The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือสมถะวิปัสสนากรรมฐาน

สมถะ-วิปัสสนากรรมฐานจากพระไตรปิฎก : ตามแนวพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับตามแนว-ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถร (สุก ไก่เถื่อน)

มาจาก พระคัมภีร์กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ฝ่ายเถรวาท ซึ่งถือตามคติที่พระอรหันต์พุทธสาวก ที่ได้วางหลักพระธรรมวินัย และธรรมปฏิบัติเป็ นแบบแผนไว้เมื่อครั้งตติยสังคายนา และนับถือแพร่หลายมาในประเทศ ไทย พม่า ลังกา ลาว และกัมพูชา เป็นของเก่า สืบทอดต่อมาโดยสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน) วัดราชสิทธาราม แต่ได้มาอธิบาย พระกรรมฐานของเก่าขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย และเพิ่มศรัทธา ให้มีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรม ของเก่าดั่งเดิมกันมากขึ้น เป็นการจรรโลงการปฏิบัติธรรมของเก่ามิให้ เสื่อมสลาย สูญสิ้นไป

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kindness Dharma Foundation, 2020-06-16 19:39:03

คู่มือสมถะ-วิปัสสนากรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับ

คู่มือสมถะวิปัสสนากรรมฐาน

สมถะ-วิปัสสนากรรมฐานจากพระไตรปิฎก : ตามแนวพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับตามแนว-ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถร (สุก ไก่เถื่อน)

มาจาก พระคัมภีร์กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ฝ่ายเถรวาท ซึ่งถือตามคติที่พระอรหันต์พุทธสาวก ที่ได้วางหลักพระธรรมวินัย และธรรมปฏิบัติเป็ นแบบแผนไว้เมื่อครั้งตติยสังคายนา และนับถือแพร่หลายมาในประเทศ ไทย พม่า ลังกา ลาว และกัมพูชา เป็นของเก่า สืบทอดต่อมาโดยสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน) วัดราชสิทธาราม แต่ได้มาอธิบาย พระกรรมฐานของเก่าขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย และเพิ่มศรัทธา ให้มีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรม ของเก่าดั่งเดิมกันมากขึ้น เป็นการจรรโลงการปฏิบัติธรรมของเก่ามิให้ เสื่อมสลาย สูญสิ้นไป

คู่มอื สมถะ-วปิ สั สนากรรมฐานมชั ฌมิ า แบบลาดบั

สมเดจ็ พระสงั ฆราชญาณสงั วรมหาเถรเจา้ (สกุ ไกเ่ ถอื่ น)

วัดราชสทิ ธาราม ราชวรวหิ าร(พลบั ) บางกอกใหญ่ กรงุ เทพฯ

พมิ พเ์ พอื่ เฉลมิ พระเกียรติ ๘๐ พรรษามหาราชา ปมี หามงคล ๒๕๕๐

คู่มอื สมถะ-วปิ สั สนากรรมฐาน มชั ฌิมา แบบลาดบั
ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถรเจ้า (สุก ไกเ่ ถอ่ื น)
วัดราชสทิ ธาราม ราชวรวิหาร (พลบั ) กรุงเทพฯ
พระครสู งั ฆรักษ์วีระ ฐานวีโร รวบรวม เรยี บเรียง






คานา

พระสมถะ-วปิ ัสสนากรรมฐานมชั ฌมิ าแบบลาดับ ข้าพเจ้าไดร้ วบรวม และเรยี บเรยี งมา

จาก พระคัมภีรก์ รรมฐานมชั ฌมิ า แบบลาดับ ฝา่ ยเถรวาท ซ่ึงถอื ตามคติทพ่ี ระอรหนั ต์พุทธ

สาวก ที่ได้วางหลกั พระธรรมวนิ ยั และธรรมปฏบิ ัติเป็นแบบแผนไว้เมอ่ื ครงั้ ตตยิ สังคายนา และ

นับถือแพร่หลายมาในประเทศ ไทย พมา่ ลงั กา ลาว และกมั พูชา เป็นของเก่า สบื ทอดต่อมาโดย

สมเด็จพระสังฆราชญาณสงั วร (สุก ไก่เถ่อื น) วดั ราชสทิ ธาราม แตไ่ ด้มาอธบิ าย พระกรรมฐาน

ของเกา่ ขึน้ ใหม่ เพ่อื ให้ผอู้ า่ นเขา้ ใจง่าย และเพมิ่ ศรัทธา ใหม้ ผี ู้เข้ามาปฏิบัติธรรม ของเก่าดง่ั เดิม

กนั มากข้นึ เปน็ การจรรโลงการปฏิบัตธิ รรมของเก่ามใิ ห้ เสือ่ มสลาย สูญสิน้ ไป

สมดงั ปณธิ าน ของสมเดจ็ พระสังฆราช ไกเ่ ถอื่ น และพระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หล้า

นภาลยั ท่ไี ดท้ รงกระทาสงั คายนาพระกรรมฐานมัชฌมิ า ภาคปฏิบตั ิเอาไว้ ตั้งแต่ปพี ระ

พุทธศักราช ๒๓๖๔

พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลาดับนี้ เป็นของเก่าเล่าเรียนปฏิบัติ สืบต่อกันมาช้านาน แต่

คร้ังพุทธกาลโดยพระราหุลเถรเจ้า ทรงเป็นต้นสาย สืบต่อมา ถึงคร้ังตติยสังคายนา นาเข้ามาสู่

ลังกา และนาเข้ามาสู่สุวรรณภูมิ โดยพระโสณเถรเจ้า พระอุตระเถรเจ้า พระองค์ท่านได้นา

พระพุทธศาสนาเข้ามาเผยแพร่ในดินแดนสุวรรณภูมิ พร้อมพระสมถะ-วิปัสสนากรรมฐาน

มชั ฌมิ า แบบลาดบั ผา่ นยุคผา่ นสมัยเรอ่ื ยมาจนถงึ ยคุ ศรที วารวดี

ตอ่ มาประมาณปีพระพทุ ธศักราช ๖๐๙–๖๕๓ พระอปุ ติสสะเถรเจ้า แห่งลังกาทวีป ได้

นาเอาพระกรรมฐานมชั ฌิมา แบบลาดบั ซึง่ เปน็ พระกรรมฐาน ภาคปฏิบตั ิ อันทรงจาสืบกนั มา

นามาแต่งจารกึ ลงเปน็ อักษร เรยี งลาดับ เรียงหมวดหมู่พระกรรมฐานไวเ้ ป็นภาคปริยัติ เรียกวา่

คมั ภรี ์วิมุตติมรรค เพอื่ ให้ผปู้ ฎิบตั ิพระกรรมฐานมชั ฌมิ า แบบลาดบั มาแล้ว ได้ศกึ ษาหาความรู้

ภาคปรยิ ตั ิต่อไป

ตอ่ มาประมาณปีพระพุทธศกั ราช ๙๕๖ พระพุทธโฆสะ ได้นาคัมภีรว์ ิมตุ ตมิ รรค มาแต่ง

เป็น พระคมั ภีรว์ สิ ทุ ธมิ รรค เพื่อแสดงปญั ญา ใหไ้ ดม้ าซ่งึ คมั ภีร์อรรถคาถา

แตก่ ารบอกพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลาดบั ยังคงบอกตอ่ ๆกันมา ในภาคปฏิบตั ิ และ

จาสืบกันมาเร่อื ยๆ เพ่ือป้องกนั การชี้นา และเกดิ อุปาทาน และจิตหลอน จงึ สืบต่อมาจนถึงยุคศรี

ทวารวดี ยุคสุโขทยั ยคุ อยุธยา และยคุ รัตนโกสินทร์

ในยคุ รัตนโกสนิ ทร์น้ีเอง พระสมถะ-วิปสั สนากรรมฐานมชั ฌิมา แบบลาดับ ไดเ้ ริม่

เส่ือมถอยลงเรอ่ื ยๆ ประมาณปีพระพทุ ธศกั ราช ๒๓๖๔ พระสงฆ์ สามเณร



ปะขาว ชี เรม่ิ ประพฤติปฏิบตั พิ ระกรรมฐานมัชฌมิ า ออกนอกลู่ นอกทาง ของการปฏิบัตพิ ระ
กรรมฐานมชั ฌมิ า แต่ก่อนมา ไมป่ ฏิบตั ิเป็นข้ัน เป็นตอน ทาใหพ้ ระพุทธศาสนาภาคปฏิบัติ
คอ่ ยๆเสอ่ื มถอยลง

ต่อมาลน้ เกล้าฯรชั กาลท่ี ๒ จงึ ได้ใหช้ มุ นมุ พระสงฆ์ วปิ ัสสนา-พระกรรมฐานมชั ฌมิ า
มารว่ มกนั ทาสงั คายนาพระกรรมฐานมชั ฌิมาไว้ และทรงแต่งตงั้ ภกิ ษุ ไปเปน็ พระอาจารย์
บอกพระสมถะ-วปิ ัสสนากรรมฐานมัชฌมิ า แบบลาดบั ตอ่ จากน้นั สมถะ-วปิ ัสสนานากรรมฐาน
มชั ฌมิ า แบบลาดบั จึงได้มีมาจนทุกวนั น้ี ซ่งึ บางสมัยกเ็ จริญ บางสมัยก็เส่ือม โดยความไมร่ ู้
ท่ัวถงึ จงึ ต้องมีการฟนื้ ฟู ผดงุ รักษา พระกรรมฐานมชั ฌิมา แบบลาดบั ไว้

ฉะน้ัน โบราณจารย์ พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลาดับ แตป่ างก่อนท้งั หลาย จงึ ได้กล่าว
เปน็ คติพยากรณถ์ ึงการรักษาแบบแผน การปฏิบัติพระกรรมฐานมชั ฌมิ า แบบลาดบั ไว้เป็น ๓
คาบว่า

ลัชชี รกั ขิสสติ ภิกษลุ ัชชีจกั รกั ษา ลชั ชรี ักขสิ สติ ภิกษุลัชชีจกั รักษา ลัชชีรักขิสสติ
ภิกษลุ ชั ชีจกั รักษา ดงั เช่น..หลวงปู่สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถรเจ้า (สุก ไกเ่ ถื่อน)
ดงั นี้ เป็นตน้

พระครสู งั ฆรกั ษ์วรี ะ ฐานวโี ร
คณะ ๕ วดั ราชสิทธาราม

โทรศพั ท์-โทรสาร ๐-๔๖๕-–๒๕๕๒, ๐๘๙- ๓๑๖-๒๕๕๒



พระคาถาน่งั พระธรรม
มนุ นิ ทะ วะทะ นมั พชุ ะ คัพภะ สมั ภะวะ สนุ ทะรี
ปาณีนงั สะระณงั วาณี มัยหงั ปิณะยะตัง มะนงั
ข้าพระพทุ ธเจ้าขออาราธนานางฟ้า คอื พระไตรปฎิ ก ผู้มีรปู อันงาม เกดิ แตห่ อ้ งปทุมชาติ
คอื พระโอษฐ์ ของพระพทุ ธเจ้า ผูเ้ ป็นใหญก่ ว่านกั ปราชญ์ทง้ั หลาย มะนัง ขอจงมาสู่มโน
ของข้าพเจา้ ขา้ พเจ้าจะปฎบิ ัติละเสียซง่ึ อาสวะกิเลส ท่ีดองอยใู่ นขนั ธ์สนั ดานของข้าพเจา้ ท้งั
อยา่ งหยาบ อยา่ งกลาง อย่างละเอียด ให้สน้ิ ไป เสอื่ มไป ข้าพเจา้ จะไมท่ าใหเ้ ป็น อัตตกิลมตั
ถานุโยค ไม่ใหล้ าบากแกส่ ังขารฯ

พุทธังชีวติ ตงั ยาวะนิพพานัง สะระณงั คจั ฉามิ
ธมั มังชีวติ ตัง ยาวนพิ พานัง สะระณังคัจฉามิ
สังฆงั ชีวิตตงั ยาวะนพิ พานงั สะระณังคัจฉามิ
ขา้ พเจา้ ขออาราธนา พระพทุ ธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจา้ จงมารับเคร่อื งสกั การะ
ของข้าพเจา้ ในกาลบัดน้เี ถิด ฯ





สารบญั
กรรมฐานมัชฌิมา แบบลาดบั

ขั้นตอนการปฏบิ ตั พิ ระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลาดับ.........................................................................๑๖
ตอนสมถะภาวนา ..................................................................................................................................... ๑๖
อรปู กรรมฐาน (สอบสภาวธรรม) ........................................................................................................ ๑๗
วปิ ัสสนากรรมฐาน มชั ฌิมาแบบ ลาดบั ............................................................................................. ๑๗

เครอื่ งสกั การะพระรตั นตรยั ....................................................................................................................... ๑๗
บททาวตั รพระ................................................................................................................................................๑๘
อธบิ ายบททาวตั รกรรมฐาน........................................................................................................................ ๒๐
คาปรยิ ายขน้ึ ธรรม.........................................................................................................................................๒๑
อธิบายพระคมั ภีร์เทศ ข้นึ ลาดับธรรม .......................................................................................................๓๓
คากลา่ วขอขมาโทษ......................................................................................................................................๓๓
พระพทุ ธเจา้ ตรสั การศกึ ษาตามลาดบั .....................................................................................................๓๓
ลาดบั การต้งั สมาธจิ ติ ในหอ้ งพระพทุ ธคุณ ..............................................................................................๓๔
คาอาราธนาพระกรรมฐาน ..........................................................................................................................๓๔
คาอธบิ ายเวลากาหนดจิต............................................................................................................................. ๓๖

อธบิ ายคาอาราธนาสมาธินมิ ติ .............................................................................................................. ๓๖
วิธีน่งั เข้าทภ่ี าวนา..........................................................................................................................................๓๗

กอ่ นนงั่ สมาธิภาวนาพึงสาเหนยี กในใจกอ่ นวา่ .................................................................................๓๘
หลังเลิกนั่งภาวนา....................................................................................................................................๓๘
วิธแี จง้ พระกรรมฐาน..............................................................................................................................๓๘
ลาดับแหง่ การเจรญิ สมาธิ ..................................................................................................................... ๓๙
ปรากฏการณเ์ ม่ือจติ เป็นสมาธสิ งบดแี ลว้ ........................................................................................... ๓๙
คัมภีร์พระสุตตันตปฎิ ก มชั ฌมิ นกิ าย อปุ รปิ ณั ณาสกสูตร.....................................................................๔๐
อุปกเิ ลส ๑๑ ประการ ...................................................................................................................................๔๓
พระกรรมฐาน สาหรบั ฝกึ ตง้ั สมาธิ............................................................................................................๔๔
อารมณข์ องพระปตี ิธรรม ๕ ประการ .......................................................................................................๔๔
ลาดบั ขั้นตอนการน่ังภาวนา พระปตี ิ ๕ ..............................................................................................๔๔



พระปติ เิ จา้ ทง้ั ๕ จดั เป็นธาตุ........................................................................................................................๔๖
อารมณข์ องพระยคุ ลธรรม ๖ ประการ ................................................................................................๔๗

ขน้ั ตอนการนง่ั พระยุคลธรรม ๖ ................................................................................................................๔๗
พระยคุ ลธรรมทัง้ ๖ ประการ จดั เป็นธาตุ............................................................................................๕๐
ขั้นตอนการน่ังสขุ สมาธิ..........................................................................................................................๕๑
พระสขุ พระพุทธา จัดเป็นธาตุ............................................................................................................ ๕๒
ลกั ษณะอาการ ของปตี ิ ยคุ ล สขุ .......................................................................................................... ๕๒

พระกายคตาสตสิ ตู ร.....................................................................................................................................๕๔
หอ้ งอานาปานสตกิ รรมฐาน ....................................................................................................................... ๖๒

คาอาราธนาสมาธนิ มิ ิต ............................................................................................................................๖๔
ห้องอานาปานสติ .....................................................................................................................................๖๔
การพจิ ารณากายคตาสติ......................................................................................................................... ๖๕
คาอาราธนากายคตาสติ ...........................................................................................................................๖๖
คาภาวนาหอ้ งกายคตาสติ .......................................................................................................................๖๖
คาอาราธนากสิณ ..................................................................................................................................... ๖๗
ห้องกสณิ ๑๐ ประการ............................................................................................................................ ๖๗
การพจิ ารณาธาตใุ นกาย.......................................................................................................................... ๖๗
กสณิ ายตนะ [แดนกสิณ] ๑๐ อย่าง ...................................................................................................... ๖๗
คาอาราธนาอสภุ กรรมฐาน.....................................................................................................................๖๘
อสภุ กรรมฐาน ๑๐ ประการ ...................................................................................................................๖๘
การพิจารณาอสภุ ะ สัญญา......................................................................................................................๖๘
ความแตกตา่ ง แห่งคน ราคะจริตในอสุภะ .......................................................................................... ๖๙
เหตทุ ่ขี ึ้นองค์ฌานในห้องอสุภะกรรมฐาน ...............................................................................................๗๑
การได้องค์ฌานตา่ งๆ...............................................................................................................................๗๑
องค์ ๕ ประการในปฐมฌาน..................................................................................................................๗๑
คาอาราธนาปฐมฌาน .............................................................................................................................๗๔
อธบิ ายปฐมฌาน......................................................................................................................................๗๕
คาอาราธนาทตุ ยิ ฌาน..............................................................................................................................๗๕
อธิบายทตุ ยิ ฌาน ...................................................................................................................................... ๗๖



คาอาราธนาตติยฌาน .............................................................................................................................. ๗๖
คาอธิบายตตยิ ฌาน .................................................................................................................................. ๗๖
คาอาราธนาจตุถฌาน .............................................................................................................................. ๗๖
คาอธิบายจตุถฌาน ................................................................................................................................. ๗๗
คาอาราธนาปัญจมฌาน......................................................................................................................... ๗๗
คาอธิบายปัญจมฌาน............................................................................................................................. ๗๗
ปฐมฌาน มวี สิ ุทธธิ รรม ๓๐................................................................................................................. ๗๗
ทตุ ิยฌาน มี วสิ ทุ ธธิ รรม ๓๐ ................................................................................................................. ๗๙
ตติยฌาน มี วิสทุ ธิธรรม ๓๐.................................................................................................................. ๗๙
จตถุ ฌาน มีวสิ ทุ ธธิ รรม ๓๐....................................................................................................................๘๐
ปัญจมฌาน มวี ิสุทธิธรรม ๓๐................................................................................................................๘๐
พจิ ารณาวิปสั สนา ในรูปฌาน......................................................................................................................๘๑
ฌานสูตร .........................................................................................................................................................๘๓
คาอาราธนาอนสุ สติ................................................................................................................................๘๔
การเจริญอนุสสตติ า่ งๆ.................................................................................................................................๘๕
ธมั มานสุ สติ..............................................................................................................................................๘๕
สงั ฆานสุ สติ..............................................................................................................................................๘๕
สลี านุสสติ................................................................................................................................................. ๘๖
จาคานสุ สติ ............................................................................................................................................... ๘๖
เทวตานสุ สติ............................................................................................................................................. ๘๖
มรณนสุ สติ ............................................................................................................................................... ๘๖
อุปสมานสุ สติ........................................................................................................................................... ๘๖
คาภาวนาในห้องอนุสสติ .......................................................................................................................๘๗
อนุสสติ ...........................................................................................................................................................๘๗
อัปปมัญญา พรหมวิหาร 4........................................................................................................................... ๙๐
บคุ คลทเ่ี ป็นโทษแห่งเมตตา ................................................................................................................... ๙๐
ควรเจริญเมตตาในตนเองกอ่ น............................................................................................................... ๙๐
การแผ่เมตตาใหก้ ับคนอ่นื หรือสตั วอ์ ่นื ............................................................................................... ๙๑
การสอนตนเองเมื่อเกดิ ความโกรธ........................................................................................................ ๙๑

๑๐

การแผ่เมตตารวมแดน............................................................................................................................. ๙๑
คาอาราธนาในบทเมตตาพรหมวิหาร................................................................................................... ๙๑
บทภาวนาแผ่เมตตาในตน ..................................................................................................................... ๙๒
แผ่ออกทิศเมตตาพรหมวิหาร ทิสาผะระณา ๑๐ ทิศ .......................................................................๙๓
ออกทศิ เมตตาพรหมวิหาร บทที่ ๑............................................................................................................๙๓
ออกทิศเมตตาพรหมวิหาร บทที่ ๒............................................................................................................๙๔
ออกทิศเมตตาพรหมวิหาร บทท่ี ๓............................................................................................................๙๕
ออกทศิ เมตตาพรหมวหิ าร บทท่ี ๔............................................................................................................ ๙๖
ออกทิศเมตตาพรหมวหิ าร บทที่ ๕........................................................................................................... ๙๗
กรณุ าพรหมวิหาร ........................................................................................................................................๑๐๑
คาอาราธนากรุณาพรหมวหิ าร.............................................................................................................๑๐๑
คาแผก่ รุณารอบใน ในตน ...................................................................................................................๑๐๑
แผ่ออกทศิ กรณุ าพรหมวิหาร ทิสาผรณา ๑๐ ทศิ ..........................................................................๑๐๒
ออกทศิ กรุณาพรหมวหิ าร บทที่ ๑..........................................................................................................๑๐๒
ออกทศิ กรุณาพรหมวิหาร บทท่ี ๒..........................................................................................................๑๐๓
ออกทิศกรณุ าพรหมวิหาร บทท่ี ๓........................................................................................................๑๐๔
ออกทิศกรณุ าพรหมวหิ าร บทที่ ๔..........................................................................................................๑๐๕
มทุ ติ าพรหมวิหาร .......................................................................................................................................๑๐๗
คาอาราธนามทุ ติ าพรหมวหิ าร............................................................................................................๑๐๗
บทแผภ่ าวนามทุ ิตาในตน....................................................................................................................๑๐๘
แผ่ออกทศิ มุทติ าพรหมวหิ าร ทสิ าผรณา ๑๐ ทศิ ...........................................................................๑๐๘
ออกทิศมทุ ติ าพรหมวิหาร บทที่ ๑............................................................................................................๑๑๐
ออกทศิ มทุ ิตาพรหมวิหาร บทที่ ๒...........................................................................................................๑๑๑
ออกทศิ มุทิตาพรหมวหิ าร บทท่ี ๓......................................................................................................... ๑๑๒
ออกทิศมทุ ิตาพรหมวิหาร บทท่ี ๔..........................................................................................................๑๑๓
เวยี นทศิ เปน็ ทกั ษิณาวตั ร ๔ รอบ .......................................................................................................๑๑๕
คาแผม่ ทุ ติ าพรหมวิหารรอบนอก ............................................................................................................ ๑๑๖
อุเบกขาพรหมวิหาร.................................................................................................................................... ๑๑๖
คาอาราธนามทุ ติ าพรหมวหิ าร............................................................................................................ ๑๑๖

