยที่สุด ไมเหมอื นผาแหงซึ่งถึงจะมลี ะอองฝุนปลิว
มาเกาะกส็ ลัดออกไดง ายๆ ไมต ิดสกปรกเหมือนผาเปยก จติ ใจของสตั วเ ปนทก่ี ําเนิดบุญและบาป
เมื่อจติ ใจไมเ ปย กดวยกิเลสยอ มสง่ั สมบญุ ใสตวั กเิ ลสเปน เหตุใหทาํ ความชัว่ เปนตวั เหตสุ าํ คญั ณ
ภายใน เหมือนน้ําชุมแชอยูในจิตใจ จงึ สอนใหท ําความดเี พื่อทําใจใหแหงหายสกปรก แลวใหออก
จากนา้ํ เสยี เลย ไปอยูในพระนิพพานซึง่ เปน ภมู ทิ ี่พน น้ําเดด็ ขาด ท่ีเรยี กวา อโนกะ=ไมใ ชน้ํา คือ
ตรงกนั ขา มกับน้ํานั่นเอง ธรรมชาติแหงความรูส กึ ในจติ ใจของคน เม่ือพิเคราะหใหถีถ่ วนแลวจะ
เหน็ ลกั ษณะเดน ๆ ๒ ลกั ษณะคอื ลักษณะท่ีทาํ ใหเ ปยกเหมอื นนํา้ ๑ ลกั ษณะทท่ี ําใหแหง ผาก ๑
สวนลกั ษณะทไ่ี มเ ดน น้ันเปน ความรสู กึ กลางๆ ความรูสึกทมี่ ลี กั ษณะทาํ ใหเ ปยกเหมือนนา้ํ น่นั
แหละ คอื กิเลสท่ีแทรกซึมอยใู นจิตใจ ความรสู ึกท่ีมีลักษณะทําใหแหงผากนั้นคอื คณุ ธรรมซงึ่ เปน
คณุ ชาติประจาํ จติ ใจ ตรัสสอนใหอาศยั คุณธรรมนี้เองออกจากนาํ้ คือกเิ ลส แลว ใหย ินดยี ิง่ ในพระ
นพิ พาน ซ่งึ เปน ภมู พิ น นํา้ เด็ดขาด มแี ตคุณชาติประจําจติ ใจทีม่ ใิ ชส ิ่งที่มลี กั ษณะเหมือนนา้ํ อันจะ
ทําใหจติ ใจเปยกปอนตอไป เม่ือพจิ ารณาโดยนัยนี้ยอมไดความวา กรรมท่ีทําดวยอาํ นาจกเิ ลสคือ
ความรสู กึ ที่มลี ักษณะทําใหใ จเปยก เปน บาปคือดาํ สกปรก สว นกรรมทีท่ ําดว ยคณุ ธรรมคอื
ความรูสกึ ทีม่ ลี กั ษณะทําใหใจแหง ผากเปนบญุ คอื ขาวสะอาด ผยู นิ ดใี นบาปจึงเทา กับยนิ ดีใน
ความสกปรกโสมมมดื ดํา ผยู ินดีในบุญจงึ เทา กบั ยนิ ดีในความสะอาดขาวผอ ง ผูยินดีในกรรมทง้ั ๒
ฝายคือบุญกท็ ํากรรมกส็ ราง จึงเปน บคุ คลทเี่ รียกวา กําดาํ กําขาว มที ้ังคราวดีและคราวช่วั สว นผู

ทิพยอํานาจ ๑๔๐

ยินดีในบุญเกลียดหนายบาป ยอ มเลกิ ละบาปทาํ แตบุญ จึงเปนบุคคลทีเ่ รียกวา กาํ ขาว มีแตค ราว

ทําดแี ละดเี รือ่ ยไป เปนบุคคลท่ีนา ไววางใจเชื่อถือได เปน บุคคลที่นาคบคา สมาคม นานิยมนับถอื

และนาเคารพบชู าสกั การะยิ่ง.

เมอื่ ไดร จู ักตวั เหตุใหทาํ กรรมเชนนี้แลว ยอมเปนการงายทีจ่ ะรูจกั ตัวการผูทํากรรม เพราะ

เมอ่ื พดู ถงึ ความรูสกึ เราก็ยอมทราบแลว วาเปนกริ ิยาของจิตใจน้ันเอง เมื่อเปนเชนน้ี จติ ใจจงึ เปน

ตัวการทาํ กรรม สมกับพระพุทธดาํ รสั วา เจตนาหํ ภิกขฺ เว กมมฺ ํ วทามิ ภกิ ษทุ ั้งหลาย! เรากลาววา

เจตนาเปนกรรม หมายความวา ความจงใจทาํ พูด คดิ เปน กรรม เจตนาเปนกิรยิ าการของจิตใจ

ขนั้ ที่สองคือ เมอื่ จิตใจถกู อารมณเราเกดิ มีความรสู ึกฝายกิเลสหรอื คณุ ธรรมขึ้นเปนขนั้ ท่ี ๑ แลวจงึ

เกิดมีความจงใจทําพดู คดิ ตามความรูสกึ นั้นเปนข้นั ที่ ๒ เมอ่ื เปนเชนน้ีกรรมจึงเปนการกระทําของ

จติ ใจ จติ ใจจึงตองรับผิดชอบการกระทําของตัวเอง จะปด เสยี ไมยอมรบั ผิดชอบยอ มเปนไปไมได

ฉะนน้ั กรรมจึงเปนสิง่ เนือ่ งกบั ตวั เหมอื นเงา ผลซงึ่ ผลิข้นึ จากกรรมกย็ อมเนอ่ื งกบั ตัวเชนเดียวกนั

ตนทาํ กรรมแลวจะหลีกเลย่ี งไมย อมรบั เสวยผล จึงเปนสิ่งเปนไปไมได เม่อื ไดท ราบวา กรรมคอื ตวั

เจตนา ความจงใจเชนนี้ ยอมเปนการงา ยที่จะกําหนดลักษณะกรรมตางอยา งตางประการ ซ่ึงจะได

กลา วตอ ไป.

ธรรมดา เจตนาในการทํา พดู คดิ ยอ มมีน้าํ หนักตางๆ กนั ตามกําลงั ดันของความรสู ึก ถา มี

ความรสู กึ แรงทสี่ ุดเจตนาก็ยอมแรงทสี่ ดุ ถามคี วามรูสึกแรงพอประมาณเจตนากย็ อ มแรง

พอประมาณ ถามคี วามรูส กึ เพลาเจตนาก็ยอมเพลาตามกัน ฉะน้ันทานจึงกาํ หนดกรรมหนักเบา

ดว ยอาํ นาจเจตนาและความรสู กึ กรรมจะใหผลเรว็ หรอื ชา กย็ อมอาศยั กาํ ลังของเจตนา และ

ความรสู กึ เปนสว นประกอบดว ยเชนกนั ตามหลกั ธรรมดา สิง่ ใดมอี าํ นาจผลกั ดนั แรงส่ิงนน้ั ยอ ม

ปรากฏในลกั ษณะรุนแรงและเร็ว โดยนยั เดยี วกัน กรรมที่ทําดวยเจตนาและความรูสึกแรง เวลา

ใหผลกย็ อ มปรากฏในลักษณะรุนแรงและเร็ว เชน อนันตริยกรรมทง้ั ๕ มีการฆา บดิ ามารดาของตน

เปน ตน คนที่จะทํากรรมบาปหยาบชา เชนน้ันไดลงคอจะตอ งมคี วามรสู กึ ฝา ยกเิ ลสรนุ แรง และ

