The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารปะกอบการสอน รายวิชาวิทยาศาสตร์ 4 ชั้น ม.2 เล่ม 2 ผู้เรียบเรียง อาจารย์พิชา ชัยจันดี โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (ศึกษาศาสตร์)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by มินนี่ แพนด้า, 2020-04-30 15:36:37

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาวิทยาศาสตร์ 4 ชั้น ม.2 เล่ม 2

เอกสารปะกอบการสอน รายวิชาวิทยาศาสตร์ 4 ชั้น ม.2 เล่ม 2 ผู้เรียบเรียง อาจารย์พิชา ชัยจันดี โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายมัธยมศึกษา (ศึกษาศาสตร์)

Keywords: science book

หิน เปน็ วสั ดทุ ี่เกดิ ในธรรมชาติท่ีมนษุ ย์รจู้ ักนามาใช้ประโยชน์ตัง้ แตส่ มัยเริม่ แรกทมี่ นุษย์ยงั อาศยั อยู่ในถ้า และตามเชงิ ผา

ธรรมชาติ โดยกะเทาะหนิ ใหม้ ีเหล่ียมคมเพอื่ ใช้เปน็ อาวธุ เรยี กวา่ หนิ กะเทาะ และใชห้ ินขัดถกู นั ใหเ้ กิดประกายไฟ เพื่อใชใ้ นการกอ่
ไฟ จงึ เรียกมนษุ ย์ในสมยั นั้นว่า มนษุ ยย์ คุ หิน ต่อมาเม่ือมนุษย์รู้จกั พฒั นาเทคโนโลยีสูงข้ึน จึงไดน้ าหนิ มาใชป้ ระโยชน์ในการ
กอ่ สรา้ ง ท่ีอยู่อาศยั อาคารและศาสนสถานต่างๆ ตลอดจนดดั แปลงทาเคร่ืองใช้ เครอ่ื งประดบั ดงั น้ัน นักเรยี นเคยสงสัยหรอื ไมว่ ่า
เพราะเหตุใดหนิ แต่ละก้อนจงึ มีลักษณะแตกต่างกัน และหนิ เหล่าน้ันจะมีลกั ษณะการเกดิ เหมอื นหรอื แตกต่างกันอย่างไร

1. อธบิ ายการเกิดและลักษณะของหินอัคนี หินตะกอน หินแปร ความหมายของวัฏจักรของหิน พรอ้ มท้งั ยกตวั อย่างและ
บอกประโยชน์ของหนิ อคั นี หินตะกอนและ หินแปรได้

2. ทดสอบสมบัตบิ างประการของหินและจาแนกประเภทของหินได้

คำสำคญั

- หนิ อคั นี - หนิ ตะกอน - หินแปร - วฏั จกั รของหิน

ค้าชี้แจง ให้นกั เรียนทา้ เคร่อื งหมาย / หน้าข้อความท่ีถกู ตอ้ ง และท้าเครอ่ื งหมาย X หน้าข้อความทีไ่ มถ่ ูกต้อง

1............หนิ บางประเภทเกดิ จากการรวมกนั ของแรท่ ตี่ กผลึกมาจากหินหนดื
2............หนิ แบง่ อกได้ 2 ประเภท คือ หินตะกอน และหนิ ชน้ั
3............หนิ ตะกอน เกดิ จากการผพุ ังของหิน แล้วถูกแรงน้า แรงลมพดั พามาทับถมและตกตะกอน โดยมวี ัตถุประสาน

เช่อื มใหต้ ดิ กัน
4............พ้ืนหอ้ งน้าซึ่งเปน็ หินอ่อน เมื่อถูกนา้ ยาลา้ งห้องนา้ จะเกดิ ฟองฟู่ได้
5............หนิ ลับมดี ทใ่ี ช้ลบั ใบมดี ให้คมขึ้นน้นั ทามาจากหินทราย

หนิ (Rocks) หมายถึง สารแข็งท่ีรวมตวั กนั อยูเ่ ป็นเปลอื กโลกบริเวณภูเขา และใต้พื้นน้า นักธรณวี ิทยาจาแนกตาม

ลักษณะการเกดิ ได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. ...................................................(..................................................................)
2. ...................................................(..................................................................)
3. ...................................................(..................................................................)

7.1 หนิ อคั นี (Igneous Rock)

หนิ อัคนี หมายถึง หนิ ทเ่ี กดิ จากการเยน็ ตัวและแข็งตัวของหนิ หลอมละลายทรี่ ้อนจัด เรียกว่า
............................ หินหนดื เมอ่ื อยภู่ ายในเปลือกโลก เรียกว่า ..........................และเมอื่ ผดุ พน้ ออกมาบนผวิ โลก
เรียกว่า ..............................การเย็นตวั ของแมกมามักจะเป็นไปอย่างชา้ ๆ ส่วนการเยน็ ตัวของลาวาจะเป็นไปอย่างรวดเรว็ มีผล
ทาให้หินอัคนมี ลี กั ษณะต่างๆกนั 2 แบบ ดังนี้

1. หินท่ีมีลักษณะเน้ือหยาบเป็นดอกเป็นดวงหลายสี ( Plutonic Rock) เกดิ จากการเย็นตวั ของแมกมาอย่างช้าๆ
เช่น ..................................................

2. หินท่ีมลี กั ษณะเน้อื ละเอียด ไมค่ ่อยมดี อกมดี วง (Volcanic Rock) เรยี กวา่ ........................................................ หรอื
หนิ อคั นีพุ เกดิ จากการเยน็ ตัวของลาวาอยา่ งรวดเรว็ เช่น ..................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................................... .......

นอกจากนี้แลว้ ยงั แบง่ ได้เปน็ 1. หนิ มรี พู รุน เช่น...................................................................................................................
2. หนิ ไมม่ รี พู รุน เช่น หนิ ไรโอไลต์ , หินแอนดไี ซต์ , หินออบซิเดยี น , หนิ บะซอลต์แบบ
ไมม่ ีรูพรุน

และ หนิ ทลี่ อยน้าได้ เช่น ......................................................................................................................................................

ชนิดของหินอัคนี ตารางที่ 15 สรปุ ลกั ษณะต่างๆของหนิ อัคนี ประโยชน์
1.หินแกรนิต ลักษณะเน้ือหิน -ใชก้ ่อสร้างประดับอาคาร
-ทาอนสุ าวรีย์ ทาครก
2.หินบะซอลต์ -เกิดจากการเยน็ ตวั ของแมกมาอยา่ งชา้ ๆ -ใชก้ ่อสร้าง
-ไม่มรี ูพรนุ ไม่ลอยน้า
3.หนิ ออบซเิ ดียน -เกิดจากการเยน็ ตัวของลาวาอย่างรวดเรว็ -ใช้ทาอาวธุ สงครามในสมัย
(หินแก้วภเู ขาไฟ) -มรี พู รนุ /ไม่มรี ูพรุน แต่ไม่ลอยนา้ โบราณ
4.หนิ สคอเรีย -เกดิ จากการเย็นตวั ของลาวาอย่างรวดเร็ว -ใช้ทาหินขดั
-ไมม่ รี ูพรนุ ไมล่ อยนา้
5.หินพัมมิช -เกิดจากการเย็นตวั ของลาวาอย่างรวดเรว็ -ใชท้ าวัสดุขดั ถู
-มีรูพรนุ ลอยนา้ ได้
6.หนิ แอนดีไซต์ -เกดิ จากการเย็นตวั ของลาวาอย่างรวดเร็ว -ใช้กอ่ สร้าง
-มรี ูพรนุ ลอยนา้ ได้ ชาวบ้านเรียกว่า หินส้ม หรือ หินลอยน้า -ใช้ทารางรถไฟ
7.หินไรโอไรต์ -เกิดจากการเยน็ ตวั ของลาวาอยา่ งรวดเร็ว -ใช้ก่อสร้าง
-มีสีเขยี วข้ีมา้
-เกิดจากการเย็นตวั ของลาวาอยา่ งรวดเรว็
-มีสีชมพู อมมว่ งเข้ม

7.2 หินตะกอน (Sedimentary Rock)

หนิ ตะกอน หมายถงึ หินที่เกดิ จากการผพุ ังของหินชนิดใดก็ไดท้ ีผ่ วิ โลก แลว้ ถกู แรงน้า แรงลมพัดพามาทับถมอดั ตัวกัน หรือ

ตกตะกอน เชน่ กรวด ทราย เศษหิน ดิน โคลน รวมทงั้ ซากพชื ซากสัตว์ โดยมีวัตถปุ ระสานเชื่อมใหต้ ิดกนั

ตวั อย่างวัตถุประสานทพ่ี บในหินตะกอน เช่น ..........................................................................แคลเซยี มคารบ์ อเนต เปน็ ต้น

วัตถุประสาน 1) ...................................................................................................................................................

2) ...................................................................................................................................................

3) ...................................................................................................................................................

หินตะกอนนอกจากจะเกิดในน้าแล้ว ยงั อาจจะเกิดบนบกได้ เช่น ...................................ซ่ึงเปน็ หนิ ตะกอน ที่เกดิ จากการสกึ

กร่อนผุพังของหินอัคนีท่ีอยู่บนบกและมีวตั ถุประสาน

ลักษณะสา้ คัญของหินตะกอน คือ มลี ักษณะเปน็ ชัน้ เนื่องจากตะกอนตกมาทบั ถมกัน เปน็ ชว่ งๆ และภายในช้ันหิน อาจพบ

ซากดึกดาบรรพฝ์ งั ตัวอยู่ ซากดึกดาบรรพจ์ ะทาใหท้ ราบถึงอายุของหินตะกอนได้

ตารางท่ี 16 สรปุ ลกั ษณะตา่ งๆของหินตะกอน

ชนิดของหินตะกอน ลักษณะเน้ือหนิ ประโยชน์

1.หินกรวด -เกิดจากตะกอนของกรวด -ใช้ก่อสรา้ ง ทาถนน

2.หนิ ทราย -เกิดจากตะกอนของทราย มอี ะลูมเิ นยี มออกไซด์เปน็ วัตถปุ ระสาน -ใชท้ าหินลบั มดี

3.หนิ ดนิ ดาน -เกดิ จากตะกอนของดินเหนียว -ใช้ปูทางเดิน

4.ศลิ าแลง -มีสนี ้าตาลแดง -ใช้ทากาแพง

-มีเหล็กออกไซด์หรอื อะลูมิเนยี มออกไซด์เป็นวตั ถุประสาน -ใชท้ าปราสาทหนิ

-มีรพู รุน (แถวบุรีรมั ย์ ศรีษะเกษ)

5.หินปนู -หยดกรดจะเกดิ ฟองฟู่ -ใช้ก่อสรา้ ง ทาถนน

-เกิดจากการทับถมของซากพชื ซากสตั ว์ -ใชท้ าวสั ดุทนไฟ

-ใชท้ าปนู กนิ กับหมาก

6.หนิ ปนู ซากพืชซากสตั ว์ -หยดกรดจะเกิดฟองฟู่ -ใช้ศกึ ษาขอ้ มลู ววิ ัฒนาการของ

-เกดิ จากการทับถมของซากพืชซากสัตว์ สิ่งมชี ีวติ

7.3 หนิ แปร (Metamorphic Rock)

หนิ แปร หมายถงึ หนิ ท่ีแปรสภาพจาก............................................................................................... ซง่ึ เปลีย่ นแปลง ทงั้ ชนิด
แรป่ ระกอบและโครงสรา้ งของเนอื้ หนิ โดยเป็นผลจาก .................................................................................................... ภายในโลก

เม่ือหินอคั นแี ละหินตะกอนได้รบั ความร้อนและแรงกดดันภายในโลก ทาใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงท้ังชนิดแร่ส่วนประกอบหิน
และโครงสร้างของเน้ือหนิ จนเกดิ เปน็ หนิ แปร โดย

1) หนิ อัคนแี ละหนิ ตะกอนท่ีมสี ว่ นประกอบหลายอย่างเห็นไดช้ ัดเจน เมอ่ื ถกู ความร้อนและแรงกดดันจะเปลยี่ นเป็น
.............................................. โดยส่วนประกอบท่ีเหน็ เด่นชัดแตเ่ ดมิ จะถูกอดั เขา้ หากนั เกิดการเรียงตัวตอ่ กนั ทาให้มองเหน็ เปน็
...............................................................

2) หินอัคนีและหินตะกอนท่ดี ูส่วนประกอบไมเ่ ห็นเดน่ ชดั เมอ่ื ถูกแรงอดั ก็เพยี งแต่เห็นว่ามีเนื้อแน่นขึ้นเทา่ น้ัน ไม่เหน็ เป็น
รว้ิ ขนาน

ประเภทของหินแปร จาแนกตามเน้ือหนิ ได้ 2 ชนิด คอื
1) หนิ แปรที่มีรอยขนาน ได้แก่ .....................................................................................

.....................................................................................
2) หนิ แปรทีไ่ ม่มีรอยขนาน ได้แก่ .................................................................................

..................................................................................

