The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ฐานข้อมูลด้านศาสนา วัฒนธรรม และจารีตประเพณีท้องถิ่น ประจำปี ๒๕๖๔

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by cr.cultural.lib, 2022-01-20 02:21:59

ฐานข้อมูลด้านศาสนา วัฒนธรรม และจารีตประเพณีท้องถิ่น ประจำปี ๒๕๖๔

ฐานข้อมูลด้านศาสนา วัฒนธรรม และจารีตประเพณีท้องถิ่น ประจำปี ๒๕๖๔

ประวัตคิ นยอง “บำ้ นแม1ค่48ำสบเปนิ ”
ชำวยอง หรือชำวเมืองยองคือชำวลื้อที่ตั้งบ้ำนเรือนอยู่บริเวณเมือง
ยอง และกระจำยอยู่ในด้ำนตะวันออกของรัฐฉำน ประเทศพม่ำ เขตสิบ
สองปันนำ ในมณฑลยูนนำนของจีน ถึงรัชสมัยพระบำทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้ำจุฬำโลกมหำรำช จึงถูกพระเจ้ำกำวิละแห่งนครเชียงใหม่กวำด
ต้อนเข้ำมำตั้งบ้ำนเรือนในจังหวัดลำพูน เชียงใหม่ เชียงรำย และน่ำน
ตำมนโยบำย "เกบ็ ผักใส่ซำ้ เกบ็ ข้ำใสเ่ มอื ง" เพ่อื ฟนื้ ฟูบำ้ นเมอื ง

หลังกำรปกครองของพม่ำในล้ำนนำส้ินสุดลง จำกตำนำน ชำวเมืองยองซ่ึงเป็นชำวล้ือได้อพยพมำจำกเมืองเชียงรุ่ง
และเมืองอื่น ๆ ใน สิบสองปันนำ และได้อพยพเข้ำมำตั้งถ่ินฐำนครั้งใหญ่ในเมืองลำพูนและเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2348
ดว้ ยสำเหตุของสงครำม เจ้ำเมอื งยองพร้อมดว้ ยบุตรภรรยำน้องทั้ง 4 ญำตพิ ่นี อ้ ง ขนุ นำง พระสงฆแ์ ละไพรพ่ ลจำก เมือง
ยอง จำนวน 20,000 คนเข้ำมำแผว้ ถำงเมืองลำพนู ท่ีร้ำงอยู่ ตง้ั บ้ำนเรือนตำมลุ่มน้ำแม่ทำ นำ้ แม่ปิง ผู้คนท่วั ไปในแถบ
นั้นจึงเรียกคนที่มำจำกเมืองยองว่ำ ชำวไทยอง ในสมัยนั้นผู้คนต่ำงเมืองที่มำอยู่ร่วมกัน จะเรียกขำนคนที่มำจำกอีก
เมืองหน่ึงตำมนำมของคนเมืองเดิม เช่น คนเมืองเชียงใหม่ คนเมืองลำปำง คนเมืองแพร่ คนเมืองน่ำน คนเมืองเชียงตุง
เป็นต้น แต่ของคนเมืองยองนั้น ต่อมำคำว่ำเมืองได้หำยไป คงเหลืออยู่คำว่ำ คนยอง ดังน้ัน ยอง จึงมิใช่เป็นเผ่ำพันธ์ุ
และเม่ือวิเครำะห์จำกพัฒนำกำรประวัติศำสตร์ของเมืองยองแล้ว ชำวไทยอง ก็คือ ชำวไทล้ือน่ันเอง ประวัติบ้ำนแม่คำ
สบเปิน หมู่ ๑ และบำ้ นแม่เปิน หมู่ ๑๔ ในรชั สมยั ของพระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หวั รัชกำลท่ี ๕ ชว่ งเวลำ
น้ันเมืองเชียงแสนยังไม่ได้รับกำรฟนื้ ฟูให้เป็นบ้ำนเมืองขึ้นมำ จึงทำให้มีกลุ่มชำวเง้ียว (ไทใหญ่) ชำวไทเขิน และชำวไท
ลื้ออพยพเข้ำมำอำศัยอยู่ในที่รำบเชียงแสน ดังน้ันเจ้ำเมืองเชียงใหม่ได้ทรำบถึงเรื่องนี้จึงให้เจ้ำรำชวงศ์เมืองเชียงใหม่
แจ้งแก่พระบำทสมเด็จพระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัวเพื่อให้ทรงทรำบถึงกำรเข้ำมำบุกรุกของชำวเชียงตุง พระองค์จึงแจ้ง
ให้เจ้ำหลวงเมืองเชียงใหม่ในขณะนั้นคือพระเจ้ำอินทวิชยำนนท์เกณฑ์กำลังพลจำกเมืองเชียงใหม่ ลำปำง และลำพูน
ขึ้นมำขับไล่ชำวเชียงตุงออกจำกพ้ืนที่เมืองเชียงแสน ต่อมำเมื่อได้ขับไล่ชำวเชียงตุงออกไปแล้วพระบำทสมเด็จ
พระจลุ จอมเกล้ำเจ้ำอยู่หวั จึงโปรดเกล้ำใหท้ ำกำรฟ้นื ฟูเมอื งเชียงแสนขึน้ มำใหม่โดยโปรดเกล้ำฯ ให้เจ้ำอินต๊ะซึ่งเป็นบุตร
ของเจ้ำบุตรเจ้ำบุญมำเจ้ำผู้ครองนครลำพูนเป็นผู้เกณฑ์รำษฎรชำวเชียงใหม่ ลำพูนและชำวลำปำงข้ึนมำฟื้นฟู
เมอื งเชียงแสน เมอ่ื ปี ๒๔๒๓ จำกบันทึกของชำวต่ำงชำติที่เข้ำมำเมอื งเชียงใหม่และเมืองเชียงแสนในยุคนั้นได้กล่ำวถึง
กำรฟน้ื ฟูเมืองเชยี งแสนเอำไว้

บ้ำนแม่คำสบเปินและบ้ำนแม่เปินต้ังอยู่ในตำบลแม่คำ หรือแขวงแม่คำในแขวงเชียง
แสนหลวง ในขณะนั้นแขวงเชียงแสนหลวง(เมืองเชียงแสน) มีท้ังหมด ๗ ตำบล เมื่อปี พ.ศ.
๒๔๔๐ ต่อมำเมื่อปี ๒๔๕๒ แขวงเชียงแสนหลวงได้เปลี่ยนช่ือมำเป็นอำเภอแม่จัน ส่วนก่ิง
อำเภอเชียงแสนได้เปล่ียนเป็นช่ืออำเภอเชียงแสน ในอดีตพื้นที่ของตำบลแม่คำมีอำณำเขต
ท่ีกว้ำงขวำงมำกโดยพื้นที่อำเภอแม่ฟ้ำหลวงในปัจจุบันก็เป็นอำณำเขตของตำบลแม่คำ
ตำบลแม่ไร่ และตำบลห้วยไคร้บำงส่วนก็เคยเป็นพ้ืนท่ีของตำบลแม่คำในอดีต บ้ำนแม่คำ
สบเปนิ
ไดท้ ำกำรแยกหมบู่ ้ำนออกเป็นสองหมู่บ้ำนเพ่อื สะดวกในกำรปกครองและกำรของบประมำณเม่อื ปี พ.ศ.๒๕๔๘ โดยแบ่ง
หมู่บ้ำนคือ บ้ำนแม่คำสบเปิน หมู่ ๑ และบ้ำนแม่เปินหมู่ ๑๔ บ้ำนแม่คำสบเปินและบ้ำนแม่เปิน โดยหมู่บ้ำนแม่คำสบ
เปนิ และบ้ำนแม่เปินเปน็ หมู่บ้ำนชำวไทยอง (ไทลอ้ื เมอื งยอง) ทีเ่ ขม้ แข็งในกำรดำรงอัตลักษณ์ทำงภำษำพูด วิถชี ีวิตชำวไทย
อง ศลิ ปะหตั ถศิลป์ และเป็นหมู่บ้ำนทม่ี ีช่ำงศิลป์ในหลำกหลำยสำขำ เปน็ ชุมชนท่ีทำกำรเกษตรกรรมได้เปน็ อันดับต้น ๆ

ของจังหวดั เชยี งรำย
ปัจจุบันชำวแม่คำสบเปิน ยังคงสืบทอดวิถีวัฒนธรรมของคนยอง

มำจนถึงปจั จบุ ัน ไมว่ ำ่ จะเปน็ ภำษำพูด เม่ือเรำไปถึงบ้ำนแม่คำสบเปินผู้คน
ยงั พูดคยุ เป็นภำษำยอง อำหำรกำรกิน กำรแต่งกำย ประเพณีและพิธกี รรม

ผ้ทู ่ถี อื ปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ัญญำทำงวฒั นธรรม
ช่อื นำยปรีชำ รอดสุวรรณ์
ท่ีอยู่ 317 หมู่ 1 ตำบลแม่คำ อำเภอแม่จนั

จังหวัดเชียงรำย ๕๗๒๔๐
หมำยเลขโทรศพั ท์ 062-2630183

พิธ1กี 49ินออ้ ผะญ๋ำล้ำนนำ

ไม้อ้อ ตำมพจนำนุกรม หมำยถึง พรรณไม้ล้มลุกชนิด Arundo donax Linn. หรือ
Gramineace ขึ้นเป็นกอตำมริมลำธำร ลำต้นแข็ง ปล้องในกลวงต้นอ้อต้นไม้ที่ชอบข้ึนในพ้ืนท่ี

ช้ืนแฉะ ลำต้น เป็นปล้องแข็ง ใบเรียวเหมือนต้นแขมหรือหญ้ำคำ มีดอกสีขำว เวลำบำนจะเป็น
ปุยนนุ่ แผ่กระจำยสวยงำม แพรพ่ ันธุ์และแตกกอได้ง่ำย ตำยยำก

พิธีกินอ้อผะญ๋ำล้ำนนำ ชำวล้ำนนำมีวิถีชีวิตที่ควบคู่ไปกับควำมเชื่อ ทั้งที่มำจำกควำมเช่ือ
ด้ังเดิมและควำมเช่ือที่เกิดจำกคำสอนทำงพระพุทธศำสนำหรือเกิดจำกกำรผสมผสำนควำมเช่ือ
ทั้งสองเข้ำดว้ ยกัน เพือ่ ควำมสวัสดี ควำมเจรญิ รุ่งเรอื งของชวี ิตหรอื แม้ในยำมชวี ิตตกอยู่ในหว้ งทุกข์

ชำวล้ำนนำก็มีกุศโลบำยในกำรประยุกต์ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ผลทำงด้ำนจิตใจ กำรเรียนรู้ กำรศึกษำก็เป็นสิ่งท่ี
ชำวล้ำนนำให้ควำมสำคัญไม่น้อยกว่ำด้ำนอ่ืน ๆ ชำวล้ำนนำตระหนักว่ำ คนเรำเกิดมำนั้นระดับสติปัญญำ กำรเรียนรู้

ของคนนั้นแตกต่ำงกันไป แต่ถึงถึงกระนั้นก็มีกำรค้นคิดวิธีกำรทำงจิตวิทยำเพื่อช่วยเพิ่มกระบวนกำรเรียนรู้ให้มี
ประสิทธิภำพไปด้วย คนล้ำนนำในแวดวงกำรศึกษำของพระสงฆ์สมัยโบรำณให้ควำมสำคัญกับทำงพิธีกรรมทำงจิต
ที่เรียกว่ำ กำรกินอ้อผะญ๋ำอย่ำงมำก เพรำะเป็นกระบวนกำรที่ช่วยลดปมด้อยของคนที่คิดว่ำตนเองมีควำมจำไม่ดี

สติปัญญำไม่ดี ไม่ปรอดโปร่ง และช่วยเพิ่มควำมมั่นใจให้กับคนท่ีสมองดีอยู่แล้วด้วย ปัจจุบันพิธีกรรมดังกล่ำว
แพร่หลำยอยู่วงแคบ ๆ ในหมู่ท่ียังมีควำมเช่ืออยู่ แต่นับวันจะเลือนหำยจำกควำมทรงจำไปแล้วเพรำะวิทยำกำร

ในสมัยใหมม่ ีบทบำทมำก จนทำใหม้ นุษย์แทบจะไม่ต้องคิดอะไรเพรำะมีเคร่ืองมือช่วยคิด ชว่ ยคำนวณ กำรเรียนรู้จดจำ
ท่ีต้องใช้สมองท่องจำแทบจนหมดควำมจำเป็นไป กำรกินอ้อผญ๋ำนั้น มีวินัยทำงกระบวนกำรท่ีต้องพิจำรณำกันเป็น
พิเศษ ท้งั สัญลักษณข์ องอุปกรณ์ที่ก็น่ำศึกษำอย่ำงยง่ิ แวดวงศึกษำของชำวบ้ำนล้ำนนำสว่ นหน่งึ เชื่อว่ำ ผใู้ ดผำ่ นกำรกิน

ออ้ ผญ๋ำมำแล้วแม้นว่ำสมองทึบ สติปญั ญำไม่เอำไหน กจ็ ะกลำยเปน็ คนมีสตปิ ัญญำเปน็ เลิศ สำมำรถท่องจำได้ดี มกี ำร
จัดพิธีกรรมดังกล่ำวไม่มำกหนัก ในปีหนึ่งๆ มีกำรคัดเลือกคนเข้ำร่วมพิธีด้วย

เช่นกัน ผู้ประกอบพิธีกรรมหรือผู้เข้ำใจกระบวนกำรหำยำก ส่วนใหญ่จะเป็น
พระสงฆ์ทผี่ ำ่ นกำรบวชเรยี นมำแล้ว

คุณสมบัติของอ้อมี 5 อย่ำง (ในอ้อ 1 ปล้อง คือ จ่ือ จ๋ำ ผญำ สิเนหำ เต๋ชำ)

ใหต้ ั้ง สจั จำธษิ ฐำนอ้อหลักไว้ก่อนเชน่ เรยี นหนังสือตัง้ อ้อจื่อ (จำ) จำ๋ ผญำ สิเนหำ
เตชำ ตำมมำเอง โต้วำที หรือช่ำงซอ คำว จ๊อย นักร้อง ดนตรี จะนิยมอ้อจ๋ำ

เป็นครู หรือต้องกำรฉลำดมีไหวพริบปฏภิ ำณ ลำยมือสวย จะนยิ มออ้ ผญำ(สติปัญญำ)
หนุ่มสำวมกั ต้องกำรอ้อสิเนหำ ท้ังฟ้อนรำ เล่นดนตรี แสดงละคร ลเิ ก ค้ำขำย จะนยิ ม
อ้อสเิ นหำ รำ่ งกำยออ่ นแอ ตอ้ งกำรเอำไปผสมยำ จะนิยมเดช๋ ำ

(สำมำรถขออำจำรย์กำกับคำถำเต๋ชำเป็นน้ำผ้ึงขวดได้ เหมือนน้ำมนต์ใส่น้ำต้น หรือกระบอกไม้ (สมัยก่อน) สรุปว่ำ
ถ้ำสำมเณรหรือพระ หรือครูบำทำอ้อกิน จะเรียกอ้อธรรม อ้ออรหันต๋ำ ถ้ำชำวบ้ำน จะเรียกอ้อผญำ หรืออ้อภูมิวิสัย

ทว่ั ไปคือ ออ้ ทั้ง ๕
วิธกี นิ อ้อ
ถำ้ ทำพิธีหมู่นักเรียนเปิดเรียน จะมีซมุ้ ขำจำ (ยอ) ลอดซุ้มแล้ว

กิน สถำนที่โล่ง ไม่มีส่ิงบดบัง เม่ือเงยหน้ำยกดื่มแล้ว พอดีได้
จังหวะจะโยนข้ำมหัว หรือออกปล่อง (หน้ำต่ำง) หรือไหลท่ีร่องน้ำ

เด็กวัด จะแข่งกันท่องหนังสือ จะเสกเอง หรือให้อำจำรย์
กำกับเสกให้

สถำนท่ีอ้อขึ้น ห้ำมเอำอ้อท่ีขึ้นอยู่คือ แม่น้ำที่น้ำคดไปมำ

หรือน้ำมำชนกัน ใตต้ น้ ไม้ รมิ สะพำนทำงรถ-คน-สัตวเ์ ดินข้ำม

150

พิธีกนิ อ้อผะญ๋ำ จะตอ้ งเตรยี มอปุ กรณด์ งั ต่อไปน้ี
1. ไมอ้ อ้ ทต่ี ัดทัง้ ข้อ คือ เหลือขอ้ ยำว ๓ นิ้ว ตำมจำนวนผู้เข้ำร่วมพิธีให้ผู้เข้ำพิธี กรำบ พระรัตนตรยั กรำบครู
อำจำรย์ ผู้ประกอบพิธีกล่ำวโอกำส ว่ำคำถำต่ำงๆ ท่ีอยู่ในกระบวนกำรใช้น้ำมนต์ประพรมกระบอกไม้อ้อที่บรรจุน้ำผ้ึง
เม่ือจบกระบวนกำรกล่ำวโอกำสของผู้ประกอบพิธีแล้วก็อนุญำตให้ผู้เข้ำร่วมพิธีด่ืมอ้อปัญญำ ตำมจำนวนท่ีกำหนดให้
ซ่งึ ออ้ ทัง้ ๕ จะมีคำถำกำกบั ทง้ั ๕ บท คือ

(๑) อ้อจอ่ื (จำแม่น)
(๒ อ้อจำ๋ (อ้แู กวน่ )
(๓) ออ้ ผะญ๋ำ (คิดแล่น)
(๔)อ้อเสนห่ ์ (คนแหน)
(๕)อ้อเตจ๋ ำ เดชำ (ป้องกันโรคภัย ไขเ้ จ็บ)
2. พธิ ีกนิ อ้อผะญ๋ำ ในอ้อ 1 จะมีคำถำทงั้ ๕ ให้ตงั้ สัจจกิริยำก่อนกิน ถำ้ กินเป็นหมู่คณะคนมำก จะใช้ถังแล้ว
นำไปรำดที่โคนตน้ โพธ์ิ หรือกินกลำงแจง้ แล้วโยนข้ำมหัว หรือยืนใกล้หรือคล่อมแม่น้ำ กนิ แลว้ โยนไปน้ำไป หรอื ถ้ำกิน
ในบ้ำนให้โยนออกหน้ำต่ำง(ปล่อง) ข้อสำคญั ต้องอธิษฐำนก่อนกิน แลว้ แตว่ ัตถปุ ระสงค์ของผูก้ นิ ว่ำตอ้ งกำร จำแมน่ พูด
เก่ง มีปัญญำฉลำด คนรัก และปอ้ งกนั โรคภัยไข้เจ็บ
ปัจจุบันพิธีกินอ้อผะญ๋ำ มักไม่ได้จัดขึ้นบ่อยๆ ส่วนมำก

จัดในช่วงเทศกำลสงกรำนต์เท่ำน้ัน กำรให้เด็กนักเรียนได้เข้ำ

มำร่วมพิธีกินอ้อผะญ๋ำเป็นกุศโลบำยให้เด็กนักเรียนหำกได้ร่วม

พธิ ีกนิ ออ้ ผะญำ๋ ให้มีควำมเชอื่ มนั่ ในตนเอง หมั่นศกึ ษำหำควำมรู้

และต้ังใจเล่ำเรียนมำกยิ่งขึ้น เห็นควรมีกำรส่งเสริมรักษำต่อยอด

พิธีกรรมที่ดีงำมน้ีต่อไป โดยกำรจัดกิจกรรมร่วมกับโรงเรียน

ให้มำกยิ่งข้ึน

ผ้ทู ่ีถือปฏิบัติมรดกภูมปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม
ชื่อ พระครปู ระสิทธิ์บญุ ญำคม
วัน เดือน ปีเกิด ๔ มถิ ุนำยน ๒๔๘๘
ทอ่ี ยู่ วดั กวิ่ พร้ำว เลขที่ ๖๔ หมู่ ๔ บำ้ นก่วิ พรำ้ ว

ถนนกวิ่ พรำ้ ว – ดอยหลวง ตำบลจนั จวำ้ ใต้
อำเภอแมจ่ ัน จงั หวดั เชียงรำย ๕๗๒๗๐
หมำยเลขโทรศัพท์ 094 757 7637
อีเมล์ [email protected]

อำหำรชำติพันธ1ุ์ไ51ทยอง
ชำวไทยองนิยมอำหำรประเภทน้ำพริก แกง ต้ม นึ่ง ปิ้ง หมก
ย่ำง ที่ทำจำกพืชผัก เน้ือสัตว์เช่นเดียวกับกลุ่มชำติพันธุ์ไทยวน เช่น
แกงแคไก่ แกงหยวกกล้วย น้ำพริกผักนงึ่ จอผักกำด เป็น ต้น ซ่ึงเป็น
อำหำรท่ีกล่ำวได้ว่ำเป็นเอกลักษณ์ของอำหำรล้ำนนำ รับประทำน
กับข้ำวเหนียว ส่วนอำหำรเดิมของชำวเมืองยองประเทศพม่ำที่สืบ
ทอดต่อมำถึงปัจจุบันเป็นอำหำรประเภทผักท่ีหำได้ตำมฤดูกำลใน
ทอ้ งถ่นิ เช่น ผกั กดู เตำ ใช้ยำหรอื แกง เปน็ ต้น
ชำวไทยองนยิ มรบั ประทำนอำหำรท่ีทำจำกวัตถุดิบท่ีหำง่ำยพืชผักที่ปลกู ไดเ้ องในครัวเรือน หรือหำได้จำก
ธรรมชำติ วธิ ีกำรทำเช่น ตำน้ำพรกิ แกง ต้ม นึ่ง ป้งิ หมก ยำ่ ง รับประทำนกับข้ำวเหนยี ว
น้ำพริกน้ำผกั
น้ำพริกน้ำผัก เป็นน้ำพริกท่ีมีลักษณะข้นถึงขลุกขลิก เป็นอำหำรที่ทำมำจำกผักกำดเขียวแก่ทั้งต้น
นำมำดองสกั 2 วัน ให้มรี สเปร้ียว นยิ มรบั ประทำนกบั แคบหมูและผกั ขหี้ ดู
สว่ นประกอบ 1. ผกั กำดเขยี ว จำนวน 3 ขีด
2. เกลือเม็ดตำละเอยี ด (ไม่ใช้เกลอื ไอโอดนี ) จำนวน 1 ชอ้ นโตะ๊
3. ข้ำวเหนยี วนงึ่ จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำซำวขำ้ ว จำนวน 1 ถว้ ย
5. พรกิ แหง้ จำนวน 5 เมด็
6. กระเทียม จำนวน 3-5 กลีบ
7. เกลือป่น จำนวน 1 ช้อนชำ
8. มะแขวน่ จำนวน 1 ช้อนชำ
9. ต้นหอมผักชซี อย จำนวน 1 ช้อนโตะ๊

วิธีการทา 1. หนั ผกั กำดเขยี วใหล้ ะเอยี ด
2. นำผักกำดเขียวไปตำกแดดประมำณ 10 นำที เพอ่ื ใหน้ มุ่ ก่อนนำมำขยำ
3. ขยำผักกำดเขยี วกบั เกลือเมด็ จนนมิ่
4. ใสข่ ้ำวเหนียวนง่ึ ลงไป ขยำให้เขำ้ กนั
5. ใส่นำ้ ซำวขำ้ ว ปิดฝำ หมักไว้ประมำณ 2 วนั
6. หมกั ผกั กำดเขยี วได้ท่แี ล้ว นำผกั กำดมำต้ม ให้นำ้ งวดเล็กน้อย ปดิ ไฟพักไว้ให้เย็น
7. โขลกพลิก เกลือ กระเทยี ม และมะแขวน่ รวมกันให้ละเอียด
8. ใส่เครือ่ งปรงุ ทีโ่ ขลกแล้วลงในนำ้ ผัก คนให้เขำ้ กัน โรยดว้ ยตน้ หอมผกั ชีซอย
ยำ้ ผักกำดใส่ผกั ปูย่ ่ำ
ส่วนประกอบ 1. ผักกำด จำนวน 3 ขดี
2. ผักปู่ย่ำ จำนวน 1 กำมอื
3. มะกอก หรือมะนำว จำนวน 1 ลูก
4. ปลำนลิ จำนวน 1 ตวั
5. ตะไคร้ จำนวน 5 หวั
6. รำกผักชี จำนวน 5 รำก
7. เกลือ จำนวน 1 ชอ้ นโตะ๊
8. กะปิ จำนวน 1 ชอ้ นโต๊ะ
9. กระเทยี ม จำนวน 5 กลบี
10. พริกหนุ่มย่ำงไฟ จำนวน 3-5 เม็ด
11. ตน้ หอมผักชีซอย จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ

วธิ ีการทา 1. เด็ดผักป่ยู ำ่ ซอยรวมกนั กบั ผักกำด 152
2. ต้งั น้ำเดือด นำเน้อื ปลำนลิ ตะไคร้ รำกผกั ชี และกะปิ ลงไปตม้ พรอ้ มกัน
3. แกะเน้อื ปลำท่ตี ้มสุกแลว้ (เอำกำงปลำออกใหห้ มด)
4. โคลกพรกิ หนุม่ ยำ่ งไฟ เกลอื กระเทียมเข้ำด้วยกนั
5. นำเนอื้ ปลำที่แกะแลว้ โคลกกับนำ้ พริก ตำจนเน้อื เข้ำกนั ละเอียดพอควร
6. นำนำ้ พรกิ ทีต่ ำพร้อมกบั เน้อื ปลำมำคลุกเคล้ำกับผักปู่ย่ำและผักกำดท่ีซอยไว้ใหเ้ ขำ้ กนั
7. ปรุงรสดว้ ยมะกอก หรือมะนำว พร้อมด้วยเกลือเล็กน้อย โรยด้วยตน้ หอมผกั ชีซอย
ผักกำดจอ
ผักกำดจอ จอผักกำด เป็นตำรับอำหำรท่ีใช้ผักกำดกวำงตุ้งท่ีกำลังออกดอก หรือเรียกว่ำ ผักกำดจ้อน หรือ
ผักกำดดอก ซึ่งปรุงด้วย เกลือ กะปิ ปรุงรสด้วยน้ำมะขำมเปียกหรือมะขำมสด ใส่กระดูกหมู ซึ่งบำงแห่งนิยมใส่น้ำอ้อย
ลงไปดว้ ย บำงสตู รใสถ่ วั่ เน่ำแขบ็ หรือถวั่ เน่ำแผน่ ยำ่ งไฟ นิยมรับประทำนกับพริกแหง้ ทอด ตดั เปน็ ทอ่ น โรยหนำ้ แกง หรือ
รับประทำนตำ่ งหำกแลว้ แต่ชอบ
สว่ นประกอบ 1. ผักกำดกวำงตุ้ง จำนวน 1 กิโลกรัม
2. ซี่โครงหมู จำนวน 400 กรมั
3. หอมแดง จำนวน 5 หัว
4. กระเทยี ม จำนวน 10 กลีบ
5. ถ่ัวเน่ำ จำนวน 2 แผ่น
6. กะปิ จำนวน 2 ชอ้ นโต๊ะ
7. น้ำมะขำมเปยี ก จำนวน 3 ชอ้ นโตะ๊
8. เกลือปน่ จำนวน 1 ชอ้ นชำ
วิธกี ำรทำ 1. ต้มนำ้ จนเดอื ด ใสซ่ ่ีโคลงหมลู งไป ตม้ จนหมูสกุ
2. โขลกกระเทียม หอมแดง กะปิ เกลือ ถั่วเนำ่ รวมกนั ใหล้ ะเอียด ใส่ลงในหมอ้
3. เด็ดผักกำด ใส่ผักกำดลงไปในหม้อ
4. ใส่น้ำมะขำมเปยี ก คนให้ทั่ว ปดิ ไฟ
5. โรยดว้ ยต้นหอมผักซี พรกิ ทอด
ค่วั ถ่ัวเนำ่ เป็นอำหำรที่ทำมำกจำกถ่ัวเหลอื งต้มเป่ือยหมัก และนำมำโขลกใหล้ ะเอียด หอ่ ใบตอง และย่ำงไฟ
ส่วนประกอบ
1. ถั่วเน่ำ จำนวน 1 ถว้ ย 6. ใบมะกรูดซอย จำนวน 2 ช้อนโต๊ะ
2. ไขไ่ ก่ จำนวน 3 ฟอง 7. พริกป่น จำนวน 2 ชอ้ นโตะ๊
3. หอมแดง จำนวน 5 หวั 8. เกลอื จำนวน 1 ชอ้ นชำ
4. ขำ่ หนั่ จำนวน 10 แวน่ 9. กระเทยี มสบั จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ
5. ตระไคร้หัน จำนวน 2 ช้อนโตะ๊ 10. นำ้ มนั พชื จำนวน 3 ชอ้ นโตะ๊
วิธกี ำรทำ
1. โขลกเกลอื ข่ำ ตระไคร้ รวมกนั ให้ละเอยี ด
2. ใสห่ อมแดง พรกิ ป่น โขลกรวมกนั ใหล้ ะเอียด
3. ใส่ใบมะกรดู โขลกจนใบมะกรูดละเอียด
4. ใสถ่ ่วั เนำ โขลกจนส่วนผสมเข้ำกัน
5. เจียวกระเทียมกันน้ำมนั ใส่ส่วนผสมทโ่ี ขลกลงผดั ใหห้ อม
6. ใส่ไขไ่ ก่ ผดั ใหเ้ ขำ้ กัน
7. ผดั ต่อจนไขไ่ กส่ กุ ปดิ ไฟ ผทู้ ีถ่ อื ปฏิบัติมรดกภูมิปญั ญำทำงวฒั นธรรม
ชอื่ นำงสังเวยี น ปรำรมภ์
ท่ีอยู่ ๑๑๓ หมู่ท่ี ๑๒ บ้ำนสนั ทำงหลวง
ตำบลจนั จวำ้ ใต้
อำเภอแม่จัน จงั หวดั เชยี งรำย ๕๗๒๗๐
หมำยเลขโทรศัพท์ 086 922 5679

ผ้ำปักม15อื 3 บำ้ นสันทำงหลวง
กลุ่มผ้ำปักสันทำงหลวง ต่อยอดมำจำกกำรทอผ้ำ เม่ือวันเวลำผ่ำนไปลำยผ้ำทอ
เริ่มมีกำรซ้ำกันมำกข้ึน แต่ควำมคิดสร้ำงสรรค์ยังไม่สิ้นสุด และชำวบ้ำนเร่ิมมีกำรปักช่ือ
ใส่เส้ือผ้ำของตน เพ่ือแสดงควำมเป็นเจ้ำของ ต่อมำมีกำรปักเป็นสัญลักษณ์แทนกำรปักช่ือ
โดยจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่ำงกันไปในแต่ละคน ก่อเกิดเป็นลวดลำยสวยงำม มีผู้คน
ชื่นชอบและได้รับคำชื่นชม อีกทั้งชำวบ้ำนยังมีควำมสุขท่ีได้ปักตำมควำมพึงพอใจ
ได้ถ่ำยทอดจินตนำกำรของตนลงบนผืนผ้ำได้อย่ำงไม่ส้ินสุด จะปักยังไงก็ได้ไม่มีผิด
ไม่มีถูก จึงต่อยอดมำเป็นกำรสร้ำงมูลค่ำของผ้ำทอโดยกำรนำผ้ำทอมำปักเป็นลำย
ท่ปี ระกอบมำจำกเอกลักษณ์ในแต่ละบุคคลบวกกับควำมงำมของธรรมชำติมำเป็นลวดลำย
ตำ่ ง ๆ ทุกอย่ำงสำมำรถสร้ำงสรรค์ได้อย่ำงเตม็ ท่ี ทำให้ผำ้ แตล่ ะผนื จึงมีลวดลำยท่ีแตกต่ำง
กนั ไม่เคยซำ้ กัน ซึง่ กลำยเปน็ ผำ้ ท่มี ีเพียงช้นิ เดียวในโลก
ผำ้ ปักดว้ ยมอื มเี ป็นงำนฝีมอื เพ่ือใช้แต่งเสื้อผ้ำในงำนเทศกำลสำคัญต่ำง ๆ วิถีชีวิตของชมุ ชนจะมีกำรปกั ผ้ำด้วย
มือ เพอ่ื เป็นกำรอนรุ กั ษภ์ มู ปิ ญั ญำงำนฝมี ือไว้ และกอ่ ใหเ้ กิดรำยได้ จงึ มีกำรรวมตัวกนั ต้ังเปน็ กลมุ่ ผำ้ ปกั ดว้ ยมือขึน้
ผ้ำปักมือของกลุ่มผ้ำปักบ้ำนสันทำงหลวง มีลักษณะเด่นท่ีเป็นเอกลักษณ์คือกำรปักตำมจินตนำกำรของผู้ปักที่
พบเห็นได้จำกธรรมชำติ และสิ่งท่ีอยู่รอบตัว ปักออกมำเป็นลวดลำยต่ำงๆ เช่น ลำยทุ่งนำ ลำยเม็ดข้ำว ลำยหอยเชอร่ี
ลำยภูเขำ ลำยต้นไม้ใบหญ้ำ ลำยดอกไม้ ลำยใบไม้ ผ้ำปักมอื แต่ละชนิ้ ส่วนใหญเ่ น้นสีสนั ที่สดใส เชน่ สีชมพู สฟี ำ้ สีแดง
สีม่วง สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน สีน้ำตำล กำรปักไม่มีรูปแบบหรือมำตรฐำนตำยตัวถือเป็น
เอกลกั ษณ์และอัตลักษณ์ของงำนผ้ำปักมือ
วสั ดอุ ปุ กรณ์กำรทำผ้ำปกั มือ
1. ผ้ำปกั คอสติสตำละเอยี ด (สดี ำหรอื สีขำว)
2. เข็ม
3. ดำ้ ย
4. ปำกกำเขยี นกระจก
5. กรรไกร
วธิ ีกำรทำผำ้ ปักมอื
1. ตดั ผ้ำครอสติสตำละเอยี ดใหไ้ ด้ขนำดตำมทตี่ อ้ งกำร
2. ใชป้ ำกกำเขียนกระจกวำดแบบลงบนผ้ำครอสติส
3. เลือกด้ำยตำมสีทต่ี อ้ งกำร
4. ปกั ตำมรอยท่ีวำดไวบ้ นผำ้ ครอสติส ตำมจนิ ตนำกำร
5. นำผ้ำทีป่ กั ไดไ้ ปตัดเย็บลงบน กระเปำ๋ เสือ้ กำงเกง เป็นต้น
ปัจจุบันผ้ำปักมือได้รับกำรส่งเสริมจำกหลำยหน่วยงำน เช่น สำนักงำนวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรำย สำนักงำน
พฒั นำชุมชนจงั หวัดเชียงรำย ธนำคำรเพื่อกำรเกษตรและสหกรณ์กำรเกษตร กศน.อำเภอแมจ่ ัน เปน็ ต้น ผำ้ ปักมือได้รับ
ความสนใจจากผู้บริโภคมากยิ่งข้ึน เน่ืองจากมีสีสันที่สดใส การปักด้วยจินตนาการผ้าปักมือมีเพียงช้ินเดียวในโลกงาน
ทางกลุ่มผ้าปักมือบ้านสันทางหลวงได้ถ่ายทอดการปักให้คนในหมู่บ้าน เชน่ กลุ่มผู้สูงอายุ เด็กและเยาวชน ตลอดจนวัย
ทางานท่ีเว้นว่างจากการทาอาชีพเกษตรกร หรืออาชีพอื่น เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และเพิ่มรายได้ให้กับ
ตนเองและครอบครัว งานผ้าปักมือทาได้หลากหลายรูปแบบไม่จากัดแบบและขนาดท่ีตายตัว ปัจจุบันทางกลุ่มได้ผลิต
ผ้าปักมอื ในรูปแบบของขวัญของฝากมากยงิ่ ขึน้ เช่น กระเปา๋ สตางค์ กระเป๋าเก็บเงนิ เหรยี ญ ผ้าพนั คอ พร้อมใส่เร่อื งเล่า
และจินตนาการการทาผ้าปักมอื ของผ้าแต่ละชิ้นเพม่ิ เสนห่ ข์ องผ้าปักเป็นการสร้างสรรค์ผลงานให้ออกมาเปน็ ที่สนใจมากยิ่งขน้ึ

