The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คู่มือสมถะวิปัสสนากรรมฐาน

สมถะ-วิปัสสนากรรมฐานจากพระไตรปิฎก : ตามแนวพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับตามแนว-ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถร (สุก ไก่เถื่อน)

มาจาก พระคัมภีร์กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ฝ่ายเถรวาท ซึ่งถือตามคติที่พระอรหันต์พุทธสาวก ที่ได้วางหลักพระธรรมวินัย และธรรมปฏิบัติเป็ นแบบแผนไว้เมื่อครั้งตติยสังคายนา และนับถือแพร่หลายมาในประเทศ ไทย พม่า ลังกา ลาว และกัมพูชา เป็นของเก่า สืบทอดต่อมาโดยสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน) วัดราชสิทธาราม แต่ได้มาอธิบาย พระกรรมฐานของเก่าขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย และเพิ่มศรัทธา ให้มีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรม ของเก่าดั่งเดิมกันมากขึ้น เป็นการจรรโลงการปฏิบัติธรรมของเก่ามิให้ เสื่อมสลาย สูญสิ้นไป

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kindness Dharma Foundation, 2020-06-16 19:39:03

คู่มือสมถะ-วิปัสสนากรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับ

คู่มือสมถะวิปัสสนากรรมฐาน

สมถะ-วิปัสสนากรรมฐานจากพระไตรปิฎก : ตามแนวพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับตามแนว-ของสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรมหาเถร (สุก ไก่เถื่อน)

มาจาก พระคัมภีร์กรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ฝ่ายเถรวาท ซึ่งถือตามคติที่พระอรหันต์พุทธสาวก ที่ได้วางหลักพระธรรมวินัย และธรรมปฏิบัติเป็ นแบบแผนไว้เมื่อครั้งตติยสังคายนา และนับถือแพร่หลายมาในประเทศ ไทย พม่า ลังกา ลาว และกัมพูชา เป็นของเก่า สืบทอดต่อมาโดยสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร (สุก ไก่เถื่อน) วัดราชสิทธาราม แต่ได้มาอธิบาย พระกรรมฐานของเก่าขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย และเพิ่มศรัทธา ให้มีผู้เข้ามาปฏิบัติธรรม ของเก่าดั่งเดิมกันมากขึ้น เป็นการจรรโลงการปฏิบัติธรรมของเก่ามิให้ เสื่อมสลาย สูญสิ้นไป

เหตุวา่ เปน็ ปัจจยั ปรารภซ่ึง เบญจขนั ธ์อันมีใน อดีต อนาคต ปจั จุบนั แลย่อซึ่งเข้ารปู ธรรมดว้ ย
สามารถเป็นกลาปะ(กอง) มดั ฟ่อน เป็น

อนจิ จัง ไมเ่ ทีย่ ง ดว้ ยอรรถวา่ แปรปรวนไป รสู้ ้ินสุดไป
ทกุ ขัง มที กุ ขเวทนา ด้วยอรรถว่า มภี ัยพงึ กลวั
อนัตตา สูญเปลา่ ว่าหาแก่นสารมไิ ด้
ในเบญจขันธ์ อนั จะสืบตอ่ ไปสิน้ กาลช้านาน แลเมื่อพระโยคาวจร เหน็ ซง่ึ พระไตร
ลกั ษณญ์ าณ เรียกวา่ สมั มสนญาณ

๑๕๑

อุทยัพพยนปุ ัสสนาญาณ
(ฝนตกและดับ)

ญาณกาหนดร้ดู ้วยการเห็นเนอื งๆ ซ่งึ ความเกดิ ดับ ปรวนแปรของปจั จุบันธรรมทง้ั หลาย
(นามและรูป) กาหนดชัดในอุปาทะขณะ ขณะเกิดขึ้น และภังคะขณะ ขณะดบั แบง่ เป็น

ตรุณอุทยัพพยญาณ อุทยัพพยญาณอยา่ งออ่ น พลวอุทยพั พยญาณ คอื อุทยัพพยญาณ
อย่างแก่ หรอื การแลเห็นเกดิ แลว้ ดับครั้งแรก เป็น อุทยพั พยญาณอยา่ งอ่อน ไมส่ ามารถแลเหน็
พระไตรลกั ษณไ์ ด้ชัดเจน เพราะอปุ กิเลส มาปดิ บงั ดงั นน้ั กส็ ามารถรซู้ ่ึงอนั ตราย คือ วปิ ัสสนู
กเิ ลส อันทาใหเ้ ศร้าหมองในวิปสั สนาญาณ ๑๐ คือ

วปิ สั สนกู ิเลส ๑๐
โอภาส ให้เหน็ สว่างแจ่มใสงามรอบคอบ
ญานงั ให้บังเกิดญาณรเู้ กินกวา่ ปรกติ
ปีติ ใหเ้ กิดความยนิ ดีกวา่ ปรกติ
ปสั สทั ธิ ให้สงบกาย และระงับจิตกวา่ ปรกติ
สุขงั ใหม้ ีสขุ มากกวา่ ปรกติ
อธโิ มกโข ใหม้ อี ินทรีย์อนั แก่กลา้ กว่าปรกติ
ปัคคโห ใหม้ คี วามเพยี รมากกวา่ ปรกติ
อปุ ัฏฐานงั มีสตมิ ากกวา่ ปรกติ
อุเบกขา มีจติ เปน็ อเุ บกขา มัธยสั ถ์ มากกว่าปรกติ
นิกนั ติ ให้มีตัณหารกั ใคร่ชอบใจในธรรมอันมิสมควร
อุทยพั พยญาณ (อยา่ งแก่) ไดแ้ กป่ ัญญาอนั ใด รไู้ ปในธรรมทง้ั หลายตา่ งๆ คือรู้ในที่บัง
เกดิ ขึ้น แลฉบิ หายไปแห่งเบญจขันธ์ทั้งหา้ และปราศจากอปุ กิเลส ๑๐ ประการ สามารถเหน็ พระ
ไตรลักษณไ์ ด้ เพราะไม่มอี ุปกเิ ลส มาปดิ บงั
คร้ันกลุ บตุ รนัน้ เริ่มวิปัสสนาแลว้ วิปัสสนปู กเิ ลส (เครอ่ื งเศรา้ หมองของวิปัสสนา) ๑๐
อย่างย่อมเกดิ ขนึ้ คอื โอกาส (แสงสว่าง) ๑ ญาณ ๑ปติ ิ ๑ ปสั สัทธิ ๑ สขุ ๑ อธิโมกข์ (ความน้อม
ใจเชื่อ) ๑ ปคั คหะ (การประคองไว้) ๑ อุปัฏฐานะ (การเขา้ ไปตัง้ ไว้) ๑ อุเกขา ๑นิกันติ (ความ
ใคร่) ๑.
ในวปิ สั สนูปกเิ ลส เหล่านี้ เพราะญาณมกี าลงั ในขณะแห่งวิปสั สนาโลหติ ยอ่ มผ่องใส ช่ือ
ว่า โอภาส เพราะโลหติ ผอ่ งใสนนั้ ความสว่างแห่งจิตยอ่ มเกิด

๑๕๒

พระโยคาวจรผไู้ มฉ่ ลาด ครั้นเหน็ ดงั น้นั แล้วพอใจ แสงสว่าง นนั้ ดว้ ยคดิ วา่ เราบรรลุ
มรรคผลแล้ว แม้ ญาณ ก็เปน็ วิปสั สนาญาณเท่าน้ัน ญาณนน้ั บริสุทธ์ผิ อ่ งใส ยอ่ มเป็นไปแกผ่ ู้
พจิ ารณาสังขารทั้งหลายพระโยคาวจรเห็นดงั น้ันยอ่ มพอใจวา่ เราไดบ้ รรลุมรรคแล้ว ดจุ ในคร้ัง
ก่อน ปตี ิ ก็เป็นวปิ ัสสนาปีตเิ ท่านน้ั ในขณะนน้ั ปตี ิ ๕ อยา่ งยอ่ มเกิดขึ้นแกพ่ ระโยคาวจรนน้ั
ปัสสทั ธิ ไดแ้ ก่ ปัสสัทธใิ นวิปสั สนาในสมัยน้ัน กายและจิตไม่กระวนกระวาย ไมม่ คี วาม
กระดา้ ง ไมม่ คี วามไมค่ วรแก่การงาน ไมม่ ีความคด ไมค่ วามงอ แม้ สุข กเ็ ป็นสุขในวิปัสสนา
เทา่ นั้น นยั วา่ ในสมยั น้ัน รา่ งกายทุกส่วนชุ่มชน่ื ประณีตยิ่งเป็นสุขย่อมเกิดขึน้ ศรทั ธาเป็นไป
ในขณะแห่งวปิ สั สนา ชอ่ื ว่า อธิโมกข์จริงอยู่ ในขณะนั้นศรทั ธาท่ีมีกาลัง ซ่ึงยังจิตและเจตสิกให้
เลอ่ื มใสอย่างยิ่ง ตงั้ อยู่ดว้ ยดยี ่อมเกดิ ขน้ึ ความเพียรที่สมั ปยุตดว้ ยวิปัสสนา ชือ่ ว่า ปคั คาหะ จริง
อยู่ ในขณะน้ัน ความเพยี รท่ีประคองไวด้ ีแลว้ ไม่ยอ่ หย่อนอนั ตนปรารภย่ิงแล้วยอ่ มเกิดขึ้น สตทิ ่ี
สัมปยตุ ดว้ ยวปิ สั สนา ชอ่ื ว่า อปุ ัฏฐาน จรงิ อยู่ ในสมยั นน้ั สติทตี่ ง้ั ม่ันดีแลว้ ย่อมเกดิ ข้นึ อุเขกขา
มี๒ อย่าง ด้วยอานาจแห่งวิปัสสนา และอาวชั ชนะ (การพจิ ารณา) จรงิ อยใู่ นขณะนั้นญาณ
กล่าวคือวปิ ัสสนเู ปกขา อนั มีความเป็นกลางในการยดึ ถอื สงั ขารทง้ั ปวง เป็นสภาพมีกาลงั ย่อม
เกดิ ขนึ้ แมอ้ ุเบกขาในมโนทวารวชั ชะกย็ อ่ มเกิดขนึ้ อนงึ่ อเุ บกขาน้ันกลา้ เฉียบแหลมยอ่ มเกดิ ขึน้
แก่ผ้พู จิ ารณาถงึ ฐานะน้ันๆ ความใคร่ชอบใจในวิปัสสนา ชือ่ วา่ นิกนั ติ

ภงั คานปุ สั สนาญาณ
(ครืนครงั่ หักพังทาลาย)
ญาณปัญญาอันใด รพู้ น้ จาก อทุ ยพั พยญาณ และเพง่ เล็งเห็นธรรมท้งั หลาย ถึงซึง่ ความ
ทาลายดับสูญ หรอื ญาณกาหนดรคู้ วามดบั ของนาม และรูป
เมอื่ ญาณดาเนินแก่กลา้ ยิ่งขน้ึ การกาหนดอุปาทะขณะ ความเกดิ ขน้ึ ฐติ ิขณะ ความต้งั อยู่
รวดเรว็ มาก จนกาหนดไม่ทันสตกิ าหนดได้แต่ นโิ รธ คอื ความดบั ความสิ้นไป เสือ่ มไป แตก
สลายไป ของนามรปู ดา้ นเดยี วคงกาหนดได้แต่ขณะดบั
ภยตปู ฏั ฐานปุ ัสสนาญาณ
(คือความกลัวท้งั ปวง)
ญาณปญั ญาเพง่ เล็งแลเห็น ซึง่ สังขารธรรมทัง้ หลายอนั ปรากฏอยู่ดว้ ยสามารถจะทาลาย
อันควรจะกลัวย่ิงนัก ประดุจดังวา่ สตั ว์รา้ ยทง้ั หลาย มรี าชสีห์เปน็ ต้นอันพงึ กลัว
ในพระคมั ภีรว์ ิสุทธมิ รรค เมื่อทบทวนทาใหม้ ากเนืองๆซ่ึง ภังคานุปสั สนาญาณ มีความ
ส้นิ ไป เสอ่ื มไป แตกสลายไป ของนามรปู ท้ังปวงอยอู่ ยา่ งน้ี นามรูปทงั้ หลายก็มแี ตแ่ ตกสลายไป

๑๕๓

ในภพ ๓ กาเนดิ ๔ วญิ ญาณฐิติ ๗ สัตตาวาส ๕ ส้ินทุกแห่งก็ปรากฏเป็นภัยใหญห่ ลวง เหมือน
เห็นราชสีห์ เป็นตน้ ปรากฏแก่คนขลาดกลัว และกาหนดเห็นนามรูปในอดตี ดับไปแลว้ นามรปู
ในปจั จบุ นั ก็กาลงั ดับ แมน้ ามรปู ในอนาคตก็จักดับเหมอื นกันดังนี้ จึงเกิดความกลัวท่จี ะเกดิ อีก
จึงเรียกวา่ ภยตปู ัฏฐานญาณ

อธิยายศัพท์
ภพ ๓ กามภพ รูปภพ อรปู ภพ
กาเนิด ๔ ๑.นรก ๒.ตริ จั ฉานโยนิ ๓.เปรต ๔.อสุรกาย
วญิ ญาณฐติ ิ ๗ ๑.พวกวนิ ปิ าติกะ ๒.พวกพรหมปฐมฌาน ๓.พรหมอาภัสระ
๔.พรหมสุภกิณหะ ๕.อรูปอากาสานญั จายตนะ ๖.พวกอรูปพรหม
วญิ ญานัญจายตนะ ๗.อรูปพรหมอากิญจัญยายตนะ
สตั ตาวาส ๕ อวิหา อตัปปา สทุ สั สา สทุ ัสสี อกนฏิ ฐา
อาทีนวนุปัสสนาญาณ
(เป็นโทษสน้ิ ทัง้ ตัวเรา)
ญาณปญั ญาอนั ใดอันเพ่งเล็ง แลเห็นซ่ึงโทษ แห่งสังขารธรรมทง้ั หลายอันควรจะเพง่ เล็ง

แลดดู ังนนั้ เปน็ ประดุจดังเรือนอันไฟไหม้
แต่กอ่ นเคยเห็นนามรูปวา่ ดงี าม คร้นั มาบัดนี้กลับรู้สึกเหน็ เปน็ โทษ ไม่น่าชน่ื ชมยนิ ดี แล

เหน็ รา่ งกายเปน็ ของเนา่ เป่ือย ร่างกายนี้มกี ิเลส ทากรรม มีวบิ าก นาให้ไปเกดิ ในภพภูมิต่างๆ
นพิ พิทานุปสั สนาญาณ

