The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือสมถะวิปัสสนากรรมฐาน

สมถะ-วิปัสสนากรรมฐานจากพระไตรปิฎก : ตามแนวพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับตามแนว-ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถร (สุก ไก่เถื่อน)

มาจาก พระคัมภีร์กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ฝ่ายเถรวาท ซึ่งถือตามคติที่พระอรหันต์พุทธสาวก ที่ได้วางหลักพระธรรมวินัย และธรรมปฏิบัติเป็ นแบบแผนไว้เมื่อครั้งตติยสังคายนา และนับถือแพร่หลายมาในประเทศ ไทย พม่า ลังกา ลาว และกัมพูชา เป็นของเก่า สืบทอดต่อมาโดยสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน) วัดราชสิทธาราม แต่ได้มาอธิบาย พระกรรมฐานของเก่าขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย และเพิ่มศรัทธา ให้มีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรม ของเก่าดั่งเดิมกันมากขึ้น เป็นการจรรโลงการปฏิบัติธรรมของเก่ามิให้ เสื่อมสลาย สูญสิ้นไป

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kindness Dharma Foundation, 2020-06-16 19:39:03

คู่มือสมถะ-วิปัสสนากรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับ

คู่มือสมถะวิปัสสนากรรมฐาน

สมถะ-วิปัสสนากรรมฐานจากพระไตรปิฎก : ตามแนวพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับตามแนว-ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถร (สุก ไก่เถื่อน)

มาจาก พระคัมภีร์กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ฝ่ายเถรวาท ซึ่งถือตามคติที่พระอรหันต์พุทธสาวก ที่ได้วางหลักพระธรรมวินัย และธรรมปฏิบัติเป็ นแบบแผนไว้เมื่อครั้งตติยสังคายนา และนับถือแพร่หลายมาในประเทศ ไทย พม่า ลังกา ลาว และกัมพูชา เป็นของเก่า สืบทอดต่อมาโดยสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน) วัดราชสิทธาราม แต่ได้มาอธิบาย พระกรรมฐานของเก่าขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย และเพิ่มศรัทธา ให้มีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรม ของเก่าดั่งเดิมกันมากขึ้น เป็นการจรรโลงการปฏิบัติธรรมของเก่ามิให้ เสื่อมสลาย สูญสิ้นไป

๑.อุธงคฺ มาวาตา น้นั ไดแ้ ก่ ลมอนั พดั แต่พน้ื เท้าจนตลอดถึงเบื้องบน
๒.อโธคมาวาตา น้ัน ไดแ้ ก่ ลมอันพดั แต่เบ้อื งบนจนทีส่ ุดเบื้องตา่
๓.กุจฉสิ ยฺ าวาตา นัน้ ไดแ้ ก่ ลมทพี่ ดั อย่ใู นทอ้ ง
๔.โกฏฐาสยาวาตา นัน้ ได้แก่ ลมที่พัดอยู่ในลาไส้
๕.องฺคมงฺคานุสารโิ นวาตา น้ัน ไดแ้ ก่ ลมอนั พดั ซ่านท่วั สรรพางค์กาย
๖.อสสฺ าสะปสฺสาสะวาตา น้นั ไดแ้ ก่ ลมหายใจเขา้ -ออก
๕. พระกายปาคุญญตา จติ ตปาคุญญตา กายคลอ่ งแคลว่ จิตคล่องแคลว่ อากาสธาตุ ๑๐
๑. ชอ่ งตาซา้ ย ๒. ช่องตาขวา ๓. ชอ่ งจมกู ซ้าย ๔. ช่องจมูกขวา ๕. ชอ่ งหูซ้าย
๖. ช่องหูขวา ๗. ชอ่ งทวารหนกั ๘. ชอ่ งทวารเบา ๙. วจที วาร ได้แก่ช่องปาก
๑๐. มโนทวาร ได้แก่ชอ่ งหทัย รวมอากาศเป็น ๑๐
๖. พระกายุชุคคฺ ตา จิตุชคุ คฺ ตา กายตรง จติ ตรง ปฐวธี าตุ ๒๑
๑. เกสา ๒. โลมา ๓. นขา ๔. ทนฺตา ๕. ตโจ ๖. มงฺส ๗. นหารู ๘. อฏฐฺ ิ
๙. อฏฐฺ ิมญิ ฺช ๑๐. วกฺก ๑๑. หทย ๑๒. ยกน ๑๓. กิโลมก ๑๔. ปหิ ก
๑๕. ปปฺผาส ๑๖. อนฺต ๑๗. อนตฺ คุน ๑๘. อุทรยิ ๑๙. กรีส ๒๐. มตฺถเก
๒๑. มตฺถลุงค
ธาตดุ ิน ไฟ นา้ ลม ในยคุ ลธรรม ๖ เปน็ ธาตกุ าย และธาตจุ ิต
พระสุขสมาธิ ๒ ประการ
๑.พระกายสขุ จิตสุข กายเปน็ สขุ (สบาย) จติ เป็นสขุ (สบาย) อุปจารสมาธิ
ข้นั ประณตี เป็นอุปจารฌาน หรือรูปเทียม ของปฐมฌาน
๒.พระอุปจารสมาธิ พทุ ธานสุ สติ อุปจารสมาธเิ ตม็ ข้ัน เป็น อุปจารฌาน เต็มขั้น

ข้ันตอนการนั่งสุขสมาธิ
ขัน้ ตอนท่ี ๑-๒-๓ เหมอื นพระยคุ ลหก
ขัน้ ตอนท่ี ๔ เขา้ วดั ออกวดั เข้าสะกดพระสุขพระพทุ ธา เปน็ อนโุ ลม

๑.พระกายสุข-จิตสุข
๒.พระอปุ จารสมาธิ พทุ ธานุสสติ
เขา้ วดั ออกวัดเขา้ สะกดพระสุขพระพุทธา เป็นปฏิโลม
๑.พระอุปจารสมาธิ พุทธานุสสติ
๒.พระกายสุขจิตสุข

๕๑

พระสขุ พระพุทธา จัดเปน็ ธาตุ
๑.พระกายสขุ จติ สขุ

กายสขุ จติ สุข เป็นปฐวีธาตุ ธาตุดิน อนั สัมปยุตดว้ ยธาตุ น้า ลม ไฟ ปฐวธี าตใุ น
หอ้ งกายสุข จติ สขุ น้ี มี ๓ ธาตอุ าศยั อยู่ คือ น้า ไฟ ลม และมีอากาศธาตุ รองรบั ดิน นา้ ลม ไฟ
ถา้ อากาศธาตุดบั ดนิ น้า ลม ไฟ กด็ บั ชวี ติ กด็ บั ดว้ ยแล
๒.อุปจารพระพทุ ธานสุ สติ เป็นจิตธาตุ หรอื มโนธาตุ วญิ ญาณธาตุ เป็นจติ อปุ จารฌาน

เมือ่ ปตี ิ ดาเนินไปถงึ ทแ่ี ล้ว เต็มที่แลว้ ย่อมได้ความสงบแหง่ จติ คอื ปสั สัทธิ เมื่อปัสสทั ธิ
ดาเนนิ ไปถงึ ทแี่ ลว้ เต็มที่แล้ว ย่อมได้ ความสุข คอื สุขสมาธิ สุขดาเนนิ ไปถึงท่แี ลว้ เต็มท่ีแล้ว
จติ ยอ่ มตง้ั มน่ั เป็นอุปจารสมาธิ และเป็นบาทฐานของอปั ปนาสมาธิ ด้วยการเปลยี่ นกรรมฐาน
เป็นอานาปานสติ

อนั หอ้ งพระพทุ ธานสุ สติ ขัน้ แรกใหอ้ าราธนาองคพ์ ระกรรมฐาน เอายัง พระลักษณะ(รูป
บัญญัติ)ของ พระปีติ ๕ แต่ละองค์ พระยคุ ลธรรม ๖ แต่ละองค์ พระสขุ สมาธิ ๒ แต่ละองค์ เมื่อ
ครบพระลักษณะกรรมฐาน แล้วให้น่ังทวนอกี เที่ยวหนงึ่ เอายังพระรศั มี (รูปปรมตั ถ์) องคพ์ ระ
ปีติ ๕ แต่ละองค์ องค์พระยุคล ๖ แตล่ ะองค์ องค์พระสขุ สมาธิ ๒ แต่ละองค์

พระลักษณะ หรือ รปู น้ัน เปน็ รปู บัญญัติ อาจ แปรปรวน ไมแ่ นน่ อน นมิ ติ ทเี่ กิดขน้ึ อาจ
เปน็ นมิ ติ ลวง นมิ ิตหลอน นมิ ิตหลอก หรอื นิมติ อันเกิดจากอุปาทานได้

ฉะนั้นพระอาจารย์เจา้ แตป่ างก่อน ทา่ นให้อาราธนาน่ังเอายงั พระรศั มี ดวงธรรม หรือ สี
อันเป็นรูปารมณ์ เปน็ รปู ปรมัตถะ คอื รูปจริงแท้แน่นอน ไมแ่ ปรผัน การนั่งเอายังพระรศั มีองค์
พระ เพอ่ื ปรับจิต กนั นิมติ หลอก นมิ ิตลวง กนั นมิ ติ อุปาทาน ทาใหจ้ ิตมีอปุ าทานในนิมติ นอ้ ยลง
เพราะพระพทุ ธานุสสตกิ รรมฐานนี้มแี ต่ อคุ คหะนมิ ิตประการเดียว หามีปฏภิ าคนิมิตไม่,
อคุ คหะนิมติ นี้ ย่อมเกดิ ในมโนทวาร ฉะน้นั นิมติ อาจเปน็ นิมติ ท่นี ึกขึ้นเอง คดิ ขึ้นเองกไ็ ด้

ลกั ษณะอาการ ของปีติ ยคุ ล สขุ
๑.พระขุททกาปตี ิ เกดิ ขุนลกุ หนงั ศรีษะ พองสยองเกล้า
๒.ขะณกิ าปีติ เกิดในจักขุทวาร เป็นประกายเหมือนตเี หลก็ ไฟ เหมือนสายฟ้าแลบ
๓.พระโอกกันติกาปีติ เกิดดงั ขเ่ี รอื ตอ้ งระลอกคลื่น เกดิ ลมพัดไปทวั่ กายกม็ ี
๔.พระอุพเพงคาปีติ เกิดให้กายเบา ใหก้ ายลอยขึน้ หกคะเมน
๕.พระผรณาปตี ิ เกดิ ให้กายประดุจอาบนา้ เยน็ ซาบซา่ นทวั่ สกลกาย
๖.พระกายปสั สัทธิ จติ ปสั สทั ธิ เกดิ กายใจสงบระงับ ไม่กระวนกระวายฟงุ้ ซ่าน

๕๒

๗.พระกายลหตุ า จติ ลหุตา ความเบากาย เบาใจไม่งว่ งเหงาหาวนอน
๘.พระกายมุทตุ า จติ มุทตุ า ความออ่ นไมก่ ระด้างของกาย และ จิต เริ่มขม่ นวิ รณธรรม

ได้บา้ ง
๙.พระกายกมั มญั ญตา จิตกมั มญั ญตา กายจิตควรแก่การงาน ไม่มีกามฉนั ท์ วจิ ิกิจฉา
๑๐.พระกายปาคญุ ญตา จิตปาคญุ ญตา ความแคล่วคลอ่ งแหง่ กาย และ จิต ไม่เฉอ่ื ยชา
๑๑.พระกายุชคุ คตา จติ ตุชคุ คตา ความเป็นสภาพตรงกาย และ จิต
๑๒.พระกายสขุ จติ สุข ความสบายกาย ความสบายใจนาพาใหเ้ กิดความตัง้ มนั่ ของจติ

คือสมาธิ
๑๓.พระอุปจารสมาธิ พทุ ธานุสสติ จติ ต้งั มน่ั เปน็ อุปจารพทุ ธานุสสติ สามารถขม่

นวิ รณธรรม เปน็ กามาวจรจติ เป็นอุปจารฌาน
มีศีล เกิดปราโมทยๆ์ เกิดปีติ ๕ ประการๆ เกิดยคุ ลธรรม ๖ ประการๆ เกิดสุขสมาธิ ๒

ประการๆ ย่อมทาให้สัมมาสมาธสิ มบรู ณ์ ท่สี มบรู ณ์ เพราะเกิด เปน็ ข้ัน เปน็ ตอนเปน็ ลาดับ ปตี ิ
เป็นราก เปน็ เงา่ เปน็ เคา้ เปน็ มูล ของสมาธิ เป็นสัมมาสมาธิ

๕๓

พระกายคตาสติสูตร

พระกรรมฐานตอ่ เนื่องในสขุ สมาธิ ทีพ่ ฒั นาจิต ไปสู่สมาธิเบือ้ งสูง
ขา้ พเจ้า (พระอานนท์) ได้สดบั มาแล้วอย่างนี้ สมัยหน่งึ พระผู้มีพระภาคประทบั อยู่ที่
พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑกิ เศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ครง้ั นน้ั แล ภกิ ษมุ าก
ดว้ ยกนั กลับจากบณิ ฑบาต ภายหลงั เวลาอาหารแลว้ น่งั ประชุมกันในอปุ ัฏฐานศาลา เกิดขอ้
สนทนากันขึ้นในระหว่างดงั น้ีว่า ดกู รทา่ นผ้มู อี ายุทง้ั หลาย นา่ อัศจรรย์จรงิ ไมน่ า่ เป็นไปได้เลย
เท่าท่ีพระผู้มพี ระภาคพระองค์นนั้ ผู้ทรงรู้ ทรงเห็นเป็นพระอรหนั ตสมั มาสัมพทุ ธ ตรัสกายค
ตาสตทิ ีภ่ ิกษเุ จรญิ แลว้ ทาให้มากแล้ว วา่ มี ผลมาก มีอานิสงสม์ ากนี้ ขอ้ สนทนากันในระหวา่ ง
ของภิกษุเหล่านน้ั ค้างอยู่ เพียงเทา่ นแ้ี ล ฯ
ขณะนนั้ พระผู้มพี ระภาคเสดจ็ ออกจากสถานที่ทรงหลีกเร้นอย่ใู นเวลาเย็นเสดจ็ เข้าไป
ยงั อปุ ัฏฐานศาลานัน้ คร้ันแล้วจึงประทับนั่ง ณ อาสนะที่เขาแตง่ ตง้ั ไว้ แล้วตรสั ถามภกิ ษุ
ท้งั หลายวา่ ดูกรภิกษทุ ้ังหลาย บดั นี้ พวกเธอ นง่ั ประชมุ สนทนาเรอื่ งอะไรกัน และพวกเธอ
สนทนาเรอื่ งอะไรคา้ งอยใู่ นระหว่าง ฯ
ภกิ ษเุ หลา่ นั้นทูลว่า ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ณ โอกาสน้ี พวกขา้ พระองคก์ ลบั จาก
บิณฑบาตภายหลังเวลาอาหารแล้ว นง่ั ประชมุ กันในอปุ ัฏฐานศาลาเกดิ ข้อสนทนากันขน้ึ ใน
ระหวา่ งดงั นว้ี ่าดกู รท่านผู้มีอายุทง้ั หลาย น่าอศั จรรยจ์ ริงไม่นา่ เปน็ ไปได้เลย เท่าที่พระผู้มีพระ
ภาคพระองค์น้นั ผ้ทู รงรู้ ทรงเห็น เปน็ พระอรหนั ตสัมมาสัมพุทธ ตรัสกายคตาสติทีภ่ ิกษเุ จรญิ
แลว้ ทาให้มากแล้วว่ามผี ลมาก มอี านสิ งส์มากน้ี ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้เจริญ ข้อสนทนากนั ใน
ระหว่างของพวกขา้ พระองค์ไดค้ ้างอยู่เพยี งเท่านี้ พอดีพระผมู้ ีพระภาคก็เสด็จมาถงึ ฯ

(ตรัสอานาปานสติ)
พระผู้มีพระภาคตรสั ว่า ดูกรภกิ ษุท้งั หลาย กก็ ายคตาสติอันภกิ ษเุ จริญแลว้ อย่างไร ทา
ให้มากแล้วอยา่ งไร จงึ มีผลมาก มีอานสิ งสม์ าก ดกู รภิกษุทง้ั หลาย ภิกษุในธรรมวนิ ัยนี้ อยใู่ น
ป่าก็ดี อยู่ท่โี คนไมก้ ด็ ี อยูใ่ นเรือนว่างกด็ ี นั่งคบู้ ลั ลงั ก์ ตั้งกายตรงดารงสติมั่นเฉพาะหน้า เธอ
ยอ่ มมีสติหายใจออกมีสติหายใจเขา้ เม่อื หายใจออกยาว กร็ ้ชู ัดว่าหายใจออกยาว หรือเมื่อ
หายใจ เข้ายาว ก็รชู้ ัดวา่ หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสัน้ หรอื เม่ือ
หายใจเขา้ ส้นั กร็ ชู้ ัดว่า หายใจเขา้ สั้น สาเหนียกอยู่ วา่ เราจกั เป็นผกู้ าหนดร้กู องลมทัง้ ปวง
หายใจออก ว่าเราจกั เป็นผูก้ าหนดรกู้ องลมท้ังปวง หายใจเขา้ สาเหนยี กอยู่ ว่าเราจักระงบั กาย
สงั ขาร หายใจออก วา่ เราจกั ระงบั กายสังขาร หายใจเข้าเมอ่ื ภกิ ษนุ น้ั ไมป่ ระมาท มีความเพียร

๕๔

สง่ ตนไปในธรรมอยู่ อย่างน้ี ยอ่ มละความดารพิ ล่านที่อาศยั เรอื นเสียได้ เพราะละความดาริ
พลา่ นน้นั ได้ จติ อนั เป็นไปภายในเทา่ นั้น ยอ่ มคงท่ี แน่น่งิ เปน็ ธรรมเอกผดุ ขน้ึ ตั้งมัน่ ดกู ร
ภกิ ษุทงั้ หลาย แมอ้ ย่างน้ี ภกิ ษกุ ็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ

(ตรสั อิรยิ าบถ)
ดกู รภิกษุท้งั หลาย ประการอ่นื ยงั มีอีก ภิกษุเดินอยู่ กร็ ูช้ ัดว่ากาลงั เดินหรือยืนอยู่ กร็ ชู้ ดั
ว่ากาลงั ยนื หรอื นั่งอยู่ ก็รู้ชัดว่ากาลงั น่งั หรือนอนอยู่ กร็ ูช้ ดั ว่ากาลังนอนหรือเธอทรงกายโดย
อาการใดๆ อยู่ ก็รู้ชดั วา่ กาลังทรงกายโดยอาการนั้นๆ เมือ่ ภกิ ษุนนั้ ไมป่ ระมาท มคี วามเพียร
ส่งตนไปใน ธรรมอยู่อยา่ งนี้ ยอ่ มละความดาริพลา่ นที่อาศยั เรือนเสยี ได้เพราะละความดาริ
พลา่ นนน้ั ได้ จิตอันเป็นไปภายในเทา่ นนั้ ย่อมคงท่ี แน่น่ิง เปน็ ธรรมเอกผดุ ขนึ้ ตั้งมนั่ ดูกร
ภกิ ษทุ งั้ หลาย แมอ้ ย่างนี้ ภกิ ษกุ ช็ ่อื วา่ เจรญิ กายคตาสติ ฯ
ดูกรภิกษุทง้ั หลาย ประการอื่นยงั มีอีก ภิกษุยอ่ มเปน็ ผู้ทาความ ร้สู ึกตวั ในเวลาก้าวไป
และถอยกลับ ในเวลาแลดู และเหลยี วดู ในเวลางอแขนและเหยยี ดแขน ในเวลาทรงผ้าสงั ฆาฏิ
บาตร และจวี ร ในเวลา ฉนั ดืม่ เคย้ี ว และลิ้ม ในเวลาถ่ายอจุ จาระ และปสั สาวะ ในเวลา
เดนิ ยืน นงั่ นอนหลบั ตนื่ พดู และน่ิง เม่ือภกิ ษุน้ันไม่ประมาทมีความเพยี ร ส่งตนไปใน
ธรรมอย่อู ย่างน้ี ย่อมละความดาริพลา่ นทอ่ี าศยั เรือนเสยี ได้ เพราะละความดารพิ ล่านนั้นได้ จิต
อนั เปน็ ไปภายในเท่านัน้ ยอ่ มคงท่ี แน่น่ิง เปน็ ธรรมเอกผุดขน้ึ ตั้งม่นั ดูกรภกิ ษทุ ั้งหลาย แม้
อยา่ งนี้ ภิกษุก็ชือ่ ว่าเจริญกายคตาสติ ฯ

(ตรสั อาการสามสิบสอง)
ดกู รภกิ ษุทั้งหลาย ประการอ่ืนยงั มีอีก ภกิ ษุย่อมพิจารณากายนี้ แล ขา้ งบนแตพ่ ื้นเทา้
ขึน้ ไป ข้างลา่ งแต่ปลายผมลงมา มหี นังหุม้ อยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไมส่ ะอาดมปี ระการต่างๆ
ว่ามอี ย่ใู นกายน้ี ผม ขน เลบ็ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยอ่ื ในกระดกู มา้ ม หวั ใจ ตับ
พังผดื ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไสน้ อ้ ย อาหารใหม่ อาหารเกา่ ดี เสลด น้าเหลอื ง เลอื ด เหงอ่ื มนั
ขน้ นา้ ตา เปลวมัน น้าลาย นา้ มกู ไขข้อ มตู ร ดูกรภิกษุท้งั หลายเปรยี บเหมอื นไถ้มีปากท้งั
๒ ขา้ ง เต็มด้วยธัญญาชาติตา่ งๆ ชนดิ คือ ข้าวสาลี ขา้ วเปลือก ถว่ั เขยี ว ถั่วทอง งา และ
ข้าวสาร บุรษุ ผู้มตี าดี แกไ้ ถ้นน้ั ออกแล้วพึงเหน็ ไดว้ ่า นีข้ า้ วสาลี นข้ี า้ วเปลอื ก นี้ถ่ัวเขยี ว นี้ถ่ัว
ทอง นีง้ า น้ีขา้ วสาร ฉันใด ดกู รภกิ ษทุ ้งั หลาย ฉนั นั้นเหมือนกนั แล ภิกษุยอ่ มพิจารณาเห็น
กายน้แี ลข้างบนแต่พ้นื เทา้ ขนึ้ ไป ขา้ งล่างแตป่ ลายผมลงมามีหนังหุ้มอย่โู ดยรอบ เตม็ ดว้ ยของ
ไมส่ ะอาด มปี ระการต่างๆ ว่ามอี ยูใ่ นกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟนั หนงั เน้ือ เอน็ กระดกู เยอื่ ใน

๕๕

กระดกู ม้าม หวั ใจ ตับ พังผดื ไต ปอด ไสใ้ หญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเกา่ ดี เสลด
นา้ เหลือง เลอื ด เหงอ่ื มันขน้ นา้ ตา เปลวมันน้าลาย น้ามูก ไขขอ้ มตู ร เมื่อภิกษนุ นั้ ไม่
ประมาท มีความ เพียร ส่งตนไปในธรรมอยอู่ ย่างน้ี ยอ่ มละความดาริพลา่ นที่อาศยั เรอื นเสียได้
เพราะละความดาริพล่านน้นั ได้ จติ อันเป็นไปภายในเท่านัน้ ย่อมคงท่ี แนน่ ง่ิ เปน็ ธรรมเอกผดุ
ขนึ้ ตัง้ มัน่ ดูกรภกิ ษุทั้งหลาย แมอ้ ย่างนี้ ภกิ ษุก็ชอื่ ว่าเจริญ กายคตาสติ ฯ

(ตรัสเร่อื งธาตุ)
ดูกรภิกษุทงั้ หลาย ประการอ่ืนยังมีอีก ภกิ ษุยอ่ มพิจารณากายน้ี แล ตามทีต่ ั้งอยู่ ตามที่
ดารงอยู่ โดยธาตุวา่ มอี ยู่ในกายนี้ ธาตดุ นิ ธาตุน้า ธาตุไฟ ธาตุลม ดกู รภกิ ษุทง้ั หลายเปรียบ
เหมือนคนฆา่ โค หรือลกู มือของคนฆ่าโค ผูฉ้ ลาด ฆา่ โคแลว้ นง่ั แบ่งเป็นส่วนๆ ใกลท้ างใหญ่
๔ แยก ฉนั ใดดกู รภกิ ษทุ ง้ั หลาย ฉนั น้นั เหมอื นกนั แล ภกิ ษุยอ่ มพิจารณาเหน็ กายน้แี ล ตามที่
ต้งั อยู่ ตามที่ดารงอยู่ โดยธาตวุ ่า มอี ยู่ในกายน้ี ธาตดุ ิน ธาตนุ า้ ธาตไุ ฟ ธาตุลมเมอ่ื ภิกษนุ นั้
ไมป่ ระมาท มีความเพียร สง่ ตนไปในธรรมอยอู่ ย่างนี้ยอ่ มละความดารพิ ล่านท่อี าศยั เรือนเสีย
ได้ เพราะละความดาริพลา่ นนัน้ ได้ จติ อนั เปน็ ไปภายในเทา่ นัน้ ยอ่ มคงท่ี แน่น่งิ เปน็ ธรรมเอก
ผดุ ขึน้ ต้ังมนั่ ดูกรภิกษทุ ้ังหลาย แมอ้ ย่างนี้ ภิกษุก็ชือ่ วา่ เจริญกายคตาสติ ฯ

(ตรสั อสุภกรรมฐาน)
ดูกรภิกษุทง้ั หลาย ประการอื่นยงั มีอีก ภิกษุเหน็ ศพทเ่ี ขาทิ้งในป่าชา้ อันตายไดว้ นั หนึง่
หรือสองวนั หรือสามวนั ทข่ี ึ้นพอง เขยี วชา้ มี นา้ เหลืองเยม้ิ จึงนาเข้ามาเปรียบเทียบกายน้วี า่
แม้กายนี้แล ก็เหมือนอยา่ งน้ีเป็นธรรมดา มีความเปน็ อย่างน้ี ไมล่ ่วงอย่างน้ไี ปไดเ้ มอื่ ภิกษุนัน้
ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างน้ี ยอ่ มละความดารพิ ลา่ นท่อี าศยั เรอื นเสยี
ได้ เพราะละความดารพิ ล่านนั้นได้ จติ อนั เปน็ ไปภายในเท่านน้ั ย่อมคงท่ี แน่นิง่ เป็นธรรมเอก
ผดุ ขึ้น ตง้ั มนั่ ดกู รภกิ ษทุ ั้งหลาย แมอ้ ย่างน้ี ภกิ ษกุ ็ชอ่ื วา่ เจรญิ กายคตาสติ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยงั มอี ีก ภิกษเุ ห็นศพทีเ่ ขาทิง้ ใน ปา่ ชา้ อนั ฝูงกาจิกกนิ อยู่
บา้ ง ฝงู แรง้ จิกกนิ อยู่บา้ ง ฝงู นกตะกรมุ จกิ กินอยบู่ ้าง หมูส่ ุนัขบา้ นกัดกนิ อยบู่ ้างหมูส่ นุ ขั ป่ากดั
กนิ อย่บู ้าง สัตว์เลก็ สตั ว์นอ้ ยตา่ งๆ ชนิดฟอนกนิ อยูบ่ ้าง จงึ นาเขา้ มาเปรียบเทียบกายน้ีว่า แม้
กายนแี้ ล ก็เหมอื นอย่างน้ี เป็นธรรมดา มคี วามเป็นอยา่ งน้ี ไมล่ ่วงอย่างน้ีไปได้ เมอ่ื ภิกษนุ ้ันไม่
ประมาท มคี วามเพียร ส่งตนไปในธรรมอยอู่ ย่างน้ี ยอ่ มละความดารพิ ลา่ นที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดารพิ ลา่ นนั้นได้ จิตอนั เปน็ ไปภายในเท่านนั้ ย่อมคงท่ี แนน่ ่ิงเปน็ ธรรมเอกผุด
ขน้ึ ต้ังมัน่ ดูกรภกิ ษุท้ังหลาย แม้อยา่ งน้ีภกิ ษกุ ็ช่ือว่าเจริญกายคตาสติ ฯ

๕๖

ดกู รภิกษุท้ังหลาย ประการอนื่ ยงั มีอีก ภิกษุเหน็ ศพทีเ่ ขาท้ิงในปา่ ชา้ ยังคุมเปน็ รูปรา่ ง
อยูด่ ้วยกระดกู มีท้งั เนือ้ และเลือด เส้นเอน็ ผกู รดั ไว้...

