The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือสมถะวิปัสสนากรรมฐาน

สมถะ-วิปัสสนากรรมฐานจากพระไตรปิฎก : ตามแนวพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับตามแนว-ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถร (สุก ไก่เถื่อน)

มาจาก พระคัมภีร์กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ฝ่ายเถรวาท ซึ่งถือตามคติที่พระอรหันต์พุทธสาวก ที่ได้วางหลักพระธรรมวินัย และธรรมปฏิบัติเป็ นแบบแผนไว้เมื่อครั้งตติยสังคายนา และนับถือแพร่หลายมาในประเทศ ไทย พม่า ลังกา ลาว และกัมพูชา เป็นของเก่า สืบทอดต่อมาโดยสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน) วัดราชสิทธาราม แต่ได้มาอธิบาย พระกรรมฐานของเก่าขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย และเพิ่มศรัทธา ให้มีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรม ของเก่าดั่งเดิมกันมากขึ้น เป็นการจรรโลงการปฏิบัติธรรมของเก่ามิให้ เสื่อมสลาย สูญสิ้นไป

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kindness Dharma Foundation, 2020-06-16 19:39:03

คู่มือสมถะ-วิปัสสนากรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับ

คู่มือสมถะวิปัสสนากรรมฐาน

สมถะ-วิปัสสนากรรมฐานจากพระไตรปิฎก : ตามแนวพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับตามแนว-ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถร (สุก ไก่เถื่อน)

มาจาก พระคัมภีร์กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ฝ่ายเถรวาท ซึ่งถือตามคติที่พระอรหันต์พุทธสาวก ที่ได้วางหลักพระธรรมวินัย และธรรมปฏิบัติเป็ นแบบแผนไว้เมื่อครั้งตติยสังคายนา และนับถือแพร่หลายมาในประเทศ ไทย พม่า ลังกา ลาว และกัมพูชา เป็นของเก่า สืบทอดต่อมาโดยสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน) วัดราชสิทธาราม แต่ได้มาอธิบาย พระกรรมฐานของเก่าขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย และเพิ่มศรัทธา ให้มีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรม ของเก่าดั่งเดิมกันมากขึ้น เป็นการจรรโลงการปฏิบัติธรรมของเก่ามิให้ เสื่อมสลาย สูญสิ้นไป

กรณุ าพรหมวิหาร

กรณุ า คือ ความต้องการใหผ้ อู้ ืน่ พน้ ทุกข์ ภกิ ษุมกี รณุ าแผ่ไปยังสตั วท์ ้ังปวง เหมอื น

อย่างบคุ คลผ้หู น่งึ ซง่ึ เป็นคนตกยากเข็นใจ แล้วพึงสงสาร หรอื มีความกรณุ าวา่ สัตว์ผู้นมี้ ีความ

ทกุ ขย์ าก ไฉนเราพงึ ทาให้เขาพ้นทกุ ข์

คาอาราธนากรุณาพรหมวิหาร

ขา้ ฯขอภาวนา กรุณาพรหมวหิ ารเจ้า เพ่อื จะขอเอา อปุ จารสมาธิ (อัปปนาสมาธิ) ใน

หอ้ งกรณุ าพรหมวิหารเจา้ น้ีจงได้ ขอพระพทุ ธเจา้ จงมาเป็นท่ีพง่ึ แก่ข้าฯนเ้ี ถิด ขอพระธรรม

เจ้าท้ังมวลจงมาเปน็ ที่พงึ่ แก่ขา้ ฯน้เี ถิด ขอพระอริยะสงฆ์เจ้าต้งั แรกแต่พระมหาอัญญาโกญ

ฑณั ญะเถรเจ้าโพน้ มาตราบเทา่ ถึงพระสงฆส์ มมุติ ในกาลบัดนจี้ งมาเปน็ ทพี่ ึ่งแกข่ า้ ฯนีเ้ ถิด

ขอพระอรยิ ะสงฆ์องคต์ ้นอนั สอนพระกรรมฐานเจา้ ทั้งมวลจงมาเปน็ ที่พึ่งแก่ข้าฯน้เี ถิด

ขอพระกรรมฐานเจา้ ทง้ั มวลจงมาเปน็ ทพ่ี ่งึ แกข่ า้ ฯนี้เถิด

อุกาสะในทีน่ เี้ ลา่ ข้าจะขอเชญิ ปฏบิ ตั ิบชู าตามคาสง่ั สอนของพระพุทธเจา้ เพอื่ จะขอเอา

อุปจารสมาธิ ในหอ้ งกรณุ าพรหมวหิ ารเจา้ น้ีจงได้ ขอจงเจา้ กูมาบังเกดิ ปรากฏอยู่ใน จกั ขุทวาร

มโนทวาร กายทวารแหง่ ข้า ในขณะเม่ือขา้ นั่งภาวนา อยู่นเี้ ถิด

อติ ปิ โิ ส ภควา อรห สมมฺ า สมฺพทุ โธ วิชชาจรณสมฺปนฺโน สคุ โต โลกวทิ ู อนตุ ตโร ปุ

รสิ ทมฺมสารถิ สตฺถาเทวมนสุ สาน พุทโธ ภควาติ

สมฺมาอรห สมมฺ าอรห สมมฺ าอรห

อรห อรห อรห

--------------------

คาแผ่กรุณารอบใน ในตน

๑. อห อลาภา ปมุญจฺ ามิ ขอเราจงพน้ จากความเสือ่ มลาภเถิด

๒. อห อยสา ปมุญจฺ ามิ ขอเราจงพ้นจากความเสอ่ื มยศเถิด

๓. อห นินทา ปมุญฺจามิ ขอเราจงพ้นจากความนินทาเถิด

๔. อห ทกุ ขา ปมญุ จฺ ามิ ขอเราจงพน้ จากความทกุ ข์เถดิ

นั่งแผก่ รณุ ารอบในตนนี้ ให้อาราธนา เอาทั้งอปุ จารสมาธิ และอัปปนา-

สมาธิ บทหนงึ่ ให้นั่ง ๒ คร้ัง

๑๐๑

แผ่ออกทิศกรุณาพรหมวิหาร ทิสาผรณา ๑๐ ทศิ
เม่ือภิกษเุ จรญิ กรุณาพรหมวหิ าร จนได้อปุ จารสมาธิ และทาให้มากซึง่ สมาธินนั้ แล ก็จะ
บรรลอุ ัปปนาสมาธิด้วยภาวนานุโยคเพยี งน้ี ปฐมฌานทีส่ หรคตด้วยกรณุ า ละองค์ ๕ เจรญิ องค์
๕อันได้บรรลแุ ลว้ ซึ่งปฐมฌานภิกษุนีจ้ ึงเจรญิ ใหม้ าก ทาใหม้ ากข้นึ ไป
พระโยคาวจรน้ันช่ือว่ามีใจสหรคตด้วยกรุณา แผไ่ ปตลอดทิศหน่ึงอยู่ ทศิ ที่ ๒ ก็อยา่ ง
นั้น ทิศที่ ๓ ก็อย่างนัน้ ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น ทศิ เบ้ืองบน ทิศเบ้ืองล่าง ทิศเบ้ืองขวาง เธอมีใจส
หรคตด้วยกรุณา มใี จกวา้ งขวาง ไม่มีประมาณ เปน็ ใจไม่มีเวร ไม่มคี วามบีบค้ัน แผไ่ ปในทิศ
ทง้ั ปวงตลอดโลกท่มี สี รรพสัตว์ โดยความบีบคั้นเสมอกันในสรรพสัตว์ท้งั ปวงอยู่ได้ด้วย
อานาจฌาน การกระทากรุณาได้ตา่ ง ๆ ย่อมสาเร็จแก่พระโยคาวจรผมู้ จี ิตถึงอัปปนาสมาธดิ ว้ ย
อานาจฌาน มีปฐมฌานเปน็ ตน้ มไิ ด้สาเรจ็ แกผ่ ไู้ ด้เพยี งอุปจารสมาธิ
ออกทิศกรุณาพรหมวหิ ารนัน้ ให้อาราธนาแบบเดิม ให้แผก่ รุณาในตนเอง ๔ บทกอ่ น
เพอื่ ให้จิตมพี ลงั แล้ว จึงภาวนาแผอ่ อกทศิ ไปทลี ะทิศ จนครบ ๑๐ ทิศ ทิศละ ๒ คร้ัง คอื อปุ จาร
สมาธิ ๑ อปั ปนาสมาธิ ๑

---------------------
ออกทิศกรณุ าพรหมวิหาร บทที่ ๑

สัพเพ สัตตา อะลาภา ปมุญจันตุ
ขอสตั วท์ ั้งหลายทง้ั ปวง จงพ้นจากความเสื่อมลาภเถิด

ออก ทิศใหญ่ ๔ ทศิ
๑. ปรุ ัตถมิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา อะลาภา ปมญุ จันตุ

ขอสัตวท์ ง้ั หลายทัง้ ปวงในทิศบรู พา จงพ้นจากความเสอื่ มลาภเถดิ
๒. ปัจฉมิ ายะ ทิสายะ สัพเพ สัตตา อะลาภา ปมุญจันตุ

ขอสัตวท์ ง้ั หลายทัง้ ปวงในทิศปัจจมิ จงพ้นจากความเสอื่ มลาภเถดิ
๓. อุตตรายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา อะลาภา ปมุญจนั ตุ

ขอสัตวท์ ง้ั หลายทั้งปวงในทิศอุดร จงพ้นจากความเส่อื มลาภเถดิ
๔. ทักขณิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา อะลาภา ปมุญจนั ตุ

ขอสตั ว์ทัง้ หลายท้ังปวงในทศิ ทกั ษณิ จงพ้นจากความเสื่อมลาภเถดิ
ออก ทิศน้อย ๔ ทศิ

๕. ปุรตั ถิมายะ อนทุ ิสายะ สพั เพ สัตตา อะลาภา ปมญุ จนั ตุ

๑๐๒

ขอสตั วท์ ้งั หลายทัง้ ปวงในทศิ อาคเนย์ จงพ้นจากความเส่ือมลาภเถิด
๖. ปัจฉมิ ายะ อนทุ ิสายะ สัพเพ สัตตา อะลาภา ปมญุ จันตุ

ขอสตั วท์ ้งั หลายท้งั ปวงในทิศพายพั จงพน้ จากความเสื่อมลาภเถดิ
๗. อุตตรายะ อนทุ ิสายะ สพั เพ สตั ตา อะลาภา ปมญุ จนั ตุ

ขอสัตวท์ ั้งหลายทง้ั ปวงในทศิ อิสาน จงพ้นจากความเสอ่ื มลาภเถดิ
๘. ทกั ขิณายะ อนทุ ิสายะ สพั เพ สัตตา อะลาภา ปมุญจันตุ

ขอสตั ว์ทง้ั หลายท้งั ปวงในทศิ หรดี จงพน้ จากความเส่อื มลาภเถิด
ออก ทศิ เบื้องลา่ ง เบ้ืองบน

๙. เหฏฐิมายะ ทิสายะ สัพเพ สัตตา อะลาภา ปมุญจันตุ
ขอสตั วท์ งั้ หลายท้งั ปวงในทศิ เบือ้ งลา่ ง จงพน้ จากความเส่อื มลาภเถิด

๑๐. อปุ รมิ ายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา อะลาภา ปมญุ จนั ตุ
ขอสตั วท์ ง้ั หลายท้ังปวงในทศิ เบือ้ งบน จงพ้นจากความเสือ่ มลาภเถิด
---------------------
ออกทศิ กรุณาพรหมวิหาร บทท่ี ๒
สพั เพ สตั ตา อะยะสา ปมญุ จันตุ
สัตวท์ งั้ หลายท้ังปวง จงพ้นจากความเสอ่ื มยศเถดิ
ออก ทิศใหญ่ ๔ ทศิ

๑. ปรุ ตั ถิมายะ ทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา อะยะสา ปมุญจันตุ
ขอสัตว์ทงั้ หลายทงั้ ปวงในทศิ บรู พา จงพน้ จากความเส่ือมยศเถิด

๒. ปจั ฉิมายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา อะยะสา ปมุญจนั ตุ
ขอสตั วท์ ้ังหลายทง้ั ปวงในทิศปัจจิม จงพน้ จากความเสื่อมยศเถดิ

๓. อตุ ตรายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา อะยะสา ปมญุ จนั ตุ
ขอสัตว์ทั้งหลายทัง้ ปวงในทศิ อดุ ร จงพน้ จากความเส่ือมยศเถิด

๔. ทักขิณายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา อะยะสา ปมญุ จันตุ
ขอสัตว์ทง้ั หลายท้ังปวงในทิศทักษณิ จงพน้ จากความเสือ่ มยศเถิด
ออก ทศิ น้อย ๔ ทศิ

๕. ปุรตั ถิมายะ อนุทสิ ายะ สพั เพ สัตตา อะยะสา ปมุญจันตุ
ขอสตั ว์ท้ังหลายทัง้ ปวงในทศิ อาคเนย์ จงพน้ จากความเส่ือมยศเถิด

๑๐๓

๖. ปัจฉมิ ายะ อนุทสิ ายะ สพั เพ สัตตา อะยะสา ปมุญจนั ตุ
ขอสัตวท์ ั้งหลายทั้งปวงในทศิ พายัพ จงพน้ จากความเส่ือมยศเถดิ

๗. อตุ ตรายะ อนุทสิ ายะ สัพเพ สัตตา อะยะสา ปมุญจันตุ
ขอสัตวท์ ั้งหลายท้ังปวงในทศิ อิสาน จงพน้ จากความเสือ่ มยศเถิด

๗. ทักขณิ ายะ อนุทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา อะยะสา ปมุญจนั ตุ
ขอสตั วท์ ้ังหลายท้ังปวงในทศิ หรดี จงพน้ จากความเสอ่ื มยศเถดิ
ออก ทศิ เบอื้ งล่าง เบ้ืองบน

๙. เหฏฐมิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา อะยะสา ปมญุ จันตุ
ขอสัตวท์ ั้งหลายทง้ั ปวงในทิศเบื้องล่าง จงพน้ จากความเสือ่ มยศเถิด

๑๐. อุปรมิ ายะ ทิสายะ สัพเพ สัตตา อะยะสา ปมญุ จนั ตุ
ขอสตั ว์ทง้ั หลายท้งั ปวงในทิศเบ้อื งบน จงพ้นจากความเส่ือมยศเถดิ
-------------------------
ออกทศิ กรณุ าพรหมวหิ าร บทท่ี ๓
สพั เพ สตั ตา นนิ ทา ปมญุ จนั ตุ
ขอสตั วท์ ัง้ หลายทง้ั ปวง จงพ้นจากความนินทา
ออก ทศิ ใหญ่ ๔ ทศิ

๑. ปุรตั ถิมายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา นนิ ทา ปมุญจันตุ
ขอสตั ว์ทง้ั หลายท้งั ปวงในทิศบูรพา จงพ้นจากความนินทาเถิด

๒. ปัจฉิมายะ ทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา นินทา ปมุญจันตุ
ขอสตั วท์ ้ังหลายทั้งปวงในทิศปัจจมิ จงพน้ จากความนนิ ทาเถิด

๓. อตุ ตรายะ ทิสายะ สพั เพ สตั ตา นนิ ทา ปมุญจนั ตุ
ขอสัตวท์ ง้ั หลายทงั้ ปวงในทิศอดุ ร จงพ้นจากความนนิ ทาเถิด

๔. ทักขิณายะ ทิสายะ สัพเพ สัตตา นนิ ทา ปมญุ จนั ตุ
ขอสัตวท์ ้ังหลายท้ังปวงในทิศทักษิณ จงพ้นจากความนินทาเถดิ
ออก ทิศนอ้ ย ๔ ทศิ

๕. ปุรัตถิมายะ อนุทสิ ายะ สัพเพ สัตตา นินทา ปมุญจนั ตุ
ขอสัตว์ทง้ั หลายทง้ั ปวงในทิศอาคเนย์ จงพ้นจากความนินทาเถิด

๖. ปัจฉมิ ายะ อนทุ ิสายะ สัพเพ สตั ตา นนิ ทา ปมญุ จันตุ

๑๐๔

ขอสัตวท์ ง้ั หลายท้งั ปวงในทศิ พายัพ จงพน้ จากความนนิ ทาเถิด
๗. อุตตรายะ อนุทิสายะ สัพเพ สัตตา นนิ ทา ปมุญจันตุ

ขอสตั วท์ ง้ั หลายท้ังปวงในทศิ อสิ าน จงพน้ จากความนนิ ทาเถดิ
๘. ทกั ขิณายะ อนุทิสายะ สัพเพ สัตตา นนิ ทา ปมญุ จันตุ

ขอสตั ว์ทง้ั หลายทั้งปวงในทศิ หรดี จงพ้นจากความนินทาเถิด
ออก ทศิ เบอ้ื งลา่ ง เบื้องบน

๙. เหฏฐมิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา นินทา ปมุญจนั ตุ
ขอสัตวท์ ง้ั หลายทั้งปวงในทิศเบอ้ื งลา่ ง จงพน้ จากความนนิ ทาเถดิ

๑๐. อปุ รมิ ายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา นินทา ปมุญจันตุ
ขอสตั ว์ทงั้ หลายท้งั ปวงในทศิ เบ้อื งบน จงพน้ จากความนินทาเถดิ
---------------------
ออกทศิ กรณุ าพรหมวิหาร บทท่ี ๔
สัพเพ สัตตา ทุกขา ปมญุ จนั ตุ
ขอสัตวท์ ้ังหลายทั้งปวง จงพน้ จากความทกุ ขเ์ ถิด
ออก ทิศใหญ่ ๔ ทศิ

๑. ปุรตั ถมิ ายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา ทกุ ขา ปมญุ จนั ตุ
ขอสตั วท์ ง้ั หลายท้ังปวงในทศิ บรู พา จงพน้ จากความทุกขเ์ ถดิ

๒. ปัจฉมิ ายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา ทกุ ขา ปมญุ จนั ตุ
ขอสัตวท์ ั้งหลายทงั้ ปวงในทศิ ปจั จมิ จงพน้ จากความทกุ ข์เถดิ

๓. อตุ ตรายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา ทุกขา ปมุญจันตุ
ขอสตั ว์ทัง้ หลายทั้งปวงในทิศอดุ ร จงพ้นจากความทกุ ข์เถิด

๔. ทักขิณายะ ทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา ทกุ ขา ปมญุ จันตุ
ขอสัตวท์ ง้ั หลายท้งั ปวงในทศิ ทกั ษิณ จงพน้ จากความทกุ ข์เถิด
ออก ทศิ นอ้ ย ๔ ทศิ

๕. ปุรตั ถมิ ายะ อนทุ ิสายะ สพั เพ สัตตา ทกุ ขา ปมญุ จันตุ
ขอสตั ว์ทง้ั หลายท้ังปวงในทิศอาคเนย์ จงพน้ จากความทุกขเ์ ถดิ

๖. ปัจฉิมายะ อนุทสิ ายะ สพั เพ สัตตา ทกุ ขา ปมุญจันตุ
ขอสัตวท์ งั้ หลายทั้งปวงในทิศพายัพ จงพน้ จากความทุกขเ์ ถดิ

๑๐๕

๗. อตุ ตรายะ อนทุ ิสายะ สพั เพ สัตตา ทุกขา ปมญุ จนั ตุ
ขอสตั ว์ทง้ั หลายทง้ั ปวงในทิศอสิ าน จงพ้นจากความทุกข์เถดิ

๘. ทักขิณายะ อนทุ ิสายะ สัพเพ สตั ตา ทกุ ขา ปมุญจันตุ
ขอสัตวท์ ง้ั หลายทง้ั ปวงในทศิ หรดี จงพน้ จากความทุกข์เถิด
ออก ทิศเบอ้ื งลา่ ง เบอื้ งบน

๙. เหฏฐิมายะ ทิสายะ สพั เพ สตั ตา ทกุ ขา ปมญุ จันตุ
ขอสัตวท์ ง้ั หลายทงั้ ปวงในทิศเบ้อื งล่าง จงพน้ จากความทกุ ขเ์ ถิด

๑๐. อปุ รมิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา ทุกขา ปมุญจนั ตุ
ขอสัตวท์ งั้ หลายท้ังปวงในทิศเบ้ืองบน จงพ้นจากความทกุ ขเ์ ถดิ

เมอ่ื จบออกทิศกรุณาพรหมวหิ ารแลว้ ครบทงั้ ๔ บท บทละ ๑๐ ทิศแลว้ ให้อาราธนา
ดู ๔ ทิศ ๘ ทศิ ๑๐ ทิศ แล้ว เวียนทศิ เปน็ ทักษิณาวตั รอกี ๔ รอบ

อาราธนา พจิ ารณาดู ๔ ทศิ ใหญ่
ข้าฯขออาราธนา เพ่อื ขอพจิ ารณาดู ๔ ทศิ ใหญ่ ในห้องกรณุ าพรหมวหิ าร คอื ทศิ บรู พา
ทศิ ประจมิ ทิศอดุ ร ทศิ ทักษิณ ให้อาราธนาตามแบบ เมือ่ เหน็ ครบทั้ง ๔ ทศิ แลว้ ให้ออกไปดู
ใหค้ รบทุกทศิ แล้วกลับมาท่ีเดิม

อาราธนา พจิ ารณาดู ๘ ทศิ
ข้าฯขออาราธนา เพ่อื ขอพิจารณาดู ๘ ทศิ คือ ทศิ บูรพา ทิศปัจจมิ ทศิ อุดร ทศิ ทักษิณ
ทิศอาคเนย์ ทิศพายัพ ทิศอสิ าน ทศิ หรดี ใหอ้ าราธนาตามแบบ เมอ่ื เหน็ ครบทั้ง ๘ ทศิ แล้ว
ให้ออกไปดูให้ครบทั้ง ๘ ทศิ แลว้ กลับมาทเ่ี ดิม แล้วออกจากสมาธิ