(เบอ่ื มนึ เกลยี ดชงั หน่ายเสีย)
ญาณปัญญาอันใด ร้เู ห็นไปในสังขารธรรมทั้งหลาย มโี ทษอันตนเห็นแล้วน้ัน ดว้ ย
สามารถเกดิ ความเบือ่ หน่าย ไมช่ ่ืนชมยินดสี งั ขารทมี่ อี ยูใ่ นภพ ๓ กาเนดิ ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ
๗ สัตตาวาส ๙ท่ัวไปทง้ั หมด ซ่งึ มแี ตค่ วามแตกดับ ความน่ากลวั ภัยในการเกดิ มีโทษอันตน
กาหนดเห็นแจง้ แล้ว จงึ เบ่อื หน่ายในสังขารทงั้ หลาย ชื่นชมยนิ ดีอยู่แต่ในอนวุ ิปัสสนา ๓ คอื
อนิจจานุปสั สนา ทุกขานุปัสสนา อนัตตานุปสั สนา นพิ พิทาญาณ นบั ว่าเป็นญาณทแ่ี ก่กลา้ แลว้

มุญจติ กุ ามยตานปุ สั สนาญาณ
(เหมือนอยู่ในแหในชะลอม)

๑๕๔

ญาณปญั ญาอันใด รู้เห็นไปดว้ ยสามารถปรารถนา อันจะพ้นจากธรรมทง้ั หลาย อัน
ประกอบในภมู ทิ ั้งสามนนั้ ประดุจดังว่าสัตวท์ ้ังหลายมีปลาเป็นต้น อนั ตกอย่ใู นขา่ ยและแหน้นั

ญาณน้ีกาหนดร้ดู ว้ ยความม่งุ มาตรปรารถนา จะไปเสียใหพ้ ้นจากนามรูปสงั ขาร อัตภาพ
ร่างกาย เปรียบเหมอื นปลาทอ่ี ยูใ่ นแหในชะลอม ใคร่จะหนไี ปให้พน้ จากแห และชะลอม คอื
สังขารรปู นาม ท้ังหลายนั้นเอง

๑๕๕

ปฏสิ ังขานุปัสสนาญาณ
(พิจารณาว่าใหพ้ น้ ทุกขแ์ ล)
ญาณปญั ญาอนั ใดรู้เหน็ ไปในสังขารธรรมท้ังหลาย มโี ทษอันตนแลเห็นแลว้ แสวงหา
อบุ ายท่ีจะพ้น ดว้ ยสามารถอันพิจารณาเนอื่ งๆ ประดจุ อนั ว่ากาน้าอันกลืนปลาตดิ คอ ปรารถนา
จะใครพ่ น้ ทุกข์ หรือญาณกาหนด รทู้ บทวน นามรูปสงั ขาร โดยพระไตรลักษณ์ อีกครัง้ หน่ึง คือ
กาหนดเหน็ ไตรลักษณ์ เกิดขนึ้ ตั้งอยู่ ดับไป (สัมมสนญาณ) และเหน็ เกิดดับ (อทุ ยพั พยญาณ)
เห็นดับ (ภงั คาญาณ) เกิดความกลวั (ภยญาณ) เหน็ โทษ (อาทนี วญาณ) เบอื่ หนา่ ย (นิพพิทา
ญาณ) หาทางพ้น(มญุ จิตุกามยตาญาณ) หาอุบายเพอ่ื จะพ้น(ปฏิสังขารุเบกญาณ)

สงั ขารเุ บกขานุปสั สนาญาณ

(สละเสียให้สนิ้ อยา่ เปน็ ห่วง)

ญาณปัญญาอนั ใดเป็นไปดว้ ยอาการอุเบกขาใน สงั ขารธรรมท้งั หลาย มีโทษอันตนเหน็

แลว้ ประดจุ ดังว่าบรุ ุษมีภรรยาอันตาย

ญาณกาหนดรู้ด้วยการวางเฉยในรูปนาม กาหนดรู้ด้วยสญุ ญตะ ความวา่ งเปล่าจากตวั ตน

ว่างเปล่าจากนามรูป ว่างเปลา่ จาก ตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ

สังขารเุ บกขาญาณ นี้น้ันจะดาเนินไปหลายครงั้ หลายคลาจนแก่กล้า ถ้าเหน็ นิพพานอัน

เปน็ ทางสันติ โดยความสงบ กจ็ ะสลัดทิ้งความเปน็ ไปของสังขารธรรมทุกประการ แล้วแล่นตรง

ไปสู่นิพพานเลยทเี ดยี ว หากยงั ไม่แก่กลา้ ไมเ่ ห็นนพิ พานโดยความสงบ ก็จะมสี งั ขารเป็น

อารมณ์อย่างเดียว วกวนกลบั ไป กลับมาแลว้ กลับมาเลา่ ๆ เหมอื นนกกาของพ่อค้าเดินทะเล

อปุ มาด้วยนกกา ของพวกพอ่ คา้ เดนิ เรอื ทะเล

เลา่ กันวา่ พวกพ่อคา้ เดินเรือทะเลโบราณ เมอื่ จะเดินเรือไปในทะเล ไดจ้ ับเอานกกาที่

เรยี กวา่ ทสิ ากากะ คอื กาผู้รูท้ ิศทางไปดว้ ย เม่ือเรือถูกพายุ แลน่ ผดิ ทิศทาง ไมแ่ ลเหน็ ฝ่งั พวก

พอ่ ค้ากจ็ ะ ปล่อยกาผ้รู ้ทู ศิ ไป กานัน้ ไปเกาะท่เี สากระโดงเรอื บนิ ขนึ้ ส่อู ากาศไปตามทิศ

น้อยใหญ่ ถ้าเห็นฝ่ัง กจ็ ะบนิ มุ่งหนา้ ตรงขึ้นฝงั่ ทะเลไปเลย

แต่ถ้าไมเ่ ห็นฝ่งั มนั กบ็ ินมาเกาะทไ่ี มเ้ สากระโดงเรือ แลว้ บินออกไป แลว้ บินกลับมา

เกาะแลว้ ๆเล่า สงั ขารุเบกขาญาณ ก็คลา้ ยกบั นกกานัน้ เช่นกนั

เรอื เปรยี บดว้ ยรูปนามขนั ธ์ ๕

นกกา เปรยี บด้วย สังขารเุ บกขาญาณถงึ ขน้ั สุดยอด

ฝัง่ เปรยี บด้วย พระนิพพาน

๑๕๖

ถา้ กาหนดแลว้ กาหนดเล่า กาหนดบ่อยๆ จนช่าชองแกก่ ลา้ และผ่านเขา้ สูญ่ าณเบอ้ื งสงู
เปน็ วปิ สั สนาญาณถึงขน้ั สุดยอด ขั้น วฏุ ฐานคามินวี ปิ ัสสนาญาณ

พระอนุรธุ เถรเจ้า กลา่ วว่า วปิ สั สนาถงึ สดุ ยอด พร้อมทง้ั อนโุ ลมญาณ น้ันคือ สังขา
รเุ บกขาญาณ ทีเ่ รียกวา่ วุฏฐานคามนิ วี ปิ ัสสนา

พระสมุ ังคลเถรเจ้า กล่าวอธบิ ายอกี วา่ สงั ขารุเบกขาญาณน้นั เอง ท่ีเรียกว่า สิขาปัตตา
(ถงึ ข้ันสุดยอด) เพราะถงึ ขั้นสดุ ยอดของวิปสั สนาญาณ ฝา่ ยโลกียะที่ว่าพร้อมดว้ ยอนุโลมญาณ
เพราะรวมทง้ั อนโุ ลมญาณ ซง่ึ เปน็ ท่ีสดุ ของวปิ สั สนาญาณโลกยี ะด้วย ทีเ่ รยี กว่า สงั ขารเุ บกขา
ญาณ เพราะวางเฉยในสงั ขารธรรมทง้ั หลาย และท่ีเรยี กวา่ วุฏฐานคามินี เพราะดาเนนิ ไปสู่
มรรค ทีเ่ รยี กวา่ วุฏฐานะ เพราะ ออกไปจากอบายภมู ิเปน็ ตน้ ดว้ ย และออกไปจาก นมิ ิต คือ
สังขาร รปู นาม

คาวา่ วุฏฐาคามินี นเ้ี ป็นชอ่ื ของญาณท้ังสาม คอื สังขารเุ บกขาญาณ ๑ อนุโลมญาณ ๑
โคตรภูมญิ าณ ๑ ทีเ่ รียกว่า สิขาปัตตา เพราะถงึ ขน้ั สดุ ยอด วิปัสสนาสงู สุด ในโลกียญาณ

เพอื่ ให้เข้าใจความหมาย วุฏฐานคามินวี ิปสั สนาญาณ โดยแจม่ แจ้ง ทา่ นเปรียบเทียบ
วปิ ัสสนาญาณดว้ ยอาการของคา้ งคาวดงั ต่อไปน้ี

อปุ มาดว้ ยคา้ งคาว
เล่ากนั ว่า ค้างคาวตัวหนึ่ง คิดจะไปกินดอก และผลทต่ี ้นไม้ จงึ แอบอยู่ทีต่ น้ มะทรางทีม่ ี
กิ่งอยู่ ๕ ก่งิ เกาะกินอย่กู ่ิงหน่ึงก่อน จนไมเ่ หน็ มดี อกผลอะไร ทจี่ ะเกาะกนิ ได้ ณ ก่ิงนน้ั แลว้ ก็
ยา้ ยไปกง่ิ ท่ี ๒ กง่ิ ที่ ๓ กิ่งที่ ๔ กิ่งท่ี ๕ จนไมเ่ หน็ อะไรที่จะเกาะกินเหมือนก่งิ ที่ ๑ แล้ว
คา้ งคาวตนนัน้ จึงคดิ วา่ ตน้ ไมต้ ้นนไี้ มม่ ผี ลแล้ว จงึ ทอดอาลยั ในตน้ ไม้ตน้ นั้น แลว้ ไต่ขึน้
ไปตามก่ิงตรงกิ่งท่ี ๕ ชูหวั ออกไปทางคาคบ แหงนดูขนึ้ ไปขา้ งบน แลว้ โลดข้ึนไปบนอากาศ
บนิ ไปแอบอยู่ ณ ตน้ ไม้ผลอนื่
๑. ค้างคาวเปรียบดว้ ย พระโยคาวจร ผ้ปู ฏบิ ตั ถิ ึง สงั ขารุเบกขาญาณ
๒. ต้นมะทราง ๕ กงิ่ คอื อปุ าทานขันธ์ ๕
๓. คา้ งคาวแอบอยบู่ นต้นมะทราง คือการยึดขนั ธ์ ๕
๔.การกาหนดรปู ขันธ์ แล้วเหน็ วา่ ไมม่ ีอะไรยดึ ถือได้ จงึ กาหนดรปู ขนั ธอ์ ่ืนต่อไป
เปรยี บคา้ งคาวเกาะกินกง่ิ หนงึ่ ไม่เห็นอะไร กไ็ ปเกาะกินก่ิงอน่ื ตอ่ ไป
๕. คา้ งคาวทอดอาลัยในตน้ ไม้ ไม่มีผล เปรียบดว้ ย โยคเี บ่ือหนา่ ย (นิพพทิ าญาณ) ดว้ ย
ไตรลักษณ์

๑๕๗

๖. อนโุ ลมญาณ ของโยคี เปรียบด้วยค้างคาว ไตข่ นึ้ ไปตามกิ่งตรง
๗. โคตรภูญาณ เปรียบด้วย การทค่ี ้างคางชหู วั ออกไปแหงนดูขนึ้ ไปขา้ งบน
๘.มรรคญาณ เปรียบดว้ ย การทีค่ ้างคาว โลดไปในอากาศ
๙.ผลญาณ เปรียบด้วย การท่ีค้างคาวตัวน้นั บนิ ไปแอบอยู่ ณ ต้นไม้ต้นอน่ื
อปุ สรรคของการบรรลุ สังขารุเบกญาณ ข้นั สงู มิสามารถผา่ นไปสูญ่ าณขัน้ สงู อืน่ ๆได้
เพราะ
๑.เคยต้งั ปณธิ านปรารถนาพุทธภมู ิไว้ และถ้าต้องการปฏิบัตใิ หบ้ รรลุผ่าน
สงั ขารุเบกขาญาณ เอามรรคผล ตอ้ งต้งั สติกาหนดถอนปณธิ าน
ความปรารถนาพุทธภูมิ
๒.เคยลว่ งเกินทา่ นบุรพการีเช่น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บดิ ามารดา

พระอปุ ัชฌาย์ ครูบาอาจารย์ ตอ้ งทาพธิ ีขอขมาลาโทษกอ่ น
๓. เคยตาหนิตเิ ตียนล่วงเกินพระอริยบคุ คล ต้องขอขมาตามวิธีการ
๔. เคยทา อนนั ตริยกรรม มฆี ่าบิดามารดา เปน็ ต้น
๕. เป็นพระภกิ ษุตอ้ งอาบัติปาราชกิ ถ้าอาบัตเิ ลก็ น้อยให้แสดงอาบัติ

สังขารเุ บกขาญาณมคี ุณสมบัติ ๖ ประการ
๑.ละความยนิ ดี ยนิ ร้าย ในรปู นามได้
๒.ไมด่ ีใจ เสียใจ มีสตสิ มั ปชัญญะ กาหนดรรู้ ูปนาม พระไตรลักษณ์ได้ดี
๓.วางเฉยในรูปนาม ไตรลักษณ์สงั ขารท้ังปวง
๔.ปญั ญา ต้งั อยู่ได้นาน
๕.กาหนดรู้ ได้ละเอียดออ่ น
๖. เขา้ ถงึ ธรรม มธี รรมเป็นอานาจ มธี รรมเป็นใหญ่

อนโุ ลมนุปสั สนาญาณ
(น้าวหนว่ งจติ ไปหาพระนพิ พาน)
วิปัสสนาทม่ี กี ิจสอดคลอ้ งกบั ญาณทงั้ แปด ต้งั แต่อุทยพั พยญาณ จนถึง สงั ขารเุ บกขา
ญาณข้างตน้ และสอดคลอ้ ง กบั โพธิปักขยิ ธรรม ๓๗ ข้างปลาย
ปัญญาอนั ใดคือวปิ ัสสนาจติ อนั ตัดเสยี ซึ่งกระแสภวงั ค์ สองขณะ สามขณะ(สองวินาที
สามวินาที) ในลาดบั จติ อันพิจารณาในมโนทวาร และปรารภเอาซ่งึ อนิจจลักษณะเปน็ ต้น อนั ใด

๑๕๘

อนั หน่งึ บังเกิดขึ้นด้วย ชือ่ ว่าบริกรรม แลอปุ จาร แลอนโุ ลมท่สี ดุ แห่ง สังขารเุ บกขาญาณ แตก่ าล

นัน้ ด้วยคิดว่ามรรคญาณ บงั เกิดแก่เราบดั นี้ เรียกว่า สัจจานโุ ลมกิ ญาณ

สังขารุเบกขาญาณ ๑ อนุโลมญาณ ๑ โคตรภูมญิ าณ ๑ ท้งั ๓ ญาณน้ี เรียกวา่ วุฎฐานคา

มนิ วี ปิ ัสสนาญาณ เพราะต่างกแ็ ลน่ ไปสู่มรรคโดยไมห่ ยุดยัง้ และถงึ ข้นั วิปัสสนาญาณ ฝ่ายโลกี