ช่ือผู้ท่ีถือปฏิบัติมรดกภมู ิปัญญำทำงวัฒนธรรม
ชื่อ นำงสงั เวียน ปรำรมภ์
ท่อี ยู่ ๑๑๓ หมทู่ ่ี ๑๒ ชอื่ หมูบ่ ำ้ นสันทำงหลวง
ตำบลจันจวำ้ ใต้ อำเภอแม่จนั จังหวัดเชียงรำย ๕๗๒๗๐
หมำยเลขโทรศัพท์ 086 922 5679

ผ้ำทอมือสนั ทำงหล15ว4 งใต้

วัฒนธรรมกำรทอผ้ำผูกพันกับชำวบ้ำนสันหลวงใต้มำเป็นระยะเวลำ

ยำวนำน ผ้ำทอเป็นส่ือสัญลกั ษณ์ของคนในชุมชน ในอดีตเด็กผ้หู ญงิ ทุกคน

จะถูกหัดให้รู้จักกำรทอผ้ำ หรือกำรเย็บปักถักร้อย กำรทอผ้ำเป็นบทบำท

ทำงสังคมและวัฒนธรรม กำรค้ำขำย มีกำรใช้ผ้ำในประเพณี และพิธีกรรมต่ำง ๆ

กำรสบื ทอดควำมคิด ควำมเชื่อแบบแผนทำงสังคม กำรทอผ้ำเปน็ วัฒนธรรม

อย่ำงหนง่ึ ที่สบื ทอดกันมำ นอกจำกคณุ ค่ำทำงศิลปะแล้วยงั เป็นกำรแสดงถึง

แบบแผนควำมเป็นอยู่ในสังคมกำรสืบทอด หรือถ่ำยทอดในสมัยโบรำณผคู้ น

เรียนรู้หนังสือนอ้ ย กำรถ่ำยทอดต้องอำศัยควำมจำจำกกำรปฏิบัติ จึงทำให้

เกิดควำมชำนำญ ไม่มีกำรบันทึกเป็นภำพหรือลำยลักษณ์อักษรแต่อย่ำงใด

มีเพียงกำรถ่ำยทอดจำกแมส่ ู่ลกู หรือเครือญำติใกล้ชดิ เปน็ มรดกภูมปิ ญั ญำ

ท่สี ืบทอดกันมำจำกรนุ่ สูร่ ุ่น

ผลิตภัณฑ์ผ้ำทอมือของบ้ำนสันหลวงใต้ท่ีโดดเด่น คือ ผ้ำลำยจก ใช้เวลำทอประมำณ 3 - 4 วัน ต่อหน่ึงผืน

และผำ้ ยกดอก 4 ตระกอ มลี กั ษณะท่โี ดดเดน่ คือลำยจะอยู่ในตวั ของมนั เอง เวลำทอลำยจะปรำกฏขน้ึ โดยไมต่ ้อง

เกบ็ ดอก และลำยเกำะ น้ำไหล ทอด้วยเทคนคิ “เกำะ” หรอื “ล้วง” เกดิ ลวดลำย ท่ีพลิ้วไหวเหมอื นสำยน้ำ

วสั ดุ - อปุ กรณ์

❖ กี่กระตุก ❖ เครอ่ื งกรอระวงิ

❖ ฝ้ำย ❖ เครื่องกรอระวิง

หลอดเลก็

❖ เคร่ืองโว้นฝำ้ ย ❖ ฟนั หวี

❖ กระสวย ❖ ก่ที อผ้ำ

ขน้ั ตอนกำรผลิตทอผ้ำ
1. นำฝำ้ ย (สตี ำมต้องกำร) ไปใส่ในเครอ่ื งระวงิ ปน่ั ใส่หลอดใหญ่
2. นำไปใสเ่ คร่ืองโว้นฝ้ำย หรอื เดนิ ด้ำยเพ่ือหำควำมยำว
3. เดนิ ดำ้ ยเสรจ็ นำไปใสฟ่ นั หวเี พื่อหวดี ำ้ ย
4. นำด้ำยทห่ี วีแลว้ ไปใส่ในกี่
5. เกบ็ ตระกรอเพือ่ ทำใหเ้ ป็นลำยขัดพน้ื ฐำน

6. พนั ดำ้ ยสตี ำมต้องกำรใสห่ ลอดเลก็ โดยใส่เครอื่ งระวงิ หลอดเลก็
7. นำดำ้ ยท่ีใสห่ ลอดเลก็ ใส่ในกระสวย และนำไปพุง่ ทีก่ ีข่ ณะทอผ้ำ

8. ทอจนได้ควำมยำวที่ตอ้ งกำร หรือทำลวดลำยจก ลำยเกำะ หรือขิด

ผู้ทถี่ ือปฏิบตั มิ รดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม

ชื่อ นำงสุนำ ตำฟู
ทอี่ ยู่ กลุม่ วสิ ำหกจิ ชมุ ชนผำ้ ทอพื้นเมอื งสนั หลวงใต้

150 หมู่ 3 บ้ำนสันหลวงใต้ ตำบลจอมสวรรค์
อำเภอแมจ่ นั จังหวดั เชียงรำย ๕๗๑๑๐
หมำยเลขโทรศัพท์ 086 915 6181

กำรฟอ้ 1น55 ดำบ กำรฟ้อนเจงิ

กำรฟ้อนดำบ ฟ้อนเจิง นับเป็นกำรรำอำวุธชนดิ หนึ่ง คือ กำรร่ำยรำด้วย
เชิงดำบและมือเปล่ำในท่ำทำงต่ำงๆ ซ่ึงมักจะแสดงออกในลีลำของนักรบ
ซึ่งท่ำในกำรฟ้อนดำบ ฟ้อนเจิงน้ีมีหลำยสิบท่ำ รวมท้ังใช้ดำบและมือเปล่ำ
สำหรับกำรใช้ดำบน้ันก็ใช้ตั้งแต่ดำบเดี่ยว ดำบคู่ และใช้ดำบ ๔ เล่ม ๘ เล่ม
๑๒ เล่ม ซึ่งผู้ฟ้อนจะต้องมีควำมสำมำรถเป็นพิเศษ และก่อนท่ีจะมี
กำรฟอ้ นดำบ ฟ้อนเจิง ก็ตอ้ งมกี ำรฟ้อน ตบมะผำบเสียก่อน กำรฟ้อนตบมะผำบ
เปน็ กำรฟ้อนดว้ ยมอื เปล่ำท่ใี ช้ลีลำท่ำทำงย่ัวเย้ำให้คู่ปรปกั ษ์บนั ดำลโทสะ ใน
สมัยก่อน กำรรบกันใช้อำวุธส้ัน เช่น ดำบ หอก แหลน เข้ำโหมรันกัน
โดยเหล่ำทหำรหำญจะรำดำบเข้ำประชันกันเป็นคู่ ๆ หรือเป็นพวกๆ ใครมี
ชั้นเชิงดีก็ชนะ ด้วยกำรรำตบมะผำบในท่ำทำงต่ำงๆ โดยถือหลักว่ำคนท่ีมี
โทสะจะขำดควำมย้ังคิด และเม่ือนั้นย่อมจะเสียเปรียบคนท่ีใจเย็นว่ำ
เม่อื มกี ำรรำตบมะผำบแล้ว ก็จะมกี ำรฟอ้ นดำบ ฟ้อนเจงิ ประกอบอีกดว้ ย
เมือ่ เห็นวำ่ มีควำมกลำ้ หำญพอแล้วก็เขำ้ ปะทะกนั ได้ และกำรฟ้อนดำบฟ้อนเจิงนั้น อำจจะใช้มือเปล่ำได้ในท่ำทำง
ตำ่ ง ๆ ที่ต้องใชค้ วำมรวดเร็วว่องไว กำรเกรง็ กล้ำมเนอ้ื ทกุ สว่ นเปน็ กำรปลกุ ตัวเองไปก่อนทีจ่ ะเริ่มต่อสูจ้ รงิ ๆ
ฟ้อนดำบ ฟ้อนเจิง เป็นนำฏกรรมท่ีสะท้อนรูปแบบศิลปวัฒนธรรมอย่ำงหน่ึงของคนไทยทำงภำคเหนือที่
นำเอำเรื่องรำวของศิลปะป้องกันตัว ซ่ึงเมื่อคร้ังอดีตผู้ชำยชำวล้ำนนำมักจะมีกำรแสวงหำเรียนรู้ “เจิง” เพ่ือใช้เป็น
เครื่องมือในกำรป้องกันภัยให้กับตัวเอง ด้วยรูปแบบและลีลำท่ำทำงในกำรแสดงออกที่มีทั้งควำมเข้มแข็ง สง่ำงำม ที่
ซอ่ นเร้นชนั้ เชงิ อันเปน็ แมไ่ ม้เฉพำะตน ซึ่งสลับท่ำทำง ไปมำ ยำกในกำรทจ่ี ะทำควำมเขำ้ ใจ กำรฟ้อนดำบฟอ้ นเจิงเป็น
ศิลปะกำรฟ้อนท่ีแสดงให้เห็นถึงช้ันเชิง ลีลำกำรต่อสู้ อันเป็นภูมิปัญญำของบรรพชนไทย มีกำรต่อสู้ทั้งรุกและรับ
หลอกลอ้ กนั อยำ่ งสนกุ สนำน ประลองไหวพรบิ ปฏภิ ำณกัน เอำชนะกนั อย่ำงมีช้ันเชิงใหเ้ กียรตซิ งึ่ กนั และกนั ไมข่ ม่ เหง
เอำเปรียบกัน สำหรบั กำรเรียนฟ้อนดำบ ฟอ้ นเจงิ น้นั ผู้เรยี นต้องหำมือ้ จนั วนั ดี เป็นวนั อุดมฤกษ์ ไปขอเรยี นกับครูท่ีมี
ควำมสำมำรถ โดยต้องมีกำรขน้ึ ขนั หรอื กำรจดั เครอ่ื งคำรวะ คอื กรวยดอกไมธ้ ูปเทียน พลู หมำก ขำ้ วเปลือก ข้ำวสำร
สรุ ำ ผำ้ ขำว ผำ้ แดง กล้วย อ้อย มะพร้ำว และค่ำครูตำมกำหนด ครบู ำงทำ่ นอำจเส่ียงทำยโดยให้ผจู้ ะสมัครเป็นศิษย์นำ
ไก่ไปคนละตวั ครูเจิงคือผู้สอนฟ้อนเจิงจะขีดวงกลมท่ีลำนบ้ำนแลว้ เชอื ดคอไก่ และโยนลงในวงน้นั หำกไกข่ องผู้ใดด้ิน
ออกไปตำยนอกเขตวงกลม ก็คือว่ำผีครูไม่อนุญำตให้เรียน และหำกเรียนจนสำเร็จแล้ว ครูเจิง อนุญำตให้นำวิชำไป
ใช้ได้เรียกว่ำปลดขันต้ัง โดยทำพิธียกขันต้ังคือพำนเครื่องสักกำระจำกห้ิงผีครู แจกธูปเทียนดอกไม้จำกในพำนใหแ้ ก่
ศษิ ย์ เปน็ เสรจ็ พิธี
กลำ่ วโดยสรปุ วัฒนธรรมกำรฟ้อนดำบ ฟ้อนเจงิ คือ ทำ่ ทำงทีใ่ ชใ้ นกำรแสดงอย่ำงมีชัน้ เชิง มที ้ังทำ่ ทำงที่เป็น
กำรร่ำยรำตำมกระบวนท่ำต่ำง ๆ ตำมแบบแผนท่ีแสดงออกถึงศิลปะในกำรต่อสู้ หรือเพื่อใช้ในกำรแสดง โดยท่ำรำมี
ทั้งท่ีเป็นหลักสำกล หรอื ทำ่ รำของแต่ละคนใช้ควำมสำมำรถในกำรแสดงเฉพำะตวั พลกิ แพลง ดดั แปลง ประยกุ ต์ให้ดู
สวยงำม ทั้งน้ีสำมำรถฟ้อนโดยปรำศจำกอำวุธ หรือประกอบอำวุธ เช่น หอก ดำบ และไม้ค้อน เป็นต้น ท้ังหมดล้วน
เป็นศิลปะของชำวล้ำนนำไม่ว่ำจะใช้แสดงในงำนบวช หรือประเพณีสำคัญต่ำง ๆ จึงควรคู่แก่กำรอนุรักษ์ไว้ให้กับ
ลกู หลำนไดเ้ รียนรู้และสืบทอดตอ่ ไปอย่ำงยัง่ ยืน ซงึ่ เปน็ กำรนำเอำเรอ่ื งรำวของศิลปะปอ้ งกนั ตัว ซึง่ เมื่อครง้ั อดตี ผู้ชำย
ชำวลำ้ นนำมักจะมกี ำรแสวงหำเรียนรู้ “เจงิ ” เพอ่ื ใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื ในกำรป้องกันภัยให้กับตัวเอง ดว้ ยรูปแบบและลีลำ
ทำ่ ทำงในกำรแสดงออกที่มีทงั้ ควำมเข้มแขง็ ผสมผสำนกบั ศลิ ปะกำรฟ้อนรำอยำ่ งลงตวั

ผ้ทู ถ่ี ือปฏิบัติมรดกภมู ปิ ัญญำทำงวฒั นธรรม
ชอ่ื นำยนครนิ ทร์ ใจธรรม
ที่อยู่ เลขที่ 11 หมูท่ ี่ 6 บำ้ นสันนำยำว ตำบลศรีคำ้
อำเภอแมจ่ ัน จังหวัดเชียงรำย ๕๗๑๑๐
หมำยเลขโทรศพั ท์ 087 193 4357

คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ แ ม่ ส า ย

เหนือสุดยอดในสยาม
ลือนามพระธาตุเจ้าดอยตุง

ผดุงวัฒนธรรมล้านนา
เปิดมรรคาสู่อินโดจีน

สภาวัฒนธรรมอำเภอแม่สาย

157

อำเภอแมส่ ำย

ประวตั ิควำมเป็นมำ

“อำเภอแม่สำย” เป็นอำเภอชำยแดนท่ีต้ังอยู่เหนือสุดของประเทศไทย
ชือ่ นไี้ ดม้ ำจำกชื่อแมน่ ้ำสำยเล็ก ๆ ซึ่งมีต้นน้ำอยใู่ นเขตประเทศพม่ำ แลว้ ไหล
ลงมำเป็นเส้นกนั้ พรมแดน ระหว่ำงไทยกับพม่ำตั้งแต่เหนือถ้ำผำจมไปจนถงึ
แม่น้ำรวกในเขตตำบลเกำะช้ำงทำงตะวันออก มีข้อสันนิฐำนว่ำชื่อเดิมของ
แม่น้ำนคี้ ือแมน่ ำ้ ใส ซึ่งนำ่ เชื่อถอื เพรำะแมน่ ้ำนีใ้ สจนมองลงไปเหน็ กน้ แมน่ ำ้

แมส่ ำยเป็นหมู่บ้ำนมำตง้ั แต่ปีใดไม่ปรำกฏ ทรำบแต่ว่ำชื่อหมู่บ้ำนแม่สำยน้ี มมี ำตง้ั แต่กอ่ นเปล่ียนแปลงกำรปกครอง
พ.ศ.2476 ซง่ึ แม่สำยเป็นท้องถ่ินเก่ำแก่และสำคญั ตำมประวัติศำสตร์กำรตั้งถ่ินฐำนอยู่ในเขตท่ีรำบลุ่มเชียงแสน-เชียงรำย
ยคุ แรกเร่ิมเคยเป็นหมู่บ้ำนขนำดเล็ก แต่กำรเปน็ ช่องทำงเดินทำงผ่ำนเทอื กเขำแดนลำวท่ีเรียกว่ำ “ฮอ่ งลกึ ” ทำให้
ที่นี่กลำยเป็นด่ำนพรมแดนธรรมชำติ มีผู้คนหลำกหลำยชำติพันธ์อำศัยท้ังบนพื้นรำบและภูเขำ มีกำรเดินทำงผ่ำน
และโยกย้ำยกลุ่มไปมำตลอด ทำให้เกิดชุมชนบ้ำน เมืองเก่ำแก่หรือเป็นเวียงโบรำณท่ีเชิงเขำต่อกับทุ่งรำบให้เมืองแม่สำย
ในปัจจุบัน ที่เรียกว่ำ “เวียงพำงคำ” ตำมบันทึกในตำนำนสิงหนวัติ เช่ือว่ำเมืองแม่สำย แต่เดิมคือ “เมืองศรที วง”
หรือ “เวียงสต่ี วง” ซ่ึงต่อมำได้ชือ่ วำ่ “เวียงพำนคำ” อยู่ทศิ ตะวันตกเฉยี งเหนอื ของเวยี งโยนกนครเชียงแสน ตำมชือ่
ของช้ำงท่ีพระพรหมกุมำร (พระมหำกษัตริย์พระองค์แรกที่ได้รับสมัญญำนำมมหำรำช คือ “พระเจ้ำพรหมมหำรำช”)
ใช้เป็นพำหนะในกำรออกสู้รบกับพระยำขอมจนได้รับชัยชนะ รวมทัง้ อำคำรท่ีกำรอำเภอแม่สำยน้ัน ต้ังอย่ทู ่ี ตำบล
เวยี งพำงคำ ซึ่งคำดวำ่ เพี้ยนมำจำก “เวยี งพำนคำ” นั่นเอง นอกจำกนใี้ นพืน้ ท่ี หมู่ที่ 3 ต.เวยี งพำงคำ ยงั มีบำ้ นเวยี งพำน
และวดั เวยี งพำน ตงั้ อยู่อีกดว้ ย สภำพเมอื งเกำ่ ยังปรำกฏรอ่ งรอยคเู มอื งและกำแพงเมืองโบรำณ ให้เห็นในปจั จบุ นั นี้

ผู้คนจำกแม่สำยพื้นเพเดิมอพยพคนจำกลำพูนมำอยู่เชียงแสนตั้งแต่เม่ือเปลี่ยนแปลงไปในช่วงเป็นระบบ
มณฑลเทศำภิบำลในรำวสมัยรัชกำลท่ี5 คนท่ีมำส่วนมำกเป็นลูกหลำนชำวเมืองยอง ที่อพยพลงไปกับ พระยำกำวิละ
(สมัยรัชกำลพระพุทธยอดฟ้ำจุฬำโลกมหำรำช) ตำมนโยบำยเก็บผักใส่ซ้ำเก็บข้ำใส่เมือง ตำมคำเล่ำลือถึงพื้นท่ีรำบ
อันอุดมสมบูรณว์ ่ำ “ต้นขำ้ วใหญร่ ำวต้นตะไคร้” ปลูกอะไรก็งอกงำมดีและเป็นทำงผ่ำนทีจ่ ะเดินทำงไปสู่ “เมอื งไต”
ชำวไทยองเหล่ำนี้มิได้อำศัยอยู่เฉพำะในเขตอำเภอเชียงแสนเท่ำน้ัน แต่แพร่อำณำบริเวณถึงเขตอำเภอแม่จันและ
แม่สำยในปัจจบุ ันดว้ ย โดยเฉพำะอำเภอแม่สำย อพยพมำอยตู่ ำบลเกำะชำ้ งมำกเปน็ พเิ ศษ ซึ่งคนเหล่ำน้เี ปน็ ชำวนำ
ที่รู้จักสร้ำงระบบชลประทำนเป็นอย่ำงดมี ำนำนตั้งแต่กอ่ นมีอำณำจักรเชียงรุ่งในอดีตแล้ว กำรมำตั้งรกรำกแถบลมุ่
แม่น้ำสำยตอนล่ำงกับแมน่ ้ำรวก ทำให้มีกำรขุดลำเหมืองเรียก “เหมืองแดง”เพ่ือชักนำ้ จำกแม่น้ำสำยเข้ำนำตงั้ แต่
บ้ำนเหมืองแดงเปน็ ตน้ ไป มำหล่อเล้ียงบำงส่วนของทุ่งรำบเชียงแสน-แม่จันอันอดุ มสมบูรณ์ ปำกเหมืองแดงท่หี นำ้
ถ้ำผำจมคือ หัวฝำยของชำวนำฟำกตะวันออกของถนนทั้งมวล กำรดูแลฝำยทำให้มีคนแวะเวียนมำบริเวณน้ี
อยำ่ งสม่ำเสมอ น่ำเชือ่ ว่ำนีเ่ ป็นอีกเหตุปจั จัยหนง่ึ ของกำรเกิดชุมชนรมิ ฝง่ั เหมืองแดงและแม่น้ำสำยข้นึ

เมื่อมีกำรจัดรูปแบบกำรปกครองตำม พ.ร.บ ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 ได้แบ่งกำรปกครอง
ออกเป็น ตำบล หมู่บ้ำน เรียกว่ำ “เมืองเวียงพำงคำ” ข้ึนอยู่กับอำเภอแม่จัน คร้ัน พ.ศ. 2481 ยกฐำนะเป็นก่ิง
อำเภอ โดยไมป่ รำกฏหลกั ฐำนวำ่ ใครเปน็ ปลดั ก่ิงอำเภอเป็นคนแรก (ในปลำยปี พ.ศ. 2584 เกิดสงครำมโลกครั้งที่
2) แต่ปลัดก่ิงอำเภอคนสุดท้ำยก่อนเป็นอำเภอน่ำจะเป็น มหำแสง มณวิฑูร ซึ่งภำยหลังเป็นนักวิชำกำรด้ำน
วฒั นธรรมทีม่ ชี อ่ื เสยี งบคุ คลหนึง่ ซ่ึงแมส่ ำยอยู่ในฐำนะเปน็ กิ่งอำเภอได้ประมำณ 12 ปี
จำกรำชกจิ จำนเุ บกษำ ตอนที่ 21 เลม่ ที่ 67 เมอ่ื วันท่ี 11 เมษำยน 2493 ประกำศสำนักนำยกรัฐมนตรี เรื่องยก
ฐำนะกิ่งอำเภอแม่สำย อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงรำย ขึ้นเป็น “อำเภอแม่สำย” ทั้งน้ี ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภำคม
พ.ศ.2493 ประกำศ ณ วันที่ 5 เมษำยน 2493 จอมพล ป.พิบูลสงครำม นำยกรัฐมนตรี ซ่ึงมีนำยสนัน่ สุวิเศษศักดิ์
เป็นนำยอำเภอคนแรกเม่ือวันที่ 19 มิถุนำยน พ.ศ.2493 และได้สร้ำงที่ว่ำกำรปกครองอำเภอแม่สำยหลังแรก
เม่ือวันที่ 14 มกรำคม พ.ศ.2494 ปัจจุบันน้ีอำเภอแม่สำยมี 8 ตำบลโดยแยกส่วนตะวันตกของอำเภอแม่สำย

158

ออกเป็น “ตำบลเวยี งพำงคำ” แยกสว่ นใตข้ อง “ตำบลเกำะชำ้ ง”ออกเปน็ “ตำบล
ศรีเมืองชุม” แยกส่วนตะวันออกของ “ตำบลโป่งผำ” ออกเป็น”ตำบลบ้ำนดำ้ ย”
และแยกส่วนทำงใต้ของ “ตำบลโป่งผำ” ออกเป็น “ตำบลโป่งงำม” ทำให้ได้
ตำบลใหมอ่ กี 4 ตำบลรวมกับ 4 ตำบลเดมิ เป็น 8 ตำบล

และเหตุกำรณ์สำคัญอกี ประกำรหนึ่งท่ียังคงจำรกึ ในหัวใจของพสกนิกร
อำเภอแม่สำย จังหวัดเชียงรำย ท่ีกลำยเป็นภำพที่ถูกใช้เพื่อระลึกถึงวนั สำคัญน่ัน
คือ กำรเสด็จพระรำชดำเนินประพำสหัวเมืองฝ่ำยเหนือเป็นคร้ังแรก ของ
พระบำทสมเด็จปรมินทรภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนำงเจ้ำสิริกิต์ิ
พระบรมรำชินีนำถ ที่จังหวัดเชียงรำย เม่ือวันที่ 10 มีนำคม พ.ศ.2501 และ
เสด็จพระรำชดำเนินต่อไปยังชำยแดนอำเภอแม่สำย ไปเย่ียมรำษฎรอำเภอแม่สำย
คร้ังแรก ในวนั ท่ี 11 มีนำคม 2501 โดยประทบั รถพระทน่ี ่งั ไปจอดหนำ้ ท่วี ำ่ กำร
อำเภอแม่สำย จำกน้ันพระองค์ท่ำนได้ทรงยืนที่หน้ำระเบียงท่ีว่ำกำรอำเภอแมส่ ำย ทรงโบกพระหัตถใ์ ห้รำษฎรที่มำรอ
รับเสด็จโดยชำวบำ้ นส่งเสยี ง 'ทรงพระเจริญ' ดังกึกก้อง

คำขวัญอำเภอแมส่ ำย

“เหนือสุดในสยาม ชายแดนสามแผน่ ดิน ถน่ิ วัฒนธรรมลา้ นนา

เปิดมรรคาส่อู ินโดจนี แผ่นดินพระเจา้ พรหมมหาราช”

ลกั ษณะทำงกำยภำพ

๑. สภำพทว่ั ไป

เปน็ อำเภอชำยแดนตั้งอยู่เหนือสุดของจงั หวัดเชียงรำยและเหนอื สุดของประเทศไทย อยู่บน

ทำงหลวงหมำยเลข 1 พหลโยธิน มีระยะทำงห่ำงจำกจังหวัดเชียงรำย 63 กิโลเมตร และห่ำงจำก

กรุงเทพมหำนคร 891 กิโลเมตร มีอำณำเขตติดกับประเทศสำธำรณรัฐสหภำพพม่ำ และมี

เส้นทำงเชื่อมโยงสู่ประเทศสำธำรณรัฐประชำชนจนี ตอนใต้โดยถนนสำย R3B จงึ เป็นอำเภอที่มี

ควำมสำคัญทงั้ ด้ำนเศรษฐกิจ กำรคำ้ กำรลงทุน กำรทอ่ งเท่ยี ว และควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงประเทศ
อำณำเขตติดตอ่
- ทศิ เหนือ ตดิ ตอ่ กับรฐั ฉำน ประเทศสหภำพสำธำรณรัฐสหภำพเมียนมำ โดยมแี มน่ ้ำสำย
และแมน่ ้ำรวกก้นั ระหว่ำงประเทศ รวมระยะทำง 29 กม.
- ทศิ ตะวนั ออก ตดิ กับรัฐฉำน ประเทศสหภำพสำธำรณรัฐสหภำพเมียนมำอำเภอเชยี งแสน
- ทิศใต้ ตดิ ตอ่ กับอำเภอชยี งแสน อำเภอแมจ่ ันและอำเภอแมฟ่ ้ำหลวง
- ทิศตะวันตก ติดตอ่ กับรฐั ฉำน ประเทศสหภำพสำธำรณรัฐสหภำพเมียนมำ โดยมีเทือกเขำแดนลำว
กัน้ ระหวำ่ งประเทศ รวมระยะทำง 15 กม.
๒. สภำพภูมิประเทศ
มขี นำดพ้ืนท่ปี ระมำณ 285 ตร.กม. หรือ 178,125 ไร่ ทศิ ตะวันตกเปน็ ภเู ขำ เรยี กวำ่ เทอื กเขำแดนลำว
หรือดอยนำงนอน เป็นป่ำสงวนแห่งชำติ มีพื้นทป่ี ระมำณ 38,475 ไร่ ร้อยละ 21.60ของพื้นทอ่ี ำเภอ พ้ืนทีร่ ำบ
มีประมำณ 139,650 ไร่ หรือร้อยละ 78.40 แบ่งเป็นพ้ืนท่ีทำกำรเกษตร 121,781 ไร่ หรือร้อยละ 68.37
เปน็ ที่อยอู่ ำศัยและอ่นื ๆ ประมำณ 17,869 ไร่ หรอื ประมำณร้อยละ 10.13
๓. ลักษณะภูมอิ ำกำศ
เปน็ แบบมรสมุ เขตรอ้ นแบง่ ออกได้ 3 ฤดู คือ
1. ฤดรู อ้ น ระหวำ่ งเดือน มนี ำคม ถงึ เมษำยน อุณหภมู ิเฉลย่ี ประมำณ 28 องศำเซลเซียส
2. ฤดูฝน ระหว่ำงเดือน กรกฎำคม ถงึ ตุลำคม อุณหภูมิเฉลย่ี ประมำณ 27 องศำเซลเซียส
3. ฤดหู นำว ระหวำ่ งเดือนพฤศจิกำยน ถึง กุมภำพนั ธ์ อณุ หภูมิเฉล่ียประมำณ 10 องศำเซลเซยี ส

159

แหลง่ เรียนรู้/แหล่งทอ่ งเท่ียว

1. พระบรมรำชำนุสำวรียพ์ ระเจำ้ พรหมมหำรำช

องค์อนุสรณ์สถำนแห่งน้ีประดิษฐำนอยู่ ณ ที่ว่ำกำรอำเภอแม่สำย สร้ำงเพ่ือเป็นกำรรำลึกถึง
พระมหำกรุณำธคิ ุณทีท่ ่ำนทรงมีต่อชำวแม่สำยตลอดมำ มกี ำรกล่ำวว่ำท่ำนทรงสร้ำงเมืองแม่สำยแห่ง
น้ีข้ึน นับว่ำเป็นมหำรำชองค์แรกในประวัติศำสตร์ชำติไทย หำกใครมีโอกำสไปแม่สำยควรจะแวะมำ
สักกำระหรือถ่ำยรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ ที่สำคัญแต่ละปีจะมีพิธีบวงสรวงเพ่ือให้ประชำชนได้
ร่วมกนั กรำบไหวเ้ ป็นสิรมิ งคล ในช่วงเดอื นมีนำคมของทุกปี
2. พระธำตดุ อยตุง
ตั้งอยูบ่ ริเวณกโิ ลเมตรที่ 17.5 บนทำงหลวงหลำยเลข 1149 เปน็ ทบี่ รรจุพระรำกขวัญ
เบ้ืองซ้ำย (กระดูกไหปลำร้ำ) ของพระพุทธเจ้ำนำมำจำกมัธยมประเทศ นับเป็นคร้ังแรกที่
พระพุทธศำสนำลัทธิลังกำวงศ์ ได้มำประดิษฐำนท่ีล้ำนนำไทย เม่ือก่อสร้ำงพระสถูป
บรรจุพระบรมสำรีริกธำตุ นไี้ ด้ทำธงตะขำบ (ภำษำพื้นเมืองเรียกวำ่ ตุง) ใหญ่ยำวถึงพนั วำ
ปักไว้บนยอดดอย ถำ้ หำกปลำยธงปลิวไปไกลถึงเมืองไหน ก็จะกำหนดเปน็ ฐำนพระสถูป
เหตุน้ีดอยซึ่งเป็นที่ประดิษฐำนปฐมเจดีย์แห่งล้ำนนำไทย จึงปรำกฏนำมว่ำ ดอยตุง พระธำตุดอยตุงเป็นปูชณียสถำน
ที่สำคัญ เมื่อถึงเทศกำลนมัสกำรพระธำตุดอยตุงจะมีพุทธศำสนิกชนทั้งชำวไทยและเพ่ือนบ้ำนจำกประเทศใกล้เคียง
เชน่ ชำวเชยี งตงุ ในรัฐฉำน สหภำพเมยี นมำ ชำวหลวงพระบำงเวยี งจนั ทน์ เดนิ ทำงเข้ำมำนมสั กำรทุกปี

3. ดำ่ นพรมแดนถำวรแมส่ ำย –ท่ำขเ้ี หล็ก
เป็นประตูประเทศไทยกับประเทศสำธำรณรฐั สหภำพเมียนมำ ซึ่งอำเภอแม่สำยเปน็ จดุ
เหนือสดุ แดนสยำม เปน็ ชำยแดนเชอื่ มต่อเมืองท่ำขี้เหลก็ ประเทศสำธำรณรัฐสหภำพเมียน
มำ ใช้ในกำรเดินทำงเพื่อกำรท่องเท่ียว กำรค้ำ กำรลงทุน และกำรไปมำหำสู่กับประเทศ
เพอื่ นบ้ำนโดยจะทำกำรเปิดดำ่ น ในเวลำ 06.30 น. และปิดด่ำนในเวลำ 18.30 น. ของทุก
วัน ซ่ึงในแต่ละปจี ะมีนกั ท่องเทย่ี วเดนิ ทำงมำเปน็ จำนวนไม่นอ้ ยกวำ่ หนง่ึ ลำ้ นคนต่อปี