อาราธนา พิจารณาดู ๑๐ ทศิ
ข้าฯขออาราธนา เพ่ือขอพิจารณาดู ๑๐ ทศิ คือ ทิศบูรพา อาคเนย์ ทักษณิ หรดี ปจั จมิ
พายบั อุดร อสิ าน ทศิ เบื้องลา่ ง ทิศเบ้ืองบน ให้อาราธนาตามแบบ เมอื่ เห็นครบทง้ั 10 ทิศ
แลว้ ใหอ้ อกไปดใู ห้ท้งั ๑๐ ทศิ แลว้ กลับมาทีเ่ ดมิ แลว้ ออกจากสมาธิ

เวียนทิศเปน็ ทกั ษณิ าวตั ร ๔ รอบ
การเวยี นทศิ ใหเ้ รม่ิ เวยี นต้ังแตท่ ศิ บูรพา อาคเนย์ ทกั ษิณ หรดี ปจั จิม พายับ อดุ ร อิสาน

เวยี นรอบแรกใหภ้ าวนาว่า สพั เพ สตั ตา อลาภา ปมญุ จันตุ
เวียนรอบสองให้ภาวนาว่า สัพเพ สตั ตา อยสา ปมญุ จนั ตุ
เวยี นรอบสามใหภ้ าวนาว่า สัพเพ สัตตา นินทา ปมญุ จันตุ

๑๐๖

เวยี นรอบสใี่ หภ้ าวนาว่า สัพเพ สตั ตา ทกุ ขา ปมุญจันตุ
เมอื่ เวยี นครบรอบท่ี ๔รอบสุดท้ายแลว้ ให้พิจารณาขน้ึ ไปขา้ งบน ให้เหน็ สวา่ งตลอดข้ึน
ไป แล้วแลลงมาเบอื้ งลา่ ง ให้เห็นสัตวน์ รกอยู่แล้ว เอาจติ หักโซ่ตรวน พาสตั วน์ รกข้ึนมาให้
หมด

บทแผก่ รุณารอบนอก ๔ บท
๑.สพั เพ สตั ตา อลาภา ปมุญจันตุ ขอสตั ว์ท้งั หลายท้งั ปวง จงพน้ จาก

การเส่อื มลาภเถดิ
๒.สพั เพ สตั ตา อยสา ปมญุ จนั ตุ ขอสัตวท์ ง้ั หลายท้งั ปวง จงพน้ จาก

การเสือ่ มยศเถดิ
๓.สพั เพ สัตตา นินทา ปมุญจันตุ ขอสัตวท์ ้ังหลายทั้งปวง จงพน้ จาก

การนินทาเถิด
๔.สพั เพ สตั ตา ทกุ ขา ปมุญจนั ตุ ขอสตั วท์ ้ังหลายท้งั ปวง จงพน้ จาก

ความทกุ ขเ์ ถิด
เม่ือแผ่กรุณารอบนอก ๔ บท ใหแ้ ผก่ รุณาในตนเองกอ่ น ๔ บทขา้ งตน้ แล้วจึงใหภ้ าวนา
คาแผ่กรุณารอบนอก โดยอาราธนาเอา อุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ กอ่ น เม่อื ได้อปุ จาร
แลว้ เอาอปั นา บทหน่ึง น่ัง ๒ คร้ัง จนครบ ๔ บท

มทุ ิตาพรหมวหิ าร
มุทติ า คือ ความยนิ ดีเมือ่ เขาได้ดี ดงั ท่พี ระพทุ ธเจ้าตรัสวา่ ภกิ ษมุ ใี จสหรคตด้วยมุทิตา
แผ่ไปตลอดทิศหนึ่งอยู่ คอื ภกิ ษุมีมุทติ าแผ่ไปยงั สัตวท์ ้งั หลายท้ังปวง เหมือนอย่างเหน็ บคุ คล
คนหนึง่ ซึ่งเปน็ ที่รักท่ีเจริญใจแลว้ พงึ เปน็ ท่เี จรญิ ใจ ฉนั น้นั

คาอาราธนามุทิตาพรหมวิหาร
ข้าฯขอภาวนา มุทิตาพรหมวิหารเจ้า เพื่อขอเอา อุปจารสมาธิ (อัปปนาสมาธิ) ในห้อง
มทุ ติ าพรหมวหิ ารเจา้ น้จี งได้
ขอพระพุทธเจา้ จงมาเปน็ ทพ่ี ึง่ แก่ขา้ ฯนี้เถดิ ขอพระธรรมเจ้าท้งั มวลจงมาเป็นท่ีพึ่งแก่ขา้
ฯนีเ้ ถิด ขอพระอริยสงฆเ์ จ้าตงั้ แรกแตพ่ ระมหาอญั ญาโกญฑญั ญะเถรเจ้าโพ้นมาตราบเท่าถงึ
สมมตุ สิ งฆ์ในกาลบัดนี้ จงมาเป็นท่ีพึ่งแกข่ ้าฯนี้เถดิ ขอพระอรยิ สงฆ์ตน้ อันสอนพระกรรมฐาน
เจ้าท้งั มวลจงมาเปน็ ที่พึ่งแก่ข้าฯนเี้ ถดิ ขอพระกรรมฐานเจา้ ทั้งมวลจงมาเปน็ ท่ีพึง่ แก่ข้าฯนี้เถิด

๑๐๗

อุกาสะในทนี่ ้เี ลา่ ขา้ ฯจะขอเชญิ ปฏิบตั ิบูชาตามคาส่งั สอนของพระสพั พญั ญโู คดมเจา้

เพื่อจะขอเอาอุปจารสมาธิ (อัปปนาสมาธิ) ในหอ้ งมุทิตาเจา้ นจ้ี งได้ ขอจงเจ้ากูมาบงั เกิดปรากฏ

อยูใ่ น จักขุทวาร มโนทวาร กายทวาร แห่งขา้ ในขณะเมอื่ ขา้ ฯนั่งภาวนาอยนู่ ้ีเถิด

อติ ิปโิ ส ภควา อรห สมมฺ า สมพฺ ุทโธ วิชชาจรณะ สมฺปนฺโน สคุ โต โลกวทิ ู

อนตุ ตฺโร ปุริสทมฺสารถิ สตฺถา เทวมนสุ สาน พทุ โธ ภควาติ

สมฺมาอรห สมฺมาอรห สมฺมาอรห

อรห อรห อรห

ในห้องมทุ ิตาพรหมวหิ ารนี้ ใหแ้ ผ่มทุ ติ าให้แกต่ นเองก่อน มีท้ังหมด ๔ บท ให้

อาราธนานั่ง ๒ ครงั้ คือบทละ ๒ คร้ัง อุปจารสมาธิ ครง้ั หนง่ึ อัปปนาสมาธิ ครงั้ หนง่ึ รวม ๗

บท เป็น ๘ ครง้ั ให้เอาสัตว์ท้ังหลายเปน็ อารมณ์

บทแผภ่ าวนามทุ ิตาในตน

๑.อห ลทฺธสมปฺ ตตฺ ิโต มา วคิ จฉฺ ามิ ขอเราอย่าได้วิบตั ไิ ปจากสมบัติ

ทต่ี นไดแ้ ลว้ เลย

๒.อห ลทฺธยสโต มา วคิ จฉฺ ามิ ขอเราอยา่ ได้วบิ ตั ิไปจากลาภยศทเี่ รา

ไดแ้ ล้วเลย

๓.อห ลทธฺ ปสงสฺ โต มา วคิ จฺฉามิ ขอเราอย่าไดว้ บิ ัตไิ ปจากความสรรเสริญ

ท่ีเรา ไดแ้ ลว้ เลย

๔.อห ลทฺธสุขโต มา วคิ จฺฉามิ ขอเราอย่าได้วบิ ัติไปจากความสุขทไ่ี ด้

แลว้ เลย

จบแผ่เมตตาในตน

แผ่ออกทศิ มทุ ิตาพรหมวิหาร ทสิ าผรณา ๑๐ ทศิ

เมื่อภิกษเุ จริญมุทิตา จนไดอ้ ุปจารสมาธิ และทาให้มากซึ่งสมาธินน้ั แล ก็จะบรรลอุ ัปป

นาสมาธดิ ว้ ย ภาวนานโุ ยคเพยี งนี้ ปฐมฌานท่สี รหคตดว้ ยมุทติ า ละองค์ ๕ เจรญิ องค์ ๕ อนั ได้

บรรลแุ ลว้ ซึ่งปฐมฌาน ภกิ ษุนั้นเจริญทาใหม้ ากข้ึนไป

พระโยคาวจรน้นั ชื่อวา่ มใี จสหรคตดว้ ยมทุ ิตา แผไ่ ปทิศท่ี ๑ อยู่ ทิศที่ ๒ ก็อยา่ งนั้น ทิศ

ที่ ๓ ก็อย่างนน้ั ทิศท่ี ๔ กอ็ ยา่ งน้ัน ทิศเบ้ืองบน เบ้ืองลา่ ง เบ้อื งขวาง เธอมีใจสหรคตดว้ ยมุทิตา

มใี จกว้างขวาง ไมม่ ีประมาณ เป็นใจไมม่ เี วร ไมม่ ีความบบี คั้น แผ่ไปในทิศทงั้ ปวงตลอดโลกที่

มสี รรพสตั ว์ โดยความมีตนเสมอกันในสรรพสัตว์ทง้ั ปวงอยู่ด้วยอานาจฌาน การกระทามุทิตา

๑๐๘

จติ ไดต้ า่ ง ๆ ย่อมสาเรจ็ แก่พระโยคาวจรผูม้ ิจติ ถึงอัปปนาสมาธิดว้ ยอานาจฌาน มีปฐมฌานเป็น
ต้นน้ี มิใชส้ าเรจ็ แก่ผู้ได้เพยี งอุปจารสมาธิ

เมือ่ จะออกทิศมทุ ติ าพรหมวิหารนั้น ใหแ้ ผ่มทุ ติ าใหต้ นเองก่อน ๔ บทนั้น เพื่อให้จติ มี
พลังแล้วจงึ ภาวนาแผ่ออกทิศไปทีละทิศจนครบ ๑๐ ทศิ ทศิ ละ ๒ ครงั้ อุปจารสมาธิ ครั้ง ๑
อัปปนาสมาธิ คร้งั ๑

--------------------------

๑๐๙

ออกทศิ มุทติ าพรหมวหิ าร บทท่ี ๑
สพั เพ สัตตา ลทั ธสัมปตั ติโต มา วิคัจฉนั ตุ
สัตวท์ ัง้ หลายทั้งปวง จงอย่าได้วิบตั ไิ ปจากสมบตั ทิ ต่ี นไดแ้ ล้วเลย

ออก ทศิ ใหญ่ ๔ ทศิ
๑.ปรุ ตั ถมิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา ลัทธสัมปัตติโต มา วคิ ัจฉนั ตุ

ขอสัตวท์ ้งั หลายในทศิ บรู พา อย่าได้วบิ ตั ิไปจากสมบัติท่ตี นได้แล้วเลย
๒.ปัจฉิมายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา ลทั ธสมั ปัตติโต มา วิคจั ฉันตุ

ขอสัตว์ทั้งหลายในทศิ ปจั จิม อยา่ ไดว้ ิบัติไปจากสมบตั ิท่ีตน ได้เลย
๓.อตุ ตรายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา ลทั ธสมั ปตั ตโิ ต มาวิคัจฉันตุ

ขอสัตว์ท้งั หลายในทิศอดุ ร อย่าได้วิบัติไปจากสมบัตทิ ต่ี นไดแ้ ลว้ เลย
๔.ทกั ขณิ ายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา ลทั ธสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ
ขอสัตว์ท้ังหลายในทิศทกั ษณิ อยา่ ได้วบิ ัติไปจากสมบัตทิ ต่ี นไดแ้ ลว้ เลย

ออก ทิศนอ้ ย ๔ ทศิ
๕.ปุรตั ถิมายะ อนุทสิ ายะ สัพเพ สัตตา ลทั ธสัมปตั ตโิ ต มา วิคจั ฉนั ตุ

ขอสัตวท์ ง้ั หลายในทศิ อาคเนย์ อยา่ ไดว้ ิบัติไปจากสมบัติทีต่ นได้เลย
๖.ปจั ฉิมายะ อนทุ ิสายะสพั เพ สัตตา ลทั ธสมั ปตั ติโต มา วิคัจฉันตุ

ขอสตั วท์ ั้งหลายในทิศพายพั อยา่ ไดว้ ิบตั ไิ ปจากสมบัติท่ีตนได้เลย
๗.อตุ ตรายะ อนทุ ิสายะ สพั เพ สัตตา ลัทธสมั ปตั ติโต มา วิคจั ฉนั ตุ

ขอสัตวท์ ้ังหลายในทศิ อสิ าน อย่าได้วิบตั ิไปจากสมบัติทต่ี ไดแ้ ล้วเลย
๘.ทักขณิ ายะ อนทุ สิ ายะ สพั เพ สตั ตา ลทั ธสมั ปัตติโต มา วคิ ัจฉนั ตุ
ขอสตั วท์ ้งั หลายในทศิ หรดี อยา่ ไดว้ บิ ตั ิไปจากสมบตั ทิ ีต่ นไดแ้ ลว้ เลย

ออก ทิศเบื้องลา่ ง เบอ้ื งบน
๙. เหฏฐิมายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา ลัทธสมั ปตั ตโิ ต มา วคิ จั ฉันตุ
ขอสัตวท์ ั้งหลายในทศิ เบอื้ งลา่ ง อย่าวบิ ัติไปจากสมบัตทิ ี่ตนไดแ้ ล้วเลย
๑๐.อุปริมายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา ลัทธสัมปัตติโต มา วคิ ัจฉันตุ

ขอสตั ว์ทั้งหลายในทศิ เบือ้ งบนอยา่ วิบตั ิไปจากสมบัติทต่ี นได้แลว้ เลย
--------------------

๑๑๐

ออกทศิ มทุ ิตาพรหมวิหาร บทท่ี ๒

สัพเพ สัตตา ลทั ธยสโต มา วิคัจฉนั ตุ

สัตว์ทั้งหลายท้งั สนิ้ อย่าได้พบิ ตั ไิ ปจากลาภยศทตี่ นไดแ้ ล้วเลย

ออก ทิศใหญ่ ๔ ทศิ

๑. ปรุ ตั ถมิ ายะ ทสิ ายะสัพเพ สตั ตา ลทั ธยสโต มา วคิ จั ฉันตุ

ขอสตั ว์ทงั้ หลายในทศิ บูรพา อยา่ ไดพ้ ิบตั ิไปจากลาภยศทต่ี นได้แล้วเลย

๒.ปัจฉมิ ายะ ทิสายะ สัพเพ สัตตา ลัทธยสโต มา วิคจั ฉันต

ขอสตั วท์ งั้ หลายในทศิ ปจั จมิ อยา่ ไดพ้ ิบัตไิ ปจากลาภยศท่ีตนไดแ้ ล้วเลย

๓.อตุ ตรายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา ลัทธยสโต มา วคิ จั ฉันตุ

ขอสตั ว์ทั้งหลายในทศิ อดุ ร อย่าได้พบิ ัติไปจากลาภยศท่ตี นไดแ้ ลว้ เลย

๔. ทกั ขณิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา ลัทธยสโต มา วคิ จั ฉนั ตุ

ขอสัตว์ทั้งหลายในทิศทักษณิ จงอย่าพิบตั ิไปจากลาภยศท่ตี นไดแ้ ล้วเลย

ออก ทศิ น้อย ๔ ทศิ

๕. ปรุ ัตถมิ ายะ อนทุ ิสายะ สัพเพ สตั ตา ลัทธยสโต มา วคิ ัจฉนั ตุ

ขอสตั วท์ ง้ั หลายในทิศอาคเนย์ จงอย่าพิบัติไปจากลาภยศท่ตี นได้แล้วเลย

๖. ปัจฉิมายะ อนทุ ิสายะ สัพเพ สัตตา ลทั ธยสโต มา วิคจั ฉันตุ

ขอสตั ว์ท้งั หลายในทิศพายัพ จงอยา่ พบิ ตั ิไปจากลาภยศที่ตนไดแ้ ลว้ เลย

๗. อุตตรายะ อนุทิสายะ สพั เพ สัตตา ลัทธยสโต มา วิคจั ฉันตุ

ขอสัตวท์ ั้งหลายในทิศอิสานจงอยา่ พบิ ตั ิไปจากลาภยศทต่ี นไดแ้ ล้วเลย

๘. ทักขิณายะ อนุทิสายะ สัพเพ สตั ตา ลทั ธยสโต มา วิคัจฉนั ตุ

ขอสตั ว์ทัง้ หลายในทิศหรดี อย่าพิบตั ิไปจากลาภยศทตี่ นได้แล้วเลย

ออก ทศิ เบื้องล่าง เบอ้ื งบน

๙. เหฏฐิมายะ ทิสายะ สัพเพ สัตตา ลัทธยสโต มา วิคัจฉันตุ

ขอสตั ว์ทงั้ หลายในทศิ เบ้ืองลา่ งจงอยา่ พิบัตไิ ปจากลาภยศท่ีตนไดแ้ ลว้ เลย

๑๐.อุปริมายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา ลัทธยสโต มา วิคัจฉันตุ

ขอสตั วท์ ง้ั หลายในทิศเบื้องบน จงอยา่ พิบัติจากลาภยศที่ตนไดแ้ ล้วเลย

๑๑๑

ออกทศิ มุทิตาพรหมวหิ าร บทที่ ๓

สพั เพ สัตตา ลทั ธปสังสโต มา วคิ ัจฉันตุ

สตั ว์ท้งั หลายทั้งสิน้ อยา่ ไดว้ ิบตั ิไปจากความสรรเสรญิ ท่ีตนได้แล้วเลย
ออก ทศิ ใหญ่ ๔ ทศิ

๑.ปรุ ตั ถมิ ายะ ทสิ ายะ สพั เพ สัตตา ลทั ธปสงั สโต มา วิคัจฉนั ตุ
ขอสตั ว์ทง้ั หลายในทิศบรู พา อย่าไดว้ ิบัตไิ ปจากความสรรเสรญิ
ที่ตนได้แล้วเลย
๒.ปจั ฉมิ ายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา ลทั ธปสงั สโต มา วคิ จั ฉนั ตุ
ขอสตั ว์ทัง้ หลายในทิศปัจจมิ อยา่ ได้วบิ ัติไปจากความสรรเสรญิ
ที่ตนได้แล้วเลย
๓.อุตตรายะ ทสิ ายะ สพั เพ สัตตา ลัทธปสังสโต มา วคิ จั ฉนั ตุ
ขอสตั ว์ทั้งหลายท้งั ปวงในทิศอดุ ร อย่าได้วบิ ตั ไิ ปจากความสรร
เสริญทต่ี นไดแ้ ลว้ เลย
๔.ทักขณิ ายะ ทิสายะ สพั เพ สตั ตา ลัทธปสงั สโต มา วคิ จั ฉนั ตุ
ขอสตั วท์ ้ังหลายท้งั ปวงในทิศทักษิณ อย่าได้วิบัตไิ ปจาก
ความ สรรเสรญิ ที่ตนไดแ้ ลว้ เลย

ออก ทิศน้อย ๔ ทศิ
๕.ปุรตั ถมิ ายะ อนุทสิ ายะ สพั เพ สัตตา ลทั ธปสงั สโต มา วิคัจฉันตุ

ขอสตั ว์ทั้งหลายท้ังปวงในทิศอาคเนย์ อย่าไดว้ บิ ตั ิไปจาก
ความสรรเสรญิ ทต่ี นได้แล้วเลย
๖.ปจั ฉมิ ายะ อนทุ ิสายะ สพั เพ สตั ตา ลทั ธปสงั สโต มา วคิ ัจฉนั ตุ
ขอสัตว์ทัง้ หลายทง้ั ปวงในทิศพายัพ อย่าไดว้ ิบัตไิ ปจากความ
สรรเที่ตนได้แลว้ เลย
๗.อตุ ตรายะ อนุทสิ ายะ สพั เพ สัตตา ลทั ธปสังสโต มา วคิ ัจฉันตุ
ขอสัตวท์ งั้ หลายทั้งปวงในทิศอิสาน อยา่ ไดว้ บิ ัติไปจาก
ความ สรรเสริญทีต่ น ได้แลว้ เลย
๘.ทกั ขิณายะ อนุทสิ ายะ สัพเพ สัตตา ลทั ธปสงั สโต มา วคิ ัจฉันตุ
ขอสตั ว์ท้ังหลายในทิศหรดี อยา่ ไดว้ บิ ัตไิ ปจากความสรรเสรญิ ท่ีตน

๑๑๒

ได้แลว้ เลย
ออก ทิศเบอื้ งล่าง เบือ้ งบน

๙. เหฏฐิมายะ ทสิ ายะ สพั เพ สัตตา ลัทธปสงั สโต มา วิคจั ฉนั ตุ
ขอสตั วท์ ้งั หลายทัง้ ปวงในทิศเบ้ืองล่างอย่าได้วิบัตไิ ปจาก
ความสรรเสริญ ทีต่ นได้แล้วเลย
๑๐.อปุ รมิ ายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา ลัทธปสงั สโต มา วคิ ัจฉนั ตุ

ขอสตั วท์ งั้ หลายในทศิ เบอื้ งบนอย่าได้วบิ ัติไปจากความสรรเสริญ
ท่ตี นไดแ้ ล้วเลย