ยะ เตรียมออกไปจากนิมิตทั้งภายนอก ภายใน คอื นาม-รูป

ญาณในปฎสิ ัมภทิ าวรรค ท่านพระสารีบุตร อัครสาวก ไดก้ ล่าวถึงญาณ ๑๔ ไว้ในคมั ภีร์

ปฎิสัมภิทามคั ค ดังนี้

๑.สตุ ตมยญาณ ญาณ เกดิ จากการเรียนรู้ ได้ยินไดฟ้ งั มามาก

๒.สลี มยญาณ ญาณ เกดิ จากการสารวมในศีล (ศีลวิสทุ ธิ)

๓.สมาธภิ าวนามยญาณ ญาณ เกดิ จากการบาเพ็ญสมาธิ (จติ ตวสิ ุทธิ)

๔. ธัมมฐติ ญิ าณ ญาณกาหนดรู้ดว้ ยความตั้งอยู่ ดว้ ยธรรมเป็นปัจจยั (ทฏิ ฐิวิสุทธิ)

๕.สมั มสนญาณ ญาณ กาหนดรโู้ ดยพระไตรลักษณ์

๖.อุทยัพยานปุ ัสสนาญาณ ญาณกาหนดรูก้ ารเหน็ เนืองๆซึง่ ความเกดิ ความดับ

๗. วิปัสสนาญาณ หรือ ภงั คานปุ สั สนาญาณ ปญั ญาเหน็ เนือ่ งๆ ซ่ึงความดับ

๘.อาทีนวญาณ ญาณ กาหนดรโู้ ทษ ของนาม และรปู โดยความเปน็ ภัย

๙. สงั ขารเุ บกขาญาณ ญาณ กาหนดรู้ ดว้ ยความวางเฉยในสังขาร

๑๐.โคตรภมู ญิ าณ ญาณ ขา้ มโคตรปถุ ุชน (ทงิ้ นาม-รูป)

๑๑. มรรคญาณ ญาณ ในอรยิ มรรค

๑๒.ผลญาณ ญาณ ในอรยิ ผล

๑๓.วมิ ตุ ตญิ าณ ญาณ กาหนดรู้ความหลุดพ้น

๑๔.ปจั จเวกขณญาณ ญาณ กาหนดร้ดู ้วยการสารวจทบทวน มรรค ผล ที่ได้

นพิ พนิ ท วริ ชฺชติ วริ าคา วิมุจจฺ ติ วิมุตตสมฺ ิง วมิ ตุ ตฺ มตี ิ ญาณ โหติ เมื่อเบื่อหน่ายก็

ปราศจากความกาหนดั เพราะปราศจากความกาหนัด จึงหลดุ พ้น ครนั้ หลดุ พน้ แล้ว ก็เกดิ ญาณ

กาหนดวา่ หลุดพ้นแลว้

วโิ มกขม์ ขุ ๓

๑.สุญญตวโิ มกข์ จติ หลุดพ้นดว้ ยความว่างเปลา่ แห่งนามรปู หรือหลุดพน้ ดว้ ย

ความเปน็ ของสูญ เปน็ อริยมรรคท่ไี ดร้ ับโดยการกาหนดเหน็ ชัดเจนใน อนัตตา

๑๕๙

สญุ ญตวโิ มกข์ เป็นอย่างไร ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยน้ี อยูใ่ นปา่ ก็ดี อยู่ท่ีโคนต้นไม้กด็ ี อยู่ท่ี
เรือนว่างกด็ ี พิจารณาเห็นดังนว้ี ่า นามรปู นีว้ ่างจากความเป็นตวั ตน และจากสิ่งที่เนอื่ งด้วยตวั ตน
เธอย่อมไมท่ าความยึดม่นั ในนามรูปน้นั เพราะเหตนุ น้ั วโิ มกข์ ของภิกษนุ ้ันจึงเปน็ วิโมกข์ว่าง
เปล่า น้เี ปน็ สุญญตวิโมกข์

๒.อนิมติ ตวิโมกข์ จติ หลดุ พ้นดว้ ยไม่ถอื นมิ ติ แหง่ นามรูป หรอื หลดุ พ้นดว้ ยไม่
มนี มิ ติ เครื่องหมาย เปน็ อริยมรรคที่ได้รับโดยการกาหนดเหน็ ชัดเจนใน อนิจจา

อนมิ ิตตวิโมกข์ เปน็ อย่างไร ภกิ ษใุ นธรรมวินยั น้ี อยู่ในปา่ ก็ดี อย่ทู โ่ี คนต้นไมก้ ็ดี อยู่
ทเ่ี รือนว่างก็ดี พิจารณาเหน็ ดังนวี้ า่ นามรูปนวี้ ่างจากความเป็นตัวตน และจากสงิ่ ทเี่ นื่องด้วย
ตวั ตน เธอยอ่ มไม่ทากาหนดหมายในนามรูปน้ัน เพราะเหตุน้ันวโิ มกข์ของภิกษุนน้ั จึงเป็น
วิโมกขไ์ ม่มีเครอ่ื งกาหนดหมาย น้ีเป็น อนิมิตตวโิ มกข์

๓.อปั ปณิหติ ตวิโมกข์ จติ หลุดพ้นดว้ ยไมท่ าความปรารถนาแห่งนามรปู หลดุ พน้
ดว้ ยไมม่ ีท่ตี ัง้ แหง่ ตณั หาปณิธิ เป็นอริยมรรคทไ่ี ด้รับโดยการกาหนดเหน็ ชดั เจนใน ทกุ ขงั

อปั ปณิหิตวิโมกข์ เป็นอย่างไร ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ี อย่ใู นปา่ ก็ดี อยูท่ ่ีโคนต้นไม้กด็ ี
อยูท่ ี่เรอื นว่างกด็ ี พิจารณาเหน็ ดงั น้วี า่ นามรปู นีว้ า่ งจากความเปน็ ตัวตน และจากสงิ่ ท่เี นือ่ งดว้ ย
ตัวตน เธอย่อมไม่ทาความปรารถนาในนามรูปนน้ั เพราะเหตุนน้ั วิโมกขข์ องภิกษนุ ั้นจึงเปน็
วิโมกข์ไมม่ คี วามปรารถนา นเ้ี ป็น อัปปณติ ตวิโมกข์

วโิ มกข์ เปน็ ชอื่ ของอริยมรรคทงั้ ๔ คอื โสดาบนั ปตั ติมรรค สกทาคามิ
มรรค อนาคามิมรรค อรหตั ตมรรค
อนุวปิ สั สนาวิโมกขม์ ุข ๓

๑.สญุ ญตานปุ ัสสนา ความตามเหน็ รปู นาม วา่ เปน็ ของวา่ งเปล่าจากตวั ตน
๒.อนมิ ิตตานปุ สั สนา ความตามเหน็ ว่า รปู นามไม่มีนิมติ ตวั ตน
๓.อัปปณหิ ติ ตานปุ ัสสนา ความตามเห็นรูปนามวา่ ไม่น่าปรารถนา
สุญญตานปุ ัสนาญาณ ย่อมพน้ จากอปุ าทาน ๓ เป็นอย่างไร สญุ ญตานุ
ปัสสนาญาณ ย่อมพน้ จากอปุ าทาน ๓ คือ ทิฏฐปุ าทาน สีลัพพตุปาทาน
อตั ตวานุปาทาน สุญญตานปุ สั สนาญาณ ย่อมพน้ จากอปุ าทาน ๓ เหลา่ นี้
อนมิ ติ ตานปุ ัสนาญาณ ยอ่ มพน้ จากอุปาทาน ๓ เป็นอย่างไร อนมิ ติ ตานุ
ปัสนาญาณ ยอ่ มพน้ จากอุปาทาน ๓ คือ ทิฏฐปุ าทาน สลี พั พตปุ าทาน
อตั ตวานุปาทาน อนมิ ิตตานปุ สั สนาญาณ ยอ่ มพน้ จากอปุ าทาน ๓ เหล่านี้

๑๖๐

อปั ปณหิ ิตตานุปสั นาญาณ ย่อมพน้ จากอุปาทาน ๑ เปน็ อย่างไร
อปั ปณหิ ิตานุปสั สนาญาณ ยอ่ มพ้นจากอปุ าทาน ๑ คอื กามุปาทาน
อัปณิหติ านปุ สั สนาญาญาณ ยอ่ มพน้ จากอุปาทาน ๑ นี้

๑๖๑

โพธิปักขยิ ธรรม ๓๗ ประการ
สติปฏั ฐาน ๔ (ทีต่ ้งั แห่งสติ)
กายานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน –เวทนานปุ สั สนาสติปัฏฐาน
จติ ตานปุ สั สนาสติปฏั ฐาน – ธรรมมานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน
๑.กายานปุ ัสสนาสตปิ ฏั ฐาน สติกาหนดพิจารณากายเป็นอารมณ์ว่า กายนี้สัก
แตว่ า่ กาย ไมใ่ ช่สัตว์ บคุ คลตวั ตนเราเขา กาโย อสุโภ
๒.เวทนานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน สตกิ าหนดเวทนาเป็นอารมณ์ว่า เวทนานสี้ กั แต่
วา่ เวทนา ไม่ใช่สัตวบ์ คุ คลตวั ตนเราเขา สุข ทกุ ข์ ไมท่ กุ ข์ไม่สขุ เวทนา ทุกขา
๓.จติ ตานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน สตกิ าหนดจิตนี้ จติ สักแต่ว่าจิต ไมใ่ ช่สตั ว์
บคุ คลตัวตนเราเขา ใจทีเ่ ศรา้ หมองหรือผอ่ งแผว่ เปน็ อารมณว์ า่ ใจสกั แต่ว่า
ใจ จิตตงั อนิจจงั
๔.ธัมมานุปสั สนาสตปิ ัฏฐาน ธรรมท่ีเป็นกุศล และ อกศุ ลที่เกิดแกใ่ จสักแต่
ว่าธรรม ไมใ่ ช่สตั ว์บคุ คลตวั ตนเราเขา ธมั มา อนัตตา

สมั มัปปธาน ๔
(ธรรมเปน็ เหตเุ พยี รอันงาม)
สงั วรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน
๑.สงั วรปธาน เพียรระวงั ไม่ใหบ้ าปเกดิ ขน้ึ ในสันดาน ป้องกันบาปอกศุ ลท่ียงั
ไม่เกิดมิให้เกิดขน้ึ
๒.ปหานปธาน เพียรระวังบาปที่เกิดข้ึนแลว้ มใิ ห้เกิดขึ้นอกี
๓.ภาวนาปธาน เพยี รใหก้ ุศลเกดิ ขน้ึ ในสนั ดาน
๔.อนรุ กั ขนาปธาน เพยี รระวงั กศุ ลทีเ่ กิดข้นึ แลว้ ไมใ่ ห้เสอ่ื ม
อิทธบิ าท ๔ (สาเร็จ)
๑.ฉนั ทะ ความพอใจรกั ใคร่ในสิ่งนัน้ การเจริญอิทธบิ าทอันประกอบด้วย
ฉันทะสมาธิ ปธานสงั ขาร
๒.วริ ยิ ะ ความพยายามในส่ิงน้ัน การเจริญอิทธบิ าทอันประกอบดว้ ยวิริยะ
สมาธิ ปธานสงั ขาร
๓.จิตตะ ความเอาใจฝกั ใฝ่ในสิ่งนั้น การเจริญอิทธบิ าทอนั ประกอบด้วย

๑๖๒

จิตตะสมาธิ ปธานสังขาร
๔.วิมงั สา ความพิจารณาใคร่ครวญ การเจริญอิทธบิ าทอนั ประกอบดว้ ย

วมิ งั สาปธานสงั ขาร
อินทรีย์ ๕

(ความเปน็ ใหญไ่ ดแ้ ก่ครอบงาอกศุ ล)
สัทธินทรีย์ วิรยิ นิ ทรีย์ สตนิ ทรีย์ สมาธนิ ทรีย์ ปัญญนิ ทรีย์
๑.สัทธินทรยี ์ สทั ธาคือ ความเชอ่ื ความเลือ่ มใส ตรงข้ามกบั อสัทธยิ ะ
ความไมเ่ ชอื่
๒.วริ ยิ ินทรยี ์ ความเพียรทางใจ ความกา้ วไปไมท่ ้อถอย ความไมท่ อดทิ้งธรุ ะ
ตรงขา้ มกบั โกสชั ชะ ความเกียจคร้าน
๓.สตินทรยี ์ ความระลึก ความไม่หลงลมื ความไม่เล่ือนลอย ตรงขา้ มกับ
ปมาทะ ความขาดสติ
๔.สมาธนิ ทรีย์ ความตง้ั อยูแ่ หง่ จติ ความดารง อย่แู ห่งจติ ความสงบแหง่ จิต
ตรงขา้ มกับวิกเขปะ ความฟงุ้ ซ่าน
๕.ปญั ญนิ ทรีย์ ความใครค่ รวญ ความรแู้ จ้ง ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ตรงข้าม
กับ สมั โมหะ ความหลงไม่รูจ้ ริง

พละ ๕
(ไม่พงึ หว่นั ไหว)
สทั ธาพละ วริ ิยะพละ สติพละ สมาธพิ ละ ปัญญาพละ
๑.สทั ธาพละ ความเล่ือมใสยิ่ง กาลังคือ ศรัทธา
๒.วริ ิยะพละ ความก้าวไปอยา่ งไมท่ อ้ ถอย กาลังคอื พละ
๓.สตพิ ละ ความหวนระลึก ความไม่หลงลมื กาลังคือสติ สัมมาสติ
๔.สมาธิพละ ความดารง อยู่แห่งจติ ความสงบแห่งจิต กาลังคือสมาธิ สมั มาสมาธิ
๕.ปญั ญาพละ ความรูแ้ จ้ง ความใครค่ รวญ กาลงั คอื ปญั ญา
โพชฌงค์ ๗
(องค์แหง่ ผูต้ รัสรู้ นาออกจากสงั โยชน)์
สติสมั โพชฌงค์ ธัมมวจิ ยสมั โพชฌงค์ วริ ิยะสมั โพชฌงค์ ปตี สิ มั โพชฌงค์ ปัสสทั ธิ
สมั โพชฌงค์ สมาธสิ ัมโพชฌงค์ อเุ บกขาสัมโพชฌงค์