เจตนาท่ีทําก็จะตองรุนแรงเชนกัน กรรมน้ันจงึ ใหผ ลเร็วและรุนแรงทีส่ ุดดว ย ทานกลา ววา ใหผ ล

ในลาํ ดบั ทีท่ ําน้ันเอง คอื เกิดความรุมรอ นขึน้ ในกายในใจ จนไมส ามารถจะดํารงชวี ติ อยไู ดกม็ ี ท่ี

แรงถงึ ทส่ี ุดทานวา ถูกธรณสี บู ทันทกี ม็ ี เม่ือตายแลวตองไปทนทกุ ขท รมานในสถานลําบาก คอื นรก

แดนเปรต พวกกายใหญโต (อสรุ กาย) และกาํ เนดิ ดิรัจฉานอีก กวา จะพนกรรมก็กินเวลานานนบั

กัปนับกัลป สว นกรรมทแ่ี รงในฝา ยกุศลทานเรยี กวา สมนันตรกิ กรรม หรอื อนันตรกิ กรรม ไดแ ก

สมาธิชนั้ สงู คอื ฌานสมาบตั ิ ยอ มใหผ ลทนั ทเี หมอื นกัน เมอ่ื ตายแลวยงั อํานวยผลใหไ ปเสวยสุข

สมบตั ใิ นสถานทสี่ ุขสบาย คอื โลกพรหม โลกสวรรค และโลกมนุษย เปน เวลานานหลายกัปหลาย

กัลปเ ชนเดยี วกนั กรรมที่มีกําลังแรงพอประมาณอาจใหผ ลในชาตปิ จจบุ นั น้ี สว นกรรมทีก่ าํ ลัง

เพลายอมคอยใหผ ลในชาติหนาตอ ๆ ไป สุดแตจ ะไดชองเม่ือไร เมือ่ ไมไดชอ งเลยก็อาจสน้ิ กําลงั

เลิกใหผ ลก็ได แตโดยเหตุที่คนและสตั วยอ มทํากรรมไวห ลายหลากมที ้ังดีมีทง้ั ชวั่ กรรมจงึ มี

ลักษณะพิเศษข้ึนอกี คือ สนับสนนุ กัน เบยี ดเบียนกัน ตัดรอนกัน เพราะกรรมดกี บั กรรมช่วั ยอ ม

เปน ปฏิปก ษก ันอยใู นตวั เหมือนนา้ํ กับไฟเปนปฏิปกษกันโดยธรรมชาติฉะน้ัน เมอ่ื เปนเชนนีก้ รรม

ทพิ ยอํานาจ ๑๔๑

จึงอาจใหผลสับสนกัน ถา ไมพ ิจารณาถึงหลักเหตุผลและความจริงอนั ถอ งแทแลว อาจเขา ใจผิดไป
ได หลกั เหตผุ ลที่ควรถือเปนหลกั ในการพจิ ารณากรรมน้นั คือ เหตกุ บั ผลมลี กั ษณะเหมือนกนั เหตุ
ดีผลตองดี เหตุช่ัวผลตอ งชวั่ ทาํ ดีไดด ี ทําช่ัวไดช ่วั เปนหลักเหตุผลทต่ี ายตวั ไมมีเปล่ยี นแปลง เปน
ความจรงิ ทยี่ นื หยัดอยูตลอดอนันตกาลทเี ดยี ว พระบรมศาสดามิไดทรงสรางกฎน้ขี ้ึน เปนแตทรง
ทราบกฎของกรรมน้ตี ามเปนจรงิ แลว ทรงบญั ญัตชิ ้ีแจงแสดงออกใหแ จม แจง เพอ่ื เวไนยชนจะได
เช่ือถอื และปฏบิ ัตกิ ําจดั บาปออกจากตวั ทําดใี สต วั และชําระตัว คือจติ ใจอนั เปนท่ีสิงสถติ ของ
กิเลสเปน ทีเ่ กิดบุญบาปนั้น ใหบรสิ ทุ ธ์ผิ ดุ ผอ งปราศจากกเิ ลสอนั เปนตวั เหตเุ ราใหทํากรรม เม่ือหมด
กรรมหมดกิเลสแลว กเ็ ปนอสิ ระแกต วั เตม็ ท่ี พระมหามนุ ีทรงยาํ้ นักย้ําหนาในการท่ีจะทําตวั ใหเ ปน
อสิ รภาพนี้ พระองคม ิใชผ ูประกาศิตโลกใหเ ปน ไปตามพระทัยประสงค ทรงประกาศความจริงให
เวไนยชนไดค วามสวางใจ หายหลงงมงายท่ีเช่ืออํานาจซงึ่ ไมอ าจมีไดตา งหาก เม่อื เวไนยชนได
ความเชื่อถกทางแลว เขายอ มจะไมเชอื่ อาํ นาจอื่น นอกจากอํานาจกิเลสและกรรมช่ัวของตัวเอง ทํา
ตัวใหท กุ ขยากลําบากเดอื ดรอนในโลกไหนๆ โดยนัยเดียวกันเขากไ็ มเชอ่ื อาํ นาจอนื่ นอกจาก
คณุ ธรรมและกรรมดขี องตัว จะสรา งตัวใหเจรญิ สขุ สําราญบานใจในโลก และเขาจะเชือ่ ตอ ไปอกี วา
เมื่อใจมกี เิ ลสและกรรมได กอ็ าจทาํ ใหส้ินกเิ ลสและกรรมได เม่ือไมมีกเิ ลสและกรรมบงั คบั แลว ก็ชื่อ
วา เปน อิสรภาพเต็มที่ น้คี ือทางสิน้ ทุกขในสังสารวัฏแนนอน.

เมื่อไดท ราบหลกั เหตผุ ล เปนเครอ่ื งวินิจฉัยกรรมเชนน้ีแลว จงึ ควรทราบประเภทแหงกรรม
ตามทท่ี า นจําแนกไว ดังตอ ไปนี้

๑. ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม เปน กรรมทส่ี ามารถใหผ ลในปจ จบุ นั ชาตินี้ ทีเ่ รยี กวาใหผลทัน
ตา โดยมากเปนกรรมประเภทประทษุ รา ยผูทรงคณุ เชน มารดาบิดา พระอรหันต แมแ ตเ พียงการ
ดา วา ตเิ ตยี นทา นผูทรงคุณเชนนนั้ ก็เปนกรรมท่แี รง สามารถหา มมรรคผลนพิ พานได ท่ีทา น
เรียกวา อริยุปวาทกรรม การเบียดเบยี นสัตว ทรมานสตั วบ างจาํ พวกก็มกั ใหผ ลในปจจุบนั ทนั ตา
เหมือนกัน เชนการเบียดเบยี นแมวเปนตน สว นฝา ยกุศลทส่ี ามารถใหผลในปจ จุบันทันตา นาจะ
ไดแ กพรหมจรรยในพระพทุ ธศาสนา ดงั ทต่ี รสั ไวใ นสามัญผลสูตรวา “ผปู ระพฤตพิ รหมจรรยน ี้

(๑) ไดร บั การอภวิ าทกราบไหว.
(๒) ไดรับการยกเวนภาษอี ากรจากรฐั บาล.
(๓) ไดร บั การคุมครองจากรัฐบาล.
(๔) ไดรบั ปจจยั ท่ีเขาถวายดวยศรัทธา เลย้ี งชีพเปน สุขในปจ จุบนั .
(๕) ไดร ับความไมเ ดอื ดรอนใจ เพราะมีศลี บริสุทธิ์.
(๖) ไดร บั ความเงยี บสงัดใจ ความแชม ชื่นเบกิ บานใจ ความสขุ กายสบายใจ เพราะใจสงบ
เปนสมาธิ.
(๗) ไดฌานสมาบัติ.
(๘) ไดไ ตรวิชชาหรอื อภิญญา สิ้นอาสวะในปจ จุบนั ชาติน.้ี
(๙) ถายงั มกี ิเลสอยู ก็จะเขาถงึ โลกทม่ี สี ุขในเมื่อตายไป”.