----------------------
ออกทศิ มทุ ติ าพรหมวิหาร บทท่ี ๔
สพั เพ สัตตา ลทั ธสขุ ะโต มา วคิ ัจฉนั ตุ
สตั ว์ทงั้ หลายท้งั สน้ิ อยา่ ไดว้ ิบัติไปจากความสุขท่ีตนได้แล้วเลย

ออก ทิศใหญ่ ๔ ทศิ
๑.ปุรตั ถิมายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา ลทั ธสุขะโต มา วคิ ัจฉนั ตุ

ขอสตั วท์ ้งั หลายท้งั ปวงในทศิ บรู พา อย่าไดว้ ิบตั ไิ ปจากความสขุ
ทตี่ นไดแ้ ล้วเลย
๒.ปัจฉิมายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา ลทั ธสขุ ะโต มา วคิ จั ฉันตุ
ขอสตั ว์ท้งั หลายทัง้ ปวงในทศิ ปจั จมิ อยา่ ได้วิบตั ไิ ปจากความสุขทีต่ น
ไดแ้ ล้วเลย
๓.อตุ ตรายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา ลัทธสขุ ะโต มา วคิ ัจฉนั ตุ
ขอสัตว์ทั้งหลายทง้ั ปวงในทศิ อุดร อยา่ ไดว้ ิบัตไิ ปจากความสขุ ทต่ี น
ไดแ้ ลว้ เลย
๔.ทักขิณายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา ลัทธสขุ ะโต มา วคิ ัจฉันตุ
ขอสตั วท์ งั้ หลายทั้งปวงในทศิ ทกั ษิณ อย่าได้วิบัติไปจากความสุข
ท่ตี นไดแ้ ล้วเลย

ออก ทิศนอ้ ย ๔ ทศิ
๕.ปุรัตถมิ ายะ อนทุ ิสายะ สพั เพ สตั ตา ลัทธสุขะโต มา วคิ ัจฉันตุ

ขอสตั ว์ทั้งหลายทั้งปวงในทศิ อาคเนย์ อยา่ ไดว้ บิ ัติไปจากความสขุ ที่

๑๑๓

ตนได้แล้วเลย
๖.ปัจฉิมายะ อนุทิสายะ สัพเพ สัตตา ลทั ธสุขะโต มา วคิ ัจฉนั ตุ

ขอสัตวท์ ้ังหลายทั้งปวงในทิศพายพั อยา่ ได้วิบตั ไิ ปจากความสขุ ท่ีตน
ได้แลว้ เลย
๗.อตุ ตรายะ อนทุ สิ ายะ สัพเพ สัตตา ลัทธสุขะโต มา วิคจั ฉนั ตุ
ขอสัตว์ทัง้ หลายท้ังปวงในทศิ อสิ าน อย่าได้วิบัติไปจากความสุขท่ีตน
ไดแ้ ลว้ เลย
๘.ทักขิณายะ อนุทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา ลัทธสขุ ะโต มา วคิ จั ฉนั ตุ
ขอสัตว์ทั้งหลายทง้ั ปวงในทศิ หรดี จงอยา่ ไดว้ ิบัติไปจากความสขุ
ทตี่ นได้แลว้ เลย

ออก ทิศเบ้ืองล่าง เบอื้ งบน
๙.เหฏฐิมายะ ทิสายะ สพั เพ สตั ตา ลทั ธสุขะโต มา วิคัจฉนั ตุ
ขอสตั วท์ ้ังหลายทง้ั ปวงในทิศเบือ้ งลา่ งอย่าไดว้ ิบตั ิไปจากความสขุ
ท่ตี นไดแ้ ล้วเลย
๑๐.อปุ ริมายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา ลัทธสุขะโต มา วคิ จั ฉันตุ

ขอสัตว์ทง้ั หลายทงั้ ปวงในทศิ เบอื้ งบนอย่าได้วิบตั ไิ ปจากความสขุ
ทีต่ นไดแ้ ลว้ เลย
เมือ่ จบออกทิศมุทติ าพรหมวหิ ารแลว้ ครบทง้ั ๔ บท บทละ ๑๐ ทศิ แลว้ ใหอ้ าราธนาดู
๔ ทศิ อาราธนาดู ๘ ทศิ อาราธนาดู ๑๐ ทศิ แล้วเวยี นทิศเป็นทักษณิ าวัตรอีก ๔ รอบ

อาราธนา พจิ ารณาดู ๔ ทศิ ใหญ่
ข้าฯขออาราธนา เพอื่ ขอพิจารณาดู ๔ ทศิ ใหญ่ คือ ทิศบูรพา ทศิ ปจั จมิ ทิศอุดร ทศิ
ทักษิณ ใหอ้ าราธนาตามแบบ เมือ่ เหน็ ครบท้งั ๔ ทิศแล้ว ใหอ้ อกไปดใู หค้ รบทุกทิศ แล้ว
กลบั มาที่เดิม

--------------------
อาราธนา พจิ ารณาดู ๘ ทศิ
ขา้ ฯขออาราธนา เพือ่ ขอพจิ ารณาดู ๘ ทิศ คอื ทศิ บูรพา ทิศปจั จิม ทิศอดุ ร ทิศทักษณิ
ทิศอาคเนย์ ทิศพายพั ทศิ อิสาน ทศิ หรดี ให้อาราธนาตามแบบ เมอ่ื เหน็ ครบทัง้ ๘ ทิศแลว้ ให้
ออกไปดูให้ครบทัง้ ๘ ทิศแล้วกลบั มาทีเ่ ดมิ แลว้ ออกจากสมาธิด้วยสุขี

๑๑๔

อาราธนา พจิ ารณาดู ๑๐ ทศิ

ขา้ ฯขออาราธนา เพ่อื ขอพจิ ารณาดู ๑๐ ทิศ คอื ทิศบูรพา อาคเนย์ ทักษณิ หรดี ปจั จิม

พายับ อุดร อิสาน ทศิ เบ้ืองลา่ ง ทศิ เบ้อื งบน ใหอ้ าราธนาตามแบบ เมอ่ื เหน็ ครบทั้ง ๑๐ ทิศ

แลว้ ให้ออกไปดูให้ทั้ง ๑๐ ทศิ แล้วกลับมาท่ีเดมิ แลว้ ออกจากสมาธิ ด้วยสุขี

เวยี นทศิ เปน็ ทักษณิ าวตั ร ๔ รอบ

การเวียนทิศใหเ้ ร่ิมเวยี นแตท่ ิศ บูรพา อาคเนย์ ทักษณิ หรดี ปัจจมิ พายัพอุดรอิสานรอบ

แรก

เวยี นรอบแรกให้ภาวนาว่า สพั เพ สัตตา ลทั ธสัมปตั ตโิ ต มา วคิ จั ฉันตุ

เวยี นรอบที่สองให้ภาวนาว่า สัพเพ สตั ตาลัทธยสโต มา วิคจั ฉนั ตุ

เวียนรอบท่สี ามภาวนาว่า สัพเพ สตั ตาลทั ธปสงั สโต มา วิคัจฉนั ตุ

เวยี นรอบที่สภี่ าวนาว่า สพั เพ สัตตา ลทั ธสขุ ะโต มา วิคจั ฉนั ตุ

เมื่อเวียนครบ ๔ รอบสดุ ท้ายแล้ว ใหพ้ จิ ารณาขน้ึ ไปข้างบนใหเ้ ห็นสวา่ งตลอดขน้ึ ไป

แล้วแลตลอดลงมาเบอ้ื งล่าง ใหเ้ ห็นสัตวน์ รกอยู่ แล้วเอาจติ หักโซต่ รวน พาสตั ว์นรกขึ้นมาให้

หมด

๑๑๕

คาแผม่ ุทติ าพรหมวหิ ารรอบนอก
ทั้งอุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ
๑.สพั เพ สัตตา ลทั ธสัมปตั ติโต มา วิคัจฉนั ตุ ขอสัตวท์ ั้งหลายท้ังสิ้น จงอย่า
ไดว้ บิ ัตไิ ปจากสมบตั ิที่ตนได้แล้วเลย
๒.สัพเพ สัตตา ลัทธยสโต มา วคิ ัจฉันตุ ขอสตั ว์ทง้ั หลายท้ังส้ิน จงอยา่ ไดว้ ิบตั ิ
ไปจากลาภ ยศที่ตนได้แลว้ เลย
๓.สัพเพ สัตตาลทั ธปสงั สโต มา วิคัจฉนั ตุ ขอสัตว์ท้งั หลายทั้งสน้ิ จงอยา่ ได้วิบตั ไิ ปจาก
ความสรรเสรญิ ท่ตี นไดแ้ ลว้ เลย
๔.สัพเพ สัตตา ลทั ธสัมปัตตโิ ต มา วคิ ัจฉันตุ ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งส้นิ จงอยา่ ได้
วิบตั ไิ ปจากความสขุ ท่ตี นได้แลว้ เลย
แผม่ ทุ ิตารอบนอก ๔ บท ให้แผ่มทุ ติ าในตนเองก่อนขา้ งตน้ แล้วจึงใหภ้ าวนาคาแผ่มุทิตา
รอบนอก โดยอาราธนาเอา อปุ จารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ กอ่ น เมือ่ ได้ อุปจารสมาธิ แล้ว เอา
อปั ปนาสมาธิ บทหน่ึง นัง่ ๒ คร้ัง จนครบ ๔ บท

จบมุทติ า
อุเบกขาพรหมวิหาร
อเุ บกขาคอื ความวางเฉย เมตตา กรุณา มุทิตา นับเป็นภาวนาท่ียงั หยาบ เพราะยงั
ประกอบดว้ ยโสมนสั ตงั ทพ่ี ระพทุ ธองคต์ รสั ว่า ภกิ ษุมีใจสหรคตดว้ ยอุเบกขา แผ่ไปตลอดทศิ
หน่ึงอยู่ คอื แผ่อเุ บกขาไปยังสัตว์ทั้งปวง เหมือนอยา่ งได้เหน็ บุคคลคนหนึ่ง เป็นทีพ่ อใจก็มิใช่
ไม่พอใจกม็ ิใช่ แลว้ พึงวางเฉยอยฉู่ ะนั้น
ธรรมชาติใดวางเฉย ละซงึ่ ความขวนขวาย เข้าถงึ ความวางใจเป็นกลาง ธรรมชาตนิ นั้ ชอ่ื
ว่า อเุ บกขา อเุ บกขาเป็นเครือ่ งนาออกไปแห่งราคะ
คาอาราธนามทุ ติ าพรหมวิหาร
(ทง้ั อปุ จารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ)
ขา้ ฯขอภาวนาอเุ บกขาพรหมวหิ ารเจ้า เพอื่ ขอเอายงั อุปจารสมาธิ (อัปปนาสมาธิ) ในหอ้ ง
อเุ บกขาพรหมวิหารเจา้ น้ีจงได้ ขอพระพุทธเจา้ จงมาเปน็ ที่พึง่ แกข่ า้ ฯนเ้ี ถดิ ขอพระธรรมเจา้ ทั้ง
มวลจงมาเปน็ ที่พ่ึงแก่ขา้ ฯนีเ้ ถดิ ขอพระอริยสงฆ์เจ้าต้ังแรกแตพ่ ระมหาอัญญาโกญฑัญญะเถร
เจ้าโพ้นมาตราบเท่าถงึ สมมุติสงฆ์ในกาลบัดนี้ จงมาเป็นที่พ่ึงแก่ข้าฯน้เี ถดิ ขอพระอรยิ สงฆ์ตน้

๑๑๖

อันสอนพระกรรมฐานเจ้าท้ังมวลจงมาเป็นท่ีพ่งึ แกข่ ้าฯนีเ้ ถิด ขอพระกรรมฐานเจ้าทงั้ มวลจงมา
เป็นทพ่ี งึ่ แกข่ า้ ฯนเี้ ถดิ

อกุ าสะในท่นี ี้เล่าขา้ ฯจะขอเชญิ ปฏบิ ตั ิบูชาตามคาสง่ั สอนของพระสพั พัญญูโคดมเจ้า
เพอ่ื จะขอเอาอปุ จารสมาธิ(อปั ปนาสมาธิ) ในห้องอุเบกขาพรหมวิหารเจา้ น้ีจงได้ ขอจงเจา้ กูมา
บงั เกดิ ปรากฏอยใู่ นจักขุทวาร มโนทวาร กายทวาร แห่งข้าฯในขณะเมือ่ ขา้ ฯนั่งภาวนาอยนู่ ้ี
เถดิ

อิติปโิ ส ภควา อรห สมมฺ า สมพฺ ุทโธ วิชชาจรณสมฺปนฺโน สคุ โต โลกวิทู
อนุตฺตโร ปุรสิ ทมฺม สารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน พุทฺโธ ภควาติ

สมฺมาอรห สมมฺ าอรห สมฺมาอรห
อรห อรห อรห
คาแผอ่ เุ บกขารอบใน

๑. อห กมฺมสฺสโก โหมิ เรามีกรรมเป็นของของตน
๒. อห กมมฺ ทายาโท โหมิ เรามกี รรมเป็นมรดก
๓. อห กมฺมโยนี โหมิ เรามกี รรมเป็นกาเนิด
๔. อห กมมฺ พนธฺ ู โหมิ เรามีกรรมเปน็ เผา่ พันธ์ุ
๕. อห กมมฺ ปฏิสรโณ โหมิ เรามกี รรมเป็นท่ีพึ่งอาศัย

แผ่ออกทศิ อุเบกขาพรหมวิหาร ทสิ าผรณา ๑๐ ทศิ
เมื่อภิกษเุ จริญอุเบกขาพรหมวิหาร จนไดอ้ ุปจารสมาธิ และทาใหม้ ากซง่ึ สมาธิน้นั แล ก็
จะบรรลุอัปปนาสมาธิด้วย ภาวนานโุ ยคเพยี งน้ี ปฐมฌานทส่ี รหคตดว้ ยอุเบกขา ละองค์ ๕
เจริญองค์๕ อนั ได้บรรลแุ ล้วซึ่งปฐมฌาน ภิกษุจึงเจรญิ ใหม้ ากทาให้มากขน้ึ ไป
พระโยคาวจรน้นั ช่ือวา่ มีใจสหรคตดว้ ยอเุ บกขา แผไ่ ปตลอดทิศที่ ๑ อยู่ ทศิ ที่ ๒ ก็อยา่ ง
นน้ั ทศิ ท่ี ๓ ก็อย่างนนั้ ทศิ ท่ี ๔ ก็อย่างนัน้ ทิศเบอ้ื งบน เบ้อื งลา่ ง เบ้ืองขวาง เธอมีใจสหรคตดว้ ย
อุเบกขา มีใจกวา้ งขวาง ไมม่ ปี ระมาณ มีใจไมม่ เี วร ไม่มีความบีบคัน้ แผไ่ ปในทศิ ทงั้ ปวง
ตลอดโลกที่มสี รรพสตั ว์ โดยความเสมอกันในสรรพสัตว์ท้งั ปวงอยไู่ ด้ดว้ ยอานาจฌาน การ
กระทาอเุ บกขาได้ตา่ ง ย่อมสาเร็จแกพ่ ระโยคาวจรผูม้ จิ ิตถงึ อัปปนาสมาธดิ ้วยอานาจฌาน มี
ปฐมฌานเปน็ ตน้ มไิ ด้สาเร็จ แกเ่ พยี งผู้ได้อุปจารสมาธิ

๑๑๗

ออกทิศอุเบกขาพรหมวหิ ารนัน้ ใหอ้ าราธนาแบบเดิม ใหแ้ ผ่อุเบกขาในตนเองก่อน ๕
บท เพ่อื ใหจ้ ติ มพี ลังแล้วจึงภาวนาแผ่ออกทศิ ไปทลี ะทิศจนครบทง้ั ๑๐ ทศิ ทิศละ ๒ คร้ัง
อุปจารสมาธิ อปั ปนาสมาธิ

------------------

๑๑๘

ออกทิศอุเบกขาพรหมวิหาร บทที่ ๑
สพั เพ สตั ตา กมั มสั สกา

สตั ว์ทงั้ หลายท้ังส้นิ มกี รรมเปน็ ของของตน
ออก ทิศใหญ่ ๔ ทศิ

๑. ปุรัตถมิ ายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา กัมมัสสกา
สัตวท์ ั้งหลายทง้ั ส้ินในทิศบรู พา มีกรรมเป็นของของตน

๒. ปจั ฉิมายะ ทิสายะ สพั เพ สตั ตา กมั มัสสกา
สตั วท์ ้งั หลายทง้ั สิ้นในทิศปัจจมิ มีกรรมเป็นของของตน

๓. อตุ ตรายะ ทสิ ายะ สพั เพ สัตตา กมั มัสสกา
สัตวท์ ้งั หลายทัง้ สนิ้ ในทศิ อดุ ร มีกรรมเป็นของของตน

๔. ทักขิณายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา กัมมสั สกา
สตั ว์ทั้งหลายท้งั สิ้นในทิศทกั ษิณ มกี รรมเปน็ ของของตน
ออก ทศิ น้อย ๔ ทศิ

๕. ปรุ ัตถมิ ายะ อนุทิสายะ สัพเพ สตั ตา กมั มัสสกา
สัตว์ทัง้ หลายท้งั สน้ิ ในทิศอาคเนย์ มีกรรมเปน็ ของของตน

๖. ปัจฉิมายะ อนุทสิ ายะ สพั เพ สัตตา กมั มัสสกา
สัตว์ทั้งหลายท้ังส้นิ ในทศิ พายพั มีกรรมเปน็ ของของตน

๗. อตุ ตรายะ อนทุ ิสายะ สัพเพ สัตตา กมั มสั สกา
สัตวท์ ง้ั หลายทง้ั ส้ินในทศิ อสิ าน มีกรรมเป็นของของตน

๘. ทกั ขณิ ายะ อนุทสิ ายะ สัพเพ สัตตา กัมมสั สกา
สัตว์ท้งั หลายทั้งสิ้นในทศิ หรดี มีกรรมเป็นของของตน
ออก ทศิ เบื้องลา่ ง เบอ้ื งบน

๙. เหฏฐิมายะ ทิสายะ สัพเพ สัตตา กมั มสั สกา
สัตว์ทัง้ หลายท้ังสิ้นในทิศเบื้องล่าง มกี รรมเป็นของของตน

๑๐. อปุ ริมายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา กมั มัสสกา
สัตวท์ ้ังหลายทัง้ ส้ินในทิศเบอ้ื งบน มีกรรมเป็นของของตน
-----------------------------

๑๑๙

ออกทศิ อุเบกขาพรหมวิหาร บทที่ ๒
สัพเพ สตั ตา กมั มทายาทา

สตั วท์ ั้งหลายท้งั สน้ิ มีกรรมเปน็ มรดกของตน
ออก ทศิ ใหญ่ ๔ ทศิ

๑. ปรุ ัตถมิ ายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา กัมมทายาทา
สัตว์ทง้ั หลายทัง้ สน้ิ ในทศิ บูรพา มีกรรมเป็นมรดกของตน

๒. ปัจฉมิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา กัมมทายาทา
สัตว์ทั้งหลายทงั้ สิ้นในทศิ ปัจจมิ มกี รรมเปน็ มรดกของตน

๓. อุตตรายะ ทิสายะ สัพเพ สัตตา กมั มทายาทา
สตั ว์ท้ังหลายทงั้ ส้ินในทิศอุดร มกี รรมเปน็ มรดกของตน

๔. ทักขณิ ายะ ทสิ ายะ สพั เพ สัตตา กมั มทายาทา
สตั ว์ท้งั หลายทั้งสิ้นในทศิ ทกั ษณิ มีกรรมเป็นมรดกของตน
ออก ทศิ น้อย ๔ ทศิ

๕. ปุรตั ถมิ ายะ อนุทิสายะ สัพเพ สัตตา กัมมทายาทา
สัตวท์ ั้งหลายท้งั ส้ินในทศิ อาคเนย์ มกี รรมเปน็ มรดกของตน

๖. ปัจฉมิ ายะ อนุทิสายะ สพั เพ สัตตา กัมมทายาทา
สัตวท์ ัง้ หลายทัง้ สนิ้ ในทิศพายพั มกี รรมเป็นมรดกของตน

๗. อุตตรายะ อนทุ ิสายะ สัพเพ สัตตา กัมมทายาทา
สัตวท์ ั้งหลายทั้งส้ินในทิศอิสาน มกี รรมเป็นมรดกของตน

๘. ทักขณิ ายะ อนทุ สิ ายะ สัพเพ สัตตา กัมมทายาทา
สัตวท์ ้ังหลายท้งั สิน้ ในทิศหรดี มกี รรมเป็นมรดกของตน

ออก ทศิ เบ้อื งล่าง เบื้องบน
๙. เหฏฐมิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา กมั มทายาทา

สตั วท์ ั้งหลายทง้ั สน้ิ ในทิศเบือ้ งลา่ ง มกี รรมเป็นมรดกของตน
๑๐. อปุ รมิ ายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา กมั มทายาทา

สัตว์ทงั้ หลายทง้ั ส้นิ ในทิศเบอื้ งบน มกี รรมเปน็ มรดกของตน
---------------

๑๒๐

ออกทศิ อุเบกขาพรหมวิหาร บทที่ ๓
สพั เพ สัตตา กัมมโยนี

สัตว์ท้งั หลายท้ังสนิ้ มกี รรมเปน็ กาเนดิ ของตน
ออก ทศิ ใหญ่ ๔ ทศิ

๑. ปรุ ัตถมิ ายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา กมั มโยนี
สตั วท์ ง้ั หลายทง้ั สน้ิ ในทิศบรู พา มีกรรมเปน็ กาเนิดของตน

๒. ปจั ฉมิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา กมั มโยนี
สัตวท์ ้ังหลายทงั้ สน้ิ ในทิศปัจจมิ มกี รรมเปน็ กาเนดิ ของตน