เหน็ ศพทเี่ ขาทง้ิ ในป่าช้า ยงั คมุ เป็นรูปร่างดว้ ยกระดูก ไม่มเี น้อื มแี ต่เลือดเปรอะเปือ้ น
อยเู่ ส้นเอน็ ยงั ผูกรดั ไว้...

เห็นศพทีเ่ ขาทิ้งในป่าช้า ยังคมุ เปน็ รูปรา่ งด้วยกระดูก ปราศจากเน้ือ และเลือดแลว้ แต่
เสน้ เอน็ ยงั ผูกรัดอยู่...

เหน็ ศพทเ่ี ขาทงิ้ ในป่าชา้ เปน็ ทอ่ นกระดูก ปราศจากเสน้ เอ็นเครือ่ งผกู รัดแล้ว กระจดั
กระจายไปทั่วทิศต่างๆ คือ กระดูกมืออยทู่ างหน่ึง กระดูกเท้าอยู่ทางหนึ่ง กระดกู แข้งอยทู่ าง
หน่ึงกระดูกหน้าขาอยู่ทางหน่ึง กระดูกสะเอวอยู่ทางหนง่ึ กระดกู สนั หลังอยู่ทางหน่งึ กระดูก
ซีโ่ ครงอยู่ทางหนึ่ง กระดกู หน้าอกอยู่ทางหนง่ึ กระดูกแขนอยทู่ างหนึง่ กระดูกไหล่อยทู่ าง
หนง่ึ กระดกู คออยูท่ างหน่งึ กระดูกคางอยู่ทางหนึง่ กระดูกฟันอยู่ทางหนึ่ง กะโหลกศีรษะอยู่
ทางหนงึ่ จงึ นาเขา้ มาเปรียบเทยี บกายนวี้ า่ แม้กายนี้แล กเ็ หมอื นอยา่ งน้ีเป็นธรรมดา มคี วาม
เป็นอยา่ งนไี้ ม่ลว่ งอยา่ งนี้ไปได้ เม่อื ภิกษุนน้ั ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่
อยา่ งน้ี ย่อมละความดาริพล่านทอ่ี าศยั เรอื นเสยี ได้ เพราะละความดาริพลา่ นน้นั ได้ จิตอัน
เป็นไปภายในเทา่ นั้นยอ่ มคงท่ี แน่น่งิ เป็นธรรมเอกผดุ ขึน้ ตงั้ มน่ั ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อยา่ งนี้
ภิกษกุ ช็ อ่ื ว่าเจริญกายคตาสติ ฯ

ดกู รภิกษุทัง้ หลาย ประการอ่ืนยังมีอกี ภิกษุเหน็ ศพทีเ่ ขาทิ้งในปา่ ช้า เป็นแตก่ ระดูก สี
ขาวเปรยี บดังสีสังข์...

เหน็ ศพที่เขาทง้ิ ในป่าช้า เป็นท่อนกระดูก เรย่ี ราดเปน็ กองๆ มีอายเุ กินปีหน่งึ ...
เหน็ ศพท่เี ขาทิ้งในปา่ ช้า เปน็ แต่กระดูก ผเุ ปน็ จณุ จงึ นาเขา้ มาเปรยี บเทียบกายนีว้ า่ แม้
กายนีแ้ ล กเ็ หมอื นอยา่ งน้ีเปน็ ธรรมดา มีความเป็นอยา่ งน้ี ไมล่ ว่ งอยา่ งนไี้ ปได้ เมอื่ ภิกษนุ ัน้ ไม่
ประมาท มคี วามเพยี ร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ยอ่ มละความดารพิ ลา่ นทีอ่ าศัยเรอื นเสียได้
เพราะละความดารพิ ล่านนั้นได้จติ อนั เปน็ ไปภายในเทา่ นัน้ ยอ่ มคงที่ แนน่ ง่ิ เปน็ ธรรมเอกผดุ
ขึน้ ต้ังมน่ั ดูกรภกิ ษุทง้ั หลาย แมอ้ ยา่ งน้ี ภิกษุกช็ ือ่ ว่าเจริญกายคตาสติ ฯ

(ตรัส ฌาน ๔)
ดกู รภกิ ษุทั้งหลาย ประการอืน่ ยังมอี ีก ภิกษสุ งัดจากกาม สงดั จากอกุศลธรรมเขา้
ปฐมฌาน มวี ติ ก มีวิจาร มีปตี ิและสขุ เกิดแตว่ ิเวกอยู่ เธอยงั กายนี้แล ใหค้ ลุกเคลา้ บริบูรณ์
ซาบซา่ นดว้ ยปีติและสขุ เกิดแตว่ เิ วก ไมม่ เี อกเทศไรๆ แหง่ กายทุกสว่ นของเธอทีป่ ตี แิ ละสขุ เกิด

๕๗

แต่วเิ วกจะไม่ถกู ต้อง ดูกรภิกษุท้ังหลาย เปรียบเหมอื นพนักงานสรงสนาน หรือลกู มือของ
พนักงานสรงสนานผูฉ้ ลาด โรยจณุ สาหรับสรงสนานลงในภาชนะสารดิ แล้ว เคลา้ ดว้ ยนา้ ให้
เป็นก้อนๆ กอ้ นจณุ สาหรบั สรงสนานนน้ั มยี างซึม เคลือบ จงึ จับกนั ทงั้ ข้างใน ขา้ งนอกและ
กลายเป็นผลกึ ด้วยยาง ฉันใด ดกู รภกิ ษทุ ั้งหลาย ฉันน้นั เหมอื นกนั แล ภกิ ษุย่อมยงั กายนแี้ ลให้
คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านดว้ ยปตี แิ ละสุขเกดิ แตว่ ิเวก ไมม่ เี อกเทศไรๆ แหง่ กายทุกสว่ น
ของเธอทป่ี ีตแิ ละสุขเกิดแตว่ ิเวกจะไมถ่ กู ต้อง เม่ือภกิ ษนุ ั้นไมป่ ระมาท มคี วามเพยี ร ส่งตนไป
ในธรรมอยอู่ ย่างนยี้ ่อมละความดาริพลา่ นท่ีอาศัยเรือนเสยี ได้ เพราะละความดารพิ ล่านนนั้ ได้จิต
อันเปน็ ไปภายในเทา่ นน้ั ย่อมคงที่ แน่น่งิ เป็นธรรมเอกผุดขนึ้ ตง้ั มน่ั ดกู รภิกษุทง้ั หลายแม้
อย่างน้ี ภิกษกุ ็ชือ่ ว่าเจรญิ กายคตาสติ ฯ

ดูกรภิกษุท้งั หลาย ประการอื่นยังมอี ีก ภกิ ษเุ ข้าทตุ ิยฌาน มีความผ่องใสแหง่ ใจภายใน
มคี วามเปน็ ธรรมเอกผุดข้ึน เพราะสงบวติ กและวจิ ารไมม่ ีวิตก ไมม่ ีวจิ าร มปี ตี แิ ละสุขเกิดแต่
สมาธิอยู่ เธอยงั กายนแ้ี ล ให้คลุกเคลา้ บรบิ ูรณ์ ซาบซ่านดว้ ยปตี ิและสขุ เกดิ แต่สมาธิ ไม่มี
เอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีตแิ ละสุขเกิดแตส่ มาธจิ ะไมถ่ กู ตอ้ ง ดูกรภกิ ษทุ งั้ หลาย
เปรียบเหมอื นหว้ งน้าพุ ไมม่ ที างระบายนา้ ท้งั ในทศิ ตะวันออก ทงั้ ในทิศตะวันตกท้ังในทิศ
เหนอื ทั้งในทศิ ใต้เลย และฝนกย็ งั ไม่หล่ังสายนา้ โดยชอบตามฤดูกาล ขณะนน้ั แลธารน้าเย็น
จะพขุ ึน้ จากห้วงน้าน้นั แล้วทาห้วงนา้ นั้นเอง ใหค้ ลกุ เคลา้ บริบรู ณ์ ซาบซา่ นด้วยนา้ เยน็ ไมม่ ี
เอกเทศไรๆ แหง่ ห้วงน้าทุกส่วนนนั้ ทนี่ า้ เย็นจะไมถ่ ูกต้อง ฉนั ใด ดกู รภกิ ษทุ ั้งหลายฉันนน้ั
เหมือนกนั แล ภกิ ษุย่อมยงั กายนี้แล ใหค้ ลกุ เคลา้ บรบิ ูรณ์ ซาบซ่านดว้ ยปตี แิ ละสุขเกิดแต่
สมาธิไมม่ ีเอกเทศไรๆ แหง่ กายทกุ ส่วนของเธอท่ีปตี แิ ละสขุ เกิดแตส่ มาธิจะไมถ่ ูกตอ้ งเม่อื ภิกษุ
นนั้ ไมป่ ระมาท มคี วามเพยี ร ส่งตนไปในธรรมอยู่อยา่ งนี้ ย่อมละความดาริพล่านทอี่ าศัยเรอื น
เสยี ได้ เพราะละความดาริพล่านนน้ั ได้ จติ อนั เปน็ ไปภายในเทา่ น้นั ย่อมคงที่ แนน่ ่ิงเปน็ ธรรม
เอกผดุ ข้นึ ตั้งมนั่ ดกู รภิกษทุ ัง้ หลายแม้อย่างนี้ ภกิ ษุก็ช่อื ว่าเจริญกายคตาสติฯ

ดกู รภกิ ษุท้ังหลาย ประการอน่ื ยังมีอีก ภิกษุเป็นผวู้ างเฉยเพราะหนา่ ยปีติ มี
สติสัมปชญั ญะอยู่ และเสวยสขุ ด้วยนามกาย ย่อมเข้าตตยิ ฌานท่ีพระอริยะเรียกเธอไดว้ ่าผวู้ าง
เฉย มีสติ อยเู่ ปน็ สขุ อยู่ เธอยังกายนแี้ ล ให้คลุก เคล้า บรบิ รู ณ์ ซาบซ่านด้วยสุขปราศจากปีติ
ไม่มเี อกเทศไรๆ แหง่ กายทกุ สว่ นของเธอทสี่ ขุ ปราศจากปีตจิ ะไม่ถกู ต้อง ดกู รภิกษุท้งั หลาย
เปรียบเหมือนดอกบัวขาบ หรือดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว แตล่ ะชนดิ ในกอบวั ขาบหรือ
ในกอบวั หลวง หรือในกอบวั ขาว เกดิ แลว้ ในนา้ เน่อื งอย่ใู นน้า ขึน้ ตามน้าจมอยู่ในนา้ อนั น้า

๕๘

เลี้ยงไว้ คลุก เคลา้ บริบรู ณ์ ซึมซาบด้วยนา้ เย็นจนถงึ ยอดและเงา่ ไมม่ เี อกเทศไรๆ แห่ง

ดอกบวั ขาบ หรือดอกบวั หลวง หรอื ดอกบวั ขาวทุกสว่ นทน่ี ้าเยน็ จะไม่ถูกต้องฉนั ใด ดูกรภกิ ษุ

ท้งั หลาย ฉนั น้นั เหมอื นกันแลภิกษุย่อมยงั กายนี้แล ใหค้ ลุก เคล้า บรบิ ูรณ์ซาบซา่ นดว้ ยสุข

ปราศจากปีติ ไมม่ ีเอกเทศไรๆ แหง่ กายทุกส่วนของเธอท่ีสขุ ปราศจากปีติจะไมถ่ กู ตอ้ ง เมื่อ

ภิกษุน้ันไม่ประมาท มคี วามเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อยา่ งนี้ ย่อมละความดารพิ ลา่ นทอี่ าศยั

เรอื นเสียได้ เพราะละความดารพิ ล่านนั้นได้ จติ อันเป็นไปภายในเท่านน้ั ย่อมคงท่แี น่นงิ่ เป็น

ธรรมเอกผุดขน้ึ ต้งั ม่ัน ดกู รภิกษุทง้ั หลาย แม้อย่างนี้ ภกิ ษกุ ช็ ่อื วา่ เจริญกายคตาสติ ฯ

ดูกรภกิ ษุทั้งหลาย ประการอืน่ ยังมอี กี ภกิ ษุเขา้ จตุตถฌาน อนั ไมม่ ที กุ ข์ ไมม่ สี ุข เพราะ

ละสุขละทกุ ข์ และดบั โสมนสั โทมนสั ก่อนๆ ได้มสี ติบริสทุ ธ์ิเพราะอเุ บกขาอยู่เธอยอ่ มเป็นผู้

น่งั เอาใจอันบริสุทธ์ผิ ุดผอ่ งแผไ่ ปทว่ั กายน้ีแล ไมม่ ีเอกเทศไรๆ แหง่ กายทุกส่วนของเธอที่ใจอัน

บรสิ ทุ ธิ์ผดุ ผอ่ งจะไมถ่ ูกต้อง ดูกรภิกษุทงั้ หลายเปรยี บเหมือนบุรุษนัง่ เอาผา้ ขาวคลมุ ตลอดทั้ง

ศีรษะไมม่ ีเอกเทศไรๆ แหง่ กายทุกส่วนของบรุ ุษน้นั ทผี่ ้าขาวจะไมถ่ กู ต้อง ฉันใดดกู รภกิ ษุ

ท้งั หลาย ฉนั น้ันเหมือนกนั แล ภกิ ษยุ อ่ มเปน็ ผ้นู ั่งเอาใจอนั บรสิ ุทธผ์ิ ดุ ผ่อง แผ่ไปทวั่ กายนี้แล

ไม่มเี อกเทศไรๆ แหง่ กายทกุ สว่ นของเธอที่ใจอนั บรสิ ุทธ์ิ ผดุ ผ่องจะไมถ่ กู ต้อง เมื่อภิกษนุ ั้นไม่

ประมาท มคี วามเพยี ร ส่งตนไปในธรรมอยูอ่ ย่างนี้ ย่อมละความดาริพล่านทอี่ าศยั เรือนเสียได้

เพราะละความดาริพลา่ นนนั้ ได้ จติ อันเปน็ ไปภายในเทา่ น้นั ยอ่ มคงท่ี แนน่ ่งิ เปน็ ธรรมเอกผุด

ขนึ้ ตง้ั มน่ั ดูกรภิกษทุ ั้งหลาย แมอ้ ยา่ งน้ี ภิกษุกช็ ื่อวา่ เจรญิ กายคตาสติ ฯ

ดกู รภกิ ษุท้งั หลาย ภกิ ษุไรๆ กต็ าม เจริญกายคตาสตแิ ล้ว ทาให้มากแลว้ ชื่อว่าเจริญ

และทาใหม้ ากซึง่ กุศลธรรมสว่ นวชิ ชาอย่างใดอย่างหนึง่ อนั รวมอยู่ในภายในด้วย ดกู รภกิ ษุ

ท้งั หลาย เปรยี บเหมอื นบุคคลไรๆ ก็ตามนึกถงึ มหาสมุทรด้วยใจแลว้ ช่อื ว่านกึ ถึงแม่นา้ นอ้ ยท่ี

ไหลมาสู่สมทุ รสายใดสายหนง่ึ อนั รวมอยูใ่ นภายในด้วย ฉันใด ดูกรภกิ ษทุ ้งั หลาย ฉนั น้ัน

เหมอื นกันแล ภิกษไุ รๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้ว ทาให้มากแลว้ ช่ือวา่ เจรญิ และทาใหม้ าก

ซ่งึ กศุ ลธรรมสว่ นวชิ ชาอยา่ งใดอย่างหน่งึ อนั รวมอยู่ในภายในด้วย ฯ

เรยี งลาดับพระกรรมฐานอนั นบั เน่ืองในกายคตาสติ เปน็ กายานปุ ัสสนาสติกรรมฐาน

พระพทุ ธเจ้า ตรสั วา่ การเจรญิ อานาปานสติ ช่ือว่าได้เจรญิ กายคตาสติ

พระพทุ ธเจ้า ตรสั ว่า การเจรญิ อาการสามสบิ สอง ชือ่ วา่ ได้เจรญิ กายคตาสติ

พระพุทธเจ้า ตรัสวา่ การเจริญธาตดุ นิ น้า ลม ไฟ ช่ือวา่ ได้เจรญิ กายคตาสติ

พระพทุ ธเจา้ ตรสั วา่ การเจรญิ อสภุ ะกรรมฐาน ช่ือว่าไดเ้ จรญิ กายคตาสติ

๕๙

พระพทุ ธเจ้า ตรสั ว่า การเจริญรูปฌาน ๔ ชือ่ วา่ ไดเ้ จริญกายคตาสติ

เพราะเปน็ พระกรรมฐานตอ่ เน่อื งในอนาปานสติจัดเป็นกายานุปัสสนาสตปิ ัฎฐาน

ดูกรภกิ ษุทง้ั หลาย เปรยี บเหมือนหมอ้ กรองน้า มีนา้ เตม็ เปย่ี มเสมอขอบปากพอท่ีกาจะ

ด่ืมกนิ ได้ อันเขาตั้งไว้บนเครอื่ งรองทันใดน้ันมบี รุ ุษมาถอื เอาเป็นเคร่ืองตกั น้า

ดกู รภกิ ษุท้ังหลาย พวกเธอจะสาคัญความข้อน้ันเป็นไฉนบรุ ษุ นั้นจะพึงไดน้ า้ เก็บไว้

หรือหนอ ดกู รภกิ ษทุ ้ังหลาย ฉนั นัน้ เหมือนกันแล ภกิ ษไุ รๆ กต็ ามเจริญกายคตาสติแลว้ ทาให้

มากแลว้ มารยอ่ มไมไ่ ดช้ อ่ ง ไมไ่ ด้อารมณ์ ฯ

ดกู รภกิ ษุทง้ั หลาย ภกิ ษไุ รๆ ก็ตาม เจรญิ กายคตาสติแล้ว ทาให้มากแล้ว เธอยอ่ มถึง

ความเป็นผ้สู ามารถในธรรมทค่ี วรทาใหแ้ จ้งดว้ ยความรู้ยงิ่ อันเปน็ แดนทตี่ นน้อมจิตไปโดยการ

ทาใหแ้ จง้ ดว้ ยความรยู้ ง่ิ นั้นๆ ได้ ในเมื่อมสี ติเปน็ เหตุ ดูกรภิกษุท้ังหลาย เปรียบเหมอื นหม้อ

กรองน้า มนี า้ เต็มเปย่ี มเสมอขอบปาก พอที่กาจะดื่มกินได้ อันเขาต้ังไว้บนเคร่อื งรอง บรุ ุษมี

กาลงั มายังหมอ้ กรองนา้ นั้นโดยทางใดๆ จะพึงถงึ น้าไดโ้ ดยทางนนั้ ๆ หรือ ฯ ภกิ ษ.ุ ได้

พระพทุ ธเจา้ ข้า ฯ

พ. ดกู รภกิ ษุทงั้ หลาย ฉันน้ันเหมือนกนั แล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจรญิ กายคตาสติแลว้ ทา

ใหม้ ากแล้ว เธอยอ่ มถึงความเปน็ ผสู้ ามารถในธรรมทีค่ วรทาใหแ้ จง้ ด้วยความรยู้ ่งิ อันเปน็ แดน

ทต่ี นน้อมจติ ไปโดยการทาใหแ้ จง้ ด้วยความรู้ย่งิ นน้ั ๆได้ในเมอ่ื มีสติเปน็ เหตุ

ดูกรภิกษุทงั้ หลาย เปรียบเหมอื นสระโบกขรณีส่เี หล่ยี ม ในภมู ภิ าคท่ีราบเขาพนู คนั ไว้

มีน้าเต็มเปี่ยมเสมอขอบปาก พอทก่ี าจะด่ืมกนิ ได้ บุรษุ มกี าลังเจาะคันสระโบกขรณีนนั้ ทางด้าน

ใดๆ จะพึงถงึ น้าทางดา้ นนั้นๆ ไดห้ รือฯภกิ ษุ.ได้พระพุทธเจา้ ขา้ ฯ

พ. ดูกรภิกษทุ งั้ หลาย ฉนั นั้นเหมอื นกนั แล ภิกษุไรๆ กต็ ามเจรญิ กายคตาสติแล้วทาให้

มากแลว้ เธอย่อมถึงความเป็นผู้สามารถในธรรมที่ควรทาให้แจ้งด้วยความรู้ยิง่ อันเปน็ แดนที่

ตนนอ้ มจิตไปโดยการกระทาใหแ้ จ้งดว้ ยความรู้ย่ิงนัน้ ๆ ได้ ในเมอ่ื มีสตเิ ปน็ เหตุ ฯ

ดูกรภิกษทุ ั้งหลาย เปรียบเหมือนรถมา้ อาชาไนยเขาเทียมม้าแลว้ มแี สเ้ สยี บไวใ้ นที่

ระหวา่ งม้าทง้ั ๒ จอดอยบู่ นพน้ื ที่เรียบตรงทางใหญ่ ๔ แยก นายสารถีผฝู้ กึ ม้า เป็นอาจารย์

ขับขีผ่ ้ฉู ลาด ข้นึ รถนนั้ แลว้ มือซ้ายจับสายบังเหยี น มอื ขวาจบั แส้ ขบั รถไปยงั ที่ปรารถนาได้

ฉนั ใด ดูกรภกิ ษทุ งั้ หลาย ฉันนนั้ เหมอื นกันแล ภกิ ษไุ รๆ ก็ตาม เจรญิ กายคตาสติแล้ว ทาให้

มากแลว้ เธอ ย่อมถึงความเปน็ ผู้สามารถในธรรมทคี่ วรทาให้แจง้ ด้วยความรยู้ งิ่ อันเป็นแดนท่ี

นอ้ มจติ ไปโดยการกระทาให้แจ้งด้วยความร้ยู งิ่ นั้นๆ ไดใ้ นเมื่อมีสติเปน็ เหตุ ฯ

๖๐

ดกู รภกิ ษุทั้งหลาย กายคตาสติอันภกิ ษุเสพแล้วโดยมาก เจริญแล้ว ทาให้มากแล้ว ทา
ให้เปน็ ยานแลว้ ทาใหเ้ ป็นพ้นื ท่ตี ้งั แลว้ ให้ดารงอยู่เนอื งๆ แล้ว อบรมแล้วปรารภสม่าเสมอดี
แลว้ พึงหวงั อานิสงส์ ๑๐ ประการนี้ คอื