4. พระธำตดุ อยเวำ
พระธำตดุ อยเวำ ตั้งอยหู่ มู่ 1 ตำบลเวียงพำงคำ ก่อนถงึ ชำยแดนแม่สำยประมำณ 100 เมตร

บนดอยริมฝ่ังแม่น้ำแม่สำยตำมประวัติกล่ำวว่ำ พระองค์เวำหรือเว้ำผู้ครองนครโยนกนำคพันธุ์
เป็นผสู้ รำ้ งเพือ่ บรรจพุ ระเกศำธำตุองค์หนงึ่ เม่ือ พ.ศ. 364 นบั เป็นพระบรมธำตุที่เก่ำแก่องค์หน่ึง
รองมำจำกพระบรมธำตุดอยตุงนอกจำกน้ีบนดอยเวำยงั เป็นจุดท่ีสำมำรถชมทวิ ทัศน์ของอำเภอ
แม่สำยและท่ำข้ึเหล็กทำงฝั่งพม่ำได้อย่ำงชัดเจนสำมำรถนำรถข้ึนไปจนถึงพระธำตุได้ และที่พระธำตุดอยเวำ มีพระเจ้ำอินทร์
สำน เปน็ พระพทุ ธรูปทส่ี ำนด้วยไม้ไผ่ เปน็ ที่เคำรพบูชำของชำวพุทธในละแวกนั้น

5. วัดหริ ัญญำวำส (พระสงิ ห์สำนชนะมำร พระสำนด้วยไม้ไผ่องค์ใหญ่ที่สุดในโลก)
เป็นลกั ษณะพระสิงห์หนึ่งเชียงแสน (โบรำณ) ทที่ ำจำกไมไ้ ผ่ชนิดหนึ่งที่มถี ิ่นกำเนิดจำกประเทศ

พมำ่ อย่บู นภูเขำสูงมีชื่อตำมทอ้ งถิ่นว่ำ “ไม้มงุ ” นำมำจกั สำนเป็นองค์พระซึง่ ใช้ภูมิปัญญำท้องถิ่นมี
ขนำดหน้ำตักกว้ำง 9.9 ศอก ถือว่ำเป็นพระไม้ไผ่ท่ีมีขนำดใหญ่ที่สุดในโลกองค์พระสำนน้ีหลังจำก
สำนเสร็จ ทำด้วยน้ำยำงรักมีลักษณะเป็นสีดำเพ่ือเป็นกำรรักษำเน้ือไม้ให้อยู่คงทนถำวร
ยำวนำน พระไม้ไผ่สำนน้ีนิยมสำนในประเทศพม่ำ ผคู้ นในรฐั ฉำนมักนิยมสร้ำงและมักเรียกช่ือพระไม้
ไผ่สำนนี้ว่ำ “พระเจ้ำอินทร์สำน” เพรำะมีควำมเช่ือว่ำพระอินทร์มำช่วยสำนพระน้ีโดยใช้ระยะเวลำอันสั้นเพียงคืนเดียวก็
สำเร็จสำหรับพระสิงห์สำนชนะมำรองค์นี้ ได้สำนสำเร็จแล้ว โดยใช้เวลำ 99 วันตั้งอยู่ที่วัดหิรัญญำวำส ตำบลเกำะช้ำง
อำเภอแมส่ ำย จังหวัดเชียงรำย

160

6. ถำ้ ผำจม
ตั้งอยู่หมู่ 1 ตำบลแม่สำย อยู่ห่ำงจำกตำบลแม่สำย ไปทำงทิศเหนือประมำณ

1.5 กิโลเมตร ถ้ำผำจมตั้งอยู่บนดอย อีกลูกหนึ่งทำงทิศตะวันตกของดอยเวำ ติดกับ
แม่น้ำสำยเคยเป็นสถำนท่ีซ่ึง พระภิกษุสงฆน์ ั่งบำเพ็ญเพียรภำวนำ เช่น พระอำจำรย์มน่ั
ภูรทิ ัตโต ปัจจบุ ันมรี ูปป้นั พระอำจำรยม์ ่ัน ภูรติ โต ประดษิ ฐำนไวบ้ นดอยด้วยภำยใน
ถ้ำผำจมมี หินงอกยอ้ ยอยตู่ ำมผนงั และเพดำนถ้ำสวยงำมวจิ ิตรตระกำรตำ
7. ถ้ำปลำ
เป็นถ้ำหน่ึงท่ีมีน้ำไหลภำยในถ้ำเคยมีปลำชนิดต่ำง ๆ ทั้งใหญ่น้อย
ว่ำยออกมำให้เห็นเป็นประจำภำยในถ้ำยังมีพระพุทธรูปศิลปะพม่ำ
สร้ำงขึ้นโดยพระภิกษุชำวพม่ำประชำชนท่ัวไปเรยี กว่ำ พระทรงเครื่อง
เปน็ ทีเ่ ลอื่ มใสของประชำชนในแถบนี้

8. ถ้ำเสำหินพญำนำค
เป็นถ้ำที่อยู่ปลำยสุดของ

แหล่งท่องเท่ียวแห่งน้อี ยู่ในควำมรบั ผิดชอบของหมูท่ ่ี 3 บ้ำนถ้ำปลำ กำร
เดินทำงไปถ้ำน้ีสำมำรถไปได้ ท้ังทำงน้ำและทำงบกโดยกำรเดินลัดเลำะ
ตำมขอบอ่ำงเก็บน้ำทำงทิศใต้ปำกถ้ำวัดควำมกว้ำงได้ ประมำณ 4.70
เมตรสูงประมำณ 2.40 เมตรลักษณะของถ้ำเป็นโพรงสงู ข้ึนในแนวดิ่งหิน
งอกมีลักษณะเป็นแท่ง ซ้อนกันคล้ำยเสำบ้ำนชำวบ้ำนจึงเรียกถ้ำน้ีวำ่ ถ้ำ
เสำหิน ซ่ึงมีลักษณะเปน็ 3 ชัน้
11. วนอทุ ยำนถ้ำหลวง
ถ้ำหลวง เป็นถ้ำหินปูนขนำดใหญ่ เช่ือกันว่ำมีควำมยำวมำกที่สุดในประเทศ
ไทยเน่อื งจำก มคี วำมยำวกวำ่ 7 กิโลเมตร ปำกถ้ำเปน็ ห้องโถงกว้ำงมำกภำยในถ้ำ
จะพบกับควำมงำมของ เกล็ดหินสะท้อนแสง หินงอก หินย้อย ธำรน้ำและถ้ำลอด
ถ้ำหลวงยังรอคอยควำมท้ำทำยกำรสำรวจจำกนักท่องเที่ยวอยู่ตลอดเวลำเพรำะ
สำรวจไปไดไ้ มถ่ ึงทห่ี มำยก็ตอ้ งลำ่ ถอยออกมำด้วยพบกบั อุปสรรคควำมยำกลำบำก
ภำยในถ้ำและยังมีถ้ำเล็ก ๆ อีก 3 แห่งในบริเวณเดียวกัน ถ้ำพระ เป็นถ้ำขนำดเล็กภำยในชำวบ้ำนได้สร้ำงพระพุทธรูป
ประดิษฐำนไว้เพื่อสักกำรบูชำปัจจุบันยังมีพระภิกษุธุดงมำปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำ ถ้ำเลียงผำ เป็นถ้ำท่ีมีควำมลึกมำก
มีควำมชุ่มชื้นตลอดเวลำ พื้นถ้ำบำงแห่งเป็นดินผุ มักมีสัตว์ป่ำมำดื่มน้ำและอำศัยอยู่เป็นประจำนอกจำกถ้ำดังกล่ำวแล้ว
ภำยในวนอทุ ยำนฯ ยังมถี ำ้ มลั ติกำเทวี ถำ้ พญำนำค ซึง่ มคี วำมงำมแตกต่ำงกนั ไป ซึง่ ถ้ำเหล่ำนีอ้ ยหู่ ่ำงจำกอำเภอแม่สำยเพียง
5 กโิ ลเมตร และแยกจำกทำงหลวงหมำยเลข 110 เขำ้ ไปประมำณ 3 กโิ ลเมตร นับวำ่ ไม่ไกลมำกนัก
12. ขนุ น้ำนำงนอน
เป็นแหล่งสถำนที่ท่องเท่ียวเชิงนิเวศวิทยำ เกิดจำกตำน้ำบริเวณเชิงเขำ
ไหลรวมกันเป็นแอ่งน้ำขนำดใหญ่ และบนหน้ำผำเหนือบึงน้ำยังเป็นที่ตั้งของ
ถ้ำทรำยทอง ถำ้ นมี้ คี วำมพิเศษตรงที่เปน็ ถ้ำลอด ภำยในถ้ำยังไมไ่ ดม้ กี ำรสำรวจ
จึงมีควำมเป็นธรรมชำติอยู่สูงปรำศจำกกำรรบกวน ขุนน้ำนำงนอน
เป็นแหล่งนำ้ ธรรมชำติ ทอี่ ดุ มสมบูรณ์ดว้ ยพรรณไม้ใหญน่ ำนำชนิด บรรยำกำศ
ร่มร่ืน ชุ่มช่ืน มีอำหำร เคร่ืองดื่มไว้บริกำรนักท่องเท่ียว กำรเดินทำง
สะดวกสบำย มีถนนตัดเข้ำไปจนถึงเขตวนอุทยำน เปิดให้บริกำรตลอดทั้งปี
นักทอ่ งเท่ียวมกั เข้ำมำพักผ่อน เล่นนำ้ คลำยรอ้ นกนั ในช่วงฤดรู ้อน

161

ตำนำนพระธำตุดอยตงุ
ทิวเขำที่ทอดยำวทำงด้ำนทิศตะวันตกของอำเภอแม่สำย จังหวัด

เชียงรำยเป็นพรมแดนธรรมชำติที่กั้นระหว่ำงประเทศไทยกับพม่ำ มีชื่อ

เรียกว่ำทิวเขำแดนลำว หรือเทือกเขำดอยตุง บริเวณพ้ืนที่น้ีมีกลุ่มดอย

สลับซับซ้อน เป็นแหล่งชุมชนโบรำณท่ีปรำกฏเร่ืองรำวในตำนำนเล่ำขำน

สบื ต่อกนั มำหลำยยุคหลำยสมัย

ทิวเขำกลุ่มหนึ่งท่ีทอดตัวเรียงเป็นรูปสำมเส้ำ ดอยทำงทิศใต้เป็นท่ีประดิษฐำนพระธำตุซ่ึงเป็นที่เคำรพนับถือ

และเชื่อกันอย่ำงกว้ำงขวำงว่ำเป็นปฐมธำตุเจดีย์แห่งล้ำนนำที่สร้ำงข้ึนเม่ือปี พ.ศ.1454 โดยพระเจ้ำอุชุตรำชแห่ง

นครโยนกนำคพันธ์ุ นั่นคือ พระมหำชินธำตุเจ้ำบนดอยตุง ด้วยควำมเชื่อที่ว่ำภำยใต้พระมหำสถูปท้ังสององค์ของ

พระมหำชนิ ธำตุเจ้ำดอยตุงเป็นที่ประดิษฐำนพระรำกขวัญเบื้องซ้ำยและพระบรมสำรีริกธำตุส่วนอน่ื ๆ ปรำกฏเปน็ ควำมเชื่อ

สืบทอดบันทึกไว้ในเอกสำรตำนำนที่กล่ำวอ้ำงถึงกำรนำพระบรมสำรีริกธำตุมำสู่ดอยตุงและกำรสถำปนำพระมหำสถูป

ระบศุ กั รำชในตำนำนไกลโพ้นถงึ ยุคพุทธกำล เนน้ ย้ำควำมศักด์สิ ิทธิ์สงู สุดผูกพนั ตำนำนกับควำมเชอ่ื เล่ือมใสท่ียำวนำนมำ

ตำนำนเกย่ี วกบั พระธำตุดอยตงุ ปรำกฏอยู่ในตำนำนพื้นเมืองของล้ำนนำเปน็ ควำมเช่อื ปรัมปรำของจำรีตกำร

สืบทอดประวัติควำมเป็นมำแหง่ ดินแดนท่ีแสดงให้เห็นถึงกำรเสื่อมสลำยและควำมรุ่งโรจนข์ องอำณำจักรชุมชนใน

บริเวณอันกว้ำงใหญ่ของลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกกและแม่น้ำสำยท่ีเกี่ยวเน่ืองกับอิทธพิ ลของพุทธศำสนำท่ีแพร่ขยำย

เข้ำสู่ดินแดนบรเิ วณนี้

ตำนำนทเ่ี ล่ำสบื ต่อกนั มำของพระธำตุดอยตุงมอี ยวู่ ำ่ ท่ีบริเวณพระธำตดุ อยตงุ ประกอบดว้ ยยอดเขำหลำยลูก

สลบั ซบั ซอ้ นกันอยู่ บริเวณนี้เปน็ ทอี่ ยขู่ องอำรยชนกลุ่มหนง่ึ ทีเ่ รียกว่ำ วริ ังคะ บำ้ ง ลวั ะ บ้ำง พวกนม้ี ีหัวหน้ำชือ่ ปู่เจำ้

ลำวจก มีเมียช่ือ ผ่ำเจ้ำลำวจก สมัยพุทธกำล พระพุทธเจ้ำเคยเสด็จมำประทับอยู่ท่ียอดเขำลูกหนึ่งทรงมะนำวตัด

และทำนำยว่ำในอนำคตจะมีพระอรหันต์นำพระธำตุของพระองค์มำประดิษฐำน ณ ท่ีน้ี ซึ่งต่อไปภำยหน้ำจะเปน็

บ้ำนเป็นเมือง มกี ษตั รยิ ค์ ำ้ ชพู ุทธศำสนำตรำบช่ัว 5,000 พระวัสสำ

ในปี พ.ศ. 2470 องค์พระธำตุทรุดโทรมมำก ครูบำเจ้ำศรีวิชัย กับประชำชนเมืองเชียงรำยจึงได้บูรณะข้ึน

ใหม่ โดยสรำ้ งเป็นเจดยี ์องคร์ ะฆังขนำดเล็ก 2 องค์ บนฐำน 8 เหล่ยี ม ตำมศิลปะแบบล้ำนนำ กำรบรู ณะคร้ังหลังสุด

มีข้ึนเม่ือปี พ.ศ.2516 โดยกระทรวงมหำดไทยได้สรำ้ งพระธำตุองค์ใหมข่ ึ้นครอบพระเจดีย์เดิมไว้ พระธำตุดอยตุง

เป็นโบรำณสถำนที่สำคัญทำงพระพุทธศำสนำ สร้ำงมำแต่โบรำณกำล หลักฐำนแรกท่ีพระพุทธศำสนำ เข้ำมำ

ประดิษฐำนในล้ำนนำ ตำมประวัติได้กล่ำวไว้พระมหำกัสสะปะเถระได้อัญเชิญพระบรมสำรีริกธำตุ ส่วนพระธำตุ

รำกขวญั เบื้องซ้ำย หรือกระดกู ไหปลำร้ำข้ำงซ้ำยขององค์สมเด็จพระสัมมำสัมพุทธเจ้ำ มำมอบถวำยแด่พระเจ้ำอุชุตรำช

เจ้ำผู้ครองนครนำคพันธ์โยนกชัยบุรี รัชกำลที่ ๓ แห่งรำชวงศ์สิงหนวัติ เป็นประธำนบรรจุพระบรมสำรีริกธำตุ

ณ ดอยดินแดง หรือดอยตุงในปัจจุบัน เม่ือแรกก่อสร้ำงพระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรมสำรีริกธำตุ ได้ทำธงตะขำบ

หรือภำษำพ้ืนเมืองเรียกว่ำ “ตุง” ใหญ่ยำวหลำยพันวำ ปักไว้บนยอดดอยดินแดงคู่กับพระธำตุ ตุงขนำดมหึมำน้ี

ได้ทอดร่มเงำปกคลุมบ้ำนเมอื ง ที่ตั้งอยู่บนที่รำบเบ้ืองล่ำง ให้มีควำมร่มเยน็ ยอดเขำอันเป็นท่ีตั้งองค์พระธำตุ จึง

ไดร้ บั กำรเรยี กสืบต่อกันมำว่ำ “ดอยตงุ ”

ผูท้ ี่ถือปฏิบัติมรดกภมู ิปญั ญำทำงวฒั นธรรม

ท้ังนี้ ตำนำนพระธำตุดอยตุงถูกเผยแพร่ ชอื่ พระพุทธิวงศว์ ิวฒั น์

ในหลำกหลำยรูปแบบทั้งรูปแบบหนังสือ ทอ่ี ยู่ หมู่ ๒ บ้ำนห้วยไคร้ ตำบลหว้ ยไคร้

และรูปแบบออนไลนผ์ ำ่ นทำงเว็บไซต์ตำ่ ง ๆ อำเภอแมส่ ำย จังหวัดเชียงรำย ๕๗๑๓๐

หมำยเลขโทรศัพท์ -

162

ฟ้อนเลบ็ กลมุ่ พัฒนำสตรอี ำเภอแมส่ ำย

ฟ้อนเล็บ เป็นกำรฟ้อนชนิดหนึ่งของชำวไทยในภำคเหนือ
ผู้ฟ้อนจะสวมเล็บยำว ลีลำท่ำรำของฟ้อนเล็บคล้ำยกับฟ้อนเทียน

ต่ำงกันท่ีฟ้อนเทียนมือท้ังสองถือเทียน ตำมแบบฉบับของกำรฟอ้ น
ได้นำลีลำท่ำฟ้อนอันเป็นแบบแผนมำจำกคุ้มเจ้ำหลวงมำฝึกสอน

จดั เป็นชดุ กำรแสดงทีน่ ่ำชมอีกชุดหน่ึง แต่เดิมเรียก "ฟ้อนเล็บ" ด้วย
เห็นว่ำเป็นกำรฟ้อนที่เป็นเอกลักษณ์ของ "คนเมือง" ซึ่งหมำยถึง
คนในถ่นิ ลำ้ นนำท่ีมเี ช้ือสำยไทยวน

เนื่องจำกกำรเป็นกำรแสดงที่มักปรำกฏ ในขบวนแห่ครัวทำนของวัดจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหน่ึงว่ำ "ฟ้อนแห่ครัวทำน"
ต่อมำมีกำรสวมเล็บที่ทำด้วยทองเหลืองทั้ง 8 นิ้ว (ยกเว้นน้ิวหัวแม่มือ) จึงได้ชื่อว่ำ "ฟ้อนเล็บ" กำรฟ้อนได้ถือว่ำเป็น

กำรแสดงออกถึงวฒั นธรรมและขนบประเพณีของชำวเหนือ ซ่ึงมีลักษณะเฉพำะท้งั กำรแต่งกำย จงั หวะ และลีลำ ทำ่ ทำง
กำรฟอ้ นรำ เพลงและดนตรีทใี่ ช้ประกอบ จึงนับเปน็ ศลิ ปะและวัฒนธรรมของชำวภำคเหนอื ที่ทรงคุณค่ำอย่ำงแท้จริง

ฟ้อนเล็บเป็นกำรฟ้อนของชำวไทยภำคเหนือกำรแสดงจะมีดนตรีบรรเลงประกอบ โอกำสที่แสดง ในงำน

เทศกำลหรืองำนนกั ขัตฤกษ์ต่ำง ๆ ฟ้อนเล็บเป็นศิลปะกำรแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ทำงภำคเหนือโดยเฉพำะรูปแบบ
กำรฟ้อนมีอยู่ ๒ แบบ คือแบบพ้ืนเมืองหรือฟ้อนเมือง และแบบคุ้มเจ้ำหลวง นิยมฟ้อนในเวลำกลำงวัน สำหรับ

ชื่อชดุ กำรแสดงจะมคี วำมหมำยตำมลกั ษณะของผู้แสดงทจี่ ะสวมเล็บยำวสที องทุกนว้ิ ยกเว้นนวิ้ หัวแมม่ อื
เคร่ืองแต่งกำย กำรแตง่ กำยแต่เดิมจะนงุ่ ผ้ำซ่ิน สวมเสอ้ื แขนยำวทรงกระบอกคอกลม หรือคอจนี ผ่ำอก เกล้ำผมมวย
โดยขมวดมวยดำ้ นท้ำยทอย ทัดดอกไม้ประเภทดอกเอือ้ ง จำปำ กระดงั งำ หำงหงส์ หรอื ลีลำวดี สวมเล็บท้ังแปดนิว้

ตอ่ มำมกี ำร ดัดแปลงให้สวยงำมโดยประดับลกู ไม้ หรอื ระบำยท่ีคอเสอ้ื หม่ สไบเฉียงจำกบ่ำซ้ำยไปเอวขวำทับดว้ ยสังวำล
ตดิ เข็มกลัด สวมกำไลขอ้ มือ กำไลเทำ้ เกล้ำผมแบบญี่ปนุ่ ทดั ดอกไมห้ รอื อำจเพ่ิมอบุ ะหอ้ ยเพื่อควำมสวยงำม

ทำ่ รำ มีกำรแบง่ ทำ่ รำออกเปน็ ๔ ชดุ คอื
❖ ชดุ ที่ ๑ ประกอบด้วยท่ำ จีบหลัง (ยงู ฟ้อนหำง) บังพระสุรยิ ำ วันทำ บวั บำน กังหนั รอ่ น
❖ ชุดท่ี ๒ ประกอบด้วยท่ำ จบี หลงั ตระเวนเวหำ รำกระบี่สีท่ ่ำ พระรถโยนสำร ผำลำเพียงไหล่ บัวชูฝัก กังหนั ร่อน

❖ ชุดที่ ๓ ประกอบดว้ ยทำ่ จบี หลัง พรหมส่ีหนำ้ พสิ มัยเรยี งหมอน กังหนั ร่อน
❖ ชุดที่ ๔ ประกอบด้วยทำ่ จีบหลงั พรหมสีห่ น้ำ พิสมยั เรียงหมอนแปลง ตำกปกี

ดนตรี เคร่อื งดนตรที ใ่ี ชใ้ นกำรฟ้อนเป็นขบวนกลองยำว ซึ่งเป็นดนตรีของชำวภำคเหนือ ได้แก่ กลองแอร์ กลองตะโลด้ โป๊ด
ฉำบ ฆ้องโหม่งใหญ่ ฆ้องโหม่งเล็ก ฉิ่ง ป่ี เวลำดนตรีบรรเลง 1.เสียงป่ีดังไพเรำะเยือกเย็นมำก ท่วงทำนองเชอื่ งชำ้
เสียงกลองจะตดี ัง ตะ ต่ึง นง ตึง่ ต๊ก ถ่ง อย่ำงน้ีเรื่อยไป ส่วนชำ่ งฟอ้ นก็จะฟอ้ นช้ำๆ ไปตำมลีลำของเพลง

เพลงทใ่ี ชบ้ รรเลง สำหรับเพลงท่ใี ช้บรรเลง ก็แลว้ แต่ผ้เู ป่ำแนจะกำหนดอำจใชเ้ พลงแหยง่ เพลงเชยี งแสน เพลงหริ
ภุญชัยหรอื ลำวเสี่ยงเทียน แต่ส่วนใหญจ่ ะใชเ้ พลงแหย่งเพรำะชำ่ งฟ้อนคุ้นกับเพลงนี้มำกกวำ่ เพลงอนื่

ฟ้อนเล็บ เป็นศิลปะกำรแสดงในอำเภอแม่สำย ผู้ท่ีถอื ปฏิบัติมรดกภูมิปญั ญำทำงวัฒนธรรม
ที่ไม่ว่ำจะมีกำรจดั งำนประเพณี เทศกำล มักจะ ชอื่ กลุ่มพฒั นำสตรอี ำเภอแม่สำย
ถูกยิบยกมำเป็นแสดง นอกจำกนี้ยังคงควำม ทอี่ ยู่ ตำบลเวียงพำงคำ อำเภอแม่สำย
เป็นเอกลกั ษณ์อีกดว้ ย
จังหวดั เชยี งรำย ๕๗๑๓๐
หมำยเลขโทรศัพท์ -

163

ประเพณบี วงสรวงพระเจ้ำพรหมมหำรำช
พระเจำ้ พรหมมหำรำช พระองคพ์ รหมรำชหรือพรหมกุมำร เป็นรำชบุตร
ของพระองค์พงั ครำช กษตั รยิ ์เมืองโยนกนครไชยบรุ รี ำชธำนีศรีช้ำงแส่น
ประสูติรำว พ.ศ. 1555 ถึง พ.ศ. 1632 ซ่ึงเป็นเมืองในที่ลุ่มแมน่ ำ้ กก
แต่มีหลักฐำนท้องถิ่นระบุว่ำพระองค์ประสูติใน พ.ศ. 1655 ที่เวียงสี่ทวง
(ตำบลเวียงพำงคำ อำเภอแม่สำย จังหวัดเชียงรำยในปัจจุบัน) และ
สิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. 1732 พระองค์มีพระปรีชำสำมำรถด้ำนกำรรบ
สำมำรถตีเอำเมืองโยนกนครไชยบุรีรำชธำนีศรีช้ำงแส่น คืนได้จำก
พระยำขอม (ขอมดำ จำกเมืองอุโมงคเสลำนคร) ซ่ึงยกทัพมำชิงเมือง
โยนกในสมัยพระองค์พงั ครำช พระองคเ์ ปน็ มหำรำชผปู้ ระเสริฐ ได้ทำนุบำรงุ
บ้ำนเมืองให้เจริญรุ่งเรืองขึ้น กว่ำแต่ก่อนทุกๆ ด้ำนเป็นอันมำกในกำร
ปกปกั ษ์รักษำบำ้ นเมืองใหอ้ ย่รู อด มีควำมมัน่ คงแขง็ แรงพอที่จะต่อสู้กับ
อริรำชศัตรู พระองค์ทรงเสริมสร้ำงป้อมคูประตูหอรบ ขยำยอำณำเขต
ให้กว้ำงขวำงยิ่งข้ึน คุณธรรมควำมดีอันเป็นพ้ืนฐำนแห่งมหำบำรมี
บุญญำธิกำรของพระองค์ จ้ำบรรเจิดซำบซ้ึงสิงอยู่ในจิตใจชำวไทยลำน
นำ และไทยในทุกแว่นแคว้นแห่งดินแดนสุวรรณภูมิ พระองค์จึงทรง
ได้รับสมัญญำนำมจำกดวงใจอันเบิกบำนผ่องใส เต็มไปด้วยควำม
จงรักภักดีของชำวไทยในยคุ นั้น และยุคตอ่ มำวำ่ “องคป์ ฐมมหำรำชไทย”
ดังน้ัน จังหวัดเชียงรำย ได้กำหนดจัดประเพณีบวงสรวงพระเจ้ำพรหมมหำรำช ระหว่ำงวันท่ี ๒๓ - ๒๔ กุมภำพันธ์
เป็นประจำทุกปี บริเวณหน้ำพระบรมรำชำนุเสำวรีย์พระเจ้ำพรหมมหำรำช ณ ที่ว่ำกำรอำเภอแม่สำย จังหวัดเชียงรำย
โดยมีส่วนรำชกำร ภำคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ่อค้ำ นักเรียน นักศึกษำ และประชำชนชำวแม่สำย
ได้ร่วมกันประกอบพิธีถวำยเคร่ืองสักกำระแบบล้ำนนำ และบวงสรวงพระเจ้ำพรหมหำรำช สำหรับในพิธีมีกำรตกแต่ง
นำเอำเคร่ืองสักกำระ ประกอบด้วยเครื่องบวงสรวง บำยศรีเทพบำนศรีพรหม บำยศรีหลัก บำยศรีตอ บำยศรีปำกชำม
เครือ่ งสักกำระพำนพุ่มดอกไม้สดเคร่ืองบูชำอญั เชิญ หมำกเบ็ง สุ่มปู ต้นเทยี น ตน้ ออ้ ย เคร่อื งเซน่ ไหว้ อำหำรคำวหวำน
หลำกหลำยชนดิ มำถวำยสักกำระแดพ่ ระองคท์ ่ำนอนั เป็นเครือ่ งหมำยแหง่ ควำมกตัญญอู ยู่รคู้ ุณเพอ่ื เป็นกำรเทดิ พระเกียรติ
และนอ้ มรำลึกถงึ พระมหำกรุณำที่คณุ ของพระองคท์ ่ำนอกี ด้วย

สำหรบั ในพิธมี ีกำรตกแต่งนำเอำเครื่องสักกำระ ประกอบด้วยเครอื่ งบวงสรวง บำยศรเี ทพบำนศรีพรหม บำยศรีหลัก
บำยศรีตอ บำยศรปี ำกชำม เครอ่ื งสกั กำระพำนพุ่มดอกไม้สดเครอ่ื งบูชำอญั เชิญ หมำกเบ็ง สุ่มปู ตน้ เทียน ตน้ อ้อย
เครื่องเซ่นไหว้ อำหำรคำวหวำนหลำกหลำยชนิดมำถวำยสักกำระแด่พระองค์ท่ำนอันเป็นเครื่องหมำยแห่งควำมกตัญญู
อยู่รู้คุณเพื่อเป็นกำรเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหำกรุณำที่คุณของพระองค์ท่ำนอีกด้วย พร้อมทั้งมี
กลุ่มสตรีในอำเภอแม่สำย กว่ำ 1,000 คน ฟ้อนเพื่อถวำยแด่พระเจ้ำพรหมมหำรำช เพื่อเป็นกำรเทิดพระเกยี รติ
และนอ้ มรำลึกถึงพระมหำกรุณำธิคุณของพระเจ้ำพรหมมหำรำชท่พี ระองค์ทรงกอบกู้เอกรำชใหร้ อดพ้นจำกกำรปกครอง
ของขอมดำ และได้รวบรวมหัวเมอื งน้อยใหญส่ ร้ำงบ้ำนแปลงเมืองเปน็ อำณำจกั รล้ำนนำ

ผู้ทถ่ี อื ปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวฒั นธรรม
ชื่อ นำงสำวกฤตพร สุขสกั
ทีอ่ ยู่ ๖๘ หมู่ ๘ ตำบลแม่สำย

อำเภอแมส่ ำย จงั หวดั เชยี งรำย ๕๗๑๓๐
หมำยเลขโทรศัพท์ ๐๕๓ ๗๓๑๒๘๘

164

ขำ้ วแรมฟืนหรือขำ้ วฟืน
ข้ำวแรมฟืนหรือข้ำวแรมคืนเป็นอำหำรท่ีเป็นท่ีนิยมในหมู่ชำวไทลื้อ
ไทเขิน และไทใหญ่ และได้แพร่หลำยมำจนถึงภำคเหนือของประเทศไทย
ทำจำกข้ำวโม่ละเอียด นำไปกวนกับน้ำปูนใสจนสุก ตักใส่ภำชนะให้แข็งตัว
แล้วจงึ ตัดแบง่ รบั ประทำน ถำ้ ใสแ่ ตข่ ำ้ วอย่ำงเดียวมสี ีขำวเรียกข้ำวฟืนขำว ใส่ถ่ัว
ลันเตำโม่พร้อมกับข้ำวจะได้สีเหลืองเรียกข้ำวฟืนถ่ัว ถ้ำใส่ถ่ัวลิสงโม่พร้อมข้ำว
จะได้สีม่วงอ่อน เรียกข้ำวฟืนถั่วดิน กำรรับประทำนมีได้ หลำยแบบ
ถ้ำรับประทำนเป็นอำหำรคำว จะผสมกับถ่ัวลิสงค่ัว งำ พริก ซีอ๊ิวขำวหรือซีอ๊ิวดำ
และผักต่ำง ๆ ถ้ำรับประทำนเป็นอำหำรหวำน จะกินกับน้ำกะทิ ถ้ำรับประทำน
เปน็ อำหำรวำ่ งจะนำไปทอดแล้วจม้ิ กับนำ้ จ้ิมรสเปรี้ยวหวำน
ข้ำวแรมฟืน นับเป็นอำหำรของชำวไทใหญ่ซ่ึงอพยพมำจำกสิบสองปันนำ
วำ่ กันวำ่ ชือ่ เพ้ียนมำจำก “ขำ้ วแรมคนื ” บำงคนก็ว่ำชือ่ ข้ำวแรมฟืนนนั้ เพี้ยนมำ
จำกคำว่ำ "Liang Fen" (เหลียงเฟ่ิน) ซึ่งเป็นภำษำจีน เพรำะท่ีจีนก็มีอำหำร
ลักษณะแบบนี้เช่นกนั ถ้ำไปเดินตลำดเช้ำท่แี ม่สำยจะเห็นข้ำวแรมฟืนหลำยสี
เพรำะทำมำจำกวัตถุดบิ ต่ำงกนั สูตรด้ังเดิมจะเป็นข้ำวเจำ้ ซ่งึ เปน็ ขำ้ วแรมฟืน
สีขำว ถ้ำทำจำกถ่ัวลันเตำหรือถั่วเหลืองจะได้ข้ำวแรมฟืนสีเหลือง และถ้ำทำ
จำกถั่วลสิ ง จะได้ขำ้ วแรมฟืนสมี ่วงออ่ น
สว่ นประกอบ ข้ำวแรมฟืน มสี ่วนประกอบดว้ ยกนั 3 สว่ น คอื
❖ ตัวแปง้ ทท่ี ำจำกกำรโมข่ ้ำวเจำ้ จนเปน็ น้ำแป้ง (ปัจจบุ นั น้ใี ชแ้ ปง้ ข้ำวเจ้ำ สะดวกตำมยคุ สมัย) นำมำเคย่ี วกบั ไฟออ่ น ๆ
จนเหนียว และใสช่ ำมหรอื ภำชนะก้นลกึ ทิง้ เอำไวข้ ำ้ มคืน (จึงเปน็ ชอื่ เรียกว่ำ "ขำ้ วแรมคืน" แตผ่ ู้คนเรยี กเพย้ี นไปมำ
ตำมกำลเวลำ เลยกลำยเป็น "ข้ำวแรมฟนื ") จำกน้นั นำมำตัดเปน็ กอ้ นสีเ่ หลี่ยมขนำดใหญ่กว่ำลูกเตำ๋ พอประมำณ
❖ น้ำรำด แบ่งออกเป็น 5 น้ำ คือ น้ำผักกำดดองเปรี้ยว (น้ำส้มผักกำด) น้ำสู่หวำน+ส้ม ทำมำจำกน้ำตำลอ้อย
(สูตรสิบสองปนั นำ) และน้ำตำลออ้ ยหมกั จนเปร้ยี ว นำ้ มะเขือเทศ นำ้ ขงิ และน้ำถว่ั เนำ่
❖ เคร่ืองเคยี ง+ เครอ่ื งปรุง ไดแ้ ก่ พริกค่วั กระเทียม ถั่วลิสงป่น ผกั ลวก (ถัว่ งอก กะหล่ำปลี ถั่วฝักยำวซอย) ผกั ชี
ซอยละเอยี ด เกลือป่น ซีอิว๊ ขำว และซอี ิว๊ ดำ
ขั้นตอนกำรทำ ขำ้ วแรมฟืนทำมำจำกข้ำวเจ้ำ ถัว่ ลนั เตำ หรอื ถั่วลิสง เตรียมโดยนำมำแช่น้ำ
จนอ่อนตัว จำกนั้นนำมำบดจนละเอียด แล้วนำมำผสมกับน้ำให้มีควำมเข้มข้นพอควร
โดยสำหรบั ขำ้ วแรมฟนื ข้ำวตอ้ งมีกำรผสมกับน้ำปูนใสหรอื แคลเซยี มคลอไรด์เพือ่ ช่วยในกำร
แข็งตัว จำกน้ันนำมำต้มจนสุกและมีควำมข้นหนืดพอเหมำะแล้วจึงต้ังท้ิงไว้ข้ำมคืนหรือ
แรมคืน (ซึ่งอำจเป็นที่มำของคำว่ำข้ำวแรมฟนื น่นั เอง) ในระหวำ่ งนแ้ี ป้งจะเย็นตัวลงจนแข็ง
เป็นเจลขุ่นและมีสีตำมธรรมชำติของวัตถุดิบ เวลำรับประทำนก็เพียงนำมำตัดเป็นช้ินเล็ก ๆ
รำดน้ำปรงุ รสขลกุ ขลิกรสชำติออกเปร้ยี วหวำน อำจเพม่ิ พรกิ คัว่ และถั่วบด สำหรับข้ำวแรมฟืน
ถว่ั ลันเตำยงั นิยมนำมำทอดในน้ำมันได้เป็นข้ำวแรมฟนื ทอดทกี่ รอบนอกนมุ่ ในและมรี สชำตอิ รอ่ ย
ผ้ทู ถ่ี อื ปฏิบตั ิมรดกภูมิปญั ญำทำงวฒั นธรรม
ช่ือ นำยมำนิตย์ ประกอบกิจ
หมำยเหตุ ข้ำวแรมฟืน นับเป็นอำหำรที่มี ทีอ่ ยู่ 76/2 หมู่ 5 บำ้ นป่ำเหมอื ดรุ่งเจรญิ
คณุ ค่ำทำงโภชนำกำรอยู่มำก ถอื วำ่ เป็นอำหำร
มังสวิรัติและอำหำรเจ เพรำะไม่มีเน้ือสัตว์เป็น ตำบลเวยี งพำงคำ อำเภอแม่สำย
ส่วนผสมเลย แถมมีผัก แป้งและสมุนไพรที่มี จงั หวัดเชยี งรำย ๕๗๑๓๐
ประโยชน์ตอ่ รำ่ งกำยด้วย หมำยเลขโทรศพั ท์ 085 722 1383