๑๑

คาแผ่อเุ บกขารอบใน ............................................................................................................................๑๑๗
แผ่ออกทศิ อเุ บกขาพรหมวหิ าร ทิสาผรณา ๑๐ ทศิ ........................................................................๑๑๗
ออกทศิ อเุ บกขาพรหมวหิ าร บทท่ี ๑ ....................................................................................................... ๑๑๙
ออกทศิ อเุ บกขาพรหมวิหาร บทที่ ๒..................................................................................................... ๑๒๐
ออกทศิ อเุ บกขาพรหมวิหาร บทที่ ๓ ..................................................................................................... ๑๒๑
ออกทิศอเุ บกขาพรหมวหิ าร บทท่ี ๔ .................................................................................................... ๑๒๒
ออกทิศอเุ บกขาพรหมวหิ าร บทท่ี ๕ ....................................................................................................๑๒๓
อาราธนา พจิ ารณาดู ๔ ทศิ ใหญ่.......................................................................................................๑๒๔
เวียนทิศเป็นทกั ษณิ าวตั ร ๕ รอบ ....................................................................................................๑๒๔
แผอ่ เุ บกขาพรหมวิหารรอบนอก ๕ บท......................................................................................๑๒๔
คาอาราธนาอาหาเรปฏกิ ลู สัญญา ............................................................................................................ ๑๒๖
คาภาวนาอาหาเรปฏิกลู สญั ญา........................................................................................................... ๑๒๖
อาหาเรปฏกิ ูลสญั ญาฌาน ...................................................................................................................๑๒๘
อานิสงสแ์ หง่ อาหาเรปฏิกลู สญั ญา....................................................................................................๑๒๘
คาอาราธนาจตธุ าตวุ วัฏฐาน................................................................................................................๑๒๘
ปฐวี ๒๐ โกฏฐาส.................................................................................................................................๑๒๘
อาโป ๑๒ โกฏฐาส .............................................................................................................................. ๑๒๙
เตโช ๔ โกฏฐาส....................................................................................................................................๑๓๐
วาโย ๖ โกฏฐาส ....................................................................................................................................๑๓๐
คาอาราธนาอรปู ฌานสมาบตั ิ....................................................................................................................๑๓๐
คาภาวนาอรูปฌานสมาบตั ิ ..................................................................................................................๑๓๑
ปฐม อรปู ฌานสมาบตั ิ มวี สิ ทุ ธธิ รรม ๓๐.........................................................................................๑๓๑
ตติยอรูปฌานสมาบตั ิ มีวสิ ุทธธิ รรม ๓๐...........................................................................................๑๓๑
จตตุ ถะ อรูปฌานสมาบตั ิมวี ิสทุ ธธ์ รรม ๓๐ .....................................................................................๑๓๑
สญั ญาเวทยติ นิโรธสมาบตั วิ ิโมกข์.....................................................................................................๑๓๑
อธิบายอรูปสมาบตั วิ โิ มกข์ .................................................................................................................๑๓๒
พิจารณาพระวปิ สั สนา ในอรปู ฌาน ๔ ..................................................................................................๑๓๒
ฌานสตู ร ......................................................................................................................................................๑๓๔
เนวสัญญานาสญั ญายตน ..........................................................................................................................๑๓๕

๑๒

วิปสั สนากรรมฐาน.....................................................................................................................................๑๓๖
วิปสั สนาภูมิ ๖.............................................................................................................................................๑๓๖
วิสทุ ธิ ๗ ประการ ......................................................................................................................................๑๓๗
ศีลวสิ ุทธิ...................................................................................................................................................... ๑๓๘
จิตตวิสุทธิ.....................................................................................................................................................๑๓๙
ทิฏฐวิ สิ ุทธิ เป็น อย่างไร ............................................................................................................................๑๔๐
ทิฏฐวิ สิ ุทธิ....................................................................................................................................................๑๔๐

ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ เรยี กอีกอยา่ งวา่ ธรรมฐิตญิ าณ.......................................................................................๑๔๑
กงั ขาวติ รณวสิ ทุ ธิ..................................................................................................................................๑๔๑
มัคคามคั คญาณทัสสนวสิ ุทธิ ............................................................................................................. ๑๔๓
ปฏิปทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ..................................................................................................................๑๔๕
ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ................................................................................................................................๑๔๕
โสดาปัตติมรรคญาณ........................................................................................................................... ๑๔๕
สกทาคามมิ รรคญาณ...........................................................................................................................๑๔๕
อนาคามมิ รรคญาณ..............................................................................................................................๑๔๕
อรหตั ตมรรคญาณ.................................................................................................................................๑๔๖
โสดาปัตติผลญาณ.................................................................................................................................๑๔๖
สกทาคามผิ ลญาณ.................................................................................................................................๑๔๖
อนาคามผิ ลญาณ....................................................................................................................................๑๔๖
อรหตั ตผลญาณ.....................................................................................................................................๑๔๗
วมิ ตุ ติญาณ.............................................................................................................................................๑๔๗
อนิจลักษณะ ๓........................................................................................................................................... ๑๔๘
อนุวปิ ัสสนา ๓ ............................................................................................................................................๑๔๙
วิปสั สนาญาณ ๑๐.......................................................................................................................................๑๕๐
อทุ ยัพพยนุปัสสนาญาณ...........................................................................................................................๑๕๒
วิปัสสนกู เิ ลส ๑๐........................................................................................................................................๑๕๒
ภังคานุปสั สนาญาณ ..................................................................................................................................๑๕๓
ภยตปู ัฏฐานปุ สั สนาญาณ .........................................................................................................................๑๕๓
อาทีนวนปุ สั สนาญาณ.........................................................................................................................๑๕๔

๑๓

นิพพิทานปุ สั สนาญาณ........................................................................................................................๑๕๔
มญุ จติ ุกามยตานุปสั สนาญาณ............................................................................................................๑๕๔
ปฏิสังขานุปสั สนาญาณ ...................................................................................................................... ๑๕๖
สังขารเุ บกขานุปสั สนาญาณ .............................................................................................................. ๑๕๖
อุปมาด้วยนกกา ของพวกพอ่ คา้ เดนิ เรือทะเล.................................................................................. ๑๕๖
อุปมาดว้ ยคา้ งคาว.................................................................................................................................๑๕๗
สงั ขารเุ บกขาญาณมีคุณสมบัติ ๖ ประการ ......................................................................................๑๕๘
อนโุ ลมนปุ ัสสนาญาณ ..............................................................................................................................๑๕๘
วิโมกขม์ ขุ ๓ ................................................................................................................................................๑๕๙
อนุวิปัสสนาวิโมกขม์ ขุ ๓.......................................................................................................................... ๑๖๐
โพธิปกั ขิยธรรม ๓๗ ประการ................................................................................................................. ๑๖๒
สมั มปั ปธาน ๔ ........................................................................................................................................... ๑๖๒
อิทธบิ าท ๔ (สาเรจ็ )................................................................................................................................... ๑๖๒
อนิ ทรีย์ ๕ .....................................................................................................................................................๑๖๓
พละ ๕...........................................................................................................................................................๑๖๓
โพชฌงค์ ๗ ..................................................................................................................................................๑๖๓
มรรคมีองค์ ๘ นาออกจากสงั สารวฏั ฏ์.................................................................................................... ๑๖๖
ปัญจกนิเทศ ในปญั จกมาตกิ าเหลา่ นี้ โอรมั ภาคยิ สัญโญชน์ ๕..........................................................๑๖๖
สัญโญชน์ ๑๐.............................................................................................................................................. ๑๖๗
พรหมวหิ ารบวั บาน .................................................................................................................................... ๑๖๙
วโิ มกข์ธรรม ................................................................................................................................................๑๗๐
คาอาราธนาออกพรหมวหิ ารบวั บาน..................................................................................................... ๑๗๒
ให้พรแกส่ ัตวท์ งั้ หลาย ........................................................................................................................ ๑๗๒
ใหพ้ รแกร่ า่ งของเรา ............................................................................................................................ ๑๗๒
ให้พรแกม่ ารท้ังหา้ .............................................................................................................................. ๑๗๒
ประจุรา่ ง ............................................................................................................................................... ๑๗๒
การประหานกเิ ลส ................................................................................................................................๑๗๓
อภธิ รรมปิฎก – ธัมมสงั คณี ......................................................................................................................๑๗๔

สักกายทิฏฐิ ......................................................................................................................................๑๗๔

๑๔

สักกายทิฏฐิ พระสตุ ตนั ตปฎิ ก สงั ยุตตนิกาย ขันธวรรค.....................................................................๑๗๗
โสดาปตั ติมรรค ..............................................................................................................................๑๗๗

โสดาปนั ๓ ประเภท .................................................................................................................................๑๗๗
พระโสดาบัน สตั ตกั ขตั ตปุ รมะ.........................................................................................................๑๗๗
พระโสดาบันโกลังโกละ ....................................................................................................................๑๗๘
พระโสดาบัน เอกพีชี...........................................................................................................................๑๗๘
คุณธรรมทพี่ ระโสดาบันมี...................................................................................................................๑๗๙

พระสกทาคามขี ้นั .......................................................................................................................................๑๗๙
พระอนาคามี อุทธงั โสโต อกนฎิ ฐคามี...................................................................................................๑๗๙

พระอนาคามี สสงั ขารปรนิ พิ พายี.......................................................................................................๑๘๐
พระอนาคามี อสงั ขารปรนิ พิ พายี.......................................................................................................๑๘๐
พระอนาคามี อปุ หจั จะปรนิ พิ พายี ....................................................................................................๑๘๒
พระอนาคามตี ติยะอนั ตรานิพพายี ....................................................................................................๑๘๒
พระอนาคามี ทตุ ยิ ะอนั ตรานพิ พายี................................................................................................... ๑๘๓
พระอนาคามี ปฐมอันตราปรนิ ิพพายี ............................................................................................... ๑๘๓
วปิ สั สนาภูมิ ๖............................................................................................................................................ ๑๘๔
อายตนะ ๑๒ ............................................................................................................................................... ๑๘๔
ธาตุ ๑๘........................................................................................................................................................ ๑๘๕
อนิ ทรยี ์ ๒๒.................................................................................................................................................๑๘๖
อริยสัจ ๔ .....................................................................................................................................................๑๘๗
ปฏิจจสมุปบาท ๑๒....................................................................................................................................๑๘๙
เอกสารอา้ งอิง..............................................................................................................................................๑๘๙

๑๕

สมาธิ ภกิ ขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูต ปชานาติ
ภกิ ษุทง้ั หลาย จงยงั สมาธใิ ห้เกิด ชนผู้มีจิตเปน็ สมาธิแลว้ ยอ่ มร้ตู ามจริง
ดกู รภกิ ษุทั้งหลาย เรายอ่ มกลา่ วการตงั้ อยูใ่ นอรหัตผล ด้วยการไปคร้งั แรกเท่านั้นหามไิ ด้
แตก่ ารตง้ั อยูใ่ นอรหัตผลน้ัน ยอ่ มมีได้ ด้วยการศึกษาโดยลาดับ ดว้ ยการทาโดยลาดบั ด้วยความ
ปฏิบตั โิ ดยลาดบั

ข้นั ตอนการปฏิบัติพระกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลาดบั
ตอนสมถะภาวนา
รปู กรรมฐาน ตอน ๑

๑.ห้องพระปตี หิ า้
๒.หอ้ งพระยุคลหก
๓.หอ้ งพระสขุ สมาธิ

พระกรรมฐาน ๓ ห้องน้เี ป็นพระกรรมฐาน สาหรับฝึกตั้งสมาธิ เป็นพระกรรมฐาน
ต่อเนื่องของจิต จากจติ หยาบ ไปหาจติ ท่ลี ะเอียด ถงึ ข้ันอปุ จารสมาธเิ ต็มขั้น หรอื เรียกวา่ รูป
เทยี มของปฐมฌาน สอบนมิ ติ เปน็ อารมณ์

รปู กรรมฐาน ตอน ๒
๔.หอ้ ง อานาปานสติ ๙ จุด ทาให้จติ ละเอียดขึ้น ถงึ อัปปนาสมาธิ หรืออปั ปนาฌาน
๕.ห้อง กายคตาสตกิ รรมฐาน
๖.หอ้ งกสิณ ๑๐ ประการ
๗.ห้องอสุภ ๑๐ ประการ เพอื่ ละราคะ
๘.ห้องปญั จมฌาน

หอ้ งพระอานาปานกรรมฐาน ถงึ ห้องปัญจมฌาน เป็นรปู กรรมฐาน สอบนมิ ิต เป็นพระ
กรรมฐานตอ่ เนือ่ งใน กายคตาสติกรรมฐาน และกายานุปัสสนาสตปิ ฎั ฐาน

พระโยคาวจร ผูเ้ จรญิ อานาปานสติ เจรญิ อาการ ๓๒ เจริญกสิณ ๑๐ ประการ เจรญิ อสุ
ภะ ๑๐ ประการ เจรญิ ปญั จมฌาน พระพุทธองค์ทรงตรสั วา่ เป็นการเจรญิ กาย คตาสติ
กรรมฐานทง้ั สนิ้ ยอ่ มไดร้ ับอานิสงสม์ ากมาย เปรียบเหมือน นา้ เต็มขอบสระ กาบินมาแต่ทศิ ใด
ยอ่ มดืม่ กินนา้ ไดท้ กุ ทศิ

๑๖

อรปู กรรมฐาน (สอบสภาวธรรม)
๙.ห้อง อนุสสติ เจด็ ประการ เปน็ คุณธรรม ของพระโสดาบัน
๑๐.ห้อง อัปปมัญญาพรหมวิหาร
๑๑. หอ้ ง อาหาเรปฎกิ ลู สัญญา
๑๒.ห้อง จตุธาตุววัฏฐาน
๑๓.หอ้ ง อรูปฌาน

ตงั้ แต่หอ้ ง อนสุ สติ ๗ ประการ ถงึ ห้องอรูปฌาน เป็นอรูปกรรมฐาน สอบอารมณ์ สอบ
สภาวธรรม จิตไดส้ ภาวธรรมเต็มท่ี การเจริญวิปสั สนา กแ็ จ่มแจ้งยงิ่ ขนึ้ เม่ือจะข้นึ พวิปัสสนา
ฌาน ใหท้ าฌานสมาบัตแิ ปด ถอยมาถึง ตติยฌาน แล้วเจริญ พระวิปัสสนา

(จบสมถะ)
วิปัสสนากรรมฐาน มัชฌิมาแบบ ลาดบั
๑.เจริญวสิ ุทธเิ จด็ ประการ เอาองค์ฌาน เป็นบาทฐาน
๒.พระไตรลักษณะญาณ ๓
๓.พระอนุวปิ ัสสนา ๓
๔.พระวโิ มกข์ ๓ ประการ
๕.พระอนวุ ิปสั สนาวโิ มกข์ ๓
๖.พระวปิ ัสสนาญาณ ๑๐
๗.พระโพธปิ กั ขยิ ธรรม ๓๗ ประการ เปน็ บาทรองรับวิปัสสนา
๘.สญั โญชน์ ๑๐ เพื่อให้รกู้ ิเลสท่ีจะละ
๙.ออกบวั บานพรหมวหิ าร เจริญเพือ่ ละพยาบาท เป็นหนทางสู่ มรรค ผล นิพพาน
จบ-สมถะ-วปิ ัสสนามชั ฌิมา แบบลาดบั

เครื่องสกั การะพระรตั นตรยั
เม่อื ข้นึ พระกรรมฐาน

เมอื่ จะเรยี นพระกรรมฐานน้ัน ตอ้ งมอบตัวต่อพระรตั นตรยั คือ พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ และ อาจารย์ ผ้บู อกพระกรรมฐาน โดยใหจ้ ัดเตรียม ดอกไม้ ๕ กระทง ข้าวตอก ๕
กระทง เทียน ๕ เลม่ ธปู ๕ ดอก ใส่เรียงกันในถาดส่เี หล่ยี มผนื ผา้ มาขนึ้ ในวัน พฤหสั บดี
ขา้ งขน้ึ หรอื ข้างแรมกไ็ ด้

๑๗

บททาวัตรพระ

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมพฺ ทุ ธสฺส

(ใหว้ า่ ๓ หน)

พุทธ ชวี ติ ยาวนพิ พฺ าน สรณ คจฺฉามิ ฯ

อติ ิปิโส ภควา อรห สมมฺ าสมพฺ ทุ โธ วชิ ฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปรุ ิสะ

ทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนสุ สาน พุทโธ ภควาติ ฯ

เย จ พทุ ธา อตตี า จ, เย จ พุทธา อนาคตา,

ปจจฺ ุปฺปนฺนา จ เย พทุ ธา, อห วนฺทามิ สพฺพทา,

พทุ ธานาหสมฺ ิ ทาโสว, พุทธา เม สามิกสิ ฺสรา,

พุทธานญฺ จ สิเร ปาทา, มยฺห ติฏฐนตฺ ุ สพพฺ ทาฯ

นตฺถิ เม สรณ อญญฺ , พุทโธ เม สรณ วร,

เอเตน สจจฺ วชเฺ ชน, โหตุ เม ชยฺม คล ฯ

อุตตฺ มเคน วนเฺ ทห, ปาทปงสฺ ุ วรุตฺตม,

พุทโธ โย ขลิโต โทโส, พุทโธ ขมตุ ต มม ฯ

(กราบแล้วหมอบลงวา่ )

ขา้ ฯจะขอยดึ หน่วงเอาซ่ึงพระพทุ ธเจ้า และคณุ พระพทุ ธเจ้า ในอดีต อนาคต ปัจจบุ นั จงมา

เปน็ ที่พ่ึงแกข่ ้าฯ ตราบเท่าเข้าสู่พระนพิ พาน และขา้ ฯจะขอนมัสการกราบไหวพ้ ระพทุ ธเจ้า อนั

เปน็ อดีต อนาคต ปจั จบุ นั สิ้นกาลนานทกุ เมื่อ และขา้ ฯจะขอเปน็ ขา้ แห่งพระพุทธเจา้ ขอ

พระพุทธเจา้ จงมาเปน็ เจ้าเป็นใหญ่แก่ขา้ ฯ ขอพระบาทบาทาของพระพทุ ธเจ้า จงมาประดษิ ฐาน

อยู่เหนอื เศียรเกลา้ แห่งข้าฯสิ้นกาลนานทกุ เมื่อ สิ่งอนั อืน่ จะไดเ้ ป็นทีพ่ ึง่ แกข่ า้ ฯหามิได้ ถา้ เว้นไว้

แต่พระพุทธเจา้ เปน็ ที่พึ่งแกข่ ้าฯเท่ยี งแท้นักหนา ข้าฯไหว้ละอองธุลพี ระบาท ท้ังพระลายลักษณ์

สรุ ยิ ะฉาย ชัยมงคลทั้งหลายจงมาบงั เกดิ มีแกข่ า้ ฯด้วยคาสัจน้ีเถดิ อนง่ึ โทษอันใดข้าฯได้

ประมาทพลาดพล้งั ไว้ในพระพทุ ธเจ้า อนั เป็นอดีต อนาคต ปจั จุบนั ขอพระพุทธเจ้าจงมาอด

โทษทั้งปวงน้ันให้แก่ขา้ ฯพระพทุ ธเจา้ นีเ้ ถิด ฯ (คาแปล พระเทพโมลกี ลน่ิ )

(กราบ)

ธมมฺ ชีวติ ยาว นพิ พฺ าน สรณ คจฺฉามิ ฯ

สวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม สนทฺ ิฏฐิโก อกาลโิ ก เอหิปสสฺ โิ ก โอปนยโิ ก ปจจฺ ตตฺ

เวทติ พฺโพ วญิ ญูหีตฯิ

๑๘

เย จ ธมฺมา อตตี า จ, เย จ ธมฺมา อนาคตา,

ปจฺจุปปนนฺ า จ เย ธมฺมา, อห วนทฺ ามิ สพพฺ ทาฯ

ธมฺมา นาหสฺสมิ ทาโสว, ธมฺมา เม สามกิ สิ สฺ รา,

สพฺเพ ธมฺมาปิ ติฏฐนฺตุ, มม สิเรว สพพฺ ทาฯ

นตฺถิ เม สรณ อญฺญ, ธมโฺ ม เม สรณ วร,

เอเตน สจจฺ วชฺเชน, โหตุ เม ชยมฺ คล ฯ

อตุ ตฺ ม เคน วนฺเทห ธมฺมญฺ จ ทวุ ธิ วร,

ธมเฺ ม โย ขลโิ ต โทโส, ธมโฺ ม ขมตุ ต มมฯ

(กราบแล้วหมอบลงว่า)

ข้าฯจะขอยดึ หนว่ งเอาซ่งึ พระปรยิ ตั ธิ รรมเจ้า และพระนวโลกุตตระธรรมเจ้า และคณุ พระ

ธรรมเจา้ ในอดตี อนาคต ปัจจบุ นั จงมาเป็นทีพ่ ึ่งแก่ข้าฯ ตราบเทา่ เขา้ สูพ่ ระนพิ พาน และขา้ ฯจะ

ขอนมัสการกราบไหว้พระธรรมเจ้าทั้งมวล อันเปน็ อดีต อนาคต ปจั จบุ นั สิ้นกาลทุกเม่อื แลข้าฯ

จะขอเปน็ ข้าฯแห่งพระธรรมเจา้ ขอพระธรรมเจ้าทัง้ มวลนั้นจงมาเป็นเจา้ เป็นใหญแ่ ก่ข้าฯ ขา้ ฯ

ขออาราธนาพระธรรมเจ้าท้งั มวลนนั้ จงมาประดิษฐานอยูเ่ หนือเศียรเกล้าแห่งขา้ ฯสนิ้ กาลทกุ