(๑) อดกลน้ั ต่อความไมย่ ินดี และความยินดีได้ ไมถ่ ูกความไม่ยนิ ดีครอบงา
ย่อมครอบงาความไม่ยินดที ่เี กดิ ขึ้นแล้วอยดู่ ้วย ฯ

(๒)อดกลั้นตอ่ ภัยและความหวาดกลวั ได้ ไม่ถูกภยั และความหวาดกลัว
ครอบงา ยอ่ มครอบงาภัยและความหวาดกลวั ทเี่ กิดข้ึนแลว้ อยู่ดว้ ย ฯ

(๓)อดทน คือเปน็ ผู้มีปรกตอิ ดกลั้นต่อความหนาว ความร้อน ความหิว
ความกระหายตอ่ สมั ผัสแห่งเหลือบ ยงุ ลม แดด และ สัตว์เลื้อยคลาน
ต่อทานองคาพดู ทีก่ ล่าวรา้ ย ใส่รา้ ยต่อเวทนาประจาสรรี ะท่ีเกดิ ข้นึ แลว้
อันเปน็ ทุกขก์ ล้า เจบ็ แสบ ไม่ใชค่ วามสาราญ ไม่เปน็ ทชี่ อบใจ
พอใจสังหารชีวิตได้ ฯ

(๔)เป็นผไู้ ดฌ้ าน ๔ อันเกดิ มีในมหคั คตจิต เครื่องอยู่สบายในปัจจุบนั ตาม
ความปรารถนา ไม่ยาก ไม่ลาบาก ฯ

(๕)ย่อมแสดงฤทธ์ไิ ดเ้ ป็นอเนกประการ คอื คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ หลายคน เป็น
คนเดยี วกไ็ ด้ ปรากฏตัวหรอื หายตัวไปนอกฝา นอกกาแพง นอก ภเู ขาไดไ้ มต่ ิดขัด เหมือนไป
ในทวี่ ่างกไ็ ด้ ทาการผดุ ขนึ้ และดาลง ในแผ่นดนิ เหมอื นในน้าก็ได้ เดนิ บนนา้ ไมแ่ ตกเหมอื น
เดินบนแผน่ ดนิ ก็ได้ เหาะไปในอากาศ โดยบัลลังก์เหมือนนกกไ็ ด้ ลบู คลาพระจันทร์และพระ
อาทิตยซ์ ่งึ มฤี ทธิ์ มีอานภุ าพมากปานฉะน้ี ดว้ ยฝ่ามอื กไ็ ด้ ใชอ้ านาจทางกายไปจนถึงพรหม
โลกก็ได้ฯ

(๖) ย่อมฟังเสียงทง้ั สอง คือ เสยี งทพิ ยแ์ ละเสียงมนุษย์ ทั้งที่ไกลและทีใ่ กล้ไดด้ ้วย ทิพย์
โสตธาตุ อนั บริสทุ ธิ์ ลว่ งโสตของมนษุ ย์ ฯ

(๗)ยอ่ มกาหนดรใู้ จของสัตวอ์ ่นื และบคุ คลอน่ื ได้ ด้วยใจ คอื จิตมีราคะกร็ ู้วา่ จิตมี
ราคะ หรือจิตปราศจากราคะก็ร้วู า่ จิตปราศจากราคะ จิตมโี ทสะก็รู้ว่า จิตมโี ทสะ หรือจติ
ปราศจากโทสะก็รู้ว่า จิตปราศจากโทสะ จิตมโี มหะก็รวู้ า่ จติ มโี มหะ หรือจติ ปราศจากโมหะก็
รู้ว่าจติ ปราศจากโมหะ จิตหดหูก่ ร็ วู้ ่า จติ หดหู่จิตฟุ้งซา่ นกร็ ู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จติ เป็นมหคั คตะกร็ ูว้ า่
เป็นมหัคคตะหรอื จิตไมเ่ ป็น มหัคคตะกร็ ้วู า่ จิตไม่เปน็ มหคั คตะ จิตยงั มจี ิตอน่ื ยง่ิ กว่าก็รวู้ า่ จิต
ยังมจี ติ อ่นื ย่ิงกว่าหรือจติ ไม่มจี ิตอ่นื ย่ิงกวา่ กร็ ้วู ่าจติ ไม่มจี ิตอ่ืนยิง่ กว่า จติ ต้ังมนั่ ก็ร้วู า่ จติ ตั้งม่นั

๖๑

หรอื จิตไม่ตัง้ มั่นก็รูว้ า่ จิตไมต่ ง้ั ม่นั จิตหลดุ พน้ แลว้ ก็ รูว้ า่ จติ หลดุ พ้นแลว้ หรือจิตยังไม่หลุด
พ้นกร็ ้วู า่ จิตยงั ไมห่ ลดุ พ้น ฯ

(๘)ยอ่ มระลกึ ถงึ ขันธ์ ท่ีอยู่อาศยั ในชาติกอ่ นได้เป็นอเนกประการ คอื ระลึกไดช้ าติ
หนึง่ บา้ ง สองชาตบิ ้าง สามชาติบา้ ง สชี่ าตบิ า้ ง ห้าชาตบิ า้ ง สิบชาติ บ้าง ย่สี ิบชาตบิ ้าง
สามสบิ ชาติบ้าง สีส่ บิ ชาติบ้าง ห้าสิบชาตบิ า้ ง ร้อยชาติบา้ ง พันชาตบิ ้าง แสนชาติบา้ งหลาย
สังสารวัฏกปั บา้ ง หลายวิวัฏกปั บา้ ง หลายสงั วัฏววิ ัฏกัปบา้ ง ว่าในชาตโิ นน้ เรามีชื่ออยา่ งน้ี มี
โคตรอยา่ งนี้ มีผิวพรรณอยา่ งน้ี มอี าหารอยา่ งน้ี เสวยสขุ และทุกขอ์ ย่างนี้ มีกาหนดอายเุ ท่าน้ี
เรานนั้ เคลื่อนจากชาตินนั้ แล้ว บังเกดิ ในชาติโน้น แมใ้ นชาตนิ น้ั เรากม็ ชี อ่ื อย่างน้ีมโี คตรอยา่ ง
นี้มผี วิ พรรณอย่างนี้ มอี าหารอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์อยา่ งน้ี มีกาหนดอายเุ ทา่ นเ้ี รานน้ั เคลอื่ น
จากชาตนิ ัน้ แลว้ จงึ เข้าถึงในชาตินี้ ยอ่ มระลกึ ขันธ์ที่อยอู่ าศัยในชาติกอ่ นไดเ้ ปน็ อเนกประการ
พร้อมท้งั อาการ พรอ้ มทัง้ อุเทศ เชน่ นี้ ฯ

(๙)ย่อมมองเหน็ หมูส่ ตั วก์ าลงั จตุ ิ กาลงั อปุ บตั ิ เลว ประณตี มผี ิวพรรณดี มผี วิ พรรณ
ทราม ไดด้ ี ตกยาก ด้วยทิพยจกั ษอุ ันบรสิ ุทธิ์ ล่วงจกั ษขุ องมนษุ ย์ฯลฯ ย่อมมองเห็นหมูส่ ตั ว์ท่ี
กาลังจตุ ิ กาลังอุปบัติ เลว ประณตี มีผิวพรรณดมี ีผวิ พรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจกั ษุ
อนั บรสิ ุทธิ์ ล่วงจกั ษขุ องมนุษย์ ยอ่ มทราบชัดหมสู่ ัตวผ์ เู้ ป็นไปตามกรรม เชน่ น้ี ฯ

(๑๐)ยอ่ มเขา้ ถึงเจโตวิมตุ ติ ปัญญาวมิ ุตติ อันหาอาสวะมไิ ด้ เพราะอาสวะทง้ั หลายส้นิ
ไป ทาใหแ้ จ้งเพราะร้ยู ่งิ ดว้ ยตนเอง ในปัจจุบันอยู่ ฯ

ดูกรภกิ ษุทัง้ หลาย กายคตาสติอันภกิ ษุเสพแลว้ โดยมากเจริญแล้ว ทาใหม้ ากแล้ว ทาให้
เปน็ ยานแล้ว ทาใหเ้ ป็นพ้ืนที่ต้งั แล้ว ให้ดารงอยู่เนืองๆ แลว้ อบรมแลว้ ปรารภสมา่ เสมอดแี ลว้
พึงหวงั อานิสงส์ ๑๐ ประการได้ ดงั นแ้ี ล ฯ

พระผูม้ พี ระภาคไดต้ รสั พระภาษิตนแี้ ลว้ ภกิ ษเุ หล่านั้นต่างชน่ื ชมยินดพี ระภาษติ ของ
พระผมู้ พี ระภาคเจา้

หอ้ งอานาปานสตกิ รรมฐาน
พระบรมศาสดา ตรัสว่า ดกู ร ราหุล เธอจงเจริญอานาปานสติเถิด เพราะอานาปานสติที่
บุคคลเจริญแล้ว ทาให้มากแล้ว ยอ่ มมีผลมาก มอี านสิ งสม์ า ดงั น้ี
สมเดจ็ พระผ้มู พี ระภาคได้ตรัสไว้วา่ ดกู รภิกษุท้ังหลาย อานาปานสติกรรมฐาน อัน
บุคคลอบรมดแี ล้ว เจริญให้มากแล้ว ทาให้ชานาญ ยอ่ มยังสติปัฏฐาน ๔ให้บรบิ รู ณ์ได้ ผ้ทู ่ีเจรญิ
สตปิ ัฏฐาน๔ใหบ้ รบิ ูรณ์ได้แลว้ ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ประการให้เจรญิ ได้ โพชฌงค์ ๗ ประการ

๖๒

บริบูรณ์แล้ว ย่อมยัง วิชชา และ วิมตุ ติ ใหเ้ กิดข้นึ ได้ เปน็ ปทัฏฐานแห่งมรรค ผล นิพพาน เป็น
ทางแห่งความบริสทุ ธิ์ เปรียบดังผา้ ขาวท่ีบริสทุ ธ์ิ

พระผู้มพี ระภาคเจา้ ตรสั สรรเสรญิ อานาปานสติวา่ เป็น อรยิ วหิ าร ธรรมเครือ่ งอยู่ของ
พระอรยิ เจ้า พรหมวิหาร ธรรมเคร่อื งอยู่ของพรหม และ ตถาคตวิหาร ธรรมเครอื่ งอยู่ของ
พระพทุ ธเจา้ อานาปานสติ ถอื เอาทางลมกระทบถูก

พระโยคาวจรเจริญพระกรรมฐานมชั ฌิมา แบบลาดับ จนบรรลุ อุปจารสมาธิ แล้วเมื่อ
จะเลอ่ื นลาดบั จิตสมาธใิ ห้ประณตี ข้ึนสู่ อปั ปนาสมาธิ ท่านให้เปลย่ี นเอาพระกรรมฐานทม่ี ี
ปฏิภาคนมิ ิต, อปั ปนาสมาธิ โบราณจารย์ มสี มเด็จพระสังฆราช (สกุ ไกเ่ ถอื่ น) เป็นต้น ท่าน
กาหนดใหเ้ จรญิ เอายงั อานาปานสติกรรมฐาน อันเปน็ ยอดของพระกรรมฐาน ในชน้ั แรก
กาหนดใหเ้ จรญิ ไปในทางสมถะกรรมฐานก่อน เพ่ือทาให้จติ ประณตี ขน้ึ เป็นบาทฐาน ของ
วิปัสสนาต่อไป

เม่อื จะเจริญสมถะ ในหอ้ ง อานาปานสติกรรมฐาน ท่านให้กาหนดร้โู ดยยอ่ ดงั นี้
๑.คณนา ไดแ้ ก่การนับ เพราะอานาปานสติกรรมฐานน้ี เปน็ พระกรรมฐานทเ่ี ก่ยี วเนื่อง
ด้วยลมหายใจ เร่มิ ดว้ ยลมหายใจออก และ ลมหายใจเข้า หายใจออกให้นบั ๑-๒-๓-๔-๕ เปน็
อนโุ ลม เดินหนา้ หายใจเขา้ ใหน้ บั ๕-๔-๓-๒-๑ เป็น ปฎโิ ลม ถอยหลัง
๒.อนพุ นฺธนา ได้แก่การติดตามลม เม่ือนับแล้วซ่ึงลม ก็ให้มีสติกาหนดหมายตามลม
หายใจเขา้ – ออก อย่างตอ่ เน่อื ง
๓.ผสุ นา ได้แก่การกระทบ เม่อื นับลมแลว้ เอาสติกาหนดตามลมหายใจเขา้ -ออก แลว้ จงึ
กาหนดวา่ ลมหายใจเขา้ -ออก ไปกระทบท่ไี หนบ้าง เช่นที่ขื่อจมูก ปลายจมูก นี้เรียกวา่ การ
กระทบ
๔.ฐปนา ไดแ้ กก่ ารตั้งมนั่ นับลมแล้วจึงกาหนดสติ ตดิ ตามลมวา่ ลมหายใจเขา้ ลม
หายใจออกไปกระทบ (ผุสนา) ทไ่ี หนบ้าง เม่อื รวู้ ่าลมหายใจเข้าออกกระทบที่ไหนแล้ว ควร
กาหนดจติ ใหต้ ้งั ม่นั อยู่ที่ ลมกระทบนนั้ ทานิมิตให้ม่นั คงเชน่ ลมกระทบที่ปลายจมกู กก็ าหนด
จติ ให้ต้ังมั่นคงไว้ท่ีปลายจมกู
คณนา การนบั ย่อมระงบั วิจกิ จิ ฉา ความลังเลสงสัย อนพุ ันธนา การติดตาม ยอ่ มระงับ
ความวิตกท่หี ยาบ และทาอานาปานสติเกดิ ขน้ึ ไม่ขาดตอน ผสุ นา การกระทบ ย่อมกาจดั ความ
ฟงุ้ ซา่ น และทาใหส้ ัญญาม่ันคง ฐปนา การตัง่ มัน่ ยอ่ มทาให้จิตต้ังมนั่ เป็นสมาธิ

๖๓

การเจรญิ อานาปานสตขิ ้างฝ่ายสมถะ ต้องเจริญการนับลม การติดตามลม การกระทบ
ของลม การต้งั มั่น ให้กาหนดไปพรอ้ มกนั ตามกาล ตลอดกาล การเจริญอานาปานสตฝิ า่ ยสมถะ
จงึ จะสาเรจ็ ถงึ อัปปนาสมาธิ

แตเ่ พราะจุดกระทบของลมหายใจเข้า ลมหายใจออก มีจานวนนบั ไมถ่ ้วนทาให้พระ
โยคาวจรเจา้ ทง้ั หลาย ไมม่ คี วามชดั เจนเกี่ยวกับนมิ ิตตา่ งๆ(จุดที่ลมกระทบ) ทาใหพ้ ระโยคาวจร
สับสน การเจริญอานาปานสตฝิ ่ายสมถะจงึ ลม้ เหลว และเพือ่ กาจดั ความสบั สน โบราณจารยแ์ ต่
ปางกอ่ นจึงกาหนดจดุ ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออก กระทบ ใหเ้ หลอื ไว้เพียงเก้าแห่ง เพื่อความ
ชดั เจนในนิมิตต่างๆ และไม่สบั สน ดงั นี้

๑.สูญนอ้ ยกลางนาภี (สะดอื ) เปน็ จดุ ตง้ั ม่นั ๒. จะงอยรมิ ฝีปากบน ๓.ขื่อจมูก ๔. ปลาย
นาสิก ๕.ระหว่างตาทั้งสอง ๖.ระหว่างควิ้ ท้งั สอง ๗.กลางกระหม่อมจอมเพดาน ๘.โคนลน้ิ ไก่
๙. หทยั วัตถุ จดุ สุดทา้ ย

คาอาราธนาสมาธนิ มิ ติ
หอ้ งอานาปานสติ

ขา้ ฯขอภาวนาอานาปานสติกรรมฐานเจ้า เพ่ือจะขอเอายัง อุคคหนิมิต (ปฏิภาคนิมติ ) ใน
หอ้ งอานาปานสตเิ จ้าน้จี งได้ ขอพระพทุ ธเจา้ จงมาเปน็ ทีพ่ ึ่งแกข่ า้ ฯนเี้ ถิด ขอพระธรรมเจา้ ทง้ั มวล
จงมาเป็นทพ่ี ง่ึ แก่ข้าฯนีเ้ ถิด ขอพระอรยิ สงฆเ์ จา้ ตั้งแรกแต่ พระมหาอญั ญาโกญทัญญะเถรเจ้า
โพน้ มาตราบเทา่ ถึงพระสงฆส์ มมตุ ิในกาลบัดนีจ้ งมาเป็นท่ีพึ่งแกข่ ้าฯน้เี ถดิ ขอพระอริยสงฆอ์ งค์
ต้นอันสอนพระกรรมฐานเจา้ ทง้ั มวลจงมาเป็นที่พึ่งแกข่ า้ ฯนีเ้ ถิด ขอพระกรรมฐานเจา้ ทงั้ มวลจง
มาเป็นท่ีพ่งึ แกข่ ้าฯ น้ีเถิด

อกุ าสะ อกุ าสะ ในท่ีนเี้ ลา่ ขา้ ฯจะขอเชิญปฏบิ ตั ิบูชาตาม คาสอนของพระสพั พัญญโู คดมเจ้า
เพ่อื จะขอเอายัง อุคคหนิมติ (ปฏภิ าคนมิ ิต) ในหอ้ งอานาปานสติเจ้าน้จี งได้ ขอจงเจา้ กูมาปรากฏ
บังเกิดอยู่ในจักขุทวาร มโนทวาร กายทวาร แห่งขา้ ในขณะเมอื่ ข้าฯนงั่ ภาวนาอยู่น้เี ถดิ

อิติปิโส ภควา อรห สมฺมาสมฺพทุ โธ วชิ ชาจรณสมปฺ นโฺ น สคุ โต โลกวทิ ู อนุตตฺ โร ปรุ สิ ทมฺ
มสารถิ สตถฺ า เทวมนุสสาน พุทโธ ภควาติ

สมฺมาอรห สมฺมาอรห สมมฺ าอรห
อรห อรห อรห

(หายใจออกภาวนาวา่ ๑ -๒-๓-๔-๕ หายใจเข้าภาวนาวา่ ๕- ๔ -๓ -๒ -๑)
---------------------

๖๔

อานาปานสติกรรมฐาน มีพระกรรมฐาน ต่อเนอื่ งคือ กายคตาสติ ๑ กสิณ๑๐ ประการ ๑
อสภุ ะ ๑๐ ประการ ๑ พระอาจารยเ์ จ้าวา่ เป็น พระกรรมฐาน ต่อเนื่องใน กายานุปสั สนาสติปัฏ
ฐาน คอื อานาปาปัพพะ ปฏกิ ูลปัพพะ ธาตปุ พั พะ นวสีวถกิ าปัพพะ

การพิจารณากายคตาสติ
พระบรมศาสดา ตรัสสอนพระราหลุ ว่า ดกู รราหุล รปู อย่างใด อยา่ งหน่ึงเปน็ ภายใน
อาศยั ตน เป็นของหยาบมีลกั ษณะ แข้นแข็ง อันกรรม และกเิ ลสเข้าไปยึดม่ัน คือ ผม ขน เล็บ ฟนั
หนัง เนื้อ ฯลฯ นั่นไมใ่ ชข่ องเรา เราไม่เป็นน้ัน
พระบรมศาสดา ตรสั สอนพระราหุลวา่ ดูกรราหุล รูปอยา่ งใด อย่างหน่ึงเป็นภายใน
อาศยั ตน มีลักษณะเอิบอาบ มีกรรม และกเิ ลสเข้าไปยดึ มนั่ คือ ดี เสลด หนอง เลือด เหง่ือ ฯลฯ
นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรสั วา่ ดกู รภกิ ษทุ ้ังหลาย ก็กายคตาสติ อนั ภกิ ษุเจรญิ แล้วอย่างไร
ทาใหม้ ากแล้วอยา่ งไร จึงมีผลมาก มีอานิสงสม์ าก
ดูกรภิกษุท้ังหลาย ภกิ ษุในพระธรรมวนิ ัยนี้ อย่ปู ่ากด็ ี อยู่โคนไมก้ ด็ ี อยู่ในเรอื นวา่ งก็ดี
นัง่ คบู้ ลั ลงั ก์ ตั้งกายตรง ดารงสติไว้เฉพาะหนา้ ภิกษยุ อ่ มพิจารณากายน้แี ล ขา้ งบนแตพ่ น้ื เท้าขึ้น
ไป ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมปี ระการตา่ งๆวา่
มีอยใู่ นกายนี้
ผม ขน เลบ็ ฟัน หนงั เนอ้ื เอ็น กระดูก เย่ือในกระดกู มา้ ม ตบั หวั ใจ พงั ผืด ไต ปอด ไส้
ใหญ่ ไส้น้อย อาหารเกา่ อาหารใหม่ ดี เสลด นา้ เหลือง เลือด เหงอ่ื มันขน้ นา้ ตา มนั เหลว
น้าลาย นา้ มกู ไขขอ้ มูตร
ดูกอ่ นภิกษทุ ง้ั หลาย เปรยี บเหมอื นไถ้มีปากทั้งสองขา้ ง เต็มไปดว้ ยธัญญาชาติตา่ งๆชนดิ
คอื ขา้ วสาลี ข้าวเปลอื ก ถ่ัวเขียว ถ่ัวทอง งา และ ข้าวสาร บรุ ุษผ้มู ตี าดี แกไ้ ถน้ ้ันออกแล้วพึงเห็น
ได้วา่ น้ีขา้ วสาลี นีข้ า้ วเปลอื ก น้ีถัว่ เขยี ว นีถ้ ่ัวทอง น้งี า นี้ข้าวสาร ฉนั ใด
ดูกรภกิ ษุทง้ั หลาย ฉันนัน้ เหมือนกนั แล ภิกษยุ ่อมพิจารณากายนี้แล ขา้ งบนแต่พ้นื เทา้ ขึน้
ไป ข้างลา่ งแตป่ ลายผมลงมา มหี นังหุ้มอยโู่ ดยรอบ เต็มไปด้วยของไมส่ ะอาด มปี ระการต่างๆวา่
มีอย่ใู นกายนี้ ผม ขน เลบ็ ฟัน หนัง เน้ือ เอน็ กระดูก เยอื่ ในกระดกู มา้ ม หัวใจ ตบั พงั ผดื ไต
ปอด ไสใ้ หญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเกา่ ดี เสลด น้าเหลือง เลอื ด เหง่ือ นา้ มนั ขน้ น้าตา
เปลวมัน น้าลาย น้ามกู ไข้ข้อ มูตร เมอ่ื ภกิ ษนุ น้ั ไมป่ ระมาท มีความเพยี รส่งตนไปในธรรมอยู่
อยา่ งนี้ ย่อมละความดารพิ ลา่ นท่อี าศยั เรือน(กาย) เสียได้ เพราะละความดารพิ ล่านนนั้ ได้ จติ อัน

๖๕

เป็นไปภายในเทา่ นน้ั ยอ่ มคงท่ี แน่น่ิงเป็นสมาธิ เป็นธรรมเอกผดุ ขน้ึ ตง้ั มนั่ ดกู รภกิ ษุทั้งหลาย
แม้อย่างนี้ ภกิ ษุช่ือว่าเจริญกายคตาสติ

คาอาราธนากายคตาสติ
ข้าฯขอภาวนาพระกายคตาสติกรรมฐานเจ้าเพอื่ ขอเอายงั อุคคหนมิ ิต (ปฏภิ าคนิมติ )ใน
ห้องกายคตาสติ ในบทอันชอื่ ว่า เกสา เจ้าน้ีจงได้ ขอพระพุทธเจ้าจงมาเปน็ ทพ่ี ่งึ แก่ขา้ ฯน้เี ถิด
ฯลฯ ขอพระกรรมฐานเจา้ ท้ังมวลจงมาเปน็ ทีพ่ งึ่ แก่ขา้ ฯนเ้ี ถิดฯ
อุกาสะ ในที่นเี้ ล่า ข้าฯจะขอปฏิบตั บิ ูชาตามคาสงั่ สอนของพระสพั พญั ญูโคดมเจ้าเพอ่ื จะ
ขอเอาพระลกั ษณะ อุคคหนิมติ (ปฏภิ าคนิมิต)ในห้องพระกายคตาสติกรรมฐานเจ้าในบทอนั ช่อื
วา่ เกสา เจ้านจี้ งได้ ขอจงเจา้ กมู าบังเกดิ ปรากฏใน จักขทุ วาร มโนทวาร กายทวาร ในขณะเม่อื ขา้
ฯนัง่ ภาวนาอยูน่ ีเ้ ถิด อิติปิโส ฯลฯ ภควาติ สมมฺ าอรห ๓ ที อรห ๓ ที

คาภาวนาห้องกายคตาสติ
ธาตุดนิ ๒๐ เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทนตฺ า ฟัน ตโจ หนงั มงฺส เนือ้ นหารู เอน็
อฏฺฐิ กระดูก อฏฐฺ มิ ญิ ช เยื่อในกระดกู วกฺก มา้ ม หทย หวั ใจ ยกน ตับ กโิ ลมก พงั ผืด ปิหก ไต
ปปฺผาส ปอด อนฺต ไส้ใหญ่ อนฺตคุณ ไส้นอ้ ย อทุ ฺทริย อาหารใหม่ กรีส อาหารเกา่ มตถฺ ลงุ ค
สมองศรษี ะ
ธาตนุ า้ ๑๒ ปิตต นา้ ดี เสมห เสลด ปพุ โพ หนอง โลหติ เลอื ด เสโท เหงื่อ เมโท มนั ข้น
อสฺสุ น้าตา วสา น้ามนั เหลว เขโฬ น้าลาย สงิ ฆาณกิ า น้ามกู ลสิกา ไขขอ้ มุตต นา้ มูตร

