๑๔๓
เรือ่ งท่ี 2๔
ถูกปลอมลายมอื ชื่อใหเ้ ปน็ กรรมการบรษิ ทั !
คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๘๑๔/๒๕๖๒
ประเดน็ ขอ้ พพิ าท
นายทะเบยี นหุน้ ส่วนบริษัทมีคาส่ังปฏิเสธไม่เพกิ ถอนช่ือผู้ย่ืน
ค าข อ ท่ี อ้ างว่าได้ มี ผู้ ป ล อ ม ล าย มื อ ชื่ อ ข อ งต น ใน ก ารจ ด ท ะ เบี ย น
เปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท และทาให้ตนต้องถูกดาเนินคดีอาญา
จากการเป็นกรรมการบริษัทดังกล่าวเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าได้มีการ
กระทาผิดกฎหมาย
สาระสาคัญ
ในการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท หากข้อเท็จจริง
ปรากฏภายหลังว่ามีการปลอมลายมือช่ือบุคคลในคาขอจดทะเบียน
โดยท่ีผู้นั้นไม่ได้รู้เห็นยินยอมหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีหลักฐาน
เป็นเอกสารของหน่วยงานราชการที่มีความน่าเช่ือถือและสามารถ
รับฟังได้ว่ามีการปลอมลายมือช่ือ ย่อมเป็นกรณีข้อเท็จจริงอันเป็น
สาระสาคัญของการขอจดทะเบียนไม่ถูกต้องมาแต่แรก อันทาให้คาส่ัง
รั บ จ ดท ะเบี ยน ให้ บุ ค ค ล ผู้ นั้ น เป็ น ก ร ร ม ก า ร บ ริ ษั ท เป็ น ค า ส่ั ง ที่
ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้อานวยการสานักธุรกิจการค้าภูมิภาคมีอานาจ
เพิกถอนคาสั่งทางปกครองท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ตามมาตรา ๔๙
มาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบข้อ ๑๒ ของระเบียบสานักงาน
ทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง ว่าด้วยการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน
และบริษัท พ.ศ. ๒๕๕๔
๑๔๔
ถูกปลอมลายมือชอื่ ใหเ้ ปน็ กรรมการบรษิ ทั !
อยู่ดีดี... ก็มีชื่อเป็นกรรมการผู้มีอานาจทาการแทนบริษัท
คงไม่สนุกเป็นแน่... เพราะท่านย่อมมีหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะ
ดังกล่าว เช่นคดีท่ีจะคุยกันกับท่านผู้ติดตามคอลัมน์อุทาหรณ์จาก
คดีปกครองในวันน้ี กรณีผู้ถูกปลอมลายมือชื่อให้เป็นกรรมการผู้มี
อานาจทาการแทนบริษทั ไดน้ าคดมี าฟอ้ งต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้
เพกิ ถอนการเป็นกรรมการบรษิ ัทดงั กล่าว เนื่องจากถูกกรมสอบสวน
คดีพิเศษดาเนินคดีฐานร่วมกันทาผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเตารีดไฟฟ้า
และกระทะไฟฟา้ โดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าต
มาฟังเรื่องราวของคดีกันครับ คดีน้ี บริษัท เอ จากัด โดย
นางสาวสวย กรรมการผู้มีอานาจทาการแทนบริษัทไดม้ อบอานาจให้
นายสมชาย เป็นผู้มาย่ืนคาขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการ
และแก้ไขเพ่ิมเติมจานวนหรือช่ือกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท
โดยให้กรรมการออกหน่ึงคน คือ นางสาวสวย และกรรมการเข้า
หนึ่งคน คือ นายธงชัย รวมท้ังเปลี่ยนแปลงอานาจกรรมการผู้มี
อานาจทาการแทนบริษัทจาก นางสาวสวย มาเป็นนายธงชัย และ
นายทะเบยี นหุ้นสว่ นบริษทั จงั หวดั ก็ได้รบั จดทะเบยี นดังกล่าวให้
ต่อมาหลายปี...นายธงชัยทราบเรื่องจึงได้มีหนังสือร้องขอ
ตอ่ นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทให้เพิกถอนการจดทะเบียนเปล่ียนแปลง
กรรมการผู้มีอานาจทาการแทนบริษัทดังกล่าว โดยอ้างว่าได้มีผู้ปลอม
ลายมือชื่อของตนและทาให้ตนต้องถูกดาเนินคดีอาญาฐานร่วมกัน
ทาผลิตภณั ฑอ์ ุตสาหกรรมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
๑๔๕
แต่นายทะเบียนฯ มีคาสั่งปฏิเสธการเพิกถอน นายธงชัย
จึงฟ้องนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัด ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ และ
ผอู้ านวยการสานักธุรกจิ การค้าภมู ิภาค ผถู้ ูกฟ้องคดีที่ ๒ ตอ่ ศาลปกครอง
เพื่อขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนและเพิกถอนคาสั่งที่ปฏิเสธไม่เพิกถอน
ชอื่ ผฟู้ ้องคดอี อกจากการเป็นกรรมการบรษิ ัท เอ จากดั
คดีจึงมีประเด็นปัญหาที่น่าสนใจว่า การท่ีนายทะเบียน
มีคาสั่งปฏิเสธไม่เพิกถอนช่ือผู้ฟ้องคดอี อกจากการเป็นกรรมการบริษัท
ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ?
ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้การยื่นคาขอ
จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการและอานาจของกรรมการบริษัท
เอ จากัด จะดาเนินการโดยกรรมการผู้มีอานาจทาการแทนบริษัท
ตามที่ได้จดทะเบียนไว้เดิม โดยมีคาขอและเอกสารประกอบคาขอ
ครบถ้วนและนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทไดร้ ับจดทะเบยี นแล้วกต็ าม
แต่หากข้อเท็จจริงปรากฏภายหลังว่า ในการย่ืนคาขอจดทะเบียน
ดังกล่าวมีการปลอมลายมือชื่อผู้ฟ้องคดีในคาขอจดทะเบียนและ
นาไปย่ืนขอจดทะเบียน โดยท่ีผู้ฟ้องคดีไม่ได้รู้เห็นยินยอมหรือ
มีส่วนเก่ียวข้อง ย่อมเป็นกรณีข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสาคัญของการ
ขอจดทะเบียนไม่ถูกต้องมาแต่แรก อันจะทาให้คาสั่งรับจดทะเบียนให้
ผู้ฟ้องคดีเป็นกรรมการผู้มีอานาจทาการแทนบริษัทเป็นคาส่ังที่
ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผู้อานวยการสานักธุรกิจการค้าภูมิภาค
มีอานาจเพิกถอนคาส่ังทางปกครองท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมายได้
(ตามมาตรา ๔๙ มาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติ
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบข้อ ๑๒ ของ
ระเบียบสานักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง ว่าด้วยการจดทะเบียน
หา้ งห้นุ ส่วนและบรษิ ทั พ.ศ. ๒๕๕๔)
๑๔๖
เม่ือพยานหลักฐานท่ีผู้ฟ้องคดีส่งให้แก่นายทะเบียนฯ
พจิ ารณาประกอบคาขอ อันไดแ้ ก่ หนงั สือสานักคดคี มุ้ ครองผู้บริโภค
และสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ วา่ ผู้ฟ้องคดีเป็นเพยี งลูกจ้าง
ของบริษัท ไม่เคยเกีย่ วข้องกับการดาเนินกิจการหรือการบริหารงาน
ใด ๆ และสาเนารายงานผลการตรวจพิสูจน์เอกสารของสถาบันนิติ
วิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ว่าไม่ใช่ลายมือชื่อของผู้ฟ้องคดี
เอกสารท้ังสองฉบับดังกล่าว เป็นเอกสารของหน่วยงานราชการท่ี
ยอ่ มมีความน่าเช่อื ถือและสามารถรบั ฟงั ได้
การที่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทปฏิเสธไม่เพิกถอนช่ือผู้ฟ้องคดี
ออกจากการเป็นกรรมการบริษัท จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่มีลักษณะ
สร้างข้ันตอนโดยไม่จาเป็น และสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร
อันเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ และเป็นคาสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษาให้เพิกถอนคาสั่งปฏิเสธไม่เพิกถอนช่ือผู้ฟ้องคดีออกจาก
การเปน็ กรรมการบริษทั (คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. ๘๑๔/๒๕๖๒)
คดีดังกล่าวเป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติราชการท่ีดี กรณี
การเพิกถอนคาสั่งทางปกครองท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่
ผู้มีอานาจ ซ่ึงเม่ือปรากฏพยานหลักฐานชัดเจนโดยเฉพาะเอกสารของ
ทางราชการที่ย่อมเชื่อถือได้ว่ามีการปลอมแปลงลายมือชื่อในเอกสารท่ี
จดทะเบียน เจ้าหน้าท่ีจะต้องดาเนินการเพิกถอนการจดทะเบียนท่ี
ไมช่ อบดว้ ยกฎหมายดังกลา่ ว นอกจากนี้ หากขอ้ เทจ็ จริงไม่ชดั เจนเพียงพอ
เจ้าหน้าที่ยังมีอานาจในการแสวงหาข้อเท็จจริงเพ่ิมเติมเพื่อประกอบ
การพิจารณาออกคาสั่งตามกฎหมายวิธีปฏบิ ัติราชการทางปกครองไดอ้ กี ดว้ ย
๑๔๗
เรอื่ งท่ี 2๕
การคุ้มครองความเชื่อโดยสุจรติ
ของผูร้ บั คาส่งั ทางปกครองทไ่ี ม่ชอบดว้ ยกฎหมาย
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ. ๕๘/๒๕๕๔
ประเดน็ ขอ้ พพิ าท
หน่วยงานทางปกครองมีคาส่ังอนุมัติให้ข้าราชการเบิกค่าใช้จ่าย
ในการเดินทาง แต่ภายหลังมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งมีการแก้ไข
อัตราค่าใช้จ่ายโดยปรับลดอัตราค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยให้มีผล
บังคับใช้ย้อนหลัง หน่วยงานต้นสังกัดจึงมีคาสั่งเรียกให้ข้าราชการผู้น้ัน
คืนเงนิ สว่ นทเ่ี ห็นว่าไดเ้ บกิ เกินสทิ ธใิ ห้แกท่ างราชการ
สาระสาคญั
หน่วยงานทางปกครองมีอานาจเพิกถอนคาส่ังทางปกครองที่
ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้โดยอาศัยมาตรา ๓ มาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๑
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
โดยการเพิกถอนคาสั่งดังกล่าวต้องคานึงถึงความเช่ือโดยสุจริต
ของผู้รับคาส่ังในความคงอยู่ของคาส่ังทางปกครองนั้นกับประโยชน์
สาธารณะประกอบกัน ซงึ่ ความเชื่อโดยสุจรติ ของข้าราชการผู้ขอเบิก
ค่าใช้จ่ายได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เมื่อได้ใช้เงินอันเกิดจาก
คาส่ังอนุมัติให้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปหมดแล้ว คาสั่งที่ให้
ข้าราชการคืนเงินส่วนทเ่ี บิกเกนิ สิทธใิ ห้แก่ทางราชการ จึงเป็นคาส่ังที่
ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย
๑๔๘
การคุ้มครองความเชื่อโดยสจุ รติ
ของผ้รู บั คาสง่ั ทางปกครองทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมาย
เม่ือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองออกคาสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบ
ด้วยเง่ือนไขของความชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าท่ีฝ่ายปกครองมี
อานาจเพิกถอนคาส่ังทางปกครองน้ันได้เสมอตามมาตรา ๔๙ และ
มาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ เว้นแต่ในกรณีที่เป็นการเพิกถอนคาส่ังทางปกครองที่
ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่มีลักษณะเป็นการให้ประโยชน์ การเพิกถอน
ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขมาตรา ๕๑ หรือมาตรา ๕๒
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ซึ่งบทบัญญัติท้ังสองมาตรามีลักษณะเป็นการจากัดอานาจของ
เจ้าหน้าท่ีฝ่ายปกครองในการเพิกถอนคาส่ังทางปกครองที่ไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย และเปน็ หลกั ประกนั คมุ้ ครองความเชื่อและความไวว้ างใจ
ของผู้รบั คาสั่ง โดยเจ้าหน้าท่ีฝ่ายปกครองจะเพิกถอนคาส่ังทางปกครอง
ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่มีลักษณะเป็นการให้ประโยชน์ได้หรือไม่
ประการสาคัญคือจะต้องคานึงถึงความเชื่อโดยสุจริตของผู้รับคาสั่ง
ในความคงอยู่ของคาส่ังทางปกครอง ซึ่งหากพิจารณาแล้วเห็นว่า
ความเช่ือโดยสุจริตของผู้รับคาสั่งในความคงอยู่ของคาส่ังทางปกครอง
มีมากกว่าประโยชน์สาธารณะแล้ว เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองย่อม
ไม่อาจเพกิ ถอนคาส่ังทางปกครองดงั กลา่ วได้
คดีปกครองท่ีจะนามาเล่าสู่กันฟังฉบับนี้ เป็นเรื่องของ
ข้าราชการท่ีได้รับอนุมัติให้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แต่ภายหลัง
มีการแก้ไขอัตราค่าใช้จ่ายโดยปรับลดอัตราค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
๑๔๙
หน่วยงานต้นสังกัดจึงมีคาส่ังเรียกเงินคืน ข้าราชการผู้ใช้สิทธิเห็นว่า
ไมไ่ ดร้ บั ความเปน็ ธรรม จึงนาคดีมาฟ้องตอ่ ศาลปกครอง
โดยข้อเท็จจริงมีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ (อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์)
มีคาสั่งปิดสานักงานในต่างประเทศท่ีผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหน้าท่ีประจาอยู่
ผู้ฟ้องคดจี งึ เดินทางกลับประเทศไทย เม่ือวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๔๑
และขอเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับประเทศไทยในอัตราสามเท่า
ของจานวนเงินเพ่ิมพิเศษตามมาตรา ๗๐ (๔) แห่งพระราชกฤษฎีกา
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๒๖ ซ่ึงเป็นกฎหมาย
ท่ีใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้อนุมัติตามท่ีขอ
ต่อมา มาตรา ๗๐ (๔) ถูกยกเลิกโดยมาตรา ๕ แห่งพระราชกฤษฎีกา
ค่าใชจ้ ่ายในการเดนิ ทางไปราชการ (ฉบับท่ี ๖) พ.ศ. ๒๕๔๑ ลงประกาศ
ราชกิจจานุเบกษา วันท่ี ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๑ โดยแก้ไขอัตราเบิก
ค่าใช้จ่ายในการย้ายถ่ินที่อยู่เป็นอัตราหน่ึงเท่าครึ่งของจานวนเงิน
เพ่ิมพิเศษและให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๑
เป็นตน้ ไป ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๑ จึงมหี นงั สอื ใหผ้ ูฟ้ อ้ งคดีนาเงินทเ่ี บิกเกินสทิ ธิ
มาชาระคืนแก่ทางราชการ ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คาส่ัง แต่ปลัดสานัก
นายกรัฐมนตรีมีคาส่ังยกอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีจึงนาคดีมาฟ้องต่อ
ศาลปกครอง ขอให้พิพากษาหรือมีคาส่ังเพิกถอนคาสั่งให้ผู้ฟ้องคดี
คนื เงินแก่ทางราชการ
คาส่ังอนุมัตเิ บิกค่าใช้จา่ ยในการเดนิ ทางกลับประเทศไทย
เป็นคาสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ท่ีผู้ฟ้องคดีจะอ้าง
ความเช่ือโดยสุจริตในความคงอยู่ของคาส่ังทางปกครองตาม
มาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้หรือไม่ ?