๓. อุตตรายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา กัมมโยนี
สัตวท์ ั้งหลายท้งั ส้นิ ในทิศอดุ ร มกี รรมเปน็ กาเนดิ ของตน

๔. ทักขณิ ายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา กมั มโยนี
สัตวท์ ั้งหลายทัง้ สิ้นในทศิ ทกั ษณิ มีกรรมเป็นกาเนิดของตน
ออก ทศิ นอ้ ย ๔ ทศิ

๕. ปรุ ัตถิมายะ อนทุ สิ ายะ สัพเพ สัตตา กัมมโยนี
สัตวท์ ง้ั หลายทงั้ สิ้นในทิศอาคเนย์ มีกรรมเป็นกาเนดิ ของตน

๖. ปจั ฉมิ ายะ อนุทิสายะ สัพเพ สัตตา กัมมโยนี
สตั วท์ ้ังหลายทง้ั สิน้ ในทิศพายัพ มกี รรมเปน็ กาเนดิ ของตน

๗. อตุ ตรายะ อนุทิสายะ สัพเพ สัตตา กมั มโยนี
สัตวท์ ้งั หลายทั้งส้นิ ในทิศอิสาน มกี รรมเป็นกาเนิดของตน

๘. ทักขณิ ายะ อนุทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา กมั มโยนี
สัตว์ทง้ั หลายทง้ั ส้ินในทศิ หรดี มีกรรมเปน็ กาเนดิ ของตน
ออก ทิศเบ้ืองล่าง เบื้องบน

๙. เหฏฐิมายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา กมั มทายาทา
สัตวท์ งั้ หลายทั้งสน้ิ ในทศิ เบ้อื งลา่ ง มกี รรมเปน็ กาเนิดของตน

๑๐.อุปริมายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา กัมมทายาทา
สตั ว์ท้ังหลายท้งั สิน้ ในทศิ เบือ้ งบน มีกรรมเป็นกาเนิดของตน
-------------------

๑๒๑

ออกทิศอุเบกขาพรหมวิหาร บทที่ ๔
สัพเพ สัตตา กมั มพันธู

สตั ว์ทง้ั หลายทง้ั สน้ิ มีกรรมเป็นเผา่ พันธ์ขุ องตน
ออก ทิศใหญ่ ๔ ทศิ

๑. ปรุ ัตถิมายะ ทิสายะ สพั เพ สตั ตา กัมมพนั ธู
สัตวท์ ง้ั หลายทง้ั สิ้นในทิศบรู พา มกี รรมเปน็ เผา่ พนั ธุข์ องตน

๒. ปัจฉมิ ายะ ทิสายะ สพั เพ สัตตา กมั มพนั ธู
สตั ว์ทง้ั หลายทง้ั ส้นิ ในทศิ ปัจจมิ มีกรรมเป็นเผา่ พันธ์ุของตน

๓. อตุ ตรายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา กัมมพันธู
สัตวท์ ้ังหลายท้งั สนิ้ ในทศิ อุดร มีกรรมเป็นเผ่าพันธขุ์ องตน

๔. ทกั ขิณายะ ทิสายะ สัพเพ สตั ตา กัมมพันธู
สตั ว์ทง้ั หลายทั้งสนิ้ ในทศิ ทกั ษณิ มีกรรมเป็นเผา่ พันธ์ขุ องตน
ออก ทิศน้อย ๔ ทศิ

๕. ปรุ ตั ถิมายะ อนุทสิ ายะ สัพเพ สตั ตา กมั มพันธู
สตั ว์ทั้งหลายทั้งสนิ้ ในทศิ อาคเนย์ มกี รรมเปน็ เผา่ พันธุข์ องตน

๖. ปจั ฉิมายะ อนุทิสายะ สพั เพ สัตตา กัมมพันธู
สัตว์ทั้งหลายท้ังสิน้ ในทิศพายัพ มีกรรมเปน็ เผ่าพนั ธุ์ของตน

๗. อุตตรายะ อนทุ สิ ายะ สพั เพ สตั ตา กัมมพันธู
สัตว์ทั้งหลายทัง้ ส้ินในทิศอิสาน มกี รรมเปน็ เผา่ พนั ธข์ุ องตน

๘. ทกั ขิณายะ อนทุ ิสายะ สัพเพ สตั ตา กัมมพันธู
สัตว์ท้ังหลายท้ังสิ้นในทิศหรดี มกี รรมเปน็ เผา่ พนั ธ์ขุ องตน
ออก ทิศเบ้อื งลา่ ง เบือ้ งบน

๙. เหฏฐมิ ายะ ทิสายะ สพั เพ สตั ตา กมั มพนั ธู
สัตวท์ ั้งหลายทัง้ สน้ิ ในทิศเบอ้ื งล่าง มกี รรมเปน็ เผา่ พนั ธ์ขุ องตน

๑๐. อปุ รมิ ายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา กัมมพันธู
สัตว์ทง้ั หลายท้ังส้นิ ในทศิ เบอ้ื งบน มีกรรมเปน็ เผา่ พนั ธุข์ องตน

๑๒๒

ออกทิศอุเบกขาพรหมวิหาร บทที่ ๕
สพั เพ สตั ตา กมั มปฏิสรณา

สัตว์ทั้งหลายทง้ั สิ้น มกี รรมเป็นท่ีพึง่ อาศัยของตน
ออก ทศิ ใหญ่ ๔ ทศิ

๑. ปรุ ัตถมิ ายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา กัมมปฏิสรณา
สตั วท์ ั้งหลายท้ังส้นิ ในทิศบูรพา มีกรรมเป็นที่พง่ึ อาศัยของตน

๒. ปจั ฉมิ ายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา กัมมปฏสิ รณา
สัตวท์ งั้ หลายทัง้ ส้นิ ในทศิ ปัจจิม มกี รรมเปน็ ทีพ่ ึง่ อาศัยของตน

๓. อตุ ตรายะ ทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา กมั มปฏสิ รณา
สตั วท์ ั้งหลายทง้ั สนิ้ ในทศิ อุดร มีกรรมเป็นทีพ่ ึ่งอาศัยของตน

๔. ทกั ขณิ ายะ ทสิ ายะ สัพเพ สัตตา กัมมปฏสิ รณา
สัตวท์ ง้ั หลายท้ังส้นิ ในทิศทักษณิ มกี รรมเปน็ ท่พี ง่ึ อาศัยของตน

ออก ทศิ นอ้ ย ๔ ทศิ
๕. ปรุ ัตถิมายะ อนทุ สิ ายะ สัพเพ สัตตา กมั มปฏิสรณา

สตั วท์ ั้งหลายในทศิ อาคเนย์ มกี รรมเปน็ ที่พง่ึ อาศัยของตน
๖. ปัจฉิมายะ อนุทสิ ายะ สพั เพ สตั ตา กมั มปฏิสรณา

สตั วท์ ง้ั หลายในทิศพายัพ มกี รรมเป็นที่พง่ึ อาศยั ของตน
๗. อุตตรายะ อนุทิสายะ สัพเพ สตั ตา กมั มปฏิสรณา

สัตวท์ ั้งหลายในทิศอสิ าน มีกรรมเป็นทีพ่ ่ึงพงิ อาศัยของตน
๘. ทักขณิ ายะ อนทุ ิสายะ สัพเพ สตั ตา กมั มปฏิสรณา

สัตวท์ งั้ หลายในทศิ หรดี มีกรรมเป็นท่ีพึง่ พงิ อาศยั ของตน
ออก ทศิ เบอื้ งล่าง เบ้ืองบน

๙. เหฏฐิมายะ ทิสายะ สัพเพ สัตตา กมั มปฏสิ รณา
สัตว์ทงั้ หลายในทิศเบอื้ งลา่ ง มีกรรมเปน็ ท่พี ึง่ พงิ อาศัยของตน

๑๐. อุปรมิ ายะ ทิสายะ สพั เพ สตั ตา กมั มปฏสิ รณา
สตั ว์ทัง้ หลายในทิศเบอื้ งบน มีกรรมเป็นท่พี ่งึ พิงอาศัยของตน
----------------------

๑๒๓

เมื่อจบออกทิศอเุ บกขาพรหมวหิ ารแลว้ ครบทั้ง ๕ บท บทละ ๑๐ ทศิ แลว้ ใหอ้ าราธนาดู

๔ ทิศ อาราธนาดู ๘ ทศิ อาราธนาดู ๑๐ ทิศ แลว้ เวยี นทิศเป็นทักษณิ าวตั รอีก ๕ รอบ

อาราธนา พิจารณาดู ๔ ทศิ ใหญ่

ข้าฯขออาราธนา เพ่ือขอพิจารณาดู ๔ ทิศใหญ่ ในห้องอเุ บกขาพรหมวิหาร คือ ทศิ

บรู พา ทศิ ปจั จิม ทิศอดุ ร ทิศทกั ษณิ ให้อาราธนาตามแบบ เมอื่ เหน็ ครบทง้ั ๔ ทิศแล้ว ให้

ออกไปดูใหค้ รบทกุ ทิศ แลว้ กลับมาท่เี ดิม

อาราธนา พจิ ารณาดู ๘ ทศิ

ขา้ ฯขออาราธนา เพอ่ื ขอพจิ ารณาดู ๘ ทศิ ในห้องอเุ บกขาพรหมวิหาร คอื ทิศบรู พา

ทิศปัจจมิ ทิศอุดร ทิศทักษณิ ทิศอาคเนย์ ทิศพายัพ ทิศอสิ าน ทิศหรดี ให้อาราธนาตามแบบ

เมื่อเห็นครบท้งั ๘ ทศิ แล้ว ให้ออกไปดูให้ครบท้ัง ๘ ทิศ

อาราธนา พจิ ารณาดู ๑๐ ทศิ

ข้าฯขออาราธนา เพอ่ื ขอพิจารณาดู ๑๐ ทศิ คือ ทิศบูรพา อาคเนย์ ทักษณิ หรดี ปัจจิม

พายพั อุดร อสิ าน ทิศเบื้องล่าง ทศิ เบือ้ งบน ให้อาราธนาตามแบบ เม่อื เห็นครบทงั้ ๑๐ ทศิ

แลว้ ใหอ้ อกไปดใู ห้ทงั้ ๑๐ ทิศ แล้วกลับมาท่เี ดมิ แล้วออกจากสมาธิ

เวียนทิศเปน็ ทักษณิ าวัตร ๕ รอบ

เวียนรอบแรกใหภ้ าวนาว่า สพั เพ สตั ตา กมั มัสสกา

เวยี นรอบที่สองใหภ้ าวนาว่า สพั เพ สัตตา กมั มทายาทา

เวียนรอบท่ีสามใหภ้ าวนาว่า สพั เพ สัตตา กมั มโยนิ

เวียนรอบที่ส่ใี หภ้ าวนาว่า สพั เพ สัตตา กัมมพนั ธู

เวยี นรอบทห่ี ้าให้ภาวนาว่า สัพเพ สัตตา กมั มปฏิสรณา

เมือ่ เวยี นรอบท่ีห้าสดุ ท้ายแล้ว ใหพ้ จิ ารณาขา้ งบนใหเ้ หน็ ตลอดขน้ึ ไป แลว้ แลลงมาเบ้อื ง

ล่าง ใหเ้ ห็นสัตวน์ รกอย่แู ล้ว ให้เอาจิตหกั โซต่ รวน พาสัตว์นรกขน้ึ มาใหห้ มด

แผ่อเุ บกขาพรหมวิหารรอบนอก ๕ บท

๑. สัพเพ สตั ตา กมั มสั สกา สตั ว์ทงั้ หลายทั้งสนิ้ มกี รรมเป็นของของตน

๒. สัพเพ สัตตา กมั มทายาทา สัตว์ทั้งหลายท้ังสนิ้ มีกรรมเปน็ มรดกของตน

๓. สพั เพ สตั ตา กมั มโยนิ สัตวท์ ้งั หลายทัง้ สน้ิ มกี รรมเปน็ กาเนดิ ของตน

๔. สพั เพ สตั ตา กัมมพันธู สตั วท์ ้งั หลายทัง้ สิน้ มกี รรมเป็นเผ่าพนั ธ์ุของตน

๕. สัพเพ สตั ตา กมั มปฏิสรโณ สัตวท์ ัง้ หลายท้ังสิ้นมีกรรมเป็นทพ่ี ึ่งอาศัยของตน

๑๒๔

ให้แผอ่ เุ บกขา ๕ รอบ (รอบนอก) ใหแ้ ผ่ในตนเองก่อน แลว้ จึงแผอ่ เุ บกขารอบนอก
ท้งั อุปจารสมาธิ และ อปั ปนาสมาธิ จนครบ ๕ บท

๑๒๕

คาอาราธนาอาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา
ขา้ ฯขอภาวนาอาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา เพือ่ จะขอเอาอปุ จารสมาธิ ในห้องอาหาเรปฏกิ ูล
สัญญา ในบทอันชื่อวา่ คมนโต น้จี งได้ ขอพระพทุ ธเจา้ จงมาเป็นทีพ่ ง่ึ แกข่ ้าฯน้เี ถดิ ฯลฯ ขอพระ
กรรมฐานเจา้ จงมาเปน็ ที่พ่ึงแกข่ ้าฯนเ้ี ถดิ
อกุ าสะในทน่ี เี้ ล่า ข้าฯจะขอปฏิบัตบิ ชู าตามคาส่ังสอนของพระสัพพญั ญโู คดมเจ้า เพ่ือ
จะขอเอายงั อปุ จารสมาธิ ในหอ้ งอาหาเรปฏิกูลสัญญา ในบทอันชือ่ วา่ คมนโต นจี้ งได้ ขอจงเจา้
กูมาบงั เกดิ ปรากฏ ในจกั ขทุ วาร มโนทวาร กายทวาร แหง่ ข้าฯในขณะเมอ่ื ขา้ ฯน่งั ภาวนาอยู่น้ี
เถิด

อิติปโิ สฯลฯ ภควาติ สมั มาอะระหงั ๓ ที อะระหงั ๓ ที
คาภาวนาอาหาเรปฏิกูลสัญญา

๑.คมนโต ปฏิกูลัง
๒.ปริเยสนโต ปฏกิ ูลัง
๓.ปริโภคโต ปฏกิ ูลัง
๔.อาสยโต ปฏิกลู งั
๕.นธิ านโต ปฏกิ ูลัง
๖.อปริปกฺโต ปฏิกูลัง
๗.ปรปิ กฺโต ปฏกิ ูลงั
๘.ผลโต ปฏิกลู ัง
๙.นิสสนฺทโต ปฏกิ ลู ัง
๑๐.สมมฺ กฺขนโต ปฏิกลู งั
อธบิ าย อาหาเรปฏิกูลสญั ญา อาหาเรปฏิกูลสญั ญา คอื ความสาคัญหมายว่า ไม่สะอาดใน
อาหาร แปลว่า สภาพผนู้ ามา อาหารมี ๔ อย่าง
๑.กวฬิงการาหาร ย่อมนามาซ่ึงโอชาในรสอาหาร
๒.ผัสสาหาร ยอ่ มนาเวทนามา มี สุข เปน็ ต้น
๓.มโนสัญเจตนาหาร ย่อมนาปฏสิ นธิ ในภพ ๓ มา
๔.วญิ ญาณาหาร ย่อมนาอายตนะภายนอก ๖ มา
อาหาร ๔ อย่างภัยยอ่ มนามา มี กวฬงิ การาหาร ภัยคอื ความเข้าไปหา ย่อมมเี พราะ
ผัสสาหาร คอื การเข้าถงึ ย่อมมีในมโนสญั เจตนาหาร ภยั คอื ปฏสิ นธิ ยอ่ มมใี นวญิ ญาณาหาร ใน

๑๒๖

อาหารท้ังหลายมภี ัยจาเพาะ จงึ ควรสอนตนดว้ ยพทุ โธวาท กวฬงิ การาหาร เปรียบด้วยเนือ้ บุตร
ผสั สาหาร เปรยี บดว้ ยโคถลกหนงั มโนสญั เจตนาหาร เปรยี บด้วยหลุมถา่ นเพลิง วญิ ญาณาหาร
เปรยี บด้วยหอกหลาว

ในอาหาร ๔ น้ีหมายเอา กวฬิงการาหาร อาหารเป็นคาๆถือเอาทป่ี ฏิกูลในอาหาร ความ
ปฏิกลู ในกพฬิงการาหาร แยกเป็น ของกิน ของดม่ื ของเคย้ี ว ของลมิ้ โดยอาการ ๑๐ คือ โดยการ
เดินไป-โดยการแสวงหา-โดยการบริโภค-โดยการผสมกลนื ไป-โดยการพกั ในกระเพาะอาหาร-
โดยยังไม่ยอ่ ย- โดยผล –โดยการไหลออก- โดยความเปรอะเป้ือน

๑.ปฏิกูลโดยการเดนิ ไป(คมนโต) พระโยคาวจรพิจารณาเหน็ ปฏกิ ูลเมอื่ ถือบาตรและจวี ร
เดนิ ไปในท่ชี นไม่เบียดเสียด มุง่ สู่หมู่บา้ นเพือ่ ตอ้ งการอาหาร ดังสนุ ัขจ้ิงจอกมุ่งหน้าสปู่ ่าชา้ ต้อง
เจอปฏกิ ลู ด้วยปัสสาวะ อุจจาระ น้าลาย น้ามกู ซากสุนัข ซากโค ซากงู สง่ กลน่ิ เหม็นมากระทบ
จมูก

๒.ปฏิกลู โดยการแสวงหา(ปรเิ ยสนโต) ตอ้ งถือบาตรด้วยมือข้างหนงึ่ ยกจีวรด้วยมอื ขา้ ง
หนงึ่ ถึงประตูเรือน ต้องย่า หลมุ โสโครก แอ่งนา้ ครา มลู สนุ ัข มลู สกุ ร พระโยคาวจรพึงพจิ ารณา
เห็นดงั นีว้ า่ โอ ปฏิกลู จรงิ หนอ

๓.ปฏกิ ูลโดยการบรโิ ภค(ปรโิ ภคโต) เธอหย่อนมอื ลงขยาอาหารอยู่ เหงื่อออกตามนิว้ ทั้งห้า
บิณฑบาตน้ันเสียความงาม โขลกด้วยสาก คือ ฟนั พลิกไปด้วยล้นิ ราวกะข้าวในรางสุนขั ของดี
กลบั กลายเปน็ ของปฏกิ ูลนา่ เกลียดอย่างย่งิ

๔.ปฏกิ ลู โดยอาสยะ(อาสยะโต) พจิ ารณาวา่ อาหารทไ่ี ดบ้ รโิ ภคเข้าไปแลว้ น้ี มีอาโปอยู่ใน
ลาไสอ้ อกมาผสมท่ีกลนื ลงไปในลาไส้ เมื่อกาลงั เข้าไปในลาไส้ ยอ่ มเปรอะเป้ือนดว้ ยนา้ ดี
เสมหะ หนอง เสลด โลหิต เหมือนยางมะซางข้นๆนา่ เกลียดย่งิ นกั

๕.ปฏกิ ูลโดยพักอยใู่ นกระเพาะอาหาร(นธิ านโต) อาหารทีก่ ลืนเขา้ ไปเปอ้ื นด้วยน้าดี
เสมหะ หนอง เลอื ด เขา้ ไปพกั อยใู่ นกระเพาะเช่นหลมุ คถู อุจจาระ อนั ไม่ไดล้ ้างมา ๑๐ ปบี า้ ง
๕๐ ปีบา้ ง ๑๐๐ ปบี า้ ง

๖.ปฏกิ ลู โดยยงั ไมย่ ่อย(อปรปิ กั โต) อาหารทีก่ ลนื ลงไปวันน้นั วนั นบ้ี ้าง วันกอ่ นบา้ ง อนั ฝ้า
และเสมหะปิดคลุมไว้ เปน็ ฟอง เป็นตอ่ ม ระอุสนั ดาปในร่างกายอบเอา มดื มิดตลบด้วยกลิ่นซาก
สตั วด์ ังปา่ ชา้ ส่งกล่ินนา่ เกลยี ดปฏกิ ูล

๗.ปฏิกูลโดยยอ่ ยแลว้ (ปริปักโต) อาหารเปน็ ส่งิ ย่อยแล้วในรา่ งกายดว้ ยไฟธาตุ กลายเป็น
อจุ จาระ เหมอื นดินสีเหลืองท่เี ขาบดเขา้ บรรจุไว้ในกระบอก กลายเปน็ มูตรไป

๑๒๗

๘.ปฏกิ ลู โดยผล(ผลโต) อาหารยอ่ ยดีแล้วจงึ ผลติ ซากตา่ งๆ มขี น ผม เลบ็ ฟัน เปน็ ต้น ถา้
ย่อยไม่ดีก่อโรค ๑๐๐ ชนดิ เช่น เรอ้ื น กลาก หดื ไอ เป็นตน้ นี่ผลมัน

๙.ปฏิกูลโดยการไหลออก (นสิ สนั ทโต) อาหารเมอื่ กลนื ลงไปในช่องเดียว ไหลออกหลาย
ช่อง เชน่ ขี้หู ข้ตี า อุจจาระ ปัสสาวะเมอ่ื ออกมาสง่ กลิ่นเหม็นนา่ เกลียด

๑๐.ปฏิกลู โดยความเปลื้อน(สมั มกั ขนโต) อาหารเมอ่ื กินก็เปื้อนมอื ปาก เพดานปาก เป็น
ปฏกิ ูลเพราะถูกอาหาร เมื่อออกกเ็ ปอ้ื นทวาร มี ช่องหู ช่องตา ช่องจมูก ช่องทวารหนัก ชอ่ ง
ทวารเบา ทวารเหล่านีก้ ็เป้ือน