(จบห้องกายคตาสติ)

๖๖

คาอาราธนากสณิ
ขา้ ฯขอภาวนา ปฐวีกสณิ เจา้ เพื่อจะขอเอายงั อุคคหนิมิต (ปฏภิ าคนิมิต) ในห้องปฐวี
กสิณเจ้าน้จี งได้ ขอพระพุทธเจ้าจงมาเป็นทพี่ ง่ึ แก่ขา้ ฯน้ีเถดิ ฯลฯ ขอพระกรรมฐานเจ้าทัง้ มวลจง
มาเป็นท่ีพง่ึ แกข่ า้ ฯน้เี ถิด
อุกาสะ ในท่นี ้เี ลา่ ข้าฯจะขอปฏิบัตบิ ชู าตามคาส่ังสอนของพระสัพพญั ญโู คดมเจ้า เพ่ือ
จะขอเอา อคุ คหนิมิต ในหอ้ ง ปฐวกี สณิ เจ้าน้จี งได้ ขอจงเจ้ากมู าบงั เกิดปรากฏอยู่ใน จักขทุ วาร
มโนทวาร กายทวาร แหง่ ข้าฯในขณะเมอื่ ขา้ น่งั ภาวนาอยู่น้ีเถดิ

อติ ปิ ิโส ฯลฯ ภควาติ สมมฺ าอรห ๓ ที อรห ๓ ที

ห้องกสณิ ๑๐ ประการ
๑.ปฐวี หมอ้ ใหม่ ๒.อาโป นา้ ใส ๓.เตโช เนือ้ ไฟ ๔.วาโย ลมขา้ วเปลือก ๕.นลี เขยี ว
๖.ปิต เหลือง ๗.โลหติ แดงดอกชบา ๘.โอทาตะ ขาวนา้ เงิน ๙.อาโลก ขาวเหมอื นเงาน้าตอ้ งแดด
๑๐.อากาศ เปล่าไมม่ อี ันใด
ดกู ่อนราหุล เธอจงเจริญภาวนา เสมอด้วยแผน่ ดิน เสมอด้วยน้า เสมอด้วยไฟ เสมอ
ด้วยลม เถิด เมื่อบคุ คลเจริญเสมอด้วย ดิน นา้ ไฟ ลม ผัสสะอันเปน็ ทีช่ อบใจ และไม่ชอบใจ ท่ี
เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงาจิตของเธอได้

การพิจารณาธาตุในกาย
ดูกรภิกษุทัง้ หลาย ภิกษยุ ่อมพจิ ารณากายนีแ้ ล ตามท่ตี งั้ อยู่ ตามทดี่ ารงอยโู่ ดยธาตวุ ่ามีอยู่
ในกายน้ี ธาตุดนิ ธาตุนา้ ธาตุไฟ ธาตุลม ดูกรภิกษุทง้ั หลาย เปรียบเหมอื นคนฆ่าโค หรือ ลกู มอื
ของคนฆา่ โคผฉู้ ลาด ฆา่ โคแลว้ นั่งแบ่งเปน็ สว่ นๆใกล้ทางใหญส่ ี่แยกฉันใด ดกู รภิกษุท้งั หลาย
ฉันน้นั ก็เหมือนกนั แล ภิกษยุ อ่ มพจิ ารณากายนีแ้ ล ตามท่ตี ง้ั อยู่ ตามที่ดารงอยู่ โดยธาตุวา่ มีอยู่ใน
กายน้ี ธาตุดนิ ธาตุน้า ธาตไุ ฟ ธาตลุ ม เมื่อภกิ ษนุ นั้ ไมป่ ระมาท มคี วามเพียรส่งตนไปในธรรมอยู่
อยา่ งน้ี ยอ่ มละความดาริพลา่ นท่ีอาศยั เรือน(กาย) เสียได้ เพราะละความดารพิ ลา่ นนน้ั ได้ จิตอัน
เปน็ ไปภายในเท่านนั้ ยอ่ มคงที่แน่น่ิง เปน็ ธรรมเอกผุดขึ้น ตัง้ ม่นั ดูกรภิกษุท้งั หลาย แมอ้ ยา่ งนี้
ภิกษกุ ช็ อ่ื วา่ เจริญกายคตาสติ

กสิณายตนะ [แดนกสิณ] ๑๐ อยา่ ง
๑.ผู้หนง่ึ ยอ่ มจาปฐวีกสิณได้ ทง้ั เบือ้ งบน เบอื้ งล่าง เบอ้ื งขวาง ตามลาดับ หาประมาณมิได้
๒.ผหู้ นงึ่ ยอ่ มจาอาโปกสิณได้ ทงั้ เบือ้ งบน เบื้องลา่ ง เบอ้ื งขวาง ตามลาดับ หาประมาณมิได้
๓.ผหู้ น่งึ ยอ่ มจาเตโชกสิณได้ ท้งั เบื้องบน เบ้ืองลา่ ง เบอ้ื งขวาง ตามลาดบั หาประมาณมิได้

๖๗

๔.ผูห้ นึ่งยอ่ มจาวาโยกสณิ ได้ ทงั้ เบอื้ งบน เบ้อื งลา่ ง เบอ้ื งขวาง ตามลาดับ หาประมาณมไิ ด้
๕.ผู้หนงึ่ ย่อมจา นลี กสณิ ได้ ทง้ั เบอ้ื งบน เบ้อื งลา่ ง เบ้อื งขวาง ตามลาดับ หาประมาณมไิ ด้
๖.ผ้หู นึ่งย่อมจาปตี กสณิ ได้ ทง้ั เบื้องบน เบ้ืองลา่ ง เบอ้ื งขวาง ตามลาดบั หาประมาIมไิ ด้
๗.ผ้หู นึ่งยอ่ มจาโลหิตกสิณได้ ทัง้ เบื้องบน เบือ้ งลา่ ง เบอื้ งขวาง ตามลาดบั หาประมาณมิได้
๘.ผู้หนึง่ ย่อมจาโอทาตกสิณได้ ทงั้ เบ้อื งบน เบอื้ งล่าง เบ้อื งขวาง ตามลาดบั หาประมาณหา
มไิ ด้
๙.ผูห้ น่ึงย่อมจาอากาสกสิณได้ ทง้ั เบอ้ื งบน เบือ้ งลา่ ง เบือ้ งขวาง ตามลาดบั หาประมาณมิได้
๑๐.ผหู้ นง่ึ ย่อมจาวิญญาณกสณิ ได้ ทง้ั เบอื้ งบน เบือ้ งลา่ ง เบื้องขวาง ตามลาดับ หาประมาณ
มิได้

(จบกสิณ ๑๐)
คาอาราธนาอสภุ กรรมฐาน
ข้าฯขอภาวนา อทุ ธุมาตกอสุภกรรมฐานเจา้ เพอ่ื จะขอเอา อุคคหนมิ ติ (ปฏภิ าคนมิ ติ ) ใน
หอ้ ง อุทธมุ าตกอสุภกรรมฐานเจา้ น้ีจงได้ ขอพระพุทธเจ้าจงมาเปน็ ทพี่ ่ึงแก่ขา้ ฯนี้เถดิ ฯลฯ ขอ
พระกรรมฐานเจา้ ท้ังมวลจงมาเปน็ ท่พี ่ึงแก่ขา้ ฯน้เี ถิด
อุกาสะ ในทนี่ เี้ ล่า ข้าฯจะขอปฏบิ ตั ิบูชาตามคาสง่ั สอนของพระสพั พญั ญโู คดมเจา้ เพือ่ จะ
ขอเอายงั อทุ ธุมาตกอสุภกรรมฐานเจา้ ในห้อง อุคคหนมิ ิต (ปฏภิ าคนิมติ ) ขอจงเจา้ กูมาบงั เกดิ
ปรากฏอยูใ่ น จักขทุ วาร มโนทวาร กายทวาร แห่งขา้ ในขณะเมือ่ ข้าฯน่ังภาวนาอยู่นเี้ ถิดฯ
อติ ิปิโส ฯลฯ ภควาติ สมมฺ าอรห ๓ ที อรห ๓ ที
อสุภกรรมฐาน ๑๐ ประการ
๑. อุทธมุ าตกะ ซากผีทีพ่ องขนึ้ ๒.วนิ ีลกะ ซากผที ่ีเขียว ๓.วิปพุ พกะ ซากผนี ้าหนองไหล ๔.วจิ
ฉทิ ฺทกะ เขาสับฟันเป็นทอ่ นๆผขี าดสองทอ่ น ๕.วิกขายิตกะ กาหมาแร้งกดั กนิ ซากผี ๖.วิกขติ ต
กะ แยกเปน็ ท่อน หวั ขาด ตีนขาด ๗.หตวิกขิตฺตกะ (ขาดกระจัดกระจาย) เขาเชือดเขาตัดท้ังตัวผี
๘.โลหติ กะ เขาเชือดเลือดทง้ั ตวั ผี ๙.ปฬุ ุวกะ หนอนกนิ ซากผีตามทวารทง้ั ๙, ๑๐อัฏฐิกะ ปรากฏ
แต่กระดกู ขาว
การพิจารณาอสุภะ สญั ญา
ดูกรราหุล เธอจงเจรญิ อสุภภาวนาเถดิ เพราะเมอื่ เธอเจรญิ อสภุ ภาวนาอยู่ จกั ละราคะได้

๖๘

เมอื่ ภิกษมุ ใี จอบรมแลว้ ด้วยอสุภะสัญญาโดยมาก จิตยอ่ มหวลกลบั งอกลบั ถอยกลับจาก
การร่วมเมถุนธรรม ไมไ่ ปรบั การร่วมเมถุนธรรม อุเบกขา หรือความเป็นของปฏกิ ูลยอ่ มตง้ั อยู่
เปรยี บเหมือน ขนไก่ หรือ เสน้ เอ็น ทีเ่ ขาใส่ลงในไฟ ยอ่ มหดงอเขา้ หากนั ไม่คล่ีออก ฉะนั้น (ละ
ฉันทะราคะได)้

ดูก่อนภิกษทุ ั้งหลาย เม่ือภกิ ษุมีใจอบรมแลว้ ดว้ ยอสภุ สญั ญาอยูโ่ ดยมาก จติ ยอ่ มไหลไป
ในการรว่ มเมถุนธรรม หรือ ความเป็นของไม่ปฏิกลู ต้งั อย่ไู ซร้ ภกิ ษุพงึ ทราบขอ้ นัน้ ดงั น้วี ่า อสุภ
สญั ญาอันเราไม่เจรญิ แล้ว คณุ วเิ ศษท้งั เบือ้ งตน้ เบื้องปลายของเราก็ไมม่ ี ผลแห่งภาวนาของเรา
ไมถ่ งึ ท่ี เพราะฉะน้นั ภกิ ษนุ ้ันจึงตอ้ งเป็นผรู้ ูท้ ัว่ ถึงในอสภุ สญั ญานั้น

ดูกรภิกษุทง้ั หลาย ถ้าหากวา่ เม่ือภกิ ษมุ ใี จอบรมแล้วด้วยอสภุ สญั ญาอยู่โดยมาก จิตยอ่ ม
หวลกลับ งอกลบั ถอยกลบั จากการร่วมเมถุนธรรม อเุ บกขา หรอื ความเป็นของปฏกิ ูลยอ่ ม
ตัง้ อยไู่ ซร้ ภิกษพุ งึ ทราบข้อน้ันดังนี้ว่า อสุภสญั ญาอันเราเจรญิ แล้ว คุณวเิ ศษทัง้ เบ้อื งตน้ เบอ้ื ง
ปลายของเรามอี ยู่ ผลแห่งภาวนาของเราถงึ ท่ีแลว้ เพราะฉะน้ัน ภกิ ษุน้ันยอ่ มเป็นผู้รู้ทว่ั ถงึ ใน
อสภุ สญั ญานั้น ขอ้ ทก่ี ล่าวดงั นีว้ ่า ดูกรภิกษุท้งั หลาย อสุภสัญญาอันภกิ ษุเจริญแลว้ ทาให้มาก
แลว้ ยอ่ มมีผลมาก มอี านิสงสม์ าก หยง่ั ลงสู่อมตะ เรากลา่ วแลว้ เพราะอาศัยข้อน้ี

(สญั ญาสตู ร พระสุตตนั ตปิฏก อังคุตตรนกิ าย สัตตกนบิ าต)
ความแตกตา่ ง แห่งคน ราคะจริตในอสภุ ะ

อทุ ธมุ าตกอสภุ ะ เป็นสัปปายะแห่งบคุ คลท่ีกาหนดั ในทรวดทรง ส่อความ
เสยี ทรวดทรงแห่งรา่ งกาย
วินีลกอสภุ ะ เป็นสัปปายะแหง่ บคุ คลท่มี กั กาหนัดในสีแห่งกาย ส่อความเสียนวล
แหง่ ผวิ
วิปุพพกอสภุ ะ เปน็ สัปปายะแห่งบคุ คลทกี่ าหนัดในกลิน่ กาย แตง่ ดว้ ยเครื่องอบ
กลิน่ ส่อดว้ ยกล่ินเหม็น
วิจฉิททกอสภุ ะ เป็นสัปปายะแห่งบคุ คลท่มี ักกาหนัดในความเป็นชน้ิ ทบึ ในสรีระ
เผยความโพรงขา้ งใน
วกิ ขายติ ตกอสภุ ะ เป็นสปั ปายะแหง่ บคุ คลทมี่ ักกาหนดั ในเนอื้ นนู ในตาแหนง่
แห่งสรีระตา่ งๆมีถนั เป็นอาทิ
วิกขติ ตกอสภุ ะ เป็นสัปปายะแหง่ บคุ คลทีม่ ักกาหนัดในลลี าทา่ ทางของ
องคาพยพใหญ-่ นอ้ ย

๖๙

หตวกิ ขิตตกอสุภะ เป็นสัปปายะแห่งบุคคลท่ีกาหนดั ในสมบตั ิแห่งเรอื นร่าง
ดว้ ยความแตกต่างแหง่ เรือนรา่ ง
โลหิตกอสุภะ เป็นสัปปายะแห่งบุคคลท่มี ักกาหนัดใน ความงามทเี่ ป็นเครื่องประดับ
ปฬุ วุ กอสุภะ เปน็ สปั ปายะแหง่ บุคคลที่มกั กาหนัดในกาย ด้วยความสาคัญวา่ สวยงาม
อัฏฐิกอสภุ ะ เปน็ สปั ปายะแหง่ บคุ คลท่ีมักกาหนดั ในสมบตั แิ ห่งฟนั ประกาศความ
ทีก่ ระดูกเป็นปฏกิ ูล

(จบอสภุ ะกรรมฐาน)

๗๐

เหตุท่ีขนึ้ องค์ฌานในหอ้ งอสุภะกรรมฐาน
เพราะในอสุภกรรมฐาน องคแ์ ห่งวิตก มกี าลงั มาก เพราะเป็นธรรมท่ไี ปด้วยกนั จิตจึง
ยกข้นึ สู่องค์ปฐมฌานไดง้ า่ ย ฌานปัญจกนยั น้ี เหมาะสาหรบั ผูท้ ่หี ดั ฝกึ ขน้ึ องค์ฌานใหม่ๆ และ
สามารถฝกึ ไดถ้ ึงปญั จมฌาน เมือ่ ชานาญ ในฌานปญั จกนยั แลว้ ให้ทาเปน็ ฌานจตกุ นยั ตอ่ ไป
เพื่อใชเ้ ปน็ บาทฐาน ของวิปสั สนาธุระตอ่ ไป

การไดอ้ งค์ฌานตา่ งๆ
เหตทุ ี่องคฌ์ านเกดิ เพราะละองค์ห้า เจรญิ องคห์ า้ การละองค์ห้าคอื การละ นิวรณธรรม
ธรรมอันเปน็ เคร่อื งกัน้ จติ ไมใ่ ห้บรรลคุ วามดี นิวรณธรรม เปน็ ธรรมที่ ทาให้จกั ษุมืด ปัญญา
ทราม นิวรณธรรม ๕ ประการคือ
๑.กามฉนทฺ ได้แกค่ วามพอใจ รักไครใ่ นอารมณ์ทีช่ อบใจ เช่น รปู เสียง กลิ่น ที่ชอบใจ
เปน็ ตน้ กามทง้ั หลายเปน็ ปฏิปักษต์ ่อปฐมฌาน กามฉันท์มอี ยู่ ฌาน หรอื ปฐมฌานย่อมเป็นไป
ไม่ได้
๒.พยาบาท ความคิดปองรา้ ยผูอ้ ่ืน
๓.ถนี ะมิทธะ ความมจี ิตหดหู่ งว่ งหาวนอน
๔.อทุ ธจจฺ กุกกจุ จะ ความฟงุ้ ซ่าน ราคาญใจ
๕.วิจิกจิ ฉา ความลังเลสงสยั ไม่ตกลงใจได้
นวิ รณธรรมเหลา่ น้ยี ่อมละงบั ได้ เพราะจติ ตงั้ ม่ันเป็นอปุ จารสมาธิ อปั ปนาสมาธิ องค์
หา้ ประการยอ่ มเจริญไดใ้ นขณะแห่ง อุปจารสมาธิ อปั ปนาสมาธิ

องค์ ๕ ประการในปฐมฌาน
องค์ ๕ ประการของปฐมฌาน คอื วติ ก วิจาร ปตี ิ สุข เอกคั คตา (อุเบกขา)

๑.วติ ก คือความตรกึ ตริ ยกจิตขน้ึ ส่อู ารมณ์ ปักจติ ลงสอู่ ารมณ์ วิตกจดั เปน็ เสียงท่เี กิดขึน้
ในใจ

๒.วจิ าร คอื ความตรอง การตามพจิ ารณาอารมณ์ ตามฟั่นอารมณ์ วจิ ารจดั เปน็ เสียงที่
เกิดขน้ึ ในใจ

วิตก มลี กั ษณะยกจติ ข้ึนสอู่ ารมณ์ วิจาร มลี กั ษณ์วจิ ารซง่ึ อารมณ์นั้นเนืองๆ มอี ุปมา
ดุจดังเสยี งระฆัง อนั บคุ คลเคาะระฆงั ตีระฆัง ระฆังมีเสียงดงั อุปมาดัง วิตก อนั ยกจติ ขึ้นสู่
อารมณ์ เมื่อเสยี งระฆงั คร่าครวญไปน้ัน มอี ปุ มาดงั พจิ ารณาอารมณ์ คือ วจิ าร

๗๑

อกี อปุ มาหน่งึ เปรยี บดังนกท้ังหลายตอ้ งการจะบินไปในอากาศ นกทั้งหลายน้นั ก็ขยับ
ปกี บนิ ข้ึนไป คร้นั แลว้ นกนนั้ กแ็ ผป่ กี ออก ร่อนไปในอากาศ วติ กน้ัน เปรียบ ดงั นกขยับปีกบิน
ข้นึ ไป วิจาร เปรียบดังนกทีเ่ หยียดปีกออกแลว้ บนิ วนเวยี นไปในอากาศ

อธบิ ายวา่ เม่ือพจิ ารณาอารมณ์แหง่ พระกรรมฐาน มีปฏิภาคนิมติ แหง่ ปฐวีกสณิ เป็นตน้
พระโยคาวจรพงึ ร้วู า่ เมอ่ื แรกยกขน้ึ ซงึ่ จติ สู่ปฏภิ าคนิมติ เป็นกจิ แห่ง วติ ก เม่ือจิตพิจารณาโดย
พสิ ดารแหง่ ปฏิภาคนมิ ติ เปน็ กิจ แห่ง วิจาร

อีกนัยหนึง่ วติ ก วิจาร เปรียบเหมอื นแมลงภู่ อนั ต้องการเกษรดอกบวั จงึ บินโฉบลง
จาเพาะหา เกษรดอกบัวนนั้ บินเวียนอยู่เบ้อื งบนดอกบวั ก่อน แลว้ จงึ บนิ ดิ่งลงหาเกษรดอกบัว
เม่ือภายหลงั อุปมาดัง วิตก น้นั มีลักษณะแมลงภู่น้นั บนิ โฉบลงเกษรดอกบัว วจิ าร เปรยี บดงั
แมลงภูบ่ ินวนเวียนอยู่เบื้องบนดอกบัวนั้น

อกี นยั หนง่ึ เปรียบดงั บคุ คลขดั ภาชนะทองเหลืองอันเป็นสนมิ ธรรมดาบุคคลขดั
ภาชนะอนั เป็นสนมิ มอื ขา้ งหน่งึ หยิบภาชนะ มืออีกขา้ งหนง่ึ ขดั สเี วยี นไป มอื ท่ีหยบิ เปรียบดัง
วิตก มอื ทขี่ ัดสีเวียนไปเปรียบดัง วจิ าร

๓.ปตี ิ คือ ความอิม่ ใจ ความปลมื้ ใจ ความดืม่ ดา่ ใจ จดั เปน็ เวทนา

ลกั ษณะปตี มิ ี ลกั ษณะ ๕ ประการ
๑.ขทุ ทกาปตี ิ ทาให้ขนพองสยองเกลา้
๒.ขณิกาปตี ิ บังเกิดดงั สายฟา้ แลบฉวดั เฉวยี นไปในอากาศ
๓.โอกกนฺติกาปตี ิ เปรียบดงั คล่ืนกระทบฝง่ั เขา้ มาแลว้ ก็หายไป
๔.อพุ เฺ พงคาปตี ิ มีลักษณะเหมือนกายบนิ ไปในอากาศ เหมอื นลกู นกปีกอ่อน

ยงั ไมแ่ ขง้ แรง
๕.ผรณาปตี ิ แผเ่ ยน็ ไปทว่ั รา่ งกาย ถ้าบังเกดิ หลายครั้งหลายหน ย่อมกระทา

ให้จติ อ่มิ ก็ยังเจตสกิ ธรรมท้ังสองให้เจริญ คือ กายปสสฺ ทธฺ ิ จิตปสสฺ ทธฺ ิ
จดั เข้าเป็นพระยคุ ลธรรม ๖ ประการ
๑.กายปสฺสทธฺ ิ จิตตปสฺสทธฺ ิ กายสงบระงบั จิตสงบระงบั
๒.กายลหุตา จติ ลหุตา กายเบา จติ เบา
๓.กายมุทตุ า จิตมุทุตา กายออ่ น จิตอ่อน
๔.กายกมฺมญฺญตา จติ กมฺมญฺญตา กายควรแกก่ ารงาน จติ ควรแกก่ ารงาน
๕.กายปาคุญญตา จติ ปาคุญญตา กายแคล่วคลอ่ ง จติ แคล่วคลอ่ ง

๗๒

๖.กายชคุ คฺ ตา จติ ตุชคุ ฺคตา กายตรง จติ ตรง กายปสั สัทธิ จิตปัสสัทธิ เมอ่ื บังเกิดขน้ึ
เตม็ ทใี่ นใจ แลว้ ย่อมทากายใหเ้ ป็นสขุ จติ เป็นสุข

๔.สขุ คือ ความสบาย ความสาราญ จดั เปน็ เวทนาขนั ธ์ เม่อื กายเป็นสขุ จติ
เป็นสขุ จติ ยอ่ มตงั้ ม่ัน เป็นสมาธิ ๓ ประการ คอื

๑.ขณิกสมาธิ คอื จิตต้งั ม่นั เปน็ ขณะๆ ต้งั มน่ั ได้ไมน่ าน แต่มากกว่า ชา้ งขยบั หทู หี น่งึ
๒.อปุ จารสมาธิ ได้แกจ่ ติ ตงั้ มน่ั ในท่ีใกล้จะไดฌ้ าน ใกลจ้ ะไดป้ ฐมฌานอยู่

แล้ว จติ ตั้งมั่นลงได้ชือ่ ว่าอปุ จารสมาธิ
๓.อปั ปนาสมาธิ ไดแ้ ก่ฌาน มี ปฐมฌาน เป็นต้นเป็นประธาน สมาธิ

