หากนักเรียนพจิ ารณาตารางธาตุ นกั เรยี นจะพบสารเคมีพ้นื ฐานทพ่ี บในชวี ติ ประจาวัน เช่น เกลือแกง น้าตาล ชอล์ก นา้ เป็นตน้
จะเห็นว่าสารเหล่านไ้ี มป่ รากฏอย่ใู นตารางธาตุ แสดงวา่ สารเหลา่ นี้ ไมใ่ ชธ่ าตุ แตเ่ กิดจากการรวมตวั กนั ของอะตอมของธาตุ
มากกว่า 1 ชนดิ และเรยี กสารที่เกดิ จากการรวมตวั กันทางเคมขี องอะตอมของธาตุต่างชนดิ กันในอัตราสว่ นท่ีคงทว่ี ่า สารประกอบ
คำสำคญั
- สารประกอบ
- สมบตั ิของสารประกอบ
1. อธบิ ายเกย่ี วกับความสัมพันธ์ระหว่างอะตอม ธาตุ และสารประกอบ โดยใชแ้ บบจาลองและสารสนเทศ
จงพิจารณาขอ้ มูลต่อไปนี้ และเขียนเครื่องหมาย / ลงในช่องว่างท่ีตรงกับความเขา้ ใจของนักเรียน
สาร สญั ลักษณธ์ าต/ุ โมเลกุลธาตุ/ ธาตุ สารประกอบ
สูตรโมเลกุลของสารประกอบ
1. เอทานอล (l) C2H5OH
2. แกรไฟต์ (s) C
3. อะลมู เิ นียมฟอยล์ (s) Al
4. กรดเกลือ (l) HCl
5. แกส๊ โอโซน (g) 03
6. ผลกึ กามะถนั (s) S8
7. แก๊สไนโตรเจน (g) N2
8. น้าตาลทราย (s) C12H22O11
9. หนิ ปูน (s) CaCO3
10.โลหะโซเดยี ม (s) Na
สารประกอบ (compound) เปน็ สารบริสุทธท์ิ ปี่ ระกอบด้วยอะตอมของธาตุต่างชนดิ กนั มารวมกันทางเคมดี ้วยอัตราส่วนของ
จานวนอะตอมท่ีคงที่ อาจอยู่เปน็ โมเลกลุ หรอื ผลกึ ก็ได้ ลกั ษณะการรวมกันทางเคมรี ะหว่างอะตอมของธาตุแตล่ ะชนิดจะแตกต่าง
กัน ทาใหเ้ กดิ สารประกอบท่ีมีสมบัตแิ ตกตา่ งกัน เช่น หินปูน (CaCO3) มีสถานะเปน็ ของแข็ง ให้ความร้อนจะไม่หลอมเหลว ไม่
ละลายในนา้ แตน่ า้ ตาลทราย (C12H22O11) มีสถานะเป็นของแขง็ เช่นกัน แต่หลอมเหลวง่าย ติดไฟได้ และละลายน้าได้ ส่วนนา้
(H2O) เปน็ ของเหลวทีร่ ะเหยไดง้ า่ ย ดงั นั้น สมบตั ขิ องสารประกอบแตล่ ะชนดิ จะแตกตา่ งกันและมีสมบัติอย่างไร จงึ ข้ึนอย่กู ับชนิด
ของอะตอมของธาตทุ ี่มารวมกัน และชนดิ ของแรงยดึ เหน่ยี วระหว่างอนุภาคของสารภายในโมเลกุลหรอื ผลึกของสารประกอบ
สารประกอบ (compound) เป็นสารบริสุทธ์ิทีป่ ระกอบด้วยธาตตุ ้ังแต่ 2 ธาตุขนึ้ ไปรวมกันด้วยอัตราสว่ นโดยมวลคงที่ และ
มีสมบัติแตกต่างจากสมบัติเดิมของธาตุทเ่ี ปน็ องค์ประกอบ ดงั น้นั สารประกอบจึงเปน็ สารที่มอี ะตอมต่างชนดิ กนั อยู่รวมกนั กล่มุ
ของอะตอมต่างชนิดกนั น้เี ราเรียกว่า โมเลกุลของสารประกอบ
ภาพท่ี 1.39 โมเลกลุ ของแกส๊ มเี ทน ภาพท่ี 1.40 โครงสร้างโมเลกลุ ของน้า ภาพท่ี 1.41 โครงสร้างโมเลกลุ ของ
สตู รเคมี แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์
เราสามารถเขยี นกลุม่ สัญลกั ษณ์ของธาตุทรี่ วมกันนี้เปน็ สตู รเคมี เพ่ือแสดงจานวนอะตอมของธาตุท่ีเปน็ องค์ประกอบ
ของสาร โดยสามารถเขียนได้หลายแบบ เชน่ สตู รโมเลกุล สตู รเอมฟิริคัล สตู รโครงสร้าง เปน็ ตน้
สูตรโมเลกลุ เปน็ สูตรเคมีที่แสดงว่าสาร 1 โมเลกุลประกอบดว้ ยอะตอมของธาตุใดบา้ ง อยา่ งละกี่อะตอม เช่น น้า มสี ตู ร
โมเลกลุ H₂O แสดงวา่ ใน 1 โมเลกลุ ของน้าประกอบดว้ ยธาตุไฮโดรเจน (H) 2 อะตอม และออกซิเจน (O) 1 อะตอม เป็นต้น
ภาพท่ี 1.42 ธาตุองคป์ ระก ภาพที่ 1.43 ธาตุองค์ประกอบของกลโู คส (C₆H₁₂O₆)
อบของนา้ (H₂Oต)ารคาืองทHี่ แ5ละสูตOรโมเลกลุ และจานวนธาตอุ งค์ประกอคบือบาCงช,นHดิ และ O
ชื่อสารประกอบ สตู รโมเลกุล องคป์ ระกอบของสาร
คาร์บอนไดออกไซด์ CO₂ คารบ์ อน 1 อะตอม
ออกซิเจน 2 อะตอม
แอมโมเนยี NH₃ ไนโตรเจน 1 อะตอม
ไฮโดรเจน 3 อะตอม
มเี ทน CH₄ คาร์บอน 1 อะตอม
ไฮโดรเจน 4 อะตอม
โซเดียมคลอไรด์ NaCl โซเดยี ม 1 อะตอม
คลอรีน 1 อะตอม
ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ H₂O₂ ไฮโดรเจน 2 อะตอม
ออกซเิ จน 2 อะตอม
สารประกอบมสี มบัติเฉพาะตัวท่ีแตกตา่ งจากธาตทุ เ่ี ปน็ องคป์ ระกอบและสามารถแยกธาตุทเี่ ปน็ องคป์ ระกอบออกไดเ้ ม่ือใช้
พลังงาน เช่น ...................................................................................................... เป็นต้น
ดา่ งทบั ทมิ จดั เปน็ สารประกอบ เพราะเม่ือได้รับพลงั งานความรอ้ นจะสามารถแยกสลายได้ โดยเมื่อเผาดา่ งทบั ทิมจะได้
ของแขง็ สเี ขียว คือ โพแทสเซียมแมงกาเนตกับแมงกานสี (IV) ออกไซด์ ซงึ่ เป็นของแขง็ สีดาปนกันอยู่ และได้แก๊สไม่มีสี ซึง่ มีสมบัติ
ชว่ ยใหไ้ ฟติด คือ แกส๊ ออกซิเจน (O₂) เมื่อนาสารทไ่ี ด้จากการเผาไปละลายนา้ จะได้สารละลายสีเขยี วและตะกอนสดี าที่ไม่ละลาย
นา้ นอกจากนี้ยงั พบวา่ มีด่างทับทิมบางส่วนเหลอื อยู่ เพราะมีสารละลายสมี ว่ งแดงปนออกมาออกมาด้วย ซง่ึ แสดงไดด้ ังน้ี
ดำ่ ม เ ำ แ สเ ยี มแม กำเนต + แม กำนีส (IV) ออกไ ด + ออก เจน
( อ แ ็ สีเ ียว) ( อ แ ็ สดี ้ำ) (แกสไมม่ ีสี)
การแยกนา้ ด้วยไฟฟา้ ****ดา่ งทบั ทมิ มชี ่ือทางวิทยาศาสตรว์ า่
โพแทสเซยี มเปอร์แมงกาเนต (KMnO4) มี
https://www.youtube.com/ ลักษณะเป็นเกล็ดสมี ่วง ละลายนา้ ได้
watch?v=rmjPKvWA09g สารละลายสมี ่วงแดง
ภาพที่ 1.44 โพแทสเซียมเปอรแ์ มงกาเนต (ด่างทับทิม)
อบของนา้ (H₂O) คือ H และ O
สารประกอบถูกนามาใชป้ ระโยชนใ์ นลักษณะตา่ งๆ มากมาย เช่น อตุ สาหกรรม การบริโภค การเกษตร การแพทย์ เป็นต้น
ตารางที่ 6 ประโยชนข์ องสารประกอบ
สารประกอบ สูตรโมเลกุล ประโยชน์
โซเดียมคลอไรด์ ใชใ้ นการถนอมอาหาร ปรงุ รสอาหาร
คารบ์ อนไดออกไซด์ ใชด้ ับเพลงิ ใชใ้ นอุตสาหกรรมการผลติ อาหาร
ผงฟู นา้ แขง็ น้าอัดลม
โซเดียมไฮดรอกไซด์ ใชใ้ นอตุ สาหกรรมทาผงชรู ส สบู่
โพแทสเซียมคลอไรด์ ใช้ทาปยุ๋ เคมี
แอมโมเนีย ใชท้ าปุ๋ย พลาสตกิ
แมกนเี ซยี มออกไซด์ ใชผ้ ลิตยาลดกรด
แบเรียมซัลเฟต ใชใ้ นผปู้ ่วยท่ีต้องการเอกซเรย์เพื่อตรวจโรคเกีย่ วกับทางเดนิ อาหาร
แคลเซยี มคาร์บอเนต ใช้ในการผลติ ชอล์ก
• สารประกอบ (compound) เปน็ สารบริสทุ ธ์ทิ ปี่ ระกอบด้วยธาตตุ งั้ แต่ 2 ธาตขุ ึน้ ไปรวมกันด้วยอตั ราส่วนโดยมวลคงท่ี
และมสี มบัติแตกต่างจากสมบัติเดมิ ของธาตทุ เี่ ปน็ องคป์ ระกอบ
• สูตรเคมี สามารถเขยี นกล่มุ สัญลกั ษณ์ของธาตุทร่ี วมกนั เป็นสตู รเคมี เพ่ือแสดงจานวนอะตอมของธาตุท่เี ป็นองคป์ ระกอบ
ของสาร โดยสามารถเขยี นได้หลายแบบ เช่น สตู รโมเลกุล สตู รเอมฟริ ิคลั สูตรโครงสร้าง เป็นตน้
• สารประกอบมีสมบตั ิเฉพาะตัวทีแ่ ตกตา่ งจากธาตทุ ่เี ป็นองค์ประกอบและสามารถแยกธาตทุ เี่ ปน็ องคป์ ระกอบออกไดเ้ ม่ือ
ใช้พลังงาน เชน่ พลงั งานความร้อน พลังงานไฟฟ้า เปน็ ต้น
• สารประกอบถูกนามาใช้ประโยชนใ์ นลักษณะตา่ งๆ มากมาย เช่น อุตสาหกรรม การบรโิ ภค การเกษตร การแพทย์
คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นเขียนสูตรเคมขี องสารประกอบ และระบุธาตุทเี่ ปน็ องค์ประกอบของสารประกอบนน้ั
สารประกอบ สตู รเคมี องคป์ ระกอบ ประโยชน์
1. โซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต ผสมเค้ก
(โซดาทาขนม)
2. โพแทสเซียมไนเตรด อยู่ในประทัด
(ดนิ ประสวิ ) สารเร่งเนื้อแดง
3. โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนส ลา้ งแผลฆา่ เชื้อ
(ด่างทบั ทมิ )
สารประกอบ สูตรเคมี องคป์ ระกอบ ประโยชน์
4. แคลเซยี มไฮดรอกไซด์ แช่ผลไม้ให้แขง็
(นา้ ปูนใส) เอาไวป้ รุงอาหาร
5. โซเดยี มคลอไรด์ ใช้ทาน้าส้มสายชู
(เกลอื แกง)
เอาไวด้ บั กลน่ิ
6. กรดแอซิติก
(กรดนา้ ส้ม) ดับกล่ิน
7. แนฟทาลนี ใช้ทาปยุ๋ พลาสตกิ
(ลูกเหม็น)
ใชใ้ นอุตสาหกรรมทา
8. แคมเฟอร์ ผงชรู ส สบู่
(การบูร)
9. แอมโมเนีย
10. โซเดยี มไฮดรอกไซด์
(โซดาไฟ)
คะแนนเต็ม 10
คะแนนที่ได้ ...............................
ผ้ตู รวจ
การทดสอบหลังเรียนเปน็ การวดั ผลสัมฤทธ์ิวา่ เมอื่ นักเรียนศึกษาแล้วมีความรคู้ วามเขา้ ใจในเนื้อหาเพียงใด
• ถ้าได้คะแนนนอ้ ยกว่า 5 ข้อ ไม่ตอ้ งเสียใจ ขอให้นกั เรยี นเร่ิมศกึ ษาเนอ้ื หาใหม่ตงั้ แต่ตน้ อกี ครง้ั
• ถา้ ได้คะแนน 5-7 ข้อ แสดงวา่ นกั เรยี นผ่านเกณฑใ์ หศ้ ึกษาเรื่องต่อไป
• ถ้าได้คะแนน 8-10 ข้อ แสดงว่า นักเรียนผา่ นเกณฑ์และอยู่ในระดบั ดเี ยยี่ ม ใหศ้ ึกษาเรื่องต่อไปไดแ้ ละ
ให้รกั ษามาตรฐานท่ีดีเยยี่ มไว้....จา้
สารละลายเปน็ สารไม่บริสทุ ธิ์เนื้อเดียว ประกอบด้วยตัวละลายและตัวทาละลาย สารละลายมีทง้ั สถานะแกส๊ ของเหลว และ
ของแขง็ ซ่ึงการละลายของสารจะมีพลงั งานเข้าไปเก่ยี วข้องด้วยเสมอ เม่ือแบ่งประเภทของการละลายโดยใช้ทิศทางการถ่ายโอน
พลงั งานระหวา่ งระบบกบั สง่ิ แวดลอ้ มเป็นเกณฑจ์ ะแบ่ง เป็นการละลายประเภทคายความร้อนและดูดความร้อน ซง่ึ ความสามารถ
ในการละลายได้ของสารจะระบุ มวลสูงสุดของตัวละลายทลี่ ะลายได้ในตัวทาละลาย 100 กรัม ณ อุณหภูมิหนึ่ง สาหรบั ตวั ละลาย
ทมี่ สี ถานะ เป็นแก๊สต้องระบุความดันด้วย ปจั จัยทม่ี ีผลต่อสภาพละลายได้ ไดแ้ ก่ ชนดิ และปรมิ าณของตัวละลาย ชนิดของตวั ทา
ละลาย อุณหภูมิ และความดันสาหรับสารละลายท่มี ลี ักษณะเป็นแกส๊ การนาสารละลาย ไปใช้ต้องระบุหนว่ ยของความเขม้ ขน้ เป็น
คา่ ร้อยละมวลต่อมวล ปริมาตรต่อปริมาตร และมวลต่อปริมาตร ซึ่งต้องเตรยี มสารละลายให้ถูกวธิ แี ละนาไปใชใ้ หเ้ หมาะสม
ตามความเขม้ ขน้
1. ออกแบบการทดลองและทดลองในการอธบิ ายผลของชนิดตวั ละลาย ชนดิ ตวั ทาละลาย อณุ หภูมิท่ีมีตอ่ สภาพละลายได้
ของสาร รวมทั้งอธิบายผลของความดนั ท่ีมีต่อสภาพละลายไดข้ องสาร โดยใช้สารสนเทศ
2. ระบปุ ริมาณตวั ละลายในสารละลาย ในหนว่ ยความเข้มข้นเป็นร้อยละ ปริมาตรต่อปริมาตร มวลตอ่ มวล และปริมาตร
ต่อปริมาตร
3. ตระหนกั ถงึ ความสาคัญของการนาความรู้เรื่องความเข้มขน้ ของสารไปใช้ โดยยกตวั อย่างการใชส้ ารละลาย
ในชวี ติ ประจาวันอยา่ งถูกต้อง
พิจารณาขอ้ ความต่อไปนแี้ ล้วเขียนเครอื่ งหมาย / หน้าข้อความที่ถกู ตอ้ ง และเขียนเคร่ืองหมาย X หน้าข้อความทไี่ ม่
ถูกต้อง
..............1. สารละลายพบอยู่ในของเหลวเทา่ นัน้
..............2. สารละลายเกิดจากสารมากกวา่ 2 ชนิด มาผสมเปน็ เนื้อเดียวกัน
..............3. สารเน้ือเดยี วบางชนดิ จดั เปน็ สารละลาย
..............4. สารละลายมีทงั้ ท่ีเป็นสารเนอ้ื เดยี วและสารเน้ือผสม
..............5. สาร 2 ชนิด เมือ่ ผสมเป็นเน้ือเดยี วกนั แสดงวา่ เกดิ การละลายกนั
..............6. สารท่ีมีปริมาณมากกวา่ เรยี กวา่ ตวั ถูกละลาย
..............7. อากาศ ไมจ่ ัดเป็นสารละลาย
..............8. นา้ เช่อื ม จัดเป็นสารละลาย
เมือ่ สังเกตสารบางชนิด เชน่ น้าเกลือ จะเหน็ ว่ามีลักษณะเปน็ ของเหลวใส ไม่มีสี และมองเหน็ เป็น คำสำคญั
เน้อื เดยี ว ซึ่งอาจทาให้เข้าใจว่า น้าเกลอื เปน็ สารบรสิ ทุ ธ์ิ แต่ในความเป็นจริงแล้ว นา้ เกลือเกิดจากการ
ละลายเกลือ หรือโซเดยี มคลอไรด์ในน้า ดังนนั้ น้าเกลอื จึงเกิดจากสาร 2 ชนดิ มารวมเปน็ เนอื้ เดียวกนั - สารละลาย
เรยี กวา่ .......................................... - ตวั ทาละลาย
- ตวั ละลาย
4.1.1 องคป์ ระกอบของสารละลาย
สารละลาย (solution) หมายถึง สารเนื้อเดียวท่ีมีขนาดอนภุ าคเล็กกวา่ 10-7 เซนตเิ มตร ซงึ่ ประกอบด้วย………………….
............................................................................................................................. .มารวมตวั กนั ในอตั ราสว่ นไม่คงที่ โดยมีธาตุหรอื
สารประกอบชนดิ หน่งึ เป็น........................................ สว่ นอีกชนดิ หนึ่งเป็น..........................................
