เอกสารประกอบการเรียนการสอนเลม่ นี้ ผูจ้ ัดทา นายพชิ า ชยั จนั ดี ในนามกลุ่มสาระการเรยี นรู้
วิทยาศาสตร์ โรงเรียนสาธติ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ฝา่ ยมัธยมศกึ ษา (ศกึ ษาศาสตร)์ เป็นผ้จู ดั พิมพ์เผยแพร่ โดย
ใช้ช่ือเอกสารประกอบการเรยี นการสอน ว 22102 วทิ ยาศาสตร์ 4 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 ซึง่ ใชป้ ระกอบการ
จดั กิจกรรมการเรียนรู้สาหรับภาคเรยี นท่ี 2 ของนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 โดยได้จดั ทาคาอธบิ ายรายวิชา
เรียบเรียงเน้อื หาและมภี าพประกอบเพื่อให้เข้าใจงา่ ย ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศักราช
2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ซง่ึ มีการปรบั เน้ือหาใหม่ตามท่ีสถาบันสง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละ
เทคโนโลยี (สสวท.) กาหนด ทัง้ ยงั ออกแบบบทเรียนใหม้ ีความนา่ สนใจเพื่อให้ผู้เรียนอยากเรยี นรใู้ นวิชา
วทิ ยาศาสตรเ์ พิ่มมากขึน้ นอกจากนยี้ งั สอดแทรกกิจกรรมการทดลอง แบบฝึกหัดทีม่ เี นือ้ หาสอดคลอ้ งกบั
แบบเรยี นของกระทรวงศึกษาธกิ ารรวมทั้งสอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบัน
โรงเรยี นสาธติ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ ฝา่ ยมัธยมศึกษา (ศกึ ษาศาสตร์) ขอรับรองว่าเอกสาร
ประกอบการเรยี นการสอนเล่มน้ีมีคณุ ภาพที่ถกู ต้อง เหมาะสม และสอดคลอ้ งกับหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขนั้
พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) และหลักสตู รสถานศึกษา รวมทัง้ การจดั การเรยี นรตู้ าม
วตั ถปุ ระสงค์ของรายวชิ าทกุ ประการ
ลงชือ่ ................................................................ ลงช่อื ................................................................
(นางสาวจริ าภรณ์ ทพั ซา้ ย) (นางพรภวษิ ย์ ปญั ญาสิทธ์ิ)
หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ รกั ษาการแทนผู้ชว่ ยผ้อู านวยการ
ฝ่ายวิชาการและวจิ ยั
ลงชื่อ................................................................
(นายสเุ นตร ศรีบุญเลศิ )
รักษาการแทนรองผู้อานวยการโรงเรยี นสาธติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น
ฝา่ ยมธั ยมศึกษา (ศึกษาศาสตร)์
โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศกึ ษา (ศึกษาศาสตร์)
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
ประมวลผลการสอนรายวิชา ( Course Syllabus) ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563
รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ 4 (ว 22102 ) ระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2/1-2/6
เวลาเรยี น 3 คาบ/สัปดาห์ จานวน 1.5 หนว่ ยกติ เวลา 60 ช่ัวโมง
SATIT KKU ผ้สู อน อาจารย์พชิ า ชัยจันดี
คาอธบิ ายรายวิชา
ศกึ ษาวิเคราะห์ธาตแุ ละสารประกอบ ธาตุโลหะ ก่งึ โลหะ อโลหะและธาตกุ ัมมันตรงั สี แบบจาลองอะตอมและโครงสร้าง
อะตอมของธาตุ สารละลาย พลงั งานกบั การละลายของสาร สภาพละลายไดข้ องสาร ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย การใช้
สารละลายในชวี ิตประจาวนั พลังงานกับการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี ผลของปฏกิ ิรยิ าเคมแี ละสมการเคมี ปฏกิ ิรยิ าเคมีในชีวิตประจาวนั
ปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ การเกิดปฏิกิรยิ าเคมี และผลของปฏกิ ิริยาเคมตี ่อชวี ติ และสงิ่ แวดล้อม พอลเิ มอร์ เซรามิกส์และวสั ดผุ สม และการ
แยกสารด้วยวธิ ีการตา่ งๆ ศกึ ษาโครงสรา้ งและส่วนประกอบของโลก การเปลย่ี นแปลงของเปลือกโลก การยกตัว ยุบตวั และ
คดโคง้ โกง่ งอของเปลือกโลก การผุพังอยู่กับที่ การกรอ่ น การพัดพา และการทับถม ดนิ และสมบตั ขิ องดนิ การปรบั ปรุงคณุ ภาพ
ของดิน หิน แร่ เชื้อเพลงิ และพลังงานทดแทน นา้ และแหลง่ นา้ รวมทั้งการใชป้ ระโยชนแ์ ละการอนุรักษแ์ หลง่ นา้
โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพอื่ ให้นักเรียนมีความรู้ความสามารถในการจัดกจิ กรรมท่ผี สมผสานทกั ษะ และ
ความรู้ ในการแกป้ ญั หา และการสบื เสาะทางวิทยาศาสตร์ โดยผนวกกระบวนการคิด ท่ีบรู ณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
วิศวกรรมและคณิตศาสตรไ์ ปใชช้ ีวิตประจาวนั อยา่ งมีคณุ คา่ มจี ิตวทิ ยาศาสตร์ คณุ ธรรมจริยธรรมต่อสิง่ มีชีวติ สิง่ แวดล้อม และ
คา่ นิยมทเ่ี หมาะสม
ตวั ช้ีวดั ว 2.1 ม.1/1 ม.1/2 ม.1/3 ม.1/7 ม.1/8 ม.2/1 ม.2/2 ม.2/3 ม.2/4 ม.2/5 ม.2/6 ม.3/1 ม.3/2
ม.3/3 ม.3/4 ม.3/5 ม.3/6 ม.3/7 ม.3/8
ว 3.2 ม.2/1 ม.2/2 ม.2/3 ม.2/4 ม.2/5 ม.2/6 ม.2/7 ม.2/8 ม.2/9 ม.2/10
หน่วยการเรยี นรรู้ ายวิชา วิทยาศาสตร์ 4 ( ว 22102 )
วิชา วิทยาศาสตร์ 4 ( ว 22102 ) ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2
หนว่ ยการเรียนรู้ 2 หน่วย เวลาเรียน 60 ชว่ั โมง
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ ชอื่ หน่วยการเรียนรู้ เวลา (ชั่วโมง)
1 สารและการเปล่ียนแปลง 30
1.1 ธาตุ
1.1.1 ความหมายและสัญลักษณข์ องธาตุ
1.1.2 ตารางธาตุ
1.1.3 สมบัติของธาตุ
1.1.4 ธาตุกมั มนั ตรังสี
1.2 แบบจาลองอะตอมและโครงสร้างอะตอมของธาตุ
1.3 สารประกอบ
หน่วยการเรียนรู้ท่ี ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ เวลา (ช่ัวโมง)
30
1.4 สารละลาย 60
1.4.1 ความหมายและองค์ประกอบของสารละลาย
1.4.2 พลังงานกบั การละลายของสาร
1.4.3 สภาพละลายได้ของสาร
1.4.4 ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย
1.4.5 การใชส้ ารละลายในชวี ิตประจาวัน
1.5 ปฏิกิรยิ าเคมี
1.5.1 ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ผลของปฏิกิริยาเคมแี ละสมการเคมี
1.5.2 ปฏกิ ริ ิยาเคมีในชวี ิตประจาวัน
1.5.3 ปจั จยั ที่มผี ลตอ่ การเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี
1.6 พอลเิ มอร์ เซรามิกสแ์ ละวสั ดุผสม
1.7 การแยกสาร
2 โลกและการเปล่ียนแปลง
2.1 สว่ นประกอบของโลก
2.2 การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก
2.3 การยกตวั ยุบตวั และคดโคง้ โก่งงอของเปลือกโลก
2.4 การผุพังอยูก่ บั ท่ี การกร่อน การพดั พา และการทบั ถม
2.5 ดิน
2.6 การปรบั ปรงุ คุณภาพของดนิ
2.7 หนิ
2.8 แร่ เชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์และพลงั งานทดแทน
2.9 นา้
2.10 ประโยชน์ การอนุรกั ษแ์ ละภัยพิบตั ทิ ีเ่ กดิ จากน้า
รวมเวลาเรียนใน 1 ภาคเรยี น
ตารางเรียน
สัปดาหท์ ่ี ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ กจิ กรรม สอ่ื ผลงาน
1 ปฐมนิเทศ - บรรยาย
หนว่ ยท่ี 1 : สารและการเปลี่ยนแปลง - แบ่งกลุ่มศึกษา - ประมวลผลการสอน - ผลการทาแบบฝกึ
(19 - 23 ต.ค.63) 1.1 ธาตุ - สืบค้นขอ้ มลู - เอกสารประกอบ - ผลการตอบคาถาม
- อภปิ ราย/ ทาแบบฝกึ การสอน
2 1.1.1 ความหมายและสญั ลกั ษณข์ องธาตุ - ตารางธาตุ, โมเดล
1.1.2 ตารางธาตุ - Power point, VDO
(26 – 30 ต.ค.63)
กฬี าสภี ายใน ปีการศึกษา 2563
สัปดาห์ที่ ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ กจิ กรรม สื่อ ผลงาน
3-4
1.1.3 สมบัติของธาตุ ปดิ กฬี าสาธติ สามัคคี - เอกสารประกอบ - ผลการทาแบบฝกึ
( 2 – 14 พ.ย. 63) 1.1.4 ธาตุกมั มนั ตรังสี การสอน - ผลการตอบคาถาม
(เปิดเทอม - บรรยาย - บอรด์ ความรู้
คร้งั ท่ี 2 ) - แบง่ กลุ่มศึกษา - ตัวอยา่ งจรงิ , โมเดล - ผลการทาแบบฝึก
- กจิ กรรมฐานความรู้ - Power point, VDO - ผลการตอบคาถาม
พ 18 พ.ย.63 - สืบค้นข้อมลู - รายงานผล
- อภปิ ราย/ ทาแบบฝกึ - เอกสารประกอบ การทดลอง
5 - บรรยาย การสอน
- แบ่งกลุ่มศกึ ษา - วสั ดอุ ุปกรณ์การทดลอง - ผลการทาแบบฝึก
(16 - 20 พ.ย.63) - สืบคน้ ข้อมลู - ตวั อย่างจรงิ , โมเดล - ผลการตอบคาถาม
- อภปิ ราย/ ทาแบบฝกึ - Power point, VDO - รายงานผล
6 1.2 แบบจาลองอะตอมและโครงสร้างอะตอม - ปฏบิ ัตกิ าร การทดลอง
(23 - 27 พ.ย.63) ของธาตุ - บรรยาย - เอกสารประกอบ
- แบ่งกล่มุ ศกึ ษา การสอน - ผลการทาแบบฝึก
1.3 สารประกอบ - สบื ค้นขอ้ มูล - วัสดอุ ปุ กรณก์ ารทดลอง - ผลการตอบคาถาม
- อภปิ ราย/ ทาแบบฝึก - ตวั อยา่ งจริง, โมเดล - รายงานผล
7 1.4 สารละลาย - ปฏิบตั ิการ - Power point, VDO การทดลอง
1.4.1 ความหมายและองค์ประกอบของ - บรรยาย
(30 พ.ย.- - แบ่งกลุ่มศึกษา - เอกสารประกอบ - ผลการทาแบบฝกึ
4 ธ.ค.63) สารละลาย - สืบคน้ ข้อมูล การสอน - ผลการตอบคาถาม
1.4.2 พลังงานกบั การละลายของสาร - อภปิ ราย/ ทาแบบฝกึ - วสั ดอุ ุปกรณ์การทดลอง - รายงานผล
8 - ปฏบิ ตั กิ าร - ตัวอยา่ งจรงิ , โมเดล การทดลอง
- ปฏบิ ตั ิการท่ี 1 พลังงานกับการละลาย - บรรยาย - Power point, VDO
(7 – 11 ธ.ค.63) 1.4.3 สภาพละลายได้ของสาร - แบ่งกลุม่ ศกึ ษา - ผลการทาแบบฝึก
- กิจกรรมฐานความรู้ - เอกสารประกอบ - ผลการตอบคาถาม
9 - ปฏิบัติการท่ี 2 ปจั จัยทมี่ ผี ลตอ่ การละลาย - สบื ค้นข้อมลู การสอน - รายงานผล
ของสาร - อภปิ ราย/ ทาแบบฝึก - วสั ดอุ ปุ กรณ์การทดลอง การทดลอง
(14 – 18 ธ.ค.63) - ปฏิบัติการ - บอร์ดความรู้
1.4.4 ความเข้มขน้ ของสารละลาย - บรรยาย - ตัวอย่างจรงิ - ผลการทาแบบฝึก
1.4.5 การใช้สารละลายในชีวติ ประจาวัน - แบง่ กลุ่มศึกษา - Power point, VDO - ผลการตอบคาถาม
1.5 ปฏกิ ริ ิยาเคมี - กจิ กรรมฐานความรู้
1.5.1 ปฏกิ ิริยาเคมี ผลของปฏิกริ ิยาเคมี - สืบค้นข้อมลู - เอกสารประกอบ
และสมการเคมี - อภปิ ราย/ ทาแบบฝึก การสอน
- ปฏิบัติการท่ี 3 การเปลย่ี นแปลงพลังงาน - ปฏิบตั กิ าร - วัสดุอุปกรณ์การทดลอง
เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี - บรรยาย - บอร์ดความรู้
- แบ่งกลมุ่ ศึกษา - ตวั อยา่ งจรงิ
10 1.5.2 ปฏกิ ิรยิ าเคมีในชวี ติ ประจาวัน - กจิ กรรมฐานความรู้ - Power point, VDO
- ปฏิบตั ิการที่ 4 ปฏกิ ริ ยิ าเคมี - สบื ค้นขอ้ มลู
(21 – 25 ธ.ค.63) - อภปิ ราย/ ทาแบบฝกึ - เอกสารประกอบ
1.5.3 ปัจจัยทม่ี ผี ลตอ่ การเกดิ ปฏิกริ ยิ า การสอน
เคมี - บอรด์ ความรู้
- ตวั อยา่ งจรงิ , โมเดล
11 1.6 พอลเิ มอร์ เซรามิกส์และวสั ดผุ สม - Power point, VDO
1.7 การแยกสาร
( 28 ธ.ค.63–
1 ม.ค.64)
สัปดาหท์ ่ี ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ กิจกรรม สื่อ ผลงาน
12 - ปฏิบตั กิ ารที่ 5 การระเหยแห้ง - บรรยาย
- ปฏบิ ัตกิ ารที่ 6 การตกผลึก - แบ่งกลมุ่ ศกึ ษา - เอกสารประกอบ - ผลการทาแบบฝึก
(4 – 8 ม.ค.64) - ปฏบิ ตั ิการที่ 7 โครมาโทรกราฟี - กจิ กรรมฐานความรู้ การสอน - ผลการตอบคาถาม
- ปฏิบตั ิการที่ 8 การสกดั ด้วยตัวทาละลาย - สืบคน้ ข้อมูล - วสั ดอุ ุปกรณก์ ารทดลอง - รายงานผล
13 - ทดสอบประจาหน่วยที่ 1 - อภิปราย/ ทาแบบฝึก - บอร์ดความรู้ การทดลอง
- ปฏบิ ตั กิ าร - ตวั อย่างจริง - รายงาน เรื่อง
(11 - 15 ม.ค.64) หน่วยที่ 2 : โลกและการเปลี่ยนแปลง - Power point, VDO ประโยชนจ์ าก
2.1 สว่ นประกอบของโลก - ทารายงาน เรือ่ ง ปฏกิ ิรยิ าเคมีและ