๑๖๓

๑.สติสัมโพชฌงค์ คือความระลึกได้ ภิกษุในพระศาสนาน้ี เปน็ ผู้มี
สติ ประกอบด้วยสติ และปญั ญาเครอื่ งรักษาตน อันยอดเยี่ยม ระลึกได้
ระลกึ บ่อยๆ ซง่ึ กิจทท่ี าไว้นานๆ หรือวาจาท่กี ลา่ วไวน้ านๆ นี้เรยี กวา่
สติสมั โพชฌงค์
สติในธรรมภายในมีอยู่ สติในธรรมภายนอกมีอยู่ ยอ่ มเป็นไปเพอื่ ความ
รู้ยิ่ง เพ่อื ความตรสั รู้ เพ่ือนพิ พาน
๒.ธัมมวจิ ยสัมโพชฌงค์ คอื ความสอดส่องธรรม ภกิ ษุนนั้ มีสติอยา่ งนั้นอยู่
วจิ ัย เลือกสรร พิจารณา ซึ่งธรรมน้นั ดว้ ยปญั ญา น้เี รียกวา่
ธมั มวิจยสัมโพชฌงค์ ความเลือกสรรธรรมภายใน ความเลือกสรร
ธรรมภายนอก มีอยู่ ย่อมเป็นไปเพ่อื ความร้ยู ง่ิ เพ่ือความตรัสรู้ เพ่อื นพิ พาน
๓.วริ ิยะสมั โพชฌงค์ คือความเพียร ความไม่ย่อหยอ่ นอนั ภิกษุผวู้ จิ ัย เลอื ก
สรร พจิ ารณาซ่งึ ธรรมน้นั ดว้ ยปัญญา ไดป้ รารภแล้วน้เี รียกว่า วิริยะ
สมั โพชฌงค์ความเพียรทางกายมอี ยู่ ความเพยี รทางใจมอี ยู่ ยอ่ มเปน็ ไป
เพอื่ ความรู้ย่ิง เพือ่ ความตรัสรู้ เพ่ือนพิ พาน
๔.ปิตสิ ัมโพชฌงค์ ความอม่ิ ใจ ความอม่ิ ใจอนั ปราศจากอามิส เกิดข้ึนแกภ่ กิ ษุ
ผปู้ รารภความเพยี รนน้ั เรยี กว่าปตี สิ มั โพชฌงค์ปีตมิ วี ิตก มีวิจาร มีอยู่
ปีตไิ ม่มวี ติ กไมม่ ีวจิ ารมอี ยู่ ยอ่ มเปน็ ไปเพ่อื ความรยู้ งิ่ เพอ่ื ความตรสั รู้
เพอื่ นพิ พาน
๕.ปสั สัทธิสัมโพชฌงค์ ความสงบกาย สงบใจ กายก็ดี ใจก็ดี ของภิกษผุ มู้ ี
ปีติ ย่อมสงบระงบั น้ีเรียกว่า ปสั สทั ธสิ มั โพชฌงค์
กายปัสสัทธมิ ีอยู่ จิตปทั สัทธมิ ีอยู่ ย่อมเปน็ ไปเพอ่ื ความรยู้ ง่ิ เพื่อตรัสรู้
เพอื่ นิพพาน
๖.สมาธิสมั โพชฌงค์ ความต้ังใจม่นั จิตของภิกษุผ้มู ีใจกายสงบระงบั แล้ว
มคี วามสขุ กาย จติ ยอ่ มต้ังมัน่ นีเ้ รียกว่า สมาธสิ มั โพชฌงค์
สมาธิมีวิตก มีวิจารมีอยู่ สมาธิไมม่ วี ิตกวจิ ารมอี ยู่ ยอ่ มเปน็ ไปเพอื่ ความรู้ยิ่ง
เพอื่ ตรสั รู้ เพื่อนิพพาน
๗.อุเบกขาสมั โพชฌงค์ ความมีใจเปน็ กลาง ภิกษุผมู้ จี ติ เป็นสมาธินน้ั เปน็ ผู้
เพง่ อยดู่ ว้ ยดซี งึ่ จิตทต่ี ้ังม่นั อยา่ งนน้ั น้เี รยี กวา่ อเุ บกขาสัมโพชฌงค์ อเุ บกขา

๑๖๔

ในธรรมภายในมอี ยู่ อุเบกขาในธรรมภายนอก มีอยู่ ย่อมเปน็ ไปเพื่อความ
ร้ยู งิ่ เพื่อความตรสั รู้ เพ่อื นิพพาน

๑๖๕

มรรคมีองค์ ๘ นาออกจากสงั สารวฏั ฏ์
สมั มาทิฏฐิ สมั มาสังกปั ปะ สมั มาวาจา สัมมากมั มญั ตะ สัมมาอาชวี ะ สมั มาวายามะ
สมั มาสติ สัมมาสมาธิ
๑.สมั มาทฏิ ฐิ ความรู้ในทุกข์ ความรูใ้ นทุกขส์ มุทัย ความรูใ้ นทุกขน์ ิโรธ
ความร้ใู นทกุ ข์ นโิ รธคามินีปฏปิ ทา
๒.สัมมาสังกัปปะ ความดารใิ นการออกจากกาม ความดารใิ นการไม่

พยาบาท ความดารใิ นการไมเ่ บยี ดเบียน
๓.สมั มาวาจา งดเว้นการพูดเท็จ การพดู ส่อเสยี ด การพูดคาหยาบ การพูดเพอ้ เจอ้
๔.สมั มากมั มญั ตะ งดเวน้ การฆา่ สตั ว์ การลกั ทรพั ย์ การประพฤติผดิ ในกาม
๕.สมั มาอาชีวะ บคุ คลผูอ้ รยิ ะสาวก ในพระศาสนานี้ ละมิจฉาอาชีวะแลว้

เลย้ี งชวี ติ ด้วยสัมมาอาชวี ะ
๖.สัมมาวายามะ ทาฉนั ทะให้เกดิ ปรารภความเพียร ประคองจติ ไว้ ทาความ
เพียร ความไม่สาบสูญ ความภิญโญย่ิง ความไพบูลย์ ความเจริญ ความบริบูรณ์
๗.สัมมาสติ พิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆอยู่ มีความเพยี ร มสี ัมปชญั ญะ

มีสติ กาจดั อภชิ า และ โทมนัสในโลกเสียได้
พจิ ารณาเห็นเวทนาในเวทนาเนืองๆอยู่ มคี วามเพยี ร มสี มั ปชัญญะ มสี ติ
กาจดั อภชิ า และ โทมนัสในโลกเสียได้
พจิ ารณาเหน็ จติ ในจิตเนืองๆ อยมู่ คี วามเพียร มสี มั ปชญั ญะ มสี ติ กาจดั
อภชิ า และ โทมนัสในโลกเสียได้
พิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมเนืองๆอยู่ มคี วามเพียร มีสัมปชัญญะ มสี ติ
กาจัด อภิชาและโทมนสั ในโลกเสียได้
๘.สมั มาสมาธิ ภิกษใุ นศาสนาน้ี สงดั จากกาม สงัดจากอกุศลกรรม
ทัง้ หลาย แล้วบรรลปุ ฐมฌาน ทตุ ยิ ฌาน ตติยฌาน จตตุ ถฌาน เรียก
วา่ สมั มาสมาธิ

ปญั จกนิเทศ ในปัญจกมาติกาเหล่านี้ โอรัมภาคยิ สญั โญชน์ ๕

เปน็ ไฉนโอรมั ภาคยะสัญโญชน์ ๕ คือ
๑.สักกายทฏิ ฐิ
๒.วจิ กิ จิ ฉา

๑๖๖

๓.สลี พั พตปรามาส
๔.กามฉันทะ
๕.พยาบาท
เหล่าน้เี รียกว่า โอรมั ภาคยิ สัญโญชน์ ๕
อุทธมั ภาคยิ สญั โญชน์ ๕ เป็นไฉน
อทุ ธัมภาคิยสัญโญชน์ ๕ คอื
๑.รูปราคะ
๒.อรปู ราคะ
๓.มานะ
๔.อุทธจั จะ
๕.อวิชชา
เหล่านีเ้ รียกว่า อทุ ธัมภาคยิ สญั โญชน์ ๕

สัญโญชน์ ๑๐
สกั กายทิฏฐิ เปน็ อย่างไร

ปุถชุ นผ้ไู รก้ ารศึกษาไมไ่ ดเ้ หน็ พระอรยิ ะเจ้า ไมฉ่ ลาดในธรรมของพระอรยิ ะเจ้า ไมไ่ ด้
รับการแนะนาในธรรมของพระอรยิ ะเจา้ ไมไ่ ด้เหน็ สปั ปบุรษุ ไม่ฉลาดในธรรมของสปั ปบุรุษ
ไมไ่ ด้รับการแนะนาในธรรมของสัปบุรุษ ยอ่ มเห็นรูปเป็นตน หรอื เห็นตนมีรปู เหน็ รูปในตน
เห็นตนในรปู ยอ่ มเหน็ เวทนาในตน ฯลฯ ยอ่ มเห็นสญั ญาในตน ฯลฯ ยอ่ มเหน็ สังขารในตน
ฯลฯ ย่อมเหน็ วญิ ญาณในตน หรอื เห็นตนมีวิญญาณ เหน็ วิญญาณในตน เห็นตนในวิญญาณ
ทิฏฐิความเห็นไปข้างทฏิ ฐิ ฯลฯ การถือเอาโดยวปิ ลาสอันใด มลี ักษณะเชน่ นีเ้ รียกวา่
สักกายทฏิ ฐิ
วิจิกจิ ฉา เปน็ อยา่ งไร

ปถุ ุชนเคลอื บแคลงสงสัยในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในสิกขา ในสว่ น
อดีต ในส่วนอนาคต ทง้ั ในส่วนอดีตและสว่ นอนาคต ในปฏจิ จสมปุ บาทธรรมท่ีว่า เพราะธรรม
น้เี ปน็ ปัจจัย ธรรมนี้จึงเกิดข้ึน การเคลือบแคลงสงสยั กิรยิ าท่เี คลือบแคลง ความเคลอื บแคลง
ความคดิ เห็นไปต่างๆ นาๆ ความตัดสนิ อารมณไ์ มไ่ ด้ ความเหน็ เป็นสองแง่ ความเหน็ เหมอื น
ทางสองแพร่ง ความสงสยั ความไม่สามารถจะถือเอาโดยส่วนเดียวได้ ความคดิ ส่ายไป ความคิด

๑๖๗

พร่าไป ความไม่สมารถจะหย่ังลงถือเอาเปน็ ยุติได้ ความกระด้างแห่งจิต ความลงั เลใจ อันใด น้ี
เรียกวา่ วจิ ิกจิ ฉา
สลี พั พตปรามาส เปน็ อย่างไร

สมณะพราหมณ์ภายนอกศาสนาน้มี ีความเห็นว่า ความบริสทุ ธ์ิย่อมมีไดด้ ว้ ยศีล ด้วยวตั ร
ดว้ ยศีล และวัตร ดงั นี้ ความเหน็ ไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ การถือเอาโดยวิปลาส อนั ใด มีลักษณะเชน่ น้ี
ว่า นเี้ รียกวา่ สีลัพพตปรามาส
กามราคะ เปน็ อยา่ งไร

ความพอใจคือความใคร่ ความกาหนดั คือความใคร่ ความเพลิดเพลินคือความใคร่ ตณั หา
คอื ความใคร่ สเิ นห่ าคอื ความใคร่ ความเร่าร้อนคือความใคร่ ความสยบคอื ความใคร่ ความ
หมกมุ่น คอื ความใคร่ ในกามทั้งหลาย อนั ใดนี้เรียกว่า กามราคะสญั โญชน์
ปฏิฆสญั โญชน์ เปน็ อยา่ งไร

อาฆาตย่อมเกดิ ขึ้นไดด้ ้วยคดิ วา่ ผู้นไ้ี ดก้ ระทาความเสื่อมเสยี แกเ่ รา อาฆาตยอ่ มเกิดขึ้น
ดว้ ยคิดวา่ ผูน้ ี้กาลังทาความเส่อื มเสียใหแ้ กเ่ รา อาฆาตยอ่ มเกิดขน้ึ ด้วยคดิ วา่ ผนู้ ีจ้ ักทาความเสือ่ ม
เสยี แกเ่ รา อาฆาตเกดิ ขึ้นด้วยคดิ ว่า ผนู้ ไ้ี ด้ทาความเสอ่ื มเสีย ฯลฯ กาลงั ทาความเสอื่ มเสีย จักทา
ความเสอ่ื มเสียกับคนทเี่ ป็นที่รกั ท่ชี อบพอของเรา อาฆาตยอ่ มเกดิ ข้ึนไดด้ ว้ ยคดิ ว่าผู้นไี้ ดท้ าความ
เจริญ , กาลงั ทาความเจรญิ จักทาความเจริญแกค่ น ผูเ้ ปน็ ทร่ี ักไมเ่ ป็นไมเ่ ป็นทช่ี อบพอของเรา
หรืออาฆาตย่อมเกิดข้ึนด้วยฐานะอันใช่เหตุ จิตอาฆาต ความขัดเคือง ความกระทบกระท่ัง
ความแค้น ความเคอื ง ความขนุ่ เคอื ง ความพลุง่ พลา่ น โทสะ ความคดิ ประทษุ รา้ ย ความมุ่งคิด
ประทษุ รา้ ย กิริยาท่คี ดิ ประทุษรา้ ย ความคดิ ประทษุ รา้ ยการคดิ ปองร้าย กิริยาคิดปองรา้ ย
ความคดิ ปองร้าย ความโกรธ ความแค้น ความดรุ ้าย ความปากรา้ ย ความไม่แชม่ ชืน่ แห่งจิต น้ี
เรยี กว่า ปฏฆิ สญั โญชน์
รปู ราคะสัญโญชน์ เปน็ อยา่ งไร

ความติดใจในรูปธรรม เช่นชอบใจในบุคคลบางคน หรือในพัสดุบางส่ิง หรือในพัสดุ
อันเป็นอารมณแ์ หง่ รูปฌาน รวมทัง้ ความไมช่ อบใจบุคคลบางตน
อรปู ราคะสญั โญชน์ เป็นอยา่ งไร

ความตดิ ใจอยู่ในอรปู ธรรม เช่นพอใจในสุขเวทนา พอใจในเสยี ง กลน่ิ รส สมั ผัส หรอื
ความไม่พอใจใน เสยี ง กลน่ิ รส สมั ผสั
มานะสญั โญชน์ เป็นอย่างไร

๑๖๘

การถือตัวว่าเราดีกว่าเขา ว่าเราเสมอเขา ว่าเลวกว่าเขา การถือตัว กิริยาท่ีถือตัว ความถือ
ตัวมีลักษณะเช่นน้ีอันใด การเทอดตน การเชิดชูตน การเชิดชูตนดุจธง การยกจิตขึ้น ความท่ีจิต
ต้องการเปน็ ดจุ ธง น้ีเรยี กว่า มานะสัญโญชน์
อทุ ธัจจะ สญั โญชน์ เป็นอยา่ งไร

ความฟุ้งซา่ นแห่งจติ ความไม่สงบแหง่ จติ ความวนุ่ วายใจ ความพลา่ นแหง่ จติ นกึ อะไรก็
เพลิน เกนิ ไปกวา่ เหตุ อันใดน้เี รยี กว่า อุทธจั จะสัญโญชน์
อวชิ ชาสญั โญชน์ เปน็ อยา่ งไร

