The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by graphic, 2022-04-18 23:23:49

16310ebook

16310ebook

ตอนนี้ในหน้าแรกของหน้า Facebook ทางซ้ายมอื ให้คลกิ ที่ปุม่ ร้านคา้ ที่แสดงดา้ นลา่ ง

เมื่อคลิกจะเหน็ ป๊อปอัพ แล้วทำตามขั้นตอนเหล่าน้ี
- คลิกทก่ี ารตงั้ ค่า
- คลกิ ทเ่ี ทมเพลตและแทบ็
- เลอ่ื นไปท่ีดา้ นล่างและคลกิ แทบ็
- คน้ หาร้านค้าแลว้ เพ่มิ เข้าไป จากนั้นจะปรากฏในหนา้ แรก

141

จากนั้นสามารถต้ังค่าร้านคา้ ต่อได้ เม่ือคลกิ เริ่มต้นจะต้องทำเครอื่ งหมายในช่องเพ่อื ยอมรบั ขอ้ กำหนด
และเงอื่ นไขแล้วคลิกดำเนินการตอ่ จนจบ

142

สามารถเลือกระหว่างข้อความซื้อและชำระเงินบนเว็บไซต์ เมื่อคลิกดำเนินการต่อจะมีป๊อปอัปอีก
อันหนงึ่ ซ่งึ ตอ้ งเลอื กสกุลเงนิ

ตอนนี้จะเห็นร้านค้าของแล้วสามารถเริ่ม เพิ่มผลิตภัณฑ์ ได้ เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทราบที่นี่ว่า
Facebook จะถามคำถามที่แตกต่างกันขน้ึ อย่กู บั ท่อี ย่อู าศยั ของและประเภทธรุ กจิ ทเ่ี ลือก

หากอยู่ในสหรัฐอเมริกาอาจถูกขอให้เตรียมหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของ หากกำลังสร้างร้านค้า
ออนไลนจ์ ะตอ้ งกรอกข้อมูลนโยบายการจดั ส่งการคืนเงินและตวั เลือกการจัดส่งของ

143

Facebook มีกฎทค่ี วรรู้
- ตอ้ งจัดส่งคำส่ังซอ้ื ภายในสามวนั หลังจากการสั่งซอ้ื สินค้า
- ลกู คา้ จะต้องไดร้ ับสินคา้ ไมเ่ กิน 10 วนั หลงั จากวันที่สั่งซอื้
- การจัดสง่ สินค้าควรมหี มายเลขการตดิ ตาม
- ไม่สามารถจดั ส่งตา่ งประเทศได้ จะตอ้ งขายในประเทศของเทา่ น้ัน
ขน้ั ตอนที่ 2: เพม่ิ ผลติ ภณั ฑ์
ขั้นตอนที่สองในการสร้าง Facebook Shop คือการเพิ่มผลิตภัณฑ์ของในหน้าร้านค้า คลิกที่ปุ่มเพ่ิม
ผลติ ภัณฑ์และจะสามารถโพสต์รายการ

สามารถอปั โหลดรปู ถา่ ยหรอื วิดีโอและต้องเพ่มิ ช่ือราคาและคำอธิบายผลิตภัณฑ์

144

หากผลติ ภณั ฑ์มหี ลากหลายรปู แบบ เช่น ขนาดและสี สามารถคลิกท่ีตัวเลือกแก้ไขท่ดี า้ นล่าง

และสามารถเพมิ่ หมวดหมู่ เชน่ ขนาดหรือสี แลว้ ใส่ราคาสำหรับแต่ละประเภท และปมุ่ ระบุผลิตภณั ฑ์
นั้นมีสตอ็ คหรอื ว่าไมม่ ีสนิ คา้ คงคลงั

เมื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์แล้ว Facebook จะให้ทางเลือกใหม่แก่ในการเพิ่มหน้าคอลเลกชัน คอลเลกชัน คือ
กลุ่มของรายการในประเภทเดียวกัน ตัวอย่างเช่น สามารถสร้างคอลเลกชันกางเกงยีนส์ ภายในคอลเล็กชั่นนี้มี
ยีนส์หลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ในการสร้างคอลเลกชันและขึ้นอยู่กับว่าคลังโฆษณาใหญ่แค่
ไหนประโยชน์ของการเพมิ่ คอลเล็กชนั คือ ทำให้งา่ ยงา่ ยต่อลูกคา้ สามารถเรยี กดผู ลิตภัณฑท์ ีก่ ำลังมองหาแทนท่ี
จะเรียกดูผลติ ภณั ฑท์ ัง้ หมด

145

ขั้นตอนท่ี 3: เพ่ิมวิธกี ารชำระเงนิ
สิ่งนี้อาจไม่สามารถใช้ได้กับทุกประเทศ โดยปกติ Facebook จะยอมเฉพาะสหรัฐอเมริกาสามารถ
เชื่อมโยงบัญชีธนาคารที่ลูกค้าสามารถทำการฝากเงินได้ ในบางประเทศสามารถเชื่อมโยงบัญชี PayPal การ
รวมวิธีการชำระเงินนั้นง่ายมาก เพราะเพียงแค่ให้ข้อมูลการเข้าสู่ระบบ เมื่อเพิ่มบัญชี PayPal เรียบร้อยแล้ว
จะทำให้ลูกคา้ มีตัวเลอื กในการชำระเงนิ ใหท้ นั ที
หากเพม่ิ วิธกี ารชำระเงินผา่ นการชำระเงนิ ผ่านธนาคาร Facebook จะขอข้อมูลดงั ต่อไปน้ี
- รายละเอยี ดภาษี
- หมายเลขประจำตัวนายจ้าง
- ช่ือและนามสกลุ ตามกฎหมายของ
- หมายเลขเส้นทางธนาคาร
- หมายเลขบัญชธี นาคาร
- ชอื่ ในบัญชีธนาคาร
ตรวจสอบให้แน่ใจว่ากรอกข้อมูลเหล่านี้ถูกต้องเนื่องจากไม่สามารถแก้ไขรายละเอียดเหล่านี้ได้ใน
ภายหลงั

ข้ันตอนท่ี 4: การจัดการคำสัง่ ซ้อื
ที่แผงด้านซ้ายของร้านค้าต้องเลื่อนลงเพื่อดูคำสั่งซื้อและคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการดังที่แสดงด้านล่าง
หากไมเ่ ห็นปุ่มเหล่าน้ีต้องไปที่เครื่องมือการเผยแพร่ บางคร้งั ปุม่ เคร่ืองมือการเผยแพรจ่ ะไมแ่ สดง ดงั น้ันให้คลิก
ทีเ่ พม่ิ เตมิ และคน้ หา

เมื่อคลิกคำสั่งซื้อและคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการจะเห็นหน้าเว็บที่มีรายละเอียดการสั่งซื้อต่อลูกค้าต่อ
ผลิตภัณฑ์ นี่คือพืน้ ที่ท่ีตอ้ งทำเคร่ืองหมายวา่ เป็นจริงหรือใช้เพื่อขอข้อมูลจากลูกค้าของในกรณีที่ต้องการสิ่งอน่ื
Facebook จะส่งการแจ้งเตือนให้โดยอัตโนมัติเมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามา เนื่องจากเป็นการยากที่จะอยู่บน
คอมพิวเตอร์ของตลอดเวลาต้องดาวน์โหลดแอพ Facebook ไปยังโทรศัพท์มือถือของเพื่อให้สามารถได้ยิน
เสยี งการแจ้งเตือน

ขั้นตอนท่ี 5: โปรโมทรา้ นคา้
วิธีที่ง่ายที่สุดในการโปรโมตร้านค้า Facebook คือการเชิญเพื่อนและครอบครัวเพื่อให้ถูกใจร้านค้า
และอีกวิธที ีง่ ่าย คือ ไปที่กลุม่ Facebook และโพสตผ์ ลติ ภัณฑ์ แล้วค้นหากล่มุ ทมี่ ีความสนใจเช่นเดยี วกัน และ
พยายามช่วยเหลือและแก้ปัญหาบางอย่าง เช่น การให้คำแนะนำสรรพคุณสินค้า นอกจากนี้ยังมีกลุ่มใน
Facebook ที่มีการทำธุรกิจออนไลน์ โดยโพสต์ผลิตภัณฑ์ไปยังในกลุ่มเหล่านี้ วิธีที่มีประสิทธิภาพการโปรโมต
ร้านค้า คือ การโฆษณา เช่น Facebook สามารถสร้างวิดีโอ โฆษณาหรือแคมเปญใหม่ โดยมีค่าใช้จ่ายไม่แพง
มากสำหรับธรุ กิจที่เริ่มต้น

146

วธิ ีการต้งั ค่ารา้ นคา้ Facebook ของผ่าน Shopify
ในการรวม Shopify และหนา้ Facebook ข้นั ตอนดังน้ี
- ลงช่อื เข้าใช้หน้าผู้ดแู ลระบบ Shopify
- มองหาปมุ่ + ท่อี ยใู่ ตห้ รือข้างส่วนช่องทางการขาย
- คลกิ ทเี่ พ่มิ ชอ่ งทางแล้วเลือก Facebook; คลิกที่เพม่ิ ชาแนลเมอ่ื เลอื ก Facebook แลว้
- ปอ๊ ปอัปจะปรากฏข้นึ และตอ้ งลงชอื่ เขา้ ใช้ในหนา้ โปรไฟล์ Facebook
- ถดั ไปต้องเลอื กหนา้ เวบ็ ท่ตี อ้ งการเชื่อมโยงไปยงั รา้ นคา้ Shopify
- Facebook จะตรวจสอบรา้ นค้า
โดยทั่วไป Facebook จะใช้เวลา 48 ชั่วโมงหรือน้อยกว่าในการตรวจสอบร้านค้าของ เมื่อใบสมัคร

ได้รับการอนุมัติผลิตภัณฑ์ในร้านค้า Shopify จะแสดงบนร้าน Facebook โดยอัตโนมัติ หากร้านค้าถูกปฏิเสธ
อาจเป็นไปได้ว่ากำลังละเมิดข้อกำหนดของ Facebook ข้อใดข้อหนึ่ง ตัวอย่าง เช่น การขายสารเคมีที่เป็น
อันตรายวัสดุสำหรับผู้ใหญ่และรายการที่มีความรุนแรงเป็นสิ่งต้องห้าม หากคิดว่าไม่ได้ละเมิดข้อกำหนดและ
เงือ่ นไขใด ๆ บน Facebook สามารถเขยี นคำอทุ ธรณถ์ งึ Facebook

147

บทที่ 6

การสรา้ งสือ่ อนิ โฟกราฟกิ เพ่อื งานธรุ กิจ
(Business Infographic)

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. เข้าใจความหมาย ประโยชน์และประเภทของอนิ โฟกราฟิก
2. เข้าใจกระบวนการทใ่ี ช้ในการสรา้ งอินโฟกราฟกิ
3. สร้างอินโฟกราฟิกทด่ี ไี ด้

1. อะไรคืออนิ โฟกราฟกิ

อนิ โฟกราฟกิ เป็นส่ิงใหม่ท่ีเกดิ ข้นึ เมื่อไม่นานมานี้ อินโฟกราฟิกถูกออกแบบเพ่อื ใช้เป็นเครื่องมือในการ
สื่อสารกับคนจำนวนมาก การทำงานของอินโฟกราฟิก คือ พยายามแยกแยะเรื่องราวหรือหัวเรื่องที่ยากและ/
หรือเรื่องราวที่มีความซับซ้อนมากออกเป็นเรื่องราวเล็ก ๆ/หัวเรื่องย่อยที่ง่ายต่อการทำความเข้าใจ จากน้ัน
ดำเนินการจัดเรียงเรื่องราวนั้นใหม่ให้เป็นเรื่องราวที่มีสาระเหมือนเดิม แต่สามารถนำมาใช้สื่อสารทำความ
เข้าใจกันบุคคลทั่วไปได้โดยง่าย อินโฟกราฟิกจึงแตกต่างจากการนำเสนอในลักษณะอื่น การเล่าเรื่องราวและ
ความงา่ ยในการทำความเข้าใจทำให้อินโฟกราฟิกถูกสร้างขึน้ และแพร่กระจายไปทว่ั โลกอยา่ งรวดเร็ว

หากถามว่าอินโฟกราฟิกที่จริงแล้วคืออะไร จากการสำรวจเว็บไซต์ต่าง ๆ พบว่า มีความหมายท่ี
ตรงกัน คือ คำว่าอินโฟกราฟิก เป็นคำภาษาอังกฤษ คือ infographic เป็นคำที่สร้างมาจากคำสองคำคือ
information กบั graphic ดังน้ันอินโฟกราฟกิ คอื information graphic หมายถึงการแสดงข้อมลู สารสนเทศ
ออกมาในรูปแบบของภาพโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ข้อมูลสารสนเทศที่แสดงออกน้ันเข้าใจได้ง่ายในทันทีที่
ผรู้ ับชมมองเห็น

1.1 อะไรที่จะทำให้อินโฟกราฟิกทส่ี ร้างเปน็ อนิ โฟกราฟกิ ที่ดี
อินโฟกราฟิกที่ดี คือ อินโฟกราฟิกที่ได้รับการออกแบบไว้อย่างดี ได้รับสนับสนุนการนำเสนอด้วย
ข้อมูลที่ผู้จัดทำมีอยู่ เป็นอินโฟกราฟิกที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีลักษณะของ
อินโฟกราฟิกที่ดีจึงไม่ได้แตกต่างไปจากเนื้อหาของส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเว็บไซต์ เนื่องจากอินโฟกราฟิกที่ดี
นั้น สามารถใช้ตัวของมันเองทำให้ผู้รับชมทราบได้ว่ามันดีแค่ไหน แน่นอนผู้จัดทำอินโฟกราฟิกที่ดีอาจจะต้อง
พยายามหาแรงบันดาลใจเพิ่มเติมซึ่งอาจจะได้มาจากข้อมูลออนไลน์ ลำดับต่อไปนี้จะเป็นรายละเอียดของ
คุณลักษณะของอินโฟกราฟิกทผี่ ู้จัดทำอนิ โฟกราฟกิ ควรจดจำไว้ใชใ้ นการสรา้ งชิ้นงานดังภาพท่ี 1

