The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือทิพยอำนาจ

เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะอธิบายโพธิปักขิยธรรม ด้วยสำนวนและภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อประโยชน์แก่นักปฏิบัติ ผู้มีการศึกษาปริยัติธรรมน้อยจะได้อาศัยศึกษาและปฏิบัติ หนังสือได้กล่าวถึงเรื่องสมาธิวิธีที่พอจะถือเป็นคู่มือในการทำสมาธิได้ พร้อมกับอธิบายวิธีบำเพ็ญฌาน และเจริญทัสนะในพระพุทธศาสนาเพื่อประโยชน์แก่ผู้ต้องการปฏิบัติ รวมถึงวิธีสร้างทิพยอำนาจตั้งแต่ขั้นต่ำๆ ขึ้นไปถึงขั้นสูงสุด เพื่อเป็นคู่มือของผู้ต้องการสร้างทิพยอำนาจขึ้นไว้บำเพ็ญประโยชน์ หนังสือ "ทิพยอำนาจ" จักเป็นคู่มือที่ดีสำหรับผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาธรรมะในส่วนปรมัตถปฏิปทา ต้องการเจริญกัมมัฏฐาน เนื่องจากผู้แต่งได้อธิบายไว้อย่างพร้อมสรรพทุกทางแล้ว

โดย พระอริยคุณาธาร (ปุสฺโส เส็ง ป.๖)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kindness Dharma Foundation, 2020-06-12 20:30:16

หนังสือทิพยอำนาจ

หนังสือทิพยอำนาจ

เป็นหนังสือที่แต่งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะอธิบายโพธิปักขิยธรรม ด้วยสำนวนและภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อประโยชน์แก่นักปฏิบัติ ผู้มีการศึกษาปริยัติธรรมน้อยจะได้อาศัยศึกษาและปฏิบัติ หนังสือได้กล่าวถึงเรื่องสมาธิวิธีที่พอจะถือเป็นคู่มือในการทำสมาธิได้ พร้อมกับอธิบายวิธีบำเพ็ญฌาน และเจริญทัสนะในพระพุทธศาสนาเพื่อประโยชน์แก่ผู้ต้องการปฏิบัติ รวมถึงวิธีสร้างทิพยอำนาจตั้งแต่ขั้นต่ำๆ ขึ้นไปถึงขั้นสูงสุด เพื่อเป็นคู่มือของผู้ต้องการสร้างทิพยอำนาจขึ้นไว้บำเพ็ญประโยชน์ หนังสือ "ทิพยอำนาจ" จักเป็นคู่มือที่ดีสำหรับผู้ที่ใฝ่ใจศึกษาธรรมะในส่วนปรมัตถปฏิปทา ต้องการเจริญกัมมัฏฐาน เนื่องจากผู้แต่งได้อธิบายไว้อย่างพร้อมสรรพทุกทางแล้ว

โดย พระอริยคุณาธาร (ปุสฺโส เส็ง ป.๖)

Keywords: #มูลนิธิการุณย์ธรรม,#เมล็ดพันธ์แห่งการตื่นรู้,#KindnessDharmaFoundation

แลวก็บรรลุถึงภูมิพนทุกขเ ด็ดขาดเขา จริงๆ ในอวสานดว ย ผูเดินทางสดุ สายแลวยอมยนื ยนั เปน
เสยี งเดยี วกันวา พระนพิ พานมจี รงิ .

สว นหลกั อุปมาคอื ธรรมดาไฟเผาไหม ณ ที่ใด ยอ มทําที่น้ันใหรอ น เมอ่ื ดับไฟ ณ ท่นี ้ันแลว
ทนี่ น้ั ยอ มหายรอ นกลายเปนท่เี ย็นฉันใด ธรรมดากเิ ลสเผาลนใจยอ มทาํ ใจใหรอน เมือ่ ดับกเิ ลสท่ใี จ
ไดแ ลว ใจยอ มหายรอนกลายเปน ใจเยน็ ฉนั นนั้ น้ําที่หลัง่ ไหลมาตามลาํ ธารจากทส่ี งู ถงึ ทต่ี าํ่ ยอ มมี
ตน น้ําคือแหลง ขงั นาํ้ ฉันใด ความสขุ หรอื ความทุกขทีป่ รากฏแกค นเราอยทู กุ วนั น้ี ก็ยอมมตี นคือ
แหลง ทเ่ี กดิ ฉนั นัน้ กิเลสและทกุ ขยอ มแสดงตัวอยทู ่ีจติ ใจ เมื่อดบั กิเลสอันเปนตัวเหตุแหงทุกขได
แลว ใจกป็ ราศจากกเิ ลสและทกุ ข กลายเปนใจเย็น มีสขุ สมบรู ณส มปรารถนา มชั ฌมิ าปฏปิ ทา
ยอ มกลมกลนื กบั พระนิพพาน คือมคี วามเปนกลางในทางกลางเรอ่ื ยไป กจ็ ะถงึ สภาพทเ่ี ปน กลาง
ทีส่ ดุ คือพระนพิ พานในอวสาน ไมม ีทง้ั ทุกขไมม ที ้งั สุขในลกั ษณะโลกในพระนิพพานนน้ั แตเ ปนสขุ
ในลักษณะที่ไมม ีอะไรกอ ความเดือดรอ นใหแ มแตประการใดๆ มแี ตดาํ รงอยใู นสภาพทเี่ รียกวาสขุ
สมบูรณหรอื สขุ โดยสว นเดยี วจรงิ ๆ ความขอน้ที านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ไดก ลาว
เปรียบเทยี บใหเห็นวา คนทสี่ มบูรณไปดวยกามสุขทุกส่งิ น้ัน ยอมมที ุกขเกิดขึน้ มาแทรกทําใหเสยี
ความสุขไป คนผูเขาฌานตง้ั แตช้ันตํา่ ๆ ขึ้นไปจนถึงชัน้ สูงสุดยังมีปจจนิกธรรมเกิดแทรกขดั ขวาง
ความสุขในฌานนั้นๆ เนืองๆ สว นผบู รรลุถงึ อาสวักขัยแลวจะไมม ีทกุ ขเ กดิ แทรกแซงประการใด จงึ
เปน อันวาพระนิพพานเปน บรมสขุ จรงิ แท ในเม่อื เปรียบเทยี บกบั ความสขุ ในดานอ่ืนๆ แลว เม่ือ
พิจารณาตามหลักอุปมาน้ยี อมไดความชดั วา ใจท่ปี ราศจากกิเลสสิน้ เชิงนัน่ แหละพระนิพพาน เมอ่ื
เปนเชน นพี้ ระนิพพานจงึ มใิ ชสถานที่ หรือภมู ิจิตใจชั้นต่าํ แตเ ปนภูมจิ ิตใจชัน้ สงู สดุ ซง่ึ ไมมีทางท่จี ะ
ข้นึ สงู ไปกวา นไี้ ดอกี ภูมจิ ิตใจอันสงู สดุ นี้มผี ูบรรลุถึงมาแลว จึงมใิ ชภ ูมิท่ีเกนิ วิสัยสามารถของ
มนษุ ย เปน ภูมิทม่ี นษุ ยอาจปฏบิ ัตบิ รรลไุ ด ธรรมชาตทิ ี่เปนกลางและอาจทําใหเปนกลางไดกค็ อื
จติ ใจ ทกุ คนกม็ ีจติ ใจอยแู ลว จึงไมเปนการยงุ ยากท่ีจะไปคนหา ลงมอื ปฏิบตั ิอบรมใจของตนไปให
ดีทีส่ ุดจะดีได ก็จะประสบลกั ษณะทเี่ ปน กลางเขา เอง เม่อื ลกั ษณะเปนกลางปรากฏเดน ทใี่ จเมื่อไร
ช่ือวา พบทางพระนพิ พานทแ่ี ทจ รงิ เมือ่ น้นั เมอื่ ดําเนินตามทางน้นั ไปไมห ยุด กย็ อ มจะถงึ ท่ีสดุ ของ
ทางเขาสักวนั หนึ่ง เมือ่ ถึงท่สี ุดทางแลวยอมหมดปญหาท่จี ะถามวา อะไรคือพระนพิ พาน และพระ
นิพพานอยทู ่ีไหน? ภมู ิท่หี มดสงสัยนั่นแหละคือพระนพิ พาน โบราณาจารยพ ดู ไวว า “สวรรคอยู
ในอก นรกอยูในใจ พระนิพพานอยทู ไี่ หน ก็ที่ใจนนั่ เอง” ดังนี้ ก็เพือ่ ยตุ ปิ ญ หาทว่ี าพระนิพพานอยู
ไหนนั่นเอง และเพื่อปลดเปล้อื งความเขา ใจผิดทีว่ า “พระนิพพานเปน บา นเปนเมอื งที่เจรญิ รงุ เรือง
มสี ขุ สมบูรณสมปรารถนาทกุ ประการ ผปู ฏิบตั ิทางพระนิพพานตายแลวจงึ จะไปอยูอยา งมีชีวิตชีวา
เสวยสุขารมณในพระนิพพานนั้น” ซงึ่ เปนความเขาใจผดิ กบั ความจรงิ อยา งลบิ ลบั ราวฟา กบั ดนิ
ทเี ดยี ว.

ยังมีปญ หาสืบไปวา เม่อื พระนพิ พานหมายถึงภูมิจติ ใจอันสูงสุด หรือจิตใจอนั บรสิ ทุ ธิ์
ปราศจากกิเลสโดยประการทง้ั ปวงเชนน้ีแลว เม่ือชีวิตยังมีอยกู ไ็ มเ ปนปญหาอะไร แตเ ม่ือรา งกายนี้
สลายแลว จติ ใจเชนนั้นเปน อยางไรตอ ไป? ปญ หานเ้ี ปนปญหาใหญย ่ิงทสี่ ุดในหมพู ทุ ธบริษัท แมใน
สมยั พุทธกาลปญหานี้ก็ไดม แี ลวเหมอื นกนั .

ทิพยอาํ นาจ ๑๕๑

พระบรมศาสดาตรัสวา คน ๒ จําพวกไมเหน็ พระนพิ พาน คอื
พวกติดภพ ยนิ ดใี นภพ พอใจในภพ อาลยั ในภพ เมือ่ ไดฟงธรรมวา พระนพิ พานคอื
ธรรมชาตดิ ับภพ ไมมภี พ ยอ มถอยหลังไมต ิดใจในพระนพิ พาน โดยเขา ใจวาเม่ือไมม ีภพจะมสี ขุ ได
อยางไร พระนิพพานกค็ อื ความสูญเปลา น่ันเอง.
อีกพวกหนึง่ คือพวกแลน เลยไป เมอื่ ไดฟงวาพระนพิ พานคอื ธรรมชาตดิ บั ภพดบั ชาตกิ ็
เขาใจไปวา เมอื่ ตายแลว กส็ ิ้นเรอื่ งกันแคน้นั สภาวะท่ไี มมอี ะไรอกี นนั้ เปนสภาวะสงบประณตี จริงแท
พวกนี้เขา ใจวา ความไมมอี ะไรเปนพระนพิ พาน คนเกิดมาเพยี งชาตเิ ดียว ตายแลวกจ็ บเรือ่ งทกุ ข
รอ นเพียงน้ัน พวกเหน็ วาตายสญู นเ้ี ปนพวกเลยธง ไมพบพระนิพพานท่จี ริงแท.
พวกตดิ ภพกไ็ มเห็นพระนพิ พาน พวกเลยธงก็ไมเห็นพระนพิ พานเชนกัน สว นพวกท่ีเหน็
พระนิพพานไดคือ พวกมตี า รูวาอะไรเปนภพและมิใช ตามความเปนจรงิ เม่ือไดฟงวา พระนพิ พาน
เปน ธรรมชาตดิ ับภพ ยอมเขา ใจถกู เหน็ ถูกวาพระนิพพานเปนธรรมชาตปิ ราศจากทกุ ข ปลอยวาง
ความอาลยั ติดพนั ในภพไดเด็ดขาด แลว พอใจดาํ เนินทางปลอยวางเรอ่ื ยไป กบ็ รรลุถึงสภาวะที่
ปราศจากทกุ ขส มประสงค จิตใจยอ มดาํ รงอยูในสภาพปราศจากทุกขเ รือ่ ยไป เมอ่ื รา งกายยังดํารง
อยู จิตใจก็ดาํ รงอยูในสภาพตางหากจากกายแลว แมเ ม่อื ตายไป จิตใจก็ยอ มดาํ รงอยตู างหากจาก
กายไดเชนเดยี วกัน ความเปนพระอรหันตมิใชรูปกายและนามกาย ซง่ึ เปน สง่ิ เกดิ จากเหตุปจจยั
และสลายเปน เลย จิตใจอันบรสิ ทุ ธิ์น่นั ตางหากเปนพระอรหันต สงิ่ นน้ั ไมสลาย เมอ่ื กายสลายแลว
เทวดาและมนษุ ยส ามัญยอมไมเห็น แตผ บู รรลุถึงภมู ิสูงสุดดวยกันยอมเห็นกันไดเสมอไป จติ ใจที่
พน พเิ ศษเชนน้นั แลว ยอมไมเปนอยางอื่นอกี ยอ มดํารงความเปน เชนน้ันตลอดไป เปนภมู ทิ ี่
ปราศจากทุกขชว่ั นริ ันดร สมกับคําที่วา พระนิพพานเปน อมตํ คอื ตายไมเ ปน เที่ยงแทถาวร
ตรงกนั ขา มกับโลกโดยประการทั้งปวง.
ทนี ีย้ ังมปี ญหาขอ หนึง่ ซึ่งมักมาเปนอารมณข ดั ขวางผูจะเดินทางพระนิพพานเสมอๆ ถา
เกิดขึน้ ในใจตนเองกเ็ ปนไปในรูปทวี่ า การดาํ เนินทางพระนิพพานมเิ ปน การตดั ชองนอยเอาตวั รอด
ไปหรอื ? ถา เกิดขนึ้ ในใจผูอ ่นื กจ็ ะมาถงึ ผดู าํ เนนิ ทางพระนิพพานในรูปลักษณะคําขูข วญั เหมือนคํา
พญามารขพู ระบรมศาสดาคราวตดั สินพระทัยจะเสดจ็ ออกบรรพชา แสวงหาโมกขธรรมคอื พระ
นพิ พานวา “ทา นเปนคนเห็นแกต วั เอาเปรยี บเพอ่ื นมนษุ ย ไมชว ยเหลอื ผอู ืน่ เอาแตตัวรอด ไมเหน็
แกผอู ืน่ ไมเหน็ แกหมคู ณะ ฯลฯ แตบางทีกม็ าในรปู ลักษณะคาํ ลวง เปน ตน วา รอกอ น ยังไมถึง
เวลาจะรบี รอ นไปไหน สมบตั ิวเิ ศษหรือยศศักด์อิ ยา งนนั้ ๆ กําลงั รอทานอยู มชิ ามินานกจ็ ะมาถงึ
เสวยสมบัติเห็นปานน้นั ใหอ่มิ หนําสาํ ราญกอ นเถิด จึงคอ ยไป ฯลฯ” เพอื่ แกปญ หาขอ งใจอนั นี้ให
ตกไป ขา พเจา จะเยืองความใหเหน็ เหตุผลพอเปนแนวคิดดงั ตอ ไปน้ี.
การชวยเหลือเพอ่ื นมนษุ ยหรือชว ยหมคู ณะ ยอมมีทางหลายทางมใิ ชทางเดยี ว แมผูปฏิบตั ิ
ทางพระนิพพานกท็ าํ ได และอาจทําไดดกี วาเสียอีก ไมเ หน็ จะขัดของท่ีตรงไหน มนษุ ยยอมตอ งการ
ความชว ยเหลือในสง่ิ ซง่ึ เขามองไมเหน็ มากกวา ในสิ่งท่ีเขามองเห็น ทางขางหนานั้นมนุษยส ว นมาก
มองไมเห็น จําเปน ตอ งขอความชวยเหลอื จากผูมีตามองเห็น แมแ ตใ นระยะชว่ั ชวี ิตหนึ่งเขากต็ อง
พง่ึ ผูมีตา อยา งตา่ํ กว็ ่ิงไปหาหมอดใู หช วยทาํ นายทายทักให ไฉนเลา ในกรณยี ท่ไี กลกวาน้ันเขาจงึ จะ

ทิพยอํานาจ ๑๕๒

ไมพึง่ ผูมตี า เปน การแนนอนทส่ี ดุ ทม่ี นุษยจะตองพง่ึ พาอาศัยผูม ีตาวนั ยงั ค่าํ ผูดาํ เนินทางพระ
นิพพานนัน้ เปนบุคคลผูม ีตา ยอ มรูจ กั ขางหนา ขา งหลงั และปจจุบนั ไดด กี วาคนสามญั ธรรมดา จงึ
อาจชว ยเหลอื เพื่อนมนษุ ยใ นดา นนี้ไดดี ในทางแนะนําใหเขาประกันภยั ภายหนาของเขาเอง และ
ในบางคราวก็อาจตอ งนําเขาออกจากภัยภายหนา น้ัน แผค ุณความดีใหเ ขา ดังพระผเู ปนเจา ธรรม
เสนาบดดี ว ยกรสารีบตุ ร ไดชว ยเปรตใหพน จากความเปน เปรตมาแลวเปนตัวอยาง สว นในการ
ชวยเหลอื หมคู ณะท่ีตนมีสวนสัมพันธอ ยนู ั้นเลา กย็ อมทําไดเ ชนเดียวกัน แมจะอยหู างไกลกันตั้ง
แสนโยชนกอ็ าจชว ยเหลอื กนั ได ไมจ าํ เปน จะตองคลุกคลีในหมูค ณะเสมอไป พระมหากัสสปเถระ
ถอื อยปู าเปนวัตร ทานก็สามารถนาํ หมคู ณะในทางพระธรรมวนิ ัยไดดี เม่อื พระผมู พี ระภาคเสดจ็
ปรนิ พิ พานแลวทานกไ็ ดเ ปนหวั หนา ทําปฐมสังคายนาพระธรรมวนิ ยั เปนแบบฉบับทยี่ ่งั ยืนมาถงึ ทกุ
วนั นี้ พระโมคคัลลบี ตุ รติสสเถระหลบหนีจากความวุนวายไปอยใู นถํ้าแหง อโธภาคบรรพต ปากนํา้
คงคาเปนเวลานานถึง ๑๒ ป เมือ่ คราวจําเปน แหงพระพทุ ธศาสนา หมคู ณะตอ งการตัวทานมาเปน
หัวหนาทําการสงั คายนาพระธรรมวนิ ยั ทา นก็ไปทําไดเ ปนอยางดี และดําเนินการเผยแผ
พระพทุ ธศาสนาใหแ พรหลายไปยังนานาประเทศนอกชมพทู วีป สวุ รรณภมู ิ คือแหลมทองก็ไดรบั
พระพทุ ธศาสนาเปนศาสนาประจําชาติบานเมอื งมาแตครัง้ นั้น ทานที่ออกนามมาแลวกป็ ฏบิ ตั ิทาง
พระนพิ พาน ปลกี ตนออกหางจากหมทู วี่ ุน วาย ทําไมทา นจึงทาํ ประโยชนชว ยเหลือเพ่ือนมนุษย
และหมูคณะไดเลา? ทา นทาํ ไดด กี วาผวู นุ วายเหลา นั้นมใิ ชหรอื ? สวนขอ ท่ีมารลวงดวยคาํ หวาน
หวานลอ ม ไมมีเหตผุ ลอะไรท่จี ะพดู มาก ถาทานยังอาลัยอยูในกามสมบัติคือยศศกั ดิ์ศฤงคาร
บริวารลาภสักการะทา นกป็ ฏิบตั ติ ามทางพระนพิ พานไมได เพราะทางพระนิพพานกบั ทางใหเกดิ
ลาภยศเปนคนละสาย มิใชท างเดยี วกัน ทานควรพิจารณาและตัดสินใจเองวาจะเอาความสุขช่ัว
แลน หรือความสขุ ถาวร ถา จะเอาความสขุ ช่วั แลน ก็จงทําตามคําของมาร แตถา ตองการความสขุ
ถาวรกจ็ งเดินไปตามทางพระนิพพาน อยาอาลัยในลาภยศเพียงชว่ั แลน นัน้ เลย ถาเราทาํ ดเี ปนคน
ดที ่หี มคู ณะตองการแลว ลาภยศมมี าเอง แมไมป รารถนากต็ องไดอยูด ี จะไปอาลัยตายอยากเอา
อะไรกัน เทา ท่เี ยอื งความใหเห็นเหตุผลมาเพยี งเทานค้ี งเพียงพอท่ีจะพจิ ารณาวนิ จิ ฉัยปญ หาขอ นี้
ได ตอไปนกี้ ็หมดปญ หาทีจ่ ะแกไ ข ควรเตรียมพรอ มเพ่ือรบั คาํ แนะนาํ ในวิธเี จรญิ วปิ สสนา เพ่อื
ญาณทัสสนะทีถ่ ูกตอ งตอ ไป.