165

ลำบหมอู ำข่ำ (ซำ่ แบย)

อำข่ำ เป็นอีกกลุ่มชำติพันธ์ุท่ีมีประเพณี วัฒนธรรม จำรีต
ควำมเช่ื อ และภู มิ ปั ญญำที่ สื บทอดต่ อกั นมำยำวนำน

จนกลำยเป็นวิถีชีวิต ประจำวัน โดยมีประเพณีและพิธีกรรมต่ำง ๆ
ซ่ึงล้วนแล้วแต่เก่ียวข้องกับวิถีชีวิตแบบสังคมเกษตรกรรมของ

ชำวอำข่ำ สำหรับอำหำรของอำข่ำถือเป็นอำหำรคลีนขนำน
แท้ เป็นอำหำรเพื่อสุขภำพ เพรำะจะกินผักสดท่ีปลูกหรือ
ข้ึนเองตำมธรรมชำติ เช่น ผักกำดเขียว น้ำเต้ำ ฟักเขียว ฟักทอง

บวบ ผักกูด ผักโขม หน่อไม้ หอมชู มะเขือ พริก แตง ถ่ัว ฯลฯฯกินกับน้ำพริกต่ำง ๆ เช่น น้ำพริกมะแขว่น น้ำพริกถั่วลิสง
น้ำพริกงำขำว น้ำพรกิ มะเขอื เทศเน้ำพริกปลำ ฯลฯ หรือนำผักสดมำตม้ ทำแกงจืด ผัดผัก หำกมีเนือ้ สตั วก์ จ็ ะนำมำ

ปรงุ เปน็ อำหำรตำ่ ง ๆ ท้ังอำหำรแบบด้ังเดมิ ของอำข่ำ หรือทำแบบอำหำรเหนือ เช่น ลำบ อ่อม คั่ว เปน็ ตน้ สำหรบั
ลำบหมูของอำข่ำ ซงึ่ มีวัตถดุ บิ สำคญั คอื หอมชู นยิ มทำกนิ กนั ในเกือบทุกงำนเลยี้ งต่ำง ๆ

ลำบหมูอำข่ำ น้ันจะมีควำมแตกต่ำงจำกลำบอีสำนหรือลำบอื่น ๆ

ทว่ั ไป โดยลำบหมูอำข่ำจะใส่ส่วนผสมทีไ่ ม่เยอะมำก โดยมีวตั ถดุ ิบสำคัญคือ
รำกหอมชู ซ่ึงชำวอำข่ำนิยมใช้ผสมในอำหำรแทบทุกประเภท โดยเฉพำะ

ลำบหมูที่ใช้หอมชูสับรวมกับเนอ้ื และเลือดสัตว์ ผกั ไผ่ ตะไคร้ และเครอื่ งเทศ
อีกหลำยชนิด ก่อนนำไปห่อใบตองย่ำงหรือคั่วจนหอม เป็นเมนูลำบท่ีอร่อย
และสะท้อนวิถชี วี ติ บนยอดดอยได้เป็นอย่ำงดี

สว่ นประกอบ

❖ หมสู ับตดิ มันเลก็ น้อย ❖ รำกหอมชู

❖ ผกั ชฝี ร่ัง ❖ ต้นหอมผักชี

❖ ตะไคร้ ❖ ผกั ไผ่

❖ กระเทยี ม ❖ พริกขห้ี นู

❖ เครอ่ื งปรงุ รส

ข้นั ตอนกำรทำ

๑. นำหมูสับรวมกับรำกหอมชู ผักชีฝร่ัง ผักไผ่ ตะไคร้ ต้นหอมผักชี กระเทียม และพริกข้ีหนูให้ละเอียด

และคละเค้ำใหเ้ ขำ้ กัน

๒. จำกนั้นนำหมูสับข้ำงต้นไปนำไปห่อใบตองย่ำงหรือค่ัวในกระทะไฟปำนกลำง พร้อมด้วยใส่เกลือ

และเครื่องปรงุ รสตำมท่ีต้องกำรหรอื ตำมควำมชอบ

๓. เมอื่ ค่วั จนหมูสับและทุกอย่ำงสุกแล้ว หรอื เมอื่ นำมำยำ่ งจนสุกท่วั หมดแล้ว กส็ ำมำรถนำมำรับประทำนไดเ้ ลย

ผ้ทู ่ถี อื ปฏิบัติมรดกภูมปิ ัญญำทำงวฒั นธรรม
ชอื่ นำงสำวผกำกำนต์ ร่งุ ประชำรตั น์
ทอี่ ยู่ บำ้ นผำหมี หมู่ ๖ ตำบลเวยี งพำงคำ

อำเภอแม่สำย จงั หวดั เชียงรำย ๕๗๑๓๐
หมำยเลขโทรศพั ท์ 089 449 7942

166

ผ้ำปักชำตพิ ันธุ์ไตหย่ำ

เนื่องจำกพื้นท่ีของจังหวัดเชียงรำย มีกลุ่มชนชำติพันธ์ุอำศัยอยู่
ท้ังตำมที่รำบและบนดอยสูง แต่ละกลุ่มจะมีศำสนำ ควำมเชื่อ ประเพณี และ

วัฒนธรรมแตกต่ำงกันไป ตำมแต่วิถีด้ังเดิมที่บรรพบุรุษได้ปฏิบัติ
สืบทอดกันมำ กำรแต่งกำยมีควำมเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชนชำติพันธุ์

จุดเด่นทสี่ ำมำรถบ่งบอกได้เลยว่ำคนท่ีแต่งชุดน้ีเป็นชำตพิ ันธ์ุใด ประกอบกับ
ในพ้นื ท่อี ำเภอแม่สำย มีชำตพิ นั ธุไ์ ตหยำ่ อำศัยอยเู่ ปน็ จำนวนมำก เคร่อื ง
แต่งกำยของกลุ่มชำติพันธุ์ไตหย่ำ มีควำมโดดเด่นและแปลกตำมำกกวำ่

ชำตพิ ันธุอ์ ่ืน ๆ เพรำะไมค่ อ่ ยได้พบเห็นบ่อยนกั
ปัจจุบันกำรแต่งกำยของชำวไตหย่ำจะแต่งกำยตำมสมัยนิยม ส่วนกำรแต่งกำยในชุดประจำกลุ่มชนในงำนประเพณี

เช่น งำนชุมนุมประจำปี เคร่อื งแต่งกำยของสตรีชำวไตหย่ำจะประกอบด้วยผ้ำซน่ิ 2 ผนื ซอ้ นกนั ผืนแรกเรียกว่ำ ผำ้ ไต่เซิน
เป็นผ้ำพื้นสีดำ ประดับด้วยร้ิวผ้ำสีต่ำง ๆ เย็บเป็นแถบชำยซิ่น ส่วนผ้ำผืนที่ 2 เรียกว่ำ ผ้ำเซิน เป็นผ้ำพื้นสีดำประดับ
ชำยผ้ำด้วยริ้วผ้ำสีแต่ไม่เย็บด้ำนข้ำงให้ติดกัน ใช้สวมทับผืนแรกโดยพันรอบตัวให้ชำยผ้ำขนำนผืนแล้วคำดเข็มขัดทับ

ส่วนช่วงเอวข้ึนไปมีผ้ำ 3 ชิ้น คือ ผ้ำไว้ใช้คำดเอวจะประดับด้วยริ้วผ้ำสีต่ำง ๆ ทั้งผืน จำกน้ันสวมทับด้วยเสื้อตัวท่ีสอง
เรียกว่ำ ซ่ือแย่ง ซึ่งเป็นเสื้อไม่มีแขน คอปิด ไม่มีปกผ่ำหน้ำเฉียงมำทำงซ้ำย ส่วนเส้ือตัวท่ีสำม เรียกว่ำ ซ่ือหลุง มีลักษณะ

เปน็ เสื้อสวมทับแขนยำว ไมม่ ีปก ผ่ำหนำ้ ตรง ควำมยำวของเส้ือจะยำวประมำณ 2 ใน 3 ของควำมยำวช่วงบนของผู้สวมใส่
สว่ นกำรแตง่ กำยของผ้ชู ำยไตหย่ำ ประกอบดว้ ยกำงเกงขำตรงสีดำหรอื สีครำม เส้ือคอจีนแขนยำวสีดำ ไมป่ ระดบั ลวดลำยใด ๆ

คุณณฐภัทร จันทำพูน ซ่ึงเป็นบุคคลท่ีมีควำมช่ืนชอบในชุดชำติพันธ์ุ และประกอบธุรกิจด้ำนผ้ำของกลุ่มชำตพิ นั ธุ์

ในชว่ งแรกๆได้หำผ้ำชุดชำติพนั ธ์ุจำกชนเผ่ำโดยตรงซ่ึงมีรำคำแพง ประกอบกับปญั หำกำรสอ่ื สำรกับชนเผ่ำ จงึ มีแนวคิด
ทจี่ ะเกบ็ ข้อมูลควำมรดู้ ้ำนกำรแตง่ กำยชดุ ชำติพันธ์ุ แลว้ นำมำออกแบบ ตัดเยบ็ และจดั จำหน่ำยเอง ทั้งแบบด้ังเดิม

และแบบประยกุ ต์ใหท้ นั สมัย และชดุ ท่ีมคี วำมโดดเด่นมำกอย่ำงหน่ึงคอื ชดุ ผำ้ ตัดชำติพันธไ์ุ ตหยำ่

วัสดุ - อุปกรณ์ ❖ เครื่องเงนิ

❖ ผำ้ พืน้ สดี ำ ❖ ผ้ำกนุ้
❖ ดน้ิ ทอง ❖ ดนิ้ เงนิ
❖ พแู่ ดง

ขัน้ ตอนกำรผลิต

ขั้นตอนกำรผลิตชุดไตหยำ่ สำหรบั เสือ้ ประกอบดว้ ย

1. วดั ตัว

2. สร้ำงแบบ/กดรอย

3. สรำ้ งลำยปัก/กดรอย ผู้ทถี่ ือปฏิบัตมิ รดกภูมิปญั ญำทำงวัฒนธรรม
4. ปกั ลำย ช่อื นำยณฐภทั ร จนั ทำพนู
ทอ่ี ยู่ 183 หมู่ 1 บ้ำนหว้ ยไคร้ ตำบลห้วยไคร้
5. ตัดตำมแบบ
6. ประดับตกแต่งด้วยเครื่องเงนิ อำเภอแมส่ ำย จงั หวัดเชียงรำย ๕๗๑๓๐
๗. ประดับดิน้ เงิน ดน้ิ ทอง ผำ้ ก้นุ หมำยเลขโทรศพั ท์ 089 449 7942

๘. ประดับพู่แดง

167

ชุดชำติพนั ธุไ์ ทใหญ่
ไทใหญ่ คือกล่มุ ชำติพันธ์ุในตระกูลภำษำไท-กะได ซึง่ เป็นกลุ่มชำตพิ ันธุ์ขนำดใหญ่
อันดับสองของพม่ำ ส่วนมำกอำศัยในรัฐฉำน ประเทศพม่ำและบำงส่วนอำศัยอยู่
บริเวณดอยไตแลง ชำยแดนประเทศไทย-ประเทศพม่ำ คนไทใหญ่ที่ได้อพยพเข้ำสู่
ประเทศไทยเพอื่ หนีปัญหำทำงกำรเมืองและกำรหำงำน ชำวไทใหญจ่ ะเรยี กตนเองว่ำ
ไต๊ หรือ ไต (ตำมสำเนียงไทย) พีน่ ้องไต๊ในพม่ำมีหลำยกลุ่ม เชน่ ไต๊คืน ไตแ๊ ลง ไต๊คัมตี
ไตล๊ ือ้ และไตเ๊ มำ แต่กลุ่มใหญ่ท่สี ุดคอื ไต๊โหลง ไต๊ = ไทย และ โหลง (หลวง) = ใหญ่
ซ่ึงคนไทยเรยี ก ไทใหญ่ เหตุฉะนนั้ จะเห็นไดว้ ่ำภำษำไต๊ และภำษำไทยคล้ำยกันบ้ำง
แต่ไม่เหมือนกัน ชำวไทใหญ่ต้ังบ้ำนเรือนอยู่บริเวณพม่ำ ลำว ไทย และในเขต
ประเทศจีนตอนใต้ ในประเทศไทยพบชำวไทใหญ่อำศัยอยู่ในพ้ืนท่ีจังหวัดเชียงรำย
เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ และแม่ฮ่องสอน สำหรับกำรแต่งกำยของชำวไทใหญ่ โดยส่วนมำก
แลว้ จะเน้นกำรสวมใส่ทม่ี ีสีสันสดใส ซึง่ สีดำ สเี ทำ จะไมค่ อ่ ยมี ซ่งึ จะใช้กำรออกแบบ
เสื้อผ้ำไทใหญ่มำในของเจ้ำฟ้ำต่ำง ๆ แต่ละชุด แต่ละองค์จะไม่เหมือนกัน จะแยก
ออกไปเปน็ ชุดไทล้อื ชดุ ไทใหญ่ โดยจะแยกออกไปตำมแตร่ ัชกำล
กำรทอผ้ำชุดไทใหญ่ ถือเป็นศิลปะและหัตถกรรมหรืองำนฝีมืออย่ำงหนึ่งท่ีมีมำต้ังแต่สมัยโบรำณ เป็นกรรมวิธีกำร
ผลิตผืนผ้ำโดยใช้เส้นด้ำยพุ่งและเส้นด้ำยยืนมำขัดประสำนกันจนได้เป็นผืนผ้ำ นอกจำกเป็นขั้นตอนกำรผลิต
เคร่ืองนุ่งห่ม หนึ่งในปัจจัยส่ีของมนุษย์แล้ว ยังถือเป็นงำนศิลปะประเภททัศนศิลป์ด้วย เนื่องจำกมีกำรให้สีสันและ
ลวดลำยต่ำง ๆ ในผนื ผำ้ ในอดีตผู้หญิงจะทำเคร่ืองใช้ต่ำง ๆ ในบ้ำนเอง งำนสำคัญอย่ำงหน่งึ คอื กำรทำเส้ือผ้ำ ผ้ำนงุ่ ผ้ำ
ห่ม ไว้ใชก้ ันในครอบครวั ในพิธีกรรมต่ำง ๆ ก็ต้องใชผ้ ำ้ ผ้ำทอจงึ เป็นสิ่งจำเปน็ สำหรับชวี ิต
กำรแต่งกำยของชำวไทใหญ่มีเอกลักษณ์ที่เด่นชัด คือ ถ้ำเป็นผู้ชำยจะนุ่งกำงเกงขำก๊วยหรือเป็นกำงเกงเป้ำใหญ่
เรียกเป็นภำษำไทใหญ่ว่ำ โก๋นโห่งโย่ง และสวมเสื้อแขนยำว คอกลมมีปกเล็กน้อยหรือบ้ำงก็ไม่มี ผ่ำกลำงอกตลอดแนว
และมีกระดุมแบบถักด้วยมือตำมแนวสำบเส้ือ เส้ือดังกล่ำวมักจะใช้สวมเป็นเสื้อตัวนอก ส่วนเส้ือตัวในไม่จำกัดแบบ
แตส่ ว่ นใหญ่เพื่อควำมเรียบร้อยจะนิยมใส่เส้ือเช้ิตคอปกสีขำว ท้งั เส้อื และกำงเกงทำมำจำกผ้ำฝ้ำยทอมือ และจะโพกหัว
ด้วยผ้ำสีชมพูอ่อน ๆ ส่วนกำรแต่งกำยของผู้หญิง สวมเสื้อแขนยำวหรือแขนสำมส่วน นิยมตัดให้พอดีตัว นุ่งผ้ำถุงยำวหรือ
ซิน่ ถึงตำตุ่ม นงุ่ โดยวิธปี ำ้ ยผ้ำแล้วบิดเก้ียวม้วนลงให้กระชับและมีกำรโพกหวั คล้ำย ๆ ผูช้ ำยด้วยผ้ำเช่นเดียวกัน แตไ่ ม่ได้
กำหนดสีผ้ำ
วสั ดุ อุปกรณ์
❖ จกั รเยบ็ ผ้ำ/จักรโพ้ง ❖ สำยวดั ❖ กรรไกร
❖ สร้ำงแบบ/กระดำษกดลำย ❖ กระดำษ ❖ ลกู กลง้ิ ผ้ำ
❖ ดนิ สอ ❖ ดำ้ ยเย็บ ❖ เข็ม
ขนั้ ตอนกำรผลิตผ้ำ
ขัน้ ตอนกำรผลติ ชุดไทใหญ่ สำหรับเสื้อ ประกอบดว้ ย
1. วัดตัว 5. ตัดตำมแบบ
2. สรำ้ งแบบ/กดรอย 6. เย็บเขำ้ ตวั ผทู้ ีถ่ ือปฏิบัตมิ รดกภมู ปิ ญั ญำทำงวฒั นธรรม
3. สรำ้ งลำยปัก/กดรอย 7. เยบ็ กระดมุ เสอ้ื ชือ่ กลุ่มฟนื้ ฟวู ัฒนธรรมไทยใหญ่
4) ปักลำย 8. สอยกระดมุ เส้อื ท่ีอยู่ 76/2 หมู่ ๕ ตำบลเวียงพำงคำ
ขน้ั ตอนกำรผลิตผำ้ ถงุ ไทใหญ่ ประกอบดว้ ย
1. สรำ้ งแบบ 3. เย็บเอว อำเภอแมส่ ำย จังหวัดเชยี งรำย ๕๗๑๓๐
หมำยเลขโทรศพั ท์ -

2. ตดั ตำมรอย 4. ติดตะขอ

168

ผลิตภัณฑผ์ ำ้ กล่มุ ตดั เยบ็ ชุมชนหว้ ยไครพ้ ฒั นำ

ผ้ำกลุ่มตัดเย็บชุมชนห้วยไคร้พัฒนำ เกิดจำกวิสัยทัศน์และพลัง

ควำมสำมัคคีของกลุ่มแม่บ้ำนของชุมชนบ้ำนหัวยไคร้พัฒนำ ผ้ำแต่

ละช้ินถูกสร้ำงสรรค์แตกต่ำงกัน เป็นลวดลำยที่ไม่ค่อยซ้ำกัน ซ่ึงผู้

ปักสำมำรถออกแบบและปกั ลวดลำยตำมควำมชอบหรอื ควำมถนัด

ผ้ำส่วนใหญ่เป็นผ้ำฝ้ำย ผ้ำพ้ืนเมือง และผ้ำจำกสีเปลือกไม้ ทำให้

สวมใส่สบำยไม่ระคำยเคืองผิวของผู้สวมใส่ ผลิตภัณฑ์จำกผ้ำต่ำงๆ

มีควำมสวยงำม แข็งแรงคงทน และสะดวกต่อกำรใช้งำน รวมทั้ง

กำรออกแบบเส้ือผ้ำหรือผลิตภัณฑ์จำกผ้ำที่ทันสมัย ไม่ซ้ำใคร และ

สำมำรถออกแบบได้ตำมควำมต้องกำรของลูกค้ำอีกดว้ ย

กลมุ่ ตัดเย็บชมุ ชนห้วยไคร้พัฒนำ เกดิ จำกวสิ ัยทศั น์และพลังควำมสำมัคคีของกลมุ่ แมบ่ ้ำนของชุมชนบำ้ นหวั ยไคร้พัฒนำ

โดยได้รับกำรสนับสนุนงบประมำณจำกกองทุนเงินล้ำนในกำรจดั ซื้อจักรเย็บผ้ำ และปี พ.ศ.25๖๓ ได้รับกำรสนับสนนุ

จำกสำนักงำนสง่ เสริมกำรศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัย (กศน.) อำเภอแมส่ ำย จัดฝึกอบรมตดั เย็บผ้ำเพื่อ

เรียนรู้และพัฒนำทักษะด้ำนกำรตัดเย็บรูปแบบต่ำง ๆ เป็นกำรส่งเสริมอำชีพและเป็นกำรเพ่ิมรำยได้ให้แก่ตนเองและ

ครอบครัว โดยใช้ทุนทำงวฒั นธรรมควำมรดู้ ้ำนกำรตัดเย็บเส้ือผ้ำที่กลุ่มแม่บ้ำนมีอยู่แลว้ มำสรำ้ งอำชพี สร้ำงรำยได้

ผำ้ แตล่ ะช้นิ ถูกสรำ้ งสรรค์แตกต่ำงกนั เป็นลวดลำยทีไ่ มค่ ่อยซ้ำกนั ซึง่ ผูป้ ักสำมำรถออกแบบ

และปกั ลวดลำยตำมควำมชอบหรือควำมถนัด โดยส่วนมำกลวดลำยจะแสดงถึงวถิ กี ำรดำรงชีวิต

หรือสิ่งใกล้ตัว เช่น ลำยเมล็ดข้ำว ลำยเท้ำไก่ และลำยดอกไม้ เป็นต้น ผ้ำส่วนใหญ่เปน็ ผ้ำฝ้ำย

ผ้ำพื้นเมอื ง และผ้ำจำกสเี ปลือกไม้ ทำให้สวมใส่สบำยไมร่ ะคำยเคอื งผิวของผ้สู วมใส่ ผลติ ภัณฑ์

จำกผ้ำต่ำง ๆ มีควำมสวยงำม แข็งแรงคงทน และสะดวกต่อกำรใช้งำน รวมทั้งกำรออกแบบ

เสื้อผ้ำหรือผลิตภัณฑ์จำกผ้ำท่ีทันสมัย ไม่ซ้ำใคร และสำมำรถออกแบบได้ตำมควำมต้องกำร

ของลูกคำ้ อกี ดว้ ย นอกจำกจะนำมำผำ้ มำตัดเยบ็ เป็นเสื้อผ้ำสำเรจ็ รปู แล้ว ทำงกลมุ่ ตัดเย็บ

ชมุ ชนหว้ ยไคร้พฒั นำ ยงั มีกำรนำผ้ำปกั มำพัฒนำเป็นผลิตภัณฑ์จำกผ้ำ อำทิ เสือ้ ชดุ เดรส กระเปำ๋ หมอน ย่ำม เปน็ ต้น

วสั ดุ - อุปกรณ์

❖ จกั รเยบ็ ผำ้ /จกั รโพง้ ❖ สำยวดั ❖ กรรไกร ❖ กระดำษ ❖ ผำ้ ปกั สำหรบั ตดั เย็บ

❖ สรำ้ งแบบ/กระดำษกดลำย ❖ ลกู กล้ิงผ้ำ ❖ ดนิ สอ ❖ ดำ้ ยเย็บ ❖ เข็ม

ขน้ั ตอนกำรผลิต

1. สมำชิกกลุ่มตัดเย็บชุมชนห้วยไคร้พัฒนำปักผ้ำลวดลำยตำมท่ีแต่ละคน

ชอบหรอื ตอ้ งกำร

2. นำผำ้ แตล่ ะผนื ทสี่ มำชิกกลุม่ ปกั เสร็จแล้วเข้ำสกู่ ระบวนกำรตดั เย็บ

3. ออกแบบตัดเย็บตำมควำมต้องกำรของลูกค้ำหรือออกแบบตำมควำม

เหมำะสมของผลิตภัณฑ์ผ้ำ และลวดลำย ผทู้ ่ีถือปฏิบัติมรดกภูมปิ ัญญำทำงวัฒนธรรม
๔. ตัดตำมแบบ ช่อื นำงประภำกร พลสิทธ์ิ

๕. ไดผ้ ลผลติ ภัณฑ์จำกผ้ำพร้อม ที่อยู่ 21/1 หมู่ 10 บำ้ นห้วยไครพ้ ฒั นำ ตำบลหว้ ยไคร้
จำหนำ่ ยต่อไป อำเภอเวยี งชัย จงั หวัดเชียงรำย ๕๗๒๑๐

หมำยเลขโทรศพั ท์ 085 722 1383

คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ แ ม่ ฟ้ า ห ล ว ง

พระตำหนักดอยตุงล้ำค่า
สมเด็จย่าเป็นมิ่งขวัญ

เผ่าพันธุ์หลากหลาย มากมายชาดี
งามสดสีซากูระบาน

สภาวัฒนธรรมอำเภอแม่ฟ้าหลวง

170

อำเภอแม่ฟำ้ หลวง

ประวัติควำมเปน็ มำ

ประวัติศาสตร์การจดั ต้งั อาเภอ

อำเภอแม่ฟ้ำหลวง ได้รับกำรประกำศจัดตั้งเป็นกิ่งอำเภอแม่ฟ้ำหลวง เมื่อวันท่ี 1 เมษำยน 2535 ตำม
ประกำศกระทรวงมหำดไทย ลงวันท่ี 13 มีนำคม 2535 โดยแยกกำรปกครองออกจำกอำเภอ แม่จัน และได้รับ
พระรำชทำนชื่อ “ กิ่งอำเภอแม่ฟ้ำหลวง” จำกสมเด็จพระศรีนครินทรำบรมรำชชนนี และได้รับกำรยกฐำนะเป็น
“อำเภอแมฟ่ ำ้ หลวง” เมื่อวันที่ 5 ธันวำคม 2539

ประวัตศิ าสตร์ทสี่ าคัญของอาเภอ

เม่ือปี 2530 สมเด็จพระศรีนครินทรำ บรมรำชชนนี มีพระรำชดำริจะสร้ำงบ้ำนที่ดอยตุง ต่อมำ

เม่ือวันที่ 26 ธันวำคม 2530 พระตำหนักดอยตุงจึงเริ่มดำเนินกำรก่อสร้ำง พร้อมกันน้ี ยังมีพระรำชกระแสรับส่ัง

ว่ำ “จะปลูกป่ำบนดอยสูง” จึงกำเนิดเป็น โครงกำรพัฒนำดอยตุงข้ึน โครงกำรพัฒนำดอยตุงเร่ิมดำเนินกำร

โดยควำมรว่ มมือจำกหนว่ ยรำชกำรทุกส่วน เช่น กรมปำ่ ไม้ กรมชลประทำน หนว่ ยงำนดำ้ นปกครอง นอกจำกทำกำร

ปลูกป่ำฟื้นฟูสภำพพ้ืนท่ีแล้วยังมีกำรฝึกอำชีพเพื่อ ยกระดับคุณภำพชีวิตของชำวเขำบนดอยตุง ซึ่งประกอบด้วย

ชำวเขำเผ่ำอำข่ำลำหู่ ไทยใหญ่ และจนี ฮอ่ ขณะเดียว กันยังคงรกั ษำขนบธรรมเนยี มประเพณีของตนไว้

ลักษณะทำงกำยภำพ

ทีต่ ้งั

อำเภอแม่ฟ้ำหลวง ตั้งอยู่ท่ีบริเวณกิโลเมตรท่ี 1 ถนนสำยขำแหย่ง – ป่ำเมี่ยง หมู่ท่ี 4 ตำบลแม่ฟ้ำหลวง

ตง้ั อย่ทู ำงทิศเหนือของจังหวัดเชียงรำย หำ่ งจำกจงั หวัดเชียงรำยประมำณ 60 กิโลเมตร ใช้เวลำเดนิ ทำงประมำณ 1 ช่วั โมง

พิกดั ที่ตง้ั NC 839405 มแี นวพรมแดนตดิ ตอ่ ประเทศสำธำรณรัฐสหภำพพม่ำ ระยะทำงยำวประมำณ 93 กโิ ลเมตร

อาณาเขตติดต่อ

ทศิ เหนือ ตดิ เขต ตดิ ต่อกับประเทศสำธำรณรัฐสหภำพพม่ำ

ทิศใต้ ตดิ เขต ติดต่อกบั อำเภอแมจ่ ัน จงั หวดั เชยี งรำย

ทศิ ตะวนั ออก ติดเขต ตดิ ตอ่ กบั อำเภอแม่สำย อำเภอแมจ่ นั จังหวดั เชยี งรำย

ทิศตะวันตก ติดเขต ติดตอ่ กบั ประเทศสำธำรณรัฐสหภำพพม่ำ

ลักษณะภูมปิ ระเทศ

อำเภอแม่ฟำ้ หลวงมพี ื้นทมี่ ีเนอ้ื ท่ี จำนวน 641.404 ตำรำงกิโลเมตร หรือประมำณ 400,876 ไร่ สภำพ

โดยทั่วไปเป็นภูเขำสูงมีเทือกเขำสลับซับซ้อน พ้ืนท่ีลำดเอียงจำกตะวันตกไปทำงตะวันออก ระดับควำมสูงจำกน้ำ

ทะเลปำนกลำง ประมำณ 900 – 1,500 เมตร

แยกเป็น

พน้ื รำบระหว่ำงภูเขำ 6,055 ไร่ รอ้ ยละ 1.51

ภูเขำ 394,688 ไร่ ร้อยละ 98.46

พืน้ น้ำ 135 ไร่ รอ้ ยละ 0.03

ลกั ษณะดิน

ชดุ ดิน ในพนื้ ทอ่ี ำเภอแม่ฟ้ำหลวง เป็นชดุ ดนิ บ้ำนจ้อง ชดุ ดนิ เชียงของ ชุดดินโชคชัย ชดุ ดินแม่แตง ชดุ ดิน

หนองมด ชุดดินปำกช่อง ชุดดินสงู เนนิ

ลกั ษณะเด่น กลุม่ ดนิ เหนียวลกึ ถึงลึกมำกท่ีเกดิ จำกวัตถุตน้ กำเนิดดนิ เน้อื ละเอียด ปฏิกริ ยิ ำ

ดินเป็นกรดจดั กำรระบำยน้ำดถี งึ ดปี ำนกลำง ควำมอดุ มสมบูรณ์ต่ำ

ปัญหำ ควำมอุดมสมบูรณ์ต่ำ ขำดแคลนน้ำ และเกิดกำรซะล้ำงพังทลำยสูญเสียหน้ำดินในพ้ืนที่ลำดชัน

พ้ืนทด่ี ินเป็นกรดจัดมำก

171

แนวทำงกำรจัดกำร ปลูกพืชไร่หรือผัก เลือกพื้นท่ีค่อนข้ำงรำบเรียบ ปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก
1-2 ตัน หรือไถกลบพืชปุ๋ยสด (หว่ำนเมล็ดถั่วพร้ำ 8 -10 กิโลกรัมต่อไร่ เมล็ดถั่วพุ่ม 6 – 8 กิโลกรัม/ไร่ หรือ
ปอเทือง 4 – 6 กิโลกรัม/ไร่ ไถกลบระยะออกดอก ปล่อยไว้ 1 – 2 สัปดำห์) ร่วมกับกำรใช้ปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยอินทรีย์
นำ้ มีระบบอนุรักษ์ดนิ และน้ำ เช่น ไถพรวนและปลูกพืชตำมแนวระดับ มีวสั ดุคลมุ ดิน ปลูกพืชสลับเปน็ แถบ พฒั นำ
แหลง่ น้ำและจดั ระบบกำรใหน้ ้ำในแปลงปลูก พน้ื ที่ท่เี ป็นกรดจดั ควรใชว้ ัสดุปูน 200 – 300 กโิ ลกรัม/ไร่