ภาพที่ 1 อินโฟกราฟกิ ทีด่ ี

149

1.2 การบอกเลา่ เรื่องราว
อินโฟกราฟิกทีม่ ีประสิทธภิ าพจะต้องไม่ใช่แค่มีแตส่ ารสนเทศท่ีมีประโยชน์ แต่อินโฟกราฟิกที่ดจี ะต้อง
สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีด้วย ขอให้ลองพิจารณาอินโฟกราฟิกด้านบน ภาพอินโฟกราฟิก
นี้ เป็นอินโฟกราฟิกที่ผู้ชมดูแล้วน่าจะรู้สึกชอบและเข้าใจในเนื้อหา เพราะนอกจากจะเป็นอินโฟกราฟิกมี
รูปภาพท่ีสวยงาม มีการวิธีการจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เหมาะสม อินโฟกราฟิกรูปนี้ยังเป็นอินโฟกราฟิกท่ี
นำเสนอเร่อื งราวได้ดเี พราะมันนำพาผูอ้ ่านดว้ ยสญั ลักษณห์ ลักคือมือของตวั ละครนำพาผู้ชมไปสภู่ าพแตล่ ะภาพ
และนอกจากการเล่าเร่อื งแลว้ อนิ โฟกราฟกิ ยังนำเสนอความสนุกสนานของการท่องเท่ียว ณ สนามบนิ
1.3 มกี ารนำพาสายตาไปบนเส้นทางที่ผจู้ ดั ทำได้ดำเนินการกำหนดไว้
สิ่งหนึ่งที่ผู้จัดทำอินโฟกราฟิกจะต้องแน่ใจ คือ หากผู้อ่านกวาดสายตาจากด้านหนึ่งของชิ้นงานไปยัง
อีกด้านหนึ่งของชิ้นงาน ผู้ชมจะสามารถลำดับการชมชิ้นงานต่อเนื่องกันไปได้ หมายความว่าอินโฟกราฟิกที่ดี
จะตอ้ งไมข่ าดโครงสรา้ งท่ใี ช้ในการสรา้ งลำดับของการนำเสนอ
หากในอินโฟกราฟิกมีเครื่องหมาย/สัญลักษณ์ เครื่องหมาย/สัญลักษณ์ที่ปรากฏในอินโฟกราฟิกที่ดีจะ
มีประสิทธิผลเป็นอย่างมากในการสื่อสารข้อความ เพราะมันคือเป้าหมายสำคัญในการนำเครื่องหมาย/
สัญลักษณ์มากำหนดไว้ในอินโฟกราฟิก ทุกองค์ประกอบที่นำมารวมกันนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเป็นอินโฟ
กราฟิก สีสันท่ีที่ปรากฏอาจะนำเสนอในรูปแบบที่เข้ากันได้ดี และอาจนำเสนอแบบสีสันที่ขัดแย้งทั้งนี้เพื่อให้
บอกเล่าเรื่องราวอย่างชัดเจน กำหนดการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง สร้างเส้นทางในการชมชิ้นงาน
ผู้ชมจะสามารถชมได้อย่างเพลิดเพลนิ และเข้าใจในส่ิงที่นำเสนอ จนผู้ชมเองจะต้องกล่าววา่ ยินดีเป็นอย่างยิง่ ท่ี
ไดช้ มดังภาพที่ 2

ภาพที่ 2 อนิ โฟกราฟิกแบบมเี ครอ่ื งหมาย/สญั ลกั ษณ์

150

1.4 มโี ครงสรา้ งท่ดี ี
ในการจัดทำอินโฟกราฟิก หากพบว่าในการนำเสนอนี้จะประกอบขึ้นจากเนื้อหาและสารสนเทศ
จำนวนมาก ผู้จัดทำอาจจะต้องทำการบริหารจัดการองค์ประกอบต่าง ๆ ของอินโฟกราฟิกให้เหมาะสม ได้แก่
ดำเนินการแบ่งการนำเสนอออกเป็นส่วน ๆ เพื่อให้ง่ายต่อผู้ชมในการอ่านรายละเอียดหรือเพื่อให้ผู้ชมที่ไม่
ตอ้ งการรายละเอียดสามารถมองผ่านแล้วเข้าใจบริบทคราว ๆ ได้อยา่ งรวดเร็ว
สำหรับอนิ โฟกราฟิกตัวอย่าง เปน็ การนำเสนอใหแ้ ต่งกายของผชู้ าย โดยมกี ารจดั แบ่งออกเปน็ สองส่วน
ส่วนด้านบนนำเสนอการแต่งกายของผู้ชายที่ใช้หูกระต่ายสขี าว (White tie) ส่วนด้านล่างนำเสนอการแตง่ กาย
ของผชู้ ายทใี่ ชห้ นูกระตา่ ยสดี ำ (Black-tie) ดังภาพที่ 3

ภาพท่ี 3 อินโฟกราฟิกแบบแบ่งการนำเสนออกเปน็ ส่วน ๆ
1.5 ตอ้ งสามารถส่งขอ้ ความที่สำคัญเพยี งหนง่ึ ขอ้ ความเทา่ นนั้
อินโฟกราฟิกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ อินโฟกราฟิกที่ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างในการนำเสนอ ไม่ว่าจะ
เป็นการการออกแบบองค์ประกอบ ข้อความ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ คือ สามารถสื่อสารข้อความที่สำคัญเพียงหน่ึง
ข้อความไปยังผรู้ บั ชม
สำหรับวธิ ีการทีใ่ ชใ้ นการตรวจสอบว่าอินโฟกราฟิกท่จี ดั ทำข้ึนนี้มีคุณลกั ษณะดงั กล่าวนแ้ี ล้วหรือไม่ คือ
ให้บุคคลอื่นที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานมาทำหน้าที่เป็นผู้ให้ความเห็น การที่ให้บุคคลที่สามที่ไม่เกี่ยวข้องมา
ทำหน้าที่เป็นผู้พิจารณาชิ้นงานเพื่อบอกว่าสิ่งที่เขาได้รับจากอินโฟกราฟิกนี้คืออะไร หากเขาไม่ เข้าใจหรือไม่
สามารถบอกข้อความที่ตรงกับสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้ แสดงว่าอินโฟกราฟิกที่จัดทำขึ้นยังไม่มีประสิทธิภาพไม่
สามารถสือ่ สารไดด้ พี อ ผู้จดั ทำอาจจะต้องคดิ รูปแบบใหม่ ทำการออกแบบการนำเสนอใหม่ เพอ่ื ให้ผลลัพธ์ที่ได้
ออกมาสามารถสอื่ สารได้ชดั เจนมากกว่านี้ ดงั ภาพท่ี 4

151

ภาพที่ 4 อินโฟกราฟกิ ท่ไี ม่สามารถสื่อสารได้ชดั เจน
1.6 ตอ้ งสามารถดงึ ดดู สายตาของผพู้ บเหน็
ลักษณะสำคัญที่เปรียบเสมือนหัวใจของการใช้อินโฟกราฟิกในการนำเสนองาน คือ ความสามารถใน
การดึงดูดสายตาของผู้ชม ส่วนสำคัญของชิ้นงานอินโฟกราฟิกจะต้องถูกพัฒนาให้มีความโดดเด่นออกจากส่วน
อื่น ๆ โดยไม่ว่าอินโฟกราฟิกนี้จะปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ใหม่หรือเว็บไซต์เก่า เนื้อหาสาระที่นำเสนอจะต้องเป็น
เนื้อหาสาระที่มีประสิทธิผลต่อผู้รับชมเป็นอย่างมาก เพื่อให้เนื้อหาทั้งหมดที่นำเสนอเป็ นเนื้อสาระที่มี
ประสิทธิภาพ อินโฟกราฟิกตัวอย่างเป็นอีกหนึ่งอินโฟกราฟิกที่ดึงดูสายตาของผู้ชม ใช้สีที่สบายตา ชัดเจนใน
การนำเสนอว่าต้องการให้ผู้ชมทุกคนเห็นพ้องกับการอนุรักษ์วาฬ ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นข้อความที่เป็นหัวเรื่อง
ตลอดจนรปู หางวาฬที่ปรากฏออกมาดา้ นบน ดงั ภาพท่ี 5

ภาพท่ี 5 อินโฟกราฟิกที่ดงึ ดูดสายตา

152

1.7 มีความถูกตอ้ ง โดยขอ้ มลู และสารสนเทศท่ีนำมาประกอบจะตอ้ งไดร้ ับการคน้ คว้ามาเปน็ อยา่ งดี
ความผิดพลาดที่เกดิ ความเสียหายกับอินโฟกราฟิกทำใหอ้ ินโฟกราฟิกที่สร้างขึน้ เปน็ อินโฟกราฟิกที่แย่
คือ การที่อินโฟกราฟิกนั้นชักนำผู้อ่านไปผิดทิศผิดทาง คือ การที่อินโฟกราฟิกนั้นสร้างเรื่องราวที่ทำให้ผู้ชม
เข้าใจผิด เนื่องมาจากข้อมูลและสารสนเทศที่บรรจุอยู่ในอินโฟกราฟิกนั้นทั้งเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่ไม่
ถูกต้องหรือเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่ไม่สมบูรณ์ ในขณะเดียวกันอินโฟกราฟิกบางงานเกิดความผิดพลาดมา
จากการแปลความหมายของผลลัพธ์ที่ไดร้ ับมาแบบผิด ๆ หรือบางครั้งพบว่าการอ้างอิงข้อมูลและสารสนเทศที่
นำมาจัดทำอินโฟกราฟิกนน้ั มาจากแหลง่ ข้อมูลท่ีไมน่ ่าเชื่อถอื
ความรับผิดชอบในการจัดการกับข้อมูลและสารสนเทศ และคำนึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่มีประโยชน์ใน
การทำงานเป็นสิ่งทีข่ าดไม่ได้ แต่ทั้งหมดจะต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงหรืออยู่บนพื้นฐานอันเปน็ ที่
ยอมรับกนั อย่างกวา้ งขวาง ดงั ภาพท่ี 6

ภาพที่ 6 อนิ โฟกราฟิกทีม่ คี วามถูกตอ้ งและนา่ เชอื่ ถอื

2. ประเภทของอินโฟกราฟกิ

ในการสร้างอินโฟกราฟิกที่มีประสิทธิภาพและเป็นอินโฟกราฟิกที่เหมาะกับการที่จะนำไปเผยแพร่
ให้กับแหล่งเผยแพร่ต่าง ๆ นั้น ผู้จัดทำอินโฟกราฟิกจะต้องทราบก่อนว่าการสร้างอินโฟกราฟิกใช้เพื่อการ
นำเสนอขอ้ มูลและสารสนเทศ ในห้าแนวทาง ได้แก่

- นำเสนอตามลำดับ (Chronologically) หมายถึง การนำเสนอข้อมูลและสารสนเทศตามช่วงเวลา
และลำดับของการเกดิ ข้นึ

- นำเสนอตามตัวอักษร(Alphabetically) หมายถึง การนำเสนอข้อมูลและสารสนเทศ โดย
เรยี งลำดับตามตวั อักษรจาก ก.ไก่ ถงึ ฮ.นกฮกู

153

- นำเสนอตามภูมิลักษณะ (Geographically) หมายถึง รูปแบบการนำเสนอข้อมูลและสารสนเทศ
ตามตำแหนง่ พื้นท่ตี ามภูมิศาสตร์

- นำเสนอตามกลุ่มย่อย (Categorically) หมายถึง รูปแบบการนำเสนอข้อมูลและสารสนเทศ โดย
การจำแนกแยกออกเปน็ สว่ น หรือ เปน็ กล่มุ ย่อย

- นำเสนอเป็นลำดับชั้น (Hierarchically) หมายถึง รูปแบบการนำเสนอที่แสดงข้อมูลและ
สารสนเทศออกมาเป็นลำดบั หรือช้ันภมู ิ

ผู้จัดทำอินโฟกราฟิกจะต้องดำเนินการคัดเลือกรูปแบบของการนำเสนอข้อมูลและสารสนเทศก่อนว่า
ในการจดั ทำอนิ โฟกราฟกิ คร้งั หน่ึง จะใช้รปู แบบการนำเสนอขอ้ มูลและสารสนเทศในลักษณะใด ซ่ึงรปู แบบการ
นำเสนอที่เลือกจะส่งผลโดยตรงกับรูปภาพ ข้อมูลและสารสนเทศต่าง ๆ ที่จะถูกนำมาใช้ประกอบการจัดทำ
ทั้งนี้ในการตัดสินใจเลือกรูปแบบการนำเสนอนั้น ผู้จัดทำควรจะต้องคำนึงถึงและให้ความสำคัญกับกลุ่มของ
ผู้ชมที่จะเป็นผู้รับชมอินโฟกราฟิกนี้ อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากกลุ่มของผูช้ มแล้วอกี หนึง่ สิง่ ท่ีจะขาดเสียไม่ได้
ที่ผู้จัดทำจะต้องคำนึงถึงในการจัดทำอินโฟกราฟิก และสิ่งนี้ก็มีผลอยา่ งมากในการกำหนดรูปแบบการนำเสนอ
และในการจัดทำอินโฟกราฟิก คือ การวางแบบ โดยเมื่อพิจารณาจากหลายแหล่งข้อมูลต่างที่ปรากฏอยู่ใน
เครือข่ายอนิ เทอร์เน็ต พบว่า มีจำนวนการวางแบบท่ีแตกต่างกันที่หลากหลาย แต่ในเอกสารฉบับนี้ขอสรุปเป็น
10 รูปแบบการจดั วาง ไดแ้ ก่

2.1 ภาพของประวัติส่วนตัว (Visual Resume) หรือภาพของบทความ (Visualized Article)
เป็นอีกรูปแบบการนำเสนอประวัติของบุคคล โดยเปลี่ยนวิธีการนำเสนอจากเดิมที่จะเขียนเป็นข้อความและ
ตัวอักษรทั้งหมดมาเป็นรูปภาพประกอบ การวางแบบภาพของประวัติส่วนตัวหรือภาพของบทความเหมาะ
สำหรับการนำบทความ งานเขียนมาเล่าผ่านอินโฟกราฟิก แต่ผู้จัดทำต้องใช้การนำเสนอที่เหมาะสมกับข้อมูล
แต่ละชนิด เช่น ถ้ามีตัวเลขควรนำเสนอผ่านกราฟแบบต่าง ๆ ตัวอักษรสื่อสารด้วยภาพหรือไอคอน การวาง
แบบลักษณะนีจ้ ึงเปน็ การวางแบบท่เี หมาะสมกบั อินโฟกราฟกิ ทผี่ ูจ้ ัดทำต้องการนำเสนอขอ้ มูลที่มีความซับซ้อน
หรือเรื่องราวที่มีความยาวมาก วิธีการที่ดีที่สุด คือ การนำเสนอเป็นภาพเทคนิค ต้องมีการสรุปบทความและ
การเลือกประเด็นในการนำเสนอ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างชิ้นงานนำเสนอด้วยการวางแบบภาพของบทความ
ดงั ภาพท่ี 7

ภาพที่ 7 การวางแบบภาพของประวัตสิ ว่ นตัว หรอื ภาพของบทความ

154

2.2 แบบสารสนเทศหรือรายการ (Informational/List) เป็นรูปแบบการนำเสนอแบบทั่วไป ด้วย
วธิ กี ารแสดงสารสนเทศทต่ี ้องการนำเสนอเปน็ ลำดบั หวั ข้อหรอื รปู รปู แบบการนำเสนอแบบนี้จะเป็นนำเสนอใน
แนวยาวท่เี นื้อหาส่วนใหญจ่ ะประกอบด้วยขอ้ ความ ไม่คอ่ ยมกี ารนำกราฟ ชาร์ตต่าง ๆ มาประกอบ ทำใหก้ ารท่ี
จะทำให้สารสนเทศที่นำเสนอมีความน่าสนใจนั้น ผู้จัดทำอาจใช้เทคนิคในการจัดสีสันที่สวยงามมาช่วยในการ
จัดทำ เพียงแต่การใช้คำหรือข้อความที่ปรากฏอยู่ในเอกสารอินโฟกราฟิกจะต้องสอดคล้องและเป็นไปใน
แนวทางเดียวกนั โดยจะต้องนำไปสขู่ ้อความสำคญั ท่ีกำหนดไว้เสมอ ดงั ภาพที่ 8