ชนิดของหนิ แปร ตารางท่ี 17 สรุปลกั ษณะต่างๆของหินแปร ประโยชน์
1.หนิ ไนส์ ลักษณะเน้อื หนิ -ใช้ทาครกโม่ กาแพง
2.หินชีสต์
3.หนิ ชนวน -มีรว้ิ ขนาน -ใช้กอ่ สรา้ ง
4.หินฟลิ ไลต์ -แปรมาจากหินแกรนติ หรือหินกรวด
5.หนิ ออ่ น -มีรว้ิ ขนาน -ใชท้ ากระดานชนวน
-แปรมาจากหินแกรนิตหรอื หนิ ดินดาน -ใชม้ งุ หลงั คา
6.หนิ ควอรต์ ซ์ไซต์ -มรี ิ้วขนาน -ใช้ทาวัสดุถมถนนช่วั คราว
-แปรมาจากหินดนิ ดาน
-มีรว้ิ ขนาน -ใช้ทาอนุสาวรีย์ แกะสลกั
-แปรมาจากหินชนวน
-ไม่มรี ิ้วขนาน -ใชท้ าหินอัดเม็ด
-แปรมาจากหินปนู -ใชว้ สั ดุทนไฟ
-หยดกรดจะเกิดฟองฟู่
-ไม่มรี วิ้ ขนาน
-แปรมาจากหินทรายหรอื หนิ กรวด

จากการทีเ่ ปลือกโลกมีการเปล่ยี นแปลงอยู่ตลอดเวลา ทาให้หินประเภทหนง่ึ เปลีย่ นไปเป็นหนิ อีกประเภทหนึ่งได้ โดย
เรม่ิ ตน้ ต้ังแต่.............................. เย็นตวั ลงกลายเป็น.............................. เมือ่ หินอคั นเี กดิ .......................................... เนื่องจาก
ธรรมชาตแิ ละการกระทาของมนษุ ย์ โดยมีกระแสลม กระแสนา้ ชว่ ยพดั พาตะกอนไปทบั ถมกนั และมีวัตถปุ ระสานกลายเป็น
.......................................ขึ้น เมอ่ื หินอัคนีและหินตะกอนได้รับ............................................................ภายในโลกจะเปลี่ยนเป็น
.................................และหินแปรท่ถี ูกแรงอัดให้ลกึ ลงไปใต้ผิวโลกจะหลอมเหลวกลับเป็น............................................... ได้อีก
กระบวนการเปลี่ยนแปลงและหมนุ เวยี นของหินอัคนี หินตะกอน และหนิ แปร เช่นนี้ เรียกวา่ .................................................

กระบวนการต่างๆ ทางธรณีวิทยาท่ีทา้ ใหเ้ กดิ วฏั จักรของหิน มีดงั นี้
1. .........................................................................................................................................................................
2. .........................................................................................................................................................................
3. .........................................................................................................................................................................

ภาพท่ี 2.86 การเกิดวฏั จกั รของหนิ

นกั เรยี นคดิ วา่ หนิ แขง็ ทง้ั 3 ประเภทท่ี
กลา่ วมา สามารถเปลย่ี นแปลงไดห้ รือไม.่ .??

คำตอบ ได้ เพรำะ เมอ่ื หินเกิดกำรสึกกรอ่ น กำรทับถมได้รับควำม

ร้อน และแรงกดดนั กำรหลอมเหลว กำรเยน็ ตัว สำมำรถ ท่ีจะ
เปลี่ยนสภำพเปน็ หนิ อัคนี หนิ ตะกอน และหินแปรได้

• หนิ (Rocks) หมายถงึ สารแข็งทรี่ วมตัวกันอยู่เปน็ เปลือกโลกบรเิ วณภูเขา และใตพ้ ืน้ นา้ จาแนกตามลักษณะการเกดิ ได้
3 ประเภท ดงั น้ี

1. หินอัคนี (Igneous Rock) 2. หนิ ตะกอน (Sedimentary Rock ) 3. หนิ แปร (Metamorphic Rock)

• หนิ อคั นี (Igneous Rock) หมายถงึ หนิ ทเ่ี กดิ จากการเย็นตัวและแขง็ ตวั ของหนิ หลอมละลายที่รอ้ นจดั การเยน็ ตวั ของ
แมกมามกั จะเป็นไปอย่างชา้ ๆ ส่วนการเยน็ ตวั ของลาวาจะเปน็ ไปอย่างรวดเร็ว ทาให้หินอัคนีมีลักษณะต่างๆ กัน 2 แบบ ดังน้ี

1. หินที่มลี กั ษณะเนื้อหยาบเป็นดอกเปน็ ดวง (Plutonic Rock) เกดิ จากการเย็นตัวของแมกมา เชน่ หนิ แกรนติ
2. หนิ ที่มีลกั ษณะเนือ้ ละเอียด ไมค่ อ่ ยมดี อกมดี วง (Volcanic Rock) เรียกว่า หินภเู ขาไฟ หรือ หินอัคนีพุ เกิดจากการ
เยน็ ตัวของลาวาอย่างรวดเร็ว เช่น หนิ บะซอลต์ หนิ พัมมิช หินสคอเรีย หินแอนดีไซต์ หินไรโอไลต์ หนิ ออบซเิ ดยี น (หนิ แก้วภเู ขา
ไฟ) นอกจากน้ีแล้วยังแบ่งไดเ้ ปน็ 1) มีพรุน หินพัมมชิ หินสคอเรยี และหินบะซอลต์ และ 2) ไม่มีรูพรนุ หนิ แอนดีไซต์
หินไรโอไลต์ หนิ ออบซเิ ดียน (หินแก้วภเู ขาไฟ) และยังมหี ินท่ีลอยนา้ ได้ เช่น หินพัมมิช และหินสคอเรีย

• หินตะกอน (Sedimentary Rock) หมายถงึ หนิ ทีเ่ กิดจากการผพุ ังของหนิ ชนิดใดก็ได้ที่ผวิ โลก แลว้ ถูกแรงนา้ แรงลม
พดั พามาทบั ถมอดั ตวั กนั หรือตกตะกอน เช่น กรวด ทราย เศษหนิ ดิน โคลน รวมท้ังซากพชื ซากสตั ว์ โดยมวี ัตถุประสานใหต้ ดิ กัน

ตวั อยา่ งวตั ถุประสานทีพ่ บในหนิ ตะกอน เช่น ซิลกิ า เหล็กออกไซด์ แคลเซียมคารบ์ อเนต เปน็ ตน้ ซง่ึ หนิ ตะกอน
นอกจากจะเกิดในนา้ แล้ว ยังอาจจะเกดิ บนบกได้ เช่น ศลิ าแลง

• หินแปร (Metamorphic Rock) หมายถึง หินท่ีแปรสภาพจากหินอัคนี หรอื หนิ ตะกอน ซึ่งเปล่ยี นแปลงท้ังชนดิ แร่
ประกอบและโครงสรา้ งของเน้ือหนิ โดยเป็นผลจากความร้อนและแรงดนั ภายในโลก

ประเภทของหินแปร จาแนกได้ 2 ชนดิ คือ 1) หินแปรทไี่ มม่ ีรอยขนาน ไดแ้ ก่ หินออ่ น หนิ ควอร์ตไซต์
2) หินแปรที่มรี อยขนาน ได้แก่ หนิ ชนวน หินไนส์ หินชดี ต์ หนิ ฟลิ ไลต์

• วฏั จักรของหนิ (Rock Cycle) โดยเรมิ่ ตน้ ตงั้ แตห่ นิ หนดื เย็นตัวลงกลายเปน็ หินอคั นี เมื่อหินอัคนเี กดิ การผกุ ร่อน
เนอ่ื งจากธรรมชาติและมนุษย์ โดยมกี ระแสลม กระแสน้าช่วยพัดพาตะกอนไปทับถมกนั และมวี ัตถปุ ระสานกลายเปน็ หนิ ตะกอน
ขึ้น เมอ่ื หินอัคนีและหินตะกอนได้รบั ความร้อนและแรงดนั ภายในโลกจะเปล่ียนเปน็ หินแปร และหินแปรทีถ่ ูกแรงอดั ใหล้ กึ ลงไปใต้
ผวิ โลกจะหลอมเหลวกลบั เป็นหินหนืดได้อีก กระบวนการเปลย่ี นแปลงและหมนุ เวยี นเช่นน้ี เรยี กว่า วฏั จกั รของหิน

ค้าช้ีแจง ใหน้ กั เรยี น X ลงบนข้อที่ถกู ต้องทสี่ ุด

1. จากกระบวนเกดิ หนิ ขอ้ ใดเกดิ ขน้ึ เปน็ อนั ดับแรก

ก. การพัดพา การทบั ถม ข. การสึกกร่อน ค. การหลอมเหลว การเยน็ ตัว ง. การแปรสภาพ (ความรอ้ นและแรงกดดัน)

2. หินชนดิ ใดเปน็ ต้นกาเนิดของหนิ ท้ังหมด

ก. หินอคั นี ข. หินชัน้ ค. หนิ แปร ง. หนิ ตะกอน

3. หนิ ทเ่ี กิดจากการเย็นตัวของแมกมา คือหินชนดิ ใด

ก. หินอคั นี ข. หนิ ช้ัน ค. หนิ แปร ง. หนิ ดนิ ดาน

4. ขอ้ ใดไม่ใช่ หนิ อัคนี

ก. หนิ แกรนิต ข. หินบะซอลต์ ค. หินศลิ าแลง ง. หินสคอเรยี

5. หนิ แปรเป็นหินที่แปรมาจากหนิ ชนิดใด

ก. หนิ อัคนี ข. หินชั้น ค. หนิ แปร ง. หินอัคนีและหินตะกอน

6. หนิ ชนิดใดฟูก่ รด

ก. หินทราย ข. หินปูน ค. หนิ แกรนติ ง. หนิ สคอเรยี

7. องคป์ ระกอบสาคัญที่ทาให้เกิดหินตะกอนคอื ขอ้ ใด

ก. การแปรสภาพ ( ความรอ้ น และแรงกดดัน) ข. การหลอมเหลว และการเยน็ ตัว

ค. การสกึ กร่อน และการทับถม ง. ความดนั และการกัดเซาะ

8. หินชนดิ ใดลอยน้าได้

ก. ศิลาแลง หินพัมมิช ข. หินปนู หนิ ออบซิเดียน ค. หินสคอเรีย หนิ พัมมิช ง. หินแกรนติ หินบะซอลตแ์ บบมีรูพรนุ

9. หินชนดิ ใดใชท้ าหินลับมดี

ก. หนิ ปูน ข. หินทราย ค. หินดนิ ดาน ง. หนิ กรวดมน

10. หินแปรมีลักษณะเดน่ อยา่ งไร

ก. มีฟอสซลิ ข. มรี วิ้ ขนาน ค. มผี ลึกแวววาวสวยงาม ง. มีความแขง็ แกรง่ มาก

11. หนิ ตะกอนชนดิ ใดที่มักเกิดขึน้ บนบก

ก. หนิ ทราย ข. หินดนิ ดาน ค. ศิลาแลง ง. หนิ กรวดมน

12. ขอ้ ใดกล่าวถูกต้อง

ก. กระบวนการการเย็นตัวและการหลอมเหลวทาใหเ้ กดิ หนิ ตะกอน

ข. กระบวนการกรอ่ นและการทับถมของตะกอนทาให้เกิดหนิ แปร

ค. กระบวนการแปรสภาพ ( ความร้อน, แรงกดดัน) ทาใหเ้ กดิ หนิ อัคนี

ง. กระบวนการเกดิ การเปลย่ี นแปลงและการหมุนของหนิ อคั นี หนิ ตะกอนและหินแปร เรยี กว่า วฏั จักรของหนิ

คะแนนเตม็ 12 การทดสอบหลังเรียนเป็นการวดั ผลสัมฤทธ์ิว่า เมอ่ื นักเรียนศึกษาแล้วมีความรูค้ วามเขา้ ใจในเนอื้ หาเพียงใด
คะแนนทไี่ ด้ ............................... • ถา้ ได้คะแนนน้อยกว่า 6 ข้อ ไม่ตอ้ งเสยี ใจ ขอให้นกั เรียนเริม่ ศึกษาเนื้อหาใหม่ตง้ั แต่ต้นอกี คร้งั
• ถา้ ไดค้ ะแนน 6-9 ข้อ แสดงว่า นักเรียนผ่านเกณฑ์ให้ศกึ ษาเรื่องต่อไป
ผ้ตู รวจ • ถา้ ได้คะแนน 10-12 ขอ้ แสดงว่า นกั เรยี นผ่านเกณฑแ์ ละอยู่ในระดับดเี ยี่ยม ใหศ้ ึกษาเร่ืองตอ่ ไปได้และ
ใหร้ กั ษามาตรฐานท่ีดีเย่ยี มไว้....จ้า