การพจิ ารณาว่าสารใดเป็นตวั ทาละลาย และสารใดเปน็ ตวั ละลาย สามารถพจิ ารณาจากปรมิ าณ และสถานะของ
สารที่เป็นองคป์ ระกอบ ดังน้ี
1 ถา้ ตัวทาละลายและตวั ละลาย 2 ถา้ ตัวทาละลายและตวั ละลาย
มีสถานะต่างกัน มีสถานะเดียวกัน
ถา้ ตวั ทาละลายและตัวละลายอย่ใู นสถานะตา่ งกัน ถ้าตวั ทาละลายและตวั ละลายอยู่ในสถานะเดียวกัน
เช่น ของแข็ง กับของเหลว เมื่อผสมกนั แลว้ สารละลาย เช่น ของเหลว กบั ของเหลว จะกาหนดให้สารทีม่ ี
มีสถานะเหมือนกบั สารชนดิ ใดจะถือวา่ สารนัน้ เป็น ปรมิ าณมากกวา่ เป็น................................. สว่ นสารที่มี
................................. ส่วนสารอกี ชนดิ หนึง่ ที่มีสถานะ ปริมาณน้อยกว่าเป็น........................................... เช่น
ต่างออกไปจะเป็น.................................. เช่น เกลือ แอลกอฮอล์ลา้ งแผลเข้มขน้ ร้อยละ 70 โดยปริมาตร
(ของแข็ง) กบั น้า (ของเหลว) ซงึ่ เม่ือรวมกันแล้ว จะเปน็ ประกอบด้วย เอทิลแอลกอฮอล์ 70 cm3 เป็นตวั
ของเหลว ดังนนั้ นา้ จึงเปน็ ตวั ทาละลาย สว่ นเกลือเปน็ ทาละลาย และนา้ 30 cm3 เป็นตัวละลาย
ตัวละลาย
ภาพท่ี 1.45 สารละลายทม่ี ีองคป์ ระกอบซงึ่ มสี ถานะตา่ งกนั ภาพที่ 1.45 สารละลายทม่ี ีองค์ประกอบซึ่งมสี ถานะเหมอื นกัน
V
ตัวทาละลาย (Solvent) คอื สารทมี่ ีอนภุ าคของตัวละลายมาแทรกอยู่ในเนือ้ สาร
อยา่ งสม่าเสมอ สว่ นใหญจ่ ะมสี ถานะเดียวกับสารละลาย
ตวั ละลาย (Solute) คือ สารทไี่ ปแทรกอยรู่ ะหว่างตวั ทาละลายอย่างสม่าเสมอ
สารละลายสามารถพบได้ทง้ั ในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส ซงึ่ สารละลายบางชนดิ สามารถพบได้ใน
ชวี ิตประจาวนั ดังตวั อย่างในตารางท่ี 7
ตารางท่ี 7 สารละลายที่อยู่ในสถานะของแขง็ ของเหลว แก๊ส
สถานะ สารละลาย สว่ นประกอบ ตวั ทาละลาย ตัวละลาย
ทองเหลือง ทองแดง ร้อยละ 60 ทองแดง สังกะสี
สังกะสี รอ้ ยละ 40
นาก ทองแดง ร้อยละ 60 ทองแดง ทองคา
ของแข็ง ทองคา รอ้ ยละ 35 เงนิ
เงิน รอ้ ยละ 5
เหล็กกล้าไร้สนิม เหล็ก ร้อยละ 74 เหล็ก โครเมียม
โครเมยี ม ร้อยละ 18 นิกเกลิ
นิกเกิล ร้อยละ 8
น้าเกลือ นา้ น้า โซเดยี มคลอไรด์
โซเดียมคลอไรด์
น้าเชอ่ื ม น้า น้า นา้ ตาลซโู ครส
ของเหลว น้าตาลซโู ครส
นา้ ส้มสายชู น้า ร้อยละ 95 น้า กรดแอซติ ิก
กรดแอซติ ิก รอ้ ยละ 5
แอลกอฮอลล์ า้ งแผล นา้ ร้อยละ 30 เอทลิ แอลกอฮอล์ น้า
เอทิลแอลกอฮอล์ ร้อยละ 70
แก๊ส อากาศ แก๊สไนโตรเจน ร้อยละ 78 แก๊สไนโตรเจน แก๊สออกซิเจน
แกส๊ ออกซเิ จน ร้อยละ 21 แกส๊ อืน่ ๆ
แก๊สอื่นๆ รอ้ ยละ 1
จงพิจารณาสารละลายตอ่ ไปนี้ แลว้ เติมตัวทาละลายและตวั ละลายลงในตารางท่ีกาหนดให้
สารละลาย สว่ นประกอบ ตวั ทาละลาย ตวั ละลาย
1. แก๊สหุงตม้ (LPG) แกส๊ โพรเพน 70% แกส๊ บิวเทน 30%
2. ฟิวส์ บิสมัท 50% ตะก่วั 25% และดบี กุ 30%
3. ทอง 18K ทองคา 75% เงนิ 25%
4. ปรอทอะมลั กัม ปรอท 50% เงนิ 35% ดีบกุ 12% อ่ืนๆ 3%
5. น้าโซดา น้ากับแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์
การละลายเป็นการเปลย่ี นแปลงทางกายภาพของสาร โดยอนภุ าคของตัวละลายจะ คำสำคญั
กระจายตวั อยู่ในตวั ทาละลายอย่างสม่าเสมอ จนทาให้มองเห็นเป็นเนื้อเดียวกนั ซึง่ ความสามารถ
ในการละลายของสารเปน็ สมบัตอิ ีกประการหน่ึง และการละลายของสารมีพลังงานเข้าไปเกีย่ วขอ้ ง - การละลายประเภทดูด
หรือไม่ ศกึ ษาได้จากปฏิบตั ิการท่ี 1 พลังงาน
- การละลายประเภทคาย
พลังงาน
- ความร้อน - อุณหภมู ิ
พิจารณาขอ้ ความต่อไปน้ีแล้วเขียนเครื่องหมาย / หน้าข้อความท่ีถกู ต้อง และเขียนเคร่ืองหมาย X หน้าข้อความท่ไี ม่
ถูกต้อง
...........1.เมื่อนาโซดาไฟละลายในนา้ จากนั้นจบั บีกเกอร์จะรสู้ กึ เย็น
...........2.การละลายของสาร แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทดดู ความร้อนและคายความร้อน
...........3.การละลายของสารทุกชนิด มปี ระบวนการเกิด 2 ขั้นตอนเสมอ
...........4.เราสามารถทราบว่า สารทีน่ ามาละลายเป็นการละลายประเภทใดนนั้ สามารถวดั ไดโ้ ดยใช้เทอรโ์ มมิเตอร์
...........5.ถ้าเราจบั บีกเกอร์แล้วรสู้ กึ เยน็ แสดงวา่ สารละลายนา่ จะดดู เอาความร้อนจากมือเราเขา้ ไปในการละลาย
ปฏิบตั กิ ารที่ 1 เร่อื ง พลงั งานกับการละลายของสาร
1. ข้ันสรา้ งความสนใจ (Engagement)
คาชี้แจง ให้นักเรยี นแต่ละกลุ่มวัดปรมิ าตรน้า 20 cm3 ลงบีกเกอร์ขนาด 50 cm3
แลว้ ให้นักเรียนเติมโพแทสเซียมไนเตรต (KNO3 ) หรอื ดินประสวิ ลงในน้า จานวน
1 ชอ้ น เบอร์ 1 จากนนั้ ให้นักเรยี นตอบคาถามต่อไปนี้
ตอบคาถาม ภาพท่ี 1.46 การละลายโพแทสเซยี มไนเตรต (KNO3)
1. สารโพแทสเซยี มไนเตรต มีการเปลีย่ นแปลงอย่างไร
...................................................................................................................................อ..บ...ข..อ..ง.น...้า..(.H..₂...O..)..ค..ือ...H...แ..ล..ะ...O............................
2. หลังจากละลายโพแทสเซียมไนเตรตจนหมด ใชม้ อื จับบีกเกอรแ์ ลว้ รู้สกึ รอ้ นหรือเย็น
.......................................................................................................................................................................................................
2.ขน้ั สารวจและคน้ หา (Exploration)
คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรยี นศึกษาการเปลยี่ นแปลงพลงั งานของสารเมือ่ เกิดการละลาย
วัตถุประสงค์ 1. ต้ังสมมตฐิ านจากปัญหาที่กาหนดให้ได้
2. เพอ่ื ศกึ ษาพลงั งานกับการละลายของสาร
ปัญหาการทดลอง สารตา่ งชนิดกนั เมื่อละลายจะเกดิ การเปลยี่ นแปลงพลังงานอย่างไร
สมมติฐานการทดลอง คือ .................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตัวแปรตน้ คือ.................................................................................................................................................................
ตัวแปรตาม คือ................................................................................................................................................................
ตวั แปรควบคมุ คือ..........................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................
สารเคมแี ละอปุ กรณ์การทดลอง
1) สารเคมี
1.1 โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 1.2 โพแทสเซียมไนเตรต (KNO3)
1.3 คอปเปอร์ (II) ซลั เฟต (CuSO4) 1.4 โซเดียมไนเตรต (NaNO3)
2) อุปกรณ์การทดลอง
2.1 บกี เกอร์ขนาด 50 cm3 4 ใบตอ่ กลมุ่ 2.1 ชอ้ นตกั สารเบอร์ 1
2.2 เทอร์มอมเิ ตอร์ 2.4 แทง่ แกว้ คนสาร
วธิ ีทาการทดลอง
1. รนิ นา้ กล่ัน ปริมาตร 20 cm3 ลงในบีกเกอร์ขนาด 50 cm3 จานวน 4 ใบ แล้วใชเ้ ทอรม์ อมิเตอร์วัดอุณหภูมขิ องนา้ สงั เกต
และบันทึกผล
2. บกี เกอรท์ ี่ 1 ใส่โซเดยี มไฮดรอกไซด์ (NaOH) จานวน 3 ชอ้ นตักสาร จากนน้ั ใชแ้ ท่งแลว้ คนสารใหส้ ารละลายจนหมด
และทาการวัดอุณหภมู ิของสารละลาย พร้อมทัง้ ใชม้ ือสัมผัสบกี เกอรว์ ่า รสู้ ึกร้อนหรอื เย็น
3. บกี เกอรท์ ี่ 2 ใส่โพแทสเซียมไนเตรต (KNO3) จานวน 3 ชอ้ นตักสาร และทาการทดลองเชน่ เดยี วกบั ขอ้ ท่ี 2
4. บีกเกอร์ที่ 3 ใส่คอปเปอร์ (II) ซลั เฟต (CuSO4) จานวน 3 ชอ้ นตกั สาร และทาการทดลองเช่นเดียวกบั ข้อท่ี 2
5. บีกเกอร์ท่ี 4 ใส่โซเดยี มไนเตรต (NaNO3) จานวน 3 ชอ้ นตกั สาร และทาการทดลองเชน่ เดยี วกบั ขอ้ ที่ 2
6. บนั ทกึ ผลการทดลองกลุ่มของตนเอง และนาเสนอผลการทดลองกลุ่มลงบน Power point หนา้ ช้ันเรียน
หมายเหตุ – 1. ไมค่ วรใชช้ อ้ นตกั สารปนกัน
2. แท่งแกว้ เมื่อจะใชค้ นสารในบีกเกอร์ใหม่ ใหใ้ ช้กระดาษชาระเช็ดให้เรยี บร้อยก่อน รวมถงึ เทอร์มอมิเตอร์ดว้ ย
จะตอ้ งเชด็ และสะบัดใหอ้ ยู่ที่ O0C การการทดลองทุกครง้ั
ตารางบนั ทึกผลการทดลอง
สาร อุณหภมู ขิ องนา้ (0C) อณุ หภูมขิ องสารละลาย (0C) จบั แล้วรู้สึกร้อน/เยน็
โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH)
โพแทสเซียมไนเตรต (KNO3)
คอปเปอร์ (II) ซัลเฟต (CuSO4)
โซเดียมไนเตรต (NaNO3)
3. ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation)
สรุปผลการทดลอง
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
คาถามท้ายกจิ กรรม
1. การละลายของสารทาให้มกี ารเปลีย่ นแปลงของอุณหภูมิหรือไม่ อยา่ งไร.............................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
2. การละลายของโซเดียมไฮดรอกไซด์ เปน็ การละลายประเภทใด............................................................................................
เมอ่ื จับบีกเกอร์แลว้ รู้สึก.......................................................................................................................................................................
3. การละลายของโพแทสเซียมไนเตรต เปน็ การละลายประเภทใด............................................................................................
เม่อื จบั บีกเกอรแ์ ล้วรู้สึก.......................................................................................................................................................................
4. สารใดบา้ งเป็นการละลายประเภทคายความรอ้ น..................................................................................................................
5. สารใดบา้ งเป็นการละลายประเภทดูดความร้อน....................................................................................................................
4. ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration)
การละลายของของเหลวหรอื แก๊สในตวั ทาละลายชนิดต่างๆ เกดิ ข้นึ ไดใ้ นทานองเดียวกัน การละลายของสารแตล่ ะชนิดจะเปน็
การละลายของสารประเภทดูดหรอื คายความรอ้ นซ่งึ เป็นสมบตั เิ ฉพาะตัวของสาร ดังตารางที่ 8
ตารางท่ี 8 แสดงตวั อย่างการเปลยี่ นแปลงพลังงานความร้อนในการละลายของสารบางชนดิ
สาร อณุ หภูมขิ องน้า (0C) อณุ หภมู ขิ องสารละลาย (0C) ประเภทของการละลาย
แอมโมเนียมไนเตรต 28 19 ดดู ความร้อน
โซเดียมไฮดรอกไซด์ 28 53 คายความรอ้ น
โซเดยี มไนเตรต 28 22 ดดู ความร้อน
โซเดียมคลอไรด์ 28 26 ดูดความรอ้ น
ในปฏกิ ิริยาเคมีจะมรี ะบบและสิ่งแวดล้อม ซึง่ ระบบ ( System) หมายถึง สิ่งทีอ่ ยู่ภายในขอบเขตทีต่ ้องการศึกษา หรือสงิ่ ทเ่ี รา
สนใจศึกษา ส่วนสิง่ แวดลอ้ ม ( Environment) หมายถงึ สิ่งต่างๆ ทอี่ ยู่นอกขอบเขตที่ตอ้ งการศกึ ษา เชน่ ภาชนะ อุปกรณ์การ
ทดลอง ความดัน อณุ หภมู ิของอากาศโดยรอบ
จากการศึกษากระบวนการละลายของสารชนิดต่างๆ พบว่า การละลายของสารทกุ ชนิด มีกระบวนการเกิดข้นึ 2 ขั้นตอนเสมอ
คือ
ข้ันที่ 1 อนุภาคของตวั ละลายจะ
..........................................................
เพ่ือใชแ้ ยกอนุภาคของตัวละลายออก
จากกนั
ภาพท่ี 1.47 ดูดพลังงานเพือ่ ใช้แยกอนุภาคของตวั ละลายออกจากกนั
ขั้นท่ี 2 อนภุ าคที่แยกออกมา จะถูก
นา้ ล้อมรอบและ...................................
...............................ออกมา
ภาพที่ 1.48 อนุภาคท่ีแยกออกมา จะถกู น้าล้อมรอบและคายพลังงานออกมา
ดงั น้ัน พลังงานของการละลาย คือ ผลต่างของพลังงานความรอ้ นทีร่ ะบบดูดเขา้ ไปในขั้นท่ี 1 กบั พลังงานความร้อนที่ระบบคาย
ออกมาในขน้ั ที่ 2
ภาพที่ 1.49 พลงั งานของการละลาย
การละลายของสารอาจเปน็ การดูดหรอื คายพลงั งานความรอ้ น ซงึ่ ขึ้นอยู่กบั ผลต่างของพลังงานในข้ันที่ 1 กับข้นั ท่ี 2
สารตา่ งชนดิ กันละลายในตัวทาละลายชนิดเดียวกันได้ต่างกัน
เม่ือใช้ทศิ ทางการถ่ายโอนพลังงานระหวา่ งระบบกับสง่ิ แวดล้อมเป็นเกณฑ์ จะแบ่งประเภทของการละลายออกเป็น 2
ประเภท ดังนี้
1. การละลายประเภทดดู ความรอ้ น (endothermic change)
แสดงว่า ความร้อนท่ีระบบดดู เข้าไปเพ่ือแยกอนุภาคออกจากกันมีค่า
...............................................ความรอ้ นที่ระบบคายออกมาเมอื่ อนุภาครวม
กบั น้า หลังการละลายสารละลายจะมี..........................................................
จากนา้ ก่อนการละลาย เนอ่ื งจากสารดูดความร้อนเข้าไปมากกวา่ ความร้อน
ท่ีสารคายออกมา ดังนน้ั หลังการละลายความร้อนของสารจะเพิม่ ข้นึ แต่
ถา้ จบั ภาชนะจะ....................................... สารประเภทนจ้ี ะละลายน้าได้ดี ภาพที่ 1.50 การละลายประเภทดดู ความร้อน
ในนา้ ที่มีอุณหภมู สิ ูง
2. การละลายประเภทคายความร้อน (exothermic change)
แสดงวา่ ความร้อนที่ระบบดูดเข้าไปเพ่ือแยกอนุภาคออกจากกนั มีคา่
.............................................ความร้อนท่ีระบบคายออกมาเมอื่ อนุภาครวม
กับนา้ หลังการละลายสารละลายจะมี........................................................
จากน้าก่อนการละลาย เนื่องจากสารคายความร้อนออกมา ดงั นน้ั หลงั การ
ละลายความรอ้ นของสารจะลดลง แตถ่ า้ จบั ภาชนะจะ................................
เพราะได้รบั ความร้อนที่สารคายออกมามากกว่าความร้อนทส่ี ารดูดเขา้ ไป
สารประเภทน้ีจะละลายนา้ ได้ดีในน้าทอ่ี ุณหภูมิต่า เช่น การละลายของแก๊ส ภาพท่ี 1.51 การละลายประเภทคายความรอ้ น
ทุกชนดิ
สารตั้งตน้ และผลติ ภณั ฑ์ รวมทงั้ ภาชนะทีบ่ รรจสุ ารจัดเป็นระบบหน่งึ ทีแ่ ยกออกจากส่งิ แวดลอ้ มภายนอก ถ้าเปรยี บเทยี บมวล
ของสารกอ่ นและหลงั ทาปฏกิ ริ ิยา พบว่าจะมมี วลเท่ากนั ซ่ึงเปน็ ไปตาม............................................................ที่กลา่ วว่าการเปลี่ยนแปลง
ใดๆ ของสารทีอ่ ยู่ในระบบปิด มวลของสารกอ่ นและหลงั การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาจะมีคา่ คงท่ี
กฎทรงมวลของสาร
พ.ศ. 2317 อองตวน-โลรอง ลาวัวซเี ย ไดเ้ สนอกฎทรงมวลของสารข้นึ ดังน้ี
“ การเปลี่ยนแปลงใดๆ ของสารทีอ่ ย่ใู นระบบปิด มวลรวมของสารก่อนเกดิ ปฏกิ ิริยาเทา่ กบั มวลรวมของสารหลงั
เกิดปฏิกิริยา”
5. ข้ันประเมนิ ผล (Evaluation)
คาชแ้ี จง จงเติมคาหรอื ขอ้ ความลงในชอ่ งว่างให้ถูกต้อง
1. ผสมสารละลาย X อุณหภูมิ 30 0C กบั สารละลาย Y อุณหภมู ิ 30 0C เกิดตะกอนสีขาว วัดอณุ หภมู ไิ ด้ 26 0C การละลายนี้จดั เปน็
ประเภทดดู หรือคายความรอ้ น……………....................................เพราะ………………………………………………………………………………………...……..
…………………………………………………………………………………………………….........................................................................................................
และสารหลังผสมจะมพี ลังงานเพมิ่ ข้นึ จากเดมิ หรือลดลงจากเดมิ …………………….............................……...........................................................
ให้พิจารณาขอ้ มูลต่อไปน้ี แล้วตอบคาถามข้อ 2 – 5 ( เม่อื นาสาร A, B, C และ D ไปละลายนา้ วัดอุณหภูมิของนา้ และอณุ หภมู ิ
ของสารละลายไดข้ ้อมลู ดังตารางต่อไปน้ี )
สารมวล 5 g อณุ หภมู ขิ องน้า (0C) อุณหภูมิของสารละลาย (0C)
A 28 31
B 28 23
C 28 28
D 28 34
2. การละลายของสารใดเป็นการละลายประเภทดูดพลงั งาน......................................................................................................................
3. การละลายของสารใด เมอื่ หลังจากสารละลายจนหมดแล้ว และจบั บกี เกอร์แลว้ รู้สึกรอ้ น......................................................................
4. การละลายของสารใดที่ขัน้ ตอนการละลายมีการดดู พลงั งานมากกวา่ การคายพลงั งาน............................................................................
5. การละลายของสารใดทข่ี ั้นตอนการละลายมีการดดู พลังงานเท่ากบั การคายพลงั งาน...............................................................................