ภาพที่ 8 การวางแบบสารสนเทศหรอื รายการ

แบบรายการจึงเป็นการวางแบบที่เหมาะสำหรับการเล่าเรื่องที่มีหัวข้อหลักเพียงข้อเดียว แต่ประกอบ
ข้ึนจากหวั ขอ้ ย่อยจำนวนหลายหวั ขอ้
เทคนคิ : ก่อนจะลงมือจดั ทำอินโฟกราฟกิ ท่ีใชก้ ารวางแบบลักษณะน้ีควรลองวิเคราะห์ก่อนวา่ จำนวนหัวข้อย่อยมี
ความเหมาะสมแลว้ หรือไม่ เนือ่ งจากหากมหี ัวข้อจำนวนมากกจ็ ะเป็นปัญหากับผู้ชมในการทจี่ ดจำได้

2.3 การเปรียบเทียบ (Versus/Comparison) เป็นรูปการนำเสนอแบบทั่วไปที่ใช้อินโฟกราฟิกท่ี
เปรียบเทียบระหวา่ งของสองสิ่ง ซึ่งอาจจะเปน็ การเปรียบเทียบระหว่างสนิ ค้าสองชิ้น บุคคลสองคน ไอเดียสอง
ไอเดีย ใช้แสดงการเปรียบเทียบอะไรก็ได้ นำเสนอได้ทั้งความขัดแย้งกันและความเหมือนของของสองสิ่ง
ลักษณะตรงกันข้าม ความคล้ายคลึงหรือความแตกต่าง รวมถึงประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเหมือน
และความแตกต่าง การวางแบบ แบบเปรียบเทียบ เหมาะสำหรับกับการใช้เปรียบเทียบให้ความเห็นความ
แตกต่างหรือความคลา้ ยคลงึ กันของส่ิงของจำนวนสองชิ้น การวางแบบแบบนี้ส่วนใหญ่จะทำการแบง่ พื้นทีอ่ อก
ตามแนวดิ่งเพื่อให้เกิดความชัดเจนของการเปรียบเทียบ การวางแบบในลักษณะมีจุดเน้น คือ เพื่อให้ผู้ชมเห็น
ถึงความต่าง/ความเหมือนของสิ่งของสองสิ่งที่กำลังเปรียบเทียบอยู่ การวางแบบลักษณะจะใช้งานได้ดีหากมี
ประเด็นที่จะนำมาเปรียบเทียบที่เหมาะสม ข้อมูลและสารสนเทศที่จะนำเสนอสามารถแสดงออกมาในแบบ
รูปภาพได้

155

เทคนิค: ใช้การจัดวางที่เหมือนกนั ทั้งสองฝั่ง จะทำให้ผู้ชมเห็นด้วยแตกต่างท่ีชัดเจน การใช้สีควรใช้สีทีต่ รงขา้ ม
กันในการแบ่งฝง่ั จะช่วยให้จำแนกไดช้ ดั เจนเพ่มิ มากขน้ึ ดงั ภาพท่ี 9

ภาพที่ 9 การวางแบบการเปรยี บเทยี บ
2.4 แบบกายวิภาค (Anatomical) หรือแบบโครงสร้าง (Structure) รูปแบบของอินโฟกราฟิก
แบบน้ี คือ นำเสนอในลักษณะคล้าย ๆ กับกายวิภาคของมนุษย์ การวางแบบแบบกายวภิ าคหรือแบบโครงสรา้ ง
เหมาะสมกบั การแสดงใหเ้ ห็นถงึ สว่ นประกอบของสงิ่ ใดสิ่งหนง่ึ
เทคนิค: ผู้จัดทำต้องพยายามสร้างภาพให้เห็นว่าวัตถุหลักที่แสดงไว้ ประกอบด้วยองค์ประกอบใดบ้าง
จินตนาการเหมือนกับการค่อย ๆ ปลอกเปลือกผลไม้เข้าไปสู่เม็ดด้านใน ที่สำคัญคือวัตถุหลักกับองค์ประกอบ
ย่อยที่แสดงผลต้องมีระยะห่างจากกันพอสมควร และจะต้องไม่มีส่วนใดขององค์ประกอบที่ ซ้อนทับกัน
ดังภาพที่ 10

ภาพท่ี 10 การวางแบบกายวิภาคหรอื แบบโครงสร้าง

156

2.5 เส้นเวลา (Timeline) เป็นรูปแบบการนำเสนอที่ถูกนำมาใช้งานเมื่อผู้นำเสนออยากจะเล่า
เรื่องราวที่ไปเกี่ยวข้องกับห้วงเวลาหรือเรื่องราวที่เป็นลำดับขั้นตอน รูปแบบการนำเสนอแบบนี้จะมีประโยชน์
อย่างมากหากต้องการนำเสนอเรื่องราวแต่ละจุดของเวลาหรือขั้นตอน เช่น การเล่าเรื่องที่แสดงให้เห็นความ
แตกตา่ งของคอมพวิ เตอร์ต้ังแต่ยคุ ทห่ี นึ่งถึงปจั จบุ นั ดงั ภาพท่ี 11

ภาพที่ 11 การวางแบบเสน้ เวลา
การวางแบบแบบเส้นเวลาจึงเหมาะสมกับการเล่าประวัติหรือการเดินทางของบางสิ่งบางอย่าง โดย
การใชเ้ ส้นแทนระยะเวลา สามารถใช้ได้กบั ทุกอยา่ ง เช่น ประวัติผปู้ ่วย ความเป็นมาของหน่วยงานหรือสถานท่ี
สำคัญ นอกจากนี้ยังเป็นการวางแบบที่เหมาะสมอย่างยิ่ง หากการสร้างอินโฟกราฟิกเป็นการเล่าเรื่องจากอดีต
หรืออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา บริษัทส่วนมากใช้รูปแบบเส้นเวลานี้เพื่อนำเสนอรายงานประจำปี
หรอื การบรรลเุ ป้าประสงคท์ ีก่ ำหนดไว้
เทคนคิ : ควรใชร้ ะยะหา่ งของแต่ละจุด เพอื่ อธบิ ายระยะห่างของแต่ละชว่ งเวลา
2.6 แบบกระบวนการหรือโฟลว์ชาร์ต (Process or Flowchart) เป็นรูปแบบการนำเสนอแบบ
ทั่วไปที่นำเสนอในลักษณะโฟลว์ชาร์ตหรือต้นไม้ตัดสินใจ เพ่ือให้ผู้อ่านทำความเข้าใจในแต่ละกระบวนการ ใน
ส่วนของข้อมูลเข้า-กระบวนการ-ผลลัพธ์ การวางแบบแบบกระบวนการหรือแบบโฟลว์ชาร์ตจึงเป็นรูปแบบที่
เหมาะสมกับการเสนอคำถามแก่ผู้ชม โดยที่มีการกำหนดคำตอบที่ชัดเจนไว้เพียงแต่ผู้สมจะต้องติดตามการ
นำเสนอแบบที่เป็นลำดับขั้นตอน ผู้ชมจะได้รับทราบคำตอบที่ต้องการก็ต่อเมื่อผู้ชมติดตามอ่านไปจนถึงด้าน
ลา่ งสุดของการนำเสนอ
เทคนิค: ระวังเรื่องความยุ่งเหยิงของเส้น การนำเทคนิคเรื่องสีมาใช้ในการจัดทำจะช่วยในการจำนวนเส้นทาง
ตา่ ง ๆ ใหม้ ีความชัดเจน ชว่ ยลดความสบั สนในการอ่าน ดังภาพที่ 12

157

ภาพที่ 12 การวางแบบแบบกระบวนการ หรอื โฟลวช์ าร์ต
2.7 แบบแผนท่ถี นน (road map) การวางแบบทีแ่ สดงให้เห็นกระบวนการหรอื การบอกเลา่ เร่ืองราว
การวางแบบในลกั ษณะนีจ้ ะชว่ ยเช่ือมโยงเรื่องราวหรือเส้นทางการไหลของขบวนการ โดยอาจจะเพิ่มรูปภาพท่ี
เกี่ยวข้องประกอบเข้าไปเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจข้อมูลและสารสนเทศที่นำเสนอเพิ่มมากขึ้น กล่าวได้ว่าเป็น
การวางแบบที่เหมาะกบั การเล่ากระบวนการหรือขั้นตอนการทำงานบางอย่าง จึงสามารถนำไปใช้ทดแทนแบบ
เส้นเวลาได้ โดยเป็นการอธบิ ายทล่ี ะขนั้ ตอน เหมาะกับการอธิบายข้นั ตอนทำงานหรือการเดินทาง เช่น ขน้ั ตอน
การทำงานขององค์การ ขั้นตอนการรับพนักงานเข้าทำงาน เส้นทางเดินจากนักเรียนมัธยม สู่การเป็นนิสิต
มหาวทิ ยาลัย ดังภาพที่ 13
เทคนคิ : เรอ่ื งตอ้ งนา่ สนใจพอท่ีคนอยากจะรู้ทลี ะขน้ั ตอน

ภาพท่ี 13 การวางแบบแบบแผนท่ีถนน

158

2.8 แบบสถานที่ (Location) เป็นรูปแบบการนำเสนอที่ง่ายที่สุดที่จะแสดงให้เห็นแนวโน้มของการ
สื่อสารในแบบรปู ภาพ ข้าม ภูมภิ าค ชาตหิ รือโลก ซึง่ จะใช้แผนทเี่ ปน็ ฐานในการนำเสนอตามด้วนไอคอนต่าง ๆ
ที่จะใช้สีในการจำแนก เปรียบเทียบแต่ละภูมิภาคตามหลักสถิติหรือตามความสนใจ ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับผู้ชม
เป็นหลัก ดงั ภาพที่ 14

ภาพท่ี 14 การวางแบบสถานที่
2.9 ทำอย่างไรหรือแบบเน้นที่ประโยชน์ (How-to or Useful Bait) เป็นรูปแบบการนำเสนอท่ี
ถูกนำมาใช้เมื่อผู้จัดทำต้องการแสดงลำดับขั้นตอนที่ใช้ในการดำเนินการด้านการผลิตหรือสร้างสรรค์สิ่งใด
สิ่งหนึ่ง เช่น ขั้นตอนของการทอดกล้วยแขกให้อร่อย การวางแบบแบบทำอย่างไรหรือแบบเน้นที่ประโยชน์จึง
เหมาะกับการแสดงให้เห็นถึงวิธีทำบางอย่างที่สามารถอ่านแล้วนำไปใช้ได้ในทันที โดยเป็นการวางแบบที่
สามารถทำงานได้กบั ขอ้ มูลและสารสนเทศทุกประเภท รูปแบบนีจ้ ะใหค้ วามสำคัญกับการนำไปใช้งานจริงไม่ได้
เน้นเรื่องการออกแบบ ทำให้อินโฟกราฟิกที่จัดทำด้วยรูปแบบจะอ่านง่าย หากผู้จัดทำมีหัวข้อมากก็สามารถ
เพ่ิมจำนวนได้ หากมีหัวขอ้ จำนวนน้อยกว่านี้กล็ ดจำนวนลง การวางแบบลักษณะนย้ี ืดหยุ่นตอ่ การนำไปใช้งาน
เทคนิค: ต้องใหค้ วามสำคญั กับการอา่ นและการทำความเขา้ ใจไดง้ ่าย มากกว่ารปู ภาพที่สวยงาม ดงั ภาพท่ี 15

ภาพที่ 15 การวางแบบทำอยา่ งไรหรอื แบบการเน้นท่ปี ระโยชน์

159

2.10 ภาพของตัวเลข (Visualized Numbers) หรือข้อมูลตัวเลขจำนวนมาก (NumberPorn)
เปน็ อีกหน่งึ รปู แบบในการนำเสนอของอนิ โฟกราฟกิ ท่ีพบเหน็ อย่างท่ัวไปในระบบอินเทอรเ์ น็ต ตวั เลขท่ีแสดงให้
เห็นถึงสถิติ ที่แสดงออกมาในลักษณะของรูปภาพขนาดใหญ่ การวางแบบภาพของตัวเลข หรือข้อมูลจำนวน
มาก เหมาะสมกับอินโฟกราฟิกที่เต็มไปด้วยตัวเลข และกราฟ หากผู้จัดทำมีค่าตัวเลขที่น่าสนใจจำนวนมาก
เพยี งพอกส็ ามารถนำเสนอในรูปแบบน้ไี ด้ ดงั ภาพที่ 16

ภาพที่ 16 ภาพของตัวเลข หรอื ขอ้ มูลตัวเลขจำนวนมาก

เทคนิค: การนำเสนอด้วยการวางแบบลักษณะไม่ใช่แค่ต้องการนำเสนอตัวเลขจำนวนมากเท่านั้น แต่ตัวเลข
เหล่านั้นจะต้องเป็นตัวเลขที่น่าสนใจหรือเกี่ยวข้องมีความหมายกับผู้รับชมเป็นอย่างมาก การนำเสนอใน
ลักษณะนี้สามารถสร้างกราฟในจำนวนมากมายหลายประเภท แต่การเลือกรูปแบบกราฟควรจะเลือกให้เป็น
ลกั ษณะเดยี วกนั เชน่ สามมติ ทิ ั้งหมด สองมติ ทิ ้งั หมด

3. องคป์ ระกอบทใ่ี ช้ในการแสดงอินโฟกราฟิก

เนื่องจากอินโฟกราฟิกมีความหลากหลาย องค์ประกอบที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดีเท่านั้น ที่จะเป็น
กญุ แจสำคญั ที่จะทำใหส้ ามารถแสดงขอ้ มูลต่าง ๆ ออกมาในรปู แบบของอนิ โฟกราฟิกท่เี ปยี่ มไปดว้ ยคุณภาพ

3.1 สีของอินโฟกราฟิก
สี คือ สิ่งที่ดึงดูดสายตาของผู้ชมอินโฟกราฟิก โครงสร้างสีที่ผู้จัดทำอินโฟกราฟิกเลือกนำมาใช้ในการ
จัดทำอินโฟกราฟิกนั้นอาจจะให้อินโฟกราฟิกนั้น “เกิด” หรือ “ดับ” ได้เพราะสีสามารถทำให้สารสนเทศที่
นำเสนอโดดเด่นขึ้นมาหรือทำให้ละลายจางหายไปก็ได้ แน่นอนว่ามีปัจจัยต่าง ๆ จำนวนมากที่ผู้จัดทำ
อินโฟกราฟิกจำเป็นที่จะต้องพิจารณาในการเลือกสี โดยผู้จัดทำอินโฟกราฟิกอาจจะต้องหาให้เจอ สิ่งสำคัญ
ที่สุดของการเลือกสี คือ สีที่จะนำมาใช้นั้นจะต้องสอดคล้องเป็นไปตามธรรมชาติของสิ่งที่มันจะสร้าง
ความหมาย

160

ตัวอย่างเช่น หากต้องการสร้างอินโฟกราฟิกเพื่อทำการเปรียบเทียบพรรคการเมืองหลักของประเทศ
สหรัฐอเมริกา จะต้องใช้สีแดงเมื่ออ้างถึงพรรครีพลับบิกกัน และใช้สีน้ำเงินเพื่ออ้างถึงพรรคเดโมเครก เป็นต้น
เพราะประชาชนอเมริกาทุกคนเข้าใจสีของพรรคทั้งสองนี้ ทำให้อินโฟกราฟิกที่สร้างเล่าเร่ืองราวได้ง่ายต่อการ
อธิบายขึ้นมาทันที อีกรูปลักษณะของสีคือ สีที่นำมาใช้ควรจะต้องมีความแตกต่าง เมื่อทำการเปรียบเทียบ
สิ่งของ เช่น สดี ำ กบั สีขาว แต่ไม่ควรใช้ สดี ำ กบั สเี ทา ในการเปรยี บเทียบเพราะมนั ไม่แตกตา่ งกัน