วิปสสนาญาณ หยง่ั รากฐานลงบนความบรสิ ทุ ธสิ์ ะอาดของจิตใจ ความบรสิ ุทธิส์ ะอาดของ
จติ ใจนน้ั ยอมมเี ปนขั้นๆ ตามลาํ ดบั กัน ความบริสุทธิ์ข้ันตนคือศลี ความบริสุทธิ์ขน้ั ที่ ๒ คอื สมาธิ
ความบริสุทธ์ขิ ้นั ท่ี ๓ คือปญญาหรอื ญาณทัสสนะ ซึง่ คอ ยสุขมุ ประณีตไปโดยลําดบั จนถงึ
ญาณทัสสนะท่ปี ระณตี ท่สี ดุ สามารถฉดุ ถอนตนออกจากโลกวุน วายไปสภู าวะที่บริสุทธิส์ ะอาดทสี่ ุด
ในอวสาน ปญญาญาณในขน้ั ตางๆ น้ันมีถงึ ๕ ขั้นมีชื่อเรียกตา งๆ กันตามลกั ษณะของความรูนั้นๆ.

การทว่ี า วิปสสนาญาณหยัง่ รากฐานลงบนความบรสิ ุทธ์ินนั้ อาศัยหลกั เหตผุ ลในทางอปุ มานี้
วา น้าํ ใสบริสุทธ์สิ งบน่ิงยอมสอ งดูเงาหนา ชัดเจนฉันใด จิตใจบริสุทธใ์ิ สสะอาดและสงบนิ่งก็ยอ ม
สอ งเห็นเหตผุ ลและความจริงไดถกู ตอ งตามความเปนจริง ฉะน้ัน ดว ยเหตุผลขอนพ้ี ระผูมพี ระภาค
จงึ ตรัสวา สมาธึ ภกิ ฺขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ภิกษทุ ง้ั หลาย! เธอทงั้ หลายจงเจริญ

ทิพยอาํ นาจ ๑๕๓

สมาธิ เพราะผมู ีจิตเปนสมาธิยอมรูต ามความเปน จรงิ ไดดังน.ี้ สมาธดิ ีเดนไดด ว ยอาํ นาจศลี ธรรม
ปญญาแหลมคมดวยอํานาจสมาธอิ บรม จติ รูจบส้นิ อาสวะไดเพราะปญ ญาบม สมดวยพระพทุ ธ
ภาษติ วา สลี ปรภิ าวโิ ต สมาธิมหปผฺ โล โหติ มหานสิ โํ ส, สมาธปิ ริภาวิตา ปฺ า มหปผฺ ลา โหติ
มหานสิ ํสา, ปฺ า ปริภาวิตํ จติ ตฺ ํ สมมฺ เทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ เสยยฺ ถีทํ กามาสวา ภวาสวา อวชิ ฺชา-
สวา สมาธิอันศีลอบรมแลวมผี ลานสิ งสมาก ปญญาอันสมาธอิ บรมแลวมีผลมีอานสิ งสมาก จติ อัน
ปญ ญาอบรมแลว ยอ มพน จากอาสวะ คือ กาม ภพ อวชิ ชา ดวยเหตุดังวามานที้ า นจึงวางข้ันของ
การอบรมจิตใจใหบ ริสทุ ธิ์ตามลาํ ดับตอไปน้ี

วสิ ุทธิ ๗ ประการ

๑. สีลวสิ ทุ ธิ ศลี บรสิ ุทธิ์ ไดแกมคี วามประพฤตทิ างกาย ทางวาจา และทางใจ บรสิ ุทธ์ิ
สะอาด ปราศจากโทษนาติเตียน ตนเองก็ติเตียนตนเองไมได ผรู ูใ ครครวญแลว กต็ เิ ตียนไมไ ด มี
ความเยน็ ใจ นึกถึงคราวไรกเ็ กิดปต ิปราโมทย ทําใหเกิดความสขุ กายสบายใจ และมคี วามสงบใจ
ใกลตอ ความเปน สมาธิยง่ิ ขึ้น.

๒. จติ ตวสิ ทุ ธิ จติ บรสิ ทุ ธ์ิ ไดแกจ ิตใจเปนสมาธขิ น้ั ใดขนั้ หนงึ่ มกี ําลังพอเปน ท่ตี ั้งแหง
ยถาภูตญาณทสั สนะได สมาธิท่ีจัดวามกี ําลงั เพยี งพอเพื่อเปน ทต่ี ง้ั แหง ยถาภูตญาณทสั สนะไดนนั้ คือ
ฌาน ๔ ซึง่ มลี ักษณะจติ ใจใสสะอาด มคี วามรูสกึ เปนกลางๆ มสี ติและความบริสทุ ธค์ิ วบคมุ กาํ กับ
เปนจติ ใจปราศจากกิเลสเคร่ืองทําใหห มองมวั มคี วามนิ่มนวลมั่นคงมกี ําลงั เพยี งพอทจ่ี ะพจิ ารณา
สภาวะอนั สขุ ุมได.

๓. ทฏิ ฐวิ สิ ุทธิ ทฤษฎีบรสิ ทุ ธิ์ ไดแ กป ญญาจกั ษุมกี ําลังสามารถทาํ ลายอัตตานทุ ิฏฐิเสียได
มคี วามรูเหน็ เหตุผลวา นามรปู เปน สิง่ เกิดจากเหตุปจ จัยจะตอ งเปน ไปตามเหตุปจจยั ของมัน ตกอยู
ในลักษณะไมเ ทยี่ ง เปนทุกข และเปนอนัตตา ใครจะปรารถนาใหเปนไปตามใจประสงคยอมไมไ ด
ไมอยใู นอํานาจและความปรารถนาของใคร ความรูเหน็ ตามไตรลกั ษณเชนนเี้ ปน เครือ่ งชําระ
ความเห็นใหบริสทุ ธิ์ เปนยถาภตู ญาณทัสสนะขน้ึ รูเห็นชดั วารา งกายประกอบดวยธาตุ ๔ อาศยั
สมั ภวธาตขุ องบดิ ามารดาผสมกนั มีกรรมเปน ผูต กแตง เจรญิ เติบโตดวยอาหารมวี ญิ ญาณอยู ณ
ภายใน เปน ท่ีรวมแหง ความรูส กึ ซ่งึ สืบตอ ไปดว ยอายตนะและผสั สะเสมอ น้เี ปน เรม่ิ แรกแหง
วปิ ส สนาญาณ.

๔. กังขาวิตรณวิสุทธิ ปญ ญาบริสทุ ธิส์ ามารถขามความสงสยั ได ไดแ กวิปสสนาญาณ
เล็งเหน็ เหตุปจจัยปรงุ แตง นามรูปอนั สําเร็จมาเปนตัวตนในปจ จุบนั ซึ่งเปนท่ตี ง้ั แหงความเขา ใจผิด
คิดวาเปนตัวตนแกน สารของตนจริงๆ เล็งเหน็ ชดั วา อวิชชา ตัณหา อปุ าทานและกรรมเปนตัวเหตุ
แหงนามรูป เมื่อนามรปู เกิดข้ึนมาแลวยอมอาศยั อาหาร อายตนะ และผัสสะเปนปจจัยสืบตอให
เจริญเตบิ โตและดาํ รงอยูสืบไป เม่ือเหตุและปจจัยแหง นามรปู ยังสืบตออยูเ พียงใดนามรูปกต็ องสบื
ตออยูเพียงน้นั นามรปู ในอดตี ในอนาคต และในปจจุบัน ยอมอาศัยเหตุปจจยั เชนเดียวกนั แมใ น
ภพกาํ เนดิ ทีป่ ระณีตสักเพยี งไร ท่จี ะพนไปจากนามรปู มไิ ดมี เมอื่ มีนามรปู อยยู อ มจะประสบความ
ไมส มหวัง คือ แก เจ็บ ตาย ฯลฯ เสมอไป.

ทิพยอํานาจ ๑๕๔

๕. มัคคามัคคญาณทสั สนวิสทุ ธิ ญาณบรสิ ุทธสิ์ ามารถรูจกั ทางผดิ ทางถกู ได คือวาเมื่อได
รเู หน็ เหตุปจจยั ของนามรูปแจง ชดั แกใจเชนนัน้ จะเกิดอารมณวิเศษขึ้นในจิตใจอยางใดอยางหน่งึ
ทท่ี า นเรียกวา วิปส สนูปกิเลส คอื

(๑) โอภาส ความสวางแจมจาในจติ มองเหน็ ทุกทิศทางเหมอื นบรรลถุ งึ อาสวกั ขยญาณแลว
ฉะนน้ั .

(๒) ญาณ ความรเู ฉยี บแหลมคมคายกวา เดิมหลายเทาพนั ทวี มีความรเู ห็นเหตุผลทะลปุ รุ
โปรงไมม ตี ิดขัด คลายอรหตั ตมรรคญาณฉะนั้น.

(๓) ปต ิ ความอมิ่ เอบิ ชมุ ชื่นกายใจ มกี าํ ลงั เหลอื ประมาณ ทําใหจิตใจมปี ระกายแวววาว
คลา ยพนจากอาสวะเดด็ ขาดแลว.

(๔) ปส สัทธิ ความสงบ ไดแ กค วามเขาระงบั พกั อยู ไมเจริญปญ ญาตอ ไป ตดิ อยใู นความ
สงบนน้ั ดว ยความสาํ ราญแชมชน่ื ไมสามารถจะทง้ิ ความสงบนนั้ .

(๕) สขุ ความสบายใจ ปลอดโปรงใจ เปน ไปอยา งประณตี สุขุมและสมาํ่ เสมอ ประหน่ึงพน
ทุกขเดด็ ขาดแลว .

(๖) อธิโมกข ตามรูปศพั ทแ ปลวา ความพน ของจติ ใจปรากฏเดนชดั ย่งิ นกั คลา ยกบั พน
เดด็ ขาดจากกเิ ลสอาสวะแลวฉะนนั้ แตโ ดยความ หมายเอานอ มใจเช่อื ในเรื่องทปี่ ระสบน้ัน โดย
ปราศจากญาณ.

(๗) ปคคาหะ ความเพียรกลา หาญเด็ดเด่ียว ประคองจติ ไวในระดับสงู ไมใหจติ ใจตกลงสู
ภวังคเลยแมแ ตนอย.

(๘) อปุ ฏฐาน สตดิ าํ รงม่ันคงแขง็ แรงกํากับจติ ใจเปนนิตย ไมมีพลง้ั เผลอ คลา ยกบั มีสติ
ไพบูลยแลวฉะน้นั .

(๙) อุเบกขา ความวางเฉยในอารมณ และมีใจเปนกลางเที่ยงตรงอยางยงิ่ ประหนงึ่ บรรลุ
ภูมิทีม่ ีฉฬงั คเุ บกขาในอารมณ.

(๑๐) นกิ นั ติ ความรสู ึกพอใจในความเปนไปของจติ ขณะนน้ั อยา งซ้ึงๆ รูสึกหย่งิ ในใจนดิ ๆ
หรอื ภูมใิ จหนอยๆ วา ตนพนจากอาํ นาจของมารแลว เมื่อไดประสบกบั ภาวะทางจติ ใจเชน น้ีแลว
หยั่งทราบวา เพียงเปน ผลวิปส สนาญาณขัน้ ขา มความสงสัย มใิ ชผลสูงสดุ ของวปิ สสนาญาณท่ี
แทจรงิ จงึ มิหยดุ ย้งั ความเพยี รเพียงน้ัน ประคองจติ ใจท่ีเห็นแจง นั้นในทางแหงวปิ สสนายิง่ ข้ึน ไม
ยอมใหเ ขวไปนอกทางแหงวปิ ส สนา.

๖. ปฏปิ ทาญาณทัสสนวสิ ุทธิ ญาณบรสิ ทุ ธส์ิ ามารถรูเหน็ ทางดาํ เนินท่ีถกู ตองของจติ ใจ
และดําเนนิ จิตใจไปตามทางนั้นอยา งถกู ตองดวย คอื รวบรวมความรทู างวปิ ส สนาใหป รากฏแจม
แจงแกใจทุกๆ ขนั้ ไปท้งั ๙ ขนั้ อยางละเอยี ดลออ ไดค วามรูเห็นแจมกระจางในทางเหตผุ ลตนปลาย
ของสงั ขารอยางดี จนมใี จดํารงเปนกลางเท่ียงตรงอยางย่งิ .

๗. ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ญาณทัสสนะบรสิ ทุ ธิ์ คือเกิดความรู ความเห็นอริยสจั ธรรมแจม
แจงขึ้นในใจ สามารถทาํ ลายกเิ ลสออกจากใจไดเดด็ ขาด ขาดเปนข้ันๆ ไปตามกําลงั ของญาณทัส-
สนะนนั้ ๆ รสู กึ โลง ใจเบาใจย่ิงข้นึ ตามลําดับไป และรไู ดด วยวา กิเลสอะไรถกู กาํ จดั ไปแลวงอกขึ้นอีก

ทิพยอํานาจ ๑๕๕

ไมได เพราะมูลรากของมนั ถูกขจดั แลวอยางเดด็ ขาด ความรูความสามารถขนั้ นเี้ ปนขั้นสงู และ
เดด็ ขาด มอี าํ นาจเหนอื กเิ ลสอนั เปนปจจนกึ ของตนๆ ความรคู วามสามารถขั้นสูงสุดนั้นทาํ ลายอา
สวะไดส ิน้ เชิงเด็ดขาด สิ้นชาตสิ ้นิ ภพจบกจิ พรหมจรรย หมดกรณยี ะทจ่ี าํ เปนตอ งทาํ แลว ความรู
เหน็ เชนนี้แหละเรยี กวา ญาณทสั สนะบริสุทธิ์ เปนพระพุทธปรีชาสูงสดุ ของพระพุทธศาสนา.

ทานกลาววา วสิ ทุ ธิ ๗ ประการน้ยี อ มเปน ปจจยั สงตอผปู ฏิบตั ิ ไปสภู ูมพิ น ทุกขเด็ดขาดใน
อวสาน เปรียบเหมอื นรถโดยสาร ๗ ระยะ ตา งสง ทอดผโู ดยสารไปสูท ่ีสดุ ของทางฉะน้นั เมอ่ื จะ
พดู ใหเ ขาใจงายกค็ อื วสิ ุทธิ ๗ นีเ้ ปนข้นั ของการปฏิบัติ ๗ ขั้น คอยๆ สงู ขึ้นไปโดยลาํ ดับ ขั้นท่ี ๗
เปนขั้นสูงสุดยอดของการปฏบิ ัติ การปฏิบตั ิต้ังแตขน้ั ท่ี ๓ เปน ตนมาถึงขั้นท่ี ๗ ลวนเปนขน้ั ของ
การเจรญิ ญาณทสั สนะ เพอื่ รจู ริงเห็นแจง ทาํ ลายรงั ของกิเลสท้ังสน้ิ ทา นเรียกวธิ กี ารปฏบิ ตั ินั้นวา
วปิ ส สนาวิธี เมือ่ ดําเนินไปตามทางของวปิ สสนาถกู ตองจะเกิดปญญาญาณขึน้ ตามลาํ ดับขน้ั เรียกวา
วิปส สนาญาณ มีกาํ ลงั พอแกก ารประหารอาสวะในข้ันนน้ั ๆ เรือ่ ยไป จนถึงข้นั สูงสดุ สามารถทําลาย
อาสวะไดเด็ดขาด มอี ํานาจเหนอื กิเลสทท่ี ง้ั ปวงเรียกวาอาสวักขยญาณ วิปส สนาญาณมี ๙ ประการ
ดงั ตอไปนี้

วปิ ส สนาญาณ ๙ ประการ

๑. อุทยพั พยานปุ สสนาญาณ ปรชี าญาณเลง็ เห็นนามรูปมีลกั ษณะเกิดขึน้ เสือ่ มไปเสมอๆ
เหมือนฟองนํ้าและพยบั แดด ที่ต้ังขน้ึ จากเหตปุ จจยั แลว แตกดับไปฉะนัน้ .

๒. ภังคานปุ สสนาญาณ ปรชี าญาณเลง็ เห็นนามรปู ท่ีมีลกั ษณะเคลือ่ นไปสลายไป เหมือน
กระแสนํา้ ไหลตอ กนั ไปเร่ือยๆ ฉะนั้น มองดูความเกดิ กับความตายแลวเหน็ เปน ลกั ษณะเดยี วกนั
คอื แปรจากสภาวะอยางหนึ่งไปสูสภาวะอีกอยา งหนง่ึ สืบเนอ่ื งกันไปเปน ทอดๆ.

๓. ภยตปุ ฏ ฐานญาณ ปรชี าญาณเลง็ เห็นนามรูปเปนสง่ิ นาสะพรึงกลวั ปรากฏประหนึง่
เสอื หรือราชสหี  เพราะเปน สิง่ มีภัย ประกอบไปดว ยภัยนานาชนิด เมือ่ มีนามรูปข้ึนมาแลวทีจ่ ะหวงั
ปราศจากภัยน้ันเปนไปไมได นามรปู จึงเปนตัวภยั อันนาหวนั่ กลัวทีส่ ดุ .

๔. อาทีนวานปุ ส สนาญาณ ปรชี าญาณเลง็ เห็นนามรปู เตม็ ไปดวยโทษทน่ี า เบ่ือหนา ยท่สี ดุ
เปน ที่ประชมุ ของโรคาพาธนานาชนิด เปน ทีก่ อ ใหเกิดความคับใจแคน ในนานาประการ นา
ระอดิ ระอาใจ เตม็ ไปดวยสง่ิ ปฏกิ ูล เปนสง่ิ เปอ ยเนาผุพงั สงกลนิ่ เหมน็ คละคลุง อยูเสมอ ไมน า
ภริ มยย นิ ดปี ระการใด.

๕. นพิ พทิ านุปสสนาญาณ ปรีชาเล็งเหน็ นามรูปเปนส่ิงนา เบอ่ื หนา ยย่งิ ขึ้น จนถงึ ถอนกาม
ราคะออกจากนามรูปได รูสึกเบอ่ื รสู กึ หนายนามรปู เปนกําลงั .

๖. มุญจิตกุ ัมยตาญาณ ปรีชาญาณเล็งเห็นเหตผุ ลวา เมอ่ื ไมม นี ามรูป ภัยอันตรายสิ่งนา
เบ่ือหนา ยท้งั หลายยอ มไมม ี จงึ เกิดความพอใจใครจ ะพน ไปจากนามรูปนั้น.

๗. ปฏสิ ังขานปุ สสนาญาณ ปรชี าญาณเลง็ เห็นเหตุผลเปนเคร่ืองปลดปลอ ยตนจากนามรูป
คอื เห็นเหตปุ จจัยปรุงแตงนามรปู แจมแจงตามความเปน จรงิ เมื่อเหตปุ จ จยั ของนามรูปยังมอี ยู จะ
ปรารถนาใหนามรปู ดับไปยอมเปนอฐานะ เมือ่ ใดกําจดั เหตุปจ จยั ของนามรปู ไดแ ลวเมอื่ นั้นนามรูป

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๕๖

ยอมดับไป อวิชชา ตณั หา อปุ าทาน กรรม เปนเหตุแตง สรางนามรูปขึ้น อาหารเปนปจ จัยสืบตอรปู
กายใหเปนไป อายตนะและผสั สะเปน ปจ จัยสืบตอ นามกายใหเ ปนไป เมื่อพิจารณาเห็นเหตผุ ล
เชน นจี้ ิตใจยอมมีกาํ ลังมัน่ คง ดาํ เนินไปในแนวทางเพื่อกาํ จัดเหตปุ จ จัยของนามรปู ยิ่งข้นึ .