เมอื่ ส่ิงอนั อนื่ จะไดเ้ ป็นที่พง่ึ แกข่ า้ ฯหามิได้ ถ้าเวน้ ไว้แต่พระธรรมเจ้าทงั้ มวลน้ันเปน็ ทพ่ี ง่ึ แกข่ ้าฯ

เทยี่ งแท้นักหนา ชัยมงคลทั้งหลายจงมาบังเกดิ มีแก่ข้าฯดว้ ยคาสจั นีเ้ ถดิ ขา้ ฯขอกราบไหว้พระ

ธรรมเจา้ ท้ังสองประการอันประเสรฐิ โทษอนั ใดข้าฯได้ประมาทพลาดพลัง้ ไวใ้ นพระธรรมเจา้

ทั้งสองประการ ขอพระธรรมเจ้าทั้งสองประการ จงมาอดโทษทงั้ ปวงนน้ั ให้แกข่ ้าฯพระพทุ ธเจา้

น้เี ถิดฯ

(กราบ)

สงฆฺ ชีวติ ต ยาวนพิ พฺ าน สรณ คจิฉามิ ฯ

สุปฏปิ นโฺ น ภควโต สาวกสโฆ, อชุ ุปฏปิ นฺโน ภควโต สาวกสโฆ, ญายปฏปิ นโฺ น ภคว

โต สาวกสโฆ, สามจี ิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสโฆ, ยทิท จตตฺ าริ ปรุ สิ ะยคุ คฺ านิ อฏฺฐะ ปรุ สิ ปุคะลา

, เอส ภควโต สาวกสโฆ, อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทกขฺ เิ นยโย อญชฺ ลีกรณโี ย อนุตตฺ ร ปุญญกเฺ ขตต

โลกสฺสาติ

เย จ สงฺฆา อตีตา จ เย จ สงฺฆา อนาคตา

ปจฺจุปปนฺนา จ เย สงฺฆา อห วนทฺ ามิ สพฺพทา ฯ

๑๙

สงฺฆานาหสฺสมิ ทาโสว สงฆฺ า เม สามกิ สิ สฺ รา

เตส คุณาปิ ตฏิ ฐนตฺ ุ มม สเิ รว สพพฺ ทา ฯ

นตฺถิ เม สรณ อญญฺ สงโฺ ฆ เม สรณ วร

เอเตน สจฺจวชฺเชน, โหตุ เม ชยฺมงคฺ ลฯ

อตุ ฺตม เคน วนฺเทห, สงฺฆญฺ จ ทวุ ธิ ตุ ตฺ ม,

สงฺเฆ โย ขลโิ ต โทโส สงฺโฆ ขมตุ ต มม ฯ

(หมอบกราบ แล้ววา่ )

ข้าฯขอยึดหนว่ งเอาซ่ึงพระอรยิ สงฆเ์ จา้ และคณุ พระอริยสงฆเ์ จา้ ในอดตี อนาคต ปจั จุบนั

จงมาเป็นท่ีพง่ึ แก่ขา้ ฯตราบเทา่ เข้าสพู่ ระนพิ พาน และข้าฯจะขอนมสั การกราบไหว้พระอริยสงฆ์

เจ้าอนั เปน็ อดตี อนาคต ปัจจุบัน สน้ิ กาลทุกเมอื่ และขา้ ฯจะขอมอบตัวเป็นขา้ ฯแหง่ พระอริย

สงฆ์เจา้ ขอพระอริยสงฆเ์ จ้าจงมาเปน็ เจ้าเป็นใหญ่แกข่ า้ ฯ ขา้ ฯขออาราธนาคณุ แหง่ พระอรสิ งฆ์

เจ้า จงมาประดษิ ฐานอยู่เหนอื เศียรเกลา้ แห่งข้าสิน้ กาลทุกเมอื่ ส่ิงอนั อน่ื จะไดเ้ ปน็ ท่ีพึง่ แก่ขา้ หา

มไิ ด้ ถา้ เวน้ ไวแ้ ตพ่ ระอริยสงฆเ์ จา้ ป็นที่พงึ่ แกข่ า้ ฯเท่ียงแท้นกั หนา ชยั มงคลทั้งหลายจงมาบังเกดิ

มีแก่ข้าฯด้วยคาสัจนี้เถดิ ข้าฯขอกราบไหว้พระอรยิ สงฆ์เจ้าทัง้ สองประการอันประเสริฐ โทษอนั

ใดขา้ ฯไดป้ ระมาทพลาด พล้ังไว้ในพระอริยสงฆ์เจา้ ท้ังสองประการ ขอพระอริยสงฆเ์ จ้าทง้ั

สองประการ จงมาอดโทษทัง้ ปวงนัน้ ใหแ้ กข่ ้าฯพระพุทธเจ้าน้นั เถดิ ฯ

(กราบ)

อธิบายบททาวตั รกรรมฐาน

บททาวัตรสวดมนต์นมี้ ีมาแตค่ รัง้ กรงุ ศรีอยุธยา ใช้สวดทาวัตรเช้า เย็น และใช้สวดทาวัตร

ในการขึน้ พระกรรมฐาน สมเด็จพระสงั ฆราช ไกเ่ ถื่อน ไดน้ ามาจากกรงุ ศรีอยุธยา และใช้สวด

กนั เปน็ ประจา ทีว่ ดั ราชสิทธารามน้ี มาเลกิ สวดเมอื่ พ.ศ. ๒๕๐๔ แต่พระภกิ ษทุ ่ีเรียนพระ

กรรมฐานยังใช้สวดกนั มาจนถึงทุกวันนี้ สว่ นคาแปลทา้ ยสวดมนต์นี้ มาแปลในสมัยรัชกาลที่ ๒

แหง่ กรงุ รตั นโกสินทร์ เมื่อคราวทาสังคายนาสวดมนต์ แปล พ.ศ. ๒๓๖๔

-------------

๒๐

คาปริยายข้ึนธรรม
ใชเ้ ทศสอนเม่ือขึน้ พระกรรมฐาน เพ่ือปพู ้นื ฐาน และ ทาความเข้าใจ

ของ สมเดจ็ พระสงั ฆราช ไก่เถื่อน
วดั ราชสิทธาราม ราชวรวิหาร (พลบั )
สบื ทอดมาจาก วัดป่า แก้ว ยุคอยุธยา

(พ.ศ. ๒๓๒๖)
(ถอดจากอกั ขระขอมเป็นอกั ษรไทยจากคมั ภีรใ์ บลาน)

--------------------------------
นะโม ๓ จบ ฯ

อุกาสะ วนฺทติ วา สริ ะสา พทุ ธ ธมั ม สฆญฺ จะ อตุ ตฺม เทยยะ ภาสายะ ปวกฺขามิ กมฺมฏฐฺ าน
ทวุ ธิ ก, อห อันวา่ ข้าฯ วนทฺ ิตฺวา เมว อภิวาทฺเรน ขา้ ฯ จะขอไหวน้ บคารพด้วยคารวะในกาลบัดน้ี
พุทธ สพฺพญญฺ ูพุทธ ยงั พระสพั พัญญูพระพทุ ธเจา้ พระองคผ์ ู้ตรัสรูเ้ ญยธรรมทัง้ มวล และพระ
สัพพัญญเู จ้านน้ั โสต อุตตม อนั อดุ ม อนุตตร อันหาบุคคลเทพดาทงั้ หลาย อันจะย่ิงบ่มไิ ด้ และ
ข้าฯกจ็ ะไหว้พระสัพพญั ญพู ระพุทธเจา้ องคน์ ้นั โสต สริ สา ดว้ ยหัวแห่งขา้ ฯในกาลบดั นี้ จ ปน
เกวลเมว พุทธ อภิวนทฺ ิยะ ใช่วา่ ข้าฯจะไหวพ้ ระพุทธเจ้าเทา่ น้ันแล จะแล้วสิ่งเดยี ว อห อันว่าขา้ ฯ
วนฺทิตวฺ า อภวิ าทเรนะ ขา้ กไ็ หวน้ บคารพด้วยคารวะ เปน็ อนั ดแี ลยงิ่ นัก ธมฺม นวโลกุตตฺรธมฺม
ทสวธิ งปฺ ริยัตยิ า สห ยงั นวโลกตุ ตระธัมเจา้ ๙ ประการ เป็นสิบกับทัง้ พระไตรปิฏกเจา้ ท้ังสาม
อนั เกดิ แตอ่ กพระสัพพญั ญพู ระพุทธเจา้ และ พระธัมมเจา้ น้ันโสต สวากขาต แลพระพทุ ธเจ้า
หากเสด็จเทศนาอนั ไพเราะ เพราะแลดยี ิ่งนัก แล ขา้ ฯ กไ็ หวพ้ ระธัมเจ้านนั้ โสต สริ สา ดว้ ยหัว เม
แห่งข้าฯในกาลบัดนแ้ี ล จ ปน เกวลเมวะ พุทธ ธมฺม อภิวนทฺ ยิ ใชว่ ่าขา้ ฯจะไหวพ้ ระพุทธเจา้ แล
พระธมั มเจ้าเทา่ น้ันแล จะแลว้ ยงิ่ สงิ่ เดยี ว อห อันว่าข้าฯ วนฺทติ วฺ า อภวิ าทเรน วนทฺ ิตวา ขา้ ฯก็
ไหว้นบคารพด้วยคารวะ สงฆฺ ญฺ จ ในกาลบัดนี้ สงฆฺ งฺ อฏฺฐ อรยิ ปุคคฺลาน สมุ ูห ยังชุมพระอริย
เจ้าท้ังหลาย ๘ จาพวกฝูงน้ันเถิด อตุ ตฺมงั อันอุดม อันเผาเสียซึ่งมืดมนอนธการ อันกลา่ วคือ
อวชิ า ตณั หา เสยี แลว้ และบุคคลทง้ั หลาย ๘ จาพวกฝูงนน้ั โสต สิรสา ด้วยหัว เม แห่งข้า ในกาล
บัดนแี้ ล ตทนตฺ ร ถัดนนั้ ไป ข้าฯกระทาประนมอนั อ่อนนอ้ ม นมัสการแก่เจา้ กแู กว้ ทงั้ สาม
ประการนแี้ ล้ว อห อันวา่ ขา้ วกฺขามิ ปรเิ ยสามิ ข้าจะเรยี นเอาซ่งึ พระกรรมฐานเจา้ นั้นโสต ทวุ ธิ ก
สมถวิปสสฺ นาสขาต ทุวธิ ก อันมสี องประการอันกล่าวคือ พระสมถกรรมฐาน และพระวปิ ัสสนา

๒๑

กรรมฐาน และพระกรรมฐานเจา้ น้ันโสต พทุ ธ ปจฺเจกสมพฺ ทุ ธ ยงั เปน็ ของแห่งพระพุทธเจ้า

และพระปจั เจกพทุ ธเจา้ แลพระกรรมฐานเจ้าน้นั โสต จตตุ ถฺ อรยิ สมฺพุทธ ยังเป็นของอนั พึง
พอใจแห่งพระอรยิ สาวกเจ้าท้ัง ๔ พระพทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ เทศนาประกาศไวว้ ่า ภาวนาทโิ ว

ภาวนารตโฺ ต พระทา่ นวา่ ไว้ให้ภาวนาทัง้ กลางวนั และ กลางคืน และเปน็ คาไทยเพอื่ ท่ีจะให้
เขา้ ใจง่ายดาย กุลบตุ รทง้ั หลายผ้จู ะเจริญภาวนา สมถกรรมฐาน และ พระวิปัสสนากรรมฐาน

เพื่อจะหกั เสียซึง่ ขันธท์ ้ัง ๕ คอื รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขนั ธ์ สงั ขารขนั ธ์ วญิ ญาณขนั ธ์ นเ้ี สีย
แลว้ จะเอาขึ้นสู่พระนิพพาน ตามบุราณขณี าสพเจ้า ท้ังหลายแต่กาลกอ่ นโพน้ แล

อกุ าสะ ขา้ ฯ แตก่ แู ก้วทั้งมวล อันมอี งคพ์ ระสพั พัญญูเจ้านน้ั เปน็ โตแก่ตขู า้ ฯ ทง้ั หลายอนั มี
มากด็ ี อนั มีบาปอกศุ ลกด็ ี อนั มกี ุศลเจตนาก็ดี ฉะนัน้ อนั พร้อมพรั่งกนั ภายใน แลมีขันธท์ ง้ั หา้ อกี
ทง้ั ปฏิบตั ภิ ายนอก ตูข้าฯท้ังหลายมขี า้ วตอกดอกไม้ แลธูปเทียน ตูข้าฯทงั้ หลายได้เฝา้ เณยธัมแล

นาสู่สาธรท่นี แี้ ลว้ ตูข้าฯ ทัง้ หลาย จะเอามาตบแตง่ ไว้ในใจ จะทาให้เปน็ สองโกฏฐาส อนั ปฐม
โกฏฐาสหัวทีนัน้ ตูข้าทั้งหลายขอบูชาสมาเถิง (ถงึ ) สมาธิคณุ ปัญญาคณุ วิริยะคุณ และคณุ เจ้ากู
แกว้ ทัง้ มวลอนั หาท่สี ดุ มิได้ ตขู า้ ท้ังหลายจะขอบูชาและขอสมา อย่าให้เสีย…..ชารุด……อันเพอ่ื
จะให้เป็นเหตุเป็นปัจจัยค้าชู ตูข้าท้งั หลายนี้จะขอบชู า ไดน้ พิ พานในอาตมภาพชาตินีจ้ งอยา่ ได้
บุคคลตนใด จะประจานพระโพธิญาณน้ันก็ดี จงเปน็ เหตเุ ปน็ ปัจจยั ค้าชบู ุคคลนัน้ ให้ถงึ ยังปัญญา
อันชอ่ื ว่าพระสัพพัญญตุ ญาณอนั จะนาสตั ว์ท้งั หลายตามกรรม (ลอย)พระพทุ ธเจ้าทกุ วนั เถิดฯ
อนั ทตุ ยิ ะโกฏฐาส อนั ธุระคารบสองนน้ั ตขู ้าทัง้ หลายจะขอตัง้ เอาไวย้ ังห้องหน้าแหง่ ตูข้า
ทั้งหลาย จะขอสมาเถิง(ถึง) นามบัญญัติแห่งเจา้ กแู กว้ ท้ังมวล ตขู ้าทั้งหลายอันบม่ ิรแู้ ละหากยงั

ได้ประมาทเสยี ซ่งึ นามบัญญัติ และขา้ มิไดค้ ารวะแกเ่ จา้ กูแกว้ ทัง้ มวลดว้ ยทวารทงั้ สามแล
อริ ยิ าบถทั้งสี่ อนั ใดอนั หนึ่งกด็ ี แรกแต่ชาตนิ ค้ี อ่ ยคนื ไปหนหลงั แมน้ วา่ ไดอ้ นนั ตะชาตสิ งสาร
อันหาตอหามูลบ่มิได้ ตขู า้ ทง้ั หลายกร็ ู้วา่ เป็นโทษแห่งตูข้าท้ังหลายนเ้ี ปน็ อันมาก นกั หนาทีจ่ ะ
แก้โทษทั้งหลายทงั้ มวลอย่นู ัน้ คอื

โมโห คอื หลง อหิริก มลิ ะอายแกบ่ าป
อโนตตฺ ปปฺ ํ มิกลวั แกบ่ าป อจุ ธจจฺ สะดงุ้ ใจ ฟ้งุ ซา่ น

โลโภ โลภ ทฏฺฐิ ถอื มนั่
มาโน มมี านะ โทโส โกรธ

อิสสา รษิ ยา มจฉฺ รยิ ะ ตระหน่ี
กุกกุจจ กนิ แหนง ราคาญ ถนี กระดา้ ง หดหู่

๒๒

มทิ ธิ หลับ งว่ ง วจิ ิกิจฉา สงสัย

เพราะบาปธรรมท้ัง ๑๔ ตัวนี้ หากให้ตูข้าทั้งหลายมืดมน อนธการ ด้วย อวิชชา ตัณหา

หากมาใหต้ ขู ้าท้ังหลายน้ีมิได้รจู้ กั พระธรรมเจา้ ท้ังส่ี ประการ คอื ทุกขส์ ัจจะ สมทุ ยั สจั จะ นิโรธ

สจั จะ มรรคสัจจะ เพราะบาปธรรมทงั้ ๑๔ ตวั น้ี หากมาครอบมางามากาบังใจตูขา้ ให้ตูขา้

ทั้งหลายเปน็ ไป เปน็ บาปแกต่ ูขา้ ทงั้ หลาย ซึ่งบ่มไิ ด้รฉู้ ลาด แลบ่มไิ ด้รู้อาย มิทาตามคาสง่ั สอน

แหง่ เจ้ากูแกว้ ทงั้ มวล จงมใี จเอ็นดูแก่ตขู ้าท้งั หลายน้แี ลว้ มารับเอาเครอื่ งอามิสบูชาแห่งตูขา้

ทั้งหลายนีแ้ ล้ว ขอเจา้ กแู ก้วทัง้ มวลจงค่อยพจิ ารณาดโู ทษ อันมอี ยใู่ นจิต ในใจ ในตนแหง่ ตขู ้า

ทง้ั หลายน้แี ล้ว ขอเจ้ากูแก้วทง้ั มวลจงคอ่ ยประมวลเอาโทษน้นั มาต้ังไว้ยังหอ้ งหนา้ และกระทา

เปน็ อโหสิกรรมเสีย ขอเจ้ากแู ก้วท้งั มวลจงมากาจดั เสยี ล้างเสยี เผาเสยี ยงั โทษอนั มใี นจติ ในใจ

แห่งตูข้าท้ังหลายดว้ ย ตะทังคะปหาน และ นิสสรณปหาน ขอให้ตูขา้ ทงั้ หลายบริสุทธิ์จากโทษ

อันนน้ั ประดจุ เงิน ทองเหลือง อันใสสดหมดจดจากตะกั่ว และ ทองชิน ประการหน่ึงเล่า ขอให้

ตขู า้ ทั้งหลายบรสิ ทุ ธิ์จากโทษน้ัน ดุจพระจนั ทร์ พระอาทติ ย์เสดจ็ ขึน้ อยเู่ หนอื เขายคุ นธร อนั

ปราศจากเมฆ และ หมอก มีรศั มี ออกเล่ือมพรายฉายงามแทด้ ีหลี อย่าไดเ้ ป็นนิวรณธรรมอันจะ

หา้ มภูมทิ ัง้ ส่ี คอื กามาวจรภูมิ รปู าวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และ โลกตุ ตรภมู ิ ตูข้าทั้งหลายจะ

ภาวนาสมถะกรรมฐานเจ้า สงิ่ ใดสงิ่ หนึ่งกด็ ี ต้ังแรกแต่ พระขทุ ทกาปีติ เจา้ เป็นโต และมี อสุภ

กรรมฐานเจา้ เป็นปรโิ ยสาน ขอใหต้ ูข้าท้ังหลายไดอ้ นมิ ติ สนิมติ ประการหนงึ่ เลา่ ขอให้ตขู า้

ท้ังหลายได้อุคคหนมิ ิต และ พระปฏิภาคนิมิตเจ้า จงมาต้งั อยใู่ นหอ้ งหนา้ แหง่ ตขู ้าทัง้ หลายทกุ

ทวิ าราตรี อยา่ ไดข้ าด ประการหนงึ่ เลา่ ขอให้ตูข้าท้ังหลายได้อุปจารสมาธิธรรมเจา้ และ อปั ปนา

สมาธิธรรมเจา้ ทกุ ประการ อักขระ และ พยัญชนะ อยา่ ใหเ้ สียสักผลสักอัน ใชแ่ ตเ่ ทา่ น้ัน ตขู ้า

ทั้งหลายปรารถนาภาวนาวปิ สั สนาปัญญาพระสพั พัญญูพระพุทธเจา้ ส่ิงใดสงิ่ หนง่ึ ก็ดี อนั แรก

แต่วิสุทธิศลี เจ้าเป็นโต และ มีอนโุ ลมญาณเจา้ เป็นปริโยสาน ขอให้ตูขา้ ท้งั หลายมสี ติ ศลี สมาธิ

ปญั ญาพระสพั พญั ญูพุทธเจ้า อันกลา้ อนั คมอนั เล็งแลดู พระไตรลกั ษณ์อนั หมายรูจ้ กั ยงั รูปธรรม

นามธรรม อันเปน็ ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา อันจะหมายหนวี ฏั ฏะสงสาร อันหาตอหามูลบ่มิได้

ขอให้ตูขา้ ทั้งหลายได้มรรคธรรม ผลธรรม นพิ พานธรรม ตามความปรารถนาแหง่ ตูขา้ ทัง้ หลาย

นีจ้ งทุกประการเถิดฯลฯ

ประการหน่งึ เล่าด้วยนามเจตนาแห่งตขู ้าทงั้ หลายอันได้สัมมาคารวะแก่เจา้ กแู กว้ ดังน้ีกด็ ี

สตั ว์ทง้ั หลายกต็ ามไดจ้ มอยูใ่ นท่รี า้ ย วา่ ยอยใู่ นอเวจี ทนทุกขเวทนาใน นรก เปรต ดิรจั ฉาน

อสรุ กาย ในอบายนนั้ ก็ดี ด้วยบญุ ญาราศีแหง่ ตขู ้าท้ังหลายนี้ จงไปค้าชูสัตว์น้นั ให้ขึ้นพ้นจาก