14 2.2 การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ประโยชนจ์ ากปฏิกริ ิยา - เอกสารประกอบ การใชส้ ารเคมอี ย่าง
- ปฏิบตั ิการที่ 9 การเคลือ่ นทข่ี องแผน่ เปลอื ก เคมีและการใชส้ ารเคมี การสอน ถกู ต้อง (งานเดีย่ ว)
(18 - 22 ม.ค.64) โลก อย่างถูกตอ้ ง - โมเดล/แผนภาพ
(งานเด่ียว) - โมเดลโลก - ผลการทาแบบฝกึ
15 - วัสดอุ ุปกรณ์การทดลอง - ผลการตอบคาถาม
- บรรยาย - Power point, VDO - รายงานผล
(25 - 29 ม.ค.64) - แบ่งกลุ่มศกึ ษา การทดลอง
- สบื คน้ ขอ้ มลู
- อภิปราย/ ทาแบบฝึก - ผลการทาแบบฝกึ
- ทาแบบทดสอบ - ผลการตอบคาถาม
- ปฏบิ ตั กิ าร
สอบกลางภาค (หนว่ ยที่ 1)
2.3 การยกตัว ยบุ ตัวและคดโคง้ โกง่ งอของ - บรรยาย - เอกสารประกอบ
เปลอื กโลก - แบ่งกลมุ่ ศึกษา การสอน
2.4 การผุพังอยูก่ ับที่ การกรอ่ น การพัดพา - สบื ค้นขอ้ มลู - โมเดล/แผนภาพ
และการทับถม - อภปิ ราย/ ทาแบบฝึก - Power point, VDO
- ทาแบบทดสอบ
16 2.5 ดนิ - บรรยาย - เอกสารประกอบ - ผลการทาแบบฝึก
- ปฏบิ ัติการท่ี 10 ดิน - แบ่งกลุม่ ศึกษา การสอน - ผลการตอบคาถาม
(1 - 5 ก.พ.64) 2.6 การปรับปรุงคณุ ภาพของดิน - สืบคน้ ขอ้ มูล - ตัวอยา่ งดิน - รายงานผล
- อภปิ ราย/ ทาแบบฝึก - วัสดอุ ุปกรณก์ ารทดลอง การทดลอง
17 2.7 หิน - ปฏบิ ัตกิ าร - Power point, VDO
- สอบปฏิบตั กิ าร เร่ือง หิน - ผลการทาแบบฝกึ
(8 - 12 ก.พ.64) - บรรยาย - เอกสารประกอบ - ผลการตอบคาถาม
2.8 แร่ เชอื้ เพลิงซากดกึ ดาบรรพแ์ ละพลังงาน - แบง่ กลมุ่ ศึกษา การสอน - รายงานผล
18 ทดแทน - สบื คน้ ข้อมลู - ตัวอยา่ งหิน การทดลอง
- อภิปราย/ ทาแบบฝึก - วัสดอุ ปุ กรณก์ ารทดลอง - สมุดหิน (งานกลุ่ม)
(15 - 19 ก.พ.64) - ปฏบิ ตั กิ าร - Power point, VDO
- ทาสมดุ หิน (งานกลมุ่ ) - ผลการทาแบบฝกึ
- บรรยาย - เอกสารประกอบ - ผลการตอบคาถาม
- แบ่งกลุม่ ศึกษา การสอน
- สบื คน้ ข้อมูล - ตัวอย่างแร่ เชื้อเพลงิ
- อภปิ ราย/ ทาแบบฝึก ซากดกึ ดาบรรพ์และ
พลงั งานทดแทน
- Power point, VDO
สปั ดาหท์ ี่ ช่ือหน่วยการเรียนรู้ กิจกรรม สือ่ ผลงาน
19 2.9 น้า - บรรยาย
- ปฏบิ ัติการท่ี 11 สมบตั บิ างประการของน้า - แบง่ กลุ่มศกึ ษา - เอกสารประกอบ - ผลการทาแบบฝึก
(22 - 26 ก.พ.64) 2.10 ประโยชน์ การอนุรักษแ์ ละภยั พิบัติที่ - สืบคน้ ข้อมลู การสอน - ผลการตอบคาถาม
เกดิ จากน้า - อภปิ ราย/ ทาแบบฝึก - ตัวอยา่ งนา้ - รายงานผล
20 - ปฏบิ ตั กิ าร - วสั ดุอปุ กรณก์ ารทดลอง การทดลอง
- Power point, VDO
(1 - 5 มี.ค.64)
สอบปลายภาค (หน่วยที่ 2)
*** หมายเหตุ อาจมกี ารเปลยี่ นแปลงวันเวลาและกจิ กรรมเพื่อความเหมาะสมกับเน้ือหาการเรยี นการสอน
การวดั และประเมินผลการเรยี น
1. การประเมนิ ด้านคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 2. ซอื่ สตั ย์สจุ รติ 3. มวี ินัย 4. ใฝ่เรยี นรู้
5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมัน่ ในการทางาน 7. รักความเปน็ ไทย 8. มจี ิตสาธารณะ
2. การประเมนิ สมรรถนะ
1. มีความสามารถในการส่ือสาร 2. มีความสามารถในการคดิ 3. มีความสามารถในการแก้ปัญหา
4. มคี วามสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ 5. มีความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
3. การประเมนิ ดา้ นความรู้ / ทกั ษะ /จิตพสิ ัย
การใหค้ ะแนนจะให้เป็นรายภาคการศกึ ษา โดยคดิ เปน็ 100% มเี กณฑ์การให้คะแนนดังนี้
ลาดบั ท่ี วธิ ีการประเมินผล ร้อยละ
1 คะแนนสอบกลางภาค 20
2 คะแนนสอบปลายภาค 20
คะแนนเก็บระหว่างเรียน แบง่ ออกเปน็ 60
3.1 ทดสอบระหว่างเรียน แบง่ ออกเปน็ 10
- หน่วยท่ี 1 สารและการเปลี่ยนแปลง 5
- หนว่ ยที่ 2 โลกและการเปล่ียนแปลง 5
3.2 หนังสือ/แบบฝึกหัด/สมดุ /อ่นื ๆ แบง่ ออกเปน็ 20
- หนังสือ/แบบฝึกหัด 15
- ท่องธาตุ 2
3 - ท่องแร่ 1
- สมดุ 1
- อ่ืนๆ (เช่น สมุดดาว, กิจกรรมในชัน้ เรียน) 1
3.3 ปฏิบตั ิการทดลอง บนั ทกึ ผล สรุปและรายงานผล 10
3.4 การศึกษาค้นควา้ และนาเสนอผลงาน 10
- รายงานประโยชน์จากปฏิกริ ยิ าเคมี (งานเดย่ี ว) 2.5
- กิจกรรมแบบสะเตม็ ศึกษา (STEM) (งานกล่มุ ) 3.5
- สมดุ หิน (งานกลมุ่ ) 4
3.5 จิตพิสัย 10
รวม 100
เกณฑ์การใหร้ ะดบั ผลการเรยี น
ระดับคะแนน 80-100 75-79 70-74 65-69 60-64 55-59 50-54 0-49
ผลการประเมนิ 4 3.5 3 2.5 2 1.5 1 0
(GRADE)
ข้อตกลงในการเรยี นรายวชิ า ว 22102 วิทยาศาสตร์ 4
1) เขา้ เรียนช้าเกนิ 15 นาที ถอื ว่ามาเรียนสาย
2) มาสาย 3 ครัง้ ถือวา่ ขาด 1 ครั้ง
3) ขาดเรียนมากกวา่ ร้อยละ 20 ของเวลาเรียนทงั้ หมด หรือ 10 คาบ/ภาคเรยี น ไมม่ ีสทิ ธ์ิสอบ
4) ห้ามรบั ประทานอาหารหรอื เครือ่ งดืม่ ระหว่างเรยี น ยกเว้น น้าเปลา่
5) หา้ มใช้อปุ กรณอ์ ิเล็กทรอนิกส์ (สมาร์ทโฟน , แท็บเลต็ ฯลฯ) ระหวา่ งเรียน ยกเว้น ครูผ้สู อนอนญุ าตให้ใช้ประกอบการเรียน
6) หากมภี าระงานสามารถส่งได้ท่โี ต๊ะครูประจาวิชาหอ้ ง 4201 หากสง่ ช้าเกนิ กาหนดหกั วนั ละ 1 คะแนนหรือตามตกลงในช้นั
เรยี น
7) คะแนนคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ (จติ พสิ ยั ) จะพจิ ารณาจากการเขา้ ชน้ั เรียน, การส่งงานและการรว่ มกจิ กรรมการเรียนรู้
ทีค่ รูผู้สอนจัดขน้ึ
การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ / สอ่ื การเรียนรู้ / แหล่งเรยี นรู้
การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
- การบรรยาย / การอภปิ รายกลุ่ม
- การทดลอง การลงมือปฏิบตั ิ การบันทกึ ผล การสรุปและอภิปรายผล
- การสารวจสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรภายในโรงเรียน
- การสบื คน้ ขอ้ มลู และการนาเสนอข้อมลู / ศกึ ษานอกสถานที่/ ศกึ ษานอกเวลา
- การเรียนรแู้ บบสะเตม็ ศึกษา (STEM)
สอื่ การเรียนรู้
- เอกสารประกอบการเรยี นรู้ - Power Point Presentation
- เอกสารประกอบการเรยี นรู้ (ใบความร,ู้ แผนภาพ, VDO) - โปสเตอร์ภาพประกอบการบรรยาย
- ชดุ ทดลองวิทยาศาสตร์ / สิ่งแวดลอ้ มบรเิ วณโรงเรียน - สารเคมี / อุปกรณว์ ิทยาศาสตร์
- วีดีทศั น์ / เว็บไซต์และบทเรยี นทางอนิ เทอร์เน็ต - ตวั อย่างจรงิ / แบบจาลอง
แหล่งเรียนรู้
- หนังสือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ - อนิ เทอร์เน็ต
- หนงั สอื พิมพ์และวารสารต่าง ๆ - วีดิทศั น์
- หอ้ งปฏิบัตกิ าร - แหล่งการเรียนร้ทู ้องถน่ิ
- หอ้ งสมดุ : หนงั สอื เอกสาร ตารา บทความ ขา่ ว
- Smart phone , Tablet , iPad
- Web site : เช่น http://www.ipst.ac.th/ , http://www.google.co.th/
ตดิ ต่ออาจารย์ผู้สอน
หอ้ งพกั อาจารยก์ ลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ : อาคาร 4 ชนั้ 2 หอ้ ง 4101
อาจารยพ์ ชิ า ชยั จนั ดี (อาจารย์ตน้ ) เบอร์โทรศพั ท์ติดตอ่ : 083-3860632
E-mail : [email protected] Line ID : Tonpicha
mmรรรรรรรรรรรรรรรรรrf
ตามหลกั สตู รการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ได้กลา่ ววา่ วิทยาศาสตรม์ ีบทบาทสาคัญ
ยิ่งในสังคมโลกปจั จุบันและอนาคต เพราะวทิ ยาศาสตรเ์ กี่ยวขอ้ งกบั ทกุ คนท้ังในชวี ิตประจาวนั และ
การงานอาชีพต่างๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เคร่ืองมอื เครื่องใช้และผลผลติ ต่าง ๆ ทม่ี นษุ ยไ์ ดใ้ ช้เพอื่
อานวยความสะดวกในชีวติ และการทางานเหล่านลี้ ว้ นเป็นผลของความรูว้ ิทยาศาสตร์ ผสมผสาน
กับความคดิ สรา้ งสรรค์และศาสตรอ์ ่ืนๆ วทิ ยาศาสตร์ชว่ ยให้มนษุ ย์ ไดพ้ ฒั นาวิธคี ิด ท้งั ความคิดเปน็
เหตุเป็นผล คดิ สรา้ งสรรค์ คดิ วิเคราะห์ วจิ ารณ์ มีทกั ษะสาคัญในการค้นควา้ หาความรู้ มีความ
สามารถในการแกป้ ญั หาอยา่ งเป็นระบบ สามารถตดั สนิ ใจโดยใช้ข้อมลู ท่หี ลากหลายและมีประจักษ์
พยานทีต่ รวจสอบได้ วทิ ยาศาสตร์เป็นวฒั นธรรมของโลกสมัยใหมซ่ ึ่งเปน็ สังคมแห่งการเรยี นรู้
(knowledge-based society) ดังนน้ั ทุกคนจึงจาเป็นต้องไดร้ บั การพัฒนาใหร้ ู้วิทยาศาสตร์
เพื่อที่จะมีความรู้ความเขา้ ใจในธรรมชาตแิ ละเทคโนโลยีทม่ี นุษย์สร้างสรรค์ข้ึน สามารถนาความรู้
ไปใช้อย่างมีเหตผุ ล สร้างสรรค์ และมคี ุณธรรม
วทิ ยาศาสตรม์ ุง่ หวงั ใหผ้ เู้ รยี นได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ทเ่ี นน้ การเชอื่ มโยงความรู้กบั กระบวนการ มีทกั ษะสาคัญใน
การคน้ คว้าและสรา้ งองค์ความรู้ โดยใชก้ ระบวนการในการสบื เสาะหาความรู้และการแก้ปญั หาท่หี ลากหลาย ใหผ้ เู้ รยี น
มสี ่วนรว่ มในการเรยี นรทู้ ุกข้ันตอน มกี ารทากจิ กรรมด้วยการลงมอื ปฏิบัตจิ รงิ อย่างหลากหลาย เหมาะสมกบั ระดบั ช้นั
ท้งั ในสาระวทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เทคโนโลยี และวทิ ยาศาสตร์
เพมิ่ เตมิ
เอกสารประกอบการเรียนการสอน ว 22102 วทิ ยาศาสตร์ 4 ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 2 ประกอบด้วยเนื้อหา
เร่ือง สารและการเปล่ียนแปลง และโลกและการเปลี่ยนแปลง สอดคลอ้ งตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ 2560 ) และตามหลักสูตรสถานศึกษา ทั้งมีการสอดแทรกกจิ กรรมการทดลอง
แบบฝึกหดั ใหผ้ ู้เรยี นฝึกปฏิบตั ใิ ห้เกดิ ความเข้าใจมากยงิ่ ขน้ึ
ผู้จดั ทาหวังเปน็ อยา่ งยิ่งวา่ เอกสารประกอบการเรยี นการสอนน้ี จะช่วยอานวยประโยชน์ต่อการเรยี นการ
สอนเป็นอย่างดี หากมีส่ิงใดทีเ่ ปน็ ขอ้ บกพร่อง ผู้จดั ทาขอนอ้ มรับคาแนะนา เพอ่ื ใช้เปน็ ขอ้ มลู ในการปรับปรุงในโอกาส
ตอ่ ไป
พชิ า ชัยจนั ดี
หน่วยที่ 1 สารและการเปลีย่ นแปลง 1
เรอ่ื งที่ 1 ธาตุ
1.1 ความหมายและสญั ลักษณข์ องธาตุ 4
1.2 ตารางธาตุ 6
1.3 สมบัตขิ องธาตุ 9
- กจิ กรรมท่ี 1.3 สมบตั ิของธาตุ 13
1.4 ธาตุกัมมันตรังสี 15
- กิจกรรมท่ี 1.4 ธาตุกมั มันตรังสี 16
แบบทดสอบ เรอื่ ง ธาตุ 21
เร่ืองท่ี 2 แบบจาลองอะตอมและโครงสรา้ งอะตอมของธาตุ 23
2.1 แบบจาลองอะตอม 24
2.2 โครงสร้างอะตอมของธาตุ 24
2.3 สญั ลักษณน์ ิวเคลียร์ 27
- กจิ กรรมที่ 2.3 การหาจานวนอนุภาคมูลฐานในอะตอม 29
แบบทดสอบ เรอ่ื ง แบบจาลองอะตอมและโครงสร้างอะตอมของธาตุ 30
เรือ่ งท่ี 3 สารประกอบ 31
3.1 สมบัติบางประการของสารประกอบ 33
3.2 ประโยชน์ของสารประกอบ 35
แบบทดสอบ เรอ่ื ง สารประกอบ 35
เรอ่ื งท่ี 4 สารละลาย 36
4.1 ความหมายและองคป์ ระกอบของสารละลาย 38
- กจิ กรรมที่ 4.1 องคป์ ระกอบของสารละลาย 39
4.2 พลังงานกบั การละลายของสาร 39
- ปฏิบัติการที่ 1 พลงั งานกับการละลายของสาร 41
- กจิ กรรมท่ี 4.2 องคป์ ระกอบของสารละลาย 41
4.3 สภาพละลายได้ของสาร 46
4.3.1 ปัจจยั ทม่ี ผี ลต่อการละลายของสาร 46
- ปฏบิ ัตกิ ารที่ 2 ปัจจัยท่มี ีผลตอ่ การละลายของสาร 48
- กจิ กรรมท่ี 4.3 สภาพละลายไดข้ องสาร 50
4.4 ความเขม้ ข้นของสารละลาย 52
4.5 การใช้สารละลายในชวี ิตประจาวัน 52
แบบทดสอบ เรอื่ ง สารละลาย 57
61
หนว่ ยที่ 1 สารและการเปล่ียนแปลง (ตอ่ ) 63
เรื่องท่ี 5 ปฏกิ ิริยาเคมี 64
5.1 ปฏิกริ ิยาเคมี 65
5.1.1 พลังงานกับการเกิดปฏิกิริยาเคมี 65
- ปฏบิ ัติการท่ี 3 การเปล่ียนแปลงพลงั งานเมอื่ เกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี 69
5.2 ผลของปฏกิ ริ ยิ าเคมี 70
5.3 สมการเคมี 71
5.4 ปฏกิ ิรยิ าเคมใี นชวี ิตประจาวัน 77
- กจิ กรรมที่ 5.4 ปฏกิ ริ ิยาเคมที พ่ี บในชีวติ ประจาวนั 78