ความไม่รใู้ นทกุ ข์ ความไม่รูใ้ นสมทุ ัย ความไมร่ ู้ในทกุ ข์นโิ รธ ความไมร่ ู้ในทกุ ขนิโรธคา
มนิ ปี ฏปิ ทา ความไม่รใู้ นสว่ นอดตี ความไม่รใู้ นสว่ นอนาคต ความไมร่ ้ทู ้งั ในสว่ นอดตี และ
อนาคต ความไม่ร้ใู นปฏจิ จสมปุ ปาท ธรรมนเ้ี ป็นปจั จัย ธรรมนจี้ งึ เกิดขึน้ ความไมร่ ู้ ความไม่
เห็น ความไมต่ รัสรู้ ความไมร่ โู้ ดยสมควร ความไมร่ ตู้ ามความจรงิ ความไมแ่ ทงตลอด ความไม่
ถือตัวเอาให้ถกู ต้อง ความไมห่ ย่งั ลงโดยรอบคอบ ความไม่พินิจ ความไมพ่ จิ ารณา ความไมท่ า
ใหป้ ระจกั ษ์แจ้ง ความทรามปญั ญา ความโงเ่ ขลา ความไมร่ ู้ชัด ความหลง ความล่มุ หลง ความ
หลงใหล อวชิ ชา โอฆะคอื อวชิ ชา โยคะ คอื อวชิ ชา อนสุ ยั คอื อวชิ ชา ปริยฏุ ฐานคือ อวิชชา กศุ ล
มลู คอื อวชิ ชา น้ีเรยี กว่า อวชิ ชาสญั โญชน์

พรหมวิหารบวั บาน
พระศาสดา ตรสั เมตตาเจโตวิมตุ ติ
พระบรมศาสดา ตรสั วา่ เธอมีใจประกอบดว้ ยเมตตา แผไ่ ปตลอดทิศหน่ึงอยู่ ทิศท่สี อง
ที่สาม ทีส่ ี่ ก็เหมอื นกนั ตามนัยนี้ ทัง้ เบ้ืองบน เบ้ืองลา่ ง เบ้ืองขวาง แผไ่ ปตลอดโลก ทวั่ สตั ว์ ทุก
เหล่าในท่ที ุกสถาน ประกอบไปดว้ ยเมตตาอันไพบลู ย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมไิ ด้ไม่มี
เวร ไมม่ คี วามเบยี ดเบียนอยู่ เปรียบดังคนเป่าสังข์ผมู้ ีกาลัง พึงยังบุคคลให้รู้แจง้ ท้ังสี่ทศิ โดยไม่
ยากเลย
ฉนั ใด กรรมท่ีทาพอประมาณอนั ใดในเมตตาเจโตวมิ ตุ ติ ทีบ่ ุคคลอบรมแลว้ อย่างนี้
กรรมนน้ั จะไมเ่ หลอื ไม่ตั้งอยใู่ นรูปาพจร และอรปู าพจรนัน้ ฉนั นั้นเหมอื นกนั
ดกู รคฤหบดี อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีใจประกอบด้วยเมตตา แผ่ไปสทู่ ศิ หนงึ่ อย่ทู ิศที่ ๒ ท่ี
๓ ที่ ๔ ก็เหมือนกัน เธอมีใจประกอบด้วยเมตตาอันไพบูลย์ เป็นมหคั คตะ ไมม่ ปี ระมาณ ไมม่ ี
เวร ไม่มีความเบยี ดเบียน แผ่ไปทัง้ เบ้อื งบน เบือ้ งลา่ ง เบ้อื งขวาง ตลอดโลก ท่ัวสัตว์ทกุ เหล่าโดย
ความมีตนทัว่ ไป ในทที่ ุกสถานอยู่ ดว้ ยประการฉะนี้ เธอพิจารณาอยอู่ ย่างนี้ ยอ่ มรู้ชัดวา่ แม้

๑๖๙

เมตตาเจโตวิมุตนิ ้ี อันเหตุปัจจัยปรุงแต่งข้นึ ก่อสรา้ งขึน้ ก็ส่ิงใดสง่ิ หนงึ่ อนั เหตปุ จั จัยปรุงแต่ง
ข้นึ ก่อสร้างขึ้น สงิ่ นัน้ ไมเ่ ที่ยง มีความดบั ไปเป็นธรรมดา ดังนี้ เธอต้งั อยู่ในเมตตาเจโตวมิ ุตินน้ั
ยอ่ มถงึ ความสิน้ ไปแหง่ อาสวะท้ังหลาย ถา้ ไม่ถึงความสน้ิ ไปแห่งอาสวะทงั้ หลายเพราะความ
ยินดเี พลิดเพลนิ ในธรรม คือ สมถะ และวิปสั สนานั้น เพราะความสน้ิ ไปแห่งโอรมั ภาคยิ
สังโยชน์ ๕ เธอย่อมเป็นโอปปาติกะ จะปรนิ ิพพานในที่นัน้ มอี นั ไมก่ ลับจากโลกน้ันเปน็
ธรรมดา

ดูกรผูม้ อี ายทุ ้ังหลาย ภกิ ษใุ นพระธรรมวินยั นี้ พึงกล่าวอย่างนีว้ ่า ก็เมตตาเจโตวมิ ุตติเรา
ใหเ้ จรญิ แลว้ กระทาให้มากแล้ว กระทาให้เปน็ ดังยาน กระทาให้เป็นดุจทตี่ ้ัง คลอ่ งแคลว่ แลว้
ส่ังสมแลว้ ปรารภดแี ลว้ และเมื่อเป็นเชน่ น้นั พยาบาท ยงั ครอบงาจติ ของเราตั้งอยู่ ภกิ ษนุ นั้ พึงถูก
วา่ กล่าวอยา่ งน้ีว่า ทา่ นอยา่ ได้พดู อยา่ งนี้ ท่านผมู้ อี ายอุ ยา่ ได้กลา่ วอยา่ งน้ี อยา่ ได้กล่าวตู่พระผมู้ ี
พระภาค การกล่าวต่พู ระผมู้ พี ระภาคไมด่ เี ลย พระผูม้ ีพระภาคไมพ่ ึงตรสั อย่างนขี้ ้อนม้ี ิใช่ฐานะ
มใิ ช่โอกาส คาท่วี ่า เม่ือเมตตาเจโตวิมตุ ติ ภกิ ษใุ หเ้ จริญแลว้ กระทาใหม้ ากแลว้ กระทาให้เป็นดงั
ยาน กระทาให้เป็นดุจที่ต้งั คล่องแคล่วแล้ว สง่ั สมแล้ว ปรารภดีแลว้ และเมอ่ื เปน็ เช่นน้ัน
พยาบาทจักครอบงาจิตของภิกษุน้ันตั้งอยู่ ดังน้นี ้ันมใิ ช่ฐานะทีจ่ ะมไี ด้ ดกู รผูม้ ีอายุทัง้ หลาย
เพราะวา่ เมตตาเจโตวิมตุ ติน้ี เป็นทีส่ ลดั ออกจากพยาบาท

ดูกรภิกษุท้ังหลาย เม่อื เมตตาเจโตวิมุตติ อันบุคคลเสพแล้วเจรญิ แล้ว ทาให้มากแลว้ ทาให้
เปน็ ดังยาน ทาให้เปน็ ทตี่ ้ัง ตง้ั ไว้เนืองๆอบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว อานิสงส์ ๑๑ ประการเปน็ อนั
หวงั ได้ อานิสงส์ ๑๑ประการเป็นไฉน คอื ผเู้ จริญเมตตายอ่ มหลับเปน็ สุข ๑ ตน่ื เป็นสุข ๑ ไม่ฝนั
ลามก ๑ ยอ่ มเป็นท่รี ักของมนษุ ย์ ๑ ย่อมเป็นทรี่ ักของอมนษุ ย์ ๑ เทวดายอ่ มรักษา ๑ ไฟ ยาพิษ
หรือศาตราย่อมไม่กล้ากลาย ๑ จิตของผเู้ จริญเมตตาเปน็ สมาธไิ ด้รวดเรว็ ๑ สหี น้าของผเู้ จริญ
เมตตาย่อมผอ่ งใส ๑ ยอ่ มไมห่ ลงใหลกระทากาละ ๑ เมอ่ื ยังไมแ่ ทงตลอดธรรมอันยิ่ง ย่อมเข้าถงึ
พรหมโลก ๑ ดูกรภกิ ษุทั้งหลาย เม่อื เมตตาเจโตวมิ ุตติ อนั บคุ คลเสพแล้ว เจรญิ แล้ว ทาใหม้ าก
แลว้ ทาให้เปน็ ดงั ยาน ทาใหเ้ ป็นที่ตั้ง ตง้ั ไวเ้ นอื งๆ อบรมแลว้ ปรารภดแี ล้วอานิสงส์ ๑๑ ประการ
นเี้ ปน็ อันหวังได้ ฯ

วโิ มกข์ธรรม

ของสมเดจ็ พระสังฆราช ไกเ่ ถ่ือน

พระคาถาอาราธนาธรรม
มนุ นิ ทะ วะทะ นมั พชุ ะ คัพภะ สมั ภะวะ สุนทรี

๑๗๐

ปาณีนัง สะระณงั วาณี มยั หัง ปณิ ะยะตงั มะนงั
ขา้ พระพทุ ธเจ้าขออาราธนานางฟา้ คือ พระไตรปิฏก ผู้มรี ูปอนั งาม เกดิ แต่หอ้ งปทุมชาติ
คือ พระโอษฐ์ของพระพทุ ธเจ้า ผู้เป็นใหญ่กวา่ นักปราชญ์ทง้ั หลาย มน ขอจงมาส่มู โนทวารของ
ขา้ พเจ้า ขา้ พเจ้าจะปฏบิ ัตลิ ะเสียซง่ึ อาสวะกิเลส ท่ีดองอยู่ในขนั ธสนั ดานของข้าพเจา้ ทง้ั อยา่ ง
หยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ให้ส้ินไป เสอ่ื มไป ข้าจะไม่ทาใหเ้ ปน็ อตั ตกิลมถานโุ ยค ไม่ให้
ลาบากแก่สังขารฯ
พุทธ ชีวิตต ยาวนิพพาน สรณคจฉฺ ามิ ธมฺมชวี ติ ต ยาวนพิ พาน สรณคจฉฺ ามิ สงฆฺ ชีวิตต
ยาวนิพพาน สรณคจฉฺ ามิ
ข้าพเจา้ ขออาราธนา พระพทุ ธเจ้า พระธรรมเจา้ พระสงฆเ์ จ้า มารบั เครอื่ งสักการะบชู า
ของขา้ พเจา้ ในกาลบดั นี้เถิดฯ

๑๗๑

คาอาราธนาออกพรหมวิหารบวั บาน
(เมตตาเจโตวิมุตต)ิ

ข้าฯขอภาวนา เมตตาเจโตวมิ ุตติ เพ่ือจะขอเอายัง ออกบวั บานพรหมวิหารเจ้านจ้ี งได้
ขอพระพทุ ธเจา้ จงมาเป็นทีพ่ ่ึงแก่ข้าฯนเี้ ถดิ ฯลฯ ขอพระกรรมฐานเจ้าท้งั มวลจงมาเปน็ ทพ่ี ึง่ แก่
ข้าฯน้เี ถดิ

อุกาสะ อุกาสะ ในท่ีนีเ้ ล่า ข้าฯจะขอปฏิบัตบิ ชู าตามคาสง่ั สอนของพระสพั พัญญโู คดม
เจ้า เพ่อื ขอเอายงั เมตตาเจโตวิมุตติ ในห้อง ออกบวั บานพรหมวิหารเจา้ นจ้ี งได้ ขอจงเจา้ กูมา
สัญญาแกข่ า้ ใหร้ ทู้ ีเถดิ นพิ พาน ปจฺจโย โหนฺตุ

อิตปิ โิ ส ฯลฯ ภควาติ สมมฺ าอรห ๓ ที อรห ๓ ที
ถา้ จะออกพรหมวิหารบัวบาน ครนั้ ต้งั จักร ด้วย สขุ ี จึงออก สุขี แต่ในภมู ิ ไป ทตุ ิยะ
ครัน้ ถึง ทุตยิ ะ จึงออกดว้ ย อเวรา แต่ ทุติยไปให้ออกข้ึนตรงหน้า ข้ึนเบื้องบน ให้ถงึ พรหมโลก
จนจบอเวรา แล้วจึงคลมุ แต่พรหมโลกลงมา เอาขอบจักรวาลใหเ้ ห็นขอบจักรวาลอยู่ จบอเวรา
แลว้ ช้อนข้ึนไปตามศลิ าปฐพีรอบลงไปเอา อเวจีมหานรก ดว้ ย อเวรา จบหนึ่งเลา่ แลว้ กลบั เข้า
มายัง ภูมิ บรกิ รรม ดว้ ย สุขี อยู่ในภมู ิ นั้น สกั คาหมากหนง่ึ แลว้ ออกจากสมาธิ

(จบบรบิ ูรณ์)
ใหพ้ รแกส่ ตั ว์ท้งั หลาย
ใหแ้ ผเ่ มตตา แผก่ รุณา แผม่ ุทติ า แผ่อุเบกขา ให้แก่สรรพสัตวท์ ั้งหลาย
ให้พรแก่รา่ งของเรา
อห สขุ ิโต โหมิ ขอเราจงเป็นผูถ้ งึ ความสขุ อห อเวโร โหมิ ขอเราจงเป็นผูไ้ มม่ เี วร มี
ภัย อห อพฺยาปชฺโฌ โหมิ ขอเราจงเปน็ ผู้ไมม่ คี วามเบยี ดเบียน อห อนีโฆ โหมิ ขอเราจงเป็นผู้
ไมม่ คี วามคับแค้นใจ สขุ อี ตตฺ าน ปรหิ รามิ ขอเราเป็นผ้มู ีความสขุ รกั ษาตนดี อตฺตสขุ ฺขี ขอตัวเรา
จงมคี วามสขุ สุขี ขอเราจงเปน็ ผมู้ ีสขุ
ใหพ้ รแก่มารทง้ั ห้า
ปญจฺ มาเร ชิเนนาโถ ปตฺโตสมฺโพธิมตุ ตฺ ม จตสุ จฺจ ปกาเสติ มหาวีร(ปัญจมาเร
ปลายิงส)ุ สพพฺ พทุ ฺเธ นมามหิ