สามประการนี้จะบังเกิดมีไดน้ น้ั บังเกิดมาแต่สขุ สขุ บังเกดิ มไี ดอ้ าศยั
มาแต่ ปสั สัทธิ ปสั สทั ธิ บังเกดิ มีได้อาศัยแตป่ ีติ, ปตี นิ ี้ เป็นราก เป็นเงา่
เปน็ ใหญ่ เป็นมูลฐาน ใหบ้ ังเกดิ สมาธจิ ิต เบ้ืองสงู ขน้ึ ตอ่ ไป
๕.เอกคั คตา อเุ บกขา
เอกคั คตาจติ มีลักษณะใหจ้ ิตแนว่ แนอ่ ยใู่ นอารมณ์อนั หนงึ่ อันเดยี ว จติ ไม่
พรุง่ พรา่ น กระวนกระวาย กระสับกระส่ายไปในอารมณ์ ตา่ งๆ เอกัคคตา
จติ เปน็ ทป่ี ระชุมแก่กุศลธรรมทง้ั หลายทั้งปวง เอกัคคตาจิต จดั เปน็ องค์
ฌานประการหนึ่ง
อเุ บกขา การวางเฉยในอารมณ์ต่างๆ มี ๑๐ ประการ
๑.ฉฬงฺคุเบกขา อุเบกขาใดเปน็ อาการท่ีไม่ละปกติภาพ อนั บรสิ ทุ ธิ์ในคลองแห่งอารมณ์
๖ ท้งั ท่ีเป็นอฏิ ฐารมณ์ และอนฏิ ฐารมณ์ ในทวาร ๖ แหง่ พระขณี าสพ พระภกิ ษุขณี าสพในพระ
ธรรมวินัยน้ี เห็นรปู ดว้ ยจักษุแล้ว เป็นผไู้ ม่ดีใจไมเ่ สียใจเลย และเป็นผมู้ สี ติสมั ปชญั ญะวางเฉย
อยู่ เป็นต้น
๒.พรหมวหิ ารุเบกขา ไดแ้ ก่อุเบกขาพรหมวหิ าร ขณะเมอ่ื เจรญิ อุเบกขาพรหมวหิ ารแผ่
ไปตลอดทิศหนง่ึ อยู่ ไม่รัก ไม่ชงั ใครแตแ่ ผ่อุเบกขาไปในสัตว์ทว่ั ทิศานุทิศ ไมร่ กั ใคร ไมช่ ังใคร
เปน็ กลางในสัตว์ท้งั หลาย
๓.โพชฌงฺคุเบกขา อาการเปน็ กลางในสหชาตธรรมทงั้ หลาย ภกิ ษุเจริญอุเบกขาสมั
โพชฌงค์ อนั อิงวเิ วก วิราคะเปน็ องคใ์ หต้ รสั รอู้ ริยสัจ๔
๔.พระวิปสสฺ นูเบกขา อเุ บกขาใดที่มอี าการวางเฉยในการเฟ้นสงั ขาร อย่างนี้ว่า สง่ิ ใดมี
สิง่ ใดเป็น พระโยคาวจรพึงละสงิ่ นน้ั เสยี ย่อมไดอ้ เุ บกขา

๗๓

๕.วิริยอุเบกขา อุเบกขาอันประกอบในความเพยี ร ไมต่ งึ นัก ไมห่ ย่อนนกั ภิกษุทาในใจ
ถงึ อเุ บกขานิมิตอย่ตู ลอด เวลาตามกาล อันสมควร

๖.สงขฺ ารเุ บกขา วปิ ัสสนาญาณอนั พิจารณาบาปธรรม และ องค์ท่ีพงึ ละมีนิวรณธ์ รรม
เป็นต้น แล้วตกลงวางเฉยในอนั ที่จะถอื เอา

๗.เวทนเู บกขา ได้แก่ ที่หมายรู้ดว้ ยไมท่ ุกข์ ไม่สุข สมัยใดจิตเปน็ กามาวจรกุศลเกดิ ขนึ้
สหรคตะดว้ ยอเุ บกขา

๘.ฌานเุ บกขา ไดแ้ ก่อเุ บกขาอันเกิดในฌาน อเุ บกขาอนั บงั เกดิ ย่ังยืนในจิตสันดาน มิได้
ปะปนไปดว้ ยสขุ และทกุ ข์ โสมนัส และ โทมนัส ชอ่ื ว่า ฌานุเบกขา

๙.ปริสทุ ธเุ บกขา ได้แกอ่ เุ บกขาอันบรสิ ุทธิ์จาก ปัจจนีกธรรมทัง้ ปวง อเุ บกขาอนั บังเกดิ
ใน จตถุ ฌาน บรสิ ทุ ธิ์เลื่อมประภสั สร ปราศจากขา้ ศึก คอื วติ ก วจิ าร ปีติ สขุ มาครอบงาไม่ได้
ช่ือว่า ปริสุทธุเบกขา

๑๐. ตตรฺ มชฺฌตตฺ ุเบกขา ได้แกอ่ เุ บกขาอนั เกดิ ขึน้ แล้วประชมุ ไว้ ซึง่ ธรรมทงั้ หลายทัง้
ปวง เป็นไปตามช่ือว่า ฉนั ทเุ บกขา พรหมวหิ ารุเบกขา โพชฌงั คเุ บกขา ฌานุเบกขา และ ปริ
สุทธุเบกขา ท้ังหมดเป็นอันเดยี วกนั กบั ตัตรมัชฌัตตเุ บกขา จะไดต้ ่างกันก็หามิได้ ตัตรมัชฌตั
ตุเบกขาน้ี เม่ือบังเกิดมใี นทวารทงั้ ๖ แหง่ พระขีณาสพเจ้า ชื่อวา่ ฉฬงั คุเบกขา บงั เกดิ ในขณะ
เจริญอเุ บกขาพรหมวิหาร ชอ่ื วา่ พรหมวิหารุเบกขา บังเกดิ ในขณะเจริญอเุ บกขาสมั โพชฌังค์ ช่อื
ว่า โพชฌังคุเบกขา บังเกิดใน ปฐมฌาน ทุตยิ ฌาน ตตยิ ฌาน ชื่อวา่ ฌานุเบกขา บังเกดิ ในจตุถ
ฌาน ชือ่ ว่า ปรสิ ุทธเุ บกขา ตัตรมชั ฌัตตุเบกขาน้เี ปน็ อยา่ งเดียวท้ังหมด ตตั รมชั ฌตั ตเุ บกขามี
ลักษณะ กลางๆไมท่ ุกข์ ไมส่ ุขไมด่ ใี จไมเ่ สียใจ

คาอาราธนาปฐมฌาน
อนั ว่ารูปาวจรปฐมฌาน ในห้อง อทุ ธมุ าตกะ เจา้ นี้หนา ประกอบดว้ ยองค์ห้าคอื วิตก
วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา บดั น้ีขา้ ฯจะภาวนาขอเอายงั ธัมมานธุ มั มปฏบิ ัติ อันแขวนสุขมุ าลชาติเจา้
นี้จงได้
ขอพระพุทธเจา้ จงมาเปน็ ทพ่ี ่ึงแก่ข้าฯนเ้ี ถดิ ฯลฯ ขอพระกรรมฐานเจา้ ท้งั มวลจงมาเปน็ ที่
พงึ่ แกข่ ้าฯน้เี ถดิ

๗๔

อกุ าสะ อุกาสะ ในท่ีนี้เลา่ ข้าฯจะขอเชิญปฏบิ ตั ิบูชาตามคาส่งั สอนของพระสัพพญั ญโู ค
ดมเจ้า เพื่อจะขอเอารูปาวจรปฐมฌานในห้อง อทุ ธุมาตกอสุภะเจ้า น้ีจงได้ ขอจงเจ้ากูมาสัญญา
แกข่ ้าฯใหร้ ทู้ เี ถดิ นพิ พานปจจฺ โย โหนตฺ ุ

อธบิ ายปฐมฌาน
ภิกษเุ จริญมรรคปฏปิ ทา เพอื่ เขา้ ถึงรูปภพ สงดั จากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรมทั้งหลาย
บรรลุปฐมฌาน อนั ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปีติ และ สุข อนั เกดิ แต่วิเวกอยู่ในสมยั ใด ฌานมี
องค์หา้ อยู่ คอื วิตก วิจาร ปีติ สขุ เอกัคคตาแห่งจติ มใี นสมัยนั้นน้ี เรียกวา่ ปฐมฌาน
การทาวสีในปฐมฌาน เมอ่ื ภิกษุไดป้ ฐมฌาน ภกิ ษุไม่ซอ่ งเสพ ไม่เจริญไมท่ าให้มากซงึ่
นิมิตนน้ั ไมต่ ัง้ นมิ ิตน้นั ไวใ้ หม้ ่ันดี ภกิ ษุนัน้ อาจเส่ือมจากฌาน มีปฐมฌานเปน็ ตน้ และไมอ่ าจ
เข้าถงึ ทุตยิ ฌาน ฉะน้นั พระโยคาวจรจึงตอ้ งบาเพ็ญ วสี คือความชานาญโดยอาการหา้ ใน
ปฐมฌานนั้นก่อน วสหี า้ ประการคือ
๑.อาวชชฺ นวสี ชานาญในการ นกึ หน่วงคลอ่ งแคลว่ ในการนกึ องคฌ์ านท่ตี นได้
๒.สมาปชฺชนวสี ชานาญคลอ่ งแคลว่ ในการเขา้ ฌาน
๓.อธิฏฐานวสี ชานาญคล่องแคล่วในการตง้ั อยู่ ในการรักษาองคฌ์ าน
๔.วุฏฐานวสี ชานาญคลอ่ งแคล่วในการออกจากองค์ฌาน
๕.ปจจฺ เวกขณวสี ชานาญคล่องแคลว่ ในการพิจารณาทบทวนองคฌ์ านที่ตน

ไดแ้ ล้ว
ถ้าพระโยคาวจรไมข่ วนขวายในปฐมฌานใหค้ ล่องแคล่ว ก็จะเส่ือมจากฌานน้ัน และ
ไมอ่ าจบรรลุถึงทตุ ิยฌาน

คาอาราธนาทตุ ิยฌาน
อันวา่ รูปาวจรปฐมฌานในหอ้ ง อุทธมุ าตกะ เจ้าน้หี นาประกอบไปด้วยองค์หา้ คือ วิตก
วจิ าร ปีติ สุข เอกัคคตา บัดนี้พระอาจารย์ว่ายงั หยาบนักฉะน้ี ยังรู้ฉิบ รหู้ าย รู้เกิด รตู้ าย บดั นีข้ า้
ฯจะหนา่ ยเสยี ขา้ ฯ จะขอเอา ทตุ ยิ ฌาน อันประกอบดว้ ยองค์ ๔ คอื วจิ าร ปตี ิ สุข เอกคั คตา
ขอพระพทุ ธเจา้ จงมาเป็นทพี่ ง่ึ แกข่ า้ ฯนเ้ี ถิด ฯลฯ ขอพระกรรมฐานเจา้ ท้งั มวลจงมาเปน็ ที่
พ่งึ แกข่ า้ นเี้ ถดิ ฯ
อุกาสะ อกุ าสะ ในท่นี เ้ี ล่าข้าฯจะขอปฏบิ ัติบชู าตามคาสง่ั สอนของพระสพั พญั ญโู คดม
เจ้า เพ่ือจะขอเอา ทตุ ยิ ฌาน อนั ประกอบดว้ ยองค์ ๔ คือ วจิ าร ปีติ สุข เอกคั คตา บดั น้ขี ้าฯจะ

๗๕

ภาวนาเอายงั ธัมมานุธัมมปฏิบตั อิ นั แขวนสขุ ุมาลชาตเิ จ้าน้ีจงได้ ขอจงเจ้ากมู าสญั ญาแกข่ ้าฯให้รู้
ทเี ถดิ นิพพานปจฺจโย โหนตฺ ุ

อธิบายทุตยิ ฌาน
ภกิ ษเุ จริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เขา้ ถงึ รูปภพ บรรลุ ทุตยิ ฌาน ไม่มีวติ ก มีแต่วจิ าร มปี ีติ และ
สุข อันเกดิ แต่วิเวกอยใู่ นสมยั ใด ฌาน มีองค์สคี่ ือ วจิ าร ปตี ิ สขุ เอกคั คตาแห่งจิตมใี นสมยั นัน้ นี้
เรียกวา่ ทุตยิ ฌาน

คาอาราธนาตตยิ ฌาน
อนั วา่ รูปาวจร ทุติยฌาน ประกอบไปดว้ ยองค์ ๔ คอื วิจาร ปีติ สขุ เอกคั คตา บดั นพี้ ระ
อาจารยว์ า่ ยังหยาบนักฉะน้ี ยงั รู้ฉิบ ร้หู าย รู้เกิด ร้ตู าย บัดนข้ี ้าฯจะหนา่ ยเสยี ขา้ ฯจะขอเอายัง
ตติยฌาน อันประกอบดว้ ยองค์๓ คือ ปตี ิ สขุ เอกคั คตา
ขอพระพทุ ธเจา้ จงมาเปน็ ทพ่ี ึ่งแก่ขา้ นีเ้ ถดิ ฯลฯ ขอพระกรรมฐานเจ้าท้ังมวลจงมาเปน็ ท่ี
พ่ึงแก่ข้านี้เถดิ ฯ
อุกาสะ อุกาสะ ในทนี่ ีเ้ ล่าข้าฯ จะขอปฏิบตั บิ ูชาตามคาสง่ั สอนของพระสพั พญั ญูโคดม
เจ้า เพอ่ื จะขอเอา ตติยฌานอนั ประกอบดว้ ยองค์ ๓ คอื ปีติ สุข เอกคั คตา บัดนีข้ ้าฯจะขอเอา
ยงั ธมั มานุธัมมะปฏบิ ติ อันแขวนสุขุมาลชาติเจา้ นจ้ี งได้ ขอจงเจา้ กมู าสัญญาแก่ข้าใหร้ ู้ที่เถิด
นพิ พาน ปจั จโย โหนตุ

คาอธบิ ายตตยิ ฌาน
ภิกษเุ จริญมรรคปฏิปทาเพอ่ื เขา้ ถึงรปู ภพ บรรลุตตยิ ฌาน เป็นไปในภายใน เปน็
ธรรมชาตผิ อ่ งใส เพราะวติ ก วจิ าร สงบ มแี ต่ปตี ิ และ สขุ อันเกดิ แตส่ มาธิอยู่ ในสมยั ใดฌานมี
องค์สามคอื ปีติ สุข เอกคั คตาแหง่ จติ มใี นสมัยน้นั น้เี รยี กวา่ ตติยฌาน

คาอาราธนาจตุถฌาน
อนั วา่ รปู าวจร ตติยฌาน อันประกอบไปดว้ ยองค์ ๓ คอื ปีติ สุข เอกัคคตา บดั นีพ้ ระ
อาจารย์วา่ ยังหยาบนักฉะนี้ ยังรู้ฉิบ รู้หาย รู้เกดิ รู้ตาย บัดนี้ข้าจะหนา่ ยเสีย ขอเอายัง จตถุ ฌาน
อนั ประกอบดว้ ยองค์ ๒ คือ สขุ เอกคั คตา
ขอพระพุทธเจ้าจงมาเปน็ ท่พี ่ึงแก่ข้าฯนเ้ี ถิด ฯลฯ อุกาสะ อกุ าสะ ในท่นี ี้เลา่ ขา้ ฯจะขอ
ปฏิบัติบูชาตามคาสั่งสอนของพระสพั พญั ญูโคดมเจา้ เพื่อจะขอเอา จตถุ ฌาน อันประกอบไป
ดว้ ยองค์ ๒ คือ สขุ เอกัคคตา บดั นข้ี า้ จะภาวนาขอเอายงั ธัมมานุธมั มะปฏิบัติ อันแขวนสขุ ุมาล
ชาติเจา้ นีจ้ งได้ ขอจงเจ้ากูมาสัญญาแกข่ ้าฯใหร้ ู้ทีเถิด นพิ พานปจั จโย โหนตุ

๗๖

คาอธิบายจตุถฌาน

ภิกษเุ จริญมรรคปฏิปทาเพือ่ เขา้ ถึงรูปภพ เพราะคลายปีตไิ ด้อีกด้วย จงึ เป็นผมู้ ีจติ เป็น

อุเบกขา มีสติสัมปชญั ญะอย่แู ละเสวยสขุ ด้วยนามกาย บรรลจุ ตุถฌาน ซงึ่ เปน็ ฌานท่ีพระอริยเจา้

ทั้งหลายกล่าวสรรเสริญผู้ได้บรรลุว่า เปน็ ผู้มจี ติ เป็นอุเบกขา มีสติอย่เู ปน็ สุขดังน้ีอยู่ ในสมยั ใด

ฌานมอี งคส์ องคือ สุข เอกคั คตาแห่งจติ ในสมยั นน้ั น้เี รียกวา่ จตุถฌาน

คาอาราธนาปญั จมฌาน

อันวา่ รปู าวจรจตุถฌาน อันประกอบไปดว้ ยองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา บดั นพี้ ระอาจารย์

วา่ ยังหยาบนักฉะนี้ ยังรู้ฉิบ รู้หาย รูเ้ กดิ รู้ตาย บัดนี้ข้าฯจะหนา่ ยเสีย ขา้ ฯจะขอเอายัง ปญั จมฌาน

อันประกอบไปดว้ ยองค์ ๒ คอื อุเบกขา เอกัคคตา

ขอพระพทุ ธเจา้ จงมาเปน็ ท่ีพ่ึงแกข่ า้ ฯน้ีเถดิ ฯลฯ อกุ าสะ อุกาสะ ในทนี่ ี้เล่า ขา้ ฯจะขอ

เชญิ ปฏิบตั ิบูชาตามคาสง่ั สอนของพระสพั พัญญโู คดมเจา้ เพือ่ จะขอเอา ปัญจมฌาน อัน

ประกอบไปดว้ ยองค์ ๒ คอื อเุ บกขา เอกคั คตา บัดน้ีขา้ ฯจะภาวนาเอายงั ธมั มานธุ ัมมะปฏิบัติอัน

แขวนสขุ มุ าลชาตเิ จา้ นีจ้ งได้ ขอจงเจา้ กูมาสญั ญาแก่ขา้ ฯใหร้ ทู้ ีเถิด นิพพานปจั จโย โหนตุ

คาอธบิ ายปัญจมฌาน

ภกิ ษเุ จริญมรรคปฏิปทาเข้าถึงรปู ภพ บรรลุปัญจมฌาน ไม่มที กุ ข์ ไมม่ ีสุข เพราะละทุกข์

ละสุขได้ เพราะโทรมนัส และ โสมนัส ดบั สนทิ ในกาลกอ่ น มีสติบริสุทธิเพราะอเุ บกขาอยใู่ น

สมัยใดฌานมอี งค์สองคือ อุเบกขา เอกคั คตา แห่งจิตมใี นสมัยนนั้ นี้ เรียกวา่ ปัญจมฌาน

เหตทุ เ่ี รียนปญั จมฌาน เพราะเปน็ ฌานใชส้ าหรับฝึกผู้ทีเ่ รยี นฌานใหม่ๆ มีปัญญายังออ่ น

อยจู่ ึงไม่สามารถที่จะแยก และละองค์แห่ง วิตก วจิ าร ไปในภมู ิปฐมฌานในคราวเดยี วกนั ได้

เมื่อชานาญแล้วจึงทาฌานปัญจกนัย ใหเ้ ป็นฌานจตุกนยั ตอ่ ไป เพราะมีฌานแกก่ ล้า และกาลงั

ปญั ญาแกก่ ล้า

ปฐมฌาน มีวิสุทธธิ รรม ๓๐

ปฐมฌาน ปรติ ตารมณ์ ปฐมฌานมัชฌมิ ารมณ์ ปฐมฌาน ประณีตารมณ์

อย่างตรี อย่างโท อยา่ งเอก

บรสิ ทุ ธิ์จากกามฉนั ทฯ บริสทุ ธิ์จากกามฉนั ทฯ บรสิ ทุ ธิ์จากกามฉันทฯ

๑.วิสุทธธิ รรม ๑.วสิ ทุ ธิธรรม ๑.วสิ ุทธธิ รรม

๒.วิสุทธธิ รรม ๒.วสิ ุทธิธรรม ๒.วสิ ุทธิธรรม

๓.วสิ ทุ ธิธรรม ๓.วิสทุ ธธิ รรม ๓.วิสทุ ธธิ รรม

๗๗

๔.วิสุทธธิ รรม ๔.วิสุทธิธรรม ๔.วิสทุ ธธิ รรม

๕.วิสทุ ธิธรรม ๕.วสิ ุทธธรรม ๕.วิสทุ ธธิ รรม

๖.วิสทุ ธธิ รรม ๖.วสิ ุทธธิ รรม ๖.วิสทุ ธธิ รรม

๗.วิสทุ ธธิ รรม ๗.วสิ ทุ ธิธรรม ๗.วสิ ุทธธรรม

๘.วสิ ุทธิธรรม ๘.วสิ ทุ ธิธรรม ๘.วสิ ทุ ธิธรรม

๙.วสิ ทุ ธธิ รรม ๙.วสิ ุทธธิ รรม ๙.วสิ ุทธธิ รรม

๑๐.วิสุทธิธรรม ๑๐.วิสุทธธิ รรม ๑๐.วสิ ทุ ธิธรรม

ปฐมฌาน มีความสมบรู ณ์ แหง่ องค์ ๕ ประการ คอื วติ ก วิจาร ปตี ิ สขุ เอกัคคตา

๗๘

ทตุ ิยฌาน มี วิสุทธธิ รรม ๓๐

ทุติยฌานปริตตารมณ์ ทตุ ยิ ฌานมัชฌมิ ารมณ์ ทตุ ิยฌาน ประณตี ารมณ์

อยา่ งตรี อย่างโท อยา่ งเอก

บริสุทธจิ์ าก วิตก บรสิ ุทธ์จิ าก วติ ก บรสิ ทุ ธจิ์ าก วติ ก

๑.วสิ ุทธธิ รรม ๑.วิสุทธธิ รรม ๑.วสิ ุทธิธรรม

๒.วิสทุ ธิธรรม ๒.วสิ ุทธิธรรม ๒.วสิ ุทธธิ รรม

๓.วสิ ุทธธิ รรม ๓.วิสุทธธิ รรม ๓.วสิ ทุ ธธิ รรม

๔.วสิ ทุ ธธิ รรม ๔.วสิ ุทธธิ รรม ๔.วิสทุ ธธิ รรม

๕.วิสทุ ธธิ รรม ๕.วสิ ุทธิธรรม ๕.วิสุทธธิ รรม

๖.วิสทุ ธธิ รรม ๖.วสิ ุทธิธรรม ๖.วสิ ุทธิธรรม

๗.วสิ ุทธธิ รรม ๗.วสิ ทุ ธธิ รรม ๗.วิสทุ ธธรรม

๘.วสิ ุทธธิ รรม ๘.วสิ ุทธิธรรม ๘.วสิ ทุ ธิธรรม

๙.วสิ ทุ ธธิ รรม ๙.วิสุทธิธรรม ๙.วิสุทธธิ รรม

๑๐.วิสทุ ธธิ รรม ๑๐.วสิ ทุ ธธิ รรม ๑๐.วิสุทธธิ รรม

ทตุ ยิ ฌาน มคี วามสมบูรณ์แห่งองค์ ๔ คือ วจิ าร ปตี ิ สุข เอกคั คตา

ตตยิ ฌาน มี วิสทุ ธธิ รรม ๓๐

ตตยิ ฌานปริตตารมณ์ ตติยฌานมชั ฌมิ ารมณ์ ตติยฌานประณตี ารมณ์

อยา่ งตรี อยา่ งโท อย่างเอก

บรสิ ทุ ธิจ์ าก วติ ก วิจาร บรสิ ุทธจาก วติ ก วจิ าร บริสทุ ธจ์ิ าก วติ ก วิจาร

๑.วสิ ุทธธิ รรม ๑.วสิ ทุ ธิธรรม ๑.วิสทุ ธิธรรม

๒.วิสุทธิธรรม ๒.วิสุทธิธรรม ๒.วสิ ทุ ธิธรรม

๓.วสิ ุทธธิ รรม ๓.วสิ ุทธธิ รรม ๓.วิสุทธิธรรม

๔.วิสุทธิธรรม ๔.วิสทุ ธธิ รรม ๔.วิสทุ ธธิ รรม

๕.วิสุทธิธรรม ๕.วสิ ุทธธรรม ๕.วิสุทธธิ รรม

๖.วสิ ุทธธิ รรม ๖.วสิ ุทธธิ รรม ๖.วสิ ทุ ธิธรรม

๗.วิสุทธิธรรม ๗.วิสุทธธิ รรม ๗.วิสทุ ธธรรม

๘.วิสทุ ธธิ รรม ๘.วิสทุ ธิธรรม ๘.วสิ ุทธธิ รรม

๙.วสิ ทุ ธธิ รรม ๙.วิสทุ ธิธรรม ๙.วสิ ทุ ธธิ รรม

๗๙

๑๐.วสิ ุทธธิ รรม ๑๐.วสิ ุทธธิ รรม ๑๐.วิสุทธิธรรม

ตติยฌาน มีความสมบรู ณ์แห่งองค์ ๓ คือ ปีติ สขุ เอกคั คตา

จตถุ ฌาน มวี สิ ุทธิธรรม ๓๐

จตถุ ฌานปรติ ตารมณ์ จตถุ ฌานมชั ฌิมารมณ์ ตตยิ ฌานประณตี ารมณ์

อยา่ งตรี อยา่ งโท อย่างเอก

บริสุทธ์ิ จาก วติ ก วจิ าร ปตี ิ บริสทุ ธิจากวติ ก วิจาร ปตี ิ บริสุทธจิ์ าก วติ ก วิจาร ปตี ิ