๒๓

ทกุ ข์ ใหไ้ ด้มาเสวยสขุ ในมนษุ สโลก ในเทวโลก ในนพิ พานเจา้ กม็ ดี ้วยประการฉะนท้ี ุกตัวทุก
ตนเถดิ ฯลฯ ประการหน่ึงเลา่ มหาอุรสุราช ผใู้ ดอันหากไดเ้ สวยสขุ น้นั เลา่ เปน็ ตน้ วา่ พระเจา้
แผน่ ดิน และ เสนาแลมหาอามาตย์แล อาณาประชาราษฏรทั้งหลายจงได้เสวยสุขนั้นเลา่ ใหย้ ่ิง
กวา่ ได้ร้อยเท่าพนั ทวี ด้วยบญุ ญาราศแี หง่ ตูข้าท้งั หลายไดส้ ัมมาคารวะแก่เจา้ กแู กว้ ทัง้ มวล ก็มี
ด้วยประการฉะนที้ ุกตัวทุกตนเถดิ ประการหน่งึ เล่าด้วยนามเจตนาแห่งตูขา้ ทัง้ หลายอันได้มา
สมั มาคารวะแก่เจ้ากูแก้วทั้งมวลดังนี้กด็ ี สัตว์ทั้งหลายฝูงใดอนั หากยังไดร้ ักษาชีวิตแห่งตนๆ กม็ ี
ดว้ ยประการฉนั ใด ฝงู สัตวท์ ั้งหลายจงรักษาชีวิตแหง่ ตูข้าท้งั หลาย กม็ ดี ว้ ยประการฉันน้นั ทกตวั
ทกุ ตนเถดิ ตูข้าทั้งหลายหากยงั ได้รกั ษาชวี ิตแหง่ ตนๆ และมีด้วยประการฉันใด ตขู ้าท้ังหลายน้ี
จงรักษาชวี ติ แหง่ ฝูงสตั ว์ท้ังหลาย ก็มีดว้ ยประการฉันนนั้ ฝงู สตั วท์ ้ังหลายจงมใี จเอ็นดกู รณุ าซึง่
กนั และกนั ไป มา แล ชักชวนกนั มาภาวนาสมถะกรรมฐาน และ วปิ สั สนากรรมฐาน เพือ่ จะหัก
เสียยงั ขนั ธ์ทัง้ หา้ และจะเอาตนเข้าส่นู ิพพานตามบรุ าณขณี าสพเจ้าท้ังหลายแตก่ าลก่อนโพน้ ฯ
ประการหน่ึงเล่า ด้วยนามเจตนาแห่งตูข้าทัง้ หลายอันได้สัมมาคารวะแกเ่ จา้ กูแกว้ ท้งั มวลดังน้กี ด็ ี
พรสปี่ ระการ คอื อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ หา้ กับท้ังปัญญาพระสพั พัญญูพุทธเจา้ หกกบั ทั้งพระ
นิพพาน อนง่ึ จงจาเรญิ สิรสิ วัสดี มีแก่ตูขา้ ทั้งหลายทุกตัวทุกตนเถิด จนตราบเทา่ เขา้ สนู่ ิพพาน
ธรรมเจา้ น้ี ทุกวนั เถดิ ฯ ประการหน่ึงเลา่ ด้วยนามเจตนาแหง่ ตขู ้าทั้งหลายอันไดร้ บี ร้อนห้อมยับ
มานบั นานแต่อนนั ตชาตสิ งสาร เปน็ ต้นวา่ ได้ใหท้ าน รักษาศลี ขึ้นไป เมตตาภาวนาตราบเท่า
กาลบดั น้กี ็ดี ด้วยบญุ ญาราศแี หง่ ตูข้าท้งั หลายจงไปคา้ ชทู ้าวจตุโลกบาลท้ังส่ี อนั อยู่รักษาพระ
ศาสนาพระสัพพญั ญพู ทุ ธเจ้าทไ่ี หว้ท่บี ูชาแก่เทพยดาทั้งหลาย ทุกตวั ทกุ ตน ตราบเท่าหา้ พนั พระ
วสา จงมสี วสั ดีจาเริญทุกวันเถิดฯ

อกุ าสะ อจจฺ โย โน ภนฺเต อชชฺ คมา ยถาพาเล ยถามฬู เห ยถาอกุสเล เย มย อกรมิ หา เอวมฺภนฺ

เต อจฺจโย โน ปฏคิ ฺคณฺหถ อายติง สงวฺ เรยยฺ ามิ ฯ
อุกาสะ ขา้ แตพ่ ระสพั พญั ญูพทุ ธเจ้า อนั พระองคอ์ าจนาสตั วท์ ้ังหลายเข้าส่นู พิ พาน ให้

เทา่ กับพระเจ้าทัง้ หลายแต่กาลก่อนโพ้น บดั เด่ยี วน้ีพระองค์อันจะนาสตั วท์ งั้ หลายเข้าสู่นพิ พาน
ยงั ไปมิได้เทา่ พระเจา้ ท้ังหลายแตก่ าลก่อนโพน้ บดั เดีย่ วน้พี ระองคอ์ ันประกอบดว้ ยพระมหา
กรุณาซงึ่ จะมาต้งั ยังไวพ้ ระศาสนา หา้ พันพระวะสา จงึ จะมีพระอริยโสดาบัน พระสกทาคามี
พระอนาคามี แลพระอรหันตเจา้ ทัง้ หลาย จงึ จะมานาสัตว์ทั้งหลายเขา้ ส่พู ระนพิ พานเท่าพระเจ้า
ทัง้ หลายแตก่ าลกอ่ นโพ้น บดั เดี่ยวนพ้ี ระสพั พัญญเู จา้ เล่า พระองค์ประกอบด้วยมหากรุณา จงึ จะ
มานาเอาตัวขา้ ทั้งหลายเขา้ ส่นู ิพพานในกาลบัดเดยี่ วน้ีแนแ่ ท้ดีหลี

๒๔

อุกาสะ ข้าจะปฏบิ ตั ติ ามคาสัง่ สอนของพระสัพพญั ญโู คดมเจา้ เล่า พระพทุ ธเจา้
ประกอบดว้ ยมหากรณุ าตั้งแรกแต่วันน้ไี ปเบ้อื งหนา้ ขา้ จะขอต้งั อยใู่ นพระไตรสรณะคมทั้งสาม
ประการ กับทั้งศลี หา้ ขอ้ คือ ปาฏิโมกขสังวรศีล อนิ ทรยี สังวร อาชวี ปาริสุทธ์ิศลี ปจั จยปจั จเวก
ขณะ และศลี น้ีให้เป็นนิจตราบเท่าส้ินชีวิตแหง่ ข้าพเจ้าน้ีเถิดฯ ขา้ แตพ่ ระสพั พัญญูพทุ ธเจ้า
พระองคอ์ ันประกอบดว้ ยมหากรุณา พระองค์จงรู้ว่าขา้ พเจา้ น้ีตงั้ อย่ใู นพระไตรสรณะคมทงั้ สาม
ประการ กบั ท้ังศีลหา้ ขอ้ ใหจ้ งเปน็ นิจตราบเทา่ ส้นิ ชวี ิตแหง่ ข้าพเจา้ นเ้ี ถิดฯ ถ้าจะภาวนาอนั ใดอนั
เช่ือถอื เข้าเถิดฯ ขา้ จะภาวนาพระพุทธคุณเจ้าเพ่ือจะขอเอา พระปีตธิ รรมเจ้าทง้ั ห้านจ้ี งได้ ขอ
พระพุทธเจา้ จงมาเปน็ ที่พ่ึงแก่ขา้ นีเ้ ถดิ ฯ ขอพระธรรมเจ้าท้ังมวลจงมาเป็นที่พง่ึ แก่ขา้ นเ้ี ถดิ ฯ ขอ
พระอรยิ ะสงฆเ์ จา้ ทั้งหลายตัง้ แรกแตพ่ ระมหาอัญญาโกญฑญั ญะเถรเจา้ โพน้ มา ตราบเทา่ ถึง
พระสงฆ์สมมุตใิ นกาลบดั น้ีจงมาเป็นทพ่ี ึง่ แกข่ ้าน้เี ถิด ขอพระอริยะสงฆ์เจา้ องค์ตน้ อันสอนพระ
กรรมฐานเจา้ ท้ังมวลจงมาเป็นท่ีพึ่งแก่ข้านีเ้ ถิดฯ ขอพระกรรมฐานเจ้าทงั้ มวลจงมาเป็นท่พี งึ่ แก่
ขา้ นเี้ ถิดฯ

อุกาสะ ในทนี่ ้เี ล่า ขา้ จะขอปฏิบัติบูชาตามคาสง่ั สอนของพระสัพพญั ญูพทุ ธเจา้ ข้าจะขอเอา
พระปตี ธิ รรมเจ้าท้ังหา้ แล พระยคุ ลธรรมทั้งหก พระสขุ พระอปุ จารสมาธธิ รรมเจา้ ในหอ้ งพระ
พุทธคุณเจา้ น้จี งมาบงั เกิดแก่ข้าดว้ ยคาว่า อิติปโิ ส ภควา อรห สมฺมาสมฺพทุ โธ วิชชาจรณะ สมปฺ นฺ
โน สุคโต โลกวทิ ู อนุตตฺ โร ปรุ สิ ทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสสาน พทุ โธ ภควาติ สมมฺ าอรห สมมฺ า

อรห สมมฺ าอรห อรห อรห อรหฯ
อกุ าสะ ในทน่ี ้ีเล่า ขา้ ฯจะขอปฏบิ ตั บิ ชู าตามคาสัง่ สอนของพระสัพพัญญพู ุทธเจา้ เพอ่ื จะขอ

เอายังพระลักษณะ ขทุ ฺทกาปีติ เบื้องทอ่ นตน้ ในห้องพระสพั พัญญพู ุทธเจ้าน้ีจงมาบังเกิดแก่ข้าฯ
ในท่ีนี้เลา่ ขา้ ฯจะขอเอายงั พระลักษณะ พระขณกิ าปตี ิ เบือ้ งอนั ทอ่ นสองในหอ้ งพระสัพพญั ญู
พทุ ธเจ้านจ้ี งมาบังเกดิ แก่ข้าฯ ในท่นี ้เี ล่า ขา้ ฯจะขอเอายงั พระลกั ษณะ พระโอกกนตฺ ิกาปีติ เบ้ือง
อนั ทอ่ นสามในห้องพระสัพพัญญพู ุทธเจ้านี้จงมาบังเกดิ แกข่ ้าฯ ในทนี่ ้เี ลา่ ขา้ ฯจะขอเอายงั พระ
ลกั ษณะ พระอุพเพงคาปีติ เบ้ืองอันทอ่ นสใี่ นห้องพระสัพพัญญพู ุทธเจ้านี้จงมาบงั เกดิ แก่ข้าฯ
ในที่นี้เลา่ ขา้ ฯจะขอเอายังพระลักษณะ พระผรณาปีติ เบ้อื งอนั ทอ่ นหา้ ในห้องพระสัพพญั ญู
พทุ ธเจา้ นี้จงมาบังเกดิ แก่ข้าพเจา้ คร้นั ขา้ ไดย้ ังพระลกั ษณะทง้ั หา้ นี้แล้ว ขา้ ฯจะขอเขา้ ลาดบั เจา้ กู
เป็นอนโุ ลม เป็นปฏิโลมฯ แล้วขา้ ฯจะขอเขา้ สบั เจ้ากูเป็นอนโุ ลม เปน็ ปฏิโลมฯ แลว้ ขา้ ฯจะขอ
เขา้ คบื เจา้ กูเปน็ อนุโลม เปน็ ปฏิโลมฯ แลว้ ขา้ ฯจะขอเขา้ วดั เจ้ากเู ปน็ อนโุ ลม เปน็ ปฏิโลมฯ แลว้
ข้าฯจะขอเขา้ สะกดเจา้ กูเปน็ อนุโลม เปน็ ปฏิโลมฯ

๒๕

อุกาสะในที่น้ีเล่า ขา้ ฯจะขอปฏบิ ัตติ ามคาสง่ั สอนของพระสพั พัญญูพทุ ธเจา้ ข้าฯจะขอเอา
ยงั พระลักษณะ พระขทุ ทฺ กาปตี ิ ทอ่ นต้น ในหอ้ งพระพทุ ธคุณพระสัพพัญญูพทุ ธเจา้ จงมาบังเกดิ
อยใู่ นจักขทุ วาร มโนทวาร และ กายทวาร แห่งขา้ ฯในขณะเมอ่ื ข้านั่งภาวนาน้ี แดนใดแล ขา้ ฯยัง
ไปบม่ ิได้ในพระลักษณะพระขทุ ทฺ กาปีติ เจ้าน้หี นา แม้นว่าเนื้อข้าปอก เลือดข้าแห้ง เอ็นขา้ ดา้ น
หลงั ขา้ ปอก กระดูกอยเู่ ท่าดังน้ันก็ดี สว่ นวา่ ชีวิตข้านย้ี ังคอ่ ยเปน็ ไป ขา้ ฯจะคอ่ ยกระทาเพยี รขอ
เอายงั พระลักษณะ พระขุทฺทกาปีตเิ จา้ นจ้ี งได้ ในขณะเม่อื ขา้ ฯน่งั ภาวนาดว้ ยคาสัตยอ์ ันมีแห่งขา้
แนแ่ ทด้ ีหลี ข้าฯจะค่อยบรกิ รรมไปว่า พทุ โธ พุทโธ พุทโธ ไดล้ ะรอ้ ยที ได้ละพนั ที แลขา้ ฯ จะ
ค่อยบรกิ รรมไปว่า พทุ โธ ไดล้ ะรอ้ ยที ได้ละพันที แลข้าจะทอดสติไว้ในห้องหทยั วัตถุ แลว้ ข้า
ฯจะค่อยพจิ ารณาดูธรรมานธุ รรมปฏบิ ตั ิ อนั เกดิ ในขนั ธ์ทงั้ ห้า คือ รปู ขนั ธ์ เวทนาขันธ์ สัญญา
ขนั ธ์ สังขารขนั ธ์ วญิ ญาณขันธ์ แล้วขา้ จะค่อยพิจารณาดยู งั พระลกั ษณะรสปะทฏั ฐานะธรรม อัน
พลดั พรากจากขนั ธท์ ้งั ห้า ในทีน่ ี้เล่า ข้าฯจะขอเอายงั พระลักษณะพระขทุ ทฺ กาปตี ิเจา้ จงมาบังเกิด
แก่ข้าฯในขนั ธ์ทัง้ หา้ แกข่ า้ ดังเก่า ขา้ ฯจะขอเข้าอยู่ใหร้ จู้ กั รสปตี แิ หง่ พระขทุ ทฺ กาเจ้านี้ จงมา
สญั ญาแก่ข้ากอ่ นเถิดฯนิพพานปัจจะโยโหนตุ ชอื่ วา่ อจจฺ โย โน ภนเฺ ต แล้ว พระพทุ ธเจา้ เปน็ ทพ่ี ึ่ง
แก่ขา้ พระธรรมเจ้าเปน็ ทพี่ ่งึ แกข่ า้ พระอรยิ สงฆ์เจ้าเปน็ ทพ่ี งึ่ แก่ขา้ พระอรยิ สงฆผ์ สู้ อนพระ
กรรมฐานเจ้าองค์ต้นจงมาเปน็ ทพ่ี งึ่ แก่ข้า พระกรรมฐานเจา้ ทงั้ มวลจงมาเปน็ ท่ีพึ่งแกข่ ้า ขา้ จะ
ภาวนาพระพทุ ธคณุ เจา้ เพอ่ื จะขอเอายังพระลักษณะ พระขุททฺ กาปีติธรรมเจ้า จงมาสัญญาแก่
พระอริยะเจ้าแต่กอ่ นโนน้ ฉันใด จงมาสัญญาแกข่ ้านี้เถิด ดว้ ยคาขา้ ว่า อิติปิโส ภควา ฯลฯ

ข้าฯจะขอภาวนาอานาปานสตธิ รรมเจ้า เพ่ือขอเอายัง อคุ คฺ หนมิ ิต และ ปฏิภาคนมิ ติ ใน
หอ้ งอานาปานสตเิ จ้านี้จงได้ ขอพระพุทธเจา้ จงมาเป็นท่ีพงึ่ แกข่ ้านีเ้ ถดิ ฯลฯ ขอพระกรรมฐานเจา้
ท้ังมวลจงมาเปน็ ทพี่ ่งึ แก่ข้าน้เี ถิด ฯ

อกุ าสะ ในท่นี เี้ ล่า ขา้ จะขอปฏบิ ัติบชู าตามคาสงั่ สอนของพระสพั พัญญโู คดมพทุ ธเจ้า ข้าฯ
จะขอเอา อคุ คฺ หนิมิต และ ปฏภิ าคนิมติ ในหอ้ งอานาปานสตเิ จา้ น้ี จงมาบังเกิดแกข่ า้ ด้วยคาขา้ วา่

อติ ิปโิ ส ภควา ฯลฯ สมฺมาอรห ๓ ที อรห ๓ ที
อุกาสะ ในท่นี เี้ ลา่ ข้าฯจะขอปฏิบตั บิ ชู าตามคาสั่งสอนของพระสพั พญั ญพู ุทธเจ้า เพือ่ จะขอ

เอาอุคคหนมิ ิตในหอ้ งอานาปานสตเิ จ้าน้จี งมาบังเกิดอยู่ใน จกั ขทุ วาร มโนทวาร กายทวาร แหง่
ข้าฯในขณะเมื่อขา้ น่ังภาวนา แดนใดแลขา้ ยังไปบ่มิได้ในอคุ คหนมิ ติ เจา้ น้หี นา แมน้ ว่าเนือ้ ข้าฯ
ปอกฯลฯ เทา่ ดังนั้นกด็ ี อันว่าชวี ติ นข้ี ้ายงั ค่อยเป็นไป ขา้ ฯจะคอ่ ยกระทาเพียรเพ่อื ขอเอายงั อุคคห
นมิ ิต ในห้องอานาปานสตเิ จ้าน้จี งได้ ในขณะเม่ือข้าฯน่งั ภาวนาด้วยคาสัตยอ์ ันมีแหง่ ข้าฯแนแ่ ท้

๒๖

ดหี ลี ข้าฯจะคอ่ ยบรกิ รรมไปวา่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ได้ละรอ้ ยที ไดล้ ะพันที แลว้ ขา้ ฯจะขอเอาอคุ คห
นิมติ ในห้องอานาปานสตเิ จา้ ขอฯจงเจา้ กูมาสัญญาแกข่ ้าใหร้ ้ทู ีเถดิ ฯ นพิ พานปัจจะโย โหนตุ ฯ
ขา้ ฯจะขอภาวนากายคตาสติเจ้า เพือ่ จะขอเอาอคุ คหนิมติ และ ปฏภิ าคนิมติ เจา้ น้ีจงได้ ขอ
พระพุทธเจา้ จงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าฯน้เี ถิดฯลฯ

อุกาสะ ในทนี่ ้ีเล่าขา้ ฯจะขอปฏิบตั บิ ูชาตามคาสง่ั สอนของพระสัพพัญญพู ทุ ธเจ้า เพือ่ จะ
ขอเอาอคุ คหนมิ ติ และ ปฏิภาคนมิ ิตในหอ้ งกายคตาสตเิ จ้านี้จงได้ จงมาบังเกดิ แกข่ า้ ดว้ ยคาขา้ ฯ
วา่ อิติปโิ ส ภควา ฯลฯ สมมฺ าอรห ๓ ที อรห ๓ ที แลว้ คอ่ ยภาวนาไปวา่ เกสา เกสา ไดล้ ะรอ้ ยที
ได้ละพันที

อุกาสะ ในทนี่ ้ีเล่า ขา้ ฯจะขอปฏบิ ัติตามคาส่งั สอนของพระสัพพญั ญูพทุ ธเจ้า เพ่ือจะขอเอา
อคุ คหนิมติ ในห้องกายคตาสตเิ จ้านจ้ี งได้ จงมาบังเกิดอย่ใู นจักขทุ วาร มโนทวาร กายทวาร แห่ง
ขา้ ฯในขณะเมือ่ ขา้ ฯน่ังภาวนานี้ แดนใดแลข้ายงั ไปบ่มิไดใ้ นอุคคหนมิ ิตในหอ้ งกายคตาสตเิ จ้าน้ี
หนา แม้นว่าเน้ือขา้ ปอก เอ็นขา้ ด้าน หลงั ข้าปอก กระดกู อยูเ่ ท่าดังน้ันกด็ ี สว่ นวา่ ชีวิตน้ขี ้ายงั ค่อย
เป็นไป ขา้ ฯจะคอ่ ยกระทาเพียร เพ่ือขอเอาอคุ คหนมิ ติ ในห้องกายคตาสติเจ้านีจ้ งได้ ในขณะเมอ่ื
ข้าฯนงั่ ภาวนาด้วยคาสตั ยอ์ ันมีแห่งข้าฯ น้ีแน่แท้ดหี ลี ข้าจะคอ่ ยบรกิ รรมไปว่า เกสา เกสา เกสา
ไดล้ ะร้อยที ได้ละพันที ขา้ ฯจะขอเอาอคุ คหนิมติ ในหอ้ งอคุ คหนิมติ ในห้องกายคตาสตเิ จ้าน้ีจง
ได้ ขอจงเจา้ กมู าสญั ญาแก่ข้าฯให้รู้ทีเถดิ ฯ นพิ พาน ปจั จะโย โหนตุฯ

อุกาสะ ในทนี่ เ้ี ล่า ขา้ ฯจะขอปฏบิ ตั ิบูชาตามคาสงั่ สอนของพระสพั พญั ญพู ุทธเจ้า เพ่อื จะขอ
เอา อุคคหนมิ ติ และปฏภิ าคนมิ ติ ในห้องปฐวกี สณิ เจา้ นีจ้ งได้ จงมาบังเกดิ แก่ข้าด้วยคาขา้ ฯว่า อิ
ตปิ โิ ส ภควา ฯลฯ สมฺมาอรห ๓ ที อรห ๓ ที

อุกาสะ ในทน่ี เี้ ลา่ ข้าฯจะขอปฏิบตั ิบูชาตามคาส่ังสอนของพระสัพพัญญูพทุ ธเจา้ เพอื่ จะขอ
เอา อคุ คหนมิ ติ และ ปฏิภาคนิมติ จงมาบงั เกิดอยู่ในจักขุทวาร มโนทวาร กายทวาร แห่งข้าฯ
ในขณะเมอื่ ข้าฯน่ังภาวนาอย่นู เ้ี ถิดฯ แดนใดแลข้าฯยังไปบ่มไิ ด้ ในอุคคหนมิ ติ และ ปฏิภาคนมิ ติ
ในห้องปฐวีกสณิ เจา้ นห้ี นา แม้นวา่ เนือ้ ข้าฯปอก เลือดข้าฯแหง้ เอ็นขา้ ฯด้าน กระดูกอยู่เท่าดงั นนั้
ก็ดี สว่ นวา่ ชีวิตน้ขี ้าฯยังคอ่ ยเป็นไป ขา้ ฯจะค่อยกระทาเพียร เพือ่ ขอเอาอคุ คหนมิ ติ และ ปฏิภาค
นมิ ติ ในห้องปฐวกี สิณเจา้ นจ้ี งได้ ในขณะทข่ี า้ ฯนง่ั ภาวนาด้วยคาสตั ย์อันมแี หง่ ข้าแน่แท้ดีหลี ขา้
ฯจะคอ่ ยบริกรรมไปว่า ปฐวี ปฐวี ปฐวี ไดล้ ะร้อยที ไดล้ ะพนั ที ขอจงเจ้ากูมาสญั ญาแก่ข้าฯใหร้ ู้
ทีเถดิ ฯ นพิ พาน ปจั จะโย โหนตุ ฯ