โครงสร้างของโลกชน้ั นอกสุด คือ เปลือกโลก มสี ว่ นประกอบทส่ี าคัญ คอื หิน ซง่ึ เกดิ จากการรวมกันของแร่ทต่ี กผลกึ มาจาก
หินหนืด ดังนั้น หินทกุ ชนิดจงึ ประกอบไปดว้ ยแร่ อาจจะมีแร่เพยี งชนดิ เดยี ว หรอื มากกวา่ 1 ชนิดขึน้ ไป แร่นอกจากจะเปน็
สว่ นประกอบที่สาคญั ของดินและหินแลว้ แรย่ ังเป็นทรัพยากรธรณที ีม่ ีบทบาทในชีวติ ประจาวนั ของมนุษย์มาก มนุษยน์ าแรห่ ลาย
ชนดิ มาใชป้ ระโยชน์ ตวั อยา่ งเช่น ใชเ้ ปน็ วตั ถุดิบในผลติ ภณั ทท์ างดา้ นอตุ สาหกรรมตา่ งๆ ได้แก่ ดบี ุก ตะกวั่ สงั กะสี ยิปซัม ใช้ทา
เครอื่ งประดับซึง่ เป็นทนี่ ิยมกันทว่ั โลก เชน่ ทอง เพชร พลอย เปน็ ต้น

1. อธิบายคุณสมบตั ิท่สี าคัญของแร่ และทดสอบสมบัติบางประการของแร่ได้
2. จาแนกชนดิ ของแรแ่ ละยกตวั อยา่ งแรท่ ่ีสาคญั ของประเทศไทยได้
3. เปรียบเทียบกระบวนการเกดิ สมบตั ิ และการใชป้ ระโยชน์ รวมท้ังอธิบายผลกระทบจากการใช้เชื้อเพลิงซากดึก

ดาบรรพ์จากข้อมลู ทร่ี วบรวมได้
4. แสดงความตระหนักถึงผลจากการใช้เชอื้ เพลิงซากดกึ ดาบรรพ์ โดยนาเสนอแนวทางการใชเ้ ชอ้ื เพลิงซากดึกดาบรรพ์
5. เปรยี บเทยี บข้อดีและขอ้ จากัดของพลังงานทดแทนแต่ละประเภทจากการรวบรวมขอ้ มูล และนาเสนอแนวทาง

การใชพ้ ลงั งานทดแทนที่เหมาะสมในทอ้ งถิ่น

คำสำคญั

- คณุ สมบัตขิ องแร่ - ความแขง็ ของแร่ - ชนดิ ของแร่
- แรอ่ ัญมณี - แรโ่ ลหะ - แร่อโลหะ
- แรเ่ ชือ้ เพลิงซากดึกดา้ บรรพ์ - พลังงานทดแทน

พิจารณาขอ้ ความต่อไปนแี้ ล้วเขียนเครอื่ งหมาย / หนา้ ข้อความที่ถูกตอ้ ง และเขียนเครื่องหมาย X หนา้ ข้อความที่
ไมถ่ ูกตอ้ ง
..............1. ถา้ นาแร่ชนิด A ไปขูดแรช่ นิด B แล้วแร่ชนดิ B เกิดรอยขน้ึ แสดงว่า แรช่ นิด A มีความแข็งนอ้ ยกวา่

แรช่ นดิ B
..............2. เพชรจัดเปน็ แรช่ นดิ หน่ึงซ่งึ มคี วามแขง็ แรงมากท่ีสุด
..............3. แกรไฟต์ จดั เปน็ แร่ชนดิ หน่ึงมีสีดา ใช้ทาไสด้ ินสอ สามารถนาไฟฟา้ ได้
..............4. ปโิ ตรเลยี มไม่จดั เป็นแร่ เพราะมคี ุณสมบัติคล้ายแอลกอฮอล์ทีส่ ามารถตดิ ไฟไดง้ า่ ย
..............5. พลังงานลม พลงั งานแสงอาทิตย์ หรือพลงั งานน้า เป็นแหลง่ พลังงานทดแทนเม่ือพลังงานเชอ้ื เพลิงหมดไป

แร่ หมายถึง ธาตุหรอื สารประกอบอนนิ ทรีย์ท่ีเกิดขน้ึ เองตามธรรมชาติในรปู ของผลึก

ซ่งึ เปน็ สมบัตเิ ฉพาะตวั ของแร่ แรต่ ่างชนดิ กนั จึงมรี ูปผลกึ ต่างกนั และเรยี กบรเิ วณที่พบแร่ทีม่ ี

ประโยชนว์ า่ ……………...........…………………..(Mineral Deposit) รวมท้งั เรยี กส่วนของแรท่ ีน่ า

มาแยกธาตุที่เปน็ องค์ประกอบได้ว่า........................................ (Ore)

8.1 สมบตั ิของแร่ทางกายภาพ

แรต่ า่ งชนดิ กนั จะมีสมบัติทางกายภาพแตกต่างกัน ดังนี้

8.1.1) รูปผลกึ แรต่ า่ งชนิดกันจะมรี ปู รา่ งผลึกตา่ งกัน ซง่ึ เป็น

สมบตั ิเฉพาะ ทาใหส้ ามารถนาไปใช้ตรวจสอบชนดิ แรไ่ ด้ เช่น

........................................ มผี ลกึ เปน็ รปู สเ่ี หลยี่ มขนมเปยี กปนู

8.1.2) สี สังเกตได้ด้วยตาเปล่า โดยแรท่ มี่ ีองค์ประกอบต่างกัน

จะทาให้มีสีของแร่ต่างกนั แร่บางชนิดมีสเี ป็นคุณสมบตั ิเดน่ เฉพาะตวั ภาพที่ 2.87 แคลไซตม์ ีผลกึ เปน็ รปู สเ่ี หลย่ี มขนมเปยี กปนู

ซง่ึ เหน็ สีเพยี งสเี ดียวกบ็ อกได้ทนั ทีวา่ เป็นแรช่ นดิ ใด เข่น แร่มาลาไคต์

(Malachite) ม.ี .............................. เท่านั้น

8.1.3) สผี งละเอียด สังเกตได้โดยนาก้อนแรข่ ีดลงบนกระเบื้อง

ทม่ี ผี ิวหยาบ หรือใช้วธิ บี ดก้อนแรใ่ ห้เป็นผงแล้วสงั เกตสีของแร่ ซึง่ สี

กับสผี งละเอียดของก้อนแร่อาจแตกต่างกัน เช่น แร่เหลก็ (ฮีมาไทด์)

มสี ดี า แต่สีผงละเอยี ดเป็นสี...................................................

8.1.4) ความแข็ง หมายถึง ความคงทนของแร่ต่อการถกู ขูด

หรือขดู วัตถุอ่ืนได้มากน้อยเพียงใด ในการทดสอบความแข็งของแร่

แร่ท่ีมีความแขง็ ..................จดั วา่ เปน็ แรอ่ ่อนท่ีสดุ ส่วนแร่ท่ีมีความแข็ง

.................จดั ว่าเปน็ แร่ท่ีแขง็ ท่ีสดุ ซงึ่ แรท่ แี่ ขง็ กว่าจะทาให้เกิดรอยขดู

บนผวิ แร่ท่อี อ่ นกว่าเสมอ โมห์ส์ (Mohs) เป็นผูท้ ี่กาหนดความแขง็ แรง ภาพท่ี 2.88 แร่มาลาไคตเ์ ป็นแรท่ มี่ สี ีเขยี วเท่าน้นั

ของแร่ไว้ดงั ตารางต่อไปนี้ ตารางที่ 18 ความแข็งของแรโ่ ดยโมหส์ (์M(Maloachhsi)te) มี............................... ทา ั้

ความแขง็ ตัวอย่างแร่ ผลการทดสอบ

ออ่ นทสี่ ดุ 1 ทัลก์ (Tale) ........................................................
2 ยิปซัม (Gypsum)

3 แคลไซต์ (Calcite)

4 ฟลอู อไรต์ (Fluorite) ........................................................

5 อะพาไทต์ (Apatite)

6 ออรโ์ ทแคลส (Orthoclase)

7 ควอรต์ ซ์ (Quartz)

8 โทแพส (Topaz) ........................................................

แข็งทสี่ ดุ 9 คอรันดัม (Corundum)

10 เพชร (Dimond)

8.1.5) ความวาว เป็นลักษณะแสงสะท้อนที่เกิดท่ีผิวหน้าของแร่เมื่อมแี สงตกกระทบ ซ่ึงแร่
ต่างชนิดกันจะมคี วามวาวต่างกนั แบง่ ออกเปน็ 2 กลุม่ ใหญ่ คอื
...........................................................และ...................................................... ความวาว
ของแร่มหี ลายแบบ เข่น วาวแบบโลหะ วาวแบบแก้ว เช่น แคลไซต์ โทแพส ควอร์ต
ฟลอู อไรด์ วาวแบบไข่มกุ เช่น........................................ วาวแบบเพชร เชน่ ..................... วาวแบบใยไหม วาวแบบยางสน
เป็นตน้
*8.1.6) ความหนาแนน่ ของสาร หมายถึง ค่ามวลของสารนั้นต่อ 1 หนว่ ยปรมิ าตร ความหนาแนน่ เปน็ สมบัตเิ ฉพาะตัวของ
สาร โดยสารชนดิ เดยี วกนั จะมีความหนาแนน่ เทา่ กัน ภายใตส้ ภาวะเดยี วกนั
เมอื่ D หมายถงึ ความหนาแนน่ ของสารมีหน่วยเปน็ g/cm3 หรอื kg/m3
สตู ร M หมายถึง มวลของสาร มีหนว่ ยเปน็ g หรือ kg
V หมายถึง ปริมาตรของสาร มหี น่วยเป็น cm3 หรอื m3
การเปรยี บเทียบความหนาแน่นของสารชนิดต่าง ๆ นยิ มเปรียบเทียบกับความหนาแน่นของนา้ อัตราส่วนเปรยี บเทียบ
ระหว่างความหนาแนน่ ของสารกับความหนาแน่นของนา้ เรียกว่า ความหนาแน่นสัมพทั ธ์ หรอื ความหนาแน่นสัมพทั ธ์ของแร่
หรือ ความถ่วงจ้าเพาะ โดยเขยี นความสัมพันธไ์ ดด้ งั น้ี

เนอ่ื งจากความหนาแน่นของน้า = 1 g/ cm3
ดังน้ัน ความหนาแนน่ สัมพทั ธ์ของแร่จะมีค่าเท่ากับความหนาแน่นของแร่ แต่ความหนาแน่นสมั พัทธ์ของแรไ่ ม่มหี น่วย

ตวั อย่าง ความหนาแน่นของแร่ควอร์ตซ์ = 2.65 g/ cm3

ความหนาแนน่ ของนา้ = 1 g/ cm3

 ความหนาแน่นสัมพัทธข์ องแรค่ วอร์ตซ์ = = 2.65

ในการบ่งบอกชนดิ ของแร่จะตอ้ งพจิ ารณาจากสมบัติของแรห่ ลายประการประกอบกัน เนื่องจากสมบตั เิ ฉพาะตัวบาง
ประการของแรบ่ างชนดิ จะคล้ายกนั มาก จนจาแนกชนิดของแรไ่ ด้ยาก

8.1.7) คณุ สมบัติอื่น ๆ
- กลน่ิ เช่น อารเ์ ซนกิ เป็นกล่ินกระเทยี ม
- รสชาติ เช่น เฮไลด์ จะออกรส.........................
- การสมั ผัส เชน่ ทัลก์ เม่ือสัมผัสจะลน่ื มือคล้าย............................
- เปน็ ฟองฟเู่ มอื่ ถกู กรด ไดแ้ ก่ กลุ่มแรค่ ารบ์ อเนต เชน่ .........................................โดโลไมต์
- แม่เหลก็ ดดู ติด เช่น แมกนีไทด์ ตดิ แม่เหล็กไดด้ ี ตดิ แมเ่ หลก็ อยา่ งอ่อน เช่น ฮีมาไทด์

8.2 ชนิดของแร่ แร่แบ่งออกเปน็ 5 ชนดิ ดงั นี้

8.2.1 แร่กมั มนั ตรงั สี เป็นแร่ท่ีไม่สเถียร มลี ักษณะพิเศษคือ เป็นแร่ท่ีแปล่งแสงได้ จะเป็นโลหะหรืออโลหะก็ได้ จะ

มกี ารสลายตวั ตลอดเวลาและปลอ่ ยรังสีออกมา ซง่ึ ได้แก่ รังสบี ตี า รงั สีแอลฟาและรงั สีแกมมา นาใช้ประโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ เช่น
ดา้ นอุตสาหกรรม - แร่ยูเรเนียม ใชเ้ ปน็ เช้อื เพลิงในเตาปฏกิ รณ์ปรมาณู เป็นเชือ้ เพลิงในโรงงานไฟฟา้ ปรมาณู
- รังสแี กมมา ใชต้ รวจรอยรัว่ ของท่อสง่ แก๊ส หรือ เครือ่ งจกั ร
ด้านการเกษตร - รงั สีแกมมา มาจากโคบอลต์–60 ชะลอการสกุ ของผลไม้ ทาลายเช้ือรา แบคทเี รียทาลายพยาธิตวั ตืด
ในแหนม

ดา้ นการแพทย์ - ไอโอดีน-131 ใช้ตรวจความผดิ ปกตขิ องต่อมธยั รอยด์
- โคบอลต์–60 – ใชร้ กั ษาโรคมะเรง็ เน่ืองจากอายุของรงั สีนอ้ ยกว่าเรเดยี ม-226
- เรเดียม–226 – ใชร้ ังสียับย้งั การเจรญิ เตบิ โตของเซลลม์ ะเร็ง

8.2.2 แร่รตั นชาติ หรอื อญั มณี เปน็ แร่อโลหะซึง่ เปน็ สารประกอบอนินทรยี ์ที่นามาใช้เป็นเครื่องประดับ มสี มบตั ิที่

สาคญั คือ ความสวยงาม คงทน และหายาก เช่น เพชร มรกต บษุ ราคัม โกเมน เพทาย ทบั ทิม เขยี วส่อง ไพลิน สว่ นแร่รัตนชาติ
ทเี่ ป็นสารประกอบที่เกดิ จากสง่ิ มชี ีวิต ไดแ้ ก่ ...........................................................................................