๘. สังขารุเปกขาญาณ ปรชี าญาณเลง็ เห็นเหตผุ ลวา นามรปู เปนไปตามเหตปุ จจัยของมัน
และมีธรรมดาท่ตี อ งเปล่ยี นแปลงไป เปน สง่ิ บบี คั้นและไมอยูใ นความหวงั ของใคร จะไปฝาฝน
ธรรมดาของมนั ยอ มไมค วร แลว วางใจเปน กลางในนามรปู ไมดีใจไมเ สียใจ ในความเปล่ยี นแปลง
แปรไปของสังขาร มีญาณรเู ทาทันเสมอไป.

๙. สัจจานโุ ลมิกญาณ ปรีชาญาณเลง็ เห็นอรยิ สจั ธรรม ๔ ประการ แจงชัดตามกาํ ลังของ
ญาณทัสสนะนัน้ ๆ แลว กาํ จัดกิเลสใหข าดไปตามกําลงั ของอรยิ มรรคญาณ ทเ่ี กิดขึน้ ถึง ๔ ข้นั
ตามลาํ ดบั กนั ข้นั สุดทา ยสามารถทําลายอาสวะใหขาดเด็ดไปจากขันธสนั ดานสิน้ เชิง ผูบรรลุถึงขั้น
สูงสดุ น้ีเปน พระอรหนั ตในพระพทุ ธศาสนา บรรลถุ ึงยอดของพระพทุ ธปรชี าคืออาสวักขยญาณ.

อารมณของวิปส สนา

บรรดากิเลสอนั เกดิ ข้ึนครอบงําจิตใจของบุคคลยอ มมีอวชิ ชาเปนเหตุ มอี ารมณเปน ปจ จยั
มีทอี่ าศัยคอื สภาวธาตุในภายในรา งกายและจิตใจ เม่ือไมรจู ริงซ่ึงสภาวะธาตภุ ายในและอารมณ
เพียงใดยอมเปนเหตแุ ละเปน ปจ จยั ใหเกดิ กิเลสเพยี งน้ัน ฉะน้ัน การเจริญวิปสสนาจึงหมายถงึ การ
พจิ ารณาสภาวธาตุภายในรางกายจิตใจและอารมณท ม่ี าสัมปยุต ใหร เู ห็นแจมแจง ตามความเปน
จริง เพ่อื ทําลายรงั ของอวชิ ชา สภาวธาตุและอารมณท คี่ วรพิจารณานัน้ มดี ังตอไปนี้

๑. ขันธ ๕ =
(๑) รปู ขันธ ไดแ ก ส่ิงประกอบดวยธาตุ ๔
(๒) เวทนาขันธ ไดแก ความรรู สผสั สะ
(๓) สญั ญา ขันธ ไดแก ความจาํ อารมณแ ละรสผสั สะ
(๔) สังขารขันธ ไดแ ก ความคิดอานอารมณ
(๕) วญิ ญาณขนั ธ ไดแก ความรูจกั อารมณ

๒. อายตนะ ๑๒ =
(๑) อายตนะภายใน ๖ มีจกั ขุ เปนตน
(๒) อายตนะภายนอก ๖ มรี ปู เปน ตน

๓. ธาตุ ๑๘ =
(๑) จักขุธาตุ ไดแก จกั ขุประสาท มหี นา ทีเ่ หน็
(๒) โสตธาตุ ไดแ ก โสตประสาท มีหนา ทฟ่ี ง
(๓) ฆานธาตุ ไดแก ฆานประสาท มีหนาที่สดู ดม

ทิพยอาํ นาจ ๑๕๗

(๔) ชวิ หาธาตุ ไดแก ชิวหาประสาท มหี นาท่ีล้มิ
(๕) กายธาตุ ไดแก กายประสาท มหี นา ที่สมั ผัส
(๖) มโนธาตุ ไดแ ก ธาตรุ ูคอื จติ ใจ มีหนาที่รับรู
(๗) รปู ธาตุ ไดแ ก ส่งิ ที่เปนรูปรางท้งั ปวง
(๘) สัททธาตุ ไดแก สงิ่ ทีเ่ ปนเสียงท้งั ปวง
(๙) คนั ธธาตุ ไดแ ก สิ่งท่ีเปนกลิน่ ท้งั ปวง
(๑๐) รสธาตุ ไดแ ก สงิ่ ทงั้ ปวงท่เี ปนรส
(๑๑) โผฏฐพั พธาตุ ไดแ ก ส่ิงสมั ผัสไดท ้ังปวง
(๑๒) ธัมมธาตุ ไดแก สิ่งเกดิ กบั ใจท้งั ปวง
(๑๓) จักขวุ ิญญาณธาตุ ไดแ ก ธาตรุ อู ารมณท างจักขปุ ระสาท
(๑๔) โสตวญิ ญาณธาตุ ไดแก ธาตุรอู ารมณทางโสตประสาท
(๑๕) ฆานวญิ ญาณธาตุ ไดแก ธาตรุ ูทางฆานประสาท
(๑๖) ชวิ หาวญิ ญาณธาตุ ไดแก ธาตุรูทางชวิ หาประสาท
(๑๗) กายวญิ ญาณธาตุ ไดแ ก ธาตุรทู างกายประสาท
(๑๘) มโนวิญญาณธาตุ ไดแก ธาตุรูทางมโน

๔. อินทรยี  ๒๒ =
หมวดท่ี ๑ อินทรยี  ๖ คอื
(๑) จกั ขนุ ทรีย ไดแ ก จกั ขปุ ระสาท มหี นา ทีเ่ ห็น
(๒) โสตนิ ทรีย ไดแก โสตประสาท มีหนา ทฟ่ี ง
(๓) ฆานนิ ทรีย ไดแก ฆานประสาท มีหนา ทสี่ ดู ดม
(๔) ชวิ หนิ ทรีย ไดแ ก ชิวหาประสาท มหี นา ทลี่ ิ้ม
(๕) กายนิ ทรีย ไดแ ก กายประสาท มหี นาทีส่ มั ผสั
(๖) มนนิ ทรีย ไดแก มโน มีหนาทรี่ ู
หมวดที่ ๒ อนิ ทรยี  ๓ คอื
(๑) อิตถินทรยี  ไดแ ก ความเปนสตรี (=อติ ถภี าวะ)
(๒) ปุรสิ ินทรีย ไดแ ก ความเปนบุรษุ (=ปุริสภาวะ)
(๓) ชีวติ ินทรยี  ไดแก ความมีชีวิต (=ชีวภาวะ)
หมวดท่ี ๓ อินทรีย ๕ คอื
(๑) สุขินทรยี  ไดแก สภาวะเปน สุข
(๒) ทกุ ขนิ ทรยี  ไดแ ก สภาวะเปนทุกข
(๓) โสมนัสสนิ ทรีย ไดแก สภาวะเปนความดีใจ
(๔) โทมนัสสนิ ทรยี  ไดแ ก สภาวะเปนความเสยี ใจ
(๕) อเุ ปกขนิ ทรีย ไดแก สภาวะเปน ความเฉยๆ

ทพิ ยอํานาจ ๑๕๘

หมวดท่ี ๔ อนิ ทรีย ๕ คอื
(๑) สทั ทนิ ทรีย ไดแก สภาวะเปนความเช่ือ
(๒) วิริยนิ ทรยี  ไดแก สภาวะเปน ความเพียร
(๓) สตนิ ทรีย ไดแก สภาวะเปน ความสาํ นึก
(๔) สมาธินทรีย ไดแก สภาวะเปน ความม่ันใจ
(๕) ปญญินทรยี  ไดแก สภาวะเปน ความรู
หมวดท่ี ๕ อนิ ทรีย ๓ คอื
(๑) อนญั ญตั ตัญญสั สามีตินทรยี  ไดแก ความเปนพระโสดาบนั
(๒) อญั ญินทรยี  ไดแก ความเปนพระอรหันต
(๓) อญั ญาตาวินทรยี  ไดแ ก ความเปนพระอริยบุคคลชน้ั สกทิ าคามมิ รรคข้ึนไป
จนถึงช้นั พระอรหัตตมรรค

๕. อริยสัจ ๔ =
(๑) ทกุ ข ไดแกส กั กายะอนั ประกอบดวยความลาํ บาก มีอนั แปรผันไปตามเหตุ
ปจจัยของมนั บีบค้ันเผาลนจติ ใจ ไมเ ปน ไปตามความหวังของใครๆ.
(๒) ทกุ ขสมุทยั ไดแกตัณหา ความทะยานอยาก ซง่ึ มอี วิชชาเปนรากแกว เปนตัว
เหตกุ อ ทุกขเผาลนใจ เปนตัวเหตุใหเกดิ ตาย สืบเนือ่ งไปในกาํ เนดิ และภพตางๆ สูง
บางต่ําบา ง.
(๓) ทกุ ขนโิ รธ ไดแกพ ระนิพพานอันเปน ทป่ี ราศจากตัณหาพรอมทั้งอวิชชา เปนท่ี
ดับสนทิ ของทกุ ข.
(๔) ทุกขนโิ รธคามนิ ีปฏิปทา ไดแกขอ ปฏิบัติเปนกลาง ซ่ึงมสี มรรถภาพไปสูพระ
นิพพาน เปนท่ดี บั ทุกขเด็ดขาด ทีพ่ ระบรมศาสดาทรงบญั ญัตวิ า อรยิ มรรค
ประกอบดวยองค ๘ คือ
สัมมาทิฏฐิ ความเหน็ ชอบ คือเหน็ อรยิ สัจ ๔ ถกู ตอ ง
สมั มาสังกัปปะ ความคิดชอบ คอื มโนสจุ ริต
สัมมาวาจา พูดชอบ คือวจสี จุ รติ
สมั มากัมมนั ตะ การงานชอบ คือกายสุจรติ
สมั มาอาชวี ะ เล้ียงชวี ติ ชอบ
สัมมาวายามะ เพียรพยายามชอบ คือเพยี รละบาปบาํ เพ็ญบญุ
สมั มาสติ สํานกึ ชอบ คือสติปฏฐาน ๔ ประการ
สัมมาสมาธิ ความสงบใจชอบ คอื ฌานมาตรฐาน ๔ ประการ
หมวดที่ ๖ ปฏิจจสมปุ บาท คอื
(๑) อวิชชา ไดแก ความรไู มแ จม แจง ตามความเปนจริง
(๒) สงั ขาร ไดแ ก ความคดิ อานปรงุ แตงทางใจ

ทิพยอํานาจ ๑๕๙

(๓) วิญญาณ ไดแก ธาตุรู ซึ่งไปถอื ปฏสิ นธใิ นรปู ธาตุตามความคดิ
(๔) นามรูป ไดแ ก รา งกายคอื รปู กายและนามกาย
(๕) สฬายตะ ไดแก อายตนะ ๖ มีจักขปุ ระสาทเปนตน ซงึ่ เกิดมีในรูปกายดวย
อํานาจกศุ ลากศุ ลกรรมตามความจํานงของใจ
(๖) ผัสสะ ไดแ ก ความกระเทือนใจตออารมณ
(๗) เวทนา ไดแ ก ความรรู สผัสสะ
(๘) ตัณหา ไดแ ก ความชอบไมช อบรสผสั สะ
(๙) อุปาทาน ไดแก ความผกู ใจไวใ นสิ่งที่ชอบท่ีชัง
(๑๐) ภพ ไดแก การกอ เรอ่ื งตามความประสงค เปนรูปเปนรางขึ้นในจิตใจ คอื
โครงสรางของกรรม
(๑๑) ชาติ ไดแก ความปรากฏของเบญจขันธ
(๑๒) ชรามรณะ ไดแก ความแก และความตาย ตลอดถงึ ทกุ ขอื่นๆ อันเปน ผลทั้ง
มวล ซ่ึงปรากฏขึ้นแกสกั กายะ คือเบญจขนั ธ เมื่อไมร ูเทา ก็เปน ปจ จยั แกส ังขาร
วิญญาณวนไปอกี เกิดเปนวงกลมข้ึน นีเ่ ปนฝา ยสมุทัยวาร ฝายนโิ รธวารก็มีการดับ
สบื เนื่องกันเปนทอดๆ นับแตด ับอวิชชาตวั ตนแลว ปจจยั อืน่ ๆ ก็พลอยดับตามกัน
ไปจนหมด เปนอนั วา กองทกุ ขท ้ังสิ้นไดดบั ไป.

วิธเี จริญวิปสสนา

ตามทก่ี ลา วมาแลวในตอนตนน้ี เปนการกลาวตามหลกั ปรยิ ัตธิ รรม เพ่ือเปน แนวทางทําการ
เจริญวปิ ส สนาใหเ ปน ไปตามลําดบั ทีนี้จะกลา วโดยทางปฏิบัตจิ รงิ ๆ สบื ไป วิธีเจรญิ วปิ สสนามี
๒ วธิ ี คือ

๑. เจรญิ วปิ สสนาอยางพสิ ดารเพื่อญาณทสั สนะ หรือทพิ ยอํานาจหลายประการตามแตจะ
ประสงค.

๒. เจรญิ วปิ สสนาอยา งลดั ตดั ตรงไปเพื่ออาสวักขยั โดยสว นเดียว จะอธบิ ายวิธีทง้ั สองนไ้ี ว
พอเปนตัวอยา ง ดงั ตอ ไปนี้

วิธีเจริญวิปสสนาอยางพิสดาร๑

วธิ ีเจริญวปิ ส สนาแบบน้ี ผูเ จรญิ มงุ หมายใหมคี วามรูความเหน็ แตกฉานหลายดานหลายมุม
หรือมุง ใหม ที พิ ยอํานาจหลายประการ เพ่ือเปนเครอ่ื งมือใชบาํ เพ็ญประโยชนชวยเหลือผูอ ่ืน ในเมอ่ื
บรรลุถงึ ประโยชนส ูงสดุ สาํ หรบั ตนแลว จงึ ดาํ เนนิ การวิปสสนาอยางกวางขวางละเอียดลออเปน
ขน้ั ๆ ไปคือ

(๑) เจรญิ สมาธิใหถ ึงฌานมาตรฐาน คอื ฌานที่ ๔ เปนอยา งตา่ํ ใหชํ่าชองชํานิชาํ นาญใน
..........................................................................................................................................................

๑. ประมวลวิธีท่ีอาจเปนไดส าํ หรบั ผูมีบารมใี หญและอตุ สาหะมากเทาน้ัน มิใชวิธที จ่ี ะสาธารณะแกผูบําเพ็ญทุกๆ คน

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๖๐

ฌานอยา งยิง่ เพ่อื เปน ฐานในการเจรญิ ญาณทสั สนะและทพิ ยอํานาจนนั้ ๆ อยางดี.
(๒) เพ่ือปองกนั มิใหห ลงตนลืมตัวในเม่อื พบเห็นอะไรๆ อนั เปนสวนภายนอกทม่ี าปรากฏใน

มโนทวาร ในขณะเขาฌานนน้ั ๆ พงึ เจรญิ อภิภายตนะ ๘ ประการดงั กลา วแลวในบทวาดวยทิพพ
จักขญุ าณ.

(๓) เพือ่ ปองกนั ความเห็นผิด อันเปนเหตยุ ดึ ถือในอัตตา พงึ เจริญยถาภตู ญาณทสั สนะ ดงั น้ี
เขา ฌานถึงข้ันที่ ๔ แลวพิจารณากายอนั ปรากฏแกญาณจักษใุ นขณะนัน้ ใหเ ห็นตามเปน
จริงวา เกิดจากสมั ภวธาตขุ องบดิ ามารดาผสมกนั มกี รรมเปนเหตุ มีวิญญาณธาตุเขา ถือปฏสิ นธิ
แลวเจรญิ เตบิ โตจนคลอดออกมา อาศยั อาหารหลอเล้ียง อาศัยอายตนะและผัสสะปรนปรอื จงึ
ดาํ รงสืบตอ กันไป เปน ส่ิงเปลีย่ นแปลงไปตามเหตปุ จ จัย เปนของเปอยเนาผุพังไมจ รี ังยง่ั ยืนเปน ทกุ ข
บบี ค้ัน ไมเปนไปตามความปรารถนาของใครๆ คือตกอยูใตอ าํ นาจของไตรลักษณเ สมอ เมอ่ื รเู ห็น
อยูโดยนยั น้ี อัตตานทุ ฏิ ฐิก็ไมมีที่อาศัย ช่ือวา ไดก าํ จดั ทิฏฐาสวะใหตกไป.
(๔) เจริญทิพยอาํ นาจประการนนั้ ๆ ดังกลาวมาในขอวาดว ยการเจริญทพิ ยอํานาจนน้ั ๆ
แลว จนไดความรูเหตุผลตน ปลายของสิ่งทัง้ หลาย และมที พิ ยอาํ นาจตามความประสงค มตี นเอง
เปน พยานในธรรมน้ันๆ ไดดี.
(๕) เจรญิ เพ่อื ปฏิสมั ภทิ า ๔ ประการ คือทําการกําหนดพจิ ารณารูความจริงแหงธรรม อนั
เปน ไปอยูปรากฏอยูในภายใน คือ
(๑) ความยอหยอนของจติ
(๒) ความสงบอยภู ายในของจิต
(๓) ความฟงุ ไปภายนอกของจติ
(๔) เวทนาท่ีเสวยอยู กาํ ลงั เกิดขั้น ต้งั อยู ดบั ไป
(๕) สญั ญาทีก่ ําลังเกิดขนึ้ ตง้ั อยู ดับไป
(๖) วิตกทกี่ าํ ลงั เกดิ ขึ้น ตง้ั อยู ดบั ไป
(๗) นิมิตคือเครื่องหมายในธรรมทง้ั หลาย ไดแกส บาย ไมส บาย เลว ประณีต ดาํ ขาว
พรอ มดว ยสว นเปรยี บของนิมติ นน้ั ๆ.
ทําการกําหนดรใู สใ จใครครวญ สอบสวนทวนดูจนรูทะลปุ รุโปรงแลวทุกประการ จะเกิด
ปฏสิ มั ภิทาญาณ ๔ ประการ คือ
ก. ธมั มปฏิสัมภทิ าญาณ รูแตกฉานในธรรม คือ ตัวเหตุปจ จัยของสิ่งทั้งหลายและหลกั ธรรม
น้ันๆ.
ข. อัตถปฏสิ ัมภทิ าญาณ รูแตกฉานในอรรถ คอื ตวั ผลของเหตปุ จจยั ไดแกส ิง่ ท่เี ปนไปตาม
เหตุปจ จัยและความหมายทแี่ นน อนของหลักธรรมน้ันๆ.
ค. นริ ุตติปฏสิ มั ภิทาญาณ รแู ตกฉานในสภาวะและภาษาที่จะใชบญั ญตั สิ ภาวะนนั้ ๆ ใหไ ด
ความแนชัดตายตัวลงไป เปน ท่ีฟง เขา ใจกนั ไดในหมูชนชาตภิ าษาเดียวกัน.
ฆ. ปฏิภาณปฏสิ ัมภทิ าญาณ รแู ตกฉานในการกลา วธรรมโดยปฏิภาณ คือความผองแผว
ของจติ ใจ สามารถมองเหน็ เหตุผลและความจริงไดว องไวทนั ทีทนั ใด.

ทิพยอํานาจ ๑๖๑

(๖) เจรญิ เพื่ออาสวักขยญาณ คอื เขา ฌานชน้ั ใดชัน้ หนง่ึ ตั้งแตฌานที่ ๑ ถึงเนวสัญญานา-
สญั ญายตนะ ตลอดถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ (ถา ได) แลว พจิ ารณาส่ิงทถ่ี งึ ความเปนรูป เปน เวทนา
เปนสังขาร เปนวญิ ญาณ ในฌานน้ันๆ ใหเ ห็นโดยไตรลกั ษณะอยางถี่ถว น เห็นแลวเห็นอกี จนจติ
วางอปุ าทานในสิ่งนน้ั ๆ ได ก็ชอ่ื วา บรรลถุ ึงอาสวกั ขยญาณ จะรขู นึ้ ในขณะนั้นเองวา สิ้นชาติ สน้ิ ภพ
จบพรหมจรรย เสรจ็ กิจที่ตองทาํ อีกแลว เฉพาะสมาบัตสิ องประการ คอื เนวสัญญานาสัญญายตนะ
และสญั ญาเวทยติ นโิ รธน้ันเปน สมาบตั ิประณตี เกินไป จะเจรญิ วปิ ส สนาภายในสมาบตั ินน้ั ไมไ ด
ทานวาพึงเขาและออกเสยี กอน ในลาํ ดบั ทีอ่ อกจากสมาบัตินนั้ พึงรีบทาํ การเจริญวปิ ส สนาทนั ที
โดยยกเอาสญั ญาเปน เคร่อื งกาํ หนดนั้นมาเปนอารมณ หรือสิง่ ใดๆ มาปรากฏแกจติ ใจในขณะออก
จากฌานใหมๆ น้นั ก็พึงยกเอาส่งิ นน้ั ๆ มาพิจารณาโดยไตรลักษณใ หเห็นชัดแจง แลวๆ เลาๆ จติ ใจก็
จะถอนความยดึ ม่ันในสงิ่ ท้ังปวงได.

