The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นคร เจือจันทร์, 2021-10-04 02:31:16

รวมบทความอุทาหรณ์จากคดีปกครอง

เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539

รวมบทความอทุ าหรณ์จากคดปี กครอง
เร่อื ง คดพี พิ าทเกยี่ วกบั พระราชบญั ญตั ิ
วธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙

: ฟอ้ งเพกิ ถอนประกาศผลสอบ ตอ้ งอทุ ธรณก์ ่อนหรอื ไม่ ?
: ลงโทษ น.ศ. ทุจริตให้ติด F ... ตอ้ งทาโดยผมู้ ีอานาจ !!!
: สถานะของ “หนงั สอื แจง้ เตือนใหร้ ื้อถอนอาคาร”
: ใหโ้ อกาสโตแ้ ยง้ เพยี งหนงึ่ วัน … คาสั่งน้ันไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย !
: สรา้ งบา้ นพกั ลว่ งลา้ ทะเล : จง่ั ซ.้ี .. ตอ้ งรื้อถอน !
: ออกคาสัง่ เป็นลายลกั ษณอ์ ักษรและดว้ ยวาจา ...
เจ้าหนา้ ทตี่ ามคาสง่ั ใด ? ตอ้ งรับผิด !
: เมอ่ื คดอี าญายกฟ้อง ...
จะขอใหย้ กเลกิ โทษทางวนิ ัยได้หรอื ไม่ ?

ฯลฯ

สำนกั วิจยั และวิชำกำร สำนกั งำนศำลปกครอง

รวมบทความอทุ าหรณ์จากคดปี กครอง
เรื่อง คดพี พิ าทเก่ียวกับพระราชบญั ญตั ิ
วธิ ปี ฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙

โดย สำนักวจิ ัยและวชิ ำกำร
สำนกั งำนศำลปกครอง
สงวนลขิ สิทธ์ิ

จัดทำโดย :
สำนกั วจิ ัยและวชิ ำกำร สำนักงำนศำลปกครอง
กลุ่มเผยแพร่ขอ้ มูลทำงวิชำกำรและวำรสำร
อำคำรศำลปกครอง เลขที่ ๑๒๐ หมูท่ ี่ ๓ ถนนแจง้ วฒั นะ
แขวงทงุ่ สองห้อง เขตหลกั ส่ี กรุงเทพฯ ๑๐๒๑๐
โทรศพั ท์ ๐ ๒๑๔๑ ๑๑๑๑ สำยดว่ น ๑๓๕๕
โทรสำร ๐ ๒๑๔๓ ๙๘๔๕
http://www.admincourt.go.th

คำนำ

สำนักงำนศำลปกครอง โดยสำนักวิจัยและวิชำกำร ได้จัดทำ
อุทำหรณ์จำกคดีปกครอง จำกคำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุด
ท่ีวำงหลักกฎหมำยปกครองและบรรทัดฐำนกำรปฏิบัติรำชกำรท่ีดี
และเรียบเรียงเป็นเร่ืองรำวที่สำมำรถศึกษำทำควำมเข้ำใจได้ง่ำย
เพ่ือเผยแพรใ่ นสื่อตำ่ ง ๆ

สำนักงำนศำลปกครองเห็นว่ำ อุทำหรณ์จำกคดีปกครองดังกล่ำว
เป็นประโยชน์ต่อกำรปฏิบัติหน้ำที่รำชกำร จึงได้คัดเลือกมำรวบรวม
จัดทำเป็นเอกสำรวิชำกำรแบบแยกประเภทเร่ือง โดยฉบับน้ีได้คัดเลือก
เฉพำะคดีพิพำทท่ีเก่ียวข้องกับพระรำชบัญญัติวิธีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ มำจัดทำเป็นเอกสำรวิชำกำร รวมบทควำมอุทำหรณ์จำก
คดีปกครอง เร่ือง คดีพิพำทเก่ียวกับพระรำชบัญญัติวิธีปฏิบัติรำชกำร
ทำงปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยสรุปประเด็นข้อพิพำทและสำระสำคัญ
กำกบั ไว้ในบทควำมแต่ละเรื่อง เพ่ืออำนวยควำมสะดวกให้กับหน่วยงำนของรัฐ
เจ้ำหน้ำท่ีของรัฐหรือผู้สนใจ ท้ังนี้ เพื่อให้กำรปฏิบัติหน้ำท่ีรำชกำรเป็นไป
โดยถูกต้องตำมกฎหมำย และกำรบริหำรรำชกำรแผ่นดินมีประสิทธิภำพ
และประสิทธิผล

จึงหวังว่ำเอกสำรวิชำกำร รวมบทควำมอุทำหรณ์จำกคดีปกครอง
เร่ือง คดีพิพำทเกี่ยวกับพระรำชบัญญัติวิธีปฏิบัติรำชกำรทำงปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ ฉบับน้ี จะเป็นประโยชน์ต่อกำรปฏิบัติหน้ำท่ีรำชกำร
ของเจำ้ หนำ้ ท่ีของรฐั และเปน็ ประโยชน์แกผ่ ู้ทสี่ นใจโดยท่วั ไป

(นำยอตโิ ชค ผลด)ี
เลขำธกิ ำรสำนกั งำนศำลปกครอง

๒๓ กนั ยำยน ๒๕๖๔

สารบญั หน้า

เร่อื งที่ ช่อื เร่อื ง ๑

๑. ฟอ้ งเพกิ ถอนประกาศผลสอบ ๑๐
ต้องอทุ ธรณก์ อ่ นหรอื ไม่ ? ๑๔
๑๘
2. ลงโทษ น.ศ. ทจุ รติ ให้ตดิ F ...
ต้องทาโดยผ้มู ีอานาจ !!! ๒๒

3. สถานะของ “หนังสอื แจ้งเตือน ๓๓
ใหร้ ้ือถอนอาคาร”

4. หน่วยงานของรัฐเรียกเงินเกินสิทธคิ ืน ...
ไมเ่ ห็นดว้ ย ฟ้องศาลปกครอง (ไม)่ ได้ ?

5. คาสงั่ ของผ้บู ังคบั บัญชา
“เกย่ี วกบั การปฏิบัตงิ านทัว่ ไป”
ฟอ้ งคดีต่อศาลปกครองไดห้ รอื ไม่ ?

6. “เหต”ุ แค่ไหน – อย่างไร ? ถอื ว่า
มีสภาพร้ายแรง อนั อาจทาใหก้ ารพิจารณา
ทางปกครอง “ไม่เปน็ กลาง” !!

7. เจ้าหนา้ ที่เป็น “หนง่ึ ในกรรมการ”
พิจารณาทางวินัย “หลายชุด”
คาสัง่ ลงโทษ ... ไมช่ อบ !

(๒) หนา้

เร่ืองท่ี ชื่อเรื่อง ๓๙
๔๕
8. “ผูร้ ับทุน” เปน็ กรรมการคัดเลือกทุน :
ขัดหลักความเปน็ กลาง ๕๑
๕๘
9. คาสั่งให้พน้ จากตาแหนง่ ๖๕
(ไม)่ ชอบด้วยกฎหมาย ... เพราะ ๗๒
(ไม)่ ตรวจสอบปเี กดิ ใหถ้ กู ต้อง ๘๐
๘๕
10. ลงโทษนักศึกษาทะเลาะวิวาท...
ข้ามข้ันตอนการให้โอกาสชแ้ี จงไมไ่ ด้ !!

11. ใหโ้ อกาสโตแ้ ยง้ เพยี งหนงึ่ วัน …
คาส่งั นัน้ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย !

12. การรบั ฟังคกู่ รณีในกระบวนการพจิ ารณา
ทางปกครอง “ต้องให้โอกาสอยา่ งเพยี งพอ”

13. ไมแ่ จง้ ถ้อยคาพยานในช้ันสอบสวน...
เทา่ กบั ไม่ใหโ้ อกาสคู่กรณี !!!

14. สง่ั ใหพ้ น้ จากตาแหน่งรองนายก อบต.
ตอ้ งใหโ้ อกาสโตแ้ ย้งก่อนหรอื ไม่ ?

15. จะทาหอพักทง้ั ที...ต้องดกู ฎหมายใหด้ ี
และขออนญุ าตให้ถูกตอ้ ง !

(๓)

เรื่องที่ ช่ือเร่อื ง หน้า

16. สรา้ งบา้ นพักล่วงล้าทะเล : ๙๒
จั่งซ้.ี .. ตอ้ งร้ือถอน !

17. การตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมาย ๙๗
โดยศาลปกครอง ... กรณนี ายทะเบยี น
มี “คาสัง่ ไมอ่ นญุ าตใหม้ ีและใช้อาวธุ ปืน”

18. ออกคาสง่ั เป็นลายลักษณ์อักษรและดว้ ยวาจา ... ๑๐๘
เจา้ หน้าทีต่ ามคาสง่ั ใด ? ต้องรบั ผิด !

19. รับฟงั คกู่ รณี ... ตอ้ งก่อน ๑๑๔
การพิจารณาอุทธรณเ์ สร็จสน้ิ !

20. บันทึก สด.43 ผิด ... แต่ชวี ติ ไมเ่ ปลีย่ น ๑๒๐

21. อทุ ธรณค์ าส่งั ให้รอ้ื ถอน ... แตไ่ มไ่ ด้รบั แจง้ ๑๒๘
ผลการพจิ ารณา : ต้องฟอ้ งคดภี ายในเวลาใด ? ๑๓๒

22. คาสัง่ ใหเ้ ปน็ ผทู้ ิ้งงาน… ตอ้ งอทุ ธรณก์ ่อนฟอ้ ง
ขอให้ศาลปกครองเพกิ ถอนคาส่ัง ครับ !!

2๓. แค่ไหน ? คอื “ระยะเวลาอนั สมควร” ๑๓๖
ในการพจิ ารณาอทุ ธรณ์คาสัง่ ไม่อนญุ าต ๑๔๓
ให้เปดิ หอพัก

2๔. ถกู ปลอมลายมอื ชอื่ ให้เปน็ กรรมการบรษิ ัท !

(๔)

เร่อื งท่ี ชอ่ื เรือ่ ง หน้า

2๕. การคมุ้ ครองความเชอื่ โดยสจุ รติ ๑๔๗
ของผูร้ ับคาส่ังทางปกครองที่ไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย

2๖. เม่อื คดีอาญายกฟอ้ ง ... จะขอให้ ๑๕๓
ยกเลกิ โทษทางวนิ ยั ได้หรอื ไม่ ?

2๗. ระยะเวลาฟ้องคดี ... กรณเี จา้ พนกั งานท่ดี ิน ๑๖๑
ไม่ออกโฉนดใหเ้ น่ืองจากมีผูค้ ัดค้าน !



เร่ืองท่ี 1

ฟอ้ งเพิกถอนประกาศผลสอบ
ตอ้ งอทุ ธรณ์กอ่ นหรือไม่ ?

คาสง่ั ศาลปกครองสงู สุดท่ี คบ. ๗๖/๒๕๖๒

ประเดน็ ข้อพพิ าท
ผู้บญั ชาการตารวจภูธรภาคไดอ้ อกประกาศรายชือ่ ผู้ไดร้ ับคัดเลือก
เพ่ือบรรจุและแต่งตั้งเป็นนักเรียนนายสิบตารวจ โดยประกาศดังกล่าว
ไมป่ รากฏชอื่ ผู้ฟ้องคดีซ่ึงเปน็ ผสู้ อบผ่านข้อเขียนแลว้

สาระสาคญั
ประกาศรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกเพ่ือบรรจุและแต่งตั้งเป็น
นักเรียนนายสิบตารวจ เป็นการใช้อานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าท่ี
ที่มีผลเฉพาะรายและเฉพาะกรณี จึงถือเป็น “คาสั่งทางปกครอง”
ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ เม่ือผู้ฟ้องคดีไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งประกาศดังกล่าวต่อ
ผู้บัญชาการตารวจภูธรภาค (ผู้ถูกฟ้องคดี) จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดี
มิได้ดาเนินการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายตามที่กฎหมาย
กาหนดไว้ก่อนนาคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ผู้ฟ้องคดีจึงยังไม่อาจ
ใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครองได้ ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลปกครองจึงมีคาสง่ั ไมร่ ับคาฟ้องไวพ้ จิ ารณา



ฟอ้ งเพิกถอนประกาศผลสอบ
ตอ้ งอทุ ธรณ์ก่อนหรือไม่ ?

คดีน้ี เป็นเร่ืองราวของผู้สมัครสอบคัดเลือกเพ่ือเป็นนักเรียน
นายสิบตารวจรายหน่ึงที่ได้สอบผ่านข้อเขียนแล้ว แต่ต่อมาหน่วยงาน
พบว่าขาดคุณสมบัติ จึงประกาศผลให้ไม่ผ่านการคัดเลือก ผู้สมัคร
รายดังกล่าวจึงได้นาคดีมายื่นฟ้องต่อศาลปกครองโดยไม่ได้อุทธรณ์
ประกาศดังกล่าวก่อน เช่นนี้... ศาลปกครองจะรับคาฟ้องไว้พิจารณา
ไดห้ รือไม่ ?