ในการใชข้ อ้ ความ สขี องตวั อกั ษรกับสพี น้ื ควรมคี วามชดั เจน เช่น ไม่ควรใช้ตัวอกั ษรสขี าวบนพ้ืนเหลือง
เป็นต้น บางครั้งอาจจะเป็นการเปลี่ยนสีของตัวอักษรไปตามสีพื้นของอินโฟกราฟิก การวางอินโฟกราฟิก
ที่มีสีพื้นขาว ลงบนเว็บไซต์ที่มสี ีพื้นเป็นสีขาวสามารถทำได้ แต่ปัญหาที่พบคือ ผู้ชมยากที่จะระบุจดุ เริ่มต้นของ
อินโฟกราฟกิ ได้

ในการสรา้ งอินโฟกราฟกิ ที่เกีย่ วข้องกับตราสินค้า ควรจะนำสีทางการของตราสินค้าน้ันมาใช้มากที่สุด
เท่าที่เป็นไปได้ สีบางสีอาจมีความหมายแฝงอยู่ การนำความแฝงของสีมาใช้จะช่วยให้อินโฟกราฟิกดีขึ้น เช่น
สฟี า้ และสแี ดงแสดงให้เหน็ ถงึ ความม่ันคงและความไวว้ างใจ ซงึ่ จะพบว่าบรษิ ัททางการเงินนยิ มใช้สีคู่นี้ ในขณะ
ที่สีเขยี วแสดงใหเ้ หน็ ถึงการคำนงึ ถึงสง่ิ แวดลอ้ มเป็นต้น

สิ่งทีส่ ำคญั ที่สดุ เกีย่ วกับสี คือ ผู้จัดทำอนิ โฟกราฟิกจะต้องจัดทำให้ทุกสิ่งทกุ อยา่ งสอดคล้อง ไม่ใช่แค่สี
การจัดให้สีสอดคล้องกนั แต่หมายความถงึ ทกุ องค์ประกอบจะต้องสอดคลอ้ งกัน หากมีการใช้โครงสร้างสีชุดใด
ในจุดเรม่ิ ตน้ ของการจัดทำอินโฟกราฟิกแล้ว กค็ วรจะต้องใช้โครงสร้างสชี ุดน้ันไปตลอดท้ังอินโฟกราฟกิ ท่ีจัดทำ
ขึ้น เพราะมันจะทำให้ผู้รับชมสามารถติดตามเรื่องราวต่าง ๆ ของอินโฟกราฟิกนั้นได้ง่ายมากขึ้น แต่ไม่ควรจะ
ใช้สีเดิม ๆ จะในการจัดทำ แต่ควรเลื่อนไปยังสีอื่น ๆ ในโครงสร้างของสีด้วย จากนั้นอาจจะมีการเลื่อนกลับ
มายงั สเี ริ่มตน้ อีกครัง้ สลับไปมาตามความเหมาะสม

3.2 ฟอนต์ในอินโฟกราฟิก
ในปจั จุบนั มีการนำฟอนต์มาใชอ้ ย่างหลากหลาย การสร้างอนิ โฟกราฟกิ จึงมีทางเลือกท่ีจะนำฟอนตม์ า
ใช้อย่างหลากหลายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Time New Roman, Arial, Calibri และ Comic Sans โดยมีการจัด
ประเภทของฟอนต์ออกประเภทกว้าง ๆ จำนวนสี่ประเภท ได้แก่ ตัวอักษรแบบมีหัว (Serif) , ตัวอักษรไม่มีหัว
(Sans-Serif), ลายมอื เขียน (Script) และ ฟอนต์ประดิษฐ์ (Decorative)
ฟอนต์แบบมีหัว ได้แก่ Merriweather และ Times New Roman ซึ่งจะมีหัวเลขเล็ก ๆ ที่ปลายของ
ตัวอักษร ส่วนฟอนต์แบบไม่มีหัว ได้แก่ Arial, Helvetica และ Lato ฟอนต์เหล่านี้จะไม่มีปมเล็ก ๆ ที่ปลาย
ของตัวอักษร ส่วนฟอนต์ลายมือ คือ ฟอนต์แบบตัวเขียน ซึ่งสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความสนุกสนาน ความ
ผ่อนคลาย ความหรูหรา ส่วนฟอนต์ประดิษฐ์ คือ ฟอนต์ที่แสดงความงดงามต่าง ๆ ได้แก่ snowcapped หรือ
Christmas เป็นฟอนต์ท่ีใช้ในงานเฉพาะเป็นเร่ือง ๆ ไป
การเลือกฟอนต์ก็เหมือนกับสี คือ ไมใ่ ช่วา่ ทกุ รปู แบบของฟอนต์สามารถนำไปใช้ได้กับทุกอนิ โฟกราฟิก
กฎง่าย ๆ คือ การใช้ฟอนต์จะต้องเข้ากันได้กับธีมของอินโฟกราฟิก ตัวอย่างเช่น หากเลือกใช้ฟอนต์ Comic
Sans ก็หมายความว่า อินโฟกราฟิกที่สร้างจะต้องไม่ใช่อะไรที่เป็นทางการ ฟอนต์เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความ
ประทับใจแรกที่ผู้อ่านจะได้รับจากเนื้อหา และนำทางไปยังเนื้อหาส่วนที่เหลือด้วย ทำให้หลังจากที่ผู้จัดทำ
อินโฟกราฟิกตดั สินใจในส่วนวตั ถุประสงค์และการวางแบบในการจัดทำอนิ โฟกราฟกิ แล้ว ผู้จัดทำอินโฟกราฟิก
จะต้องแสวงหาฟอนต์ที่เหมาะสม บางครั้งอาจจะต้องดาวนโหลดจากอินเทอร์เน็ต เช่น f0nt.com หรือ

161

icons8.com/icon/ เป็นต้น และในทำนองเดียวกับการเลือกสี หากอินโฟกราฟิกที่จัดทำขึ้นให้กับหน่วยงานมี
ฟอนต์ที่เฉพาะของหน่วยงานแล้ว ก็ควรจะไม่ลืมที่จะนำฟอนต์นั้นมาใช้ในการจัดทำอินโฟกราฟิกด้วย และ
นอกจากจะต้องตัดสินใจรูปแบบฟอนต์แล้ว สิ่งหนึ่งที่จะลืมไม่ได้คือ ต้องเลือกว่าจะใช้ฟอนต์ในลักษณะน้ัน
ตัวหนา ตัวเอียง ขีดเส้นใต้หรอื ไม่ เลือกให้เหมาะสมกับส่วนต่าง ๆ ของอินโฟกราฟิก หัวเรื่องหลัก หัวเรื่องรอง
คำอธิบายเสรมิ อยา่ ลมื เพิ่มสีสันใหฟ้ อนตด์ ้วยก็ได้

สุดทา้ ยอย่าลมื วา่ การเพมิ่ ขอ้ ความเข้าไปในอนิ โฟกราฟกิ คือ การท่ีผจู้ ัดทำตอ้ งการสง่ ผา่ นสารท่ีสำคญั
ไปยังผู้ชม ฟอนต์ที่ง่ายต่อการอ่านจึงเป็นคุณภาพสำคัญที่จำเป็นต้องอินโฟกราฟิก ดังนั้นควรใส่ใจต่อการ
ปรากฏขึ้นของตัวอักษรในอินโฟกราฟิก ที่บางครั้งการปรากฎของข้อความอาจเปลี่ยนไปหากอุปกรณ์ที่ใช้ใน
การแสดงผลอินโฟกราฟิกเปลี่ยนไป เช่น เปลี่ยนจากการแสดงผลบนจอคอมพิวเตอร์ ไปแสดงผลบน
โทรศพั ท์เคลื่อนท่ี

3.3 ไอคอนในอินโฟกราฟิก
การเลือกใช้ไอคอนที่เหมาะสมกับอินโฟกราฟิก สามารถสร้างความแตกต่างต่อผู้รับชมได้อย่าง
มากมาย เนอื่ งจากอาจจะทำให้ภาพทคี่ ลุมเครือในการนำเสนอชัดเจนขนึ้ มาได้ สรา้ งการเขา้ ถึงและผลกระทบท่ี
ตามมาอย่างเหลือเชื่อ ไอคอนรูปเล็ก ๆ ที่ผู้รับชมเพียงแต่กวาดสายตาผ่านเพียงแป๊บเดียวอาจจะถ่ายทอด
สารสนเทศให้กับผู้รับชมได้อย่างมากหมาย ไอคอนเล็ก ๆ รูปหนึ่งสามารถทดแทนการเขียนบรรยายเป็นย่อ
หนา้ เลยกไ็ ด้
แน่นอนว่าหากทำการค้นหาเกร็ดในการเลือกใช้ไอคอนบนอินเทอร์เน็ต ผู้จัดทำจะได้รับเกร็ดในการ
เลือกใช้ไอคอนจำนวนมาก มากจนอาจจะไม่แน่ใจว่าจะเลือกข้อใดก่อนดี แต่แนวคิดง่าย ๆ ของการเลือกใช้
ไอคอนกับอินโฟกราฟิกคือ จงมองเข้าไปในองค์ประกอบของอินโฟกราฟกิ แล้วพิจารณาวา่ มขี อ้ ความส่วนใดใน
อินโฟกราฟิกที่ทดแทนด้วยไอคอนได้ เช่น หากทำการสร้างอินโฟกราฟิกที่แสดงถึงผลไม้ต่าง ๆ ผู้จัดทำอาจจะ
แทนที่ชื่อผลไม้ด้วยไอคอนที่เป็นตัวแทนของผลไม้แทน การแสดงกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การวิ่งหรือการเดิน
แทนท่ีจะพิมพเ์ ป็นข้อความ ให้ใชไ้ อคอนว่งิ และเดนิ ทดแทนแบบน้ี เปน็ ต้น
3.4 ภาพในอนิ โฟกราฟกิ
กฎของการใช้ไอคอนที่กล่าวไว้ขา้ งต้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับภาพได้เช่นกัน แต่ไม่ควรทำให้ภาพ
มาทดแทนความเป็นอินโฟกราฟิก ผู้จัดทำควรลดองค์ประกอบของภาพลงให้มีเฉพาะจุดเด่นที่เหมาะสม
รูปภาพสามารถนำมาใช้แทนคำบรรยายได้จำนวนมาก แต่ผู้จัดทำควรจะต้องพิจารณาให้รูปภาพท่ีนำมาใช้
มคี วามสอดคล้องในดา้ นการแสดงผลสอดคล้องกบั ธมี ของอินโฟกราฟิก
ข้อแนะนำเพมิ่ เติมในการใช้รูปภาพ คอื ผจู้ ัดทำไม่ควรนำภาพทผ่ี ูร้ ับชมจะเคยเหน็ ซ้ำ ๆ แล้วจากแหล่ง
ต่าง ๆ หรือในเว็บไซต์มาใส่ลงในอินโฟกราฟิกที่จัดทำขึ้น เพราะมันจะทำให้ผู้รับชมไ ม่รู้สึกอะไรเลยกับ
อนิ โฟกราฟกิ ที่จัดทำข้นึ เน่อื งจากเกดิ ความซำ้ ซากนา่ เบอ่ื น่ารำคาญ ขาดความเรา้ ใจ ขาดแรงกระตุ้น
3.5 เครือ่ งมือทใ่ี ชใ้ นการจดั ทำอินโฟกราฟกิ
ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ช่วยในการจัดอินโฟกราฟิกจำนวนมาก เครื่องมือเหล่านี้ส่วนใหญ่ทำงานแบบ
ออนไลน์ และเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการจัดทำอินโฟกราฟิกสามารถใช้งานได้ฟรีในเบื้องต้น หากต้องการ
คุณสมบตั /ิ คุณลกั ษณะที่ดขี น้ึ สมบรู ณต์ อ้ งจ่ายค่าใชบ้ รกิ ารเป็นรายเดอื น ได้แก่

162

3.5.1 Pikachart จาก https://piktochart.com/
3.5.2 Canva จาก https://www.canva.com/en_in/create/infographics/
3.5.3 Venngage จาก https://venngage.com/
3.5.4 Visme จาก https://www.visme.co/
3.5.5 Easelly จาก https://www.easel.ly/
3.6 ขัน้ ตอนในการสรา้ งอนิ โฟกราฟกิ
ผู้ที่จัดทำอินโฟกราฟิกจำนวนไมน่ ้อยทีพ่ บวา่ ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ มีความคิดจำนวนมาก ๆ ที่
นา่ รบั ฟงั แต่ปราศจากความร้ใู นเชิงปฏบิ ัติในการทีน่ ำความคดิ เหลา่ นนั้ สง่ ใหก้ บั ผู้อา่ นได้อยา่ งจับใจ
ต่อไปนี้เป็นการฝึกฝนการสร้างอินโฟกราฟิกแบบทีละขั้นตอน เพื่อเปลี่ยนความปรารถนาที่มีอยู่
ให้กลายเป็นอินโฟกราฟิที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสาร และเทคนิคที่จะรู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะได้สร้าง
อินโฟกราฟิกได้
3.7 ระบุผรู้ บั ชม
ขั้นตอนแรกของการสร้างข่าวสารที่ต้องการจะสื่อสารที่ไม่ว่าจะเป็นข้อความหรือองค์ประกอบกราฟกิ
คือ จะต้องระบุให้ได้ความข่าวสารที่จะทำการสร้างขึ้นนี้ต้องการจะสื่อสารไปยังใคร ใครคือผู้รับชม โดยจะต้อง
ระบลุ ักษณะของผู้รับชมว่า เขาคือผบู้ ริหารระดับสงู เขาคอื มหาเศรษฐพี นั ล้าน เปน็ แม่บา้ นทำงานบา้ น คำตอบ
ทไ่ี ด้รับจากคำถามนี้จะใช้เพอื่ กำหนด โทนสี อารมณ์ และธมี ท่ีจะนำมาใช้ในการสร้างงาน
3.8 กำหนดเป้าหมายในการจดั ทำ
ในขั้นตอนนี้ผู้จัดทำจะต้องถามตนเองว่า อะไรคือความสำเร็จในการจัดทำอินโฟกราฟิกชิ้นนี้ ต่อไปน้ี
เป็นตัวอยา่ งของวัตถุประสงคใ์ นการจัดทำอินโฟกราฟิก
3.8.1 ตอ้ งการนำเสนอแนวโนม้ หรือแพทเทรินข์ องขอ้ มูลที่ไม่เคยแสดงมาก่อน
3.8.2 ต้องการแยกสารสนเทศท่ีมคี วามซับซ้อนออกเป็นสว่ นยอ่ ยและนำเสนอ
3.8.3 ตอ้ งการนำเสนอผ้ชู มในการสร้างสรรค์บางอย่างแบบทลี ะข้นั ตอน
3.8.4 สร้างความตระหนักรเู้ ก่ยี วกบั สาเหตุหรือปญั หาบางประเดน็
3.8.5 สรา้ งความเข้าใจทค่ี รอบคลมุ ในแตล่ ะหวั ขอ้ ย่อย
3.8.6 ทำการเปรียบเทยี บ สินคา้ /แนวคดิ จำนวนสองหรือมากกวา่
3.8.7 เปลีย่ นเรอื่ งเลา่ ให้กลายเปน็ ไทม์ไลน์
ซึ่งวัตถุประสงค์แต่ละข้อจะนำไปสู่รูปแบบอินโฟกราฟิกที่แตกต่างกันออกไป สำหรับการที่เลือก
รปู แบบนีข้ อใหย้ ้อนไปดใู นส่วนก่อนหน้านี้
3.9 กำหนดสอ่ื
โลกในปัจจุบันนี้มีการสร้างอินโฟกราฟิกเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาดและนำไปเผยแพร่ในระบบ
ออนไลนเ์ ปน็ จำนวนมาก เพอ่ื ที่จะได้ประหยดั เวลาและทรพั ยากรทางดา้ นการตลาด
หากการสร้างอินโฟกราฟิกนี้เป็นเพียงการสร้างรายงานเพื่อพิมพ์ออกมาแจกในการประชุมแล้ว สิ่งท่ี
ผู้จัดทำอินโฟกราฟิกจะต้องสนใจคือ ขนาดของอินโฟกราฟกิ รูปแบบของแฟ้มท่ีใช้ และความละเอียดของภาพ
ท่ีจะนำมาใช้