๒. วิธีเจรญิ วิปส สนาอยางลัด

วิธีเจรญิ วิปส สนาแบบน้ี ผปู ฏิบตั มิ งุ ทาํ ลายอาสวะใหเดด็ ขาดเลยทเี ดยี ว ไมพะวงถงึ
คณุ สมบตั ิสวนอ่นื ๆ โดยเชื่อวา ถา มีวาสนาเคยสั่งสมมาเม่อื บรรลถุ ึงอาสวักขยั แลว คณุ สมบตั นิ ั้นๆ
จะมมี าเองตามสมควรแกว าสนาบารมี และเชือ่ วา คณุ สมบตั พิ เิ ศษนัน้ เปนผลรายทางของการ
ปฏิบตั ิ เมอื่ เดนิ ตามทางอยา งรบี ลดั ตดั ตรงไปถึงท่ีสุดแลวกจ็ ะตอ งไดคณุ สมบตั ินน้ั ๆ บางพอสมควร
ไมจาํ เปนตอ งไปหวงใยใหเ สียเวลา รีบรุดหนาไปสูเปา ประสงคส ูงสดุ ทีเดียว มวี ิธีปฏบิ ัติดังตอ ไปน้ี

๑. อาศยั สมาธิชน้ั ใดชัน้ หนง่ึ เปนฐานทําการพจิ ารณาอารมณข องวปิ สสนาไปตามลาํ ดับๆ
จนไดความรกู ระจางแจงในอารมณนนั้ ๆ เปนอยา งๆ ไป สมาธทิ ี่มีกําลงั เพียงพอคอื ฌานท่ี ๔ ถา ตํ่า
กวานนั้ จะมกี าํ ลงั ออน จะไมเห็นเหตุผลแจม ชดั จะเปน ความรกู วัดแกวง ไมม ีกําลังพอจะกําจัด
อาสวะได ผูม ีภมู สิ มาธิชั้นตาํ่ พงึ ทําการเขา สมาธสิ ลบั กับการพจิ ารณาเรื่อยไปจงึ จะไดผล อยา มีแต
พจิ ารณาหนาเดยี ว จติ จะฟุงในธรรมเกนิ ไป แลวจะหลงสญั ญาตวั เองวาเปนวปิ สสนาญาณไป.

๒. ตีดานสาํ คญั ใหแตกหกั คอื ทาํ การพจิ ารณาขนั ธ ๕ อันเปน ทอ่ี าศัยของอาสวะน้ันใหเหน็
แจง ชัดโดยไตรลักษณะ แจมแลว แจมอกี เรอื่ ยไปจนกวาจะถอนอาลยั ในขันธ ๕ ไดเดด็ ขาด จติ ใจจงึ
จะมีอํานาจเหนือขันธ ๕ รูเทา ทนั ขันธ ๕ ตามเปนจรงิ อาสวะก็ตั้งไมต ดิ จิตใจก็บรรลถุ งึ ความมี
อิสระเตม็ เปย ม ชอ่ื วา บรรลอุ าสวักขยญาณดว ยประการฉะนี้.

พระไตรลักษณญาณ

การเจริญวปิ ส สนา ไมวาวธิ ใี ดและข้นั ใด จะตอ งมีพระไตรลกั ษณญาณเปน เครือ่ งตัดสนิ ช้ี
ขาดเสมอไป จงึ จะเปน วิปสสนาญาณทถี่ กู ตอง ถาไมมพี ระไตรลกั ษณญาณเปนเครอื่ งชีข้ าดแลว
วิปสสนาญาณนั้นๆ ไมสมบูรณ อาจเปนไปเพ่ือความหลงได เม่อื มีพระไตรลกั ษณญาณกาํ กบั อยู
แลวเปนอันรับประกนั ไดวาจะไมหลงทางไปได แมว ิปส สนปู กิเลสเกิดข้นึ กไ็ มห ลงสาํ คัญวาเปน ภูมิ
ธรรมสงู สุด แลว จะยบั ย้ังชั่งตรองวาธรรมที่ปรากฏข้ึนนัน้ อยใู นลกั ษณะของพระไตรลักษณหรอื ไม
ถา ยงั อยใู นลักษณะพระไตรลักษณแลว ชื่อวา ยงั เปนสงั ขาร มิใชวิสังขาร ธรรมชาติของสังขารยอ ม

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๖๒

ไมเที่ยง เปน ทุกข และเปน อนัตตาเสมอไป สว นวิสงั ขารยอมพนอาํ นาจของพระไตรลกั ษณ คอื
เปน สภาวะเทย่ี งแทแ นนอนไมท ุกข และเปนตนของตน พระไตรลักษณญาณนั้น คอื

๑. สพฺเพ สงขฺ ารา อนิจฺจาติ อนิจฺจลกฺขณาณํ รูลกั ษณะไมเทย่ี งวา สิ่งทีเ่ กดิ จากเหตุ
ปจ จัยท้ังหมดเปน สิ่งไมเที่ยง มลี กั ษณะผันแปรไปตามเหตปุ จ จยั ของมันนั่นเอง สังขารทุกชนิดท้ัง
อยา งหยาบ อยา งกลาง และอยา งละเอยี ด ท้ังภายในตัว ท้งั ภายนอกตัวท่วั ไตรโลกธาตุ ยอมตกอยู
ใตอ าํ นาจของความไมเท่ียงทัง้ สิน้ เมือ่ มเี กดิ ยอมมีตาย เปน คูกนั เสมอไป ส่ิงใดไมเกดิ สง่ิ นน้ั จึงจะไม
ตาย ความรเู ชนนี้แลเรยี กวา อนิจจลักษณญาณ.

๒. สพเฺ พ สงขฺ ารา ทกุ ฺขาติ ทกุ ฺขลกฺขณาณํ รูในลักษณะทุกขวา สิ่งที่เกิดจากเหตปุ จ จัย
ท้ังหมดเปนสิ่งมที ุกข มลี ักษณะเผาลนบบี ค้นั และผันแปรไปตามเหตปุ จ จยั ของมันน่นั เอง สังขาร
ทุกชนดิ ทัง้ อยา งหยาบ อยา งกลาง และอยา งละเอียด ทงั้ ภายในตวั ท้ังภายนอกตวั ทัว่ ไตรโลกธาตุ
ยอมตกอยใู ตอ าํ นาจของความทุกขท ง้ั สิ้น สงั ขารทีเ่ ทย่ี งแทม ิไดม ี ขนึ้ ชื่อวา สังขารแลวตอ งมที ุกข
เสมอไป เหมือนไฟแมเพียงนอยนิดก็รอ นฉะนนั้ จะหาความสุขทแ่ี ทจรงิ ในสงั ขารยอ มหาไมได
เหมือนจะหาความเย็นในไฟยอมไมไ ดฉะนนั้ ความรูเชน นี้แลเรียกวา ทกุ ขลกั ษณญาณ.

๓. สพเฺ พ ธมฺมา อนตตฺ าติ อนตตฺ ลกฺขณาณํ รใู นลักษณะอนตั ตาวา ส่งิ ทัง้ ปวง คอื ตวั เหตุ
และปจ จยั ทั้งหมดเปนอนตั ตา คอื เปนสง่ิ ดํารงอยู และเปนไปตามลกั ษณะของมันเองเชนน้ัน เมอ่ื
มันเปนตวั เหตหุ รือตัวปจ จัยปรงุ แตง ใหเกิดเปนส่งิ สงั ขารใดๆ ข้ึนมา ใหต กอยใู นลกั ษณะไมเ ทีย่ ง
และเปน ทุกขแ ลว ตัวมันเองก็ตอ งไมเที่ยงและเปน ทุกขเ ชนเดียวกัน เพราะเหตุกับผลยอ มเปนส่ิง
คลายคลึงกันเสมอไป เหตเุ ทีย่ งผลตอ งเทย่ี ง เหตุทุกขผ ลตอ งทกุ ข เหตมุ ิใชตัวตนผลก็มใิ ชตัวตน
เชน เดียวกัน สิ่งใดเปนไปตามสภาพของมนั อันใครๆ จะไปฝา ฝน ขดั ขนื มิได สิง่ นั้นชอื่ วา อนัตตา
ทั้งส้ิน ความรเู ชนนแี้ ลเรียกวา อนตั ตลกั ษณญาณ.

ขอควรสงั เกตของผูปฏบิ ตั ิ คอื พระไตรลกั ษณค รอบงาํ ไปถงึ ไหน ที่น้ันยงั มิใชภูมิพนทกุ ขจ รงิ
ภมู พิ นทุกขจรงิ แทน ั้น ตองพน จากอาํ นาจของไตรลักษณเ ด็ดขาด ไตรลักษณห มดอาํ นาจทีจ่ ะ
ครอบงําถึง ภูมิจิตใจอันพน จากอาํ นาจของไตรลกั ษณนั้นมีไดอ ยางไร เปน สิง่ จะตอ งรูเ องเห็นเอง
โดยสวนเดยี ว เมือ่ ไดรเู ห็นภมู ิอันพน อาํ นาจไตรลกั ษณแลว ทา นพนทกุ ขเดด็ ขาดแลว เย็นใจได
ทีเดียววา ทานจะไมมวี นั กลับมาสูอ ํานาจของไตรลักษณอ ีกตอไปตลอดนริ ันดรกาล.

พระอาสวกั ขยญาณ

ความรวู า อาสวะส้นิ ไปแลว หรือยงั อยูอยางไรเปนความรสู าํ คญั ในชนั้ สูงสุดของ
พระพุทธศาสนา ฉะน้นั จงึ ควรรูจกั หนาตาของอาสวะใหเ ปน ขอ สังเกตในข้ันพิจารณาดงั ตอ ไปน้ี

อาสวะคือธรรมชาติที่หมักดองจิตใจ ทําใหจ ิตใจแปรสภาพเปน สิง่ เศราหมองบดู เหม็น เปน
ทุกขเดือดรอ น และกอทุกขเ ดอื ดรอ นเพม่ิ ใหมแ กตวั เปน ทวีคุณ ทานจําแนกไว ๔ ประการคอื

๑. ทฏิ ฐาสวะ อาสวะคอื ทฏิ ฐิ ไดแกความเห็นเปนเหตุใหยดึ ถือสิง่ ใดสง่ิ หนึง่ วาเปน อัตตา
ตวั ตน เปน แกนสาร ทิฏฐิที่เปน เหตุใหย ดึ ถอื ตัวตนนั่น ไดแ กภ วทฏิ ฐิ คือเห็นวา มแี น ไดแ กเห็นวา
อัตตา=ตวั ตน เปน สง่ิ แนน อน แลว แลวยดึ ถอื เอาสง่ิ ทต่ี นเห็นอันใดอันหนึง่ เปน อัตตา แลวประพฤติ

ทิพยอํานาจ ๑๖๓

เพ่ือความมอี ตั ตาตามทตี่ นปรารถนา ฝายหน่ึงเห็นวาไมม ีอัตตาโดยประการทง้ั ปวงเรยี กวาวิภวทิฏฐิ
คอื เห็นวาไมม ีแน ไดแ กเห็นวา ขาดสูญ ตายแลว ก็สิน้ เรอ่ื งทกุ ขร อ นเพียงน้ัน ความเหน็ ท้ังสอง
ประเภทนี้ยอ มเปนไปเพื่อกอทุกขดว ยกัน จึงจดั เปน ความเห็นผิดอันควรกาํ จัด เมื่อปฏบิ ตั ิเจรญิ
วิปสสนาเหน็ ขันธ ๕ โดยไตรลักษณเ ม่ือใด ทฏิ ฐเิ ชนนี้กถ็ กู กําจัดไปเมือ่ น้นั .

๒. กามาสวะ อาสวะคือกาม ไดแกค วามตดิ ใจในกามารมณ คอื รูป เสียง กลนิ่ รส และ
โผฏฐพั พะ (สิง่ สมั ผสั กาย) ท่เี รยี กวา กามราคะบาง กามฉันทะบา ง มคี วามพอใจตดิ พัน หมายมงุ
ลมุ หลงในกามวัตถุ ครั้นไมส มหวังหรอื ไดส ิ่งไมพึงใจ ยอ มเกิดความโกรธแคน เกลียดชังหนายแหนง
ครั้นไดส มหวังยอมเพลดิ เพลนิ มวั เมาในสิ่งเหลา นัน้ จนหลงตนลมื ตัวไป ความรูสกึ ๒ ฝา ยเนอ่ื ง
ดว ยกามารมณนีแ้ ล เรียกวากามาสวะ เปนเคร่ืองหมักดองใจใหเศราหมอง แสดงตัวออกเปนกเิ ลส
อยา งหยาบ คอื โลภะ ความเห็นแกได และกามราคะ ความใครในทางรวมประเวณี ทร่ี ุนแรงคือ
กามมิจฉาจาร อยางกลางคือ กามฉันทะ ความพออกพอใจในกามารมณสามญั ทั่วไป มลี กั ษณะให
อาลัยหว งใยในส่ิงทต่ี นพอใจน้นั ๆ.

๓. ภวาสวะ อาสวะคอื ภพ ไดแ กภวราคะความพอใจอาลยั ในภพ คอื ภาวะที่เปน นนั้ ๆ
ภายในจติ ใจของตน ท่ีเรยี กวา รูปราคะ๑ ความติดใจในรปู ฌาน แสดงตวั ออกเปนกเิ ลส อยาง
หยาบคือภวตณั หา ทะยานอยากไปเกดิ ในภพทต่ี นพอใจ อยางกลางคอื โสมนัสความดีใจในเม่ือ
สมหวงั โทมนัสความเสียใจในเมอ่ื ไมส มหวัง อยางละเอยี ดคืออุเบกขาสขุ ในตติยฌานภูมิ และ
มานะความถอื ตัว.

๔. อวชิ ชาสวะ๒ อาสวะคืออวิชชา ไดแกความรไู มแจม แจง ซ่งึ สิง่ นนั้ ๆ เปนเหตุใหหลงและ
สาํ คัญผิดเขาใจผิดเหน็ ผดิ ไปตางๆ แสดงตัวออกเปนกเิ ลสอยา งหยาบคือมิจฉาทฏิ ฐติ างๆ และ
วิภวตัณหา อยากดบั สญู ไมอ ยากเกิดอกี โดยความเขาใจผิดไปวา ตายแลวสิน้ เรื่องเพยี งนัน้ อยา ง
กลางคือ อรปู ราคะความตดิ ใจในอรูปฌาน อยางละเอยี ดคืออุทธจั จะ ความฟุงของจติ หรือความ
สะเทอื นใจตืน่ เตนในธรรมคอื ภาวะทเ่ี ปนไปในจิตชั้นสูง ที่ทา นเรียกวา ธรรมอุทธจั จะ และตัว
อวิชชาเอง.

วัตถอุ นั เปนท่ีตั้งของอวิชชา มี ๘ ประการ คอื ทกุ ข ทุกขสมุทยั ทกุ ขนโิ รธ ทกุ ขนโิ รธคามนิ ี
ปฏปิ ทา อดีต อนาคต ปจ จุบนั และปฏจิ จสมุปบาท (=ปจจยาการ ๑๒) เม่ือยังไมร ูแจมแจงวตั ถทุ ้งั
๘ นี้ ตามเปน จริงเพียงไร อวิชชาสวะยังมีอยเู พยี งน้ัน เมอื่ แจม แจงในวัตถุ ๘ ประการนี้แลว
อวชิ ชายอมดับไปส้ินเชงิ อวิชชาอนั เปนรากแกว ของกเิ ลสท้ังหลายถูกกําจดั ใหดับไปแลว กิเลส
ทั้งหลายยอ มถกู กาํ จดั ไป เมอื่ กเิ ลสถกู กําจดั แลว กรรมอันเปนตัวเหตกุ อ นามรปู ในกาํ เนิดตา งๆ ก็
ถูกทาํ ลาย ทกุ ขท ั้งหลายอันเปน ผลของกิเลสและกรรมก็สน้ิ สุดลง เม่ือนามรปู ปจจบุ นั อนั เปน วิบาก
ขนั ธยังมอี ยูก็เสวยผลของมนั ไปจนกวามนั จะสลายไป เมอ่ื นามรปู ปจ จบุ นั สลายแลว นามรูปใหมก็
ไมม อี ีก เปน อันหมดสง่ิ ตอ งเกิดตายเพียงน้ัน ตอ นั้นไปก็มีแตสภาวะท่ปี ราศจากทกุ ขโดยสวนเดียว
..........................................................................................................................................................

๑. ในพระสูตรวา ความพอใจในรูปภาพวิจิตร เปน รปู ราคะ.
๒. อวิชชาเปนพาหนะของกเิ ลสท้งั หลาย ทา นเปรียบเหมือนชางครี ีเมขลาสีหมอก.

ทิพยอํานาจ ๑๖๔

ดํารงอยใู นสภาพปราศจากทุกขตลอดกาลนริ นั ดร.
เมอื่ รูจ กั อาสวะ ๔ ประการน้ีตามความเปนจรงิ รเู หตเุ กิดอาสวะเหลา นัน้ รจู กั ทสี่ ิ้นอาสวะ

และรูจ ักทางใหสิ้นอาสวะไดแลว ยอมสามารถทาํ ลายอาสวะเดด็ ขาดได ช่ือวา ไดบ รรลุอาสวักขย-
ญาณ ดว ยประการฉะน.ี้

วธิ ีเจริญอาสวักขยญาณอยา งรวบยอด สาํ หรับผปู ฏิบตั ิจริงๆ คือ เขาฌานอนั เปนที่ต้ังของ
วิปส สนา ทําใจใหบ ริสทุ ธิ์สะอาดผอ งแผว แลว กาํ หนดสําเหนยี กสิง่ ท่ีปรากฏในจติ ใจขณะนั้นโดย
ไตรลักษณ เมือ่ เกดิ ความรูเห็นโดยไตรลกั ษณแ จมแจง ขน้ึ จติ ก็ผอ งแผว พน อาสวะทนั ที การ
สาํ เหนียกพจิ ารณาในฌานเชนนจี้ ะเปนไปโดยอาการสุขมุ ประณตี แผว เบา ไมรสู ึกสะเทือนทาง
ประสาทเลย ไมเหมอื นการคิดการอา นโดยปกตธิ รรมดา ซง่ึ ตอ งใชป ระสาทสมองเปนเคร่อื งมอื
ฉะนัน้ ผปู ฏบิ ัตพิ งึ ทุม เทกาํ ลังใจลงในการเจรญิ ฌานมาตรฐานใหไ ดหลักฐานทางจติ ใจกอ นแลว จงึ
สาํ เหนยี กไตรลกั ษณด งั กลาวแลว จะสาํ เรจ็ ผลเร็วกวา วิธีใดๆ.

สญั โยชน ๑๐ ประการ

กเิ ลสอนั เปนเหตผุ ูกมัดสัตวไ วในวัฏฏสงสาร ๑๐ ประการ ทา นเรียกวา สญั โยชน พงึ
กําหนดรลู กั ษณะของมันไว ดังตอไปน้ี

๑. สกั กายทิฏฐิ ความเห็นผดิ ในกายของตนเองท่ีแยกออกเปน ๕ สว นวาเปน อัตตาตัวตน
หรือวาตน คือสิ่งเหลา น้ัน หมายความวา ยังไมเ ห็นอนัตตา ยงั ตดิ อัตตาอย.ู

๒. วิจกิ ิจฉา ความไมแ นใจวา พระนพิ พานมีจริง เปนเหตุใหส องจติ สองใจ ไมก ลาปฏบิ ัติ
ทางพระนิพพานอยา งจริงจัง โดยใจความก็ไดแ กย ังไมเหน็ อนัตตาแนชัดน่นั เอง.