- ปฏบิ ัติการท่ี 4 ปฏิกิรยิ าเคมี 80
5.5 ปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี 85
แบบทดสอบ เร่อื ง ปฏกิ ริ ยิ าเคมี 86
เรียนวิทย์แสนสนุกดว้ ย SCIENCE SHOW 88
88
เรอ่ื งท่ี 6 พอลเิ มอร์ เซรามกิ และวสั ดผุ สม 92
6.1 พอลิเมอร์ 95
6.1.1 พลาสตกิ 96
6.1.2 เส้นใย 97
6.1.3 ยาง 98
- กิจกรรมท่ี 6.1 พอลิเมอร์ 102
6.2 เซรามกิ 102
- กจิ กรรมที่ 6.2 เซรามกิ 106
6.3 วัสดผุ สม 108
แบบทดสอบ เรอ่ื ง พอลเิ มอร์ เซรามิก และวสั ดผุ สม 109
113
เรอ่ื งที่ 7 การแยกสาร 119
7.1 การแยกสารเนอื้ ผสม 121
7.2 การแยกสารเน้อื เดยี ว 123
- ปฏิบัติการท่ี 5 การระเหยแห้ง 125
- ปฏิบตั ิการท่ี 6 การตกผลึก 127
- ปฏิบตั ิการที่ 7 โครมาโทกราฟี 130
- ปฏบิ ัติการที่ 8 การสกดั ดว้ ยตวั ทาละลาย 117
7.3 การนาวธิ ีการแยกสารไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจาวนั
แบบทดสอบ เร่ือง การแยกสาร
บรรณานุกรม
หนว่ ยที่ 2 โลกและการเปลยี่ นแปลง 131
เรอื่ งที่ 1 ส่วนประกอบของโลก
1.1 รปู รา่ ง ลักษณะและโครงสรา้ งของโลก 134
1.2 โครงสร้างภายในของโลก 134
แบบทดสอบ เรอ่ื ง สว่ นประกอบของโลก 135
เรอื่ งที่ 2 การเปลีย่ นแปลงของเปลอื กโลก 138
2.1 ลักษณะของแผ่นเปลอื กโลก 139
2.2 การเคลอื่ นทีข่ องแผ่นเปลือกโลก 139
- ปฏิบัตกิ ารท่ี 9 แผ่นเปลอื กโลกเคลอ่ื นท่ีไดอ้ ย่างไร 142
แบบทดสอบ เรอื่ ง การเปลย่ี นแปลงของเลอื กโลก 143
เรื่องท่ี 3 การยกตัว การยุบตัว การคดโคง้ โกง่ งอของเปลือกโลก 146
3.1 การเกิดภเู ขา 147
3.2 การเกดิ แผ่นดนิ ไหว 147
3.3 การเกิดภเู ขาไฟระเบดิ 149
แบบทดสอบ เรื่อง การยกตัว การยุบตัว การคดโคง้ โกง่ งอของเปลือกโลก 152
เรอ่ื งที่ 4 การผพุ งั อยกู่ บั ท่ี การกรอ่ น การพดั พา และการทบั ถม 155
4.1 การผพุ งั อยู่กบั ท่ี 156
4.2 การกรอ่ น การพัดพาและการทับถม 157
แบบทดสอบ เรื่อง การผุพงั อยู่กับท่ี การกร่อน การพดั พา และการทับถม 158
เรื่องที่ 5 ดนิ 164
5.1 การกาเนดิ ดิน 166
5.2 องค์ประกอบของดิน 166
5.3 การจาแนกดนิ 167
5.4 สมบตั ขิ องดนิ 168
- ปฏบิ ัตกิ ารที่ 10 สมบัตบิ างประการของดิน 170
แบบทดสอบ เร่ือง ดนิ 172
176
หนว่ ยท่ี 2 โลกและการเปล่ยี นแปลง (ต่อ) 177
เรอื่ งท่ี 6 การปรับปรุงคณุ ภาพของดิน 177
6.1 การชะล้างพังทลายของดนิ 178
6.2 ผลกระทบท่ีเกดิ จากการชะลา้ งพังทลายของดิน 179
6.3 การอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาที่ดิน 182
แบบทดสอบ เรอ่ื ง การปรบั ปรุงคุณภาพของดิน 183
184
เรอ่ื งที่ 7 หิน 185
7.1 หินอคั นี 185
7.2 หนิ ตะกอน 189
7.3 หนิ แปร 190
แบบทดสอบ เร่อื ง หิน 191
192
เรอ่ื งท่ี 8 แร่ 199
8.1 สมบตั ทิ างกายภาพของแร่ 200
8.2 ชนดิ ของแร่ 201
แบบทดสอบ เรอื่ ง แร่ 204
205
เรื่องท่ี 9 นา้ 207
9.1 แหล่งนา้ บนโลก 208
9.2 สมบตั ิของนา้ วัฏจักรของนา้ คุณภาพของน้า 209
9.3 การกาหนดคณุ ภาพของนา้ สารเคมีต่างๆในนา้ 212
แบบทดสอบ เรอื่ ง นา้ 213
217
เรอ่ื งที่ 10 ประโยชน์ การอนรุ ักษ์และภัยพิบตั ทิ ่ีเกดิ จากน้า 220
10.1 ประโยชน์ของแหลง่ น้าบนโลก และประโยชน์ของแหลง่ นา้ ในทอ้ งถิ่น 221
10.2 การอนรุ กั ษท์ รพั ยากรน้า
10.3 ภัยพบิ ัตทิ ่เี กดิ จากนา้
- ปฏบิ ัตกิ ารท่ี 11 สมบตั ิบางประการของนา
แบบทดสอบ เรอื่ ง ประโยชน์ การอนรุ ักษแ์ ละภัยพบิ ัตทิ เี่ กิดจากนา้
บรรณานุกรม
เป้าหมายการเรยี นรู้ (มาตรฐานการเรยี นร้แู ละตัวช้ีวัด)
1. อธิบายสมบัตทิ างกายภาพบางประการของธาตโุ ลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจักษ์ที่ได้จากการสังเกตและการทดสอบ และใช้สารสนเทศ
ทไ่ี ด้จากแหลง่ ขอ้ มูลต่างๆ รวมท้ังจดั กลุม่ ธาตุเปน็ โลหะ อโลหะ และก่ึงโลหะ (ว 2.1 ม.1/1)
2. วิเคราะหผ์ ลจากการใช้ธาตโุ ลหะ อโลหะ กงึ่ โลหะ และธาตุกัมมนั ตรังสี ที่มตี ่อส่ิงมีชีวติ ส่ิงแวดลอ้ ม เศรษฐกจิ และสังคม จากข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 2.1 ม.1/2)
3. ตระหนักถงึ คุณค่าของการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ ก่ึงโลหะ ธาตุกัมมันตรงั สี โดยเสนอแนวทางการใชธ้ าตอุ ยา่ งปลอดภยั คมุ้ ค่า (ว 2.1 ม.1/3)
4. อธิบายเก่ียวกับความสัมพันธร์ ะหวา่ งอะตอม ธาตุ และสารประกอบ โดยใช้แบบจาลองและสารสนเทศ (ว 2.1 ม.1/7)
5. อธบิ ายโครงสร้างอะตอมที่ประกอบดว้ ย โปรตอน นิวตรอน และอเิ ลก็ ตรอน โดยใช้แบบจาลอง (ว 2.1 ม.1/8)
6. อธิบายการแยกสารผสมโดยการระเหยแห้ง การตกผลึก การกล่นั อย่างงา่ ย โครมาโทกราฟแี บบกระดาษ การสกดั ดว้ ยตัวทาละลาย โดยใชห้ ลักฐานเชงิ
ประจกั ษ์ (ว 2.1 ม.2/1)
7. แยกสารโดยการระเหยแห้ง การตกผลกึ การกลั่นอยา่ งง่าย โครมาโทกราฟแี บบกระดาษ การสกัดดว้ ยตวั ทาละลาย (ว 2.1 ม.2/2)
8. นาวิธีการแยกสารไปใชแ้ ก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน โดยบรู ณาการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศาสตร์ (ว 2.1 ม.2/3)
9. ออกแบบการทดลองและทดลองในการอธิบายผลของชนิดตวั ละลาย ชนิดตัวทาละลาย อณุ หภมู ิทม่ี ีตอ่ สภาพละลายได้ของสาร รวมทัง้ อธิบายผลของความดัน
ท่ีมตี ่อสภาพละลายไดข้ องสาร โดยใช้สารสนเทศ (ว 2.1 ม.2/4)
10. ระบุปริมาณตัวละลายในสารละลาย ในหน่วยความเขม้ ข้นเป็นรอ้ ยละ ปรมิ าตรต่อปรมิ าตร มวลตอ่ มวล และปรมิ าตรตอ่ ปริมาตร (ว 2.1 ม.2/5)
11. ตระหนักถึงความสาคญั ของการนาความรู้เรือ่ งความเข้มข้นของสารไปใช้ โดยยกตัวอย่างการใช้สารละลายในชวี ิตประจาวนั อย่างถูกตอ้ ง (ว 2.1 ม.2/6)
12. ระบุสมบตั ิทางกายภาพและการใชป้ ระโยชน์ วัสดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ และวสั ดุผสม โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจักษ์และสารสนเทศ (ว 2.1 ม.3/1)
13. ตระหนักถงึ คุณค่าของการใชว้ ัสดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ และวัสดุผสม โดยเสนอแนะแนวทางการใช้วัสดอุ ย่างประหยดั และคุ้มคา่ (ว 2.1 ม.3/2)
14. อธิบายการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี รวมถึงการจัดเรียงตัวใหมข่ องอะตอมเมื่อเกิดปฏกิ ิริยาเคมี โดยใชแ้ บบจาลองและสมการข้อความ (ว 2.1 ม.3/3)
15. อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจักษ์ (ว 2.1 ม.3/4)
16. วิเคราะห์ปฏกิ ิรยิ าดูดความร้อน และปฏกิ ิริยาคายความรอ้ น จากการเปลยี่ นแปลงพลังงานความรอ้ นของปฏกิ ริ ิยา (ว 2.1 ม.3/5)
17. อธิบายปฏิกิรยิ าการเกิดสนิมของเหลก็ ปฏิกิรยิ าของกรดกบั โลหะ ปฏิกิริยาของกรดกบั เบส และปฏกิ ิริยาของเบสกับโลหะ โดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจักษ์ และ
อธิบายปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้ การเกิดฝนกรด การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง โดยใชส้ ารสนเทศ รวมท้ังเขียนสมการข้อความแสดงปฏิกิรยิ าดงั กล่าว (ว 2.1 ม.3/6)
18. ระบปุ ระโยชนแ์ ละโทษของปฏิกิริยาเคมี ที่มตี ่อสง่ิ มชี วี ติ และสิ่งแวดล้อม และยกตัวอย่าง วิธกี ารป้องกนั และแก้ปัญหาทเี่ กิดจากปฏิกิริยาเคมี ทพ่ี บ
ในชีวติ ประจาวนั จากการสืบค้นข้อมูล (ว 2.1 ม.3/7)
19. ออกแบบวธิ ีแก้ปญั หาในชีวิตประจาวนั โดยใช้ความรเู้ กี่ยวกบั ปฏกิ ิริยาเคมี โดยบูรณาการวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์
(ว 2.1 ม.3/8)
สารรอบตัวเรามมี ากมายหลายชนดิ เป็นสารทใี่ ช้ทั้งอุปโภคบรโิ ภคสารท่กี ล่าวถงึ นั้นเป็นท้ังสารอินทรียแ์ ละสารอนินทรยี ์
มใี หค้ ุณและโทษ การดารงชวี ติ ประจาวนั ของมนษุ ย์หนีไม่พ้นจากการสัมผัส และการใช้สาร เชน่ อากาศ อาหาร นา้ ดิน แกว้
หนงั สือ ฯลฯ
สารแตล่ ะชนิดจะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวและสังเกตเห็นไดช้ ดั เจน เรียกว่า สมบัตทิ างกายภาพของสาร เช่น เป็นของแขง็
ของเหลว แก๊ส สี จดุ หลอมเหลว จดุ เดือด การนาไฟฟา้ การนาความรอ้ น ความแขง็ ความเหนยี ว หรอื เปราะ เปน็ ต้น ในสภาวะ
สามารถแบง่ สารต่างๆในโลกนอ้ี อกได้เป็น 3 สถานะ คือ ........................................................................... ซ่ึงสารแตล่ ะชนิดแมจ้ ะ
อย่ใู นสภาวะเดียวกันแตก่ ม็ สี มบัติเฉพาะตัวแตกตา่ งกันออกไปดังนี้
ธาตุ แบบจาลองอะตอม โครงสรา้ งอะตอม สารประกอบ
* ความหมายของธาตุ * แบบจาลองอะตอม * โครงสรา้ งอะตอมของธาตุ * สตู รเคมี
* สญั ลกั ษณ์ของธาตุ -ดโิ มครติ ุส -จอหน์ ดอลตนั * สญั ลกั ษณ์ของธาตุ * สมบตั บิ างประการของ
* ตารางธาตุ -ทอมสนั -รทั เทอรฟ์ อรด์ สารประกอบ
* สมบตั ขิ องธาตุ -นลี ล์ โบร์ -กลมุ่ หมอก * ประโยชน์ของสารประกอบ
* ธาตุกมั มนั ตรงั สี
สารและการเปลย่ี นแปลง
สารละลาย ปฏิกิริยาเคมี พอลเิ มอร์ เซรามกิ ส์ การแยกสาร
และวัสดผุ สม
* ความหมายสารละลาย * ประเภทของปฏกิ ริ ยิ าเคมี * การแยกสารเน้อื ผสม
* พลงั งานกบั การละลาย * ผลของปฏกิ ริ ยิ าเคมี * พอลเิ มอร์ -การกรอง การระเหดิ
ของสาร * สมการเคมี * เซรามกิ ส์ -การใชแ้ ม่เหลก็ ดดู
* สภาพละลายไดข้ องสาร * ปฏกิ ริ ยิ าเคมใี นชวี ติ * วสั ดผุ สม -การหยบิ ออก
* ความเขม้ ขน้ ของ ประจาวนั การสกดั ดว้ ยตวั ทาละลาย
สารละลาย * ปัจจยั ทม่ี ผี ลต่อการเกดิ * การแยกสารเน้อื เดยี ว
* การใชส้ ารละลาย ปฏกิ ริ ยิ าเคมี -การตกผลกึ การกลนั่
ในชวี ติ ประจาวนั -การระเหยแหง้
-โครมาโทกราฟี
ธาตุจัดเปน็ สารบริสทุ ธ์ิ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ค้นพบธาตุไม่น้อยกว่า 118 ธาตุ เพื่อความสะดวกในการศึกษาธาตุ จึง
จาแนกธาตุตามสมบตั ิทต่ี รวจสอบได้ออกเปน็ 3 ประเภท คอื โลหะ อโลหะ และกงึ่ โลหะ นอกจากน้ยี ังพบวา่ มีธาตุบางชนิด
สามารถแผร่ ังสีซ่ึงเป็นพลงั งานรูปหนง่ึ ออกมาได้ เรียกว่า ธาตุกมั มันตรังสี ในปัจจบุ นั ธาตุแตล่ ะชนดิ ได้ถูกนามาใช้ประโยชน์อย่าง
มากมาย แต่ในขณะเดยี วกนั ก็อาจก่อใหเ้ กิดผลกระทบตอ่ สิ่งมชี ีวิตและส่ิงแวดลอ้ มได้ ดังนั้นเราจึงควรศึกษาส่ิงต่างๆ ที่เกย่ี วกับธาตุ
เพอื่ ใหส้ ามารถเลือกใช้ธาตุได้ อยา่ งถูกตอ้ งและปลอดภัย
1. อธบิ ายสมบัตทิ างกายภาพบางประการของธาตโุ ลหะ อโลหะ และกงึ่ โลหะ โดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ทไ่ี ด้จากการสังเกต
และการทดสอบ และใชส้ ารสนเทศที่ได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ รวมทั้งจัดกลุ่มธาตเุ ป็นโลหะ อโลหะ และกงึ่ โลหะ
2. วิเคราะห์ผลจากการใชธ้ าตโุ ลหะ อโลหะ กง่ึ โลหะ และธาตุกมั มนั ตรงั สี ที่มตี ่อสิ่งมชี ีวติ สงิ่ แวดล้อม เศรษฐกจิ และสังคม
จากขอ้ มูลที่รวบรวมได้
3. ตระหนกั ถงึ คุณคา่ ของการใช้ธาตโุ ลหะ อโลหะ กง่ึ โลหะ ธาตุกัมมนั ตรังสี โดยเสนอแนวทางการใชธ้ าตอุ ย่างปลอดภยั คมุ้ คา่
สสาร (matter) หมายถงึ …………………………………………............................………………………………….……………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สาร (Substance) หมายถงึ ................................................................................................................................................