การแบ่งกลุ่มแร่รัตนชาติ แบง่ ไดเ้ ป็น 2 กลุ่มคือ
1) เพชร
2) พลอย หรือ หนิ สี

8.2.3 แรโ่ ลหะ เกดิ ในรปู ของสารประกอบออกไซด์ หรืออยใู่ นรูปสารประกอบซลั ไฟต์ เมื่อนามาใช้ประโยชน์ จงึ ตอ้ งนา

สนิ แร่ไปถลุงแยกโลหะออกจากสินแร่เสยี กอ่ น ซึ่งแรโ่ ลหะที่พบในลกั ษณะแร่บรสิ ทุ ธ์ิ เชน่ ทองคา ทองคาขาว ตัวอย่างแร่โลหะ

เช่น ดีบกุ ตะก่วั เหล็ก ทองแดง พลวง เปน็ ต้น

ตารางท่ี 19 ตัวอยา่ งแร่โลหะและคณุ สมบตั ิบางประการของแรโ่ ลหะ

แร่โลหะ มาจากสนิ แร่ ลักษณะของแร่

พลวง (Sb) สติบไนต์ -เปน็ ของแข็งสีดา ไมเ่ ป็นมนั วาว มีแรค่ ล้ายเส้ียนไม้เปน็

องคป์ ระกอบ

เหล็ก (Fe) ฮมี าไทด์ -เปน็ ของแข็งสีดา แต่ขูดกับกระเบอ้ื งผงเปน็ สีแดงอฐิ

ตะกวั่ (Pb) กาลนี า -เป็นของแขง็ สีดา เปน็ มนั วาว มีแผ่นไมก้าเป็นองค์ประกอบ

8.2.4 แรอ่ โลหะ เป็นแร่ที่ขดุ นามาใช้เลย โดยไมน่ าไปถลุง เช่น กามะถนั เฟลดส์ ปาร์ ไมกา ฟลูออไรด์ แคลไซต์ เกาลนิ

แกรไฟต์ เปน็ ตน้

ตารางที่ 20 ตัวอยา่ งแร่อโลหะและคณุ สมบตั บิ างประการของแร่อโลหะ

แร่อโลหะ ลักษณะของแร่

แกรไฟต์ -เป็นของแข็งสีดา นาไฟฟ้า ขูดกบั กระเบื้องแลว้ เป็นผงสดี า ใช้ทาไส้ดนิ สอ

แคลไซต์ -เป็นของแข็งสีขาว มีความแข็งระดบั 3 ใชม้ ีดขดู เป็นรอย

ฟลูออไรด์ -เปน็ ของแขง็ สีเขยี วหรือสีม่วง มีความแข็งระดับ 3 ใช้มีดขดู เป็นรอย

8.2.5) แร่เช้อื เพลิงซากดึกดาบรรพ์ หมายถึง แร่ท่ีเป็นต้นกาเนิดของพลงั งาน

ความร้อน ทาปฏกิ ริ ิยากับออกซิเจนไดด้ ี ซง่ึ เกดิ จากการทบั ถมของอินทรยี สารซากดึกดาบรรพ์
เป็นเวลานานหลายรอ้ ยปี โดยกระบวนการเคมีทางเคมีและธรณวี ทิ ยา ทาให้สารอินทรยี ์
โมเลกุลใหญ่เกดิ ปฏิกริ ยิ าแยกสลายเป็นธาตุคารบ์ อน และสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน โมเลกุลเล็กกว่าเดมิ หลายชนดิ ปนอยู่
ด้วยกัน ซึ่งสามารถแยกสว่ นประกอบตา่ งๆออกมาใช้ประโยชนใ์ ห้ตรงกับสมบตั ขิ องส่วนประกอบเหลา่ นน้ั ซากดึกดาบรรพ์ที่
นามาใชป้ ระโยชน์มาก ไดแ้ ก่ ...................................................................................................................................................

1) ถา่ นหิน (Coal) มลี กั ษณะแข็ง เปราะ ผิวเปน็ มันหรอื ดา้ น สนี ้าตาลเขม้ จนถึงสดี า ประกอบด้วย ธาตุคาร์บอน
ซง่ึ เปน็ องค์ปะกอบหลกั รองลงมา คือ ไฮโดรเจนและออกซิเจน โดยถ่านหินเกดิ จากซากพืชทับถมกัน.......................................
....................................................ใต้พ้นื ดนิ เป็นเวลานานนบั ล้านปี เมอ่ื ถูกบีบอัดด้วยแรงกดดันและความร้อนมหาศาลในภาวะทีม่ ี
ออกซิเจนนอ้ ยหรือไมม่ ีออซิเจน ซากพชื ดังกล่าวจะเกิดการยอ่ ยสลายอย่างช้าๆ กลายเป็นสารประกอบท่ีมีคาร์บอนเป็น
ส่วนประกอบหลัก เรียกวา่ ......................................

ในประเทศไทยมีการนาถ่านหินมาใช้หลายชนดิ โดยถา้ ใชป้ ริมาณธาตุคารบ์ อนต่างกันที่เป็นสว่ นประกอบเป็นเกณฑ์
จะแบ่งออกเปน็ ชนั้ ๆ คือ

1.1) พตี (Peat) – มคี าร์บอนเปน็ ส่วนประกอบ ร้อยละ 60 เปน็ ลาดบั แรกของการเกิดถ่านหนิ เปน็ ถ่านหินท่ียังย่อย
สลายไม่หมด ยงั เหน็ เปน็ ลักษณะซากพืช .................................................................เมือ่ แหง้ จะตดิ ไฟได้ดี มีสีน้าตาลถงึ สีดา ใชเ้ ปน็
เชือ้ เพลิงในบ้าน ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า มปี ริมาณกามะถันตา่ ผลกระทบด้านการเกิด SO2 น้อย

1.2) ลกิ ไนต์ ( lignite) – มีคาร์บอนเปน็ ส่วนประกอบ ร้อยละ 55-60 พบซากพืชเหลอื อยู่บา้ งเล็กน้อย เป็นของแข็ง
สีดา หรอื สีนา้ ตาลเขม้ หนักเมอื่ จบั .....................................................................................ผิวดา้ น ความชื้นต่า ใช้เปน็ เชอ้ื เพลิง
ในโรงงานอุตสาหกรรมตา่ งๆ เชน่ โรงงานไฟฟ้า โรงงานบ่มยาสบู

ภาพท่ี 2.89 พีต ภาพที่ 2.90 ลกิ ไนต์

1.3)(บMิทaมูlaินchัสit(eB)itมuี..m....i.n...o...u..s..)...–....ม..คี...า.ร. ์บทอานเั้ ป็นส่วนประกอบ(Mรa้อlยacลhะit8e0) ม-ี..9..0.....ม...สี ..ีด...า...เ.ม...ื่อ..เ.ผ...า.ไหทามแ้ ั้ล้วจะใหค้ ่า
พลงั งานสูง ใชเ้ ป็นเชือ้ เพลิงใหค้ วามรอ้ น และใช้ผลติ กระแสไฟฟา้

1.4) แอนทราไซต์ (Anthracite) – มีคารบ์ อนเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 85 มีลกั ษณะเปน็ ก้อนของแข็ง

สี........................................................ เบากว่าลิกไนต์ ................................ แตถ่ า้ ตดิ ไฟแลว้ จะใหค้ วามร้อนสูงกว่าถา่ นหินชนิดอนื่

ไม่มสี ารอนิ ทรีย์ระเหยออกมาขณะเผาไหม้ ใช้ผลติ กระแสไฟฟา้ และอตุสาหกรรมท่ใี ชเ้ คร่ืองจักรไอนา้

ภาพท่ี 2.91 บทิ ูมินสั ภาพท่ี 2.91 แอนทราไซต์

ในประเทศไทยพบถา่ นหนิ ทกุ ชนดิ แตช่ นดิ ที่พบมากทส่ี ดุ คือ ........................................
ซ่งึ มีคุณภาพอยใู่ นเกณฑ์ต่า ให้พลงั งานความร้อนไม่สงู มาก โดยทอ่ี าเภอ................................
................................................ เป็นแหล่งถา่ นหนิ ทใี่ หญท่ สี่ ุด ประมาณร้อยละ 97 ของปรมิ าณ
สารอง รองลงมา คือ เหมอื งกระบ่ี จงั หวัดกระบี่ โดยการไฟฟา้ ฝ่ายผลิตแหง่ ประเทศไทยเปน็ ผู้ดาเนนิ การผลิตถ่านหนิ เพ่ือนาไปใช้
ผลติ กระแสไฟฟ้า

ภาพท่ี 2.92 โรงงานไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลาปาง แหลง่ ผลติ กระแสไฟฟา้ ภาพที่ 2.93 โรงงานไฟฟา้ กระบี่ จ.กระบี่แหลง่ ผลิตกระแสไฟฟา้

ที่ใหญ่ทสี่ ุดของไทย อนั ดับท่สี องของไทย

2) หินนา้ มนั (oil shale)
หนิ น้ามนั เกิดจาก.......................... โดยเฉพาะ................................................ และซากสตั ว์น้าเลก็ ๆ ที่ทับถม ในแหล่งน้า

ผสมกับโคลนตม กรวด หิน ดนิ ทราย ในทท่ี เี่ คยเปน็ แอ่งนา้ ขนาดใหญ่มาก่อน ภายใต้อุณหภมู ิและความดนั สูง มีปรมิ าณแก๊ส
ออกซิเจนจากัดใต้ผิวโลกเป็นเวลานานนับลา้ นๆ ปี จงึ เกดิ การเปลยี่ นแปลงไปเป็นหนิ ตะกอน เน้ือละเอียดเรียงตวั เป็นช้ันบางๆ
ท่ีมอี ินทรยี สารประเภทเคอโรเจนและอนินทรียสารหลายชนดิ แทรกอยู่ เม่ือให้ความร้อนประมาณ 500 0C สารบางสว่ นจะระเหย
ออกไปเหลือแต่สารอินทรีย์ ลักษณะหยุ่ยๆ ต่อมาจะแข็งตวั กลายเปน็ ......................................................และแกส๊ ไฮโดรคาร์บอน
ออกมา ในประเทศไทยพบหินนา้ มันอยู่มากที่ ....................................................................................................

ภาพที่ 2.94 หนิ นา้ มนั ภาพท่ี 2.95 พบหนิ น้ามันมากท่ี อาเภอแมส่ อด จ.ตาก

3) ปโิ ตรเลยี ม (Petroleum) เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ซ่ึงมธี าตุคารบ์ อนและไฮโดรเจนเป็นองคป์ ระกอบหลัก มที งั้
สถานะแก๊ส ของแข็งและของเหลว ซงึ่ หมายรวมถึง ......................................และ......................................... ปโิ ตรเลยี มเกดิ ข้ึนเอง
ตามธรรมชาติ เกดิ จากซากพืชซากสัตว์ จานวนมหาศาลทับถมปะปนอยู่กบั โคลนตมในทะเลเปน็ เวลานับล้านๆ ปี ตอ่ มาโคลนตม
และดนิ ทราย ท่ีทับถมอย่นู ้นั ค่อยๆ แข็งตวั กลายเป็นชน้ั หนิ ดนิ ดาน ในขณะที่ซากพืชซากสตั วก์ ลายเปน็ ......................................
ไหลไปอยู่ในบริเวณทีเ่ ป็นแอง่ หากบรเิ วณแอ่งน้ันมีความร้อนจากภายในโลกจะทาใหน้ า้ มันกลายเปน็ ไอ กลายเป็นแก๊สแทรกอย่ใู น
ช้ันของดนิ และหิน

ปิโตรเลยี มจากแหลง่ กาเนิดตา่ งกนั จะมีปริมาณของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
สารประกอบของกามะถนั ไนโตรเจน และออกซิเจนแตกตา่ งกนั ขึน้ อยูก่ ับชนดิ ของซากพืช
และซากสัตว์ทีเ่ ปน็ ตน้ กาเนิดของปิโตรเลียม ซงึ่ เช้ือเพลงิ ที่มีคณุ ภาพดีจะมีปริมาณกามะถนั
และไนโตรเจนปนอยู่น้อย ปโิ ตรเลียมจะอยู่ในรปู ของของเหลวและแกส๊ ของเหลวนนั้ เรียกว่า..............................................นามา
ทานา้ มนั เชอื้ เพลิงหลายชนิด รวมทงั้ นาไปทาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลยี ม และเป็นวตั ถดุ ิบในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ส่วนที่เปน็ แก๊ส คือ
แกส๊ ธรรมชาติหรอื แก๊สธรรมชาตเิ หลว ใชท้ าเช้อื เพลงิ ในการหุงตม้ และทาเปน็ วัตถดุ ิบในการผลติ เมทานอล ปุ๋ย และผลิตภณั ฑ์
ปโิ ตรเลียม
ประเทศไทยสารวจน้ามันดบิ ครง้ั แรกท่ี.................................................................................................... เมอ่ื พ.ศ. 2464
จากนนั้ ก็คน้ พบแหลง่ อ่นื ๆ ทง้ั บนบกและอา่ วไทย เชน่ แหล่งวิเชยี รบรุ ี อาเภอวเิ ชยี รบุรี จงั หวัดเพชรบรู ณ์ แหล่งอู่ทอง อาเภอ
อทู่ อง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยแหลง่ สิริกติ ์ิ อาเภอลานกระบือ จงั หวัดกาแพงเพชร เป็นแหล่งกักเก็บน้ามนั ดิบทมี่ ปี ริมาณน้ามันดบิ
มากทส่ี ดุ