163

อินโฟกราฟิกที่เหมาะสมสำหรับการพิมพ์ควรจะมีขนาดประมาณใบปลิว และต้องสามารถพิมพ์ลงใน
กระดาษขนาดจดหมาย คือ ขนาด 8.5 x 11 นิ้ว แต่หากใช้กับเว็บควรจะเป็นอินโฟกราฟิกในแนวยาวเพื่อให้
ผอู้ า่ นสามารถทำการสกอรข์ ้อความทีต่ ้องการอา่ นได้ ขนาดความละเอยี ดไม่ควรน้อยกวา่ 800x1600 พกิ เซล

3.10 เลือกหวั เร่อื ง
กระบวนการที่ใช้ในการสร้างอินโฟกราฟิกเพื่อนำไปแบ่งปันนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากกระบวนการสร้าง
งานเขียนเพ่อื นำไปใชใ้ นการส่ือสาร ขอใหค้ ิดถึงช่วงเวลาท่ไี ด้จัดทำหัวข้อรายงานว่า ในช่วงเวลานน้ั ทำการเลือก
หัวข้อได้อย่างไร ซึ่งอาจจะเริ่มจากการพยายามจัดเรียงลำดับความคิดเพื่อให้เห็นถึง แกนของงานและ
สิง่ ท่นี ำมาสนบั สนนุ ช้นิ งาน
การจัดทำอินโฟกราฟิกก็เช่นกัน ควรเริ่มต้นจากการถามตนเองว่าในการจัดทำอินโฟกราฟิกครั้งน้ี
ผู้จัดทำได้ทำการค้นหาข้อมูลแล้วพบว่ามีข้อมูลที่หนักแน่นสนับสนุนการจัดทำงานในครั้งนี้แล้วหรือไม่ หรือ
ผู้จัดทำควรที่จะต้องทำการค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่จะสามารถนำมาสนับสนุนชิ้นงานที่ต้องการ
จดั ทำข้นึ
3.11 ค้นหาขอ้ มูลและสารสนเทศทถ่ี กู ต้อง
หากผู้จัดทำอินโฟกราฟิกยังคงอยู่ในช่วงเวลาของการสำรวจเพื่อที่จะขยับเข้าใกล้ข้อมูล และ
สารสนเทศที่ถูกต้องที่ต้องการจะนำมาใช้ในการสร้างอินโฟกราฟิก แหล่งข้อมูลต่อไปนี้เป็นแหล่งข้อมูล
ทน่ี ่าสนใจ

3.11.1 โพล หรือรายงานผลการวิจัยท่ีมกี ารตพี ิมพ์เผยแพรล่ า่ สุด
3.11.2 รายงานจากหนว่ ยงานสำคัญต่าง ๆ ท่พี ึ่งถูกเผยแพร่
3.11.3 ข่าวล่าสดุ
3.11.4 ข้อมลู เชงิ ลกึ ของบริษัททน่ี า่ สนใจ
3.11.4 ผลการศกึ ษาจากสถาบันอุดมศกึ ษา
3.11.5 บทสัมภาษณ์ของผู้เชย่ี วชาญ และลูกค้าคนสำคญั
3.11.6 ขอ้ มูลทไี่ ดด้ ำเนนิ การสำเรจ็ เอง
3.12 ทำการประมวลผลขอ้ มลู ทไ่ี ด้มา
เมอื่ ไรกต็ ามท่ีมีผจู้ ัดทำอินโฟกราฟิกได้รับข้อมลู และสารสนเทศท่พี รอ้ มท่จี ะนำมาใช้ตอบโจทยป์ ญั หาที่
ได้กำหนดไว้หรือข้อมูลและสารสนเทศนั้นสามารถสนับสนุนประเด็นที่ผู้จัดทำอินโฟกราฟิกสนใจ สิ่งที่ผู้จัดทำ
อินโฟกราฟกิ จะตอ้ งดำเนินการต่อ คือ ดำเนนิ การเปล่ยี นข้อมลู ท่ีได้รับมาให้อยูร่ ูปแบบที่ผจู้ ัดทำสามารถใช้งาน
ได้ง่ายและสะดวก
โดยในการทำงานนั้น ผู้จัดทำอินโฟกราฟิกอาจจะต้องทำการนำข้อมูลที่ได้รับมาบันทึกเข้าไว้ใน
โปรแกรมสเปรดชีทต่าง ๆ เป็นการเตรียมความพร้อมให้กับการนำมาใช้ในการประมวลผลต่อไป หากข้อมูลที่
ไดร้ ับมาอย่ใู นรปู แบบของภาพ หากผจู้ ัดทำอนิ โฟกราฟิกสะดวกอาจจะตอ้ งใช้โปรแกรมแปลงภาพเป็นข้อความ
(Optical Character Reader: OCR) เขา้ มาช่วยในการดำเนนิ การ
3.13 สร้างเร่ืองราวจากขอ้ มลู
ในขั้นต่อไปคือ การสัมภาษณ์ข้อมูลที่ได้ดำเนินการรวบรวมมา แน่นอนที่ผู้จัดทำฟังไม่ผิด ขั้นตอนน้ี
คือ การสัมภาษณ์ตัวข้อมูลที่ผู้จัดทำได้รวบรวมมา ทำการสัมภาษณ์เพื่อที่สร้างเป็นเรื่องราวที่เปี่ยมคุณค่าที่จะ

164

นำมาเลา่ การสัมภาษณก์ ระทำได้โดยวิธกี ารต้งั คำถามกับขอ้ มูลที่เก็บรวบรวมมา การใชค้ ำถามจะทำให้ผู้จัดทำ
อินโฟกราฟิกเกิดมุมมองใหม่กับข้อมูลเดิมที่ได้รับมา เป็นมุมมองที่นำไปแทนที่การใช้วิธีการอ่านและ
แปลความหมายตรง ๆ แบบเดิม เพราะการเปลี่ยนเป็นการตั้งคำถามจากข้อมูลจะทำให้ข้อมูลมีความน่าสนใจ
เพ่ิมมากขึน้

จากนั้นหลังจากที่ได้ทำการขจัดข้อผิดพลาดต่าง ๆ ออกไปจากข้อมูลที่ได้มา จนกระทั่งได้ผลลัพธ์เป็น
สารสนเทศท่เี หมาะสมตามวตั ถุประสงคใ์ นการสรา้ งอนิ โฟกราฟกิ แลว้ กค็ วรจะเริ่มลงมือนำขอ้ มูลท่ีจัดเตรียมไว้
มาทำการหาผลลัพธ์ต่าง ๆ เพื่อให้มีความหมายมากขึ้นมา เช่น การเรียงลำดับข้อมูลใหม่ อาจจะเรียงจากน้อย
ไปมากหรือมากไปน้อย เรียงใหม่อีกครั้งตามภูมิภาคหรือที่ตั้ง จัดทำเป็น ชาร์ต และ/หรือกราฟ ต่าง ๆ ทำการ
ทบทวนขอ้ มูลเพอ่ื ให้เห็นขอ้ เท็จจรงิ เก่ียวกบั รูปแบบแพทเทรินข์ องขอ้ มูล เช่น

3.13.1 มกี ารเปล่ียนแปลงตลอดเวลาไหม
3.13.2 ความแตกต่างและความคลา้ ยคลงึ กนั ระหวา่ งรายการ
3.13.3 รวมกนั เพ่อื ใหไ้ ดอ้ งค์ประกอบท่ีใหญข่ น้ึ
3.13.4 อะไรคอื ความสมั พันธ์ระหวา่ งตัวแปรตา่ ง ๆ ทปี่ รากฏในขอ้ มลู

4. การสรา้ งอนิ โฟกราฟกิ ด้วยพาวเวอร์พอยต์

ต่อไปจะเป็นการฝึกสร้างอินโฟกราฟิกด้วยซอฟต์แวร์ไมโครซอฟต์พาวเวอร์พอยต์ โดยต้องการให้ได้
ผลลพั ธข์ องอินโฟกราฟิก ดงั ตอ่ ไปนี้

ภาพที่ 17 เท็มเพลตสำหรบั การสร้างอนิ โฟกราฟกิ

165

ก่อนที่จะลงมือในการสร้างอินโฟกราฟิกด้วยพาวเวอร์พอยต์ด้วยตนเองนั้น ควรทราบว่าปัจจุบันมีการ
สร้างเท็มเพลตเพื่อใช้ในการสร้างอินโฟกราฟิกเป็นจำนวนมาก โดยสามารถดาวน์โหลดได้จาก http://www.
free-power-point-templates.com/ หรือ https://www.free-power-point-templates.com/articles/
tag/infographics/ ซึ่งผู้จัดทำอินโฟกราฟิกสามารถคัดเลือกรูปแบบของเท็มเพล็ตที่เหมาะสมกับงานได้ด้วย
ตนเอง หากต้องการเท็มเพล็ตที่สามารถเคลื่อนไหวได้อาจจะดาวนโหลดจาก https://www.free-power-
point-templates.com/articles/animated-infographics-template-for-powerpoint/

4.1 ตอ่ ไปเป็นข้นั ตอนในการสรา้ ง
ขน้ั ที่ 1 สร้างสไลดว์ ่างเปลา่ โดยกำหนดให้รปู แบบในการใช้งานเปน็ แบบ Portrait

ภาพที่ 18 สรา้ งสไลดว์ า่ งเปลา่ ในโปรแกรมไมโครซอฟตพ์ าวเวอรพ์ อ้ ยท์
ขั้นที่ 2 เปลย่ี นขนาดของสไลดใ์ ห้กวา้ ง 6 นว้ิ สงู 12 นวิ้ โดยเลอื กเมนู Design Page setup
ขั้นที่ 3 เริ่มต้นจากอินโฟกราฟิกโดยการใช้ฟังก์ชันในการวาดของพาวเวอร์พอยต์ ด้วยการเลือกเมนู
Insert shape และทำการเติมขอ้ ความลงไปใน shape ซงึ่ หากมรี ปู ภาพกส็ ามารถทำไดเ้ ช่นกัน
เพิ่มเติม : ในกรณีที่ต้องการแสดงกระบวนการหรือไดอะแกรม สามารถเลือกใช้งาน SmartArt แต่
ยังคงสามารถใชอ้ งคป์ ระกอบพ้นื ฐาน ได้แก่ ตาราง ชารต์ และกราฟ ได้ดังภาพที่ 19

166

ภาพที่ 19 การเลือกใชง้ าน SmartArt
ขนั้ ท่ี 4 ใส่ลูกศรโยง ตามสไลด์ดา้ นบน

5. การใช้งาน CANVA

การเรม่ิ ต้นการใช้งานเว็บไซต์ CANVA ทำได้โดยพิมพท์ ีอ่ ยู่ CANVA.COM ทีบ่ รรทดั ที่อยู่ของโปรแกรม
เวบ็ เบราว์เซอร์ ได้ส่วนเมนดู งั ภาพที่ 20

ภาพท่ี 20 การเร่ิมตน้ การใช้งานเวบ็ ไซต์ CANVA
จากนั้นผู้ใช้จะต้องเลือกการเข้าสู่ระบบการใช้งานของ canva โดยสามารถเลือกวิธีการเข้าใช้งานได้
เป็น 3 รปู แบบ ดังน้ี เมือ่ เขา้ สู่หนา้ แรกจะให้ทำการเร่มิ ตน้ การใชง้ าน CANVA โดยเลอื ก 3 วิธีคอื

167

1
2
3

ภาพที่ 21 หนา้ ต่างสำหรับการ Sign in
เมอื่ ทำการ Sign in จะเข้าส่หู นา้ โปรแกรม CANVA จะมีเมนูใหเ้ ลอื ก 5 เมนู คอื Home, Templates,
Discover, Learn และ Pricing ดงั ภาพเหล่านี้

168

ภาพท่ี 22 หนา้ แรกของโปรแกรม CANVA

เมนู Home

ภาพท่ี 23 เมนู Home ของโปรแกรม CANVA

169

เมนู Templates

ภาพที่ 24 เมนู Templates ของโปรแกรม CANVA

เมนู Discover

ภาพที่ 25 เมนู Discover ของโปรแกรม CANVA

170

เมนู Learn

ภาพท่ี 26 เมนู Lean ของโปรแกรม CANVA

เมนู Pricing

ภาพที่ 27 เมนู Pricing ของโปรแกรม CANVA
5.1 การสร้างอินโฟกราฟิกดว้ ย CANVA
โดยเข้า Canva จาก https://www.canva.com/en_in/create/infographics/ จะปรากฏหน้าจอ
ดังภาพด้านล่าง ให้คลิกที่ปุ่ม Start Designing and Infographic เพื่อเข้าสู่หน้าจอการออกแบบ ดังภาพท่ี 28
และ 29

171

ภาพที่ 28 หนา้ จอสำหรับเข้าส่กู ารออกแบบ

เลือกเทมเพลทนี้

ภาพที่ 29 หนา้ จอสำหรับการออกแบบ
ลองสร้างชิ้นงาน จากเทมแพลตที่เลือกจากด้านบนและใส่ข้อความแต่ละส่วนดังน้ี ประกอบด้วย
สว่ นหัว คือ ภาพท่ี 30