๑.วิสทุ ธธิ รรม ๑.วสิ ุทธิธรรม ๑.วิสทุ ธธิ รรม

๒.วสิ ุทธธิ รรม ๒.วิสุทธิธรรม ๒.วิสทุ ธธิ รรม

๓.วสิ ทุ ธธิ รรม ๓.วิสุทธธิ รรม ๓.วิสทุ ธิธรรม

๔.วิสุทธิธรรม ๔.วสิ ุทธธิ รรม ๔.วิสุทธธิ รรม

๕.วิสุทธิธรรม ๕.วิสทุ ธธิ รรม ๕.วิสทุ ธธิ รรม

๖.วิสทุ ธธิ รรม ๖.วิสทุ ธธิ รรม ๖.วิสุทธิธรรม

๗.วิสุทธธิ รรม ๗.วสิ ุทธิธรรม ๗.วิสุทธิธรรม

๘.วิสุทธิธรรม ๘.วิสทุ ธธิ รรม ๘.วิสุทธิธรรม

๙.วิสทุ ธิธรรม ๙.วสิ ุทธธิ รรม ๙.วิสุทธธิ รรม

๑๐.วสิ ุทธิธรรม ๑๐.วสิ ทุ ธธิ รรม ๑๐.วสิ ทุ ธิธรรม

จตุตถฌานมีความสมบรู ณ์แหง่ องค์ ๒ คอื สุข เอกคั คตา

ปัญจมฌาน มีวสิ ทุ ธธิ รรม ๓๐

ปญั จมฌานปริตตารมณ์ ปญั จมฌานมชั ฌิมารมณ์ ปัญจมฌาประณตี ารมณ์

อยา่ งตรี อยา่ งโท อย่างเอก

บรสิ ทุ ธิจากวิตกวิจารปีติสขุ บรสิ ทุ ธจ์ิ ากวิตกวิจารปตี ิสขุ บรสิ ุทธิ์จากวิตกวจิ าร ปีติ สุข

๑.วิสุทธธิ รรม ๑.วสิ ทุ ธิธรรม ๑.วิสทุ ธิธรรม

๒.วิสุทธธิ รรม ๒.วสิ ทุ ธิธรรม ๒.วสิ ทุ ธธิ รรม

๓.วิสทุ ธธิ รรม ๓.วสิ ทุ ธธิ รรม ๓.วสิ ุทธิธรรม

๔.วสิ ุทธิธรรม ๔.วสิ ุทธธิ รรม ๔.วิสทุ ธธิ รรม

๕.วสิ ุทธธิ รรม ๕.วิสทุ ธธิ รรม ๕.วิสทุ ธธิ รรม

๖.วิสุทธิธรรม ๖.วสิ ุทธธิ รรม ๖.วิสทุ ธธิ รรม

๗.วิสุทธิธรรม ๗.วสิ ทุ ธิธรรม ๗.วสิ ทุ ธธิ รรม

๘๐

๘.วสิ ุทธธิ รรม ๘.วิสทุ ธธิ รรม ๘.วสิ ุทธธิ รรม

๙.วิสุทธธิ รรม ๙.วสิ ทุ ธธิ รรม ๙.วิสทุ ธธิ รรม

๑๐.วิสุทธิธรรม ๑๐.วิสุทธิธรรม ๑๐.วสิ ทุ ธธิ รรม

ปญั จมฌาน มคี วามสมบูรณแ์ หง่ องค์ ๒ คือ อเุ บกขา เอกัคคตา

ฌานปัญจกนยั คือ สมั มาสมาธิ ท่ีเก่ียวเน่ืองดว้ ยอภิญญา ๕ เป็นผลแหง่ ปัจจุบันสขุ และ

อนาคตสขุ เกดิ ขน้ึ เพราะปัญญาพิจารณาร่างกาย

พิจารณาวิปัสสนา ในรูปฌาน

ดูกรคฤหบดี ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ี สงดั จากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลปุ ฐมฌาน มี

วติ ก มวี ิจาร มปี ีตแิ ละสขุ เกดิ แตว่ เิ วกอยู่ เธอพจิ ารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมรู้ชดั ว่าแมป้ ฐมฌานนี้ อนั

เหตุปัจจัยปรุงแต่งข้นึ ก่อสรา้ งข้ึน ก็ส่ิงใดส่งิ หน่งึ อันเหตุปจั จัยปรงุ แต่งข้นึ กอ่ สรา้ งขึน้ สิ่งน้ัน

ไมเ่ ทย่ี ง มีความดบั ไปเป็นธรรมดา ดังนี้

เธอตงั้ อยูใ่ นธรรม คอื สมถะและวปิ ัสสนานนั้ ย่อมถึงความส้ินไปแห่งอาสวะท้งั หลาย

ถา้ ไมถ่ งึ ความสนิ้ ไปแหง่ อาสวะทัง้ หลายเพราะความยินดีเพลิดเพลนิ ในธรรม คอื สมถะและ

วิปัสสนาน้ัน เพราะความส้ินไปแห่งโอรัมภาคยิ ะสงั โยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาตกิ ะ จะ

ปรนิ พิ พานในที่นน้ั มอี นั ไมก่ ลับจากโลกนน้ั เปน็ ธรรมดา

ดกู รคฤหบดี ธรรมอันหน่ึงแม้นีแ้ ล ทีเ่ ม่ือภิกษุผไู้ มป่ ระมาท มีความเพยี ร มีตนสง่ ไปอยู่

จติ ท่ียังไมห่ ลุดพน้ ยอ่ มหลดุ พน้ อาสวะทัง้ หลายที่ยงั ไมส่ ้ิน ยอ่ มถงึ ความสน้ิ ไป ย่อมบรรลุถึง

ธรรมท่ีปลอดโปรง่ จากกิเลสเปน็ เครอ่ื งประกอบไว้ อนั ไมม่ ีธรรมอนื่ ย่ิงกวา่ ท่ียงั ไมบ่ รรลุอัน

พระผมู้ พี ระภาคผรู้ ู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหนั ต์ ตรสั รู้เองโดยชอบ พระองค์น้นั ตรัสไว้

ดูกรคฤหบดี อกี ประการหนงึ่ ภกิ ษุบรรลทุ ตุ ิยฌาน มคี วามผอ่ งใสแหง่ จติ ในภายในเป็น

ธรรมเอกผุดข้ึน ไม่มวี ิตก ไมม่ วี ิจาร เพราะวิตกวจิ ารสงบไป มีปีติและสุขเกดิ แตส่ มาธอิ ยเู่ ธอ

พจิ ารณา อยู่อยา่ งนี้ ย่อมรู้ชดั วา่ แมท้ ุติยฌานน้ี อนั เหตปุ ัจจัยปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขน้ึ กส็ ง่ิ ใดสงิ่

หนง่ึ อนั เหตุปัจจัยปรงุ แต่งขน้ึ ก่อสรา้ งขึ้น สง่ิ นนั้ ไมเ่ ท่ยี ง มคี วามดับไปเปน็ ธรรมดาดงั นี้

เธอต้ังอยูใ่ นธรรม คอื สมถะและวปิ ัสสนานัน้ ย่อมถึงความสิน้ ไปแหง่ อาสวะทง้ั หลาย

ถา้ ไมถ่ ึงความส้ินไปแหง่ อาสวะท้งั หลาย เพราะความยินดเี พลิดเพลนิ ในธรรมคอื สมถะและ

วปิ ัสสนานัน้ เพราะความส้นิ ไปแห่งโอรัมภาคยิ สัญโญชน์ ๕ เธอยอ่ มเป็นโอปปาติกะ จะปริ

พพานในทน่ี ้นั มีอนั ไม่กลบั จากโลกนัน้ เป็นธรรมดา

๘๑

ดกู รคฤหบดี ธรรมอนั หน่ึงแมน้ ้แี ล ที่เมื่อภกิ ษุผ้ไู ม่ประมาท มคี วามเพยี ร มีตนสง่ ไปอยู่
จติ ทย่ี ังไมห่ ลดุ พน้ ยอ่ มหลุดพ้น อาสวะท้งั หลายที่ยงั ไมส่ น้ิ ยอ่ มถึงความส้นิ ไป ยอ่ มบรรลุถงึ
ธรรมท่ีปลอดโปร่งจากกเิ ลสเป็นเครื่องประกอบอนั ไม่มธี รรมอ่ืนยง่ิ กว่า ทย่ี งั ไมบ่ รรลุ อนั พระผู้
มพี ระภาคผ้รู ู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหนั ต์ ตรัสรเู้ องโดยชอบ พระองค์น้ัน ตรัสไว้

ดกู รคฤหบดี อีกประการหน่งึ ภกิ ษุมีอเุ บกขา มสี ติสมั ปชญั ญะ และเสวยสขุ ดว้ ยนามกาย
เพราะปตี สิ นิ้ ไป บรรลุตติยฌาน ทีพ่ ระอรยิ ะท้งั หลาย สรรเสริญวา่ ผู้ได้ฌานนีเ้ ป็นผมู้ ีอเุ บกขา มี
สติ อยู่เป็นสขุ เธอพจิ ารณาอยอู่ ยา่ งนี้ ย่อมรชู้ ัดวา่ แมต้ ตยิ ฌานนีอ้ ันเหตปุ ัจจัยปรุงแต่งข้นึ
กอ่ สร้างขน้ึ กส็ งิ่ ใดสงิ่ หนึ่ง อนั เหตุปจั จยั ปรุงแตง่ ข้ึน ก่อสร้างข้ึนส่ิงน้ันไม่เทยี่ ง มีความดับไป
เป็นธรรมดา ดงั นี้

เธอตงั้ อยู่ในธรรมคือสมถะและวิปัสสนาน้ันยอ่ มถึงความส้นิ ไปแห่งอาสวะทง้ั หลาย ถ้า
ไมถ่ ึงความส้ินไปแหง่ อาสวะทงั้ หลาย เพราะความยินดีเพลดิ เพลินในธรรมคือสมถะและ
วปิ สั สนานนั้ เพราะความสน้ิ ไปแหง่ โอรมั ภาคยิ สัญโญชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะ
ปรินิพพานในทีน่ น้ั มอี นั ไม่กลบั จากโลกน้นั เปน็ ธรรมดา

ดกู รคฤหบดี ธรรมอนั หน่ึงแมน้ ีแ้ ล ที่เม่อื ภิกษุผูไ้ ม่ประมาท มคี วามเพยี ร มีตนสง่ ไปอยู่
จติ ทยี่ ังไมห่ ลดุ พน้ ย่อมหลุดพ้น อาสวะทง้ั หลายที่ยงั ไมส่ ้ิน ย่อมถึงความสน้ิ ไป ย่อมบรรลุถึง
ธรรมท่ีปลอดโปร่งจากกเิ ลสเป็นเครื่องประกอบไว้ อันไมม่ ธี รรมอ่นื ย่งิ กวา่ ท่ยี งั ไมบ่ รรลอุ นั
พระผ้มู ีพระภาคผรู้ ู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหนั ต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองคน์ ้นั ตรสั ไว้

ดกู รคฤหบดี อีกประการหนึง่ ภิกษุบรรลจุ ตุตถฌาน ไม่มที กุ ข์ ไม่มสี ุข เพราะละสุขละ
ทุกข์ และดับโสมนสั โทมนสั ก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตใุ ห้สตบิ ริสทุ ธอ์ิ ยู่ เธอพจิ ารณาอยู่อย่าง
นี้ ยอ่ มรู้ชดั วา่ แมจ้ ตุตถฌานน้ี อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้น กอ่ สร้างข้นึ ก็สง่ิ ใดส่ิงหน่งึ อันเหตุ
ปจั จยั ปรุงแต่งขึ้น ก่อสร้างขึน้ สิ่งนัน้ ไมเ่ ที่ยง มคี วามดับไปเปน็ ธรรมดา ดังนี้

เธอตง้ั อยู่ในธรรมคอื สมถะและวปิ ัสสนานั้น ย่อมถึงความส้ินไปแหง่ อาสวะทง้ั หลาย ถ้า
ไมถ่ งึ ความส้ินไปแหง่ อาสวะทัง้ หลาย เพราะความยนิ ดเี พลดิ เพลนิ ในธรรมคือสมถะและ
วปิ ัสสนานนั้ เพราความส้นิ ไปแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ ๕ เธอยอ่ มเป็นโอปปาติกะ จะปริ
พพานในท่นี ั้นมอี ันไม่กลับจากโลกน้ันเปน็ ธรรมดา

ดูกรคฤหบดี ธรรมอนั หน่ึงแม้นีแ้ ล ท่ีเม่อื ภิกษผุ ู้ไมป่ ระมาท มีความเพยี ร มีคนส่งไปอยู่
จิตทยี่ ังไมห่ ลดุ พน้ ยอ่ มหลดุ พน้ อาสวะทงั้ หลายทีย่ ังไมส่ ้นิ ยอ่ มถงึ ความส้นิ ไป ย่อมบรรลุธรรม

๘๒

ทป่ี ลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเคร่ืองประกอบไว้ อนั ไมม่ ีธรรมอ่นื ยง่ิ กวา่ ทยี่ ังไม่บรรลุอนั พระผมู้ ี

พระภาคผูร้ ู้ ผู้เหน็ เป็นพระอรหนั ต์ ตรัสรเู้ องโดยชอบ พระองคน์ นั้ ตรัสไว้

ฌานสูตร

ดูกรภกิ ษุท้ังหลาย เรากล่าวความสนิ้ ไปแหง่ อาสวะทงั้ หลาย เพราะอาศัยปฐมฌานบา้ ง

ทตุ ยิ ฌานบา้ ง ตติยฌานบา้ ง จตุตถฌานบ้าง อากาสนัญจายตนฌานบ้าง ฯ

ดูกรภกิ ษุทั้งหลาย เรากล่าวความสนิ้ ไปแห่งอาสวะทัง้ หลาย เพราะอาศัยเนวสัญญานา

สญั ญายตนฌานบ้าง ฯ

ดกู รภิกษุทัง้ หลาย เรากล่าวความสิ้นไปแหง่ อาสวะท้งั หลาย เพราะอาศยั ปฐมฌานบา้ ง

ดงั น้นี ้นั เราอาศยั อะไรกล่าวแลว้ ดกู รภกิ ษุท้งั หลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยน้ี สงัดจากกาม ฯลฯ

บรรลุปฐมฌาน เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คอื รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ

อนั มอี ยู่ในขณะแห่งปฐมฌานน้ัน โดยความเป็นของไม่เท่ียง เปน็ ทุกข์ เป็นโรค เปน็ ดงั หวั ฝี เปน็

ดังลกู ศร ไมม่ ีสุข เป็นอาพาธ เปน็ ของผอู้ น่ื เปน็ ของชารุด ว่างเปลา่ เป็นอนัตตา เธอยอ่ มยงั จิตให้

ตัง้ อยดู่ ว้ ยธรรมเหลา่ นั้น ครั้นแล้ว เธอยอ่ มโน้มจติ ไปเพอื่ อมตธาตุวา่ น่นั สงบ น่ันประณตี คือ

ธรรมเปน็ ทส่ี งบแห่งสงั ขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธทิ ้งั ปวงความส้นิ ตัณหาความคลายกาหนดั

ความดับ นพิ พาน เธอตั้งอยู่ในปฐมฌานนัน้ ย่อมถึงความสิน้ ไปแห่งอาสวะทัง้ หลาย ถา้ ยงั ไม่ถึง

ความสิ้นไปแหง่ อาสวะท้งั หลาย เธอยอ่ มเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนน้ั มอี ันไมก่ ลับ

จากโลกนน้ั เป็นธรรมดาเพราะโอรัมภาคิยสัญโญชน๕์ สิ้นไปดว้ ยความยนิ ดเี พลิดเพลนิ ในธรรม

น้นั ๆ

ดูกรภกิ ษุทัง้ หลายเปรียบเหมอื นนายขมังธนู หรอื ลูกมือของนายขมังธนู เพยี รยิงรูปหุ่นที่

ทาดว้ ยหญ้าหรอื กองก้อนดิน ตอ่ มาเขาเป็นผยู้ งิ ไดไ้ กลยงิ ไมพ่ ลาด และทาลายรา่ งใหญๆ่ ได้แม้

ฉนั ใด ดูกรภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษุกฉ็ นั น้ันเหมอื นกันแลสงดั จากกาม ฯลฯบรรลุปฐมฌาน เธอย่อม

พจิ ารณาเห็นธรรมทง้ั หลาย คือ รปู เวทนา สัญญาสังขาร วญิ ญาณ อันมีอยู่ในขณะแหง่ ปฐมฌาน

นนั้ โดยความเปน็ ของไม่เทีย่ ง เปน็ ทุกข์ วา่ งเปล่าเปน็ อนตั ตา เธอยอ่ มยงั จิตใหต้ ้ังอยู่ดว้ ยธรรม

เหลา่ น้ัน คร้นั แล้วย่อมน้อมจติ ไปเพอ่ื อมตะธาตวุ ่า นน่ั สงบ นนั่ ประณตี คอื ธรรมเป็นท่ีสงบ

แห่งสงั ขารทั้งปวง นิพพาน เธอตงั้ อย่ใู นปฐมฌานนนั้ ยอ่ มถงึ ความสิ้นไปแห่งอาสวะทง้ั หลาย

ถ้ายังไม่ถึงความสนิ้ ไปแห่งอาสวะท้งั หลาย เธอยอ่ มเป็นอุปปาติกะ จกั ปรินิพพานในภพนนั้ มี

อันไมก่ ลบั จากโลกนนั้ เป็นธรรมดาเพราะโอรัมภาคยิ สังโยชน์๕สนิ้ ไป ด้วยความยนิ ดี

เพลิดเพลนิ ในธรรมนนั้ ๆ ขอ้ ที่เรากล่าวว่า

๘๓

ดูกรภิกษุท้ังหลาย เรากลา่ วความสิ้นไปแห่งอาสวะท้งั หลายเพราะอาศยั ปฐมฌานบา้ ง
ดงั นี้น้นั เราอาศยั ขอ้ น้กี ล่าวแล้ว ฯกข็ ้อทีเ่ รากล่าววา่ ดูกรภิกษุท้งั หลาย เรากล่าวความสิ้นไปแหง่
อาสวะท้ังหลาย เพราะอาศัยทุตยิ ฌานบา้ ง ฯลฯ เพราะอาศยั ตติยฌานบ้าง ฯลฯ เพราะอาศยั จตตุ ถ
ฌานบ้าง ดังน้นี น้ั เราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ดูกรภิกษทุ งั้ หลาย ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ัยนี้ บรรลุจตุตถ
ฌาน ไมม่ ีทุกขไ์ มม่ ีสขุ เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มอี เุ บกขาเปน็ เหตุ
ใหส้ ติบริสุทธ์อิ ยู่ เธอยอ่ มพิจารณาเหน็ ธรรมท้งั หลาย คอื รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ
อนั มีอยใู่ นขณะแห่งจตุตถฌานนนั้ โดยความเป็นของไมเ่ ท่ียง เปน็ ทุกข์ ... ว่างเปลา่ เปน็ อนตั ตา
เธอย่อมยังจิตให้ตงั้ อยดู่ ว้ ยธรรมเหลา่ นั้น ครั้นแลว้ ยอ่ มนอ้ มจิตไปเพ่อื อมตะธาตุว่า นั่นสงบ นั่น
ประณตี คือ ธรรมเป็นที่สงบแห่งสงั ขารท้ังปวง ...นิพพาน เธอตั้งอยู่ในจตุตถฌานน้ัน ย่อมถงึ
ความส้ินไปแห่งอาสวะท้ังหลาย ถา้ ยังไมถ่ ึงความสน้ิ ไปแหง่ อาสวะทัง้ หลาย เธอยอ่ มเปน็ อปุ ปา
ติกะ จกั ปรินพิ พานในภพนัน้ มีอันไมก่ ลบั จากโลกนั้นเปน็ ธรรมดา เพราะโอรมั ภาคิยสญั โญชน์
๕ สน้ิ ไปด้วยความยนิ ดเี พลิดเพลินในธรรมนั้นๆ ดูกรภกิ ษุท้งั หลาย เปรียบเหมือนนายขมังธนู
หรอื ลูกมือของนายขมังธนู เพียรยิงธนูไปยังรปู หุ่นท่ที าดว้ ยหญ้าหรอื กองดิน ตอ่ มาเขาเป็นผู้ยงิ
ได้ไกลยงิ ไม่พลาด และทาลายร่างใหญๆ่ ได้ แม้ฉนั ใด ดูกรภกิ ษุทั้งหลาย ภกิ ษกุ ็ฉนั นนั้
เหมอื นกนั แลบรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ เธอย่อมพิจารณาเหน็ ธรรมท้งั หลาย คือ รูป เวทนา ฯลฯ มี
อนั ไมก่ ลับมาจากโลกนัน้ เปน็ ธรรมดา ขอ้ ท่เี รากล่าววา่ ดกู รภิกษทุ ง้ั หลาย เรากลา่ วความสน้ิ ไป
แหง่ อาสวะทง้ั หลาย เพราะอาศยั จตตุ ถฌานบา้ ง ดังนี้นนั้ เราอาศยั ข้อนกี้ ล่าวแลว้ ฯ

คาอาราธนาอนสุ สติ
ข้าฯขอภาวนา พระธมั มานุสสติเจา้ เพือ่ จะขอเอายงั อปุ จารสมาธิในห้องธรรมานสุ สติเจ้า
นี้จงได้ ขอพระพทุ ธเจา้ จงมาเป็นทีพ่ ่งึ แกข่ ้าฯน้เี ถิด ฯลฯ ขอพระกรรมฐานเจา้ ทั้งมวลจงมาเปน็ ที่
พ่ึงแก่ขา้ ฯน้เี ถิด
อุกาสะ ในทน่ี ี้เล่า ข้าฯจะขอปฏบิ ัติบชู าตามคาสัง่ สอนของพระสัพพญั ญโู คดมเจ้า ขอเอา
ธมั มานุสสตเิ จา้ เพ่ือจะเอายังอปุ จารสมาธิในห้อง ธัมมานสุ สตเิ จา้ น้จี งได้ ขอจงเจา้ กมู าบังเกดิ
ปรากฏอยู่ใน จักขทุ วาร มโนทวาร กายทวาร แห่งข้าในขณะเม่อื ขา้ ฯนง่ั ภาวนาอยู่นีเ้ ถดิ

อิตปิ ิโส ฯลฯ ภควาติ สมมฺ าอรห ๓ ที อรห ๓ ที

๘๔

การเจริญอนุสสตติ ่างๆ
ธมั มานสุ สติ

โดยระลกึ ว่า ธรรมของพระผ้มู ีพระภาคเจา้ งามในเบ้อื งต้น งามในทา่ มกลาง งามใน
เบ้อื งปลาย พรอ้ มดว้ ยอรรถ และ พยัญชนะ เพราะเปน็ ธรรมท่ีบคุ คลพงึ เห็นเอง ไม่กาหนดกาล
โดยการกาหนด ควรเรยี กให้มาดู ทา่ นจงดูธรรมน้ี ควรนอ้ มนาเข้าไปในจติ ของตน, ของตนให้มี
ขึ้น พงึ รวู้ ่ามรรคเราเจรญิ แล้ว ผลเราบรรลุแลว้ ทาให้แจง้ ในนโิ รธ ซง่ึ นิพพานแล ฯ

สงั ฆานสุ สติ
โดยระลึกวา่ พระสงฆป์ ฏิบัติตามคาส่งั สอนของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ปฏบิ ัตดิ ปี ฏิบตั ิชอบ
ปฏิบัติตรง มีปฏิปทาดีงาม ควรแกก่ ารกราบไหวใ้ นบคุ คลแปดจาพวก ส่คี ู่คอื โสดาปัตติมรรค
โสดาปัตติผล สกทาคามมิ รรค สกทาคามิผล อนาคามมิ รรค อนาคามผิ ล อรหตั มรรค อรหัตผล
บุคคลแปดจาพวก สคี่ ู่น้ี เปน็ ผคู้ วรรบั ของอนั เขานามาบูชา เป็นผู้ควรแก่การสกั การะ เปน็ ผคู้ วร
ซึง่ ทกั ษิณาทาน เป็นผูค้ วรกระทาอญั ชลีกราบไหว้ เป็นเนอื้ นาบุญของชาวโลก ไมม่ นี าบญุ อื่นยิ่ง
กว่า ฯ

๘๕

สีลานสุ สติ
ระลกึ โดยการพจิ ารณาว่า ศลี ทงั้ หลายของเราไมข่ าด ไม่ดา่ ง ไม่ทะลุ ไม่พรอ้ ย ผู้รู้
สรรเสริญ มพี ระพุทธเจ้าเป็นต้น เมอื่ พระโยคาวจรระลกึ ถึงศลี ท้ังหลายของตน ไมข่ าด ไม่ดา่ ง
ไมท่ ะลุ ไม่พร้อย เมอื่ น้ันจิตไมม่ ีราคะ กลมุ้ รมุ จิตย่อมเกิดปราโมทย์ มีปตี ิ สงบเป็นสขุ ตง้ั มน่ั
เปน็ สมาธิ ฯ

จาคานสุ สติ
เมอ่ื จะเจริญจาคานสุ สตนิ ัน้ ตอ้ งเปน็ ผู้มีจิตน้อมไปในจาคะ คอื การบรจิ าค มกี าร
แบ่งปันอยู่เป็นนิตย์ โดยเร่มิ สมาทานวา่ ต้ังแตบ่ ดั นไ้ี ป เมื่อผู้รบั ทานมีอยู่ ถา้ เรายงั มิได้ใหท้ าน
โดยแม้ขา้ วสักคาหนึ่งแลว้ จะไมบ่ ริโภค เมอื่ ระลกึ การบริจาคของตนแลว้ ใจก็ปราศจากความ
ตระหน่ี ยนิ ดใี นการเสียสละ พอใจในการให้ หากผู้ใหห้ มดอายุแล้ว ย่อมได้อายุทิพย์ และ ย่อม
เปน็ ท่ีรักของมนษุ ย์ทงั้ หลาย ฯ