ภาพท่ี 2.96 กระบวนการเกิดแกส๊ ปิโตรเลียมและแกส๊ ธรรมชาติ

ภาพท่ี 2.97 การขุดเจาะนา้ มนั ดบิ

การใชป้ ระโยชน์จากนา้ มันดิบและแก๊สธรรมชาติใน
กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ จะทาใหเ้ กดิ มลพิษทางอากาศ
ซึง่ ส่งผลกระทบต่อส่งิ มชี ีวติ และส่ิงแวดล้อม นอกจากนี้
แกส๊ บางชนิดทีเ่ กิดจากการเผาไหม้ เชน่ แก๊สคาร์บอนได-
ออกไซด์ ไนตรสั ออกไซด์ยังเป็นแกส๊ เรือนกระจก ซ่งึ สง่
ผลให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงภมู ิอากาศของโลกรนุ แรงขึน้

ภาพที่ 2.98 การกลั่นนา้ มนั ดิบ

ถา่ นหนิ น้ามันดบิ และแกส๊ ธรรมชาติล้วนเปน็ พลังงานสิน้ เปลอื ง (non-renewable energy
source) เม่ือนามาใชแ้ ลว้ ไมส่ ามารถสร้างแหล่งพลังงานดังกล่าวขน้ึ มาทดแทนไดใ้ นเวลาอนั รวดเร็ว
ทาให้แหล่งพลงั งานดงั กลา่ วค่อยๆ หมดลงตามปรมิ าณการใช้ประโยชน์ จงึ ตอ้ งหาแหล่งพลังงานมา
ทดแทน ได้แก่ ............................................................................................ (renewable energy source) เช่น พลังงาน
แสงอาทติ ย์ พลังงานลม พลังงานน้า พลังงานชีวมวล พลงั งานคลื่น พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลงั งานไฮโดรเจน ซง่ึ พลังงาน
ทดแทนแตล่ ะชนดิ จะมีข้อดีและข้อจากดั ที่แตกต่างกนั

ภาพท่ี 2.99 พลังงานแสงอาทติ ย์ ภาพท่ี 2.100 พลงั งานลม

ภาพท่ี 2.101 พลงั งานนา้ ภาพที่ 2.102 พลังงานชีวมวล

ภาพที่ 2.103 พลังงานคลื่น ภาพท่ี 2.104 พลงั งานความร้อนใต้พิภพ

ปจั จุบนั ประชากรของประเทศมีจานวนเพ่ิมข้นึ สง่ ผลใหม้ ีความต้องการใช้พลังงานสูงขนึ้ อาจทาให้เกดิ ปญั หาการขาดแคลน
พลงั งานในอนาคตได้ ทั้งนี้พลังงานทดแทนในรูปแบบต่างๆ ไดแ้ ก่ พลังงานแสงอาทติ ย์ พลงั งานลม พลังงานนา้ และพลังงาน
ชีวมวล สามารถช่วยแก้ปญั หาการขาดแคลนพลงั งานในอนาคตได้ แต่ทุกคนต้องตระหนักถึงคุณค่าของพลงั งาน และใช้อย่าง
ประหยดั เพ่ือให้มีใช้ต่อไปในอนาคต

• แร่ หมายถึง ธาตุหรือสารประกอบอนนิ ทรยี ท์ ่เี กิดขึ้นเองตามธรรมชาติในรูปของผลึก ซง่ึ เปน็ สมบตั เิ ฉพาะตัวของแร่ และ
เรยี กบริเวณที่พบแรท่ ี่มีประโยชนว์ า่ แหลง่ แร(่ Mineral Deposit) สว่ นเรยี กแร่ทนี่ ามาแยกธาตุองค์ประกอบไดว้ ่า สินแร่ (Ore)

• สมบตั ขิ องแร่ทางกายภาพ จะมสี มบตั ิทางกายภาพแตกต่างกัน ดังน้ี
1) รูปผลกึ เชน่ แคลไซตม์ ีผลึกเปน็ รปู สเ่ี หล่ียมขนมเปียกปูน
2) สี แรบ่ างชนดิ มสี เี ป็นคุณสมบัติเดน่ เฉพาะตัว เขน่ แรม่ าลาไคต์ (Malachite) มสี ีเขียวเทา่ น้ัน
3) สีผงละเอยี ด สังเกตไดโ้ ดยนาก้อนแร่ขีดลงบนกระเบื้องท่มี ผี วิ หยาบ หรือใช้วิธบี ดกอ้ นแร่ใหเ้ ป็นผง แลว้ สงั เกตสขี องแร่

เชน่ แร่เหล็กมีสดี า แต่สีผลละเอียดเปน็ สแี ดงอิฐ
4) ความแขง็ หมายถงึ ความคงทนของแรต่ ่อการถูกขดู หรือขูดวตั ถุอืน่ ไดม้ ากน้อยเพียงใด ในการทดสอบความแขง็ ของ

แร่ แรท่ ี่มีความแข็ง 1 จัดว่าเปน็ แร่อ่อนที่สุด ส่วนแรท่ ม่ี ีความแข็ง 10 จดั ว่าเป็นแรท่ ่แี ข็งท่สี ุด
5) ความวาว เปน็ ลกั ษณะแสงสะท้อนที่เกดิ ทีผ่ วิ หน้าของแร่เมื่อมีแสงตกกระทบ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ วาวแบบ

โลหะ และ วาวแบบอโลหะ และยังมีอีกหลายแบบ เข่น วาวแบบโลหะ วาวแบบแกว้ เชน่ แคลไซต์ โทแพส ควอรต์ ฟลูออไรต์
วาวแบบไข่มุก เชน่ ไข่มุข ทัลก์ วาวแบบเพชร เช่น เพชร วาวแบบใยไหม วาวแบบยางสน เป็นต้น

6) ความหนาแนน่ ของสาร หมายถงึ ค่ามวลของสารนั้นต่อ 1 หน่วยปริมาตร ความหนาแนน่ เป็นสมบัติเฉพาะตัวของสาร
โดยสารชนิดเดียวกันจะมีความหนาแนน่ เท่ากนั ภายใตส้ ภาวะเดยี วกัน

7) คณุ สมบัติอน่ื ๆ 1) กลนิ่ เช่น อารเ์ ซนกิ เป็นกลน่ิ กระเทยี ม 2) รสชาติ เช่น เฮไลด์ จะออกรสเค็ม
3) การสมั ผสั เช่น ทัลก์ เมอื่ สมั ผสั จะล่ืนมอื คลา้ ยสบู่
4) เป็นฟองฟู่เม่อื ถกู กรด ไดแ้ ก่ กลุ่มแร่คารบ์ อเนต เช่น แคลไซด์ โดโลไมด์
5) แม่เหล็กดูดตดิ เช่น แมกนีไทด์ ติดแม่เหล็กได้ดี ติดแม่เหลก็ อยา่ งออ่ น เชน่ ฮีมาไทด์

• ชนดิ ของแร่ แบ่งออกเปน็ 5 ชนิด ดังนี้
1) แร่กมั มันตรงั สี เปน็ แร่ท่ีไม่สเถยี ร มลี ักษณะพิเศษคือ เป็นแร่ท่ีแปล่งแสงได้ จะเปน็ โลหะหรอื อโลหะก็ได้ จะมีการ

สลายตวั ตลอดเวลาและปล่อยรังสีออกมา ซงึ่ ได้แก่ แอลฟา บตี า แกมมา ซ่งึ ใช้ประโยชน์ในดา้ นต่างๆ

2) แร่รัตนชาติ หรืออัญมณี เป็นแรอ่ โลหะซึ่งเปน็ สารประกอบอนนิ ทรยี ์ทีน่ ามาใช้ เป็น
เคร่อื งประดบั มสี มบัตทิ ่ีสาคัญ คือ ความสวยงาม คงทน และหายาก เช่น เพชร มรกต บษุ ราคัม
โกเมน เพทาย ทับทิม เขียวสอ่ ง ไพลิน สว่ นแร่รัตนชาติทเ่ี ป็นสารประกอบทเ่ี กิดจากสิ่งมีชวี ติ
ไดแ้ ก่ ไขม่ ุข ปะการงั แบง่ ได้เป็น 2 กลุ่มคือ 1) เพชร และ 2) พลอย หรือ หินสี

3) แรโ่ ลหะ เกิดในรูปของสารประกอบออกไซด์ หรืออยใู่ นรปู สารประกอบซัลไฟต์ เมือ่ นามาใช้ประโยชน์จึงต้องนาสินแร่
ไปถลงุ แยกโลหะออกจากสินแรเ่ สียกอ่ น เชน่ ทองคา ทองคาขาว ตัวอย่างแร่โลหะ เชน่ ดีบุก ตะกัว่ เหลก็ ทองแดง พลวง เป็นต้น

4) แรอ่ โลหะ เป็นแรท่ ีข่ ุดนามาใช้เลยโดยไม่นาไปถลงุ เชน่ กามะถัน ไมกา ฟลูออไรด์ แคลไซต์ เกาลิน แกรไฟต์ เป็นต้น
5) แรเ่ ช้อื เพลิงซากดึกด้าบรรพ์ หมายถึง แรท่ ่ีเปน็ ตน้ กาเนิดของพลงั งานความร้อน ทาปฏิกริ ิยากับออกซิเจนไดด้ ี ซง่ึ เกดิ
จากการทับถมของอินทรยี ์สารเปน็ เวลานานหลายร้อยปี ประกอบดว้ ยสารไฮโดรคารบ์ อน ไดแ้ ก่

5.1 ถา่ นหิน เกิดจากซากพืช ซึง่ แบง่ ออกเปน็ ช้ันๆ คอื พีท ลิกไนต์ บิทูมนิ สั แอนทราไซต์
5.2 หนิ นา้ มัน เกดิ จากซากพืช โดยเฉพาะสาหร่ายและและซากสตั วน์ ้าเลก็ ๆ ที่ทับถม ในแหลง่ น้าผสมกับโคลนตม กรวด
หิน ดิน ทราย ในทท่ี ่ีเคยเปน็ แอ่งนา้ ขนาดใหญ่มาก่อน
5.3 ปโิ ตรเลียม เกดิ จากซากพืชและซากสัตว์ ซ่ึงเปน็ พวกน้ามันดิบ แก๊สธรรมชาติ และแกส๊ ธรรมชาติเหลว

• แหลง่ พลังงานทดแทน ได้แก่ แสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้า พลงั งานชวี มวล พลังงานคล่นื พลงั งานความร้อนใต้
พภิ พ พลังงานไฮโดรเจน ซึ่งพลังงานทดแทนแตล่ ะชนิดจะมีข้อดแี ละข้อจากัดทแ่ี ตกตา่ งกัน

พจิ ารณาข้อความต่อไปนีแ้ ลว้ เขียนเครือ่ งหมาย / หนา้ ข้อความที่ถกู ตอ้ ง และเขียนเคร่ืองหมาย X หนา้ ข้อความทไ่ี มถ่ ูกต้อง

..............1. แรแ่ คลไซต์จะมีลักษณะของผลึกเฉพาะตวั เป็นรปู สเ่ี หล่ียมขนมเปยี กปนู
..............2. แรฮ่ มี าไทต์ซึ่งเป็นแร่ที่มสี ีดา เม่ือนามาขีดลงบนแผน่ กระเบ้ืองจะมีสีผงละเอยี ดเปน็ สีดา เป็นมันวาว
..............3. ฟลอู อไรด์ มคี วามแข็งระดบั 3 ใชเ้ ล็บขูดแรจ่ ะเกิดรอยท่กี ้อนแร่
..............4. เมือ่ สัมผสั แร่ทลั กจ์ ะรสู้ กึ ลน่ื มือคลา้ ยสบู่
...............5. แรม่ าลาไคล์มลี ักษณะเด่นเฉพาะตวั คือ มสี เี ขยี วเท่านั้น
..............6. บษุ ราคัม เป็นแรร่ ัตนชาตทิ ีม่ ีสนี า้ เงิน
..............7. พตี จะเป็นซากสัตว์ที่แห้ง สามารถตดิ ไฟได้ง่าย
..............8. แรโ่ ลหะไมต่ อ้ งนาแรไ่ ปถลุง สามารถนามาใชป้ ระโยชน์ไดเ้ ลย
..............9. ปโิ ตรเลยี มมีธาตุ C , H และ O เปน็ องคป์ ระกอบ แบ่งเปน็ น้ามนั ดบิ แกส๊ ธรรมชาตแิ ละแกส๊ ธรรมชาตเิ หลว
...............10. หินนา้ มนั เกดิ จากซากพชื โดยเฉพาะสาหร่ายและและซากสัตว์นา้ เล็กๆ ที่ทับถมกัน
..............11. ลกิ ไนต์ เป็นชนิดของถ่านหินทปี่ ระเทศไทยคน้ พบมากที่สุด
...............12. พลงั งานคล่ืน พลงั งานชวี มวล หรอื ความรอ้ นใต้พภิ พ เปน็ แหลง่ พลงั งานทดแทนเมื่อพลงั งานเช้ือเพลิงหมดไป