อาหาเรปฏกิ ลู สัญญาฌาน
เม่ือเจรญิ กวฬงิ การาหารยอ่ มปรากฏเป็นปฏิกลู เม่อื เจริญมากๆทาใหม้ ากซ่งึ นิมติ
นิวรณธรรมทัง้ หลายย่อมระงับ จิตตงั้ มน่ั เปน็ อุปจารสมาธไิ ม่ถงึ อัปปนาสมาธิ เพราะ กวฬิงการา
หารเปน็ สภาพลกึ

อานิสงส์แห่งอาหาเรปฏิกูลสัญญา
ภิกษุประกอบเนืองๆซึง่ กวฬงิ การาหารสัญญานี้ จติ ย่อมถอย ย่อมหด จากรสตณั หา
ปราศจากความมัวเมาในการกนิ อาหาร เธอจะกาหนดรปู ขนั ธ์ได้โดย ความกาหนดรเู้ บญจกาม
คณุ

คาอาราธนาจตุธาตุววัฏฐาน
ขา้ ฯขอภาวนา ปฐวีโกฏฐาส เพือ่ จะขอเอา อุปจารสมาธิ ในห้อง จตุธาตวุ วัฏฐาน เจ้านี้จง
ได้ ขอพระพทุ ธเจ้าจงมาเปน็ ท่พี ่งึ แก่ข้าฯนเ้ี ถดิ ฯลฯ ขอพระกรรมฐานเจ้าทง้ั มวลจงมาเป็นท่ีพ่ึง
แกข่ า้ ฯนีเ้ ถดิ
อกุ าสะ ในทีน่ ้เี ลา่ ข้าฯจะขอปฏิบัตบิ ชู าตามคาสง่ั สอนของพระสพั พญั ญูโคดมเจ้า เพ่ือ
จะขอเอา ปฐวโี กสฐาส ในห้องอปุ จารสมาธิจตุธาตุววัฏฐานเจา้ นจ้ี งได้ ขอจงเจ้ากมู าบงั เกดิ
ปรากฏอยู่ในจักขุทวาร มโนทวาร กายทวาร แห่งขา้ ฯในขณะเมื่อขา้ ฯนง่ั ภาวนาอยู่นี้เถิด

อิตปิ ิโส ฯลฯ ภะคะวาติ สัมมาอะระหัง ๓ ที อะระหงั ๓ ที
ปฐวี ๒๐ โกฏฐาส

เกสา-ผมท้งั หลาย โลมา-ขนท้งั หลาย นขา-เล็บท้ังหลาย ทนฺตา-ฟันท้งั หลาย ตโจ-หนงั
มงฺส-เนอื้ นหาร-ู เอ็นทง้ั หลาย อฏฺฐิ-กระดูกท้ังหลาย อฏฐฺ มิ ิญช-เยอื่ ในกระดูก วกฺก-ม้าม หทย-
หัวใจ ยกน-ตับ กิโลมก-พงั ผืด ปหิ ก-ไต ปปฺผาส-ปอด อนฺต-ไสใ้ หญ่ อนฺตคุณ-ไสน้ อ้ ย อุทรยิ -
อาหารใหม่ กรสี -อาหารเกา่ มตฺถลงุ ค-มนั ในสมอง ปฐวีธาตุ มคี วามตง้ั อยู่เปน็ อารมณ์

๑๒๘

อาโป ๑๒ โกฏฐาส
ปติ ต-ดี เสมห-เสมหะ ปพุ ฺโพ-นา้ หนอง โลหิต-เลอื ด เสโท-เหงอ่ื เมโท-มันขน้ อสฺสุ-นา้ ตา
วสา-มันเหลว เขโฬ-น้าลาย สิงฺฆาณิกา-นา้ มกู ลสิกา-ไขข้อ มตุ ต-นา้ มูตร อาโปธาตุ มีการไหลลง
เปน็ อารมณ์

๑๒๙

เตโช ๔ โกฏฐาส
๑.สนฺตปปฺ คคฺ ี ไดแ้ กไ่ ฟธาตทุ าให้อบอุ่นกาย
๒.ปริทยหฺ คฺคี ไฟธาตุให้กายร้อนกระวนกระวาย
๓.ชริ นคฺคี ไฟธาตเุ ผากายใหแ้ ก่ชราครา่ คร่า
๔.ปรณิ ามคคฺ ี ไฟธาตุอนั เผาอาหารให้ยอ่ ยยบั

เตโชธาตุ มกี ารทาให้ลอยเปน็ อารมณ์
วาโย ๖ โกฏฐาส

๑.อทุ ธงฺคมาวาตา ลมพัดแต่พน้ื เทา้ ขึน้ เบอ้ื งบน
๒.อโธคมาวาตา ลมพัดเบื้องบนลงเบอ้ื งตา่
๓.กุจฉิสยาวาตา ลมพดั ในทอ้ ง
๔.โกฏฐาสยาวาตา ลมพัดอยู่ในลาไส้
๕.องคฺ มงคฺ านสุ าริโนวาตา ลมพัดซา่ นท่วั สรรพางค์กาย
๖.อสฺสาสปสฺสาสวาตา ลมหายใจเขา้ - ออก
วาโยธาตุ มกี ารเคลอื่ นไปเปน็ อารมณ์
จตุธาตวุ วัฏฐาน คือการวิเคราะหธ์ าตุ ๔ ตัง้ จิตไว้ในธาตุ ๔ คอื ดนิ นา้ ลม ไฟ ในรา่ งกาย
ดิน มลี กั ษณะแข้นแขง็ หยาบกระดา้ ง นา้ มีลักษณะเอบิ อาบ ไหลไป ความ ซึมซาบ ไฟ ทาให้
รอ้ นเป็นของร้อน ลม ความเป็นสง่ิ ทาใหฟ้ งุ้ ไป การไหวตัวได้ ธาตุ ท้งั ปวงได้ชอื่ วา่ รูป

คาอาราธนาอรูปฌานสมาบัติ
ขา้ ฯขอภาวนา อรปู ฌานสมาบตั ิเจ้า เพือ่ ขอเอาอุปจารสมาธิ(อัปปนาสมาธิ) ในหอ้ ง อา
กาสานญั จายตนอรูปฌานสมาบตั ิเจ้านจ้ี งได้ ขอพระพุทธเจา้ จงมาเป็นทีพ่ ึ่งแกข่ า้ ฯนเ้ี ถิด ฯลฯ
ขอพระกรรมฐานเจา้ ทงั้ มวลจงมาเปน็ ท่ีพ่งึ แกข่ า้ ฯนเี้ ถดิ
อุกาสะในที่นเ้ี ลา่ ข้าฯจะขอปฏบิ ัตบิ ชู าตามคาสั่งสอนของพระสพั พญั ญโู คดมเจา้ เพ่อื จะ
ขอเอา อรูปฌานสมาบตั เิ จ้า ในห้อง อปุ จารสมาธิ(อัปปนาสมาธิ) อากาสานญั จายตนอรปู ฌาน
สมาบตั ิ เจ้านจ้ี งได้ขอจงเจ้ากูมาบังเกิดปรากฏอยู่ใน จกั ขทุ วาร มโนทวาร กายทวาร แห่งขา้
ในขณะเมือ่ ขา้ ฯนง่ั ภาวนาอยู่น้เี ถิด

อิติปโิ ส ฯลฯ ภควาติ สมมฺ าอรห ๓ ที อรห ๓ ที

๑๓๐

คาภาวนาอรปู ฌานสมาบตั ิ

๑.อากาโส อนนฺโต อากาศแผ่นดนิ ไมม่ เี ลย

๒.วญิ ญาณ อนนฺต สมาธิดับอากาศ มกี าลงั กายเบา

๓.นตถฺ ิ กญิ จิ นัง่ สบายอยเู่ งียบๆ ในทก่ี ายยนิ ดี เปน็ สุข ไม่ทุกข์ ไม่ร้อน

๔.เอต สนตฺ เอต ปณตี ปรากฏเงยี บแน่ ไม่รู้วา่ หายใจ ไมร่ วู้ า่ อย่ทู ี่ไหน

ปฐม อรูปฌานสมาบัติ มวี ิสทุ ธธิ รรม ๓๐

(อากาสานญั จายตนะ)

ปฐมอรูปฌาน ปริตตะ ปฐมอรปู ฌาน มัชฌมิ ะ ปฐมอรปู ฌาน ปณีตะ

บริสุทธิ์จาก รูปสญั ญา บรสิ ุทธจ์ ากรูปสัญญา บริสทุ ธจิ์ ากรูปสัญญา

ทตุ ยิ อรปู ฌานสมาบัติ มวี สิ ุทธิธรรม ๓๐ (วิญญาณัญจายตนะ)

ทตุ ยิ อรปู ฌาน ปรติ ตะ ทตุ ิยะอรูปฌาน มัชฌิมะ ทตุ ยิ ะอรูปฌาน ปณตี ะ

วิสทุ ธิจาก อากาสฯ วิสุทธิจากอากาสฯ วิสุทธิจากอากาสฯ

ตตยิ อรปู ฌานสมาบตั ิ มีวสิ ุทธธิ รรม ๓๐

(อากิญจญั ยายตนะ)

ตติยอรูปฌาน ปรติ ตะ ตตยิ อรูปฌาน มัชฌมิ ะ ตติยอรปู ฌาน ปณีตะ

บริสทุ ธจ์ิ าก วญิ ญาณฯ บรสิ ุทธจิ์ ากวิญญาณฯ บริสทุ ธ์ิจากวิญญาณฯ

จตตุ ถะ อรูปฌานสมาบัตมิ ีวสิ ทุ ธ์ธรรม ๓๐

(เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ)

จตตุ ถอรปู ฌานปริตตะ จตตุ ถอรูปฌาน มัชฌมิ ะ จตตุ ถอรูปฌาน ปณีตะ

บริสทุ ธจิ์ ากอากิญฯ บริสทุ ธจิ์ ากอากญิ ฯ บริสทุ ธจ์ิ ากอากญิ ฯ

สัญญาเวทยติ นิโรธสมาบตั วิ ิโมกข์

(ล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะ)

เขา้ สัญญาเวทยติ นโิ รธ เขา้ สัญญาเวทยติ นิโรธ สญั ญาเวทยติ นโิ รธ

ขน้ั ปรติ ตะ ขนั้ มชั ฌมิ ะ ข้นั ปณีตะ

เพราะดบั สัญญาเวทนา เพราะดับ สัญญาเวทนา เพราะดับ สัญญา เวทนา

๑๓๑

อธบิ ายอรปู สมาบัตวิ ิโมกข์
๑.อากาสานญั จายตนะสมาบัตวิ ิโมกข์ เป็นไฉน ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ัยน้ี เพราะลว่ ง
รปู สญั ญา เพราะดบั ปฏฆิ ะสญั ญา เพราะไมม่ นสกิ ารซ่งึ นานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง เขา้
อากาสานัญจายตนะสมาบตั ิ ดว้ ยมนสกิ ารวา่ อากาศหาทีส่ ดุ มิได้ นีเ้ ป็น อากาสานญั จายตนะ
สมาบัตวิ ิโมกข์
๒.วิญญานัญจายตนะสมาบตั วิ ิโมกข์ เปน็ ไฉน ภกิ ษุในพระธรรมวินยั นี้ เพราะลว่ ง
อากาสานญั จายตน โดยประการทง้ั ปวง เขา้ วิญญานัญจายตนะสมาบตั ิ ด้วยมนสิการว่า วญิ ญาณ
หาที่สุดมิได้ น้เี ปน็ วิญญานัญจายตนะสมาบัติวิโมกข์
๓.อากิญจัญญายตนะสมาบตั วิ ิโมกข์ เป็นไฉน ภิกษใุ นพระธรรมวินยั นี้ เพราะล่วง
วิญญานญั จายตนะโดยประการทั้งปวง เข้าอากญิ จัญญายตนะสมาบัติ ด้วยมนสิการว่า ส่ิงนอ้ ย
หนึง่ ไม่มี นีเ้ ป็น อากญิ จัญญายตนะสมาบตั วิ โิ มกข์
๔.เนวสัญญานาสัญญาสมาบัติวโิ มกข์ เป็นไฉน ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ัยน้ี เพราะลว่ ง
อากญิ จญั ยายตนะ โดยประการทั้งปวง เข้าเนวสญั ญานาสัญญายตนะสมาบัติ น้ี ด้วยมนสิการวา่
มีสญั ญาก็ไมใ่ ช่ ไมม่ สี ญั ญากไ็ มไ่ ช่ นเี้ ป็น เนวสญั ญานาสัญญายตนสมาบตั ิวโิ มกข์
๕.สญั ญาเวทยติ นิโรธสมาบตั วิ โิ มกข์ เป็นไฉน ภิกษุในพระธรรมวนิ ยั น้ี เพราะลว่ ง
เนวสญั ญานาสญั ญายตนโดยประการทัง้ ปวง เขา้ สัญญาเวทยิตนโิ รธ ดับสัญญา และ เวทนา นี้
เรยี กวา่ สัญญาเวทยติ นิโรธสมาบตั ิวโิ มกข์

พิจารณาพระวปิ ัสสนา ในอรปู ฌาน ๔
ดูกรคฤหบดี อีกประการหนึ่ง ภกิ ษุเขา้ ถึงชน้ั อากาสานัญจายตนะ ด้วยมนสกิ ารวา่ อากาศ
หาท่สี ุดมไิ ด้ เพราะลว่ งรูปสัญญา เพราะดบั ปฏิฆสญั ญา เพราะไมม่ นสิการนานตั ตสัญญาโดย
ประการท้ังปวงอยู่
เธอพิจารณาอยอู่ ย่างนี้ ย่อมรู้ชดั ว่า แมอ้ ากาสานญั จายตนสมาบัตนิ ้ีอันเหตปุ ัจจัยปรุงแตง่

ข้ึน กอ่ สรา้ งข้ึน กส็ งิ่ ใดสิง่ หนึ่ง อันเหตปุ จั จยั ปรงุ แตง่ ขน้ึ กอ่ สร้างข้ึน สิง่ นน้ั ไมเ่ ท่ยี ง มีความดับ
ไปเป็นธรรมดา ดังน้ี

เธอตง้ั อยู่ในธรรม คือ สมถะ และวปิ ัสสนาน้นั ยอ่ มถึงความสน้ิ ไปแห่งอาสวะท้ังหลาย
ถ้าไมถ่ ึงความส้นิ ไปแหง่ อาสวะท้ังหลาย เพราะความยินดีเพลดิ เพลินในธรรม คือ สมถะและ
วิปสั สนานัน้ เพราะความสิน้ ไปแหง่ โอรัมภาคิยสัญโญชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะ
ปรนิ พิ พานในท่ีนนั้ (ภพสุทธาวาส) มีอันไม่กลบั จากโลกนัน้ เปน็ ธรรมดา.

๑๓๒

ดูกรคฤหบดี แมธ้ รรมอันหนง่ึ นีแ้ ล ทเ่ี มอื่ ภกิ ษผุ ้ไู ม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปอยู่
จิตที่ยังไม่หลดุ พน้ ย่อมหลุดพ้น อาสวะทง้ั หลายท่ียงั ไม่ส้ิน ย่อมถงึ ความสนิ้ ไป ย่อมบรรลุถงึ
ธรรมท่ีปลอดโปร่งจากกเิ ลสเปน็ เครอื่ งประกอบไว้ อันไม่มีธรรมอ่ืนยงิ่ กวา่ ที่ยงั ไม่บรรลุ อัน
พระผ้มู พี ระภาคผ้รู ู้ ผเู้ หน็ เปน็ พระอรหนั ต์ ตรสั รู้เองโดยชอบ พระองค์นั้น ตรสั ไว้.

ดกู รคฤหบดี อีกประการหนง่ึ ภิกษเุ ข้าถงึ ชน้ั วญิ ญาณัญจายตนะ ดว้ ยมนสกิ ารวา่
วิญญาณหาทสี่ ดุ มิได้ เพราะลว่ งอากาสานญั จายตนะโดยประการทง้ั ปวงอยู่

เธอพจิ ารณาอย่อู ยา่ งนี้ย่อมร้ชู ัดว่าแม้วิญญาณญั จายตนะสมาบตั นิ ี้ อันเหตปุ ัจจยั ปรงุ แต่ง
ขนึ้ ก่อสร้างข้นึ กส็ ิง่ ใดส่ิงหนึ่งอนั เหตุปจั จัยปรุงแต่งข้นึ กอ่ สร้างขึน้ สง่ิ น้ันไม่เทย่ี ง มคี วามดับ
ไปเปน็ ธรรมดา ดงั นี้

เธอต้ังอยใู่ นธรรม คอื สมถะและวิปัสสนาน้นั ย่อมถงึ ความสิน้ ไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ถ้าไมถ่ งึ ความสนิ้ ไปแห่งอาสวะทง้ั หลาย เพราะความยินดีเพลดิ เพลินในธรรม คอื สมถะและ
วิปสั สนาน้นั เพราะความสน้ิ ไปแหง่ โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะ
ปรินิพพานในทน่ี ้ัน มอี ันไมก่ ลับจากโลกนน้ั เปน็ ธรรมดา.

ดูกรคฤหบดี แมธ้ รรมอันหนึง่ นแ้ี ล ทเ่ี มอ่ื ภกิ ษุผไู้ ม่ประมาท มีความเพียร มีตนสง่ ไปอยู่
จติ ท่ียังไม่หลุดพ้น ยอ่ มหลดุ พ้น อาสวะท้ังหลายท่ียงั ไม่ส้ิน ยอ่ มถึงความส้นิ ไป ย่อมบรรลุถงึ
ธรรมท่ีปลอดโปรง่ จากกเิ ลสเป็นเคร่อื งประกอบไว้ อันไม่มธี รรมอืน่ ย่งิ กวา่ ที่ยังไมบ่ รรลุ อัน
พระผู้มีพระภาคผู้รู้ ผเู้ หน็ เป็นพระอรหนั ต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองคน์ ้ัน ตรสั ไว้.

ดกู รคฤหบดี อีกประการหนึ่ง ภกิ ษุบรรลุ อากญิ จัญญายตนะ ด้วยมนสกิ ารว่า ไม่มีอะไร
เพราะลว่ งวญิ ญาณัญจายตนะไดโ้ ดยประการทั้งปวง เธอพิจารณาอยอู่ ย่างนี้ ย่อมรู้ชดั วา่ แมอ้ า
กิญจัญญายตนสมาบตั นิ ้ี อันเหตุปจั จยั ปรุงแตง่ ข้นึ กอ่ สรา้ งขนึ้ ก็ส่ิงใดส่ิงหน่ึง อนั เหตุปัจจัยปรุง
แตง่ ขึ้น กอ่ สร้างขึ้น ส่งิ นั้นไมเ่ ที่ยง มคี วามดบั ไปเป็นธรรมดา ดงั น้ี

เธอต้ังอยใู่ นธรรม คือ สมถะและวิปสั สนานัน้ ยอ่ มถงึ ความส้ินไปแหง่ อาสวะท้งั หลาย
ถ้าไม่ถงึ ความสิน้ ไปแหง่ อาสวะทง้ั หลาย เพราะความยนิ ดเี พลดิ เพลนิ ในธรรม คอื สมถะและ
วปิ ัสสนาน้ัน เพราะความส้ินไปแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะ
ปรนิ ิพพานในที่นัน้ มอี ันไมก่ ลับจากโลกนนั้ เป็นธรรมดา.

ดูกรคฤหบดี แมธ้ รรมอันหนึ่งนแ้ี ล ทีเ่ ม่อื ภิกษุผู้ไม่ประมาท มคี วามเพียร มีตนส่งไปอยู่
จติ ทยี่ ังไม่หลดุ พ้น ยอ่ มหลุดพน้ อาสวะทั้งหลายท่ียงั ไมส่ ิ้น ย่อมถงึ ความสน้ิ ไป ยอ่ มบรรลุถึง

๑๓๓

ธรรมที่ปลอดโปรง่ จากกิเลสเปน็ เคร่ืองประกอบไว้ อันไมม่ ธี รรมอื่นยง่ิ กวา่ ที่ยังไม่บรรลอุ นั
พระผมู้ พี ระภาคผรู้ ู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหนั ต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ พระองคน์ ั้น ตรสั ไว้.