สมบัตขิ องสาร (property of substance) คือ สมบัติเฉพาะของสาร ไดแ้ ก่ สถานะ รปู ร่าง ลกั ษณะ ขนาด กล่ิน รส
ความแข็ง ความเปราะ ความอ่อน ความเหนียว ความเป็นวาว ความหนาแนน่ จุดเดือด จุดหลอมเหลว การนาไฟฟ้า ความ
สามารถในการละลาย ความเป็นกรด-เบส ความว่องไวในการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
สมบัตขิ องสาร แบง่ เป็น 2 ประเภท คือ
1) สมบตั ิทาง............................... คือ สมบตั ิทไ่ี ม่เก่ยี วข้องกับการเปล่ียนแปลงองคป์ ระกอบของสาร เชน่ รปู ผลึก สี
ความเป็นมันวาว ความหนาแน่น จุดเดือด จุดหลอมเหลว โดยสามารถทดสอบได้ง่าย หรือสงั เกตได้ง่ายๆจากลกั ษณะภายนอก
2) สมบัติทาง............................... คอื สมบัติทเ่ี กี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงองคป์ ระกอบของสาร ทาใหส้ ารเปลีย่ นจาก
สารหนึ่งไปเปน็ สารหนึ่ง มีผลต่อการเปลย่ี นแปลงองค์ประกอบภายใน ทาให้เกิดสารใหม่ เช่น การเผาไหม้ การเกดิ สนิม โดย
สมบตั ิทางเคมี ต้องทาการทดลอง จงึ จะสามารถบอกไดห้ รือสรปุ เปน็ เกณฑ์ได้ เชน่ ความเปน็ กรด-เบส ความว่องไวในการ
เกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี
การจดั จาพวกสาร มเี กณฑ์ในการจัดการมากมายหลายเกณฑ์ แต่ทนี่ ยิ มมากมี 2 เกณฑ์ คอื ใช้สถานะของสารและใช้เนื้อ
สารเปน็ เกณฑ์
1) ใชส้ ถานะเป็นเกณฑ์ แบ่งเป็น 3 สถานะ คือ
1.1) ของแข็ง เช่น ไอโอดีน เหลก็ ดา่ งทับทิม เงนิ ทองแดง
1.2) ของเหลว เช่น โบรมนี ปรอท นา้ น้าเกลือ น้าเชือ่ ม
1.3) แกส๊ เช่น คลอรีน ออกซิเจน คารบ์ อนไดออกไซด์
2) ใชเ้ น้ือสารเปน็ เกณฑ์ ซ่ึงแสดงเปน็ แผนภาพดังน้ี
สารเนื้อเดียว หมายถงึ สารทมี่ ีองคป์ ระกอบทงั้ หมดกลมกลืนเปน็ เนื้อเดยี วกนั และมีสมบตั เิ หมือนกนั ทุกส่วน อาจ
ประกอบด้วยสารองคป์ ระกอบเพียงชนดิ เดียวหรอื มากกว่าหน่ึงชนิดก็ได้ เช่น นาก ทองเหลือง อากาศ นา้ เชื่อม ปรอท น้ากล่นั
นา้ ตาลทราย ทองแดง เป็นต้น
คอลลอยด์ หมายถึง สารเนื้อผสมทมี่ องเป็นเน้ือเดียวกนั เช่น น้าแปง้ สุก นมสด น้าสลัด ควัน หมอก ฟองสบู่
สารเนอ้ื ผสม หมายถึง สารท่ีมีองคป์ ระกอบไม่กลมกลืนกนั สามารถมองเหน็ แยกเปน็ ส่วนๆได้ เชน่ คอนกรตี น้าคลอง
พริกเกลอื ดนิ ปนทราย เปน็ ต้น
สารบรสิ ุทธิ์ หมายถึง สารเนื้อเดียวทม่ี ีองคป์ ระกอบของสารเพยี งอย่างเดยี วหรอื 1 ชนิด ซ่งึ อาจเป็นธาตหุ รอื เปน็
สารประกอบก็ได้ เชน่
1) ธาตุ (Element) หมายถึง สารบริสุทธ์ทปี่ ระกอบด้วยอะตอมของธาตุเพียงชนดิ หนึ่ง และไมส่ ามารถ
แยกสลายของธาตใุ หเ้ ป็นสารอ่นื ได้อกี เชน่ เงิน กามะถัน ทองแดง ทองคา
2) สารประกอบ (Compound) คือสารบรสิ ุทธิ์ ทเ่ี กดิ จากอะตอมตา่ งชนดิ กนั มารวมกันทางเคมีด้วยสดั สว่ น
ของธาตุองคป์ ระกอบคงที่ เช่น น้า เกลอื แกง ด่างทบั ทมิ หินปูน เอทานอล เป็นต้น
สารละลาย หมายถงึ สารเน้ือเดยี วท่ีเกิดจากการสารตั้งแต่ 2 ชนิดข้ึนไปรวมตวั กันโดยไม่เกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี แตเ่ กดิ การ
ละลายและองคป์ ระกอบของสารยังแสดงสมบัติเดิมอยู่ เช่น นา้ เกลือ น้าเชื่อม น้าอัดลม อากาศ เป็นตน้
ธาตุ (Element) คาสาคญั
ธาตุ
ธาตุ (element) เป็นสารบรสิ ุทธ์ิที่เป็นสารเนื้อเดยี ว ประกอบด้วยอะตอมชนิด
เดียวกนั เทา่ น้ัน ในทางเคมีจึงไมส่ ามารถแยกสลายเป็นสารอืน่ ได้ อนภุ าคท่ีเล็กที่สดุ ของ อะตอม
ธาตุ คือ ............................ อะตอมของธาตุอาจรวมกนั เป็นโมเลกุลหรอื ผลกึ ก็ได้ เช่น สัญลักษณ์ของธาตุ
จอห์น ดอลตัน
โจนส์ จาคอบ เบอร์ซเิ รียส
Fe (s) – เหลก็ อยู่เป็นผลึกโลหะ
O₂ (g) – แก๊สออกซเิ จนเกดิ จากอะตอมของออกซิเจน 2 อะตอม
อยู่รวมกนั เปน็ โมเลกลุ
ใน พ.ศ. 2204 ...................................................( Robert Boyle )
เป็นผเู้ ร่มิ ใชค้ าวา่ “ธาตุ” สาหรับเรียกสารเนอื้ เดียวที่มีองคป์ ระกอบของสาร
เพียงอย่างเดียว ไมส่ ามารถนามาแยกสลายให้กลายเป็นสารอน่ื ๆ ได้โดยวิธี
การทางเคมี เช่น อะลูมิเนียม เปน็ ธาตุซ่งึ ประกอบอะตอมของอะลูมเิ นียม
ท่มี องเห็นน้นั ประกอบดว้ ยอะตอมของธาตอุ ะลูมเิ นยี มนบั ลา้ นๆอะตอมยึด
เหน่ียวกันอยู่ ดงั ภาพ
เมื่อนาสารต่างๆท่ีเป็นส่วนประกอบของโลกหรือสารในรา่ งกาย มา ภาพท่ี 1.1 แผ่นอะลูมเิ นยี ม
แยกสลาย จะพบว่าสารต่างๆ ล้วนประกอบด้วยธาตุ ปจั จบุ ันธาตุมไี ม่น้อยกว่า 118 ธาตุ โดยแบ่งออกเปน็ 2 กลุ่ม ตามแหล่งทมี่ า
ได้แก่ ธาตทุ ี่เกิดขนึ้ เองตามธรรมชาตมิ ีอยู่ 92 ธาตุ และธาตุทีน่ ักวิทยาศาสตร์สังเคราะห์ข้ึนในห้องทดลองอกี หลายธาตุ
ธาตุทีพ่ บในธรรมชาติมีปรมิ าณท่ีแตกต่างกนั ธาตุที่มปี ริมาณ
มากทส่ี ดุ คือ...................................รองลงมา คอื ...............................
อะลูมิเนียม เหล็ก และอ่นื ๆ ดงั แสดงในแผนภูมิภาพที่ 1.12
สว่ นในธาตุองคป์ ระกอบพนื้ ฐานในร่างกายมนุษยท์ ี่มมี าก คือ
..............................................................................ตามลาดบั
ภาพที่ 1.2 แผนภมู ิแสดงมวลร้อยละของธาตทุ ม่ี อี ยู่ในธรรมชาติ
ภาพที่ 1.3 แผนภูมปิ รมิ าณของธาตุชนิดตา่ งๆทเ่ี ปน็ สว่ นประกอบ
ของร่างกาย
สัญลกั ษณข์ อธาตุ หมายถงึ เครือ่ งหมายท่ีใช้แทนช่อื ธาตุเพ่อื ให้เข้าใจตรงกันเปน็ สากล
เน่อื งจากธาตุมีหลายชนิด นกั วิทยาศาสตรจ์ ึงหาวิธีการเรียกชื่อธาตเุ พ่ือให้สามารถส่อื ความหมายได้ตรงกนั ไดม้ ีการ
กาหนดสญั ลักษณธ์ าตุเพื่อใช้ในการสื่อความหมายและเปน็ ตัวแทนของธาตุแตล่ ะชนิด สัญลักษณธ์ าตเุ ปน็ ภาษาสากลท่ชี นทกุ ชาติ
ทัว่ โลกเขา้ ใจได้ตรงกนั โดยเฉพาะในระยะแรกๆ ทยี่ ังมีการคน้ พบธาตุไมม่ ากนัก ..........................................................................
(John Dalton) นักวิทยาศาสตรเ์ คมีชาวองั กฤษ ได้เสนอให้ใช้สญั ลกั ษณ์ของธาตุเปน็ แบบ................................................ดังนี้
ภาพที่ 1.4 ตวั อยา่ งสัญลักษณข์ องธาตุตามแนวความคิดของดอลตนั
ต่อมามีการคน้ พบธาตุเป็นจานวนมากและเพมิ่ ขึ้นเร่ือยๆ การใชภ้ าพจงึ ไม่สะดวกและจดจาได้ยาก ..............................
.................................................................(Jons Jacob Berzelius) นักวิทยาศาสตร์ชาวสวเี ดน จงึ ได้เสนอให้ใช.้ ........................
แทนช่ือธาตุและเป็นที่ยอมรับจนถึงปจั จบุ ันน้ี ซึง่ หลักในการเขียนสัญลักษณ์ของธาตุมีดังนี้
- ถา้ ธาตนุ ัน้ มีชอ่ื ท้ังในภาษาองั กฤษและภาษาละติน ให้ใชอ้ ักษรตวั แรกในชื่อภาษาละตนิ มาเขยี นดว้ ยตัวพิมพ์ใหญ่เป็น
สญั ลักษณข์ องธาตุน้ัน
- ถ้าธาตุน้ันไม่มชี ื่อในภาษาละติน ให้ใชช้ ื่อภาษาอังกฤษ นาตวั อักษรตวั แรกมาเขียนด้วยตัวพิมพ์ใหญเ่ ป็นสญั ลกั ษณ์
ของธาตนุ ั้น
- ถา้ ชอื่ ธาตมุ อี ักษรแรกชา้ กนั กับธาตุอ่นื ใหธ้ าตทุ ่ีพบทีหลงั เขียนสัญลักษณโ์ ดยใช้อักษรตัวแรกเขยี นเปน็ ตัวพิมพ์ใหญ่
แล้วเพิ่มอักษรตัวถัดไปตัวใดตัวหนึ่ง โดยเขียนเป็นตัวพมิ พ์เล็ก เช่น Calcium พบทีหลงั Carbon ซ่งึ ธาตทุ ้ังสองมีอักษรตัวแรก
ในชือ่ ธาตุซ้ากนั คอื C จึงเขยี นสัญลักษณ์ของธาตุ Calcium เป็น Ca
ตารางที่ 1 ชื่อภาษาอังกฤษ ภาษาละติน และสัญลักษณ์ของธาตชุ นดิ ต่างๆ
ภาพที่ 1.5 คาร์บอน ภาพที่ 1.6 ทองคา ภาพที่ 1.7 ปรอท ภาพที่ 1.8 เหลก็
1. สัญลักษณ์ของธาตุ คืออะไร...............................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. สัญลักษณ์ของธาตุที่นักเรียนรู้จกั มีแบบใดบา้ ง จงยกตวั อย่างประกอบ……………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3. สญั ลักษณ์ทจ่ี อหน์ ดอลตัน เสนอใหใ้ ช้น้ัน มลี ักษณะอย่างไร พร้อมยกตวั อย่างประกอบ 3 ตวั อย่าง…………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ธาตแุ ตล่ ะชนิดอาจมีสมบัติบางประการคล้ายกนั เช่น สถานะ สี การนาไฟฟา้ การนาความร้อน ความแขง็ ความวาว
จดุ เดอื ด จุดหลอมเหลว แต่อาจมีสมบัตบิ างประการทแี่ ตกตา่ งกัน นกั เรียนจงึ อาจจาแนกประเภทของธาตโุ ดยใช้ความเหมอื นหรือ
ความแตกต่างของสมบัติเหล่านี้เป็นเกณฑไ์ ด้ คำสำคญั
- ตารางธาตุ - คาบ
- เมนเดเลเยฟ - หมู่
พิจารณาขอ้ ความต่อไปน้ีแล้วเขียนเคร่ืองหมาย / หน้าข้อความท่ีถกู ต้อง และเขียนเครื่องหมาย X หนา้ ข้อความทีไ่ ม่
ถูกตอ้ ง
..............1. ธาตุแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 กลมุ่ คอื ธาตุโลหะ (Metal) ธาตอุ โลหะ (Non-metal) และธาตุกง่ึ โลหะ (Metalloid)
..............2. ในตารางธาตเุ ม่ือจัดธาตุทมี่ ีคณุ สมบัติคล้ายกันในแนวต้ัง เรียกว่า คาบ และเมอื่ จัดในแนวนอน เรียกว่า หมู่
..............3. ในตารางธาตมุ หี มู่ A ทั้งหมด 8 หมู่
..............4. ในตารางธาตุมที ้งั หมด 8 คาบ
..............5. ธาตทุ อ่ี ยู่ตรงขนั้ บันไดของตารางธาตุ คือ ธาตกุ ่ึงโลหะ
ในธรรมชาตมิ ธี าตุทง้ั หมดเพียง 92 ชนดิ เช่น ทองแดง (Cu) ทองคา (Au) เงิน (Ag) เหล็ก (Fe) อะลมู ิเนียม (Al)
กามะถนั (S) นอกจากนยี้ งั มธี าตุบางชนดิ ทีน่ กั วทิ ยาศาสตร์สังเคราะห์ข้นึ ในห้องปฏิบัตกิ าร เชน่ ธาตุพลูโทเนียม และเพื่อความ
สะดวกในการศกึ ษา นกั วทิ ยาศาสตรท์ ชี่ ่ือ ..................................................... (Mendelejev) จึงไดจ้ ัดธาตเุ หล่าน้ีออกเป็นหมวดหมู่
โดยใช้สมบตั ขิ องธาตเุ ป็นเกณฑ์ โดยจัดธาตทุ ่มี ีสมบัติคลา้ ยกนั ไวใ้ นกลุ่มเดยี วกันตามแนวตั้ง แล้วบรรจุลงในตารางธาตุท่ีเรียกวา่
.......................................................... (periodic table)
ภาพที่ 1.9 เมนเดเลเยฟ ผู้จดั ตารางธาตทุ ี่เรียกว่า ตารางพรี ิออดกิ
จากตารางธาตุพบวา่ มีการแบง่ ธาตอุ อกเป็นแถวตามแนวต้ังเรยี กว่า.........................
มีท้ังหมด................. แถว โดยแบ่งเป็น A ..............แถว คือ หมู่ 1A ถึง หมู่ 8A และหมู่ B
(ธาตแุ ทรนซิชนั ) มี..................... แถว คือ หมู่ 1B ถึง 8B (หมู่ 8B มี 3 แถว) และมีแถว
ตามแนวนอน................. แถว เรียกว่า.......................เช่น กามะถัน (S) เป็นธาตทุ ี่อยู่ในหมู่ 6 A คาบที่ 3 ส่วนทองแดง (Cu) เป็น
ธาตแุ ทรนซิชนั ท่ีอยู่ในหมู่ 1B คาบท่ี 4
การแบ่งธาตุทั้ง 18 แถว เป็นหมู่ A และ หมู่ B เนื่องจากหมู่ A และหมู่ B มีสมบัตบิ างประการต่างกันและอาจเรยี กช่อื
หมูข่ องธาตุทง้ั 18 แถวตามระบบ IUPAC (the International Union of Pure and Applied Chemistry) เป็นหมู่ 1 ถึงหมู่ 18
ก็ได้ เชน่ เรยี กหมู่ 5A วา่ หมู่ 15
จากตารางธาตุ แคลเซียม (Ca) ไนโตรเจน (N) ออกซิเจน (O) ซิลิคอน ธาตุที่พบใหม่ 4 ตัวในตารางธาตุ
(Si) และคลอรนี (Cl) ธาตุเหล่านอ้ี ยู่ในคาบและหมู่ใดตามตารางธาตุ
……………………………………………………………………………………………………… https://www.scimath.org/article-
………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………… chemistry
……………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………..