๒๗

อุกาสะ ในท่นี ีเ้ ลา่ ข้าฯจะขอปฏบิ ตั ิบชู าตามคาสั่งสอนของพระสพั พญั ญูพุทธเจ้า เพือ่ จะ
ขอเอาอคุ คหนมิ ติ และ ปฏิภาคนิมิตในห้อง อทุ ธุมาตกะอสภุ ะกรรมฐานเจา้ น้ีจงได้ จงมาบังเกิด
แก่ขา้ ฯด้วยคาข้าฯว่า อติ ปิ ิโส ภควา ฯลฯ สมฺมาอรห ๓ ที อรห ๓ ที แลข้าฯจะขอเอาอุคคหนมิ ิต
และปฏภิ าคนมิ ิตในห้องอทุ ธมาตกะอสภุ ะกรรมฐานเจ้านจ้ี งได้ จงมาบังเกิดอย่ใู น จกั ขทุ วาร
มโนทวาร กายทวาร แห่งข้าฯในขณะเมอื่ ข้านัง่ ภาวนาอยนู่ ้เี ถดิ ฯ แดนใดแลข้าฯยงั ไปบม่ ิได้ใน
อุคคหนมิ ิต และปฏิภาคนิมิตในห้องอทุ ธุมาตกะอสุภะกรรมฐานเจา้ นหี้ นา แม้นวา่ เนื้อข้าปอก
เลือดขา้ แห้ง สันหลงั ขา้ ฯปอก ส่วนวา่ ชวี ิตน้ีขา้ ฯยังคอ่ ยเป็นไป ข้าฯจะค่อยกระทาเพียร เพอ่ื ขอ
เอาอคุ คหนมิ ติ และ ปฏิภาคนมิ ิตในหอ้ งอุทธมาตกะอสภุ ะเจา้ น้จี งได้ ในขณะเมอ่ื ขา้ ฯน่ังภาวนา
นีด้ ้วยคาสตั ยอ์ ันมแี ห่งข้าแนแ่ ท้ดหี ลี และข้าจะคอ่ ยบริกรรมไปว่า อุทธุมาตกงั อทุ ธมุ าตกงั อุท
ธุมาตกัง ได้ละรอ้ ยที ได้ละพนั ที ขอจงเจา้ กมู าสญั ญาแกข่ า้ ฯใหร้ ้ทู เี ถดิ นิพพาน ปจั จโย โหนตฯุ

อุกาสะ ข้าจะขอปฏิบัติบชู าตามคาสง่ั สอนของพระสัพพญั ญพู ทุ ธเจา้ ข้าจะขอเอาอุปจาร
สมาธิ อปั นาสมาธิในหอ้ งอสภุ ะกรรมฐานเจา้ นห้ี นาจงมาบงั เกิดแกข่ า้ ดว้ ยคาขา้ ว่า อติ ิปโิ ส
ภควา ฯลฯ สมฺมาอรห ๓ ที อรห ๓ ที

อุกาสะในที่น้ีเลา่ ข้าฯจะขอปฏิบัตบิ ูชาตามคาสั่งสอนของพระสัพพญั ญพู ุทธเจา้ เพอ่ื จะขอ
เอายังปฐมฌานในห้องอทุ ธมุ าตกะกรรมฐานเจา้ นจี้ งได้ จงมาบังเกิดในจักขุทวาร มโนทวาร
กายทวาร แห่งข้าในขณะเมื่อข้าฯนัง่ ภาวนาน้ี แดนใดแลขา้ ฯยงั ไปบม่ ิได้ในปฐมฌานในหอ้ งอทุ
ธมุ าตกะอสภุ ะกรรมฐานเจา้ นหี้ นา แมน้ ว่าเนือ้ ขา้ ปอก เลือดข้าแห้ง เอ็นข้าด้าน กระดูกอย่เู ทา่
ดังนน้ั ก็ดี สว่ นวา่ ชวี ิตน้ขี า้ ฯยงั คอ่ ยเป็นไป ขา้ ฯจะค่อยกระทาเพยี ร ขอเอาปฐมฌานอัน
ประกอบด้วยองค์ห้าประการคือ วิตก วจิ าร ปตี ิ สขุ เอกคั คตา อเุ บกขา และขอเอาทุตยิ ฌานอนั
ประกอบด้วยองค์สี่ คือ วจิ าร ปีติ สุข เอกัคคตา อเุ บกขา และขา้ จะขอเอายังตตยิ ฌานอนั
ประกอบด้วยองคส์ าม คอื ปตี ิ สุข เอกัคคตาอุเบกขา บดั นี้พระอาจารยเ์ จา้ ทั้งหลายยังว่าหยาบนัก
เป็นโลกียธรรม รู้ฉบิ ร้หู าย รูเ้ กดิ ร้ตู าย บัดน้ขี า้
ฯจะหน่ายเสยี ข้าฯจะขอภาวนาเอาจตุตถฌาน อันประกอบดว้ ยองค์สองคอื สุข เอกัคตา อุเบกขา
อนั แขวนสขุ มุ าลชาติเจ้านจ้ี งได้ ขา้ ฯจะขอเขา้ อยู่นานประมาณหมากเคย่ี วคาหน่งึ จดื ขา้ ฯจึงจะ
ออกจากฌาน ขอจงเจ้ากูมาสัญญาแกข่ ้าให้รูท้ ีเถดิ แลขา้ ฯจะขอเอาปัญจมฌานอนั ประกอบดว้ ย
องคส์ อง คอื อเุ บกขา เอกคั คตา อันแขวนสขุ มุ าลชาติเจ้านี้จงได้ ขา้ ฯจะขออยนู่ านหมากคาเดียว
หนงึ่ จืด ข้าฯจะออกขอจงเจ้ากูมาสญั ญาแกข่ า้ ฯให้รทู้ เี ถิดฯ นิพพาน ปจั จโย โหนตฯุ

๒๘

อุกาสะ ขา้ ฯจะขอภาวนาเอายังอนุสสติกรรมฐานเจ้านี้จงได้ เพอื่ จะขอเอาอปุ จารสมาธิเจา้ นี้จง

ได้ ขอพระพทุ ธเจ้าจงมาเปน็ ที่พง่ึ แก่ขา้ นเ้ี ถิดฯลฯ ขอพระกรรมฐานเจา้ ท้ังมวลจงมาเปน็ ทีพ่ ึง่ แก่

ข้านเ้ี ถดิ ฯ

อุกาสะในทีน่ เ้ี ลา่ ข้าฯจะปฏิบตั ติ ามคาส่ังสอนของพระสัพพญั ญูพทุ ธเจา้ เพ่อื จะขอเอา

อปุ จารสมาธิในหอ้ งอนสุ ติเจา้ น้ีจงได้ จงมาเกดิ แก่ขา้ ฯ ด้วยคาข้าฯวา่ อติ ปิ โิ ส ภควาฯลฯ สมฺมา

อรห ๓ ที อรห ๓ ที ในท่นี เี้ ลา่ ข้าฯ จะขอปฏบิ ตั ิบูชาตามคาสง่ั สอนของพระสัพพญั ญูโคดมเจา้

เพ่ือจะขอเอาอปุ จารสมาธิในหอ้ งอนุสติเจ้านจ้ี งได้ ขอจงเจ้ากูมาบังเกิดปรากฏอยใู่ น จักขทุ วาร

มโนทวาร กายทวาร แหง่ ข้าฯในขณะเม่อื ขา้ ฯนงั่ ภาวนานี้ แดนใดแลข้าฯยงั ไปบม่ ไิ ดใ้ นอุปจาร

สมาธิในหอ้ งอนุสติเจา้ แม้นวา่ เน้ือข้าปอก เลอื ดขา้ แห้ง เอน็ ขา้ ดา้ น หลังข้าปอก กระดูกอยเู่ ท่า

ดังน้ันก็ดี ส่วนวา่ ชวี ติ นขี้ ้าฯยังค่อยเปน็ ไป ข้าจะค่อยกระทาเพยี รขอเอายังอปุ จารสมาธใิ นห้อง

อนสุ ติเจา้ นี้จงได้ ข้าจะคอ่ ยภาวนาไปวา่ ธมั โม ธัมโม ธมั โม ไดล้ ะรอ้ ยที ได้ละพันทีขอจงเจ้ากู

มาสัญญาแก่ข้าฯให้รทู้ ีเถิดฯ นพิ พาน ปัจจโย โหนตุฯ

ข้าฯจะขอภาวนาพรหมวหิ ารเจ้า สี่ประการ มเี มตตาพรหมวิหารเจา้ เปน็ ต้น กรณุ าเจ้าท่อน

สอง มุทติ าเจ้าท่อนสาม อุเบกขาเจ้าท่อนสี่ ข้าฯจะขอเอาอปุ จารสมาธิ อปั ปนาสมาธธิ รรมเจ้านี้

จงได้ ขอพระพทุ ธเจา้ จงมาเปน็ ทพี่ ึง่ แกข่ ้านี้เถิดฯลฯ ขอพระกรรมฐานเจ้าท้งั มวลจงมาเป็นทีพ่ ง่ึ

แกข่ า้ ฯนี้เถิด

อกุ าสะ ในที่น้เี ลา่ ขา้ จะขอเชญิ ปฏิบัติตามคาส่ังสอนของพระสพั พัญญโู คดมเจ้า ข้าฯจะขอ

เอาอุปจารสมาธิ อปั ปนาสมาธิในหอ้ งเมตตาพรหมวิหารเจา้ นจ้ี งได้ จงมาบงั เกดิ แกข่ า้ ฯด้วยคา

ขา้ ฯว่า อติ ิปโิ ส ภควา ฯลฯ สมฺมาอรห ๓ ที อรห ๓ ที

อุกาสะในทีน่ ้ีเล่า ขา้ จะขอปฏบิ ตั บิ ูชาในห้องเมตตาพรหมวิหาร ด้วยคาขา้ ฯวา่

อห สุขโิ ต โหมิ ขอเราจงเป็นผถู้ งึ ความสขุ

อห อเวโร โหมิ ขอเราจงเป็นผไู้ ม่มีเวร

อห อพฺยาปชฺโฌ โหมิ ขอเราจงเป็นผู้ไมม่ คี วามเบียดเบยี น

อห อนโี ฆ โหมิ ขอเราจงเป็นผูไ้ มม่ คี วามคบั แคน้

สุขี อตั ฺตาน ปริหฺรามิ ขอเราเปน็ ผมู้ ีความสุขรักษาตน

อตตฺ สุขฺขี ขอตัวเราจงมีความสขุ

สุขี ขอเราจงเปน็ ผ้มู ีสขุ

๒๙

ขา้ ฯจะขอเอายังบุญกุศล คืออนั ใหข้ า้ มีสุข ตามสัตว์ท้งั หลายทง้ั มวล ตราบเทา่ ถงึ อเวจี
มหานรก อนันตจักรวาล อกนิฏฐพรหมโพน้ มาเพมิ่ มาแถม ผล ยงั กุศลผลบุญแห่งขา้ ฯ คือใหข้ า้
ฯมีสขุ นี้กับหมสู่ ัตว์ทั้งหลาย ทัง้ ถงึ อเวจีมหานรก อนันตจักรวาล และอกนฏิ ฐพรหมโพน้ ทกุ ตัว
ทุกตนเถดิ ฯ ขา้ ฯจะไดม้ กี ุศลผลบุญ มคี วามสุขในมนสุ โลก ในเทวโลก ในนพิ พานเจา้ แลมดี ้วย
ประการฉนั ใด ข้าฯก็ยอ่ มจักใหส้ ตั วท์ ั้งหลายทัง้ มวลมกี ศุ ลผลบุญ มีความสุขในมนุสโลก ในเท
วโลก ในนพิ พานท่ีกล่าวมาแล้วขา้ งต้น ๗ บทนี้ แลขา้ ขอแผ่เมตตาให้ตง้ั แรกแตส่ ตั วอ์ ันมีในตัว
แหง่ ข้าฯนี้ เป็นตน้ ว่า หนอนกด็ ี ขอใหม้ คี วามสขุ กับหมู่สัพพสัตวท์ ้ังหลายท้ังมวลตราบเท่าถึง
อเวจีมหานรก อนนั ตจักรวาล และอกนฏิ ฐพรหมโพ้น ทกุ ตวั ทกุ ตนเถิดฯ

อกุ าสะในที่นีเ้ ลา่ ข้าฯจะขอปฏิบัตบิ ชู าตามคาสั่งสอนของพระสัพพัญญพู ุทธเจา้ เพ่อื จะขอ
เอา อุปจารสมาธิ แล อัปปนาสมาธิ ในหอ้ งเมตตาพรหมวหิ ารเจา้ น้ี จงมาบังเกดิ อยใู่ นจักขุทวาร
มโนทวาร กายทวาร แหง่ ขา้ ฯในขณะเมอื่ ข้าฯนงั่ ภาวนาน้ี แดนใดแลข้าฯยงั ไปบ่มิได้ใน อุปจาร
สมาธิ และอปั ปนาสมาธิ เมตตาพรหมวิหารเจ้านห้ี นา แมน้ ว่าเนอ้ื ขา้ ฯปอก เลือดข้าฯแหง้ เอ็นข้า
ฯดา้ น สนั หลงั ข้าฯปอก กระดูกอยูเ่ ท่าดงั นั้นก็ดี ส่วนวา่ ชวี ติ นขี้ า้ ฯยังคอ่ ยเปน็ ไป ข้าฯจะคอ่ ย
กระทาเพยี ร ขอเอาอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธใิ นหอ้ งเมตตาพรหมวหิ ารเจา้ นจ้ี งได้ ในขณะเมือ่
ข้าฯนงั่ ภาวนาดว้ ยคาสตั ย์อนั มแี ห่งขา้ ฯแนแ่ ท้ดหี ลี ขา้ จะค่อยบริกรรมไปวา่ อะหัง สุขิโต โหมิ
เป็นตน้ ได้ละรอ้ ยที ได้ละพนั ที และข้าฯจะทอดสตไิ ว้ในหทัยวตั ถุ และขา้ จะค่อยบรกิ รรมเอา
ยังธมั มานธุ ัมมปฏบิ ัติ อันเกดิ ในขณะทงั้ ห้าแหง่ ข้าฯ อันวา่ อุปจารสมาธิเจ้า อัปปนาสมาธเิ จา้ ใน
ห้องเมตตาเจ้านี้หนา บดั นีข้ ้าฯจะขอภาวนาขอเอายังธรรมานธุ รรมปฏบิ ัติอันแขวนสขุ ุมาลเจา้ น้ี
จงได้ ขอเจา้ กูมาสัญญาแก่ขา้ ฯให้รู้ทีเถิดฯนพิ พาน ปจั จโย โหนตฯุ ข้าฯจะภาวนาอรปู ฌาน
สมาบัตเิ จา้ สปี่ ระการ คือ อากาสานัญจายตนเป็นต้น วิญญาณญั จายตนท่อนสอง อากิญจญั ญายต
นทอ่ นสาม เนวสัญญานาสัญญายตนท่อนส่ี ขา้ ฯจะขอเอาอุปจารสมาธิ อปั ปนาสมาธิเจา้ น้จี งได้
ขอพระพทุ ธเจ้าจงมาเป็นที่พ่งึ แก่ขา้ ฯนี้เถิด ฯลฯ

อุกาสะในทีน่ เ้ี ล่า ขา้ ฯจะขอปฏิบตั บิ ชู าตามคาสงั่ สอนของพระสพั พญั ญโู คดมเจา้ เพอ่ื จะ
ขอเอาอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิจงมาเกดิ แกข่ ้าฯด้วยคาขา้ ฯวา่ อติ ิปโิ ส ภควา ฯลฯ สมมฺ าอรห
๓ ที อรห ๓ ที ในท่นี ้ีเลา่ ขา้ ฯจะขอปฏบิ ัติตามคาสงั่ สอนของพระสพั พัญญโู คดมเจ้า ขา้ ฯจะขอ
เอาอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ในหอ้ งอากาสานัญจายตน ปฐมอรูปฌานสมาบัติ จงมาบงั เกดิ ใน
จักขทุ วาร มโนทวาร กายทวาร แห่งขา้ ฯในขณะเมอ่ื ขา้ ฯนั่งภาวนาน้ี แดนใดแลขา้ ฯยังไปบ่มไิ ด้
ในอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิในห้องอากาสานัญจายตนปฐมอรูปฌานสมาบัตเิ จ้านีห้ นา แม้นว่า

๓๐

เนือ้ ขา้ ฯปอก เลอื ดขา้ ฯแหง้ เอ็นขา้ ฯดา้ น กระดกู อยูเ่ ท่าดังนั้นกด็ ี สว่ นว่าชีวิตน้ีขา้ ฯยงั ค่อย

เป็นไป ขา้ จะคอ่ ยกระทาเพียร ขอเอาอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิในห้องอากาสานัญจายตนปฐม

อรปู ฌานสมาบัตเิ จา้ นจี้ งได้ ในขณะเมือ่ ข้าฯน่ังภาวนาดว้ ยคาสัตย์อนั มีแหง่ ข้าฯแน่แทด้ ีหลี ขา้

จะค่อยบรกิ รรมไปวา่

อากาโส อนนฺโต ไดล้ ะร้อยที ไดล้ ะพนั ที

วญิ ญาณ อนนฺต ไดล้ ะรอ้ ยที ไดล้ ะพนั ที

นิตฺถิ กิญจิ ได้ละร้อยที ได้ละพนั ที

เอต สนฺต เอต ปณตี ไดล้ ะร้อยที ได้ละพนั ที

และขา้ ฯจะขอเอายังธมั มานุธัมมะปฏิบัตใิ นขณะทั้งห้า คอื อาวัชชนวสี สมาปัชชนวสี

อธิฏฐานวสี วุฏฐานวสี และ ปัจจเวกขณวสี และขา้ ฯจะค่อยพิจารณาเอายังพระลักษณะรส

ปทฏั ฐาน อนั วา่ อุปจารสมาธิ อปั ปนาสมาธิ ในห้องอากาสานญั จายตนปฐมอรูปฌานสมาบัติเจ้า

นี้หนา จงมาสญั ญาแกข่ ้าฯให้รู้ทเี ถดิ ฯ นพิ พาน ปจั จโย โหนตุฯ

ข้าฯจะขอภาวนาวิปสั สนาปัญญาพระสัพพัญญูพุทธเจ้า เพือ่ จะขอเอายังพระปรมัตธรรม

นิพพานเจ้าน้ีจงได้ฯลฯ ขอพระพุทธเจ้าจงมาเป็นท่ีพึง่ แก่ขา้ ฯนีเ้ ถิด ฯลฯ

อกุ าสะในทีน่ ี้เล่า ข้าฯจะขอปฏบิ ตั ิบชู าตามคาส่งั สอนของพระสัพพญั ญพู ทุ ธเจา้ ขา้ ฯจะขอ

เอาพระสตปิ ัญญาพระสพั พญั ญูพทุ ธเจา้ อันช่ือว่า สัมมสนญาณ อุทยพฺพยญาณ ภงฺคญาณ ภย

ตปู ฏฐฺ านญาณ อาทีนวญาณ นพิ พทิ าญาณ มญุ จติ กุ ามยตาญาณ ปฏิสงขฺ าญาณ สงขฺ ารเุ บกขา

ญาณ อนโุ ลมญาณ จงมาบังเกิดแกข่ ้าฯ ด้วยคาขา้ ฯว่า อิติปิโส ภควา ฯลฯ สมมฺ าอรห ๓ ที อรห

๓ ที

ในทีน่ ้เี ลา่ ขา้ ฯจะขอปฏบิ ัตบิ ชู าตามคาสั่งสอนของพระสัพพญั ญูพทุ ธเจา้ เพ่อื จะขอเอายงั ขา้ ฯ

จะขอเอายงั พระสติปัญญาพระสพั พัญญพู ุทธเจ้า ในบทอนั ชอื่ ว่า สัมมสนญาณ ฯลฯ จงมาบังเกดิ