เนวสัญญา นาสญั ญายตน อรปู สมาบตั ินี้ นามาพิจารณาวิปัสสนาไม่ได้ เพราะ เวทนา รู้
ทกุ ข์ รู้ สัญญา ความจาไดห้ มายรู้ไมช่ ัดแจ้ง

ฌานสตู ร
ดกู รภิกษุทง้ั หลาย เรากลา่ วความสิ้นไปแห่งอาสวะท้ังหลาย เพราะอาศยั อากาสานัญจาย
ตนฌานบ้าง ดังน้นี น้ั เราอาศัยอะไรกล่าวแล้วดูกรภิกษทุ ้งั หลาย ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั นี้ เพราะลว่ ง
รปู สญั ญาโดยประการทั้งปวงเพราะดบั ปฏฆิ ะสัญญา และเพราะไมใ่ สใ่ จถงึ นานตั ตสญั ญา บรรลุ
อากาสานญั จายตนฌาน โดยคานงึ เป็อารมณ์ว่า อากาศไม่มที ี่สุดเธอย่อมพจิ ารณาเหน็ ธรรม
ทง้ั หลาย คอื เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ อนั มีอยูใ่ นขณะแหง่ อากาสานญั จาตนฌานน้นั โดย
ความเปน็ ของไม่เทย่ี ง เปน็ ทุกข์ ... ว่างเปลา่ เปน็ อนตั ตาเธอยอ่ มยงั จติ ใหต้ ัง้ อยดู่ ้วยธรรม
เหล่าน้ัน ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพ่อื อมตะธาตวุ า่ นัน่ สงบน่ันประณีต คอื ธรรมเปน็ ทสี่ งบ
แห่งสังขารท้งั ปวง ... นิพพานเธอตั้งอยใู่ นอากาสานญั จาตนฌานนนั้ ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอา
สวะทงั้ หลาย ถา้ ยงั ไม่ถงึ ความสนิ้ ไปแห่งอาสวะท้ังหลาย เธอย่อมเป็นอปุ ปาติกะ จกั ปรินิพพาน
ในภพนนั้ มีอันไมก่ ลบั จากโลกน้ันเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสัญโญชน์ ๕ ส้นิ ไปดว้ ยความ
ยนิ ดีเพลดิ เพลินในธรรมนน้ั ๆ
ดูกรภกิ ษุทัง้ หลาย เปรยี บเหมือนนายขมงั ธนู หรอื ลกู มือของนายขมงั ธนู เพียรยิงธนไู ป
ยังรูปหนุ่ ท่ีทาดว้ ยหญ้าหรือกองดินต่อมาเขาเปน็ ผยู้ ิงไดไ้ กล ยงิ ไม่พลาด และทาลายร่างใหญ่ๆ
ได้ แม้ฉนั ใด ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุก็ฉนั นน้ั เหมอื นกนั แล เพราะล่วงรปู สัญญาโดยประการท้งั
ปวง เพราะดับปฏฆิ สัญญา เพราะไมใ่ สใ่ จถงึ นานตั ตสัญญา บรรลอุ ากาสานญั จาตนฌาน ... เธอ
ย่อมพิจารณาเห็นธรรมทงั้ หลาย ฯลฯมอี นั ไมก่ ลับจากโลกนัน้ เป็นธรรมดา ฯลฯ ดกู รภิกษุ
ทัง้ หลาย ขอ้ ทเ่ี รากลา่ วว่า เรากล่าวความสน้ิ ไปแหง่ อาสวะทง้ั หลาย เพราะอาศยั อากาสานญั จาย
ตนฌานบา้ ง ดงั นนี้ ั้น เราอาศัยข้อนี้กล่าวแลว้
ก็ขอ้ ท่เี รากล่าวว่า ดูกรภิกษุทงั้ หลาย เรากลา่ วความสิ้นไปแห่งอาสวะท้ังหลาย เพราะ
อาศยั วญิ ญาณญั จายตนฌานบ้าง ฯลฯ อากญิ จญั ญายตนฌานบา้ งดังนีน้ น้ั เราอาศัยอะไรกล่าว
แลว้ ดูกรภกิ ษุทัง้ หลาย ภิกษุในธรรมวนิ ัยนี้ เพราะล่วงวญิ ญาณญั จายตนฌานโดยประการท้งั
ปวงบรรลอุ ากิญจัญญายตนฌาน โดยคานึงเป็นอารมณว์ ่า อะไรๆ หน่อยหนึง่ ไม่มี เธอย่อม
พิจารณาเห็นธรรมทั้งหลายคือ เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ อันมีอยู่ในขณะแหง่ อา

๑๓๔

กิญจัญญายตนฌานนนั้ โดยความเป็นของไมเ่ ที่ยง เปน็ ทุกข์ ... ว่างเปล่า เปน็ อนตั ตา เธอยอ่ มยัง
จติ ให้ตั้งอยู่ด้วยธรรมเหล่าน้นั ครนั้ แลว้ ย่อมนอ้ มจิตไปเพือ่ อมตะธาตุวา่ นน่ั สงบ นั่นประณตี
คือ ธรรมเปน็ ที่สงบแห่งสงั ขารทั้งปวง ... นพิ พาน เธอตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนะนนั้ ย่อมถงึ
ความสนิ้ ไปแหง่ อาสวะทง้ั หลาย ถา้ ยังไม่ถึงความสน้ิ ไปแห่งอาสวะท้ังหลาย เธอย่อมเป็นอุปปา
ติกะ จักปรนิ พิ พานในภพน้ัน มอี นั ไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรมั ภาคยิ สญั โญชน์
๕ ส้นิ ไป ดว้ ยความยนิ ดเี พลดิ เพลนิ ในธรรมนั้นๆ ดูกรภิกษุทัง้ หลาย เปรยี บเหมือนนายขมงั ธนู
หรอื ลกู มอื ของนายขมงั ธนู เพียรยงิ ธนูไปยังรูปหุ่นที่ทาดว้ ยหญา้ หรือกองดิน ต่อมาเขาเปน็ ผู้ยงิ
ไดไ้ กล ยงิ ไม่พลาด และทาลายรา่ งใหญๆ่ ได้ แมฉ้ นั ใด

ดูกรภกิ ษุทั้งหลาย ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแลเพราะล่วงวญิ ญาณญั จายตนฌานโดย
ประการท้ังปวง บรรลอุ ากญิ จญั ญายตนฌาน โดยคานึงเปน็ อารมณ์วา่ อะไรๆหน่อยหนึ่งไม่มี
เธอยอ่ มพจิ ารณาเหน็ ธรรมท้งั หลาย คอื เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยใู่ นขณะแหง่ อา
กญิ จัญญายตนฌานน้ัน โดยความเป็นของไมเ่ ทยี่ งเป็นทุกข์ ... วา่ งเปลา่ เป็นอนัตตา เธอยอ่ มยัง
จติ ใหต้ ั้งอยใู่ นธรรมเหล่านน้ั ครัน้ แล้ว ย่อมนอ้ มจติ ไปเพื่ออมตธาตุวา่ นั่นสงบ นั่นประณีต คอื
ธรรมเปน็ ทสี่ งบสงั ขารท้ังปวง ... นพิ พานเธอต้ังอย่ใู นอากิญจัญญายตนฌานนัน้ ยอ่ มถงึ ความ
สนิ้ ไปแห่งอาสวะทงั้ หลาย ถา้ ยังไมถ่ งึ ความส้นิ ไปแหง่ อาสวะท้งั หลาย เธอย่อมเปน็ อุปปาติกะ
จักปรินพิ พานในภพน้ัน มอี ันไมพ่ งึ กลบั จากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสญั โญชน์ ๕
ส้ินไป ดว้ ยความยินดีเพลิดเพลนิ ในธรรมนัน้ ๆ ข้อท่ีเรากล่าววา่ ดกู รภกิ ษุท้ังหลาย เรากล่าว
ความส้ินไปแหง่ อาสวะท้งั หลาย เพราะอาศัยอากิญจญั ญายตนฌานบา้ ง ดังน้ีนน้ั เราอาศัยข้อน้ี
กล่าวแล้ว

เนวสัญญานาสัญญายตน
ประกอบวปิ สั สนาไม่ได้ เขา้ -ออก สมาบตั ไิ ด้
ดกู รภิกษุทง้ั หลาย ดว้ ยประการดังนีแ้ ลสัญญาสมาบตั ิมเี ทา่ ใด สัญญาปฏเิ วธกม็ ีเท่านน้ั
ดูกรภิกษุทงั้ หลาย อายตนะ ๒ เหล่าน้ี คือ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบตั ิ ๑ สัญญาเวทยิต
นิโรธ ๑ ต่างอาศยั กัน
ดกู ร ภกิ ษทุ งั้ หลายเรากลา่ วว่า อายตนะ ๒ ประการนี้ อันภกิ ษผุ เู้ ขา้ ฌานผู้ฉลาดในการเขา้
สมาบัตแิ ละฉลาดในการออกจากสมาบตั ิ เขา้ แล้วออกแลว้ พึงกล่าวไดโ้ ดยชอบ ฯ

๑๓๕

วิปสั สนากรรมฐาน
บัดนีจ้ ักกล่าวในพระวิปสั สนา ให้พระโยคาวจรเจ้า แจ้งไซร้ ซ่ึงวปิ ัสสนาญาณบรหิ ารไว้
ตามไดส้ งั เกตอันมมี า ในพระบาลี
พระธรรมเปน็ นยั สาคร บวรวิภงั คร์ ังษี ลึกลบั ละเอียดแสนทวี อนั มใี นห้องวปิ สั สนา
ยากทจ่ี ะวา่ ให้เข้าใจ จะรูไ้ ปทส่ี งั ขาร ถงึ ผรู้ ้วู ิปสั สนาปญั ญาโลกีย์มมี ลทนิ จะพจิ ารณาไปใน
สงั ขาร เห็นวา่ ญาณจะร้ไู ปไม่สิ้น เพราะว่าสังขารเสรา้ หมองไปด้วยมลทิน ไม่สนิ้ ในทาง
วปิ ัสสนา เปรียบดังกระต่ายตัวเพลยี ได้เลียแต่น้าคา้ งบนใบหญ้า น้าในสมุทรคงคา ลกึ กว้าง
หนกั หนาเปน็ อนันต์ดร
พระวิปัสสนาน้รี ู้ยาก บุญมากจึงจะรูใ้ นเบญจขันธ์ ลึกลับส้นิ สรรพทุกอัน ผูกพนั ซบั ซ้อน
ในสันดาน เกรงกลวั ทชี่ ั่วแต่ทเุ หตุ คืออุปกเิ ลสอันไพศาล จะเศรา้ หมองในคลองญาณ จะป่วย
การเกนิ ไปมิใช้ทาง ใหเ้ ห็นวา่ ดีเปน็ ทีร่ ัก ยิง่ นกั แม่นมั่นไมอ่ างขนาง ให้เพยี รผูกไว้ทีใ่ ชท่ าง จะ
หมองหมางมลทนิ ในวิญญาณ
จะใหเ้ กดิ ทุกข์ในขนั ธ์มาร สนั ดานเดอื ดรอ้ นเป็นทกุ ขา ใหร้ กรอ้ื รุงรงั ในวญิ ญาณ์
วปิ สั สนาใชท่ างแห่งญาณแล (หลวงวิศาลดรุณกร) ในวปิ ัสสนา มี............
๑.พระวิสทุ ธิ ๗ ประการ
๒.อนจิ จลกั ษณะ ๓
๓.อนุวิปสั สนา ๓
๔.วิปัสสนาญาณ ๑๐
๕.วโิ มกข์มุข ๓
๖. อนุวิปัสสนาวิโมกขม์ ขุ ๓
๗. โพธิปักขยิ ธรรม ๓๗ ประการ
๘.สัญโญชน์ ๑๐
๙.ออกบัวบาน พรหมวิหาร
๑๐. การประหานกิเลส

วปิ ัสสนาภูมิ ๖
๑.ขนั ธ์ ๕
๒.อายตนะ ๑๒
๓. ธาตุ ๑๘

๑๓๖

๔.อินทรีย์ ๒๒
๕.อรยิ สัจ ๔
๖.ปฏจิ จสมุปบาท ๑๒

วสิ ทุ ธิ ๗ ประการ
๑.ศีลวิสทุ ธิ
๒.จิตตวิสทุ ธิ
๓.ทฏิ ฐวิ สิ ุทธิ
๔.กงั ขาวิตรณวสิ ุทธิ
๕.มคั คามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
๖.ปฏปิ ทาญาณทสั สนวิสุทธิ
๗. ญาณทสั สนวิสทุ ธิ

ศีลวิสุทธิ เป็นอย่างไร ความไม่ลว่ งละเมดิ ทางกาย ความไม่ล่วงละเมดิ ทางวาจา
ความไมล่ ว่ งละเมิดทางกาย และทางวาจา นเี้ รียกว่า ศีลวิสทุ ธิ ศีลสังวรแมท้ งั้ หมด กจ็ ดั เปน็ ศลี วิ
สทุ ธิ

๑๓๗

ศีลวสิ ทุ ธิ
ศลี วิสุทธิ ให้พระโยคาวจรผู้มีความพากเพยี ร ปรนนบิ ตั พิ ึงพิจารณา ซึ่งปรมิ ณฑล
แห่งศลี ให้เหน็ บริสุทธ์ิทัง้ ๔ ประการ
๑.ปาฎโิ มกขส์ งั วรศีล ๒.อินทรยี ส์ งั วรศีล ๓. อาชีวะปารสิ ทุ ธิศีล ๔.ปจั จยสนั -

นิสสิตศลี
๑.ปาฏิโมกขสงั วรศลี ศลี ที่สารวมในพระปาฎิโมกข์ อนั เป็นสกิ ขาบท

ทเี่ ลิศ สมเดจ็ พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ทรงบัญญัตไิ ว้เป็นสามประเภท ไดแ้ ก่
ภิกขุสกิ ขาบท สิกขาบทสาหรับ พระภกิ ษสุ งฆ์ จะต้องปฏบิ ตั ิมี
๒๒๗ สิกขาบท สามเณรสกิ ขาบท สกิ ขาบทสามเณรประพฤติปฏิบัติ
รักษา มี ๑๐ สกิ ขาบท คหัฏฐสกิ ขาบท สิกขาสาหรับคฤหัส ผ้คู รอง-
เรือน ได้แก่ ศีล ๕ ศีล ๘ ศลี อุโบสถ
๒.อนิ ทรยี สงั วรศลี ศีลท่ี สารวมอนิ ทรียท์ ง้ั ๖ คอื สารวม ตา หู จมูก ลิ้น
กาย และ ใจไมใ่ หบ้ าปอกุศลเกดิ ขนึ้ ทางทวารท้งั ๖ใชส้ ติสงั วรระวงั ตา
เห็น รปู ก็มสี ติ หู ได้ยนิ เสยี ง กม็ สี ติ เป็นตน้
๓.อาชีวะปารสิ ทุ ธิศลี ศีลมอี าชพี บริสทุ ธิ์ เว้นมิจฉาชพี ทุกชนิดเฉพาะ
พระภกิ ษทุ งั้ หลาย ต้องแสวงหาปจั จัยเป็นไปโดย บรสิ ุทธ์ิ เว้นจาก
เดรัจฉานวิชา มอี าชีพบรสิ ุทธ์ิ มกี ารบิณฑบาต เปน็ ต้น
๔.ปจั จยสนั นิสสิตศีล ศลี เกดิ จากการอาศัยปจั จยั ๔ เปน็ ศลี ท่ีได้จากการ
พิจารณาปจั จยั ๔
ก. พจิ ารณาจวี รเครอ่ื งน่งุ หม่ ว่าจีวรน้ีเป็นเพยี งสกั วา่ อาศยั นงุ่ ห่ม เพื่อกนั รอ้ นหนาว
ทมี่ ากระทบ เพ่อื กนั สตั ว์เลือ้ ยคลาน เหลอื บยุงบงุ้ ล้ิน เพื่อกันความละอายมิใช่เพ่ือความสวยงาม
ตลอดพจิ ารณาเห็นเปน็ ธาตุ สักแตว่ ่ากระทบกายแล้วดับไป หาใชส่ ตั ว์ บคุ คล ตวั ตน เรา เขา
ข. พจิ ารณาอาหารบิณฑบาตอาหารท่บี ริโภค วา่ เปน็ ทอ่ี าศัยเลี้ยงชพี ไปวนั ๆหนง่ึ
ไม่ใชเ่ พ่อื เปลง่ ปล่งั สวยงาม เพ่อื กนั ความหิวกระหาย เพ่อื ประพฤตพิ รหมจรรย์เท่านน้ั ตลอด
พจิ ารณาเปน็ เพียงธาตุ สกั แตอ่ าหารท่ีบรโิ ภครู้รสแลว้ ดับไป ไม่ใช่สตั ว์บุคคล ตัวตน เรา เขา
ค. พิจารณาทีเ่ สนานะ ทน่ี อน ทีน่ ั่ง เป็นเพยี งท่ีอยอู่ าศยั เพอ่ื กันความร้อน ความหนาว
เพื่อกนั เหลอื บ ยงุ ริน้ ไร สัตว์เล้อื ยคลาน มิใช่เพือ่ ความโออ่ ่าสวยงาม กระทบกายแลว้ ดับไป
ไม่ใช่สตั ว์ บคุ คล ตัวตน เราเขา

๑๓๘

ง. พจิ ารณาคลิ านเภสัช ยารักษาโรค ว่าเป็นแตส่ กั ว่ายา เพอื่ บาบดั โรคให้หาย เพอื่
กาจัดทุกขเ์ วทนา มิใชบ่ ารงุ กามแตอ่ ยา่ งใด ตลอดพจิ ารณาเปน็ สักว่า ธาตุ บรโิ ภคแลว้ ย่อม
ปรากฏรส ร้อนเยน็ แลว้ ดับไป ไม่ใชส้ ตั ว์ บคุ คล ตัวตน เรา เขา

ศีลวสิ ทุ ธจิ ดั เปน็ ญาณ เรียกวา่ สีลมยญาณ ญาณเกดิ จากความสารวมในศีล ศลี
หา้ คอื การละปาณาตบิ าต อทนิ นาทาน กาเมสมุ ิจฉาจาร มสุ าวาท ปิสณุ าวาจา ผรสุ วาจา
สมั ผปั ปลาปะ อภชิ ฌา พยาบาท มจิ ฉาทิฏฐิ การละกามฉนั ทะ ด้วยเนกขมั มะ การละความ
พยาบาทด้วยความไมพ่ ยาบาท การละถีนะมทิ ธะ ด้วยอาโลกสัญญา การละ อทุ ธจั จะ ดว้ ยความ
ไมฟ่ งุ้ ซ่าน การละวิจิกิจฉา ด้วยการกาหนดธรรม การละอวชิ ชา ด้วยญาณ การละอรติ ด้วย
ปราโมทย์ การละนิวรณ์ ด้วยปฐมฌาน การละวติ กวจิ าร ดว้ ยทตุ ิยฌาน การละปีติ ด้วยตติยฌาน
การละทกุ ข์และสขุ ดว้ ยจตุถฌาน การละรปู สัญญา ปฏฆิ ะสญั ญา นานัตตะสญั ญา ด้วยอา
กาสานัญจายตนสมาบัติ การละอากาสานัญจายตน ดว้ ยวิญญาณญั จายตนสมาบตั ิ การละ
วิญญาณญั จายตนสัญญาด้วยอากิญจัญญายตนสมาบัติ การละอากิญจัญญายตนสัญญา ด้วยเนว
สญั ญานาสญั ญายตนสมาบัติ การละอนิจจสัญญา ด้วยอนิจจานปุ สั นา การละสุขสัญญา ด้วยทุก
ขานุปัสนา การละอตั ตสัญญาดว้ ย อนัตตานุปัสนา การละนนั ทดิ ว้ ยนพิ พทิ านุปัสนา การละราคะ
ด้วยวริ าคานุปัสนา การละสมทุ ยั ดว้ ยนโิ รธานุปสั นา การละทานะ ดว้ ยปฏินิสสคั คานุปสั นา
การละฆนะสญั ญาดว้ ยขยานปุ ัสนา การละอายหุ นะด้วยยานุปสั นา การละธุวสญั ญาดว้ ยวิปริณา
มานุปัสนา การละนิมิตด้วยอนมิ ติ ตานุปสั นา การละปณธิ ิดว้ ยอัปปณหิ ติ านุปัสนา การละอภินิ
เวสดว้ ยสญุ ญตานปุ ัสนา การละสานาทานาภนิ ิเวสดว้ ยอธิปญั ญาธรรมวิปัสนา การละสัมโมหาภิ
นิเวสดว้ ยยถาภูตญาณทัสนะ การละอาลยาภนิ เิ วสด้วยอาทีนวานุปสั นา การละอปั ปฏสิ ังขารด้วย
ปฏิสังขารนุปสั นา การละสงั โยคาหภินิเวสด้วยววิ ฏั ฏนานปุ ัสนา การละกเิ ลสท่ตี ้งั อยู่รว่ มกนั กับ
ทิฐดิ ว้ ยโสดาปัตติมรรค การละกิเลสท่ีหยาบๆ ดว้ ยสกทาคามมิ รรค การละกเิ ลสละเอียดดว้ ย
อนาคามมิ รรค การละกเิ ลสทั้งปวงด้วยอรหตั ตมรรค การละน้นั ๆ เป็นศลี เวรมณี เป็นศีลเมื่อทา
ใหแ้ จ้งซ่ึงธรรมทีค่ วรทท่ี าให้แจ้ง ช่อื วา่ ยอ่ มศึกษา

ชือ่ วา่ ญาณ อธิบายวา่ รธู้ รรมนัน้ ๆ ชื่อว่าปัญญา อธบิ ายวา่ รู้ชัดรูแ้ จง้ เพราะเหตนุ ้ันทา่ นจงึ
กล่าววา่ ปัญญาในการฟงั ธรรม แล้วสารวมไว้ เปน็ สลี มยญาณ

จิตตวสิ ุทธิ
จติ ตวิสุทธินนั้ ใหพ้ ระโยคาวจรเจา้ พึงพจิ ารณา ในจิตอนั เปน็ สมาธทิ ้ังสองประการ คือ
อปุ จารสมาธิ ๑ อปั ปนาสมาธิ ๑

๑๓๙

อุปจารสมาธิ นัน้ คอื จิต เปน็ เอกคั คตาในบพุ พภาคเบื้องตน้ แห่งปฐมฌาน ยังประพฤติ
เปน็ ไปในพระกรรมฐาน ปฐมฌานยังมิไดบ้ ังเกดิ ชื่อว่าอปุ จารสมาธิ หรือ อุปจารฌาน หรือรูป
เทียมของปฐมฌาน แลจติ นน้ั ใกลไ้ ดซ้ ่งึ ปฐมฌานแล

อปั ปนาสมาธิ คือจิตอนั เป็น เอกัคคตา ในปฐมฌาน ทตุ ยิ ฌาน เปน็ ตน้ ชื่อว่าอัปปนา
สมาธิ คอื จติ ได้กรรมฐานแล้ว เปน็ องค์แหง่ ฌานทง้ั ปวงแล