๑๕๐
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยกรณีดังกล่าวว่า การที่มาตรา ๗๐ (๔)
แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ พ.ศ. ๒๕๒๖
ถกู แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่าย การเดินทางไปราชการ
(ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยบัญญัติให้ข้าราชการเบิกค่าใช้จ่ายในการ
เดินทางกลับประเทศไทยได้ในอัตราที่ลดลงเหลือเพียงหน่ึงเท่าครึ่ง
ของจานวนเงนิ เพ่ิมพิเศษ และให้พระราชกฤษฎีกามีผลบังคับย้อนหลัง
ซ่ึงศาลปกครองสูงสุดได้มีคาพิพากษาในคดหี มายเลขแดงที่ ฟ. ๘/๒๕๔๗
ว่า พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย ดังน้ัน คาส่ังของ
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ท่ีอนุมัติให้ผู้ฟ้องคดีเบิกเงินค่าใช้จ่ายในการ
เดินทางกลับประเทศไทยในอัตราสามเท่าของเงินเพ่ิมพิเศษ จึงเป็น
คาส่ังทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเฉพาะส่วนที่เกินอัตรา
หน่ึงเท่าครึ่งของจานวนเงินเพิ่มพิเศษ และถือว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้
ได้รับเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์ท่ีอาจแบ่งแยกได้จากคาส่ังที่
ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เม่ือคาสั่งทางปกครองไดเ้ กิดข้ึนแล้วจะมีผล
ในทางกฎหมายไปจนกว่าจะมีการกระทาทางปกครองอ่ืนมาลบล้าง
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ จึงมีอานาจเพิกถอนคาส่ังทางปกครองที่ไม่ชอบ
ด้วยกฎหมายโดยอาศัยมาตรา ๓ มาตรา ๕๐ และมาตรา ๕๑
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
เพ่ือเพิกถอนคาสั่งทางปกครองเดิมบางส่วนได้ การเพิกถอนคาส่ังดังกล่าว
จึงต้องคานึงถึงความเชื่อโดยสุจริตของผู้ฟ้องคดีในความคงอยู่
ของคาส่งั ทางปกครองนัน้ กบั ประโยชนส์ าธารณะประกอบกนั
เม่ือขณะที่ผูฟ้ ้องคดีย่ืนคาขอเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางกลับ
ประเทศไทยและได้รับคาส่ังอนุมัติ ผู้ฟ้องคดีไม่ได้แสดงข้อความ
อนั เป็นเท็จ หรอื ปกปิดข้อความจรงิ ซงึ่ ควรบอกให้แจ้งหรือข่มขู่ หรือ
ชักจูงใจโดยการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใดท่ีมิชอบด้วยกฎหมาย
๑๕๑
หรือได้ให้ข้อความซ่ึงไม่ถูกต้องในสาระสาคัญ หรือได้รู้ถึงความไม่ชอบ
ด้วยกฎหมายของคาส่ังทางปกครองของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ในขณะ
ได้รับคาส่ัง หรือการไม่รู้ถึงความไม่ชอบดว้ ยกฎหมายของคาส่ังเกิดจาก
ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงอ้าง
ความเช่อื โดยสุจรติ ในความคงอย่ขู องคาส่ังของผถู้ ูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้
อีกท้ัง ความเช่ือโดยสุจริตของผู้ฟ้องคดีได้รับความคุ้มครอง
ตามกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องคดีได้ใช้เงินอันเกิดจากคาส่ังอนุมัติ
ใหเ้ บกิ ค่าใชจ้ ่ายในการเดนิ ทางไปหมดแล้ว ประกอบกบั การเพิกถอน
คาส่ังของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ท่ีอนุมัติให้เบิกเงินค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
กลับประเทศไทยในอัตราสามเท่าของจานวนเงินเพิ่มพิเศษบางส่วน
มไิ ด้เป็นประโยชน์กับสาธารณะแต่อย่างใด
ดังนั้น คาส่ังของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ท่ีให้ผู้ฟ้องคดีคืนเงินส่วน
ท่ีอ้างว่าเบิกเกินสิทธิให้แก่ทางราชการ จึงเป็นคาสั่งท่ีไม่ชอบด้วย
กฎหมาย (คาพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๕๘/๒๕๕๔)
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดข้างต้น เป็นตัวอย่างท่ีดี
สาหรับการอธิบายหลักกฎหมายสาคัญ คือ หลักความคุ้มครอง
ความเชื่อถือและความไว้วางใจ (The principle of the protection
of legitimate expectation) ซ่ึงเป็นหลักกฎหมายท่ัวไปท่ีมี
เหตุผลในการคุ้มครองสถานะในกฎหมายของปัจเจกบุคคลจาก
การถูกล่วงละเมิดโดยอานาจรัฐ โดยรัฐตอ้ งไม่ใช้อานาจในรูปแบบต่าง ๆ
เช่น การตรากฎหมายให้มีผลย้อนหลังหรือการใช้อานาจออกคาส่ัง
ทางปกครอง ล่วงละเมิดประโยชน์ ของปัจเจกบุคคลที่เกิดข้ึน
บนพ้ืนฐานของความเช่ือถือและความไว้วางใจต่อกฎหมาย กฎเกณฑ์
คาส่ังทางปกครองหรอื การใชอ้ านาจตา่ ง ๆ ของรัฐ
๑๕๒
แต่อย่างไรก็ตาม หลักนี้ได้รับการยกเว้นให้รัฐสามารถ
ใช้อานาจในลักษณะดังกล่าวได้หากประโยชน์สาธารณะท่ีได้รับจาก
การใช้อานาจน้ันมีอยู่เหนือกว่าประโยชน์ของปัจเจกบุคคลที่ต้อง
เสียหายจากการใช้อานาจรัฐ โดยองค์กรของรัฐสามารถเพิกถอน
กฎเกณ ฑ์ ห รือออกกฎห ม ายให้ มี ผลย้อน ห ลังห รือเพิ กถอน คา ส่ัง
ทางปกครองน้ันได้ ดังเช่น คดีนี้ซึ่งผู้ฟ้องคดีเช่ือโดยสุจริตในขณะที่
ได้รับคาส่ังทางปกครองท่ีอนุมัติให้เบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ในอัตราสามเท่าของจานวนเงินเพิ่มพิเศษว่าเป็นคาสั่งทางปกครอง
ที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีสิทธิท่ีจะใช้ประโยชน์จากคาส่ังทางปกครอง
ดงั กล่าวได้ ประกอบกับการใช้อานาจเพิกถอนคาสั่งทางปกครองดังกล่าว
ก็มิได้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะแต่อย่างใด ดังน้ัน รัฐจึงมีหน้าท่ี
จะตอ้ งคมุ้ ครองความเช่ือถอื และความไวว้ างใจของผูร้ ับคาสั่งดังกลา่ ว
๑๕๓
เรือ่ งที่ 2๖
เม่ือคดอี าญายกฟอ้ ง ...