“IUPAC ไดป้ ระกาศชื่อใหม่ของธาตุส่ีธาตุ คอื 113 Nihonium (Nh), 115 Moscovium (Mc), 117
Tennessine (Ts) และ 118 Oganesson (Og)”
เมอื่ วันท่ี 8 มถิ ุนายน 2559 ทผี่ า่ นมา สหภาพเคมบี รสิ ุทธแ์ิ ละเคมีประยกุ ต์ระหวา่ งประเทศ (International Union of Pure and
Applied Chemistry หรอื IUPAC) มมี ติอยา่ งเป็นทางการ ประกาศช่อื ธาตุใหม่ 4 ตวั ในตารางธาตุ ดังตอ่ ไปน้ี
ธาตลุ าดับที่ 113 ชื่อ Nihonium สัญลกั ษณ์ Nh ค้นพบโดยนกั วทิ ยาศาสตร์
จากห้องปฏิบัตกิ าร RIKEN Nishina Center for Accelerator-Based Science (Japan)
ประเทศญ่ีปนุ่ โดย Nh มาจากคาว่า Nihon ซงึ่ เป็นคาเรยี กชื่อประเทศญี่ปุ่น นับเป็นธาตุ
แรกท่ถี กู ค้นพบในเอเชยี
ธาตลุ าดบั ท่ี 115 ช่ือ Moscovium สญั ลกั ษณ์ Mc ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์
จากห้องปฏิบัตกิ าร Joint Institute for Nuclear Research, Dubna (Russia) ในประเทศ
รสั เซีย โดยช่ือธาตุได้มาจากช่ือเมือง Moscow ซงึ่ เป็นที่ตั้งของสถาบันวจิ ัยแหง่ น้ี
ธาตลุ าดับท่ี 117 ช่ือ Tennessine สัญลกั ษณ์ Ts ค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์จาก
หอ้ งปฏบิ ัติการ Oak Ridge National Laboratory (USA), Vanderbilt University (USA), ภาพที่ 1.10 นกั วิทยาศาสตรช์ าวญี่ปุ่นผคู้ น้ พบธาตุ
Lawrence Livermore National Laboratory (USA) ซงึ่ เป็นผูร้ ่วมค้นพบธาตุน้ี ชอ่ื ธาตุตงั้ ลาดบั ท่ี 113 ชื่อ Nihonium
ชือ่ ตามรัฐ Tennessee ประเทศสหรัฐอเมริกา ซงึ่ เป็นท่ีตงั้ ของหอ้ งปฏิบัติการแหง่ น้ี
ทีม่ า : https://teacherpd.ipst.ac.th/index.php/
ธาตลุ าดบั ท่ี 118 ชื่อ Oganesson สัญลกั ษณ์ Og ค้นพบโดยทีมวจิ ัยจากห้อง
ปฏิบตั กิ าร Joint Institute for Nuclear Research, Dubna (Russia) และ Lawrence Livermore National Laboratory (USA) ต้ังชอื่ เพอ่ื
เปน็ เกียรติแก่ ศาสตราจารย์ Yuri Oganessian ซง่ึ ยังมชี วี ิตและอุทิศตนให้แก่การศึกษาวจิ ยั ธาตใุ นกลุ่ม superheavy element
ตารางธาตุใหม่ (2018)
https://iupac.org/what-we-do/periodic-table-of-elements/
ตารางธาตุใหม่ (2018)
https://sciencenotes.org/periodic-table-pdf-2/
การศึกษาสมบตั ิของธาตุในธรรมชาติ เช่น สถานะ สี การนาไฟฟ้า การนาความรอ้ น ความยาว จดุ เดือด จุดหลอมเหลว
จะชว่ ยใหน้ ักเรยี นได้รจู้ ักธาตุต่างๆ ได้ดีขน้ึ สามารถนาธาตุตา่ งๆ มาใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่างเหมาะสม และตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ของ
การใช้งาน เชน่ นาปรอทมาบรรจใุ นเทอร์มอมิเตอร์ เพราะปรอทเปน็ ของเหลวมจี ดุ เดือดสูง ทึบแสง และสะท้อนแสงไดด้ ี จงึ
เหมาะท่ีจะนามาบรรจุในหลอดแก้วสุญญากาศเพื่อทาเทอร์มอมเิ ตอร์สาหรับบอกอุณหภูมิ นักเรียนทราบหรอื ไมว่ ่าธาตุแต่ละชนิด
มสี มบัติเหมือนหรือแตกต่างกันอยา่ งไร คำสำคญั
- สมบตั ิของธาตุ - ธาตุอโลหะ
- ธาตุโลหะ - ธาตกุ ึ่งโลหะ
พิจารณาข้อความต่อไปน้ีแลว้ เขียนเครื่องหมาย / หน้าข้อความที่ถกู ต้อง และเขียนเครื่องหมาย X หน้าข้อความทไ่ี ม่
ถูกต้อง
..............1. ทองแดง จดั เป็นธาตุโลหะ (Metal)
..............2. ธาตโุ ลหะ (Metal) จะนาไฟฟา้ และนาความร้อนได้ดี จดุ เดือด จดุ หลอมเหลวสูง
..............3. ไส้ดินสอ นาไฟฟา้ ได้ แตแ่ ตกหักออกไดง้ ่าย
..............4. ธาตทุ ี่อยตู่ รงขนั้ บันไดของตารางธาตุ คือ ธาตุอโลหะ (Non-metal)
..............5. ธาตกุ ง่ึ โลหะ (Metalloid) น่าจะมคี ุณสมบัติกา้ กงึ่ ระหว่างธาตุโลหะ และธาตอุ โลหะ
สมบตั ิของธาตเุ ปน็ ลักษณะเฉพาะของธาตุ ธาตุตา่ งชนิดกนั อาจมสี มบัตบิ างประการทเ่ี หมือนกัน ถา้ จัดธาตุที่มสี มบัติ
รว่ มกันไว้ในกลมุ่ เดียวกนั ไว้ในกลุ่มเดียวกัน สามารถจาแนกธาตุไว้ไดเ้ ป็น 3 กลุ่ม คอื
โลหะมสี มบัตดิ งั น้ี ถ้าใช้ความหนาแน่นเป็นเกณฑ์ สามารถจาแนก
1) โลหะสว่ นใหญ่มสี ถานะเป็น………………ทีมสี ถานะเป็นของเหลว โลหะเปน็ 2 กลุม่
มนี ้อยมาก โลหะเป็นของเหลว ไดแ้ ก่ ……………………….. 1. โลหะหนกั เป็นโลหะทีม่ ีความหนาแนน่
2) ..................................................................หรือดงึ ใหเ้ ป็นเส้นได้ มากกวา่ 4.5 g/cm3 เช่น เหลก็ ทองแดง ตะกัว่
จึงสามารถนาไปทาให้มรี ปู ทรงต่างๆได้ เชน่ ทาเส้นลวด และภาชนะต่างๆ เป็นตน้
3) นาไฟฟา้ และความรอ้ นได้ จึงใช้ทาสายไฟและภาชนะหุงต้ม 2. โลหะเบา เปน็ โลหะทีม่ ีความหนาแน่นน้อยกว่า
4) มจี ดุ หลอมเหลวและจดุ เดือดสูง ส่วนมากเกิน 300 C จึงนิยมใช้ 4.5 g/cm3 เชน่ อะลมู ิเนียม แมกนเี ซียม เป็นต้น
ทาภาชนะหงุ ตม้
5) โลหะสว่ นใหญม่ ีความหนาแน่นสงู คือ ................................ เชน่
เหล็ก ทองแดง ปรอท ซ่ึงเป็นโลหะที่มคี วามหนาแนน่ ตัง้ แต่ 4.5 g/cm³
ขึน้ ไป จดั เปน็ …………………………
6) เมื่อมอี ุณหภูมิสงู ข้ึน จะนาไฟฟ้าไดน้ ้อยลง
7) โลหะส่วนใหญ่เมอื่ ท้งิ ไว้ในอากาศจะเกดิ สนมิ ทาใหผ้ ุกรอ่ น
8
8) โลหะจะทาปฏิกิรยิ ากับกรด ทาให้เกิด......................................
9) โลหะบางชนิดเมื่อนามาหลอมรวมกันเป็นสารละลาย จะทาให้
เกดิ สนมิ น้อยลง เช่น สังกะสีผสมกบั ทองแดงได้ทองเหลือง ซ่งึ เกิดสนิมชา้ กว่าสังกะสี
10) ออกไซด์ของโลหะละลายน้าได้สารละลายซ่งึ มีคณุ สมบัตเิ ป็น.................................เช่น แคลเซยี มออกไซด์ (CaO) ละลาย
นา้ ได้น้าปูนใส CaO₍s₎ + H₂O₍l₎ Ca(OH)₂ (น้ำปูนใส)
ภาพท่ี 1.11 การเกดิ สนิมของโลหะ ภาพที่ 1.12 โลหะมคี วามเหนยี วและรดี เปน็ เสน้ ได้ ภาพท่ี 1.13 โลหะนิยมทาเป็นภาชนะหงุ ตม้
อโลหะมีสมบตั ิดงั น้ี
1. ธาตุท่ีจดั เป็นอโลหะมที ้ังของแข็ง ของเหลว และแก็ส
2. สมบตั คิ วามเปน็ อโลหะทชี่ ดั เจน คือ.................................................
...........................................................................................................................
3. ส่วนใหญ่ไม่นาไฟฟา้ และความรอ้ น ยกเว้น.........................เฉพาะที่
อยู่ในรูปแกรไฟต์ หรอื ...............................เทา่ น้นั ท่นี าไฟฟ้าได้ สว่ นคารบ์ อนที่
อยู่ในรูปเพชรและถ่าน ไมน่ าไฟฟ้าและความร้อน
4. ส่วนใหญ่มีความหนาแน่นตา่
5. สว่ นใหญม่ ีจดุ เดือดและจุดหลอมเหลวตา่ ยกเว้น แกรไฟต์และเพชร
6. ไมท่ าปฏิกิรยิ ากบั กรด
7. ออกไซด์ของอโลหะละลายกบั น้าจะไดส้ ารละลายท่ีมีคุณสมบัติเป็น
..........................เชน่ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO₂) แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์
(SO₄) แก๊สไนโตรเจนไดออกไซด์(NO₂)
กง่ึ โลหะเป็นธาตุที่มสี มบัติบางประการเหมือนโลหะและมสี มบัตบิ างประการเหมือนอโลหะ ดงั น้ี
1. ผวิ เป็นมนั วาว นาไฟฟา้ ได้ จุดเหลอมเหลวสูง แต.่ .........................
2. ส่วนใหญ่เมอื่ มีอณุ หภูมสิ ูง จะ........................................................ เรื่องนา่ ร.ู้ ...!!!
จึงนยิ มใช้ทาอุปกรณเ์ ปน็ วงจรอิเล็กทรอนิกส์ ธาตุก่ึงโลหะมีจานวนน้อยกว่า ธาตุซิลิคอนใชท้ าเซลล์แสงอาทติ ยท์ ี่เปลี่ยน
อโลหะ ไดแ้ ก่ ธาตุซลิ ิคอน (Si), เจอร์เมเนยี ม(Ge), อารเ์ ซนิกหรอื สารหนู (As), พลงั งานจากแสงอาทิตยเ์ ปน็ พลงั งานไฟฟ้า
พลวงหรือแอนติโมน่ี (Sb), โบรอน (B) , เทลลูเลียม (Te) และพอโลเนียม (Po)
เป็นต้น
ภาพที่ 1.14 ธาตุกึง่ โลหะ (ซิลคิ อน) ภาพที่ 1.15 ธาตกุ ่งึ โลหะ (เจอรเ์ มเนียม)
คาช้แี จง จงศึกษาขอ้ มูลแสดงสมบัติของธาตตุ วั อย่างแลว้ จาแนกออกเป็นโลหะ อโลหะ และกึง่ โลหะ แลว้ ตอบคาถามข้างลา่ งน้ี
ธำตุ ควำมสำมำรถในกำร ควำมเหนียว จดุ หลอมเหลว ( C) จดุ เดอื ด ( C) ควำมหนำแนน่ (g/ )
นำ้ ไฟฟำ้
A น้ำไฟฟำ้ เหนยี ว 838 1,490 2.1
B ไม่นำ้ ไฟฟ้ำ เปรำะ 44 280 1.8
C นำ้ ไฟฟำ้ ได้เล็กน้อย เปรำะ 1,410 2,680 3.7
D ไม่น้ำไฟฟำ้ เปรำะ 113 445 1.8
E น้ำไฟฟ้ำ - -38.87 356.58 8.5
F ไม่น้ำไฟฟำ้ เปรำะ 2,300 3,900 2.4
1. ธาตุที่มสี มบัตเิ ป็นโลหะ ไดแ้ ก่......................................................................................................................................
2. ธาตทุ ี่มีสมบตั เิ ปน็ อโลหะ ไดแ้ ก่...................................................................................................................................
3. ธาตทุ ม่ี สี มบัตเิ ปน็ ก่ึงโลหะ ได้แก.่ ................................................................................................................................
4. ธาตทุ จี่ ดั เป็นโลหะหนัก ไดแ้ ก่......................................................................................................................................
5. ธาตุที่จัดเปน็ โลหะเบา ไดแ้ ก.่ .......................................................................................................................................
ธาตุบางชนิดยงั อาจเปน็ อันตรายต่อสงิ่ มชี วี ติ และส่ิงแวดล้อมได้ เชน่ โลหะบางชนิดที่ใชใ้ นอตุ สาหกรรม เช่น ตะก่วั
แคดเมยี ม ปรอท ถา้ ปนเปอ้ื นในสิ่งแวดล้อมแลว้ เข้าสู่รา่ งกายในปรมิ าณมาก อาจก่อใหเ้ กิดอนั ตรายต่อ ตับ หัวใจ ไต และธาตุ
กึ่งโลหะบางชนดิ อาจก่ออนั ตรายตอ่ ร่างกาย เชน่ สารหนูมพี ิษรุนแรงถึงชวี ติ การสดู หายใจเอาฝนุ่ ซิลกิ า ซง่ึ ประกอบด้วยธาตุ
ซลิ ิคอนเป็นสาเหตุของอาการปอดอักเสบที่พบในคนงานเหมอื งหินที่ไมส่ วมหน้ากากป้องกนั ขณะปฏิบัตงิ าน
คำสำคญั
- ธาตกุ ัมมันตรังสี - รงั สแี กมมา บตี า แอลฟา
พจิ ารณาข้อความต่อไปน้ีแล้วเขียนเคร่อื งหมาย / หน้าข้อความที่ถกู ตอ้ ง และเขียนเครือ่ งหมาย X หนา้ ข้อความทไี่ ม่
ถูกต้อง
..............1. มธี าตกุ ัมมันตรังสีบางชนดิ ใช้ในโรงงานไฟฟา้ นิวเคลยี ร์
..............2. ธาตกุ มั มนั ตรงั สี คือ ธาตทุ ่ีสามารถแผ่รงั สอี อกมาได้
..............3. ธาตุกมั มนั ตรังสีบางชนิด ใช้ในการถนอมอาหารได้
..............4. หากเราไดร้ บั รังสีจากธาตุกมั มนั ตรังสใี นปริมาณมาก อาจจะก่อใหเ้ กดิ โรงมะเรง็ ได้
..............5. หากเราเจอสัญลักษณ์คลา้ ยรปู ใบพัด 3 ใบ แสดงว่า บริเวณนน้ั อาจมีอากาศหนาวเย็นจดั
พ.ศ. 2439 อองตวน เฮนรี แบก็ เกอแรล (Antoine Henri Becquere ) ภาพท่ี 1.16 อองตวน เฮนรี แบ็กเกอแรล
นกั วทิ ยาศาสตรช์ าวฝรงั่ เศส พบว่า แผน่ ฟิลม์ ถา่ ยรูปท่มี ีกระดาษสีดาหุ้มและเก็บไว้ (Antoine Henri Becquere )
รวมกบั สารประกอบของธาตยุ ูเรเนียมมลี ักษณะเหมือนถกู แสง และเมอื่ ทดลองกับ
สารประกอบอ่ืนๆของยูเรเนยี มกไ็ ดผ้ ลเหมือนกัน เขาจึงสรุปว่า มีรังสีออกมาจาก ท่ีมา : https://th.wikipedia.org/wiki/
ธาตุยูเรเนียม ตอ่ มาปีแอร์ กูรีและมารี กูรี พบว่ามีธาตอุ ีกหลายชนดิ เชน่ เรเดียม
พอโลเนียม กส็ ามารถแผ่รงั สีได้
ดังนน้ั ธาตุกัมมนั ตรังสี (radioactive element)เป็นธาตทุ ส่ี ามารถแผ่
รงั สไี ดเ้ อง เช่น ยูเรเนยี ม เรเดียม ทอเรยี ม เปน็ ตน้ การท่เี ปน็ ธาตแุ ผร่ ังสีออกมา
อย่างต่อเน่ืองเกิดจากอะตอมของธาตุไมเ่ สถยี ร เพราะภายในนวิ เคลียสมีพลังงาน
มากเกินไป นิวเคลียสของอะตอมจงึ มีการถ่ายเทพลังงานออกมาในรูปการแผ่รงั สี
ซ่งึ มี 3 ชนิด คอื ......................................................................................................