ทิพยอาํ นาจ ๑๔๒

ในอรรถกถาธรรมบท ทา นเลาถึงพราหมณค นหน่งึ ซ่ึงเปน คนยากจนขนแคน อยากบําเพญ็
ทาน เพราะสํานกึ ไดวา ท่ีตนยากแคน ในปจจุบันเพราะไมไ ดบ ําเพญ็ ทานไวในชาติกอน จงึ ตดั สนิ ใจ
บรจิ าคผา สไบผนื เดยี วที่ตนกบั ภรรยาใชรวมกันอยูอ อกบาํ เพญ็ ทาน ถวายแดพ ระบรมศาสดา ซึ่ง
เปนบุญเขตอันเลิศ ไดรบั ผลตอบแทนในปจจุบัน คือ พอแกบรจิ าคออกได แลรูสกึ โลง ใจและปต ิ
เหลือประมาณ จงึ เปลงอทุ านขึ้นในทันทีนั้นวา เราชนะแลว บงั เอิญพระเจา ปส เสนทิโกศลกเ็ สด็จ
มาฟง ธรรม ณ ที่นั้นดวย เม่ือไดทรงสดับจึงรับส่ังใหถามดู ทรงทราบแลวทรงอนโุ มทนาดว ย แลว
พระราชทานผา ใหพราหมณ ๒ คู เพือ่ เขาคหู น่งึ เพือ่ ภรรยาคูห น่งึ เขายงั มีศรัทธานอ มเขา ไปถวาย
พระบรมศาสดาเสยี อีก พระเจาปส เสนทิโกศลจงึ พระราชทานเพ่มิ ใหท วขี ้นึ ในท่สี ดุ ทรง
พระราชทานสิง่ ละ ๑๖ แกพราหมณ เขาไดร ับความสขุ เพราะกุศลกรรมของเขาในปจจุบันทนั ตา
ดังนี้ แมเรอ่ื งอนื่ ๆ ทํานองนี้ก็มีนยั เชน เดียวกัน.

๒. อปุ ปชชเวทนยี กรรม เปนกรรมทีส่ ามารถใหผ ลตอ เมือ่ เกดิ ใหมในชาติหนา ในกาํ เนิด
ใดกําเนิดหน่ึง ถาเปนกุศลกรรมกอ็ าํ นวยผลใหม คี วามสุข ตามสมควรแกก รรมในคราวใดคราวหน่งึ
ถา เปนอกศุ ลกรรมก็ใหผ ลเปนทุกขเดือดรอนตามสมควรแกก รรมในคราวใดคราวหนึง่ ตวั อยา ง
สมมติวา เมือ่ ชาตปิ จจบุ นั นีเ้ ราเกิดเปนมนษุ ย ไดทํากรรมไวห ลายอยางทั้งบุญและบาป ตายแลว
กลบั มาเกิดเปนมนษุ ยอกี ดวยอํานาจกศุ ลอยางหน่ึง ซ่งึ สามารถแตงกาํ เนดิ ไดในชัว่ ชีวติ ใหมน้ี เรา
ไดร ับสขุ สมบูรณเปน ครัง้ คราว น่ันคือกุศลกรรมในประเภทนีใ้ หผ ล เราไดร ับทกุ ขเดอื ดรอนเปน
บางครงั้ นั่นคอื อกุศลกรรมในประเภทน้ใี หผล การใหตัวอยา งสมมติไวก เ็ พราะหาตวั อยางท่เี ปน
จริงมาแสดงไมไ ด.

๓. อปราปรเวทนยี กรรม เปนกรรมท่ีสามารถใหผ ลสบื เน่ืองไปหลายชาติ ตวั อยา งในขอน้ี
มมี าก ฝา ยกศุ ลกรรมเชน พระบรมศาสดาทรงแสดงบุพพกรรมของพระองคไ วว า ทรงบาํ เพญ็
เมตตาภาวนาเปน เวลา ๗ ป สงผลใหไ ปเกดิ ในพรหมโลกนานมาก แลว มาเกิดเปนพระอนิ ทร ๓๗
ครั้ง เกิดเปน มนษุ ย เปนพระเจา จกั รพรรดิ ๓๗ ครงั้ ฯลฯ ฝา ยอกศุ ลกรรม เชน พระมหาโมคคลั
ลาน-เถระ ในอดีตชาตหิ ลงเมยี ฟง คํายยุ งของเมยี ใหฆามารดาผพู กิ าร ทานทําไมลง เพยี งแตทําให
มารดาลาํ บาก กรรมน้ันสงผลใหไ ปเกดิ ในนรกนาน คร้ันเกิดมาเปนมนษุ ยถูกเขาฆาตายมา
ตามลาํ ดบั ทุกชาติ ถงึ ๕๐๐ ชาตกิ ับทงั้ ชาติปจ จุบันที่ไดเปนพระอรหันต อรรคสาวกเบอ้ื งซา ยของ
พระบรมศาสดา.

๔. อโหสิกรรม เปน กรรมที่ไมม โี อกาสจะใหผ ล เพราะไมม ีชองทจี่ ะเขา ใหผ ลได เลยหมด
โอกาสสิน้ อาํ นาจสลายไป ในฝายอกศุ ลกรรมเชน พระองคุลีมาลเถระไดหลงกลของอาจารย เพราะ
ความโลภในมนต ไดฆ า คนจํานวนถงึ พันเพื่อจะนาํ ไปขึน้ ครูเรียนมนต พระทศพลทรงเห็นอุปนิสยั
แหงพระอรหัตผลมอี ยู ทรงเกรงวา จะฆา มารดา แลวจะทาํ ลายอุปนสิ ยั แหงอรหตั ผล จงึ รีบเสดจ็ ไป
โปรด ทรงแสดงทูเรปาฏิหาริยแ ละตรสั พระวาจาเพยี งวา “หยุดแลว คือทรงหยุดทําบาปแลว สว น
ทานซิยงั ไมหยุดทําบาป” ทา นเกดิ รูสึกตัว เขาเฝา ขอบรรพชาอปุ สมบท ทรงประทานอุปสมบทแลว
พาไปฝก ฝนอบรมจนไดบรรลุพระอรหัตผล สนิ้ ภพสนิ้ ชาติ กรรมบาปซึ่งมีอาํ นาจจะใหผ ลไปใน

ทิพยอาํ นาจ ๑๔๓

ชาตหิ นาหลายแสนกลั ปกเ็ ลยหมดโอกาส ใหผ ลเพยี งเลก็ นอยในชาตนิ ี้ สวนฝา ยกุศลกรรมไมอ าจ
หาตัวอยา งได.