จะขอให้ยกเลกิ โทษทางวนิ ยั ไดห้ รอื ไม่ ?
คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ. 755/2561
ประเดน็ ขอ้ พพิ าท
อนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณ์ทาการแทนคณะกรรมการ
ข้าราชการตารวจ มีมติไม่รับพิจารณาคาร้องขอของข้าราชการผู้ถูกลงโทษ
ไล่ออกจากราชการท่ีขอให้พิจารณาทบทวนคาสั่งลงโทษไล่ออกจาก
ราชการใหม่ เน่ืองจากคดอี าญายกฟอ้ ง
สาระสาคญั
แม้ในคดีอาญาศาลฎีกาจะมีคาพิพากษายกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐาน
ยังมีเหตุเคลือบแคลงสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้ข้าราชการ
ผู้ถูกลงโทษทางวินัย (จาเลยในคดีอาญา) แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าราชการ
ผู้นั้นไม่ได้กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อกล่าวหา คาพิพากษายกฟ้อง
ของศาลฎีกาจึงไม่ได้เป็นผลให้ข้อเท็จจริงท่ีใช้ในการพิจารณาออกคาสั่ง
ลงโทษไล่ออกจากราชการ และข้อเทจ็ จรงิ ท่ีใชพ้ จิ ารณายกอทุ ธรณ์คาส่งั ดังกลา่ ว
เปล่ียนแปลงไปในสาระสาคัญในทางท่ีเปน็ ประโยชน์แก่ข้าราชการผู้ถกู ลงโทษ
ทางวินัย ในอันท่ีจะทาให้มีคาขอให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอานาจเพิกถอนหรือ
แก้ไขเพ่ิมเติมคาส่ังลงโทษทางวินัยซึ่งเป็นคาสั่งทางปกครองท่ีพน้ กาหนด
อุทธรณ์ได้ตามมาตรา 54 วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติ
ราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
๑๕๔
เมอ่ื คดอี าญายกฟ้อง ...
จะขอให้ยกเลกิ โทษทางวินยั ไดห้ รอื ไม่ ?
หลายท่านอาจเคยสงสัยว่า “โทษทางอาญ า” กับ
“โทษทางวินัย” มีความเกี่ยวข้องหรือมีผลเก่ียวเนื่องสัมพันธ์กัน
หรือไม่ เช่น หากคดีอาญาศาลยกฟ้อง การพิจารณาโทษทางวินัย
จะต้องสอดคล้องกบั ผลในทางอาญาดว้ ยหรอื ไม่
ประเด็นปัญหาข้างต้น... ได้มีผู้นาคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง
ดว้ ยเหตทุ ่ีตนถกู ดาเนนิ การทางวนิ ัยและถูกดาเนินคดอี าญา ผลในทางวินยั
คือ ถูกผู้บังคับบัญชามีคาส่ังไล่ออกจากราชการ แต่ผลในทางอาญา
คือ คดีถึงท่ีสุดโดยศาลมีคาพิพากษายกฟ้อง เช่นนี้ข้าราชการดังกล่าว
จะขอให้ผู้มีอานาจทบทวนหรือแก้ไขคาสั่งลงโทษทางวินัยใหม่ให้สอดคล้อง
กบั ผลในทางอาญาได้หรือไม่ ?