ข้อเท็จจริงในคดี คือ ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้สอบผ่านข้อเขียน
ในการสอบคัดเลือกบุคคลภายนอกเพื่อบรรจุเป็นนักเรียนนายสิบตารวจ
และได้เข้าทดสอบความเหมาะสมกับตาแหน่ง แต่ต่อมาผู้บัญชาการ
ตารวจภูธรภาค (ผู้ถูกฟ้องคดี) ได้ออกประกาศรายช่ือผู้ได้รับคัดเลือก
เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นนักเรียนนายสิบตารวจ โดยประกาศดังกล่าว
ไม่ปรากฏชื่อผู้ฟ้องคดีเป็นผู้สอบผ่าน แต่กลับมีชื่อผู้ฟ้องคดีในบัญชี
ผู้มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามประกาศรับสมัครฯ ด้วยเหตุผลว่าผู้ฟ้องคดี
เคยมีประวัติทางคดีอาญาตอนอายุ ๑๓ ปี ซ่ึงถือเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสีย
หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีอันเป็นลักษณะต้องห้ามของผู้ดารง
ตาแหน่งดังกล่าว

ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า การนาการกระทาความผิดอาญาในขณะท่ีตน
มีอายุเพียง ๑๓ ปี มาพิจารณานั้น ไม่ถูกตอ้ ง เน่ืองจากประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๗๔ ให้ถือว่าเด็กน้ันไม่ต้องรับโทษ และเห็นว่าประกาศ
ผลการสอบดังกล่าวมีผลใช้บังคับเปน็ การท่ัวไป มิไดม้ ุ่งหมายเฉพาะแต่ตน



เพียงคนเดียว จึงไม่ใช่คาสั่งทางปกครอง จึงยื่นฟ้องคดตี ่อศาลปกครอง
โดยไมไ่ ดย้ ่ืนอุทธรณ์ประกาศดังกล่าวก่อน

ประกาศผลการสอบที่ให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ไม่ผ่านการคัดเลือก
มีสถานะเปน็ คาสัง่ ทางปกครองหรือไม่ ?

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ประกาศรายชื่อผู้ได้รับ
ก าร คั ด เลื อ ก เพ่ื อ บ ร ร จุ แ ล ะ แ ต่ งต้ั งเป็ น นั ก เรี ย น น าย สิ บ ต า ร ว จ
เป็นใช้อานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ท่ีมีผลเฉพาะรายและ
เฉพาะกรณี จึงถือเป็น “คาสั่งทางปกครอง” เน่ืองจากมีผลบังคับใช้
กับผู้มีสิทธิเข้าสอบคัดเลือกทุกคนโดยมีผลบังคับเป็นรายบุคคล
สาหรับผู้ท่ีมีรายช่ือผ่านการคัดเลือกก็จะมีสิทธไิ ด้รับการบรรจุต่อไป
ส่วนผู้มีรายชื่อในบัญชีผู้ขาดคุณสมบัติซึ่งรวมท้ังผู้ฟ้องคดีด้วย
กจ็ ะไม่มีสิทธไิ ดร้ บั การบรรจเุ ปน็ นกั เรียนนายสบิ ตารวจ ประกาศที่พิพาท
จึงมีลักษณะเป็นการรวมคาส่ังทางปกครองหลาย ๆ คาสั่งไว้ด้วยกัน
ซ่งึ ผูถ้ ูกฟอ้ งคดมี อี านาจกระทาได้

เม่ื อ ผู้ ฟ้ อ งค ดี ไม่ ได้ อุ ท ธ ร ณ์ โต้ แ ย้ งป ร ะ ก า ศ ดั งก ล่ า ว ต่ อ
ผู้ถูกฟ้องคดีซ่ึงเป็นเจ้าหน้าท่ีผู้ออกประกาศที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี
จึงเปน็ กรณีทผี่ ู้ฟ้องคดีมไิ ดด้ าเนนิ การแก้ไขความเดือดรอ้ นหรอื เสียหาย
ตามท่ีกฎหมายกาหนดไว้ก่อนนาคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ผู้ฟ้องคดี
จึงยังไม่อาจใช้สิทธิฟ้องคดีน้ีตอ่ ศาลปกครองได้ ศาลปกครองจึงมีคาส่ัง
ไมร่ ับคาฟ้องไวพ้ จิ ารณา (คาสงั่ ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี คบ. ๗๖/๒๕๖๒)

คดีน้ีถือเป็นอุทาหรณ์ที่สาคัญ สาหรับผู้ที่จะฟ้องเพิกถอน
ประกาศผลการสอบเฉพาะรายของตนเอง ซ่ึงศาลได้วินิจฉัยแล้วว่า
ประกาศดังกล่าวเป็นคาส่ังทางปกครองเนื่องจากมีผลบังคับเป็นการ
เฉพาะราย โดยเป็นการรวมคาสงั่ ทางปกครองทม่ี ีผลบังคบั กับผ้สู อบได้
และสอบไม่ได้มาประกาศรวมกัน โดยมิได้แยกประกาศท่ีละคาสั่ง



เมื่อมีลักษณะเป็นคาส่ังทางปกครอง ก่อนฟ้องคดีจึงต้องยื่นอุทธรณ์
ตามขน้ั ตอนท่ีกฎหมายกาหนดไว้เสยี กอ่ น

ส่วนประกาศรับสมัครสอบนั้น เป็นกรณีที่ไม่อาจระบุตัว
ผู้รับคาส่ังได้ จึงมิได้มีลักษณะเป็นคาสั่งทางปกครอง หากแต่เป็น
คาสง่ั ทางปกครองทวั่ ไป ฉะนั้น ผทู้ ่ีจะฟอ้ งเพิกถอนประกาศรบั สมัครสอบ
จึงฟอ้ งได้โดยไมจ่ าต้องอทุ ธรณก์ ่อน



เร่ืองท่ี 2

ลงโทษ น.ศ. ทุจริตให้ตดิ F ... ต้องทาโดยผู้มีอานาจ !!!

คาพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ. 164/2562

ประเดน็ ขอ้ พพิ าท
คณะกรรมการบัณฑิตศึกษาลงโทษนักศึกษาที่ถูกกล่าวหาว่า
ทุจริตในการสอบโดยการปรับตกและให้ติด F ในวิชาน้ัน โดยไม่ได้
เสนอให้อธิการบดีและคณะกรรมการที่ปรึกษาของสภามหาวิทยาลัย
พิจารณา

สาระสาคญั
การทุจริตในการสอบถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ซ่ึงมีบทลงโทษเช่นเดียวกับการลงโทษนักศึกษาฐานกระทาผิดวินัย
อย่างร้ายแรงตามที่กาหนดไว้ในข้อบังคับมหาวิทยาลัย ว่าด้วยวินัย
นักศึกษา ท่ีกาหนดให้เป็นอานาจของอธิการบดีโดยความเห็นชอบของ
คณะกรรมการที่ปรึกษาของสภามหาวิทยาลัย การที่คณะกรรมการ
บัณฑิตศึกษาได้มีมติให้ผลการเรียนของนักศึกษาเป็น F โดยไม่ได้
เสนอให้อธิการบดีและคณะกรรมการที่ปรึกษาของสภามหาวิทยาลัย
พจิ ารณา จึงเป็นการออกคาสั่งโดยเจ้าหนา้ ทที่ ี่ไม่มีอานาจ อนั เปน็ ผล
ให้ประกาศผลสอบที่ให้ผลการเรียนของนักศึกษาเป็น F ไม่ชอบด้วย
กฎหมาย



ลงโทษ น.ศ. ทุจรติ ใหต้ ดิ F ... ตอ้ งทาโดยผู้มอี านาจ !!!

โดยท่ัวไปการลงโทษนิสิตนักศึกษาที่กระทาทุจริตในการสอบ
วิชาใด คือ การให้เกรด F หรือให้สอบตกในวิชาน้ัน แต่ในบางกรณี
ก็อาจเป็นการให้ตกทุกวิชาตามท่ีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการสอบ
กาหนดไว้ แต่อย่างไรก็ดี การประกาศให้นิสิตนักศึกษาคนใดสอบผ่าน
หรือสอบตกในรายวิชาใด มีลักษณะเป็นการใช้อานาจตามกฎหมาย
เก่ียวกับการจัดการศึกษา ในการออกคาส่ังท่ีมีผลกระทบต่อสถานภาพ
ของสิทธิหรือหน้าท่ีของนิสิตนักศึกษา ประกาศผลการสอบนั้น
จึงเป็นคาสั่งทางปกครอง ซึ่งต้องกระทาโดยเจ้าหน้าที่ผู้มีอานาจ
ในการออกคาสั่งน้นั

หากประกาศผลสอบน้ันไม่ได้กระทาโดยเจ้าหน้าท่ีผู้มีอานาจ
จะมีผลทางกฎหมายอย่างไร ?

อทุ าหรณจ์ ากคดีปกครองในเรอื่ งน้มี ีคาตอบ...
เรอื่ งมอี ยู่ว่า นางสาวจ๊ดี นักศึกษาปริญญาโท ของมหาวทิ ยาลัย
รามคาแหง ได้เข้าสอบแก้ผลการเรียน I (incomplete หมายถึง
ผลการเรียนยังไม่สมบูรณ์) ในวิชาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ ต่อมา
อาจารย์ผู้สอนและรับผิดชอบการออกข้อสอบได้ตรวจกระดาษคาตอบ
ของนักศึกษาพบว่า คาตอบของนางสาวจี๊ดมีรายละเอียดของคาตอบ
เหมือนกับคาตอบของนางสาวแจ๊ด เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในส่วนท่ี
เป็นการแก้ไขปัญหาของกรณีศึกษา เป็นเหตุให้สงสัยว่าบุคคลทั้งสอง
ลอกกระดาษคาตอบกัน จึงมีหนังสือรายงานเรื่องดังกล่าวต่อ
ผู้ อ า น วย ก าร บั ณ ฑิ ต ศึ ก ษ าค ณ ะ บ ริ ห าร ธุร กิ จ และคณบดี บั ณฑิ ต



วิทยาลัยตามลาดับ จากนั้น คณะกรรมการบัณฑิตศึกษาจึงมีมติให้
ผลการเรียนของบคุ คลทงั้ สองเปน็ F (สอบตก)

นางสาวจ๊ีดจึงมีหนังสืออุทธรณ์ผลการสอบดงั กล่าว โดยคณบดี
ได้เสนอให้อธิการบดีแต่งต้ังคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงในกรณีนี้
ต่อมา นางสาวจ๊ีดได้ทาหนังสือสอบถามผลการพิจารณาอุทธรณ์
ซ่ึงคณบดีได้มีหนังสือแจ้งว่ากรณีดังกล่าวอยู่ในระหวา่ งกระบวนการ
สอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนขอ้ เทจ็ จรงิ

นางสาวจี๊ดจึงย่ืนฟ้องต่อศาลปกครอง โดยขอให้เพิกถอน
ผลการสอบทีใ่ ห้ผลการเรียน F !!!

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า โดยทั่วไปแล้วการทุจริต
ในการสอบถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง แม้จะไม่มีปรากฏว่า
มีประกาศหรือข้อบังคับของมหาวิทยาลัยที่ได้กาหนดอย่างชัดแจ้ง
เอาไว้เช่นนั้น แต่เม่ือพิจารณาจากโทษทางวินัยท่ีกาหนดไว้ใน
ข้อ 24.8 วรรคสอง ของข้อบังคับมหาวิทยาลัยรามคาแหง ว่าด้วย
การศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ. 2552 และข้อ 2.9 ของประกาศ
มหาวิทยาลัยรามคาแหง เรื่อง ขอ้ ปฏบิ ัตเิ กยี่ วกบั การเรียน การสอน
และการสอบของนักศึกษาชั้นปริญญาโทส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
ลงวันที่ 27 มกราคม 2553 ท่ีกาหนดโทษในการทุจริตในการสอบ
ใหไ้ ด้รบั ผลการเรยี น F ในวิชาท่ีพบการทุจริต กับพกั การเรยี นไม่น้อยกวา่
2 ภาคการศึกษา อันเป็นบทลงโทษเช่นเดียวกับการลงโทษนักศึกษา
ฐานกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามที่กาหนดไว้ในข้อ 9 วรรคสอง
ของข้อบังคับมหาวิทยาลัยรามคาแหง ว่าด้วยวินัยนักศึกษา พ.ศ.
2522 ที่กาหนดให้เป็นอานาจของอธิการบดีโดยความเห็นชอบ
ของคณะกรรมการที่ปรกึ ษาของสภามหาวิทยาลัย



ดงั น้ัน การที่คณะกรรมการบัณฑิตศึกษาได้มีมตใิ ห้ผลการเรียน
ของนางสาวจ๊ีดเป็น F โดยไม่ได้เสนอให้อธิการบดีและคณะกรรมการ
ที่ปรึกษาของสภามหาวิทยาลัยพิจารณา ตามข้อ 9 วรรคสอง ของ
ข้อบังคับดังกล่าว จึงเป็นการออกคาสั่งโดยเจ้าหน้าที่ท่ีไม่มีอานาจ
อันเป็นผลให้ประกาศผลสอบท่ีให้ผลการเรียนของนางสาวจ๊ีดเป็น F
ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย !

นอกจากน้ี ยงั มปี ระเดน็ ตอ่ มาวา่ นางสาวจด๊ี มพี ฤติการณท์ ุจริต
ในการสอบตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดท่านก็หยิบยก
ขึ้นมาพิจารณาว่า ... การสอบพิพาทมีขึ้นเพื่อแก้ผลการเรียน I ซ่ึงใช้คาถาม
ชุดเดิม จากท่ีเคยจัดสอบมาแล้ว โดยนักศึกษาที่จะเข้าทาการสอบ
พิพาทนี้ รวมถึงนางสาวจี๊ดและนางสาวแจ๊ด ต่างก็ได้มีการจัดเตรยี ม
คาตอบเพ่อื ทอ่ งจาหรือเชญิ รนุ่ พมี่ าช่วยสอนพเิ ศษก่อนสอบ จึงเป็นไปได้
ท่ีคาตอบอาจคล้ายคลึงกัน และเมื่อพิจารณากระดาษคาตอบของ
บุคคลท้ังสองพบว่า นางสาวจี๊ดและนางสาวแจ๊ดต่างเขียนคาตอบ
คนละ 5 หน้า หากคนใดคนหน่งึ จะลอกคาตอบจากกระดาษคาตอบ
ของอีกคนหนึ่งได้ บุคคลที่ให้ลอกจะต้องเขียนกระดาษคาตอบครบ
ทุกหน้าแลว้ อีกคนหน่งึ จงึ จะลอกได้ แตใ่ นการจดั ท่นี ั่งสอบบุคคลทั้งสอง
ไม่ได้อย่ใู กล้ชดิ กัน โดยสภาพจึงไม่สามารถลอกคาตอบกนั ได้

อีกท้ัง ในชั้นการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง
และคณะกรรมการที่ปรึกษาของสภามหาวิทยาลัยมีความเห็นไป
ในทานองเดียวกันว่านางสาวจี๊ดไม่ได้ทุจริตในการสอบตามที่ถูกกล่าวหา
และต้องการเยียวยาความเสียหายดังกล่าว จึงมีมติให้ดาเนินการ
ตรวจข้อสอบของนางสาวจี๊ดใหม่ จึงเห็นว่า นางสาวจ๊ีดมิได้มีพฤติการณ์
ทุจริตในการสอบทีจ่ ะเป็นการผิดวนิ ยั นกั ศึกษาอย่างร้ายแรง



จึงพิพากษาให้เพกิ ถอนประกาศผลการสอบในส่วนท่ีให้นางสาวจ๊ีด
ได้ผลการเรียน F (คาพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.164/2562)

อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ในการใช้อานาจทางปกครอง
เพื่อกระทาการใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คาสั่งทางปกครอง
หรือการกระทาอ่ืน ผู้กระทาจะต้องเป็นผู้มีอานาจตามกฎหมายเท่าน้ัน
ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้มีอานาจตามกฎหมายโดยตรงหรือเป็นผู้ท่ี
ได้รับมอบอานาจให้กระทาการแทน หาไม่แล้ว การใช้อานาจทาง
ปกครองเหล่าน้ัน ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย และต้องสิ้นผลไปโดยถือ
ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อีกท้ัง หากประเด็นปัญหาน้ีไปปรากฏในชั้น
ศาลแม้จะไม่มีคู่กรณีฝา่ ยใดโต้แยง้ คัดค้าน แต่ศาลก็สามารถหยิบยกขึ้น
วนิ ิจฉัยได้เพราะถือว่าเป็น “ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบ
เรียบร้อยของประชาชน”

๑๐

เรือ่ งท่ี 3

สถานะของ “หนังสือแจง้ เตอื นใหร้ อ้ื ถอนอาคาร”

คาสงั่ ศาลปกครองสูงสุดที่ ๘๘/๒๕๖๒

ประเดน็ ขอ้ พพิ าท
เจ้าของอาคารซึ่งได้รับอนุญาตจากนายกเทศมนตรีให้ก่อสร้าง
อาคารแล้ว แต่ตอ่ มาเจ้าพนักงานท้องถ่ินพบว่ามีการสรา้ งอาคารโดย
มิได้เว้นระยะห่างตามท่ีกฎหมายกาหนด นายกเทศมนตรีจึงมีคาสั่ง
ให้รื้อถอนอาคารบางส่วน เจ้าของอาคารไม่เห็นด้วยจึงฟอ้ งขอให้เพิกถอน
คาสั่งให้รื้อถอนดังกล่าว ต่อมาเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีหนังสือแจ้งเตือน
ให้เจ้าของอาคารดาเนินการร้ือถอนอาคารตามคาสั่ง เจ้าของอาคาร
จงึ ฟ้องขอใหเ้ พกิ ถอนหนงั สอื แจ้งเตอื นอีก

สาระสาคญั
หนังสือแจ้งเตือนให้รื้อถอนอาคารตามคาส่ังให้ร้ือถอนของ
เจ้าพนักงานท้องถ่ิน เป็นเพียงหนังสือแจ้งเตือนว่าเจ้าของอาคาร
กระทาการฝ่าฝืนบทบัญญัตแิ หง่ กฎหมาย และเตือนให้ดาเนินการรื้อถอน
อาคารตามคาส่ังภายในเวลาที่กาหนดไว้เท่าน้ัน หนังสือแจ้งเตือน
ดังกล่าวมิได้มีสถานะเป็นคาส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่ง
พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เจ้าของ
อาคารจึงไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อน
หรือเสียหายจากหนังสือแจ้งเตือนท่ีจะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครอง
และวิธพี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

๑๑

สถานะของ “หนงั สือแจง้ เตอื นให้รื้อถอนอาคาร”

ในการ “ก่อสร้างอาคาร” รวมถึงการตอ่ เตมิ ปรบั ปรุง ดัดแปลง
หรือแก้ไขอาคาร จะต้องดาเนินการตามหลักเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ใน
พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม
รวมถึงกฎกระทรวง หรือขอ้ บัญญัติทอ้ งถิ่นท่ีออกตามพระราชบัญญัติน้ี
หรือกฎหมายอื่นท่ีเก่ียวข้อง โดยจะต้องดาเนินการตามข้ันตอน
และได้รับอนุญาตจากผู้มีอานาจหน้าท่ีตามพระราชบัญญัตินี้ น้ันคือ
เจ้าพนักงานท้องถ่ิน ทั้งน้ี เพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัยรวมถึง
ผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนเพื่อประโยชน์ด้านการจราจร การสาธารณสุข
ส่ิงแวดล้อม หรือในเวลาเกิดอัคคีภยั เป็นต้น

สาหรับในเขตเทศบาล นายกเทศมนตรีถือเป็นผู้มีอานาจ
ออกใบอนุญาตให้ก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคล่ือนย้ายอาคาร หรือรับแจ้ง
การดาเนินการดังกล่าว รวมถึงกรณีท่ีมีการก่อสร้าง ดัดแปลง ร้ือถอน
หรือเคล่ือนย้ายอาคารโดยฝ่าฝนื กฎหมาย นายกเทศมนตรีก็มีอานาจ
สั่งให้ระงบั และแกไ้ ข หากเป็นกรณีท่ีแก้ไขไมไ่ ด้ ก็มีอานาจออกคาส่ัง
ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ดาเนินการ
รื้อถอนอาคารนั้นท้ังหมดหรือบางส่วนได้ภายในระยะเวลาท่ีกาหนด
แต่ต้องไม่นอ้ ยกว่า ๓๐ วัน

มีประเด็นน่าสนใจว่า... หากเจ้าของอาคารซึ่งได้รับอนุญาต
จากนายกเทศมนตรีให้ก่อสร้างอาคารแล้ว แต่ต่อมาเจ้าพนักงานท้องถ่ิน
พบว่ามีการสร้างอาคารโดยมิได้เว้นระยะห่างตามที่กฎหมายกาหนด
นายกเทศมนตรีจึงมีคาส่ังให้รื้อถอนอาคารบางส่วน เจ้าของอาคาร

๑๒

ไม่เห็นดว้ ย จึงฟ้องขอให้เพกิ ถอนคาสง่ั ใหร้ อื้ ถอนดงั กลา่ วต่อศาลปกครอง
แต่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครอง นายกเทศมนตรีก็ได้
ส่งหนงั สอื แจง้ ให้ดาเนนิ การตามคาสง่ั ดงั กล่าวมาอกี !!

เช่นนี้… เจ้าของอาคารจะทาอย่างไร จะสามารถฟ้องเพิกถอน
หนงั สอื แจ้งเตอื นดังกล่าวตอ่ ศาลปกครองได้อกี หรือไม่ ?

เร่ืองมีอยู่ว่า... เดิมทีผู้ฟ้องคดไี ด้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคาร
เพ่ิมเติม แต่ต่อมานายกเทศมนตรีพบว่าส่วนที่ก่อสร้างติดกับ
ทางหลวงแผ่นดินไม่ได้เว้นระยะห่างจากแนวรั้วตามท่ีกฎหมายกาหนด
คือ ต้องเว้นระยะห่างไม่น้อยกว่า ๑๐ เมตร จึงออกคาสั่งลงวันที่
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ให้ผู้ฟ้องคดีรื้อถอนอาคารส่วนท่ีติดกับ
ทางหลวงแผ่นดินออก ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วย จึงมีหนังสืออุทธรณ์
คาสั่งให้ร้ือถอนอาคาร แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ยกอุทธรณ์
ผู้ฟอ้ งคดีจึงนาคดีมาฟ้องตอ่ ศาลปกครอง ขอให้เพิกถอนคาส่ังให้ร้ือถอน
อาคารและคาวินิจฉยั อุทธรณด์ งั กล่าว

ระหว่างท่ีคดีดังกล่าวอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครอง
ต่อมา นายกเทศมนตรีได้มีหนังสือ ลงวันท่ี ๕ มิถุนายน ๒๕๖๐
แจ้งให้เจ้าของอาคารคือผู้ฟ้องคดีร้ือถอนอาคารตามคาสั่งลงวันที่
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ภายใน ๔๕ วัน นับแต่วันทไี่ ด้รับทราบหนงั สือ
ดังกล่าว หากไม่ปฏิบัติตามจะดาเนินการตามกฎหมายที่เก่ียวข้อง
อย่างเคร่งครัดต่อไป ผู้ฟ้องคดีจึงนาคดีมาฟ้องขอให้ศาลปกครอง
ขอให้เพิกถอนหนงั สือแจง้ ใหร้ อ้ื ถอนอาคาร ฉบับลงวันท่ี ๕ มถิ นุ ายน
๒๕๖๐ ดงั กลา่ ว เปน็ คดีพิพาทนี้

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า หนังสือแจ้งเตือนฉบบั ลงวันที่
๕ มิถุนายน ๒๕๖๐ ท่ีแจง้ ให้ผ้ฟู ้องคดีร้อื ถอนอาคารตามคาส่งั ให้รอื้ ถอน
ฉบับลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ น้ัน เป็นเพียงหนังสือแจ้งเตือน

๑๓

ว่าผู้ฟ้องคดีกระทาการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และเตือนให้
ผู้ฟ้องคดีดาเนินการร้ือถอนอาคารตามคาส่ังลงวันท่ี ๒๖ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ ภายในเวลาที่กาหนดไว้เท่านนั้

หนังสือแจ้งเตือนดังกล่าวมิได้มีสถานะเป็นคาส่ังทางปกครอง
ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ และการแจ้งเตือนเป็นการดาเนินการไปตามอานาจหน้าท่ี
ของนายกเทศมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคด)ี ผู้ฟอ้ งคดจี ึงไม่ใช่ผู้ได้รับความเดอื ดร้อน
หรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายจากหนังสือแจ้งเตือน
ท่ีจะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงมีคาสั่งไม่รบั คาฟอ้ งไวพ้ ิจารณา (คาสั่งศาลปกครองสงู สุด
ที่ ๘๘/๒๕๖๒)

โดยสรุปก็คือ หนังสือแจ้งเตือนในกรณีดังกล่าว เป็นเพียง
การแจ้งให้เจา้ ของอาคารดาเนินการรื้อถอนอาคารตามคาส่งั ใหร้ อ้ื ถอน
อาคารของเจ้าพนักงานท้องถิน่ ฉบับแรก ซ่ึงคาส่ังให้รื้อถอนฉบบั แรก
มีลักษณะเป็นคาส่ังทางปกครองท่ีมีผลบังคับให้เจ้าของอาคารต้อง
ปฏิบัติตาม ซึ่งเจ้าของอาคารได้ฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอน
คาส่ังให้รื้อถอนอาคารดังกล่าวไปแล้ว ส่วนหนังสือแจง้ เตือนที่พิพาท
ในคดีน้ี เป็นเพียงการดาเนินการแจ้งเตือนตามอานาจหน้าท่ีของ
เจ้าพนักงานท้องถิ่นโดยไม่มีผลเปน็ การบังคับแตอ่ ย่างใด จึงไม่กระทบสิทธิ
ของเจ้าของอาคาร กรณีจึงไม่อาจนาคดมี าฟอ้ งตอ่ ศาลปกครองเพ่ือขอให้
เพกิ ถอนหนงั สอื แจ้งเตือนดงั กลา่ วได้

๑๔

เรอื่ งที่ ๔

หน่วยงานของรฐั เรยี กเงนิ เกินสทิ ธิคนื ...
ไม่เหน็ ดว้ ย ฟ้องศาลปกครอง (ไม)่ ได้ ?