๕. ชนกกรรม เปนกรรมทสี่ ามารถแตง กําเนดิ ได กําเนดิ ของสัตวใ นไตรโลก มี ๔ คอื
(๑) ชลาพุชะ เกิดจากนํา้ สมั ภวะของมารดาบดิ าผสมกันเกิดเปนสตั วในครรภ แลวคลอด
ออกมาเปนเด็ก แลวคอ ยเจรญิ เติบโตขึ้นโดยลําดบั กาล ฝายดไี ดแ กกาํ เนดิ มนุษย ฝายไมด ไี ดแก
กาํ เนิดดริ จั ฉานบางจําพวก.
(๒) อัณฑชะ เกิดเปนฟองไขกอนแลว จงึ เกิดเปน ตัวออกจากกะเปาะฟองไขแลวเจริญเตบิ โต
โดยลาํ ดบั กาล ฝายดีไดแกกาํ เนดิ ดิรัจฉานมีฤทธ์ิ เชน นาค ครฑุ ประเภทอณั ฑชะฝายชัว่ ไดแก
กาํ เนดิ ดริ จั ฉาน เชน นกสามญั ท่วั ไป ฯลฯ.
(๓) สงั เสทชะ เกดิ จากสิ่งโสโครกเหงือ่ ไคล ฝายดีเชน นาคและครฑุ ประเภทสงั เสทชะฝาย
ช่วั เชน กิมิชาติ มหี นอนที่เกิดจากน้ําคราํ เปน ตน และเรือด ไร หมัด เล็น ทเี่ กิดจากเหง่อื ไคล
หมักหมมเปน ตน.
(๔) อปุ ปาตกิ ะ เกิดผุดขึ้นเปนวิญูชนทีเดยี ว ฝายดีเชน เทพเจา ฝายช่วั เชน สัตวนรก
เปรต อสรุ กาย กรรมดีแตงกําเนิดดี กรรมชัว่ แตงกาํ เนิดชวั่ น้ีเปนกฎแหง กรรมท่ตี ายตัว ไม
เปลย่ี นแปลงเปนอ่ืนไป.
๖. อปุ ปต ถมั ภกกรรม เปนกรรมทีค่ อยสนบั สนุนกรรมอน่ื ซง่ึ เปนฝายเดียวกัน กรรมดี
สนบั สนนุ กรรมดี กรรมช่วั สนับสนุนกรรมชั่ว เชน กรรมดแี ตงกําเนิดดีแลว กรรมดีอืน่ ๆ ก็ตามมา
อุดหนนุ สง เสริมใหไ ดร บั ความสขุ ความเจรญิ ย่งิ ขนึ้ กรรมชวั่ แตงกําเนดิ ทรามแลว กรรมชวั่ อ่ืนๆ ก็
ตามมาอุดหนนุ สงเสรมิ ใหไดรับทุกขเ ดอื ดรอนในกําเนิดนน้ั ยิง่ ๆ ขึ้น หาตวั อยางทเี่ ปนจริงมาแสดง
ไมได.
๗. อปุ ปฬ กกรรม เปน กรรมทเ่ี ปนปฏิปก ษก ับกรรมอื่นที่ตา งฝายกบั ตน คอยเบียดเบียน
ทาํ ใหฝ า ยตรงกันขา มมีกําลงั ออนลง ใหผลไมเต็มเมด็ เตม็ หนว ย เชน กรรมดแี ตง กาํ เนิดเปนมนษุ ย
แลว กรรมชั่วเขา มาขดั ขวางรอนอาํ นาจของกรรมดีน้ันลง ทําใหเ ปน มนษุ ยท ี่ไมส มบูรณ หรอื ขาด
ความสขุ ในความเปนมนุษยทคี่ วรจะไดไป ในฝายช่ัวก็นัยเดียวกัน เชน กรรมชวั่ แตงกาํ เนดิ ทราม
แลว กรรมดเี ขามาขัด ถงึ เปนสตั วก ็มผี เู มตตากรุณาเลีย้ งดูมิใหไ ดร ับความลําบาก เปน ตน.
๘. อุปฆาตกกรรม เปนกรรมที่เปนปฏปิ ก ษก ับกรรมอ่ืน ท่ีตา งฝายกับตนเชนขอ กอ น แตม ี
กําลงั แรงกวา มใิ หอ าํ นวยผลสบื ไป แลวตนเขา แทนทใ่ี หผ ลเสียเอง ตวั อยา งในฝายอกุศล เชน
กรรมดแี ตง กาํ เนดิ เปนมนุษยม าแลว กรรมฝา ยชวั่ ท่มี ีกําลงั เขา สังหาร เชนไปทาํ กรรมรายแรงข้ึนใน
ปจจบุ นั หรือกรรมชว่ั รายแรงในอดตี ตามมาทันเขา ใหผ ลแทนที่ คนน้ันเสยี ความเปนมนษุ ยไปใน
ทันทีทันใด กลายรางไปเปนยักษห รอื ดิรจั ฉานไปเลย หรอื เพศเปล่ียนไป เชน เดมิ เปนบุรุษเพศ
กลายเปนสตรเี พศไป ดังโสเรยยเศรษฐีบตุ รฉะนั้น ในฝายกศุ ล กรรมชัว่ แตง กําเนิดทรามแลว
กรรมดเี ขาสังหารกาํ ลงั ของกรรมทรามนน้ั ใหสนิ้ กระแสลง แลว เขาแทนที่ใหผ ลเสยี เอง เชน เปรต
ไดร บั สวนบญุ แลว พน ภาวะเปรต กลายเปนเทวดาทันทที ันใด เปนตน .

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๔๔

๙. ครกุ รรม เปน กรรมท่ีหนักมาก สามารถใหผลทันทที ันใด ฝา ยกุศลไดแกฌ านสมาบัติที่

ทานเรยี กวาอนันตรยิ กรรม ฝายอกุศลไดแกอนนั ตริยกรรม ๕ มีฆา มารดาบิดาเปน ตน บคุ คลจะ

ทาํ กรรมช่ัวมามากมายสักเพียงไรกต็ าม ถารูสกึ สาํ นกึ ตวั แลว กลบั ตวั ทําความดี มคี วามสามารถทาํ

ใจใหสงบเปน สมาธิ และเปนฌานสมาบัตไิ ดแ ลว กรรมน้ีจะแสดงผลเรื่อยๆ ไปตั้งแตบ ัดนั้นจนกวา

จะสิ้นกระแสลง กรรมอ่นื ๆ จงึ จะไดช องใหผล บคุ คลทํากรรมดีไวมากมายแลวสมควรจะไดม รรค

ผลขน้ั ใดขนั้ หนงึ่ ในชาตปิ จจุบนั แตไ ปเสวนะกับคนพาลเกดิ ประมาททําความช่ัวรายแรงข้ึน เชนฆา

พระอรหันต ฆา มารดาบิดาเปนตน กรรมนจ้ี ะเขา ใหผลทนั ทที ันใด อปุ นิสัยแหง มรรคผลกเ็ ปน อัน

พบั ไป ตอ งเสวยผลกรรมชั่วน้ันไปจนกวาจะส้นิ กําลงั กรรมอ่นื ๆ จงึ จะมชี อ งใหผ ลสบื ไป.

๑๐. พหุลกรรม หรอื อาจณิ ณกรรม เปน กรรมที่ทาํ มาก ทําจนชนิ เปน อาจิณ เปน กรรม

หนกั รองครกุ รรมลงมา สามารถใหผ ลกอ นกรรมอื่นๆ ในเมื่อไมม ีครกุ รรม เชน บุคคลบําเพ็ญทาน

หรอื รกั ษาศลี หรือเจริญภาวนา มเี มตตาภาวนาเปน ตนเปน อาจิณ แตไ มถ งึ กบั ไดฌานสมาบตั ิ

กรรมดีน้จี ะเปน ปจ จยั มกี ําลังในจติ อยเู สมอ สามารถใหผลสบื เนอื่ งไปนาน ถา บุคคลนั้นไมประมาท

ในชาตติ อ ๆ ไป ทาํ เพมิ่ เติมเปนอาจิณอยูเรอ่ื ยๆ กรรมดกี ็จะใหผลทวแี ละสบื เน่อื งเรื่อยๆ ตัดโอกาส

ของกรรมอ่ืนๆ เสียได ในฝายอกศุ ลก็นยั เดียวกัน เชน พรานเน้ือหรือชาวประมงทาํ ปาณาตบิ าต

เปนนิตย ถงึ แมไ มห นกั หนาเทาครกุ รรม แตเ พราะเปน กรรมตดิ เนื่องกบั สนั ดานมาก จึงสามารถ

อาํ นวยผลสืบเน่ืองไป ไมเปด ชองใหกรรมอน่ื มโี อกาสอาํ นวยผลได ทานยกตวั อยา ง เชน คนฆาโค

ขายเนือ้ ทุกวัน เวลาจะตายรอ งอยา งโค พอสิน้ ใจก็ไปนรกทันที คนฆาสุกรขายเปนอาชพี เวลาจะ

ตายรองอยา งสุกร พอขาดใจกไ็ ปนรกเชนเดยี วกนั .