ลักษณะภมู อิ ากาศ อุณหภมู เิ ฉลย่ี ฤดูกาล
อำเภอแม่ฟ้ำหลวง พื้นท่ีส่วนใหญ่เป็นป่ำไม้และเป็นภูเขำสูง จึงทำให้มีอำกำศหนำวเย็นในฤดูหนำว
อณุ หภูมเิ ฉลี่ยท้งั ปปี ระมำณ 24.4 องศำเซลเซยี สในฤดรู อ้ นมี อำกำศรอ้ น อุณหภมู สิ งู สุดเฉลย่ี 31.1 องศำเซลเซียส
โดยในเดือนเมษำยนมีอำกำศร้อนท่ีสุด อุณหภูมิสูงที่สุดท่ี เคยตรวจวัดได้ 41.8 องศำเซลเซียส อวันท่ี 12
พฤษภำคม 2559 ส่วนในฤดูหนำวมีอำกำศหนำวเยน็ อณุ หภมู ิตำ่ สุดเฉล่ีย 19.3 องศำเซลเซยี ส ดยมีอำกำศหนำว
ที่สุดอยู่ในเดือนมกรำคม อุณหภูมิต่ำที่สุดวัดได้ 1.0 องศำเซลเซียสเมื่อวันท่ี 25 ธันวำคม 2542 ฤดูกำลของ
อำเภอแม่ฟ้ำหลวง พิจำรณำตำมลักษณะลมฟ้ำอำกำศของประเทศไทย แบ่งออกเป็น 3 ฤดู ดังนี้ ฤดูร้อน
เร่ิมประมำณกลำงเดือนกมุ ภำพนั ธถ์ ึงกลำงเดือนพฤษภำคม มีอำกำศร้อนอบอ้ำวท่ัวไป โดยเฉพำะ ในเดอื นเมษำยน
เป็นเดือนท่ีมีอำกำศร้อนอบอ้ำวมำกที่สุดในรอบปี ฤดูฝน เร่ิมประมำณกลำงเดือนพฤษภำคมถึงกลำงเดือนตุลำคม
ซ่ึงเป็นระยะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดปกคลุมประเทศไทย อำกำศจะเร่ิมชุ่มช้ืนและมีฝนตกชุกต้ังแต่ประมำณ
กลำงเดือนพฤษภำคมเป็นต้นไป เดอื นท่ีมีฝนตกมำกท่ีสุดคือเดือนสิงหำคม ฤดูหนำว เรมิ่ ประมำณกลำงเดือนตุลำคม
ถึงกลำงเดอื นกุมภำพันธ์ ซงึ่ เป็นช่วงทม่ี รสุม ตะวนั ออกเฉียงเหนือพัดปกคลมุ ประเทศไทย อำกำศโดยทว่ั ไปจะหนำว
เย็นและแห้ง เดือนทม่ี ีอำกำศหนำวท่ีสุด คอื เดอื นมกรำคม
1. ฤดูร้อน เรมิ่ ตน้ ประมำณกลำงเดือนกมุ ภำพันธ์ถึงกลำงเดือนพฤษภำคม มีอณุ หภูมิ เฉล่ีย 35.0 - 39.9
องศำเซลเซียส มอี ำกำศร้อนอบอำ้ วท่วั ไป โดยเฉพำะในเดือนเมษำยนเปน็ เดือนทม่ี ีอำกำศร้อนอบอ้ำวมำกที่สุดในรอบปี
2. ฤดฝู น เร่มิ ต้นประมำณกลำงเดือนพฤษภำคมถึงกลำงเดือนตุลำคม ซึ่งเปน็ ระยะที่มรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้
พัดปกคลุมประเทศไทย อำกำศจะเร่ิมชุ่มช้ืนและมีฝนตกชุกต้งั แต่ประมำณกลำงเดือนพฤษภำคมเปน็ ต้นไป เดือนที่มี
ฝนตกมำกทสี่ ุดคอื เดือนสงิ หำคม
3. ฤดหู นำว เรม่ิ ตน้ ประมำณกลำงเดือนตุลำคมถึงกลำงเดือนกมุ ภำพันธ์ซงึ่ เป็นชว่ งที่มรสุมตะวันออกเฉยี งเหนือ
พัดปกคลมุ ประเทศไทย อำกำศโดยท่ัวไปจะหนำวเย็นและแหง้ เดือนทม่ี อี ำกำศหนำวที่สุด คือเดือนมกรำคม
ทม่ี ำ : กรมอตุ ุนยิ มวทิ ยำ พ.ศ. 256๓
แหล่งท่องเที่ยว
ตารางที่ 1 แหลง่ ท่องเทย่ี วในอาเภอแม่ฟ้าหลวง

ตาบล แหล่งท่องเท่ียว เชิงเกษตร
ทางวัฒนธรรม ทางธรรมชาติ เชิงนเิ วศ

แมฟ่ า้ หลวง วดั ห้วยน้ำขนุ่ พระตำหนกั ดอยตงุ ดอยช้ำงมูบ ศูนย์เกษตรทีส่ ูง
เทอดไทย บำ้ นขนุ ส่ำ วนอทุ ยำนสนั พญำไพร่ - ไรช่ ำบำ้ นพญำไพร่
แมส่ ลองใน วัดกำ๋ คำ , วัดเวยี ง - สถำนพี ัฒนำเกษตรทส่ี งู
คำกำขำว ดอยหัวแม่คำ
แม่สลอง - โครงกำรหลวง
นอก วดั สันติครี ีญำณสังวรำรำม ดอยแม่สลอง ดอยแม่สลอง
/อนุสรณ์สถำนกองพล 93

ทม่ี ำ : อำเภอแมฟ่ ้ำหลวง , พฤษภำคม 256๓

172

บ่อ ฉ่อง ตุ๊ “เต้นกระทุง้ กระบอกไม้ไผ่”

“บ่อ ฉ่อง ตุ๊” หรือ เต้นกระทุ้งกระบอกไม้ไผ่ เป็นกำร
แสดงของชำตพิ นั ธ์ุอำข่ำ มกั พบเห็น กำรเตน้ กระทุ้งกระบอก
ไม้ไผ่ได้ในประเพณีโล้ชิงช้ำ ซ่ึงเป็นประเพณีที่จัดขึ้นเพ่ือ
รำลึกถึงพระคุณแห่ง เทพธิดำ “อ่ึมซำแยะ” ผู้ประทำน
ควำมอุดมสมบูรณ์ให้กบั พืชพรรณธญั ญำหำร โดยเฉพำะข้ำว
ให้มีผลผลิตเจริญงอกงำมรอกำรเก็บเกี่ยว เพ่ือให้เป็นกำร
ผ่อนคลำยช่วงเสร็จส้ินกำรเพำะปลูกและผลผลิตกำลงั เจรญิ
งอกงำมของชำติพันธุ์อำข่ำ ชำวอำข่ำสืบทอดประเพณีน้ีมำ
เป็นเวลำกว่ำ 2,700 ปี
กำรเตน้ กระทุ้งกระบอกไมไ้ ผ่จะเกิดขน้ึ ใน วันท่ี ๒ ของกำรจดั ประเพณโี ลช้ ิงช้ำ ท่จี ดั ข้ึน ในช่วงปลำยเดือนสงิ หำคม
- เดือนกันยำยนเป็นประจำทุกปี ซ่ึงจะตรงกับช่วงท่ีผลผลิตกำลังงอกงำมและพร้อมที่จะเก็บเก่ียวในอีกไม่ก่ีวัน
ในระหวำ่ งนี้อำขำ่ จะดำยหญ้ำในไร่ขำ้ วเปน็ ครง้ั สดุ ทำ้ ย หลงั จำกดำยหญำ้ แล้วกร็ อกำรเก็บเกี่ยว ตรงกบั เดอื นของอำขำ่
คือ “ฉ่อลำบำลำ” ชำวอำข่ำถือว่ำประเพณีนี้ เป็นพิธีกรรม ที่มีคุณค่ำมำกด้วยภมู ิปัญญำท่ีใช้ในกำรส่งเสรมิ ควำมรู้แล้ว
ยังเก่ียวพันกับกำรดำรงชีวิตประจำวันของชำติพันธ์ุอำข่ำอีกมำกมำย ท้ังยังเป็นประเพณีทีให้ควำมสำคัญกับผหู้ ญงิ
ผู้หญงิ อำข่ำจะพรอ้ มใจกันแต่งกำยด้วยเคร่ืองทรงต่ำงๆ อย่ำงสวยงำมเปน็ กรณพี เิ ศษในประเพณนี ้ี เพือ่ ยกระดบั ช้ันวั
ยสำวตำมข้ันตอน แสดงให้คนในชุมชนได้เห็น พรอ้ มทัง้ ขึน้ โลช้ ิงช้ำ และร้องเพลงท้งั ลักษณะเด่ียวและคู่
ในกำรจัดประเพณดี งั กลำ่ วแต่ละปีของอำขำ่ จะต้องมีฝนตกลงมำ ถำ้ ปไี หนเกดิ ฝนไมต่ ก ชำวอำขำ่ ถือว่ำไม่ดี
ผลผลิตที่ออกมำจะไม่งอกงำม มีระยะเวลำในกำรจัดรวม 4 วันด้วยกัน สองวันแรกของพธิ ีโล้ชิงช้ำ ถือเป็นวันเตรยี ม
ตัวของชำวบ้ำนท่ีต้องตำข้ำวไวใ้ ห้พอกนิ เย็บเส้ือผ้ำเคร่ืองแต่งกำยตลอดจนจัดหำ สิ่งที่จำเป็นและทำธุระส่วนตัวให้
เรยี บร้อย เพรำะในสองวันหลงั ของเทศกำลมีขอ้ ห้ำมไม่ให้ตำข้ำว ห้ำมเยบ็ เส้ือผ้ำ และออกไปนอกหมบู่ ้ำน แม้แต่กำร
ใช้จ่ำยเงินซอ้ื ส่งิ ของก็ไมไ่ ด้ แต่ไมห่ ้ำมกำรรบั เงิน
วันท่ี 1 จา่ แบ
เปน็ วนั แรกของพิธกี รรม ผู้หญิงอำขำ่ จะแตง่ ตัวด้วยชุดประจำเผำ่ เต็มยศ แล้วออกไปตกั น้ำ ท่ีบ่อน้ำศักดิ์สทิ ธ์ิ
เพ่ือจะนำมำใช้ในกำรประกอบพิธีกรรมทำงศำสนำ และจะเป็นพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ผู้หญิงจะไปตักน้ำบริสุทธ์ิ
ท่ีแหล่งน้ำศักด์ิสิทธ์ิของหมู่บ้ำน นำน้ำศักด์สิทธ์ิแช่ข้ำวสำรเหนียวไว้ตำเป็นอำหำรเซ่นไหว้บูชำที่เรียกว่ำ "ข้ำวปุก"
(จะใช้ข้ำวเหนยี วหรือข้ำวดอยที่ผ่ำนกำรน่ึงมำตำในครกใหญ่ผสมกบั งำดำ และเกลือป้ันเป็นก้อนกลมและบบี ใหแ้ บน
แล้วนำไปห่อใบตอง)
วนั ท่ี 2 วนั สรา้ งชงิ ช้า
เปน็ วนั สร้ำงชงิ ชำ้ ใหญ่ของหมู่บำ้ น ฝำ่ ยชำยจะรวมตัวกันออกไปตัดไม้ทำรกมำทำเสำชิงชำ้ แตล่ ะบำ้ นจะทำ
ชงิ ช้ำเล็ก ๆ ด้วยไม้ไผ่ ใหแ้ ก่ลกู หลำน ท่หี นำ้ บำ้ นของตนเอง หลังจำกทำชิงช้ำเสร็จในตอนเย็น ช่วงกลำงคืนจะมีกำร
เตน้ รำฉลองชงิ ช้ำ ด้วยกำร “เต้นกระทุ้งกระบอกไมไ้ ผ”่ หรือ ทีช่ ำวอำข่ำเรยี กว่ำ “บอ่ ฉอ่ ง ต”ุ๊ อย่ำงสนุกสนำนจนถึง
รุ่งเชำ้ ของวันใหม่ จำกนัน้ นกั เตน้ จะไดร้ บั เชญิ จำกเจำ้ บ้ำน เพ่ือเลีย้ งอำหำรเครอื่ งด่มื กนั อย่ำงอิ่มหนำสำรำญ
วนั ที่ 3 วัน ล้อดา อ่าเผว่
ถือเป็นวันพิธีใหญ่ มีกำรเลี้ยงฉลองกันทุก
ครวั เรอื น พร้อมทั้งมกี ำรเชญิ ผู้อำวโุ ส หรือแขกตำ่ งหมบู่ ้ำน
มำรว่ มรบั ประทำนอำหำรในบ้ำนของตน

173

วนั ท่ี 4 จ่าส่า
เป็นวันสุดท้ำยของพธิ ีกรรม สำหรับในวันน้จี ะไม่มีกำรประกอบพธิ กี รรม นอกจำกพำกันมำ โล้ชิงช้ำ เพรำะ
เป็นวันสุดท้ำยท่ีจะได้โล้ในปีน้ี พวกหนุ่มสำวก็จะใช้ลำนสำวกอด มำน่ังพูดคุยกันและเปล่ียนกันดึงชิงช้ำ โดยเฉพำะ
หนุ่มๆ ต้องแสดงควำมสำมำรถในกำรโหนชิงช้ำให้สูง เพ่ือให้เป็นท่ีสนใจของสำว ๆ พร้อมร้องเพลงเกี้ยวพำรำสี
เป็นภำษำประจำเผำ่ ส่วนเด็ก ๆ จะมีชงิ ช้ำของพวกเขำทห่ี นำ้ บ้ำนไวเ้ ลน่ เชน่ กัน
แต่หลังจำกตะวันตกดิน หรือประมำณ 18.00 น. ผู้นำศำสนำก็จะทำกำรเก็บเชือกของชิงช้ำ
โดยกำรมำมัดติดกับเสำชิงช้ำ ถือว่ำบรรยำกำศในกำรโล้ชิงช้ำก็จะได้จบลงเพียงเท่ำนี้ และหลังอำหำรค่ำก็จะทำกำร
เก็บเครื่องเซน่ ไหว้ตำ่ งๆ เขำ้ ไว้ท่ีเดมิ ถอื วำ่ เสรจ็ ส้ินพิธกี รรม
มีกำรจัดกำรแสดงข้ึนทุกปี ในงำนเทศกำลประเพณีโล้ชิงช้ำ ของ อำเภอแม่ฟ้ำหลวง จังหวัดเชียงรำย เพื่อ
ร่วมกันอนุรักษ์และสืบสำนวัฒนธรรมประเพณีอันดีงำมของกลุ่มชำติพันธ์ุ รวมทั้งยังดึงดูดนักท่องเที่ยวชำวไทยและ
ชำวต่ำงติ ทำให้เกิดรำยได้แก่ชุมชนและกระตนุ้ เศรษฐกิจ ภำยในงำนนอกจำกนนั้ จะมีกำรจดั กำรแสดงต่ำง ๆ แล้วยัง
มกี ำรแขง่ ขนั ตำข้ำวปกุ ขนมโบรำณของชำติพนั ธ์ุอำขำ่ กำรแสดงเดนิ แฟชั่นโชว์ชุดแต่งกำยชำติพนั ธอ์ุ ำขำ่ ฯลฯ ครบ
ครันอกี ทั้งยังพบกำรเตน้ กระทุง้ กระบอกไมไ้ ผไ่ ด้ใรงำนเทศกำล ประเพณี หรืองำนรื่นเรงิ ตำ่ ง ๆ ของชำวอำข่ำ อำเภอ
แม่ฟ้ำหลวง จงั หวัดเชียงรำย

ผ้ทู ถี่ อื ปฏิบตั ิมรดกภมู ิปัญญำทำงวฒั นธรรม
ชอื่ นำยจำลอง เชอหมนื่

กล่มุ พนั ธ์ุอำขำ่ อำเภอแม่ฟ้ำหลวง
ที่อยู่ ๒๔/๑ หมู่ ๒๒ บำ้ นแสนใจพัฒนำ

ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟำ้ หลวง
จงั หวดั เชียงรำย 57๑10
หมำยเลขโทรศัพท์ ๐๙๓ ๓๐๙ ๗๔๗๗

174

คำ๊ ทอ้ ง อำ่ เผ่ว (ประเพณปี ใี หม่ลกู ข่ำง)

ตำมคำพูดที่ชำว “ค๊ำ ท้อง อ่ำ เผ่ว” ซึ่งก็แปลออกเป็น
ควำมหมำยว่ำ “พิธีปีใหม่” หรือประเพณีปใี หม่ จดั ขึน้ ประมำณ
เดือนธันวำคมของทุกปี ตรงกับเดือนอำข่ำ คือ “ท้องลำบำลำ”
คนท่ัวไปนิยมเรียกประเพณีนี้ว่ำปีใหม่ลูกข่ำง ประเพณี
นี้มีประวัติเล่ำกันมำว่ำ เป็นประเพณีท่ีแสดงให้เห็นถึง
กำรเปล่ียนแปลงฤดูกำลทำมำหำกิน ซ่ึงภำยหลังจำกที่มี
กำรเก็บเกี่ยวพืชพันธ์ุจำกท้องไร่นำ เสร็จแล้วจะเข้ำสู่ฤดูแห่ง
กำรพกั ผอ่ น ชำวอำขำ่ ถอื ว่ำประเพณนี ี้จะเปน็ กำรเปลี่ยนแปลง
วนั ปีใหม่หรือเปลี่ยนฤดกู ำล ซงึ่ เป็นกำรส่งท้ำยปีเก่ำต้อนรับปีใหม่ ฉะนัน้ คนทกุ คนก็จะมีอำยุเพิ่มข้นึ ประเพณีปีใหม่
ของอำข่ำเกิดข้ึนภำยหลังจำกที่มกี ำรเก็บเก่ียวพืชพนั ธ์ุ จำกไรน่ ำหมดแล้ว หลงั จำกกำรตรำกตรำทำงำนมำหนัก 1 ปี
เต็ม อันเป็นกำรฉลองผลผลิตที่เก็บเก่ียวมำไว้ในบ้ำนเรียบร้อยแล้ว ประเพณีปีใหม่เล่นลูกข่ำงของชำวอำข่ำจะมี
กำรประกอบพิธีกรรมทำงศำสนำอยู่ 4 วัน ปีใหม่ลูกข่ำง ถือเป็นประเพณีของผู้ชำย โดยผู้ชำยทั้งเด็ก และผู้ใหญ่
สำหรับจุดเด่นของประเพณีปีใหม่ลูกข่ำงของชำวอำข่ำนั้น ช่วงเทศกำลดังกล่ำว เพศชำยจะมีกำรทำ ลูกข่ำง “ฉ่อง”
แล้วมีกำรละเล่นแข่งตีลูกข่ำงตลอดในช่วงพิธีกรรม เพ่ือฉลองกำรเปล่ียนแปลงวัยที่มีอำยุมำกข้ึน พร้อมทั้งชุมชน
แต่ละครวั เรอื น ก็จะมกี ำรแลกเปล่ยี นด่ืมเหล้ำกันในชุมชน ดงั สุภำษิตทีว่ ่ำ “ค๊ำ ทอ้ ง จี้ ฉ”ี่ แปลว่ำ ประเพณี ยกเหล้ำ
ฉะนั้น หำกประเพณีนถี้ ้ำมคี นเมำเหล้ำก็ถือวำ่ เป็นเร่ืองปกติ และเป็นกำรเร่ิมต้นกินข้ำวที่เกบ็ ไวใ้ น ฉำงข้ำว ส่วนเพศ
หญิงก็จะเล่นกำรทอยสะบ้ำ และผู้อำวุโสจะมีกำรพูดคุยแลกเปล่ียนข้อปฏิบัติด้ำนวัฒนธรรม กฎจำรีตต่ำง ๆ พร้อม
กันนี้หำกครอบครัวใดท่ีติดหนี้สินเงิกองกลำงของชุมชุนก็จะต้องมำชดใช้ในช่วงเทศกำลปีใหม่นี้ด้วย และหำก
ครอบครัวใดท่ีต้องกำรจะย้ำยครอบครัวตนเองออกไปจำกชุมชน เพื่อไปต้ังในชุมชนอ่ืนก็จะต้องนำเหล้ำมำริน
เพอ่ื บอกกลำ่ วอำลำในวงอำวุโสอันเปน็ กำรแจ้งย้ำยออก อกี ทั้งถ้ำครอบครัวที่อยำกจะย้ำยเข้ำมำอยู่ก็จะตอ้ งนำเหล้ำ
มำริน ให้ผู้อำวุโสอันเป็นกำรแจ้งย้ำยเข้ำมำ ด้วยเหตุน้ีประเพณีปีใหม่ “ค๊ำ ท้อง อ่ำ เผ่ว” ของชำวอำข่ำ จึงถือว่ำ
เป็นประเพณีท่สี ำคัญเปน็ 1 ในจำนวนประเพณใี หญ่ 9 ประเพณขี องชำวอำข่ำที่มีกำรปฏิบัติ สบื ทอดกันมำ
กำรประกอบพิธีใช้เครือ่ งเซ่นตำ่ ง ๆ ดังน้ี
1. ไก่ขนดำ จะเปน็ เพศผู้หรือเพศเมยี กไ็ ด้ ห้ำมใช้ไกข่ นสีขำว เพรำะอำข่ำถอื วำ่ ไม่บริสทุ ธ์ิ
2. ข้ำวเหนยี วดำ (ขำ้ วปกุ )
3. ข้ำวเหนียวที่ไมด่ ำ อำขำ่ เรยี กว่ำ (ห่อส้อ)
4. นำ้ ชำ
5. เหลำ้ จำกกระบอกไมไ้ ผ่ทำข้นึ มำเพ่อื ใชป้ ระกอบพิธอี ำข่ำ เรยี กวำ่ จนี้ ำ่ จี้ จุ๊
โดยกำรทำพิธนี น้ั จะมีกำรแบง่ แยกออกไปเปน็ แต่ละวนั ดังน้ี
วันที่ 1 (ตรงกับวันที่ 30 ธันวำคม 2547) จะมีกำรประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษในช่วง ตอนบ่ำย โดยใช้
เครอ่ื งเซ่นไหว้ตำมท่ีกลำ่ วมำแล้ว ซ่งึ มีขั้นตอนกำรประกอบพิธีในแตล่ ะครอบครวั
วันที่ 2 (ตรงกับวันที่ 31 ธันวำคม 2547) จะเป็นกำรทำลูกข่ำง โดยใชไ้ ม้เน้ือแขง็ ขนำดเสน้ ผ่ำศูนย์กลำงของ
ลูกข่ำงเม่ือทำเสร็จแล้วมีขนำดควำมกว้ำงประมำณ 5-7 เซนติเมตร ปลำยแหลม ด้ำนบนจะตัดเรียบต้ังกับพ้ืนได้
ขนำดลูกข่ำงน้จี ะทำขึ้นให้มีขนำดควำมพอดีกับผู้เล่น เม่ือทำเสร็จแล้ว ก็จะมีกำรละเล่นโดยมีวธิ ีกำรเล่น 2 ประเภท
คือ กำรแบ่งฝ่ำย และตั้งลูกข่ำงเป็นแถว ขว้ำงให้ถูกลูกข่ำง ของฝ่ำยตรงกนั ข้ำง วิธีท่ีสอง คือกำรเล่นโดยกำรใช้เชือก
ปั่นให้ลูกข่ำงหมุนแล้วตีลูกข่ำงโดยวิธีกำรหมุนเช่นกัน ซึ่งสำมำรถดูวิธีกำรได้ในชุมชนนอกจำกน้ี ในวันที่สองของ
เทศกำลป้ใี หม่เล่นลูกข่ำง ในตอนกลำงคืน จะมกี ำรเล่นกระบอกไม้ไผ่ โดยมีเด็กผ้ใู หญ่ วธิ ีกำรเล่นกจ็ ะเปน็ กำรกระทุ้ง
ไมไ้ ผ่ ตี กลอง ฉ่งิ ฉำบ ซึ่งชำวอำข่ำ ถอื วำ่ สนุกสนำนกำรกระท้งุ กระบอกไมไ้ ผน่ ้จี ะเลน่ ตลอดคนื

175

วันที่ 3 ( ตรงกับวันที่ 1 มกรำคม 2547) อำข่ำเรียกว่ำเป็นวัน “ล้อดะอ่ำแผ่ว” ซ่ึงมีควำมหมำยคือกำร
ทำพิธี เพื่อตอนรับวันใหม่หรือปีใหม่นั้นเอง และหลังจำกวันน้ีเป็นต้นไป คนทุกคนก็จะมีอำยุเพิ่มมำกข้ึนไป
ดังนั้นอำยุของอำข่ำหำกผู้ใดเกิดวันท่ี 2 ของเทศกำลนี้ถือว่ำจะนับอำยุเป็น 1 ปี แม้เกิดมำ มีอำยุเพียง 1 วัน
และตรงขำ้ มหำกผู้ใดเกิดมำหลังวันที่ 3 ก็จะถือว่ำจะมอี ำยทุ ่ีสมบรู ณ์โชคดี และในวนั ท่ี 3 น้ี ครอบครัวทุกหลัง
จะมีกำรประกอบอำหำรเล้ียงกัน มีกำรสู่เหล้ำด่ืมกันจนมีภำษิตอำข่ำคือ “ค้ำ ท๊อง จ้ี ฉ่ี” แปลว่ำ ประเพณี
ดื่มเหล้ำน้ันเอง ตลอดท้ังวันผู้อำวโุ สก็จะมกี ำรแลกเปล่ียนปัญหำวฒั นธรรมของชุมชน มีกำรแข่งขันกำรละเลน่
พ้ืนบ้ำนในตอนกลำงวัน เช่น เล่นลูกสะบ้ำในกลุ่มผู้หญิงและเล่นลูกข่ำงในกลุ่มผู้ชำย มีกำรเต้นรำพ้ืนบ้ำน
ในเวลำกลำงคนื

ในอำเภอแม่ฟ้ำหลวง จะมีกำรจัดประเพณีลูกข่ำงขึ้นทุกปี เพ่ือเผยแพร่ให้ชำวไทยและคนในชุมชนที่
เข้ำร่วมกิจกรรม ไดต้ ระหนกั ถึงควำมสำคญั ของประเพณีปใี หมล่ กู ขำ่ ง ซงึ่ เปน็ ประเพณที ม่ี ีจดุ เด่นเปน็ เอกลักษณ์
ของชุมชน ท่ีมีควำมเสี่ยงต่อกำรสูญหำย อีกท้ัง ลูกหลำนชำวอำข่ำได้มีส่วนร่วมในกำรอนุรักษ์ ฟื้นฟู สืบสำน
ต่อยอด ประเพณีดังกล่ำว อีกท้ังช่วงปลำยเดือนธันวำคมถึงต้นมกรำคมชำวไทยภูเขำที่เชียงรำยจะมีงำน
เทศกำลและประเพณที ี่สำคัญอย่ำงหน่ึงซงึ่ เป็นทนี่ ิยมของนักทอ่ งเทยี่ วทจ่ี ะไปเข้ำร่วม

ผู้ทถ่ี อื ปฏิบัติมรดกภูมิปญั ญำทำงวัฒนธรรม
ชื่อ นำยจำลอง เชอหม่ืน

กลุ่มพันธ์ุอำข่ำอำเภอแม่ฟ้ำหลวง
ที่อยู่ ๒๔/๑ หมู่ ๒๒ บ้ำนแสนใจพฒั นำ

ตำบลแม่สลองใน อำเภอแมฟ่ ้ำหลวง
จังหวัดเชยี งรำย 57๑10
หมำยเลขโทรศพั ท์ ๐๙๓ ๓๐๙ ๗๔๗๗

176

ยำผกั กำดดอย
"ยำผัก" เมนูชำวอำข่ำจำกป่ำจังหวัดเชียงรำย อำเภอแม่ฟ้ำ
หลวง เป็นอำหำรของคนรักสุขภำพ เพรำะมีควำมหลำกหลำย
มีหน้ำตำทเ่ี ป็นเอกลักษณน์ ่ำจดจำของยำผกั โดยมีสำรอำหำรเยอะ
และเป็นประโยชนอ์ ย่ำงยิ่งต่อร่ำงกำย ซึ่งส่วนใหญ่นนั้ พชื ที่ชำวอำ
ข่ำนิยมปลูกกันมำกคือ ผัก พริก ถ่ัว โดยปลูกตำมรั้วบ้ำน
หรือบริเวณใกล้แหล่งน้ำ เวลำต้องกำรผักสดก็เก็บได้สะดวก
ชำวอำข่ำจึงมีวิถีชีวิตที่อยู่ร่วมกับป่ำ ธรรมชำติ อำหำรจึงเป็น
อำหำรทเี่ กดิ ขนึ้ ตำมวิถชี ีวติ ของชนเผำ่ อำขำ่
อำหำรอ่ำข่ำส่วนใหญ่จะปรุงจำกผัก มีน้ำพริกหลำยอย่ำง เน้ือสัตว์จะกินในโอกำสพิเศษหรือ
เม่ือมีพิธีกรรม ทำให้อำหำรอำข่ำจะอุดมไปด้วยผักสีเขียวและวิตำมินซี มีวิถีชีวิตกำรกินกำรอยู่ที่คล้ำยๆ กัน
คอื ในมื้ออำหำรของชำวอำข่ำจะต้องมผี กั น้ำพริก ผักดอง และแกงหรือซุปน้นั จะมีส่วนผสมของผักและสมนุ ไพร
ซึ่งอำหำรประเภทโปรตนี จะมีไม่มำกเชน่ ไก่ ไข่ หรอื ปลำทไี่ ด้จำกในลำหว้ ย
ชำวอำข่ำจะไม่ประรับทำนรสหวำน อำหำรจึงไม่มีกำรปรุงน้ำตำลจะเน้นรสเผ็ด หอม เค็ม เป็นหลัก
รวมไปถึง รสขม ควำมหวำนล้วนมำจำกผักที่สดใหม่ ส่วนรสเปรี้ยวได้จำกมะนำว ซีหมะหรือผักดอง
จำกวัฒนธรรมกำรกินอำหำรของชำวอำข่ำนน้ั ทำใหช้ ำวอำข่ำไมค่ อ่ ยปว่ ย ท้ัง ๆ ทอี่ ยู่บนที่รำบสงู อำกำศหนำว
เยน็ เพรำะได้รับวิตำมินจำกผักและสมนุ ไพรมำกมำย รวมท้ังยังไดอ้ อกกำลังกำยจำกกำรทำงำนอย่ำงสม่ำเสมอ
แมว้ ่ำในบำงพื้นท่ีวัฒนธรรมเมอื งจะเข้ำไปแทนท่ี แตว่ ัฒนธรรมอำหำรกำรกนิ อยำ่ งสมดุลยังคงอยู่สืบให้รุ่นลูกรุ่
นหลำนต่อไป
วตั ถดุ บิ หลัก
1. กระเทียม
2. พริกขีห้ นู
3. ครก
4. ขิง
5. ผกั กำด
ขน้ั ตอน/วิธีกำรทำ
1. นำพริกข้ีหนูแหง้ ไปเผ่ำเลก็ นอ้ ยใหม้ ี
ควำมหอม
2. ใส่กระเทยี ม พริกข้หี นูแห้ง ขิง ในโครก
3. โครกส่วนผสมให้ละเอียด
5. ใสง่ ำลงไปในครก (โดยใส่งำให้เยอะกวำ่ พริกและขิง)
6. นำผักกำดไปลวด
7. จำกนน้ั นำผกั กำดท่ีลวดแลว้ ไปใส่ภำชนะ และนำเครื่องปรุงท่ีโครกเสร็จแล้วมำคลกุ เคล้ำใหเ้ ขำ้ กัน
ผู้ที่ถือปฏิบัติมรดกภมู ิปญั ญำทำงวัฒนธรรม
ช่ือ นำยจำลอง เชอหมืน่
เคล็ดลับ กล่มุ พันธ์อุ ำขำ่ อำเภอแมฟ่ ้ำหลวง
1. ต้องนำงำไปควั่ ให้หอมกอ่ นนำมำตำ ทีอ่ ยู่ ๒๔/๑ หมู่ ๒๒ บำ้ นแสนใจพัฒนำ
2. ต้องตำงำให้ละเอียดที่สุด ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟ้ำหลวง

จังหวัดเชยี งรำย 57๑10
หมำยเลขโทรศัพท์ ๐๙๓ ๓๐๙ ๗๔๗๗

177

ผ้ำอำขำ่

กำรปั กผ้ ำขอ ง ช ำว อำ ข่ ำได้ จิ น ตน ำก ำ ร ลว ด ลำ ยม ำ จ ำ ก
วิถีชีวิตประจำวันของตนเอง และอีกส่วนหนึ่งได้รับกำรถ่ำยทอด

วิธกี ำรปักผ้ำมำจำกบรรพบุรุษ ชำวอำข่ำส่วนใหญ่จะปกั ผ้ำเพ่ือสวมใส่
เอง เน่ืองจำกกำรปักผ้ำเป็นงำนฝีมือ ต้องใช้เวลำในกำรปักนำน

ลำยปักมีควำมละเอียด ประณีต จึงทำให้มีรำคำแพง ผู้หญิงจะปัก
เส้ือผ้ำ ให้คนในครอบครัว และปักเพื่อสวมใส่เอง ชำวอำข่ำให้
ควำมสำคัญกับชุดประจำเผ่ำ ประกอบไปด้วย เสื้อ กระโปรง หรือ

กำงเกง ผำ้ รดั นอ่ ง เข็มขัด และหมวก ซงึ่ หมวกจะนิยมใชเ้ พียง
ใบเดียวตลอดชั่วชีวิต โดยเฉพำะ หมวกที่ทำจำกเคร่ืองเงินแท้ มีรำคำแพง และไม่สำมำรถประเมินรำคำได้ส่วนเสื้อ

ประจำเผำ่ นน้ั ชำวอำข่ำจะมี ประมำณ ๒ – ๓ ตัว ต่อคน ผหู้ ญงิ ชนเผ่ำอำข่ำเม่ือแตง่ ตวั ครบสมบูรณ์ จะมีควำมสวยงำม
เปน็ อยำ่ งมำก