คะแนนเตม็ 12 การทดสอบหลังเรียนเปน็ การวัดผลสมั ฤทธิ์ว่า เมื่อนกั เรียนศึกษาแล้วมีความร้คู วามเข้าใจในเน้ือหาเพียงใด
คะแนนท่ีได้ ............................... • ถ้าได้คะแนนน้อยกว่า 6 ข้อ ไม่ตอ้ งเสยี ใจ ขอให้นกั เรียนเร่ิมศึกษาเนื้อหาใหม่ต้งั แต่ต้นอีกคร้ัง
• ถ้าไดค้ ะแนน 6-9 ข้อ แสดงว่า นกั เรยี นผ่านเกณฑใ์ หศ้ ึกษาเรอื่ งต่อไป
ผ้ตู รวจ • ถ้าได้คะแนน 10-12 ข้อ แสดงว่า นักเรียนผา่ นเกณฑแ์ ละอยู่ในระดับดีเย่ียม ใหศ้ ึกษาเร่ืองต่อไปไดแ้ ละ
ใหร้ กั ษามาตรฐานที่ดเี ยี่ยมไว้....จา้

ร่างกายของมนษุ ย์และสัตว์ต้องใช้น้าในกระบวนการต่างๆ เชน่ การย่อยอาหาร การลาเลยี งอาหารไปสู่สว่ นตา่ งๆ ของ
ร่างกาย การลาเลียงของเสยี ออกจากรา่ งกาย การปรับอณุ หภมู ิของร่างกาย ในร่างกายของมนษุ ยม์ ีน้าเปน็ องคป์ ระกอบรอ้ ยละ 60
หรือประมาณ 2 ใน 3 ของน้าหนกั รา่ งกาย โดยนา้ จะมีอยู่ท้ังในและนอกเซลล์ของอวยั วะตา่ งๆ เชน่ เลอื ด นา้ เหลือง ตับ ไต หัวใจ
ปอด ดงั นัน้ นา้ จึงเป็นทรพั ยากรท่มี คี ุณคา่ และมีความสาคัญต่อการดารงชวี ติ ของสิง่ มีชวี ิต

1. อธิบายปจั จัยและกระบวนการเกิดแหล่งน้าผวิ ดนิ และแหล่งน้าใตด้ นิ จากแบบจาลอง
2. อธบิ ายลักษณะและแบ่งประเภทของแหล่งน้าได้
3. อธิบายและทดสอบสมบัติท่วั ไปของนา้ ได้
4. บอกวธิ กี ารกาหนดคุณภาพของน้า และวิธีบาบัดนา้ เสียได้

คำสำคญั

- น้าผวิ ดิน - น้าใตด้ นิ - น้าบาดาล
- สมบัติของนา้ - วฏั จักรของนา้ - คณุ ภาพของน้า
- การก้าหนดคณุ ภาพของน้า - สารเคมใี นนา้

พจิ ารณาขอ้ ความต่อไปน้ีแล้วเขียนเคร่อื งหมาย / หน้าข้อความท่ีถกู ตอ้ ง และเขียนเคร่ืองหมาย X หนา้ ข้อความท่ี
ไมถ่ ูกต้อง
..............1. โลกของเรามสี ว่ นทเ่ี ปน็ พ้ืนดนิ มากกว่าสว่ นท่ีเปน็ พ้ืนนา้
..............2. เขือ่ นเป็นแหลง่ น้าที่มนษุ ย์สรา้ งขนึ้
..............3. ถา้ ขุดนา้ บาดาลมาใชม้ ากๆ อาจจะทาใหแ้ ผน่ ดินทรุดตวั ลงได้
..............4. การทีน่ ้าตาลทรายละลายนา้ ได้ดี แสดงวา่ นา้ มีคณุ สมบัติมีแรงดัน
..............5. นา้ ทใี่ ช้ในการบรโิ ภคจะต้องมีความสะอาดอยู่ในระดบั หนงึ่ มฉิ ะนน้ั จะก่อให้เกิด

ผลเสยี ต่อสขุ ภาพของมนุษย์ได้

นา้ เป็นปจั จัยสาคญั อย่างยง่ิ ในการดารงชวี ติ ของสง่ิ มีชวี ิตทุกชนิด มนุษยแ์ ละสตั ว์ใชน้ ้าในการบรโิ ภค ส่วนพืชใชน้ ้าเป็น

วัตถดุ บิ ในการสรา้ งอาหารดว้ ยวธิ กี ารสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง และนา้ ยงั เปน็ แหล่งที่อยู่อาศยั ของสัตว์นา้ และพืชบางชนิด รวมทั้งเปน็
องคป์ ระกอบสว่ นใหญ่ของส่ิงมชี วี ิตทกุ ชนดิ

9.1 แหล่งนา้ บนโลก

พน้ื โลกประกอบด้วยพื้นนา้ มากกว่าพื้นดิน โดยประกอบดว้ ยพนื้ นา้ ประมาณร้อยละ
................................หรอื ประมาณ .........................ใน.............................สว่ นของพนื้ โลกท้ังหมด
และนา้ บนโลกจะกระจายตัวอยู่ตามแหล่งตา่ ง ๆ ดังแผนภาพ

ภาพที่ 2.105 สดั สว่ นของปรมิ าณตามแหล่งๆ บนโลก

ขอ้ สังเกตจากแผนภาพ

นา้ บนโลกสว่ นใหญเ่ ป็นนา้ เคม็ มนี า้ จืดเพยี งร้อยละ 2.5
เท่าน้นั และสว่ นท่ีเป็นน้าจืดส่วนใหญ่เป็นนา้ แขง็ อยู่ตามข้ัว
โลกเหนือและขว้ั โลกใต้ นอกจากนีย้ งั มีนา้ จดื อีกส่วนหน่ึงอย่ใู น
บรรยากาศทเ่ี รยี กวา่ ไอน้า ดังน้นั มนษุ ย์จึงเหลือแหล่งน้าจืดที่
นามาใช้ประโยชนไ์ ดจ้ รงิ ๆ ไมถ่ งึ รอ้ ยละ 2 ซึ่งมีเพยี งแหลง่ น้า
ในแม่น้าทะเลสาบ และน้าบาดาลในช้นั ตน้ื เทา่ นนั้

9.1.1 ประเภทของแหล่งนา้ บนโลก แหลง่ น้าบนโลกจัดได้เป็น 2 ประเภท ดังน้ี

1) .............................................. เป็นแหล่งน้าทพ่ี บมากที่สุด มีท้งั แหล่งน้าทีม่ มี นุษย์สร้างขึ้น เช่น......................................
...................................................เป็นตน้ กับแหล่งนา้ ทเี่ กดิ ขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ..............................................................................
............................................................................................................................

เขอ่ื น
เป็นทานบก้ันขวางลาน้า
ใหส้ งู ขึ้นกว่าเดมิ พอทจ่ี ะ
ระบายนา้ ไปยังท่ตี ่างๆได้

อ่างเก็บนา้ แหล่งนา้ ทม่ี นษุ ย์สร้างขึ้น ฝาย
เปน็ แอง่ น้าใหญ่ใช้เกบ็ กกั น้า เปน็ สง่ิ ทีส่ รา้ งข้ึนมาขวางทางนา้ ให้มี
ระดับสงู จนสามารถสง่ ไปตามคลองส่ง
อยู่ระหวา่ หุบเขา นา้ เขา้ สบู่ รเิ วณท่ที าการเพาะปลกู

มหาสมทุ ร น้าผวิ ดิน หนอง,บึง
เป็นนา้ ทอี่ ยบู่ นพนื้ โลก
ซง่ึ มปี รมิ าณมากทีส่ ดุ
แหล่งนา้ ท่ีเกดิ ตามธรรมชาติ

ทะเล ล้าคลอง
แมน่ า้

2) .................................................เกดิ จากน้าฝนและน้าผวิ ดินไหลซึมลงไปในช้ันดนิ
ตามแนวแรงโน้มถ่วงของโลก เกิดการซึมแพร่ไปตามช่องวา่ งในดนิ เรยี กช้นั ท่นี ้าแทรกอยู่
จนเต็มนว้ี ่า ........................................................และเรยี กระดบั บนสุดของชั้นดินอิ่มนา้ ว่า
...............................................

ภาพที่ 2.106 แหลง่ น้าทอี่ ยูร่ ะดับใตด้ ิน

โดยสามารถแบง่ ประเภทของแหลง่ นา้ ใตด้ นิ ซ่ึงสามารถจาแนกตามชนิดของวัสดุกกั เกบ็ นา้ ไดเ้ ปน็ 2 ชนดิ ดงั นี้
1) ...................................................เปน็ นา้ ที่ซึมลงใต้ผวิ ดนิ และแทรกตวั ในชนั้ ดินที่อม่ิ นา้ จนถึงชน้ั ดิน และชั้นหนิ ทม่ี ี

เน้อื ทึบ น้าซึมผา่ นไดย้ าก จงึ ถกู เก็บกกั ไวใ้ นชั้นดนิ
2) ...................................................เม่อื น้าซึมผา่ นชนั้ ดนิ จนถงึ ช้ันหินอ้มุ น้าและถูกกักไว้ใน...............................................

การเคลอ่ื นท่ีของน้าในชน้ั หนิ อุ้มนา้ นน้ั จะเกดิ ขนึ้ ได้ดีหรือไม่นน้ั ขนึ้ อยู่กับความชันของชัน้ หนิ อุ้มน้าและความสามารถยอมใหน้ ้าซึม
ผา่ นได้ น้าบาดาลอาจไหลออกมาไดเ้ องจากผิวดินหรือการขุดบอ่ บาดาลนานา้ บาดาลขึ้นมาใช้บนผิวดนิ ของมนษุ ย์

บอ่ บาดาล
การนานา้ บาดาลขน้ึ มาบนผิวดนิ เพ่อื การอุปโภคและ
บรโิ ภคทาได้โดยการขุดบ่อลงไปจนถึงชั้น.........................
แต่การสูบน้าบาดาลขนึ้ มาใช้มากๆ จะทาให้ระดับนา้
บาดาลลดลงเรื่อยๆ เปน็ ผลให้......................................ได้

ภาพที่ 2.107 นา้ บาดาล ภาพที่ 2.108 นา้ ใต้ดนิ ประเภทตา่ งๆ

9.2 สมบัตขิ องน้า

นา้ มสี มบัตทิ สี่ าคัญดงั น้ี
1. เปน็ ของเหลวใสไม่มีสี ไม่มกี ลนิ่ ไม่มีรส
2. มีจดุ หลอมเหลว 0˚ C และมจี ุดเดือด 100 ˚ C
3. นา้ มีความหนาแน่นมากที่สุดที่ 4˚C ถ้าอณุ หภูมสิ งู กว่าหรอื ตา่ กว่าน้ี ความหนาแน่นของน้าจะนอ้ ยลง ดังนัน้ นา้ แขง็
จงึ ลอยน้าได้
4. น้าบริสุทธิจ์ ะมสี มบัตเิ ป็นกลาง และนา้ ไฟฟ้าได้น้อยมากจนถือวา่ ไมน่ าไฟฟา้
5. เป็นตวั ทาละลายทีด่ ี จงึ ทาใหน้ ้าต่างๆ มีเกลือแร่ละลายอยู่หลายชนิด
6. นา้ มแี รงดัน
7. นา้ มกี ารรกั ษาระดบั
8. มีรูปร่างเหมือนภาชนะที่บรรจุ
9. ไหลจากที่สูงลงสทู่ ี่ต่าเสมอ

9.3 วัฏจักรของนา้

วัฏจกั รของน้า คือ การหมนุ เวียนเปลี่ยนแปลงของนา้ ในสถานะตา่ ง ๆ กนั จากพ้ืนดินและพืน้ นา้ เขา้ สูบ่ รรยากาศ และ
กลบั สู่พ้ืนดินและพ้ืนน้าอกี ซึ่งเกดิ จากปรากฏการณ์ทน่ี า้ จากแหล่งน้าจากแหล่งต่าง ๆ จากการขับถา่ ยของสตั ว์ การสงั เคราะหด์ ้วย
แสงของพชื และการคายนา้ ของพชื ...............................ขึ้นไปในอากาศ เมื่อคายความร้อนจะ.....................................เป็นละอองน้า
รวมกันเป็น......................... และเมือ่ ละอองนา้ ในเมฆมขี นาดใหญ่ขึน้ จะตกมาเปน็ ....................... หรอื .....................ลงสพู่ นื้ ดินหรอื
แหลง่ นา้