แกข่ า้ ฯดว้ ยคาข้าฯว่า

นามรูปํ อนิจจ ขยตเฺ ถน

นามรูปํ ทุกข ภยตฺเถน

นามรปู ํ อนตฺตา อสารกตเฺ ถน

นามรปู ํ อนิจฺจ นจิ จ วต นพิ พาน

นามรูปํ ทกุ ข สุข วต นพิ พาน

นามรปู ํ อนตฺตา สาร วต นิพพาน

๓๑

นามรปู ํ อันวา่ รปู นามแหง่ ขา้ ฯน้หี นาเป็น อนจิ จ บ่มเิ ที่ยงสกั อนั ลางคาบเมื่อข้าไปตก
นรกไหมอ้ ยู่ ก็บ่มิเทย่ี งสกั อัน ลางคาบเมื่อข้าฯไปเปน็ เปรตวสิ ัย ก็บม่ เิ ทีย่ งสักอัน ลางคาบเมื่อขา้
ฯไปเปน็ สตั ว์เดรจั ฉานอยู่ ก็บม่ เิ ทยี่ งสกั อัน ลางคาบเมือ่ ขา้ ฯไปเกดิ เป็นอสุรกาย กบ็ ่มเิ ทย่ี งสัก
อัน นามรูปัง อันวา่ นามรปู แหง่ ข้าฯ นีห้ นา เป็น อนจิ จ บม่ ิเที่ยง ขะยัตเถนะ เหตุวา่ รฉู้ ิบ รู้หาย รู้
ประลยั นิจจงั วต นิพพานน เทา่ แต่นิพพานเจ้าเทยี่ งเถิง(ถึง)เดยี วดาย นามรูปํ ทกุ ข นามรปู ํ อันวา่
นามรปู แหง่ ข้าฯ น้หี นา ลางคาบไปตกนรกก็ทุกข์หนกั ลางคาบไปเกดิ เป็นเปรตวสิ ัยก็ทุกขห์ นกั
ลางคาบไปเกดิ เป็นเปรตก็ทกุ ขห์ นัก ลางคาบไปเกิดเปน็ อสรุ กายก็ทกุ ข์หนัก นามรปู ังอันวา่ นาม
รปู แห่งข้าฯนห้ี นา ทุกขงั ก็เปน็ ทุกข์หนกั ภยตฺเถน เหตุวา่ มีภยั พงึ กลวั มากนัก สขุ วต นพิ พาน
เหตุเทา่ แต่นพิ พานเจ้า หากเปน็ สุขสงิ่ เดียวดาย นามรปู ังอนัตตา อันวา่ นามรปู แหง่ ขา้ ฯน้หี นา
เป็นอนตั ตาในตนแห่งขา้ ฯ ลางคาบเมอื่ ขา้ ฯไปตกนรกไหมอ้ ยู่ กใ็ ช่ตัวตนแหง่ ขา้ ลางคาบเมอื่ ข้า
ฯไปเกิดเป็นเปรตวิสัย ก็ใชต้ ัวตนแหง่ ข้าฯ ลางคาบเม่ือข้าฯไปเกิดเปน็ สัตว์เดรจั ฉาน ก็ใชต่ วั ตน
แหง่ ขา้ ลางคาบเม่ือขา้ ฯไปเกิดเปน็ อสรุ กาย กใ็ ช้ตวั ตนแห่งข้าฯ นามรปู ํ อนั วา่ นามรปู แห่งข้าฯนี้
หนา อนตตฺ า ใช่ตนแหง่ ขา้ ฯอสารกตฺเถน เหตุว่าหาแก่นสารมิได้ สาร วต นิพพาน เท่าแต่
นพิ พานเจา้ หากเป็นแก่นสารส่งิ เดยี วดาย

อกุ าสะ ในทีน่ ี้เล่า ขา้ ฯจะขอปฏบิ ัติตามคาสง่ั สอนของพระสัพพัญญพู ุทธเจ้าในบทอนั ช่อื วา่
สมั มสนญาณเจ้านี้ จงมาบังเกดิ อยใู่ นจักขุทวาร มโนทวาร กายทวาร แหง่ ข้าฯในขณะเมือ่ ขา้ ฯนั่ง
ภาวนา แดนใดแลขา้ ฯยงั ไปบ่มไิ ดใ้ นสติปริยญาณพระสัพพญั ญพู ุทธเจ้า แมน้ ว่าเนอื้ ข้าฯปอก
เลือดขา้ ฯแห้ง เอ็นขา้ ฯดา้ น กระดูกอยู่เท่าดงั นนั้ กด็ ี ข้าฯจะค่อยกระทาเพียรขอเอายงั สติปริย
ญาณพระสัพพญั ญพู ทุ ธเจา้ ในบทอันชือ่ วา่ สัมมสนญาณ ฯลฯ ด้วยคาสัตย์อนั มแี ห่งข้าฯแนแ่ ท้
ดีหลี ข้าฯจะคอ่ ยบริกรรมไปว่า นามรูปํ อนจจฺ ขยตฺเถน เป็นตน้ ได้ละรอ้ ยที ไดล้ ะพันที แม้นว่า
ข้าฯจะได้นพิ พานในอาตมาภาพชาตนิ ้ี ขอเอาสตปิ รยิ ญาณปัญญาพระสัพพญั ญพู ทุ ธเจา้ ในบท
อนั ชื่อว่า สมั มสนญาณฯลฯ จงมาสญั ญาแกข่ า้ ให้รทู้ ีเถดิ ฯ นพิ พานปจั จโยโหนตุฯ

อกั ขรปท พยญชฺ น

เอกเม กตฺวา พุทธรปู ํ สมงฺ สิยา ตสมฺ าหิ ปณฺฑิโต โปโส รกขฺ นฺโต
ปฏกฺ ตตฺ ย ธาเรตุ ภวิสติ เม พุทฺธกมฺมฏฐฺ านวณฺณนา นฏิ ฐติ า

พุทธ สรณ คจฺฉามิ ธมมฺ สรณ คจฉฺ ามิ สงฆฺ สรณ คจฺฉามิ

ขอใหข้ า้ ไดน้ พิ พานในอนาคตกาล เทอญฯ
------------------------

๓๒

อธบิ ายพระคัมภีรเ์ ทศ ข้นึ ลาดับธรรม
คัมภรี เ์ ทศขน้ึ ลาดับธรรมน้มี ีมาแต่โบราณกาลครง้ั กรุงสุโขทยั เปน็ ราชธานี หรอื กอ่ นนัน้
ใช้สาหรับเทศขน้ึ บอกลาดับพระกรรมฐาน ไดต้ กทอดมาถงึ กรุงศรอี ยธุ ยา สมเดจ็ พระสังฆราช
ไก่เถือ่ น ไดร้ บั สบื ทอดมาจาก ท่านอาจารย์ วดั เกาะหงส์ ในกรงุ ศรีอยธุ ยา เม่ือ พ.ศ ๒๓๑๐ และ
พระองคท์ า่ นได้นาพระคมั ภรี ม์ าสูก่ รุงรัตนโกสินทร์ เน้ือหาสาระในพระคัมภีร์ มไิ ด้มกี าร
เปลี่ยนแปลงคงคาเดิม สานวนเดิม รปู แบบเดมิ มาแต่คร้งั กรุงสุโขทัย อักขระทีจ่ ารกึ ในพระ
คัมภีร์ จารกึ ด้วยอกั ษรขอมไทย ปัจจุบันไดถ้ อดออกมาเป็นอักขระไทย และใช้เทศข้นึ ลาดับ
ธรรมสืบทอดมาจนทุกวนั นี้ ในสมัยพุทธกาล พระพทุ ธเจา้ พระองค์ท่านจะเทศขน้ึ ลาดบั ธรรม
กอ่ นจึงบอกพระกรรมฐานให้ สาหรับผูไ้ ม่มีพ้ืนฐานมาก่อน

คากล่าวขอขมาโทษ
อุกาสะ วนทฺ ามิ ภนเฺ ต สพพฺ อปราธ ขมถ เม ภนฺ เต มยากต ปญุ ญ สามินา อนุโมทิตพพฺ สา
มินา กต ปญุ ญ มยฺห ทาตพพฺ สาธุ สาธุ อนโุ มทามิ (กราบ)
ข้าขอกราบไหว้ ขอทา่ นจงอดโทษแก่ขา้ ฯ บญุ ทข่ี า้ ฯทาแล้ว ขอทา่ นพงึ อนุโมทนาเถิด บญุ
ท่ที า่ นทา ทา่ นก็พงึ ใหแ้ ก่ขา้ ฯด้วยฯ (กราบ)
สพพฺ อปราธ ขมถ เม ภนฺเต, อกุ าสะ ทวารตตฺ เยน กต สพพฺ อปราธ ขมถ เม ภนเฺ ต, อุ
กาสะ ขมามิ ภนฺเต (กราบ)
ขอท่านจงอดโทษทั้งปวงให้แก่ข้าฯดว้ ยเถิด ขอท่านจงอดโทษท้งั ปวงทขี่ า้ ฯทาดว้ ยทวาร
(กาย วาจา ใจ) ทงั้ สามแก่ข้าฯด้วยเถดิ ข้าฯก็อดโทษใหแ้ ก่ทา่ นดว้ ย (กราบ)
ก่อนที่จะน่ังภาวนาพระกรรมฐานนัน้ จะเกิดผลสาเรจ็ ได้ ตอ้ งมีการขอขมาโทษกอ่ น หรือ
เรียกอีกอย่างหนึ่งวา่ ขมานะกิจ คอื การนาดอกไมธ้ ูปเทียนแพ ไปตง้ั จิตอธษิ ฐาน ขอขมาโทษต่อ
พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ทที่ ่านท้งั หลายอาจเคยลว่ งเกินต่อ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์
อันเปน็ อดตี ปัจจุบัน เป็นเหตุให้มโี ทษตดิ ตวั การเจริญกุศลธรรมอาจไมเ่ กดิ ขนึ้ ได้ หรือ เจริญ
ขึ้นได้ และ อาจเป็นอปุ สรรคปิดก้ันการเจริญพระกรรมฐาน จงึ ต้องมีการ ขอขมาโทษก่อน เพ่อื
ไม่ให้ เปน็ เวร เป็นกรรม ปิดก้ัน กุศลธรรม ท่กี าลังบาเพญ็ อยู่ และเป็น ปฏิปทาหา่ งจากกรรมเวร

พระพทุ ธเจ้า ตรัส การศึกษาตามลาดับ
ดูกรภกิ ษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยน้ี มีการศกึ ษาไปตามลาดบั มกี ารกระทาไปตามลาดบั มี
การปฏิบัติไปตามลาดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง เปรียบเหมอื นมหาสมุทรยอ่ ม
ลาด ลมุ่ ลกึ ไปตามลาดบั ไมโ่ กรกชนั เหมือนเหว ฉะนนั้ ฯ

๓๓

ดกู รภิกษุทงั้ หลาย ขอ้ ทใี่ นธรรมวนิ ยั นม้ี ีการศกึ ษา ไปตามลาดับ มีการกระทาไป
ตามลาดับ มกี ารปฏบิ ัตไิ ปตามลาดบั มใิ ช่วา่ จะมกี ารบรรลอุ รหัตตผลโดยตรง

ลาดับการต้งั สมาธิจติ ในห้องพระพุทธคุณ
เม่อื เธอพิจารณาพุทธานุสสติ ภาวนาวา่ พุทโธ แลพจิ ารณาเห็นซง่ึ นวิ รณธรรม ๕ เหลา่ น้ี
ที่ละได้แลว้ ในตน ยอ่ มเกิดปราโมทย์ เม่อื ปราโมทย์แลว้ ย่อมเกิดปตี ิ เม่อื มปี ีติในใจ กายย่อมสงบ
จิตย่อมระงับ เธอมีกายสงบ จิตระงับแลว้ ย่อมไดเ้ สวยสุข เม่ือมีสขุ แลว้ จิตยอ่ มต้งั มัน่ เป็น
อปุ จารสมาธิ
การปฏิบตั ิพระกรรมฐานเบ้ืองต้น สาหรับผูท้ ่ีไมม่ พี น้ื ฐานทางสมาธิมาก่อน ทา่ นให้
ศึกษาในหอ้ งพระพทุ ธคุณ ซ่ึงแยกเปน็ ลาดบั คอื พระปตี หิ า้ พระยุคลหก พระสุขสมาธิทงั้ สอง
ประการ เรยี กว่า พระพุทธานุสสติ เพื่อต้องการทาจติ ให้หมดจด ดว้ ยอานาจแหง่ พทุ ธานสุ สติ
เปน็ ขน้ั เปน็ ตอนไป จนถึงสขุ สมาธิ เรยี กวา่ กายสุข จติ สขุ เรียกอีกช่ือหน่งึ วา่ ธรรมกาย เป็น
อุปจารฌาน คอื เปน็ รูปเทียมของปฐมฌาน เป็นทางแห่ง จติ วิสุทธิขัน้ หนง่ึ ในเบ้ืองต้น ของ
วิปสั สนาธุระ เรมิ่ หมดจดจากนิวรณธรรม อันมีกามฉนั ทะ เป็นต้น

คาอาราธนาพระกรรมฐาน
(อธิษฐานสมาธินมิ ติ )

ของ สมเดจ็ พระสังฆราช ไก่เถื่อน
ข้าฯขอภาวนาพระพุทธคุณเจา้ เพื่อจะขอเอายงั พระลกั ษณะ (พระรศั ม)ี พระขทุ ทกาปีติ
ธรรมเจ้า นจ้ี งได้ ขอพระพทุ ธเจ้าจงมาเปน็ ทพี่ ง่ึ แก่ข้าฯนี้เถดิ ฯ ขอพระธรรมเจ้าทงั้ มวลจงมาเปน็
ทพี่ ง่ึ แกข่ า้ ฯนีเ้ ถดิ ฯ ขอพระอรยิ ะสงฆ์เจ้าต้ังแรกแตพ่ ระมหาอัญญาโกญฑัญญะเถรเจ้าโพ้นมา
ตราบเทา่ ถึงพระสงฆส์ มมุตใิ นกาลบดั นี้ จงมาเป็นท่ีพึง่ แก่ขา้ ฯน้ีเถิดฯ ขอพระอริยะสงฆอ์ งคต์ น้
อันสอนพระกรรมฐานเจ้าทง้ั มวล จงมาเปน็ ท่พี ึ่งแก่ข้านเี้ ถดิ ฯ ขอพระกรรมฐานเจ้าทั้งมวลจงมา
เปน็ ท่ีพง่ึ แก่ข้าน้เี ถดิ ฯ
อกุ าสะ อกุ าสะ ในทนี่ ีเ้ ลา่ ขา้ จะขอปฏบิ ัตบิ ูชาตามคาสง่ั สอนของพระสัพพัญญโู คดมเจ้า
เพอ่ื จะขอเอายงั พระลกั ษณะ (พระรศั ม)ี พระขุททกาปีตธิ รรมเจา้ นจ้ี งได้ ขอจงเจา้ กูมาปรากฏ
บงั เกดิ อย่ใู น จักขทุ วาร มโนทวาร กายทวาร แห่งขา้ ฯในขณะเมือ่ ขา้ นัง่ ภาวนาอยนู่ ี้เถดิ ฯ
อติ ิปิโส ภควา อรห สมฺมาสมพฺ ทุ โธ วิชชาจะระณะสมฺปนฺโน สคุ โต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุ
รสิ ทมมฺ สารถิ สตฺถา เทวะมนสุ สาน พทุ โธ ภควาติ ฯ

สมฺมาอรห สมฺมาอรห สมมฺ าอรห

๓๔

อรห อรห อรห
(องค์ภาวนา พุทโธ)

๓๕

คาอธิบายเวลากาหนดจิต
หลงั จากอาราธนาองคพ์ ระกรรมฐานแลว้ ครั้งแรกกาหนดจิตให้มารวมไว้ทใ่ี ต้สะดือ ๒
นวิ้ มือ กาหนดดว้ ยความต้ังใจจริง ค่อยดาเนินไปดว้ ยความเพยี รช้นั กลาง แลมีสติคอ่ ย
ประคับประคองให้ตรงต่อจดุ มุง่ หมาย อย่ารบี ร้อนให้มี ใหเ้ ป็นจนเกนิ ไปกว่าเหตุผลจะอานวย
ให้ เพราะคณุ สมบัตสิ มาธนิ ้ีเปน็ ของกลาง เปน็ เองดว้ ย บงั คับไมไ่ ด้ เราอยากใหเ้ ป็นสมาธกิ ็ไม่
เปน็ ไมอ่ ยากให้เปน็ สมาธิกไ็ ม่เปน็ เราทาก็ไมเ่ ปน็ เราหยุดเสียไม่ทากไ็ ม่เป็น แต่จะสาเร็จผลใน
ขณะที่เราทาให้มาก เจริญใหม้ ากโดยสายกลาง ไม่หย่อนนกั ไม่ตึงนกั เปน็ ไปโดยสม่าเสมอ ไม่
ขาดสายทาไปโดยอาการเยือกเยน็ และจติ กล้าหาญ ในเมื่อจติ รวมเป็นหน่งึ ได้แลว้ กระบวนการ
แหง่ สมาธิกจ็ ะเป็นไปเอง

อธิบายคาอาราธนาสมาธนิ มิ ติ
เมอ่ื จะนั่งเข้าท่ภี าวนาน้นั องคพ์ ระสัมมาสมั พทุ ธเจ้าได้ทรงกาหนดไวว้ า่ ต้องอธษิ ฐาน
สมาธนิ ิมติ หรอื อาราธนาสมาธนิ ิมิต เพ่ือให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึน้ ใหเ้ กดิ ข้ึน หรือกุศลธรรม
ท่เี กิดขึ้นแลว้ ใหเ้ จริญย่ิงๆขึน้ ไป กศุ ลธรรมในท่ีน้ีหมายถึง สมาธจิ ติ ท่ตี ้งั ม่นั เปน็ สัมมาสมาธิ
อกี ประการหนงึ่ เพ่ือเป็นการ เตรยี มจติ กอ่ นที่จะภาวนาสมาธิ ดงั ปรากฏใน พระสุตตนตฺ ปิฏก
องฺคตุ ตรนกิ าย ติกนิบาต ปาปณกิ สตู รท่ี ๑ วา่
ดูกรภิกษุทง้ั หลาย พอ่ ค้าทป่ี ระกอบดว้ ยองค์สามประการ ไม่ควรจะไดโ้ ภคทรัพย์ท่ียัง
ไมไ่ ดห้ รอื ทาโภคทรัพยท์ ีไ่ ดแ้ ล้วใหท้ วีเพ่มิ ขึ้น องค์สามประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุท้ังหลาย
พอ่ คา้ ในโลกนี้เวลาเช้าไมจ่ ัดการงานโดยเออื้ เฟ้ือ เวลาเทีย่ งไม่จัดการงานโดยเอ้ือเฟื้อ เวลาเย็น
ไมจ่ ดั การงานโดยเออ้ื เฟื้อ ดกู รภกิ ษทุ ัง้ หลายพอ่ ค้าทปี่ ระกอบด้วยองคส์ ามประการดังนแี้ ล ไม่
ควรจะได้โภคทรัพย์ท่ียังไมไ่ ด้ หรือ ทาโภคทรัพยท์ ี่ไดแ้ ล้วให้ทวขี ึ้นฉนั ใด
ดูกอ่ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ภกิ ษุผ้ปู ระกอบดว้ ยองค์สามประการกฉ็ นั นั้นเหมือนกนั เป็นผ้ไู มค่ วร
ทจ่ี ะบรรลุกุศลธรรม (สัมมาสมาธ)ิ ที่ยงั ไม่ไดบ้ รรลุ หรอื ทากศุ ลธรรมท่ไี ด้บรรลแุ ล้วให้เจรญิ
มากข้ึน ธรรมสามประการเป็นไฉน ดูกรภิกษทุ ้ังหลาย ภิกษุในธรรมวนิ ัยนี้
เวลาเช้าไมอ่ ธิษฐานสมาธนิ มิ ติ โดยเคารพ เวลาเทีย่ งไม่อธษิ ฐานสมาธินิมิต โดยเคารพ
เวลาเย็นไมอ่ ธิษฐานสมาธนิ ิมิต โดยเคารพ ดูกรภกิ ษุท้ังหลายภิกษผุ ปู้ ระกอบด้วยธรรมสาม
ประการน้แี ล เปน็ ผู้ไมค่ วรบรรลกุ ุศลธรรม ทีย่ ังไม่บรรลุ หรือ เพอื่ กศุ ลธรรมท่ีบรรลุแลว้ ให้
เจรญิ มากข้ึน

๓๖

ดกู รภิกษทุ ัง้ หลาย พ่อคา้ ผูป้ ระกอบดว้ ยองค์สามประการนีแ้ ล สมควรได้โภคทรพั ย์ท่ียัง
ไมไ่ ด้ หรือ ทาโภคทรพั ย์ที่ไดแ้ ลว้ ใหท้ วมี ากขน้ึ องค์สามประการเปน็ ไฉน

ดกู รภิกษทุ ้ังหลาย พอ่ ค้าในโลกนี้เวลาเชา้ จัดการงานโดยเอ้อื เฟอื้ เวลาเท่ียง จัดการงานโดย
เอ้อื เฟ้อื เวลาเยน็ จัดการงานโดยเอื้อเฟอ้ื

ดูกรภิกษทุ ั้งหลายพ่อคา้ ผู้ประกอบด้วยองค์สามประการนแี้ ล สมควรได้โภคทรัพยท์ ่ียงั
ไม่ได้ หรือ ทาโภคทรัพยท์ ่ีไดแ้ ล้วให้ทวีมากขนึ้ ฉันใด

ดูกรภิกษทุ ้ังหลาย ภิกษปุ ระกอบด้วยธรรมสามประการก็ฉันนน้ั เหมอื นกัน สมควรจะได้
บรรลุกุศลธรรมทยี่ ังไม่บรรลุ หรือ ทากศุ ลธรรมที่ได้บรรลุแล้วให้เจรญิ มากขึ้น

ดกู รภิกษทุ ้งั หลาย ภิกษุในธรรมวนิ ัยนี้ เวลาเช้าอธษิ ฐาน สมาธนิ มิ ติ โดยเคารพ เวลาเที่ยง
อธษิ ฐาน สมาธินมิ ิต โดยเคารพ เวลาเย็นอธษิ ฐาน สมาธนิ มิ ิต โดยเคารพ

ดูกรภิกษทุ ้ังหลาย ผู้ประกอบด้วยธรรมสามประการนแ้ี ล สมควรจะได้บรรลธุ รรมท่ียังไม่
บรรลุ หรอื ทากุศลธรรมทบ่ี รรลุแล้วให้เจริญมากขึ้น

การอธษิ ฐานสมาธินิมติ ทาให้สมถะสมบรู ณ์ เพราะความสมบรู ณ์แห่งสมถะ เหลา่ น้ัน จงึ
บรรลุฌาน

วธิ ีน่ังเข้าทภี่ าวนา
นงั่ คบู้ ัลลังก์ เทา้ ขวาทบั เท้าซา้ ย มอื ขวาทับมอื ซ้ายต้งั กายตรง บริกรรม พุทโธ กาหนดจิต
ดงั น้ี
๑.สมาธินิมิต คอื เครอื่ งหมายสาหรบั ตั้งสมาธิ ใหต้ ง้ั ทใี่ ตน้ าภี คือ สะดือ สองนว้ิ มอื เป็นที่
ชุมนุมธาตุ และ สมั ปยุตธาตุ บรกิ รรมในที่น้ีจะเกิดกาลังมาก อนั ห้องพระพทุ ธคุณ อยู่ใตน้ าภี
สองน้วิ มือ
๒. ปคั คาหะนิมิต คอื การยกจิตไปอยู่ทสี่ มาธินมิ ติ คอื ทใี่ ตน้ าภี สองน้วิ มอื จิต ไดแ้ ก่ การ
นึก การคดิ การรับร้อู ารมณ์ หรือ สติ
๓. อุเบกขานมิ ติ คอื การวางเฉยในอารมณ์ จิตไม่ซัดส่ายไปในอารมณ์ ท่ีเปน็ อดีต ท่เี ป็น
อนาคต ให้มจี ติ อยู่ในอารมณป์ จั จุบัน จิตทแ่ี ลน่ ไปใน อดีต อนาคต เปน็ จติ ท่ีฟุ้งซ่าน