กำรปักผ้ำของชำวอำข่ำ สว่ นใหญ่จะมีกำรออกแบบลวดลำยบนผืนผ้ำ

ในรูปทรงเรขำคณิต เช่น รูปสำมเหล่ียม และส่ีเหล่ียมส่วนลวดลำย
ธรรมชำติได้จินตนำกำรมำจำกส่ิงแวดล้อมที่อยู่รอบตัว เช่น ผีเส้ือ นก

ภูเขำ ดอกไม้ และต้นไม้ เป็นต้น ลวดลำยท่ีเป็นเอกลักษณ์ของชำวอำข่ำ
ได้แก่ ลำยผีเส้ือ (ลำยอำลูเหม่ล้ำ) ซ่ึงลำยน้ีชำวอำข่ำทุกกลุ่ม นำมำใช้ใน
กำรปักตกแต่งเส้ือผ้ำ สันนิฐำนว่ำ ลำยนี้ได้จินตนำกำรมำจำกผีเส้ือที่ได้

พบเห็นขณะเดินทำงไปทำไร่ทำนำ จึงได้นำมำประยุกต์เป็นลวดลำย
ในกำรปกั ผ้ำ และนำมำประดับตกแต่งบนเสือ้ กระโปรง กำงเกง และผำ้ รดั น่อง ทำให้เกดิ ควำมสวยงำมอย่ำงยิ่ง

ชนเผ่ำอำข่ำเปน็ ชนเผ่ำท่ีมีเครอื่ งแต่งกำยเป็นเอกลักษณ์สวยงำมประณีตโดยจะปลกู ต้นฝ้ำยจำกนั้นจะเก็บดอกฝ้ำย
ที่บำนแล้วมำปั่นและดึงให้เป็นเส้นด้ำยจำกน้ันถึงค่อยมำกรอและทอออกมำเป็นผืนแบบแพรวำ หน้ำผ้ำไม่กว้ำงนัก
หลังจำกได้ผ้ำมำแล้วก็จะนำไปปักให้มีลวดลำยสวยงำมก่อนจะนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อกว่ำจะได้ผ้ำ 1 ผืนน้ันต้องใช้

เวลำนำนเปน็ ปีนบั ต้ังแต่ปลูกฝ้ำย จนมำเปน็ เสือ้ ลำยปักสวย ๆ

วสั ดุ - อุปกรณ์

❖ เสน้ ดำ้ ยจำกฝ้ำย ❖ เครอ่ื งทอผ้ำ

❖ ด้ำยสำหรับปกั ลวดลำย ❖เข็มเยบ็ ผ้ำ

❖ ส่ิงของประดับตกแต่งในกำรปัก อำทิ ลูกปัด ไหมพรม

ขนไก่ เคร่ืองเงิน กระดง่ิ เปน็ ต้น

ขน้ั ตอนกำรผลิตผ้ำ ผูท้ ่ถี อื ปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ญั ญำทำงวัฒนธรรม
1. ปน่ั ฝ้ำยและดงึ เปน็ เส้นดำ้ ย
ชอ่ื นำยจำลอง เชอหม่ืน
2. กรอดำ้ ยเป็นมว้ น ที่อยู่ ๒๔/๑ หมู่ ๒๒ บำ้ นแสนใจพัฒนำ
3. นำไปทอ
4. นำผำ้ ท่ีได้ไปปกั ลวดลำย ตำบลแม่สลองใน อำเภอแม่ฟำ้ หลวง
จังหวดั เชียงรำย 57๑10
หมำยเลขโทรศัพท์ ๐๙๓ ๓๐๙ ๗๔๗๗


ลุ่


พั

คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ เ ชี ย ง แ ส น

ถิ่นอมตะ พระเชียงแสน
แดนสามเหลี่ยม

เยี่ยมน้ำโขง จรรโลงศิลปะ

สภาวัฒนธรรมอำเภอเชียงแสน

179

อำเภอเชียงแสน

ประวัตคิ วำมเปน็ มำ

ประวตั คิ วามเปน็ มาของเมอื งเชียงแสนปรากฏอยใู่ นเอกสารตานานหลายฉบับ ซง่ึ เร่ืองราวส่วนใหญ่จะมี
ความคล้ายกัน โดยปรากฏเร่ืองราวของชุมชนโบราณในเขตที่ราบลุ่มจังหวัดเชียงราย ในระยะก่อนสร้างเมือง
เชียงแสน ซึง่ คาดวา่ นา่ จะเร่มิ ต้นเมื่อราวพุทธศตวรรษท่ี 17 จากการทพี่ ระเจ้าสงิ หนวัตกิ มุ ารได้อพยพลงมาจาก
นครไทยเทศ ซ่ึงอยู่ในทางตอนเหนือล่องมาตามแม่น้าโขงและมาตั้งบ้านเมืองข้ึน ชื่อว่า นาคพันธ์สิงหนวัตินคร
ในแผ่นดินของพระเจ้าสิงหนวัติกุมารนั้นได้มีการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นได้รวมเอาชาวมิลักขุ
และปราบปรามพวกกลอมหรือขอมให้อยู่ใต้อานาจ หลงั จากน้ันกไ็ ด้มีกษัตริยห์ ลายพระองค์ครองเมืองโยนกนาคพันธ์ุ
สืบมาจนกระทั้งถึงรัชการพระเจ้ามหาชัยชนะก็เกิดอาเพศ จนบ้านเมืองล่มสลายกลายเป็นหนองน้าต่อมา
ได้ปรากฏเรื่องรวมอีกช่วงหนึ่ง เป็นส่วนท่ีกล่าวถึงปู่เจ้าลาวจกหรือลวจังกราชว่าได้ลงมาจากยอดภูเขา และได้
สถาปนาเป็นปฐมกษัตริย์ในราชวงศ์ลาวจังกราช ขึ้นปกครองแว่นแคว้นไชยวรนครเชียงราวหรือแคว้นโยนก
ซึ่งก็คือบ้านเมืองในบริเวณที่ราบลุ่มจังหวัดเชียงรายทุกวันน้ี ต่อมาได้สร้างเมืองหิรัญนครเงินยางและมีการขยาย
ชุมชนออกไปโดยรอบ ได้มีการสร้างเมืองเชียงราย เมืองเชียงของและขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง
กษัตริย์ในราชวงค์ลวจังกราชได้สืบราชสมบัติติดต่อกนั มาหลายพระองค์ จนกระท่ังถึงรชั กาลของพระเจ้ามงั ราย
จึงได้รวบรวมบ้านเมืองในแคว้นโยนกจนเกิดเป็นปึกแผ่นทรงสร้างเมืองเชียงรายและเสด็จไปประทับอยู่ท่ีเมืองเชียงราย
ต่อมาทรงยกทัพไปตีแคว้ นหริภูญไชยได้ และสถาปนาอาณาจกั รล้านนาขน้ึ พรอ้ ม ๆ กับการสร้างเมืองเชียงใหม่
ขนึ้ เป็นราชธานใี น พ.ศ. 1839

สาหรบั เรือ่ งราวของเมอื งเชยี งแสนนน้ั มหี ลกั ฐานปรากฏอยใู่ นเอกสารอย่างชัดเจนว่า พระเจา้ แสนภู
พระราชนัดดาของพระเจ้ามังราย ทรงสร้างเมืองขึ้นบริเวณซากเมืองรอยเก่ารมิ ฝั่งแม่น้าโขงเม่ือ พ.ศ. 1871
และขนานนามว่าเมืองหิรัญนครชัยบุรีศรีช้างแสน ซึ่งก็เชื่อกันว่าเมืองรอยเก่าน้ันก็คือเมืองหิรัญนครเงินยาง
นั้นเอง หลังจากที่พระเจ้าแสนภูได้ข้ึนมาครองราชย์ในเมืองเชียงใหม่แล้วต่อมาทรงย้ายมาอยู่ท่ีเมอื งเชียงแสน
ตลอดพระชนม์ชีพและกษัตริย์ล้านนาองค์ต่อมาคือพระเจ้าคาฟูก็ประทับที่เมืองเชียงแสน สาเหตุที่พระเจ้าแสนภู
สรา้ งเมอื งและประทับอยู่เมืองเชียงแสนนัน้ เพราะเปน็ เหตุผลด้าน ยทุ ธศาสตรใ์ นการป้องกันข้าศึกที่มาทางด้านเหนือ
และเพอ่ื ควบคุมหวั เมอื งต่าง ๆ ของลา้ นนาตอนบนไว้ใหอ้ ย่ภู ายใต้พระราชอานาจ

ด้วยเหตุนี้ในสมัยล้านนาตอนต้นศูนย์กลางของอาณาจักรและพระศาสนา จึงอยู่ท่ีเมืองเชียงแสน
ดังนัน้ จึงปรากฏมรี อ่ งรอยโบราณสถานในสมยั ลา้ นนา ตอนต้นอยูใ่ นเขตเมอื งเชยี งแสนคอ่ นข้างมาก อยา่ งไรก็
ตามตอนปลาย พทุ ธศตวรรษท่ี 19 ในสมัยของพระเจ้าผายูกษัตริยร์ าชวงค์มังรายลาดบั ท่ี 7 ไดก้ ลับไปประทบั
ทเี่ มอื งเชียงใหม่ แตเ่ มอื งเชียงแสนกย็ งั มคี วามสาคัญ ในเขตล้านนาตอนเหนอื ตลอดมา

ในช่วงเวลาท่ีล้านนาตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า ในพ.ศ.2244 พม่าได้แบ่งแยกการปกครอง
ล้านนาออกเป็น 2 ส่วน เพื่อป้องกันกบฏส่วนแรกได้แยกเมืองเชียงแสนออกจากอานาจของเมืองเชียงใหม่ให้
เมืองเชียงแสนได้ขนึ้ ตรงตอ่ กรงุ องั วะ ถอื เปน็ ประเทศราชมณฑลหน่ึงและอยภู่ ายใต้อานาจของข้าราชการพม่า
โดยตรง โดยใหเ้ มืองต่าง ๆ เหล่าน้ี คือ เมืองกาย เมอื งไร เมืองเลน เมืองแหลว เมอื งพยาก เมืองเชยี งราย และ
เมอื งหลวงภคู า เมอื งแพร่ เมอื งนา่ น เมอื งนครลาปาง เมอื งฝาง เมืองสาด เมอื งเชยี งของ และเมืองเทิงข้ึนอยกู่ ับ
เมืองเชียงแสน ส่วนเมือที่เหลือขน้ึ อยกู่ ับเมืองเชียงแม่ในช่วงเวลานีฐ้ านนะของเมืองเชียงแสนไดม้ ีความสาคญั
ขึ้นอีกคร้ังและได้เป็นฐานที่ม่ันสาคัญของพม่าในการควบคุมบ้านเมืองและดินแดนล้านนา พม่าควบคุมเมือง
เชยี งแสนไวจ้ น พ.ศ.2347 พระยากาวิละเจ้าผ้คู รองนครเชียงใหมก่ ับกรมหลวงเทพหริรกั ษ์กับพระยายมราช
ได้ยกทับเข้าตีเมืองเชียงแสนได้สาเร็จ และได้กวาดต้อนผู้คนจานวน 22,000 ครอบครัวจัดแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกให้ย้ายถิน่ ฐานในเมืองตา่ ง ๆ ของลา้ นนา เช่น เชียงใหม่ นครลาปาง น่าน และเวียงจันทร์ อีกกล่มุ หน่ึง
ส่งไปยังเมืองกรงุ เทพซง่ึ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราชได้โปรดเกล้าฯใหไ้ ปต้งั บ้านเรือนอยู่ที่
ตาบลเสาให้จังหวัดสระบุรี และท่ีตาบลคูบัว จังหวัดราชบุรี ต่อน้ันเมืองเชียงแสนจึงกลายเป็นเมืองร้าง

180

จนกระท่ังรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯให้เจ้าอินทวิไชย บุตรเจ้าบุญมา
เจ้าผู้ปกครองเมอื งลาพนู นาราษฎรชาวงเมืองลาพูน และราษฎรชาวเมืองเชยี งใหม่จานวน ประมาณ 1,500 ครอบครัว
ข้ึนไปต้ังถิ่นฐาน และฟื้นฟูเมืองเชียงแสนและได้พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาราชเดช ดารงตาแหน่ง
เจ้าเมืองเชียงแสน เมืองเชียงแสนจึงได้ฟ้ืนฟูนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาประมาณ พ..ศ. 2442 ได้มีการย้ายศูนย์การปกครอง
ไปอยทู่ ่ี ตาบลกาสา ซึ่งปัจจบุ ันคืออาเภอแม่จนั ตั้งเป็นอาเภอข้นึ ต่อจังหวัดเชียงราย ส่วนเมอื งเชียงแสนยุบลงเป็น
กิ่งอาเภอเชยี งแสนหลวง และต่อมาไดเ้ ป็นอาเภอเชยี งแสน จงั หวดั เชียงราย เม่ือปีพ.ศ. 2500 มาจนทกุ วนั นี้

กลา่ วโดยสรปุ คือ เมืองเชยี งแสน เดิมตามประวตั ิศาสตร์กล่าววา่ เป็นอาณาจกั รแรกของล้านนา และ
ได้ร้างไป จนกระทั่งพระเจ้าแสนภูเป็นผู้บูรณะเมื่อ พ.ศ. 1871 มีเจ้าเมืองปกครองสืบเนื่องกันมาหลาย
พระองค์ จนถึง พ.ศ. 2442 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการท่ี 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้พระยาเดชดารงย้ายท่ีทาการเมืองเชียงแสน มาตั้งที่เมืองกาสา (อาเภอแม่จัน
ในปัจจุบัน) ต่อมาทางราชการเห็นว่าที่ต้ังอาเภอเชียงแสนต้ังติด กับลาน้าจัน จึงได้เปลี่ยนชื่อจากอาเภอเชียงแสน
“เป็นอาเภอแม่จัน” เมื่อ พ.ศ. 2470 ยกฐานะเมืองเชียงแสนเดิมต้ังเป็น “ก่ิงอาเภอเชียงแสน” และได้รับการ
พิจารณายกฐานะจากก่งิ อาเภอ เป็น “อาเภอเชียงแสน” เม่อื วันที่ 10 เมษายน 2501

ลักษณะทำงกำยภำพ

เมืองเชียงแสนต้งั อย่รู มิ ฝงั่ แมน่ ้าโขงบริเวณชายแดนด้านทิศตะวันออกของท่รี าบลุม่ เชียงแสน ซึ่งเปน็ ที่
ราบลุ่มขนาดใหญ่ทางตอนบนของจังหวัดเชียงราย และทางฝ่ังตะวันตกของแม่น้าโขง ปัจจุบันเมืองเชียงแสน
ตง้ั อยูใ่ นเขตการปกครองของตาบลเวียง อาเภอเชียงแสน จังหวดั เชยี งรายด้วยความเหมาะสมของตาแหน่งท่ีตั้ง
เมือง ซ่ึงเปรียบเสมือนจุดยุทธศาสตร์ทางการปกครอง รวมถึงเป็นเมืองสาคัญทางการค้าระหว่างเมืองทาง
ตอนบนอนั ไดแ้ กจ่ ีนและพมา่ ลงมาสู่พะเยา ตาก กรุงเทพฯ และหลวงพระบางจงึ ทาใหเ้ มืองน้ีเป็นพนื้ ทสี่ าคัญมา
แตส่ มัยโบราณตราบถึงปจั จบุ ัน

สภาพภูมิศาสตรท์ ่วั ไป
ทิศเหนือและทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นที่ดอนสลับกลุ่มภูเขาเตี้ย ๆ ได้แก่ ดอยมด ดอยป่าแดง
ดอยจอมกิดติ และกลุ่มดอยสะโง้ว ตดิ ตอ่ กับเขตอาเภอแมส่ าย และอาเภอทา่ ขเี้ หล็ก จงั หวดั เชยี งตุงสาธารณรัฐ
สังคมนยิ มแหง่ สหภาพเมียนมาร์ มีลาน้ารวกเปน็ เส้นก้ันพรมแดน
ทิศใต้ เป็นที่ราบลุ่ม มีบึงสลับกับกลุ่มภเู ขาเต้ีย ๆ เช่น กลุ่มดอยจัน ดอยหนองแสงแก้ว หนองบงกาย
และหนองลม่ มลี าน้าคาและแมน่ ้ากก ไหลผ่านลงสลู่ านา้ โขงติดตอ่ กับเขตอาเภอแม่จนั
ทศิ ตะวันออก ตดิ แมน่ ้าโขง เป็นเสน้ ก้ันเขตแดนกับสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
ทิศตะวันตก เป็นท่ีราบลุ่ม มีลาน้าเล็ก ๆ ที่เกิดจากเทือกเขาสูงทางด้านนี้ไหลลงไปรวมกับลาน้าคาซงึ่
ไหลผา่ นตลอดแนวตวั เมืองตดิ ตอ่ กับเขตอาเภอแมจ่ นั
ลักษณะเมืองเชียงแสน
เมอื งเชยี งแสน เปน็ เมืองโบราณสณั ฐานรูปส่เี หล่ียมผืนผ้าด้านไมเ่ ท่าตง้ั อยู่บนทรี่ าบริมฝ่ังแมน่ า้ โขงด้าน
ทศิ ตะวนั ตก ในแนวแกนทิศเหนือ -ใต้ ปจั จุบันมกี าแพงเมืองลอ้ มรอบ 3 ด้านคอื ดา้ นทิศเหนอื ซ่งึ ยาวขนานไป
ตามแม่น้าโขง ทิศตะวันตกและทิศใต้ ซ่ึงเป็นด้านสกัด ส่วนทางด้านทิศตะวันออกปัจจุบันไม่หลงเหลือแนว
กาแพงเมือง แต่มีแม่น้าโขงเป็นปราการธรรมชาติอยู่ อย่างไรก็ตามตามพงศาวดารโยนกกล่าวว่าทางด้านทิศ
ตะวันออกนม้ี ีประตูอยู่ 6 ประตู แต่ในปัจจุบันไม่พบหลักฐานดังกล่าวหลงเหลืออย่ทู ั้งนี้อาจเนือ่ งจากการเซาะ
พังของแม่นา้ โขงโดยใน พ.ศ. 2513 ยงั คงมอี ยู่พบเห็น ร่องรอยของป้อมมุมเมืองของแนวกาแพงบรเิ วณริมตลิ่ง
แม่น้าโขง ส่วนแนวกาแพง 3 ด้านที่ยังคงหลงเหลืออยู่น้ี ยังพบร่องรอยของประตูเมือง 5 แห่ง นอกจากนั้นยงั
พบป้อมมุมกาแพงเมืองด้านทิศตะวนั ตกเฉียงเหนอื อีก 1 แห่งและพบอีก 6 แห่งภายนอกกาแพงเมือง กาแพง
เมืองมีลักษณะชั้นเดียวสูงประมาณ 4 เมตร สภาพของกาแพงยังอยู่ในลักษณะค่อนข้างสมบูรณ์ทั้ง 3 ด้าน
มีร่องรอยของคูเมืองปรากฏอยู่โดยรอบ คาดว่าแนวคูเมืองจะต้องมีทางเช่ือมติดต่อกับแม่น้าโขงได้ภายใน
ตัวเมืองเชียงแสนสภาพพื้นท่ีส่วนใหญ่เป็นท่ีราบ มีหนองน้าปรากฏอยู่ 1 แห่ง ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ของตวั เมือง เรียกวา่ “หนองกลางเวียง” ระหวา่ งหนองกลางเวียงกบั แม่นา้ โขงมีคูน้าขนาดเลก็ เชื่อมตดิ ต่อกนั ได้

181
พืน้ ท่ภี ายในเมืองไดถ้ ูกแนวถนนในปัจจุบันตัดแบ่งเปน็ พน้ื ที่เล็ก ๆ หลายสว่ น แตล่ ะส่วนก็พบซากโบราณสถาน
กระจายตัวอยู่โดยทั่วไป ตามตานานและประชุมพงศาวดาร กล่าวว่าภายในกาแพงเมืองนี้มีโบราณสถานอยู่
76 แห่ง ซ่ึงกรมศิลปากรได้ทาการสารวจครบทกุ แห่ง เพ่ือวางแผนบูรณะ สร้างคุณคา่ ใหแ้ กเ่ มืองประวตั ิศาสตร์
แห่งนี้มากย่งิ ขึ้นการกระจายตวั ของโบราณสถานสว่ นใหญ่มกั จะเกาะกลุ่มกนั ไปตามแนวถนน ซงึ่ มอี ยหู่ ลายสาย
ท่ีน่าจะเป็นเส้นทางมาแต่โบราณ เช่น เส้นทางถนนท่ีเชื่อมระหวา่ งประตูยางเทิงกับประตูดินขอ เส้นทางถนน
ที่ตัดจากประตูหนองมูตไปยังแม่น้าโขงในบริเวณที่สันนิษฐานว่าเป็นประตูท่าวิสุกรรมเส้นทางถนนที่ตัดจาก
ประตูเชียงแสน ไปยังแม่น้าโขงในบริเวณท่ีสันนิษฐานว่าเป็นประตูท่าหลวงเส้นทางถนนที่ตัดจากประตูดิน
ขอไปยังแม่น้าโขงตรงบริเวณท่ีสันนิษฐานว่าเป็นประตูท่าเสาดินนอกจากนั้น ถนนรอบเวียงท่ีตัดเลียบกาแพงเมือง
ด้านในกน็ ่าจะเปน็ เส้นทางท่มี ีมาแต่โบราณ เพือ่ ประโยชน์ใช้สอยในการดแู ลตรวจตรากาแพงเมือง และสง่ กาลัง
บารุงได้สะดวกยามเกิดศึกสงครามภายนอกเมืองเชียงแสนทางด้านทิศเหนือทิศตะวันตก และทิศใต้
ประกอบด้วยบริเวณที่ราบลุ่มซ่ึงมีลาน้าหลายสายไหลผ่านสลับกับบริเวณท่ีดอนและแน วเทือกเขาท่ีล้อมอยู่
โดยรอบ พบหนองนา้ อยโู่ ดยท่ัวไปในพื้นที่โดยเฉพาะทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เป็นท่ีราบลุ่มและหนองน้าขนาด
ใหญ่ ซ่ึงเป็นที่อาศัยของนกอพยพ มีชื่อว่า“หนองบงคาย” และ “เวียงหนอง”ส่วนทางด้านทิศตะวันออกน้ัน
มีแมน่ ้าโขงไหลผ่านกนั้ เขตแดนไทยกับสาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ซึ่งมีสภาพพืน้ ท่เี ปน็ พ้ืนที่ราบลุ่ม
สลับกับเทอื กเขาสงู

แผนทอ่ี าเภอเชียงแสน
ท่ีต้งั และอำณำเขต

อาเภอเชยี งแสนตั้งอยทู่ างทศิ เหนือของจงั หวัด มีอาณาเขตตดิ ต่อกบั เขตการปกครองข้างเคยี ง ดงั ต่อไปนี้
ทิศเหนือ ตดิ ตอ่ กับอาเภอแม่สาย รัฐฉาน (ประเทศพมา่ ) และแขวงบอ่ แก้ว (ประเทศลาว)
ทิศตะวนั ออก ติดต่อกบั แขวงบอ่ แก้ว (ประเทศลาว) และอาเภอเชียงของ
ทศิ ใต้ ติดตอ่ กบั อาเภอเชยี งของ อาเภอดอยหลวง และอาเภอแมจ่ นั
ทศิ ตะวนั ตก ติดต่อกบั อาเภอแม่จันและอาเภอแมส่ าย

182

แหล่งท่องเท่ียว

๑. ทะเลสาบเชยี งแสน หรือเขตหา้ มล่าสัตวป์ ่าหนองบง่ คาย
เขตหา้ มล่าสัตว์ป่า หนองบงคาย (ทะเลสาบเชียงแสน) อาเภอเชียงแสน
(Nong bong khai non-hunting area) ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า สานักบริหาร
พ้ืนที่อนุรักษ์ท่ี 15 กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์ุพืช กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ความเป็นมาของ เขตห้ามล่าสัตว์ป่า
หนองบงคาย (ทะเลสาบเชียงแสน)เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคายเดิมเป็น
หนองนา้ ขนาดเลก็ ซึง่ ถูกลอ้ มรอบด้วยเนินเขาเตี้ยๆ โดยรอบเป็นแอง่ รองรบั
น้าฝนตามธรรมชาติ ทางราชการได้ก่อสร้างเข่ือนน้าล้น เพ่ือกักเก็บน้า จึงทาให้หนองน้ามีปริมาณมากขึ้น
มลี ักษณะเปน็ ทะเลสาบ ขนาดยอ่ มเรียกว่า “ทะเลสาบเชียงแสน”

๒. พระธาตุดอยเขา้
พระธาตุดอยปูเข้า เป็นวัดและโบราณสถานที่สร้างในสมัยหิรัญ
นครเงินยาง ต้ังอยู่ในอาเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ไม่ไกลจาก
บริเวณพรมแดนสามเหลี่ยมทองคา สามารถชมทิวทัศน์ได้จากบริเวณ
ของวัด ตามตานานได้เล่าว่าพระยาลาวจังราช ปฐมกษัตริย์แห่ง
หิรัญนครเงินยาง มีพระราชโอรสสามพระองค์ คือ ลาวก่อ ลาวเกื้อ
และลาวเก้า มีครนั้ หนงึ่ พระราชโอรสทง้ั สามพระองคไ์ ด้เสด็จท่องเท่ียว
และพบปูขนาดใหญต่ ัวหนง่ึ จงึ พากันไลจ่ บั แต่ปตู ัวน้ันได้หนีเข้ารไู ป ลาวกอ่ และลาวเกื้อจงึ รับสั่งให้ลาวเก้าน่ังรออยู่
ท่หี ว้ ยระหว่างที่ทั้งสองพระองค์จะตามหาปูยกั ษ์ตวั น้นั เม่อื ลาวเก้ารออย่นู านจงึ เสด็จกลับไปทูลพระบิดา พระบิดา
ทรงเหน็ ว่าโอรสท้ังสามไม่รักใคร่สมานกัน หากอยู่ด้วยกนั คงไม่เป็นสุข จงึ ได้มรี ับส่งั ให้ลาวก่อ ครองเมืองกวาง, ลาว
เกือ้ ครองเมืองผาลานผานอง และ สว่ นลาวเก้า ใหค้ รองเมอื งของพระองค์เองคือหิรัญนครเงนิ ยาง หลังสถาปนาขึ้น
ครองราชย์ลาวเก้าได้สถาปนาพระนามขึ้นว่า พระยาลาวเก้าแก้วเมืองมา เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ที่
2 ของหิรัญนครเงินยาง เพ่ือราลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว พระองค์ได้ทรงสร้างพระเจดีย์บนดอยท่ีปูยักษ์ตัวดังกล่าว
หนีไปในราวปี พ.ศ. 1302 จงึ เปน็ ทีม่ าของวัดพระธาตุดอยปูเข้า
๓. จุดชมววิ สามเหลยี่ มทองคา
อยู่ห่างจากอาเภอแม่สาย 28 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข
1290 เป็นบริเวณท่ีแม่น้าโขงและแม่น้ารวกมาบรรจบกนั หรือท่ีเรยี กว่า
สบรวก เป็นพรมแดนระหว่างประเทศไทย ลาว พม่า บริเวณนี้เคยมี
การค้าฝิ่น โดยแลกเปลี่ยนกับทองคา ทิวทัศน์ของแม่น้าโขงบริเวณนี้มี
ความงดงามโดยเฉพาะยามเช้าท่ดี วงอาทิตย์ข้นึ ท่ามกลางสายหมอกด้าน
ฝง่ั พม่า และลาว นกั ท่องเทยี่ วนยิ มนัง่ เรือเท่ียวชมทิวทัศน์จุดบรรจบของ
พรมแดนไทย ลาว และพมา่
๔. วดั มุงเมือง
วัดมุงเมืองมีโบราณสถานที่สาคัญคือ พระเจดีย์ต้ังอยู่บนฐานส่ีเหลี่ยมจัตุรัสย่อ
มุมซ้อนกันส่ีช้ัน รองรับฐานปัทม์ย่อมุม ถัดข้ึนไปเป็นเรือนธาตุ มีซุ้มประดิษฐาน
พระพุทธรูปยืนปางเปิดโลกทั้งสี่ด้าน ส่วนยอดเป็นองค์ระฆังกลม มีเจดีย์เล็ก ๆ
ประดับอยู่ท่ีมุมคล้ายเจดีย์ท่ีวัดป่าสัก วัดนี้ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้าง จากรูปทรง
ทางสถาปัตยกรรม และพระพุทธรูปยืนปูนปั้นท่ีประดิษฐานอยู่ในซุ้มทิศ พอจะ
สนั นษิ ฐานไดว้ ่าน่าจะสร้างขนึ้ ภายหลงั วัดป่าสกั เพราะมวี วิ ัฒนาการทางรูปแบบเพิ่ม
มากย่งิ ข้ึน และนา่ จะมีอายุอยู่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 20

183

๕. พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติเชยี งแสน
จัดแสดงโบราณวัตถุที่ค้นพบและปรากฏอยู่ ของอาณาจักรเชียงแสนท่ีเคย

รุ่งเรืองในอดีตกาล แบ่งการจัดแสดงเป็นส่วน ๆ ไป ส่วนแรกเป็นห้องท่ีประดิษฐาน
พระพุทธรูปท่ีมีพุทธลักษณะหลากหลาย เช่น พระพุทธรูปประทับยืน ศิลปะล้านนา
อายุราวพุทธศตวรรษท่ี 19-20 พระพทุ ธรูปปางอ้มุ บาตร ศลิ ปะล้านนา สรา้ งเม่ือปี
พ.ศ. 2120 พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะล้านนา อายุราวพุทธศตวรรษท่ี 19-
20 นอกจากนี้ยังเศษช้ินส่วนประกอบขององค์ปราสาทวัดปา่ สัก มีโบราณวัตถุท่ีถกู
ค้นพบจากพ้ืนที่ต่าง ๆ ในจังหวัดเชียงราย และที่นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ท่ีมีคุณค่า
อย่างยิ่งช้ินหน่ึงของเชียงแสน น่ันคือ “เปลวรัศมี” หรือท่ีชาวบ้านเชียงแสนเรียกวา่
“จิกโมลี” ของพระเจ้าล้านตื้อ ที่ชาวบ้านงมพบในแม่น้าโขงและนามามอบไว้ให้กับ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสนเป็นผู้เก็บรักษาไว้ให้บรรพชนรุ่นหลังได้ราลึกถึง
ประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรืองของอาณาจักรเชียงแสนและความเจริญก้าวหน้าในด้าน
พระพทุ ธศาสนา

๖. วัดพระธาตุเจดียห์ ลวง
วดั พระธาตเุ จดยี ห์ ลวง อาเภอเชียงแสน เป็นวดั ท่เี กา่ แกข่ องเมือง

เชียงแสน สร้างโดยพระเจ้าแสนภู พระราชนัดดาของพ่อขุนเม็งราย
มหาราช ปฐมกษัตริย์ของอาณาจักรล้านนาไท เมื่อ พ.ศ. 1834
(ประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ 19 ตามประชุมพงศาวดารภาคท่ี
61) หลังจากน้ันพระเจ้าแสนภูได้เสด็จไปครองเมืองเชียงใหม่แทน
พระราชบิดา คือ พระเจ้าชัยสงครามซ่ึงเสด็จมาประทับยังเมือง
เชียงราย พร้อมทั้งนาอัฐของพระราชบดิ า คอื พ่อขนุ เม็งรายมหาราช
ที่เสด็จสวรรคตท่ีเชียงใหม่กลับมายังเมืองเชียงรายด้วย ต่อมาพระยาเมืองแก้วให้ขุดฐานเจดีย์องค์เดิมและก่อ
เสริมองค์เจดีย์ในปี พ.ศ. 2058
ทั้งน้ีในตานานเมืองเชียงแสนก็มีบันทึกเก่ียวกับวัดเจดีย์หลวง เช่นกันว่า “วันอังคาร เดือนเพ็ญ 5 ศักราช 651
ตัวแสนภูก่อเจดีย์เก่าน้ัน สูง 8 วา ถัดน้ันไป 3 ปี วัดพระหลวงเป็นวัดเก้าเมือง เป็นสถานที่บรรจุพระธาตุ กระดูกของ
พระพุทธเจ้ามาแตก่ ่อน ทา่ นกส็ รา้ งวหิ ารวดั หลวง กวา้ ง 8 วา ยาว 17 วา พระเจดีย์ สูง 29 วา กวา้ ง 14 วา”
๗. วดั พระธาตจุ อมกิตติ
วัดพระธาตุจอมกิตติ อยู่นอกเมืองเชียงแสนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
พ.ศ.2023 พระเจ้าสุวรรณคาล้านให้หม่ืนเชียงสงก่อเจดีย์ครอบองค์เดิมไว้และ
พ.ศ. 2227 เจา้ ฟ้าเฉลมิ เมอื งพรอ้ มดว้ ยคณะศรัทธาไดร้ ่วมกันบูรณปฎิสังขรณ์เจดีย์
อีกคร้ังลกั ษณะเจดีย์เปน็ ทรงปราสาทยอดระฆงั ที่นิยมสรา้ งในพทุ ธศตวรรษท่ี 22

๘. วดั พระธาตุผาเงา
ในอดีตเม่อื วดั สบคาพงั ทลายเพราะนา้ โขงกดั เซาะ

คณะศรทั ธาจงึ สร้างวัดพระธาตุผาเงาบนพ้ืนที่วดั โบราณ (รา้ ง)
ในบริเวณดอยคา (ดอยจัน) และเมื่อวันท่ี 17 มีนาคม พ.ศ.
2519 ขณะท่ปี รับพ้ืนท่ีวิหารโบราณ เพอ่ื สรา้ งวหิ ารหลังใหม่
ครอบทพั พบหลวงพอ่ ผาเงาฝังอยู่ใต้ฐานชกุ ชพี ระประธา

หลวงพ่อผาเงาเป็นพระพุทธรูปปูนป้ันแสดงปางมารวิชัย
ประทับนั่งขัดสมาธิราบ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 19 – 20
สว่ นพระธาตผุ าเงา เป็นเจดียท์ รงระฆงั ขนาดเลก็ อยู่เหนือก้อน
หนิ ใหญ่