คาสั่งศาลปกครองสูงสดุ ที่ ๓๗๕/๒๕๕๙

ประเดน็ ขอ้ พพิ าท
กรมบัญชีกลางมีหนังสือแจ้งให้มณฑลทหารบกที่ ๒๔ เรียกเงิน
เบ้ียหวัด เงนิ บานาญ เงนิ บาเหน็จดารงชพี และเงนิ ช.ค.บ. คนื จากผฟู้ อ้ งคดี
และมณฑลทหารบกท่ี ๒๔ แจง้ ให้นายก อบต. (ผู้บังคบั บญั ชาคนปัจจุบัน)
แจ้งผู้ฟอ้ งคดีนาเงนิ ที่ได้รับเกนิ สทิ ธคิ นื คลัง

สาระสาคญั
หนั งสื อของกรมบั ญชี กลางที่ แจ้ งให้ หน่ วยงานผู้ เบิ กจ่ ายเงิ น
เรียกเงินเบี้ยหวัด เงินบานาญ เงินบาเหน็จดารงชีพและเงิน ช.ค.บ.
คืนจากผู้รับเงินไปเกินสิทธิ เป็นการดาเนินงานภายในฝ่ายปกครองท่ียัง
ไม่มีผลกระทบต่อสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ที่ได้รับเงินโดยตรง ส่วนหนังสือ
ของหน่วยงานผู้เบิกจ่ายเงินท่ีแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาแจ้งให้ผู้ได้รับเงิน
นาเงินที่ได้รับเกินสิทธิคืนคลัง ไม่ใช่การใช้อานาจตามบทบัญญัติ
แห่งกฎหมายใดในการเรียกคืนเงิน หนังสือพิพาทจึงไม่ใช่การใช้อานาจ
ตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคาสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ปี ฏบิ ตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่เปน็
การใช้สิทธิเรียกเงินคืนจากผู้ท่ีได้รับเงินไปเกินสิทธิ อันมีลักษณะเป็น
ลาภมิควรได้ตามมาตรา ๔๐๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และเป็นเพียงหนังสือทวงถามให้ชาระเงินเกินสิทธิคืนคลังเท่านั้น
ผู้ถูกเรียกคืนเงินดังกล่าวจึงมิใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองตาม
มาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธี
พจิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

๑๕

หน่วยงานของรฐั เรยี กเงินเกินสทิ ธิคนื ...
ไมเ่ หน็ ด้วย ฟอ้ งศาลปกครอง (ไม่) ได้ ?

ในการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ผู้มีสิทธิฟ้องคดีจะต้องเป็น
ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหาย
โดยมิอาจหลีกเลย่ี งไดจ้ ากการกระทาหรอื งดเว้นการกระทาของหนว่ ยงาน
ทางปกครองหรอื เจ้าหน้าทขี่ องรฐั

การทห่ี น่วยงานของรฐั มีคาสง่ั เรียกใหข้ ้าราชการคนื เงนิ เบ้ยี หวัด
และเงนิ ช่วยค่าครองชีพผู้รับบานาญ (ช.ค.บ.) ซ่ึงข้าราชการได้รับไป
โดยไม่มีสิทธิ ถือเป็นการกระทาที่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ข้าราชการท่ีจะ
สามารถนามาฟ้องต่อศาลปกครองเพ่ือขอให้ศาลเพิกถอนคาส่ังน้ันได้
หรือไม่ ?

คดีปกครองที่นามาเล่าสู่กันฟังน้ี มูลคดีเกิดจากการที่
กรมบญั ชกี ลางมหี นังสือแจ้งให้มณฑลทหารบกที่ ๒๔ เรยี กเงินเบ้ยี หวัด
และเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบานาญ (ช.ค.บ.) คืนจากผู้ฟ้องคดี
ซ่ึงเป็นข้าราชการผู้รับเงินท่ีไม่มีสิทธิตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม
ว่าด้วยเงินเบี้ยหวัด พ.ศ. ๒๔๙๕ หมวด ๔ ข้อ ๘ (๓) ท่ีกาหนดให้
งดเบี้ยหวัดในกรณีทหารซึ่งได้รับเบ้ียหวัดอยู่แล้วได้เข้ารับราชการ
ในตาแหน่งซึ่งมีสิทธิจะได้รับบาเหน็จบานาญตามกฎหมายว่าด้วย
บาเหน็จบานาญข้าราชการ เน่ืองจากผู้ฟ้องคดีได้ลาออกจากราชการทหาร
และไปบรรจุเข้ารับราชการเป็นพนักงานส่วนตาบลแล้ว มณฑลทหารบก
ท่ี ๒๔ จึงได้มีหนังสือแจ้งให้นายก อบต. แจ้งผู้ฟ้องคดีให้นาเงินท่ี
ได้รับไปเกินสิทธิคืนคลัง ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการงดจ่ายเงินและมีคาสั่ง
เรียกเงินเกินสิทธิคืนดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายและได้ใช้จ่ายเงิน

๑๖

ทั้งหมดแล้ว จึงฟ้องต่อศาลปกครองขอให้ศาลเพิกถอนคาสั่งของ
มณฑลทหารบกท่ี ๒๔ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑) และกรมบัญชีกลาง
(ผถู้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒)

ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายที่มีสิทธิ
ฟอ้ งคดนี ีต้ ่อศาลปกครองหรือไม่ ?

ศาลปกครองสูงสุดโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า การท่ี
กรมบัญชกี ลางมหี นังสอื แจง้ ให้มณฑลทหารบกท่ี ๒๔ เรยี กเงนิ เบย้ี หวดั
เงินบานาญ เงินบาเหน็จดารงชีพและเงิน ช.ค.บ. คืนจากผู้ฟ้องคดี
เป็นการดาเนินงานภายในฝ่ายปกครองที่ยังไม่มีผลกระทบต่อสิทธิ
หรือหน้าท่ีผู้ฟ้องคดีโดยตรง ส่วนหนังสือของมณฑลทหารบกท่ี ๒๔
ท่ีแจ้งให้นายก อบต. แจ้งผู้ฟ้องคดีนาเงินท่ีได้รับเกินสิทธิคืนคลัง
ไม่ใช่การใช้อานาจตามบทบญั ญัตแิ ห่งกฎหมายใดในการเรียกคืนเงนิ
หนังสือพิพาทจึงไม่ใช่การใช้อานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ออกคาส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติ
ราชการทางปกครองพ.ศ. ๒๕๓๙ แต่เป็นการใช้สิทธิเรียกเงินที่
ผู้ฟ้องคดีได้รับเกินสิทธิอันมีลักษณะเป็นลาภมิควรได้ตามมาตรา ๔๐๖
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเป็นเพียงหนังสือทวงถาม
ให้ชาระเงนิ และเป็นการบอกกล่าวทวงถามให้ผู้ฟ้องคดตี ิดต่อเจ้าหน้าท่ี
ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เพ่ือนาส่งเงินเกินสิทธิคืนคลังโดยด่วนเท่าน้ัน
ซึ่งหากผู้ฟ้องคดีเห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีไม่มีสิทธิเรียกเงินเกินสิทธิคืน
ก็ชอบที่จะปฏิเสธไม่คืนเงินให้ตามที่ถูกทวงถามโดยไม่จาต้องนาคดี
มาฟ้องศาลปกครองเพื่อขอให้เพิกถอนการกระทาดังกล่าว เป็นเรื่องที่
ผู้ถูกฟ้องคดีต้องใช้สิทธเิ รียกร้องเงินเกินสิทธิโดยการฟ้องคดีต่อศาล
ทม่ี ีเขตอานาจเพ่ือให้ผ้ฟู ้องคดีคืนเงินเกินสิทธิต่อไป

๑๗

ดังน้ัน ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง
และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ (คาส่ังศาลปกครองสูงสุด
ที่ ๓๗๕/๒๕๕๙)

คดีน้ีเป็นตัวอย่างท่ีดีเก่ียวกับสิทธิในการฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
โดยผู้มีสิทธิฟ้องคดีจะต้องได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายจาก
การใชอ้ านาจของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรฐั โดยเฉพาะ
การใช้อานาจในการออกคาสั่งนั้น จะต้องเป็นคาสั่งท่ีเป็นการใชอ้ านาจ
ทีม่ ผี ลกระทบตอ่ สทิ ธิหรือหน้าทข่ี องผู้นั้นโดยตรง

๑๘

เรอื่ งท่ี 5

คาสัง่ ของผบู้ ังคับบัญชา “เกยี่ วกบั การปฏิบัตงิ านทั่วไป”
ฟอ้ งคดีต่อศาลปกครองได้หรือไม่ ?

คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ. ๘02/๒๕๖๑

ประเดน็ ขอ้ พพิ าท
นายกองค์การบริหารส่วนตาบลมีคาส่ังห้ามเจา้ หน้าท่ีซ่งึ ถูกดาเนิน
คดีอาญา ข้อหาปลอมแปลงลายมือช่ือและทาลายเอกสารราชการ
เข้าห้องส่วนการคลังและห้องส่วนโยธา เน่ืองจากองค์การบริหารส่วนตาบล
ตรวจสอบพบการปลอมแปลงลายมือช่อื และการแก้ไขเปลี่ยนแปลงฎกี า
ที่เก่ยี วข้องกบั การเงินในส่วนการคลงั หลายฉบบั

สาระสาคัญ
คาสั่งของนายกองค์การบริหารส่วนตาบลท่ีสั่งห้ามเจ้าหน้าที่
เข้าห้องส่วนการคลังและห้องส่วนโยธา มีลักษณะเป็นการสั่งการ
เก่ียวกับการให้ปฏิบัติงานในหน้าที่ราชการทั่วไป เพ่ือป้องกันเจ้าหน้าที่
มิให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานต่าง ๆ อันถือเป็นมาตรการภายใน
ของฝ่ายปกครองในการสั่งให้เจ้าหน้าท่ีปฏิบัติงานในหน้าที่ราชการ
เจ้าหน้าที่ที่ถกู ห้ามยังคงปฏบิ ัตงิ านในองค์การบริหารส่วนตาบล มีตาแหน่ง
เงินเดือน และสิทธิประโยชน์สวัสดิการอ่ืน ๆ ตามกฎหมายเช่นเดิม
จึงมใิ ช่คาสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง่ พระราชบญั ญตั วิ ธิ ีปฏบิ ัติ
ราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และมิใช่เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อน
หรือเสียหายหรืออาจจะเดอื ดรอ้ นหรอื เสียหายจากคาสงั่ พิพาททีจ่ ะมสี ิทธิ
ฟอ้ งคดตี อ่ ศาลปกครอง

๑๙

คาสั่งของผบู้ งั คบั บัญชา “เกยี่ วกับการปฏิบตั งิ านทว่ั ไป”
ฟอ้ งคดตี ่อศาลปกครองได้หรือไม่ ?

การฟอ้ งคดีต่อศาลปกครอง ผู้มีสิทธฟิ ้องคดีตอ้ งเป็นผู้ได้รับ
ความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหาย
โดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ อันเน่ืองมาจากการกระทาหรือการงดเว้นการกระทา
ของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๔๒
หรือกรณีอื่น ๆ ท่ีอยู่ในเขตอานาจของศาลปกครองตามมาตรา ๙
และการบรรเทาความเดือดร้อนหรือเสียหายตอ้ งมีคาบังคับของศาล
ตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธี
พจิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

ในการปฏิบัติราชการ การใช้อานาจระหว่างผู้บังคับบัญชา
กั บ ผู้ ใต้ บั งคั บ บั ญ ช า อ า จ เป็ น ได้ ทั้ งก า ร ใช้ อ า น า จ อ อ ก ค า ส่ั ง ท่ี มี
ผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชา
เช่น คาสั่งลงโทษทางวินัย คาสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ
การใช้อานาจออกคาสั่งเพ่ือให้การปฏิบัติราชการทั่วไปเป็นไป
อย่างมีประสทิ ธิภาพและสาเรจ็ ประโยชน์ของราชการ

การท่ีผู้บังคับบัญชาออกคาสั่ง “เกี่ยวกับการปฏิบัติงานท่ัวไป”
หากเจ้าหน้าท่ีที่ได้รับคาส่ังไม่พอใจจะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
หรอื ไม่ ?