สารแต่ละชนดิ จะละลายในตัวทาละลายตา่ งๆ ไดแ้ ตกตา่ งกัน เชน่ นา้ ตาลทรายละลายได้ดี ในน้า คำสำคญั
แตไ่ มล่ ะลายในเอทิลแอลกอฮอล์ เปน็ ตน้ อีกทัง้ ยังมีปจั จยั อ่ืนๆ ทีม่ ผี ลต่อการละลายของสาร เชน่ อุณหภูมิ
ความดนั เปน็ ต้น ทาใหค้ วามสามารถของตัวละลายท่ีละลายในตัวทาละลายแตกตา่ งกนั - สารละลายอิ่มตวั
- สภาพละลายไดข้ องสาร
- อณุ หภมู ิ - ความดัน
- ชนิดของตวั ทาละลาย
และตัวละลาย
พิจารณาขอ้ ความต่อไปนี้แล้วเขียนเครื่องหมาย / หนา้ ข้อความที่ถูกต้อง และเขียนเคร่ืองหมาย X หนา้ ข้อความท่ีไม่
ถูกต้อง
...........1.สารละลายเกดิ จากสาร 2 ชนดิ ขึ้นไปละลายเข้าดว้ ยกนั ในอตั ราส่วนผสมตา่ งๆ
...........2.สารละลายที่มีสถานะเปน็ ของเหลวจะมนี ้าเปน็ ตัวทาละลาย
...........3.สารละลายท่ีมสี ถานะเป็นแกส๊ แกส๊ ท่ีมีปรมิ าณมากทีส่ ุดเปน็ ตัวทาละลาย
...........4.นา้ ตาลทรายจะละลายได้ดขี ้ึนในนา้ ร้อน
...........5.สารละลายที่ตวั ละลายไมส่ ามารถละลายได้ในตวั ทาละลายได้อีก ณ อุณหภูมิหนึ่งๆ เรียกวา่ สารละลายอม่ิ ตัว
เมอ่ื เตมิ ตวั ละลายทเ่ี ป็นของแข็งลงในตัวทาละลายที่เป็นของเหลวจะ พบว่า สารสามารถ
ละลายไดเ้ ร็วในช่วงแรก แตเ่ มื่อเตมิ ตัวละลายเพมิ่ ไปเรื่อยๆ ในสารละลายเดิม จะพบว่า
ตวั ละลายจะละลายได้............................. และในท่สี ุดตวั ละลายจะเหลอื อยู่ในสารละลาย
เนื่องจากตัวละลายไม่สามารถละลายได้เพิ่มข้นึ ท.่ี ........................................อกี ต่อไป สารละลายทีไ่ ด้เปน็ .........................................
(saturated solution) และปรมิ าณของตัวละลายทลี่ ะลายไดม้ ากท่สี ุดในตัวทาละลายจานวนหนึง่ ซึ่งทาใหส้ ารละลายอิ่มตวั
เรียกวา่ ........................................................................... (solubility) ถา้ ตวั ทาละลายเปน็ นา้ สภาพละลายได้ของสารมีหนว่ ย
เปน็ กรัมของสารต่อนา้ 100 กรัม (g/100 gwater) นอกจากนี้สภาพละลายได้ของสารอาจมีหน่วยอื่น ๆ เช่น กรัมตอ่ ลิตรของตวั
ทาละลาย สภาพละลายได้ของสารบางชนดิ ในน้าแสดงดังตารางที่ 9
ตารางที่ 9 สภาพละลายได้ของสารบางชนิดในนา้ 100 กรัม ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซยี ส
สาร สภาพละลายไดข้ องสาร (กรัมต่อน้า 100 กรมั ) ที่อุณหภมู ิ 20°C
นา้ ตาลทราย (ซูโครส) 202
กลโู คส 90
เกลือแกง (โซเดียมคลอไรด)์ 36
ดินประสวิ (โพแทสเซียมไนเตรต) 32
จุนสี (คอปเปอร์ (II) ซลั เฟต) 32
ผงฟู (โซเดียมไฮโดรเจนคารบ์ อเนต) 10
จากตารางท่ี 9 พบว่า สภาพละลายได้ของกลูโคสมีค่าเท่ากับ 90 กรัมต่อนา้ 100 กรัม ทอี่ ณุ หภมู ิ 20 องศาเซลเซียส
หมายความว่า ท่ีอุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส น้า 100 กรัม สามารถละลายกลูโคสไดม้ ากที่สดุ 90 กรมั ซ่ึงทาใหส้ ารละลายอมิ่ ตัว
พอดี ถา้ นากลโู คสมากกว่า 90 กรัม เชน่ 110 กรัม มาละลายในนา้ 100 กรัม ท่ีอุณหภมู ิน้ี กลโู คสจะละลายได้เพียง 90 กรัม และ
เหลอื 20 กรัม ท่ีไมส่ ามารถละลายได้ และตกตะกอนอยู่ในสารละลาย
ดงั นน้ั สภาพละลายได้ (solubility) หมายถึง ...........................................................................................................................
....................................................ในตัวทาละลายจนเป็น...................................................... ณ อณุ หภมู ิและความดนั หนึ่งๆ เช่น
สภาพละลายได้ของโซเดยี มคลอไรดใ์ นน้า 100 กรัม ณ อุณหภมู ิ 20 องศาเซลเซยี ส เทา่ กับ 36.0 กรมั แตถ่ ้าเพ่ิมอุณหภูมเิ ปน็ 60
องศาเซลเซียส สภาพละลายได้จะเพิ่มข้นึ เป็น 37.3 กรมั ส่วนสภาพละลายไดข้ องแก๊สออกซเิ จนในนา้ เทา่ กับ 3.93 กรัม ในน้า
100 กรัม ที่อณุ หภมู ิ 25 องศาเซลเซยี ส ความดนั 1 บรรยากาศ ถ้าความดันสงู กว่า 1 บรรยากาศ แก๊สออกซิเจนจะละลายน้าได้
เพิม่ ขึน้
ความสามารถในการละลายของตวั ละลายในตวั ทาละลายใดๆ ท่ี 25 ภาพท่ี 1.52 การละลายของเกลอื ในน้า
องศาเซลเซียส แบง่ ออกเปน็ 3 ระดบั ดงั น้ี
1) ................................. หมายถงึ ตวั ละลายละลายได้มากกว่า 1 กรัม
ในน้า 100 กรัม
2) .............................................. หมายถงึ ตัวละลายละลายไดม้ ากกวา่
0.1 กรัม แต่ไมเ่ กิน 1 กรัม ในนา้ 100 กรมั
3)................................... หมายถึง ตวั ละลายละลายได้นอ้ ยกวา่ 0.1กรัม
ในนา้ 100 กรัม หรือไมล่ ะลายเลย
การบอกสภาพละลายได้ของแกส๊ จงึ ตอ้ งระบุมวลของแกส๊ ทีเ่ ปน็ ตวั ละลาย มหี น่วยเป็นกรมั ในน้า 100 กรมั
และระบุคา่ ความดันของอากาศด้วย
ความสามารถในการละลายหรอื สภาพการละลายได้ (solubility) หมายถงึ ความเข้มข้นของสารละลายทีจ่ ดุ อิ่มตวั
ณ อณุ หภูมหิ นง่ึ ซึ่งความสามารถในการละลายของสารจะมากหรอื น้อยขึ้นอย่กู บั ปจั จัยต่อไปนี้
1............................................ สารแต่ละชนดิ จะมสี ภาพละลายได้ที่อุณหภูมิตา่ งๆ แตกต่างกัน สารบางชนดิ จะละลาย
ไดม้ ากขนึ้ เมื่ออุณหภมู ิสงู ขึน้ แตล่ ะลายได้น้อยลงเม่ืออณุ หภูมิลดลง เชน่ โซเดยี มคลอไรด์ โซเดียมไนเตรต โพแทสเซียมไนเตรต
แคลเซียมคลอไรด์ เป็นต้น แตส่ ารบางชนดิ อาจละลายได้น้อยลงเมื่ออุณหภูมสิ งู ขึ้น แตล่ ะลายได้มากขึ้นเม่ืออุณหภูมิลดลง เชน่
ลเิ ทยี มคาร์บอเนต เป็นต้น ดังตารางท่ี 10
ตารางท่ี 10 การละลายของสารบางชนิดทีอ่ ณุ หภูมติ า่ ง ๆ
สภาพละลายไดข้ องสารในหน่วยกรัม
ชนิดของสาร ในน้า 100 กรัม ณ อุณหภมู ติ ่าง ๆ
0 °C 20 °C 60 °C 100 °C
โซเดยี มคลอไรด์ 35.7 36.0 37.3 39.2
โซเดยี มไนเตรต 74.0 87.6 122.0 180.0
โพแทสเซียมไนเตรต 13.9 31.9 106.0 245.0
ลเิ ทียมคาร์บอเนต 1.5 1.3 1.0 0.70
อุณหภูมิมผี ลต่อตัวละลายในสถานะตา่ งๆ แตกต่างกัน ถ้าตัวละลาย
เป็นของแข็งและของเหลว ส่วนใหญ่จะสามารถละลายได้มากขึน้ เม่ืออณุ หภมู ิ
..............................................เนอ่ื งจากความร้อนจะทาใหอ้ ะตอมของตวั ละลาย
ส่ันสะเทอื นอยา่ งรวดเรว็ ทาให้เกดิ การแตกตัวได้ดี แต่ถ้าตัวละลายเปน็ แก๊สให้
ผลตรงกนั ข้าม คือ ถ้าอณุ หภมู ิสงู ข้ึน ความสามารถในการละลายของแก๊ส
จะ..................................... ดงั ภาพ 1.54 สภาพละลายไดข้ องแก๊สในน้า 100 กรมั
ท่ีอุณหภูมติ ่างๆ พบวา่ เมื่ออุณหภมู เิ พมิ่ ข้นึ สภาพละลายได้ของแกส๊ จะลดลง เช่น
แก๊สออกซิเจนมคี วามสาคญั ต่อการดารงชีวิตของสงิ่ มีชีวติ เมอื่ โลกประสบปัญหา
ภาวะโลกร้อนซึ่งเปน็ ภาวะที่อุณหภมู เิ ฉลย่ี ของโลกสูงขน้ึ อย่างรวดเร็ว นอกจาก ภาพท่ี 1.53 เมื่อสารได้รบั ความร้อนจะสามารถละลาย
ไดเ้ พมิ่ ข้ึนหรือลดลง
จะสง่ ผลกระทบตา่ งๆ ต่อโลกแล้ว ยังพบวา่ ปริมาณแกส๊ ออกซิเจนที่ละลายใน
ทะเลและมหาสมทุ รลดลงดว้ ย ซ่งึ เปน็ สาเหตหุ นง่ึ ทีท่ าใหพ้ ืชและสัตวท์ ะเลบางชนิดไมส่ ามารถดารงชีวติ อยู่ได้
ภาพที่ 1.54 การละลายของสารท่ีมสี ถานะเปน็ ของแขง็ ในน้าเมื่ออณุ หภูมิสูงขึ้น ภาพที่ 1.55 การละลายของสารทม่ี สี ถานะเป็นแก๊สในน้าเมือ่ อุณหภมู ิสูงข้นึ
2. ..............................................................
ตัวทาละลายชนดิ หนง่ึ เมอ่ื นาไปละลายในตวั ทาละลายตา่ งๆกัน จะมคี วามสามารถใน
การละลายตา่ งกนั เช่น น้าตาลละลายไดม้ ากในน้า และละลายได้น้อยในนา้ มัน หรอื สารบาง
ชนดิ ไม่ละลายน้า แต่ละลายในนา้ มนั เบนซนิ หรือเฮกเซน (C6H14) เช่น น้ายาทาเลบ็ ไม่ละลายน้า แตล่ ะลายในน้ายาล้างเลบ็
หมกึ แห้งไมล่ ะลายในน้าแต่ละลายในแอลกอฮอล์ ดังนัน้ ความสามารถในการละลายจึงขนึ้ อยูก่ ับชนิดของตัวทาละลาย
3. ..................................................................
สารตา่ งชนิดกนั เมอ่ื นาไปละลายในตัวทาละลายชนดิ เดียวกัน จะมีความสามารถในการละลายต่างกัน เชน่ โซเดยี มคลอไรด์
ละลายในนา้ ได้มากกว่าโพแทสเซยี มในเตรตละลายในนา้
4. ……………………………………………….………….
การเปลยี่ นแปลงความดนั จะมีผลตอ่ ความสามารถในการละลายของสารท่เี ปน็ แกส๊ เท่านน้ั คอื ถ้าความดนั ........................
จะมีผลทาให้การละลายของแกส๊ .............................. เชน่ การละลายของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดใ์ นนา้ อัดลม
..เพราะเหตุใด เม่อื เปดิ น้าอัดลมทงิ ไว้นานๆ..จึงมีรสชาตติ ่างจาก
น้าอัดลมท่ีเปดิ ขวดใหม่ๆ...
นักเรยี นรหู้ รอื ไม่ว่า นา้ อดั ลมแตล่ ะยีห่ ้อประกอบดว้ ย
อะไรบา้ ง ส่วนประกอบหลักของน้าอดั ลม คือ นา้ น้าตาล หรอื
สารใหค้ วามหวานอน่ื ๆ สารปรงุ แต่งรส สี และกลิ่น ซงึ่ สารน้ี
จะทาให้น้าอดั ลมแตล่ ะยห่ี อ้ มีรสชาติแตกตา่ งกนั ส่วนประกอบ
ภาพท่ี 1.55 ความดันมผี ลตอ่ การละลายของตวั ละลายที่เป็นแกส๊ สาคัญที่ช่วยให้นา้ อดั ลม มีความซา่ คือ CO2 ในภาวะความดัน
ปกติ CO2 ละลายในนา้ ได้น้อยมาก การผลติ นา้ อดั ลม จงึ ตอ้ งใช้
5. พลังงานจลน์ ความดนั สูงโดยเพม่ิ ความดนั ในการอัด CO2 ใหล้ ะลายในน้า
ได้มากขน้ึ เม่ือเปิดขวดนา้ อัดลม เราจะเห็นฟองแก๊สฟู่ เพราะ
ถา้ ทาให้อนุภาคสารเกิดการเคล่ือนท่ีจะละลายได้เร็วข้ึน ความดนั ภายในขวดลดลงเทา่ กับความดนั ภายนอกขวด ทาให้
เช่น การละลายของสารถา้ ใช้แท่งแกว้ คน การเขย่าหรือการ CO2 ละลายนา้ ไดล้ ดลง CO2 บางสว่ นจงึ แยกตัวออกจากน้า
ปั่นเหวี่ยง จะชว่ ยทาใหอ้ นุภาคของตวั ละลายเกิดการชนกันถี่ขน้ึ
จงึ ทาให้เกดิ การละลายได้ดแี ละเร็วข้นึ แต่ความสามารถในการละลายเทา่ เดิม
สภาพละลายไดข้ องสารจะมีคา่ มากหรือนอ้ ย ขน้ึ อยู่กบั ชนิดตวั ละลาย
ตัวทาละลาย และอุณหภูมิ สาหรับสารทมี่ ีสถานะแกส๊ ความดันยงั มผี ลต่อสภาพ
ละลายได้ของสาร ความรู้ดังกล่าวสามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจาวัน
ซงึ่ ประเทศไทยมีสมนุ ไพรหลายชนดิ เชน่ ขงิ ขมนิ้ ชนั ฟา้ ทะลายโจร กะเพรา
กระชายดา การสกดั สารทีม่ ีอยูใ่ นสมนุ ไพรเพื่อแยกสารออกมาใช้ประโยชน์ทาได้
หลายวธิ ี วธิ หี นึง่ คอื ...................................................................ซงึ่ ตวั ทาละลาย
แต่ละชนิดจะละลายสารทต่ี อ้ งการออกมาได้ในปรมิ าณมากน้อยตา่ งกนั จงึ ต้อง ภาพที่ 1.56 สารสกัดจากขม้นิ
เลือกใชต้ ัวทาละลายท่เี หมาะสม ในอุตสาหกรรมมักใช้...................................
เป็นตัวทาละลาย เอทานอลนอกจากสกดั สารไดป้ รมิ าณมากแล้วยังช่วยฆ่าเช้อื โรค และสารละลายทไ่ี ด้จากการสกดั สามารถ
ใช้รบั ประทานได้ แต่อาจทาใหเ้ กดิ อาการมนึ เมา และเปน็ อันตรายตอ่ ตบั ถ้ารบั ประทานมากเกนิ ไป
ปฏิบตั ิการที่ 2 เร่ือง ปัจจยั ท่ีมีผลต่อการละลายของสาร
วตั ถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพละลายได้ของสาร
2. เพื่อศึกษาปจั จัยทมี่ ีผลต่อการละลายของสาร
วัสดุอุปกรณ์การทดลอง 1. นา้ กลั่น 2. แอลกอฮอล์
3. หลอดทดลองขนาดกลาง 4. ช้อนตักสารเบอร์ 1
5. กระบอกตวงหรือหลอดฉีดยาขนาด 10 ml. 6. โซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง)
7. สีผสมอาหาร 8. เชลแลก็
9. ลูกเหมน็ บดเป็นผง (แนฟทาลีน)
วิธีทาการทดลอง
1. แบง่ กลุ่ม แตล่ ะกลุม่ รว่ มกันรินนา้ กลั่น ในหลอดทดลองขนาดกลาง จานวน 4 หลอด และแอลกอฮอล์ ลงในหลอด
ทดลองขนาดกลาง จานวน 4 หลอด หลอดละ 3 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร
2. จากนั้นค่อยๆ เตมิ โซเดียมคลอไรดล์ งในหลอดทดลองชุดที่ 1 ในชุดทเี่ ติมน้ากลน่ั และชุดที่เตมิ แอลกอฮอล์ หลอดละ
1 ชอ้ นเบอร์ 1 แลว้ เขยา่ เม่ือโซเดยี มคลอไรดใ์ นแตล่ ะหลอดละลายหมด ใหเ้ ติมลงไปอกี ทีละชอ้ น จนไมล่ ะลายอกี ต่อไป
เขย่าทกุ ครง้ั ท่ีเติมสาร นับจานวนช้อนทเี่ ตมิ บันทึกผลการทดลอง
3. หลอดทดลองชุดท่ี 2 ใส่สีผสมอาหาร หลอดละ 1 ช้อนเบอร์ 1 แลว้ เขยา่ และทาการทดลองเชน่ เดียวกับข้อที่ 2
4. หลอดทดลองชดุ ที่ 3 ใส่เชลแลก หลอดละ 1 ชอ้ นเบอร์ 1 แล้วเขย่า และทาการทดลองเชน่ เดยี วกับขอ้ ที่ 2
5. หลอดทดลองชุดท่ี 4 ใส่ลูกเหม็นบดเปน็ ผง (แนฟทาลีน) หลอดละ 1 ช้อนเบอร์ 1 แล้วเขยา่ และทาการทดลอง
เช่นเดยี วกับข้อท่ี 2
6. บันทกึ ผลการทดลองกลมุ่ ของตนเอง และนาเสนอผลการทดลองกลุ่มลงบน Power point หนา้ ชัน้ เรยี น
หมายเหตุ – 1. ไม่ควรใช้ช้อนตักสารปนกัน
2. อย่าเขย่าหลอดทดลองแรงจนเกินไป โดยใช้มือฝา่ มอื รองและประคองขณะเขย่าหลอดทดลอง
โซเดียมคลอไรด์ 1 ชอ้ นเบอร์ 1 สีผสมอาหาร 1 ชอ้ นเบอร์ 1
น้ากล่นั แอลกอฮอล์ น้ากลนั่ แอลกอฮอล์
3 ml. 3 ml. 3 ml. 3 ml.
ชดุ การทดลองท่ี 1 ชดุ การทดลองท่ี 2
เชลแลก 1 ช้อนเบอร์ 1 แนพทาลีน 1 ชอ้ นเบอร์ 1
น้ากลน่ั แอลกอฮอล์ น้ากล่ัน แอลกอฮอล์
3 ml. 3 ml. 3 ml. 3 ml.
ชดุ การทดลองท่ี 3 ชดุ การทดลองท่ี 4
ภาพที่ 1.57 การทดลองการละลายของสาร
ตารางบันทึกผลการทดลอง จานวน (ช้อน) ในตัวทาละลายชนิดต่างๆ
สาร น้ากล่นั แอลกอฮอล์
โซเดียมคลอไรด์
สผี สมอาหาร
เชลแลก
แนพทาลีน
สรปุ ผลการทดลอง
.................................................................................. ...................................................... ....................................................................
.................................................................................................................................... ........................................................................
........................................................................................................................................................................................ ....................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................ ............................................................................
.................................................................................................................................................................................. ..........................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
คาถามท้ายกจิ กรรม
1. สารชนดิ เดียวกันละลายในตัวทาละลายต่างชนดิ กันไดเ้ หมอื นกนั หรอื ต่างกันอยา่ งไร จงอธิบาย
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
2. สารตา่ งชนิดกันละลายในตัวทาละลายชนิดเดียวกันได้มากน้อย ตา่ งกันหรือไม่อย่างไร จงอธิบาย
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
3. สารชนิดใดละลายในน้ากล่นั ไดด้ ีทส่ี ดุ ..................................................................................................................................
4. สารชนิดใดละลายในแอลกอฮอลไ์ ดด้ ีท่สี ุด ...........................................................................................................................
5. จากการทดลองนี้เกย่ี วขอ้ งกับปัจจัยใดทมี่ ีผลตอ่ การละลายของสาร ………………………………………………………………………….
............................................................................................................................................................................................................