๑๑. อาสันนกรรม เปน กรรมทีท่ าํ เวลาใกลตาย แมจ ะมีกําลังเพลากไ็ ดชอ งใหผ ลกอน

กรรมอ่ืน ในเมื่อไมมีครุกรรมและพหลุ กรรม ตัวอยางในฝา ยดี เชน พวกสําเภาแตกไดส มาทานศลี

กอ นหนามรณะเพียงเลก็ นอย ตายแลว ไดไปเกดิ ในสวรรค มีนามวา สตลุ ลปายิกาเทวา ในฝาย

อกุศลเชน ภิกษรุ ปู หนง่ึ ในพระศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจา ตองอาบตั เิ พราะพรากภูต

คาม คือทาํ ใบตะไครน้ําขาด ประมาทวา เปนอาบัตเิ ลก็ นอยไมแสดงทนั ที ตอมาไมนานเกิดอาพาธ

พอใกลมรณะกน็ กึ ขึ้นไดวาตนมีอาบัติติดตัวจะแสดงกห็ าภกิ ษุรบั แสดงไมได เสียใจตายไป ไดไปเกดิ

ในกําเนดิ นาค มาในพุทธกาลนีไ้ ดฟง พระธรรมเทศนา และตงั้ อยูใ นพระไตรสรณคมน ถามใิ ชเพราะ

อยูในกําเนิดดิรจั ฉานแลว จะบรรลภุ มู พิ ระโสดาบนั ในครั้งฟง พระธรรมเทศนาน้นั ทีเดียว เพราะมี

กุศลไดส่ังสมมามากพอสมควร ในคราวประพฤตพิ รหมจรรยใ นพระศาสนาของพระกสั สป

สมั มาสัมพทุ ธเจา อีกเรื่องพระนางมัลลิกาเทวี มเหสีของพระเจาปส เสนทิโกศล เปน คนมีศรัทธาใน

พระศาสนาของพระบรมศาสดา ตอ มาพลง้ั พลาดในศลี ธรรมเล็กนอ ย พระสวามตี อวากลับโกหก

และหาอบุ ายลวง และดาพระสวามีดวย ตอ มามินานเกิดประชวร ทวิ งคต ไดไปสูนรกถึง ๗ วัน จงึ

ไดไ ปสวรรค อาสนั นกรรมสาํ คญั เชน น้ี คนโบราณจึงนยิ มใหพ ระไปใหศีลคนปวยหนกั หรือบอก

พระอรหังใหบ รกิ รรมเพอื่ ชวยใหไดไปสูสุคตบิ า ง.

๑๒. กตตั ตากรรม หรอื กตตั ตาวาปนกรรม เปน กรรมที่เพลาที่สดุ ทาํ ดวยเจตนาออนๆ

แทบจะวาไมม ีเจตนา เชนการฆา มดแมลงของเด็กๆ ทีท่ ําดวยความไมเดียงสา ไมรวู า เปนบาปกรรม

ทพิ ยอํานาจ ๑๔๕

ในฝา ยกศุ ลก็เชนกัน เชนเด็กๆ ท่ไี มเดยี งสาแสดงคารวะตอ พระรัตนตรัยตามที่ผใู หญส อนใหทาํ
เด็กจะทาํ ดวยเจตนาออ นที่สดุ จึงชอื่ วาสักวา ทาํ ถาไมม กี รรมอนื่ ใหผ ลเลย กรรมชนิดนก้ี จ็ ะให
ผลไดบาง แตไ มม ากนกั มที างจะเปนอโหสิกรรมไดม ากกวาทีจ่ ะใหผ ล เพราะกําลังเพลามาก.

เมอื่ ไดรจู กั ประเภทกรรม ซง่ึ มีลกั ษณะสามารถใหผลตางขณะตา งวาระตางกรรมเชนนีแ้ ลว
แมไดเ ห็นสตั วไ ดดีตกยากซึง่ เปนไปในลกั ษณะสับปลบั เชน ผูท าํ บาปในชาติน้ีแลว พอตายไดไปเกิด
ในสวรรค หรอื ผทู าํ บุญในชาตินอ้ี ยแู ทๆ แตพอตายไดไปสนู รกเปนตน กจ็ ะไมเขาใจผิดไปตามความ
สับสนนัน้ คงเหน็ ถกู รูถูกตามหลกั วนิ จิ ฉัยกรรมอยูเสมอไป จดั เปนความรูเ ห็นทถี่ องแทได.

อนึ่ง กรรมที่สัตวท ําไว ยอมใหผ ลตามลกั ษณะตางๆ กนั ดังตอ ไปนี้
๑. กรรมคอื การฆาสัตว สงผลใหไปสูอ บาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก ครั้นมาสูความเปน มนุษยก็
เปน คนมอี ายนุ อ ย สวนกรรมคอื การไมฆ า สัตว มเี มตตาปรานีในสรรพสัตว อาํ นวยผลใหไปสูสคุ ติ
โลกสวรรค คร้ันมาสูความเปน มนุษยก เ็ ปนคนมอี ายยุ ืน.
๒. กรรมคือการเบียดเบยี นสัตว ดวยการตบตีขวา งปาแทงฟน สงผลใหไปสูอบาย ทคุ ติ
วินิบาต นรก ครน้ั มาสคู วามเปนมนษุ ยก ็เปนคนอาพาธมาก สว นกรรมคือการไมเ บยี ดเบียนสตั ว
ดวยการตบตขี วางปาแทงฟน อาํ นวยผลใหไปสสู คุ ตโิ ลกสวรรค คร้ันมาสคู วามเปนมนุษยก็เปนคนมี
อาพาธนอ ย.
๓. กรรมคือความมกั โกรธ มากดว ยความคับแคน ถูกวา เล็กนอยก็โกรธพยาบาทปองราย
แสดงความโกรธความดุรา ยความนอ ยใจใหปรากฏออก สงผลใหไ ปสอู บาย ทคุ ติ วินบิ าต นรก
ครั้นมาสคู วามเปน มนษุ ยก็เปนคนผวิ ทราม สว นกรรมคอื คอื ไมม กั โกรธตรงกันขามกบั ทีก่ ลาวแลว
อาํ นวยผลใหไปสสู ุคตโิ ลกสวรรค คร้ันมาสคู วามเปน มนุษยก ็เปนคนผิวงามนาเลือ่ มใส คือเปนคน
ผิวผุดผองเกลย้ี งเกลา.
๔. กรรมคือความมีใจรษิ ยา อยากได เขาไปขดั ขวางในลาภสกั การะ ความเคารพนบั ถอื
นบไหวบูชาของคนอืน่ สงผลใหไ ปสอู บาย ทุคติ วินบิ าต นรก ครั้นมาสคู วามเปน มนษุ ยกเ็ ปนคนมี
ศกั ดานอ ย สวนกรรมคอื ความไมม ใี จรษิ ยาอยากได ไมขัดขวางลาภสักการะ ความเคารพนับถือ
นบไหวบูชาของผอู ื่น อาํ นวยผลใหไ ปสูสุคตโิ ลกสวรรค ครั้นมาสคู วามเปนมนษุ ยก ็เปนคนมศี ักดา
ใหญ.
๕. กรรมคือการไมใหข า ว นํ้า ผา ยานพาหนะ ดอกไม ของหอม เครื่องลบู ไล ทอี่ าศัยหลบั
นอน เครอื่ งเก้ือกลู แกแสงสวางแกสมณะหรือคนดี สงผลใหไ ปสูอบาย ทคุ ติ วนิ ิบาต นรก ครนั้ มาสู
ความเปนมนษุ ยก็เปน คนมโี ภคะนอ ย สวนกรรมคอื การใหว ัตถุดงั กลา วนั้นแกส มณะหรอื คนดี
อํานวยผลใหไ ปสสู ุคติโลกสวรรค ครนั้ มาสูความเปนมนษุ ยก ็เปนคนมโี ภคะมาก.
๖. กรรมคือความกระดางถอื ตัว ไมไหวคนควรไหว ไมลุกรับคนควรลกุ รบั ไมใหอ าสนะแก
คนควรไหว ไมห ลีกทางแกค นควรหลีก ไมสกั การะคนควรสักการะ ไมเ คารพคนควรเคารพ ไมนับ
ถอื คนควรนับถอื ไมบูชาคนควรบูชา สงผลใหไปสูอ บาย ทุคติ วินิบาต นรก คร้ันมาสคู วามเปน
มนษุ ยก็เปน คนเกิดในตระกูลตาํ่ สว นกรรมคือความไมกระดา ง ไมถ ือตัวโดยนัยตรงกันขา มจากท่ี
กลาวแลวนน้ั อาํ นวยผลใหไปสูสคุ ตโิ ลกสวรรค คร้ันมาสูความเปนมนษุ ยกเ็ ปนคนเกดิ ในตระกลู สงู .