ภาพที่ 2.109 วัฏจักรของน้า

9.4 คุณภาพของนา้

นา้ ท่ีใช้ในการบรโิ ภคจะตอ้ งมีความสะอาดอยู่ในระดับหน่ึง มฉิ ะนัน้ จะก่อให้เกดิ ผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์ได้ ดังนัน้

จึงมีการกาหนดคุณภาพนา้ ดื่มขึ้น

คณุ ภาพของน้าเป็นการวัดปริมาณสารอน่ื ๆ ทเ่ี จือปนอยู่ในน้า เชน่ สารปนเป้ือนอันเนื่องมาจากสารเคมี และจุลินทรยี ์

ซ่ึงก่อใหเ้ กิดผลเสียต่อสุขภาพ ซง่ึ คุณภาพของนา้ ด่มื ควรมีคุณสมบัติดังน้ี

1. มคี ่า pH ประมาณ 6.5-8.5 2. มีความกระดา้ งน้อย

3. ปราศจากจลุ ินทรีย์ที่ก่อโรค 4. มอี ณุ หภูมไิ ม่เกิด 27 ˚ C

5. มคี า่ DO มากกว่า 3 มิลลิกรัม/ลติ ร 6. มคี า่ BOD และ COD ตา่

9.5 การกาหนดคณุ ภาพของนา้ พิจารณาจากสิ่งตอ่ ไปนี้

1. คา่ ดีโอ (DO = Dissolved Oxygen) หมายถึง ปรมิ าณออกซิเจนท่ีละลาย
อยู่ในน้าโดยตรง ซ่ึงวัดดว้ ยเครอ่ื งมือDo meter หรือ Oxygen meter มีหนว่ ยเปน็ mg/l
ถา้ วดั ค่า DO ในแหลง่ น้าใด ๆ ไดน้ ้อยกว่า....................mg/l ถอื วา่ เปน็ น้าเสีย ยงิ่ ค่า DO มาก คุณภาพนา้ ย่ิงดี สาหรบั ปริมาณ
ออกซิเจนทล่ี ะลายอย่ใู นน้าโดยท่ัวไปมีคา่ ประมาณ..........................mg/l นา้ ในแม่น้าลาคลองก่อนไหลมาถงึ ชมุ ชน ควรมคี ่า DO
ไมต่ า่ กว่า 4 mg/l การละลายของออกซิเจนลงในน้ายังขึ้นอยู่กบั อุณหภูมขิ องนา้ ดว้ ย คือ ถา้ ........................................................
ออกซิเจนจะละลายน้าไดน้ อ้ ยลง

2. คา่ บีโอดี (BOD = Biochemical Oxygen Demand) หมายถึง ปรมิ าณออกซเิ จนทีใ่ ช้ในการทาปฏิกิริยากับ
สารอนิ ทรีย์ในนา้ ทอ่ี ุณหภูมิ 25 องศาเซลเซยี ส ในที่ไม่มีแสงสว่างเป็นเวลา 5 วนั ถา้ คา่ BOD มีค่า............................... แสดงว่า
มีสารอินทรียใ์ นน้ามาก ทาให้ปรมิ าณแก๊สออกซิเจนในน้าเหลือนอ้ ย คุณภาพของนา้ จึงไมด่ ี มาตรฐานของน้าท้ิงของโรงงาน
อตุ สาหกรรมต้องมีคา่ BOD ไม่เกิน.........................mg/l ถา้ ค่า สูงกวา่ ........................mg/l จดั เป็นน้าเสีย

3. คา่ ซโี อดี (COD = Chemical Oxygen Demand) หมายถึง ปรมิ าณออกซเิ จนท่ีใช้ในการทาปฏิกริ ิยากบั
สารอินทรีย์ ท้งั ชนิดท่ีจุลนิ ทรียย์ อ่ ยสลายได้ และชนิดท่จี ุลนิ ทรยี ์ยอ่ ยสลายไมไ่ ด้ โดยนา้ เสียจะมีคา่ COD มากกวา่ 100 mg/l

9.6 สารเคมตี ่าง ๆ ที่ปะปนมาในน้าทงิ้ จะทาให้เกิดอนั ตรายต่อสัตวน์ ้า ได้แก่

1. ดีดีที สว่ นใหญ่ใชฉ้ ีดแมลงในไร่นา ถา้ คนไดร้ บั สารนจ้ี ะทาใหเ้ ป็นโรคความดนั โลหิตสงู สมองนิ่ม เลือดออกในสมอง
2. ..............................มกั ปะปนมากับนา้ ท้ิงในโรงงานอตุ สาหกรรม และยาฆ่าเชือ้ รา ปรอททาลายระบบหายใจ และ
ทาลายระบบกล้ามเน้ือ ทาให้เกดิ โรค.........................................
3. ..............................มกั เกิดจากโรงงานผลติ แบตเตอรี่ โรงงานชุบโลหะด้วยไฟฟ้า ให้กระดูกผุกรอ่ น ทาลายท่อไต
เกดิ อาการเจ็บปวดกระดูก ทาใหเ้ กิดโรค........................................
4. ตะก่วั มักเกดิ จากโรงงานผลติ แบตเตอร่ี โรงงานผลติ สี ทาให้ระบบประสาทผดิ ปกติ เปน็ อันตรายต่อทารกในครรภ์

• แหลง่ น้าบนโลก ประกอบด้วยพ้ืนน้ามากกวา่ พ้นื ดิน โดยประกอบด้วยพื้นน้าประมาณรอ้ ยละ 71 หรอื ประมาณ 3 ใน 4
สว่ นของพ้ืนโลกทั้งหมด และนา้ บนโลกจะกระจายตัวอยตู่ ามแหลง่ ตา่ ง ๆ

• ประเภทของแหล่งน้าบนโลก แบง่ เป็น 2 ประเภท ดงั น้ี
1) น้าผวิ ดิน เป็นแหล่งน้าทีพ่ บมากทสี่ ดุ มีทง้ั แหล่งนา้ ที่มีมนุษย์สร้างขึ้น เชน่ ฝาย

เขอ่ื น อ่างเก็บน้า กบั ทเี่ กิดขนึ้ ตามธรรมชาติ เช่น หว้ ย หนอง คลอง บงึ ทะเล มหาสมุทร
2) น้าใต้ดนิ เกดิ จากน้าฝนและนา้ ผวิ ดินไหลซมึ ลงไปในชัน้ ดนิ ตามแนวแรงโน้มถ่วงของโลก เกดิ การซึมแพร่ไปตามช่องวา่ ง
ในดนิ เรยี กชัน้ ที่นา้ แทรกอยู่ในชอ่ งวา่ งจนเตม็ นีว้ า่ ชั้นดินอ่ิมน้า
โดยสามารถแบ่งประเภทของแหล่งน้าใต้ดิน ตามชนดิ ของวัสดุกักเก็บน้าไดเ้ ปน็ 2 ชนิด ดังนี้
1) นา้ ในดิน เปน็ นา้ ที่ซมึ ลงใตผ้ ิวดนิ และแทรกตวั ในชน้ั ดนิ ทีอ่ ิ่มน้า จนถึงชนั้ ดนิ และชัน้ หินทีม่ เี นื้อทึบ
2) น้าบาดาล เม่ือนา้ ซึมผา่ นชั้นดนิ จนถงึ ช้นั หนิ อุ้มน้าและถูกกักไว้ใน ชนั้ หนิ อ้มุ น้า
- โดยการนานา้ บาดาลขน้ึ มาบนผวิ ดนิ เพ่ือการอุปโภคและบริโภคทาได้โดยการขุดบอ่ ลงไปจนถึงชน้ั หนิ อ้มุ น้า แต่การสบู นา้
บาดาลขนึ้ มาใชม้ ากๆ เปน็ ผลใหแ้ ผ่นดินทรุดตวั ลงได้

• สมบัตขิ องนา้ มสี มบัตทิ สี่ าคัญดงั น้ี เชน่ เปน็ ของเหลวใสไม่มสี ี ไมม่ ีกล่นิ ไม่มีรส มีจดุ หลอมเหลว 0 ˚C และมจี ดุ เดือด
100 ˚C มสี มบัติเป็นกลาง ไมน่ าไฟฟา้ เป็นตัวทาละลายที่ดี มแี รงดัน มีการรักษาระดับ มรี ปู รา่ งเหมือนภาชนะท่ีบรรจุ และ
ไหลจากทีส่ ูงลงสทู่ ี่ต่าเสมอ

• วฏั จกั รของนา้ คือ การหมนุ เวียนเปลย่ี นแปลงของนา้ ในสถานะตา่ งๆ กนั จากพืน้ ดินและพน้ื น้าเขา้ สูบ่ รรยากาศ และ
กลับสูพ่ ้นื ดนิ และพื้นนา้ อีก

• คณุ ภาพของน้า คุณภาพของน้าดื่มควรมีคุณสมบัติดงั น้ี มีค่า pH ประมาณ 6.5-8.5 มีความกระดา้ งน้อย ปราศจาก
จุลินทรยี ท์ ีก่ อ่ โรค มีอุณหภมู ิไม่เกิด 27 ˚C มีคา่ DO มากกวา่ 3 มิลลิกรัม/ลติ ร มีค่า BOD และ COD ตา่

• การก้าหนดคุณภาพของน้า พจิ ารณาจากสิ่งตอ่ ไปน้ี
1. คา่ (DO=Dissolved Oxygen) หมายถึง ปริมาณออกซิเจนทล่ี ะลายอยูใ่ นนา้ โดยตรง ซ่ึงวัดด้วยเครอ่ื งมอื

DO Meter หรือ Oxygen Meter ถ้าวดั ค่า DO ในแหลง่ น้าใดๆ ไดน้ ้อยกวา่ 3 mg/l ถอื วา่ เปน็ นา้ เสยี
2. ค่าบโี อดี (BOD = Biochemical Oxygen Demand) หมายถงึ ปริมาณออกซเิ จนท่ใี ช้ในการทาปฏกิ ิริยากบั

สารอินทรีย์ในน้าทีอ่ ุณหภมู ิ 20 ˚C ในที่ไมม่ ีแสงสว่างเปน็ เวลา 5 วนั ถ้าคา่ BOD มคี ่ามาก แสดงวา่ มีสารอินทรยี ์ในนา้ มาก
3. ค่าซโี อดี (COD = Chemical Oxygen Demand) หมายถึง ปรมิ าณออกซิเจนทใ่ี ช้ในการทาปฏิกริ ิยากับ

สารอนิ ทรยี ์ ทงั้ ชนดิ ท่จี ุลนิ ทรียย์ ่อยสลายได้ และชนดิ ท่จี ลุ นิ ทรยี ย์ ่อยสลายไมไ่ ด้ โดยนา้ เสียจะมีค่า COD มากกวา่ 100 mg/l

• สารเคมีตา่ งๆ ทีป่ ะปนมาในน้าท้ิง จะทาใหเ้ กดิ อนั ตรายต่อสัตวน์ า้ ไดแ้ ก่
1. DDT ส่วนใหญ่ใชฉ้ ดี แมลงในไร่นา ถา้ คนได้รบั สารน้จี ะทาใหเ้ ป็นโรคความดนั โลหิตสงู สมองน่ิม เลือดออกในสมอง
2. ปรอท มักปะปนมากบั นา้ ทิ้งในโรงงานอุตสาหกรรม และยาฆ่าเช้ือรา ปรอททาลายระบบหายใจ และทาลายระบบ

กล้ามเนื้อ ทาใหเ้ กิดโรคมินามะตะ
3. แคดเมียม มักเกิดจากโรงงานผลิตแบตเตอรี่ โรงงานชุบโลหะด้วยไฟฟา้ ให้กระดูกผกุ ร่อน ทาลายท่อไต เกดิ อาการ

เจ็บปวดกระดูก ทาใหเ้ กดิ โรคอไิ ตอิไต
4. ตะกว่ั มักเกดิ จากโรงงานผลิตแบตเตอรี่ โรงงานผลติ สี ทาใหร้ ะบบประสาทผดิ ปกติ เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์

คา้ สั่ง ใหน้ กั เรยี นเติมเคร่ืองหมาย / หน้าขอ้ ความท่ีถกู ต้องและเติมเคร่ืองหมาย X หน้าข้อความท่ีไมถ่ ูกต้อง
1………………………………พื้นโลกเราประกอบด้วยพ้ืนน้าประมาณ 3 ใน 4 ส่วนของพื้นผิวโลกท้ังหมด
2.………………………………ฝาย เปน็ แหล่งนา้ ผิวดนิ ท่ีเกดิ ตามธรรมชาติ
3. …………………….………ชัน้ ดนิ ท่ีมีนา้ แทรกอยู่ในช่องว่างจนเต็ม เรียกวา่ ชน้ั ดนิ อ่มิ นา้
4. ……………………….......การสบู น้าบาดาลขน้ึ มาใช้เพื่อการอุปโภคและบริโภคมากเกนิ ไป จะส่งผลให้แผน่ ดินทรุดตัวได้
5………………………………การท่ฉี ดี น้าออกจากหลอดฉดี ยานั้น แสดงวา่ นา้ มีสมบตั ิไหลจากที่สูงลงสทู่ ตี่ ่าเสมอ
6. ………………….…………การหมนุ เวยี นเปล่ียนแปลงของนา้ ในสถานะต่าง ๆ กนั จากพ้ืนดนิ และพ้นื น้าเข้าสบู่ รรยากาศ
แลว้ กลับสพู่ ืน้ ดนิ และพ้ืนน้าอกี เรยี กวา่ วัฎจักรของนา้
7. ……………………….……ไอนา้ ในบรรยากาศเกิดจากการระเหยของนา้ จากแหลง่ นา้ ตา่ ง ๆ
8. ………………………….…ค่า DO มคี ่ามาก แสดงว่านา้ เสยี
9. ……………………….……ค่า BOD เปน็ คา่ ท่แี สดงปรมิ าณออกซเิ จนท่ลี ะลายอยู่ในน้าโดยตรง
10. ………………………….…สารปรอทท่ปี ะปนในนา้ ทิ้ง จะทาให้เกดิ อันตรายตอ่ สัตวน์ า้ ได้ โดยอาจทาให้เกิดโรคมินามาตะ

คะแนนเตม็ 10
คะแนนท่ีได้ ...............................