ภาพท่ี 30 สว่ นหัวที่สรา้ งโดยโปรแกรม CANVA

172

ส่วนเนอื้ หา ประกอบดว้ ย สว่ นแนะนำ คือ ภาพที่ 31

ภาพที่ 31 สว่ นเนอื้ หา
และสว่ นรายละเอียด ได้แก่ ภาพท่ี 32

ภาพท่ี 32 สว่ นรายละเอยี ด

173

และส่วนท้าย ไดแ้ ก่ ภาพที่ 33
ภาพท่ี 33 สว่ นท้าย

โดยเม่อื นำทุกสว่ นมาประกอบดว้ ยกันจะได้ ดังรูปด้านลา่ ง

174

ภาพท่ี 34 อินโฟกราฟิกที่สมบรู ณม์ ื่อนำทุกสว่ นมาประกอบเข้าดว้ ยกนั

175

6. บทสรุป

อินโฟกราฟกิ เป็นการแสดงข้อมูลสารสนเทศออกมาในรปู แบบของภาพ โดยมีจดุ มุ่งหมายเพอื่ ให้ข้อมูล
สารสนเทศที่แสดงออกนั้นเข้าใจได้ง่ายในทันที คุณลักษณะของอินโฟกราฟิกที่ผู้จัดทำอินโฟกราฟิกต้องมี คือ
การบอกเล่าเรื่องราว มีการนำพาสายตาไปบนเส้นทางที่ผู้จัดทำได้ดำเนินการกำหนดไว้ มีโครงสร้างที่ดีโดยมี
การส่งข้อความที่สำคัญเพียงหนึ่งข้อความ สามารถดึงดูดสายตาของผู้พบเห็น มีความถูกต้องและข้อมูล
สารสนเทศที่นำมาประกอบจะต้องได้รับการค้นคว้ามาเป็นอย่างดี ประเภทของอินโฟกราฟิก ได้แก่ นำเสนอ
ตามลำดับ นำเสนอตามตัวอักษร นำเสนอตามภูมิลักษณะ นำเสนอตามกลุ่มย่อยและนำเสนอเป็นลำดับชั้น
รูปแบบการจัดวางอินโฟกราฟิกมักจัดวางตามรูปแบบต่อไปนี้ ภาพของประวัติส่วนตัวหรือภาพของบทความ
แบบสารสนเทศหรือรายการ การเปรียบเทียบ แบบกายวิภาคหรือแบบโครงสร้าง แบบเส้นเวลา แบบ
กระบวนการหรือผังงาน แบบแผนที่ถนน แบบสถานที่ แบบเน้นที่ประโยชน์ และแบบภาพของตัวเลข
(Visualized Numbers) หรือข้อมูลตัวเลขจำนวนมาก องค์ประกอบที่ใช้ในการแสดงอินโฟกราฟิก ได้แก่ สี
ฟอนต์ ไอคอนและภาพ เปน็ ต้น

176

เอกสารอา้ งอิง

สุธาสินี โพธจิ นั ทร.์ (2558). PDCA หวั ใจสำคัญของการปรับปรุงอยา่ งต่อเนอื่ ง, จาก
https://www.ftpi.or.th/2015/2125

How To Create Infographics Using PowerPoint, จาก https://www.free-power-point-
templates.com/articles/how-to-create-infographics-using-powerpoint/

Infographic Thailand. (2557). ออกแบบ Infographic ด้วย 9 Layout, จาก
http://infographic.in.th/infographic/ออกแบบ-infographic-ด้วย-9-layout

Mei Chow. Layout Cheat Sheet: Making the Best Out of Visual Arrangement, จาก
https://piktochart.com/blog/layout-cheat-sheet-making-the-best-out-of-visual-
arrangement/

What is an Infographic, จาก https://icons8.com/articles/what-is-an-infographic/

177

คำถามทา้ ยบทท่ี 6

ส่วนที่ 1 เปน็ คำถามปรนยั
คำสงั่ จงกากบาท (X) คำตอบทถ่ี กู ตอ้ ง

1. Infographic มาจากคำว่าอะไร
ก. Informational graphic
ข. Information graphic
ค. Infomational graphical
ง. Infomational graphic

2. ขอ้ ใดไมใ่ ช่คณุ ลกั ษณะของอินโฟกราฟิก
ก. มกี ารบอกเลา่ เรอื่ งราว
ข. มโี ครงสรา้ งทด่ี ี
ค. สามารถดงึ ดดู สายตาของผพู้ บเหน็
ง. สามารถสง่ ขอ้ ความได้หลายข้อความ

3. ขอ้ ใดไมจ่ ัดเป็นประเภทของอินโฟกราฟกิ
ก. นำเสนอเปน็ กลุ่มใหญ่
ข. นำเสนอตามภมู ิลกั ษณะ
ค. นำเสนอตามตัวอักษร
ง. นำเสนอเป็นลำดบั ชัน้

4. ข้อใดจดั อยใู่ นการเสนอแบบตามลำดับ
ก. การนำเสนอขอ้ มลู เรยี งลำดบั ตามตัวอักษร
ข. นำเสนอข้อมูลและสารสนเทศตามชว่ งเวลาและลำดบั ของการเกิดขึ้น
ค. นำเสนอทีแ่ สดงข้อมูลและสารสนเทศออกมาเปน็ ลำดบั หรอื ชัน้ ภมู ิ
ง. นำเสนอขอ้ มูลและสารสนเทศตามตำแหน่งพืน้ ทตี่ ามภูมศิ าสตร์

ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามขอ้ 5-6
ก. เป็นตัวเลขทน่ี า่ สนใจโดยเลือกใช้รูปกราฟในแบบเดยี วกนั
ข. ตอ้ งใหค้ วามสำคัญกับการอ่านและการทำความเข้าใจได้ง่าย มากกว่ารูปภาพที่สวยงาม
ค. เรอ่ื งตอ้ งน่าสนใจพอท่คี นอยากจะรทู้ ีละข้นั ตอน
ง. ตอ้ งมกี ารสรุปบทความและการเลือกประเด็นในการนำเสนอ

5. ข้อใดเป็นเทคนคิ ทำอย่างไรหรือแบบเนน้ ทีป่ ระโยชน์
6. ขอ้ ใดเปน็ เทคนิคแบบแผนทถ่ี นน

178

ใช้ตวั เลือกตอ่ ไปนต้ี อบคำถามข้อ 7-8
ก. เป็นรปู การนำเสนอแบบทว่ั ไปทใ่ี ชอ้ ินโฟกราฟกิ ที่เปรยี บเทียบระหว่างของสองส่ิง
ข. รูปแบบการนำเสนอแบบนีจ้ ะเปน็ นำเสนอในแนวยาว ทเ่ี น้ือหาสว่ นใหญ่จะประกอบด้วยขอ้ ความ
ค. แสดงให้เหน็ แนวโน้มของการสอ่ื สารในแบบรปู ภาพ ข้าม ภมู ภิ าค ชาติหรอื โลก
ง. การวางแบบทแี่ สดงใหเ้ หน็ กระบวนการหรือการบอกเลา่ เร่ืองราว

7. ขอ้ ใดเป็นรปู แบบการจัดวางแบบแผนที่ถนน
8. ข้อใดเปน็ รปู แบบการจดั วางแบบสถานท่ี
9. ข้อใดไมจ่ ดั อยใู่ นแบบเนน้ ทป่ี ระโยชน์

ก. เหมาะสมกบั การเล่าประวัตหิ รือการเดินทางของบางสิ่งบางอยา่ ง
ข. ถกู นำมาใชเ้ มือ่ ผู้จัดทำต้องการแสดงลำดับข้นั ตอนที่ใช้ในการดำเนินการดา้ นการผลติ
ค. แสดงให้เหน็ ถึงวธิ ีทำบางอยา่ ง ทีส่ ามารถอา่ นแลว้ นำไปใชไ้ ด้ในทนั ที
ง. รปู แบบนีจ้ ะใหค้ วามสำคญั กบั การนำไปใชง้ านจริง
10. ข้อควรระวงั ของแบบกระบวนการหรอื โฟลว์ชารต์
ก. ความยงุ่ เหยงิ ของเสน้
ข. ระยะหา่ งของแตล่ ะจุด
ค. การใช้สที ่ีตรงข้าม
ง. ความเหมาะสมของหวั ข้อย่อย

179

ใบงานปฏบิ ตั ิ
สรา้ งอินโฟกราฟิกดว้ ยพาวเวอร์พอยต์ในการนำเสนอวงจรคุณภาพ

วิชา เทคโนโลยเี พอื่ พาณิชย์อเิ ลก็ ทรอนิกส์ เร่อื ง การจดั ทำอินโฟกราฟกิ

วัตถุประสงค์
1. ประยกุ ต์ใชค้ วามรดู้ ้านอินโฟกราฟิก

วตั ถปุ ระสงคเ์ พิง่ พฤติกรรม
1. เขา้ ใจกระบวนการใช้การสร้างอนิ โฟกราฟิก
2. วเิ คราะหง์ านเพ่ือนำมาใชส้ รา้ งอินโฟกราฟกิ ได้
3. สรา้ งอนิ โฟกราฟกิ เพอ่ื นำเสนอได้

ความรทู้ ว่ั ไปเกีย่ วกับวงจรคณุ ภาพ
วงจรคุณภาพ คือ Deming Cycle เป็นแนวคิดของศาสตราจารย์ด้านการบริหารคุณภาพชื่อ W.

Edwards Deming โดยเดมมิง่ เปน็ ผนู้ ำมาเผยแพร่ใหใ้ ช้เปน็ เคร่อื งมอื สำหรบั การปรบั ปรงุ กระบวนการ บางคร้งั
ถกู เรียกวา่ กระบวนการ PDCA โดยความหมายของ PDCA ประกอบดว้ ย

- Plan คอื การวางแผนกอ่ นการดำเนนิ การ
- Do คือ การดำเนนิ การตามแผนท่ไี ดก้ ำหนดไว้
- Check คือ การตดิ ตามผลการดำเนินการว่าบรรลตุ ามแผนแล้วหรอื ไม่
- Act คือ การกระทำการอย่างใดอย่างหนง่ึ อย่างเหมาะสมเพ่ือปรับปรุงในส่วนที่ผลลพั ธท์ ไี่ ดจ้ ากการ
ดำเนนิ การไม่เป็นไปตามแผนท่วี างไว้
ทุกครั้งที่มีการดำเนินการตามกระบวนการ PDCA เป็นการขับให้วงจรนี้หมุนครบรอบ และผลลัพธ์
จากการดำเนินการในวงจรรอบแรกจะก่อให้เกิดมาตรฐานของการทำงานในขั้นแรก และเป็นแรงขับส่งไปยัง
การเริ่มต้นกระบวนการ PDCA รอบต่อไปเพื่อสร้างมาตรฐานในระดับที่สูงขึ้นทีละระดับไปเรื่อย ๆ ไม่ส้ิน
กอ่ ใหเ้ กดิ การปรบั ปรงุ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ดังภาพตอ่ ไปน้ี

ภาพการหมนุ ของวงจรคณุ ภาพ
ท่ีมา : https://www.ftpi.or.th/wp-content/uploads/2015/03/pdca-1.jpg

180

เครอื่ งมือและอุปกรณ์
1. เครื่องคอมพวิ เตอรเ์ พอื่ ฝึกปฏิบตั ิ
2. โปรแกรมพาวเวอรพ์ อยต์

ขนั้ ตอนการดำเนนิ การ
1. วเิ คราะหค์ วามรูเ้ กย่ี วกบั วงจรคณุ ภาพ
2. เลือกการจดั วางรูปแบบ
3. จดั ทำอนิ โฟกราฟิก

ผลการดำเนนิ การ
หลังจากวเิ คราะหค์ วามร้เู ก่ยี วกับวงจรคุณภาพ
ผู้รบั ชม คือ
เป้าหมายในการนำเสนอ

สอ่ื ทใี่ ช้

แหลง่ ค้นคว้าขอ้ มลู

การประมวลขอ้ มลู

สรปุ เร่อื งราวท่ีนำเสนอ

181

การตัดสินเลือกการจัดวางรูปแบบ และเหตผุ ลประกอบการตัดสนิ ใจ

182

บทท่ี 7

เทคโนโลยีเพ่ือการวเิ คราะหข์ อ้ มูลและการตดั สนิ ใจทางธุรกจิ
(Technology for Data Analysis and Business Decision making)

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. เขา้ ใจความหมายของขอ้ มลู และแนวทางการตดั สนิ ใจทางธุรกิจ
2. เข้าใจแนวทางการวเิ คราะหข์ อ้ มูลตามกระบวนการมาตรฐานสำหรบั การทำเหมืองขอ้ มลู
3. สามารถอธบิ ายความหมายและแนวทางการวเิ คราะห์ข้อมลู ได้

183

ธุรกิจ ตามนิยามของราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง การงานประจำเกี่ยวกับอาชีพค้าขาย
หรือกิจการอย่างอื่นที่สำคัญและที่ไม่ใช่ราชการ หรือการประกอบกิจการเพื่อมุ่งการค้าหากำไร ซึ่งโครงสร้าง
และรูปแบบการทำธุรกิจหรือการค้าขายตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบันที่เริ่มเข้าสู่ยุคธุรกิจดิจิทัล (business digital)
นั้น ธุรกิจจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ ยังคงให้ความสำคัญกับการมี
ทต่ี ้งั ของสถานประกอบการ หรอื ท่ีนิยมเรียกวา่ หนา้ ร้าน

หน้าร้าน ในที่นี้หมายถึง ธุรกิจแบบมีหน้าร้าน ปัจจุบันแม้ธุรกิจที่อยู่ระหว่างการเริ่มต้นดำเนินธุรกิจ
พบว่าเจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการจำนวนมากยังคงให้ความสำคัญกับการเลือกทำเลที่ตั้งของหน้าร้านให้
เหมาะสมกับธุรกิจของตน โดยเป้าหมาย คือ การมีสถานที่ที่ใช้ในการแสดงหรือการนำเสนอสินค้าหรือบริการ
รวมถึงการดำเนินกิจกรรมการซื้อ-ขาย ตลอดจนส่งมอบสนิ คา้ หรือบรกิ ารระหว่างผู้ประกอบการและผซู้ ือ้ สร้าง
ความมั่นใจในการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการและลูกค้าได้ดีมาก ซึ่งการเลือกทำเลที่ต้ัง
หนา้ รา้ นทเ่ี หมาะสมกบั ธุรกิจเปน็ อกี ปัจจัยทส่ี ำคัญในการดำเนินธรุ กจิ