เรื่องนี้... เป็นกรณีที่สิบตารวจโทหนึ่ง (นามสมมติ) ได้ถูก
คาส่ังลงโทษทางวินัยไล่ออกจากราชการฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
ด้วยเหตทุ ี่ถกู กล่าวหาวา่ กระทาความผิดฐานพยายามฆ่าผอู้ ่ืน มีและพา
อาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งในระหว่างท่ี
ถูกดาเนินการทางวินัยและถูกดาเนินคดีอาญาไปพร้อมกันนั้น ในทางวินัย
ได้ถกู สัง่ ให้ออกจากราชการไวก้ อ่ นเพอ่ื รอฟังผลการสอบสวน
ในส่วนคดีอาญา ศาลจังหวัดได้มีคาพิพากษาว่าสิบตารวจโทหนึ่ง
มคี วามผิดฐานพยายามฆา่ ผอู้ ่ืน และฐานมีและพาอาวุธปืนไปในเมือง
หมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร พิพากษาลงโทษจาคุก และศาลอุทธรณ์ภาค
กไ็ ด้พพิ ากษายนื ตามศาลจังหวดั
๑๕๕
ในส่วนการดาเนินการทางวนิ ัย สิบตารวจโทหนึ่งถูกกล่าวหาว่า
กระทาความผิดวนิ ัยอย่างร้ายแรงเนื่องจากถูกดาเนินคดีอาญาในข้อหา
ดังกล่าว จากการรบั ฟงั ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานซงึ่ สบิ ตารวจโทหนงึ่
ถูกจับกุมในขณะขับรถยนต์อยู่ใกล้สถานท่ีเกิดเหตุที่คนร้ายใช้อาวุธ
ปืนยิงเข้าไปในบ้านพักของพันตารวจเอกสอง (นามสมมติ) และเม่ือ
ตรวจสอบพบว่าสิบตารวจโทหน่ึงพกอาวุธปนื พร้อมกระสุนขนาดเดียวกัน
และพบปลอกกระสุนปนื ตกท่ีกระบะหลังรถยนต์ 1 ปลอก และระหว่าง
กระจกหน้ากับกระโปรงรถอีก 1 ปลอก โดยผลการตรวจปลอกกระสนุ ปืน
และของกลางจากกองวิทยาการยืนยันว่าตรงกับอาวุธปืนชนิดและ
ขนาดเดียวกับที่พบในตัวสิบตารวจโทหน่ึง จึงเชื่อวา่ ยิงมาจากอาวธุ ปืน
กระบอกเดียวกนั และน่าจะมีสาเหตมุ าจากท่ีภริยาของพนั ตารวจเอกสอง
เป็นนักการเมืองคนละฝ่ายกับสิบตารวจโทหน่ึง ผู้มีอานาจจึงมีคาสั่งลงโทษ
ไล่สิบตารวจโทหนึ่งออกจากราชการฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง
ตามมาตรา 79 (5) แห่งพระราชบัญญัติตารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547
สิบตารวจโทหนึ่งได้ย่ืนอุทธรณ์คาส่ังลงโทษต่อคณะกรรมการข้าราชการ
ตารวจ แต่อนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการอุทธรณ์ ทาการแทน
คณะกรรมการขา้ ราชการตารวจได้พจิ ารณาแล้วมีมติยกอทุ ธรณ์
ต่อมาปรากฏว่า... ศาลฎีกาได้มีคาพิพากษายกฟ้อง
สิบตารวจโทหนึ่งในข้อหาพยายามฆ่าผู้อ่ืน เน่ืองจากพยานหลักฐานยัง
มีเหตุเคลือบแคลงสงสัย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จาเลย
เมื่อคดีถึงที่สุดเช่นน้ี สิบตารวจโทหน่ึงเห็นว่าการที่ศาลฎีกา
มีคาพิพากษายกฟ้องในฐานพยายามฆ่านั้น ถือเป็นข้อเท็จจริงท่ี
เปล่ียนแปลงไปในสาระสาคัญท่ีจะเป็นประโยชน์แก่ตน ซ่ึงพระราชบัญญัติ
วธิ ีปฏบิ ัติราชการทางปกครองฯ บญั ญัติให้สทิ ธิในการขอให้พิจารณา
โทษทางวินัยใหม่ได้ ดังนั้น เมื่อตนถูกศาลฎีกาพิพากษาลงโทษ
๑๕๖
เฉพาะในความผิดฐานมีและพาอาวุธปนื ไปในเมือง หมู่บา้ นโดยไมม่ ีเหตุ
อันควร ลงโทษจาคกุ 4 เดอื น และใหร้ อการลงโทษไว้ 2 ปี หากจะต้อง
ถูกลงโทษทางวินัยก็ควรเป็นโทษทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง มิใช่โทษ
ไล่ออกจากราชการ จึงมีหนังสือถึงคณะกรรมการข้าราชการตารวจ
เพ่ือขอให้พิจารณาทบทวนคาสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการใหม่
โดยอ้างวา่ “ข้อเท็จจริงตามท่ีถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง
ได้เปล่ียนแปลงไปในสาระสาคัญโดยศาลฎีกาได้มีคาพิพากษายกฟ้อง
ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จึงไม่ได้กระทาความผิดตามท่ี
ถูกกล่าวหา” ซ่ึงอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณ์ฯ พิจารณาแล้ว
มีมติไม่รับคาร้องขอให้พิจารณาอุทธรณ์ใหม่ สิบตารวจโทหน่ึงจึง
น า ค ดี ม า ฟ้ อ ง ต่ อ ศ า ล ป ก ค ร อ ง เพ่ื อ ข อ ใ ห้ เพิ ก ถ อ น ม ติ ดั ง ก ล่ า ว
ของอนุกรรมการ ก.ตร. เกยี่ วกบั การอทุ ธรณ์ฯ
สาหรับการขอให้พจิ ารณาทบทวนคาสง่ั ลงโทษทางวินยั ใหม่
น้ัน เม่ือพระราชบัญญัติตารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มิได้กาหนด
หลักเกณฑ์และระยะเวลาในการขอให้พิจารณาใหม่ไว้โดยเฉพาะ
จึงต้องใช้บังคับตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. 2539 ซ่ึงถือเป็นกฎหมายกลางที่เป็นหลักในการพิจารณา
ทางปกครองของเจ้าหน้าท่ี ท้ังนี้ ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติ
เดียวกัน โดยมาตรา 54 ได้กาหนดหลักเกณฑ์การขอให้พิจารณาใหม่
ไว้ว่า “เจ้าหน้าท่ีอาจเพิกถอนหรือแก้ไขเพิ่มเติมคาส่ังทางปกครอง
ที่พ้นกาหนดอุทธรณ์ได้ในกรณีดังต่อไปนี้ (1) มีพยานหลักฐานใหม่
อันอาจทาให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปใน
สาระสาคัญ (2) คู่กรณีท่ีแท้จริงมิได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณา
ทางปกครอง หรือได้เข้ามาในกระบวนการพิจารณาคร้ังก่อนแล้ว
แต่ถูกตัดโอกาสโดยไม่เป็นธรรมในการมีส่วนร่วมในกระบวนการ
๑๕๗
พิจารณาทางปกครอง (3) เจ้าหน้าท่ีไม่มีอานาจท่ีจะทาคาสั่ง
ทางปกครองในเรื่องนั้น หรือ (4) ถ้าคาสั่งทางปกครองได้ออกโดย
อาศัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายใด และต่อมาข้อเท็จจริงหรือ
ข้อกฎหมายนั้นเปล่ียนแปลงไปในสาระสาคัญในทางที่จะเป็น
ประโยชน์แก่คู่กรณี ซึ่งคู่กรณีจะต้องย่ืนคาขอให้พิจารณาใหม่
ภายในเก้าสบิ วนั นับแตไ่ ดร้ ถู้ งึ เหตทุ อ่ี าจขอใหพ้ จิ ารณาใหม่ได้”
ประเด็นท่ีน่าสนใจ คือ ผลของคาพิพากษาที่ถึงที่สุดของ
ศาลฎกี านั้น ถอื ว่าเป็นข้อเท็จจริงท่ีเปลี่ยนแปลงไปในสาระสาคัญ
ในทางท่ีจะเป็นประโยชน์แก่คู่กรณีตามมาตรา ๕๔ (๔) แห่ง
พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ท่ีเจ้าหน้าท่ีผู้มีอานาจจะสามารถแก้ไขคาสั่งลงโทษทางวินัยใหม่
ได้หรอื ไม่ ?