คาชแี้ จง จงเตมิ คาหรอื ขอ้ ความลงในช่องวา่ งให้ถูกต้อง
1. นักเรียนคนหนึง่ กล่าววา่ “น้าตาลทรายละลายไดเ้ รว็ ขนึ้ เมื่อใชแ้ ทง่ แก้วคนสารละลาย เพราะการคนสารละลายทาให้
สภาพละลายได้ของน้าตาลทรายเพิ่มขึน้ ” คากล่าวของนักเรียนคนนถี้ กู ต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
2. “โฟมเปน็ พลาสตกิ ชนดิ หนึง่ ที่ไม่ละลายน้า แตเ่ ม่ือสมั ผสั กับทินเนอร์ นา้ มนั หอมระเหย หรอื นา้ มันทรี่ ้อนจากของทอด
ทเ่ี พ่ิงทอดเสรจ็ ใหมๆ่ โฟมจะเกิดการละลาย ซงึ่ สามารถสังเกตได้จากการยบุ ตัวของโฟมหรอื เกิดรทู ่ีโฟมข้นึ ” จากข้อความขา้ งตน้
ปัจจยั ใดส่งผลตอ่ การละลายของโฟม ................................................................................................................................................
3. เพราะเหตุใดบนภเู ขาสูง แก๊สจึงละลายในตวั ทาละลายได้นอ้ ยกวา่ บนพน้ื ราบ ..................................................................
................................................................................................................................................ ............................................................
4. ปจั จยั ทีม่ ผี ลต่อสภาพละลายได้ของสาร มีอะไรบ้าง .............................................................................................................
............................................................................................................................. ...............................................................................
5. สารสถานะใด สามารถละลายได้ดีเมื่ออุณหภูมสิ ูงข้นึ ...........................................................................................................
หลายคนคงคุ้นเคยกับการทานา้ หวานสตี า่ งๆ เพือ่ ผสมกับนา้ แข็ง และใช้เปน็ เคร่อื งดมื่ นา้ หวาน เปน็ คำสำคญั
สารละลายชนดิ หนึ่งทาไดโ้ ดยละลายนา้ หวานเขม้ ขน้ กับนา้ รสชาตแิ ละความเขม้ ของสีนา้ หวานขึน้ อยูก่ ับ
อัตราส่วนผสมระหว่างปรมิ าณน้าหวานเข้มข้นกับปรมิ าณน้า จงึ ต้องมกี ารระบุอัตราสว่ นผสมระหว่าง - ความเข้มขน้
ปรมิ าณนา้ หวานเข้นข้นกบั นา้ เพื่อใหไ้ ด้น้าหวานทมี่ ีรสชาตแิ ละสีตามตอ้ งการ การเตรียมสารละลายอนื่ ๆ - รอ้ ยละโดยมวลตอ่ มวล
ก็เชน่ เดียวกนั จะต้องมีการระบคุ วามเข้มข้นเพ่อื ใหไ้ ดส้ ารละลายทมี่ ีสมบัตติ ามตอ้ งการ การระบปุ ริมาณ - รอ้ ยละโดยปริมาตรตอ่
ดังกล่าวเปน็ การระบคุ วามเขม้ ขน้ ของสารละลายซง่ึ มีหน่วยความเข้มขน้ ต่างๆ ขนึ้ อยู่กบั ลกั ษณะของ ปรมิ าตร
สารละลายและการใชง้ าน - รอ้ ยละโดยมวลต่อ
ปรมิ าตร
พิจารณาขอ้ ความต่อไปน้แี ล้วเขียนเครื่องหมาย / หนา้ ข้อความท่ีถกู ตอ้ ง และเขียนเคร่ืองหมาย X หน้าข้อความที่ไม่
ถกู ต้อง
...........1. สารละลายทม่ี ีปรมิ าณตัวทาละลายมาก จะมคี วามเข้มขน้ สงู
...........2. นา้ เชอ่ื มท่มี ีความหวานมาก แสดงวา่ มีปริมาณน้าตาลละลายอยู่มาก
...........3. การเตรียมสารละลายจะต้องคานวณปริมาณตัวละลายและตัวทาละลายที่ใช้ก่อนเสมอ
สารละลายเป็นสารเนือ้ เดียวที่เกดิ จากการผสมสารตงั้ แต่ 2 ชนิดขึ้นไปเข้าดว้ ยกนั ซึ่ง
สารละลายชนิดเดยี วกนั ท่ีมปี ริมาตรเท่ากนั แตม่ ปี รมิ าณตัวละลายท่ลี ะลายอยู่ในตัวทาละลาย
ไม่เทา่ กัน จะสง่ ผล ให้สารละลายมีความเข้มข้นแตกต่างกนั
ความเข้มข้นของสารละลาย (concentration of solutions) เป็นคา่ ท่ีแสดงปริมาณของตัวละลายท่ีละลายอยู่ในตัว
ทาละลายหรอื สารละลาย ซึง่ สารละลายชนิดเดียวกันที่มปี รมิ าตรเท่ากัน แตม่ ปี รมิ าณตัวละลายแตกตา่ งกนั จะทาใหส้ ารละลาย
มคี วามเข้มข้นแตกตา่ งกนั โดยสารละลายทีม่ ปี รมิ าณตัวละลายนอ้ ยกวา่ จะมีความเข้มขน้ นอ้ ยกว่า สารละลายที่มปี รมิ าณ
ตัวละลายมากกวา่
กาiรบอกความเข้มขน้ ของสารละลาย มี 3 วธิ ี ดงั น้ี
1) รอ้ ยละโดยมวลตอ่ มวล
ร้อยละโดยมวลต่อมวล เปน็ หน่วยความเข้มข้นที่บอกถึงปรมิ าณตัวละลายเป็น..................... ท่ลี ะลายในสารละลาย 100
กรัม เชน่ สารละลายเกลือแกง 10 กรมั ละลายอยใู่ นสารละลายเกลือแกง 100 กรัม หรือสารละลายเกลือแกง ประกอบดว้ ย
เกลอื แกง 10 กรมั ละลายอยใู่ นนา้ ( 100-10 ) เทา่ กับ 90 กรัม ดังนั้น สามารถหาความเขม้ ขน้ เปน็ ร้อยละโดยมวล จากสูตร
รอ้ ยละโดยมวลตอ่ มวล = -------------------------------------------------------- x 100
ตัวอย่างท่ี 1 จงคานวณหาความเขม้ ข้นของสารละลายน้าตาลกลโู คส ซ่ึงประกอบด้วยน้าตาล 10.0 กรมั ละลายในน้า จนได้
สารละลาย 400 กรัม
วิธีทา จากสูตร
ดงั นน้ั สารละลายน้าตาลกลูโคสมคี วามเขม้ ขน้ รอ้ ยละ ..................................... โดยมวลตอ่ มวล
ตวั อยา่ งที่ 2 สารละลายชนดิ หนงึ่ มมี วล 25 กรัม มีกรดไฮโดรคลอรกิ ละลายอยู่ 3 กรมั สารละลายกรดไฮโดรคลอริกนม้ี ี
ความเข้มข้นเท่าใดในหนว่ ยร้อยละโดยมวลตอ่ มวล
วธิ ีทา จากสตู ร
ดงั นัน้ สารละลายกรดไฮโดรคลอริกมคี วามเข้มข้น ร้อยละ ..................................... โดยมวลต่อมวล
ตัวอยา่ งท่ี 3 นา้ มวล 35 กรมั มีจนุ สีละลายอยู่ 5 กรัม สารละลายจนุ สนี ี้มคี วามเข้มขน้ คิดเป็นรอ้ ยละเทา่ ไรโดยมวลตอ่ มวล
วธิ ีทา
ดงั น้นั สารละลายจุนสีมคี วามเขม้ ขน้ ร้อยละ ..................................... โดยมวลตอ่ มวล
ตัวอย่างท่ี 4 หากต้องการเตรียมสารละลายโซเดียมคลอไรด์ความเข้มข้นร้อยละ 8 โดยมวลตอ่ มวล จานวน 200 กรัม
จงคานวณหาปรมิ าณโซเดยี มคลอไรด์ท่ใี ช้
วิธีทา
ดังนนั้ ตอ้ งใชโ้ ซเดยี มคลอไรด.์ ......................กรมั เพ่อื เตรียมสารละลายโซเดยี มคลอไรด์จานวน 200 กรัม ใหม้ ีความเขม้ ข้น
ร้อยละ 8 โดยมวลตอ่ มวล
ตัวอยา่ งท่ี 5 ถา้ ต้องการเตรยี มสารละลายดา่ งทับทิมเข้มขน้ รอ้ ยละ 10 โดยมวลตอ่ มวล จานวน 200 กรัม จะต้องใช้
ด่างทับทิมก่ีกรัม
วธิ ที า
ดงั นั้น ต้องใช้ด่างทับทิม.......................กรมั เพือ่ เตรยี มสารละลายด่างทบั ทมิ จานวน 200 กรัม ให้มคี วามเขม้ ขน้
ร้อยละ 10 โดยมวลต่อมวล
ร้อยละโดยมวลตอ่ มวล
สารละลายทมี่ สี ถานะเปน็ .................................... นยิ มบอกปรมิ าณของตัวทาละลายและตัวละลายเปน็ รอ้ ยละโดยมวลตอ่ มวล
เนอื่ งจากสามารถชง่ั มวลของแขง็ ที่จะนามาผสมกันได้งา่ ย เช่น เหรยี ญท่ีระลึกชนิดหนึ่งทาจากโลหะผสมทปี่ ระกอบด้วยทองแดงรอ้ ยละ 75
และนกิ เกลิ ร้อยละ 25 โดยมวลตอ่ มวล หมายความวา่ ในเหรยี ญหนัก 100 กรัม มที องแดงอยู่ 75 กรมั เปน็ ตวั ทาละลาย ผสมอยูก่ ับนกิ เกลิ
25 กรมั เป็นตัวละลาย เป็นตน้
2) รอ้ ยละโดยปริมาตรตอ่ ปรมิ าตร
รอ้ ยละโดยปรมิ าตรต่อปรมิ าตร เป็นหน่วยความเขม้ ขน้ ทบ่ี อกถึงปรมิ าณตัวละลายเปน็ ..................................................
ท่ีละลายในสารละลาย 100 ลบ.ซม. เช่น สารละลายแอลกอฮอล์เขม้ ขน้ ร้อยละ 25 โดยปรมิ าตรต่อปริมาตร หมายความว่า
มแี อลกอฮอล์ 25 ลบ.ซม. ละลายอยใู่ นสารละลาย 100 ลบ.ซม. แสดงว่า มนี า้ เปน็ ตัวท้าละลาย เทา่ กบั 75 ลบ.ซม. ดังน้ัน
สามารถหาความเข้มข้นเปน็ ร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร จากสตู ร
ร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร = ------------------------------------------------------------- x 100
ตวั อยา่ งที่ 6 นาเอทลิ แอลกอฮอล์ 50 ลบ.ซม. มาละลายในนา้ 200 ลบ.ซม. จงหาความเข้มข้นของสารละลาย
เอทิลแอลกอฮอล์
วธิ ีทา
ดงั นัน้ สารละลายเอทลิ แอลกอฮอลมีความเข้มขน้ ร้อยละ................................. โดยปริมาตรตอ่ ปรมิ าตร
ตวั อยา่ งท่ี 7 นากรดไฮโดรคลอรกิ 30 ลบ.ซม. มาละลายในน้ากลัน่ ปรมิ าตร 120 ลบ.ซม. ความเขม้ ข้นของสารละลายที่ได้
ในหนว่ ยร้อยละปริมาตรตอ่ ปริมาตร มีคา่ เท่าใด
วิธีทา
ดังน้ัน สารละลายกรดไฮโดรคลอริกมคี วามเข้มขน้ ร้อยละ................................. โดยปริมาตรตอ่ ปริมาตร
ตัวอย่างที่ 8 สารละลายเอทิลแอลกอฮอลค์ วามเข้มขน้ ร้อยละ 25 โดยปริมาตรตอ่ ปริมาตร จานวน 500 ลบ.ซม. จงหา
ปริมาตรของเอทิลแอลกอฮอล์ที่ละลายอยใู่ นสารละลายนี้
วธิ ีทา
ดังนน้ั ปรมิ าตรของเอทลิ แอลกอฮอลท์ ่ลี ะลายอยใู่ นสารละลายนี้เท่ากับ................................ ลูกบาศก์เซนตเิ มตร
ตัวอย่างท่ี 9 แกส๊ หงุ ตม้ เป็นสารละลายของแก๊สโพรเพนและบิวเทน ถา้ แกส๊ หงุ ต้มถังหนงึ่ ปรมิ าตร 30 ลติ ร มีแกส๊ บิวเทนเป็น
องคป์ ระกอบอยู่ 7.5 ลติ ร แก๊สหุงตม้ ถงั นีม้ ีความเข้มขน้ ของแกส๊ บิวเทนร้อยละเท่าใดโดยปริมาตรต่อปริมาตร
วิธที า
ดังนนั้ แก๊สหุงตม้ ถังน้ีจะมีความเข้มขน้ ของแก๊สบวิ เทนร้อยละ................................. โดยปรมิ าตรต่อปริมาตร
3) 3) รอ้ ยละโดยมวลต่อปรมิ าตร
ร้อยละโดยมวลตอ่ ปรมิ าตร เป็นหน่วยความเขม้ ข้นท่ีบอกถงึ ปรมิ าณตวั ละลาย เป็น
กรัม ทล่ี ะลายในสารละลาย 100 ลบ.ซม. เช่น สารละลายเกลอื แกงเข้มข้นร้อยละ 20 โดย
มวลตอ่ ปริมาตร หมายความว่า สารละลายเกลือแกง 100 ลบ.ซม. มเี กลอื แกงละลายอยู่ 20 กรัม ดังนัน้ สามารถหาความเขม้ ข้น
เป็นรอ้ ยละโดยมวลตอ่ ปริมาตร จากสตู ร
ร้อยละโดยมวลต่อปรมิ าตร = ------------------------------------------------------------- x 100
ตวั อย่างท่ี 10 ละลายโซเดียมคลอไรด์ 20 กรัม ในนา้ จนไดส้ ารละลายปริมาตร 600 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร จงหาความเข้มข้น
ของสารละลายโซเดียมคลอไรด์
วิธีทา
ดงั น้นั สารละลายโซเดยี มคลอไรด์มีความเข้มขน้ ร้อยละ .............................................. โดยมวลต่อปริมาตร
ตัวอยา่ งที่ 11 เมอื่ ละลายจุนสี 7 กรัม ในน้า ไดส้ ารละลายท่มี ปี ริมาตร 250 ลูกบาศกเ์ ซนติเมตร สารละลายจุนสนี ม้ี คี วาม
เขม้ ข้นเท่าใดในหนว่ ยร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร
วธิ ีทา
ดังนั้น สารละลายจุนสีมีความเข้มขน้ ร้อยละ .................................................... โดยมวลต่อปริมาตร
ตัวอยา่ งที่ 12 การเตรียมสารละลายคอปเปอร์ (II) ซัลเฟตความเขม้ ขน้ ร้อยละ 25 โดยมวลต่อปรมิ าตร จานวน 500
ลกู บาศก์เซนตเิ มตร จะตอ้ งใช้คอปเปอร์ (I) ซัลเฟตกีก่ รัม
วิธีทา
ดังน้นั ดังนั้น ตอ้ งใชค้ อปเปอร์ (II) ซลั เฟต............................................ กรมั
ตัวอยา่ งท่ี 13 นา้ ตาลทราย 51 กรมั จะสามารถเตรียมน้าเชอ่ื มท่ีมีความเข้มขน้ ร้อยละ 17 โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร ได้มากทส่ี ดุ
กลี่ กู บาศกเ์ ซนติเมตร
วิธีทา
ดังนัน้ สามารถเติมนา้ เช่ือมไดม้ ากสดุ ............................................ ลูกบาศก์เซนตเิ มตร
การระบคุ วามเข้มข้นของสารละลายที่มีตวั ละลายน้อย
นอกจากนี้ ยงั มกี ารเตรียมสารละลายเปน็ จานวนส่วนของตัวละลายในตวั ทาละลาย ซ่ึงเปน็ หนว่ ยความเขม้ ขน้ ท่ีบอกถงึ ปรมิ าณของตวั
ละลายท่ีมีอยใู่ นตวั ทาละลาย ดงั นี้
1) ส่วนในพนั ส่วน (part per thousand: ppt) หมายถงึ สารละลายทม่ี ีตัวละลายอยู่ 1 สว่ น ในตวั ทาละลาย 1 พันสว่ น
2) ส่วนในล้านสว่ น (part per million: ppm) หมายถึง สารละลายท่ีมตี วั ละลายอยู่ 1 สว่ น ในตวั ทาละลาย 1 ลา้ นสว่ น
3) ส่วนในพนั ลา้ นสว่ น (part per billion: ppb) หมายถงึ สารละลายทมี่ ีตวั ละลายอยู่ 1 ส่วน ในตัวทาละลาย 1 พนั ล้านสว่ น
โดยความเข้มขน้ เหลา่ น้ีนิยมใช้บอกถึงปรมิ าณแกส๊ พษิ และฝนุ่ ละอองในอากาศ สารพษิ ในน้า เช่น นา้ ทใ่ี ชด้ ื่ม ไมค่ วรมสี ารตะกวั่ (Pb)
และสารหนูปน (As)เป้ือนอยู่ แตห่ ากมีสารเหล่านป้ี นเป้อื นอยตู่ ้องมปี รมิ าณไมเ่ กิน 0.05 มลิ ลกิ รัม ตอ่ นา้ 1 ลติ ร หรอื 0.05 ส่วนในล้านส่วน
ในปัจจบุ ัน มนุษย์นาสารละลายต่างๆ มาใช้ประโยชน์ ทัง้ ด้านอุปโภคบรโิ ภค ด้านการแพทย์ ด้านการเกษตร และด้าน
อุตสาหกรรม ซ่ึงสารละลายแต่ละชนดิ มสี มบัติแตกต่างกนั จึงถกู ใช้ในความเข้มขน้ ที่แตกตา่ งกนั สารละลายบางชนิด สามารถใช้ที่
ความเข้มข้นสงู แตบ่ างชนิดต้องใชท้ ค่ี วามเข้มขน้ ตา่ สารละลายทม่ี นุษยน์ ามาใชใ้ นชีวิตประจาวันมีหลายชนดิ ตวั อย่างเชน่
1. น้าสม้ สายชู เปน็ สารละลายทปี่ ระกอบด้วย น้าเป็นตวั ทาละลาย และ
.............................................. (acetic acid) เปน็ ตวั ละลาย โดยมีความเข้มข้นของ
กรดแอซีตกิ ร้อยละ 4-18 โดยปรมิ าตร ซึ่งกรดแอซีติกเปน็ กรดทไ่ี ด้จากการหมกั
แปง้ หรอื นา้ ตาลโดยใชจ้ ุลินทรีย์ มฤี ทธิก์ ดั กรอ่ น สามารถทาให้เกดิ การระคายเคือง
บริเวณเนอ้ื เยื่อตา่ งๆ ของร่างกายได้ นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์กัดกรอ่ นโลหะ พลาสติก
จึงควรบรรจุน้าสม้ สายชูไว้ในขวดแก้ว เพ่ือปอ้ งกันการกดั กรอ่ น ซึ่งทาใหเ้ กิดการ
ปนเปอื้ นของโลหะบางชนิดได้ ภาพที่ 1.58 นา้ ส้มสายชมู นี ้าเปน็ ตวั ทาละลาย
โดยปริมาตร Z 2. แอลกอฮอลล์ ้างแผล เป็นสารละลายท่ปี ระกอบดว้ ย.................................................
เป็นตวั ทาละลาย และนา้ เป็นตวั ละลาย โดยมคี วามเข้มขน้ ของ เอทิลแอลกอฮอล์.......................
สาเหตุท่ีต้องใช้สารละลายเอทลิ แอลกอฮอลท์ ีค่ วามเข้มข้นรอ้ ยละ 70 โดยปรมิ าตร เนอื่ งจาก
หากใชค้ วามเข้มข้นทส่ี งู กว่าน้ี เชน่ ความเข้มข้น ร้อยละ 91 โดยปริมาตร
หรอื เอทลิ แอลกอฮอล์บริสุทธ์ิ เม่อื สัมผัสกบั ผิวหนัง เอทิลแอลกอฮอลจ์ ะ
ระเหยอยา่ งรวดเร็ว ทาให้ระยะเวลาในการทาลายเชื้อโรคนอ้ ยเกินไป
ในขณะทส่ี ารละลายเอทิลแอลกอฮอล์ความเข้มข้นร้อยละ 70 โดยปริมาตร
จะมนี ้าชว่ ยชะลอการระเหยของเอทลิ แอลกอฮอล์ ทาให้มีระยะ เวลาใน
การทาลายเช้ือโรคทีน่ านขึน้
ภาพท่ี 1.59 แอลกอฮอลล์ า้ งแผลมเี อทลิ แอลกอฮอล์ ..แอลกอฮอลก์ เ่ี ปอร์เซนตท์ ่สี ามารถฆ่าเชอ้ื COVID-2019 ได้ !!!..