เช่น นายกองค์การบริหารส่วนตาบลในฐานะผู้บังคับบัญชา
มีคาสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าห้องส่วนการคลัง
และห้องส่วนโยธา เนื่องจากองค์การบริหารส่วนตาบลตรวจสอบพบ
การปลอมแปลงลายมือชื่อและการแก้ไขเปล่ียนแปลงฎีกาที่เก่ียวข้อง

๒๐

กับการเงินในส่วนการคลังหลายฉบับ และได้ดาเนินคดีอาญากับเจ้าหน้าท่ี
ดงั กล่าว ขอ้ หาปลอมแปลงลายมือช่ือและทาลายเอกสารราชการ

หากเจ้าหน้าที่ท่ีถูกห้ามเห็นว่าคาสั่งห้ามเข้าห้องส่วนการคลัง
และห้องส่วนโยธาเป็นการจากัดสิทธิและเสรีภาพในการปฏิบัติงาน
จะนาคดีมาฟอ้ งขอให้ศาลปกครองมีคาพพิ ากษาเพิกถอนคาสงั่ ได้หรอื ไม่

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า คาส่ังของนายกองค์การ
บรหิ ารส่วนตาบลมีลักษณะเป็นการสั่งการเกี่ยวกับการให้ปฏิบตั ิงาน
ในหน้าที่ราชการท่ัวไป เพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่มิให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ
เอกสารหลักฐานต่าง ๆ อันถอื เป็นมาตรการภายในของฝ่ายปกครอง
ในการส่ังให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในหน้าที่ราชการ อันเป็นเรื่องของ
การบังคับบญั ชาเพ่ือบริหารงานภายในองค์กรมิให้เกิดความเสียหาย
แก่ราชการ เจ้าหน้าที่ที่ถูกห้ามยังคงปฏิบัติงานในองค์การบริหาร
ส่วนตาบล มีตาแหน่ง เงินเดือน และสิทธิประโยชน์สวัสดิการอ่ืน ๆ
ตามกฎหมายเช่นเดมิ

คาส่ังจึงไม่ได้มีผลกระทบต่อสถานภาพสทิ ธิหน้าที่ตามกฎหมาย
ไม่ใช่คาส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธปี ฏิบัติ
ราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และเม่ือเป็นคาส่ังในเรื่องการบริหารงาน
ภายในองค์กรของนายกองค์การบริหารส่วนตาบลในฐานะผู้ใช้อานาจ
บงั คับบัญชากับผู้ใต้บังคับบญั ชาท่ีมีหน้าที่ต้องปฏบิ ัติตาม จึงไม่อาจถือว่า
เจ้าหน้าท่ีที่ถูกห้ามเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะ
เดอื ดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ อนั เนื่องจากคาส่ังดังกล่าว

จึงไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามมาตรา 42 วรรคหน่ึง
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. 2542 (คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๘02/๒๕๖๑)

๒๑

ด้วยเหตุน้ี การใช้อานาจของผู้บังคับบัญชาที่มีลักษณะเป็น
การสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานในหน้าที่ราชการท่ัวไป
เพื่อบริหารงานภายในองค์กรมิให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ
ถือเป็นมาตรการภายในของฝ่ายปกครองในการส่ังให้เจ้าหน้าท่ี
ปฏิบัติงานในหน้าท่ีราชการเป็นเร่ืองของการบังคับบัญชา ซ่ึงเจ้าหน้าท่ี
ผู้ได้รับคาส่ังมีหน้าท่ีต้องปฏิบัติตาม และไม่ถือว่าเป็นผู้ได้รับ
ความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหาย
โดยมิอาจหลกี เลย่ี งได้ อันจะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองขอให้ศาล
มีคาพิพากษาหรอื คาส่ัง ให้เพิกถอนมาตรการภายในฝา่ ยปกครอง

๒๒

เรือ่ งที่ 6

“เหต”ุ แค่ไหน – อยา่ งไร ? ถอื ว่า มสี ภาพรา้ ยแรง
อนั อาจทาให้การพจิ ารณาทางปกครอง “ไมเ่ ปน็ กลาง” !!

คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๗๙๕/๒๕๕๕ , ที่ อ. ๔/๒๕๕๙ ,
ที่ อ. ๑๒๑/๒๕๕๔ และ ที่ อ. ๑๔๖/๒๕๕๔

ประเดน็ ข้อพพิ าท

การพิจารณาทางปกครองของเจ้าหน้าท่ีซ่ึงมีสภาพร้ายแรง
อันอาจทาให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางตามมาตรา ๑๖
แหง่ พระราชบัญญตั วิ ธิ ปี ฏิบตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙

สาระสาคัญ
กรณีผู้เป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง
และเปน็ อ.ก.พ. กรม ซ่ึงมีอานาจหน้าที่ในการพิจารณาผลการสอบสวน
ทางวนิ ัย ไดเ้ ขา้ ร่วมประชมุ ในฐานะเปน็ อ.ก.พ. กรม ดว้ ย ถอื ว่ามีสภาพรา้ ยแรง
อนั อาจทาให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง
กรณีผู้เป็นประธานกรรมการสอบสวนทางวินัยและเป็นอนุกรรมการ
พิจารณาดาเนินการทางวินัยและการให้ออกจากราชการ และเป็น
อนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และร้องทุกข์ ถือว่ามีเหตุซึ่งมีสภาพร้ายแรง
อันเป็นเหตุให้เคลือบแคลงสงสัยในความเป็นกลางในการพิจารณา
ทางปกครอง
คู่กรณีมีปัญหาความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในเร่ืองส่วนตัวและหน้าท่ี
ราชการ จนถึงขั้นร้องทุกข์กล่าวโทษซึ่งกันและกันต่อพนักงานสอบสวน
ถือได้ว่ามีสภาพร้ายแรงท่ีอาจทาให้การดาเนินการทางวินัยอันเป็นการ
พิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางโดยสภาพภายใน เจ้าหน้าที่จึงไม่อาจ
ทาการพิจารณาทางปกครองในเรอ่ื งดงั กลา่ วได้

๒๓

“เหต”ุ แคไ่ หน – อย่างไร ? ถือว่า มสี ภาพร้ายแรง
อันอาจทาใหก้ ารพิจารณาทางปกครอง “ไม่เปน็ กลาง” !!

อุทาหรณ์จากคดีปกครองเรื่องนี้ จะทาความเขา้ ใจและสร้างเสริม
ความรู้กับบทกฎหมายท่ีบัญญัติขึ้นมาเพ่ือคุ้มครองสิทธิของ “คู่กรณี”
ในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง เฉพาะกรณีการได้รับการพิจารณา
ทางปกครองจากเจ้าหน้าท่ีที่มีความเป็นกลางตามมาตรา ๑๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
หรือในทางกฎหมายปกครองเรียกว่า “หลักความเป็นกลาง”
โด ย ห ลั ก ก ฎ ห ม า ย นี้ จ ะ บั งคั บ ให้ เจ้ า ห น้ า ท่ี ที่ มี อ าน า จ พิ จ า ร ณ า
ทางปกครอง ซึ่งหมายถึงเฉพาะผู้ท่ีมีอานาจพิจารณาเน้ือหาสาระ
ห ลั ก ข อ ง เร่ื อ ง ที่ จ ะ น า ไ ป สู่ ก า ร อ อ ก ค า ส่ั ง ท า ง ป ก ค ร อ ง เท่ า น้ั น
(มิใช่เจ้าหน้าท่ีทุกคน) ต้องปฏิบัติหน้าท่ีโดยปราศจากอคติ ลาเอียง
หรือมีเหตุท่ีทาให้เคลือบแคลงสงสัยในการใช้อานาจท่ีไม่เป็นธรรม
ในกระบวนการพิจารณาทางปกครองและกระบวนการพิจารณาทางปกครอง
ดังกล่าวน้ี ถือเป็นรูปแบบ ขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสาคัญ
ท่ีกฎหมายกาหนดไว้สาหรับการพิจารณาทางปกครอง ซึ่งหาก
การพิจารณาทางปกครองขัดต่อหลักความเปน็ กลางย่อมเป็นการดาเนินการ
ไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ข้ันตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสาคัญอันมีผล
ทาใหค้ าส่ังทางปกครองทีฝ่ ่ายปกครองใชอ้ านาจเพ่อื บงั คบั ตอ่ คกู่ รณนี ั้น
ไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยศาลปกครองมีอานาจตรวจสอบความชอบ
ดว้ ยกฎหมายได้ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) แห่งพระราชบญั ญัติจัดต้ัง
ศาลปกครองและวิธีพจิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒

๒๔

อย่างไรก็ตาม สาหรับ “หลักความเป็นกลาง” ที่บัญญัติไว้
ตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือ เป็นความไม่เป็นกลาง “ในทางเน้ือหาหรือโดยสภาพ
ภายใน” (ตา่ งกบั หลกั ความเปน็ กลางตามมาตรา ๑๓ แหง่ พระราชบัญญัติ
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ท่ีถือว่าเป็นความไม่เป็นกลาง
โดย “สภาพภายนอก”) อาจเกิดปัญหาในการปฏิบัติราชการมิใช่น้อยว่า
เหตุแค่ไหน-อย่างไร? ถือว่าเจ้าหน้าที่ไม่อาจทาการพิจารณาทางปกครองได้
เพราะมสี ภาพรา้ ยแรงอันอาจทาให้การพิจารณาทางปกครองไมเ่ ป็นกลาง
เน่ืองจากมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติว่า “ในกรณีมีเหตุอ่ืนใดนอกจากท่ีบัญญัติไว้
ในมาตรา ๑๓ เก่ียวกับเจ้าหน้าท่ีหรือกรรมการในคณะกรรมการ
ที่มีอานาจพิจารณาทางปกครองซ่ึงมีสภาพร้ายแรงอันอาจทาให้
การพจิ ารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง เจ้าหน้าท่ีหรือกรรมการผู้น้ัน
จะทาการพิจารณาทางปกครองในเรื่องน้ันไม่ได้” โดยมิได้ให้
คาจากัดความของคาว่า “สภาพร้ายแรงอันอาจทาให้การพิจารณา
ทางปกครองไม่เป็นกลาง” ไวแ้ ตอ่ ยา่ งใด

ด้วยเหตนุ ้ี จึงถือเปน็ เรอื่ งสาคญั ทีห่ น่วยงานของรฐั (ฝา่ ยปกครอง)
หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ หรือ แม้กระท่ังคู่กรณี (หมายความวา่ ผู้ยื่นคาขอ
หรือผู้คดั ค้านคาขอ ผู้อยู่ในบังคับหรอื จะอย่ใู นบงั คับของคาส่งั ทางปกครอง
และผู้ซ่ึงได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณาทางปกครองเน่ืองจากสิทธิของ
ผู้นั้นจะถูกกระทบกระเทือนจากผลของคาส่ังทางปกครอง) จะต้อง
ศึกษาทาความเข้าใจแนวคาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดเพื่อเป็น
บรรทัดฐานในการปฏิบัติราชการที่ดีซ่ึงจะทาให้การบริหารราชการ
อันเป็นบริการสาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและคู่กรณีได้รับ
ความเป็นธรรมในกระบวนการพิจารณาทางปกครองซึ่งเป็นข้ันตอน

๒๕

ในการเตรียมการและการดาเนินการของเจ้าหน้าที่เพ่ือจัดให้มี
คาสงั่ ทางปกครอง เช่น การสอบสวนข้อเท็จจริงความรบั ผิดทางละเมิด
ข้ั น ต อ น ใน ก ารส อ บ ส วน ด าเนิ น ก าร ท างวินั ย ต้ั งแต่ การออกค าสั่ ง
การสอบสวนของคณะกรรมการและการพิจารณาโทษ การพิจารณา
ของ อ.ก.พ. กรม เปน็ ตน้

แนวคาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดท่ีวินิจฉัยกรณีที่
เจ้าหน้าที่ไม่อาจทาการพิจารณาทางปกครองได้เพราะมีสภาพร้ายแรง
อันอาจทาให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางตามมาตรา ๑๖
แห่งพระราชบญั ญตั ิวธิ ีปฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙

กรณี ท่ีหน่ึง อธิบดีกรมการจัดหางานมีคาส่ังแต่งต้ัง
คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงผู้ฟ้องคดี ซ่ึงเป็นข้าราชการ
ตาแหน่งนักวิชาการแรงงานกรณีถูกกล่าวหาว่าเรียกรับเงินจาก
นายจ้างคนต่างด้าวท่ีทางานผิดเงื่อนไข ต่อมาได้มีคาสั่งแต่งตั้ง
คณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและคณะกรรมการ
สอบสวนวินัย มีความเห็นว่าสมควรไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
อธิบดีกรมการจัดหางานจึงได้ส่งเรื่องให้ อ.ก.พ. กรมการจัดหางาน
พิจารณาและต่อมาอธิบดีกรมการจัดหางานได้มีคาสั่งไล่ผู้ฟ้องคดี
ออกจากราชการตามมติ ของ อ.ก.พ. กรมการจัดหางาน

หลังจากอุทธรณ์คาส่ังไล่ออกจากราชการและนายกรัฐมนตรี
มีคาส่ังยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีจึงฟ้องคดีต่อศาลปกครองขอให้ศาล
มคี าพพิ ากษาเพิกถอนคาสง่ั ดังกลา่ ว

คดีน้ีมีข้อเท็จจริงที่รับฟังยุติ โดยมีเจ้าหน้าที่ ชื่อ นาย พ.
(ชื่อสมมุติ) ทาหนา้ ที่ คอื

• เปน็ ประธานคณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ัยอย่างร้ายแรง และ
• เป็น อ.ก.พ. กรมการจัดหางาน

๒๖

ในการพจิ ารณาเร่ืองของผู้ฟ้องคดี นาย พ. ได้เข้าร่วมประชุม
ในฐานะเป็น อ.ก.พ. กรมการจัดหางานดว้ ย โดยมิใช่เข้าร่วมประชุม
เพอ่ื ชีแ้ จงตอบขอ้ ซกั ถาม หรอื ขอ้ สงสัยของ อ.ก.พ. กรมฯ

ปัญหา คือ การท่ี นาย พ. เข้าร่วมประชุม อ.ก.พ. กรมฯ ดังกล่าว
ถือเป็นเหตุอันมีสภาพร้ายแรง ทาให้การพจิ ารณาไม่เปน็ กลางหรอื ไม่ ?