ก่อนจะวินิจฉัยในเน้ือหาของคดี ศาลปกครองสูงสุดได้
วิ นิ จ ฉั ย ใน ป ร ะ เด็ น เกี่ ย ว กั บ ร ะ ย ะ เว ล า ข อ ง ก า ร ยื่ น ค า ข อ ให้
พิจารณาใหม่ว่า เม่ือศาลฎีกาได้มีคาพิพากษายกฟ้องในความผิด
ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น โดยอ่านคาพิพากษาเม่ือวันท่ี 6 ตุลาคม
2552 จึงถือว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่ผู้ฟ้องคดีได้รู้ถึงเหตุท่ีจะขอให้
พิจารณาใหม่ การท่ีผู้ฟ้องคดีมีหนังสือลงวันท่ี 29 ธันวาคม 2552
ขอให้คณะกรรมการข้าราชการตารวจ (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี 3) พิจารณา
ทบทวนคาสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการใหม่ จึงเป็นการย่ืนคาขอ
ภายในกาหนดเก้าสิบวันนับแต่ได้รู้ถึงเหตุซ่ึงอาจขอให้พิจารณาใหม่
ได้ตามมาตรา 54 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. 2539
ส่วนประเด็นที่ผู้ฟ้องคดอี ้างเหตุวา่ เมื่อศาลฎีกามีคาพิพากษา
ยกฟ้อง ทาให้ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นเหตุผลในการลงโทษวินัยอย่างร้ายแรง
๑๕๘
เปล่ียนแปลงไปในสาระสาคัญ ผู้ฟ้องคดีจึงไม่ได้เป็นผู้กระทา
ความผดิ ตามทถี่ กู กล่าวหาน้นั
ศาลปกครองสูงสุดวินจิ ฉัยว่า... แม้พฤติการณ์ทเ่ี ปน็ เหตใุ ห้
ผู้ฟ้องคดีถูกดาเนินคดีอาญาและดาเนินการทางวินัยจะเป็นการถูก
กล่าวหาว่ากระทาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อ่ืน และฐานมีและพา
อาวุธปืน ไปในเมือง หมู่บ้านโดยไม่มีเหตุอันควร แต่โดยท่ีกฎหมาย
ว่าด้วยวินัยข้าราชการตารวจได้กาหนดอานาจหน้าท่ีและวิธีการ
สอบสวนพิจารณาโทษทางวนิ ัยไวเ้ ป็นส่วนหนึ่งแยกตา่ งหากจากการ
ดาเนินคดีอาญา โดยโทษทางวินัยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาระเบียบ
วนิ ัยของเจ้าหน้าที่ของรัฐให้เปน็ ผู้เหมาะสมและสมควรแก่ความไวว้ างใจ
ของสาธารณชนที่จะใชอ้ านาจรัฐในการจัดทาบริการสาธารณะ ส่วน
การดาเนินคดีอาญาเป็นการดาเนินการเพ่ือนาตัวผู้กระทาผิดมาลงโทษ
แ ล ะ โท ษ น้ั น มี ผ ล ก ร ะ ท บ ต่ อ สิ ท ธิ แ ล ะ เส รี ภ า พ ข อ งผู้ ก ร ะ ท า ผิ ด
ก า ร ล งโท ษ ใน ค ดี อ า ญ า จึ ง ต้ อ ง ก ร ะ ท า โด ย มี พ ย า น ห ลั ก ฐ า น อั น
ประจักษ์แจ้ง หากมีความสงสัยตามสมควรว่าจาเลยได้กระทาผิด
หรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยน้ันให้จาเลย ฉะน้ัน การรับฟัง
พยานหลักฐานเพ่ือจะลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดี ผู้บังคับบัญชาจึง
ไม่จาเป็นต้องมีพยานหลักฐานชัดแจ้งโดยปราศจากข้อสงสัยดังเช่น
คดอี าญา
เมื่อตารวจภูธรจังหวัดมีคาส่ังลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจาก
ราชการ และอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการอุทธรณ์ ทาการแทน
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี 3 มีมติยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี แม้ต่อมาศาลฎีกาจะมี
คาพิพากษายกฟ้องในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น แต่การยกฟ้องน้ัน
ก็เนื่องจากพยานหลักฐานยังมีเหตุเคลือบแคลงสงสัย จึงยกประโยชน์
แห่งความสงสัยให้ผ้ฟู ้องคดี (จาเลยในคดอี าญา) ตามมาตรา 2๒7 วรรคสอง
๑๕๙
แห่งประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา ซึ่งมิได้หมายความว่า
ผฟู้ ้องคดไี มไ่ ด้กระทาผดิ วินยั อยา่ งร้ายแรงตามขอ้ กลา่ วหาแตอ่ ยา่ งใด
คาพิพากษายกฟ้องของศาลฎีกา จึงมิได้เป็นผลให้ข้อเท็จจริง
ที่ใช้ในการพิจารณาออกคาสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
และขอ้ เทจ็ จรงิ ท่ีใช้พิจารณายกอทุ ธรณ์ของผ้ฟู ้องคดีเปล่ียนแปลงไป
ในสาระสาคัญในทางท่ีเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟ้องคดี ในอันที่จะทาให้
ผูฟ้ ้องคดีมีคาขอให้เจ้าหน้าที่เพิกถอนหรอื แก้ไขเพิ่มเติมคาสั่งลงโทษ
ทางวินัยซึ่งเป็นคาสั่งทางปกครองท่ีพ้นกาหนดอทุ ธรณ์ได้ตามมาตรา 54
วรรคหนึ่ง (4) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. 2539
ดังน้ัน การท่ีอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการอุทธรณ์ทาการแทน
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี 3 มีมติไม่รับพิจารณาคาร้องขอให้พิจารณาอุทธรณ์
ใหม่ของผู้ฟ้องคดี และการมีคาส่ังลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
จึงเป็นคาสั่งท่ีชอบด้วยกฎหมาย (คาพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อ. 755/2561)
คาวินิจฉัยของศาลปกครองดังกล่าวได้วางบรรทัดฐานว่า
ผลแห่งคาพิพากษาถึงท่ีสุดของศาลฎีกา ซ่ึงยกฟ้องคู่กรณี (จาเลย
ในคดีอาญา) เพราะเหตุมีความสงสัยตามสมควรในพยานหลักฐาน
มิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนแปลงไปในสาระสาคัญในทางท่ีจะ
เป็นประโยชน์แก่คู่กรณีตามมาตรา ๕๔ (๔) แห่งพระราชบัญญัติ
วธิ ีปฏิบัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ท่ีจะร้องขอให้เจ้าหน้าที่
ผู้มีอานาจพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขเพ่ิมเติมคาสั่งลงโทษทางวินัย
ใหม่ได้ ท้ังนี้ เพราะกระบวนการดาเนินการทางวนิ ัยกับกระบวนการ
ดาเนินคดีอาญาน้ัน เป็นกระบวนการท่ีแยกต่างหากจากกัน
มีวัตถุประสงค์ในการลงโทษที่ไม่เหมือนกัน จึงมีหลักในการรับฟัง
๑๖๐
ข้อเท็จจริงที่ต่างกัน โดยในคดีอาญาจะต้องรับฟังพยานหลักฐาน
ถึงขนาดท่ีต้องชัดแจ้งจนปราศจากข้อสงสัยหรือจนกว่าจะแน่ใจ
วา่ มีการกระทาผิดจริงและจาเลยเป็นผู้กระทาความผิดน้ัน หากยังมี
ค วาม เค ลื อ บ แ ค ล งส งสั ย ห รือ มี ค วาม ส งสั ยต าม ส ม ค วรว่าจ า เล ย
ได้กระทาผิดหรือไม่ จะยกประโยชน์แห่งความสงสัยน้ันให้จาเลย
เพราะโทษทางอาญามีลักษณะเป็นการจากัดและมีผลกระทบต่อ
สิทธิเสรีภาพของผู้ถูกลงโทษเป็นสาคัญ แต่โทษทางวินัยจะมุ่งหมาย
ให้เจ้าหน้าท่ีของรัฐปฏิบัติตนให้อยภู่ ายใตก้ รอบของระเบียบวินยั ของ
ราชการ ดารงตนอย่างเหมาะสมและให้เป็นท่ีไว้วางใจของประชาชน
ฉะนน้ั หากพยานหลักฐานเพียงพอหรอื มีมูลที่จะรบั ฟังไดว้ ่าผ้ถู กู กล่าวหา
กระทาความผิดวนิ ยั ก็สามารถพิจารณาลงโทษทางวนิ ยั ไดแ้ ลว้
๑๖๑
เร่อื งที่ 2๗
ระยะเวลาฟอ้ งคดี ... กรณีเจ้าพนกั งานทด่ี นิ
ไมอ่ อกโฉนดให้เนอ่ื งจากมผี คู้ ัดคา้ น !