ประจรุ า่ ง
สพเฺ พ สงขฺ ารา อุปฺปชชฺ ิตฺวา นริ ุชฌนฺติ นตฺถิ ชน วนิ าสฺสนตฺ ิ

๑๗๒

การประหานกเิ ลส
ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาน เป็นอย่างไร สัญโญชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา
สีลัพพตปรามาส บรรดาสญั โญชน์ ๓ นั้น
สักกายทิฏฐิ เปน็ อย่างไร
ปถุ ชุ นในโลกน้ี ผไู้ รก้ ารศึกษา ไมไ่ ดเ้ หน็ พระอริยะเจ้า ไมฉ่ ลาดในธรรมของพระอริยะ
เจา้ ไม่ไดฝ้ กึ ฝนในธรรมของพระอรยิ ะเจ้า ไมไ่ ด้เห็นสตั บุรษุ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ
ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของสตั บรุ ุษ ยอ่ มเห็นรปู เป็นตน หรอื เหน็ ตนมีรูป เห็นรูปในตน เหน็ ตนใน
รปู ย่อมเห็นเวทนาเปน็ ตน หรือเห็นตนมเี วทนา เห็นเวทนาเป็นตน หรือเห็นตนในเวทนา ย่อม
เห็นสญั ญาเป็นตน หรอื เห็นตนมสี ัญญา เหน็ สญั ญาในตน เห็นตนในสญั ญา ย่อมเหน็ สังขารเปน็
ตน หรือเหน็ ตนมสี ังขาร เหน็ สังขารในตน เหน็ ตนในสังขาร ย่อมเหน็ วญิ ญาณเปน็ ตน หรอื เห็น
ตนมวี ญิ ญาณ เหน็ วิญญาณในตน เห็นตนในวญิ ญาณ ทฏิ ฐิ ความเห็นไปข้างทฏิ ฐิ ป่าชฏั คือ
ทิฏฐิ กนั ดาร คอื ทิฏฐิ ความเห็นเป็นข้าศึกอสมั มาทิฏฐิ ความผนั แปร แหง่ ทิฏฐิ สญั โญชน์
คอื ทฏิ ฐิ ความยึดถือ ความยดึ ม่ัน ความตัง้ มั่น ความถือผดิ ทางชัว่ ทางผดิ ภาวะท่ีผิด ลทั ธิเปน็
บอ่ เกิดแหง่ ความพนิ าศ การถอื โดยวิปลาส มีลักษณะเช่นนี้ อันใด นีเ้ รยี กวา่ สักกายทิฏฐิ
วจิ ิกิจฉา เป็นอยา่ งไร
ปถุ ุชนเคลือบแคลงสงสัยในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในสิกขา ในสว่ น
อดีต ในส่วนอนาคต ท้งั ในส่วนอดีต และส่วนอนาคต ในปฏิจจสมุปบาทธรรมท่ีว่า เพราะธรรม
นเี้ ป็นปจั จัย ธรรมนี้จึงเกิดขึ้น การเคลอื บแคลงสงสยั กิรยิ าทีเ่ คลอื บแคลง ความเคลือบแคลง
ความคิดเหน็ ไปตา่ งๆ นาๆ ความตดั สนิ อารมณไ์ มไ่ ด้ ความเหน็ เปน็ สองแง่ ความเห็นเหมือน
ทางสองแพร่ง ความสงสยั ความไมส่ ามารถจะถือเอาโดยสว่ นเดยี วได้ ความคิดส่ายไป ความคิด
พร่าไป ความไมส่ มารถจะหยัง่ ลงถือเอาเป็นยตุ ิได้ ความกระด้างแหง่ จิต ความลังเลใจ อันใด น้ี
เรียกว่า วิจกิ ิจฉา
สลี ัพพตปรามาส เปน็ อยา่ งไร
ความเหน็ ว่า ความบรสิ ทุ ธยิ์ ่อมมไี ดด้ ้วยศลี ด้วยพรต ด้วยศีลพรต ของสมณะพราหมณ์
ในภายนอกแต่ศาสนานี้ ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไป ขา้ งทิฏฐิ ป่าชฏั คอื ทิฏฐิ กันดาร คอื ทฏิ ฐิ
ความเหน็ เป็นขา้ ศกึ ตอ่ สัมมาทฏิ ฐิ ความผันแปร แหง่ ทิฏฐิ สญั โญชน์ คอื ทิฏฐิ ความยดึ มั่น ความ
ตงั้ ม่นั ความถอื ผิดทางชวั่ หนทางผิด ภาวะท่ีผดิ ลทั ธเิ ปน็ บ่อเกดิ แห่งความพนิ าศ การถอื โดย
วปิ ลาสอันมีลัษณะเชน่ วา่ มาน้ี อนั ใด น้เี รียกวา่ สลี พั พตปรามาส

๑๗๓

อภธิ รรมปิฎก – ธมั มสงั คณี
สักกายทฏิ ฐิ

ดูกรคหบดี กอ็ ย่างไรเลา่ บคุ คลจึงชื่อวา่ เป็นผมู้ ีกายกระสับกระสา่ ยดว้ ย จงึ ช่อื ว่าเป็นผู้มีจติ
กระสับกระส่ายดว้ ย ดูกรคฤหบดี คือปุถุชนผู้มิได้สดบั แลว้ ในโลกน้ี มไิ ด้เหน็ พระอริยะ
ทัง้ หลาย ไมฉ่ ลาดในธรรมของพระอรยิ ะ มไิ ดร้ บั แนะนาในอรยิ ะธรรม มไิ ดเ้ ห็นสัตตะบุรุษ
ทง้ั หลาย ไม่ฉลาดในธรรมของสัตตะบุรษุ มิไดร้ บั แนะนาในสัปปรุ สิ ธรรม ย่อมเห็นรูปโดย
ความเปน็ ตน ๑ ย่อมเห็นตนมีรปู ๑ ยอ่ มเห็นตนในรูป ๑ เปน็ ผตู้ ั้งอยดู่ ว้ ยความยดึ มน่ั วา่ เราเปน็
รปู รูปของเรา รูปน้ันย่อมแปรปรวนเปน็ อยา่ งอนื่ ไป เพราะเวทนาแปรปรวนเป็นอย่างอน่ื ไป โส
กะ ปรเิ ทวะ ทุกข์ โทมนสั และอุปายาสจึงเกดิ ขน้ึ

ย่อมเหน็ เวทนาโดยความเปน็ ตน ๑ ยอ่ มเห็นเวทนาในตน ๑ เปน็ ผ้ตู ั้งอย่ดู ้วยความยดึ มน่ั ว่า
เราเปน็ เวทนา เวทนาของเรา เมือ่ เขาตงั้ อยู่ ด้วยความยดึ มั่นวา่ เราเป็นเวทนา เวทนาของเรา
เวทนาน้ันย่อมแปรปรวนเป็นอย่างอน่ื ไป เพราะเวทนาแปรปรวนเป็นอยา่ งอนื่ ไป โสกะ
ปริเทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอปุ ายาสจงึ เกดิ ขน้ึ

ย่อมเห็นสญั ญาโดยความเป็นตน ๑ ยอ่ มเหน็ ตนมีสัญญา ๑ ย่อมเห็นสญั ญาในตน ๑ ย่อม
เห็นตนในสัญญา ๑ เป็นผตู้ ง้ั อยู่ดว้ ยความยึดม่ันวา่ เราเป็นสัญญา สัญญาของเรา เมอ่ื เขาต้งั อยู่
ด้วยความยึดมัน่ วา่ เราเป็นสญั ญา สญั ญาของเรา สญั ญาน้ันยอ่ มแปรปรวนเปน็ อยา่ งอน่ื ไป
เพราะสญั ญาแปรปรวนเป็นอยา่ งอ่นื ไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนสั และอุปายาสะจึงเกดิ ขนึ้
ย่อมเห็นสงั ขารโดยความเป็นตน ๑ ยอ่ มเหน็ ตนมสี งั ขาร ๑

ย่อมเห็นสงั ขารในตน ๑ ยอ่ มเหน็ ตนในสังขาร ๑ เป็นผู้ต้งั อย่ดู ว้ ยความยึดมัน่ ว่าเราเปน็
สงั ขาร สงั ขารเปน็ เรา เมอื่ เขาต้ังอยูด่ ว้ ยความยดึ มั่นวา่ เราเปน็ สังขาร สังขารเปน็ เรา สังขารของ
เรา สงั ขารน้ันย่อมแปรปรวนเปน็ อยา่ งอืน่ ไป เพราะสังขารแปรปรวนเป็นอย่างอืน่ ไป โสกะ ปริ
เทวทุกข์ โทมนสั และอปุ ยาส จงึ เกดิ ขึ้น

ยอ่ มเหน็ วิญญาณโดยความเป็นตน ๑ ย่อมเห็นตนมวี ญิ ญาณ ๑ ยอ่ มเห็นวิญญาณในตน ๑
ยอ่ มเหน็ ตนในวิญญาณ ๑ เปน็ ผตู้ ั้งอยู่ดว้ ยความยดึ มั่นว่า เราเป็นวญิ ญาณ วญิ ญาณของเรา
วญิ ญาณน้นั ยอ่ มแปรปรวนเป็นอยา่ งอืน่ ไป เพราะวิญญาณแปรปรวนเป็นอย่างอ่ืนไป โสกะ
ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอุปายาสจึงเกิดข้ึน ดูกร คฤหบดี ดว้ ยเหตุอย่างนี้แล บคุ คลจงึ ชอ่ื วา่
เป็นผูม้ ีกายกระสับกระสา่ ย และเป็นผมู้ จี ติ กระสับกระส่าย ฯ

๑๗๔

ดูกรคฤหบดี ก็อย่างไรเล่า บุคคลแม้เป็นผู้มีกายกระสับกระส่าย แต่หาเป็นผู้มีจิต
กระสับกระส่ายไม่ ดูกรคฤหบดี คืออริยะสาวกในธรรมวินัยน้ี ได้สดับฟังแล้ว ผู้เห็นพระอริยะ
ทั้งหลาย ผู้ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ผู้ได้รับแนะนาดีแล้วในอริยะธรรม ผู้เห็นสัตบุรุษ
ทั้งหลาย ผู้ฉลาดในธรรมของสัตตบุรุษ ผู้ได้รับแนะนาดีแล้วในสัปปุริสธรรม ย่อมไม่เห็นรูป
โดยความเป็นตน ๑ ย่อมไม่เห็นตนมีรูป ย่อมไม่เห็นรูปในตน ๑ ไม่เป็นผู้ตั้งอยู่ด้วยความยึดมั่น
วา่ เราเปน็ รูป รปู ของเรา เมือ่ อริยะสาวกนั้นไม่ต้ังอยู่ด้วยดีด้วยความยึดม่ันว่า เราเป็นรูป รูปเป็น
ของเรา รูปน้ันย่อมแปรปรวน เป็นอย่างอ่ืนไป เพราะรูปแปรปรวนเป็นอย่างอ่ืนไป โสกะ
ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอปุ ายาสจึงเกิดข้ึนหามิได้

ยอ่ มไมเ่ หน็ เวทนาโดยความเปน็ ตน ๑ ยอ่ มไมเ่ ห็นตนมเี วทนา ๑ ย่อมไม่เห็นเวทนาใน
ตน ๑ ย่อมไมเ่ หน็ ตนในเวทนา ๑ ไมเ่ ปน็ ผู้ต้งั อยู่ด้วยความยึดม่ันวา่ เราเปน็ เวทนา เวทนาของเรา
เมื่ออรยิ ะสาวกนั้นไมต่ ั้งอยูด่ ว้ ยความยึดมน่ั อย่างอ่นื ไป เพราะเวทนาแปรปรวนเปน็ อยา่ งอน่ื ไป
โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนสั และอปุ ายาสจึงไมเ่ กิดขึ้น

ย่อมไม่เหน็ สัญญาโดยความเปน็ ตน ๑ ย่อมไม่เห็นตนมีสญั ญา ๑ ยอ่ มไม่เห็นสัญญาใน
ตน ๑ ย่อมไม่เหน็ ตนในสัญญา ๑ ไมเ่ ป็นผู้ตง้ั อยดู่ ว้ ยความยดึ ม่นั วา่ เราเปน็ สัญญา สัญญาของเรา
เมื่ออรยิ ะสาวกน้นั ไม่อยูด่ ้วยความยึดม่ันวา่ เราเป็นสัญญา สัญญาเปน็ เรา สญั ญาน้ันย่อม
แปรปรวนเป็นอย่างอ่นื ไป เพราะสัญญาแปรปรวนเปน็ อย่างอืน่ ไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส
และอุปายาสจงึ ไม่เกดิ ขึน้

ยอ่ มไมเ่ ห็นสังขารโดยความเป็นตน ๑ ย่อมไม่เหน็ ตนมสี ังขาร ๑ ยอ่ มไมเ่ ห็นสงั ขารใน
ตน ๑ ยอ่ มไมเ่ ห็นตนในสงั ขาร ๑ ย่อมไม่เหน็ ตนในสงั ขาร ๑ ไม่เปน็ ผตู้ ง้ั อย่ดู ว้ ยความยดึ ม่นั ว่า
เราเป็นสังขาร สังขารเป็นเรา เมื่ออรยิ ะสาวกน้ันไมต่ ง้ั อยดู่ ้วยความยดึ ม่นั ว่า เราเป็นสงั ขาร
สังขารเปน็ เรา สังขารนัน้ ย่อมแปรปรวนเปน็ อย่างอื่นไป เพราะสงั ขารแปรปรวนเป็นอยา่ งอืน่ ไป
โสกะ ปริเทวะ ทกุ ข์ โทมนัสและอุปายาสจงึ เกิดข้นึ หามิได้

ย่อมไม่เห็นวิญญาณโดยความเปน็ ตน ๑ ยอ่ มไมเ่ หน็ ตนในวญิ ญาณ ๑ ย่อมไม่เห็น
วญิ ญาณในตน ๑ ยอ่ มไม่เห็นตนในวญิ ญาณ ๑ ไม่เป็นผตู้ ้งั อยู่ดว้ ยความยดึ มั่นวา่ เราเป็นวิญญาณ
วญิ ญาณเป็นของเรา เมื่ออรยิ ะสาวกนนั้ ไมต่ ้ังอยดู่ ว้ ยความยดึ ม่ันว่า เราเป็นวิญญาณ วญิ ญาณ
ของเรา วิญญาณนนั้ ยอ่ มแปรปรวนเป็นอย่างอนื่ ไป โสกะ ปริเทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอปุ ายาสจึง
ไม่เกิดขึน้ ดูกรคฤหบดี อยา่ งน้ีแล บุคคลแม้มีกายกระสบั กระสา่ ย แต่หาเป็นผูม้ ีจิต
กระสบั กระส่ายไม่ ฯ

๑๗๕

ทา่ นพระสารีบตุ รได้กลา่ วคานแ้ี ล้ว นกุลปิตาคฤหบดีชื่นชมยินดภี าษติ ของทา่ นสารบี ุตร
ฉะน้แี ล ฯ

จบสูตรท่ี ๑

๑๗๖

สกั กายทิฏฐิ พระสตุ ตนั ตปฎิ ก สังยุตตนกิ าย ขนั ธวรรค

โสดาปัตตมิ รรค
อาสวะเหล่านัน้ คือ กามาสวะ ภวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาสวะเหลา่ น้ียอ่ มสนิ้ ไป
ณ ทไี่ หน ทฏิ ฐสิ วะทงั้ ส้ิน กามาสวะ ภวาสวะ อวชิ ชาสวะ เป็นเหตุให้สัตว์ไปสู่อบาย ยอ่ มสน้ิ
ไปด้วยโสดาปัตตมิ รรค อาสวะเหลา่ นี้ยอ่ มสิน้ ไปในขณะ แห่งโสดาปตั ตมิ รรคน้ี
สกทาคามมิ รรค
อาสวะสว่ นหยาบ ภวาสะ อวิชชาสวะ อันตง้ั กนั อยู่ร่วมกนั กับกามาสวะนน้ั ยอ่ มสน้ิ ไป
ดว้ ยสกทาคมิมรรค อาสวะเหล่านยี้ ่อมสนิ้ ไปในขณะแห่ง สกทาคามมิ รรคนี้
อนาคามิมรรค
กามาสวะทง้ั สนิ้ ภวาสวะ อวิชชาสวะ อนั ต้ังอยู่รว่ มกันกบั กามาสวะน้ัน ยอ่ มสิ้นไปด้วย
อนาคามมิ รรค อาสวะเหล่าน้ยี อ่ มสน้ิ ไปในขณะแห่งอนาคามิมรรค
อรหตั ตมรรค
ภวาสวะ อวชิ ชาสวะ ย่อมสน้ิ ไปไมม่ ีส่วนเหลอื ดว้ ยอรหัตตมรรค อาสวะเหลา่ นย้ี อ่ มสิ้น
ไปในขณะแหง่ อรหัตตมรรคน้ี
ช่อื วา่ ฌาน เพราะอรรถวา่ รธู้ รรมนนั้ ชือ่ วา่ ปญั ญา เพราะอรรถวา่ รชู้ ัด เพราะเหตนุ นั้ ทา่ น
จึงกล่าวว่า ปัญญาในการตัดอาสวะขาด เพราะความบริสุทธแิ ห่งสมาธิอนั เป็นเหตไุ ม่ฟงุ้ ซ่าน
เป็นอานนั ตรกิ สมาธิฌาน