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การประชมุ อ.ก.พ. กรมฯ ถือเป็น
การพิจารณาทางปกครองและเมื่อนาย พ. ได้เข้าประชุมในฐานะ
อ.ก.พ. กรมฯ ซ่ึงมีอานาจหน้าท่ีในการพิจารณาผลการสอบสวนทางวินัย
ของคณะกรรมการสอบสวนมิใช่เข้าร่วมประชุม อ.ก.พ. เพ่ือช้ีแจง
ตอบข้อซักถามข้อสงสัยของ อ.ก.พ. และเม่ืออ.ก.พ. กรมฯ มีมติ
เป็นประการใด ผู้มีอานาจสั่งบรรจุต้องส่ังหรือปฏิบัติให้เป็นไปตาม
มติ อ.ก.พ. กรม นาย พ. ย่อมต้องมีความเห็นเช่นเดิมตามความเห็น
ของคณะกรรมการสอบสวนซ่ึงตนทาหน้าท่ีเป็นประธานกรรมการ
อันเปน็ ความเห็นที่เปน็ ปฏปิ ักษ์ตอ่ ผ้ฟู ้องคดี ดังน้ัน จึงย่อมมีสภาพร้ายแรง
อันอาจทาให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางตามมาตรา ๑๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
มีผลทาให้มติของ อ.ก.พ. กรมฯ และคาส่ังลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจาก
ราชการและคาสั่งยกอุทธรณ์ เป็นคาสั่งท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(คำพิพำกษำศำลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๗๙๕/๒๕๕๕)

กรณีท่ีสอง กรณีข้าราชการครูกระทาอนาจารเด็กนักเรียน
ในปกครอง โดยผู้ปกครองนักเรยี นได้ แจ้งความรอ้ งทกุ ขต์ ่อพนกั งาน
สอบสวน และนายกเทศมนตรีได้มีคาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบ
ขอ้ เท็จจริงและมีคาสง่ั แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
หลังจากสอบสวนเสร็จส้ินได้มีคาส่ังปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
ตามมติที่ประชมุ คณะกรรมการพนักงานเทศบาล

๒๗

ผู้ฟ้องคดีได้ย่ืนอุทธรณ์คาสั่งและคณะกรรมการพนักงานเทศบาล
มีมติยกอุทธรณ์ จึงฟ้องศาลปกครองขอใหศ้ าลมคี าพิพากษาแก้ไขคาสั่ง
เป็นโทษลดข้ันเงนิ เดือน

คดีน้ีมีข้อเท็จจริงท่ีรับฟังยุติ โดยมีเจ้าหน้าที่ ชื่อ นาง ส.
(ชอ่ื สมมุติ) ทาหน้าที่ คอื

• เป็นประธานกรรมการสอบสวนทางวนิ ัย
• เป็นอนุกรรมการพิจารณาดาเนินการทางวินัยและการให้ออก
จากราชการ
• เป็นอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และร้องทุกข์ (ซึ่งตอ้ งห้าม
ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลฯ ในคดีน)้ี
ในชั้นการพิจารณาอุทธรณ์ คณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฯ
มมี ตยิ นื ตามความเหน็ ของคณะกรรมการสอบสวนวินยั
ปัญหา คือ การทาหน้าที่ของนาง ส. ถือเป็นเหตุอันมีสภาพ
ร้ายแรงทาให้การพจิ ารณาไม่เป็นกลาง มีผลทาให้การดาเนินการทางวนิ ยั
และการพจิ ารณาอุทธรณ์ขัดตอ่ หลกั ความเป็นกลางหรอื ไม่ ?
ศาลปกครองสูงสุดวนิ ิจฉัยวา่ การทน่ี าง ส. เปน็ ประธานกรรมการ
สอบสวนทางวนิ ัยและยังเป็นอนุกรรมการพิจารณาดาเนินการทางวินัย
และการให้ออกจากราชการและเป็นอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
และร้องทุกข์ ซ่ึงต้องห้ามตามประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาลฯ
ในคดนี ้ี กรณีเปน็ การคาดหมายไดว้ ่านาง ส. ยอ่ มแสดงความเห็นสอดคล้อง
กับความเห็นเดิมที่ให้ไว้ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนวินัย
การพิจารณาทางปกครองของนาง ส. จึงถือว่ามีเหตุซึ่งมีสภาพร้ายแรง
อันเป็นเหตุให้เคลือบแคลงสงสัยในความเป็นกลางในการพิจารณา
ทางปกครองตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ

๒๘

ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นเหตุให้คาส่งั ลงโทษปลดออกจากราชการ
ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (คำพพิ ำกษำศำลปกครองสงู สุดที่ อ. ๔/๒๕๕๙)

กรณีท่ีสาม กรณีนายกองค์การบริหารส่วนตาบลมีคาสั่งให้
นาย ฟ. (ช่ือสมมต)ิ ซึ่งเปน็ เจา้ หน้าท่ีทไ่ี ดร้ ับคาส่ังให้เป็นผู้ตรวจรับงานจ้าง
(การก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม
พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
เน่ืองจากตรวจรับงานจ้างไม่ถูกต้องตามสัญญา ทาให้ราชการได้รับ
ความเสยี หาย

นาย ฟ. ไม่เห็นด้วยกับคาส่ังดังกล่าว หลังจากอุทธรณ์และ
ผู้ว่าราชการจังหวัดให้ยกอุทธรณ์ จึงฟ้องคดีต่อศาลปกครองขอให้
ศาลมคี าพิพากษาเพกิ ถอนคาสงั่ ดงั กล่าว

คดีนี้มีข้อเท็จจริงท่ีรับฟังยุติ ว่าก่อนท่ีจะออกคาส่ังชดใช้
ค่าสินไหมทดแทน องค์การบริหารส่วนตาบลได้มีคาสั่งแต่งต้ัง
คณ ะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
ประกอบด้วย นาย ส. เป็นประธานกรรมการ นาย ช. เป็นกรรมการ
และนาย ก. เปน็ กรรมการและเลขานกุ าร แตป่ รากฏว่า

• นาย ช. เป็นผู้ควบคุมงานก่อสร้างและเปน็ ผู้รายงานว่าผู้รับจ้าง
ไม่ปฏบิ ัติตามสัญญา

• นาย ก. เป็นกรรมการตรวจการจา้ งคณะเดียวกับผฟู้ อ้ งคดี
และเปน็ ผูม้ ีความเห็นแยง้ ไม่ตรวจรบั งานดงั กล่าว

ปัญหา คือ การทาหน้าท่ีของ นาย ช. และนาย ก. ถือเป็นเหตุ
อนั มีสภาพรา้ ยแรงทาให้การพจิ ารณาทางปกครองไม่เปน็ กลางหรือไม่ ?

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ความเห็นของนาย ช. ซ่ึงเป็น
ผคู้ วบคมุ งานกอ่ สร้างและเป็นผู้รายงานวา่ ผรู้ ับจา้ งไม่ปฏบิ ัติตามสัญญา
และความเห็นของนาย ก. ซ่ึงเป็นกรรมการตรวจการจ้างคณะเดียวกับ

๒๙

ผู้ฟอ้ งคดีและเป็นผู้มคี วามเห็นแย้งไม่ตรวจรบั งานดังกลา่ ว เปน็ ความเห็น
ท่ีเป็นปฏิปักษ์โดยตรงกับความเห็นของนาย ฟ. ที่ตรวจรับการจ้าง
จึงเป็นกรณีที่คณะกรรมการที่มีอานาจในการพิจารณาทางปกครอง
มีเหตุซ่ึงมีสภาพร้ายแรง อันอาจทาให้การพิจารณาทางปกครอง
ไม่เป็นกลาง (คาพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ. ๑๒๑/๒๕๕๔)

กรณีท่ีส่ี กรณีนาย อ. (นามสมมติ) ตาแหน่งผู้อานวยการวทิ ยาลัย
มีคาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้ฟ้องคดีซ่ึงเป็นข้าราชการครู
และทาหน้าที่หัวหน้านายทะเบยี น เนื่องจากเห็นวา่ ผู้ฟอ้ งคดที าการแกไ้ ข
ปลอมแปลงผลการเรียนของนักศึกษาคนหน่ึง เมื่อปี ๒๕๓๙ เพ่ือให้
นักศึกษาดังกล่าวจบการศึกษาและรับรองเอกสารภาพถ่ายระเบียน
แสดงผลการเรยี นอนั เปน็ เทจ็ และหลงั จากสอบสวนเสรจ็ ส้ิน ผูอ้ านวยการ
วทิ ยาลัยได้มคี าส่ังลงโทษตดั เงนิ เดือน

หลังจากผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ จึงฟ้องคดีต่อศาลปกครองขอให้
เพกิ ถอนคาส่ังลงโทษตัดเงนิ เดือน

คดีนี้มีข้อเท็จจริงที่รับฟังยุติ คือ มีผลการสอบสวนของ
ค ณ ะ ก รรม ก ารส อ บ ส ว น ที่ รา ย งาน ต่ อ อ ธิ บ ดี ก รม อ าชี ว ศึ ก ษ าว่ า
ก่อนทผี่ ู้อานวยการวิทยาลัยจะมีคาสงั่ แต่งตง้ั คณะกรรมการสอบสวน
และมีคาส่ังลงโทษตดั เงินเดือนผู้ฟ้องคดี ทั้งสองคนเคยมีความขัดแย้ง
กนั มากอ่ น โดย

• ผู้ฟ้องคดีได้แจ้งความดาเนินคดีผู้อานวยการวิทยาลัยฐาน
หม่ินประมาท เนื่องจากนาย อ. แสดงท่าทีชอบผู้ฟอ้ งคดใี นเชิงชู้สาว
(แตผ่ ูฟ้ อ้ งคดปี ฏิเสธ) และนาย อ. ไดม้ หี นังสือแสดงข้อความหมนิ่ ประมาท

• ขณะเดยี วกัน นาย อ. ไดแ้ จ้งความดาเนนิ คดีผฟู้ ้องคดีฐาน
ทาเอกสารเทจ็

๓๐

• เร่ืองน้ี อธิบดีกรมอาชีวศึกษาได้มีคาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ
สอบสวนเพ่ือทาการสอบสวนเพ่ิมเติมและเห็นชอบในระดับโทษ
แต่เห็นว่าการที่ผู้อานวยการวิทยาลัยทราบเร่ืองผู้ฟ้องคดีได้กระทาผิด
วินัยเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๓๙ แต่ปล่อยปละละเลยจนมีเรื่องแทรกซ้อนขึ้น
จึงได้ดาเนินการทางวินัยเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ทาให้เห็นได้ว่าเป็นการ
กลั่นแกล้ง คลางแคลงในพฤติกรรม การกระทาของนาย อ. ซ่ึงดารงตาแหน่ง
ผู้อานวยการวทิ ยาลัยถือเปน็ ความผดิ ตามมาตรา ๙๙ แห่งพระราชบญั ญัติ
ระเบยี บข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ แต่เปน็ กรณีความผิดเล็กน้อย
จงึ งดโทษโดยให้ว่ากล่าวตกั เตอื นไวอ้ ยา่ ใหป้ ฏบิ ตั เิ ชน่ นี้

ปญั หา คือ การกระทาของนาย อ. ซ่ึงเปน็ ผู้อานายการวิทยาลัย
ถือวา่ มีสภาพร้ายแรงท่ีอาจทาให้การดาเนินการทางวินัยอันเป็นการ
พิจารณาทางปกครองไมเ่ ป็นกลางหรือไม่ ?

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เม่ือผู้อานวยการวิทยาลัย
และผู้ฟ้องคดีมีปัญหาความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในเร่ืองส่วนตัว
และหน้าที่ราชการจนถึงขั้นร้องทุกข์กล่าวโทษซึ่งกันและกันต่อ
พนักงานสอบสวน กรณีดังกล่าวถือได้ว่ามีสภาพร้ายแรงท่ีอาจทาให้
การดาเนินการทางวินัยแก่ผู้ฟ้องคดีอันเป็นการพิจารณาทางปกครอง
ไม่เป็นกลางโดยสภาพภายในของผู้อานวยการวิทยาลัย ซ่ึงเป็นผู้มี
อานาจหน้าที่ในการดาเนินการดังกล่าว ผู้อานวยการวิทยาลัยจึงไม่อาจ
ทาการพิจารณาทางปกครองในเร่ืองน้ไี ด้ ทั้งน้ี ตามนัยมาตรา ๑๖ วรรค
หน่ึง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ (คำ
พิพำกษำศำลปกครองสงู สุด ที่ อ. ๑๔๖/๒๕๕๔)

ข้อพิพาททั้งส่ีกรณีข้างต้น ล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นถึง
“เหต”ุ ว่า “แคไ่ หน-อยา่ งไร” ถอื วา่ มสี ภาพรา้ ยแรงทาให้การพิจารณา
ทางปกครองไม่เป็นกลาง ซ่ึงเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการ

๓๑

ของหน่วยงานของรัฐหรือผู้มีอานาจในการดาเนินกระบวนการพิจารณา
ทางปกครองก่อนทผ่ี ู้มอี านาจจะออกคาส่ังทางปกครองอันจะมีผลกระทบ
ตอ่ สิทธหิ รอื หน้าที่ของ “คู่กรณ”ี

(โดยผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดได้ในคาพิพากษา
ศาลปกครองสงู สุดที่ผ้เู ขียนได้อา้ งไว้ในแตล่ ะกรณขี า้ งตน้ )