๓. สีลพัตตปรามาส ขอนแ้ี ยกออกเปน ๒ บทคือ สีลวตั ตะ บทหนึง่ , ปรามาสะ บทหนึง่
สีลวตั ตะนน้ั ทา นแยกออกเปน ๒ อกี คือ เปนศลี อนั ใด วตั รอนั น้ันอยางหนงึ่ ศีลอนั ใดไมใชวตั รอัน
นนั้ หนึ่ง ศลี ๕ นั้นเปน ศีลอนั ใดวตั รอันน้ัน คอื เปนศีลดว ยเปนวัตรดวย สวนอริยมรรคขอ อ่ืน เชน
สมั มาสติไมใชศ ลี อันใด วัตรอันน้นั คือเปนแตวตั ร ไมใชศีล.

คําวา ปรามาสะ นน้ั แปลวาการลบู คลําหรือการคลาํ หา ยังเควง ควา งอยู พระโสดาละสญั -
โยชนขอนไี้ มใชละศีลวัตร ทานละการลูบคลาํ ซึ่งศีล ๕ ซงึ่ เปน ศลี ดวยเปนวัตรดว ยนั้น หมายความ
วาทานไมต อ งถอื ศลี ๕ เพราะมศี ลี ๕ แลว และไมต องไปแสวงหามรรคธรรมในศาสนาอื่นอกี เปน
อนั รูท างท่ีจะดาํ เนนิ ขึน้ สอู รยิ ผลเบอื้ งบนแนนอนแลว เปนแตจะบําเพญ็ ข้ึนไปอีกเทานนั้ .

๔. กามราคะ ความกาํ หนัดในกามคณุ ติดใจในกามารมณ ความอยากไดใครดีในอารมณ
นั้นๆ.

๕. ปฏิฆะ คาวมคบั ใจ แคนใจ หงุดหงิดในใจ เนื่องดว ยประสบอารมณนาโกรธเคือง บาง
แหงเรียกพยาบาทก็ม.ี

๖. รูปราคะ ความติดใจในรูปฌาน หรอื ในรูปธรรม อันเปนอารมณข องจิตใจสูง.
๗. อรูปราคะ ความติดใจในอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม อันเปนอารมณข องจิตใจช้นั สูง.

ทิพยอาํ นาจ ๑๖๕

๘. มานะ ความสาํ คัญตนผดิ ไปจากความเปน จรงิ ในทนี่ ี้คงหมายเอาความเคยชินทีเ่ คยถอื
มาแลวแตกอน เหลอื ติดอยู ทา นเปรียบเหมือนผา ท่ีฟอกสะอาดจากสงิ่ โสโครกแลว แตก ล่นิ นํา้ ดาง
ยงั ติดเหลอื อยทู ีผ่ า จะตอ งอบใหห มดกลิน่ นาํ้ ดางนัน้ อีกชัน้ หนงึ่ .

๙. อทุ ธัจจะ ความฟงุ ไมส งบราบคาบ เปนเหตุใหเห็นธรรมไมแจม แจง ได ความต่ืนเตน
สะเทือนใจในภาวะของจติ ใจบางประการ ตลอดถงึ ความมุง พยายามเรงจะกา วหนาเล่ือนชั้นขึน้ ไป
อุทธัจจะในสัญโยชนไ มเ หมอื นอุทธจั จะทเี่ ปนนวิ รณ.

๑๐. อวิชชา ความรูไมแจมแจงซ่งึ สิ่งทั้งหลาย เปน เหตหุ ลงและสําคญั ผดิ ไปจากความจรงิ .
สญั โยชน ๑ – ๓ พระโสดาบนั ละไดข าด พระสกทาคามลี ะสญั โยชน ๓ นน้ั ได และทําราคะ
โทสะ โมหะ ใหเ บาบางลงไดดว ย สัญโยชน ๑ – ๕ พระอนาคามีละไดเดด็ ขาด สญั โยชนทง้ั ๑๐
พระอรหนั ตล ะไดท งั้ หมด.
ความจริงเมือ่ อรยิ มรรคญาณเกิดข้ึนกําจดั กเิ ลสสวนใดแลว อริยผลญาณยอมเกดิ ขึ้นใน
ลาํ ดบั ใหห ยงั่ รวู ากเิ ลสสวนนน้ั จะไมงอกขึ้นอกี เม่ือบรรลุถงึ อาสวกั ขยญาณแลว ยอ มเกดิ ญาณหยัง่
รูข ้นึ เองในลาํ ดับน้ันทันทีวา ชาตสิ ้ินแลว อยจู บพรหมจรรย คอื ปฏบิ ัตมิ รรคเสรจ็ แลว กิจทคี่ วรทํา
ไดทําเสรจ็ แลว กจิ อืน่ เพือ่ เปน อยางน้ีไมมอี ีก ดังนี้ ผปู ฏิบตั ิยอมรเู องไมต อ งถามใคร และไมตอ ง
สอบสวนกบั แบบแผนอะไรดวย ถา ยังตองทาํ ชื่อวา ยงั มีสงสยั ญาณตัดสนิ ใจไมม ี ไมช ือ่ วา บรรลุอาส
วกั ขยญาณ การที่นําสัญโยชนมาตั้งไวใ นทน่ี ี้ เพียงเพ่อื เปนขอ สังเกตกําหนดของผปู ฏิบตั ใิ นการ
กําจัดกิเลสนั้นๆ เทา นน้ั ผูบรรลุอาสวักขยญาณอยา งแทจริงแลวยอ มมีธรรมเปนเคร่อื งอยู ซงึ่ ทําให
สงั เกตไดว าเปนพระอรหนั ต ธรรมเครือ่ งอยนู ้ันเรยี กวา อริยวาส ดงั ตอไปน้ี

อรยิ วาส ๑๐

๑. ปญจงั คปหโี น๑ ละองค ๕ แหงนวิ รณไดแลว .
๒. ฉฬงั คสมนั นาคโต ประกอบดวยองค ๖ คอื มอี เุ บกขาในอารมณท้งั ๖.
๓. เอการกั โข มอี ารักขาเอก คือ สติไพบูลย.
๔. จตุราปสเสโน มธี รรมเปน ทีอ่ ิงอาศยั ๔ ประการ เหมือนกบั มีเสนาปอ งกนั ๔ ดานคือ
(๑) พจิ ารณาแลว เสพ
(๒) พจิ ารณาแลว รบั
(๓) พจิ ารณาแลวเวน
(๔) พจิ ารณาแลวบรรเทา
๕. ปนนุ นปจเจกสัจโจ๒ บรรเทาความเห็นผิดตามที่สมณพราหมณเปน อนั มากเห็นและถอื
มน่ั กนั อยไู ดแ ลว .

..........................................................................................................................................................

๑. หมายความวา บรรลฌุ านแลว.
๒. ความเห็นเขา ขา งตัว เห็นวาทศั นะของตนถูก ของผูอน่ื ผดิ ยกทัศนะของตนข้นึ ขมฝายตรงขามเสมอ.

ทพิ ยอํานาจ ๑๖๖

๖. สมวยสัฏเฐสโน ละการแสวงหากามและภพไดแลว การแสวงหาพรหมจรรยก็สงบ
ระงบั ลงแลว.

๗. อนาวิลสังกปั โป ละความคดิ ในทางกาม ความคิดพยาบาท และความคิดเบยี ดเบียนได
แลว เปน ผมู ีความคิดผอ งแผวอยูเ สมอ.

๘. ปส สัทธกายสงั ขาโร มกี ายสังขารระงบั แลว คือบรรลฌุ านที่ ๔ ซง่ึ ละสุข ทุกข โสมนสั
โทมนัส ไดมอี เุ บกขา สติ และความบรสิ ทุ ธิ์กํากบั ใจอยเู สมอ.

๙. สวุ ิมตุ ตจิตโต๑ มีจติ พนดแี ลว จากราคะ โทสะ โมหะ.
๑๐. สวุ ิมุตตปญโญ๒ มีความรวู าพนดแี ลว กิเลสคือ ราคะ โทสะ โมหะ ท่ลี ะไดแลว
ถกู ตด รากเหมือนตาลยอดดวน มีอีกไมไ ด ไมเกดิ ขึน้ ไดอกี ตอ ไป.
อริยวาส ๑๐ นี้ เปนทอ่ี ยูข องพระอริยเจา ทั้งหลาย ในอดีตและปจจุบนั จักเปนท่ีอยขู อง
พระอริยเจาท้งั หลายในอนาคตอีกดวย.

อินทรียแ กว

กอ นจบบทน้ี จะพดู ถงึ อินทรยี แกว ซง่ึ ไดพูดแยมไวหลายแหง มาแลว พอเปนแนวศึกษา
คนควาของนกั ศึกษาพระพุทธศาสนา หวังวาจะเปน เรอื่ งทีส่ นใจอยากทราบเปนแน.

ปกรณฝายมหายานหรืออุตตรนิกาย เขาแบงภาคพระพทุ ธเจา เปน หลายช้นั เชน
(๑) พระอาทพิ ทุ ธเจา เปน พระพทุ ธเจา เทย่ี งแท มีพระรศั มรี ุงเรอื งท่สี ดุ หาเขตจํากัดมิได ไม
มเี บือ้ งตนและเบอื้ งปลาย เปนอยูช ่วั นิรันดร.
(๒) พระฌานิพทุ ธเจา ไดแ กพระนิรมานกาย ที่ทรงเนรมติ บิดเบือนขึ้นดว ยอํานาจฌาน
สมาบัติ มีพระรศั มีรุงเรือง มิใชพระพทุ ธเจา ทม่ี าตรัสรโู ปรดสตั วใ นโลก.
(๓) พระมานุสีพุทธเจา ไดแกพ ระพทุ ธเจา ซึ่งมาตรัสรโู ปรดสัตวในโลก มีพระกายในความ
เปนมนุษยอยางสามญั มนษุ ยท ั้งหลาย แตเปน พระกายดีวิเศษกวาของมนุษยส ามัญ มพี ระ
ฉพั พรรณรงั สพี ระกายแผซา นออกขางละวา.
สวนปกรณข องฝา ยทกั ษณิ นิกาย หรือเถรวาท (คือฝา ยเรา) ทา นโบราณาจารยก ็แบง พระ
กายของพระพุทธเจาเปน ๓ ภาคเชน เดียวกัน แตเรียงลาํ ดับจากตํา่ ไปหาสูง เมอ่ื เทยี บดแู ลว ก็จะ
เหน็ วาคลายคลึงกัน คอื
(๑) พระรปู กาย เปน พระกายซึง่ เอากําเนิดจากพระพทุ ธบิดา-พระพุทธมารดา ทีเ่ ปน มนุษย
ธรรมดา ประกอบดวยธาตุทงั้ ๔ เหมือนกายของสามัญมนษุ ย เปนแตบรสิ ทุ ธสิ์ ะอาดสวยงาม พระ
ฉวีวรรณเปลง ปล่งั เกล้ียงเกลากวากายของมนษุ ยสามญั เปน วบิ ากขันธส าํ เรจ็ แตพ ระบญุ ญาบารม.ี

..........................................................................................................................................................

๑. มีจติ ใจปลอดโปรง.
๒. มีปญ ญาแจม ใส.

ทิพยอํานาจ ๑๖๗

(๒) พระนามกาย ไดแ กก ายชน้ั ใน ปราชญบ างทานเรียกวา กายทิพย และวาเปนกายทม่ี ี
รูปรา งสัณฐานเหมอื นกายช้ันนอก เปนแตวองไวกวา และสามารถกวา กายชน้ั นอกหลายรอยเทา
สามารถออกจากรา งหยาบไปในทไี่ หนๆ ไดตามตอ งการ เมื่อกายหยาบสลายแลว กายช้ันนยี้ งั ไม
สลาย จงึ ออกจากรา งไปหาที่เกดิ ใหมต อ ไป นามกายเปนของมีท่วั ไปแมแตส ามัญมนุษย แตดเี ลว
กวา กนั ดวยอาํ นาจกศุ ลากศุ ลทต่ี นทาํ ไวกอน สวนพระนามกายของพระพุทธเจาทา นวา ดีวเิ ศษยง่ิ
กวา ของสามัญมนษุ ยด วยอํานาจพระบญุ ญาบารมี ทที่ รงบาํ เพ็ญมาเปน เวลาหลายอสงไขยกัป.

(๓) พระธรรมกาย ไดแ กพระกายธรรมอันบริสทุ ธ์ิ ไมสาธารณะทวั่ ไปแกเ ทวาและมนุษย
หมายถึงพระจิตที่พน จากอาสวะแลว เปน พระจิตบรสิ ุทธิผ์ ุดผอง มพี ระรัศมแี จม จา เปรียบเหมอื น
ดวงอาทิตยอ ทุ ัยไขแสงในนภากาศฉะนั้น พระธรรมกายนเี้ ปนพระพุทธเจาทจ่ี ริงแท เปน พระกายท่ี
พนเกิด แก เจบ็ ตาย และทกุ ขโ ศกทง้ั หลายไดจริง เปน พระกายท่เี ที่ยงแทถาวรไมสญู สลาย
เปนอยชู ่ัวนิรันดร เปน ทร่ี วมแหง ธรรมทง้ั ปวง แตท านมิไดบอกใหแ จงชัดวา พระธรรมกายนี้มี
รูปพรรณสัณฐานเชนไรหรือไม.

ความเชอื่ วา พระอรหนั ตนิพพานแลวยังมีอยูอีกสว นหนึ่ง ซึ่งเปน พระอรหนั ตแ ท ไมสลายไป
ตามกาย คือความเปนพระอรหันตไ มสญู ๑ ความเปนพระอรหนั ตนี้ทา นกจ็ ดั เปน อินทรียชนิดหนง่ึ
เรียกวาอัญญนิ ทรีย พระผมู พี ระภาคเจา คงหมายเอาอินทรียนเ้ี อง บญั ญตั ิเรียกวาวสิ ุทธิเทพ เปน
สภาพทคี่ ลายคลึงวิสทุ ธาพรหมในสทุ ธาวาสช้นั สงู เปนแตบ ริสุทธยิ์ งิ่ กวา เทา น้ัน เมอื่ มีอินทรียอ ยูก็
ยอมจะบาํ เพ็ญประโยชนไ ด แตผ จู ะรับประโยชนจ ากทา นได กจ็ ะตอ งมีอินทรียผ องแผว เพยี ง
พอท่ีจะรบั รรู ับเห็นได เพราะอนิ ทรียของพระอรหนั ตป ระณีตสุขุมท่สี ดุ แมแตตาทพิ ยข องเทวดา
สามญั ก็มองไมเ หน็ ๒ มนษุ ยส ามญั ซึง่ มีตาหยาบๆ จะเหน็ ไดอ ยา งไร อินทรยี ของพระอรหนั ตนนั้
แหละเรยี กวาอนิ ทรียแกว ตา หู จมกู ลน้ิ กาย และใจของทานเปน แกว คอื ใสบริสุทธ์ดิ จุ แกวมณี
โชติ ผบู รรลถุ ึงภมู แิ กวแลว ยอมสามารถพบเหน็ พระแกว คือพระอรหันตทนี่ พิ พานแลวได.

ความรเู ร่อื งน้ี เปน ความรูลกึ ลบั ในพระธรรมวนิ ัย ผูสนใจพึงศึกษาคน ควา ตอ ไป ถา รไู มถ งึ
อยา พึงคาน อยาพงึ อนโุ มทนา เปน แตจดจําเอาไว เมือ่ ใดตนเองไดศกึ ษาคนควา แลวไดค วามรู ได
เหตุผลที่ถูกตองดีกวา เมื่อนน้ั จงึ คาน ถาไดเหตผุ ลลงกันจึงอนโุ มทนา ถารูไมถึงแลวดว นวิพากษ
วิจารณ ตเิ ตยี น ผพู ูดเร่ืองเชนน้ี จะเปน ไปเพ่อื บอดตาบอดญาณตนเอง ปกติตาไมด ีญาณไมโปรง อยู
แลว ถา ดวนตเิ ตยี นในเมอ่ื ตนเองรูไมถงึ ก็ชอื่ วาบอดตาบอดญาณตนเองย่ิงจะซํ้ารายใหญ ขา พเจา
นําเรือ่ งน้ีมาพดู ไว ดว ยมคี วามประสงคจ ะใหน ักศกึ ษาพระพุทธศาสนาชวยกนั คนควาความรูสวน
ลึกลับของพระพทุ ธศาสนาตอ ไป.

..........................................................................................................................................................

๑. พระยมกะ เมื่อยังไมบ รรลุอรหตั ตผล ไดแ สดงความเห็นวา พระอรหนั ตต ายแลว สูญ ถกู พระสารีบุตรสอบสวน เม่อื บรรลุ
พระอรหัตตผลแลวจึงเห็นตามความเปนจรงิ วา “สิ่งทปี่ จจยั ปรงุ แตงยอมเปนไปตามปจ จยั ” คือสลายไป สว นพระอรหันตม ิใช
ส่งิ ทีป่ จจัยปรงุ แตงจึงไมส ลายไป แปลวาไมต าย.
๒. โดยปกติ เทวดาสามัญและมนุษยืไมเห็นวสิ ุทธิเทพ แตถาทานเนรมิตใหเ หน็ อาจเหน็ ได บาลวี า “มารานํ อทสสฺ นํ” หมายถึง
พระนิพพานประณีตท่ีสดุ มารจึงมองไมเห็นพระนพิ พาน ท้งั ไมเห็นผูบรรลพุ ระนพิ พานดวย.

ทพิ ยอํานาจ ๑๖๘

บทที่ ๑๓

วธิ รี กั ษาทพิ ยอาํ นาจ

บทกอนๆ ไดแสดงวิธีสรา งทพิ ยอาํ นาจ ดงั ที่ทา นผูอา นไดผ า นมาแลว ถาจะจบลงเพยี งนน้ั ก็
จะเปนเรือ่ งไมสมบรู ณ เพราะธรรมดาที่มีอยู สง่ิ ใดเกิด สง่ิ นนั้ ตอ งตาย สิง่ ทเี่ กิดแตเหตปุ จจยั ยอ ม
เปน ไปตามอาํ นาจของเหตุปจจัย เมื่อเหตุปจ จยั ยงั เปนไปสิ่งน้นั ก็ยงั เปนไป เม่อื เหตปุ จ จยั สลายไป
สง่ิ น้นั กย็ อมสลายไป ทิพยอาํ นาจกย็ อมเปนไปตามหลักธรรมดานั้น เพราะเกิดแตเหตปุ จ จัย
เหมอื นกนั เวน แตท พิ ยอาํ นาจชนั้ สงู เทาน้ันทีเ่ มอื่ บรรลุถึงแลว เปน อํานาจที่มนั่ คง ดํารงยั่งยืน
ตลอดไป เพราะมอี าสวักขยญาณเปน ประกัน ทพิ ยอาํ นาจอื่นๆ เม่อื มอี าสวักขยญาณเปนประกัน
ยอมพลอยเปนอาํ นาจม่ันคงไปดว ย เพ่ือประโยชนแกการรักษาทพิ ยอํานาจทีไ่ มม่นั คงใหด าํ รง
ย่ังยนื ใชประโยชนไดด ี จะไดแสดงวธิ รี ักษาไวใ นบทน.ี้

ผศู กึ ษาทิพยอํานาจคงยังจําไดวา ทพิ ยอาํ นาจต้ังอยูบ นรากฐาน ๒ ประการคือ ฌาน และ
กาํ ลงั ใจอนั มัน่ คง ดังกลา วไวใ นบทที่ ๑ ซึง่ วาดว ยท่ตี งั้ ของทพิ ยอาํ นาจ และบทท่ี ๕ ตอนวา ดวย
อิทธิวธิ ิฤทธ์ิตา งๆ นั้นแลว เมือ่ ทพิ ยอาํ นาจขน้ึ อยกู ับฌานและกาํ ลังใจอนั มน่ั คงเชนนี้ การรกั ษา
ทิพยอํานาจจงึ สาํ คญั ที่การรักษาฌานและจติ ใจ ฉะนั้น จะไดแสดงวธิ รี กั ษาฌานและจติ ใจ
ดังตอ ไปน.ี้