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๔๖

๗. กรรมคือการไมเ ขาหาศึกษาไตถามสมณพราหมณ ถึงกศุ ล-อกศุ ล สิง่ มีโทษ-ไมมีโทษ สิง่
ควรเสพ-ไมควรเสพ กรรมทีเ่ ปน ไปเพอ่ื ทกุ ขอันไมเ กือ้ กลู ตลอดกาลนาน และกรรมที่เปนไปเพ่อื สุข
เกอ้ื กลู ตลอดกาลนาน สงผลใหไ ปสอู บาย ทุคติ วนิ บิ าต นรก คร้ันมาสูความเปนมนษุ ยก ็เปนคนโง
เขลาเบาปญ ญา สว นกรรมคอื การเขา หาศึกษาไตถ ามสมณพราหมณถึงส่งิ ตา งๆ ดังกลา วมานนั้
อํานวยผลใหไ ปสสู ุคติโลกสวรรค ครน้ั มาสคู วามเปนมนษุ ยก ็เปน คนมีปญญามาก.

เมือ่ ไดร ูลักษณะกรรมแตละชนดิ ทใ่ี หผลตา งๆ กนั ตามสมควรแกก รรมนั้นๆ ดังนี้แลว เม่ือ
เหน็ สตั วเกิด ตาย ไดดี ตกยาก ผวิ งาม ผิวทราม ดวยตาทพิ ยอ นั บรสิ ทุ ธิ์แลว ยอ มรูตามความเปน
จริงวา สัตวเปน ไปตามกรรมของตนมนั่ คงในหลักทวี่ า สตั วทั้งหลายมกี รรมเปน ของตน เปน ผูรับ
สนองผลกรรมทต่ี นทําไวก ําเนิดแตก รรม ผูกพนั ในกรรม พึง่ กรรมของตนเอง กรรมยอมจาํ แนกสัตว
ใหเ ลวหรือประณตี ตามควรแกกรรมน้ันๆ ดังนี.้ ความรูเห็นเกย่ี วกบั สัตวถูกตองกับความเปน จรงิ น้ี
แล ทานเรยี กวา จุตปู ปาตญาณ ญาณชนิดน้เี ปนตัววิปส สนา ท่ีรเู ห็นเหตปุ จจัยแหงชวี ะตามความ
เปนจริง ท้งั มพี ยานในการเกิดตายในสงั สารวฏั อยา งดีดว ย ผูมญี าณชนิดน้ยี อมมั่นใจในการเวียน
เกดิ เวียนตายวาเปน จริง และยอ มรแู นช ัดวา กรรมเปนตวั ปจ จัยใหส ตั วไ ดด ีตกยากในระหวา งเกดิ
ตายในสงั สารวฏั น้ัน จึงสามารถถอนความเหน็ ผดิ ในเร่ืองสงั สารวัฏ และเรือ่ งอํานาจของสิง่ ท่ี
บันดาลความสุขทกุ ขแ กสรรพสตั วไดเดด็ ขาด เมอ่ื วปิ สสนาญาณแกกลาสามารถเหน็ เหตุปจจยั ของ
ชีวะถกู ตองได ความมั่นใจเชนน้ีช่อื วาขา มเหวแหง ความสงสยั เสยี ได วิปสสนาญาณกม็ ีแตจ ะ
เจรญิ กาวหนา ย่งิ ขึน้ ไป วธิ ีเจริญวปิ ส สนาญาณจะไดก ลา วพสิ ดารในขอ วาดว ยอาสวกั ขยญาณ
ขา งหนา วธิ กี ารเจรญิ จุตูปปาตญาณมนี ยั ดงั การเจรญิ ทิพพจักขุญาณท่กี ลา วมาแลว จึงเปน อัน
หมดขอ ความท่ีจะพงึ กลาวในบทนเี้ พียงน้.ี

ทิพยอํานาจ ๑๔๗

บทที่ ๑๒

วธิ สี รา งทพิ ยอาํ นาจ อาสวกั ขยญาณ รจู กั ทาํ อาสวะใหส น้ิ ไป

ทพิ ยอาํ นาจขอ น้ี หมายถงึ ปรชี าญาณสงู สุด ซง่ึ สามารถรจู กั มลู เหตุของทุกขถูกถว น และ
รูจักวธิ ีทําใหส้ินไปอยางเด็ดขาด เปน ความรูสามารถปลดปลอยจิตใหห ลุดพนจากอํานาจของกิเลส
และกรรม บรรลถุ ึงภูมทิ ่มี ีอิสรภาพทางจิตใจเต็มที่ มเี อกราชโดยสมบูรณ ถึงความเปน ไทยอยาง
เตม็ เปยม.

ความรชู ้นั นจ้ี ัดเปนพระพุทธปรีชาสงู สุดในพระพทุ ธศาสนา ผจู ะกา วขนึ้ สภู ูมิพระพุทธปรชี า
สูงสดุ นี้ไดตอ งไดผานการเจริญวิปสสนาญาณมาตามลาํ ดับข้นั อยา งละเอยี ดลออ ที่เรียกวา เจริญ
ญาณทสั สนะ ฉะนัน้ จะแสดงวิธีเจริญวิปสสนาไวในเบอ้ื งตน แลวจึงจะแสดงวธิ เี จริญอาสวกั ขย-
ญาณในเบ้อื งปลาย พอเปนแนวทางของผูปฏิบตั ิ.