เปน็ ตวั ทาละลาย เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวถงึ กรณขี องเจลลา้ งมอื
ทม่ี สี ว่ นผสมของแอลกอฮอล์ ซง่ึ เปน็ ผลติ ภณั ฑ์ทางเลือกหนึ่งในการใชท้ า
ความสะอาดมอื เพ่อื สขุ ลักษณะท่ดี ีในการปอ้ งกันเชอื้ โควดิ -19 โดยได้มี
ประกาศกระทรวงสาธารณสขุ เรื่อง กาหนดลกั ษณะของเครื่องสาอางที่มี
สว่ นผสมของแอลกอฮอล์เพือ่ สุขอนามัยสาหรบั มือท่ีห้ามผลิต นาเข้า หรือ
ขาย พ.ศ. 2563 ทีไ่ ดล้ งเผยแพร่ในราชกจิ จานเุ บกษาและมผี ลบงั คบั ใช้ใน
วนั ท่ี 10 มีนาคม 2563 กาหนดใหผ้ ลติ ภณั ฑ์นี้เปน็ เครอื่ งสาอางและต้องมี
ความเขม้ ขน้ ของแอลกอฮอลไ์ มต่ า่ กว่า 70% โดยปริมาตร เน่ืองจากหากมี
ปริมาณแอลกอฮอล์นอ้ ยกวา่ 70% โดยปรมิ าตร จะฆา่ เช้ือโรคไม่ได้
3. น้าเกลือ เปน็ สารละลายท่ปี ระกอบด้วย นา้ เป็นตวั ทาละลาย และ............................................................เป็นตวั ละลาย
โดยน้าเกลอื ทใ่ี ช้ในทางการแพทย์จะใช้ที่ความเขม้ ขน้ แตกต่างกัน เชน่
- นา้ เกลือทม่ี คี วามเขม้ ขน้ ของโซเดียมคลอไรด์ ร้อยละ 0.9 โดยมวลต่อปริมาตร จะใชส้ าหรบั หยดหรอื ฉีดเข้าสหู่ ลอดเลอื ด
เพือ่ ปรบั สมดุลของเกลอื แร่ภายในรา่ งกาย และใช้เปน็ สารละลายสาหรับลา้ งทาความสะอาดบาดแผล
- น้าเกลอื ที่มีความเข้มขน้ ของโซเดียมคลอไรด์ ร้อยละ 15 โดยมวลตอ่ ปรมิ าตร ใช้สาหรับสวนทวารเพอ่ื เปน็ ยาระบาย หรอื
ยาแก้ท้องผูก
4. น้ายาล้างเลบ็ เป็นสารละลายที่ประกอบด้วย ......................................
เปน็ ตัวทาละลาย และนา้ เป็นตัวละลาย โดยมี ความเขม้ ขน้ ของแอซโี ตน ร้อยละ
80 โดยปริมาตร แมว้ า่ แอซีโตนจะเป็นสารเคมีที่มคี วามเปน็ พิษต่า แต่หากสูดดม
เขา้ ไปปริมาณมากจะทาให้เกิดอาการระคายเคืองของเย่ือบุทางเดินหายใจ หรอื
หากสมั ผัสกบั ผวิ หนงั หรอื ดวงตา จะทาใหเ้ กิดการระคายเคืองและการอักเสบได้
5. สารทาความสะอาด ส่วนใหญ่เปน็ สารละลายที่มีกรดเปน็ ตวั ละลาย เชน่
กรดไฮโดรคลอริก กรดซลั ฟวิ ริก เปน็ ต้น กรดเหล่าน้ีเป็นกรดแกท่ ี่มีความสามารถ
ในการกดั กรอ่ นสูงจึงเป็นอนั ตรายตอ่ ผวิ หนงั และเน้ือเยื่อต่างๆ ของรา่ งกาย ดังน้ัน
จงึ ควรระมัดระวังอย่าให้สมั ผัสกับรา่ งกาย กระเดน็ เขา้ ตา และปาก นอกจากนั้น ภาพท่ี 1.60 นา้ ยาล้างเล็บ มแี อซีโตนเป็นตัวทาละลาย
หากปลอ่ ยสารทาความสะอาดท้ิงลงสู่แหล่งน้า จะส่งผลเสียตอ่ ส่งิ มชี วี ิต และ
ส่งิ แวดลอ้ มในแหล่งน้าน้นั ๆ
• ความหมายและองค์ประกอบของสารละลาย สารละลาย (solution) หมายถึง สารเนื้อเดยี วท่ปี ระกอบด้วยธาตุ หรอื
สารประกอบต้ังแต่ 2 ชนิดขนึ้ ไปรวมตัวกัน โดยธาตหุ รือสารประกอบชนดิ หนึ่งเป็นตัวทาละลาย สว่ นอีกชนิดหนึง่ หรอื มากกว่าเปน็
ตัวละลาย ซ่งึ มเี กณฑ์พจิ ารณาตัวทาละลายและตัวละลาย ดังนี้
- หากสารอยใู่ นสถานะเดียวกนั สารทีม่ ีปรมิ าณมากกว่าเปน็ ตัวทาละลาย สว่ นสารทม่ี ปี ริมาณน้อยกวา่ เปน็ ตัวละลาย
- หากสารอยใู่ นสถานะต่างกัน เมอ่ื ผสมกันแลว้ มสี ถานะเหมือนกบั สารชนดิ ใด จะถือว่า สารน้ันเปน็ ตัวทาละลาย
สว่ นสารที่มีสถานะต่างออกไปเปน็ ตัวละลาย
• พลังงานกบั การละลายของสาร
1) กระบวนการเกดิ การละลายของสาร มี 2 ขนั้ ตอน ดังนี้
- ขัน้ ท่ี 1 สารจะดดู ความร้อนเขา้ ไปใช้แยกอนุภาคของสารออกจากกัน
- ขั้นที่ 2 คายความร้อนเมื่ออนุภาคตัวละลายรวมกบั อนภุ าคตัวทาละลาย
2) การละลายของสารจะเปน็ การดูดความร้อนหรือคายความรอ้ น ข้นึ อยู่กบั ผลต่างของพลังงานในกระบวนการเกิดการ
ละลายของสาร
• สภาพละลายได้ของสาร สภาพละลายได้ของสาร คือ ปริมาณของสารทล่ี ะลายไดใ้ นตัวทาละลาย 100 กรัม จนได้
สารละลายอิ่มตวั ที่อณุ หภมู ิและความดนั หนงึ่ ๆ การละลายของตวั ละลายขึ้นอยู่กับปจั จัยตา่ ง ๆ ดังนี้
1) อณุ หภูมิ : เม่ืออณุ หภมู ิสงู ขึ้น ตวั ละลายท่เี ป็นของแข็งและของเหลวจะละลายได้มากขึ้น แตต่ วั ละลายที่เปน็ แก๊สจะ
ละลายได้น้อยลง
2) ตัวทาละลาย (Solvent) : ตวั ทาละลายแตล่ ะชนิดจะสามารถละลายตวั ละลายแต่ละชนิดได้แตกตา่ งกัน
3) ตวั ละลาย (Solute) : ตัวละลายตา่ งกันละลายในตวั ทาละลายชนิดเดยี วกัน จะได้ต่างกนั
4) ความดัน : มผี ลตอ่ ตวั ละลายทเ่ี ปน็ แก๊ส ซ่ึงหากความดนั สงู ขึ้นจะทาใหแ้ ก๊สละลายไดด้ ีขึ้น
5) พลงั งานจลน์ สารบางชนดิ ถ้าเกิดการเคล่ือนที่จะละลายไดเ้ ร็วขึ้น เชน่ การคน การเขย่า หรอื การปั่นเหวย่ี ง
• ความเข้มข้นของสารละลาย ความเข้มข้นของสารละลาย เปน็ ค่าท่แี สดงปริมาณของตวั ละลายทล่ี ะลายอยูใ่ นตวั
ทาละลาย หรอื ในสารละลาย ดังน้ี
1) ร้อยละโดยมวลต่อมวล เปน็ หน่วยท่บี อกถึงปริมาณของตัวละลายเปน็ กรัม ที่ละลาย
ในสารละลาย 100 กรัม มีสูตรดังนี้
มวลของตัวละลาย (g)
รอ้ ยละโดยมวลตอ่ มวล = --------------------------------- x 100
มวลของสารละลาย (g)
2) ร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร เปน็ หนว่ ยท่บี อกถึงปรมิ าตรของตัวละลายเป็นลูกบาศกเ์ ซนติเมตร ที่ละลายใน
สารละลาย 100 ลูกบาศก์เซนตเิ มตร มีสตู ร ดงั น้ี
ปริมาตรของตวั ละลาย (ลบ.ซม.)
ร้อยละโดยปรมิ าตรต่อปริมาตร = ------------------------------------------------ x 100
ปรมิ าตรของสารละลาย (ลบ.ซม.)
3) รอ้ ยละโดยมวลตอ่ ปริมาตร เป็นหนว่ ยทบ่ี อกถึงปริมาณของตวั ละลายเป็นกรัม ทลี่ ะลายในสารละลาย 100 ลูกบาศก์
เซนตเิ มตร มสี ูตร ดังนี้
มวลของตัวละลาย (g)
ร้อยละโดยมวลต่อปรมิ าตร = ------------------------------------------------ x 100
ปริมาตรของสารละลาย (ลบ.ซม.)
• การใช้สารละลายในชวี ติ ประจาวัน
- น้าสม้ สายชู มีนา้ เป็นตวั ทาละลาย และกรดแอซตี ิกเป็นตัวละลาย มีความเข้มขน้ ของกรดแอซตี กิ ร้อยละ 4-18 โดย
ปริมาตร
- แอลกอฮอล์ล้างแผล มเี อทลิ แอลกอฮอล์เป็นตัวทาละลาย และน้าเป็นตวั ละลาย มีความเข้มขน้ ของเอทิลแอลกอฮอล์
รอ้ ยละ 70 โดยปรมิ าตร
- นา้ เกลอื มีนา้ เป็นตวั ทาละลาย และโซเดียมคลอไรดเ์ ป็นตัวละลาย มคี วามเข้มขน้ ของโซเดยี มคลอไรด์ร้อยละ 0.9 หรอื
ร้อยละ 15 โดยมวลตอ่ ปริมาตร ตามวตั ถุประสงค์ของการใชง้ าน
- ทนิ เนอร์ มีโทลอู ีนเป็นตัวทาละลาย และตวั ละลายประกอบด้วยเอสเทอร์ คโี ตน และแอลกอฮอล์
- นา้ ยาลา้ งเลบ็ มีแอซโี ตนเป็นตวั ทาละลาย และน้าเป็นตัวละลาย มีความเข้มขน้ ของแอซีโตนรอ้ ยละ 80 โดยปรมิ าตร
- สารทาความสะอาด มกี รดไฮโดรคลอริกหรอื กรดซลั ฟวิ ริกเป็นตวั ละลาย
- สารเคมกี าจัดศตั รูพืช มกั ถูกนามาเจือจางด้วยน้า เพอ่ื ให้ไดค้ วามเขม้ ข้นตามที่ตอ้ งการก่อนนาไปใช้
คาชแ้ี จง ให้นกั เรยี น X ลงบนขอ้ ท่ถี ูกตอ้ งทส่ี ุด
1. ถา้ สารละลายชนิดหนง่ึ มีสถานะเปน็ ของแข็ง ประกอบดว้ ย A 30% B 30% และ C 40% สารใดเปน็ ตัวละลาย
ก. A ข. B ค. C ง. A , B
2. สารในกล่มุ ใดตอ่ ไปน้ีท่ีแตกตา่ งไปจากกลมุ่ อ่นื
ก. อากาศ แก๊ส LPG นา้ เกลอื ข. เหล็ก ทองแดง สงั กะสี
ค. เหรียญบาท เหล็กกล้า ทองสาริด ง. น้าอดั ลม แอลกอฮอล์ลา้ งแผล ทงิ เจอรไ์ อโอดีน
3. ทงิ เจอร์ไอโอดีนประกอบด้วยไอโอดนี โพแทสเซยี มไอโอไดด์ และเอทานอล สารใดเป็นตวั ทาละลาย
ก. เอทานอล ข. ไอโอดีน ค. โพแทสเซียมไอโอไดด์ ง. ไอโอดีนและโพแทสเซียมไอโอไดด์
4. สารละลายโพแทสเซยี มไอโอไดดเ์ ขม้ ข้น 7% โดยมวลต่อปริมาตร หมายความวา่ อย่างไร
ก. ในสารละลาย 100 กรมั มีโพแทสเซยี มไอโอไดด์อยู่ 7 กรัม
ข. ในสารละลาย 100 cm3 มโี พแทสเซียมไอโอไดด์อยู่ 7 กรมั
ค. ในสารละลาย 100 cm3 มโี พแทสเซียมไอโอไดด์อยู่ 93 กรัม
ง. ในสารละลาย 100 cm3 มโี พแทสเซียมไอโอไดด์อยู่ 7 cm3
5. ขอ้ ใดถูกต้อง
ก. สารชนดิ หนึ่งมีความสามารถละลายได้เทา่ กนั ในทุกตวั ทาละลาย
ข. สารต่างชนิดกนั ละลายในตวั ทาละลายเดียวกันไดเ้ ทา่ กัน
ค. ความสามารถในการละลายไม่ใชส่ มบตั ิของสาร
ง. สารละลายทม่ี ีตวั ละลายมากเต็มทจ่ี นไม่สามารถละลายในตวั ทาละลายได้อีกแล้ว เปน็ สารละลายอ่มิ ตวั ณ อุณหภมู นิ ้นั
6. เกลอื แกง 120 กรัม ละลายในนา้ 360 กรัม สารละลายนา้ เกลือมคี วามเขม้ ข้นร้อยละเท่าไร โดยมวลต่อมวล
ก. 10 ข. 20 ค. 25 ง. 30
7. สาร A สามารถละลายในนา้ ได้ 15 กรัม แตเ่ มื่อนาไปต้ม สาร A ละลายได้เพมิ่ ขนึ้ เป็น 25 กรมั และก็ไมส่ ามารถละลายได้อีก
เราเรยี กสารละลาย A น้ีว่าอย่างไร
ก. สารละลายอ่ิมตัว ข. สารละลายเขม้ ขน้ ค. สารละลายเจอื จาง ง. สารละลายไมอ่ ม่ิ ตวั
8. ขอ้ ใดไม่สง่ ผลตอ่ ความสามารถในการละลายของสาร
ก. ความดัน ข. อุณหภมู ิ ค. ความหนาแนน่ ง. ชนิดของตวั ทาละลายและตวั ถกู ละลาย
9. แอลกอฮอล์ 80% โดยปริมาตรต่อปริมาตร มีความหมายตรงกับขอ้ ใด
ก. สารละลายน้นั 100 cm3 มเี อทลิ แอลกอฮอลอ์ ยู่ 80 cm3
ข. สารละลายนัน้ 100 กรมั มีเอทิลแอลกอฮอลอ์ ยู่ 80 กรัม
ค. สารละลายน้นั 100 cm3 มเี อทิลแอลกอฮอล์อยู่ 80 กรมั
ง. สารละลายนน้ั 100 กรมั มีเอทิลแอลกอฮอล์อยู่ 80 cm3
10. ขอ้ ใดจดั เปน็ การพสิ ูจนว์ ่าสาร x กบั สาร y มคี วามสามารถในการละลายในของเหลว z ได้ดีกว่ากัน
ก. ใชข้ องเหลว Z ปรมิ าณเท่ากนั ทอี่ ุณหภูมเิ ดียวกัน ข. ใช้ของเหลว Z ปรมิ าณเทา่ กนั ท่ีอณุ หภูมิต่างกนั
ค. ใชส้ าร x และ y ปรมิ าณเทา่ กนั ทอี่ ุณหภมู ิต่างกัน ง. ใชส้ าร x และ y ปรมิ าณเทา่ กันทีอ่ ุณหภูมิเดยี วกนั
11. การใส่เกลอื เติมลงในหม้อต้มแกง 1 ชอ้ น ขอ้ ใดท่ีมผี ลทาให้อัตราการละลายเพม่ิ ข้ึน
ก. ลดเปลวไฟให้อ่อนลง ข. ใชห้ ม้อต้มขนาดใหญ่ขนึ้
ค. การเติมเกลือแกงมากขนึ้ ง. การคนน้าแกงให้เร็วข้นึ
12. สารโพแทสเซียมคลอไรด์ มคี วามสามารถละลายได้ 80 กรัม ในนา้ 100 กรมั ท่ีอณุ หภมู ิ 60 °C โพแทสเซยี มคลอไรด์
จะละลายไดจ้ านวนกี่กรัมในน้า 25 กรมั เพ่ือใหไ้ ดส้ ารละลายอมิ่ ตวั ที่อณุ หภูมิ 60 °C
ก. 80 กรัม ข. 40 กรมั ค. 20 กรมั ง. 10 กรัม
13. สารในข้อใดมีความเข้มขน้ มากทสี่ ดุ
ก. สาร K หนัก 30 g ละลายในน้า 250 cm³ ข. สาร C หนัก 35 g ละลายในน้า 350 cm³
ค. สาร J หนัก 45 g ละลายในน้า 300 cm³ ง. สาร A หนัก 25 g ละลายในนา้ 150 cm³
14. ผสมกรดซลั ฟิวริก 4 cm³ ในนา้ 16 cm³ จะไดส้ ารละลายกรดซัลฟวิ ริกเข้มขน้ เท่าใด
ก. เขม้ ขน้ 16 % โดยปริมาตรต่อปริมาตร ข. เข้มข้น 15 % โดยปรมิ าตรตอ่ ปริมาตร
ค. เข้มขน้ 20 % โดยปรมิ าตรต่อปริมาตร ง. เข้มข้น 25 % โดยปริมาตรตอ่ ปริมาตร
15. การพิจารณาว่าสารใดเปน็ ตวั ทาละลายหรอื ตัวถูกละลายเม่ือสารอยู่ในสถานะเดียวกันจะใช้เกณฑ์ตามข้อใด
ก. สารที่มรี าคาถูกกว่าเปน็ ตวั ทาละลาย ข. สารที่มปี รมิ าณน้อยกว่าเปน็ ตัวทาละลาย
ค. สารท่ีมีปรมิ าณมากกว่าเปน็ ตัวทาละลาย ง. สารทมี่ สี ีเขม้ กวา่ เป็นตัวทาละลาย
16. พิจารณาวา่ ข้อความใดถกู ต้องทีส่ ุดเกี่ยวกับการละลายของแกส๊ X ในนา้
ก. แก๊สจะละลายได้มากขนึ้ เม่ืออุณหภูมิสูงและความดนั สงู ข. แก๊สจะละลายได้มากขนึ้ เม่ืออณุ หภมู ติ ่าและความดนั สงู
ค. แก๊สจะละลายได้มากขน้ึ เม่ืออุณหภมู ิสงู และความดันตา่ ง. แก๊สจะละลายได้มากขึ้นเม่ืออุณหภูมติ ่าและความดนั ต่า
17. จากขอ้ มลู ต่อไปนี้ พจิ ารณาวา่ สารใดบา้ งท่เี ป็นตวั ถกู ละลาย
1) สาร A 10 กรัม ผสมกบั สาร B 5 กรัม
2) สาร C 20 กรัม ผสมกบั สาร D 40 กรัม
3) สาร X 10 ลบ.ซม. ผสมกบั สาร Y 15 ลบ.ซม.