ส่งิ ซึ่งเปนเครื่องก้ันกางมิใหบ รรลคุ วามสงบแหงจติ ใจ และคอยเสยี ดแทรกทาํ ใหเ กดิ
ความรูสกึ คับใจ ไมปลอดโปรง ใจนั้น ไดแก กามคุณทง้ั ๕ คอื รูป เสยี ง กล่ิน รส และโผฏฐพั พะ
(สมั ผัส) ทน่ี า ปรารถนา นาใคร นา พอใจ นารกั ยียวนชวนกาํ หนดั พระบรมศาสดาตรัสวา สิง่ ทงั้
๕ มอี าํ นาจเหนือจิตใจไดอยา งแปลกประหลาด ทําใหคลาดแคลว จากการบรรลธุ รรมอนั เกษมได
รปู เสยี ง กลิน่ รส และโผฏฐพั พะของสตรี ก็มีอาํ นาจเหนือจติ ใจของบรุ ษุ รูป เสยี ง กลนิ่ รส และ
โผฏฐพั พะของบุรษุ กม็ อี าํ นาจเหนอื จิตใจของสตรี ผตู กอยูภ ายใตอ ํานาจของสง่ิ ท้ัง ๕ น้ียอ มเศรา
โศกไปนาน มิใชเ พยี งสงิ่ ทัง้ ๕ นนั้ โดยตรงเทา นั้นท่มี ีอํานาจเหนือจิตใจได แมก ริ ิยาอาการของเพศ
ตรงกนั ขาม เชน การเดิน ยืน น่ัง นอน หัวเราะ พดู จา ขบั รอ ง รอ งไห ถูกฆา และตาย ก็ยอม
ครอบงาํ จิตใจของเพศตรงกันขามไดอยางแปลกประหลาด ควรเรยี กไดอยา งถูกตอ งวา “บว งมาร”
ทีเดียว เม่อื เพศทงั้ สองไดม โี อกาสคลุกคลีกันเขา ยอ มอดที่จะลวงละเมดิ อธิปไตยของกันและกัน
ไมได แมมารดากบั บตุ รกย็ อ มรว มประเวณกี นั ได ในเม่อื มีชอง และความมดื หนาบงั เกิดขน้ึ ฉะนน้ั
พระบรมศาสดาจงึ ตรสั วา “ความใกลช ิดมาตคุ าม เปนหนามของพรหมจรรย” นี่เปนดานทต่ี รัส
สอนบุรุษ สว นดา นสตรีกน็ ยั เดยี วกนั คือ ความใกลชดิ บุรุษเปนหนามของพรหมจรรยเชนเดยี วกนั
พระอานนทเถรเจา คงเปนหวงใยในอนาคตของบรรพชติ หลงั พทุ ธปรินพิ พาน จงึ กราบทูลถามถงึ วิธี
ปฏิบัติตอ มาตคุ ามไว ตรัสแนะวา ไมดไู มแลไดเปนดี ถาจําเปน ตอ งพบปะกอ็ ยาพดู ถาจาํ เปน ตอง
พดู ก็อยาพูดมาก ใหพ ดู เปนธรรมเปนวินยั น้ีเปนวิธีปฏิบตั ติ อมาตุคามของบรรพชติ ฝายภิกษุ ใน
เพศตรงกันขา มก็พึงเทยี บเคยี งปฏิบัตโิ ดยนัยเดียวกัน แมค ฤหัสถชนผูมุงประพฤตศิ ีลธรรมใหดงี าม

ทพิ ยอํานาจ ๑๖๙

ตองการใหม ีทพิ ยอํานาจ ก็พงึ ประพฤติปฏิบตั ิโดยนัยเดยี วกัน ผูท ่ตี กอยูใตอ ํานาจของกามคุณ
ละเมดิ ศลี ธรรมอนั ดเี พราะกามคุณเปนเหตุแลว จะหวังความมที พิ ยอํานาจดีเดนไมได ทม่ี ีการเชื่อ
วาสามารถมไี ด เชน รสั ปูติน นั้นเปนการเชอื่ ที่ไรเหตุผล เพราะธรรมชาตขิ องคนยอมเปนดังท่รี ูกัน
อยแู ลว เมื่อมเี ลห ผ ูกมดั จิตใจกันไดแ ลว จะเปน ส่ิงนา อศั จรรยอ ะไรในการสามารถอยางรัสปูตนิ
การคลอยตามอํานาจของกามคณุ เปนส่ิงงา ยดายเหมอื นพายเรือตามนาํ้ สวนการฝน ทางของกาม
คณุ เพื่อความสงบใจนนั้ เปน การยากลําบาก เหมอื นพายเรอื ทวนนาํ้ เมอื่ ทาํ สาํ เรจ็ ไดจงึ เปนการนา
อศั จรรยกวาหลายลานเทา .

นิวรณ ๕ ประการ คอื กามฉนั ทะ กําหนัดในกามคุณทั้ง ๕ นน้ั , พยาปาทะ ความแคนใจ
เจบ็ ใจใครป ระทุษรา ย หรือทําความฉบิ หายแกผทู ตี่ นไมช อบ, ถนี มิทธะ ความทอ ใจและซึมเซา
ของจติ ใจ, อทุ ธจั จกุกกจุ จะ ความฟุงซานของใจและความหงดุ หงิดราํ คาญใจ, และวจิ ิกิจฉา ความ
สองจิตสองใจ ไมเชอื่ แนในทางแหงพระนิพพาน หรือความไมปลงใจลงไปในการใดการหน่งึ
โดยเฉพาะ ทัง้ ๕ ประการน้ีเปน ตวั กิเลสแหง ใจทร่ี า ยกาจ มอี ํานาจครอบงําใจ และทาํ ใหเ สยี กาํ ลัง
ปญญาไป ถา ปลอยใหมันมีอาํ นาจเหนอื ใจอยตู ราบใด จะหวงั รปู ระโยชนต น ประโยชนผอู นื่ หรอื
ประโยชนท ง้ั สอง หรือจะหวังทาํ ญาณทสั สนะอนั วิเศษใหเกิดขึ้นน้ันยอ มเปนไปไมไดตราบนั้น
เหมอื นแมนํ้าเชยี่ วชันไหลหลัง่ ลงมาจากเขาแตไ กล เมอ่ื ปด ปากทางทั้ง ๒ ขางเสียแลว กระแสนํ้า
ถูกตัดขาดตรงกลางแลว ยอ มไมไหลเชีย่ วมาแตไกลไดฉ ันใด ผไู มล ะนิวรณ ๕ กเ็ ปน ฉนั นนั้ เม่อื ใด
ละนิวรณ ๕ ไดแ ลว เมอื่ นั้นจกั รูจ กั ประโยชนและทําญาณทัสสนะอันวเิ ศษใหเกิดได เหมอื นเปด
ปากทางของแมน้ําที่มีกระแสไหลเชี่ยวไหลหลัง่ มาแตไ กล ปลอยกระแสใหไปตามทางของมัน
กระแสน้าํ นั้นยอ มไหลเชยี่ วฉันใด ผลู ะนวิ รณ ๕ ไดแลวกฉ็ ันน้ัน นิวรณ ๕ น้ีเมอ่ื จะเรียกใหถ ูกตอ ง
ตามความจรงิ ตอ งเรยี กวา กองอกศุ ล เพราะเปน กองแหง อกุศลท้งั หมด.

กามคณุ และกองอกุศล อันตรายของฌานอยางเอก เปนส่ิงทต่ี องละและบรรเทาใหสงบ
เงียบลงใหได จึงจะไดความสงบใจ ปฐมฌานมีอาํ นาจสงบสง่ิ เหลา น้ไี ด ทาํ ใหเ กิดความวเิ วกในใจ
หายวุนวาย มคี วามปลอดโปรงโลง ใจขึน้ แทนท่ี.

ภูมิปลอดโปรง โลง ใจน่แี หละ ทา นเรยี กวา โอกาสาธิคม ชั้นตนๆ ยงั มเี คร่ืองคับใจท่เี รียกวา
สมั พาธ คอยเสียดแทรกอยู คือ

ภมู ทิ ี่ ๑ ยังมวี ิตกวิจารคอยเสยี ดแทรกใหค ับใจ
ภมู ทิ ่ี ๒ ยงั มปี ต คิ อยเสยี ดแทรกใหคับใจ
ภมู ทิ ี่ ๓ ยงั มีอเุ บกขาสขุ คอยเสียดแทรกใหคบั ใจ
ภมู ทิ ี่ ๔ ยังมลี มหายใจคอยเสียดแทรกใหคับใจ
ภูมิที่ ๕ ยังมรี ูปสัญญาคอยเสยี ดแทรกใหคับใจ
ภมู ิที่ ๖ ยงั มอี ากาศสญั ญาคอยเสยี ดแทรกใหคับใจ
ภูมิที่ ๗ ยังมีวญิ ญาณสญั ญาคอยเสียดแทรกใหค บั ใจ
ภูมิที่ ๘ ยังมีมโนสัญญาคอยเสยี ดแทรกใหคับใจ

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๗๐

ภมู ิท่ี ๙ ดบั สัญญาเวทนาหมด รเู ทา ทันดวยปญ ญา ทําลายรังของอวิชชา กําจัดอาสวะสน้ิ
แลว ช่ือวา หมดความคับใจ บรรลถุ ึงภมู ิปลอดโปรงโลง ใจถึงท่สี ุด ภมู ิสดุ น้จี งึ พน อํานาจของกามคณุ
และอกศุ ลเดด็ ขาด เปนภูมิทีเ่ ย็นใจได ถายังไมบ รรลุภูมินแ้ี ลวอยา พึงนอนใจ พึงระมดั ระวังอยาง
ย่ิงยวดทีเดียว วิธีระวังอันตรายจากกามคุณและอกศุ ลธรรมน้ัน ก็คือ ระวงั อินทรียทงั้ ๕ ซ่ึงเปน
ชองทางผา นของกามคุณ และเกดิ อกุศลนนั่ เองเปน ประการตน, ประการที่ ๒ ตอ งรจู กั ประมาณ
ในการกนิ อาหาร, ประการท่ี ๓ ตอ งประกอบความพากเพยี รใหต น่ื ตวั อยูเสมอ ถา จะหลบั ก็ตอง
หลับอยา งมีสติ ไมปลอ ยใหหลบั ใหลไปเฉยๆ เมือ่ ตื่นขึ้นก็ตองรบี ลุกประกอบความพากเพยี รตอ ไป,
ประการท่ี ๔ ตองเจรญิ วิปส สนา เพอ่ื รแู จงเห็นจริงซงึ่ กศุ ลธรรม, ประการท่ี ๕ ตอ งเจรญิ โพธิ-
ปก ขิยธรรม ทง้ั ตน ราตรี ทัง้ ปลายราตรี โพธปิ กขยิ ธรรมน้ันคือ สตปิ ฏ ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔
อทิ ธบิ าท ๔ อนิ ทรีย ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ อริยมรรค ๘ ดังกลาวมาแลวในบทท่ี ๔ ซ่งึ วา
ดว ยอปุ กรณแหงทิพยอาํ นาจ เมอื่ ปฏบิ ัติอยูโดยทํานองดังกลาวนเี้ ปนอนั หวงั ไดว าจะไมตกไปสู
อํานาจของกามคณุ และอกศุ ลธรรม จะมีแตค วามปลอดโปรง ใจ ฌานสมาบตั ทิ ี่ไดไ วแลว กจ็ ะไม
เส่ือมเสียไป มแี ตจะเจรญิ กาวหนา ยง่ิ ขน้ึ .

อกี วิธหี นง่ึ พึงเจริญสมั มาสมาธิ ประกอบดว ยองค ๕ เสมอ ดังนี้
๑. เขาปฐมฌาน โสรจสรงกายดวยปต สิ ุขอันเกดิ แตว ิเวก แผปต สิ ุขไปทวั่ กายใหตลอดหมด
ทุกสวนของกาย อยา ใหเ หลอื สวนใดสว นหนึ่งของกายเลย.
๒. เขาทุตยิ ฌาน โสรจสรงกายดวยปติสุขอันเกดิ แตสมาธิ แผป ตสิ ุขไปท่ัวกายทงั้ หมด มิให
เหลือไวแ มแ ตส วนใดสว นหนึ่งของกายเลย.
๓. เขาตตยิ ฌาน โสรจสรงกายดว ยสุขปราศจากปต ิ แผสุขไปท่วั กายท้งั หมด มใิ หเหลือไว
แมแตสว นใดสวนหนงึ่ ของกายเลย.
๔. เขา จตุตถฌาน เอาใจอนั บริสทุ ธ์สิ ะอาดผองแผว แผไ ปทว่ั กายทัง้ หมด มใิ หเหลอื สว น
หนงึ่ สวนใดของกายไวเ ลย ใหใจอนั บรสิ ุทธส์ิ ะอาดน้ัน แผค รอบคลุมตัวทั้งหมดเหมือนคลุมไวด วย
ผา ขาวสะอาดฉะนน้ั .
๕. กําหนดใสใจนิมิต ทปี่ รากฏในมโนทวาร พิจารณาไวด ี พยายามดาํ รงไวใหน าน แลว ทํา
การพจิ ารณาสอบสวนดวยปญญาใหท ะลปุ รุโปรง.
เมอ่ื เจรญิ สัมมาสมาธิ ประกอบดว ยองค ๕ น้ีอยเู สมอแลว จติ ใจจะมพี ละกําลังย่งิ ใหญ มี
อิทธพิ ลมาก จะนอ มไปเพ่อื ทิพยอํานาจใดๆ กไ็ ดด่ังประสงคทกุ ประการ.
อีกประการหนงึ่ พงึ ศึกษาสําเหนียกเรอื่ งสมาธนิ ้ีใหเกิดความฉลาดในเรือ่ งของสมาธิ ๗
ประการ คือ
๑. สมาธกิ สุ โล ฉลาดในสมาธิ คือรูจ กั วาจิตขนาดไหน เปนสมาธิขั้นไหน กําหนดไดถ่ีถวน.
๒. สมาธสิ สฺ สมาปตตฺ ิกสุ โล ฉลาดในวิธีเขา สมาธขิ ัน้ นน้ั ๆ เขา ชา ๆ เขาโดยลาํ ดบั เขาทวน
ลําดบั เขาสลับสมาธิ และเขาสมาธอิ ยางรวดเรว็ ไดต ามใจประสงค.
๓. สมาธิสสฺ ิติกุสโล ฉลาดในการยง้ั สมาธิ คือจะดาํ รงสมาธิไวใหไดนาน หรือไมนานแค
ไหนไดตามตองการ.

ทิพยอํานาจ ๑๗๑

๔. สมาธิสสฺ วุฏานกสุ โล ฉลาดในวธิ ีออกสมาธิ คือออกสมาธิชา ๆ กไ็ ด ออกเรว็ ๆ ก็ได
ตามตอ งการ.

๕. สมาธสิ สฺ กลลฺ ิตกุสโล ฉลาดในความพรอ มพร่งั ของสมาธิ คอื รจู ักทําสมาธิใหเต็ม
บรบิ ูรณต ามองคกาํ หนดของสมาธิข้นั น้ันๆ กาํ หนดองคส มาธไิ ดถ กู ถว นดีทกุ ๆ ขน้ั .

๖. สมาธสิ สฺ โคจรกสุ โล ฉลาดในอาหารของสมาธิ คอื รจู ักอารมณเปนทเ่ี กดิ สมาธิ สองเสพ
อารมณนน้ั ๆ เนืองๆ จติ ใจก็เปนสมาธอิ ยเู นืองๆ เพราะไดอาหารปรนปรือเสมอ.

๗. สมาธสิ ฺส อภนิ หิ ารกสุ โล ฉลาดในอภนิ หิ ารของสมาธิ คือรจู กั อาํ นาจแปลกประหลาด
อนั เกิดจากสมาธิน้ันๆ สาํ เหนยี กกาํ หนดจดจาํ ไวใ หด ี และฝกใชอภนิ หิ ารนั้นใหเ กิดประโยชนบอ ยๆ.

เม่อื ปฏบิ ัตใิ นเร่อื งสมาธิ โดยทาํ นองนีอ้ ยูเนืองๆ แลว จะมีอํานาจบังคบั จติ ใจของตนเองไดด ี
สามารถรกั ษาฌานสมาบตั ิท่ีไดไ วแ ลว ใหคงอยู ไมเส่อื มเสยี ไป เมอื่ ฌานสมาบัติดาํ รงอยไู ดดี ทิพย-
อํานาจท่ีไดแลว กด็ าํ รงอยดู ี และพรอ มท่จี ะใชท ําประโยชนไดตามใจประสงค.

สวนจติ ใจน้นั เมอื่ ไดรกั ษาฌานสมาบัตทิ ่ไี ดแลวมิใหเ ส่อื มเสยี ไป กช็ อื่ วาไดรักษาอยแู ลว แต
ถงึ อยางนนั้ ก็ควรสําเหนียกเหตุท่ีทําใหจิตใจเสียกาํ ลัง และคณุ ธรรมทจี่ ะทําใหจติ ใจมีกําลัง
สมรรถภาพไวใหด ี และปฏบิ ตั ิหลีกเวนเหตุราย ดําเนินในคุณธรรมได จิตใจจึงจะมีกาํ ลังมั่นคงเสมอ
พรอ มทจ่ี ะใชท ําประโยชนไดทนั ทใี นเม่อื ตองการทาํ หรอื มีความจาํ เปน บังคับใหตองทํา ดังตอ ไปน้ี

๑. ความเกียจครา น ทาํ ใหใ จฝอ หอ เหยี่ วได อยายอมใหความเกยี จครานเกิดขึน้ ครอบงาํ ใจ
ไดเปนอันขาด ตอ งพากเพยี รในการชาํ ระจิตใจใหบริสุทธอ์ิ ยูเสมอไป.

๒. ความฟุงซา น ทําใจใหฟ ฟู งุ ไปตามอารมณไ มรจู ักยั้ง ทาํ ใหจติ ใจเสียกาํ ลงั อยายอมให
มันมามอี ํานาจครอบงาํ ใจได อยา ไปคดิ อะไรๆ ใหเกินกวาจาํ เปน ถาคิดกต็ อ งใหมรี ะเบียบเปน
เรอ่ื งๆ ไปพอสมควรแลว ก็หยุด อยาคิดอะไรใหพ ราํ่ เพรือ่ ใหพยายามสงบใหมากท่สี ดุ ทีจ่ ะมากได.

๓. ความกาํ หนัด ทาํ ใจใหรา นรน กระวนกระวาย ใครท ี่จะตกไปสูอาํ นาจของกามคุณ ตอ ง
ปอ งกันอยาใหจ ิตเกิดกาํ หนดั เมอื่ มนั เกิดขึ้นตอ งรีบแกไขโดยอุบายท่ีชอบทันที อยาปลอยท้ิงไว
นาน สาํ หรับผูไดฌ านตองรบี เขา ฌานใหไ ดถึงขั้นอเุ บกขา กามราคะจะระงบั ทันที อีกอยา งหนึง่
นาํ ใจไปกาํ หนดตั้งไวตรงหวา งค้วิ ราคะกจ็ ะระงบั ไปเหมือนกนั .

๔. ความพยาบาท ทําใจใหพ ลุงพลา น เดอื ดดาลครุกรนุ อยใู นใจ เหมือนไฟสมุ แกลบ ตอง
รบี สลดั ความรูสึกเชน นี้ออกจากใจ อยา ยอมใหมันอาศยั อยูนาน การเจรญิ เมตตาเปนอบุ ายทดี่ ีทส่ี ดุ
สําหรับระงบั พยาบาท มีประโยชนอ ะไรท่ีเราจะเผาตวั เราเอง ถา มีใครทําความเสียหายใหเ ราก็ให
นกึ วาเปน ความชว่ั ของเขา ประโยชนอะไรทจี่ ะขอแบงสว นความช่วั กับเขาดวย เรารกั ษาใจของเรา
ใหเย็นไวเปน ดี ดว ยอาํ นาจความเย็นน่ีแหละ เขาผทู ํารา ยทําความเสียหายใหเราจะกลบั รอ นและ
แพภัยไปเอง จะประโยชนอ ะไรดวยการไปซ้าํ เติมเขาในเมอ่ื เขาฉิบหายไปดวยความชวั่ ของเขาอยู
แลว .

๕. ความเหน็ ผิด เปนตัวมารรายกาจของใจ มันมีกลมารยารอ ยแปดพันประการ ถา สมยอม
ใหม นั เปน เจาจิตใจแลว จะเสียทอี ยา งยอยยับ กลับตัวไมทันเอาทเี ดียว ฉะนัน้ อยา ยอมให
ความเห็นผดิ เขา ครองใจ ความเหน็ ผิดมนั มมี อื คือ วิจกิ จิ ฉา สอดเขามากุมจติ ใจเราไว ถามันจับมนั่

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๗๒

ไวใ นมือไดแลว อยาหวงั วาจะหลดุ จากมือมันงายๆ ฉะน้นั ตอ งรีบแกไข เมอื่ เกิดสงสัยในอะไร อยา
ทงิ้ ไวนาน.