เทวตานุสสติ
ผู้เจริญเทวตานสุ สติ ต้องเป็นผมู้ ศี รัทธา ตั้งเทวดาไว้ในฐานแหง่ พยาน ระลึกถงึ คุณ
ศรัทธาของตนอยา่ งนว้ี ่า เทวดาเหลา่ จาตุมมหาราชิกามอี ยู่ เทวดาเหล่าดาวดึงสม์ อี ยู่ เทวดาเหล่า
ยามามีอยู่ เทวดาเหล่าดุสิตมอี ยู่ เทวดาเหลา่ นิมมานรดีมอี ยู่ เทวดาเหลา่ ปรนมิ มิตวัสวตั ดมี ีอยู่
เทวดาจาพวกพรหมก็มี เทวดาเหล่านั้นประกอบไปด้วยศรทั ธาอย่างใด จุติในภพนี้แล้วเกดิ ใน
ภพนัน้ แมศ้ รัทธาอย่างน้ันของเราก็มี ดังน้ี

มรณนุสสติ
โดยระลึกถงึ ความตายวา่ ความตายนีย้ ่อมมีเพราะส้ินบุญบ้าง เพราะสิ้นอายุบ้าง เพราะ
ส้นิ ทงั้ สองอยา่ งบ้าง ความตายย่อมมีแกบ่ คุ คลท้ังหลาย วนั -คนื ล่วงไป ชวี ิตกด็ ับไป อายุกส็ ้ินไป
แม้พระพทุ ธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก ราชามหากษตั ริย์กย็ ังไม่พน้ จากความตาย
แมแ้ ตต่ วั เรา เมือ่ พระโยคาวจรพจิ ารณาความตายจนไดอ้ ารมณ์เตม็ ทถ่ี งึ ที่ จติ ยอ่ มขม่ นิวรณธรรม
ได้ เพราะเกดิ ข้ึนดว้ ยกาลงั แห่งการระลกึ ถึงความตาย ฯ

อปุ สมานุสสติ
โดยการระลึกถึง การระงบั กาย การระงับจิต ความดับ คอื พระนพิ พาน หมายเอาพระ
นิพพาน อุปสมานสุ สตนิ ี้ ยอ่ มสาเรจ็ แกพ่ ระอริยสาวกเทา่ นน้ั ถงึ กระน้นั แม้ปุถชุ นผู้หนักใน
อุปสมะกค็ วรใส่ใจด้วย เพราะการฟังกายจติ กส็ งบ จติ กเ็ ลื่อมใสในอุปสมะได้ ฯ

๘๖

คาภาวนาในห้องอนุสสติ

๑.ธมั มานุสสติ แจ้งเห็นรา่ งตนเองทั้งขา้ งนอก ข้างใน (ธมั โม)

๒.สังฆานุสสติ อยแู่ กเ่ สยี งทัง้ หลาย ไม่ไดย้ นิ ไม่รู้วา่ หายใจ(สงั โฆ)

๓.สลี านสุ สติ แจ้งนัง่ สบายเหมอื นตอ้ งลมร้วิ ๆ (สีโล)

๔.จาคานสุ สติ สูงขน้ึ ช่มุ ช่ืนกายเบา (จาโค)

๕.เทวตานุสสติ เหน็ เทวดา สวรรค์ทกุ ชั้น (สัทธา)

๖.มรณสติ สญู เปลา่ ส้นิ (มรณัง)

๗.อปุ สมานุสสติ เหน็ พระนฤพาน (นิโรโธ)

อนสุ สติ เพอื่ ประโยชน์แกก่ ารทาจิตใหห้ มดจด วสิ ุทธิ ดว้ ยอานาจ

แหง่ อนุสสติ

อนุสสติ

กระแสธรรมของ พระโสดาบัน

ดูกรภกิ ษุท้ังหลาย อนุสสตฐิ านะ ๖ ประการนี้ ๖ ประการเปน็ ไฉน คอื พุทธานุสสติ ๑

ธรรมานสุ สติ ๑ สังฆานสุ สติ ๑ สลี านสุ สติ ๑จาคานุสสติ ๑ เทวตานุสสติ ๑ดกู รภกิ ษุท้ังหลาย

อนสุ สติฐานะ ๖ ประการนี้

ดกู รมหานามะ อรยิ ะสาวกผไู้ ด้บรรลุผลทราบชดั พระศาสนาแลว้ ย่อมอยดู่ ้วยวิหาร

ธรรมนเ้ี ปน็ สว่ นมาก คอื อริยะสาวกในพระศาสนานี้ ย่อมระลกึ ถึงพระตถาคตเนืองๆ วา่ แม้

เพราะเหตุนีๆ้ พระผู้มพี ระภาคพระองค์น้ัน เป็นพระอรหนั ต์ ตรัสรูเ้ องโดยชอบ ทรงถึงพร้อม

ด้วยวิชชาและจรณะ เสดจ็ ไปดีแลว้ ทรงร้แู จ้งโลก เปน็ สารถีฝึกบรุ ษุ ที่ควรฝกึ ไม่มผี ู้อ่นื ย่ิงกว่า

เป็นศาสดาของเทวดาและมนษุ ย์ท้ังหลาย เปน็ ผเู้ บิกบานแล้ว เป็นผูจ้ าแนกธรรม ดูกรมหานามะ

สมัยใด อริยะสาวกยอ่ มระลึกถึงพระตถาคตเนืองๆ

สมัยนั้น จิตของอริยะสาวกน้ัน ย่อมไมถ่ ูกราคะกลุ้มรุม ไมถ่ กู โทสะกลมุ้ รมุ ไมถ่ ูกโมหะ

กลุ้มรุม ย่อมเปน็ จติ ดาเนนิ ไปตรงทเี ดียว ก็อริยะสาวกผมู้ จี ิตดาเนนิ ไปตรงเพราะปรารภพระ

ตถาคตยอ่ มไดค้ วามซาบซง้ึ อรรถ ยอ่ มได้ความซาบซง้ึ ธรรมยอ่ มได้ความปราโมทยอ์ นั

ประกอบดว้ ยธรรม เมอ่ื ปราโมทย์ เกดิ แลว้ ยอ่ มเกิดปตี ิ กายยอ่ มสงบ ผ้มู ีกายสงบแล้วยอ่ มเสวย

สขุ เม่อื มีสุขจติ ยอ่ มตงั้ มนั่

๘๗

ดูกรมหานามะ น้อี าตมภาพกล่าววา่ อรยิ ะสาวกเปน็ ผู้ถึงความสงบเรยี บร้อยอยใู่ นเมือ่ หมู่
สตั ว์ยงั ไมส่ งบเรียบร้อย เป็นผไู้ มม่ ีความพยาบาทอยู่ ในเมอ่ื หมู่สตั วย์ งั มีความพยาบาทเป็นผถู้ งึ
พรอ้ มกระแสธรรม ย่อมเจริญ พทุ ธานุสสติ ฯ

ดูกรมหานามะ อกี ประการหน่งึ อรยิ ะสาวกยอ่ มระลกึ ถึงพระธรรมเนอื งๆวา่ พระธรรม
อนั พระผู้มีพระภาคตรัสดแี ล้ว อนั ผู้บรรลุจะพงึ เห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรยี กใหด้ ูควร
นอ้ มเขา้ มา อนั วญิ ญูชนจะพึงรเู้ ฉพาะตน ดกู รมหานามะ สมยั ใด อริยะสาวกย่อมระลึกถึงพระ
ธรรมเนืองๆ สมยั นั้น จิตของอริยะสาวกนน้ั ยอ่ มไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ก็อรยิ ะสาวกผู้มจี ิต
ดาเนินไปตรงเพราะปรารภพระธรรม ย่อมไดค้ วามซาบซ้งึ อรรถ ... เปน็ ผถู้ งึ พร้อมกระแสธรรม
ย่อมเจริญธรรมานสุ สติ

ดกู รมหานามะ อกี ประการหนง่ึ อริยะสาวกย่อมระลึกถึงพระสงฆเ์ นืองๆว่า พระสงฆ์
สาวกของพระผมู้ ีพระภาค เปน็ ผปู้ ฏบิ ัติดีแล้ว เป็นผูป้ ฏิบัติตรงแลว้ เปน็ ผปู้ ฏิบตั ิเพ่ือญายะธรรม
เปน็ ผปู้ ฏบิ ตั ิชอบ นคี้ ือคู่บรุ ษุ ๔ บุรษุ บุคคล ๘ นนั่ คือสงฆส์ าวกของพระผูม้ พี ระภาค เป็นผ้คู วร
ของคานบั ควรของต้อนรับ ควรของทาบุญ ควรกระทาอญั ชลี เปน็ นาบุญของโลก ไม่มนี าบุญ
อนื่ ยิง่ ไปกวา่ สมัยใด อรยิ ะสาวกยอ่ มระลกึ ถึงพระสงฆ์เนอื งๆ สมัยนั้น จิตของอรยิ ะสาวกนั้น
ยอ่ มไมถ่ ูกราคะกลุม้ รมุ กอ็ ริยะสาวกผมู้ ีจติ ดาเนินไปตรงเพราะปรารภพระสงฆย์ อ่ มไดค้ วาม
ซาบซง้ึ อรรถ ... เป็นผถู้ งึ พร้อมกระแสธรรม ย่อมเจรญิ สังฆานุสสติ ฯ

ดกู รมหานามะ อกี ประการหน่ึง อริยะสาวกยอ่ มระลกึ ถงึ ศีลของตนเนอื งๆทไ่ี มข่ าดไม่
ทะลุ ไม่ด่าง ไมพ่ ร้อย เป็นไทย อนั วญิ ญูชนสรรเสริญ อนั ตณั หาทฐิ ิไม่ยดึ ถือ เปน็ ไปพรอ้ มเพ่อื
สมาธิ ดูกรมหานามะ สมัยใด อรยิ ะสาวกย่อมระลึกถงึ ศีลของตนเนืองๆ สมยั น้นั จติ ของอริยะ
สาวกน้นั ยอ่ มไมถ่ กู ราคะกล้มุ รุม... กอ็ ริยะสาวกผู้มีจิตดาเนินไปตรงเพราะปรารภศีล ...ย่อมได้
ความซาบซ้ึงอรรถ ...เปน็ ผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญสีลานสุ สติ

ดูกรมหานามะ อกี ประการหนึ่ง อริยะสาวกยอ่ มระลกึ ถงึ การบริจาคของตนเนืองๆ วา่
เปน็ ลาภของเราหนอ เราได้ดีแลว้ หนอ คือ เม่อื หมสู่ ัตว์ถกู มลทินคอื ความตระหนก่ี ลุ้มรุม เรามี
ใจปราศจากมลทินคอื ความตระหนอ่ี ยคู่ รองเรือนเป็นผู้มีจาคะอันปลอ่ ยแลว้ มฝี า่ มืออันชมุ่ (คอย
หยิบของบรจิ าค) ยนิ ดใี นการเสยี สละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจาแนกทาน ดูกรมหานามะ
สมยั ใด อรยิ ะสาวกยอ่ มระลกึ ถงึ การบริจาคเนืองๆ สมยั นน้ั จติ ของอรยิ ะสาวกนน้ั ยอ่ มไมถ่ กู
ราคะกลุ้มรมุ ... ก็อรยิ ะสาวกผ้มู จี ติ ดาเนินไปตรงเพราะปรารภจาคะ ย่อมได้ความซาบซ้ึงอรรถ
... เปน็ ผถู้ ึงพรอ้ มกระแสธรรม ยอ่ มเจริญจาคานุสสติ ฯ

๘๘

ดกู รมหานามะ อกี ประการหนึง่ อริยะสาวกย่อมเจริญเทวตานุสสติ (ความระลกึ ถงึ เทวดา
เนืองๆ) ว่า เทวดาเหลา่ จาตมุ หาราชมอี ยู่ เทวดาเหล่าดาวดงึ ส์มอี ยู่ เทวดาเหล่ายามามอี ยู่เทวดา
เหล่าดสุ ิตมีอยู่ เทวดาเหลา่ นมิ มานรดมี อี ยูเ่ ทวดาเหล่าปรนมิ มติ วสวัสดมี อี ยู่ เทวดาเหล่าพรหม
กายิกามอี ยู่ เทวดาที่สูงกว่าเหลา่ พรหมน้นั มอี ยู่ เทวดาเหลา่ น้ันประกอบด้วยศรัทธาเชน่ ใดจตุ ิจาก
โลกนแี้ ลว้ อุบัตใิ นเทวดาชั้นนั้น

ศรทั ธาเชน่ นั้นแมข้ องเราก็มอี ยู่ เทวดาเหล่านน้ั ประกอบดว้ ยศลี เช่นใด จตุ ิจากโลกนีแ้ ลว้
อุบัตใิ นเทวดาชั้นนั้น ศลี เช่นนัน้ แมข้ องเรากม็ ีอยู่ เทวดาเหลา่ นน้ั ประกอบด้วยสุตะเชน่ ใด จุติ
จากโลกนี้แล้ว อุบตั ใิ นเทวดาชนั้ นั้นสุตะเชน่ น้นั แม้ของเราก็มอี ยู่ เทวดาเหล่านัน้ ประกอบดว้ ย
จาคะเชน่ ใด จุตจิ ากโลกน้ีแล้ว อุบตั ใิ นเทวดาชน้ั น้ัน จาคะเชน่ นน้ั แมข้ องเรากม็ อี ยู่ เทวดา
เหล่านั้นประกอบด้วยปัญญาเช่นใด จตุ จิ ากโลกน้แี ลว้ อุบตั ิในเทวดาชน้ั นน้ั ปัญญาเช่นนั้นแม้
ของเรากม็ อี ยู่

ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยะสาวกย่อมระลึกถงึ ศรัทธา ศีลสุตะ จาคะ และปญั ญา ของ
ตนและของเทวดาเหล่าน้นั เนอื งๆ สมัยน้นั จิตของอริยะสาวกนนั้ ย่อมไม่ถูกราคะกลุม้ รมุ ย่อม
ไมถ่ ูกโทสะกล้มุ รุม ย่อมไมถ่ ูกโมหะกลมุ้ รมุ ย่อมเป็นจติ ดาเนินไปตรงทีเดียว ก็อริยะสาวกผูม้ ีจิต
ดาเนนิ ไปตรงเพราะปรารภเทวดา ยอ่ มไดค้ วามซาบซ้ึงอรรถ ยอ่ มไดค้ วามซาบซ้ึงธรรม ย่อมได้
ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม เมอ่ื ได้ความปราโมทยแ์ ลว้ ยอ่ มเกิดปีติเม่อื มใี จ
ประกอบด้วยปีติ กายย่อมสงบ ผมู้ ีกายสงบแล้วยอ่ มเสวยสุข เม่ือมสี ขุ จติ ยอ่ มต้งั ม่ัน

นีต้ ถาคตกล่าววา่ อรยิ ะสาวกเปน็ ผู้ถึงความสงบเรยี บร้อยอยู่ ในเม่ือหมู่สตั วไ์ มส่ งบ
เรยี บร้อย เป็นผูไ้ ม่มีความพยาบาทอยู่ ในเมื่อหมู่สตั วย์ ังมคี วามพยาบาทกันอยู่ เปน็ ผู้ถงึ พรอ้ ม
ด้วยกระแสธรรม ยอ่ มเจริญเทวตานุสสติ อรยิ ะสาวกผู้ได้บรรลผุ ล ทราบชดั พระศาสนาแลว้
ยอ่ มอยดู่ ้วยวหิ ารธรรมนเ้ี ปน็ ส่วนมาก

ภิกษุเจริญพทุ ธานสุ สติ เจริญธัมมานุสสติ เจรญิ สังฆานุสสติ เจริญสลี านุสสติ เจริญ
จาคานุสสติ เจริญเทวตานุสสติ เจรญิ มรณสติ เจริญอุปสมานุสสติ อันสหรคตด้วย
ปฐมฌาน อนั สหรคตดว้ ยทุติยฌาน อันlหรคตด้วยตตยิ ฌาน อันสหรคตด้วยจตตุ ถฌาน แมช้ ่ัว
กาลเพยี งลัดนวิ้ มอื ภกิ ษุนีเ้ รากล่าวว่า อยู่ไมเ่ หินหา่ งจากฌาน ทาตามคาสอนของพระศาสดา
ปฏบิ ตั ิตามพระโอวาท ไม่ฉันอาหารบณิ ฑบาต ของชาวแว่นแคว้นเปลา่

(จบอนุสสติ)

๘๙

อัปปมัญญา พรหมวหิ าร 4
ดูกร ราหุล เธอจงเจรญิ เมตตาภาวนาเถดิ เพราะเม่ือเธอเจริญเมตตาภาวนาอยู่
จักละพยาบาทได้
ดูกร ราหุล เธอจงเจริญกรุณาภาวนาเถิด เพราะเมือ่ เธอเจริญกรุณาภาวนาอยู่
จกั ละวหิ ิงสาได้
ดกู ร ราหุล เธอจงเจริญมุทิตาภาวนาเถดิ เพราะเมื่อเธอเจรญิ มุทิตาภาวนาอยู่
จักละอรติได้
ดกู ร ราหุล เธอจงเจริญอเุ บกขาภาวนาเถิด เพราะเมอ่ื เธอเจรญิ อุเบกขาภาวนา
อยู่ จักละ ปฎิฆะได้
พรหมวหิ าร ๔ คอื เมตตา (ขาว) กรุณา (แดง) มทุ ติ า (เหลือง) อเุ บกขา (เขียว)
เมตตา คอื ความอยากใหผ้ ้อู น่ื มสี ุข ความไม่เบยี ดเบยี น ความเปน็ มติ ร ความ
เปน็ เพอ่ื น ความรกั คือ ความรักที่ปราศจากราคะ

บคุ คลทเ่ี ปน็ โทษแหง่ เมตตา
๑.บุคคลทเ่ี กลียดกัน ตั้งอยใู่ นฐานแหง่ คนรกั กันยอ่ มลาบาก
๒.บคุ คลทเ่ี ปน็ สหายรกั กันมาก ตั้งไว้ในฐานแหง่ คนกลาง ๆ ย่อมลาบาก เม่ือทุกข์
เกิดขึน้ แกเ่ ขาจนถึงกับร้องไหไ้ ด้
๓.บุคคลที่เปน็ กลาง ๆ กัน ต้ังอยู่ในฐานแห่งคนรกั ย่อมลาบาก
๔.บุคคลท่ีเป็นศัตรูกัน ความโกรธย่อมเกดิ ขน้ึ เหตุน้นั ไมค่ วรเจริญ ในบุคคล ๔
ประเภทข้างต้นในบคุ คลทีเ่ ป็นข้าศึกกนั มเี พศเป็นขา้ ศึกกัน เพศตรงขา้ ม เม่อื เจรญิ เจาะจง ถึง
เพศมเี ป็นข้าศกึ ต่อกนั ความกาหนดั ยอ่ มเกดิ ขนึ้ ในคนทท่ี ากาลกิริยา ตายแล้ว ไม่ควรเจริญด้วย
ทีเดียว เม่อื เจรญิ ไปจิตกไ็ มถ่ งึ อปั ปนาสมาธไิ ม่ถึงอปุ จารได้เลย เพราะเมตตามีสัตวท์ ั้งหลายเปน็
อารมณ์

ควรเจรญิ เมตตาในตนเองก่อน
ควรเจริญเมตตาใหต้ นเองบ่อย ๆ อยา่ งน้วี า่ ขอเราจงเป็นผ้ถู ึงความสุขไมม่ ีทุกขเ์ ถดิ เปน็
ต้น เพื่อเปน็ พยานวา่ ไมม่ ีใครรักผู้อืน่ นอกจากตนเอง หรือย่ิงกวา่ ตนเอง ฉนั ใด แม้คนอื่นก็รัก
ตนเองมากฉันนั้น ดังน้ัน จงึ ไม่ควรเบยี ดเบยี นผอู้ ่นื เมอื่ ใจเรามสี ขุ แลว้ ก็แผค่ วามสขุ ให้แกผ่ ู้อื่น
ดว้ ยใจ

๙๐

การแผเ่ มตตาให้กบั คนอ่นื หรือสตั ว์อ่ืน
เมื่อเจริญเมตตาในตนจนจิตมีความสุขแล้ว จึงแผ่ให้กับผู้อ่ืนหรือสัตว์อ่ืน แผ่ให้ผู้อื่น
แบ่งออกเป็น ๒ อย่าง แผ่เจาะจง อย่างหนึ่ง เช่น ขอเทพทั้งหลายท้ังปวงจนไม่มีเวรมีภัย มีสุข
เถิด การแผ่แบบไม่เจาะจง คือ ไม่จากัดสัตว์ประเภทไหน เช่น ขอสัตว์ท้ังหลายทั้งปวงจงเป็นผู้
ไม่มีเวร ไมม่ คี วามบีบค้นั ไม่มีทกุ ข์ มคี วามสขุ รักษาตนอยู่เถดิ

การสอนตนเองเม่ือเกิดความโกรธ
เมื่อมีความโกรธขึน้ และต้องการ บรรเทา ความโกรธให้ได้นัน้ เม่ือพยายามไปความ
โกรธยังไม่ดับ ก็ให้ระลึกถึงพระพุทโธวาททั้งหลายของพระพทุ ธเจ้า ที่พระองค์ทรงตรสั ไว้
เชน่ ดกู ่อนภิกษุท้ังหลาย แม้หากวา่ พวกโจรป่า จับตัวตัดองคอ์ วัยวะดว้ ยการเล้อื ยด้วยเลอื้ ยกต็ าม
หากผใู้ ดยังมีจติ ใจคดิ ร้ายในพวกโจรนัน้ ผนู้ ้นั ก็หาได้ชื่อวา่ ทาตามคาสอนของเราไม่ อกี อย่าง
หนง่ึ ให้ระลกึ ถึงความดขี องเขา เราโกรธแลว้ ย่อมทาทกุ ขใ์ หแ้ ก่ตวั เอง ให้พิจารณาวา่ เรา และ
ผู้อนื่ มกี รรมเปน็ ของ ๆ ตนเอง ให้พิจารณาความอดทน อดกลัน้ ของพระบรมศาสดาในชาติกอ่ น
ครั้งเป็นพระโพธสิ ตั วถ์ กู ทาร้ายกไ็ มแ่ สดงความโกรธ ให้พิจารณา อานิสงส์ เมตตาทภี่ กิ ษุทาให้
มาก เจรญิ ให้มาก ยอ่ มไดอ้ านสิ งส์ ๑๑ ประการ เช่น หลับเปน็ สุข ต่นื เป็นสขุ เทวดารักษา เป็น
ตน้ หรือทาการแยกธาตวุ ่า เราโกรธอะไร โกรธเล็บ โกรธฟนั หรือ ดังนี้ ประการสดุ ทา้ ยให้ทา
ทาน โดยให้ของของตนแกศ่ ัตรู เมอ่ื ทาอยา่ งน้นั ความโกรธของตนย่อมระงับ

การแผเ่ มตตารวมแดน
การแผ่เมตตารวมแดน (สีมสมั เภท) คอื การทาเมตตาใหม้ ีขึ้นบ่อย ๆ ทาให้เนื่อง ๆ ทาให้
มาก จนจติ ของเราเสมอในชนท้ัง ๔ จาพวก คือ
๑. ในตนเอง ๒. ในบคุ คลท่ีรกั ๓. ในคนกลาง ๆ ๔. ในคนเปน็ ศัตรูกัน
เม่ือใดชนท้ัง ๔ อัน ภิกษทุ าจติ เสมอ รวมเข้าดว้ ยกนั แล้ว แผไ่ ปยงั สัตวโ์ ลกทัง้ ปวง กับ
ทง้ั เทวดาด้วยเสมอกันหมด เม่ือน้ันเธอเปน็ ผมู้ เี มตตาไม่ปรากฏแดน ช่ือวา่ เปน็ ผูย้ ง่ิ ใหญ่ใน
เมตตาภาวนา เมตตาเจโตวมิ ุตติ เป็นทางออกไปแห่งพยาบาท

คาอาราธนาในบทเมตตาพรหมวิหาร
ขา้ ฯจะขอภาวนา เมตตาพรหมวิหารเจา้ เพอื่ ขอเอาอุปจารสมาธิ (อัปปนาสมาธิ) ใน
ห้องเมตตาพรหมวหิ ารเจ้าน้จี งได้

๙๑

ขอพระพทุ ธเจา้ จงมาเป็นท่ีพ่ึงแกข่ า้ ฯน้เี ถดิ ขอพระธรรมเจ้าท้ังมวลจงมาเปน็ ทพ่ี ่งึ แก่ข้าฯ

นเ้ี ถิด ขอพระอริยะสงฆ์เจ้าตง้ั แรกแตพ่ ระมหาอัญญาโกญฑัญญะเถรเจ้าโพ้นมา ตราบเท่าถึง

พระสงฆส์ มมตุ ตใิ นกาลบดั นี้ จงมาเปน็ ทพี่ ่งึ แกข่ า้ นีเ้ ถิด

ขอพระอริยะสงฆ์เจา้ องคต์ น้ อันสอนพระกรรมฐานเจา้ ทง้ั มวล จงมาเป็นท่ีพึ่งแก่ขา้ ฯนี้

เถิด ขอพระกรรมฐานเจ้าทง้ั มวล จงมาเป็นทพี่ ่ึงแก่ขา้ ฯนเี้ ถดิ

อกุ าสะในทน่ี เ้ี ลา่ ข้าฯจะขอเชญิ ปฏบิ ัตบิ ูชาตามคาสั่งสอนของพระสพั พญั ญูโคดมเจ้า