ภาพที่ 1.17 ภาพหมอกจากแผน่ ฟลิ ์มทอ่ี อ็ งรี แบ็กแรล
การคน้ พบธาตกุ ัมมันตรงั สขี อง ได้ทดลองนากมั มนั ตภาพรังสมี าวางบนแผน่ ฟิลม์ ท่ีปกปิด
อองตวน เฮนรี แบ็กเกอแรล อยา่ งดี แต่กไ็ ม่อาจตา้ นทานการทะลุทะลวงได้
ท่มี า : https://th.wikipedia.org/wiki/ ทีม่ า : https://th.wikipedia.org/wiki/
พร้อมทง้ั มกี ารสลายตัวของนิวเคลยี ส ทาให้โครงสรา้ งนิวเคลียสเปลี่ยนแปลงกลาย
เป็นธาตใุ หมแ่ ละในไมช่ ้า จะสลายตอ่ ไปกลายเปน็ ธาตอุ นื่ อกี จนกระทั่งถึงธาตุสุดทา้ ยทเี่ สถยี ร
และไม่เปน็ ธาตกุ ัมมนั ตรังสี เชน่ การสลายของยูเรเนียม-238 เปน็ นิวเคลยี สของทอเรยี ม-234
ซง่ึ ไมเ่ สถยี ร จึงสลายตอ่ ใหน้ วิ เคลียสโพรแทกทิเนียม-234 จนในทส่ี ุดจะไดต้ ะกั่ว-206 ซึ่งเป็นนวิ เคลียส เป็นต้น ปรากฏการณ์ท่ีธาตุ
แผ่รังสไี ด้เองอย่างต่อเน่ืองนเ้ี รียกวา่ .....................................................(radioactiiviy)
ยเู รเนยี ม-238 อเรยี ม-234 รแ ก เนยี ม-234 ………………….. ตะกว-206
เคร่ืองหมายที่แสดงว่าเป็นธาตกุ ามันตรังสหี รือบรเิ วณที่อาจมีกัมมนั ตภาพรังสี คือ
ธาตุกมั มันตรังสีมที ั้งทพี่ บในธรรมชาติและท่ีมนษุ ยส์ ังเคราะหข์ นึ้ ธาตุกัมมนั ตรังสที ่พี บในธรรมชาติ ไดแ้ ก่ เรเดยี ม-226
ทอเรียม พอโลเนียม สว่ นธาตุกมั มนั ตรงั สีท่เี กดิ จากมนุษยส์ ังเคราะห์ข้ึน ไดแ้ ก่ โซเดยี ม-24 ( ) และ ซง่ึ เกิดจากการ
ทดลองอาวธุ นิวเคลยี ร์
1.4.1 สมบตั ขิ องรังสีของธาตุกัมมนั ตรังสี
1)รงั สีแอลฟา
รงั สแี อลฟา ( ) เป็นนวิ เคลียสของอะตอมของธาตุ...................... จงึ มสี ัญลกั ษณน์ วิ เคลียร์ ……………….สามารถทาให้เกดิ
การรวมตวั เป็นไอออนในสารทรี่ งั สผี า่ นได้ดีจึงเสยี พลงั งานอยา่ งรวดเร็ว ดงั น้ัน จึงมอี านาจทะลุผา่ นนอ้ ยมาก เมื่อผ่านเขา้ ไปใน
สนามแมเ่ หล็กจะเบนขน้ึ จากแนวเดิมเล็กน้อย
อนุภาคแอลฟา คอื นิวเคลียสของ มี 2 โปรตอน และ 2 นวิ ตรอน
2)รงั สบี ตี า
รังสีบีตา (β) เปน็ อิเล็กตรอน มีสัญลักษณน์ ิวเคลยี ร์
................... ทาใหเ้ กดิ การแตกตัวเป็นไอออนในสารได้น้อยกว่า
รงั สแี อลฟา จึงมอี านาจทะลผุ ่านมากกว่ารงั สีแอลฟา เม่ือผ่าน
เขา้ ไปในสนามแมเ่ หล็กจะเบนจากแนวเดมิ มาก ในทิศตรงข้าม
กับรังสีแอลฟา
3)รงั สีแกมมา ภาพที่ 1.18 เปรียบเทยี บการทะลผุ า่ นสิ่งกีดขวางของรังสแี อลฟา ( )
รงั สีแกมมา (γ) มสี ญั ลักษณ์นิวเคลยี ร์....................... รังสบี ตี า (β) และรังสแี กมมา (γ)
เป็นรงั สีไมม่ ีประจไุ ฟฟ้ามสี มบัติคล้ายรงั สเี อกซ์ และเปน็ คล่ืน
แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ จึงมีอานาจทะลุผ่านได้สงู สดุ คือมีมากกว่ารงั สี
แอลฟาและรังสบี ีตา เมื่อผ่านเข้ามาไปให้สนามแมเ่ หล็กจะ
เคล่ือนทใี่ นแนวตรง จึงกล่าวได้วา่ รงั สีแกมมาไม่ไดร้ ับผลกระทบ
จากสนามแมเ่ หล็ก
ภาพที่ 1.19 การเบนของแนวการเคลื่อนทีข่ องรังสีในสนามแม่เหล็ก
ภาพท่ี 1.20 ผลของสนามไฟฟา้ ทม่ี ีตอ่ รงั สีแอลฟา รังสีแกมมา และรงั สีบตี า
....สรุปเพมิ่ เตมิ ...สมบตั ิของรังส.ี ..
ตารางที่ 2 เปรียบเทียบคุณสมบตั ขิ องรังสีของธาตกุ ัมมันตรังสี
ชนิดของรังสี สญั ลกั ษณ์ ประจไุ ฟฟ้า อานาจการผ่านวัตถุ
แอลฟา
หรือ บางคร้ังใช้ +2 ไมส่ ามารถผา่ นกระดาษบางๆได้
บตี า สัญลักษณ์เป็นนวิ เคลียส -1 ผ่านกระดาษบางๆเส้ือผ้า มอื และแผน่ อะลูมิเนยี ม
แกมมา หรอื หนา 1 มิลลเิ มตรได้
0 ผา่ นแผ่นอะลูมเิ นยี มหนา 5 cm และแผ่นตะกวั่ หนา
1.5 mm ได้
จากการศึกษาการแผ่รังสีของธาตุกัมมันตรังสพี บวา่ เม่ือธาตกุ ัมมนั ตรงั สีแผร่ ังสีออกมาแล้ว จะทาใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงที่
นิวเคลยี สกลายไปเป็นอะตอมของธาตใุ หม่ท่มี ีความเสถียรมากข้ึน และไม่สามารถแผ่รงั สีได้อกี ต่อไปดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี
1) ประโยชนข์ องกัมมนั ตรังสี
1.1) ใช้ในทางการแพทย์ เช่น ใชโ้ คบอลต์-60 ทาลายเชลลม์ ะเร็ง ใชไ้ อโอดีน-131 ตรวจความผิดปกตขิ องตอ่ มไทรอยด์ เปน็ ต้น
1.2) ใช้ในด้านกาเกษตร เชน่ ใช้รงั สีแกมมาฆ่าเช้ือแบคทีเรียและแมลงในอาหารได้ หรอื ฆ่าเช้อื จลุ ินทรยี ใ์ นเมลด็ พืช เปน็ ต้น
1.3) ใช้ในด้านอุตสาหกรรม เช่น การควบคมุ ความหนาของแผน่ พลาสติก การควบคมุ กระบวนการผลิตกระจก กระดาษ โดย
ใชส้ ารกัมมันตรงั สี เป็นตน้
ตารางที่ 3 แสดงชนิดและประโยชนข์ องธาตุกัมมนั ตรังสี
ธาตกุ มั มันตรงั สี ประโยชน์ ภาพ
ยูเรเนยี ม-235 ( ) ใชเ้ ป็นเช้ือเพลิงในเครอื่ งปฏิกรณ์ปรมาณแู ละ
โรงไฟฟ้านิวเคลยี ร์
ภาพที่ 1.21 เคร่อื งปฏกิ รณ์ปรมาณแู ละโรงไฟฟ้า
นวิ เคลยี ร์
คารบ์ อน-14 ( ) ใชค้ านวณหาอายุของซากพชื ซากสตั ว์ดกึ ดาบรรพ์
โครงกระดูกมนษุ ย์โบราณ วัตถุโบราณ และใช้
ศึกษาการสังเคราะหแ์ สงของพชื
ภาพท่ี 1.22 คานวณหาอายุของซากพืชซากสัตว์ดึก
ดาบรรพ์
ไอโอดีน-131 ( ) ใช้ศึกษาความผิดปกติของตอ่ มไทรอยด์
ภาพที่ 1.23 ศึกษาความผดิ ปกตขิ องตอ่ มไทรอยด์
โซเดยี ม-24 ( ) ใชศ้ ึกษาการหมนุ เวียนเลือดในรา่ งกาย
ตารางท่ี 3 แสดงชนดิ และประโยชนข์ องธาตุกัมมนั ตรังสี (ตอ่ )
ธาตุกัมมันตรังสี ประโยชน์ ภาพ
โคบอลต์-60 ( ) ใช้ในการรักษาโรคมะเรง็ ใชใ้ นการถนอมอาหาร
และยดื อายขุ องผลไม้ ช่วยยับยง้ั จุลนิ ทรยี แ์ ละ
ทาลายแมลง
ภาพท่ี 1.24 ใช้ในการถนอมอาหารและยดื อายุของ
ผลไม้
เทคนีเซียม-99 ( ) ใช้ในการวนิ ิจฉัยโรคเก่ียวกบั อวัยวะตา่ งๆ เชน่
หัวใจ ปอด
2) โทษของกมั มันตภาพรงั สตี อ่ รา่ งกาย
ปริมาณของกัมมนั ตภาพรังสีทรี่ ่างกายเราจะไดร้ บั อาจมาจากแหล่งธรรมชาติ หรือจากแหล่งทีม่ นษุ ยป์ ระดิษฐข์ ึ้น เช่น
การฉายรงั สีเอกซ์ทางการแพทยก์ ารทางานในที่ทม่ี ีแหล่งรังสี เป็นต้น เมอื่ รงั สีเขา้ สรู่ า่ งกายเน้ือเยอ้ื จะดดู กลนื พลงั งานของการแผ่
รงั สี ซ่ึงทาลายเชลลต์ ่างๆ ในร่างกาย ถ้ารา่ งกายได้รับปริมาณมากอาจเป็นสาเหตุให้เกดิ โรคต่างๆ เชน่ มะเร็ง และอาจมผี ลทาง
พันธกุ รรม ซ่งึ สามารถถา่ ยทอดไปยงั ร่นุ ลูกหลานต่อไปได้
3) ผลกระทบทเี่ กิดจากธาตุกมั มนั ตรังสี
การแผร่ ังสจี ากนวิ เคลยี สของธาตกุ ัมมันตรังสี จะปล่อยรงั สีแอลฟา บตี า
และแกมมา ซงึ่ เป็นรงั สีทมี่ องไมเ่ ห็นและมอี านาจทะลุทะลวงผ่านวัตถุได้ จึงอาจเกิด
อนั ตรายต่อสง่ิ มีชวี ติ และส่งิ แวดล้อมได้
ผลกระทบทเ่ี กิดจากธาตุกัมมันตรงั สี เชอรโ์ นบิล มหันตภัยนวิ เคลยี รท์ ี่ร้ายแรงทส่ี ุด
1. การไดร้ บั รังสีพลังงานสูง ทาใหเ้ กดิ โรคมะเรง็ ได้ ในประวัตศิ าสตร์โลก
2. ทาใหเ้ กิดการกลายพันธ์ุ เนื่องจากรังสจี ะไปทาลายโครโมโซมของคน https://www.youtube.com/watch?v=5T
หญงิ ตั้งครรภ์เม่ือได้รบั รงั สีมากเกินไป จะทาให้เดก็ เกิดมาพิการได้ 0ytsNgAVA
3. ผู้ท่สี บู บหุ รี่มากๆ จะได้รับรังสีจากยาสบู ที่ฉายรงั สี ทาใหม้ ีโอกาสเกิดโรคมะเร็งได้ง่าย
ภาพที่ 1.25 ผลกระทบจากการได้รับสารกัมมันตรังสี ภาพท่ี 1.26 อวยั วะทไ่ี ด้รับสารกมั มนั ตรังสี
คาชแ้ี จง จงเลือกตัวอักษรหน้าข้อความทางขวามือมาเติมลงในช่องว่างหนา้ ข้อความทางซ้ายมอื ทมี่ ีความสัมพนั ธ์กัน
1............แหนมอาบรังสี ก. ทาให้พชื และสตั ว์กลายพันธุ์
2............I-131 ข. C-14
3............หญิงตั้งครรภ์ไดร้ บั รังสี ค. U-235
4............ใชค้ านวณหาอายซุ ากพืช ง. Co-60
5............โทษของรังสี จ. เดก็ ทารกอาจพิการได้
6............ใช้เปน็ เชื่อเพลิงในโรงไฟฟ้านวิ เคลียร์ ฉ. ใชต้ รวจโรคคอพอก
7............มกี ารสังเคราะห์ธาตุ Na-24 ช. ตรวจสขุ ภาพเก่ียวกับการหมุนเวียนของเลือด
เขียนเครอื่ งหมาย / ในชอ่ งว่างหน้าทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทไ่ี ดท้ าในบทเรียนน้ี
การสังเกต การวัด การจาแนกประเภท
การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกบั สเปซและสเปซกับเวลา
การใช้จานวน การจดั กระทาและสื่อความหมายข้อมูล
การลงความเห็นจากขอ้ มูล การพยากรณ์ การตัง้ สมมติฐาน
การกาหนดนิยามเชิงปฏิบตั ิการ การกาหนดและควบคุมตวั แปร การทดลอง
การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป การสรา้ งแบบจาลอง
•ธาตุ (Element) หมายถึง สารบรสิ ุทธท์ิ ่ีประกอบดว้ ยอะตอมของธาตุเพียงชนิดเดยี ว และไมส่ ามารถแยกสลายธาตุ
ให้เป็นสารอนื่ ได้อีก
•ธาตทุ มี่ ปี ริมาณมากท่ีสดุ ในธรรมชาติ คือ ออกซิเจน รองลงมาคือ ซิลิคอน อะลูมิเนยี ม เหล็ห และอ่ืนๆ ตามลาดบั
•การค้นพบธาตุในระยะแรก จอหน์ ดอลตัน (John Dalton) นกั วทิ ยาศาสตร์เคมชี าวอังกฤษ ไดเ้ สนอใหใ้ ช้สญั ลกั ษณ์
ของธาตุเป็นแบบรปู ภาพ
• โจนส์ จาคอบ เบอร์ซเิ รยี ส (Jons Jacob Berzelius) นักวิทยาศาสตร์ชาวสวเี ดน จึงได้เสนอใหใ้ ช้ตวั อักษร เป็น
สัญลักษณข์ องธาตุแทน และยอมรบั ในปจั จบุ ัน
•เมนเดเลเยฟ (Mendelejev) ไดจ้ ดั ธาตุต่างๆออกเปน็ หมวดหมโู่ ดยใชส้ มบัติของธาตเุ ปน็ เกณฑ์ โดยจดั ธาตทุ ่ีมสี มบตั ิ
คลา้ ยกันไว้ในกลุ่มเดียวกนั ตามแนวต้ัง แลว้ บรรจุลงในตารางธาตุทเี่ รียกวา่ ตารางพรี ิออดิก (periodic table)
• มกี ารแบง่ ธาตุออกเปน็ แถวตามแนวต้ังเรียกว่า หมู่ มีท้ังหมด 18 แถว โดย
แบง่ เปน็ A 8 แถว คือ หมู่ 1A ถึง หมู่ 8A และหมู่ B (ธาตุแทรนซิชัน) มี 10 แถว
คอื หมู่ 1B ถึง 8B (หมู่ 8B มี 3 แถว)
• มีแถวตามแนวนอน 7 แถว เรยี กวา่ คาบ
• ถ้าจดั ธาตุทม่ี สี มบัติร่วมกนั ไว้ในกลุ่มเดยี วกนั ไวใ้ นกลมุ่ เดยี วกนั สามารถจาแนกธาตุไว้ไดเ้ ป็น 3 กลุ่ม คอื ธาตุโลหะ
ธาตุอโลหะ และธาตกุ ึ่งโลหะ
ชนิดของธาตุ โลหะ (Metal) อโลหะ (Non-metal) ก่ึงโลหะ (Metalloid)
สมบตั ิ
1.สถานะ ของแข็ง ยกเว้น ปรอทเปน็ ทั้งของแข็ง ของเหลว และ ของแขง็
ของเหลว แก๊ส
2.ลกั ษณะผิว มันวาว ผิวด้าน บางชนดิ ผิวมันวาว
บางชนิดผิวด้าน
3.ความเหนียวหรือเปราะ เหนยี วตเี ป็นแผ่นบางๆหรอื ยืด เปราะ ทบุ แล้วแตก เปราะ
เป็นเส้นได้
4.การเกิดเสยี งเมื่อเคาะ กงั วาน ไมก่ ังวาน ไมก่ ังวาน
5.จุดเหลอมเหลวและ สงู ยกเว้นปรอท ตา่ ยกเว้นคาร์บอน บางชนิดสูง
จดุ เดอื ด
6.การนาไฟฟ้า นาไฟฟ้า ไม่นาไฟฟา้ บางชนิดนาไฟฟ้า
7.การเกดิ ปฏิกริ ยิ ากับกรด ทาปฏิกิรยิ ากบั กรดไดแ้ ก๊ส ไม่ทาปฏิกริ ิยา ไมท่ าปฏิกริ ิยา
ไฮโดรเจน
• ธาตุกัมมนั ตรงั สี (radioactive element) เปน็ ธาตทุ ี่สามารถแผ่รังสีได้เอง เนื่องเกดิ จากอะตอมของธาตุไมเ่ สถยี ร
เพราะภายในนวิ เคลยี สมีพลังงานมากเกินไป นิวเคลียสของอะตอมจงึ มกี ารถ่ายเทพลงั งานออกมาในรูปการแผ่รงั สี ซง่ึ มี 3 ชนิด
คือ รังสแี อลฟา รังสีบีตา และรังสีแกมมา
ชนิดของรังสี สญั ลกั ษณ์ ประจุไฟฟ้า อานาจการผา่ นวัตถุ
แอลฟา หรือ บางคร้ังใช้ +2 ไม่สามารถผา่ นกระดาษบางๆได้
สัญลกั ษณ์เป็นนวิ เคลียส
บีตา หรอื -1 ผา่ นกระดาษบางๆเสื้อผ้า มอื และแผน่ อะลูมิเนียม
หนา 1 มิลลิเมตรได้
แกมมา 0 ผา่ นแผ่นอะลมู ิเนียมหนา 5 cm และแผน่ ตะกวั่ หนา
1.5 mm ได้
• ประโยชน์ของธาตุกมั มันตรังสี ยูเรเนียม-235 - ใช้เป็นเช้ือเพลิงในเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณแู ละโรงไฟฟา้ นวิ เคลียร์
C-14 - ใช้คานวณหาอายุของซากพืชซากสตั ว์ดกึ ดาบรรพ์ โครงกระดูกมนุษยโ์ บราณ วัตถุ
I-131 - ใช้ศกึ ษาความผดิ ปกตขิ องต่อมไทรอยด์
Na-24 – ใช้ศึกษาการหมุนเวยี นเลือดในร่างกาย
Co-60 - ใชใ้ นการรักษาโรคมะเรง็ ใชใ้ นการถนอมอาหารและยืดอายุของผลไม้
คาชแี้ จง ให้นักเรียน X ลงบนขอ้ ทถ่ี กู ต้องทส่ี ดุ
1. ธาตุในขอ้ ใดจัดเป็นกงึ่ โลหะ
ก. As ข. C ค. Mg ง. Na
2. ธาตุ A เปน็ แก๊สไมม่ สี ี มจี ุดหลอมเหลว -250 C ธาตุ A จดั เป็นธาตใุ นกลมุ่ ใด
ก. โลหะ ข. อโลหะ ค. กงึ่ โลหะ ง. กมั มันตรังสี
3. ธาตใุ ดเป็นธาตุกัมมันตรังสีทง้ั หมด
ก. โซเดยี ม ทอเรียม โบรอน ข. ยูเรเนียม เรเดียม โซเดียม
ค. ทอเรียม ยูเรเนียม เรเดยี ม ง. เรเดยี ม แคลเซียม ทอเรียม
4. ขอ้ ใดกลา่ วถูกต้อง
ก. ธาตุเป็นสารบริสทุ ธ์ สว่ นกมั มนั ตรังสเี ปน็ สารประกอบ
ข. ธาตุมีอะตอมชนิดเดยี ว ส่วนกมั มันตรังสีมีอะตอม 2 ชนิด
ค. ธาตเุ ป็นสารเนื้อเดยี ว สว่ นสารประกอบเป็นสารเนื้อผสม
ง. ธาตุมีอะตอมเพยี งชนิดเดียว ส่วนสารประกอบมีอะตอม 2 ชนิดขน้ึ ไป
5. สาเหตทุ ที่ าใหธ้ าตแุ ผร่ ังสี
ก. มจี านวนอเิ ลก็ ตรอนมากเกินไป ข. มีจานวนโปรตอนมากเกินไป
ค. มีนวิ เคลียสทไี่ มเ่ สถียร ง. มโี ปรตอนน้อยกวา่ อิเลก็ ตรอน
6. จงพจิ ารณาว่าข้อความใดถูกต้อง
ก. รงั สแี อลฟามปี ระจุไฟฟา้ +2 และมมี วลมาก ข. รังสบี ตี ามีประจุไฟฟ้า +1 และไม่มมี วล
ค. รงั สีแกมมาเบนเข้าหาข้ัวลบของสนามแมเ่ หล็ก ง. รังสีบีตามีประจุไฟฟ้า -1 และมมี วลมากกว่ารังสีแอลฟา
7. ธาตุชนิดใดทป่ี ริมาณมากที่สุดในธรรมชาติ
ก. ซิลิคอน ข. ไนโตรเจน ค. ออกซิเจน ง. คารบ์ อน
8. นักวทิ ยาศาสตรท์ ่ีกาหนดใหใ้ ช้สญั ลักษณธ์ าตแุ บบตัวอกั ษรคอื ใคร
ก. ดอลตัน ข. เมนเดเลเยฟ ค. จาคอบ เบอร์ซีเลียส ง. รอเบิรต์ บอยล์
9. สัญลักษณธ์ าตุในข้อใดมาจากภาษาละติน
ก. กามะถัน –S ข. อะลูมเิ นียม – Al ค. โพแทสเซยี ม – K ง. คลอรนี – Cl
10. จากการศึกษาตารางธาตุ โซเดยี ม ( Na) เปน็ ธาตุในหมู่ใด และคาบใด
ก. หมู่ 1 คาบ 3 ข. หมู่ 3 คาบ 1 ค. หมู่ 1 คาบ 2 ง. หมู่ 2 คาบ 1
คะแนนเตม็ 10
คะแนนทไ่ี ด้ ...............................