ก. สาร A , C และ X ข. สาร B , D และ Y ค. สาร B , C และ X ง. สาร B , C และ Y
18. เมอ่ื นาเกลือแอมโมเนยี มคลอไรดล์ ะลายนา้ จะสงั เกตเห็นวา่ ขณะละลายสารละลายจะมีอุณหภูมติ า่ ลง ข้อใดสรุปไดถ้ ูกต้อง
ก. ถ้าเพิ่มความร้อนให้สูงขน้ึ การละลายของเกลอื แอมโมเนยี มคลอไรด์จะต่าลง
ข. การละลายของเกลอื แอมโมเนยี มคลอไรดน์ ้ัน จะมีการคายความรอ้ นสู่ส่งิ แวดลอ้ ม
ค. การละลายของเกลอื แอมโมเนียมคลอไรด์นนั้ จะมีการดูดความร้อนจากส่งิ แวดล้อม
ง. การละลายของสารไมน่ ่าจะมีความร้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะไมม่ ีการเปล่ยี นสถานะ ดังนั้นท่ีอุณหภูมขิ องสารละลาย
ตา่ ลง น่าจะเปน็ เพราะอุณหภมู หิ อ้ งต่าลงน่นั เอง
คะแนนเต็ม 18
คะแนนท่ีได้ ...............................
ผ้ตู รวจ
การทดสอบหลังเรียนเป็นการวัดผลสมั ฤทธ์ิว่า เม่ือนกั เรียนศึกษาแล้วมคี วามรู้ความเข้าใจในเน้ือหาเพียงใด
• ถ้าได้คะแนนน้อยกว่า 9 ข้อ ไม่ต้องเสยี ใจ ขอให้นักเรยี นเรมิ่ ศกึ ษาเน้อื หาใหม่ตั้งแต่ตน้ อีกครง้ั
• ถ้าได้คะแนน 9-13 ข้อ แสดงว่า นักเรียนผา่ นเกณฑ์ใหศ้ ึกษาเร่ืองต่อไป
• ถ้าได้คะแนน 14-18 ข้อ แสดงว่า นกั เรียนผา่ นเกณฑ์และอยู่ในระดับดเี ยี่ยม ให้ศึกษาเรือ่ งตอ่ ไปไดแ้ ละ
ใหร้ ักษามาตรฐานทด่ี เี ยี่ยมไว้....จ้า
ในชวี ิตประจาวันและกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์จะมีปฏิกริ ิยาเคมีเกดิ ขึ้นเสมอ และเก่ียวข้องกับมนุษย์ สตั ว์ พืช รวม ท้ัง
สง่ิ แวดล้อม เชน่ การหายใจ การผกุ ร่อนของโลหะ การผกุ รอ่ นของภูเขา การเกดิ หินงอกหนิ ย้อย การผกุ ร่อนของอาคารบ้านเรือน
การเผาไหม้ของเชื้อเพลงิ ซึง่ ทาให้เกดิ ฝนกรดและมผี ลกระทบเชิงลบตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม ปฏกิ ริ ยิ าการสะเทินระหว่างกรดและเบส
ท่เี ก่ียวข้องกบั ชวี ติ ประจาวนั ของมนุษย์ การได้ศึกษาสาเหตุทท่ี าใหเ้ กิดปฏิกิรยิ าเคมี รวมทง้ั ประโยชน์และการป้องกนั อนั ตรายจาก
ปฏิกริ ยิ าเคมบี างชนดิ เพ่ือใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อตนเองและสงิ่ แวดล้อม คำสำคญั
- ปฏกิ ิรยิ าดดู ความรอ้ น
- ปฏิกิริยาคายความรอ้ น
- สมดุลเคมี
- สมการเคมี
1. อธบิ ายการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี รวมถงึ การจัดเรียงตัวใหม่ของอะตอมเม่ือเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยใช้แบบจาลองและสมการข้อความ
2. วเิ คราะห์ปฏกิ ิรยิ าดูดความรอ้ น และปฏิกริ ยิ าคายความรอ้ น จากการเปลี่ยนแปลงพลงั งานความร้อนของปฏิกริ ยิ า
3. อธิบายปฏิกิรยิ าการเกดิ สนมิ ของเหล็ก ปฏิกิรยิ าของกรดกับโลหะ ปฏกิ ิรยิ าของกรดกับเบส และปฏิกริ ิยาของเบสกับโลหะ
โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ และอธิบายปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิดฝนกรด การสงั เคราะห์ด้วยแสง โดยใชส้ ารสนเทศ
รวมทั้งเขียนสมการข้อความแสดงปฏิกริ ิยาดังกล่าว
4. ระบุประโยชนแ์ ละโทษของปฏิกิริยาเคมี ทีม่ ตี ่อสิง่ มชี วี ิตและส่งิ แวดล้อม และยกตวั อยา่ งวธิ กี ารปอ้ งกันและแก้ปญั หาทเี่ กิดจาก
ปฏิกริ ยิ าเคมที ่พี บในชีวิตประจาวนั จากการสบื คน้ ขอ้ มูล
5. ออกแบบวธิ แี กป้ ัญหาในชวี ิตประจาวนั โดยใชค้ วามรู้เก่ยี วกบั ปฏิกิริยาเคมี โดยบรู ณาการวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
เทคโนโลยี และวศิ วกรรมศาสตร์
จงพจิ ารณาข้อมูลตอ่ ไปนี้ โดยเขียนเครื่องหมาย / ลงในช่องว่างทนี่ กั เรยี นเหน็ ว่าเกิดปฏกิ ิริยาเคมี
1. บีบน้ามะนาวลงบนพื้นหอ้ งน้า 2. การละลายของน้าตาลทราย
3. ไฟไหม้ป่า 4. การเกดิ หินงอกหินย้อย
5. การจุดพลุ 6. การเปลย่ี นสถานะของสาร
7. การใช้น้ายาลา้ งหอ้ งน้าล้างห้องน้า 8. การทานยาลดกรด
9. การหัน่ เน้ือหมูเป็นชิ้นเล็ก 10. การระเหิดของลกู เหมน็
ปฏกิ ริ ยิ าเคมี หมายถงึ ……………………........................................………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
….เรียกสสารก่อนการเกดิ การเปลย่ี นแปลงว่า…………......….......….(Reactant) และเขียนสารใหมท่ เ่ี กิดขึ้นว่า………….......…….
(Product) การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมีจะมี…………………….……เขา้ มาเกีย่ วข้องดว้ ยเสมอ เช่น
- โลหะโซเดยี ม (Na) ทาปฏกิ ิริยากับน้า (H2O) ไดส้ ารใหม่ คือ โซเดียมไฮดรอกไซด์
(NaOH) กับแกส๊ ไฮโดรเจน (H2)
- การเผาไหม้ของลกู เหมน็ (C10H8) ได้สารใหม่ คือ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) กับนา้
คาชแ้ี จง ให้นกั เรียนเขยี นตวั อย-่างป(กฏHาิก2รOิรเกยิ)ดิาเสคนมิมที เหพ่ี ลบ็กในสชาีวรใิตหปมร่ทะเ่ีจกาิดวขนั ึน้ คโดือยอยอกกตไวั ซอดย์ข่าองงมเหาล1็ก0 ปฏิกริ ิยา
ในขณะทเ่ี กิดปฏิกิริยาเคมี นอกจากเกดิ สารใหม่แลว้ ยงั อาจเกดิ การเปลย่ี นแปลงอ่นื ๆ ดว้ ย เชน่ ได้พลังงาน พลุ ดอกไม้
ไฟทั้งทมี่ เี สียง และบางอยา่ งมแี สงสสี วยงาม ล้วนเป็นผลจากปฏิกริ ยิ าเคมีทงั้ สิน้ ซ่ึงปฏิกริ ิยาเคมีนน้ั ยังแบง่ ได้เป็นประเภทดดู
พลงั งานหรือคายพลงั งานก็ได้ เมือ่ ใช้การเปลยี่ นแปลงพลังงานระหว่างระบบกบั สง่ิ แวดลอ้ มเปน็ เกณฑ์ จะจาแนกประเภทของ
ปฏิกริ ิยาเคมีได้เป็น 2 ประเภทดงั น้ี
ปฏิกริ ิยาเคมี
ปฏิกิริยาดูดความรอ้ น ปฏิกิริยาคายความร้อน
(Exothermic reaction) (Endothermic reaction)
จดเพิม่ เตมิ …
การเปลี่ยนแปลงของสาร เช่น การเปลี่ยนสถานะ การละลาย การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี ลว้ นมีพลงั งานมาเกีย่ วขอ้ ง นักเรยี น
ทราบหรอื ไมว่ า่ พลังงานเกย่ี วขอ้ งกับการเปล่ยี นแปลงของสารอยา่ งไร ในชวี ิตประจาวันมีปฏิกิรยิ าเคมีเกิดขึ้นมากมาย นักเรยี น
ทราบหรือไม่ว่า ขณะเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีมีการเปลี่ยนแปลงพลงั งานหรอื ไม่ อยา่ งไร
ปฏบิ ตั ิการท่ี 3 เรอ่ื ง การเปลีย่ นแปลงพลงั งานเม่ือเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
1. ขน้ั สรา้ งความสนใจ (Engagement)
คาชแี้ จง ใหน้ กั เรียนแต่ละกลุ่มตกั สารโพแทสเซยี มเปอร์แมงกาเนต (ดา่ งทับทิม)
กลุ่มละ 3 ชอ้ น ลงในถว้ ยกระเบื้อง จากนัน้ นาสาลีทชี่ บุ ดว้ ยแอลกอฮอล์
(C2H5OH) วางลงในถว้ ยกระเบ้ืองบนดา่ งทบั ทิม ตอ่ มาให้นักเรียนหยดสารละลาย
กรดซัลฟวิ ริก (H2SO4) จานวน 2-3 หยด ให้นกั เรยี นสังเกตผลการทดลอง และ
ตอบคาถามต่อไปน้ี
ตอบคาถาม ภาพท่ี 1.61 โพแทสเซยี มเปอร์แมงกาเนต
1. การทดลองนเ้ี กดิ ปฏิกริ ิยาเคมีหรือไม่ ........................................................อ..บ...ข..อ..ง.น...า้ ...(.H.₂...O..)..ค...ือ...H...แ..ล..ะ...O..................................
2. หากการทดลองนี้เป็นปฏิกริ ิยาเคมี จดั เปน็ ประเภทดูดความร้อนหรอื คายความร้อน ..........................................................
3. หากการทดลองน้เี ป็นปฏิกิริยาเคมี สารต้งั ต้นของปฏกิ ริ ยิ านคี้ อื อะไรบา้ ง ...........................................................................
............................................................................................................................................................................................................
2. ขน้ั สารวจและค้นหา (Exploration)
คาช้ีแจง ให้นักเรียนศึกษาการเปลีย่ นแปลงพลงั งานเมอื่ เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี
วตั ถุประสงค์ 1. ต้งั สมมตฐิ านจากปญั หาท่ีกาหนดให้ได้
2. เพอ่ื วิเคราะห์ปฏิกริ ิยาดดู ความร้อน และปฏิกิริยาคายความร้อน จากการเปลย่ี นแปลงพลังงานความ
รอ้ นของปฏกิ ริ ยิ า
ปญั หาการทดลอง ......................................................................................................................................................................
สมมติฐานการทดลอง คือ .................................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
สารเคมีและอปุ กรณ์การทดลอง
1) สารเคมี
1.1 โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต (ด่างทบั ทิม) 1.2 แคลเซยี มไฮดรอกไซด์ (ปูนขาว)
1.3 น้าตาลทราย 1.4 แอมโมเนียมคลอไรด์
1.5 นา้ กลั่น
2) อุปกรณ์การทดลอง
2.1 บกี เกอร์ขนาด 50 cm3 4 ใบตอ่ กลมุ่ 2.1 ชอ้ นตักสาร
2.2 แทง่ แก้วคนสาร 2.4 หลอดหยด
วิธีทาการทดลอง
1. ผสมนา้ ตาลทราย 3 ชอ้ น และโพแทสเซยี มเปอร์แมงกาเนต (KMnO4) 3 ชอ้ น ลงในบีกเกอร์ขนาด 50 cm3 ใช้แท่งแก้ว
คนใหผ้ สมกัน
2. หยดน้ากลนั่ 10 - 15 หยดลงในของผสมจากขอ้ 1 แลว้ สังเกตการเปล่ียนแปลงและบันทึกผล
3. ผสมแอมโมเนียมคลอไรด์ (NH4CI) 3 ชอ้ น และแคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Ca(OH)2) 3 ช้อน ลงในบกี เกอร์ขนาด 50 cm3
หยดน้ากลัน่ ลงไป 10-15 หยด จากน้ันใช้แทง่ แกว้ คนให้ผสมกัน สังเกตการเปลี่ยนแปลงและบันทึกผล
ตารางบนั ทึกผลการทดลอง
ตารางที่ 11 การเปล่ียนแปลงท่ีสงั เกตได้จากปฏกิ ริ ิยาระหว่างนา้ ตาลทรายกบั โพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต และปฏิกิรยิ าระหวา่ งแอมโมเนยี ม-
คลอไรด์กบั แคลเซียมไฮดรอกไซด์
การทดลอง การเปลี่ยนแปลงท่ีสงั เกตได้ การสัมผัสด้านขา้ งภาชนะ
1. ผสมน้าตาลทรายกับโพแทสเซยี มเปอรแ์ มงกาเนต
คนให้ผสมกัน แล้วหยดนา้ 10-15 หยด
2. ผสมแอมโมเนียมคลอไรด์กับแคลเซยี มไฮดรอก
ไซด์ แล้วหยดนา้ 10-15 หยด คนให้ผสมกัน
3. ขน้ั อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation)
สรุปผลการทดลอง
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................................................
คาถามท้ายกิจกรรม
1. การเปลีย่ นแปลงของสารท้ัง 2 การทดลอง เกิดปฏกิ ิริยาเคมหี รอื ไม่ ทราบได้อย่างไร
......................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
2. การเปลยี่ นแปลงของสารในกิจกรรมนี้ มีการเปลี่ยนแปลงพลงั งานหรือไม่ อยา่ งไร
.............................................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................ .............................................................................
3. ปฏกิ ิริยาระหวา่ งนา้ ตาลทรายและโพแทสเซียมเปอรแ์ มงกาเนต มีการเปลยี่ นแปลงพลังงานแบบใด
........................................................................................................................................................ .....................................................
4. ปฏิกิริยาระหว่างแอมโมเนยี มคลอไรด์และแคลเซียมไฮดรอกไซด์ มกี ารเปลีย่ นแปลงพลงั งานแบบใด
.............................................................................................................................................................................................................
5. จงยกตัวอยา่ งปฏิกริ ยิ าเคมใี นชวี ติ ประจาวนั มา 2 ปฏิกิริยา พร้อมทั้งระบดุ ว้ ยว่าเป็นปฏิกริ ยิ าเคมี แบบดูดความร้อน หรือ
แบบคายความร้อน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
4. ขั้นขยายความรู้ (Elaboration)
ปฏกิ ริ ยิ าดดู ความร้อนและคายความร้อน
1. ปฏิกิริยาดดู ความร้อน ( Endothermic reaction) เปน็ ปฏกิ ิรยิ าท่ีดูดพลังงานเขา้ ไปสลายพนั ธะมากกวา่
พลังงานท่ีคายออกมาเพ่ือสร้างพันธะ โดยในปฏกิ ิริยาดูดความรอ้ นน้ีสารตง้ั ตน้ จะมีพลังงานต่ากวา่ ผลิตภัณฑ์ จึงทาให้
สงิ่ แวดล้อมเย็นลง อุณหภมู ลิ ดลง เมอื่ เอามือสมั ผสั ภาชนะจะรูส้ ึกเยน็
ภาพที่ 1.62 การเปล่ยี นแปลงพลังงานของปฏิกิริยาดดู ความร้อน
ทีม่ า : https://sites.google.com/site/scienceroombymint/ptikiriya-dud-khwam-rxn-laea-khay-khwam-rxn
อบของน้า (H₂O) คือ H และ O
2. ปฏิกริ ยิ าคายความร้อน ( Exothermic reaction) เปน็ ปฏิกริ ิยาท่ีดดู พลังงานเข้าไปสลายพนั ธะน้อยกว่า
พลังงานที่คายออกมาเพ่ือสร้างพันธะ โดยในปฏิกิริยาคายความรอ้ นน้ีสารตั้งตน้ จะมีพลังงานสูงกวา่ ผลติ ภณั ฑ์ จึงให้
พลังงานความร้อนออกมาส่สู ่ิงแวดลอ้ ม ทาให้อุณหภูมิสงู ขน้ึ เมื่อเอามือสมั ผสั ภาชนะจะรู้สกึ ร้อน
ภาพท่ี 1.63 การเปลยี่ นแปลงพลังงานของปฏิกริ ิยาคายความร้อน
ที่มา : https://sites.google.com/site/scienceroombymint/ptikiriya-dud-khwam-rxn-laea-khay-khwam-rxn
อบของน้า (H₂O) คอื H และ O
5. ขน้ั ประเมินผล (Evaluation)
คาชแ้ี จง ให้นกั เรียน X ลงบนข้อทถ่ี ูกตอ้ งทส่ี ุด
1. จากการเปลย่ี นแปลงตอ่ ไปน้ี
A. แนฟทาลีน (ของแข็ง) แนฟทาลนี (แกส๊ ) B. แกส๊ ไฮโดรเจน + แก๊สออกซิเจน - นา้
C. แก๊สไนโตรเจน + แกส๊ ไฮโดรเจน แก๊สแอมโมเนยี
ขอ้ ใดจัดเป็นการเปลยี่ นแปลงทางเคมีบา้ ง
ก. A และ B ข. B และ C ค. A และ C ง. A B และ C
พจิ ารณาการเปล่ียนแปลงตอ่ ไปนี้แล้วตอบคาถามข้อ 2-3
A. การเผาไหม้ของเช้ือเพลงิ B. เทโซเดยี มไฮดรอกไซดล์ งในน้าแล้วอุณหภมู สิ งู ข้นึ กวา่ เดิม
C. เทสาร D รวมกบั สาร E ได้สาร F เมอื่ จบั ดรู ู้สกึ เยน็ กว่าเดิม
2. ข้อใดเป็นปฏกิ ริ ยิ าเคมีแบบคายความร้อน
ก. A ข. B ค. C ง. A และ B
3. ข้อใดเปน็ ปฏิกิรยิ าเคมีแบบดูดความร้อน
ก. A ข. B ค. C ง. A และ B
ภาพท่ี 1.64 ปฏิกิรยิ าเคมจี ากการจดุ พลุ ภาพที่ 1.65 การเกดิ หินงอกหนิ ย้อย ภาพท่ี 1.66 ปฏิกิรยิ าการเผาไหม้
ปฏิกริ ยิ าท่พี บเห็นในชีวติ ประจาวนั ส่วนใหญ่เกดิ จากปฏกิ ิรยิ าระหว่างสารกบั ออกซิเจน เช่น การเกดิ สนมิ ไฟไหม้
การกัดกร่อน เป็นต้น
หลงั จากการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมีอะตอมทงั้ หมดของสารต้ังต้นไมม่ ีการสูญหายไปไหนแตเ่ กิดการเปลี่ยนจากสารหนงึ่ ไปสู่อีก
สารหนงึ่ ซงึ่ จะเหน็ ไดจ้ ากผลรวมของอะตอมของสารตั้งต้นจะเทา่ กับผลรวมของอะตอมของผลติ ภณั ฑ์ เราเรียก…….............…………
ตัวอยา่ ง เชน่ เมอ่ื จุดเทียนบนขนมเค้กวันเกิด ข้ีผ้งึ จากเทียนจะทาปฏิกิริยากบั ออกซิเจนในอากาศเรยี กการเกิดปฏกิ ริ ิยาน้วี า่
……………................…………………..(Oxidation)
…………………………………………………………………………. = ……………………………………………………………………………
สมดุลของปฏกิ ิริยาเคมี
ดังนัน้ สมดลุ เคมีจะได้
ตามที่ทราบแลว้ ว่าเมอื่ สารเกิดการเปล่ียนแปลงไปเปน็ สารใหม่สมบัตติ า่ งไปจากสารเดิม เราเรียกว่า “การเกดิ ปฏิกิริยาเคมี”
ซึ่งสามารถเขยี นสมการแสดงการเกดิ ปฏิกิริยาของสารได้ การเขยี นสมการเคมีแสดงปฏกิ ิรยิ าท่ีเกดิ ขนึ้ มีส่วนประกอบดังน้ี
1. …………………..………..(Reactant) หมายถงึ สารที่มอี ย่เู ดมิ หรือสารทน่ี ามาทดลอง เขียนแทนดวั ยสญั ลกั ษณ์ หรอื
สตู รเคมี ถ้ามีมากกว่า 1 สารให้ใช้เครื่องหมาย……………… ค่ันระหว่างสาร
2. ………………....…………( ) เขียนตอ่ จากลูกศรของสารตงั้ ตน้ แสดงถงึ การเปลย่ี นแปลงมี 2 ลักษณะ ดังนี้
แสดงการเปลยี่ นแปลง…….............………………..