184

๙. เมอื งโบราณเชยี งแสน
เชียงแสน เคยเป็นศูนย์กลางอาณาจกั รลา้ นนาในยคุ แรก ๆ

และเป็นเมืองเก่าแก่มากแห่งหน่ึงในภาคเหนือ เดิมชื่อเวียงหิรัญ
นครเงินยาง แม้ปัจจุบันยังมีซากกาแพงเมืองโบราณ 2 ช้ัน และ
โบราณสถานหลายแห่ง ปรากฏอย่ใู นทง้ั ในและนอกตวั เมือง ภายใน
เขตกาแพงเมืองเก่าประกอบด้วยวัดร้างและโบราณสถานท่ีสร้าง
ในระหว่างพุทธศตวรรษท่ี 18-21 สลับกบั บา้ นเรอื นชาวบา้ น
การเที่ยวชมควรเริ่มต้นจากพพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน ใกล้กับประตูป่าสัก ติดกันเป็นวัดเจดีย์หลวง
ฝง่ั ตรงข้ามจะเป็นศูนยข์ อ้ มลู การท่องเทีย่ วเชียงแสน จากจุดนสี้ ามารถไปเทยี่ วชมโบราณสถานต่าง ๆ ได้ในรศั มี
ไม่เกนิ 1.5 กโิ ลเมตร

๑๐.หอฝ่นิ อุทยานสามเหลย่ี มทองคา
ความเป็นมาดินแดนสามเหลี่ยมทองคา คือ จุดที่ประเทศ

ไทย ลาว และพม่า มาบรรจบกัน เป็นท่ีท่ีแม่น้ารวกไหลมารวมกับ
แม่น้าโขง และยังหมายถึง พ้ืนที่กว้างครอบคลุมบริเวณถึงสาม
ประเทศ และในพ้ืนท่ีน้ีเองมีการปลูกฝิ่น ผลิตเฮโรอีน และลักลอบ
นาออกไปขาย เมื่อไดย้ ินคาว่า “สามเหล่ยี มทองคา” คนสว่ นมากมกั
นึกถึง ดอกฝ่ิน ชาวไทยภูเขา เทือกเขาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก
แม่น้าโขง หรือภาพของป่าเบญจพรรณ แต่ภาพที่มักนึกถึงกันมาก
ท่ีสุดคงเปน็ ภาพของฝนิ่ และเฮโลอนี ภาพความลกึ ลบั นา่ สะพรึงกลัว
ของการปลูกและลักลอบค้าฝ่ิน ภาพสงครามกลางเมือง กองทหารสู้รบกับพวกลักลอบค้าฝ่ิน ชาวบ้านยากจน
การกวาดล้างโรงงานผลิตเฮโรอีน คาราวานขนฝ่ินไปตามเสน้ ทางในปา่

สามเหลี่ยมทองคา คือ แหล่งที่มาของปริมาณเฮโลอีนกว่าครึ่งของจานวนท่ีมีอยู่ทั้งหมดในโลก
สามเหลี่ยมทองคา คือรากเหง้าของอาชญากรรมและการกระทาอันทุจริตท่ีเกิดข้ึนในทวีปเอเชีย แพร่ไปสู่แอฟริกา
ยุโรปและอเมรกิ า ทกุ ๆปี จะมีนักทอ่ งเท่ียวนบั แสนคนเดนิ ทางมาทน่ี เี้ พยี งเพราะชอื่ สามเหลยี่ มทองคา

ปี พ.ศ. 2531 (1988) สมเด็จพระศรนี ครินทราบรมราช
ชนนี ได้ทรงริเร่ิมโครงการพัฒนาดอยตุงข้ึนในจุดเหนือสุด
ของประเทศไทย โครงการน้ีมีจุดมุ่งหมายท่ีจะฟื้นคืนผืนป่า
และฟ้ืนฟูสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนท่ีอาศัยอยู่ในพ้ืนท่ี
เทอื กเขานางนอนในเขตพื้นท่ปี ระเทศไทย และหยุดการปลูก
ปละการเสพฝิ่นในดินแดนแห่งนี้ ในอีกไม่กี่ปีต่อมา สมเด็จ
พระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงริเรม่ิ โครงการทจี่ ะช่วย
ใหก้ ารศกึ ษาแก่ประชาชนในเรอื่ งประวัติของฝน่ิ ในดนิ แดน
สามเหลีย่ มทองคาและทั่วโลก ท้งั นีเ้ พอ่ื เปน็ การปลกู จิตสานึกให้ประชาชนร่วมกันตอ่ สแู้ ละต่อต้านยาเสพติด ให้
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า ยาเสพติดประเภทต่างๆ ไม่เฉพาะจะก่อให้เกิดปัญหากับประชากรท่ีอาศัยอยู่ในพื้นที่น้ี
เท่านัน้ แตย่ งั สร้างปัญหาให้กับประชากรและสงั คมโลกโดยรวมอกี ด้วย การรเิ รมิ่ โครงการในพระราชดาริครั้งนี้
ส่งผลสบื เน่อื งใหเ้ กดิ หอฝิน่ อทุ ยานสามเหลย่ี มทองคา
หอฝน่ิ อทุ ยานสามเหลย่ี มทองคา ตั้งอยูบ่ นพื้นท่ปี ระมาณ 250 ไร่ ห่างจากอาเภอเชียงแสนประมาณ
10 กิโลเมตร หอฝิ่นฯ ซึ่งล้อมรอบด้วยสวนอันสวยงามของอุทยานสามเหลี่ยมทองคา จะเป็นศูนย์นทิ รรศการ
แสดงประวตั คิ วามเปน็ มาของฝิ่นสมยั ทีม่ ีการใชก้ นั อย่างถกู กฎหมายและผลกระทบของการเสพตดิ ฝิน่ อีกทัง้ ยงั
ทาหน้าท่ีศูนย์ข้อมูลเพ่ือการค้นคว้าวิจัย และการศึกษาต่อเนื่องในหัวข้อฝ่ิน สารสกัดจากฝิ่นในรูปแบบต่างๆ
และยาเสพตดิ ชนิดอนื่ ๆ

185

ปลำกระบอก
ในอดีตคนเหนือสมัยโบราณไม่มีตู้เย็น และอุปกรณ์อย่างเช่น ป่ินโต
หรือภาชนะใส่อาหาร ห่อข้าวปลาอาหารไปทาไร่ทานา ทาสวน เมื่อสมัยกอ่ น
๕๐ ปีให้หลังแต่ละแม่นาจะมีปลามากมาย โดยเฉพาะ “ปลาช่อน” ซึ่งเม่ืออยู่
บนดอยไปทาไรก่ ็มักจะนาไม้ไผ่มาตัดเป็นปล้อง แล้วจึงนาปลาช่อนใส่เข้าไป
ในกระบอกไม่ไผ่ สามารถพกพาหรือเก็บไว้กินมืออ่ืน ๆ ได้อีก โดยชาวบ้าน
ก็จะพกแต่พริก เกลือ หอม ตะไคร้ เพ่ือไว้ปรุงรสปลากระบอก ถึงปัจจุบันนี
ได้นาเมนนู ีออกมาจาหนา่ ยแถวริมแมน่ าโขง และปรุงรส เพอื่ เสรมิ รสชาติให้
อร่อยมากย่ิงขึน เมนูสุดเด็ดของเมืองเชียงแสนแห่งนี พลาดไม่ได้เลยคือ
ปลาช่อนกระบอกไม้ไผ่ เผาร้อน ๆ มีความแปลกและรสชาติท่ีเด่น จนเป็นท่ี
รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยการนาปลา มาบรรจุไว้ในกระบอกไม้ไผ่ แล้วนามา
เผาใหส้ ุก ทาใหม้ กี ลิน่ ทหี่ อม

วัสดุ/อุปกรณ์
 ไมไ้ ผ่บง (ซาง)
 ไม้ไผซ่ าง
 ไมข้ ้าวหลาม

เนอื่ งจากการใช้อุปกรณ์วัสดุทีแ่ ตกต่างกัน ทาใหร้ สชาติไม่เหมือนกนั รสพริกแกงป่าจะนิยมใช้ไมไ้ ผ่บง (ซาง) รส
พริกแกงสม้ เฉพาะไมบ้ ง แกงเผ็ดจะมีกะทิ นิยมใช้ไม้ข้าวหลาม แต่ละชนดิ ของไมไ้ ผ่ รสชาตจิ ะต่าง ๆ กนั ไป
เครอ่ื งแกง
 พริกแหง้  ขา่  ตะไคร้
 กระเทยี ม  หอมแดง  ขมิน
 รากผกั ซี  กะปิ  เกลือ

วตั ถดุ ิบ “ปลาชอ่ น”
วธิ ที าปลากระบอก
๑. ขอดเกล็ดปลาชอ่ นและควักไสพ้ ุง

๒. นาเกลอื ตามดว้ ยพรกิ แหง้ กะปิ ขมิน หอมแดงห่ัน ตะไครห้ ั่น กระเทียม คนอร์ก้อน ใส่ลงไปในครกแลว้ ตา
๓. นาปลาท่ีขอดเกลด็ แล้วมาปาดตามขวาง ตามลาตัวของปลาชอ่ น
๔. จากนนั นาพรกิ แกงทต่ี าเตรียมไว้มาคลุกเคล้ากับปลาชอ่ น

๕. ใส่ใบยหี่ รา่ ลงไป

๖. ใส่ปลาชอ่ นท่ไี ด้ผสมผสานเครือ่ งแกงแล้วลงไปในกระบอกไม้ไผซ่ าง
๗. นาใบเตยมาปิดปากกระบอกไม้ไผซ่ างไว้ จากนนั ปดิ ด้วยในตอง
อีกหนึ่งชนั
๙. นาไปองั ไฟให้สุก (เผาไฟเหมอื นขา้ วหลาม) หอมกาลังดี แลว้
นามาปรงุ เป็นกบั ขา้ วตอ่ ไป

186

ผ้ำทอพนื้ เมอื งลำยเชียงแสน

อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรำย เป็นเมืองท่ีมีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่

สมัยโยนก โดยพื้นที่อาเภอเชียงแสนมีบริเวณติดกับชายแดนประเทศลาวและพม่า

มีแม่น้าโขงเป็นแนวก้ันพรมแดนท้ัง ๓ ประเทศ ซ่ึงเรียกว่า “สามเหล่ียมทองคา”

ศิลปหัตถกรรมท่ีโดดเด่นในพ้ืนท่ีอาเภอเชียงแสน คือ “ผ้าทอเชียงแสน” ซึ่งเป็น

ผ้าทอโบราณที่สืบทอดมาจากเมืองหิรัญยาง (เชียงแสน) และในอดีตมีการทอผ้า

ลวดลายเชียงแสนโบราณแต่ขาดผู้สืบทอด ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เจ้าอาวาสวัด

พระธาตุผาเงา ได้ก่อต้ัง “พิพิธภัณฑ์ผ้าทอล้านนาเชียงแสน” เพ่ืออนุรักษ์ผ้าทอ

โบราณและส่งเสริมให้มีผู้สืบทอดการทอผ้าลวดลายโบราณเชียงแสน เป็นการสร้าง

รายไดแ้ ก่ชมุ ชน สง่ เสริมศลิ ปหัตถกรรมโบราณ สง่ เสรมิ การท่องเท่ียวเชงิ วัฒนธรรมใน

พื้นที่อาเภอเชียงแสนและมีการจัดตั้ง “กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองเชียงแสน วัดพระธาตุผา

เงา”เพือ่ สบื ทอดการทอผ้าเชยี งแสนโบราณ เพ่อื ผลติ ผา้ ทอเชียงแสนจาหน่าย ซง่ึ กลุ่มทอ

ผ้าจะใช้พื้นที่อาคารพิพิธภัณฑ์เป็นโรงทอผ้าแสดงผ้าทอ ผ้าซิ่น และผลิตภัณฑ์ แต่

ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทอผ้ายังไม่มีความหลากหลาย เน่ืองจากมีเพียงผ้าผืนและผ้าซิ่น

พืน้ เมืองทีใ่ ช้สวมใส่เท่าน้นั เอกลักษณ์ของผ้าทอ

เชียงแสนคือ ลวดลายโบราณและสีสันของผ้าทอพื้นถิ่น เป็นการทอมือด้วยเส้นฝ้ายและทอโดยใช้กี่กระตุก และถอด

แบบลายผ้าทอเชียงแสนโบราณทพ่ี บในพน้ื ท่ีอาเภอเชยี งแสน

กลุ่มแม่บ้านสบ คาไ ด้รวมตัว กันจัดต้ังก ลุ มทอ ผ าลายกี่ ก ร ะ ตุก

ลวดลายท่ีทอในอดีตได้แกลายน้าไหล ลายก่ีตะขอ ลายตาราง และป

จจุบันพัฒนามาเป็นการทอผาลายเชียงแสน โดยมีวิวัฒนาการทอผา

เร่มิ จากก่ีทอพืน้ เมืองและในปัจจุบันใชกก่ี ระตุกประกอบด้วย 5 ลาย คือ

๑. ผาทอพื้นเมอื งลายขอพันเสา

๒. ผาทอพ้ืนเมืองลายกาแล วสั ดุ - อปุ กรณ์ ❖ ม้าเดินด้าย
❖ ก่ที อผา ❖ เตาไฟขนาดใหญ่
๓. ผาทอพื้นเมอื งลายไขปลา ❖ ฟนหวี ❖ หม้อต้มยอมสี ❖ กางปนด้าย

๔. ผาทอพน้ื เมืองลายดอกมะลิ ❖ กระสวย ❖ กะละมงั สงั กะสขี นาดใหญ่ ❖ อิฐฝ้าย
๕. ผาทอพนื้ เมืองลายเส่อื ย่อย

ขนั้ ตอนกำรทอผำ้ ผ้ทู ถี่ ือปฏิบตั ิมรดกภมู ปิ ัญญาทางวัฒนธรรม
๑. เตรยี มเส้นฝ้ายดา้ ยยนื ลวงหน้า ๑๑ วนั ชือ่ นางอัมพร ธรรมวงศ์
ทอี่ ยู่ เลขท่ี 98 หมู่ 5 บา้ นสบคา
๒. นาเสนดา้ ยมาฆาด้วยน้าตมแป้งมนั
๓. จากนนั้ เหยียบจนเนือ้ แปงเขาถึงเสนด้าย ตาบลเวยี ง อาเภอเชยี งแสน
จงั หวัดเชยี งราย 57150
๔. นาไปตากแดดใหแห้งสนทิ หมายเลขโทรศัพท์ 086 916 6770
๕. หลงั จากน้นั นามากรออีก ๗ วนั
๖. เดินด้าย ๑ วนั สืบดา้ ย ๒ ด้าย

๗. สวนดายสอดจะทยอยกรอเก็บไว
๘. เม่ือเตรยี มฝา้ ยทั้งดา้ ยยนื และดา้ ยสอดแลว้

๙. นาหลอดเสนไหมสอดใสเครอื ทอผาไปจนได้ความยาวตามที่ตอง
การ (ผา ๑ ผนื ยาว ๔ เมตร ใชเวลาทอผา ๑ ผืน ๕๖ ชวั่ โมง)
๑๐. นาผาไหมบรรจลุ งในหอ่ บรรจภุ ณั ฑ์และวางจาหน่าย

187

จกั สำนบำ้ นดอยจำปี
กลมุ่ จกั สานบ้านดอยจาปี โดยนายรตั เขต ฐานะมลู ได้เปน็ นกั เรียนชาวนาของ
ศนู ยว์ ปิ สั สนาไร่เชญิ ตะวนั เมือ่ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ร่นุ ที่ ๑ ไดเ้ ห็นเพ่ือนร่วมร่นุ แต่ละ
หมบู่ ้าน ออกบธู ทไ่ี ร่เชญิ ตะวนั ของท่าน ว. วชริ ะเมธี ซึง่ มตี ะกรา้ จักสานหลาย ๆ
อย่างมากมายท่ีมาวางจาหน่าย และมีการสาธิต จึงได้เกิดไอเดียความคิดที่
อยากจะนามาปรับใช้ และอนรุ ักษง์ านสานไมไ้ ผท่ างบ้านตนเองขึนมา โดยทนี่ าย
รตั เขต ฐานะมูล นนั ได้ทางานเปน็ ประธานผ้สู งู อายอุ ย่จู ึงได้ชวนเพอ่ื น ๆ และคน
ที่จักสานเป็นและเก่งมากในหมู่บ้าน คิดเริ่มต้นจากการสาน “ส้าหวด” ท่ีคนเหนือ
เราใช้ข้าวเหนียวแช่ก่อนจะเอามานงึ่ ทุก ๆ เช้า และอยากจะให้คนรุ่นหลังนนั ได้
เหน็ และไดม้ าฝึกสาน สบื ทอดและอนรุ กั ษ์วัฒนธรรมจักสานลา้ นนาเรา

งานจกั สานเปน็ งานหตั ถกรรมที่ชาวบ้านทา เพอื่ ใชใ้ นครัวเรือนมาแต่โบราณแม้ในปัจจบุ ัน งานจกั สานหรือ
เครื่องจักสานจะมีอยู่น้อย แต่ก็ยังคงมีอยู่ท่ัวไป นอกเหนือจากประโยชน์ใช้สอยแล้ว งานจักสานยังสะท้อน
วัฒนธรรม สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ และภูมิปัญญาของชาวบ้านได้อีกด้วย ในขณะที่สภาพสังคม เศรษฐกิจ
ปัจจุบันท่ีเปลี่ยนไปจากเดิม การไปมาหาสู่กันระหว่างเมืองกับชนบทติดต่อกันได้สะดวก รวมถึงความ
เจริญกา้ วหน้าทางกระแสวฒั นธรรมตะวันตกเข้ามาแทนทว่ี ฒั นธรรมเดิมทาให้สภาพความเปน็ อยู่การดารงชีวิต
ของคนในชุมชนเปล่ียนแปลงไป ซ่ึงมีผลกระทบทาใหง้ านจักสานหรืออาชีพจักสานลดนอ้ ยลงไปเรื่อย ๆ จนถึง
เพื่อการสง่ เสรมิ ความรดู้ ้านงานจักสานแก่ผู้ที่สนใจในอาชีพ ไดส้ ืบทอดงานจักสานให้คงอยู่ตอ่ ไป การประกอบ
อาชพี ในทุกวนั นีมีหลากหลายทางมีการนาเอาเทคโนโลยีเข้ามาเกีย่ วขอ้ งมากมายและมีความสะดวกสบายมาก
ขึนอยากกินปลาก็เดินไปซืออยู่ตลาด จนคนในยุคปัจจุบันไม่รู้จักกรรมวิธีขันตอนในอุปกรณ์ในการประยุกษ์
เลือกนาภูมิปัญญาพืนบ้านที่ได้จากไม้ไผ่เอาวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ไผ่มาใช้ในการทามาหากินไม่รู้จักอุปกรณ์
พืนบ้านอสี าน ท่ีปู่ยา่ จกั รสานขนึ อยา่ งเชน่ ส่มุ ไก่ การสานกระด้ง กระตบิ ขา้ ว กระชังใส่ปลาจงึ จาเป็นอย่างมาก
ท่ีควรจะศึกษาขันตอนในการทาอุปกรณ์พืนบ้านต่าง ๆ เพ่ือจะไดส้ ืบสานตอ่ ไปคู่ไว้ให้อยู่กับคนไทยไปยาวนาน
จากการตังกลมุ่ จกั สานบ้านดอยจาปี ขนึ มานนั โดยใช้ชอ่ื ว่า “กลุ่มจักสานบ้านดอยจาปี” ตังแต่ วันที่ ๑๒ เดอื น
มกราคม ๒๕๕๖ โดยท่ีนายรัตเขต ฐานะมูล ได้ทางานเป็นประธานวัฒนธรรมตาบลป่าสักนัน จึงได้มีโอกาส
ไปดูงาน หลาย ๆ รปู แบบ จงึ ทาใหก้ ารจกั สานบา้ นดอยจาปีนนั มีเอกลกั ษณ์ท่ีโดดเด่นและงดงาม

วิธกี ารจักสานการจกั ตอกไผ่
๑. ใช้เล่ือยคันธนูเลื่อยตัดข้อปล้องแรกของไผ่ทิงเพ่ือให้ผ่าลาไผ่
ได้สะดวก
๒. ผ่าลาไผอ่ อกมาเปน็ เสน้ ๆ
๓. จักตอกเส้นไผ่เป็นตอกยืน ตอกยาว และตอกไผ่ตีน (ส่วนข้อไผ่ท่ีมี
ตาไผ่) ความกวา้ งของตอกแต่ละแบบโดยประมาณ คือ ตอกยืน ๑.๓–๑.๗ ซม.
ตอกยาว ๐.๘ ซม.และตอกไผ่ตีน ๑.๔–๒.๐ ซม. ซงึ่ ไผห่ นง่ึ ลาเหลาจกั ตอกได้
ตอกยนื ใชส้ านสุ่มไก่ได้ ๑ ใบ และตอกยาวสานสุ่มไกไ่ ด้ ๒ ใบ
๔. ส่วนท่ีเป็นข้อไผ่นามาเหลาเป็นตะขอข้อไผ่หลักหมุดยึดหัวสุ่ม เพ่ือ
ไมใ่ หส้ ุ่ม ขยบั เขยือ่ นในขณะสานขนึ รปู

ชนดิ ไผ่
 ไผเ่ ฮียะ
เป็นไม้ท่ีรู้จักกันดีในภาคเหนือ ขึนทั่วไปในบริเวณป่าดงดิบหรือป่าผสมผลัดใบที่มีไม้สักเฉพาะตาม
ริมห้วยต่าง ๆ ลักษณะเด่นของไผ่ชนิดนีคือ เนือลาบางมากตังแต่โคนถึงยอด มีขนาดปล้องยาวมากประมาณ
๕๐-๗๐ เซนติเมตร สูงประมาณ ๑๘ เมตร ไม้เฮียะเป็นไม้ขนาดย่อมลาเรียวเปลา ชาวบ้านในภาคเหนือนิยม
นามาทาฝาบ้านเคร่ืองมอื จบั ปลา กระบอกใสน่ า และเครือ่ งจักสาน

188
 ไผข่ ้าวหลาม
มีมากในบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนอื
ขึนกระจายเป็นกลุ่มๆ ในป่าผสมผลัดใบ ช่ือพืนเมืองอาจเรียก
ไม้ข้าวหลาม ไม้ป้างเป็นไม้ขนาดกลาง ชูลาสวยงาม กอไม่แน่น
จนเกินไป ลาต้นตรงสีเขียวนวล เนือบาง ขนาดลาเส้นผ่าศูนย์กลาง
ประมาณ ๕-๖ เซนติเมตร ปล้องยาวประมาณ ๓๐ เซนติเมตร
สูง ๗-๘ เมตร ข้อนูนเล็กน้อย แต่ละลาจะแตกก่ิงย่อยขนาดเล็ก
เทา่ ๆ กันจานวนมาก และเกือบตังฉากกบั ลาเรยี วขึนไปคล้ายฉตั ร
ไผ่ชนิดนีใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างตังแต่ใช้เผาข้าวหลาม และเคร่ืองจักสานใช้ก่อสร้างบ้านเรือน ทาฟาก ฝา
เพดานบา้ น ทาโรงเรือนสาหรบั เลียงสัตว์ จนถงึ นาไปทาเปน็ ตะแกรง แทนเหลก็ หรับยึดคอนกรีตในงานก่อสร้าง
นอกจากไผ่หลายชนิดซ่ึงเป็นไม้ท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสมในการนามาทาเครื่องจักสานได้ดีแล้วยังมีวัตถุดิบจาก
ธรรมชาติอีกหลายชนิดทนี่ ามาใช้ทาเคร่อื งจักสานได้ดี
 หวาย (Rattan)
เป็นไม้ป่าในพืชตระกูลปาล์มนิยมนามาใช้ประโยชน์ในหลายด้านโดยเฉพาะในการ จักสานเครื่องใช้ต่าง ๆ
รวมถึงการนาหนอ่ หวายมาปรุงอาหารซงึ่ ใหร้ สชาตอรอ่ ยเหมอื นหน่อไม้ท่วั ไป
วตั ถดุ ิบ
มีพชื พนั ธุน์ านาชนิดสามารถนามาทาเครื่องมือเครื่องใชไ้ ด้เปน็ อยา่ งดตี ัวอยา่ งวัสดุทน่ี ามาทา เครอ่ื งจัก
สานได้ดีคือ ไม้ไผ่ นามาทาเครื่องใช้ในครัวเรือนได้เกือบทุกชนิด เช่นกระด้ง กระเชอ กระชอน สานเป็นเคร่ือง
ดกั จับสัตว์นาเช่น ไซ ขอ้ ง ฯลฯและ สานเปน็ ฝาเรือน ฝาบ้าน
เคร่ืองมอื สาหรับใช้ในการจกั สาน
มีดท่ีใช้ในการจักสาน ถ้าเป็นมีดที่ใช้ในการตดั ไม้
จะเปน็ มดี ขนาดใหญ่มสี นั หนา ๑/๒ – ๑ ซม. ยาวประมาณ
๔๐ ซม. หรือกวา่ นกี้ ็ไม่มากนัก เรียกกันโดยทั่วไปว่า มดี โต้
มีดจักตอก เป็นมีดท่ีใช้สาหรับจักตอก มีรูปทรง
เรียวแหลม ขนาดเหมาะมือ คมบาง ชาวบ้านนิยมพกเป็น
มีดประจาตวั ด้วย
เหล็กมาด มสี องชนดิ เหล็กมาดปลายแหลม และ เหลก็ มาดปลายแบน เหลก็ มาดปลายแหลม ใช้เจาะ
ร้อยหวาย ส่วนปลายแบนใช้เจาะรอ้ ยตอก
คีมไม้ ใช้สาหรับคีบขอบกระจาด กระบุง หรือขอบอ่ืน ๆ เพื่อให้แนบสนิมแล้วค้างไว้ด้วยหวายถัก
ทีด่ า้ มคีม เพ่ือประโยชน์ให้ผสู้ านมัดหวายไดแ้ นน่ คมี ไม้
รูร้อยหวาย ทาด้วยเหล็กเจาะเป็นรูตามขนาดท่ีต้องการ ต้ังแต่เล็กไปจนใหญ่ใช้สาหรับนาหวายร้อย
เพอ่ื ลบคมหวายและทาใหท้ ุกเส้นมีขนาดเทา่ กัน

ผู้ทถ่ี ือปฏิบตั ิมรดกภูมปิ ัญญาทางวฒั นธรรม
ชอ่ื นายรัตเขต ฐานะมลู
ท่อี ยู่ ๒๓๗ หมู่ ๗ บา้ นดอยจาปี ตาบลป่าสัก

อาเภอเชยี งแสน จังหวัดเชียงราย
หมายเลขโทรศัพท์ ๐๖๒ ๖๙๒ ๓๘๘๓

คำ ข วั ญ อำ เ ภ อ ด อ ย ห ล ว ง

ดอยหลวงสูงสง่า ธาราสองสาย
หลากหลายประเพณี สี่เผ่าพี่น้อง

แดนทองเกษตรกรรม

สภาวัฒนธรรมอำเภอดอยหลวง

190

อำเภอดอยหลวง

ประวัติควำมเปน็ มำ

อำเภอดอยหลวง เดิมเปน็ ส่วนหนึง่ ของอำเภอแมจ่ ัน จังหวัดเชยี งรำย ต่อมำทำงรำชกำรโดยกระทรวงมหำดไทย
ไดแ้ บง่ พนื้ ทเ่ี ป็น “กงิ่ อำเภอดอยหลวง” ตำมประกำศกระทรวงมหำดไทยเม่ือวนั ที่ ๒๖ มิถนุ ำยน พ.ศ. ๒๕๓๙
โดยมผี ลบงั คับต้งั แต่ ๑๕ กรกฎำคม ในปเี ดียวกนั

และตอ่ มำได้มพี ระรำชกฤษฎีกำยกฐำนะเปน็ อำเภอ เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหำคม ๒๕๕๐ โดยมีผลบงั คับต้ังแต่
วันท่ี ๘ กนั ยำยนในปเี ดียวกนั ตำมโครงกำรอำเภอเฉลมิ พระเกียรตพิ ระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวฯ เนอื่ งในโอกำส
มหำมงคลเฉลิมพระเกียรติ พระชนมพรรษำ ๘๐ พรรษำ ๕ ธันวำคม ๒๕๕๐

แผนที่อำเภอดอยหลวง
คำขวัญอำเภอดอยหลวง

ดอยหลวงสูงสงา่ ธาราสองสาย หลากหลายประเพณี ส่ีเผ่าพีน่ อ้ ง แดนทองเกษตรกรรม
อธบิ ายความหมายของคาขวัญ ไดว้ า่ ...
ดอยหลวงสูงสง่า พื้นท่ีอำเภอดอยหลวงโอบล้อมด้วยภูเขำใหญ่ซ่ึงมีควำมสูงประมำณ ๑,๐๔๓ เมตร
จำกระดบั น้ำทะเลปำนกลำง เปน็ แหล่งทรัพยำกรธรรมชำติทีม่ ีคุณค่ำทำงพฤกษศำสตร์
ธาราสองสาย มีแม่น้ำสำยสำคัญใหญ่สำยหลักคือ แม่น้ำกก และ แม่น้ำบง ที่เป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญ
เพื่อทำกำรเกษตรได้ตลอดทั้งปี
หลากหลายประเพณี เน่ืองจำกอำเภอดอยหลวงมีประชำชนท่ีอำศัยอยู่หลำกหลำยเช้ือชำติเผ่ำพันธ์ุ
ซึง่ แตล่ ะเผ่ำพนั ธุต์ ำ่ งมีวัฒนธรรมประเพณีท่ีเปน็ เอกลกั ษณข์ องตนเอง จึงผสำนกำรอยูร่ ว่ มกนั อย่ำงถอ้ ยทีถ้อยอำศัย
กอ่ เกดิ ใหม้ ปี ระเพณีวฒั นธรรมของอำเภอทีห่ ลำกหลำย
สี่เผ่าพ่ีน้อง อำเภอดอยหลวงจะประกอบด้วยประชำชน หลักๆ ประกอบด้วยชนส่ีเผ่ำด้วยกัน คือ
เผ่ำกะเหร่ียง, เผ่ำเมี่ยน (เย้ำ), ชนพื้นเมือง และอีสำน โดยอำเภอดอยหลวงจะมีงำนประจำปีที่แสดงถึง
ควำมสัมพันธข์ องชนเผำ่ คือ งำนประจำปสี ีเ่ ผำ่ พีน่ อ้ ง
แดนทองเกษตรกรรม ประชำชนส่วนใหญ่ในพื้นท่ีอำเภอดอยหลวงจะประกอบอำชีพเกษตรกรรมเป็น
อำชีพหลัก เนื่องจำกพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นท่ีรำบลุ่มแม่น้ำกกซึ่งมีสภำพเหมำะแก่กำรประกอบอำชีพเกษตรกรรม
สำมำรถปลูกพืช เศรษฐกจิ ได้หลำกหลำยชนดิ เช่น ข้ำว หวำย ยำงพำรำ ไม้สกั ยคู ำลปิ ตัส ปำล์มน้ำมนั เปน็ ตน้

191

ลักษณะทำงกำยภำพ

๑. สภาพทัว่ ไป

อำเภอดอยหลวง เป็นอำเภอท่ีกำลังพัฒนำทำงด้ำนคมนำคม ด้ำนเศรษฐกิจ ด้ำนผังเมืองและเป็นอำเภอที่

เป็นเส้นทำงผ่ำนไปยังอำเภอเชียงของ เชียงแสน และพรมแดนประเทศลำว พม่ำ ดอยหลวงเป็นอำเภอน่ำอยู่โดย

จัด เป็นอำเภอทีอ่ ย่รู ำบล่มุ แมน่ ้ำกก มีภูเขำสูงซ่งึ เรียกชอ่ื ดอยหลวงควำม สูงประมำณ ๑,๐๔๓ เมตร จำกระดบั นำ้

ทะเลปำนกลำง จำกทิวเขำหลวงพระบำง ต้ังอยู่ทิศเหนือของจังหวัดเชียงรำย ห่ำงจำกจังหวัดเชียงรำย ประมำณ

๖๘ กิโลเมตร หำ่ งจำกกรงุ เทพมหำนคร ประมำณ ๘๖๘ กโิ ลเมตร มเี น้อื ที่ ประมำณ ๓๑๑ ตำรำงกโิ ลเมตร หรือ

ประมำณ 194,375 ไร่ มีอำณำเขตตดิ ต่อ ดังน้ี

อาณาเขตติดตอ่

- ทศิ เหนือ ตดิ ต่อกับ อำเภอเชยี งแสน จงั หวัดเชียงรำย
- ทศิ ตะวันออก ตดิ ตอ่ กบั อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรำย
- ทิศใต้ ตดิ ต่อกับ อำเภอเวยี งเชยี งรุ้ง จงั หวัดเชยี งรำย
- ทิศตะวนั ตก ติดต่อกับ อำเภอแมจ่ นั จงั หวัดเชียงรำย

๒. สภาพภมู ิประเทศ

พ้ืนท่ีส่วนใหญ่เป็นพ้ืนท่ีรำบ ร้อยละ ๖๐ เป็นภูเขำ ร้อยละ ๓๒ เป็นพ้ืนท่ีน้ำ ร้อยละ ๘ สำหรับพ้ืนท่ี
บริเวณเทือกเขำมชี น้ั ควำมสงู ประมำณ ๑,๐๔๓ เมตร

๓. ลกั ษณะภมู ิอากาศ

อุณหภมู เิ ฉลีย่ ตลอดปี อยู่ในช่วง ๑๐ - ๔๕ องศำ เซลเซียส อุณหภมู ติ ำ่ สดุ ๑๐ องศำเซลเซยี ส อุณหภูมิ
สูงสดุ 45 องศำเซลเซียส ปริมำณน้ำฝน ระหว่ำงปี ๒๕58 ถึง ๒๕62 เฉลีย่ ปีละ ๑,๗๗๐.๕๐ มม.