โสดาปนั ๓ ประเภท

พระโสดาบนั สตั ตักขตั ตปุ รมะ

ละสกั กายทฎิ ฐิ ละวิจิกิจฉา ละสีลพพตปรามาส มวี สิ ทุ ธธิ รรม ๓๐

ขั้นปริตตะมีวสิ ุทธธิ รรม๑๐ ขน้ั มชั ฌมิ ะมวี สิ ทุ ธิธรรม ๑๐ขนั้ ประณตี ะมีวิสทุ ธิธรรม ๑๐

๑.วสิ ทุ ธธิ รรม วิสุทธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๒.วิสุทธธิ รรม วสิ ทุ ธิธรรม วิสุทธธิ รรม

๓.วสิ ุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม วิสุทธิธรรม

๔.วสิ ทุ ธิธรรม วสิ ุทธธิ รรม วสิ ทุ ธิธรรม

๕.วิสุทธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วิสทุ ธิธรรม

๖.วิสทุ ธธิ รรม วิสุทธธิ รรม วสิ ทุ ธิธรรม

๑๗๗

๗.วิสุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม วิสุทธิธรรม

๘.วสิ ุทธิธรรม วสิ ทุ ธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๙.วิสทุ ธิธรรม วิสทุ ธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๑๐.วสิ ุทธธิ รรม วิสทุ ธิธรรม วสิ ุทธธิ รรม

พระโสดาบนั โกลงั โกละ

ละสักกายทิฎฐิ ละวจิ ิกจิ ฉา ละสีลพพตปรามาส มวี ิสทุ ธธิ รรม ๓๐ข้ัน

ปรติ ตะมวี สิ ุทธิธรรม๑๐ ขั้นมัชฌมิ ะมีวสิ ุทธธิ รรม ๑๐ ขัน้ ประณีตะมวี ิสทุ ธธิ รรม ๑๐

๑.วิสทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วสิ ทุ ธิธรรม

๒.วสิ ทุ ธิธรรม วสิ ุทธิธรรม วิสทุ ธิธรรม

๓.วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ทุ ธิธรรม วิสุทธธิ รรม

๔.วิสทุ ธิธรรม วสิ ุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

๕.วิสทุ ธิธรรม วสิ ุทธิธรรม วิสทุ ธธิ รรม

๖.วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๗.วสิ ุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม วิสทุ ธธิ รรม

๘.วสิ ุทธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๙.วิสุทธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม

๑๐.วิสทุ ธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม วิสทุ ธธิ รรม

พระโสดาบัน เอกพีชี

ละสกั กายทิฎฐิ ละวจิ ิกิจฉา ละสลี พพตปรามาส มีวิสทุ ธธิ รรม ๓๐

ขัน้ ปรติ ตะมีวิสุทธิธรรม๑๐ ขน้ั มัชฌมิ ะมวี สิ ุทธิธรรม ๑๐ ข้ันประณีตะมวี ิสุทธิธรรม ๑๐

๑.วิสุทธธิ รรม วสิ ุทธิธรรม วสิ ทุ ธิธรรม

๒.วสิ ุทธธิ รรม วิสุทธิธรรม วิสทุ ธธิ รรม

๓.วิสุทธธิ รรม วสิ ุทธิธรรม วสิ ุทธธิ รรม

๔.วิสุทธิธรรม วสิ ุทธธิ รรม วิสทุ ธธิ รรม

๕.วสิ ุทธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

๖.วสิ ทุ ธธิ รรม วิสุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

๗.วิสุทธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

๘.วสิ ทุ ธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม วิสทุ ธธิ รรม

๑๗๘

๙.วสิ ุทธิธรรม วิสุทธธิ รรม วิสทุ ธิธรรม

๑๐.วสิ ทุ ธธิ รรม วิสุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

คณุ ธรรมท่ีพระโสดาบันมี

๑.มักขะ ไม่ลบหลู่คุณท่าน ๒.ปลาสะ ไมต่ เี สมอทา่ น

๓.อสิ สา ไม่รษิ ยา ๔.มฉั ฉะริยะ ไมต่ ระหน่ี

๕.มายา ไมม่ ีมายา ๖.สาไถยะ ไม่โอ้อวด

พระสกทาคามขี นั้

ปรติ ตะมีวสิ ุทธธิ รรม๑๐ ขั้นมชั ฌมิ ะมวี สิ ทุ ธธิ รรม ๑๐ ขั้นประณตี ะมวี สิ ุทธิธรรม ๑๐

๑.วสิ ทุ ธิธรรม วิสุทธธิ รรม วสิ ุทธิธรรม

๒.วิสุทธิธรรม วสิ ทุ ธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๓.วิสุทธิธรรม วิสุทธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม

๔.วิสทุ ธธิ รรม วิสทุ ธิธรรม วสิ ุทธธิ รรม

๕.วิสทุ ธธิ รรม วิสทุ ธิธรรม วิสุทธธิ รรม

๖.วสิ ุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม วิสทุ ธธิ รรม

๗.วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม

๘.วสิ ทุ ธิธรรม วิสทุ ธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๙.วิสุทธธิ รรม วสิ ทุ ธิธรรม วิสุทธธิ รรม

๑๐.วิสุทธิธรรม วิสุทธิธรรม วิสุทธธิ รรม

พระอนาคามี อุทธังโสโต อกนิฎฐคามี

(กาลังแหง่ ศรัทธา)

ขนั้ ปรติ ตะ มวี ิสุทธิธรรม ๑๐ ขน้ั มชั ฌิมะ มีวสิ ทุ ธธิ รรม๑๐ ขน้ั ประณีตะสุทธธิ รรม ๑๐

๑.วิสทุ ธธิ รรม วิสุทธธิ รรม วสิ ทุ ธิธรรม

๒.วสิ ุทธธิ รรม วิสทุ ธิธรรม วิสุทธธิ รรม

๓.วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๔.วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ทุ ธิธรรม วิสทุ ธธิ รรม

๕.วิสทุ ธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ทุ ธิธรรม

๖.วิสุทธธิ รรม วิสุทธิธรรม วิสุทธธิ รรม

๗.วสิ ุทธธิ รรม วิสทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม

๑๗๙

๘.วิสทุ ธธิ รรม วิสุทธิธรรม วิสทุ ธธิ รรม

๙.วสิ ทุ ธิธรรม วสิ ุทธิธรรม วิสทุ ธิธรรม

๑๐.วสิ ุทธิธรรม วิสทุ ธิธรรม วิสทุ ธธิ รรม

พระอนาคามี สสงั ขารปรนิ ิพพายี

(กาลงั แหง่ วริ ยิ ะ)

ขนั้ ปรติ ตะ มวี สิ ุทธธิ รรม ๑๐ ขนั้ มัชฌิมะ มีวสิ ทุ ธธิ รรม๑๐ ขน้ั ประณีตะสุทธิธรรม ๑๐

๑.วิสทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วิสุทธิธรรม

๒.วสิ ุทธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

๓.วิสุทธธิ รรม วิสทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม

๔.วิสุทธิธรรม วสิ ทุ ธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๕.วสิ ทุ ธิธรรม วิสุทธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๖.วิสทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

๗.วสิ ุทธธิ รรม วิสทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม

๘.วสิ ทุ ธธิ รรม วิสุทธธิ รรม วิสทุ ธธิ รรม

๙.วสิ ทุ ธิธรรม วิสุทธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๑๐.วิสทุ ธิธรรม วสิ ุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

พระอนาคามี อสังขารปรนิ ิพพายี

(กาลงั แหง่ สติ)

ขน้ั ปรติ ตะ มีวิสทุ ธิธรรม ๑๐ ขนั้ มัชฌิมะ มวี ิสทุ ธิธรรม๑๐ ขนั้ ประณีตะสทุ ธธิ รรม ๑๐

๑.วิสทุ ธิธรรม วสิ ทุ ธิธรรม วสิ ุทธิธรรม

๒.วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วิสทุ ธธิ รรม

๓.วสิ ทุ ธิธรรม วิสุทธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๔.วิสุทธธิ รรม วิสุทธิธรรม วิสุทธธิ รรม

๕.วิสทุ ธิธรรม วิสุทธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๖.วสิ ทุ ธิธรรม วิสุทธิธรรม วิสุทธธิ รรม

๗.วสิ ทุ ธิธรรม วสิ ุทธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๘.วสิ ุทธธิ รรม วิสทุ ธิธรรม วิสทุ ธธิ รรม

๙.วิสุทธธิ รรม วิสทุ ธิธรรม วสิ ทุ ธิธรรม

๑๘๐

๑๐.วิสุทธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม

๑๘๑

พระอนาคามี อุปหจั จะปรนิ ิพพายี

(กาลงั แห่งสมาธ)ิ

ข้ันปริตตะ มวี ิสุทธธิ รรม ๑๐ ขน้ั มัชฌมิ ะ มีวิสุทธิธรรม๑๐ ขั้นประณีตะสุทธธิ รรม ๑๐

๑.วิสุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

๒.วสิ ทุ ธธิ รรม วิสทุ ธิธรรม วิสุทธธิ รรม

๓.วสิ ทุ ธิธรรม วิสุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

๔.วิสุทธธิ รรม วิสุทธิธรรม วิสุทธธิ รรม

๕.วิสทุ ธิธรรม วิสทุ ธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๖.วสิ ุทธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๗.วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๘.วสิ ุทธิธรรม วสิ ทุ ธิธรรม วิสทุ ธธิ รรม

๙.วิสุทธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๑๐.วิสทุ ธธิ รรม วสิ ทุ ธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

พระอนาคามตี ตยิ ะอันตรานพิ พายี

(กาลังแหง่ ปญั ญา อยา่ งหยาบ)

ขน้ั ปรติ ตะ มวี ิสุทธิธรรม ๑๐ ขั้นมชั ฌมิ ะ มวี สิ ทุ ธธิ รรม๑๐ ข้นั ประณตี ะสทุ ธิธรรม ๑๐

๑.วิสุทธิธรรม วสิ ุทธิธรรม วสิ ุทธิธรรม

๒.วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ุทธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๓.วิสุทธิธรรม วิสุทธธิ รรม วิสทุ ธธิ รรม

๔.วิสทุ ธิธรรม วิสทุ ธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๕.วสิ ุทธิธรรม วิสทุ ธิธรรม วิสทุ ธธิ รรม

๖.วิสทุ ธิธรรม วิสุทธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๗.วิสุทธิธรรม วสิ ทุ ธิธรรม วสิ ุทธธิ รรม

๘.วิสุทธิธรรม วสิ ทุ ธิธรรม วิสทุ ธิธรรม

๙.วสิ ุทธธิ รรม วสิ ทุ ธิธรรม วสิ ุทธิธรรม

๑๐.วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วิสทุ ธิธรรม

๑๘๒

พระอนาคามี ทตุ ิยะอนั ตรานิพพายี

(กาลงั แห่งปญั ญา อยา่ งกลาง)

ขนั้ ปริตตะ มีวสิ ทุ ธธิ รรม ๑๐ ขน้ั มชั ฌมิ ะ มวี สิ ทุ ธิธรรม๑๐ ขน้ั ประณีตะสทุ ธธิ รรม ๑๐

๑.วสิ ทุ ธิธรรม วิสุทธิธรรม วิสุทธิธรรม

๒.วสิ ทุ ธธิ รรม วิสุทธิธรรม วสิ ุทธิธรรม

๓.วสิ ุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม

๔.วสิ ุทธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม วิสุทธิธรรม

๕.วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วิสทุ ธธิ รรม

๖.วสิ ุทธธิ รรม วสิ ุทธิธรรม วิสุทธธิ รรม

๗.วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๘.วิสุทธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

๙.วสิ ุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

๑๐.วสิ ทุ ธิธรรม วิสทุ ธิธรรม วสิ ทุ ธิธรรม

พระอนาคามี ปฐมอันตราปรินพิ พายี

(กาลงั แห่งปญั ญา อยา่ งละเอยี ด)

ขน้ั ปริตตะ มวี ิสทุ ธธิ รรม ๑๐ ข้นั มัชฌิมะ มวี ิสุทธิธรรม๑๐ ขั้นประณตี ะสทุ ธิธรรม ๑๐

๑.วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วิสทุ ธิธรรม

๒.วสิ ทุ ธธิ รรม วิสทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม

๓.วิสุทธธิ รรม วิสทุ ธิธรรม วสิ ทุ ธธิ รรม

๔.วสิ ทุ ธธิ รรม วสิ ุทธิธรรม วิสุทธธิ รรม

๕.วสิ ุทธิธรรม วสิ ุทธิธรรม วิสทุ ธธิ รรม

๖.วสิ ทุ ธิธรรม วิสทุ ธิธรรม วิสทุ ธธิ รรม

๗.วิสทุ ธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

๘.วิสุทธธิ รรม วสิ ทุ ธธิ รรม วิสุทธธิ รรม

๙.วิสทุ ธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม วสิ ุทธธิ รรม

๑๐.วิสทุ ธิธรรม วิสุทธิธรรม วิสทุ ธธิ รรม

พระผู้มพี ระภาคเจา้ ตรสั ไว้ เป็นคาถาแสดงถึงสภาวะ แหง่ จิตของพระอนาคามี ว่า

ฉนั ทะชาโต อนักขาเต มะนะสา จ ผุโฏ สยิ า

๑๘๓

กาเมสุ อัปปฏิพัทธจิตโต “อทุ ฺธังโสโต” ติ วจุ จะติ
ทา่ นผูม้ ฉี ันทะในพระนิพพาน ซ่งึ บอกใครไมไ่ ด้ ท่านไดส้ มั ผสั (พระนิพพานนน้ั )
ดว้ ยใจแลว้ และมจี ติ ไมต่ ิดในกามทงั้ หลายด้วย เรียกวา่ เปน็ ผู้มกี ระแสในเบ้ืองบน ท่านผู้เปน็
อนาคามี จะไม่กลบั มาเกิดในโลกนอ้ี ีก จะไปเกดิ ในสุทธาวาสทง้ั ๕ ชนั้ คอื ชน้ั อวหิ า อตปั ปา
สทุ สั สา สทุ ัสสี อกนิฏฐคามี