๖. จิตใจไมปฏพิ ทั ธในกามคุณ เปนใจงาม รบี ติดตามเจรญิ จติ ใจเชน นน้ั ย่ิงๆ ขน้ึ .
๗. จิตใจหลดุ พน จากกามราคะ เปนใจผองแผว ตอ งรีบเจรญิ จิตใจเชน นั้นใหผองแผว ยิ่งขึน้ .
๘. จิตใจพรากจากกิเลส ไมสมั ปยตุ ดวยกิเลส เปนใจบรสิ ทุ ธิ์ ควรรบี รุดเจรญิ ใหกา วหนา
ย่ิงข้ึนทเี ดียว.
๙. จติ ใจไมถ ูกกิเลสปกคลมุ ครอบงํา เปน ใจสะอาดปลอดโปรง เปน เวลามารใหโอกาส ตอ ง
รีบฉวยโอกาสทาํ ความปลอดโปรงใจย่ิงขนึ้ จนถึงทส่ี ดุ .
๑๐. จิตใจเปน หน่ึง ไมซ ัดสายไปตามกเิ ลส เปนใจมเี อกภาพ เปน เอกราช ไมอยใู ตอํานาจ
ของกเิ ลส ตอ งรีบเจรญิ ใหบรรลุถงึ ภูมเิ อกภาพสมบรู ณ.
๑๑. จติ ใจมศี รัทธา เชื่อแนในกศุ ลธรรม เปนใจมสี มรรถภาพในการปฏิบัติ ตอ งรีบดาํ เนิน
ปฏบิ ัตกิ า วหนา .
๑๒. จติ ใจมคี วามเพยี ร กลาหาญในการประกอบกุศลกิจ เปน ใจมอี ิทธพิ ล ตองรีบดําเนนิ
ตามทนั ท.ี
๑๓. จิตใจมีสตดิ ี ไมพล้ังเผลอ ช่ือวามีองครกั ษประจําตัว ตอ งรบี รดุ ดําเนนิ ไปสคู วามมีสติ
ไพบลู ยย ิ่งข้นึ จนถงึ ความเปนผตู ่ืนตวั เต็มท.่ี
๑๔. จติ ใจมีสมาธิ เปน ใจมัน่ คงแข็งแรง สามารถจะตั้งตัวเปนหลักฐานได จงรีบปฏบิ ัติ
เพ่ือใหต ง้ั ตัวไดเตม็ ทตี่ อ ไป.
๑๕. จติ ใจมปี ญ ญาปกครองรักษา เปน ใจมีกองทพั แวดลอ ม พรอ มทีจ่ ะยกเขายํา่ ยีขาศึกได
จงรบี ปฏิบตั กิ ารทันที ใหสามารถทําลายรงั ของขาศึกได อยาใหขา ศึกตัง้ ตัวตดิ รบี พชิ ิตขา ศึกคอื
กิเลสใหไ ดชัยชนะข้นั สดุ ทา ย.
๑๖. จิตใจสวางไสวหายมดื มัว เปนใจทมี่ ีอาํ นาจเดน ดี มีอิทธพิ ลสูง สามารถกําจดั รากแกว
ของกเิ ลสไดแ ลว จงรบี รดุ ขุดรากกิเลสออกใหหมด อยาใหเหลอื เศษแมแตนอ ย กระท่งั รากฝอยก็
อยา ใหเหลือ.
เม่ือไดปฏบิ ตั ริ ักษาจติ ใจโดยนยั น้ีอยูเ สมอ ไมล ะโอกาสอนั ดี ในเมอ่ื มกี ําลงั ใจพอสมควรดว ย
ประการนน้ั ๆ บํารงุ กําลังใจอนั มัน่ คงไวไ มหยุดย้ัง ยอ มมหี วังบรรลุถงึ ความไพบลู ยดวยทิพยอํานาจ
แนๆ ทีเดยี ว.

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๗๓

บทท่ี ๑๔

วิธใี ชท พิ ยอาํ นาจบาํ เพญ็ ประโยชน

ทิพยอาํ นาจทป่ี ลกู สรางขน้ึ ไดแลว เมอ่ื วา โดยลกั ษณะท่แี ทจ ริงของทิพยอาํ นาจประการ
นน้ั ๆ ยอมเปนอาํ นาจทคี่ ุมครองรักษาตัว และอํานวยประโยชนแ กต น แกผ ูอืน่ แกโลก และแกพระ
ศาสนาอยูแลว โดยธรรมดา ถงึ อยา งน้ันก็ตอ งรจู ักใชจงึ จะสําเรจ็ ประโยชนด ี พระมหาโมคคลั ลาน
เถระทานเปนผมู ีฤทธ์ิเลิศอยูแลว แตใ นวิธใี ชฤทธิ์น้นั บางคราวตอ งไดรับพระอุปเทศวธิ ีจากพระบรม
ศาสดาจึงใชไดด ี วธิ ใี ชทพิ ยอาํ นาจหรอื วา โดยเฉพาะวธิ ีใชฤ ทธ์ทิ เี่ รียกวาอปุ เทศน้นั มไิ ดท รงสง่ั สอน
ไวโ ดยทวั่ ไป ตรสั แนะใหแกผูส มควรเทา น้ัน เพราะทิพยอํานาจมใิ ชเปน สงิ่ สาธารณะ ยอมมีไดแ ก
บางคน วิธีใชท พิ ยอาํ นาจจงึ เปนไปโดยเฉพาะบุคคล มไิ ดตรัสไวโดยทัว่ ไป ถาจําเปนตองตรัสไว ก็
ทรงเพยี งเลาเรือ่ งการใชทิพยอาํ นาจเทา น้นั แมเพยี งเทา น้นั ผูม ีอปุ นสิ ยั ในทางใชท ิพยอํานาจก็
เขาใจได และนาํ ไปใชบ ําเพญ็ ประโยชนไ ด เชนทต่ี รสั เลาเรือ่ งไปทรมาน พกาพรหม บนพรหมโลก
เปนตน เมอ่ื พจิ ารณาถงึ เน้ือเร่อื งแลวกไ็ มเห็นมธี รรมปฏบิ ัตทิ ีเ่ ปนสาธารณวิสัยอยเู ลย คงเห็นแต
วธิ กี ารอนั เปน อสาธารณวิสยั เทาน้ัน พระสตู รทํานองน้ีมีอยูในพระไตรปฎกหลายพระสูตร ท่พี ระ
ธรรมสงั คาหกาจารยรวบรวมมารกั ษาไว ทานกค็ งเขา ใจถึงพระพทุ ธประสงคเ ปน อยางด.ี

การทพ่ี ระบรมศาสดาไมต รัสสอนวธิ ีใชท พิ ยอํานาจไวโ ดยตรง กเ็ พราะทพิ ยอํานาจเปน สิง่ ไม
ทัว่ ไปดงั กลา วแลวประการหนงึ่ อีกประการหน่งึ เพ่ือปองกนั คนอันธพาลมใิ หใชทพิ ยอาํ นาจทาํ
ความพินาศฉิบหายแกต ัวเขาเอง ไดเ คยมเี ร่ืองคนอนั ธพาลใชศ ิลปะเพ่ือความฉิบหายแกเขาเอง
มาแลว เปน ตัวอยา ง ถึงกับไดตรัสไววา ความรูเกดิ ขนึ้ แกคนพาลกเ็ พียงเพ่ือทาํ ลายคุณธรรมของ
เขาเอง และเพอ่ื กําจัดปญญาของเขาดวย ฉะนั้น จงึ ทรงระมดั ระวงั หนักหนาในเร่อื งนี้ ทรงถอื
เปน อสาธารณะตลอดมา แมจะมีผอู าราธนาใหท รงแนะนาํ อุปเทศแกภกิ ษุผมู ีฤทธ์ิ เพ่อื ทาํ ฤทธิ์เผย
แผพระพุทธศาสนาก็ตาม กม็ ทิ รงอนโุ ลมตาม ตรสั ยืนยนั วาไดประโยชนนอ ย ไมคมุ กบั ความ
เสียหายอันจะเกิดข้นึ ในภายหลัง การท่ีขา พเจา จะแนะนาํ วิธใี ชทิพยอาํ นาจนี้กร็ สู ึกหวน่ั ๆ อยู
เหมือนกันวาจะเปน การเกินครู แตก็จะพยายามแนะนําวธิ ใี ชบ าํ เพญ็ ประโยชนจริงๆ ซงึ่ จะไมน าํ
ความพนิ าศฉิบหายมาสใู นภายหลงั ได คตโิ บราณมอี ยวู า สิ่งทีม่ ีคณุ อนันต กม็ ีโทษมหนั ต ในเม่อื ใช
ในทางผิด เชน ดาบเมอ่ื ใชใ นทางถกู ก็ใหคณุ อนันต แตถาใชในทางผดิ ก็ใหโ ทษมหนั ต ทิพยอาํ นาจ
กเ็ ชนเดยี วกัน ธรรมดาคนพาลมสี ตแิ ละปญ ญาออนความย้ังคิดและความรอบคอบมีนอ ย ถา มี
ทิพยอาํ นาจแลว ก็อาจใชท พิ ยอํานาจในทางผิดได ผลรา ยอันเกดิ จากการใชท ิพยอาํ นาจในทางผิด
นั้นยอมตกแกผูใชน ั้นเองเปนสวนมาก ตกแกผอู ่ืนเพยี งสว นนอย ดงั่ พระเทวทัตในสมัยพุทธกาล
หรือดงั่ รัสปตู ินในตางประเทศ (รัสเซยี ).

การบาํ เพ็ญประโยชนจดั วาเปน ความดีสวนหน่ึงที่ควรบําเพญ็ ตรสั สอนใหบ ําเพ็ญเพอื่
สงเคราะหแกผ ูอ่นื เปน เครือ่ งยึดเหนี่ยวนา้ํ ใจกัน ใหเ กดิ ความรักความนับถือมั่นคงในกันและกนั

ทิพยอาํ นาจ ๑๗๔

เรยี กวา สงั คหธรรม พระบรมศาสดากท็ รงบําเพ็ญเสมอ และทรงบาํ เพ็ญไดก วา งขวางดวย ด่งั
พระโบราณาจารยไดแสดงพระพุทธจรยิ าในการบําเพญ็ ประโยชนแกผูอ ่ืนไวถึง ๓ ประเภท คือ

๑. โลกตั ถจรยิ า ทรงบาํ เพญ็ ประโยชนแกโ ลก ไดแ กท รงแสดงธรรม ทรงบญั ญัตวิ นิ ยั ไว
อยางถีถ่ วนละเอยี ดลออ เพื่อประโยชนแ กส ตั วโลกทั่วๆ ไป.

๒. ญาตตั ถจริยา ทรงบําเพ็ญประโยชนแกพ ระญาติวงศของพระองคโ ดยเฉพาะ เชน ทรง
สงเคราะหพ ระญาติ ผูแมเ คยบวชในลัทธิอน่ื มากอ น ใหเ ขาบวชในพระธรรมวินัยของพระองคเอง
โดยสะดวก ไมต อ งใหประพฤติตติ ถิยปริวาสกอ น สว นคนผูมใิ ชพระญาตวิ งศของพระองคถ า เคย
บวชในลัทธอิ ื่นมากอ นตองใหป ระพฤติติตถยิ ปรวิ าส ถึง ๔ เดือน เมอื่ ลวง ๔ เดอื นแลว ภกิ ษุ
ทงั้ หลายพอใจจงึ จะใหบวชได.

๓. พุทธตั ถจริยา ทรงบําเพ็ญประโยชนแ กพทุ ธเวไนย คือผคู วรแกก ารตรัสรู แมจะอยใู นท่ี
ไกลแสนไกลกเ็ สด็จไปโปรด และแกผ ูตรัสรูแลว เชน ในเรื่องติตถิยปริวาสน้ัน นอกจากทรงยกเวน
แกพ ระญาตวิ งศข องพระองคแ ลว ทรงยกเวนแกผ ูบรรลุธรรมดวย ถาพระอรหนั ตอาพาธหนกั มัก
เสดจ็ ไปเยีย่ มและทรงแสดงธรรมบําบัดอาพาธให เชน คราวพระมหาโมคคัลลานเถระอาพาธหนกั
เสดจ็ ไปเยี่ยมและทรงแสดงโพชฌงคใ หฟ ง พระมหาโมคคัลลานเถระกห็ ายอาพาธ เหมอื นไดรับ
ทิพยโอสถฉะนัน้ .

เมือ่ ไดทราบพระพทุ ธจริยาในการบําเพญ็ ประโยชนเชนนแ้ี ลว เราพุทธศาสนกิ ชนก็ควร
เจรญิ รอยตามพระบาทยุคลของพระพุทธองคบ าง แตเรายังมีประโยชนตนเองท่ีตอ งบําเพญ็ อยูดวย
จริยาของเราจึงเปน ไปท้งั ในประโยชนต นเอง ทงั้ ในประโยชนผูอ ่นื ตลอดถงึ ประโยชนของโลกและ
ของพระพุทธศาสนา การบําเพ็ญประโยชนน ก้ี จ็ ะตองพิจารณาอยางรอบคอบ เหน็ วา จะไดผ ลคุม
กบั กาํ ลงั ทท่ี มุ เทลงไปจึงทํา ถา จะเกิดโทษในภายหลัง แมจะไดประโยชนบางในปจ จบุ ันก็ควรงด
การแนะนําวิธใี ชทิพยอาํ นาจบําเพ็ญประโยชนทขี่ าพเจา จะใหต อไปน้ี ก็จะอนวุ ัติตามเหตุผลนน้ั จะ
แนะนาํ เฉพาะวิธที ีม่ ีประโยชนจริงๆ ท้งั แกตนเอง ท้ังแกผ อู ื่น จะเวน วธิ ีทจ่ี ะนาํ ภัยพิบัติมาสผู ใู ช
ทิพยอํานาจ หากวาใครอุตรินําทพิ ยอาํ นาจท่ปี ลูกสรา งข้ึนตามวิธที ่ีขาพเจา แนะนาํ ไปใชในทางผิด
แลว ก็เปนการทําผดิ เฉพาะตัวผนู ้ัน ขาพเจาไมม ีสวนรับผิด เพราะมิไดจงใจหรอื แนะนาํ ทางนัน้ ไว.

การบาํ เพญ็ ประโยชน

(๑) ดานประโยชนตน.
(๒) ดา นประโยชนผ อู น่ื .
มีวิธีใชท ิพยอํานาจ ดงั ตอไปน้ี

๑. ดานประโยชนต น
ตนเองเปนแดนเกิดของประโยชนทั้งมวล ถาตนเองไมมคี ุณธรรมและสมรรถภาพ ตนก็ทาํ
ประโยชนผูอ ่ืน ประโยชนของโลก และของพระศาสนาไมไ ดอยูดฉี ะนัน้ ประโยชนตนเองจึงเปนส่ิง
ควรคํานงึ ถงึ กอ น แตคําวาประโยชนตนมีความหมายกวา งมาก จาํ เปนตอ งจาํ กัดความไวใ นท่ีนใี้ ห

ทิพยอาํ นาจ ๑๗๕

แนน อน เพอื่ ปอ งกนั ความเขาใจผิดในการบําเพญ็ ประโยชนตน คาํ วา ประโยชนต นตามความมงุ
หมายของขาพเจา หมายถงึ ผลดที ี่พึงทาํ แกต นโดยสว นเดียว ถา การใดสาํ เรจ็ ประโยชนแกตนใน
ปจ จบุ นั แตผลสะทอนของการกระทํานัน้ เปนผลรา ยแกต นในภายหลงั ในกรณเี ชนน้ีไมช ่ือวา
ประโยชนตน เพราะเปน อันตรายแกตนเอง ถาการใดสาํ เร็จประโยชนแกต นเองในปจจุบัน ผล
สะทอนของการนั้นในภายหลงั ก็เปน ผลดีแกต นดว ย ในกรณเี ชนน้ีชอื่ วา ประโยชนตนแทจริง การ
กระทําซง่ึ เปนผลสะทอ นในทางรายแกต นน้นั พึงทราบวาเปนการกระทบกระเทือนถึงประโยชน
ผูอื่น ทาํ ใหผอู ่ืนเสียหาย จึงไมจ ดั วา เปน ประโยชนตนจริง เพราะเปนไปเพ่ือพอกพูนภยั เวรแก
ตนเอง ถึงจะไดประโยชนปจจุบนั กไ็ มคุมกบั ผลรา ยอันจะเกดิ ข้ึนในภายหลัง จัดวาเปนการทําลาย
ประโยชนตนเสยี ดว ยซํ้า ฉะนั้น ควรเขา ใจใหถ ูกตองวาประโยชนตนตอ งเปนผลดีแกต นเอง ทงั้ ใน
ปจ จบุ ัน ทั้งในภายหนา ไมกระทบกระเทือนประโยชนผ อู ่ืน คือไมท าํ ลายประโยชนผ อู ืน่ ผูเจริญ
ทิพยอํานาจกช็ อ่ื วาบาํ เพ็ญประโยชนตนอยูแ ลว เมื่อยังไมสําเร็จถึงขั้นอาสวักขยญาณชอื่ วายังไม
สาํ เรจ็ อยา งสมบูรณ เปนภาระท่ีจะตองบาํ เพ็ญอยู สวนผูส ําเร็จทพิ ยอํานาจชั้นสงู สดุ แลว ชื่อวา
สําเร็จประโยชนต นอยา งสมบูรณแ ลว ภารกิจในการบาํ เพ็ญประโยชนต นก็ระงบั ไป ยังมีแตภ ารกจิ
ในการบําเพญ็ ประโยชนผ ูอ ่นื ทต่ี องทําดวยความกรุณา และดว ยมุงสนองบชู าคณุ ตามวสิ ยั ของคนดี
ผลสะทอนจากการบําเพญ็ ประโยชนผูอนื่ น้ัน ถึงจะเปนความดีแกตนก็มิใชผลมุง หมายโดยตรง เปน
เพยี งผลพลอยไดข องการทาํ ประโยชนเทานน้ั ในดานประโยชนต นน้ี ขาพเจา มุง แนะนําผทู ่ียังมี
ภารกจิ ในการบาํ เพญ็ อยเู ทานัน้ ฉะนั้นจะไดใ หคําแนะนาํ ไว ดงั น้ี

วธิ ใี ชทิพยอํานาจคุมครองตน

(๑) โลกนบี้ ริบูรณด ว ยภยั นานาชนิด ผูเกิดมาในโลกน้ี จงึ เทา กบั ตกอยูท า มกลางภัย คน
โบราณท่รี ูเรอ่ื งโลกดีถึงกบั ขนานนามโลกนว้ี า โลกมาร ผจู ะไดน ามวาอัจฉรยิ บุคคลกเ็ พราะผจญ
มารไดช ัยชนะ สามารถบําเพญ็ ประโยชนสําเรจ็ ทั้งที่เปนประโยชนตน ท้งั ทีเ่ ปนประโยชนผอู ่ืน
ตลอดถงึ ประโยชนแ กโลกท้ังสิ้น ถา จะพดู ใหถกู ตอ งเรยี กโลกนีว้ า สนามผจญภัย ยอมเหมาะท่สี ุด
ภัยในโลกนีม้ หี ลากหลาย เม่อื ประมวลใหส้นั มี ๔ ประเภทคอื

ก. ภัยธรรมชาติ ไดแกภยั อันเกิดมีอยโู ดยปกติธรรมดา เชนเกิดจากดินฟา อากาศวิปรติ
เกิดแตความเปลีย่ นแปลงของสังขาร ฯลฯ ภยั ชนิดนี้เปน ภยั เหนอื อํานาจ แตก ม็ ที างปองกนั ไดบ า ง.

ข. ภยั พาล ไดแกภ ยั อันเกดิ จากคนอนั ธพาล คนจาํ พวกนส้ี ันดานหยาบ มีนิสยั ไมอนุโมทนา
ในการทาํ ดขี องผูอ ่นื ชอบขัดขวางตัดรอนการบําเพญ็ ประโยชนของผอู น่ื มกี ารกลาวเสียดสี กลา ว
เยาะเยย กลา วถากถาง ทาํ รา ยดวยพลการ หรอื ดว ยอาํ นาจในเมอ่ื เขามอี าํ นาจ ภัยประเภทน้กี ็พอ
มีทางหลีกเลี่ยงไดบ า ง แตถ า หลกี ไมพ นก็ตอ งผจญดวยความอดทนทส่ี ุด และดว ยวิธีอันแยบคาย
ซ่งึ จะไดแนะนําในท่ีนี้.