ทำเลที่ตั้งหน้าร้าน ที่เหมาะสมกับธุรกิจแม้จะมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจแบบมีหน้าร้าน แต่ก็
ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ในการเลือกที่ตายตัว ตัวอย่างเช่น ธุรกิจขายต้นไม้ เจ้าของธุรกิจควรเลือกหน้าร้านที่ตั้งอยู่ใน
ตลาดต้นไม้หรืออยู่ในบริเวณที่ใกล้กับตลาดขายต้นไม้มากที่สุด เนื่องด้วยธรรมชาติของผู้ซื้อที่ต้องการซือ้ ต้นไม้
นั้นมีโอกาสสูงที่จะตัดสินใจเลือกที่จะไปยังตลาดต้นไม้มากกว่าจะไปห้างสรรพสินค้าเพราะจำนวนและความ
หลากหลายของสินค้า รวมถึงการแข่งขันทางการค้าระหว่างหน้าร้านที่ขายต้นไม้ชนิดเดียวกันในตลาดต้นไม้มี
สูงกว่าในห้างสรรพสินค้าหรือธุรกิจขายหนังสือ เจ้าของธุรกิจควรเลือกหน้าร้านที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้าท่ีมี
ผู้คนจำนวนมากเข้าไปจับจ่ายใช้สอย บริเวณสนามบิน สถานีรถทัวร์ หรือสถานีรถไฟ เป็นต้น เนื่องด้วย
ธรรมชาติของผู้ซื้อที่ต้องการซื้อหนังสือนั้นมีโอกาสสูงที่จะตัดสินใจเลือกที่จะไปห้างสรรพสินค้าเพราะร้าน
หนังสือขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่มักจะมีหน้าร้านตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า จึงทำให้โอกาสที่ผู้ซื้อจะได้
หนังสือที่ต้องการมีสูงเพราะหนังสือบางเล่มอาจไม่ได้ขายอยู่ในทุกร้านหนังสืออีกทั้งการจัดโปรแกรมส่งเสริม
การขายที่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละร้าน ส่งผลดีต่อผู้ซื้อในด้านการมีทางเลือกที่หลากหลาย แต่กรณีร้าน
หนังสือทเี่ ลือกทำเลอยใู่ นบรเิ วณสนามบิน สถานีรถทัวร์ หรือสถานีรถไฟนน้ั เปน็ เหตมุ าจากการศึกษาแนวโน้ม
ความน่าจะเป็นจากพฤติกรรมผู้บริโภคหรือผู้คนที่ไปยังสถานที่ดังกล่าวนั้นมีจำนวนหนึ่งที่กำลังจะเป็นผู้มาใช้
บริการในฐานะผู้โดยสารทีก่ ำลงั จะต้องเดินทางและใช้เวลากับการเดนิ ทางเป็นเวลาหลายชั่วโมง ทำให้การอ่าน
หนังสืออาจกลายเป็นหนึ่งในหลายกิจกรรมที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะถูกเลือกทำในระหว่างการเดินทาง หรือ
ธุรกิจร้านอาหารที่เจ้าของธุรกิจใช้บ้านเป็นหน้าร้าน ซึ่งอาจอยู่ในหมู่บ้านที่มีเส้นทางการเข้าถึงที่ซับซ้อน หรือ
ร้านอาหารที่เจ้าของธุรกิจใช้ทางเท้าข้างถนนเป็นที่ตั้งของร้าน แต่ก็มีผู้ซื้อแวะเวียนมาซื้ออาหารเป็นจำนวน
มาก ไม่วา่ จะเปน็ เพราะคณุ ภาพของวตั ถดุ ิบท่ีใชใ้ นการประกอบอาหาร หรือรสชาติท่อี รอ่ ยถกู ปากไดร้ ับการพูด
ถึงแบบปากต่อปาก หรือผ่านสื่อต่าง ๆ จากผู้ที่เคยรับประทานก็สามารถส่งผลให้มียอดขายหรือรายได้ดี แม้
ไม่ได้ตั้องอยู่ในตลาดอาหารหรือห้างสรรพสินค้า เป็นต้น จากตัวอย่างการเลือกทำเลที่ตั้งหน้าร้านของทั้ง 3
ธุรกิจข้างต้น แสดงให้เห็นว่าการเลือกทำเลหน้าร้านไม่มีกฎเกณฑ์การเลือกที่ตายตัว จำเป็นต้องพิจารณาจาก
หลายมุมมองที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินกิจกรรมซื้อ-ขาย ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างมีโอกาสได้พบปะ พูดคุยทำ
ความรู้จักซึ่งกันและกัน เปรียบเสมือนกับการสร้างโอกาสสำหรับการเข้าถึงสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้ซื้อ ส่งผล
โดยตรงต่อการเพิ่มยอดขายและอัตราเติบโตของธุรกิจ โดยเฉพาะการมีหน้าร้านอยู่ในแหล่งที่มีธุรกิจที่
คล้ายคลึงหรือสอดคล้องกันอยู่รวมกันหรือใกล้กันจะยิ่งสง่ ผลดีกับการเพิ่มโอกาสที่จะได้พบและนำเสนอสินคา้
หรือบริการให้กับผูช้ ื้อกลุ่มเป้าหมาย เมื่อพิจารณาในมุมของผู้ซื้อ ในกรณีที่มีความต้องการสินค้าหรือบริการใด
อย่างชัดเจน ผู้ซื้อมักจะหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการตลอดจนแหล่งที่ขายสินค้าหรือบริการที่ต้องการ

184

และแน่นอนว่าผู้ซื้อจะเลือกไปในแหล่งที่มีการขายสินค้าหรือบริการที่ต้องการเป็นหลักมาเป็นลำดับแรก
สาเหตุมาเพราะความต้องการมีทางเลือกที่หลากหลายเพื่อให้ได้ผลลัพธ์คือสินค้าและบริการที่ดีที่สุด ทั้งด้าน
คุณภาพ ราคา รวมถึงบริการหลังการขาย และหากจะพิจารณาจากมุมของเจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการ
รวมถึงผู้ขาย การมีหน้าร้านถือเป็นการเพิม่ โอกาสในการสร้างหรือเพิ่มยอดขายจากการไดพ้ ูดคุยเพื่อรบั รู้ความ
ต้องการของผู้ซื้อและนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความต้องการรวมถึงได้มีโอกาสในการนำเส นอสินค้า
อื่นที่เกี่ยวข้องหรือคาดว่าลูกค้าจะมีความสนใจเพียงพอจะนำไปสู่การซื้อสินค้าเพิ่มจากความต้องการเดิมได้
โดยมีอีกตัวแปรที่สำคัญ คือ เทคนิคและประสบการณ์เฉพาะบุคคลของผู้ขายที่นำมาประยุกต์ใช้ทั้งในระหว่าง
การดำเนินกิจกรรมการซื้อ-ขาย และหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมการซื้อขายในส่วนของการรวบรวม เรียบเรียบ
และบนั ทึกข้อมลู หรือพฤตกิ รรมการเลอื กซื้อสนิ ค้าหรอื บริการ รวมไปถึงการตดิ ตามสอบถามความพึงพอใจของ
ผู้ซื้อท่ีมีตอ่ สินค้าหรอื บริการทีซ่ ื้อไปในแตล่ ะครั้ง เพื่อนำไปใช้ประกอบการวิเคราะห์ความต้องการของผู้ซือ้ ราย
นี้หรือรายใหม่ถือเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนปรับปรุงและพัฒนาต่อยอดการดำเนินธุรกิจ ฉะนั้นการรวบรวม
เรียบเรียงและจัดข้อมูลที่เกี่ยวข้องหรือข้อมูลที่เกิดขึ้นระหว่าการดำเนินธุรกิจจัดเป็นข้อมูลสำคัญจึงควรต้องมี
การออกแบบและวางแผนถูกบรรจเุ ปน็ ข้นั ตอนหนง่ึ ในกระบวนการดำเนินธุรกจิ

ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ คือ อีกหนึ่งความท้าทายของเจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการท่ี
จะต้องทำการออกแบบและวางแผนเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าว เพื่อนำไปใช้ประกอบการวางแผนปรับปรุง
และพัฒนาต่อยอดการดำเนินธุรกิจของตน โดยมีเป้าหมาย คือ การลดความเสี่ยงหรือแนวโน้มที่ส่งผลให้ธุรกิจ
เกิดความล้มเหลวให้ได้มากที่สุด ซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินแต่ละธุรกิจจะเกิดขึ้นในระหว่างการ
ดำเนินงานทุกขั้นตอนหรือการดำเนินทุกกิจกรรมการซื้อ-ขายของธุรกิจ ซึ่งการศึกษาและทำความเข้าใจ
โครงสร้างและรปู แบบการดำเนินธรุ กิจเปน็ เพียงจุดเร่มิ ต้น แตท่ ่ีสำคัญเช่นกนั คือ การทำความเขา้ ใจผู้ซอ้ื หรอื ท่ี
เรียกว่าการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ผ่านข้อมูลที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการซื้อ-ขายระหว่างผู้ขายและผู้ซ้ือ
ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ซื้อรายใหม่หรือแม้แต่รายเดิมเข้ามาที่หน้าร้านด้วยวัตถุประสงค์ที่ต้องการซื้อสินค้าหรือ
บริการภายในร้าน นั้นหมายถึงต่างฝ่ายต่างมีโอกาสได้พบปะ พูดคุย ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ซึ่งผู้ขาย
สามารถเริ่มเก็บข้อมูลของผู้ซื้อจากการพูดคุย ผ่านการสังเกตุ การจำและการบันทึกความสนใจ ความชอบ ไป
จนถึงคำถามที่ลูกค้ามีต่อผลิตภัณฑ์เพราะการเดินเข้ามาที่หน้าร้านของลูกค้า หมายถึง โอกาสที่ลูกค้าจะได้
สำรวจ ไดเ้ หน็ ได้ชมหรอื ทำการทดลองใชส้ ินคา้ หรือบรกิ ารก่อนการตดั สนิ ใจซอ้ื รวมไปถึงการสอบถามขอ้ มูลที่
ต้องการทั้งข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นและวิธีการแก้ปัญหาเบื้องต้น ไปจนถึงบริการ
หลังการขาย จากความข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ในทุกกิจกรรมการซื้อ-ขายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายสามารถ
ก่อให้เกดิ ข้อมูลมากมาย ซึง่ เปน็ ข้อมูลผู้ซือ้ แบบเฉพาะบคุ คล

ข้อมูลผู้ซื้อแบบเฉพาะบุคคลที่มีการรวบรวม เรียบเรียง และจัดเก็บข้อมูลอย่างมีระบบระเบียบ
สามารถสืบค้นได้ เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว พบว่า หากผู้ประกอบการหรือผู้ขายมีการจัดเก็บข้อมูล
ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคลไว้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ จะมีประโยชน์มากเนื่องจากสามารถนำมาใช้วิเคราะห์
โดยมีเปา้ หมายเพ่อื ตอ่ ยอดและเพ่ิมยอดขายได้ ตวั อยา่ งเช่น หากเจา้ ของธุรกจิ หรอื ผปู้ ระกอบการมขี ้อมูลลูกค้า
แบบเฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลช่องทางการติดต่อ รวมไปถึงพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น
ประวัติการซื้อ ประวัติการซื้อซ้ำ ความชอบเฉพาะของผู้ซื้อแต่ละคนที่ได้จากการพูดคุยระหว่างการดำเนิน
กิจกรรมซื้อ-ขาย หรือได้จากการสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อสินค้าหรือบริการที่ซื้อไป เมื่อเจ้าของธุรกิจหรือ
ผู้ประกอบการมีสินค้าหรือบริการใหม่ที่ต้องการเปิดตัวจำหน่าย ทางลัดที่นิยมถูกเลือกใช้ คือ การพิจารณา
ข้อมูลคุณสมบัติหรือคุณลักษณะของสินค้าหรือบริการและเปรียบเทียบกับข้อมูลผู้ซื้อแบบเฉพาะบุคคลที่ถูก
จดั เก็บไว้ มาค้นหาความสอดคลอ้ งระหวา่ งสินค้าหรือบริการและพฤติกรรมการบริโภคของผูซ้ ้ือโดยมีเป้าหมาย

185

คือ การเสนอขายสนิ ค้าแก่ผซู้ อ้ื ทค่ี าดว่าจะมคี วามสนใจเพยี งพอนำไปสูก่ ารซื้อ-ขายสนิ ค้าใหม่ดังกล่าว ซ่ึงจัดว่า
เป็นอีกรูปแบบของรสร้างหรือเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการจากเทคนิคการ วิเคราะห์ข้อมูลแบบง่าย
หรือแบบพน้ื ฐาน ทน่ี ยิ มใชอ้ ย่างแพรห่ ลายตั้งแตอ่ ดตี จนถงึ ปัจจุบัน แมว้ ิธีการดังกล่าวจะได้รับความนิยมเพราะ
อัตราการประสบความสำเร็จสงู แต่ก็มีข้อด้อยหรือข้อเสียท่ีผู้ประกอบการหรือเจ้าของธรุ กิจต้องคำนงึ คือ การ
บริหารจัดการข้อมูลแบบส่วนกลาง อันหมายถึง การจัดเก็บข้อมูลลูกค้าแบบเฉพาะบุคคลโดยผู้ขายแบบ
ปราศจากการส่งหรอื ทำสำเนาขอ้ มลู ส่งใหส้ ่วนกลางหรอื ในทีน่ ี้หมายถึงเจ้าของธรุ กิจหรือผปู้ ระกอบการ เทา่ กับ
การหมดโอกาสในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่เกิดจากกิจกรรมการดำเนินธุรกิจของตน รวมถึงอาจ
กลายเปน็ ความเส่ียงในการสญู เสยี ลูกคา้ ในอนาคต กรณผี ้ขู ายลาออกหรอื ยา้ ยไปทำงานในร้านหรือองค์กรอ่ืนที่
ดำเนินธุรกิจแบบเดียวกัน ซึ่งกรณีหลังก็มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญเสียลูกค้าไปจากการติดต่อโดยผู้ขายที่จัดเก็บ
ข้อมูลลูกค้าแบบเฉพาะบุคคลไว้ จากข้อมูลข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าข้อมูลที่เกิดจากในทุกการดำเนินกิจกรรม
ทางธุรกิจมีความสำคัญมากต่อธุรกิจนั้น ซึ่งการออกแบบและวางแผนดำเนินการรวบ เรียบเรียง และจัดเก็บ
ข้อมูลผู้ซื้อแบบเฉพาะบุคคลในยุคที่เทคโนโลยีเกี่ยวกับระบบสารสนเทศมีความก้าวหน้าและพัฒนาอย่าง
รวดเร็ว ตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษที่ผ่านมาหรือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ทำให้ปัจจุบันกลายเป็นยุคดิจิทัล
อย่างเต็มตัว นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของวิถีและรูปแบบการใช้ชีวิตของมนุษย์ รวมถึงสถานการณ์
การเปลี่ยนแปลงต่อการดำเนินธุรกิจอย่างรวดเร็วและมากมาย ซึ่งสถานการณ์ในลักษณะดังกล่าวเรียกว่า
ดิจิทัล ดิสรัปชัน (digital disruption) หมายถึง การปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีและ
โมเดลธุรกิจแบบใหม่ จะสง่ ผลกระทบในทางลบตอ่ การเจา้ ของหรอื ผู้ประกอบการท่ขี าดความรู้ ทกั ษะ และการ
ปรับตัวอย่างรวดเร็วทันต่อการดำเนินธุรกิจในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า ธุรกิจดิจิทัล (digital business) ให้ไม่
สามารถประคับประคองดำเนินกิจการต่อไปได้จนกระทั่งต้องปดิ ตัวลงในท่สี ดุ