ผู้ตรวจ
การทดสอบหลังเรียนเป็นการวัดผลสมั ฤทธิ์วา่ เมือ่ นกั เรยี นศึกษาแล้วมคี วามรู้ความเขา้ ใจในเนื้อหาเพียงใด
• ถา้ ได้คะแนนนอ้ ยกว่า 5 ข้อ ไม่ต้องเสียใจ ขอให้นักเรยี นเริ่มศกึ ษาเนอื้ หาใหม่ตัง้ แต่ต้นอีกคร้งั
• ถ้าได้คะแนน 5-7 ขอ้ แสดงว่า นักเรียนผ่านเกณฑ์ใหศ้ ึกษาเรื่องต่อไป
• ถ้าได้คะแนน 8-10 ข้อ แสดงว่า นักเรียนผา่ นเกณฑแ์ ละอยู่ในระดบั ดเี ยี่ยม ใหศ้ กึ ษาเรอ่ื งต่อไปได้และ
ใหร้ ักษามาตรฐานทดี่ เี ยี่ยมไว้....จ้า
นักวิทยาศาสตรเ์ ชื่อวา่ สรรพส่ิงทง้ั หลายในโลกล้วนประกอบด้วยอนุภาคเล็กๆ แต่อนุภาค เหล่านี้มีลักษณะอย่างไร ไม่เคยมี
ใครมองเห็นเน่ืองจากมีขนาดเลก็ มาก ดงั นน้ั นักวิทยาศาสตรจ์ งึ ตอ้ งหาเหตุผลในการอธิบายเร่ืองนี้จากสง่ิ ที่สามารถมองเห็นได้
การศกึ ษาเกย่ี วกับอะตอมเป็นเพียงการแปลผลจากข้อมลู ที่ไดจ้ ากการทดลองแลว้ นามาสร้างเปน็ มโนภาพหรือแบบจาลอง
เพื่อใหเ้ กิดความเข้าใจเกยี่ วกับแนวคิดในการพฒั นาแบบจาลอง
1. อธิบายเกี่ยวกบั ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอะตอม ธาตุ และสารประกอบ โดยใช้แบบจาลองและสารสนเทศ
2. อธิบายโครงสรา้ งอะตอมท่ีประกอบด้วย โปรตอน นวิ ตรอน และอเิ ลก็ ตรอน โดยใชแ้ บบจาลอง
คำชีแ้ จง จงเลอื กตวั อกั ษรหนำ้ ขอ้ ควำมทำงขวำมือมำเติมลงในชอ่ งวำ่ งหนำ้ ขอ้ ควำมทำงซำ้ ยมอื ทมี่ ีควำมสมั พนั ธก์ นั
คาชี้แจง จงเลือกตัวอักษรหน้าขอ้ ความทางขวามือ มาเติมลงในช่องว่างหนา้ ข้อความทางซ้ายมือทีม่ ีความสัมพนั ธ์กนั
1............อิเลก็ ตรอน มีประจุเทา่ ใด ก. นิวตรอน
2............โปรตอน มีประจุเทา่ ใด ข. ทรงกลมตัน
3............มวลของอะตอมอยู่ท่ีใดของอะตอม ค. ประจุ -1
4............แบบจาลองอะตอมของดอลตัน ง. นวิ เคลียส
5............มีความเป็นกลางทางไฟฟ้า จ. ประจุ +1
นกั วิทยาศาสตร์เชื่อวา่ สรรพสงิ่ ทั้งหลายในโลกล้วนประกอบดว้ ยอนุภาคเลก็ ๆ ประมาณ พ.ศ. 2348 จอหน์ ดอลตนั
ไดเ้ สนอแนวคิดของเขาว่า อนุภาคทเี่ ล็กท่ีสุดของสสารมีลักษณะเป็นทรงกลมตนั ทมี่ ีขนาดเล็กมากและไมส่ ามารถแบง่ ย่อย ใหเ้ ล็ก
ลงไดอ้ ีก เรยี กอนุภาคน้ีว่า อะตอม
การศึกษาเกย่ี วกับอะตอมเป็นเพียงการแปลผลจากการทดลองแล้วนามาสร้างเปน็ มโนภาพหรอื แบบจาลอง
คำสำคญั
- แบบจาลองอะตอม
มโนภาพของนักวิทยาศาสตรเ์ ก่ียวกบั อะตอมมีการเปล่ยี นแปลงมาเป็นลาดับ เน่ืองจากความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยี
ช่วยให้นักวทิ ยาศาสตรม์ ีเคร่ืองมอื ท่ีทนั สมัยและมีประสทิ ธภิ าพมากขน้ึ ทาให้คน้ พบข้อมูลใหมๆ่ ท่แี ตกตา่ งจากเดมิ จึงทาให้
มโนภาพเกยี่ วกบั อะตอมที่เรียกวา่ ...................................................ของนักวิทยาศาสตร์เปลย่ี นแปลงไปจากเดิมตามลาดบั
400 ปกี อ่ นคริสต์ศกั ราช ดิโมครติ ุส (Democritus, 468-370 ปี ก่อนคริสตกาล)
เสนอวา่ “สรรพส่ิงทงั้ หลายล้วนประกอบดว้ ย....................................................................)
ภาพท่ี 1.27 ดโิ มคริตสุ (Democritus) ดิโมคริตุส (Democritus) ผู้ตง้ั ทฤษฎีอะตอม
ทมี่ า : https://jmansdude.weebly.com/democritus.html
http://www.digitalschool.club/digitalschool/chemical
2_2_1/chemical1_1/more/page1_1.php
จอห์น ดอลตัน (John Dalton, พ.ศ. 2309-2387 ) “อะตอมมีขนาดเล็กมาก เปน็ ..................................... ซง่ึ แบ่งแยก
สร้างข้นึ ใหมห่ รือทาใหส้ ูญหายไม่ได้
ภาพท่ี 1.28 จอหน์ ดอลตัน (John Dalton) ภาพท่ี 1.29 แบบจาลองอะตอมตาม แบบจาลองอะตอมของดอลตนั
ท่ีมา : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88% แนวความคิดของดอลตนั
https://sureerat147.wordpress.com
ทม่ี า : https://sites.google.com/site/joyfulful/
ebeb-calxng-xatxm
เซอร์โจเซฟ จอห์น ทอมสัน ( Sir Joseph John Thomsom, พ.ศ. 2399-2483 ) “อะตอมมีลักษณะเป็นทรงกลม
ประกอบดว้ ยอนภุ าคโปรตอนซ่ึงม.ี ..................................และอเิ ล็กตรอนซ่ึงมี...............................จานวนเท่ากนั กระจายอยู่ทว่ั ไป
อยา่ งสม่าเสมอ”
ภาพท่ี 1.30 เซอรโ์ จเซฟ จอหน์ ทอมสนั ภาพที่ 1.31 แบบจาลองอะตอมตาม การทดลองของทอมสนั
(Sir Joseph John Thomsom) แนวความคดิ ของทอมสัน
http://atomscienctist.blogspot.com/
ทม่ี า : http://thn25508ch.blogspot.com/p/21_15.html ท่มี า : http://atomscienctist.blogspot.com/ 2017/08/blog-post_25.html
2017/08/blog-post_25.html
ลอรด์ เออร์เนสต์ รัทเทอรฟ์ อร์ด ( Lord Ernest Rutherford, พ.ศ. 2414-2480 )
“อะตอมประกอบด้วยประจบุ วก คือ .......................................................... มขี นาดเลก็ มาก
โดยมีประจลุ บ คอื ....................................................................”
ภาพที่ 1.32 ลอร์ดเออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด ภาพที่ 1.33 แบบจาลองอะตอมตาม การทดลองของรทั เทอรฟ์ อรด์
(Lord Ernest Rutherford) แนวความคิดของรทั เทอร์ฟอร์ด https://sureerat147.wordpress.com/
ที่มา : http://chemistrybyzernearntengploy.blogspot.com/ ท่มี า : https://atomandperiodictable.weebly.com/
นีลส์ โบร์ ( Niels Bohr, พ.ศ. 2428-2505 ) “อะตอมเป็นทรงกลมประกอบด้วย..............................................................
……………………………………………………………………………………มอี เิ ล็กตรอนเคล่ือนทร่ี อบนิวเคลียส.....................................................
………………………………………………………….”
ภาพท่ี 1.34 นีลส์ โบร์ (Niels Bohr) ภาพท่ี 1.35 แบบจาลองอะตอมตามแนวความคดิ การทดลองของนีลส์ โบร์
ทม่ี า : http://oillyt.blogspot.com/2013/09 ของนลี ส์ โบร์
https://wordind.wordpress.com/
/niels-henrik-david-bohr.html ทมี่ า : https://wordind.wordpress.com/
ปัจจุบันนักวทิ ยาศาสตร์มีแนวคดิ ว่าอะตอมประกอบดว้ ยกลุ่มหมอกของอิเล็กตรอนรอบๆนิวเคลียสบริเวณใกล้
นิวเคลียสจะมกี ล่มุ หมอกอเิ ล็กตรอนหนาแน่นกวา่ บริเวณที่ห่างออกไป บริเวณท่ีมีกลุ่มหมอกหนาทึบมโี อกาสพบอเิ ล็กตรอน
มากกว่าบรเิ วณทก่ี ลุ่มหมอกบาง เรยี กแบบจาลองนี้ว่า.............................................................................................. โครงสรา้ งของ
อะตอมแบบน้สี ามารถอธิบายสมบตั ิของอะตอมของธาตุได้อย่างกวา้ งขวาง
ภาพท่ี 1.36 แบบจาลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก แบบจาลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก
ทมี่ า : http://www.ponglearning.com/?p=917
https://boonmawong.wordpress.com/
%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0
%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B9%81%E0
1. ให้นักเรียนจับคู่เปน็ เพ่ือนคู่คิด แล้วอภิปรายและตอบคาถามตอ่ ไปน้ี
จงวาดแบบจาลองอะตอมตามความเข้าใจของนักเรียนลงในกรอบ
2. จงตอบคาถามต่อไปนี้ ปัจจบุ นั ใช้แบบจาลองอะตอมใดในการอธิบาย
เกย่ี วกับสมบตั ขิ องอะตอม
ตอบ.................................................................................................................
โมเลกุลของสารมีขนาดเลก็ มาก ไม่สามารถมองเห็นได้ดว้ ยตาเปลา่ และโมเลกุลของก๊าซบางชนดิ เช่น ก๊าซไฮโดรเจน
ออกซิเจน ไนโตรเจน ซง่ึ ประกอบดว้ ย 2 อะตอม แสดงวา่ อะตอมน่าจะมีขนาดเล็กกว่าโมเลกลุ การที่จะศึกษาวา่ อะตอมมีลักษณะ
อยา่ งไร ภายในอะตอมมีอนภุ าคใดเป็นองคป์ ระกอบและอนุภาคเหลา่ นั้นมีสมบตั ิเป็นอย่างไร จงึ เป็นเร่อื งที่ทาไดจ้ งึ เป็นเร่อื งท่ีทา
ได้ยากแตน่ ักวิทยาศาสตรก์ ใ็ ช้วธิ ีการตา่ งๆเพื่อศึกษาหาคาตอบในเรื่องดังกล่าว ในบทเรียนนี้นกั เรยี นจะไดศ้ ึกษาว่านักวิทยาศาสตร์
ใช้วิธีการใด เพ่ือให้ไดข้ ้อมลู เก่ียวกับอะตอม และจากข้อมูลน้นั ใชอ้ ธบิ ายโครงสร้างอะตอมไดอ้ ย่างไร รวมถึงการนาความรู้
เรอ่ื ง โครงสรา้ งอะตอมไปใชอ้ ธิบายปรากฏการณ์บางอยา่ งทเ่ี กิดขึ้นได้ คำสำคญั
- โครงสร้างสรา้ งอะตอม - โปรตอน
- อิเล็กตรอน - นวิ ตรอน
พิจารณาขอ้ ความต่อไปน้แี ล้วเขยี นเครอ่ื งหมาย / หน้าข้อความท่ถี กู ต้อง และเขียนเคร่ืองหมาย X หนา้ ข้อความท่ี
ไม่ถูกตอ้ ง
..............1. ภายในอะตอม ประกอบด้วย 2 อนุภาค คือ อเิ ลก็ ตรอนและโปรตอน
..............2. อิเลก็ ตรอน มปี ระจุไฟฟ้า เทา่ กับ -1
..............3. นวิ ตรอนมปี ระตุไฟฟ้า เทา่ กบั +1
..............4. โปรตตอน มีความเปน็ กลางทางไฟฟ้า
..............5. มวลส่วนใหญ่ของอะตอมอยู่ทน่ี ิวเคลยี ส
อะตอมเป็นสว่ นที่เล็กท่ีสดุ ของสาร ประกอบด้วย..................ส่วน คอื ............................ซง่ึ เป็นแกนกลางของอะตอม
ภายในประกอบด้วยอนุภาค.......................................................และมี………...................เคลื่อนที่รอบๆ นวิ เคลียส เรยี กอนุภาค
ทงั้ สาม คือ โปรตอน (p+) นวิ ตรอน (no) และอิเลก็ ตรอน (e-) นี้ว่า..............................................................