เพ่ือจะขอเอายงั อปุ จารสมาธิ (อัปปนาสมาธิ) ในห้องเมตตาพรหมวหิ ารเจ้านี้จงได้ ขอจงเจา้ กูมา

บังเกดิ ปรากฏอยใู่ นจักขทุ วาร มโนทวาร กายทวาร แห่งขา้ ฯ ในขณะเมอื่ ข้าฯน่งั ภาวนาอยนู่ ี้

เถดิ

อติ ปิ โิ ส ภะคะวา อะระหงั สมั มา สัมพุทโธ วิชชาจรณะ สัมปันโน สุคคะโต โลกะ

วทิ ู อนุ ตตะโร ปุรสิ ะทัมสาระถิ สตั ถา เทวมะนุสสานงั พุทโธ ภะคะวาติ

สัมมาอะระหงั สมั มาอะระหัง สัมมาอะระหัง

อะระหัง อะระหัง อะระหงั

ในห้องเมตตาพรหมวหิ ารนี้ แผเ่ มตตาใหก้ บั ตนเองมีทง้ั หมด ๗ บท ให้อาราธนานัง่ ๒

คร้ัง คอื บทละ ๒ ครั้ง คอื อปุ จารสมาธิ คร้ังหนงึ่ อัปปนาสมาธิ ครง้ั หนงึ่ รวม ๗ บท เปน็

๑๔ ครัง้ ให้เอาสตั วท์ ้งั หลายเปน็ อารมณ์

บทภาวนาแผเ่ มตตาในตน

๑.อห สขุ ิโต โหมิ ขอเราจงเป็นผู้มีสขุ

๒.อห อเวโร โหมิ ขอเราจงเปน็ ผ้ไู มม่ เี วร

๓.อห อพฺยาปชโฺ ฌ โหมิ ขอเราจงเปน็ ผ้ไู มม่ ี

ความเบยี ดเบียน

๔.อห อนีโฆ โหมิ ขอเราจงเปน็ ผู้ไม่มคี วาม

คับแค้นใจ

๕.สขุ ี อตฺตาน ปริหรามิ ของเราจงเป็นผมู้ ีสุขรักษาตนดี

๖.อตตฺ สุขฺขี ขอตวั เราจงมีความสขุ

๗.สุขี ขอเราจงเปน็ ผมู้ ีสุข

จบแผ่เมตตาในตน

๙๒

แผ่ออกทศิ เมตตาพรหมวิหาร ทิสาผะระณา ๑๐ ทศิ
เม่อื ภกิ ษุเจรญิ เมตตา จนไดอ้ ปุ จารสมาธิ และทาให้มากซึ่งนิมติ นน้ั แล กจ็ ะบรรลอุ ัปป
นาสมาธิดว้ ย ภาวนานโุ ยคเพยี งนี้ ปฐมฌานท่ีสหรคตดว้ ยเมตตา ละองค์ ๕ เจริญองค์ ๕ อนั
ไดบ้ รรลุแลว้ ซ่ึงปฐมฌาน ภกิ ษุนนั้ เจริญทาใหม้ ากข้ึนไป
พระโยคาวจรน้นั ชือ่ ว่ามใี จสหรคตดว้ ยเมตตา แผไ่ ปตลอดทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒ ก็อย่าง
นนั้ ทศิ ท่ี ๓ กอ็ ย่างน้นั ทิศที่ ๔ กอ็ ย่างนัน้ ทศิ เบื้องบน เบอื้ งล่าง เบื้องขวาง เธอมีใจสหรคต
ด้วยเมตตา เป็นใจกว้างขวาง ไม่มปี ระมาณ เป็นใจไม่มีเวร ไม่มคี วามบีบคน้ั แผไ่ ปในทศิ ท้งั
ปวงตลอดโลกท่มี สี รรพสัตว์ โดยความมีตนเสมอกนั ในสรรพสตั ว์ท้ังปวงอย่ดู ว้ ยอานาจฌาน
การกระทาเมตตาไดต้ ่าง ๆ ย่อมสาเรจ็ แกพ่ ระโยคาวจรผู้มีจติ ถึงอัปปนาสมาธดิ ้วยอานาจฌาน มี
ปฐมฌานเปน็ ต้นนี้ มิใช้สาเรจ็ แกผ่ ู้ได้เพยี ง อปุ จารสมาธิ
เมอื่ จะออกทิศพรหมวหิ ารนน้ั ใหแ้ ผเ่ มตตาในตนเองกอ่ นทงั้ ๗ บทนั้น เพอื่ ให้จิตมี
พลังแลว้ จึงภาวนาแผ่ออกทิศไปทลี ะทิศจนครบ ๑๐ ทศิ ทศิ ละ ๑ คร้ัง อปุ จารสมาธิ ๑ อปั ปนา
สมาธิ ๑

ออกทศิ เมตตาพรหมวิหาร บทที่ ๑

สพั เพ สตั ตา สุขี อะเวรา โหนตุ

ออก ทศิ ใหญ่ ๔ ทศิ
๑. ปุรตั ถมิ ายะทิสายะ สัพเพ สัตตา สขุ ี อเวรา โหนตุ

ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในทิศบูรพา จงมีสุขไมม่ เี วรเถิด
๒. ปัจฉมิ ายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา สุขี อเวรา โหนตุ

ขอสัตวท์ ้งั หลายทั้งปวงในทศิ ปจั จิม จงมีสขุ ไม่มเี วรเถดิ
๓. อุตตรายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา สขุ ี อเวรา โหนตุ

ขอสัตวท์ ง้ั หลายทั้งปวงในทศิ อุดร จงมสี ุขไม่มีเวรเถิด
๔. ทกั ขณิ ายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา สุขี อเวรา โหนตุ

ขอสตั ว์ท้ังหลายท้ังปวงในทศิ ทักษณิ จงมีสุขไมม่ ีเวรเถิด
ออก ทิศนอ้ ย ๔ ทศิ

๕. ปรุ ัตถมิ ายะ อนุทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา สุขี อเวรา โหนตุ
ขอสตั ว์ทง้ั หลายในทศิ อาคเนย์ จงมคี วามสขุ ไม่มีเวรเถดิ

๖. ปัจฉมิ ายะ อนุทิสายะ สัพเพ สัตตา สขุ ี อเวรา โหนตุ

๙๓

ขอสตั วท์ ั้งหลายท้ังปวงในทิศพายพั จงมคี วามสุขไมม่ เี วรเถดิ
๗. อตุ ตรายะ อนุทิสายะ สพั เพ สัตตา สขุ ี อเวรา โหนตุ

ขอสตั วท์ ้งั หลายทัง้ ปวงในทิศอิสาน จงมคี วามสุขไม่มเี วรเถิด
๘. ทกั ขิณายะ อนทุ สิ ายะ สัพเพ สัตตา สุขี อเวรา โหนตุ

ขอสัตว์ทง้ั หลายทั้งปวงในทศิ หรดี จงมคี วามสุขไมม่ เี วรเถดิ
ออก ทศิ เบ้ืองล่าง เบ้ืองบน

๙. เหฎฐมิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา สุขี อเวรา โหนตุ
ขอสัตวท์ ้ังหลายในทิศเบอื้ งลา่ ง จงมีความสขุ ไมม่ เี วรเถิด

๑๐.อปุ ริมายะ ทิสายะ สพั เพ สตั ตา สขุ ี อเวรา โหนตุ
ขอสัตว์ท้งั หลายในทิศเบ้อื งบน จงมคี วามสุขไม่มีเวรเถิด

ออกทิศเมตตาพรหมวิหาร บทท่ี ๒
สพั เพ สัตตา อเวรา โหนตุ

สัตว์ท้งั หลายทงั้ สิน้ จงอยา่ มเี วรตอ่ กนั และกนั เลย
ออก ทศิ ใหญ่ ๔ ทศิ

๑. ปรุ ตั ถมิ ายะ ทสิ ายะ สพั เพ สัตตา อเวรา โหนตุ
ขอสัตว์ทงั้ หลายในทิศบรู พา จงอยา่ มีเวรต่อกันและกันเลย

๒. ปจั ฉิมายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา อเวรา โหนตุ
ขอสตั ว์ทั้งหลายในทศิ ปัจจมิ จงอยา่ มเี วรตอ่ กนั และกันเลย

๓. อตุ ตรายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา อเวรา โหนตุ
ขอสตั วท์ ั้งหลายในทิศอุดร จงอยา่ มีเวรต่อกันและกนั เลย

๔. ทกั ขณิ ายะ ทิสายะ สพั เพ สตั ตา อเวรา โหนตุ
ขอสัตวท์ ง้ั หลายในทิศทักษิณ จงอยา่ มเี วรตอ่ กนั และกนั เลย
ออก ทศิ นอ้ ย ๔ ทศิ

๕. ปุรัตถมิ ายะ อนทุ ิสายะ สพั เพ สัตตา อเวรา โหนตุ
ขอสัตวท์ ั้งหลายในทศิ อาคเนย์ จงอยา่ มเี วรต่อกันและกนั เลย

๖. ปจั ฉมิ ายะ อนุทสิ ายะ สัพเพ สัตตา อเวรา โหนตุ
ขอสตั วท์ ้ังหลายในทศิ พายพั จงอย่ามเี วรตอ่ กนั และกันเลย

๙๔

๗. อุตตรายะ อนุทิสายะ สัพเพ สัตตา อเวรา โหนตุ

ขอสตั ว์ทั้งหลายในทิศอิสาน จงอยา่ มเี วรตอ่ กันและกันเลย

๘. ทกั ขิณายะ อนทุ ิสายะ สพั เพ สัตตา อเวรา โหนตุ

ขอสตั วท์ งั้ หลายในทศิ หรดี จงอย่ามีเวรตอ่ กนั และกนั เลย

ออก ทศิ เบอื้ งล่าง เบือ้ งบน

๙. เหฏฐิมายะ ทิสายะ สัพเพ สัตตา อเวรา โหนตุ

ขอสตั ว์ท้งั หลายในทศิ เบ้อื งลา่ ง จงอยา่ มเี วรตอ่ กนั และกันเลย

๑๐. อปุ ริมายะ ทสิ ายะ สพั เพ สัตตา อเวรา โหนตุ

ขอสตั ว์ท้ังหลายในทิศเบ้อื งบน จงอย่ามเี วรตอ่ กันและกันเลย

----------------

ออกทศิ เมตตาพรหมวิหาร บทท่ี ๓

สพั เพ สตั ตา อพั ยาปัชฌา โหนตุ

ขอสัตว์ท้ังหลายทง้ั สนิ้ อยา่ ได้มพี ยาบาทตอ่ กันและกนั เลย

ออก ทศิ ใหญ่ ๔ ทศิ

๑. ปรุ ัตถมิ ายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ

ขอสตั ว์ท้งั หลายในทิศบูรพา จงอย่ามีพยาบาทตอ่ กนั และกันเลย

๒. ปจั ฉมิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา อัพยาปัชฌา โหนตุ

ขอสตั วท์ ั้งหลายในทศิ ปัจจิม จงอย่ามพี ยาบาทตอ่ กันและกันเลย

๓. อตุ ตรายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา อัพยาปชั ฌา โหนตุ

ขอสัตวท์ ั้งหลายในทศิ อดุ ร จงอยา่ มพี ยาบาทตอ่ กนั และกันเลย

๔. ทักขิณายะ ทสิ ายะ สพั เพ สัตตา อัพยาปชั ฌา โหนตุ

ขอสัตว์ทั้งหลายในทิศทกั ษณิ จงอยา่ มีพยาบาทตอ่ กันและกนั เลย

ออก ทศิ นอ้ ย ๔ ทศิ

๕. ปุรัตถิมายะ อนุทสิ ายะ สัพเพ สัตตา อพั ยาปัชฌา โหนตุ

ขอสตั วท์ งั้ หลายในทศิ อาคเนย์ จงอย่ามพี ยาบาทตอ่ กนั และกนั เลย

๖. ปจั ฉิมายะ อนุทิสายะ สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ

ขอสตั วท์ งั้ หลายในทศิ พายพั จงอย่ามีพยาบาทต่อกันและกันเลย

๗. อุตตรายะ อนุทิสายะ สพั เพ สตั ตา อพั ยาปัชฌา โหนตุ

๙๕

ขอสตั ว์ท้ังหลายในทศิ อิสาน จงอย่ามพี ยาบาทตอ่ กนั และกนั เลย
๘. ทกั ขณิ ายะ อนทุ สิ ายะ สพั เพ สตั ตา อพั ยาปชั ฌา โหนตุ

ขอสัตวท์ ั้งหลายในทศิ หรดี จงอยา่ มีพยาบาทตอ่ กนั และกันเลย
ออก ทิศเบอ้ื งล่าง เบื้องบน

๙. เหฏฐิมายะ ทิสายะ สัพเพ สัตตา อพั ยาปชั ฌา โหนตุ
ขอสัตว์ท้งั หลายในทศิ เบือ้ งล่าง จงอยา่ มีพยาบาทตอ่ กนั และกนั เลย

๑๐. อุปริมายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา อพั ยาปัชฌา โหนตุ
ขอสัตว์ท้ังหลายในทศิ เบ้อื งบน จงอยา่ มีพยาบาทตอ่ กันและกนั เลย
-----------------------
ออกทิศเมตตาพรหมวิหาร บทที่ ๔
สัพเพ สัตตา อนฆี า โหนตุ
ขอสัตว์ท้ังหลายทั้งสิ้นจงอยา่ มีความคับแค้นใจเลย
ออก ทิศใหญ่ ๔ ทศิ
๑. ปุรตั ถิมายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา อนีฆา โหนตุ
ขอสัตวท์ ัง้ หลายในทศิ บรู พา จงอย่ามคี วามคับแค้นใจเลย
๒. ปจั ฉิมายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา อนีฆา โหนตุ
ขอสตั วท์ ้งั หลายในทศิ ปจั จมิ จงอย่ามคี วามคับแคน้ ใจเลย
๓. อุตตรายะ ทิสายะ สพั เพ สตั ตา อนีฆา โหนตุ
ขอสัตวท์ ้ังหลายในทศิ อดุ ร จงอยา่ มีความคบั แค้นใจเลย
๔. ทกั ขณิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา อนีฆา โหนตุ
ขอสัตวท์ ัง้ หลายทัง้ ในทศิ ทกั ษิณ จงอย่ามคี วามคับแคน้ ใจเลย
ออก ทิศนอ้ ย ๔ ทศิ
๕. ปรุ ัตถิมายะ อนทุ สิ ายะ สพั เพ สตั ตา อนีฆา โหนตุ
ขอสตั ว์ท้ังหลายในทศิ อาคเนย์ จงอยา่ มีความคบั แค้นใจเลย
๖. ปัจฉมิ ายะ อนทุ สิ ายะ สัพเพ สตั ตา อนฆี า โหนตุ
ขอสัตวท์ ง้ั หลายในทศิ พายัพ จงอย่ามคี วามคับแคน้ ใจเลย
๗. อตุ ตรายะ อนุทิสายะ สพั เพ สตั ตา อนฆี า โหนตุ
ขอสัตวท์ ง้ั หลายในทศิ อิสาน จงอย่ามคี วามคบั แค้นใจเลย

๙๖

๘. ทกั ขิณายะ อนุทิสายะ สัพเพ สตั ตา อนีฆา โหนตุ
ขอสตั ว์ท้ังหลายในทศิ หรดี จงอยา่ มคี วามคบั แคน้ ใจเลย
ออก ทศิ เบ้อื งลา่ ง เบ้ืองบน

๙. เหฏฐมิ ายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา อนฆี า โหนตุ
ขอสัตว์ทัง้ หลายในทศิ เบอ้ื งล่าง จงอย่ามคี วามคับแค้นใจเลย

๑๐. อุปรมิ ายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา อนีฆา โหนตุ
ขอสตั วท์ ั้งหลายในทศิ เบอ้ื งบน จงอยา่ มคี วามคบั แค้นใจ
ออกทิศเมตตาพรหมวิหาร บทท่ี ๕
สัพเพ สตั ตา สุขี อัตตานัง ปรหิ รันตุ

ขอสัตว์ทงั้ หลายทัง้ ส้ินจงมคี วามสุข รกั ษาตนให้พน้ ทกุ ข์ภยั ทง้ั ปวงเถดิ
ออก ทิศใหญ่ ๔ ทศิ

๑. ปุรตั ถมิ ายะ ทิสายะสัพเพ สัตตาสุขี อัตตานงั ปริหรันตุ ขอสัตว์
ทง้ั หลายท้งั วงในทศิ บรู พา จงมีความสขุ รกั ษาตน ใหพ้ ้นทกุ ขภ์ ัยทัง้ ปวง
เถดิ
๒. ปัจฉิมายะ ทสิ ายะสัพเพ สตั ตา สุขี อัตตานัง ปริหรนั ตุ

ขอสตั ว์ทงั้ หลายทัง้ ปวงในทิศปจั จิม จงมคี วามสุขรักษาตน
ให้พ้น ทกุ ข์ภัยทัง้ ปวงเถดิ
๓. อุตตรายะ ทิสายะ สพั เพ สตั ตา สุขี อัตตานงั ปรหิ รนั ตุ
ขอสัตวท์ ้ังหลายในทศิ อุดร จงมีความสขุ รกั ษาตน ให้พน้
ทกุ ข์ภัย ทัง้ ปวงเถดิ
๔. ทกั ขณิ ายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา สขุ ี อัตตานัง ปรหิ รนั ตุ
ขอสตั วท์ ั้งหลาย ในทศิ ทักษณิ จงมคี วามสขุ รักษาตน ให้
พ้นทุกขภ์ ัย ทั้งปวงเถดิ

ออก ทศิ นอ้ ย ๔ ทศิ
๕. ปุรัตถิมายะ อนุทสิ ายะสพั เพ สตั ตา สขุ ี อตั ตานงั ปริหรนั ตุ

ขอสัตวท์ ง้ั หลายในทิศอาคเนย์ จงมคี วามสุข รกั ษาตนให้
พ้นทกุ ข์ภยั เถดิ
๖. ปัจฉมิ ายะ อนทุ สิ ายะสพั เพ สตั ตา สุขี อตั ตานัง ปรหิ รนั ตุ

๙๗

ขอสตั วท์ ง้ั หลายในทิศพายัพ จงมคี วามสขุ รักษาตนให้
พ้นทกุ ขภ์ ยั เถิด
๗. อตุ ตรายะ อนุทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา สขุ ี อตั ตานัง ปรหิ รนั ตุ
ขอสัตว์ทงั้ หลายในทิศอสิ าน จงมีความสุข รกั ษาตนให้
พน้ ทุกขภ์ ยั เถิด
๘. ทักขิณายะ อนุทิสายะสพั เพ สตั ตา สขุ ี อตั ตานงั ปริหรันตุ
ขอสตั ว์ทงั้ หลายในทิศหรดี จงมคี วามสขุ รกั ษาตนให้
พ้นทุกขภ์ ัยเถดิ

ออก ทิศเบอ้ื งล่าง เบ้อื งบน
๙. เหฏฐมิ ายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา สขุ ี อัตตานัง ปรหิ รันตุ

ขอสัตว์ท้ังหลายในทศิ เบอ้ื งลา่ ง จงมีสขุ รักษาตนให้พ้นจาก
ภยั เถดิ
๑๐. อปุ รมิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา สขุ ี อัตตานัง ปริหรันตุ
ขอสตั ว์ทั้งหลายในทิศเบ้อื งบน จงมคี วามสุข รักษาตนให้
พน้ ภัยเถดิ
เม่อื จบออกทิศพรหมวิหารครบทั้ง ๕ บท ๆ ละ ๑๐ ทศิ แล้ว ใหอ้ าราธนาดู ๔
ทศิ ใหญ่ โดยวิธวี ิกุพพนา

วิกพุ พนา
วิกุพพนา คือ การทาเมตตาจิตไดต้ า่ ง ๆ และยอ่ มสาเร็จแก่พระโยคาวจรผมู้ ีจิตต้งั มัน่ เป็น
อัปปนาสมาธิ หรอื องคฌ์ าน ด้วยอานาจแห่งฌาน มีปฐมฌานเปน็ ต้น มิใช่จะสาเรจ็ แกผ่ ทู้ ไี่ ด้
เพยี งอุปจารสมาธเิ ทา่ น้นั

อาราธนา พจิ ารณาดู ๔ ทศิ ใหญ่
ขา้ ฯขออาราธนาเพอื่ ขอพจิ ารณาดู ๔ ทศิ ใหญ่ คือ ทศิ บูรพา ทศิ ปัจจิม ทิศอดุ ร ทิศ
ทกั ษณิ ให้อาราธนาตามแบบ เมอื่ เห็นครบท้ัง ๔ ทิศแลว้ ใหอ้ อกไปดทู ุกทิศ แลว้ กลับมาทีเ่ ดมิ

อาราธนา พิจารณาดู ๘ ทศิ
ข้าฯขออาราธนาเพ่อื ขอพิจารณาดู ๘ ทิศใหญ่ คือ ทศิ บรู พา ทิศปัจจมิ ทิศอดุ ร ทศิ
ทกั ษิณ ทิศอาคเนย์ ทศิ พายัพ ทิศอิสาน ทศิ หรดี ใหอ้ าราธนาตามแบบ เมือ่ เห็นครบทั้ง ๘ ทศิ
แล้ว ให้ออกไปดใู หค้ รบทง้ั ๘ ทิศ แล้วกลับมาทีเ่ ดิม

๙๘

อาราธนา พิจารณาดู ๑๐ ทศิ
ข้าฯขออาราธนาเพื่อ ขอพิจารณาดู ๑๐ ทิศ คือ ทิศบูรพา ทิศปัจจิม ทิศอุดร ทิศ
ทักษิณ ทิศอาคเนย์ ทิศพายัพ ทิศอิสาน ทิศหรดี ทิศเบ้ืองล่าง ทิศเบ้ืองบน ให้อาราธนาตาม
แบบ เม่ือเหน็ ครบทง้ั ๑๐ ทศิ แลว้ ใหอ้ อกไปดทู ้งั ๑๐ ทิศ แลว้ กลับมาทเ่ี ดิม

เวยี นทิศเปน็ ทักษณิ าวตั ร ๕ รอบ
การเวยี นทศิ ใหเ้ ริ่มเวยี น ตั้งแต่ ทิศ บูรพา อาคเนย์ ทักษิณ หรดี ปจั จิม พายพั อุดร อิ
สาน

เวียนรอบแรกใหภ้ าวนาว่า สพั เพ สตั ตา สุขี อเวรา โหนตุ
เวยี นรอบทีส่ องใหภ้ าวนาวา่ สพั เพ สตั ตา อเวรา โหนตุ
เวยี นรอบท่ีสามใหภ้ าวนาว่า สพั เพ สตั ตา อพั ยาปัชฌา โหนตุ
เวยี นรอบทีส่ ใ่ี หภ้ าวนาวา่ สัพเพ สตั ตา อนีฆา โหนตุ
เวยี นรอบทีห่ า้ ใหภ้ าวนาวา่ สพั เพ สัตตา สขุ ี อัตตานงั ปรหิ รันตุ
เม่ือเวียนรอบท่ีหา้ สดุ ท้ายแล้ว ใหพ้ ิจารณาขน้ึ ไปขา้ งบนให้เหน็ สวา่ งขาวโลง่ ตลอดขึ้น
ไป แล้วแลลงมาเบอื้ งล่าง ให้เหน็ สตั วน์ รกอยู่ แล้วเอาจิต หักโซ่ตรวน พาสตั วน์ รกข้ึนมาให้
หมด

บทแผ่เมตตาพรหมวิหาร รอบนอก
๑. สพั เพ สตั ตา สขุ ี อเวรา โหนตุ ขอสัตวท์ ั้งหลายทั้งสิ้น จงเป็นสุข ๆ เถดิ

อย่ามเี วรตอ่ กันและกันเลย
๒. สัพเพ สัตตา อเวรา โหนตุ สตั ว์ท้ังหลายทง้ั ส้นิ จงอยา่ มีเวรต่อกัน

และกันเลย
๓. สพั เพ สตั ตา อพั ยาปัชฌา โหนตุ ขอสัตว์ท้ังหลายท้ังสน้ิ จงอยา่ ได้มพี ยาบาท

ตอ่ กนั และกนั เลย
๔. สัพเพ สัตตา อนฆี า โหนตุ ขอสัตว์ท้งั หลายทัง้ ส้ิน จงอย่ามคี วาม

คับแค้นใจเลย
๕. สพั เพ สตั ตา สขุ ี อตั ตานงั ปรหิ รันตุ ขอสัตว์ท้งั หลายทั้งสน้ิ จงมคี วามสุข

รักษาตน ให้พ้นทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด

๙๙

เม่ือจะแผเ่ มตตารอบนอกน้นั ให้แผ่เมตตาในตนเอง ๗ บทข้างตน้ กอ่ น เมื่อแผใ่ นตน
ครบ ๗ บทแลว้ จึงใหภ้ าวนาคาแผเ่ มตตารอบนอก โดยอาราธนา เอา อปุ จารสมาธิ ก่อน เมอ่ื ได้
อุปจารสมาธแิ ล้ว จึงอาราธนาอัปปนาสมาธิ บท๑น่ัง ๒ ครัง้ จนครบ๕ บท

จบเมตตา

๑๐๐


Click to View FlipBook Version