ค. ภัยมาร ไดแ กภ ัยอันเกดิ จากมารใจบาป มารนี้หมายถึงเทพเจาจําพวกหนึง่ ซ่งึ มนี ิสยั
สันดานริษยา ไมอยากใหใครไดดยี ง่ิ กวา ตัว โดยมากเปน ผูพ ล้งั พลาดในการสรางบารมี เกรงวาคน
อื่นจะเกนิ หนา ตนไป จึงคอยขัดขวางการสรางบารมีของคนอื่นเสมอ ถาจะทาํ ประโยชนเ พยี งช้ัน

ทิพยอํานาจ ๑๗๖

ตาํ่ เขาจะไมข ดั ขวาง เพราะยังอยใู นอํานาจของเขา แตถา จะทําประโยชนอยางสงู เพอ่ื ออกจากโลก
เขาจะขดั ขวางเต็มท่ี ภยั ประเภทน้ีจะตองผจญดว ยความฉลาดทสี่ ดุ .

ฆ. ภยั เวรกรรม ไดแกภัยอันเกิดจากเวรกรรมของตนเอง ถามันใหผลสบื เนอ่ื งกนั มาแลว
หลายชาติมนั ยงั ไมส นิ้ กระแสลง ยอ มเปน ภัยที่หลีกไมพ น ถามันยังไมท ันใหผ ล มที างปอ งกันได ดัง
จะแนะนําตอ ไปน้ี

ในการคุม ครองตนเพ่ือใหพนภัยดงั กลา วน้ี มีวิธีปฏบิ ัติดังน้ี
ก. มีสตคิ มุ ครองอินทรยี เ สมอ ปองกันมใิ หเกดิ บาปอกศุ ลขน้ึ ครอบงําใจ ทําใจใหผอ งใสไว
เปนนิตย ใหเหมอื นกระจกเงาทขี่ ัดดีแลว ฉะนั้น.
ข. มปี ญ ญาพจิ ารณาเหตุผลตน ปลายของสง่ิ ทง้ั หลายเปน นิตย พจิ ารณาดแี ลวจงึ เสพ
พจิ ารณาดีแลว จึงรบั พจิ ารณาแลวจึงบรรเทา พิจารณาดแี ลวจงึ เวน ทําใหปญ ญาเปนเหมอื น
กองทพั พิทกั ษรักษาตวั เปนนติ ย.
ค. เจรญิ เมตตาฌานเปนนิตย ทงั้ กลางวันกลางคนื แผกระแสจิตประกอบดว ยเมตตาไปยงั
สรรพสัตวทุกถว นหนาทั่วโลกธาตุ อยาใหจ ิตมีความรูสกึ วามศี ัตรูแตท่ไี หนๆ ใหร สู กึ วามีมิตรรอบ
ดานอยูเสมอ.
ฆ. เจริญอสภุ ฌานบอยๆ เพ่อื ปองกนั บวงมาร เพราะมารชอบใช รปู เสียง กลน่ิ รส และ
โผฏฐพั พะเปน บว งเครอื่ งผูกมดั เสมอ.
ง. มขี นั ติ ความอดทนอยางดียง่ิ เยยี่ งขันติวาทีดาบส ในสมยั ดึกดาํ บรรพฉะนั้น.
จ. อยา เปด โอกาสใหเวรกรรมไดช อ งใหผล เมื่อรสู ึกตนวา มเี วรกรรมไดทาํ มาแลว จงม่นั ใน
ศลี ธรรมยง่ิ ขึน้ ทุกขณะ ทาํ ใจใหเปน ศีลธรรมทุกเมือ่ อกศุ ลเวรกรรมจึงจะไมไดช องใหผล อาจผอน
บรรเทาเวรกรรมเกา ท่ีใหผลสบื ตอ อยูนั้นใหเบาบางไป หรอื เลิกใหผ ลเลยก็ได.
ฉ. เขาสมาธิประกอบดว ยองค ๕ ดังกลา วไวใ นวิธรี ักษาทพิ ยอาํ นาจนน้ั เสมอ จะทาํ ใหแ คลว
คลาดจากภัยอนั ตรายทุกประการ.
ช. เจรญิ วปิ ส สนา เฉพาะอยางยิ่งคือ สญุ ญตานปุ สสนาเปน นิตย ใหเห็นทุกสิง่ วา งโปรง
เหมอื นอากาศเสมอไป เปนวธิ ปี องกันภัยอยา งดเี ยยี่ ม ภยั อันตรายเขา ไมถึงตัวไดเลย.
เมื่อปฏบิ ตั ิตามวธิ ที ่ีกลา วมานี้ไดท กุ ๆ ประการ เปนอนั หวังความปลอดภยั ไดแนนอน
ทีเดียว.
(๒) วธิ ีใชท ิพยอาํ นาจกําจดั ภยั อันตรายแกต น เม่ือภัยอนั ตรายไดชอ งเกิดขึ้นแกตนแลว พงึ
ปฏิบัติบรรเทาภัยอนั ตรายนั้นๆ โดยวิธอี ันแยบคาย ดังตอ ไปนี้
ก. กําจดั ภยั ธรรมชาติ ใชฤทธิ์ปชชลกิ ภาพเผาตวั หรอื เพงแผดเผากายใหเ กิดความอบอุน
ท่วั ตวั หรอื ใชอ ากาสกสณิ เพงขยายใหท ว่ั บรเิ วณทอี่ ยู ในเม่ืออยใู นทอี่ ากาศทบึ หายใจฝด ซึ่งอาจ
เกดิ โรคภัยไขเ จบ็ ขนึ้ ได.
ข. กําจัดภยั พาล ใชเมตตาฌานเปน ดีท่สี ุด เม่ือรูวา ใครเปนพาลชอบเกะกะระรานแลว พึง
พงุ กระแสจิตประกอบดวยเมตตาไปยงั ผนู ั้น จะทําใหเขาเกิดใจออ นโยนลง และเลิกการเปน พาล

ทิพยอาํ นาจ ๑๗๗

หันมาเปนมติ รได หากจะใชฤทธอิ์ ยางอน่ื บางกไ็ ดใ นเม่อื จาํ เปน ตองพจิ ารณาเอาเองวา ควรใชฤทธิ์
ชนดิ ไหน ใหเหมาะสมกับเหตุการณ.

ค. กําจัดภัยมาร ใชอ สุภฌานแกค วามกําหนัดในเม่ือมผี ูเกดิ กําหนดั ในตน หรือตนเกิด
กําหนดั ในผอู นื่ จะเพงตนหรอื คนอ่ืนใหเ ปนอสุภะยอ มไดท ัง้ สองประการ สามารถบรรเทาความ
กําหนัดไดอ ยา งดยี ง่ิ ถา เกิดภยั มารอยางรายแรงพงึ ใชส ญุ ญตานปุ ส สนาพจิ ารณากายใหเ หน็ วา ง
เปลา เปนอากาศไป หรอื จะใชฤ ทธป์ิ ระการใดประการหนง่ึ อนั เหมาะสมกับเหตุการณก ็ได.

ฆ. กําจดั ภัยเวรกรรม เมื่อเกดิ ภยั เวรกรรมขึ้น พึงใชความอดทนอยา งดีเยี่ยม อยายอมให
ใจเหออกนอกทางศีลธรรม อยาทํากรรมเวรสบื ตอ ใหย ืดยาว ทําใหม ันส้นิ ลงเสยี เพียงแคน้ันเปนดี
ท่สี ุด และพงึ แผก ศุ ลผลบุญไปยังผเู ปนเจา กรรมนายเวรเนอื งๆ เพอื่ ใหเ ขาใจออ นเลกิ จองกรรมจอง
เวรกันตอ ไป.

ในการกําจัดภัยอันตรายน้ี เม่ือจะใชวธิ ีใดๆ พึงพิจารณาใหแนน อนในใจเสียกอ นวา จะไดผ ล
หรอื ไม เม่อื ไดค วามแลวจึงใชวิธีนัน้ ๆ ตอ ไป.

(๓) วธิ ีใชทพิ ยอํานาจบําบดั อาพาธแกต นเอง เมือ่ เกิดอาพาธขึน้ พึงพจิ ารณาหาอบุ าย
บาํ บดั อาพาธ เมื่อไดอบุ ายอยา งใดพงึ ใชอ บุ ายน้ันบาํ บัด กจ็ ะระงับได เวน แตอ าพาธอนั เกดิ จากเวร
กรรม เมอื่ กระแสกรรมยังไมสิ้นสุดลง อาพาธยงั ไมระงับ เม่ือพจิ ารณาไดค วามวา อาพาธเกดิ จาก
เวรกรรมอะไรแลว พงึ ปฏบิ ตั ใิ นทางระงบั เวรกรรมดงั กลา วในขอ (๒) ฆ. อาพาธกอ็ าจระงับ หรอื
บรรเทาลงไดมาก วิธีทัว่ ไปสาํ หรบั บาํ บดั อาพาธ คือ เขาฌานเปนอนโุ ลมปฏิโลมหลายๆ เที่ยว
หรอื เขา ฌานแบบสมาธปิ ระกอบดว ยองค ๕ ดังกลา วไวใ นบทที่ ๑๓ ตอนวา ดวยการรักษาฌานกไ็ ด
และตอ งปลกุ กําลังใจใหแข็งแรงทีส่ ดุ ตองนกึ วา ตนเองแข็งแรงไมเจ็บปวยอยูเ สมอ.

(๔) วิธีใชอ ํานาจระงบั กิเลสของตน กเิ ลสเปนภัยอนั ตรายภายในทส่ี าํ คัญที่สุด ย่งิ กวาภยั
ใดๆ ตอ งปฏิบตั ิในทางปองกันไวเ ปนดีทีส่ ดุ วิธีปอ งกันภยั ชนดิ นกี้ ็ไดแกขอสมั มาปฏิบตั ทิ ัง้ ปวง
ดังกลา วไวในบทท่ี ๓-๔ นั่นแลว แตถ าหากมันเกิดขึน้ โดยทีป่ อ งกนั ไมท นั ก็พึงบรรเทากิเลสนั้น
ดวยขอ สมั มาปฏิบตั ิตรงกันขา มเสมอไป ทาํ นองหนามยอกเอาหนามบง เชน ราคะเกิดข้ึน พึงเจริญ
อสภุ ฌาน โทสะเกดิ ขึ้นพึงเจริญเมตตาฌานเปน ตน กเิ ลสนั้นๆ ก็จะระงับไป อยาปลอยไวนานจะ
ละยาก เมื่อมันเกิดขน้ึ ตอ งรีบแกไขทันที แลวตองสงั วรไวใหด .ี

๒. ดานประโยชนผ ูอนื่
ผูอ่นื หมายภายนอกตัวเองออกไป จะเปนคนสตั ว ภตู ผี ปศ าจ หรือเทพเจา กต็ าม เรียกวา
ผูอ น่ื สนิ้ ประโยชนใ ดเปนไปเพอื่ ความสุขสวัสดีแกผ ูอื่นน้ัน ประโยชนน ั้นเรียกวาประโยชนผูอ่ืน
การบําเพ็ญประโยชนเ พอ่ื ผูอ่ืนกค็ อื ประกอบกิจการหรือประพฤติการอนั จะเปน ผลสะทอนกลับมา
หาตนกเ็ พยี งเลก็ นอย ไมคุม กบั กําลงั และเวลาทที่ ุมเทลงไป การบําเพ็ญประโยชนผูอ่ืนนี้ตรสั
สรรเสริญและทรงแนะนาํ ใหบําเพญ็ แตถ า ทาํ แตป ระโยชนผ ูอนื่ ละเลยประโยชนของตนกท็ รงติ
เตยี น เพราะเขาผูน้นั จะทาํ ลายตัวเอง และผลทส่ี ดุ กจ็ ะทําลายผูอ่นื ดวย จงึ ทรงแนะนําใหบาํ เพญ็
ประโยชนอ นั จะสําเร็จผลดที ้ังแกต นทงั้ แกผูอ่นื เปนการทาํ ท่มี ีผลไพศาล คือการประพฤติสจุ ริต

ทพิ ยอํานาจ ๑๗๘

ดวยกาย วาจา ใจ และชกั ชวนผอู ืน่ ในการประพฤติสุจรติ นัน้ โดยวิธีน้ีตนเองก็ไดป ระโยชน ผูอนื่ ก็
ไดรับประโยชนด ว ย ไมเ สยี ผลทัง้ สองฝา ย ผมู ปี ญ ญาชอบบาํ เพญ็ ประโยชนชนิดน้ี แตยังมี
ประโยชนบางอยางซ่งึ ตนเองจะตอ งเปนผเู สียสละฝา ยเดียว ผอู ่นื เปน ผูไดรับผล ในกรณเี ชน นี้ทรง
แนะนาํ ใหพ จิ ารณาดวยปญ ญา ถา เห็นวา จักไมเ ปนไปเพอื่ ทําลายประโยชนของตนก็พึงทําตาม
กาํ ลงั ความสามารถ แตถาเปนไปเพื่อทาํ ลายประโยชนต นเองแลวไมควรทํา ท้งั น้ีมใิ ชสอนใหเ ปน คน
ใจแคบ แตทรงสอนใหเปนคนมีประโยชน รจู กั ทาํ ประโยชนไมใ หทาํ ลายประโยชนใดๆ เมือ่ ได
ทราบลกั ษณะประโยชนผ อู ่ืน และหลักการบาํ เพ็ญประโยชนผูอืน่ เชนนี้ พงึ ทราบวธิ กี ารดงั ตอ ไปน้ี

(๑) วธิ ีใชท ิพยอํานาจคมุ ครองผอู น่ื
ในกรณที ่ีผอู ืน่ ไมสามารถจะคุมครองตนของเขาใหป ลอดภัยได ถาเราเปนผูส ามารถปองกัน
ภัยไดแ ละเมตตากรุณาแกเขาก็พึงทําการคุมครองเขาดว ยทพิ ยอาํ นาจประการใดประการหนึง่ เชน
ก. ทาํ ฤทธก์ิ ําหนดเขตปลอดภัยแกเ ขา.
ข. ทําฤทธ์อิ ธษิ ฐานวัตถใุ หเ ปนเครื่องคุม กันภัยแกเขา.
ค. แนะนําใหเ ขาระลกึ ถึงพระรัตนตรัย และตนซ่ึงเปนสว นหนึ่งของพระรัตนตรยั ในเวลา
หวาดระแวงภยั .
ฆ. ทาํ ฤทธิด์ ว ยเมตตาพลกรุณาพล หรอื ประการอ่นื ๆ ปกคลุมไปคมุ ครองเขาในเมือ่ จําเปน.

(๒) วธิ ีใชท ิพยอาํ นาจบรรเทาภยั แกผ อู นื่
ในกรณที ผี่ ูอ ่นื ประสบกับภยั อันตรายอยา งใดอยางหนึ่ง เมอ่ื เราเมตตากรณุ าเขาอยู และมี
สมรรถภาพพอจะชว ยได ก็พึงชวยดวยทิพยอาํ นาจประการใดประการหนึง่ ซ่ึงเหมาะสมกบั กรณี
นัน้ ๆ เชน
ก. ทําฤทธ์กิ าํ จดั ภัย ในเมื่อเหน็ วาจาํ เปน ตองทาํ เพราะจะปฏบิ ตั โิ ดยวธิ ีอนื่ ใดไมสําเร็จ.
ข. ทาํ บุญอทุ ิศ หรอื อุทิศบุญท่ีมีอยูแ ลว ไปใหแกเขา ผกู ําลงั ตกทุกขไดย ากอยูในปรโลก ให
พนทุกขยากไป.
ค. ใหคําแนะนําสง่ั สอนอนั ศักดิ์สทิ ธ์ิ เหมาะสมกับภัยทเี่ ขาผจญอยนู ้ัน ใหเขาเกิดกาํ ลังใจ
ตอ สูกบั ภยั ดว ยธรรมกิ อบุ าย และแผกระแสจติ ประกอบดว ยอานุภาพไปชว ยเขาตามสมควร.
ฆ. ถาเขาเปนผมู ที พิ ยอํานาจพอจะขจัดภัยแกต ัวเองไดอ ยู หากไมฉ ลาดในวิธใี ช พึงแนะ
อปุ เทศแหง ทพิ ยอํานาจแกเ ขาตามควร.

(๓) วธิ ีใชทิพยอาํ นาจบาํ บดั อาพาธผอู น่ื
ในกรณีทผ่ี อู ืน่ เกดิ อาพาธทพ่ี อเยยี วยา หรือผอนบรรเทาทกุ ขเวทนาได กพ็ งึ ชวยเหลอื ตาม
สมควรแกก รณี เชน
ก. เขาสมาธขิ ั้นปต สิ ขุ ภูมิ แลว แผกระแสปต สิ ขุ นั้นไปให หรือทําอธิษฐานฤทธิ์ก็ได.

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๗๙

ข. ถา เปนผมู กี าํ ลังใจ ไดเ คยซาบซง้ึ ในพระธรรมอยูแ ลว แสดงธรรมอันวิเศษใหฟ ง กบ็ รรเทา
ได.

ค. ผอู าพาธเปนผทู ่คี วรสงเคราะหโดยประการทงั้ ปวง พงึ เพง ใหเกดิ เปนทิพยโอสถขน้ึ แลว
ใหเขาใชอ าบกิน.

(๔) วธิ ใี ชทิพยอาํ นาจปลกู ศรัทธาในศีลธรรมแกผ อู น่ื
ในกรณชี วยเหลอื ผอู ื่นใหเ กิดศรัทธาเชื่อม่ันในศีลธรรมน้ัน นอกจากการใหค าํ แนะนําสัง่
สอนตามธรรมดาแลว ในบางกรณจี ะตอ งอาศยั ทพิ ยอํานาจเขาชว ยจงึ จะสําเรจ็ ผล เพราะบางคน
มีทฏิ ฐมิ านะกลา ถาไมเ ห็นคณุ นาอัศจรรยประจกั ษต า เขาจะไมเชือ่ ถอื ถอยคาํ ในการแนะนําส่ัง
สอน แตถา เขาไดเหน็ คณุ นา อัศจรรยแ ลว เขาจะเช่ือถือถอยคาํ ในการแนะนาํ ส่งั สอนอยางดียงิ่
และทาํ ใหเ ขาม่ันใจในศีลธรรมวา เปนส่ิงดีวเิ ศษกวาสิ่งใดๆ เม่ือเขามัน่ ใจในศลี ธรรมยิง่ ๆ ข้ึนในกรณี
ทตี่ อ งใชทพิ ยอาํ นาจนต้ี อ งพจิ ารณาโดยรอบคอบวา ควรใชท พิ ยอํานาจชนิดใดดวย อยา สักวา มี
อาํ นาจใชก ็ใชไ ปทีเดยี ว เพราะถาใชไมถ กู วธิ ีก็อาจกลับเปนรา ยได และตอ งสงั วรใหม าก อยาใชพราํ่
เพรอ่ื จะนาํ อนั ตรายมา.
อนงึ่ นาค ยกั ษ คนธรรพ ปศ าจ เปรต บางจําพวกมฤี ทธ์แิ ละโหดราย ถาไมใ ชฤทธ์ิทรมานก็
ยอมไมสําเรจ็ อยดู ี ในกรณีทาํ ฤทธิ์ทรมานพวกน้ีพึงพิจารณาดูฤทธ์ิอันจะปราบเขาได เชน นาค ตอ ง
ใชฤทธิส์ องประการทรมาน คอื ธมายิกภาพ กับ ปชชลิกภาพ นอกนั้นเพยี งเมตตาฌานก็อาจ
ทรมานได ถาใชเมตตาไมลงจึงคอยใชฤทธ์อิ ่ืนๆ ตอ ไปตามสมควร เม่อื ทรมานลงแลว ตอ งส่งั สอน
ใหดาํ รงอยใู นพระไตรสรณคมนแ ละศีล ๕ ประการ เสมอไปทุกครง้ั อยาทรมานปลอ ย จะได
ประโยชนน อ ย.

จบ.

ทพิ ยอาํ นาจ ๑๘๐


Click to View FlipBook Version