โดยทั่วไปอะตอมจะไม่อยู่ตามลาพัง แต่จะรวมกันอยู่อยา่ งมีระบบ ถ้าเปน็ อะตอมชนดิ เดียวกนั อยู่รวมกนั เปน็ โมเลกุล
เรียกวา่ โมเลกลุ ของธาตุ
อะตอมประกอบดว้ ยอนภุ าคมลู ฐาน ซ่ึงเปน็ องค์ประกอบหลักของธาตุทุกชนิด ดงั น้ี
1. โปรตอน (Proton) เป็นอนภุ าคทมี่ ปี ระจุไฟฟ้า +1 มมี วลประมาณ 1,836
เทา่ ของอเิ ล็กตรอน อยู่ท่ีนิวเคลียส ซ่งึ มขี นาดเล็กและเป็นแกนกลางของอะตอม
2. อเิ ล็กตรอน (Electron) เปน็ อนุภาคท่ีมีประจุไฟฟา้ -1
มีมวลนอ้ ยมาก เคล่อื นท่ีไดเ้ ร็วเปน็ รปู วงกลมหรือวงรีอย่รู อบนวิ เคลยี ส
ของอะตอมเปน็ ชั้นๆ มจี านวนเท่ากบั โปรตอน
3. นิวตรอน (Neutron) เป็นอนภุ าคทีเ่ ป็นกลางทางไฟฟ้า
หรอื มปี ระจุไฟฟ้าเป็นศนู ย์ มีมวลประมาณ 1,839 เท่า ของอิเล็กตรอน
ทอ่ี ยู่ในนิวเคลยี ส
ภาพที่ 1.37 ลกั ษณะโครงสร้างอะตอม
ตารางที่ 4 มวลและชนิดของประจุของอนุภาคโปรตอน นวิ ตรอนและอิเล็กตรอน
ชนิดของอนุภาค ชนิดของประจุ มวล (g)
โปรตอน (p+) +1 1.6725 x 10-24
นิวตรอน (no) 0 1.6748 x 10-24
อเิ ล็กตรอน (e-) -1 9.11 x 10-28
อะตอมเปน็ อนุภาคทเ่ี ล็กทส่ี ดุ ที่สามารถแสดงสมบัตขิ องธาตชุ นดิ น้นั ๆได้ แต่โดยทั่วไปอะตอมไม่สามารถอยู่โดยลาพังได้
จะตอ้ งรวมกับอะตอมอ่ืนโดยมีแรงยดึ เหนยี่ วระหวา่ งอะตอมกลายเปน็ .................................................
โมเลกุลของสารเปน็ หน่วยย่อยท่ีสุดของสารที่สามารถอยู่ได้อย่างอสิ ระ เกดิ จากการรวมกันของอะตอมต้งั แต่ 2 อะตอม
ขึ้นไป ถ้าโมเลกุลนนั้ เปน็ กลมุ่ อะตอมของธาตุชนิดเดยี วกัน จะเรียกกลุ่มอะตอมดงั กลา่ ววา่ ........................................................
เช่น โมเลกุลแก๊สออกซเิ จนประกอบด้วยอะตอมของออกซิเจน 2 อะตอม (O2) โมเลกลุ ของแกส๊ ไฮโดรเจนประกอบด้วยอะตอม
ของไฮโดรเจน 2 อะตอม (H2) แต่หากโมเลกุลน้นั เปน็ กลมุ่ อะตอมของธาตุต่างชนดิ กัน เรยี กกลุ่มอะตอมดังกล่าวว่า
………..……………...............................................................เชน่ นา้ (H2O) 1 โมเลกลุ ประกอบดว้ ยอะตอมของออกซเิ จน 1 อะตอม
และอะตอมของไฮโดรเจน 2 อะตอม
อนุภาคมลู ฐานของอะตอม ซึ่งได้แก่ โปรตอน นิวตรอน และอเิ ลก็ ตรอน ดงั น้ี
1. โปรตอนมีประจไุ ฟฟ้าเป็น +1 สว่ นนวิ ตรอนเป็นกลางทางไฟฟา้ อยู่ท่ีนิวเคลียส
ของอะตอม ซ่ึงมีขนาดเลก็ แต่มมี วลมาก เนื่องจากทงั้ โปรตอนและนวิ ตรอนมมี วลมากกว่า
อเิ ล็กตรอนประมาณ 1,800 เท่า เรยี งลาดับมวลของอนภุ าคมูลฐานจากมากไปหานอ้ ยได้ดังน้ี
2. อิเลก็ ตรอนมีประจุไฟฟา้ -1 มจี านวนเท่ากับโปรตอน ทาให้อะตอมมปี ระจุไฟฟ้าและเคลอ่ื นที่อย่างรวดเร็ว เป็นรปู
วงกลมหรือวงรอี ยรู่ อบนิวเคลียสของอะตอมเปน็ ชนั้
3. โครงสร้างอะตอมมีลักษณะดังนี้
ภาพท่ี 1.38 ลักษณะโครงสร้างอะตอมตามแบบจาลองอะตอมตา่ งๆ
4. สญั ลักษณ์นิวเคลียรเ์ ป็นสญั ลักษณ์ทเ่ี ขยี นแสดงเลขอะตอม (atomic number)และเลขมวลของธาตุ (mass number)
จงตอบคำถำมต่อไปนี้
1) อนุภาคมลู ฐานของอะตอมประกอบด้วยอะไรบ้าง
ตอบ..........................................................................................................................................................................................
2) อนภุ าคมลู ฐานใดของอะตอมทีม่ ีรวมตัวกนั อยทู่ ี่นิวเคลียส และอนุภาคมูลฐานใดที่วิง่ อยรู่ อบๆ นวิ เคลียส
ตอบ..........................................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................................................
คำสำคญั
- สญั ลักษณ์นวิ เคลียร์ - เลขอะตอม
- สัญลักษณข์ องธาตุ - เลขมวล
สัญลกั ษณ์นิวเคลียร์ เป็นสัญลักษณ์ท่ีบอกรายละเอยี ดเกย่ี วกับจานวนอนุภาคมลู ฐานของอะตอมซ่งึ มหี ลักการเขียนดังน้ี
สัญลักษณน์ ิวเคลียร์ คือ
ให้ X คือ สญั ลกั ษณ์ของธาตุ (Element symbol)
ให้ A คือ เลขมวล (Mass number) = จานวนโปรตอน + จานวนนิวตรอนในนิวเคลยี ส
ให้ Z คือ เลขอะตอม (Atomic number) = จานวนโปรตอนในนิวเคลยี ส
.
นอกจากจะทราบจานวนโปรตอนและอิเล็กตรอนจากสัญลักษณน์ ิวเคลียรแ์ ลว้ ยังสามารถ
หาจานวนนวิ ตรอนไดอ้ ีกด้วย
*** A = Z + n (n = คอื จานวนนวิ ตรอน)
*** จานวนนิวตรอน (no) = A - Z
ตัวอย่างสัญลักษณน์ วิ เคลยี ร์ของธาตุ เช่น ดงั นัน้ จากสญั ลักษณน์ ิวเคลียรข์ องธาตุอะลมู ิเนยี ม แสดงว่าเปน็ ธาตุ
อะลมู เิ นียม มโี ปรตอน = 13,
เล มวล = จำ้ นวน ปรตอน + จำ้ นวนนวตรอน
อเิ ลก็ ตรอน = 13
เล อะตอม = จำ้ นวน ปรตอน ด นนจ เ ำ่ ก และนิวตรอน = 27-13 = 14
จำ้ นวนอเล็กตรอนด้วย
จงคานวณหาจานวนโปรตอน อเิ ล็กตรอน และนิวตรอนของธาตตุ ่างๆ ต่อไปน้ี 4.
1. 2. 3.
เขียนเครอ่ื งหมาย / ในช่องว่างหน้าทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ทไ่ี ดท้ าในบทเรียนน้ี
การสังเกต การวัด การจาแนกประเภท
การหาความสัมพนั ธ์ระหว่างสเปซกับสเปซและสเปซกับเวลา
การใชจ้ านวน การจัดกระทาและส่ือความหมายข้อมูล
การลงความเหน็ จากข้อมูล การพยากรณ์ การต้ังสมมตฐิ าน
การกาหนดนิยามเชิงปฏบิ ัติการ การกาหนดและควบคุมตวั แปร การทดลอง
การตีความหมายข้อมลู และลงข้อสรปุ การสรา้ งแบบจาลอง
•การศึกษาเกย่ี วกับอะตอมเปน็ เพยี งการแปลผลจากการทดลองแล้วนามาสร้างเปน็ มโนภาพหรือแบบจาลอง
•แบบจาลองอะตอมในอดีตจนถงึ ปจั จบุ ันมีหลายแบบ เช่น
- ดิโมคริตสุ (Democritus) เสนอว่า “สรรพสง่ิ ท้งั หลายล้วนประกอบด้วยอนุภาคทเ่ี ล็กที่สุด”
- จอห์น ดอลตนั (John Dalton) “อะตอมมขี นาดเล็กมาก เป็นทรงกลมตัน ซง่ึ แบง่ แยก สรา้ งขึ้นใหม่หรือทาให้สูญ
หายไม่ได้
- เซอร์โจเซฟ จอห์น ทอมสัน ( Sir Joseph John Thomsom) “อะตอมมีลักษณะเป็นทรงกลมประกอบดว้ ยอนุภาค
โปรตอนซ่ึงมปี ระจุบวก และอิเล็กตรอนซง่ึ มีประจุลบ จานวนเทา่ กนั กระจายอย่ทู ่ัวไปอยา่ งสมา่ เสมอ”
- ลอรด์ เออร์เนสต์ รัทเทอรฟ์ อรด์ ( Lord Ernest Rutherford ) “อะตอมประกอบดว้ ยประจุบวก คือ โปรตอนอยู่
ตรงกลาง มีขนาดเล็กมาก โดยมปี ระจุลบ คือ อเิ ลก็ ตรอนว่งิ รอบๆ ”
- นลี ส์ โบร์ ( Niels Bohr) “อะตอมเป็นทรงกลมประกอบด้วย โปรตอนและนิวตรอนรวมกันเปน็ นิวเคลียส มี
อิเล็กตรอนเคลื่อนที่รอบนิวเคลียส เป็นวงกลมเป็นช้ันๆ ตามระดบั พลังงาน”
•อะตอม ประกอบดว้ ย 2 ส่วน คอื นิวเคลยี สซง่ึ เป็นแกนกลางของอะตอมภายในประกอบดว้ ยอนุภาคโปรตอนและ
นวิ ตรอนและมีอเิ ล็กตรอนเคล่ือนทรี่ อบๆ นิวเคลียส เรียกอนภุ าคทัง้ สาม คือ โปรตอน นิวตรอน และอิเลก็ ตรอน น้วี ่า “อนุภาค
มลู ฐานของอะตอม”
•อะตอม ประกอบด้วย 1) โปรตอน (Proton) มปี ระจุไฟฟ้า +1 มมี วลประมาณ 1,836 เทา่ ของอิเล็กตรอน
อยู่ทนี่ ิวเคลยี ส ซ่ึงมีขนาดเล็กและเป็นแกนกลางของอะตอม 2)อิเลก็ ตรอน (Electron) เป็นอนุภาคท่ีมปี ระจุไฟฟ้า -1 มีมวลน้อย
มาก อยรู่ อบนิวเคลยี สของอะตอมเป็นช้ันๆ มจี านวนเท่ากับโปรตอน และ 3) นิวตรอน (Neutron) เป็นอนภุ าคที่เป็นกลางทาง
ไฟฟ้าหรอื มีประจุไฟฟ้าเป็นศูนย์ มมี วลประมาณ 1,839 เท่า ของอเิ ล็กตรอนที่อยใู่ นนิวเคลียส
•สัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุ เป็นสัญลกั ษณ์ทีบ่ อกรายละเอียดเกี่ยวกับจานวนอนุภาคมูลฐานของอะตอม มีหลักการ คอื
ให้ X คือ สญั ลกั ษณข์ องธาตุ
ให้ A คอื เลขมวล = จานวนโปรตอน + จานวนนวิ ตรอนในนิวเคลียส
ให้ Z คอื เลขอะตอม = จานวนโปรตอนในนิวเคลยี ส
คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี น X ลงบนข้อท่ีถูกต้องที่สุด
1. อะตอมประกอบไปดว้ ยโปรตอนและอเิ ลก็ ตรอนในจานวนทเี่ ทา่ ๆ กัน คือ แบบจาลองอะตอมของใคร
ก. ดอลตนั ข. ทอมสัน ค. รัทเทอร์ฟอรด์ ง. นลี ส์ โบร์
2. อนภุ าคข้อใดทีม่ ีมวลใกลเ้ คยี งกนั
ก. โปรตอน อิเลก็ ตรอน และนวิ ตรอน ข. โปรตอนกบั อเิ ล็กตรอน
ค. นวิ ครอนกบั อเิ ล็กตรอน ง. โปรตอนกบั นวิ ตรอน
3. ข้อใดกลา่ วถูกต้อง
ก. ธาตุตา่ งชนิดกนั มีมวลต่างกนั หรือมีนิวตรอนต่างกัน
ข. มวลของอะตอม คือ มวลของโปรตอนกับอิเล็กตรอนในนวิ เคลยี ส
ค. มวลของอะตอม คือ มวลของโปรตอนกบั นวิ ตรอนในนิวเคลยี ส
ง. เลขอะตอมจะบอกถึงจานวนโปรตอนและจานวนนิวตรอนในอะตอม
4. ข้อใดถูกต้องเกีย่ วกบั แบบจาลองอะตอมของรัทเทอรฟ์ อร์ด
ก. โปรตอนและอเิ ล็กตรอนรวมกันเปน็ นวิ เคลียสของอะตอม
ข. นวิ เคลยี สมีขนาดเล็กมากและมีมวลมาก ภายในประกอบด้วยอนุภาคโปรตอน
ค. นวิ เคลียสเป็นกลางทางไฟฟา้ เพราะประจุของโปรตอนกบั ของอิเล็กตรอนเท่ากนั
ง. อะตอมของธาตุประกอบดว้ ยอนภุ าคโปรตอนและอเิ ล็กตรอนกระจดั กระจายอยู่ภายในด้วยจานวนเท่ากัน
5. เลขอะตอมของธาตุ คือข้อใด
ก. จานวนอเิ ลก็ ตรอนในอะตอมของธาตุ ข. จานวนโปรตอนในอะตอมของธาตุ
ค. จานวนนิวครอนในอะตอมของธาตุ ง. จานวนโปรตอนกับนิวตรอนในอะตอมของธาตุ
6. ธาตุ P มีเลขอะตอม 15 มนี วิ ตรอน 16 จะมีเลขมวล โปรตอน และอเิ ล็กตรอนเทา่ ไรตามลาดับ
ก. 31, 15, 15 ข. 31, 16, 15 ค. 16, 15, 15 ง. 15, 31, 16
7. แบบจาลองอะตอมของดอลตนั เปน็ อยา่ งไร
ก. ทรงกลมตัน ข. ทรงกลงกลวง ค. ทรงกลมมีช่องตรงกลาง ง. ทรงกลมผวิ ขรุขระ
8. แบบจาลองอะตอมของทอมสันและแบบจาลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดต่างกนั อยา่ งไร
ก. ชนดิ ของอนุภาคในอะตอม ข. ตาแหนง่ ของอนุภาคในอะตอม
ค. จานวนอนภุ าคในอะตอม ง. ขนาดอนุภาคในอะตอม
9. จงบอกความหมายของตัวอกั ษรต่อไปน้ี
ก. X คือ สัญลักษณธ์ าตุ A คอื เลขมวล Z คือ เลขอะตอม
ข. X คือ สญั ลักษณธ์ าตุ A คอื เลขประจุ Z คือ จานวนอะตอม
ค. X คือ เลขอะตอม A คือ สญั ลกั ษณธ์ าตุ Z คอื เลขประจุ
ง. X คอื สญั ลักษณ์ธาตุ A คือ เลขมวล Z คือ เลขประจุ
10. ข้อใดบอกความหมายของเลขมวลไดถ้ ูกต้อง
ก. จานวนโปรตอนในนิวเคลยี สของอะตอม ข. มวลรวมของนวิ ตรอนโปรตอน และอเิ ล็กตรอนในอะตอม
ค. มวลรวมของนิวตรอนและโปรตอนในนิวเคลียสของอะตอม ง. มวลรวมของโปรตอน และอเิ ล็กตรอนในนิวเคลยี สของ
อะตอม
คะแนนเตม็ 10
คะแนนท่ีได้ ...............................
ผ้ตู รวจ
การทดสอบหลังเรียนเปน็ การวัดผลสมั ฤทธ์ิวา่ เม่อื นกั เรียนศึกษาแล้วมคี วามรู้ความเข้าใจในเน้ือหาเพียงใด
• ถา้ ได้คะแนนนอ้ ยกว่า 5 ข้อ ไม่ต้องเสยี ใจ ขอให้นกั เรียนเรมิ่ ศกึ ษาเน้ือหาใหม่ต้ังแต่ตน้ อีกครง้ั
• ถ้าได้คะแนน 5-7 ขอ้ แสดงว่า นักเรียนผ่านเกณฑ์ใหศ้ ึกษาเรื่องต่อไป
• ถา้ ได้คะแนน 8-10 ข้อ แสดงวา่ นักเรียนผา่ นเกณฑ์และอยใู่ นระดบั ดเี ยี่ยม ให้ศกึ ษาเรื่องตอ่ ไปได้และ
ใหร้ ักษามาตรฐานทดี่ ีเยีย่ มไว้....จา้