จิตวสิ ทุ ธิ คอื จติ ที่วสิ ุทธิ์ บริสุทธ์ิ จากนวิ รณะธรรม ทั้งห้าประการคือ กามฉันทะ
พยาบาท ถนี ะมทิ ธะ อทุ ธัจจะกุกกจุ จะ วจิ ิกิจฉา เมื่อจิตบรสิ ุทธ์ิ จากนิวรณธรรม อย่างหยาบ
จิตก็เปน็ สมาธิ ขณิกะสมาธิ และขน้ั อุปจารสมาธิ เมื่อจิตบรสิ ุทธิ์ จากนวิ รณธรรม อย่างละเอียด
จิตก็เปน็ สมาธิข้นั อปั ปนาสมาธิ

จติ ตวิสุทธนิ ้ี เป็นบาทฐานของวิปสั สนาได้ อุปจารสมาธิ เป็นบาทฐานของวปิ ัสสนาได้
ถา้ ได้บรรลมุ รรคผล กเ็ ป็น ปญั ญาวิมุตติ อัปปนาสมาธิ เปน็ บาทฐานของวปิ ัสสนาได้ ถ้าได้
บรรลมุ รรคผล ก็เรียกวา่ เจโตวมิ ตุ ติ

ทฏิ ฐวิ ิสุทธิ เป็น อยา่ งไร
ญาณเป็นเครือ่ งรู้วา่ สัตวม์ ีกรรมเปน็ ของตน (กัมมัสสกตาญาณ) ญาณอันสมควรแก่การ
หย่ังรู้ อรยิ สจั (สัจจานุโลมิกะญาณ ) ญาณของท่านผู้พร้อมเพรยี งดว้ ยมรรค (มคั คญาณ) ญาณ
ของทา่ นผพู้ ร้อมเพรียงด้วยผล

ทิฏฐวิ สิ ทุ ธิ
ทฎิ ฐิวิสุทธิ น้ันคือ พระโยคาวจรเจ้าตง้ั อย่ใู นสมถะยานิกะแล้ว คือมจี ติ วิสทุ ธิแล้วพงึ
กาหนดวิปัสสนาปัญญาลงให้เห็น ซึ่งนามธรรม และรูปธรรม อันเป็นลักษณะแหง่ จติ กามาวจร
(อุปจารสมาธิ) จติ รปู าวจร(อัปปนาสมาธิ) และกาหนดเอาซ่ึงองคแ์ หง่ ปฐมฌาน มีวติ กเป็นต้น
และเจตสิกอันสมั ปยตุ ธรรม เกดิ พร้อมดับ พร้อมกบั จติ นัน้ นั่นพงึ พจิ ารณาเนืองๆ วา่ จิตนีม้ ี
ลกั ษณะดังฤา อาศัยซึง่ อนั ใด จงึ ประพฤติเป็นไป ให้เห็นวา่ จติ อาศยั หทัยรูป แลหทยั รูปนน้ั อาศัย
อยู่ใน มหาภูตรูปบังเกดิ เปน็ ท่ีอาศยั แลกาหนดเอาซ่งึ อปุ าทายรูป ๒๔ อันอาศยั มหาภูตรปู ๔
และวณั ณะ คนั ถะ รส โอชา ประสาทรปู ๕ แลวัตถุภาวะรูป อนิ ทรีย์รูป แลเสียงสอง ประการ
แลอากาศธาตโุ ดยสังเขป ในรปู ๒๔ แล ให้กาหนดเบญจขนั ธท์ ้ัง ๕ แล นามรปู ท้ัง ๒ ค่กู นั
เหมอื นดังทะลายตาลทงั้ คู่น้ัน พึงใหเ้ ขา้ ใจว่า ใชส่ ัตว์ใช่บุคคล นามรปู พากันท่องเทย่ี วอยูใ่ นภพ
ทงั้ ๓ น้ี ดังมนุษย์ข่สี าเภาลอยไปในมหาสมุทร อาศัยแก่กนั ทัง้ สอง จึงเท่ียวไปได้ ถ้าเหน็ โดย
แทด้ ว้ ยวปิ ัสสนาญาณดังน้ีชอื่ วา่ ทฎิ ฐิวสิ ุทธิ หรอื เรียกอกี อย่างหนึ่งว่า นามรูปปริจเฉทญาณ

๑๔๐

หทยั รูป คือน้าเล้ยี งหวั ใจประมาณซองมือหนง่ึ ขังอยใู่ นชอ่ งพอบรรจุเมล็ดบุนนาค อยู่
ในเนอื้ หัวใจเป็นที่อาศยั ของมโนธาตุ และมโนวญิ ญาณธาตุ เป็นลักษณะมีการ รองรับธาตุ

มหาภตู รูป ๔ คอื ปฐวธี าตุ ๑ อาโปธาตุ ๑ เตโชธาตุ ๑ และวาโยธาตุ ๑
อปุ าทายรปู ๒๔ ตา หู จมกู ลิน้ กาย รปู เสียง กลิน่ รส อัตถนิ ทรยี ์ ปุรสิ นิ ทรีย์
ชวี ติ นิ ทรีย์ หทยั วัตถุ กายวญิ ญัติ วจีวญิ ญตั ิ อากาสาตุ รูปัสสะ ลหตุ า ความเบาแห่งรปู รูปัสสะ
มทุ ตุ า ความออ่ นแห่งรูป รปู สั สะ กัมมญั ญตา ความคลอ่ งแห่งกาย รปู ปสั สะ อุปจยตา ความ
เตบิ แหง่ รปู รปู ัสสะ สนั ตติ ความสืบตอ่ แหง่ รูป รูปัสสะ ชรตา ความทรุดโทรมแห่งรปู รปู ัสสะ
อนิจจตา ความไม่ยง่ั ยนื แห่งรูป และ กวฬิงการาหาร อาหารเปน็ คาๆ
โอชา คือ กวฬงิ การาหาร นั้นเอง
ประสาทรูป ๕ คอื จักษุประสาท โสตประสาท ฆานประสาท ชิวหาประสาท กาย
ประสาท ธาตทุ ั้ง ๔ บารุงประสาทท้ังหา้ ไว้
วัตถุภาวรปู ๒ อัตถนิ ทรยี ์ ความเป็นหญิง ปรุ ิถินทรยี ์ ความเป็นชาย
เบญจขันธ์ คือ รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ
ภพ ๓ นรก มนษุ ย์ สวรรค์

ทิฏฐวิ สิ ุทธิ เรยี กอีกอยา่ งวา่ ธรรมฐิติญาณ
ญาณกาหนดรู้ ความต้งั อยู่ ดว้ ยธรรมเป็นปจั จยั ปญั ญาในการกาหนดปัจจยั วา่ สงั ขารอาศัย
ปัจจัยเปน็ ไป วญิ ญาณอาศัยสงั ขารจงึ เกดิ วญิ ญาณอาศัยปัจจยั เป็นไป นามรปู อาศัยวญิ ญาณจึง
เกดิ นามรปู อาศัยปัจจยั เปน็ ไป สะฬายตนะอาศัยนามรูปจึงเกดิ สะฬายตนะอาศยั ปจั จัยเป็นไป
ผัสสะอาศยั สฬายตนจึงเกิด ผัสสะอาศยั ปจั จัยเป็นไป เวทนาอาศยั ผสั สะจึงเกิด เวทนาอาศัย
ปจั จัยเป็นไป ตัณหาอาศัยเวทนาจึงเกิด ตณั หาอาศัยปัจจัยเปน็ ไป อุปาทานอาศัยตัณหาจงึ เกิด
อุปาทานอาศัยปัจจัยเปน็ ไป ภพอาศัยอุปาทานจึงเกดิ ภพอาศยั ปัจจัยเปน็ ไป ชาตอิ าศัยภพจึง
เกิดขึน้ ชาติอาศยั ปจั จัยเป็นไป ชราและมรณะอาศยั ชาติจึงเกิด แม้ ธรรมทั้งสองอย่างนี้ก็อาศยั
ปัจจัยเกิดขน้ึ ดงั น้ี เป็น ธรรมฐิตญิ าณ

กงั ขาวิตรณวิสุทธิ
กังขาวติ รณวสิ ทุ ธนิ น้ั พระโยคาวจรเจา้ ตั้งอยใู่ นสมถะยานกิ ะแลว้ พึงพิจารณาใหเ้ ห็น
ปจั จยั แห่งนามรูปท้ังสองน้นั จงแท้ ว่าสิ่งใดหนอเป็นคุนปู การแก่นามรูป พงึ เห็นโทษโดยกล่าว
อเหตุ วิสมเหตุ และเหตอุ ันเปน็ กุศล และอกุศล และพิจารณาดทู ี่จะพ้นจากทุกขน์ ั้น ดจุ หมอยา

๑๔๑

เหน็ โรคแห่งคนไข้แน่แลว้ แสวงหายามารกั ษาโรคแห่งคนไข้น้นั แลพระโยคาวจรเจ้าเม่อื
พจิ ารณาดว้ ยวปิ สั สนาญาณ แสวงหาเหตแุ ละปจั จัยแห่งนามแลรปู นนั้ กเ็ หน็ ซึ่งธรรมท้ังหลาย ๔
ประการ คือ อวิชชา ๑ ตณั หา ๑ อุปาทาน ๑ กรรม ๑ ทง้ั ๔ ประการน้ีเปน็ เหตุ เหตุวา่ เป็นปัจจยั
บังเกดิ ขนึ้ แห่งรูปธรรม และเหน็ ซ่ึงอาหาร เป็นปจั จัยคา้ ชูอปุ ถัมภ์ เหตวุ า่ อาหารน้เี ป็นปัจจัย
อปุ ถมั ภค์ ้าชู ใหน้ ามแลรปู เจริญไป แลพระโยคาวจรเจ้าก็กระทาซึ่งกาหนดในปจั จัยแห่งนามรูป
ดังน้ีว่า ธรรมท้งั ๓ คือ อวิชชา ตณั หา อุปทาน ดจุ ดังมารดาเปน็ ท่ีอาศยั บังเกิดขึ้นแหง่ ทารก
กรรม น้ีเหมือนกับบิดาให้ทารกเกดิ อาหารนี้เหมอื นแมน่ มทเี่ ล้ียงรักษาทารกให้เจริญไพบลู ยไ์ ป

แลพระโยคาวจรเจา้ พึงพิจารณาซ่ึงปจั จัยแห่งนามกายด้วยนัยเป็นตน้ ฉะนแ้ี ล้ว ว่าจักษุ
อาศัยซึง่ รูปท้ังหลายบงั เกิดข้นึ แลจักษุวญิ ญาณอันรู้ดว้ ยจักษุบังเกิด

พระโยคาวจร เม่อื พจิ ารณาดว้ ยวิปัสสนากระทาสันนิษฐานเขา้ ใจฉะนแ้ี ล้ว วา่ ธรรม
ทั้งหลายเหล่านี้ ใน อดตี อนาคต ปจั จบุ นั ประพฤติท่ีเป็นไปเฉพาะปัจจัยดังนี้ แทจ้ รงิ เมือ่ พระ
โยคาวจรพิจารณา ไปในปจั จัยแหง่ นามและรปู ฉะนแ้ี ล้ว ปญั ญาวปิ ัสสนาปรารภซง่ึ อวชิ ชา อัน
ปิดบงั ในเบ้อื งตน้ ว่า อาตมาบังเกดิ มาในอดีตแลว้ ชา้ นาน ไดเ้ สวยทุกข์เวทนานบั ไมถ่ ้วน เมื่อ
พิจารณาไป วจิ กิ จิ ฉา ความสงสัย ๑๖ ประการ อนั ปรารภซ่งึ เหตุอันชา้ ท้งั สาม คอื อันช้าใน อดตี
อนาคต ปัจจบุ นั แลสงสัยทงั้ ปวง ยอ่ มเกดิ ความสงสยั ๑๖ประการ ความสงสยั ในอดีต ๕ คอื

๑.ในอดีตกาลเราเคยเกิดมาแลว้ หรอื
๒.ในอดตี กาลเราไมเ่ คยเกิดมาเลยหรือ
๓.ในอดตี กาล เราเคยเกดิ เป็นอะไรหรือ
๔.ในอดีตกาลเราเคยเกดิ เปน็ อย่างไร
๕.ในอดตี กาลเราเคยเกิดเปน็ อะไร
ความสงสัยในอนาคต ๕
๑.ในอนาคตกาลเราจะเกดิ อกี ไหม
๒.ในอนาคตกาลเราจักไมเ่ กิดอกี
๓.ในอนาคตกาลเราจกั เกิดเป็นอะไร
๔.ในอนาคตกาลเราจกั เกดิ เป็นอย่างไร
๕.ในอนาคตกาลเราจกั เกดิ เปน็ อะไร
ความสงสยั ในปจั จบุ นั ๖ คือ
๑.บัดนี้เรากาลงั เป็นหรอื

๑๔๒

๒.บัดนี้เรามไิ ด้เปน็ หรอื
๓.บัดน้ีเราเป็นอะไรหนอ
๔.บัดนเ้ี ราเป็นอยา่ งไรหนอ
๕.เรามาจากไหนหนอ
๖.เรา(ตายแล้ว)จะไปทไ่ี หนหนอ
พระโยคาวจรก็สลัดตดั เสียไมส่ งสยั ในปจั จัยแหง่ นามแลรูปฉะนี้ พระวิปัสสนาญาณ
แหง่ พระโยคาวจรเจา้ ลว่ งเสียซ่ึงสงสัยในกาลทั้ง๓ ขา้ มพ้นสนเท่หส์ งสยั ไดพ้ ้นดงั น้ี ได้ชอ่ื ว่า
กงั ขาวิตรณวสิ ทุ ธิ หรอื เรียกอกี อย่างวา่ ปัจจยปรคิ คหญาณ

มคั คามคั คญาณทัสสนวสิ ทุ ธิ
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสทุ ธิ น้นั พระวปิ ัสสนาญาณแหง่ พระโยคาวจรเจ้า รู้ไปในมรรค
แลมิใชม่ รรค ดังน้ีว่า ธรรมส่งิ น้ีเปน็ ทางมรรค ธรรมสงิ่ นไี้ ม่ใช่ทางมรรค เป็นทางผดิ ป่วยการ
ลาบากเสียเปลา่ อนึ่งรูไ้ ปในปจั จัยกาหนดแล้วน้นั แลรู้ในสงั ขารธรรมประกอบในภมู ิท้งั ๓ แล
ปรารภซงึ่ เบญจขนั ธอ์ นั มีใน อดีต อนาคต ปัจจุบนั แลยอ่ ซงึ่ รปู ธรรมด้วยสามารถ เปน็ กลาป
มัดฟ่อน เป็น อนิจจงั ไม่เท่ยี ง ดว้ ยอธบิ ายวา่ แปรปรวนไป รู้สนิ้ สดุ ไป เปน็ ทกุ ขัง มีทุกขเวทนา
ดว้ ยอธิบายวา่ มีภัยพงึ กลัว เป็น อนตั ตา สูญเปลา่ ด้วยอธิบายวา่ หาแกน่ สารมไิ ด้ ในเบญจขันธ์
อันสบื ต่อไปสน้ิ กาลนานช้านาน แลเม่ือพระโยคาวจรเจา้ พจิ ารณาเหน็ ซ่งึ พระไตรลกั ษณะญาณ
ด้วย สมั มสนะญาณ แลเห็นเกดิ แลว้ ดับหายด้วย อุทยัพพยญาณ นั้นก็เห็นดว้ ยสามารถรซู้ ง่ึ
อันตราย คือ วปิ สั สนูปกเิ ลส อันจะให้เศร้าหมอง แห่งวปิ ัสสนาญาณ ๑๐ ประการดังนี้
โอภาโส ให้เห็นสวา่ งแจม่ ใสงามรอบคอบ
ญาณ ใหบ้ ังเกดิ ญาณรู้เกินกวา่ ปกติ
ปีติ ใหเ้ กิดความยินดีกวา่ ปกติ
ปัสสทั ธิ ใหส้ งบกาย แลระงับจติ กวา่ ปกติ
สุข ให้เปน็ สุขมากกว่าปกติ
อธิโมกโข ให้มีอนิ ทรยี ์อันกล้ากว่าปกติ
ปัคคาหะ (ปัคคาโห)ใหม้ ีความเพียรมากกว่าปกติ
อุปฏั ฐานงั ให้มีสติมากกว่าปกติ
อเุ ปกขา ใหม้ จี ติ เปน็ อุเบกขามัธยสั ถ์มากกวา่ ปกติ
นกิ นั ติ ใหม้ ตี ณั หารกั ใครช่ อบใจในธรรมอนั มสิ มควรน้นั

๑๔๓

เปน็ อุปกิเลส ๑๐ ประการ เทา่ น้จี ะเกดิ ขึน้ เปน็ ลาดบั แล ถ้าวิปสั สนาญาณแห่งพระ
โยคาวจรเจ้า รูซ้ ง่ึ ธรรมทั้งหลายอันเปน็ ทางมรรค แลมิใชม่ รรคเปน็ แทฉ้ ะน้ี ช่อื ว่า มคั คามคั ค
ญาณทสั สนวสิ ทุ ธ์ิ

๑๔๔

ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ
ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ความบริสทุ ธ์ิด้วยความร้คู วามเหน็ ทางปฏบิ ัติที่ถูก รู้ไปใน
วปิ สั สนาญาณทั้งเก้า คือ สัมมสนญาณ – ญาณกาหนดรพู้ ระไตรลกั ษณะ, อุทยัพพยญาณ –
ญาณกาหนดรคู้ วามเกิดความดบั , ภงั คญาณ – ญาณกาหนดรูค้ วามดับ, ภยตปู ฏั ฐานญาณ – ญาณ
กาหนดรโู้ ดยความเปน็ ของน่ากลวั , อาทนี วญาณ- ญาณกาหนดรโู้ ทษของนามรูป นิพพิทาญาณ
– ญาณกาหนดรู้ดว้ ยความเบือ่ หน่ายในนามรปู มุญจิตุกามยตาญาณ- ญาณกาหนดรดู้ ้วยความ
ปรารถนาจะพน้ ไปจากนามรูป, ปฏสิ ังขาญาณ- ญาณกาหนดรดู้ ว้ ยพจิ ารณาทบทวนเหน็ ไตร
ลักษณ์จนถึงอยากจะพน้ สังขารุเปกขาญาณ- ญาณกาหนดรู้ด้วยความวางเฉยในสังขาร, อนุโลม
ญาณ- ญาณกาหนดร้ดู ้วยการคล้อยตามญาณท้ังแปดตงั้ แต่ อทุ ยัพพยญาณ จนถึง สงั ขารุเปกขา
ญาณ ข้างต้น และสอดคลอ้ งกับโพธปิ กั ขิยธรรม ๓๗ ขา้ งปลาย

ญาณทสั สนวิสุทธิ
ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ ความบริสทุ ธิเ์ ห็นไปในมรรค ๔ คอื โสดาปตั ติมรรค สกทาคามมิ รรค
อนาคามมิ รรค และ อรหตั ตมรรค

โสดาปัตติมรรคญาณ
ปญั ญาในการออกไป และหลีกออกไปจากกเิ ลส ขันธแ์ ละสงั ขารนมิ ติ ภายนอก ในขณะ
แหง่ โสดาปตั ตมรรค ญาณชือ่ ว่าสมั มาทฏิ ฐเิ พราะอรรถวา่ เห็น ยอ่ มออกจากมจิ ฉาทฏิ ฐิ ออกจาก
สรรพนิมิตภายนอกเพราะเหตุนั้นทา่ นจงึ กล่าววา่ ปญั ญาในการออกไป และหลกี ออกไปจาก
กเิ ลส ขนั ธ์ และสังขารนิมิตภายนอกทั้งสอง เปน็ มรรคญาณ

สกทาคามมิ รรคญาณ
ในขณะแหง่ สกทาคามิมรรค ญาณชือ่ วา่ สมั มาทิฏฐิ เพราะอรรถว่าเห็น ฯลฯ ชอื่ ว่า
สัมมาสมาธิเพราะอรรถวา่ ไม่ฟงุ้ ซา่ น ยอ่ มออกจากกามราคะสญั โญชน์ ปฏฆิ ะสัญโญชน์ กาม
ราคานสุ ยั ปฏฆิ านสุ ัย สว่ นหยาบๆ จากเหล่ากเิ ลสท่เี ป็นไปตามมิจฉาสมาธิ จากขันธ์ทงั้ หลาย
ออกจากสรรพนมิ ติ ภายนอก เพราะเหตนุ ้ันท่านจึงกลา่ ววา่ ปัญญาในการออกไปและหลีก
ออกไปจากกเิ ลส ขันธ์ และสังขารนิมิตภายนอกท้งั สอง เป็นมรรคญาณ

อนาคามิมรรคญาณ
ในขณะแหง่ อนาคามมิ รรค ญาณชอื่ วา่ สมั มาทฏิ ฐิ เพราะอรรถว่าเหน็ ฯลฯ ชอ่ื ว่า
สมั มาสมาธิ เพราะอรรถว่าไม่ฟุง้ ซา่ น ย่อมออกจากกามราคะสญั โญชน์ ปฏิฆสญั โญชน์ กาม
ราคานุสยั ปฏิฆานุสัยส่วนละเอียด ยอ่ มออกจากกเิ ลสท่ีเปน็ ไปจากมจิ ฉาสมาธิน้ัน จากขันธ์

๑๔๕

ทงั้ หลาย และจากสรรถนิมิตภายนอก เพราะเหตุนัน้ ท่านจึงกลา่ ววา่ ปญั ญาในการออกไป และ