สภำพภมู ิอำกำศ แบง่ เป็น ๓ ฤดู
❖ ฤดูฝน เร่ิมต้งั แต่ ดอื นพฤษภำคม – เดอื นตุลำคม
❖ ฤดูหนำว เรมิ่ ต้ังแต่ เดอื นพฤศจิกำยน – เดือนกุมภำพันธ์

❖ ฤดูรอ้ น เร่มิ ตง้ั แต่ เดอื นมีนำคม – เดอื นเมษำยน

แหลง่ เรยี นรู้/แหลง่ ทอ่ งเที่ยว

๑. หอศลิ ปค์ รูจหู ลงิ
หอศิลป์ครูจูหลิง ปงกันมูล ตั้งอยู่ภำยในโรงเรียนอนุบำล
ดอยหลวง ตำบลปงน้อง อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงรำย ซ่ึงเป็น
บ้ำนเกิดของนำงสำวจูหลิง ปงกันมูล สร้ำงด้วยงบประมำณ
รำว 2,700,000 บำท จำกทุกฝ่ำย เป็นอำคำรสองชั้นมีชีวประวัติ
และภำพถ่ำยในอดีตของ ครูจูหลิง ภำพวำดของครูจูหลิง ต้ังแต่สมัย
ท่ศี ึกษำอยูท่ ่โี รงเรียนอนบุ ำลดอยหลวง ไปจนจบปริญญำ รวมทงั้
ขณะที่ไปออกทำงำน และสอนนักเรียนที่โรงเรียนบ้ำนกูจิงลือปะ ตำบลเฉลิม อำเภอระแงะ
จังหวดั นรำธวิ ำส พรอ้ มมีกำรสร้ำง หุน่ เหมือนครูจูหลงิ สวมชดุ ครู ซึ่งเปดิ ให้กบั ประชำชน
ท่ีสนใจ และเด็กนักเรียนเข้ำชม โดยในวันท่ี 8 มกรำคมของทุกปี เป็นวันคล้ำย
วันเสียชีวิตของครูจหู ลิง หน่วยงำนทั้งภำครัฐและเอกชนในอำเภอดอยหลวงและจังหวัด
เชียงรำยได้จัดงำนระลึกถึงครูจูหลิง ปงกันมูล ณ หอศิลป์ครูจูหลิง ภำยในโรงเรียน
อนุบำลดอยหลวง ตำบลปงนอ้ ย อำเภอดอยหลวง กจิ กรรมประกอบดว้ ย กำรทำบุญอุทิศส่วน
กุศล กำรแสดงประวัติ นิทรรศกำรผลงำนของครูจูหลิง กำรประกวดวำดภำพของ
นกั เรียน เปน็ ตน้

192

๒. วดั หว้ ยสกั
ตั้งอยหู่ มู่ ๑ บ้ำนห้วยสัก ตำบลหนองป่ำก่อ อำเภอดอยหลวง สร้ำงเมื่อ

พ.ศ. 2483 โดยมี นำยแซ ก้ำงยำง ร่วมกับ ชำวบ้ำนช่วยกันสร้ำงวัดสังกัด
คณะสงฆ์มหำนิกำย วัดมีเนื้อท่ี 20 ไร่ อำคำรเสนำสนะ ประกอบด้วย
อโุ บสถ ศำลำกำรเปรยี ญ หอสวดมนต์ กฎุ ิสงฆ์ ปชู นยี สถำนมพี ระพุทธรปู
พระประธำนสรำ้ งด้วยอิฐฉำบปูน ภำยในบริเวณวัดจะมบี ่อนำ้ แก้วธรรม
เจดีย์ หรือบอ่ น้ำทพิ ย์ และเจำ้ แม่กวนอมิ แกะสลักจำกหนิ สขี ำว
๓. วดั ป่าอรญั ญวิเวก
วัดป่ำอรัญญวิเวก หรือวัด "ป่ำลัน" ตั้งอยู่ที่หมู่ 5
บ้ำนป่ำลัน ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงรำย
วั ด ป่ ำ อ รั ญ ญ วิ เ ว ก ห่ ำ ง จ ำ ก ตั ว เ มื อ ง เ ชี ย ง ร ำ ย ป ร ะ ม ำ ณ
39 กิโลเมตร และมีพระธำตุเจดีย์ 9 มงคลเหนือสุดสยำม
ซ่ึงเป็นท่ีเคำรพนับถือของชำวตำบลปงน้อย โดยปัจจุบันมี
หลวงพอ่ ทวี จิตตฺ คตุ โฺ ต เปน็ เจำ้ อำวำส

๔. วดั ปงสนกุ
เป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์มหำนิกำย มีเนื้อที่ 4 ไร่ 2 งำน 50 ตำรำงวำ
สร้ำงเมื่อ พ.ศ. 2450 เดิมชำวบ้ำนเรียกว่ำ วัดปงน้อย ได้รับพระรำชทำน
วิสุงคำมสีมำ เมื่อวันที่ 10 กรกฎำคม 2515 เขตวิสุงคำมสีมำกว้ำง
20 เมตร ยำว 40 เมตร อำคำรเสนำสนะ ประกอบด้วย พระอุโบสถ ศำลำ
กำรเปรยี ญ และกฎสิ งฆ์ ปชู นียวัตถุมี พระประธำน เปน็ พระพทุ ธรปู กอ่ อิฐถือปูน
กำรศึกษำมีโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกธรรม เปิดสอนเมื่อ พ.ศ. 2514
และเป็นสถำนที่จัดงำนพระรำชทำนเพลิงศพ ครูจูหลิง ปงกันมูล ปัจจุบันมี
พระสำมอบิ๊ อำนนฺโท เปน็ เจำ้ อำวำสวัด
๕. นาตกหว้ ยดีหมี
น้ำตกห้วยดีหมีตั้งอยู่ท่ีบ้ำนห้วยสัก หมู่ 1 ตำบลหนองป่ำก่ออำเภอดอยหลวง
จังหวดั เชยี งรำย เปน็ นำ้ ตกท่สี ำคญั ของหมู่บ้ำน มีอ่ำงเกบ็ นำ้ ดีหมี ซ่ึงชำวบำ้ นใช้ในกำรเกษตร

๖. โบราณสถานเวียงพระธาตกุ ูเ่ บีย
ตั้งอยู่หมู่ 10 ตำบลปงน้อย อำเภอดอยหลวง โดยสำนักศิลปำกรท่ี 8

เชียงใหม่ โดย กลุ่มโบรำณคดีได้ลงพื้นท่ีตรวจสอบ เมื่อวันที่ 6 สิงหำคม
2558 โดยพบ ร่องรอยโบรำณสถำนท้ังหมด 2 กลุ่ม กลุ่มแรก พ้ืนที่บน
ยอดเนินเขำ ปรำกฏเนินดินฐำนโบรำณสถำนพระธำตุกู่เบ้ีย รัศมี 10
เมตรจำกตัวโบรำณสถำน ร่องรอยคูน้ำคันดินล้อมรอบ และกลุ่มที่ 2
พื้นท่ีลำดเนินเขำ ปรำกฏร่องรอยกิจกรรมมนุษย์ดินเผำไฟรูปวงกลม
สันนษิ ฐำนว่ำ ปำกปลอ่ งเตำเผำโบรำณ และยังพบโบรำณวัตถุเปน็ ชนิ้ ส่วน
เคร่ืองป้ันดินเผำเคลือบจำกแหล่งเตำอำเภอพำน สำมำรถกำหนดอำยุได้
รำวพทุ ธศตวรรษที่ ๒๐ – ๒๑ พ้นื ทีด่ ังกล่ำวมีลักษณะเป็นเวยี งพระธำตุ

193

ภาษากะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ-สะกอ)

"กะเหร่ยี ง" เป็นชำวเขำกล่มุ ใหญ่ท่ีสดุ ในประเทศไทยอำศัยอยู่
หนำแน่นในบริเวณพ้ืนท่ีป่ำเขำทำงทิศตะวันตกของประเทศไทย
บริเวณชำยแดนไทย-พม่ำ และค่อย ๆ เคล่ือนย้ำยมำทำง
ทิศตะวันออกในระยะแรกประมำณ 200 ปที ่ผี ำ่ นมำ แต่มีเอกสำร
ที่ถูกบัน ทึกโดยมิช ชัน น ำรีท่ีไ ด้ ศึกษ ำเ ก่ียวกั บอ ำ ณำ จักร ส ย ำ ม
บำงท่ำนพบว่ำกะเหรี่ยงตั้งถ่ินฐำนอยู่ในประเทศสยำมมำก่อน
แต่เม่ือคนไทยถอยร่นลงมำจำกทำงเหนือมำสร้ำงบ้ำนแปลงเมือง
อยุธยำ ชำวกะเหรี่ยงจึงต้องยอมเสียพ้ืนท่ีให้และร่นไปอำศัยอยู่
ตำมภูเขำทำงด้ำนทิศตะวันออกกับทิศตะวันตกมำจนกระทั่งทุก
วนั นี้

ชำวกะเหร่ียงที่เรียกตัวเองว่ำปกำเกอะญอ ซ่ึงได้ให้ควำมหมำยตรงกับคำว่ำคนหรือมนุษย์ เป็นกลุ่มชนเผ่ำ
ชำติพันธ์ุหนึ่งที่ได้ต้ังถิ่นท่ีอยู่อำศัยเป็นชุมชน หมู่บ้ำนในเขตแดนกำรปกครองของประเทศไทย กะเหรี่ยงหลัก
ที่อยู่อำศัยในเขตแดนกำรปกครองของประเทศไทย ประกอบด้วย ปกำเกอะญอ 4 กลุ่มหลัก คือ 1.จกอร์/สะกอร์
2. โพล่ง/โปว์ 3. กแบ/คะยำ และ 4.ปะโอ/ตองสู กระจำยตัวอยู่ในพ้ืนท่ีต่ำง ๆ ครอบคลุมพ้ืนท่ี 16 จังหวัด
ในประเทศไทย คือ ภำคตะวันตก 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี รำชบุรี นครปฐม
กำญจนบุรี สุพรรณบุรี อุทัยธำนี และภำคเหนือ 9 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร สุโขทัย ตำก แพร่
ลำปำง ลำพูน แมฮ่ ่องสอน เชียงใหม่ และเชียงรำย

ปกำเกอะญอ เป็นคำเรียกตนเอง หมำยถงึ "คน" คำน้ี
เกิดข้ึนในบริบทที่ต้องกำรตอบโต้ต่อวำทกรรม "ปัญหำ
ชำวเขำ" ของคนกะเหรี่ยงต้ังแต่ต้นทศวรรษ 2530
โดยคนกะเหรี่ยงรุ่นใหม่ที่ได้รับกำรศึกษำจำกทั้งภำครัฐ
และองค์กรศำสนำ นำไปสู่ควำมต้องกำรพัฒนำท้องถิ่น
ตนเองอย่ำงยั่งยืน รวมท้ังเช่ือมโยงกับแนวคิดนำนำชำติ
ในประเด็น "ชนพ้ืนเมือง" จึงเกิดกำรนิยำมอัตลักษณ์
ตัวเองในเชิงบวก คำว่ำ "ปกำเกอะยอ" หรือ "ปกำ
เกอะญอ"
ซง่ึ แปลว่ำ "คน" ในภำษำกะเหรี่ยงสกอจงึ เกิดข้ึนในบริบท
ที่ต้องกำรลบภำพลักษณ์ของวาทกรรม "ปัญหาชาวเขา"
หรือกะเหรี่ยงผู้เป็นปัญหาต่อประเทศ หากแต่ เป็น "คน"
ท่มี ีศักดศิ์ รี ศกั ยภาพและวฒั นธรรมทด่ี ีงาม

ชนปกาเกอะญอ เป็นกล่มุ ชนเผ่าท่ีมีภาษาพดู และภาษาเขยี นเปน็ ของตนเองนอกจากน้แี ลว้ ยังมขี นบธรรมเนียม
ประเพณีและวัฒนธรรมเป็นของตนเองซึ่งได้รับการถ่ายถอดจากบรรพบุรุษในอดีตในรูปแบบของการเลา่ ขานกันมา
และจากประสบการณ์ในการใช้ชวี ิตประจาวนั สาหรับการจดบันทึกประวัติศาสตรห์ รือสงิ่ ท่ีเกิดขนึ้ ในอดีตนน้ั ชนป
กาเกอะญอใช้ตัวอกั ษรตระกูลเดียวกับตวั หนงั สอื พม่า โดยเรยี กตัวหนังสือประเภทนว้ี า่ “ลิ วา” สว่ นในประเทศไทย
มีมิสชนั นารีชาวผร่งั เศสไดพ้ ัฒนารปู แบบภาษาเขียนจากตวั อกั ษรโรมนั ประเภทนีเ้ รียกวา่ “ลิ โร เหม่”

194

ลักษณะเด่น ๆ ของภาษากะเหร่ียงที่แตกต่างจากภาษาไทย
ไดแ้ ก่ โครงสรา้ งพยางค์ เสียงพยัญชนะ และเสยี งสระ รวมทง้ั เสียง
วรรณยุกต์ซึ่งในบางถิ่นจะมีลักษณะน้าเสียงเป็นส่วนประกอบอยู่
ด้วยโครงสร้างพยางค์ ภาษากะเหรย่ี งสะกอไม่มีพยัญชนะสะกด ใน
บางถิ่นอาจพบว่ามีพยัญชนะสะกดบ้าง แต่ก็เป็นจานวนน้อยมาก
ด้วยเหตุน้ีเม่ือคนกะเหรีย่ งเรียนพดู ภาษาไทย จะพบว่ามีปัญหาใน
การออกเสียงและการได้ยินพยญั ชนะสะกดของภาษาไทย เช่นคา
วา่ “กัก กดั กับ” เปน็ ต้น เสียงพยญั ชนะและเสยี งสระ บางเสยี ง
เสียงพยัญชนะของภาษากะเหรี่ยงสะกอที่แตกต่างจากภาษาไทย
อย่างเด่นชัด คือเสียงกลุ่มเสียดแทรก ได้แก่ เสียงเสียดแทรก
ระหว่างฟัน เส้นเสียงไม่สั่น ออกเสียงเหมือนเสียงต้นใน
ภาษาองั กฤษว่า “Think”

เสยี งเสียดแทรกทเี่ พดานอ่อน เส้นเสียงไม่สัน่ /X/
เสียงเสียดแทรกท่ีเพดานออ่ น เสน้ เสยี งส่ัน /Y/
เสียงเสียดแทรกท่ีเพดานแข็ง เส้นเสยี งสนั่ /J/
ภาษากะเหรย่ี งในบางที่บางถ่ิน พบเสียงเสียดแทรกอ่นื ๆ
ที่ไม่ปรากฏในภาษา ได้แก่ เสียงเสียดแทรก ที่ใช้ปลายลิ้น และ
ปมุ่ เหงอื ก เสน้ เสียงส่ัน /Z/ และมเี สยี งเสียดแทรก ทใ่ี ช้ฟันบนและ
ริมฝีปาก เส้นเสียงสั่น /V/ ภาษากะเหร่ียงสะกอมีพยัญชนะเสียง
ควบกล้า ท่ีภาษาไทยไม่มี ได้แก่ เสียง ย/ j/ และเสียงเสียดแทรก
ที่โคนล้ิน เส้นเสียงสั่น ฬ /Y/ ในคาว่า แพยะ /phje3/ เรียนเก่ง
และ เฬ /Ye2/ ดี,สวยตามลาดับ
ลักษณะเด่นของเสียงสระที่แตกตา่ งจากภาษาไทยคอื ไม่มี
ความแตกต่างของสระส้ันยาวท่ีนัยสาคัญ ทาให้คามีความหมาย
เปล่ยี นไป และไม่มีสระประสม
ภำษำกะเหร่ียง (ปกำเกอะญอ-สะกอ) ในชมุ ชนบ้ำนป่ำซำงงำม
ตำบลหนองป่ำก่อ ยังคงใช้กันอยำ่ งแพร่หลำย เป็นภำษำท่ใี ชพ้ ดู คุย
กันในชีวิตประจำวัน ทำให้เด็กเล็ก ซึมซับและสำมำรถพูดภำษำ
ภำษำกะเหร่ียง (ปกำเกอะญอ-สะกอ) ได้

ผ้ทู ่ถี อื ปฏิบตั ิมรดกภูมิปญั ญำทำงวฒั นธรรม
ชอื่ กลุ่มพุทธบุตร บ้ำนป่ำซำงงำม และชุมชนบ้ำนปำ่ ซำงงำม
ทีอ่ ยู่ บ้ำนป่ำซำงงำม ตำบลหนองป่ำกอ่

อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงรำย ๕๗๑๑๐
หมำยเลขโทรศพั ท์ 080-131-2446

195

กำรสง่ เครำะห์

กำรส่งเครำะห์ เกิดจำกควำมเชื่อของบุคคลท่ีเกิดเหตุกำรณ์

ไม่ปกติขึ้นกับตนเองหรือผู้ใกล้ชิด ต่ำงก็เช่ือกันว่ำเหตุกำรณ์ตำ่ ง ๆ

ที่เกดิ ข้นึ กบั ตนเองหรอื ผู้ใกล้ชิดนน้ั เกิดจำกเครำะห์ไดเ้ ขำ้ มำสู่ผ้นู ้ัน

จึงไดห้ ำวธิ ีกำรทีจ่ ะขจดั ปดั เป่ำเครำะห์นนั้ ใหห้ มดส้ินไป ซงึ่ เป็นกำรขจัด

ควำมวิตกกังวลท่ีเกิดในจิตใจให้หมดสิ้นไป เครำะห์ที่เกิดขึ้นนั้น

เชือ่ วำ่ เกดิ จำกภูตผิ ปี ศี ำจหรอื รุกขเทวดำที่โนน่ ที่นท่ี ำเอำ จึงตอ้ งทำ

กำรส่งเครอื่ งเซ่นไปวำ่ ย เพ่ือใหเ้ ครำะหน์ ัน้ หมดสน้ิ หรือเบำลงไป

พิธีกรรมเกี่ยวกับความเช่ือของชาวบ้านเกี่ยวกับการนับถือผีสางเทวดา สาหรับใช้เป็นท่ีพ่ึงทางใจแก่

ชาวบ้านท่ีได้รับความเดือดร้อนซึ่งเชื่อว่าตนเองกาลังมีเคราะห์ร้ายอันเกิดจากปัจจัยหลายประการ ส่งผลให้เกิด

ความเช่ือมน่ั ทาใหเ้ กิดขวญั กาลังใจในการดารงชีวิตในสงั คมต่อไป

๑. ผปู้ ระกอบพิธีกรรม ผู้ท่ีประกอบพิธกี รรมสง่ เคราะห์ไดน้ นั้ จะต้องเป็นผ้สู ูงอายทุ น่ี ่านบั ถือผา่ นการบวช

เรียนและถอื ศีลมาแล้วซึ่งจะเรยี กว่า “หนาน” เป็นผู้ทีน่ ยิ มเคร่งครัดในทางไสยศาสตร์จนเปน็ ท่นี ับถือของชาวบ้าน

ซึง่ เชอื่ กนั ว่าคนทีไ่ ม่ไดผ้ า่ นการบวชเรียนมาจะเป็นอาจารย์ไมไ่ ดเ้ พราะ ชาวบ้านเช่ือว่าผปู้ ระกอบพิธกี รรมตอ้ งเป็นผู้

ท่ีส่ือความหมายกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ และต้องเป็นผู้ท่ีสนใจในเร่ืองการประกอบพิธีกรรมและมีคาคาอาคมท่ีเก่ง

ทุกหมบู่ า้ นมกั จะมีอาจารย์ประจาหม่บู ้าน ทงั้ น้ีข้ึนอยูก่ บั ผเู้ ขา้ ร่วมพธิ วี ่าจะศรัทธาอาจารย์ท่านใด ก็สามารถเชิญมา

ประกอบพิธีสง่ เคราะห์

๒. ผู้เข้ารับการประกอบพิธกี รรมส่งเคราะห์ ผู้ที่ได้รับเคราะห์รา้ ยจากการฝันไมด่ ี หรือเจ็บป่วยสามวันดี

ส่ีวันไข้ หรอื ผ้ทู อ่ี ายุถงึ วยั เบญจเพส ตอ้ งการปัดเปา่ เคราะห์รา้ ยออกจากตวั

3. วัสดุส่ิงของที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม หมำยถึงวัตถุส่ิงของที่นำมำใช้เป็นเคร่ืองประกอบพิธกี รรม

สง่ เครำะห์ แบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ประเภท คือ เคร่อื งบูชำ เครือ่ งเซ่นไหว้ และภำชนะทใี่ ส่ ซ่ึงมีรำยละเอยี ดดังน้ี

(๑) เคร่ืองบูชำ ซึ่งเรียกว่ำ ขันตั้ง เชื่อว่ำเคร่ืองบูชำเป็นสิ่งที่สำมำรถใช้เป็นส่ือในกำรติดต่อระหว่ำง

มนษุ ยก์ บั เทวดำ เพือ่ ให้กำรประกอบพิธเี ป็นไปอยำ่ งรำบร่นื ประกอบด้วย

❖ ขนั ❖ หมำก ๑ หัว ❖ พลู ๑ มดั ❖ ธปู ๘ คู่ ❖ ดอกไม้

❖ ผ้ำขำวผ้ำแดงตดั เป็นรปู ส่ีเหลย่ี มจัตุรัสควำมกว้ำง 2 น้วิ ❖ ขำ้ วสำร ❖ เงนิ คำ่ ยกครู

(๒) เครือ่ งเชน่ ไหว้ ประกอบด้วย แกงสม้ แกงหวำน ขำ้ วเปลือก ข้ำวสำร มะพร้ำว กลว้ ยลกู ตำล ถำ้ ไม่มี

ให้ใช้น้ำตำลแทน อ้อย หมำก พลู เมี่ยง บุหรี่ ข้ำวต้ม ขนม ดอกไม้ เทียน อำหำรบำงท่ีอำจเป็นเนื้อดิบ ปลำแห้ง

รูปปั้นคนสัตว์ ผู้ประกอบพิธีกรรมเป็นผู้กำหนดว่ำจะให้ปั้นเป็นรูปสัตว์อะไรบ้ำง โดยเอำวัน เดือน ปีเกิดของ

ผเู้ ขำ้ รว่ มประกอบพิธีกรรมไปให้อำจำรยว์ ดั ดูวำ่ จะใช้เครอ่ื งเซน่ ไหว้อะไรบ้ำง

๔. วันเวลาในการประกอบพิธีกรรม จะประกอบพิธีกรรมในวันเวลำใดก็ได้แล้วแต่สะดวกโดยทำพิธี

ส่งเครำะห์ส่วนตวั หลังจำกทำพิธีส่งเครำะห์บ้ำนแล้ว ส่วนคนทีย่ งั ไม่สะดวกก็จะทำพธิ ีทีบ่ ้ำนในวนั ถดั ไป เมอ่ื สะดวก

แต่ตอ้ งไปใหอ้ ำจำรย์วัดดูด้วยวำ่ วันดีท่จี ะทำพธิ ีคอื วันใด แตไ่ มน่ ยิ มประกอบพิธใี นวนั พระ

๕. สถานท่ีท่ีใช้ในการประกอบพิธีกรรม นิยมใช้บ้ำนของผู้เข้ำรับกำรส่งเครำะห์เป็นสถำนท่ีในกำร

ประกอบพธิ ีกรรมกำรส่งต๋วั เปง้ิ ต๋ัวจน กำรส่งแม่เกิด ส่งป่แู ถนย่ำแถน ส่งหำบส่งหำม สง่ เครำะห์สว่ นตัว หรอื บำงที

ถำ้ ผทู้ ี่เข้ำรบั กำรประกอบพธิ ีกรรมสำมำรถเดนิ ทำงได้ ก็จะใช้บ้ำนของผู้ประกอบพิธีสง่ กไ็ ด้เพอ่ื ควำมสะดวกของผูร้ ับ

กำรสง่ เครำะห์

196

ขันตอนการสง่ เคราะห์ แบ่งได้เปน็ 2 ข้นั ตอนดงั นี้
๑. ขั้นเตรียมกำร ผู้เข้ำรับกำรประกอบพิธกี รรมส่งเครำะห์จะต้องจัดเตรียมวัตถุส่ิงของอันได้แก่ เคร่ือง
บูชำ เครอ่ื งเซน่ ไหว้ และภำชนะที่ใชเ้ ครื่องเซ่นไหวใ้ ห้ครบถ้วนพร้อมเพรยี งก่อนถึงเวลำท่จี ะประกอบพธิ ีกรรม ดงั น้ี

1.๑ เตรียมเครื่องบูชำ ประกอบด้วย – ขัน, หมำก ๑ หัว, พลู ๑ มัด, ธูป ๘ คู่,ดอกไม้ , ผ้ำขำวผ้ำ
แดงตัดเป็นรูปส่ีเหลี่ยมจัตุรัสควำมกว้ำง 2 น้ิว , ข้ำวสำร,เงินค่ำยกครูจำนวน ๓๖ บำท หรือแล้วแต่ท่ีอำจำรย์
กำหนด แล้วนำเครอ่ื งบูชำทง้ั หมดใสจ่ ำนหรอื จะเปน็ พำนก็ได้

๑.๒ เตรียมเครื่องสังเวย โดยกำรนำกำบกล้วยเพื่อทำกระทงหรือสะโตงเป็นภำชนะใส่เครอ่ี งสังเวย
นอกจำกจะเตรียมเคร่ืองสังเวยแล้ว ยังจะต้องเตรียมน้ำส้มป่อยและใบหนำดมัดรวมกันแล้วนำมำใส่ขันเตรียมรอ
ผู้ประกอบพธิ กี รรม

๒. ข้ันดำเนินกำร จะกระทำก็ตอ่ เมื่อได้เตรยี ม
วัตถุในกำรส่งเครำะห์เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วเม่ือ
ผ้ปู ระกอบพธิ ีกรรมมำถึงจะเริม่ ดำเนนิ กำรดังนี้

2.๑ ผู้ประกอบพิธีกรรมยกขันต้ังขึ้นโดย
กำรระลึกถึงคณุ ครบู ำอำจำรยข์ องผู้ประกอบพธิ กี รรม

2.๒ นำกระทงมำวำงตรงหน้ำผู้เข้ำร่วม
ประกอบพิธีกรรม โดยให้น่ังหันหลังให้ผู้ประกอบพิธี
ผู้ประกอบพิธกี รรมจะทำกำรร่ำยคำถำปัดเครำะห์ให้ออก
จำกร่ำงกำย จะร่ำยคำถำไปด้วยประพรมน้ำมนต์ไปด้วย
เพื่อปัดเป่ำสิ่งช่ัวร้ำยออกไปจำกร่ำงกำยของผู้เข้ำรับกำร
ประกอบพิธีกรรมสง่ เครำะห์

2.๓ ผู้ประกอบพิธีจะเอำสะโตงหรือ
กระทงออกไปไว้นอกร้วั ทำงทศิ ตะวนั ตกแล้วผปู้ ระกอบพิธี
กล่ำวคำสง่ กระทง(สะโตง) เปน็ เสรจ็ พิธี

2.๔ หลังจำกเสร็จพิธี ผู้เข้ำร่วมพิธีกรรม
จะนำน้ำส้มปล่อยที่ใช้ในกำรประกอบพิธีลูบที่ศีรษะของ
ตนเอง ที่เหลอื กน็ ำไปอำบเพ่อื เป็นศริ มิ งคล

การสง่ เคราะห์ เปน็ พิธีกรรมทเ่ี กือบจะสูญหายไปแลว้ ในปจั จุบนั เนือ่ งจากเม่อื มีคนเจ็บไขไ้ ดป้ ่วย กเ็ ลือกทจ่ี ะไป
โรงพยาบาลมากกว่า การส่งเคราะห์จงึ มีการถ่ายทอดกันในกลุ่มของคนที่ยงั คงมีความเชื่อ และในหม่บู า้ นทอ่ี ยู่
หา่ งไกล ซ่ึงอาจจะยังหลงเหลอื คนบางกลุม่ ทย่ี งั คงรกั ษา สบื ทอดพธิ กี รรมนไี้ ว้

ผทู้ ่ถี ือปฏิบัติมรดกภูมิปัญญำทำงวัฒนธรรม
ชื่อ ลุงหนำนกมล
ทอ่ี ยู่ บ้ำนทุ่งกวำงใต้ ตำบลโชคชัย

อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชยี งรำย ๕๗๑๑๐
หมำยเลขโทรศพั ท์ -

197

รำกระทบไม้
“กะเหร่ียง-กระทบไม้” ถือเป็นกำรละเล่นที่ต้องอำศัยจังหวะกำร
“กระทบไม้” ในภำษำกะเหร่ียงเรียกว่ำ “ติฮัว” ท่ีปัจจุบันมีจำนวนผู้
เล่นและจำนวนไม้ไผ่เคำะจังหวะมำกกว่ำหลำยชำติ มีกำรเคำะไม้
พร้อม ๆ กันหลำยคู่ แต่เดมิ กำรละเล่นชนิดนน้ี ิยมเลน่ หลังจำกว่ำงเว้น
ไร่นำ ผู้หลักผู้ใหญ่จะเปิดโอกำสให้หนุ่มสำวได้เต้นรำเกี้ยวพำรำสีกัน
ล่ำสุดได้มีกำรผนวกกำรละเล่นกระทบไม้เข้ำกับกำรแสดงถักเชือก
ประกอบวงดนตรีปี่พำทย์ ใช้ผู้แสดงรวมหลำยสิบคน และเพิ่มกำร
อธิบำยควำมหมำยในเชิงรักสำมคั คี เป็นกำรฝึกให้เด็กเยำวชนมสี มำธิ
ควำมทรงจำดี และสรำ้ งควำมพร้อมเพรียงในหมู่คณะ
ชำวกะเหรี่ยงได้รับเอำอิทธิพลวัฒนธรรมมอญด้ำนต่ำง ๆ ที่มีควำมเจริญรุ่งเรืองในอดีตไว้มำก ท้ังด้ำนศำสนำ
ภำษำ นำฏศิลป์ดนตรี และประเพณีพิธีกรรม แต่ในเวลำเดียวกัน วัฒนธรรมกะเหร่ียงบำงอย่ำงก็ได้ปะปนอยู่ใน
วัฒนธรรมมอญด้วย ขณะท่ีมอญไม่มีกำรละเล่นกระทบไม้โดยตรง แต่ปรำกฏส่ิงคล้ำยกันซึ่งถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์
โบรำณ เปน็ ประเพณที ี่มีมำแต่อดีตกำลอยู่ในวรรณคดีเร่ืองรำชำธริ ำช (ครองรำชย์ พ.ศ. 1830-49) รวมท้งั จำรึก
ภำษำมอญวัดโพธิ์ร้ำง จำรึกข้ึนเม่ือรำวปี พ.ศ. 1143 ท่ีปรำกฏคำว่ำ “โต้ง” หรือผู้อำนวยกำรพิธรี ำผีซ่ึงทำหน้ำท่ี
ผู้นำทำงจิตวญิ ญำณมำแต่โบรำณ
ในอดีตชำวกะเหรี่ยงจะรำกระทบไม้เม่ือมีผู้ตำยเท่ำนั้น เพรำะชำวกะเหรี่ยงนับถือผี กำรกระทบไม้ถือเป็น
พิธีกรรมหน่ึงท่ีใช้เรียกวิญญำณของผู้ตำย ในกำรประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับศพ ในปัจจุบันกำรรำกระทบไม้ได้
เปล่ียนแปลงรูปแบบของกำรแสดงและเน้นเนื้อหำของกำรแสดงเป็นกำรบอกเล่ำถึงประวัติควำมเป็นมำของกำร
ดำรงชวี ติ กำรประกอบอำชีพ แบบเศรษฐกิจพอเพียงของบรรพบรุ ุษชมุ ชนชำวกะเหรยี่ งในอดีตถ่ำยทอดผ่ำนลำไม้ไผ่
โดยคำร้องและท่วงท่ำบ่งบอกถึงกำรประกอบอำชีพทำไร่ กำรฟำดข้ำว กำรถำงหญ้ำ กำรเก่ียวข้ำว กำรนวดข้ำว
กำรรื่นเรงิ ในงำนเทศกำลต่ำง ๆ แสดงโดยใช้ไม้เคำะประสำนจังหวะเพลงไม้ไผ่ กำรใช้เท้ำลงไปตรงช่องว่ำงแล้วรีบ
ยกออกตำมจังหวะกำรเคำะ ในขณะที่สำยตำมองสองเท้ำ ควำมหมำยในกำรแสดงชุดน้ีสื่อให้เห็นถึงควำมกลม
เกลยี วเหมอื นเกลยี วเชอื กหลำย ๆ เส้นท่ีถักทอรวมกัน รวมเปน็ หนง่ึ เดียวจะสำเร็จได้ดว้ ยควำมสำมัคคี
“รำกระทบไม้-กะเหรี่ยง” จะแต่งตัวให้กับ
ผู้รำในชุดกะเหรี่ยงโบรำณ ใช้ผู้รำ 4-5 คน
สวมเสื้อและผ้ำถุงแบบกะเหรี่ยงรวมทั้งโพก
ศีรษะแบบกะเหร่ียง มีผ้ำคำดอกผืนหน่ึง
แล้วเชิญวิญญำณผีกะเหร่ียงเข้ำร่ำง รำพร้อม
อุปกรณ์ต่ำง ๆ ตำมข้ันตอน นำสำกตำข้ำว
หรือลำไม้ไผ่ขนำดยำว 2 อัน วำงคู่กันบนขอน
ห่ำงกันพอประมำณ ผู้รำผีสองคนนั่งเคำะสำก
หรอื ลำไมไ้ ผบ่ นขอนเปน็ จังหวะ ผู้รำผอี ีก 3 คน
ร่ำยรำตำมจังหวะและทำนองป่ีพำทย์คล้ำยพิธี ผ้ทู ีถ่ ือปฏิบัติมรดกภมู ิปัญญำทำงวัฒนธรรม
กระโดดสำกของเขมร หรือกำรละเล่นที่ต้อง ชื่อ นำงบษุ รำรตั น์ ครี ีแก้ว
อำศยั จงั หวะ “กระทบไม้” ของหลำยชำติ
กล่มุ พทุ ธบตุ ร บ้ำนป่ำซำงงำม
ทอ่ี ยู่ ๖๐ หมู่ ๒ บำ้ นป่ำเลำ ตำบลหนองป่ำก่อ

อำเภอดอยหลวง จังหวัดเชียงรำย ๕๗๑๑๐

หมำยเลขโทรศพั ท์ 080 131 2446


Click to View FlipBook Version