ผูจ ะปฏบิ ัตพิ ึงแกปญหาขนั้ ตน ใหต กเสยี กอ น มิฉะน้ันจะเกดิ ความลังเลสองจติ สองใจใน
ขณะท่ีปฏิบัตริ ํ่าไป ปญหาขนั้ ตนน้ันคอื จะดําเนินชีวติ ไปตามทางทุกข หรือจาํ ดําเนนิ ชวี ติ ไปตาม
ทางสขุ หรอื จะดําเนนิ ชวี ิตไปตามทางกลาง ซ่งึ เปน ทางสิ้นสุดของสุขและทกุ ขในอวสาน ขาพเจา
จะช้ีลักษณะทางทงั้ ๓ นี้พอมองเหน็ เพ่อื สะดวกในการพิจารณาตัดสินใจ เมอื่ เรามองดูชีวิตอยา ง
กวา งๆ และถวนถ่จี ะพบวา ทุกชีวิตลวนแตประสบสิ่งไมสมหวงั หรือสงิ่ ไมปรารถนา ไมวาชีวติ นนั้
จะอยใู นรปู ลกั ษณะดปี ระณีตเพยี งไรก็ตาม ความไมส มหวังก็คืบคลานเขามาสชู ีวิตร่าํ ไป ส่งิ น้ันคือ
ความแก ความเจ็บ ความตาย ความโศกเศรา เห่ียวแหง ใจ ความพไิ รราํ พัน ลาํ บากกาย ความคับใจ
แคนใจ ไมม ีชวี ิตใดปราศจากสง่ิ เหลา นไี้ ปไดสักชีวิตเดียว เมอื่ สบื สาวราวเรอื่ งดอู ยางละเอียดก็จะ
เห็นไดว า ทกุ ขหรือสง่ิ ไมพงึ ปรารถนาเหลา นี้ ยอ มมมี าแตช าตคิ ือกาํ เนดิ กายขึ้นเปน ตัวตนนั่นเอง
ถา ไมมีกําเนิดกายแลว สง่ิ เหลา นี้กไ็ มมีท่ีปรากฏ เมื่อสบื สวนตอ ไปวา ชาติมาจากอะไร? กจ็ ะทราบ
วามาจากกรรมดงั กลา วไวใ นจตุ ูปปาตญาณนน่ั เอง สัตวจะเกดิ ขึ้นเปน รูปกายในกาํ เนิดใดๆ ยอม
อาศยั กรรมเปน ผแู ตงท้ังสน้ิ กรรมดแี ตง กําเนิดดี กรรมเลวแตงกําเนิดเลว เมอ่ื สืบสวนตอไปอกี กจ็ ะ
ทราบวา กรรมยอมกําเนดิ จากความรูส ึกแหงใจ ความรูส กึ แหง ใจนนั้ มี ๓ ประเภทคือ

๑. ความรสู ึกฝายกเิ ลส.
๒. ความรูสึกฝา ยคณุ ธรรม.
๓. ความรสู กึ กลางๆ.
ความรสู ึกเหลา น้ีเกดิ จากความเรา ของอารมณ คอื เมื่ออารมณมาสัมผสั จะเกดิ ความรูสกึ
และสะเทือนใจข้ึนเปน สุข ทกุ ข หรือเฉยๆ แลวเรา ใจใหเ กดิ กเิ ลสหรอื คุณธรรมข้นึ อกี ทีหนงึ่ เม่อื
ดําเนินตามทางของกเิ ลสยอมกอกรรมเลวขน้ึ ใสตวั ไดร บั ทกุ ขเ ปนผลสืบเนอ่ื งไป เมอ่ื ดาํ เนินตาม
ทางของคุณธรรมยอมกอกรรมดใี สตัว ไดสขุ เปนผลสืบเน่ืองไปในกําเนิดฝายดี ซ่งึ มที ุกขโ ดย
ธรรมชาตเิ จอื ปน ไมพ นไปจากทกุ ขเ ด็ดขาดได เมื่อดําเนนิ ไปตามทางกลางคือทางแหงความรสู ึก
เปนกลาง ยอ มไมก อกรรมใดๆ ใสตัว เปนทางสน้ิ สุดแหงสุขและทุกขใ นอวสาน ตรงจุดศนู ยกลาง

ทิพยอํานาจ ๑๔๘

คอื ใจนัน่ แหละมีทางสามแยกอยแู ลว เราจะเดนิ ไปทางไหนก็จงรบี ตดั สนิ ใจแลวเดินไป ตง้ั ตนจาก
จดุ ศนู ยกลางนน่ั เองเร่อื ยไป จติ ใจเปนจุดศูนยก ลางและเปนจุดตั้งตนของทางทกุ ข ทางสขุ และทาง
นพิ พาน หรือจะวาเปน จดุ ตง้ั ตนของทางนรก ทางสวรรค และทางนพิ พานกไ็ ด ถาจะเปรยี บทาง
ทุกขเ หมอื นทางซาย ทางสขุ เหมือนทางขวา และนพิ พานกเ็ ปนทางกลาง มอี ยูแลวทีจ่ ุดศูนยก ลาง
คือจิตใจ พระบรมศาสดาทรงพบวา ทางกลางเปน ทางตรงไปสคู วามปราศจากทุกขเด็ดขาดในบน้ั
ปลาย จงึ ทรงบัญญตั ขิ อ ปฏิบัตเิ พ่ือบรรลจุ ดุ หมายน้นั ขนึ้ เรยี กวา มชั ฌิมาปฏปิ ทา เมื่อรวมกาํ ลงั ใจ
ดาํ เนินเปนกลางในทางสายกลางเร่อื ยไป กจ็ ะบรรลถุ ึงปลายทางคือสภาวะไมมที กุ ข ทเ่ี รียกวา พระ
นพิ พาน ในอวสาน บรรดาทาง ๓ สายน้ี ทานจะเดินตามทางสายไหนจงรบี ตัดสินใจแตบัดนี้ ถา
ทา นตัดสนิ ใจเดินตามทางสายทุกข ทานก็จะดงิ่ ไปสูนรก ขา พเจา ไมมีคําแนะนําใหไ ด ถา ทาน
ตดั สนิ ใจเดนิ ตามทางสายสขุ ทานก็จะตรงไปสสู วรรค ขา พเจา ไดก ลาวแนะนําไวม ากแลว ถา ทาน
จะตัดสนิ ใจไปตามทางสายกลาง ทานกจ็ ะตรงดงิ่ ไปสสู ภาวะไมม ที ุกขใ นเบือ้ งปลาย ขา พเจาพรอม
ท่จี ะใหคาํ แนะนําตอ ไปนีท้ ีเดยี ว กอ นแตจะใหค าํ แนะนาํ ในวธิ เี ดินทางสายกลาง ขา พเจา จะวาด
ภาพพระนพิ พานอันเปนภูมิทีส่ ดุ ทุกข และจะวาดภาพทางสายกลางอันเปน ทางดําเนินไปสพู ระ
นพิ พานนัน้ พอใหนกึ เห็นภาพไวบ าง ดงั ตอไปน้ี

ณ ทสี่ ุดแหง ทางสายกลางน้นั บริบูรณไ ปดว ยสภาวะสมปรารถนาทกุ ประการ เมอ่ื ประมวล
แลว เปน ดงั น้ี คอื

(๑) เอกภาพไพศาล ไดแ กม ีความเปนเอกราชสทิ ธ์ขิ าดในการประกอบกรณียะทุกประการ
ไมมีอาํ นาจอน่ื ใดเขา มาสอดกา วกายได

(๒) เสรีภาพสมบรู ณ ไดแ กมสี ทิ ธอิ์ ํานาจในการดาํ รงอยูตามใจประสงคข องตนอยา งเต็มที่
ไมม กี ฎหมายหรืออาํ นาจใดจํากดั สิทธ์ิไดแมแตประการใด.

(๓) อสิ รภาพเตม็ เปยม ไดแกม คี วามเปนตนของตนเตม็ ที่ พน จากอาํ นาจของกเิ ลสและ
กรรมเด็ดขาด กิเลสและกรรมไมม อี าํ นาจบังคบั บัญชาไดอ กี ตอ ไป.