หลกี ออกไปจากกเิ ลส ขนั ธ์และสงั ขารนมิ ติ ภายนอกทัง้ สองนี้เรียกว่ามรรคญาณ

อรหตั ตมรรคญาณ

ในขณะแห่งอรหตั มรรคญาณช่ือว่า สัมมาทฏิ ฐิ เพราะอรรถวา่ เห็น ฯลฯ ชือ่ ว่าสัมมาสมาธิ

เพราะอรรถว่าไมฟ่ งุ้ ซา่ น ยอ่ มออกจากรปู ราคะ อรปู ราคะ มานะ อุทธจั จะ อวิชชา มานานุสัย ภว

ราคานุสยั อวชิ ชานุสยั ย่อมออกจากกเิ ลสท่เี ปน็ ไปตามมจิ ฉาสมาธิน้นั จากขนั ธ์ทง้ั หลายและ

จากสรรพนมิ ติ ภายนอก เพราะเหตุน้ันทา่ นจงึ กลา่ วว่า ปัญญาในการออกไปและหลีกออกจาก

กิเลสขันธ์และนมิ ติ ภายนอกทั้งสอง เปน็ มรรคญาณ

โสดาปัตตผิ ลญาณ

ปญั ญาในการระงับประโยค เป็นผลญาณอยา่ งไร ในขณะแหง่ โสดาปตั ติมรรค ญาณช่ือ

สัมมาทิฏฐยิ ่อมออกจากเหล่ากเิ ลสอันเปน็ มจิ ฉาทิฏฐิ ยอ่ มออกจากกเิ ลสอนั เป็นไปตาม

มจิ ฉาทฏิ ฐิ จากขนั ธท์ ้งั หลายและจากสรรพนมิ ติ ภายนอก ฯลฯ ช่อื วา่ สมั มาสมาธเิ พราะอรรถวา่

ไม่ฟงุ้ ซา่ น ย่อมออกจามิจฉาสมาธิ ออกจากเหล่ากเิ ลสที่เป็นไปตามมจิ ฉาสมาธนิ ัน้ จากขนั ธ์

ท้งั หลายและจากสรรพนิมติ ภายนอก สัมมาสมาธิย่อมเกิดขึ้นเพราะเปน็ คณุ ชาติระงับประโยคท่ี

ออกนน้ั การระงับประโยคนนั้ เปน็ ผลของมรรค

สกทาคามผิ ลญาณ

ในขณะแห่งสกทาคามมิ รรคญาณชื่อว่าสมั มาทฏิ ฐิ เพราะอรรถวา่ เห็น ฯลฯ ชอ่ื ว่า

สัมมาสมาธเิ พราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมออกจากกามราคะสญั โญชน์ ปฏิฆสัญโญชน์ กาม

ราคานุสยั ปฏิฆานสุ ยั สว่ นหยาบๆ ย่อมหลกี ออกจากเหลา่ กิเลสท่ีเปน็ ไปตามมจิ ฉาสมาธิ จาก

ขนั ธ์ทั้งหลายและจากสรรพนิมติ ภายนอก สัมมาสมาธยิ อ่ มเกดิ ขึ้น เพราะเปน็ คณุ ชาติระงับ

ประโยคที่ออกนัน้ การระงับประโยคนน้ั เปน็ ผลของมรรค

อนาคามิผลญาณ

ในขณะแห่งอนาคามมิ รรค ญาณช่ือวา่ สมั มาทิฏฐิเพราะอรรถวา่ เหน็ ฯลฯ ช่อื วา่ สมั มาสมาธิ

เพราะอรรถว่าๆ ไม่ฟงุ้ ซา่ น ยอ่ มออกจากกามราคะสัญโญชน์ ปฏฆิ ะสัญโญชน์ กามราคานุสยั

ปฏิฆนสุ ยั ส่วนละเอยี ดย่อมออกจากกิเลสท่ีเปน็ ไปตามมจิ ฉาสมาธนิ ้นั จากขนั ธท์ ง้ั หลายและ

จากสรรพนมิ ติ ภายนอก สัมมาสมาธิยอ่ มเกิดข้นึ เพราะเป็นคุณชาตริ ะงับประโยคทอ่ี อกนั้น การ

ระงบั ประโยคท่ีออกนัน้ เปน็ ผลของมรรค

๑๔๖

อรหัตตผลญาณ
ในขณะแห่งอรหัตมรรคญาณชือ่ ว่าสัมมาทิฏฐิ เพราะอรรถว่าเห็น ฯลฯ ช่อื ว่า สัมมาสมาธิ
เพราะอรรถว่า ไม่ฟุง้ ซา่ น ยอ่ มออกจากรูปราคา และอรูปราคะ มานะ อทุ ธัจจะ ถีนมิทธะ อวชิ ชา
ภวราคานุสยั มานานุสัย อวิชชานสุ ยั ย่อมออกจากกเิ ลสทเี่ ปน็ มิฉาทฏิ ฐิ จากขันธท์ ัง้ หลายและ
จากสรรถนมิ ิตภายนอก สมั มาสมาธยิ ่อมเกดิ ข้นึ เพราะเป็นคณุ ชาตริ ะงบั ประโยคทีอ่ อกไปนั้น
การระงับประโยคท่อี อกไปน้ันเป็นผลของมรรค

วมิ ตุ ตญิ าณ
วิมตุ ติญาณ คือปญั ญาในการพิจารณาเห็นอุปกิเลสนั้นๆ อนั อริยมรรคนั้นๆ ตดั เสียแล้ว
อุปกเิ ลสแห่งจติ ของตน คือสกั กายทิฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลพั พตปรามาส ทิฐินสุ ยั วิจจิ กิ จิ ฉานุสัย เปน็
กิเลสอันโสดาปัตตมิ รรคตดั ขาดดแี ลว้ จิตทหี่ ลุดพน้ จากอุปกิเลส ๕ ประการนี้ พรอ้ มดว้ ยปริยุฏ
ฐาน กเิ ลส เปน็ อนั พน้ แล้วดว้ ยดชี อ่ื วา่ ญาณ เพราะอรรถวา่ รวู้ ิมติ ุนัน้ ชอ่ื วา่ ปัญญา เพราะอรรถวา่
รชู้ ดั เพราะเหตุนัน้ ท่าน จึงกล่าวว่า ปัญญาในการพจิ ารณาเหน็ อปุ กเิ ลสน้ันอันอรยิ มรรคนัน้ ๆ
ตดั เสยี แลว้ เป็นวิมตุ ตญิ าณ
อุปกเิ ลสแห่งจิตตนคือ กามราคะสญั โญชน์ ปฏฆิ ะสญั โญชน์ กามราคานสุ ยั ปฏฆิ านุสยั
ส่วนหยาบ เปน็ กิเลสอันสกทาคามมิ รรคตัดขาดดแี ล้ว จิตหลดุ พ้นจากอปุ กเิ ลส ๔ ประการ
พรอ้ มด้วยปริยฏุ ฐานกเิ ลส เป็นอนั พ้นแล้วดว้ ยดี ช่ือว่า ญาณ เพราะอรรถว่าร้วู มิ ุตนิ น้ั ชอื่ วา่
ปัญญาเพราะอรรถวา่ รู้ชัด เพราะเหตนุ ้ันท่านจงึ กล่าวว่า ปญั ญาในการพิจารณาเหน็ อปุ กิเลส
น้ันๆ ตดั เสียแลว้ เปน็ วมิ ุตตญิ าณ
อปุ กิเลสแห่งจติ ตน คือ กามราคะสัญโญชน์ ปฏิฆะสัญโยชน์ กามราคานุสัย ปฏิฆานสุ ยั
สว่ นละเอียดเปน็ กิเลสอนั อนาคามมิ รรคตดั ขาดดีแลว้ จิตย่อมหลุดพ้นจากอุปกิเลส ๔ ประการน้ี
พรอ้ มดว้ ยปริยฏุ ฐานกิเลส เปน็ อนั พ้นแลว้ ด้วยดีชอ่ื วา่ ญาณ เพราะอรรถวา่ รู้ วมิ ุติตนน้ั ช่ือว่า
ปญั ญา เพราะอรรถวา่ รู้ชัด เพราะเหตุนัน้ ทา่ นจึงกล่าววา่ ปัญญาในการพจิ ารณาเหน็ อุปกเิ ลส
นน้ั ๆ อันพระอริยมรรคนั้นๆ ตัดเสยี แล้ว เปน็ วิมตุ ติญาณ
อปุ กเิ ลสแหง่ จติ ของตน คอื รปู ราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธจั จะ อวชิ ชา มานานุสัย ภวราคา
นุสยั อวชิ ชานสุ ยั เป็นกิเลสอนั อรหตั มรรคตดั ขาดดีแลว้ จติ ที่หลุดพ้นจากอุปกิเลส ๔ ประการนี้
พร้อมดว้ ยปริยุฏฐานกเิ ลส เป็นอันพ้นแล้วดว้ ยดี ชื่อว่า ญาณ เพราะอรรถว่ารู้วิมุตตนิ นั้ ช่ือวา่
ปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชดั เพราะเหตนุ นั้ ทา่ นจึงกล่าว่า ปญั ญาในการพจิ ารณาในการเหน็
อปุ กเิ ลสน้นั ๆ อันอรยิ มรรคน้ันๆ ตัดเสียแล้วเปน็ วมิ ุตตญิ าณ

๑๔๗

อนจิ ลักษณะ ๓
๑.อนจิ จลักขณะ ลักษณะท่ีไมเ่ ที่ยง
๒.ทุกขลักขณะ ลักษณะทเี่ ปน็ ทุกข์
๓.อนตั ตลกั ขณะ ลกั ษณะทเ่ี ป็นอนัตตา
คาวา่ ลักษณะ หมายความว่า เปน็ เคร่ืองหมายของสังขารธรรม ดงั นนั้ สงิ่ ทั้งหลายท้งั
ปวงท่ีปรากฏมีอยู่ในโลก ไม่วา่ จะเป็นรูปหรอื นาม สิง่ มชี วี ิต สิ่งไมม่ ชี ีวติ ทัง้ ภายใน และ
ภายนอก พจิ ารณาสง่ิ เหล่าน้มี เี คร่ืองหมายท้งั สามคือ อนจิ จัง ทกุ ขงั อนตั ตา สิ่งเหลา่ นล้ี ว้ นเป็น
ธรรมที่ปรากฏขน้ึ โดยมเี หตุปจั จัยปรุงแต่ง
๑.อนจิ จลักขณะ ลักษณะท่ีไม่เที่ยง
เครอื่ งหมายช่ือว่า ลักษณะ อนจิ จลักขณะ ได้แก่ ความสนิ้ ไป ดับไป อนจิ จะ โดย
อรรถอธิบายว่า สิน้ ไป ดับไปนั้นเอง ความเปน็ อยู่คือ สนิ้ ไป ดับไปอยู่เร่ือยๆ ตดิ ต่อกัน ของ
สงั ขตธรรมที่ไมเ่ ท่ียงน้ันแหละ ชื่อวา่ อนจิ จลกั ขณะ
รูป นาม ขันธ์ ๕ ช่ือวา่ อนจิ จงั เพราะว่า มกี ารวิปรติ ผดิ แผกเปลี่ยนไปโดยความเกดิ
ดบั คือเกดิ ขึ้นแล้วกส็ ญู สิ้นดับไป ไม่มเี หลือ
๒.ทกุ ขลักขณะ ลักษณะที่เป็นทุกข์
ทกุ ขลักขณะ ไดแ้ ก่ความทนอยไู่ มไ่ ด้ ตอ้ งดับไป ทุกขโ์ ดยอรรถว่า เปน็ ภัยทีน่ า่ กลวั
นั้นเอง สงั ขตะธรรมชอ่ื ว่าทกุ ขตา หรือความทนอย่ไู ม่ได้ ต้องดับไปเร่ือยๆตดิ ต่อกนั เปน็
เครื่องหมายใหร้ ้จู าได้ ช่อื วา่ ทุกขลกั ขณะ
รปู นาม ขันธ์ ๕นั้นแหละช่ือวา่ ทุกขงั สมดังทีพ่ ระผมู้ ีพระภาคเจ้าทรงแสดงไวว้ ่า สิ่งใด
ไม่เท่ยี งสิง่ น้นั เป็นทุกข์ เพราะรูป นาม ขนั ธ์ ๕ ถูกเบียดเบียนบีบคนั้ อยเู่ นื่องๆ โดยความเกิด
และความดับ อาการถกู เบียดเบียนบีบคน้ั อยเู่ น่อื งๆ เรียกวา่ ทุกขลักขณะ
๓.อนัตตลักขณะ ลักษณะทเ่ี ปน็ อนัตตา
อนตั ตลกั ขณะ ไดแ้ กค่ วามไมม่ แี กน่ สารปราศจากเราเขาท่จี ะบังคับบัญชาให้เปน็ ไป
ตามความตอ้ งการ เพราะอรรถวา่ ไม่มีแก่นสาร ปราศจากเราเขาทีจ่ ะบังคับบัญชา ใหเ้ ปน็ ไปตาม
ความต้องการนน้ั เอง เป็นเคร่ืองหมายใหร้ จู้ าไดว้ า่ อนัตตลักขณะ
นาม รปู ขันธ์ ๕ นั้นแหละช่อื ว่า อนตั ตา สมดงั ท่พี ระผ้มู พี ระภาคเจ้าทรงแสดงไวว้ า่ ส่งิ
ใดเป็นทกุ ข์ สง่ิ นัน้ เปน็ อนตั ตา เพราะรูป นาม ขนั ธ์๕ ไม่อยู่ในอานาจบังคับบญั ชา ของผู้ใด
ทงั้ สน้ิ อาการทไี่ ม่เปน็ ในอานาจบังคับบัญชา เรยี กว่า อนัตตลกั ขณะ

๑๔๘

มนสิการโดยความไม่เทยี่ ง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา
เม่อื บุคคลมนสกิ ารโดยความเป็นสภาพไม่เทย่ี ง ยอ่ มรู้ ย่อมเห็นธรรมเหลา่ ไหนตามความ
เป็นจริง สมั มาทัสนะ ความเหน็ ชอบยอ่ มมไี ดอ้ ย่างไร สังขารทงั้ ปวงเป็นสภาพอันบุคคลเห็นดี
แล้ว โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทสั สนะนั้น อย่างไร บุคคลยอ่ มละ
ความสงสัยทไี่ หน
เมอื่ มนสิการโดยความเป็นทกุ ข์ ยอ่ มรู้ยอ่ มเหน็ ธรรมเหล่าไหนตามความเปน็ จรงิ ความ
เหน็ ชอบ ยอ่ มมีไดอ้ ย่างไร สังขารท้ังปวงอันเป็นสภาพท่ีบุคคลเห็นดแี ลว้ โดยความเปน็ ทุกข์
เมอ่ื บคุ คลมนสกิ ารโดยความเป็นอนตั ตา ยอ่ มรู้ย่อมเห็นธรรมเหล่าไหนตามความเปน็ จรงิ
ความเห็นชอบยอ่ มมีได้อยา่ งไร ธรรมทั้งปวงเป็นธรรมอนั บคุ คลเหน็ ดีแล้ว โดยความเปน็
อนตั ตา ดว้ ยความเป็นไปตามสัมมาทศั นะนัน้ อยา่ งไร บคุ คลย่อมละความสงสยั ได้ในท่ไี หน
เมอ่ื บุคคลมนสกิ ารโดยความเปน็ สภาพไม่เที่ยง ย่อมรูย้ อ่ มเหน็ นิมิตตามความเปน็ จรงิ
เพราะเหตุน้นั ทา่ นจงึ กลา่ ววา่ สัมมาทัสนะ สังขารทง้ั ปวงเป็นสภาพอันบุคคลเหน็ ดีแลว้ โดย
ความเป็นสภาพไมเ่ ทีย่ ง ดว้ ยความเป็นไปตามสัมมาทัสนะอยา่ งนี้ บุคคลย่อมละความสงสยั ได้
ในสมั มาทสั นะนน้ั น้ี
เมอ่ื บคุ คลนมสิการโดยความเป็นทกุ ข์ ยอ่ มรยู้ ่อมเห็นตามความเป็นไปตามความเปน็ จรงิ
เพราะเหตนุ ัน้ ท่านจงึ กลา่ วว่าสัมมาทสั นะ สงั ขารทั้งปวงเปน็ สภาพทีบ่ ุคคลเหน็ ดีแลว้ โดยความ
เปน็ ทุกข์ ด้วยความเป็นไปตามสัมมาทสั นะน้ันอยา่ นี้ บุคคลย่อมละความสงสยั ไดใ้ นสัมมา
ทศั นะนี้
เมอ่ื บคุ คลมนสกิ ารโดยความเปน็ อนัตตา ยอ่ มรู้ย่อมเหน็ นมิ ติ และความเห็นไปตามความ
เป็นจริง เพราะเหตนุ นั้ ทา่ นจึงกล่าววา่ สมั มาทสั นะ ธรรมทั้งปวงเปน็ ธรรมอันบุคคลเหน็ ดีแล้ว
โดยความเป็นอนตั ตา ด้วยความเป็นไปตามสมั มาทัสนะนน้ั อย่างนี้ บุคคลยอ่ มละความสงสัยได้
ในสมั มาทสั นะน้ี

อนวุ ปิ สั สนา ๓
๑.อนจิ จานุปัสสนา คือพิจารณาเห็นโดยอาการไม่เทย่ี ง
๒.ทกุ ขานุปสั สนา คือพิจารณาเหน็ โดยอาการเป็นทกุ ข์
๓.อนตั ตานปุ สั สนา คือพจิ ารณาเห็นโดยอาการเป็นอนัตตา

๑๔๙

อนวุ ิปัสสนา หมายความวา่ การรเู้ ห็นเนืองๆ อนุ แปลวา่ เนอื งๆ ปัสสนา การรู้เหน็ รวม
เป็น อนวุ ปิ สั สนา การรเู้ หน็ เนอื งๆ ไดแ้ ก่ปญั ญาเจตสิก คอื วปิ สั สนาญาณที่มกี ารพิจารณา รู้
เหน็ โดยความเปน็ อนจิ จงั ทุกขงั อนตั ตา อนวุ ิปัสสนามี ๓

อนิจจานุปัสสนา การพิจารณาร้เู ห็นรปู นาม เปน็ อนจิ จังเนืองๆ จนอนิจจลักขณะปรากฏ
ชื่อว่าอนจิ จานปุ สั สนา

อนจิ จานุปสั สนาญาณ ยอ่ มพน้ จากอุปาทาน ๓ เป็นอย่างไร อนจิ จานุปสั สนาญาณ ยอ่ ม
พน้ จากอปุ ทาน ๓ คือ ทิฏฐปาทาน สีลพั พตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน อนจิ จานุปสั สนาญาณ ยอ่ ม
พ้นจากอปุ ทาน ๓ เหล่าน้ี

อนจิ จานปุ สั สนา ได้แก่ปัญญาที่พจิ ารณาเห็นว่า ไมเ่ ทีย่ งอย่เู นืองๆ ในรปู นาม ขันธ์ ๕
ทกุ ขานุปัสสนา ปญั ญาพิจารณาเห็นความเป็นทุกขอ์ ยเู่ นืองๆ ในรูป นาม ขันธ์ ๕ ท่ีได้ช่อื
ว่าทกุ ข์น้นั กเ็ พราะเป็น อนจิ จัง มีการเกิดขึน้ แลว้ ดับไป อาการท่ีเกิดขน้ึ แลว้ ดับไปนน้ั เปน็ ทุกข
ลักขณะ ขนั ธ์ ๕ น้ันแหละเปน็ ธรรมท่เี ปน็ ทกุ ข์ พระผูม้ ีพระภาคเจ้าทรงตรสั วา่ ธรรมใดเป็น
อนิจจงั ธรรมน้ันเปน็ ทุกข์
ทุกขานปุ ัสสนาญาณ ย่อมพน้ จากอปุ ทาน ๑ เป็นอย่างไร ทกุ ขานุปัสนาญาณ ยอ่ มพน้
จากอปุ ทาน ๑ คือ กามุปาทาน ทุกขานปุ สั นาญาณ ยอ่ มพ้นจากอุปาทาน ๑ ดงั นี้
อนัตตานุปัสสนา ปัญญาท่ีกาหนดรู้เห็นโดยไม่มีการบังคับบัญชา ของนามรูป โดย
อาการเกดิ ข้ึนแลว้ ดบั ไป ติดต่ออยูต่ ่อกนั ไมข่ าดสาย
ขันธ์ ๕ นนั้ แหละชอ่ื ว่า อนตั ตา สมดังทีพ่ ระผูม้ ีพระภาคเจา้ ทรงแสดงไว้วา่ สง่ิ ใดเป็นทุก
สิ่งน้นั เปน็ อนตั ตา เพราะไมส่ ามารถบงั คบั บัญชา รูป นาม ขันธ์ ๕ ได้
อนัตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้นจากอุปาทาน ๓ เป็นไฉน อนัตตานุปัสนาญาณ ย่อมพ้น
จากอุปทาน ๓ คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทนุปาทาน อนัตตานุปัสนาญาณ ย่อม
พ้นจากอปุ าทาน ๓ เหลา่ นี้

วิปัสสนาญาณ ๑๐
อธบิ ายวปิ สั สนาญาณ ๑๐
สัมมสนนปุ สั สนาญาณ
พระโยคาวจรเจ้าพิจารณาดว้ ยวิปัสสนาญาณ แสวงหาเหตุ และปัจจัยแห่งนามรปู น้ัน ก็
เห็นซงึ่ รปู ธรรมทั้งหลาย ๔ ประการคือ อวิชชา ตณั หา อปุ าทาน กรรม ทั้งสปี่ ระการนเี้ ปน็ เหตุ

๑๕๐


Click to View FlipBook Version