การกาหนด สมาธนิ ิมิต (นาภี) โดยส่วนเดยี ว เปน็ เหตุให้จติ เปน็ ไปเพ่อื ความเกยี จครา้ น
การกาหนดปัคคาหะนิมิต (ยกจติ ) โดยสว่ นเดยี ว เปน็ เหตุใหจ้ ติ เป็นไปเพื่อความฟุง้ ซา่ น
การกาหนด อเุ บกขานมิ ิต (วางเฉย) โดยส่วนเดียว เป็นเหตุใหจ้ ติ ไมต่ ัง้ ม่นั

๓๗

ต้องกาหนดนิมติ สามประการ คือ สมาธินิมติ ปัคคาหะนิมิต อุเบกขานิมติ ไปพร้อมกนั
ตลอดกาล ตามกาล จงึ ทาใหจ้ ิตออ่ นควรแก่การงาน จิตท่ีออ่ นควร แกก่ ารงาน คอื จติ ท่ี
ปราศจากนิวรณธรรม คือ กามฉนั ท์ ไดแ้ ก่ รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส พยาบาท ไดแ้ ก่การปองรา้ ย
ถนี ะมทิ ธะ ความง่วงหงาวหาวนอน อุทธจั จะกุกกุจจะ ความฟงุ้ ซ่าน ราคาญ วจิ กิ จิ ฉา ความ
สงสัย

การกาหนด สมาธนิ มิ ติ ปคั คาหนมิ ิต อุเบกขานิมิต มาใน พระสตุ ตันตปฏิ ก อังคุตตรนิกาย
ตกิ นบิ าต สมคุ คสูตร ว่า

ดกู รภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดภกิ ษุประกอบสมาธจิ ิต กาหนดไวใ้ นใจซง่ึ สมาธนิ มิ ิต ตลอดกาล
ตามกาล กาหนดไวใ้ นใจซึ่ง ปัคคาหะนิมติ ตลอดกาล ตามกาล กาหนดไวใ้ นใจซ่ึง อเุ บกขานมิ ติ
ตลอดกาล ตามกาล เมื่อนน้ั จติ ย่อมอ่อนควรแก่การงาน ผดุ ผ่องและ ไมเ่ สยี หาย จติ ยอ่ มตั้งมนั่
โดยชอบ เพอ่ื ความส้ินอาสวะ และ ภกิ ษนุ นั้ ย่อมโนม้ นอ้ มจิตไปเพื่อ ทาให้แจง้ ด้วยปัญญาอนั ยง่ิ
เอง ซงึ่ ธรรมทคี่ วรทาให้แจ้งดว้ ยธรรมอันยงิ่ ใดๆเธอย่อมสมควรเป็นพยานในธรรมนน้ั ๆ ในเมอื่
เหตุเป็นอยู่ มอี ยู่

ก่อนน่งั สมาธิภาวนาพงึ สาเหนียกในใจกอ่ นว่า

จิตของเราจักเป็นจติ หยุด ต้ังมน่ั อยูภ่ ายใน ธรรมท้ังหลายอันเป็นบาปอกุศล ทเี่ กดิ ข้นึ
แลว้ จะต้องไมย่ ดึ จติ ของเรา ตัง้ อยู่

เปน็ การอธษิ ฐานจิต ซ้าอีกคร้ังหนงึ่ เพือ่ มใิ หจ้ ติ ซัดสา่ ยไปตามอารมณต์ า่ งๆ เปน็ การ
วางอารมณ์ ของจิตให้แน่วแน่ มีสติร้ทู นั ธรรมท้ังหลายที่เปน็ บาปอกศุ ล เชน่ นิวรณธรรมเป็น
ต้น ไมใ่ ห้มารบกวนจติ ยดึ จติ ตดิ อยู่ ทาให้จติ ไม่บรรลุสมาธไิ ดง้ ่าย

หลงั เลิกนง่ั ภาวนา
เม่อื เจรญิ ภาวนาเสรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้ อยา่ พง่ึ ลุกออกจากอาสนะ ให้แผ่เมตตา กรวดน้าอทุ ศิ
ส่วนกุศลให้แกส่ รรพสตั ว์กอ่ น จงึ ลุกออกจากที่ เม่ือนัง่ แลว้ ร้เู ห็นอะไร หา้ มไปคุยกนั เอง ให้ไป
แจ้งบอกกลา่ ว กบั พระอาจารย์กรรมฐาน

วิธีแจง้ พระกรรมฐาน
(รูปกรรมฐาน สอบนมิ ติ อรปู กรรมฐาน สอบอารมณ์)
เม่ือจะไป แจ้งพระกรรมฐาน หรือไปสอบอารมณ์นั้น พระภกิ ษใุ ห้หม่ ผา้ เรยี บร้อย ไปพร้อม
ดอกไมธ้ ปู เทียน กราบพระพทุ ธรปู ก่อนแล้ว จงึ กราบพระอาจารย์ผู้บอกพระกรรมฐาน ถวาย
ดอกไม้ให้พระอาจารยด์ ว้ ย แล้วจงึ แจง้ อารมณ์พระกรรมฐาน กบั พระอาจารย์

๓๘

ลาดับแห่ง การเจริญสมาธิ
๑. ปริกัมมนิมติ เมื่อพระโยคาวจรแรกเรียน กาหนดภาวนา พทุ โธ ในหอ้ งพระปตี หิ า้
ประการ อนั มใี นห้องพระพทุ ธคณุ อารมณ์น้นั ชอื่ ว่า ปริกัมมนมิ ติ ภาวนาน้ันชอ่ื ว่า ปรกิ มั ม
ภาวนา
๒. อุคคหนมิ ติ พระโยคาวจรเหน็ นิมติ ด้วยจักษุ อันถือเอาดว้ ยดี ด้วยจิต และนิมิตนั้นมาสู่
ทแี่ จง้ แห่ง มโนทวาร อารมณน์ น้ั ชอื่ วา่ อุคคหนิมติ
๓.ปฏิภาคนิมติ ภาวนานิมติ นน้ั ตัง้ มัน่ เป็นอนั ดี เมอื่ ภิกษมุ าพากเพยี รเจริญนิมติ นั้น
ปรากฏ วิเศษ ประหลาด ด้วยสสี ัณฐานรุ่งเรอื ง สุกใส ออกไปกวา่ เกา่ ได้ ๑๐ เท่า ๑๐๐ เท่า อัน
เกิดแต่ภาวนา อารมณน์ น้ั ช่ือวา่ ปฏิภาคนมิ ติ
๔.อปุ จารภาวนา อันกลา่ วคอื กามาพจรจติ อันใกล้จะละเสยี ซง่ึ อนั ตราย จาเดิมแตไ่ ด้ปฎิ
ภาคนมิ ติ นน้ั กส็ าเร็จแตน่ ้ัน ปฎภิ าคนมิ ติ นน้ั แห่งพระโยคาพจร อันส้องเสพเปน็ อนั ดดี ว้ ย
อุปจารสมาธิน้ัน ก็ถงึ ซึ่งรูปาวจรปฐมฌานแล

ปรากฏการณเ์ มอื่ จิตเปน็ สมาธิสงบดีแลว้
เมื่อพระโยคาวจรเจา้ มจี ิตสงบเปน็ สมาธิ เพง่ ตอ่ อารมณด์ ีแลว้ จะมี โอภาส เกดิ ขึ้น สว่าง
รุง่ เรอื งยง่ิ นัก แสงสวา่ งนีย้ อ่ มส่องสวา่ งให้เหน็ เป็นสง่ิ ของตา่ งๆ ท่ปี รากฎข้นึ ในใจ หรอื ปรากฎ
ในมโนทวาร คลา้ ยคนนอนหลบั ฝัน เห็นอะไรตา่ งๆ
แตก่ ารเหน็ ในทางสมาธิ พเิ ศษกว่าการเห็นในความฝัน เพราะผเู้ หน็ ผ่านการกล่นั กรอง
ของสติ มากอ่ น ผู้เหน็ จึงมสี ติ มิไดน้ อนหลบั อยู่ ในช้ันแรกทเี่ หน็ แสงสวา่ งมกั จะหายไป
โดยเรว็ เพราะผเู้ หน็ เกดิ ความสะดงุ้ และความสงสยั สนเทห่ ์มากขึน้ จติ กค็ ลาดเคลือ่ นจากสมาธิ
เมือ่ สารวมจติ เปน็ สมาธไิ ดอ้ กี ก็คงไดพ้ บแสงสวา่ งอกี แสงสว่างนี้ยอมส่องให้เห็นภาพตา่ งๆ
เหมอื นอยา่ งเหน็ ภาพภายนอกใน เวลากลางวนั เม่ือพระอาทิตย์ยงั ไมข่ ้นึ ก็ยังมดื อยู่ ไม่สามารถ
มองเห็นภาพอะไรตา่ งๆได้ เปรียบเหมือนจติ ยังไม่ตงั้ ม่ันเปน็ สมาธิไมม่ กี าลัง เมื่อพระอาทติ ย์
ขึ้นแล้ว กส็ ามารถมองเห็นภาพอะไรได้ เปรียบเหมอื นจิต ท่ตี ง้ั ม่ันเปน็ สมาธิ มกี าลังเกิดแสง
สว่าง สามารถเห็นภาพอะไรๆได้
การทไี่ ดพ้ บ ได้เหน็ แสงสว่างในเวลาทที่ าสมาธิ หลับตากาหนดจติ อยูน่ ั้น เรียกว่า
โอภาสนิมิต การได้เหน็ รปู นมิ ิตทีเ่ กิดขน้ึ เล็กนอ้ ยน้เี รียกว่า อุคคหนิมติ ถา้ ผเู้ ห็นนิมติ สามารถ
นกึ ใหร้ ูปนมิ ติ เหล่านั้น กลายเปน็ รูปขนาดใหญ่ ประกอบด้วยความผ่องใสกว่าหลายเทา่ เรียกว่า
ปฎภิ าคนมิ ติ เห็นรูปตา่ งๆไม่มีประมาณเรยี กวา่ มหรคตจติ เป็นข้างฝา่ ยอรูปฌาน เหน็ แสง

๓๙

สว่าง อย่างเดียวไมม่ ีรปู นิมติ เปน็ บาทฐานแหง่ อรูปฌาน รปู ฌาน ๔ และอรปู ฌาน ๔ สองอยา่ ง
นี้รวมเรยี กว่า สมาบัตแิ ปด

เหตทุ ่ีพระโยคาวจรเจ้า ผู้พากเพียรไมส่ ามารถทาจิตตง้ั ม่นั ให้เป็นสมาธิได้เพราะ
อปุ กิเลส เคร่ืองเศรา้ หมองในสมาธิ ๑๑ ประการ ดังมีเรื่องราวปรากฎใน พระสตุ ตนั ตปิฎก
มชั ฌมิ นกิ าย อุปรปิ ัณณาสกสูตรดงั น้ี

คมั ภีรพ์ ระสตุ ตนั ตปิฎก มชั ฌิมนกิ าย อุปรปิ ณั ณาสกสูตร
เรอื่ งโอภาสนมิ ติ อุคคหนมิ ิต ปฎภิ าคนมิ ติ ไมเ่ กดิ ไมเ่ จริญไม่ต้งั มัน่ เพราะอปุ กเิ ลส
เครื่องเศร้าหมองในสมาธิ ๑๑ ประการ
ความว่าสมเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจา้ ทรงแสดงให้พระอนรุ ุทธฟังว่า เม่อื คร้ังพระพุทธ
องค์ทรงกระทาทุกกรกิริยา บาเพ็ญเพียรเพอื่ ถงึ ความตรัสรอู้ นุตตรสัมโพธิญาณ ด้วยพระองค์
เอง พระองค์ทรงได้ โอภาส แลว้ โอภาสนั้นกก็ ลบั มืดเหมือนก่อน แตอ่ าศัยทเ่ี พราะพระองค์ทรง
พจิ ารณาเหน็ เหตุ จงึ ไดต้ รัสรู้ดว้ ยพระองค์เอง
เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงหลับพระเนตร เจริญสมาธิ ณ โพธิพฤกษบัลลังก์ กไ็ ดแ้ สงสวา่ ง
มองเหน็ สรรพรูปตา่ งๆ พระองคจ์ ึงทรงสงสยั ว่า นี่สง่ิ ใดหนอ นส่ี ่ิงใดหนอ โอภาสนมิ ติ น้นั กด็ บั
ศนู ย์ไป แลว้ ก็กลบั มาสว่างขึ้นอกี เป็นดังนี้เนื่องๆ ภายหลังจากพระองคจ์ ับได้ว่า เพราะความ
ลังเลสงสัยคือ วิจิกิจฉา ท่คี ิดว่า นีส่ งิ่ ใดหนอ น่ีส่ิงใดหนอ เมอ่ื คดิ ดงั น้ันจิตของพระองค์ ก็
เคลอ่ื นจากสมาธิ แสงสวา่ งจงึ ดบั
คราวน้ีพระองคจ์ งึ ทรงวางจิตเป็น อมนสิการ คอื จิตไม่นึก ไมก่ าหนดวา่ นั้นอะไร จิตก็
เลือ่ นลอย ไม่มที ่ีเกาะ ท่ียึด แสงสวา่ ง กด็ ับอกี
ตอ่ ไปพระองคก์ ค็ วบคุมสติเพง่ เลง็ ดู รูปทพี่ อพระหฤทยั อนั เป็นอารมณ์แหง่ กรรมฐาน
เมอ่ื รปู ท่ีพอพระหฤทยั ดับไปหมด เหลือแต่รปู ท่ีไม่พอพระหฤทยั ไม่เปน็ อารมณแ์ หง่ พระ
กรรมฐาน จิตของพระองคก์ ไ็ ม่กระทานมสิการ ไมอ่ ยากเพ่งเลง็ นิมิตต่อไป ก็เกดิ ถนี มทิ ธะ ง่วง
เหงาหาวนอน แสงสว่างกด็ ับไป พระองคก์ ็จับเหตุได้ว่าเพราะละเลยความกาหนดนิมิต จิตจงึ
ง่วงเหงาหาวนอน เปน็ เหตใุ ห้แสงสวา่ งดบั
เม่อื พระองค์ทรงทราบเหตุดงั นแี้ ล้ว พระองคจ์ ึงต้ังไวซ้ ่ึงวติ ก ความตรกึ วิจาร ความ
ตรอง กาหนดเพง่ ดูรูปตามลาดับไป กไ็ ดเ้ ห็นรูปที่น่าเกลยี ด นา่ กลัว กเ็ กดิ ฉมฺภติ ตฺต ความไหว
จิต ไหวกาย เกดิ ขนึ้ แสงสว่างจงึ ดับ รูปจงึ ดับ

๔๐

ตอ่ ไปพระองคก์ ็ไมก่ าหนดดรู ูปทนี่ ่าเกลียดนา่ กลวั เลือกดูแตร่ ูปที่ชอบอารมณ์ ภายหลงั
รปู ทีช่ อบอารมณ์เกิดขนึ้ มากมาย จิตของพระองค์ก็กาเริบ กาหนดจติ ท่วั ไปในรปู ทุกรูปในนมิ ิต
ทกุ นมิ ิต จนเหลือความสามารถของจิต จิตก็ตกไปข้างฝ่ายฟงุ้ ซา่ น แสงสว่างกด็ บั ไป พระองค์ก็
พจิ ารณาจบั เหตุไดว้ า่ อพุ ฺพลิ วิตก คือกิริยาทีจ่ ติ กาเริบกระทาความเพยี รมักใหญ่ รวบรดั เพ่งเล็งดู
รปู มากๆ แต่คราวเดียวกัน จติ กค็ ลาดจากสมาธิ โอภาสนมิ ิต อุคคหนิมติ กด็ บั

ตอ่ มาพระองค์ทรงกาหนดเพ่งเล็งดูรูปนมิ ติ โดยกาหนดแตช่ า้ ๆไม่รวบรดั จิตหย่อน
คลายความเพียรลง จิตก็บังเกิด ทฎุ ฐุลล คร้านกาย มีอาการใหเ้ กดิ กระวนกระวายข้นึ แสงสว่าง
จงึ ดับไป

เม่อื พระองคจ์ บั เหตุได้แล้ว จึงกาหนดเหตดุ ้วย อจฺจารทฺธวริ ยิ ะ กาหนดความเพยี รขึ้น
ใหเ้ คร่งครดั แรงกล้า เป็นเหตุให้แสงสว่างดับ จึงกาหนดลดความเพียรลงให้นอ้ ย เรยี กวา่ อตลิ นี
วิรยิ ะ คอื กระทาความเพยี รอ่อนเกินไป แสงสวา่ งจึงดับ

ตอ่ มาพระองค์จงึ กาหนด กระทาความเพียรแตพ่ อปานกลาง สถานกลาง ในความเพยี ร
พอใหแ้ สงสว่างทรงอยู่ได้ จงึ เปน็ ท่นี ่าสงสัยว่าทาไมความเพียรกล้าจงึ ให้โทษดว้ ย มีอปุ มาวา่
เหมอื นคนทจี่ บั นกกระจอก ต้องการจบั นกได้ทง้ั เป็น แต่จบั บีบโดยเต็มแรง นกกระจอกก็ตาย
ถ้าจบั นกหลวมๆไมด่ ี นกกระจอกกจ็ ะหนไี ป ตอ้ งจับนกแต่พออยูพ่ อประมาณนกกระจอกกไ็ ม่
ตาย จึงจะไดป้ ระโยชน์ คือจติ เป็นสมาธิ

การจับบบี นกโดยแรง เปรยี บเหมือนมีความเพียรกล้า จับนกหลวมๆเปรียบเหมือนมี
ความเพียรน้อย จับนกแตพ่ ออยู่ พอประมาณ เปรียบเหมือน มคี วามเพยี รสถานกลาง

เม่อื ทรงทาความเพยี รสถานกลางไดแ้ ล้ว จงึ เหน็ รูปเทวดา ท่งี ดงาม แลเห็นทพิ ยส์ มบตั ิ
ใน เทวะโลก จติ กอ็ ยากเป็นอยากได้ ในทพิ ยส์ มบัตินั้น แสงสว่างกด็ บั ไป พระองคก์ ็ทราบวา่
การกาหนดดรู ปู ปราณตี เชน่ เทวดานน้ั เป็นเหตใุ ห้ เกดิ อภชิ ปฺปา ตณั หาเกิด แสงสวา่ งจึงดบั

ต่อมาพระองค์จงึ พิจารณาดรู ปู ท่ีปราณีต และรูปท่ีหยาบพร้อมกนั จติ ก็แยกเป็นสองฝกั
สองฝา่ ย สญั ญาตา่ งกนั ก็เกิดขึ้นมขี นึ้ เรียกวา่ นานตฺตสญญฺ า จิตก็เคลอ่ื นจากสมาธิ รูป และแสง
สวา่ งจึงหายไป

คราวนีพ้ ระองค์จึงเพ่งพิจารณารูปมนษุ ย์ฝา่ ยเดียว เมอื่ เพ่งหนักรูปมนษุ ย์นานเขา้ รปู
มนษุ ยง์ ดงาม นา่ พงึ พอใจก็เกิด จึงเกดิ ความกาหนดั ยนิ ดี แสงสวา่ งจึงดบั พระองคจ์ ึงทรง
พิจารณาทราบวา่ อตนิ ชิ ฌายิตตตฺ การเพง่ หนกั ทร่ี ูปมนุษย์ อนั ปราณตี เป็นเหตใุ ห้ แสงสว่างดบั

๔๑

พระองคท์ รงกาหนดอุปกเิ ลส เครอ่ื งเศร้าหมอง ๑๑ ประการไดแ้ ลว้ จึงปอ้ งกันไมใ่ หเ้ ขา้
มาครอบงาในพระหฤทัยของพระองค์ได้ ต่อมาแสงสว่างของพระองค์กพ็ ้นประมาณ หาเครอื่ ง
กาบงั มไิ ด้ พระองคจ์ ึงบรรลฌุ าน ๔ วิชชา ๓ สาเรจ็ เปน็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้

๔๒

อปุ กเิ ลส ๑๑ ประการ
เคร่ืองเศร้าหมองในการเจริญสมาธิ
๑.วิจิกจิ ฉา ความสงสัยในโอภาสนิมติ จติ คลาดเคล่อื นจากสมาธิ แสงสว่างจึงดับ
๒.อมนสิการ จติ ไมก่ าหนดนกึ วา่ น้ันอะไร นี่อะไร ทาใหจ้ ติ เลอ่ื นลอย จิต
จึงเคล่อื นจากสมาธิ แสงสวา่ งกด็ ับ
๓. ถนี มิทธะ จติ ละเลยการกาหนดรปู นิมติ จิตจึงง่วงเหง่าหาวนอน จิต
จงึ เคลอื่ น จากสมาธิ รปู จงึ ดับ แสงสว่างจึงดับ
๔.ฉมภฺ ิตตฺต ความไหวจิต ไหวกาย เพราะจิตเหน็ รปู นา่ กลวั จิตจึงเคลื่อน
จากสมาธิ แสงสว่าง รปู นมิ ติ จึงดับ
๕.อพุ พิลวติ ก ความทจ่ี ิต รวบรดั เพง่ เล็งดรู ูปนมิ ติ มากมาย จติ กาเริบฟ้งุ ซ่าน
จติ จงึ เคลอ่ื นจาสมาธริ ูปนิมิต และแสงสว่างจึงดับไป
๖.ทุฎฐุลล ความกาหนดจติ ดูรูปนมิ ติ มาก แตก่ าหนดดแู ตช่ า้ ๆ จติ คลาย
ความเพียรลง เกดิ ความ กระวนกระวาย จิตจึงเคลื่อนจากสมาธิรปู นมิ ิต
โอภาสนิมิตจงึ ดบั
๗.อจฺจารทธฺ วิรยิ กาหนดความเพยี รมากเกนิ ไป จิตจงึ คลาดเคลอื่ นจากสมาธิ
รปู แสงสว่างจงึ ดับไป
๘.อตลิ นี วริ ิย กาหนดความเพยี รน้อยเกนิ ไป อ่อนเกินไป จติ เคล่ือนจาก
สมาธิ รปู แสงสว่างจงึ ดับ
๙.อภิชปฺปา การกาหนดดูรูปปราณตี ตณั หาเกดิ จิตจงึ เคล่ือนจากสมาธิ รูป
และแสง สว่างจึงดบั ไป
๑๐.นานตตฺ สญญฺ า การกาหนดดูรปู หยาบ รปู ปราณีตพร้อมกัน จติ แยกเปน็
สองฝา่ ย จิต จึงเคล่อื น จากสมาธิรปู นมิ ติ และโอภาสนมิ ติ หายไป
๑๑. อตินชิ ฌายติ ตฺต การเพ่งเลง่ รูปมนุษย์ อนั ปราณีต เกิดความยินดี จติ
เคลื่อนจากสมาธิ รปู แสงสวา่ งจงึ ดับ