แต่อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาว่ามีเหตุอันมีสภาพร้ายแรง
อนั อาจทาให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางหรือไม่ เป็นเรื่อง
ที่จะต้องพิจารณาจากสภาพภายใน (จิตใจ) ของเจ้าหน้าที่หรือกรรมการ
ผู้ดาเนินกระบวนพิจารณาทางปกครอง ประกอบกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
ในแต่ละกรณี ดังนั้น เพื่อมิให้มีการโต้แย้งในเรื่องความไม่เป็นกลาง
ของเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง
หากฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีหรือกรรมการได้พิจารณาตั้งแตก่ ่อน
การเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทางปกครองหรือ ในระหว่างดาเนิน
กระบวนการพิจารณาทางปกครองว่า ตนเองอาจเป็นผู้มีเหตุอันมี
สภาพร้ายแรงอันอาจทาให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง
เช่น มีอคติ ลาเอียง (เพราะชอบ เพราะชัง เพราะกลัว เพราะหลง)
หรือมีเหตุท่ีอาจก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในความเป็นกลาง
เช่น เคยให้ความเห็นที่ขัดแย้งกับความเห็นของคู่กรณีหรือความเห็น
ในลักษณะเป็นผลร้ายต่อคู่กรณีในเรื่องท่ีเกิดขึ้น หรือมีความเห็นท่ี
เป็นปฏปิ ักษก์ ับค่กู รณใี นเร่อื งที่เกดิ ข้นึ หรอื มปี ญั หาขดั แยง้ กบั คู่กรณี
เองท่ีอาจเกิดเคลือบแคลงสงสัยว่ากล่ันแกล้ง หรือมีเหตุที่วิญญูชนทั่วไป
ย่อมไม่อาจไว้วางใจให้เจ้าหน้าท่ีผู้นั้นใช้อานาจทางปกครองได้ หรือ
มีส่วนเก่ียวข้องในทางที่เป็นคุณหรือโทษทาให้การพิจารณาทางปกครอง
ไม่มีความเป็นธรรม เป็นต้น เจ้าหน้าที่หรือกรรมการ ก็ควรท่ีจะ
หยุดการพจิ ารณาในเร่ืองนั้นและรายงานผู้บังคับบัญชาหรือประธาน

๓๒

กรรมการทราบ ขณะเดียวกัน “คู่กรณี” ก็มีสิทธิท่ีจะคัดค้านได้
โดยยืน่ เป็นหนังสอื ตอ่ เจา้ หนา้ ทีผ่ นู้ น้ั หรอื ผู้บงั คบั บัญชาของเจา้ หน้าที่
ผู้นั้นหรือกรณีคัดค้านกรรมการ ต้องย่ืนต่อประธานกรรมการที่มีเหตุ
แหง่ ความไม่เปน็ กลาง เพ่ือใหผ้ ้บู ังคบั บัญชาหรือประธานคณะกรรมการ
พิจารณาเหตุคัดค้านต่อไป ท้ังน้ี ตามหลักเกณฑ์ที่พระราชบัญญัติ
วธิ ปี ฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กาหนดไว้

๓๓

เรอ่ื งที่ 7

เจา้ หนา้ ท่เี ป็น “หนง่ึ ในกรรมการ”
พิจารณาทางวนิ ยั “หลายชดุ ” คาสัง่ ลงโทษ ... ไมช่ อบ !

คาพิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ. ๔/๒๕๕๙

ประเดน็ ขอ้ พพิ าท
นายกเทศมนตรีมีคาส่ังลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
โดยกระบวนการในการดาเนินการทางวินัยผู้ฟ้องคดนี ั้น มีปลัดเทศบาล
เป็นประธานกรรมการสอบสวนวินัย และเป็นอนุกรรมการพิจารณา
ดาเนินการทางวินัยและการให้ออกจากราชการ รวมท้ังยังเป็น
อนุกรรมการพิจารณาอุทธรณแ์ ละการร้องทุกข์ด้วย

สาระสาคัญ
ในการดาเนินการทางวินัยมีเจ้าหน้าที่เป็นประธานกรรมการ
สอบสวนวินัย เป็นอนุกรรมการพิจารณาดาเนินการทางวินัยและการให้
ออกจากราชการ และเป็นอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และการร้องทุกข์
ในการพิจารณาทางปกครองเรือ่ งเดยี วกัน ถอื ว่ามเี หตุซึง่ มีสภาพร้ายแรง
อันเป็นเหตุให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในความเป็นกลางในการ
พิจารณาทางปกครองตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติ
ราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การนาผลการสอบสวนทางวินัย
ดังกล่าวมาใช้เพ่ือพิจารณาโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีจึงไม่ชอบด้วย
กฎหมาย ส่งผลให้คาสั่งปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการไม่ชอบด้วย
กฎหมายเชน่ กนั

๓๔

เจา้ หน้าทเ่ี ปน็ “หนึง่ ในกรรมการ”
พิจารณาทางวนิ ยั “หลายชดุ ” คาสัง่ ลงโทษ ... ไม่ชอบ !

คาสั่งลงโทษทางวินัยเป็นคาสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
กระบวนการพิจารณาทางปกครองก่อนออกคาสั่งทางปกครอง เริ่มตั้งแต่
การต้ังเร่ืองกล่าวหา การสืบสวน สอบสวน การพิจารณาความผิด
และกาหนดโทษ การส่ังลงโทษ รวมท้ังการดาเนินการต่าง ๆ ระหว่าง
ดาเนินการสอบสวนพิจารณาเพ่ือนาไปสู่การออกคาสั่งลงโทษทางวินัย
จึงต้องคุ้มครองคู่กรณีให้ได้รับความเป็นธรรมตามท่ีกฎหมายเฉพาะ
กาหนดไว้หรือตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ กาหนด กรณีท่ีกฎหมายเฉพาะไม่ได้กาหนดไว้
โดยเฉพาะอย่างย่ิง เจ้าหน้าที่ผู้ดาเนินการพิจารณาทางปกครอง
จะต้องเป็นเจ้าหน้าท่ีท่ีมีอานาจตามกฎหมาย (มาตรา ๑๒) และ
เจ้าหน้าที่จะต้องมีความเป็นกลาง กล่าวคือ เจ้าหน้าท่ีต้องไม่มี
ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคู่กรณี เช่น เป็นคู่หมั้น คู่สมรสกับคู่กรณี
เป็นญาติกับคู่กรณี ทั้งนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓ (๑) ถึง (๖)
แห่งพระราชบัญญัติ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
หรือเจ้าหน้าที่ต้องไม่มีเหตุอันมีสภาพร้ายแรงอันอาจทาให้การพิจารณา
ทางปกครองไม่เป็นกลางตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธี
ปฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งกรณีดังกล่าวถือเป็นรูปแบบ
ขน้ั ตอนหรอื วธิ กี ารอนั เป็นสาระสาคญั ทีก่ ฎหมายกาหนดไว้ โดยศาลปกครอง
มอี านาจที่จะตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของรูปแบบ ข้ันตอน
หรือวิธีการอันเป็นสาระสาคัญและมีคาพิพากษาเพิกถอนคาส่ังลงโทษ

๓๕

ทางวินัยได้ หากไม่ปฏิบัติตามรูปแบบ ข้ันตอนหรือวิธีการอันเป็น
สาระสาคัญดงั กลา่ ว

อย่างไรกต็ าม การวนิ ิจฉัย “เหตุอันมีสภาพรา้ ยแรงอนั อาจ
ทาให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง” อาจยังคงมีปัญหา
ในทางปฏิบัติสาหรับหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ โดยเฉพาะ
การที่เจ้าหน้าท่ีผู้มีอานาจพิจารณาทางปกครองเพียงคนเดียวได้เข้า
ไปปฏิบตั ิหน้าท่ีเป็น “กรรมการ” ในกระบวนการสอบสวนทางวินัย
ทั้งในช้ันการสอบสวนทางวินัย ชั้นการพิจารณาให้ความเห็นชอบ
และ ช้ันอุทธรณ์ จะถือว่ามี “เหตุอันมีสภาพร้ายแรงอันอาจทาให้
การพจิ ารณาทางปกครองไม่เป็นกลาง”หรือไม่ ?

คดีปกครองท่ีนามาเล่าสู่กันฟังนี้ จะทาให้หน่วยงานของรัฐ
หรือเจา้ หนา้ ทขี่ องรัฐมีแนวทางในการปฏิบัติราชการทด่ี ีในกรณดี งั กล่าว

มลู คดีน้ีเกิดจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ (นายกเทศมนตรี) มีคาสั่ง
ลงโทษปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ เนื่องจากผู้ฟ้องคดีขณะดารง
ตาแหน่งพนักงานครูเทศบาล ถูกกล่าวหาว่ากระทาอนาจารเด็กนักเรียน
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงมีคาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยผู้ฟ้องคดี
โดยมีนาง ส. ปลัดเทศบาล เป็นประธานกรรมการสอบสวนวินัย
คณะกรรมการสอบสวนวนิ ัยมมี ตใิ หล้ งโทษปลดผฟู้ ้องคดีออกจากราชการ
และคณะอนุกรรมการพิจารณาดาเนินการทางวินัยและการให้ออกจาก
ราชการ โดยมีนาง ส. ร่วมเป็นอนุกรรมการด้วย ก็มีมติยืนยันตาม
ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนวินัย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงมีคาส่ัง
ปลดผฟู้ อ้ งคดอี อกจากราชการ

ผู้ฟ้องคดอี ทุ ธรณ์คาส่ังต่อผู้ถูกฟ้องคดที ่ี ๑ (คณะอนุกรรมการ
พิจารณาอทุ ธรณ์และ การรอ้ งทุกข)์ โดยคณะอนกุ รรมการพจิ ารณาอุทธรณฯ์

๓๖

มีนาง ส. เข้าร่วมเป็นอนุกรรมการด้วย ซ่ึงท่ีประชุมมีมติยืนยันตามมติ
คณะกรรมการสอบสวนวนิ ยั

ผู้ฟอ้ งคดจี ึงฟ้องคดีตอ่ ศาลปกครอง ขอใหม้ ีคาพิพากษาหรือ
คาสั่งแกไ้ ขคาส่งั ลงโทษปลดออกจากราชการเปน็ โทษลดข้ันเงนิ เดอื น

ประเดน็ ท่นี ่าสนใจมีวา่ การทนี่ าง ส. เปน็ ประธานกรรมการ
สอบสวนวินัย เป็นอนุกรรมการพิจารณาดาเนินการทางวินัย และ
เป็นอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และการร้องทุกข์ในการพิจารณา
ทางปกครองเร่ืองเดียวกัน ถือเป็นเหตุร้ายแรงท่ีทาให้การพิจารณา
ทางปกครองไมช่ อบดว้ ยกฎหมายหรือไม่ ?

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ขั้นตอนในการสอบสวน
ดาเนินทางวินัยเป็นการเตรียมการและการดาเนินการของเจ้าหน้าท่ี
เพือ่ จัดให้มีคาสั่งทางปกครอง เปน็ การพิจารณาทางปกครองตามมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
เจ้าหน้าที่ที่ได้รับคาส่ังให้ทาหน้าท่ีเป็นกรรมการในการดาเนินการทาง
วินัยจะต้องไม่ใช่บุคคลที่มีสภาพร้ายแรงอันจะทาให้การพิจารณาทาง
ปกครองไม่เป็นกลางหรือไม่ชอบดว้ ยพระราชบญั ญตั ิดงั กล่าว

เม่ือนาง ส. เป็นประธานกรรมการสอบสวนวินัย และเป็น
อนุกรรมการพิจารณาดาเนินการทางวินัยผู้ฟ้องคดี และขณะเดียวกัน
ยังเป็นอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และการร้องทุกข์ อนั เป็นการต้องห้าม
ตามข้อ ๗๐ วรรคสี่ ของประกาศคณะกรรมการพนักงานเทศบาล
เรื่อง หลักเกณฑ์ และเง่ือนไข ในการสอบสวน การลงโทษทางวินัย
การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์ แม้นาง ส.
จะเป็นเพียงหน่ึงในคณะอนุกรรมการพิจารณาดาเนินการทางวินัย
มิได้มีอานาจตัดสินเด็ดขาดเพียงผู้เดียว แต่ก็ย่อมคาดเห็นได้ว่า
การท่ีนาง ส. เป็นประธานกรรมการสอบสวนวนิ ัย และยังเป็นอนุกรรมการ

๓๗

พจิ ารณาดาเนินการทางวินัย นาง ส. ย่อมแสดงความเห็นสอดคล้อง
กับความเห็นเดิมที่ได้ให้ไว้ในฐานะประธานกรรมการสอบสวนวินัย
ดังจะเห็นได้ว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาดาเนินการทางวินัยมีมติ
ให้ปลดออก ๔ เสียง และไล่ออก ๒ เสียง ประกอบกับคณะอนุกรรมการ
พจิ ารณาอทุ ธรณ์และการร้องทุกข์ท่ีมีนาง ส. เข้าร่วมเป็นคณะอนุกรรมการ
ก็มีมติยืนยันตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ดังน้ัน
การพจิ ารณาทางปกครองของนาง ส. จงึ ถือวา่ มีเหตซุ งึ่ มสี ภาพร้ายแรง
อันเป็นเหตุให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในความเป็นกลาง
ในการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติ
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยนาง ส. ย่อมเห็นได้ว่า
ตนมีลักษณะต้องห้ามดังกล่าว เน่ืองจากเป็นผู้มีอานาจในการพิจารณา
เน้อื หาสาระหลักของเรอ่ื ง ซ่ึงผลของการพิจารณาจะนาไปสู่การออก
คาส่งั ทางปกครอง มติดงั กลา่ วจึงบกพร่องในสาระสาคญั อันเปน็ เหตใุ ห้
ไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย

นอกจากนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเหตุยกเว้น
ไม่นาหลักความเป็นกลาง ของเจ้าหน้าท่ีมาใช้บังคับในกระบวนการ
พจิ ารณาทางปกครอง ตามทบ่ี ัญญตั ิไว้ในมาตรา ๑๘ แหง่ พระราชบัญญัติ
วธิ ีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ วา่ เร่ืองนี้ (๑) มใิ ช่กรณี
ที่มีความจาเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้ล่าช้าไปจะเสียหายต่อประโยชน์
สาธารณะหรือสิทธิของบุคคลจะเสียหายโดยไม่มีทางแก้ไขได้ และ
(๒) ไม่ใช่กรณีที่ไม่มีเจ้าหน้าที่อื่นปฏิบัติหน้าท่ีแทนนาง ส. ดังนั้น
เม่ือการพจิ ารณาทางปกครองของนาง ส. ขัดกับหลกั ความเปน็ กลาง
จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การนาผลการสอบสวนทางวินัยดังกล่าว
มาใช้เพ่ือพิจารณาโทษทางวินัยของผู้ฟ้องคดีจึงไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย

๓๘

คาส่ังปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
(คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ. ๔/๒๕๕๙)

คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดได้วางหลักกฎหมายปกครองที่สาคัญ
คือ “หลักความเป็นกลาง” ตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติ
วิธีปฏบิ ัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ อยา่ งนอ้ ย ๒ กรณี คอื

(๑) กรณีเจ้าหน้าที่ที่มีอานาจพิจารณาทางปกครองมีเหตุ
ซ่ึงมีสภาพร้ายแรงอันเป็นเหตุให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย
ในความเป็นกลางในการพิจารณาทางปกครอง ไม่อาจทาการ
พิจารณาทางปกครองได้ แต่อย่างไรก็ตาม “ความเคลือบแคลงสงสัย”
มิไดห้ มายความวา่ เป็นเพยี งการคาดเดา สงสัย หรือหวาดระแวงเท่าน้ัน
แต่การทาหน้าท่ีของเจ้าหน้าที่ดงั กล่าวต้องมีผลรุนแรงอันทาให้การพิจารณา
ทางปกครองไม่มีความเป็นกลาง เช่น สถานะทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่
ทีท่ าหน้าทใ่ี นการพจิ ารณา ทางปกครองน้นั มีอทิ ธิพลต่อความคิดของ
เจา้ หน้าทีอ่ ืน่ จนทาใหเ้ จ้าหน้าทอ่ี ่ืนที่ร่วมเป็นคณะกรรมการ มคี วามคิดเห็น
คล้อยตามและมีมตติ ามความเหน็ นน้ั

(๒) เจ้าหน้าท่ีที่ถือว่า “มีเหตุอนั มีสภาพร้ายแรงอันอาจทาให้
การพิจารณาทางปกครอง ไม่เป็นกลาง” หมายถึง เจ้าหน้าที่ท่ีมี
อานาจหน้าท่ีในการพิจารณาเน้ือหาสาระหลักของเร่ือง โดยผลของ
การพิจารณาจะนาไปสู่การออกคาส่ังทางปกครองในเร่ืองนั้น ไม่ได้
หมายรวมถงึ เจ้าหน้าที่ทีป่ ฏิบัตหิ น้าทีท่ ัว่ ไปแตอ่ ยา่ งใด

๓๙

เร่อื งที่ 8

“ผรู้ บั ทนุ ” เปน็ กรรมการคดั เลือกทนุ : ขัดหลักความเปน็ กลาง

คาพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ. 57/2555

ประเดน็ ข้อพพิ าท
นายกองค์การบริหารส่วนตาบลเป็นประธานคณะกรรมการ
ดาเนินการคัดเลือกผู้รบั ทุนศึกษาและได้มีมตเิ สนอชื่อตนเองให้เปน็ ผู้
ไดร้ ับทุนดงั กล่าว

สาระสาคัญ
การให้หรือไม่ให้ทุนการศึกษา เป็นคาสั่งทางปกครองตาม
ข้อ 2 ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2543) ออกตามความใน
พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ฉะน้ัน
การดาเนินการของเจ้าหน้าท่ีผู้มีอานาจเพ่ือให้หรือไม่ให้รับทุนการศึกษา
จึงต้องปฏิบัติตามมาตรา 13 และมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติ
ดงั กลา่ ว ในเรื่องความเป็นกลางของเจ้าหน้าที่ เมอื่ ประธานกรรมการ
คัดเลือกผู้รับทุนการศึกษาได้เสนอตนเองเป็นผู้รับทุน จึงเป็นคู่กรณีผู้อยู่
ในบงั คบั หรอื จะอยู่ในบังคบั ของคาสั่งทางปกครอง และเมอ่ื ได้ทาการ
พิจารณาหรือร่วมพิจารณาคัดเลือกผู้รับทุนและลงมติเห็นชอบให้
ตนเองเป็นผู้รับทุนการศึกษาดังกล่าว จึงถือเปน็ ผู้มีส่วนได้เสียอันขัดกับ
หลักความเป็นกลางตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
ดงั นั้น คาสั่งที่ให้ทุนการศึกษาแก่เจ้าหน้าท่ีดังกล่าวซึ่งส่ังตามมตขิ อง
คณะกรรมการฯ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

๔๐
“ผ้รู บั ทนุ ” เปน็ กรรมการคดั เลือกทนุ : ขดั หลักความเป็นกลาง

ถือเป็นประเด็นร้อนแรงในโลกโซเชียล กรณีอาจารย์สาว
ทั นตแพทย์ ของมหาวิ ทยาลั ยรั ฐแห่ งหนึ่ งเบี้ ยวหรื อหนี การชดใช้ ทุ น
การศึกษา โดยเม่ือเรียนจบก็ขอลาออกและทางานอยู่ต่างประเทศ
ไม่กลับมาทางานชดใช้ทุนและไม่ยอมชาระเงินพร้อมค่าปรับ
จนทางมหาวิทยาลัยต้นสังกัดย่ืนฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครอง
และศาลปกครองกลางได้มีคาพิพากษาให้ผู้รับทุนและผู้ค้าประกัน
ชดใช้เงินตามสัญญารับทุนการศึกษา ตามคดีหมายเลขแดง
ที่ 180/2549 เม่ือเจ้าตัวผู้รับทุนไม่ยอมชาระเงิน จึงส่งผลให้
ผู้ค้าประกันตอ้ งชาระหน้ีดังกล่าวแทน อันสะท้อนให้เห็นถึงการขาด
ความรับผิดชอบของผู้รับทุนดังกล่าว ซ่ึง “ความสานึกรับผิดชอบ”
นั้น เป็นเรื่องท่ีมีความสาคัญย่ิงกว่ากฎหมาย เพราะเป็นเร่ือง
“คุณธรรมในจิตใจคน” ท่ีส่งผลต่อ “คุณค่า” ในการดาเนินชีวิต
ของตวั ผูน้ ั้นเอง

“การให้หรือไม่ให้ทุนการศึกษา” มีสถานะทางกฎหมาย
เป็นคาสั่งทางปกครองตามขอ้ 2 ของกฎกระทรวง ฉบบั ที่ 12 (พ.ศ. 2543)
ออกตามความใน พ.ร.บ.วธิ ีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ที่ผูกพันเจ้าหน้าท่ีผู้มีอานาจอนุมัติการให้ทุนจะต้องไม่มีส่วนได้เสีย
หรือต้องมีความเป็นกลางตามมาตรา 13 และมาตรา 16 แห่ง
พ.ร.บ. เดยี วกัน และหากการใช้อานาจดงั กล่าวขดั ต่อหลกั ความเป็นกลาง
ศาลปกครองมีอานาจพิพากษาให้คาส่ังให้ทุนการศึกษานั้นไม่ชอบ
ดว้ ยกฎหมาย ท้ังน้ี ตามมาตรา 9 วรรคหน่ึง (1) แห่ง พ.ร.บ. จัดต้ัง
ศาลปกครองและวธิ ีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

๔๑
เช่นเดียวกับคดีปกครองที่นามาพูดคุยในวันน้ี เป็นกรณีที่
เจ้าหน้าที่ผู้มีอานาจพิจารณาให้ทุนมีสภาพความไม่เป็นกลาง
สว่ นจะมลี กั ษณะหรอื พฤติการณ์อยา่ งไรนน้ั ติดตามไดใ้ นบทความน้ี
ผู้ฟ้องคดี คือ องค์การบริหารส่วนตาบลแห่งหนึ่ง ย่ืนฟ้อง
นายนฤดล (นามสมมติ) (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี 1)และผู้ค้าประกัน
(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ต่อศาลปกครอง กรณีนายนฤดลซึ่งในขณะ
ดารงตาแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตาบล ได้ทาสัญญา
รับทุนการศึกษากับองค์การบริหารส่วนตาบล แต่ต่อมาได้พ้นสภาพ
จากการเป็นนักศึกษาเนื่องจากไม่ได้ลงทะเบียนเรียนให้ครบตาม
หลักสูตร อันเป็นการปฏิบัติผิดสัญญา องค์การบริหารส่วนตาบล
จึงมีหนังสือให้นายนฤดลและผู้ค้าประกันชดใช้เงินทุนที่ได้จ่ายไป
และค่าปรับอีกสองเท่าของจานวนเงินทุนดังกล่าว แต่บุคคลท้ังสอง
เพิกเฉย จึงขอให้ศาลปกครองมีคาพิพากษาให้บุคคลทั้งสองร่วมกัน
รับผิดชดใช้เงินพร้อมดอกเบ้ยี ตามทกี่ าหนดในสญั ญา
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในฐานะผู้ค้าประกันได้โต้แย้งต่อศาลว่า
สัญญารับทุนการศึกษาระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีท้ังสอง
เป็นโมฆะ เน่ืองจากนายนฤดลเป็นประธานคณะกรรมการดาเนินการ
คัดเลือกผู้รับทุนและไดม้ มี ติเสนอชื่อตนเองให้เปน็ ผู้ไดร้ บั ทุนดังกลา่ ว
จึงถอื เปน็ ผมู้ ีส่วนได้เสยี ซงึ่ ขัดกบั หลักความเปน็ กลาง
ประเด็นนี้ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า คณะกรรมการ
ดาเนินการคัดเลือกผู้รับทุนมีหน้าที่กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ
คัดเลือก ตัดสินปัญหาเก่ียวกับคุณสมบัติและอื่น ๆ ท่ีเกิดข้ึนในการ
ดาเนินการคัดเลือกจนเสร็จสิ้น โดยไม่มีข้อกฎหมายขององค์การ
บริหารส่วนตาบลกาหนดห้ามมิให้นายกองค์การบริหารส่วนตาบล
เป็นประธานคณะกรรมการดังกล่าว การท่ีองค์การบริหารส่วน
ตาบลโดยนายนฤดล มีคาส่ังแต่งตั้งตนเองเป็นประธานกรรมการ

๔๒
และรองนายกองค์การบริหารส่วนตาบลเป็นกรรมการ กับมีปลัด
องค์การบริหารส่วนตาบลเป็นกรรมการและเลขานุการ ซ่ึงเป็น
คณะผู้บริหารท่ีมีความรู้ความสามารถในการกาหนดหลักเกณฑ์
และวิธกี ารคัดเลือกและตัดสินปัญหาในการคัดเลือกได้ ประกอบกับ
ผบู้ รหิ ารท้องถ่ินก็มีสิทธิได้รบั ทุนนเ้ี ช่นกัน การท่ีนายนฤดลเสนอตนเอง
เป็นผู้ขอรับทุนโดยไม่มีผู้มีคุณสมบัติรายอ่ืนอีกท่ีจะขอรับทุน จึงชอบด้วย
ข้อ 2 ข้อ 3 ข้อ 6และข้อ 7 ของประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง หลักเกณฑ์ว่าด้วยการตั้งงบประมาณ เพ่ือให้ทุนการศึกษา
ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ ท่จี ะเป็นผู้มีสทิ ธไิ ดร้ ับทนุ

แตอ่ ย่างไรก็ตาม เน่ืองจาก “การให้หรือไม่ให้รับทุนการศึกษา”
เปน็ คาส่ังทางปกครอง ฉะน้ันการดาเนนิ การของเจ้าหนา้ ท่ีผมู้ ีอานาจ
เพื่อให้หรือไม่ให้รับทุนการศึกษา จึงต้องปฏิบัติตามมาตรา 13
แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ซ่ึงบัญญัติว่า “เจ้าหน้าท่ี
ที่เป็นค่กู รณเี องจะทาการพิจารณาทางปกครองไมไ่ ด้”

เมอ่ื นายนฤดลเป็นประธานกรรมการคัดเลือกผู้รับทุนการศกึ ษา
โดยได้เสนอตนเองเป็นผู้รับทุนนายนฤดลจึงเป็นคู่กรณีผู้อยู่ในบงั คับ
หรือจะอยู่ในบังคับของคาสั่งทางปกครอง และเม่ือนายนฤดลได้ทาการ
พิจารณาหรือร่วมพิจารณาคัดเลือกผู้รับทุนและลงมติเห็นชอบให้ตนเอง
เป็นผู้รับทุนการศึกษาดังกล่าว จึงถือเป็นผู้มีส่วนได้เสีย อันขัดกับ
หลักความเป็นกลาง คาส่ังขององค์การบริหารส่วนตาบลท่ีให้
ทุนการศึกษาแก่นายนฤดลตามมติของคณะกรรมการชุดดังกล่าว
จึงไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม เน่ืองจากคดีนี้เป็นกรณีที่องค์การบริหารส่วนตาบล
ในฐานะผู้ให้ทุนย่ืนฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลปกครองมีคาพิพากษาให้
ผรู้ ับทุนและผู้ค้าประกันชดใชเ้ งินเนื่องจากผิดสัญญารับทุน มิใช่การฟอ้ ง
ขอให้เพิกถอนคาส่ังให้ทุนการศึกษาอันเน่ืองมาจากผู้ถูกฟ้องคดเี ห็นว่า


Click to View FlipBook Version