วปิ สั สนาภูมิ ๖

ขันธ์ ๕
ขันธ์ ๕ แปลว่าอนิ ทรีย์ ทรงไว้ ซ่งึ อินทรีย์ มจี กั ษุเป็นต้น ทรงไวซ้ ่ึงความว่างเปลา่ ทรง
ไวซ้ ง่ึ สวรรค์ คอื ผู้สรา้ งสวรรค์ บคุ คลอาศยั ขนั ธ์ ๕ นแี้ ลว้ สามารถสรา้ งทานกศุ ล ศีลกุศลได้
เพราะผลแหง่ กศุ ลนน้ั เอง บุคคลจงึ ไปสวรรคไ์ ด้ ขนั ธ์ เพราะอรรถว่า ทรงไว้ซึง่ ยอด แบกภาระ
ไว้ เปน็ ภาระทหี่ นกั มาก สมดงั ทพ่ี ระพุทธเจา้ ตรัสไว้ ขันธ์ ๕ เป็นภาระท่ีหนกั มาก ทุกๆคนเปน็ ผู้
แบกภาระไว้ การแบกภาระไวเ้ ปน็ ทุกขใ์ นโลก วางภาระได้เป็นสขุ จรงิ ๆ
ขันธ์ แปลวา่ สภาวธรรมท่ถี ูกทกุ ข์นบั ไมถ่ ้วนเคี้ยวกินอยู่ สภาวธรรมทีถ่ ูกบัน้ ทอนอยู่
เสมอ สภาวธรรมท่ถี ูกพระยามจั จุราช ทาลายโดยรอบด้าน ไมเ่ ป็นแกน่ สาร ไมม่ คี วามสวยงาม
ขนั ธ์ ๕ ย่อให้ส้นั เหลือ ๓ คือ รูป คงไว้ เวทนา สญั ญา สงั ขาร ยอ่ เป็น ๑ เรียกว่านาม
เจตสกิ วิญญาณเปน็ นาม เรยี กว่า นามจิต
ยอ่ ลงตามแนวปฏิบัติ เหลือ ๒ รูป คงไว้ นามเจตสิก กับ นามจติ ย่อเพยี งสองคือ รปู กับ
นาม รปู นามนี้ เกิดที่ไหน เกดิ ที่ ตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ เกิดเมื่อ ตา เห็น รูป หู ได้ยนิ เสียง จมกู
ได้กลน่ิ ลน้ิ ได้ล้มิ รส กายถกู ตอ้ งเยน็ ร้อนอ่อนแข็ง ใจ นึกถงึ ธรรมารมณ์ รปู นามเกิดแลว้ อะไร
เกิดตามมา กิเลิสเกิดติดตามมา กิเลส ตัวไหน กเิ ลส ตัว โลภะ โมหะ โทสะ เกิดไดอ้ ยา่ งไร เชน่
ตาเหน็ รปู ดี ชอบใจ ความชอบใจ คอื กิเลส ตัวโลภะ เห็นรปู ไมด่ ีไมช่ อบใจ ความไม่ชอบใจ คือ
กิเลส ตวั โทสะ เหน็ รูปแลว้ เฉยๆ ไมม่ สี ติกาหนดรู้ เปน็ โมหะ เมือ่ กิเลส เกดิ แลว้ จะปฏบิ ตั ิ
อยา่ งไร กิเลส จึงจะไม่เกดิ ให้กาหนดรเู้ ชน่
เม่อื ตาเหน็ รูป ให้กาหนดสติรู้ กิเลสจงึ จะไม่เกดิ

อายตนะ ๑๒

อายตนะภายใน ๖ อายตนภายนอก ๖
อายตนะภายใน ๖ จักขายตนะ อายตนะ คอื ตา

โสตายตนะ อายตนะ คือ หู

๑๘๔

ฆานายตนะ อายตนะ คอื จมูก

ชิวหายตนะ อายตนะ คือลนิ้

กายายตนะ อายตนะ คือกาย ท้ัง ๕ น้ี ยอ่ ลงในรูป

มนายตนะ อายตนะ คือใจ เป็นนาม

อายตนะภายนอก ๖ คอื

รปู ายตนะ อายตนะ คือรูป

สัททายตนะ อายตนะ คือเสียง

คันธายตนะ อายตน คอื กล่ิน

รสายตนะ อายตนะ คือรส

โผฏฐัพพายตนะอายตนะคือโผฏฐัพพะท้ัง๕ ยอ่ ลงเปน็ รปู

ธรรมายตนะ อายตนะ คือ ธรรม เป็นทงั้ รูป และ นาม

อารมณท์ ่เี กดิ กับใจน้นั มี ๖ หมวด คอื ปสาทรูป สุขมุ รปู จติ เจตสกิ นิพพาน บัญญตั ิ ย่อ

ให้ส้นั เหลือ รปู กับ นาม มใิ ชร่ ูปมใิ ชน่ ามยอ่ อยา่ งน้คี อื ปสาทรูป กบั สุขุมรูป ยอ่ ลงเปน็ รูป จิต

เจตสกิ นิพพาน ยอ่ ลงเป็นนาม บญั ญตั ิ มใิ ชร่ ูป และมใิ ช่นาม

ธาตุ ๑๘

ธาตุ แปลว่า ทรงไว้ซงึ่ ลกั ษณะของตน ธาตุในทีน่ ้ี มีอยู่ ๑๘ คอื

๑.จักขุธาตุ

๒.โสตธาตุ

๓.ฆานธาตุ

๔.ชวิ หาธาตุ

๕.กายธาตุ ทั้ง ๕ นี้ เปน็ รูป

๖.มโนธาตุ เปน็ นาม

๗.รปู ธาตุ

๘.สทั ทธาตุ

๙.คนั ธธาตุ

๑๐.รสธาตุ

๑๑.โผฏฐัพพะธาตุ ทั้ง ๕นเี้ ป็นรูป

๑๒. ธมั มธาตุ เปน็ ท้ังรปู ท้ังนาม

๑๘๕

๑๓.จกั ขวุ ิญาณธาตุ

๑๔.โสตวิญญาณธาตุ

๑๕ฆานวญิ าณธาตุ

๑๖.ชวิ หาวิญาณธาตุ

๑๗.กายวญิ ญาณธาตุ

๑๘.มโนวญิ ญาณธาตุ ทั้ง ๖ น้ีเป็นนาม

ธาตุท้งั ๑๘ ย่อลงมีเพียง ๒ คือ รูป กับนาม

อนิ ทรยี ์ ๒๒

อนิ ทรีย์ แปลวา่ ความเป็นใหญ่ เชน่ จกั ขนุ ินทรีย์ อินทรยี ์ คือ ตา ตาเปน็ ใหญ่ในการเห็น

รปู หูเปน็ ใหญใ่ นการ ได้ยนิ เสียง เป็นต้น

อนิ ทรีย์ มอี ยู่ ๒๒ ประการคอื

๑.จักขุนนิ ทรยี ์ อินทรีย์ คอื ตา เป็นรูป

๒.โสตินทรีย์ อินทรยี ์ คอื หู เป็นรูป

๓.ฆานนิ ทรีย์ อนิ ทรีย์ คือ จมกู เปน็ รูป

๔.ชวิ หินทรียื อินทรยี ์ คอื ลิ้น เปน็ รูป

๕.กายนิ ทรีย์ อนิ ทรียค์ ือ กาย เปน็ รูป

๖.มนนิ ทรีย์ อินทรีย์ คอื ใจ เป็นนาม

๗.อิตถนิ ทรี อินทรยี ์ คือหญิง เป็นรูป

๘.ปุริสินทรยี ์ อนิ ทรีย์ คือ ชาย เปน็ รูป

๙.ชีวติ ินทรยี ์ อินทรีย์ คือชวี ติ เปน็ ทงั้ รปู และนาม

๑๐.สขุ ินทรยี ์ อินทรยี ์ คือความสขุ เปน็ นาม

๑๑.ทกุ ขินทรยี ์ อินทรยี ์ คอื ทุกข์ เปน็ นาม

๑๒.โสมนัสสินทรยี ์ อินทรีย์ คือโสมนสั เปน็ นาม

๑๓.โทมนัสสนิ ทรยี ์ อินทรีย์ คือโทมนัส เปน็ นาม

๑๔.อเุ บกขินทรยี ์ อนิ ทรีย์ คือ อเุ บกขา เปน็ นาม

๑๕.สทั ธนิ ทรีย์ อนิ ทรยี ค์ อื ศทั ธา เปน็ นาม

๑๖.วิรยิ นิ ทรีย์ อนิ ทรยี ค์ ือ วริ ิยะ เป็นนาม

๑๗.สตินทรีย์ อนิ ทรยี ์ คอื สติ เปน็ นาม

๑๘๖

๑๘.สมาธินทรีย์ อนิ ทรีย์ คอื สมาธิ เป็นนาม

๑๙.ปัญญินทรีย์ อินทรยี ์ คือปัญญา เป็นนาม

๒๐.อนญั ญตัญญสั สามตี ิญทรีย์ เปน็ นาม หมายเอาเฉพาะ

โสดาปตั ติมรรค เทา่ นน้ั

๒๑.อญั ญนิ ทรีย์ เปน็ นาม หมายเอามรรค ๓ คอื สกทาคามมิ รรค

อนาคามิมรรค อรหัตมรรค กบั ผล๓ คอื โสดาปัติผล

สกทาคามิผล อนาคามิผล

๒๒.อัญญาตาวิญทรยี ์ เป็นนาม หมายเอาอรหตั ผลเทา่ นัน้

อนิ ทรีย์ ๒๒ น้ี ยอ่ ให้สั้น เหลือเพียง ๒ คือรปู กบั นาม

อริยสจั ๔

อริยสจั แปลวา่ ของจริง อันประเสรฐิ ของจริงอันห่างไกลจากกิเลส ของจรงิ แห่งพระ

อริยะเจ้า ของจริงอนั ยังความเปน็ พระอริยะเจ้าให้สาเร็จ อรยิ สัจนนั้ มีอยู่ ๔ อย่างคือ ทุกข์ สมุทัย

นโิ รธ มรรค

๑.ทุกข์ แปลว่า ทนไดย้ าก ทนอยูไ่ มไ่ ด้ โดยองคธ์ รรม ไดแ้ กโ่ ลกียะจิต ๘๑

เวน้ โลกุตระจติ ๘ เจตสิก ๕๑ เว้นโลภะ รูป ๒๘ รวมเป็น ๑๖๐ ย่อเหลอื

๕ ไดแ้ กข่ ันธ์ ๕ เหลือ ๒ คอื รูป กบั นาม

๒.สมทุ ัย เหตใุ ห้เกิดทุกข์ ไดแ้ กต่ ณั หา ๓ คือ กามตณั หา ภวตณั หา

วภิ วตณั หา สมทุ ยั เป็นนาม

๓.นิโรธ แปลว่าดับทกุ ข์ โดยองค์ธรรม ไดแ้ กน่ พิ พาน นิโรธ เป็นนาม

๔.มรรค แปลวา่ ขอ้ ปฏบิ ัตใิ ห้ถงึ ความดับทุกข์ และแปลวา่ ฆ่ากเิ ลศไปกไ็ ด้

โดยองค์ธรรม ไดแ้ กอ่ ริยมรรคมีองค์ ๘ คือ

๑.สมั มาทฏิ ฐิ เหน็ ชอบ ปญั ญา

๒.สงั มาสงั กปั โป ดารชิ อบ ปญั ญา

๓.สัมมาวาจา วาจาชอบ ศีล

๔.สมั มากัมมันโต การงานชอบ ศีล

๕.สมั มาอาชีโว เปน็ อย่ชู อบ ศิล

๖.สมั มาวายาโม เพียรชอบ สมาธิ

๗. สัมมาสติ ระลกึ ชอบ สมาธิ

๑๘๗

๘.สมั มาสมาธิ ตง้ั ใจชอบ สมาธิ
อริยสจั ๔ นั้นยอ่ ใหส้ ้นั มี ๒ คอื รูป กับ นาม ทุกขส์ ัจ เป็นรูป เป็นนาม สมทุ ัย นโิ รธ
มรรค เป็นนาม

๑๘๘

ปฏิจจสมปุ บาท ๑๒

ปฏจิ จสมุปบาท แปล ธรรมที่อาศัยกนั เกิดขนึ้ ดุจลกู โซท่ ่เี กีย่ วกนั เป็นสายฉะนัน้ มี ๑๒

ประการคือ

๑. อวชิ ชา ความไม่รู้ ในอรยิ สจั ๔ เป็นนาม

๒.สงั ขาร การปรุงแต่ง กายสงั ขาร

วจีสงั ขาร จติ ตสงั ขาร เป็นนาม

๓.วญิ ญาณ ความรู้อะไรได้ เปน็ นาม

๔.นามรูป เบญจขนั ธ์ เป็นทัง้ รปู ท้งั นาม

๕.อายตนะ ๖ อายตนะภายใน๖ ตาหูจมูก ลนิ้

กาย ใจ อายตนะภายนอก ๖ รปู

เสยี ง กลิ่น รส สัมผสั ธัมมารมณ์ เปน็ ทง้ั รูปท้ังนาม

๖.ผัสสะ การถกู ตอ้ งการกระทบอารมณ์เปน็ นาม

๗.เวทนา เสวยอารมณ์ เปน็ นาม

๘.ตัณหา ความอยาก เป็นนาม

๙.อุปาทาน ความยึดม่ัน เป็นนาม

๑๐.ภพ ทอ่ี ยู่ของสัตว์ เปน็ นาม

๑๑.ชาติ การเกดิ เปน็ นาม

๑๒. ชรา-มรณะ ความแก่ ความตาย เปน็ นาม

ปฏจิ จสมุปบาท ๑๒ นี้ เมือ่ ยอ่ ใหส้ ้นั มเี พียง ๒ เทา่ น้ัน คอื รปู กบั นาม

เอกสารอา้ งอิง

๑.มคฺปาลมี ุตฺติ ของสมเดจ็ พระสงั ฆราชสกุ ไก่เถอื่ น พ.ศ. ๒๕๑๑

๒.วิปสฺสนาทปี นีฏีกา สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ) วดั มหาธาตยุ วุ ราชรังสฤษฏ์ พ.ศ.

๒๕๓๑

๓. คมั ภรี ์ พระวิสุทธมิ รรค โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย

๔.คัมภรี ์พระวิสุทธิมรรค พระพุทธโฆสเถร รจนา, สมเด็จพระพฒุ าจารย์ (อาจ อาสภ

มหาเถร) แปลและเรียบเรียง

๕.จากหนังสือประโยชน์ สงุ สุดของชีวิต พระธรรมปฏิ ก (ประยุตธ์ ปยุตฺโต) พ.ศ.

๒๕๔๑

๑๘๙


Click to View FlipBook Version