๔๓

พระกรรมฐาน สาหรับฝึกต้ังสมาธิ

พระโยคาวจร ผู้มีศรัทธาในการปฏิบัติพระกรรมฐาน เมอ่ื แรกเรียนจติ ยงั ไม่ตงั้ มนั่ และ

เพ่อื จะให้จิตตง้ั ม่นั เป็นสมาธิได้งา่ ย เปน็ การประมวลจติ ลงในพระกรรมฐาน แรกเรียนใหม่ๆให้

เรียนเอายัง พระกรรมฐานทม่ี อี านภุ าพเล็กนอ้ ย มีอารมณเ์ ล็กนอ้ ย มีอารมณแ์ คบสน้ั เรียกว่า

สมาธิที่เป็น ปรติ ตปริตตารมณ์ ได้แก่อารมณ์ นสุ สติ เชน่ พทุ ธานุสสตกิ รรมฐานเป็นตน้ พุทธา

นุสสติกรรมฐานถือว่าเป็นหวั ใจของพระกรรมฐาน เปน็ ราก เปน็ เงา่ เปน็ เค้า เปน็ มูล ของพระ

กรรมฐาน เปน็ พระกรรมฐานท่ีเปดิ ประตูไปสู่ พระกรรมฐานอืน่ ๆไดง้ า่ ย มคี ากล่าวใน สุภูติเถร

ปาทานวา่

ทา่ นจงเจริญ พทุ ธานสุ สติ อนั ยอดเย่ียมกวา่ ภาวนาท้ังหลาย เมอื่ เจริญพุทธานุสสตนิ แ้ี ลว้

จะยงั ใจให้เต็มได้ อารมณ์ของ พุทธานสุ สติ ประกอบดว้ ย พระปีติ ๕ ประการ พระยุคลธรรม ๖

ประการ พระสุขสมาธิ ๒ ประการ แต่ละองคม์ ี อารมณ์ที่ต่างกนั ปตี ิธรรม ๕ แต่ละองคก์ ็มี

อารมณ์ท่ีต่างกนั พระยุคลธรรม ๖ ประการ แตล่ ะองคก์ ม็ อี ารมณท์ ต่ี า่ งกนั พระสุขสมาธิ แตล่ ะ

องคก์ ็มอี ารมณท์ ีต่ ่างกนั

ปตี นิ ้ี เป็นราก เปน็ เคา้ เป็นมูล เป็นบาทฐานของสมาธิ เบอื้ งสงู ตอ่ ไป

อารมณข์ องพระปตี ธิ รรม ๕ ประการ

๑.พระขุททกาปตี ิ ปีตเิ ล็กน้อย สมาธิเลก็ นอ้ ย ขณกิ สมาธิ ขนั้ ท่ี ๑

๒.พระขณกิ าปตี ิ ปีติชั่วขณะ สมาธิชัว่ ขณะ ขณิกสมาธิ ข้นั ท่ี ๒

๓.พระโอกกนตฺ ิกาปตี ิ ปตี ิเปน็ พักๆ สมาธิเป็นพักๆ ขณิกสมาธิ ข้ันท่ี ๓

๔.พระอุพเฺ พงคาปตี ิ ปตี โิ ลดโผน สมาธิเตม็ ท่ี ขณิกสมาธิ ขนั้ ที่ ๔

๕.ผรณาปีติ ปตี ิซาบซ่าน สมาธแิ ผ่ซ่าน ขณกิ สมาธิ ขน้ั ท่ี ๕

ลาดบั ขั้นตอนการนั่งภาวนา พระปตี ิ ๕

๑. น่ังเอายังพระลักษณะ พระขุททกาปตี ิ พระขณิกาปตี ิ พระโอกกนตฺ ิกาปีติ

พระอพุ เฺ พงคาปตี ิ พระผรณาปีติ เพอ่ื ทาให้จิตเป็นสมาธิ เปน็ ขัน้ ตอน

๒.น่งั เอายังพระรศั มี พระขทุ ทกาปีติ พระขณิกาปีติ พระโอกกนั ตกิ าปตี ิ

พระอพุ เพงคาปตี ิ พระผรณาปีติ เพอ่ื แก้ จติ อุปทาน จิตหลอก จติ หลอน

๓.นง่ั เอายังพระลักษณะ และพระรศั มี เป็นอนุโลม เปน็ ปฏโิ ลม

เป็นอนโุ ลมคือ พระขุททกาปตี ิ พระขณกิ าปตี ิ พระโอกกนั ติกาปีติ

๔๔

พระอุพเพงคาปตี ิ พระผรณาปีติ

เป็นปฎโิ ลมโลมะคอื พระผรณาปตี ิ พระอพุ เพงคาปีติ

พระโอกกนั ติกาปีติ พระขณิกาปีติ พระขุททกาปีติ (ฝกึ จติ แยกนมิ ติ จริง

และนมิ ิตเทียม)

๔.เข้าสับปีตหิ ้าเปน็ อนโุ ลม เขา้ สับปตี ิหา้ เปน็ ปฏิโลม

รวมตงั้ ทีน่ าภี รวมตงั้ ทนี่ าภี

๑.พระขุททกาปตี ิ (ดนิ ) ๑.พระผรณาปีติ (อากาศ)

๒.พระโอกกนฺติกาปตี ิ (นา้ ) ๒.พระโอกกนตฺ ิกาปีติ (น้า)

๓.พระขณกิ าปตี ิ (ไฟ) ๓.พระอพุ เพงคาปีติ (ลม)

๔.พระอพุ ฺเพงคาปตี ิ (ลม) ๔.พระขณกิ าปตี ิ (ไฟ)

๕.พระโอกกนตฺ กิ าปตี ิ (นา้ ) ๕.พระโอกกนตฺ กิ าปีติ (น้า) ๖.

พระผรณาปีติ (อากาศ) ๖.พระขุททกาปตี ิ (ดนิ )

เพ่อื ฝกึ จิตใหจ้ ติ แคลว่ คล่อง

๕.เข้าคืบพระปตี ิห้าเป็นอนุโลม เข้าคืบพระปีตหิ า้ เปน็ ปฏิโลม

รวมต้งั ท่ีนาภี รวมตง้ั ทนี่ าภี

๑.พระขทุ ทกาปีติ (ดิน) ๑.พระอพุ เพงคาปีติ (ลม)

๒.พระโอกกนตฺ ิกา (น้า) ๒.พระขณกิ าปีติ (ไฟ)

๓.พระผรณาปตี ิ (อากาศ) ๓.พระผรณาปีติ (อากาศ)

๔.พระขณกิ าปตี ิ (ไฟ) ๔.พระโอกกนตฺ ิกาปตี ิ (น้า)

๕.พระอพุ เฺ พงคาปีติ (ลม) ๕.พระขุททกาปตี ิ (ดนิ )

(เพื่อฝกึ จติ ใหแ้ คลว่ คล่อง)

๖.เข้าวัดออกวดั สะกดเป็นอนโุ ลม เขา้ วดั ออกวดั สะกดเปน็ ปฏโิ ลม

๑.พระขทุ ทฺ กาปีติ (ดนิ ) ๑.พระผรณาปตี ิ (อากาศ)

๒.พระขณกิ าปตี ิ (ไฟ) ๒.พระอพุ เฺ พงคาปีติ (ลม)

๓.พระโอกกนตฺ ิกาปตี ิ (น้า) ๓.พระโอกกนตฺ ิกาปีติ (น้า)

๔.พระอุพฺเพงคาปีติ (ลม) ๔.พระขณกิ าปตี ิ (ไฟ)

๕.พระผรณาปตี ิ (อากาศ) ๕.พระขุททกาปตี ิ (ดิน)

การเข้าสับ เข้าคบื เข้าวัด ออกวดั พระปีติห้า เปน็ อนุโลมปฏโิ ลม

๔๕

ทาใหจ้ ติ ชานาญ แคล่วคล่อง เป็นวสี ในเบอื้ งต้น
พระปติ ิเจ้าท้งั ๕ จัดเปน็ ธาตุ

๑. พระขุททกาปีติ ธาตุดนิ ปฐวีธาตุ ๒๑
๒. พระขณิกาปีติ ธาตไุ ฟเต โชธาตุ ๖
๓. พระโอกกนฺติกาปีติ ธาตนุ ้า อาโปธาตุ ๑๒
๔. พระอุพฺเพงคาปีติ ธาตลุ ม วาโยธาตุ ๗
๕. พระผรณาปตี ิ อากาศธาตุ อากาศธาตุ ๑๐

รวมเป็นธาตพุ ระพุทธเจ้า ๕๖
พระขุททฺ กาปีติ ปฐวธี าตุ ดนิ ๒๑ คอื ๑. เกสา ๒. โลมา ๓. นขา

๔. ทนฺตา ๕. ตโจ ๖. มงฺส ๗. นหารู ๘. อฏฺฐิ ๙. อฏฺฐมิ ิญฺช ๑๐.วกฺก
๑๑. หทย ๑๒. ยกน ๑๓. กิโลมก ๑๔. ปหิ ก ๑๕. ปปฺผาส ๑๖. อนฺต
๑๗. อนฺตคณุ ๑๘. อุทริย ๑๙. กรสี ๒๐. มตฺถเก ๒๑. มตฺถลุงค
พระขณิกาปีติ เตโชธาตุ ๖ คอื ๑. จกขฺ ุวตฺถุ ๒. โสตวตฺถุ ๓. ฆานวตฺถุ
๔. ชิวหาวตฺถุ ๕. กายวตฺถุ ๖. หทยั วตฺถุ
พระโอกกันตกิ าปีติ อาโปธาตุ ๑๒ คอื ๑. ปิตต ๒. เสมห ๓.ปุพโพ
๔.โลหิต ๕. เสโท ๖. เมโท ๗. อสฺสุ ๘. วสา ๙. เขโฬ ๑๐. สงิ ฆานกิ า
๑๑. ลสกิ า ๑๒. มตุ ต
พระอุพฺเพงคาปีติวาโยธาต๗ุ คือ๑.จกขฺ รุ มมฺ ะณวา ๒.โสตารมฺมะณวา
๓. ฆานารมฺมณวา ๔. ชิวหารมมฺ ณวา ๕. กายารมมฺ ณวา
๖. จติ ตารมมฺ ณวา ๗. มโนรมฺมณ วา
พระผรณาปีตธิ รรมเจ้า อากาสธาตุ ๑๐ คอื ๑. ช่องตาซ้าย ๒. ช่องตาขวา
๓. ช่องจมกู ซ้าย ๔. ชอ่ งจมูกขวา ๕. ช่องหูซา้ ย ๖. ชอ่ งหูขวา
๗. ช่องทวารหนัก ๘. ชอ่ งทวารเบา ๙. วจีทวาร ได้แก่ชอ่ งปาก
๑๐. มโนทวารได้แกช่ อ่ งหทัย รวมอากาศเปน็ ๑๐
ใหพ้ ระโยคาวจรเจา้ รคู้ ุณพระบรมศาสดาเจา้ ๕๖ และคณุ พระลักษณะปีตทิ ั้ง ๕ รวม
เป็น ๕๖ เท่ากัน ให้รโู้ ดยสันทดั เถดิ แสดงพระลกั ษณะปตี เิ จา้ ต่าง ๆ ท้ัง ๕ ปตี ิ โดยสังเขปเท่าน้ี
แล

๔๖

เป็นคณุ พระพุทธเจ้า ๕๖ แบง่ ออกเป็น ๒ สว่ น เปน็ ๒๘ เอาอากาศ ๑๐ บวก เปน็

๓๘ เป็นคุณพระธรรมเจา้

แล้วตัง้ คณุ พระพุทธเจ้า ๕๖ ลงแบง่ ออกเปน็ ๔ ส่วน ออกได้ ๑๔ เปน็ คณุ พระสงฆ์

เข้ากันเป็น คณุ พระพทุ ธเจ้า ๕๖ คณุ พระธรรมเจา้ ๓๘ คณุ พระสงฆ์ ๑๔ รวมเป็นพระคณุ ๑๐๘

อารมณ์ของพระยุคลธรรม ๖ ประการ

๑.พระกายปสฺสทฺธิ จติ ปสฺสทธฺ ิ กายสงบ จติ สงบ อุปจารสมาธิ สมาธิสงบ ข้ันที่ ๑

๒.พระกายลหตุ า จิตลหตุ า กายเบา จติ เบา อุปจารสมาธิ สมาธิเบา ขน้ั ที่ ๒

๓.พระกายมทุ ตุ า จิตมุทุตา กายออ่ น จิตออ่ น อปุ จารสมาธิ สมาธอิ อ่ น ขน้ั ท่ี ๓

๔.พระกายกมฺมญญฺ ตา จิตกมมฺ ญญฺ ตา กายควรแกก่ ารงาน จติ ควรแก่การงาน

อปุ จารสมาธิ สมาธิควรแก่การงาน ขั้นท่ี ๔

๕.พระกายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา กายแคลว่ คลอ่ ง จติ แคล่วคลอ่ ง

อปุ จารสมาธิ สมาธิแคลว่ คล่อง ขน้ั ท่ี ๕

๖.พระกายุชุคคฺ ตา จติ ตุชุคคฺ ตา กายตรง จิตตรง อุปจารสมาธิ สมาธิตรง ข้ันที่ ๖

ขัน้ ตอนการนง่ั พระยคุ ลธรรม ๖

ขนั้ ตอนท่ี ๑-๒-๓ เหมอื นพระปตี ิ ๕

ขัน้ ตอนท๔่ี

เขา้ สบั พระยุคลหก เป็นอนุโลม (รวมลงท่ีนาภ)ี

๑.พระกายปสสฺ ทธฺ ิ -จิตปสสฺ ทฺธิ (ดนิ )

๒.พระกายมุทตุ า -จิตมทุ ุตา (น้า)

๓.พระกายลหตุ า -จิตลหตุ า (ไฟ)

๔.พระกายกมฺมญญฺ ตา -จติ กมมฺ ญญฺ ตา (ลม)

๕.พระกายมุทุตา-จิตมทุ ุตา (น้า)

๖.พระกายปาคญุ ญตา -จติ ปาคุญญตา (อากาศ)

๗.พระกายกมมฺ ญญฺ ตา -จิตกมฺมญฺญตา (ลม)

๘.พระกายชุคคฺ ตา -จติ ชุคคฺ ตา (ดิน)

เข้าสบั พระยคุ ลหก เป็นปฏโิ ลม (รวมลงท่ีนาภี)

๑.พระกายชุคฺคตา -จิตชคุ ฺคตา (ดิน)

๒.พระกายกมฺมญญฺ ตา -จติ กมมฺ ญญฺ ตา (ลม)

๔๗

๓.พระกายปาคุญญตา -จติ ปาคุญญตา (อากาศ)
๔.พระกายมุทตุ า -จติ มทุ ุตา (น้า)
๕.พระกายกมมฺ ญญฺ ตาจติ กมฺมญฺญตา (ลม)
๖.พระกายลหุตา -จติ ลหตุ า (ไฟ)
๗.พระกายมุทตุ า -จิตมทุ ุตา(น้า)
๘.พระกายปสฺสทธฺ ิ -จติ ปสฺสทฺธิ (ดนิ )
ขน้ั ตอนท่ี ๕
เขา้ คบื ยุคลหก เปน็ อนโุ ลม (รวมลงทีน่ าภี)
๑.พระกายปสฺสทฺธิ-จิตปสฺสทฺธิ (ดิน)
๒.พระกายมทุ ุตา-จิตมทุ ตุ า (นา้ )
๓.พระกายปาคุญญตา-จิตปาคุญญตา (อากาศ)
๔.พระกายลหุตา-จติ ลหุตา (ไฟ)
๕.พระกายกมฺมญญฺ ตา-จิตกมฺมญญฺ ตา (ลม)
๖.พระกายชคุ ฺคตา-จติ ชุคฺคตา (ดิน)
เขา้ คืบยคุ ลหก เปน็ ปฏโิ ลม (รวมลงที่นาภี)
๑.พระกายชคุ คฺ ตา-จติ ชุคฺคตา (ดิน)
๒.พระกายกมมฺ ญญฺ ตา-จิตกมฺมญญฺ ตา (ลม)
๓.พระกายลหุตา-จิตลหตุ า (ไฟ)
๔.พระกายปาคุญญตา-จิตปาคญุ ญตา(อากาศ)
๕.พระกายมุทตุ า-จิตมทุ ตุ า (น้า)
๖.พระกายปสสฺ ทธฺ ิ-จติ ปสฺสทธฺ ิ (ดนิ )
ขนั้ ตอนท่ี ๖

เข้าวัด ออกวัด เขา้ สกด ยคุ ลหก ( เปน็ อนโุ ลม)
๑.พระกายปสสฺ ทฺธิ-จิตปสสฺ ทธฺ ิ (ดนิ )
๒.พระกายลหุตา-จติ ลหตุ า (ไฟ)
๓.พระกายมทุ ุตา-จิตมุทตุ า (นา้ )
๔.พระกายกมมฺ ญญฺ ตา-จติ กมมฺ ญญฺ ตา (ลม)
๕.พระกายปาคญุ ญตา-จิตปาคุญญตา (อากาศ)

๔๘

๖.พระกายชุคคฺตา-จิตชุคฺคตา (ดนิ )
เขา้ วัด ออกวดั เขา้ สะกด ยคุ ลหก (เป็นปฏิโลม)
๑.พระกายชุคคฺ ตา-จติ ชุคคฺ ตา (ดิน)
๒.พระกายปาคญุ ญตา-จิตปาคุญญตา (อากาศ)
๓.พระกายกมฺมญฺญตา-จิตกมฺมญฺญตา (ลม)
๔.พระกายมุทตุ า-จิตมทุ ตุ า (นา้ )
๕.พระกายลหุตา-จิตลหตุ า (ไฟ)
๖.กายปสสฺ ทฺธิ-จิตปสสฺ ทฺธิ (ดนิ )

๔๙

พระยคุ ลธรรมท้งั ๖ ประการ จัดเปน็ ธาตุ
๑. พระกายปสฺสทฺธิ จิตตปสฺสทธฺ ิ

กายระงับ จติ ระงับ ปฐวีธาตดุ นิ ๒๑
๒. พระกายลหตุ า จติ ตลหตุ า

กายเบา จิตเบา เตโชธาตุ ๔
๓. พระกายมทุ ุตา จติ ตมุทตุ า

กายออ่ น จิตอ่อน อาโปธาตุ ๑๒
๔. พระกายกมมฺ ญฺญตา จติ ตกมมฺ ญฺญตา

กายควรแก่กรรม จิตควรแก่กรรม วาโยธาตุ ๖
๕. พระกายปาคญุ ญตา จติ ตปาคญุ ญตา

กายคล่องแคล่ว จติ คล่องแคลว่ อากาสธาตุ ๑๐
๖. พระกายชุ คุ ฺคตา จิตตชุ คุ ฺคตา กายตรง จิตตรง ปฐวธี าตุ ๒๑

๑. พระกายปสสฺ ทฺธิ จติ ตปสฺสทฺธิ กายระงบั จิตระงบั ปฐวีธาตุ ๒๑
๑. เกสา ๒. โลมา ๓. นขา ๔. ทนฺตา ๕. ตโจ ๖. มงฺส ๗. นหารู ๘. อฏฺฐิ
๙.อฏฺฐมิ ิญฺช ๑๐. วกกฺ ๑๑. หทย ๑๒. ยกน ๑๓. กโิ ลมก ๑๔. ปิหก
๑๕.ปปฺผาส ๑๖. อนตฺ ๑๗. อนตฺ คณุ ๑๘. อทุ ริย ๑๙. กรสี ๒๐. มตฺถเก
๒๑. มตถฺ ลงุ ค

๒. พระกายลหุตา จิตตลหตุ า กายเบา จติ เบา เตโชธาตุ๔
๑.สนฺตปฺปคฺคี น้นั ได้แก่ ไฟธาตอุ นั เปน็ พนกั งานใหอ้ บอนุ่ กายแก่สัตว์ทง้ั หลาย จงึ
อนุ่ อยู่มิได้เยน็
๒.ปรทิ ัยหคฺคี นน้ั ไดแ้ ก่ ไฟธาตุอันเปน็ พนักงานใหก้ ายร้อน ระส่า ระสาย
กระวน กระวายมปี ระการตา่ ง ๆ
๓.ชิรนคฺคี น้นั ไดแ้ ก่ ไฟธาตุเผากายใหค้ ร่าค่าแกช่ ราลงทกุ ๆ วนั
๔.ปริณามคฺคี นัน้ ไดแ้ ก่ ไฟธาตุ อนั เปน็ พนกั งานเผาอาหารใหย้ อ่ ยยับ

๓. พระกายมุทุตา จติ ตมทุ ตุ า กายออ่ น จิตอ่อน อาโปธาตุ ๑๒
๑. ปิตตฺ ๒. เสมหฺ ๓. ปุพฺโพ ๔. โลหิต ๕. เสโท ๖. เมโท ๗. อสฺสุ ๘. วสา
๙. เขโฬ ๑๐. สิงฆฺ านกิ า ๑๑. ลสกิ า ๑๒. มตุ ต

๔. พระกายกมั มญฺญตา จติ ตกัมมญญฺ ตา กายควรแก่กรรม จติ ควรแก่กรรม วาโยธาตุ ๖

๕๐


Click to View FlipBook Version