(๔) สมภาพไพบลู ไดแ กม ีความเสมอภาคเทาเทียมกันในความเปนแกว (=รตั นภาวะ) ไมมี
ความเหล่อื มล้ําต่ําสงู ในลักษณะทเ่ี รียกวา ขา จาว บา ว นาย แมแตป ระการใด.

(๕) เอกภี าพไพบูล ไดแ กความเปน อันหนึง่ อันเดยี วกนั จรงิ ๆ ไมมคี วามแตกตา งระหวาง
แกว ดวยกัน ไมมีความรูสกึ แกงแยง แขง ดีใคร ไมมีการเอารดั เอาเปรียบใคร ไมม คี วามรูสกึ รษิ ยาใคร
มีน้ําใจพรอ มทีจ่ ะอภยั และใหโอกาสแกผ อู ่ืนเต็มที่ ไมข ัดขวางใคร ในกรณยี ใ ดๆ มคี วามรักอยา ง
เปน ธรรมในสรรพสตั ว มีความเปน สภุ าพชนเต็มที่ พรอมท่จี ะชวยเหลือผตู กทุกขไ ดยากทกุ เม่อื
และมใี จเทยี่ งธรรม ไมน าํ ความลาํ บากเดอื ดรอนมาสตู นและคนอ่ืนสัตวอ ่นื โดยประการใดๆ.

(๖) สนั ตภิ าพถาวร ไดแ กม ีความสงบราบคาบ ไมมเี หตุทําใหเ กดิ การปนปวน ไมมีความ
โกลาหลวนุ วายประการใด เพราะเปนสันตบคุ คล ผบู ริบูรณด วยความเกลยี ดกลัวบาป มีความ
ประพฤติทางกายวาจาใจขาวสะอาด มีความเปน คนดีพรอมทุกประการ และมัน่ อยูในสนั ติธรรมทกุ
เมื่อ ถึงความเปนเทพเจา ผบู ริสุทธ์แิ ลว.

ทิพยอาํ นาจ ๑๔๙

(๗) เอกันตบรมสขุ ไดแกมีความบรมสุขสว นเดียว ปราศจากสภาวะที่เรียกวา เกดิ แก
เจ็บ ตาย ทุกขกายคบั แคนใจ และร่าํ ไรรําพันเพอโดยประการทัง้ ปวง มีแตสภาวะตรงกันขามกับ
ทุกขดงั กลาวน้นั มีความอิ่มเต็มส้ินหิวกระหายแลว มคี วามสมปรารถนาทุกประการแลว สภาวะ
ดงั กลา วมาโดยสงั เขปน้ี มใี นท่ีใด ที่นน้ั แหละเรียกวา พระนิพพาน เปนจดุ หมายสงู สดุ ตามหลักทาง
พระพทุ ธศาสนา.

สวนปฏปิ ทาเพอ่ื บรรลุถึงจดุ หมายสงู สุดน้นั เรยี กวามัชฌิมาปฏิปทา เม่ือจะวาดภาพพอให
มองเห็นเปนแนวทาง ก็จะเปน ดงั นี้ คอื

(๑) เปนทางสวางไสว ไมม ืดมวั ไมค ดคอ ม เปนทางตรงลวิ่ แลสดุ สายตา.
(๒) เปนทางปลอดโปรง ปราศจากเสยี้ นหนามหลักตอ.
(๓) เปนทางสะอาด ปราศจากสิง่ สกปรกโสมม.
(๔) เปน ทางราบเรียงเดินสบาย.
(๕) เปน ทางลาดสงู ขน้ึ ไปโดยลาํ ดบั .
(๖) เปนทางรมร่ืนปลอดภยั จากแดดฝนและสตั วราย.
(๗) เปนทางทีม่ อี ากาศสดชื่นมดี อกไมนานาพันธสุ งกลิน่ ตลบอบอวล มผี ลไมโ อชารสนานา
ชนิด มีสุธาโภชนะรสเลศิ ตา งๆ พอไดก ล่ินกห็ ายหิวทนั ที มีประกายแสงสวา งรุงเรืองสดใส ทาํ ให
รสู ึกเบกิ บานใจยง่ิ ขึน้ ในเมอ่ื จวนถงึ ทส่ี ดุ ทาง มัชฌมิ าปฏปิ ทามีลักษณะดงั ภาพท่วี าดขน้ึ นี้ เปนทาง
ท่นี าดาํ เนินทส่ี ุด และจะไมเ ปนทางดว นซง่ึ ทําใหผ ูดําเนนิ ผิดหวงั แตประการใด เม่อื ไดท ราบ
ลกั ษณะสภาพของพระนพิ พานและทางกลางพอสมควรเชนน้แี ลว สมควรท่จี ะเตรียมพรอมเพ่อื
ดําเนนิ ตอ ไป.
ความลงั เลใจมกั จะเกิดข้ึนแกผ ูจะไปสทู ิศทีไ่ มเคยไป วาจดุ หมายท่มี ุงจะไปใหถ งึ น้ันมีแน
หรือ? ฉันใด บุคคลผูจะไปสพู ระนิพพานก็มกั จะลังเลใจฉันนนั้ เหมอื นกนั เพอ่ื ชว ยใหผูจะไปเกิด
ความม่ันใจ แนใจวา พระนพิ พานมีจรงิ จึงวางหลักอนมุ านและอปุ มาไวพอเปนหลกั คิดดงั ตอ ไปน.้ี
หลกั อนมุ าน คอื ทกุ สิ่งยอ มมีสภาวะตรงกันขามเสมอ เชน มีนอกยอ มมใี น มหี นา ยอมมี
หลงั มีซา ยยอมมีขวา มีเย็นยอ มมีรอ น มมี ดื ยอมมีสวา ง มไี มแ นยอมมีแน มที กุ ขยอมมีปราศจาก
ทกุ ข มอี นัตตาคือความไมเปนตนของตน ยอ มมีอัตตาคือความเปนตนของตน มีความไมส ม
ปรารถนา ยอมมีความสมปรารถนา มีสขุ ไมส มบรู ณ ยอ มมีสขุ สมบูรณ มีกิเลสยอมมีปราศจาก
กเิ ลส ฯลฯ เปนสภาพท่ีตรงกันขา มเสมอไป พระบรมศาสดาไดทรงใชหลักอนุมานนี้ ทาํ ความแน
พระหฤทัยในการเสาะแสวงหาพระนพิ พานมาแลว เปน หลกั ท่ีไมนาํ ไปสูค วามผิดหวัง แมความเห็น
ของผกู า วขึ้นสทู างกลางจริงจังข้ันแรก คอื พระโสดาบนั ก็ตรงกบั หลักอนมุ านน้ี คือเหน็ วา ทุกสงิ่ มี
เกิดตองมีดับ ไมมหี นทางใดจะฝา ฝนกฎธรรมดานี้ได และในนัยตรงกันขา มทานก็เห็นชัดอีกวา ทุก
สิ่งเม่อื ไมม เี กดิ ก็ตอ งไมม ีดบั ไมม หี นทางใดจะไปบังคบั ใหเ ปล่ียนแปลงกฎความจรงิ อันนี้ได
เชนเดยี วกนั ผูเหน็ แจงชดั เชน นีย้ อมมน่ั ใจวา พระนพิ พานคือภมู ิพนทกุ ขเดด็ ขาด ไมม เี กิดดับน้ันมี
แนน อน จึงเกิดอตุ สาหะยง่ิ ขึน้ เดินตามทางสายกลางนน้ั ไปโดยไมยอมถอยหลงั เลยแมแ ตกา วเดียว

ทิพยอํานาจ ๑๕๐


Click to View FlipBook Version