แสดงการเปล่ียนแปลง…………….............………..
สาหรบั การศกึ ษาในระดับนส้ี ่วนใหญ่จะใช้ลูกศรแสดงการเปลยี่ นแปลงไปข้างหน้า
3. ………………….………….(product) เขยี นต่อจากลูกศรหรืออยูท่ างขวามอื ของลูกศร เขยี นแสดงผลิตภณั ฑด์ ว้ ยสตู ร หรอื
สัญลักษณ์ ถา้ มมี ากกว่า 1 สารจะใช้เครอ่ื งหมาย + ค่ันระหว่างสาร ดังนน้ั สมการจะมีส่วนประกอบโดยสรปุ ดังน้ี
…………….............……. ………….................…….
4. ใหร้ ะบุสถานะของสารไวห้ ลังสตู ร โดยเขยี นไว้ในวงเลบ็ ดงั นี้
(S) =……………………………..(solid)
(l) = ……………………..…….(liquid)
(g) =……………………….……..(gas)
(aq) = ........................................................................................... (aqueous solution)
5. ดุลสมการ โดยทาจานวนอะตอมของธาตุทุกธาตุทางซ้ายใหเ้ ทา่ กบั จานวนอะตอมของธาตทุ กุ ธาตทุ างขวาของสมการ
โดยนาตวั เลขไปเตมิ หน้าสตู ร
6. ตรวจสอบความถูกต้อง
การดลุ สมการ (balancing equation) เปน็ การทา……………................………….……………………………................
……………………………………ในระดบั ชั้นนใี้ ชว้ ิธีการดลุ สมการแบบตรวจพนิ ิจ คือนับจานวนอะตอมของแตล่ ะธาตุของสารตัง้ ตน้ และ
ผลติ ภณั ฑ์ แล้วหาตวั เลขไปเตมิ หน้าสูตรหรอื สญั ลกั ษณ์ เพ่ือให้จานวนอะตอมของธาตุทางซ้ายและขวาของแตล่ ะธาตุเทา่ กนั
ตวั อยา่ ง เผาโลหะแคลเซียม (Ca) โลหะแคลเซียมจะทาปฏิกิริยากบั แก๊สออกซิเจน (O₂) ในอากาศ ได้แคลเซียมออกไซด์ (CaO)
เขียนเปน็ สมการ Ca(s) + O₂(g) CaO(s)
สมการท่ดี ุลแล้วเปน็ ดงั น้ี
ลองดลุ สมการ...ดนู ะ!!!
1. Na(s) + O2 (g) Na2O (s)
................................................................................................................................................................................
2. Zn(s) + HCl (aq) ZnCl2(aq) + H2 (g)
................................................................................................................................................................................
3. HBr (aq) + Mg(OH)2 (aq) MgBr2 (s) + H2O (l)
................................................................................................................................................................................
ปฏกิ ริ ยิ าเคมีเกิดขนึ้ จากสารตงั้ ต้นเขา้ ทาปฏิกริ ยิ ากันเกดิ เป็นสารผลิตภัณฑ์ตา่ งชนิดกนั ผลิตภณั ฑท์ ี่ไดม้ ีทั้งประโยชน์และโทษ
รอบตวั เรานั้นมีปฏิกิรยิ าเคมีเกิดขน้ึ มากมาย แม้กระทั่งการดารงชีวิตอยูไ่ ดข้ องเรากเ็ กิดจากปฏกิ ริ ิยาชีวเคมีภายในร่างกาย ดงั น้ัน
ปฏกิ ริ ิยาเคมจี ึงมคี วามสาคัญ ปฏกิ ริ ิยาเคมีที่พบเห็นทวั่ ไป เชน่ การเกิดฝนกรด ปฏิกิรยิ าการเผาไหม้ ปฏกิ ิริยาการเกดิ สารประกอบ
ออกไซดข์ องโลหะและออกไซด์ของอโลหะ ปฏิกิรยิ าระหว่างโลหะกับกรด ปฏกิ ิริยาระหว่างกรดกับสารคารบ์ อเนต ปฏิกิรยิ า
ระหว่างกรดกับเบส
คาชี้แจง จงเลอื กตวั อักษรหน้าข้อความทางขวามือมาเติมลงในช่องวา่ งหนา้ ข้อความทางซ้ายมอื ที่มคี วามสัมพันธก์ นั
1............การเกดิ หนิ งอกหนิ ย้อย ก. ปฏิกิริยาระหว่างกรดกบั โลหะ
2............การเทนา้ ยาล้างหอ้ งนา้ ลงบนพืน้ ข. ปฏกิ ิริยาระหว่างกรดกับเบส
3............การทานยาลดกรดในกระเพาะ ค. ปฏิกริ ิยาระหว่างกรดกับคาร์บอเนต
4............การเกดิ สนิมที่รว้ั บา้ น ง. ปฏิกิริยาการเผาไหม้
5............ตะเกยี งแอลกอฮอล์ติดไฟ จ. ปฏิกริ ิยาการสังเคราะห์ดว้ ยแสง
6............ใบไมก้ างใบออกเพ่ือรบั แสง ฉ. ปฏิกิรยิ าระหวา่ งโลหะกับแกส๊ ออกซิเจน
1. ปฏกิ ิรยิ าการเผาไหม้ (combustion reaction) คำสำคญั
เปน็ ปฏกิ ิรยิ าระหว่าง……………......................................………..… - การเกดิ สนิมของเหลก็ - ปฏิกริ ิยาของกรดกบั โลหะ
และให้สารใหม่และพลังงานความร้อน เชน่ ไฟไหมป้ ่า เชื้อเพลงิ คือ - ปฏกิ ริ ิยาของกรดกับเบส - ปฏิกิรยิ าของเบสกบั โลหะ
ไมใ้ นปา่ ทาปฏิกริ ิยากบั แกส๊ ออกซเิ จน ผลผลติ คือ……………………….. - ปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้ - การสังเคราะห์ด้วยแสง
...................……………………………………....................................……..…. - การเกดิ ฝนกรด - ปฏิกิรยิ าระหว่างกรดกับคารบ์ อเนต
1) C(s) + O₂(g) CO₂(g) + ความรอ้ น
2) 2CH₃OH(l) + 3O₂(g) 2CO₂(g) + 4H₂O (g) + ความร้อน
ภาพท่ี 1.67 ปฏกิ ิริยาการเผาไหมเช้ือเพลงิ ในปา่ ภาพที่ 1.68 การเผาไหมเชอื้ เพลงิ เมทานอล
2. ปฏิกิรยิ าระหว่างโลหะกบั ออกซิเจน
ออกซเิ จนเป็นสารท่ีมปี ฏิกิรยิ าว่องไวมาก โลหะส่วนใหญ่จะรวมกบั ออกซิเจน ใน
อากาศเกิดเป็น………….......……….การเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเชน่ น้ีเรียกว่า……………………………..….…
ตัวอยา่ ง เช่น การข้ึนสนิมทเี่ รียกว่า……………….......................………….ซ่งึ เป็นสารประกอบทเ่ี ราไม่ต้องการ สนิมจะเกดิ ขึ้นในทที่ ี่มี
อากาศชืน้ โดยธาตุเหลก็ จะถูกกัดกร่อน โดยรวมตัวกบั ธาตุ……………………….................……
แผนภาพขา้ งล่างแสดงสมดลุ ของปฏกิ ริ ิยาเคมี โดยมวลรวมก่อนเกิดปฏกิ ริ ิยาจะเทา่ กบั มวลรวมหลงั เกดิ ปฏิกิรยิ า โดยที่
อะตอมจะมาเรยี งตวั กนั ใหม่
ภาพที่ 1.69 การทาปฏิกิริยาระหวา่ งโลหะกับออกซเิ จน
ตัวอย่าง เผาโลหะโซเดยี ม (Na) ในอากาศ โซเดียมจะทาปฏิกิริยากบั ออกซเิ จน (O₂) ได้โซเดยี มออกไซด์ซ่งึ มีสถานะเป็นของแขง็
เขียนสมการไดด้ ังนี้
ดลุ สมการ Na(s) + O₂(g) Na₂O(s)
…........…..(s) + ….……….(g) …………….(s)
3. ปฏิกริ ิยาระหวา่ งโลหะกับกรด
โลหะทใี่ ช้เปน็ เครอ่ื งมือและเครื่องใช้ เชน่ ตะปเู หลก็ มดี จอบ หลังคา สงั กะสี เมื่อถกู กรดจะเกดิ การทาปฏกิ ิรยิ ากับกรด
จนทาให้เกิด…………………..….................…ได้........………….........…………..และ……………...…….......…..ทาให้เคร่อื งมือเคร่ืองใชช้ ารุด
เสอื่ มสภาพการใช้งานและส้นิ เปลืองเงนิ ทองเพม่ิ มากขึ้น โดยสภาวะความเปน็ กรดที่อยู่ในสิง่ แวดล้อม เชน่ ......................................
.................................................... โดยแสดงสมการดงั น้ี
เช่น สังกะสี + กรดซลั ฟิวริก สงั กะสซี ัลเฟต+ไฮโดรเจน
โลหะบางชนิด เชน่ …..............…จะไมท่ าปฏิกิริยากับกรด ส่วนสังกะสี เหล็ก และแมกนีเซียมทาปฏิกริ ิยาไดด้ ีกับกรด แต่
ถา้ เปน็ โลหะ……………………………….…..จะเกิดปฏิกิริยารวดเรว็ และรุนแรง
ตัวอย่าง ช้อนสงั กะสี (Zn) เมื่อจุ่มลงไปในสารละลายกรดไฮโดรคลอริก จะได้สารละลายซงิ คค์ ลอไรด์ (ZnCl₂) (aq) และแกส๊
ไฮโดรเจน (H₂) เขยี นสมการได้ดังน้ี
Zn(s) + 2HCl (aq) ZnCl (aq) + H₂ (g)
ภาพท่ี 1.70 ปฏกิ ิริยาระหวา่ งโลหะกบั กรด ภาพท่ี 1.71 หลังคาบา้ นหลังถกู การกดั กร่อนจากฝนกรด
4. ปฏิกริ ยิ าระหว่างกรดกบั เบส
ปฏกิ ิรยิ าระหวา่ งกรดกับเบส ถ้ากรดรวมตวั พอดีกับเบสจะไดผ้ ลติ ภัณฑเ์ ปน็ …………………………...............……….ซง่ึ ปฏกิ ริ ิยา
นี้เรียกว่า………………………………...………(neutralization reaction) โดยถ้าผสมกรดและเบสในปรมิ าณทเ่ี ท่า ๆ กนั และมคี วาม
เข้มขน้ เท่ากนั สารผสมที่ไดจ้ ะไม่ทาให้กระดาษลิตมสั เปลย่ี นสี แสดงวา่ สารผสมนี้มีฤทธ์ิ……….........................….……..คอื มีคา่ pH
เท่ากบั ……………
H₂SO₄ (aq) + Mg (OH)₂ (aq) MgSO4₄ (aq) + H₂O (l)
(นา้ )
(กรดซัลฟิวรกิ ) (แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์) (แมกนเี ซยี มซัลเ(ฟแตม)กนเี ซยี มซลั (เนฟา้ ต))
จากปฏกิ ิรยิ าดังกลา่ วเมอื่ กรดและเบสรวมพอดีกัน จะไดส้ ารละลายใหมค่ ือนา้ และเกลอื แกง ซึ่งมสี มบัตเิ ปน็ กลาง
เกลอื (salt) เปน็ สารประกอบท่มี โี ลหะและอโลหะ (ยกเว้นออกซิเจน) เช่น เกลือแกง (NaCl) ดา่ งทบั ทมิ (KMnO4)
โพแทสเซียมไอโอไดด์ (KI) แคลเซียมคารบ์ อเนต (CaCO3)
เกลือ คือสารประกอบประเภทหน่งึ ซึง่ มีธาตุองคป์ ระกอบ คือ โลหะ
กบั อโลหะอน่ื ทีไ่ ม่ไชอ่ อกซิเจน
ภาพที่ 1.74 การวดั คา่ ความเป็นกรด-เบส ภาพท่ี 1.75 สารละลายเบสในชีวติ ประจาวัน ภาพที่ 1.76 สารละลายกรดในชวี ติ ประจาวนั
5. ปฏิกริ ิยาระหว่างกรดกับคารบ์ อเนต
สารประกอบคาร์บอเนตท่ีพบในชีวติ ประจาวนั ส่วนใหญ่ คอื ………………….………..…….
โดยหนิ ปนู เป็นหินซึ่งเกิดจากดินทรายทถี่ ูกพัดพาลงไปทับถมกันในทะเลเป็นเวลานับล้านล้านปี ส่วนใหญเ่ กดิ จากเปลือกของสตั ว์
ทะเลขนาดเล็กท่ีตายทบั ถมกันเป็นเวลานานมาแลว้ หินปูน ประกอบดว้ ยสารประกอบทเ่ี รยี กว่า …………………………...................….
..........................................................สารประกอบคาร์บอเนตเม่อื สัมผสั กับสารละลายกรดจะได…้ …………..................…...........……..
………………………………….และ…………………………เป็นผลติ ภณั ฑ์และมสี ารชนดิ อ่นื เป็นผลิตภณั ฑ์เกิดขึน้ อีกด้วย ดงั นี้
ตวั อย่าง หินปนู เม่ือใสล่ งในสารละลายกรดซัลฟิวริก (H₂SO₄) จะได้แคลเซียมซัลเฟต (CaSO₄) นา้ และแก๊สคาร์บอนไอออกไซด์
เขียนสมการไดด้ งั น้ี
CaCO3(s) + H₂SO₄ (aq) CaSO₄ (aq) + ….…………..……….(l) +………………..……..(g)
ในชวี ิตประจาวันจงึ พบวา่ เจดียห์ รือส่งิ ก่อสรา้ งท่มี ีหนิ เปน็ สว่ นประกอบ จะเกดิ การผุพังจนทาให้พชื บางชนดิ สามารถ
เจรญิ เติบโตบนเจดยี ์หรืออาคารเก่า ๆ ได้ ท้ังนเ้ี พราะนา้ ฝนละลายก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ไนอากาศได้กรดคาร์บอนกิ ดงั นี้
H₂O (l) + CO₂ (g) ………………….………….(aq)
น้าฝน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ กรดคารบ์ อนิก
เมื่อกรดคาร์บอนิกไหลผ่านหินปนู จะเกิดปฏิกริ ิยา ดังน้ี Ca(HCO₃)₂ (aq)
H₂CO₃ (aq) + CaCO₃(s) แคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต (สารละลายใส)
ถูกความรอ้ น
CaCO₃ (s) + H2O (l) + CO₂ (g)
ภาพท่ี 1.77 เจดียท์ ี่ผพุ งั ทาให้พชื สามารถเจรญิ เติบโตได้
ดงั นน้ั ถา้ รบั ประทานน้าซ่ึงมีแคลเซยี มไฮโดรเจนคาร์บอเนต Ca(HCO₃)₂ ละลายปนอยู่ อาจจะทาให้เกดิ ตะกอนแคลเซียม
คารบ์ อเนต (CaCO₃) รวมตวั กนั เกิดโรคน่ิวในกระเพราะปัสสาวะได้ จึงควรตม้ น้าก่อนรบั ประทานเพ่อื ให้ Ca(HCO₃)₂ สลายเป็น
หนิ ปนู และแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์
ภาพที่ 1.78 ปรากฏการณ์หนิ งอกหินยอ้ ย ภาพที่ 1.79 ภูเขาหินปนู ภาพที่ 1.80 ตะกรนั ในกาตม้ น้า
6. ปฏิกริ ยิ าระหวา่ งเบสกบั โลหะ
ในชวี ิตประจาวันเราสามารถพบเจอปฏิกิรยิ าระหวา่ งเบสกับโลหะได้ เชน่ การนา
โซดาไฟ (NaOH) เทลงไปในท่อระบายนา้ หรืออ่างล้างหน้าเพือ่ ขจัดสง่ิ อุดตนั หรือทาความสะอาด แตส่ ิ่งที่ควรระมัดระวัง เพราะ
หากท่อระบายนา้ ทามาจากอะลมู ิเนยี ม สามารถทาให้ทาให้โลหะเกิดการผุกร่อนได้ โดยการทาปฏกิ ิริยากับโลหะอะลูมเิ นยี ม หรอื
สังกะสี จะมีฟองแก๊สและความร้อนเกิดข้ึนด้วย ดงั สมการ
2NaOH (aq) + 2Al (s) 2NaAlO2 + 3H2 (g)
2NaOH (aq) + Zn (s) Na2ZnO2 (aq) + H2 (g)
6KOH (aq) + 2Al (s) 2K3AlO3 (aq) + 3H2 (g)
ภาพท่ี 1.81 ห้ามเทโซดาไฟในท่ออะลมู ิเนยี ม ภาพท่ี 1.82 โซเดยี มไฮดรอกไซด(์ โซดาไฟ) ภาพที่ 1.83 ผลกึ ของโซดาไฟ
7. ปฏกิ ิรยิ าการสังเคราะหด์ ้วยแสง (Photosynthesis)
การสงั เคราะหด์ ้วยแสงเป็นปฏิกิริยาเคมที เ่ี กิดขึ้น
ในพชื โดยพืชจะดดู กลนื พลังงานแสงจากดวงอาทติ ย์
มาใช้เพื่อเปลยี่ นคารบ์ อนไดออกไซด์และนา้ ใหเ้ ป็น
อาหาร (กลูโคส) ของพืช และมผี ลพลอยได้ คอื .........
................................ ออกมา ปฏกิ ิริยานี้เกี่ยวข้องกับ
ชีวิตประจาวันของเราโดยตรงเพราะนี่คอื กระบวนการ
ผลิตอาหารท่ีสาคญั ของโลก อีกทั้งยงั เปน็ การเปลยี่ น
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ให้เป็นแก๊สออกซิเจนท่ีเรา
สามารถใชห้ ายใจด้วย
สมการเคมีของกระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง ภาพท่ี 1.84 กระบนการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพืช
6CO2 + 6H2O + light -----------> C6H12O6 + 6O2
8. การเกดิ ฝนกรด
โรงผลิตพลังงานสว่ นใหญผ่ ลติ พลงั งานจากการ……………………………………………………..
(เช้ือเพลิงฟอสซิล) ได้แก่ ถ่านหนิ น้ามนั ดิบ และแกส๊ ธรรมชาติ กระบวนการเหล่านี้ทาให้เกดิ ........................................................
(SO2) และ............................................................................... (CO2) ขน้ึ ซ่ึงเปน็ ตน้ เหตขุ องฝนกรด เพราะแกส๊ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์
รวมกับน้าในอากาศที่ช้นื มากเปน็ กรดซลั ฟิวรสั (H2SO3) จากนัน้ จะถูกออกซไิ ดส์ต่อเป็นกรดซัลฟวิ ริก (H2SO4) และในท่สี ุดกรด
ซัลฟวิ ริกที่เกดิ ขน้ึ จะลงมาสผู่ ิวดินพรอ้ มกับนา้ ฝน เป็นเหตใุ ห้น้าฝน มี pH ............................... ซ่งึ เรยี กน้าฝนน้ีวา่ .........................