ยุคธุรกจิ ดิจิทัล ยังคงมีองคป์ ระกอบสำคญั ของการดำเนนิ ธุรกิจ คือ ผู้ซื้อ ซึ่งยังมีพฤตกิ รรมการบรโิ ภค
ที่ไม่ต่างจากธุรกิจยุคก่อนหน้านี้นัก หากแต่สามารถดำเนินกิจกรรมการซ้ือ-ขายได้อย่างสะดวกและรวดเร็วขึ้น
ด้วยการใช้งานหรือเข้าถึงหน้าร้านแบบออนไลน์ผ่านอุปกรณ์อันเป็นเครื่องมือในรูปแบบดิจิทัลที่มีอยู่มากมาย
ในฝั่งเจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการก็ยังมีการดำเนินธุรกิจที่ไม่แตกต่างไปจากเดิมมากมายเช่ นกันเพียงแต่
รปู แบบของร้านคา้ เปลี่ยนไปเปน็ แบบออนไลนท์ ่สี ามารถพัฒนาหรือสร้างได้ในเวลาสั้นและใชง้ บประมาณลดลง
หรือมีความเป็นไปได้ที่จะทำได้โดยปราศจาการลงทุนใด ๆ ภายใต้เงื่อนไขว่าเจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการ
ต้องทำการศึกษาเพื่อพิจารณาเลือกแหล่งหรือที่ตั้งหน้าร้านแบบออนไลน์ที่เหมาะสมกับธุรกิจแ ละ
ความสามารถในการดูแลหน้าร้านได้ ซึ่งการสืบค้นข้อมูลในยุคดิจิทัลมีความยุ่งยากหรือซับซ้อน ตลอดจนใช้
ความรแู้ ละทักษะเชิงลึกลดลงมาก แต่กลับเพม่ิ โอกาสท่จี ะไดร้ บั ผลตอบแทนหรอื รายได้กลบั มาอยา่ งรวดเร็วข้ึน
มาก เนื่องด้วยผู้ซื้อสามารถเข้าถึงสินค้าหรือบริการผ่านหน้าร้านแบบออนไลน์อันทำได้อย่างสะดวกและ
รวดเร็วขึ้นเพราะปราศจากปัจจัยการเดินทางไปยังหน้าร้านแบบเดิม โดยใช้เพียงอุปกรณ์ดิจิทัลที่มีอยู่
หลากหลายรูปแบบดว้ ยการเช่อื มตอ่ หรือเข้าสู่ระบบอนิ เทอร์เน็ตซึ่งเป็นชอ่ งทางการเข้าถงึ หน้ารา้ นออนไลน์ ใน
ขณะเดียวกันกระบวนการซื้อ-ขายก็ยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการดำเนินธุรกิจแบบเดิม มีการ
เปลี่ยนแปลงเพียงช่องทางการเข้าถึงหน้าร้าน รูปแบบของหน้าร้านและขั้นตอนการชำระเงิน ส่วนในฝั่งผู้ซื้อก็
ยังคงมีกระบวนการหรือกิจกรรมการซื้อ-ขายที่มักเริ่มจากการหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการที่สนใจ
จนกระทั่งได้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจและสิ้นสุดกระบวนการที่การซ้ือสินค้าหรือบริการนั้น เมื่อทดลอง
คำนวณระยะเวลาและค่าใช้จ่ายตลอดกิจการการซื้อ-ขายในฝั่งผู้ซื้อกลับได้ผลว่า ใช้เวลาน้อยลงและค่าใช้จ่าย
ลดลงมากเนื่องจากตัดขั้นตอนการเดินทางออกไป ยืนยันได้จากค่าสถิติการซ้ือ-ขายของผ่านธุรกิจดิจิทัลที่
เพิ่มขน้ึ อย่างต่อเนอ่ื งตั้งแตป่ ี 2558 ถงึ ปัจจุบนั เบ้อื งตน้ สามารถสรุปไดว้ ่าปจั จุบันพฤตกิ รรมผู้บรโิ ภคในประเด็น

186

กระบวนการหรือวิธีการซื้อสินค้าหรือบริการได้มีการเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบเดิมไปเป็นรูปแบบธุรกิจดิจิทัล
มากขน้ึ

การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคธุรกิจดิจิทัล พบว่า ผลการวิจัยจำนวนมากมีข้อสรุปไปในทิศทาง
เดียวกันว่า ปัจจุบันแม้หลายประเทศท่ีกำลังหรอื เข้าสู่สังคมผู้สงู วัย แต่ลูกคา้ หรือผู้ซื้อในยุคธุรกิจดิจิทัล ก็ยังคง
เป็นคนวยั ทำงานทเ่ี กดิ ระหว่างปี พ.ศ. 1981 - 2001 หรอื คนเจเนอเรชั่นวาย (Y generation) หรอื ที่นิยมเรียก
กันว่า คน Gen-Y มากกว่าคนในเจเนอเรชั่นอื่น ในขณะเดียวกันคนเจเนอเรชั่นอื่นก็มีการทำกิจกรรมซื้อ-ขาย
ในธุรกิจดิจิทัลเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยภาพรวมแล้วแนวโน้มการใช้งานอินเทอร์เน็ตในการหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า
หรือบริการที่สนใจ หรือแม้แต่ซื้อสินค้าหรือบริการจากธุรกิจดิจิทัลก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องด้วย
ความก้าวหน้าและหลากหลายของเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะในเรื่องการสืบค้น การรวบรวม และการ
จัดเก็บข้อมูล ไปจนถึงเทคนิคหรือเทคโนโลยีการสกัดเอาองค์ความรู้หรือสารสนเทศท่ีแฝงอยู่ในแหล่งข้อมูล
ออกมาใช้ต่อยอดหรือประยุกต์ใช้ในการออกแบบและวางแผนการดำเนินธุรกิจให้ไปในทิศทางที่สะดวกขึ้น
โดยเฉพาะในด้านการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันกับคู่แข่งทางธุรกิจ จากการประยุกต์ใช้งานองค์
ความรู้หรือสารสนเทศที่แฝงอยู่ในแหล่งข้อมูลออกมาใช้ประโยชน์ เปรียบการมีองค์ความรู้หรือสารสนเทศที่มี
คุณภาพได้กับการมีทองคำที่สามารถสร้างความมั่นคงมั่งคั่งหรือเป็นต้นทุนในการต่อยอดให้งอกเงยแก่เจ้าของ
ได้ แต่ในทางตรงกันข้ามการมีข้อมูลจำนวนมหาศาลอาจไม่มีประโยชน์ใด หากขาดความรู้ ความเข้าใจและ
ทักษะในการใช้เครอ่ื งมือสกดั เอาองค์ความรหู้ รอื สารสนเทศทีแ่ ฝงอยใู่ นนัน้ ออกมาได้

องค์ความรูห้ รือสารสนเทศท่ีแฝงอยู่ในขอ้ มลู ปรมิ าณมหาศาล เมอื่ นำมาพิจารณาแลว้ พบว่ามีคุณภาพ
ดีสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์เพื่อออกแบบและวางแผนธุรกิจให้มีคุณภาพสามารถใช้งานได้จริง สามารถ
สร้างและเพิ่มรายได้ให้กับเจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการได้ ควรเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่เจ้าของธุรกิจหรือ
ผปู้ ระกอบการควรศกึ ษาและพยายามนำเทคนคิ และวธิ กี าร รวมถึงเครื่องมือทม่ี ีความเหมาะสมในการวิเคราะห์
หรือสกัดเอาองค์ความรู้ที่แฝงอยู่ในข้อมูลปริมาณมหาศาลในธุรกิจของตน และนำไปใช้งานให้เกิดประโยชน์
สูงสุดทั้งทางตรงและทางอ้อม ในปัจจุบัน พบว่า เจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการในยุคธรุ กิจดิจิทัลจำนวนมาก
และกระจายอยู่ในธุรกิจตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนขนาดใหญ่ได้มีการนำเอากระบวนการสกัดองค์ความรู้หรือ
สารสนเทศจากข้อมูลขนาดใหญไ่ ปประยุกต์ใช้งานจริง พบวา่ สามารถปรบั ปรงุ คุณภาพการทำงานขององค์กรได้
จรงิ ในหลากหลายดา้ น เช่น การบริหารองคก์ ร เพมิ่ ยอดขาย และลดคา่ ใชจ้ า่ ย เป็นตน้

1. ขอ้ มลู และความสำคญั ตอ่ ธุรกิจ

นับตั้งแต่ปี 1950 ถึงปัจจุบัน เป็นช่วงเวลาที่มีการนําอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลากหลายรูปแบบ
รวมไปถึงการใช้และทํางานผ่านระบบเครือข่ายทุกรูปแบบเข้ามาช่วยในการทํางานทําให้ข้อมูลทั้ง รูปแบบ
อนาล็อกและดิจิทลั มปี ริมาณมหาศาลและเพ่ิมขึ้นแบบกา้ วกระโดด

- กรอบความหมายของข้อมูล (data definition framework) เมื่อพิจารณาข้อมูลตามกรอบ
ความหมายของข้อมูลที่ถูกนำเสนอโดยบริษัท Business Over Broadway ดังแสดงในภาพท่ี 1 จะเห็นว่า
มีการอธิบายข้อมูลผ่าน 2 มุมมอง ได้แก่ รูปแบบข้อมูล (data format) และแหล่งที่มาของข้อมูล (data
source) รวมถึงไดอ้ ธิบายถงึ ความสมั พันธ์ระหวา่ งมมุ มอง

187

ภาพท่ี 1 กรอบความหมายของขอ้ มลู
ทม่ี า: https://businessoverbroadway.com/2014/07/30/

the-what-and-where-of-big-data-a-data-definition-

จากภาพที่ 1 เมื่อพิจารณาจากมุมมองของแหล่งที่มาของข้อมูล ในกรณีที่เป็นองค์กรจะเห็นว่ามีการ
แบ่งข้อมูลจากแหล่งที่มาของข้อมูล ซึ่งสามารถแบ่งได้รวม 2 แหล่งข้อมูล ได้แก่ 1) ข้อมูลที่ได้จากแหล่งที่มา
ภายใน (external source) และ 2) ข้อมูลที่ไดจ้ ากแหล่งท่ีมาจากภายนอก (external source) ซึ่งข้อมูลจาก
ทั้ง 2 แหล่งข้อมูลข้างต้น เมื่อพิจารณารูปแบบของข้อมูลจะเห็นว่าสามารถแบ่งข้อมูลเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่
1) ข้อมูลที่มีโครงสร้าง (structured data) เป็นข้อมูลที่มีรูปแบบชัดเจน ถูกสร้างขึ้นได้ทั้งจากมนุษย์และ
เคร่ืองจักร มีจัดเกบ็ อยา่ งมรี ะบบระเบียบ เชน่ การเกบ็ ข้อมลู ตามโครงสร้างแบบตารางหรอื นำหลายตารางและ
เชื่อมโยงความสัมพันธ์เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการจัดเก็บ (relational database) เช่น ข้อมูลยอดขายสินค้า
ข้อมูลประวัติการรักษาของคนไข้ และข้อมูลผลการศึกษาของนักเรียน เป็นต้น และ 2) ข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง
(unstructured data) เป็นข้อมูลที่ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว มีความหลากหลายด้านรูปแบบ อันเป็นไปได้ข้อมูล
ภาพและเสียง ถูกสร้างขึ้นจากมนุษย์เป็นหลัก มีการจัดเก็บแบบมีวิธีการและขั้นตอนที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับ
ข้อมลู แตล่ ะรปู แบบเปน็ สำคัญ

188

1.1 สอื่ จัดเกบ็ ขอ้ มลู
เมื่อพิจารณาจากผลการสํารวจรูปแบบข้อมูลและสื่อที่ใช้จัดเก็บทั่วโลกระหว่างปี 1986 - 2007
ดงั แสดงในภาพท่ี 2 ในชว่ งระหวา่ ง ปี 1986 - 2007 เนื่องจากชว่ งก่อนปี 1950 - 1986 การบนั ทึกและจัดเก็บ
ข้อมูลมักจะอยู่ในรูปแบบกระดาษ เนื่องจากกระดาษเป็นสื่อที่หาได้ง่ายและมีราคาถูก จึงจะเห็นว่านับตั้งแต่ปี
1986 ที่เร่ิมมีการบันทึกและจัดเกบ็ ข้อมูลในรูปแบบอนาลอ็ กมากขนี้ อย่างรวดเร็วแบบกา้ วกระโดดและในขณะ
เดียวกันก็เริ่มมีการจัดเก็บข้อมูลแบบดิจิทัลเช่นกัน จนกระทั้งปี 2007 การข้อมูลและสื่อในการจัดเก็บข้อมูล
แบบดิจิทัลกลายเป็นร้อยละ 94 ของข้อมูลทั้งหมด เนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีท่ีเกี่ยวข้อง ส่งผลให้
การจัดเก็บข้อมูลกลายเป็นเรื่องง่ายและใกล้ตัว เกิดขึ้นจากเกือบทุกกิจกรรมในชีวิตประจําวันของมนุษย์
ไม่เฉพาะแตข่ ้อมูลจากการทาํ งานเท่านน้ั

ภาพที่ 2 ผลการสาํ รวจรปู แบบข้อมลู และส่ือที่ใชจ้ ัดเก็บท่วั โลกระหวา่ งปี 1986 - 2007
ท่ีมา: https://martinhilbert.net/worldinfocapacity.html

1.2 กิจกรรมทก่ี ่อใหเ้ กิดขอ้ มูล
ตลอดช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา พบว่า ระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) หรือระบบ
ที่ใช้สําหรับการวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรโดยรวม อันมีการจัดเก็บข้อมูลในระดับ
Megabytes (MB) หรือ เมกะไบต์ มีขนาด คือ 20 = 1,048,567 BYTES หรือเท่ากับ 1024 ไบท์ ถัดไป คือ
Customer Relationship Management (CRM) ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ที่มีการจัดเก็บข้อมูล
ในระดับ Gigabyte (GB) หรือจิกะไบต์ มีขนาด คือ 1,000,000,000 ไบต์ (หนึ่งพันล้านไบต์) ถัดไป คือ
ข้อมูลที่อยู่บนระบบเว็บไซต์ทั่วไป อันสามารถผลิตข้อมูลได้มากถึงขนาดเทราไบต์ สามารถแสดงให้เห็นถึง

189

ความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมและปริมาณของข้อมูลที่เกิดขึ้นของข้อมูลขนาดใหญ่ (big data) จากระบบ
ทง้ั หมดข้างตน้ ได้ ดังแสดงในภาพที่ 3

ภาพท่ี 3 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งกจิ กรรมและปรมิ าณของขอ้ มลู ทีเ่ กดิ ข้ึนของขอ้ มลู ขนาดใหญ่
ท่ีมา : https://www.wiideman.com/blog/tools-software/using-big-data-to-get-big-seo-results

จากภาพท่ี 3 เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมและปริมาณของข้อมูลที่เกิดขึ้นของข้อมูล
ขนาดใหญ่ (ฺbig data) หรือที่นิยมเรียกว่า บิ๊กดาต้า หมายถึง ข้อมูลปริมาณมหาศาล ที่เป็นผลพวงมาจากการ
วิวัฒนาการและเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้สนับสนุนการสร้างและการใช้ข้อมูล จากความสนใจหรือการ
ทาํ งานส่วนบุคคลรวมถึงการทาํ งานของงานใดงานหนึง่ หรือองคก์ รใดองคก์ รหนง่ึ รวมถงึ การนําขอ้ มลู กลบั มาใช้
ประโยชน์ทั้งทางตรงทางออ้ มตัง้ แตอ่ ดตี ถึงปจั จุบัน

คุณลักษณะของข้อมูลขนาดใหญ่ ประกอบด้วย 4 ข้อ ได้แก่ 1) ปริมาณมหาศาลของข้อมูล (Volume)
2) ความรวดเร็วต่อการเปล่ยี นแปลงของข้อมูล (Velocity) 3) ความหลากหลายของขอ้ มูล (Variety) และ 4) ความ
แม่นยําของข้อมูล (Veracity) หรอื ทน่ี ยิ มเรยี กวา่ คณุ ลกั ษณะ 4V ของข้อมลู ขนาดใหญ่ ดังแสดงในภาพท่ี 4

190


Click to View FlipBook Version