คาสง่ั ศาลปกครองสงู สุดที่ 8/2563
ประเดน็ ข้อพพิ าท
เจ้ าพ นั ก งาน ที่ ดิ น ไม่ อ อ ก โฉ น ด ที่ ดิ น ให้ ต าม ค า ข อ เน่ื อ งจ าก
กรมธนารักษ์คัดค้านการออกโฉนดท่ีดินโดยอ้างว่าเป็นที่ราชพัสดุ
ผูย้ ่ืนคาขอจึงใช้สทิ ธิฟอ้ งคดีต่อศาลปกครอง
สาระสาคญั
การย่ืนฟ้องคดีปกครองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ ต้องยื่นฟ้องภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุ
แห่งการฟ้องคดีตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญตั เิ ดยี วกัน
แม้จะไม่ปรากฏว่าผู้ย่ืนคาขอออกโฉนดได้รับหนังสือของเจ้าพนักงาน
ท่ีดินที่แจ้งว่ามีผู้คัดค้านและแจ้งว่าไม่สามารถออกโฉนดท่ีดินให้ได้
วันใด แตโ่ ดยทม่ี าตรา 71 แห่งพระราชบญั ญัติวธิ ปี ฏบิ ัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. 2539 กาหนดให้ถือว่าได้รับแจ้งเม่ือครบ 7 วัน นับแต่วันส่ง
(กรณีส่งทางไปรษณีย์ตอบรับภายในประเทศ) จึงถือว่าผู้ย่ืนคาขอควรได้รับ
หนังสือดังกล่าวเมื่อครบ 7 วัน นับแต่วันส่งหนังสือน้ัน และถือว่า
วันดังกล่าวเป็นวันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี โดยจะต้อง
ฟ้องคดีภายในระยะเวลาตามมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง
ศาลปกครองและวิธีพจิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
๑๖๒
ระยะเวลาฟอ้ งคดี ... กรณเี จา้ พนักงานทดี่ นิ
ไมอ่ อกโฉนดให้เน่อื งจากมผี คู้ ัดค้าน !
กรณีผู้ครอบครองที่ดินได้ยื่นคาขอออกโฉนดที่ดิน แต่
เจ้าพนักงานที่ดินไม่ดาเนินการให้ตามคาขอ โดยอ้างว่ามีหน่วยงานอื่น
ยืน่ คัดคา้ นการออกโฉนดท่ีดนิ แปลงดงั กล่าว
เช่นน้ี ... หากผู้ยื่นคาขอประสงค์จะใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาล
จะตอ้ งฟ้องภายในกาหนดเวลาใด ?
นับเป็นเร่ืองน่าสนใจและเป็นเรื่องใกล้ตวั สาหรับผู้ครอบครอง
ที่ดินทุกท่าน ซึ่งสามารถหาคาตอบได้ในอุทาหรณ์จากคดีปกครอง
ท่นี ามาฝากในวนั น้ี ...
เหตุของคดีเกิดเมื่อ ... นางต้อยตงิ่ ซึ่งครอบครองทาประโยชน์
ในที่ดนิ ตามหนังสือรบั รองการทาประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ไดย้ ื่นคาขอ
ลงวันท่ี 11 สิงหาคม 2558 เพือ่ ขอออกโฉนดท่ีดนิ ต่อเจ้าพนักงานท่ีดนิ
แต่เจ้าพนักงานท่ีดินมีหนังสือลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2559 แจ้งว่า
กรมธนารักษ์คัดค้านการออกโฉนดท่ีดินโดยอ้างว่าเป็นที่ราชพัสดุ
ใช้ประโยชน์เป็นท่ีต้ังบ้านพักศึกษาธิการอาเภอและจัดให้เช่า
ซึ่งนางต้อยติ่งได้สอบถามความคืบหน้าในการรังวัดออกโฉนดท่ีดิน
มาโดยตลอด และเจ้าพนักงานท่ีดินก็ได้มีหนังสือลงวันท่ี 11
พฤศจิกายน 2559 และลงวันท่ี 9 มิถุนายน 2560 ช้ีแจงเหตุ
ทไ่ี มส่ ามารถดาเนินการได้
นางต้อยติ่งเห็นว่า ท่ีดินดังกล่าวไม่ใช่ที่ราชพัสดุ การคัดค้าน
ของกรมธนารักษ์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและเป็นการรบกวนสิทธิ
ของตน และการที่เจ้าพนักงานที่ดินไม่ออกโฉนดที่ดินตามคาขอ
๑๖๓
เปน็ การละเลยตอ่ หนา้ ท่ี ซ่งึ กรมทด่ี ินในฐานะหน่วยงานตน้ สังกัดตอ้ ง
รว่ มรับผดิ
นางต้อยต่ิงจึงยื่นคาฟ้องต่อศาลปกครองในวันที่ 23
สิงหาคม 2560 ขอให้ศาลมีคาพิพากษาให้เจ้าพนักงานที่ดิน
(ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี 1) และกรมท่ีดิน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ดาเนินการ
ออกโฉนดท่ีดนิ ให้ และห้ามกรมธนารักษ์ (ผู้ถูกฟ้องคดที ี่ 3) ยุ่งเก่ียว
หรอื รบกวนการครอบครองทดี่ ินพพิ าท
ประเด็นสาคัญของคดี คือ นางต้อยติ่งยื่นคาฟ้องภายใน
ระยะเวลาตามที่กฎหมายกาหนดไวห้ รือไม่ ?
ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า การฟ้องว่ากรมธนารักษ์
กระทาการไม่ชอบ เป็นคดีพิพาทตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1)
แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ ซ่ึงนางต้อยติ่งเป็นผู้ได้รับ
ความเดือดรอ้ นเสียหายจากการท่ีกรมธนารกั ษ์คัดค้านการออกโฉนดท่ีดิน
และการแก้ไขความเดือดร้อนเสียหายดังกล่าว ศาลสามารถออกคาบังคับ
โดยสั่งห้ามการกระทาท้ังหมดหรือบางส่วนไดต้ ามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (1)
นางตอ้ ยตงิ่ จงึ เป็นผู้มสี ทิ ธฟิ อ้ งคดีตามมาตรา 42 วรรคหนึง่ โดยต้อง
ยื่นฟอ้ งภายใน 90 วัน นบั แตว่ ันทีร่ ู้หรือควรรู้ถงึ เหตุแหง่ การฟอ้ งคดี
ตามมาตรา 49 แหง่ พระราชบญั ญัติเดยี วกัน
แม้จะไม่ปรากฏว่านางต้อยติ่งได้รับแจ้งหนังสือของเจ้าพนักงาน
ทด่ี นิ ลงวันท่ี 21 กรกฎาคม 2559 ที่แจ้งเรอ่ื งคัดค้านของกรมธนารักษ์
วันใด แต่โดยท่ีมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. 2539 กาหนดให้ถือว่าได้รับแจ้งเม่ือครบ 7 วัน
นับแต่วันส่ง (กรณีส่งทางไปรษณีย์ตอบรับภายในประเทศ) จึงถือว่า
นางต้อยต่ิงควรได้รับหนังสือดังกล่าวในวันท่ี 29 กรกฎาคม 2559
และตอ้ งฟ้องกรมธนารักษ์ภายใน 90 วนั นับแต่วันดงั กล่าว ซึ่งถือเป็น
๑๖๔
วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี คือ ตอ้ งย่ืนฟ้องภายในวันที่
27 ตุลาคม 2559
สว่ นการที่นางตอ้ ยต่งิ ฟอ้ งเจ้าพนักงานทดี่ ินวา่ ละเลยต่อหนา้ ท่ี
ไม่ออกโฉนดที่ดินให้ตามคาขอน้ัน ถือเป็นคดีพิพาทตามมาตรา 9
วรรคหน่ึง (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ และศาล
สามารถออกคาบังคับโดยสงั่ ใหเ้ จ้าพนกั งานทีด่ ินปฏบิ ตั ิหนา้ ทภ่ี ายในเวลา
ที่กาหนดได้ตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (2) นางต้อยติ่งจึงเป็นผู้มีสิทธิ
ฟอ้ งคดีตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง และต้องฟ้องคดีภายในระยะเวลา
ตามมาตรา 49 แหง่ พระราชบญั ญัตเิ ดยี วกัน
เม่ือปรากฏว่าเจ้าพนักงานท่ีดินมีหนังสือลงวันท่ี 11
พฤศจิกายน 2559 แจ้งให้นางต้อยต่ิงทราบว่าไม่สามารถออก
โฉนดที่ดนิ ให้ได้ เนื่องจากมีผู้คัดค้านและไม่สามารถทาการสอบสวน
เปรียบเทียบตามมาตรา 60 แห่งประมวลกฎหมายท่ีดินได้ โดยที่
ไม่ปรากฏว่านางต้อยต่ิงได้รับหนังสือวันใด กรณีถือว่านางต้อยติ่ง
ควรได้รับหนังสือดังกล่าวในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2559
ตามมาตรา 71 แห่งพระราชบญั ญัตวิ ธิ ปี ฏบิ ัติราชการทางปกครองฯ
และต้องฟอ้ งเจา้ พนักงานท่ีดนิ และกรมที่ดินภายใน 90 วนั นับแต่วันท่ีรู้
หรือควรรถู้ งึ เหตุแห่งการฟ้องคดี คือ ภายในวันที่ 17 กมุ ภาพนั ธ์ 2560
การท่ีนางต้อยติ่งยื่นฟ้องกรมธนารักษ์ เจ้าพนักงานที่ดิน
และกรมท่ีดินทั้งสองกรณีต่อศาลในวันท่ี 23 สิงหาคม 2560
ถอื เปน็ การย่นื คาฟอ้ งเมื่อพน้ กาหนดระยะเวลา 90 วัน นับแตว่ นั ที่รู้
หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีตามมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติ
จัดตั้งศาลปกครองฯ ศาลปกครองจึงมีคาส่ัง ไม่รับคาฟ้องไว้พิจารณา
(คาสง่ั ศาลปกครองสูงสดุ ที่ 8/2563)
๑๖๕
สรุปได้ว่า ... เง่อื นไขเร่ืองระยะเวลาการฟ้องคดีเป็นส่ิงสาคัญ
ท่ผี ้เู ดือดร้อนหรือเสยี หายต้องศึกษาเมื่อเกดิ ขอ้ พิพาทขน้ึ ซ่ึงการฟ้องว่า
หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทาการโดยไม่ชอบ
หรือละเลยต่อหน้าท่ี ต้องยื่นฟ้องภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่รู้หรือ
ควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี และกรณีที่ได้รับหนังสือแจ้งคาส่ัง
ทางปกครองจากหน่วยงานโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ
เม่ือไม่ปรากฏข้อมูลชัดเจนว่าผู้รับได้รับหนังสือในวันใด ให้ถือว่า
ได้รับแจ้งเมื่อครบกาหนด 7 วัน นับแต่วันส่ง และถือว่าวันดังกล่าว
เป็นวนั ที่รหู้ รอื ควรรถู้ งึ เหตแุ ห่งการฟอ้ งคดนี น้ั แล้ว
ทป่ี รกึ ษา ผลดี เลขาธกิ ารสานกั งานศาลปกครอง
นายอติโชค ธญั ญสิริ รองเลขาธกิ ารสานกั งานศาลปกครอง
นางสมฤดี
ไขวพ้ นั ธุ์ ผอู้ านวยการสานักวจิ ัยและวิชาการ
คณะทางาน ปังประเสรฐิ ผู้ อ านวยการกลุ่ มเผยแพร่ ข้ อมู ล
นายปยิ ะศาสตร์ ทางวิชาการและวารสาร
นางสาวธัญธร พนกั งานคดีปกครองชานาญการ
พนักงานคดีปกครองชานาญการ
นางสาวจารณุ ี กจิ ตระกูล พนกั งานคดปี กครองชานาญการ
นางสาวนติ า บุณยรัตน์ พนกั งานคดีปกครองปฏิบัติการ
นางสาวจดิ าภา มุสิกธนเสฏฐ์ พนกั งานคดปี กครองปฏิบัตกิ าร
นางสาวสุชาดา ศรเี กลีย้ ง พนักงานคดีปกครองปฏบิ ตั ิการ
นายวฒั นา ขวัญสดุ เจา้ พนกั งานธรุ การชานาญงาน
นางสาวดาริกา หวนสุริยา เจา้ พนกั งานธุรการชานาญงาน
นางสาวกชพร นคิ มเขต ผู้พมิ พ์
นางสาวดวงแก้ว เกิดจันทร์ เจา้ พนักงานธรุ การปฏิบัตงิ าน
ผอู้ อกแบบปก
นางสาวอรณชิ า โฉมวัฒนา