(acid rain) โดยเกดิ จากปฏกิ ิริยาระหวา่ งน้ากบั ออกไซดข์ องอโลหะที่เกดิ จากการเผาไหม้ เช่น
CO2 (g) (แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์) + H2O (l) (น้า) H2CO3 (aq) (กรดคาร์บอนกิ )
SO2 (g) (แก๊สซลั เฟอร์ไดออกไซด์) + H2O (l) (นา้ ) H2SO3 (aq) (กรดซลั ฟิวรสั )
ผลกระทบทเ่ี กิดจากฝนกรด
1. ทาใหเ้ กิดดินเปรยี้ วไมเ่ หมาะแกก่ ารเพาะปลูก
2. ทาความเสียหายใหก้ ับผลติ ผลทางการเกษตร
3. ทาใหว้ ัตถกุ อ่ สรา้ งเกิดชารุดทรดุ โทรม กัดกร่อนวตั ถุที่ทาดว้ ยโลหะ
ทาให้โลหะขึ้นสนมิ เร็วกว่าปกติ หรอื กัดกร่อนวัสดพุ วกคารบ์ อเนต
4. เป็นอันตรายต่อระบบทางเดนิ หายใจและเนื้อเยอ่ื ต่างๆ ของรา่ งกาย
การการปอ้ งกัน
1. ควบคมุ ปรมิ าณแกส๊ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ โดยเลอื กใช้เชือ้ เพลงิ ทีม่ ี ภาพท่ี 1.85 กระบวนการเกดิ ฝนกรด
ปริมาณกามะถันต่า
2. ควบคมุ การปล่อยควันจากโรงงานอตุ สาหกรรมและโรงไฟฟา้ ให้มีการกาจัดแก๊สซลั เฟอร์ไดออกไซด์ และแกส๊ ไนโตรเจนได-
ออกไซด์ก่อนปล่อยสู่บรรยากาศ
3. ควบคุมเครื่องจกั รกลของโรงงานอุตสาหกรรมให้มีการเผาไหม้ท่ีสมบูรณแ์ ละเลือกใชเ้ ช้อื เพลงิ ท่มี ีคณุ ภาพ
4. ใช้พลงั งานทดแทนจากธรรมชาติ เช่น พลงั งานแสงอาทิตย์ พลังงานน้าไหลแทนการเผาไหม้ เชือ้ เพลิงประเภทฟอสซิล
ภาพที่ 1.86 การปลอ่ ยควันจากโรงงาน ภาพที่ 1.87 ฝนกรดทาให้โบราณสถานเกดิ ความเสยี หาย
ความเสยี หายทเี่ กิดจากฝนกรดและการควบคุมการเกดิ ฝนกรด ฝนกรดมคี ่า pH
ทม่ี า : https://www.trueplookpanya.com/blog/content/60065 ระหว่าง 2.1 – 5.0
ตอนท่ี 1 คาชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามต่อไปนี้ให้ถูกตอ้ งสมบูรณ์
1. Zn(s) + HCl(aq) จะได้ผลติ ภัณฑ์ คืออะไรบ้าง
คำตอบ ....................................................................................................................................................
2. ปฏิกิรยิ าอะไรทีไ่ ด้ผลิตภัณฑ์ คอื เกลือและน้า และมีชื่อเรียกอีกอย่างหน่ึงของปฏิกิริยานีค้ ืออะไร
คำตอบ ....................................................................................................................................................
3. ปฏิกิริยาการเผาไหม้ สารต้ังต้นคอื อะไร
คำตอบ ....................................................................................................................................................
4. เมือ่ เราเทน้ายาล้างห้องน้าลงบนพื้นแล้วเกิดฟองฟู่ขนึ้ ฟองนนั้ คือแก๊สอะไร และเป็นปฏิกิริยาระหว่างสารใด
คำตอบ ....................................................................................................................................................
5. การเกิดสนิมทีป่ ระตรู ว้ั เหล็กที่บ้าน จัดเป็นปฏิกิริยาระหว่างสารใด และมีธาตทุ ี่สาคัญใดในการเกิดสนิม
คำตอบ ....................................................................................................................................................
6. การสงั เคราะห์ด้วยแสงของพืช จะได้ผลิตภณั ฑ์ คอื อะไรบ้าง
คำตอบ ....................................................................................................................................................
ตอนที่ 2 คาชีแ้ จง ใหน้ กั เรียนดูภาพจาก Power point และจงบอกวา่ เป็นปฏิกิรยิ าเคมใี นชีวติ ประจาวันใด พร้อมทัง้ เขียน
สมการเคมีของปฏิกริ ิยานนั้ มาด้วย (ไม่ต้องดุลสมการเคมี และไม่ต้องเขยี นแบบละเอยี ด)
ภาพท่ี 1 คือปฏกิ ิริยาเคมี ........................................................................................................................................................
สมการเคมี ...............................................................................................................................................................
ภาพท่ี 2 คือปฏิกิริยาเคมี ........................................................................................................................................................
สมการเคมี ...............................................................................................................................................................
ภาพที่ 3 คือปฏิกริ ิยาเคมี ........................................................................................................................................................
สมการเคมี ...............................................................................................................................................................
ภาพที่ 4 คือปฏกิ ริ ิยาเคมี ........................................................................................................................................................
สมการเคมี ...............................................................................................................................................................
ภาพที่ 5 คอื ปฏิกริ ิยาเคมี ........................................................................................................................................................
สมการเคมี ...............................................................................................................................................................
ภาพท่ี 6 คอื ปฏกิ ริ ิยาเคมี ........................................................................................................................................................
สมการเคมี ...............................................................................................................................................................
ภาพท่ี 7 คือปฏิกริ ิยาเคมี ........................................................................................................................................................
สมการเคมี ...............................................................................................................................................................
ภาพท่ี 8 คอื ปฏิกิริยาเคมี ........................................................................................................................................................
สมการเคมี ...............................................................................................................................................................
ปฏิบัติการท่ี 4 เร่ือง การเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
วตั ถุประสงค์ 1. เพ่อื ศึกษาการเกิดปฏิกิริยาเคมที พ่ี บในชีวติ ประจาวนั
2. เพ่ืออธบิ ายผลทีเ่ กดิ จากปฏิกริ ิยาเคมแี ละจาแนกปฏกิ ิริยาเคมีที่เกดิ ขน้ึ ได้
วสั ดุอุปกรณ์การทดลอง 1. สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ (HCI) 2. ก้อนหินปนู
3. สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) 4. แผ่นสังกะสี
5. บีกเกอรข์ นาดเลก็ 50 ml กล่มุ ละ 3 บีกเกอร์ 6. กระบอกตวง 10 ml
7. กระดาษยูนิเวอรซ์ ัลอินดิเคเตอร์ 8. จานเพาะเช้อื
9. หลอดหยด
สารละลาย สารละลาย
วธิ ีทาการทดลอง กรดไฮโดรคลอริก กรดไฮโดรคลอริก
การทดลองท่ี 1
1. รินสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ (HCl) 0.2 โมลต่อลูกบาศก์เดซเิ มตร บกี เกอร์ท่ี 1 หินปนู
ภาพท่ี 1.79 การทดลองท่ี 1 การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี 1 3-4 ก้อน
ปรมิ าตร 2 ลกู บาศก์เซนตเิ มตร ใส่ในบกี เกอรข์ นาดเล็ก บีกเกอรท์ ่ี 1
2. ใส่ก้อนหนิ ปูนขนาดเล็กลงในบีกเกอร์สารละลายกรดไฮโดรคลอริก (HCI) สารละลาย สารละลาย
กรดไฮโดรคลอริก กรดไฮโดรคลอริก
3.4 กอ้ น สงั เกตการเปล่ียนแปลง บนั ทกึ ผล
ช้ินสงั กะสี
การทดลองที่ 2
1. รินสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ (HCI) 0.2 โมลตอ่ ลกู บาศก์เดซิเมตร
ปรมิ าตร 2 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร ใสใ่ นบกี เกอรข์ นาดเล็ก บกี เกอร์ท่ี 2
2. ใสช่ ิน้ สังกะสี (Zn) ขนาด 0.5 เซนตเิ มตร 2-3 ชิน้ ลงในบกี เกอร์
สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ (HCl) สังเกตการเปลย่ี นแปลง บนั ทกึ ผล
การทดลองที่ 3 บีกเกอร์ท่ี 2
1. ในสารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซด์ (NaOH) อม่ิ ตวั ลงในกระบอกตวง ภาพท่ี 1.80 การทดลองที่ 2 การเกดิ ปฏิกิริยาเคมี 2
ปรมิ าตร 2 ลูกบาศกเ์ ซนตเิ มตร จากนน้ั เทลงในบกี เกอร์ขนาดเล็ก บีกเกอรท์ ี่ 3
2. ในสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ เขม้ ขน้ 0.2 โมลต่อลูกบาศก์เดซิเมตร สารละลาย สารละลาย
ลงในกระบอกตวง ปริมาตร 2 ลกู บาศก์เซนติเมตร จากนนั้ เทลงในบีกเกอรท์ ี่ 3 โซเดยี มไฮดรอกไซด์ โซเดียมไฮดรอกไซด์
ท่บี รรจุสารละลายกรดไฮโดรคลอริก 2 cm3
3. จุม่ กระดาษยนู ิเวอรซ์ ลั อินดเิ คเตอร์ ลงในสารละลายผสมระหว่าง
สารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซด์กับสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ และวางบน สารละลาย สารละลาย
จานเพาะเชอ้ื เพื่ออ่านค่า pH และบนั ทึกผล กรดไฮโดรคลอรกิ กรดไฮโดรคลอริก
2 cm3
สารละลาย สารละลาย สารละลาย
กรดไฮโดรคลอรกิ โซเดียมไฮดรอกไซด์
โซเดยี มไฮดรอกไซด์ 2 cm3 + สารละลาย
กรดไฮโดรคลอริก
ภาพที่ 1.88 การทดลองท่ี 3 การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี 3 2 cm3
+
ตารางบันทกึ ผลการทดลอง
การทดลองที่ การทดลอง การเปลยี่ นแปลงทีส่ งั เกตได้
1 หนิ ปูน +
สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ (HCl)
2 สังกะสี +
สารละลายกรดไฮโดรคลอริก (HCl)
3 สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH)
+ สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ (HCl)
สรุปผลการทดลอง
.............................................................................................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………
……………. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คาถามทา้ ยกจิ กรรม
1 .เมือ่ ใสช่ ิน้ หนิ ปนู ลงในสารละลายกรดซลั ฟิวริก(H2SO4) เกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมหี รอื ไม่ อยา่ งไร……………………………………….……………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………
2. จากการทดลองที่ 2 แก๊สที่เกิดขน้ึ คือแกส๊ อะไร…………………………………………………………………………………………….……………………
3. แก๊สที่เกดิ ขึน้ จากการทดลองที่ 1 เปน็ แก๊สชนิดเดียวกบั การทดลองที่ 2 หรอื ไม่ และเป็นแกส๊ ชนิดใด...........................................
.............................................................................................................................................................................................................
4. การทดลองที่ 3 คา่ pH เป็นกรด เบส หรอื กลาง...........................................................................................................................
5.การทดลองที่ 1 , 2 และ 3 ให้ยกตวั อย่างปฏกิ ริ ยิ าเคมที ี่พบในชวี ติ ประจาวันมาการทดลองละ 1 ตวั อย่าง
............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................................................
สารต่างชนิดกนั จะสามารถเกดิ ปฏิกิริยาได้เร็วหรือชา้ น้นั ข้นึ อยกู่ บั สมบตั ิเฉพาะตัวของสารแต่ละชนิด เชน่ โลหะโซเดยี มทา
ปฏกิ ิรยิ ากับน้าเยน็ ได้เร็วมาก และเกดิ ปฏิกิริยารุนแรง ในขณะที่โลหะแมกนีเซยี มทาปฏิกิริยากบั นา้ เย็นได้ช้า แต่เกดิ ได้เร็วขึน้ เมื่อ
ใช้นา้ ร้อน ทเ่ี ป็นเช่นน้เี พราะว่า โลหะโซเดยี ม มคี วามวอ่ งไวในการเกิดปฏิกริ ยิ าดีกวา่ โลหะแมกนเี ซยี ม สารบางชนิดจะทาปฏกิ ิริยา
ไดย้ าก เชน่ การสกึ กร่อนของหนิ การเกิดสนิมเหล็กบางชนดิ จะทาปฏิกริ ิยาได้งา่ ย การระเบดิ ของประทัด เป็นตน้ นอกจากนีย้ ังมี
ปัจจยั อน่ื ๆ หลายอย่างทมี่ ผี ลต่อการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี คำสำคญั
- ธรรมชาติของสารตงั้ ต้น – อณุ หภมู ิ - ตัวเร่งตวั หน่วงปฏกิ ิริยา
- พนื้ ท่ผี วิ ของสารทที่ าปฏิกริ ยิ า - ความดนั - ความเข้มข้นของสาร
คาช้แี จง ให้นกั เรียนทาเคร่ืองหมาย / หนา้ ข้อความทเ่ี ห็นว่าเปน็ ปัจจัยท่ีมีผลต่อการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี
1............ธรรมชาตขิ องสารตั้งตน้ 2............สูตรเคมี
3............อุณหภูมิ 4............ความเขม้ ข้นของสาร
5............ความดัน 6............แรงโนม้ ถ่วงของโลก
7............ตัวเร่งปฏกิ ริ ยิ า 8............ตัวหน่วงปฏิกิริยา
9............การแยกสาร 10...........พ้ืนทผี่ ิวของสารทที่ าปฏิกิริยา
ปฏกิ ริ ยิ าเคมีที่เกิดขน้ึ น้นั บางปฏกิ ริ ยิ าเกิดขนึ้ เร็ว บางปฏกิ ิรยิ าเกิดขึ้นชา้ ข้ึนอยกู่ ับปัจจัยดังตอ่ ไปนี้
1.………………………………………………………………….
ภาพที่ 1.89 ดอกไมไ้ ฟเปน็ ปฏกิ ิริยาเคมที ่เี กดิ ข้นึ อย่างรวดเร็ว ภาพที่ 1.90 การเกิดสนิมบนโลหะเปน็ ปฏิกริ ยิ าเคมที ี่เกิดข้นึ อยา่ งช้าๆ
จากภาพข้างบนปฏิกิรยิ าเคมขี องดอกไม้ไฟท่เี กดิ การลุกไหม้กบั ออกซเิ จนในอากาศเกดิ ขึ้นเร็วเพราะมีสมบัติของสารต้งั ตน้
ท่ีใชท้ าดอกไมไ้ ฟเปน็ สารที่…………………………………....................................……………..ปฏกิ ริ ยิ าจงึ เกดิ เร็ว
ส่วนภาพทีก่ ารเกิดสนิมเหลก็ เป็นปฏกิ ริ ยิ าทโ่ี ลหะทาปฏิกิรยิ ากบั ………………........…..……......ในอากาศ แตม่ ีการ
เกิดปฏิกริ ยิ าเกิดข้นึ เพราะเหลก็ มีสมบัตทิ ่ีแขง็ ไม่ติดไฟ แต่จะทาปฏกิ ริ ยิ ากบั ออกซเิ จนในอากาศได้…………....……………………
สารแต่ละชนิดจะมีสมบัตแิ ตกต่างกนั ดังน้ันเม่ือเกิดปฏิกริ ยิ าจงึ มอี ัตราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี
ตา่ งกนั ด้วยเราจึงสามารถเรง่ ปฏกิ ิรยิ าทเี่ กิดขึ้นชา้ ใหเ้ ร็วข้ึน หรือลดปฏกิ ริ ิยาทเ่ี กิดเร็วใหช้ า้ ลงได้
เมอ่ื ทราบสมบัตขิ องสารต้งั ต้น เพอื่ นาไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์มากทส่ี ดุ เชน่ การป้องกนั การ
เกิดสนมิ ของเหลก็ หรือวัสดุที่ทาดว้ ยโลหะ โดยการทาน้ามัน ทาสีผิวของโลหะหรือเคลอื บผิวโลหะดว้ ยโลหะอื่น ๆ ท่เี กดิ สนมิ ได้ยาก
เพ่อื ป้องกนั ผวิ สัมผัสระหวา่ งโลหะกับความชื่นและแกส๊ ออกซิเจน และการถนอมอาหารเป็นการลดปฏิกริ ิยาทเี่ กดิ เร็วใหช้ ้าลง
โดยการใส่สารลงไปในอาหารเพอื่ ทาใหอ้ าหารเนา่ เสียชา้ ลง เช่น การเชื่อม เป็นตน้
ภาพท่ี 1.91 ทาสีเหล็กดดั หนา้ ต่าง ภาพที่ 1.92 หยอดนา้ มันหลอ่ ล่นื ใหโ้ ซจ่ กั รยาน ภาพที่ 1.93 กระปอ๋ งเหล็กอาบดว้ ยดีบกุ
2. …………………………………………………………….
โดยส่วนใหญป่ ฏกิ ริ ยิ าระหวา่ งสารจะเกิดเรว็ ข้นึ เมอ่ื มีอุณหภูมิ…………………………..เชน่ ……………..........……………จะใช้
ภาชนะทมี่ ีฝาปิดหรอื คลมุ ด้วยใบตอง ผ้า หรือกระดาษ ซ่ึงจะทาให้อุณหภมู ภิ ายในภาชนะ………………….……ผลไม้จงึ สุกเร็วกวา่
วางทิง้ ไว้นอกภาชนะ อุณหภมู ทิ ี่สงู จะชว่ ยเร่งการทางานของเอนไซมใ์ นผลไม้
ภาพที่ 1.94 การบ่มมะม่วงด้วยกระดาษ ภาพท่ี 1.95 การบม่ กลว้ ยด้วยถุงพลาสตกิ ภาพท่ี 1.96 การให้ความร้อนทาให้ปฏกิ ิริยา
3. …………………………………………….……………………………….. เกดิ เรว็ ข้นึ
การเกดิ ปฏิกิรยิ าถา้ มี…………….................................……………ที่ทาปฏกิ ริ ิยา จะชว่ ยให้ปฏิกริ ยิ าเกิดได้……….............…..เช่น
การรับประทานอาหารควรเค้ียวใหล้ ะเอียดกอ่ นกลืน เน่ืองจากการเคย้ี วอาหารให้ละเอียดน้ันเป็นการเพ่ิมพน้ื ทีผ่ วิ ของอาหาร ซึง่ จะ
ทาให้อาหารทาปฏิกิรยิ ากบั น้าย่อยในกระเพราะอาหารได้เรว็ อาหารจึงยอ่ ยง่าย เปน็ ต้น
ภาพที่ 1.97 การเค้ียวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน ภาพท่ี 1.98 การบดสารกอ่ นการทาปฏกิ ริ ิยา ภาพท่ี 1.99 การหน่ั อาหารใหเ้ ป็นชน้ิ เลก็ เพ่ือให้ อาหารสกุ เรว็ ข้นึ
เราสามารถใช้หลักการในการเพมิ่ พนื้ ที่ผิวของสารเพอ่ื ให้
เกิดปฏกิ ริ ยิ าเร็วข้นึ มาใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจาวนั ได้
เชน่ เราสามารถเพมิ่ อตั ราเร็วของการปรงุ อาหารใหส้ ุกได้
โดยการห่ันให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ จะทาใหอ้ าหารสกุ เร็วขึน้
ภาพที่ 1.100 การเพ่มิ พืน้ ทีผ่ ิวของสาร
4. ……………………………………………………………..
4.1) ตวั เร่งปฏิกิรยิ า (catalyst) คอื ………………………....................................…………ในปฏิกิรยิ าแลว้ ทาใหป้ ฏกิ ิรยิ านนั้
เกดิ ……….........โดยสารทีเ่ พิม่ เขา้ ไปยงั คงมปี ริมาณและสมบัติทางเคมีเหมือนเดมิ หลังปฏกิ ิริยาสน้ิ สุดแลว้ เช่น ในกระบวนการหมัก
นา้ ตาลกลูโคสดว้ ยยีสต์ให้เป็นเอทานอล (C2H5OH) และแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) จะใชเ้ อนไซม์ไซเมส (zymase) เป็นตวั เร่ง
ปฏิกิรยิ าการเตรยี มแอมโมเนีย (NH3) จะใช้เหลก็ (Fe) เปน็ ตัวเร่งปฏกิ ริ ยิ า เป็นตน้
4.2) ตัวหน่วงปฏกิ ิริยา (inhibitor) คือ….....................…………......…………………...……..แลว้ ทาให้ปฏิกิริยาทีเ่ กิดขึ้นน้ัน
......................โดยเม่ือส้นิ สุดปฏกิ ริ ิยายังคงมปี ริมาณและสมบตั ิทางเคมีเหมือนเดิมและมวลคงที่ แต่สมบัตทิ างกายภาพอาจ
เปลีย่ นแปลงไป เชน่ ขนาด รปู ร่าง โดยตัวหนว่ งปฏิกิริยาทพ่ี บได้ชีวิตประจาวนั ไดแ้ ก่ ..............................................ท่ชี ่วยยบั ย้งั
ปฏิกิริยาท่ีทาใหเ้ กิดการเนา่ เสียของอาหาร เป็นตน้
ภาพที่ 1.101 การเตมิ ยสี ตใ์ นการหมกั เพ่อื เร่งปฏกิ ิริยา ภาพที่ 1.102 การใช้เอนไซมโ์ บรมีเลนในนา้ สบั ปะรด ภาพที่ 1.103 สารกนั บูดช่วยยบั ยั้งปฏกิ ิริยาทที่ าใหเ้ กิด
เร่งปฏกิ ิรยิ าในการหมักเน้อื เพอื่ นมุ่ การเน่าเสียของอาหาร
รับประทานง่าย