ผ้ตู รวจ

การทดสอบหลังเรียนเปน็ การวดั ผลสมั ฤทธิ์วา่ เม่อื นักเรียนศึกษาแล้วมีความร้คู วามเขา้ ใจในเนอ้ื หาเพียงใด
• ถ้าได้คะแนนนอ้ ยกว่า 5 ข้อ ไม่ต้องเสียใจ ขอให้นกั เรยี นเร่มิ ศกึ ษาเน้ือหาใหม่ตั้งแต่ตน้ อกี คร้งั
• ถา้ ได้คะแนน 5-7 ข้อ แสดงวา่ นักเรยี นผ่านเกณฑ์ใหศ้ กึ ษาเร่อื งต่อไป
• ถา้ ได้คะแนน 8-10 ขอ้ แสดงวา่ นักเรียนผ่านเกณฑ์และอยใู่ นระดบั ดีเย่ียม ใหศ้ ึกษาเร่ืองต่อไปไดแ้ ละ
ใหร้ กั ษามาตรฐานที่ดเี ย่ียมไว้....จา้

โลกของเรามีนา้ สะอาดจานวนจากัด โดยเฉพาะน้าจืดสาหรบั ด่มื มีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบ กับนา้ เค็ม ดงั นั้นเราทุกคน
จงึ ตอ้ งใชน้ า้ อย่างประหยัด คุ้มค่าและเกดิ ประโยชนส์ ูงสดุ และในขณะเดยี วกันกต็ ้องไม่ทาให้แหลง่ น้าตา่ งๆ สกปรกหรอื ถูก
ปนเปอ้ื นจากของเสยี ตา่ งๆ ด้วย

1. สร้างแบบจาลองที่อธบิ ายการใช้น้า และนาเสนอแนวทางการใชน้ ้าอยา่ งย่ังยนื ในท้องถ่ินของตนเอง
2. บอกประโยชน์ของแหลง่ น้าในท้องถิ่นได้
3. บอกหลกั การอนุรักษ์แหลง่ น้าได้
4. สรา้ งแบบจาลองที่อธิบายกระบวนการเกดิ และผลกระทบของนา้ ท่วม การกัดเซาะชายฝงั่ ดนิ ถลม่ หลมุ ยบุ

แผ่นดนิ ทรดุ

คำสำคญั

- ประโยชนข์ องแหล่งนา้ - การอนรุ ักษ์แหลง่ น้า
- ภยั พิบตั ทิ ่เี กิดจากน้า - นา้ ทว่ ม - การกัดเซาะชายฝัง่
- ดนิ ถล่ม - หลมุ ยบุ - แผ่นดินทรุด

พจิ ารณาขอ้ ความต่อไปน้ีแลว้ เขียนเคร่อื งหมาย / หนา้ ข้อความทถ่ี ูกตอ้ ง และเขียนเครอ่ื งหมาย X หนา้ ข้อความท่ี
ไม่ถูกต้อง

..............1. การเพ่ิมจานวนประชากร เป็นสาเหตหุ นง่ึ ท่ีทาใหเ้ กิดมลพิษทางน้า
..............2. เข่ือนอบุ ลรัตน์ จ.ขอนแก่น จัดเป็นแหลง่ น้าในท้องถ่นิ ที่เปน็ สถานที่พักผ่อนหยอ่ นใจ
..............3. ควรมีการบาบัดนา้ เสยี จากครัวเรือนกอ่ นปล่อยลงส่แู หล่งนา้ สาธารณะ
..............4. นา้ ปา่ ไหลหลาก มักจะเกิดบริเวณพืน้ ท่ีลุ่มต่าในชุมชนเมอื ง ทม่ี ีฝนตกหนักอย่างต่อเน่ือง
..............5. คลื่นทะเล เป็นสาเหตุหน่ึงที่ทาให้ชายฝ่งั ทะเลเกิดการกดั เซาะได้
..............6. บรเิ วณเชิงเขา มกั เกดิ แผ่นดินถลม่ และดนิ สไลด์ได้ หากมีฝนตกหนกั และผิวดินอิ่มไปดว้ ยน้า
..............7. มนษุ ย์เป็นสาเหตสุ าคัญทท่ี าใหแ้ หลง่ นา้ เสอ่ื มโทรม
..............8. การปลูกปา่ ชายเลน เป็นการป้องกนั การกัดเซาะชายฝ่งั ทะเล โดยวิธีการทางธรรมชาติ

แหลง่ นา้ ต่างๆ ตามธรรมชาติทัง้ ท่ีเป็นแหลง่ นา้ จืดและแหล่งนา้ เค็ม นบั เป็นทรัพยากร
ท่สี าคัญของโลก เพราะเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์ เป็นแหล่งทอี่ ยูอ่ าศัยของพืชและสัตว์
เป็นแหลง่ แร่ธาตุ เป็นแหล่งท่องเทยี่ ว และแหลง่ พลังงานด้วย แต่ในปัจจบุ นั พบวา่ แหล่งนา้
เหล่านี้เร่ิมเสอ่ื มสภาพ บางแห่งเกิดมลพษิ ซึง่ เกิดจากการกระทาของมนษุ ยใ์ นลักษณะต่างๆ กนั ทงั้ นเ้ี นื่องจากสาเหตุใหญ่
3 ประการ คือ …………………………………………………………………………….…………………………..………………………………………….………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………….

จากสาเหตทุ ้ังสามประการดงั กล่าวนามาซึ่งความต้องการอาหาร ท่อี ยู่อาศยั ความสะดวกสบายในการดารงชวี ติ มีการ
นาเครอ่ื งจักรมาช่วยในการผลิตด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ตลอดจนชว่ ยผอ่ นแรงของมนษุ ยม์ ากขึน้ ทาให้มคี วามต้องการใช้
นา้ มนั เช้ือเพลิงมากข้ึน ซ่ึงเป็นสาเหตุของมลพษิ ทางอากาศ ทางน้า ตลอดจนส่ิงแวดล้อมอนื่ ๆ และส่งผลกระทบตอ่ มนษุ ยใ์ นทส่ี ุด

10.1 ประโยชน์ของแหลง่ น้าบนโลก

10.1.1 ผลิตพลังงานไฟฟ้า
10.1.2 ใช้คมนาคมขนส่งสนิ ค้าระหว่างประเทศ
10.1.3 เปน็ แหล่งทรพั ยากรและแรธ่ าตุ เชน่ ปโิ ตรเลยี ม ดีบกุ ทองแดง นกิ เกลิ เกลือแกง
10.1.4 เป็นแหลง่ อาหารและใช้เป็นทเ่ี พาะเล้ยี งสตั วน์ า้ เคม็
10.1.5 กระแสน้าอนุ่ และกระแสน้าเย็นมีผลต่ออุณหภมู ขิ องอากาศโลก

10.2 ประโยชนข์ องแหลง่ นา้ ในท้องถนิ่

10.2.1 ด้านเกษตรกรรม ใชใ้ นการเพาะปลูกและเล้ยี งสัตว์
10.2.2 ด้านอุตสาหกรรม ผลิตกระดาษ เส้นใยสงั เคราะห์ และอุตสาหกรรมแร่
10.2.3 ด้านการประมง การประมงน้าจืด นา้ เค็มและปา่ ชายเลน
10.2.4 ด้านการคมนาคมขนสง่ การคมนาคมขนส่งทางลาคลอง แม่น้า ทะเล มหาสมุทร
10.2.5 การทา้ นาเกลอื การผลิตเกลือแกง (NaCl) จากน้าทะเลไปใชใ้ นการบริโภคและใชเ้ ป็นวตั ถุดิบใน

อตุ สาหกรรมตา่ งๆ เช่น ผลิตโซดาไฟ โซดาแอซ กรดไฮโดรคลอรกิ แกส๊ คลอรีน
10.2.6 การพกั ผ่อนหย่อนใจ วา่ ยน้าในแมน่ ้าลาคลอง ว่ายน้าและดาน้าในทะเล เดนิ เลน่ ตามชายหาด

10.3 ผลติ ภณั ฑบ์ างชนดิ จากทะเล

นอกจากสัตว์นา้ ปโิ ตรเลียม และแร่แลว้ ในทะเลยังมีผลติ ภัณฑบ์ างชนดิ ทมี่ ี
ประโยชน์ตอ่ มนษุ ย์มากมายเช่น ดงั นี้

ปะการงั

- รักษาสมดุลของระบบนิเวศในทะเล

- เป็นแหลง่ อาหารใหส้ ัตวท์ ะเล

- เปน็ แหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว ช่วยเพิม่ เติมรายไดใ้ ห้กับ

ประเทศ

ภาพที่ 2.110 ปะการัง

สาหรา่ ยผมนาง ภาพท่ี 2.111 สาหร่ายผมนาง

- มีสีแดง สาหรา่ ยจฉี า่ ย
- มีโปรตนี สงู
- ใช้บรโิ ภคสด - มสี ีม่วงเขม้ ,แดง
- ตากแห้งทาวุ้นผง - มโี ปรตีนสูง
- นามาประกอบอาหาร
ภาพท่ี 2.112 สาหรา่ ยจ่ฉี ่าย - ใชส้ กดั ทาวุ้น

10.4 การอนุรักษ์ทรัพยากรนา้

อนุรกั ษ์ หมายถึง การพยายามรักษาสภาพธรรมชาติท่มี อี ยูใ่ ห้คงอยูต่ ลอดไป และใช้ประโยชน์ใหค้ ุ้มค่ามากท่ีสดุ
สงิ่ แวดล้อม หมายถึง ทกุ ส่ิงทอี่ ยู่รอบๆตัวเรา ทัง้ ส่งิ มชี ีวิตและไม่มีชีวิต เหน็ ดว้ ยตาเปลา่ หรือไมส่ ามารถเห็นด้วยตา
เปล่า รวมท้งั ส่ิงที่เกิดขน้ึ โดยธรรมชาตแิ ละส่ิงท่ีมนุษย์สร้างข้ึน หรอื อาจกลา่ วได้ว่าส่ิงแวดล้อมจะประกอบทรพั ยากรธรรมชาติ
และทรัพยากรที่มนุษย์สร้างขึ้นในช่วงเวลาหน่ึงเพอ่ื สนองความต้องการของมนุษยน์ ั่นเอง
การพฒั นาแหล่งนา้ หมายถงึ การจดั การทเ่ี หมาะสม และมีประสิทธภิ าพ เพ่ือให้แหล่งน้ามีคณุ ประโยชน์ต่อมนุษย์
ตลอดไป และมีประโยชนม์ ากข้นึ

วธิ กี ารแก้ไขและอนรุ กั ษแ์ หล่งนา้

1. ใหค้ วามรแู้ กป่ ระชาชนเกย่ี วกบั อนั ตรายของน้าเสีย
2. ให้มีกระบวนการบาบัดนา้ เสยี ข้ันต้นจากครัวเรือนก่อนปล่อยสูแ่ หล่งน้าสาธารณะ
3. ใหม้ กี ระบวนการบาบดั น้าเสยี ที่มปี ระสทิ ธภิ าพในโรงงานอุตสาหกรรมกอ่ นปล่อยส่แู หล่งน้าสาธารณะ
4. ออกกฎหมายควบคุมการปล่อยนา้ เสยี อย่างเคร่งครดั และเพิ่มโทษแกผ่ ู้ฝ่าฝนื ให้มากขึ้น
5. ควบคุมการใชน้ ้าใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ เชน่ การชลประทานทมี่ ปี ระสิทธภิ าพ การสร้างเขอื่ น อ่างเก็บนา้ ในบรเิ วณท่ี
เหมาะสม
6. หยุดการตดั ไม้ ทาลายป่าอยา่ งสน้ิ เชงิ เนือ่ งจากป่าไมเ้ ป็นต้นกาเนิดของแหลง่ น้าในธรรมชาติท่สี าคัญ คือ แมน่ า้
7. การใช้น้าอยา่ งประหยัด เช่น ตกั นา้ อาบแทนการใช้ฝักบัว การใช้สขุ ภณั ฑ์ประหยัดน้า การกาหนดตารางการซกั ผ้า
ใหเ้ หมาะสม เปน็ ต้น
นา้ เป็นทรัพยากรธรรมชาตทิ ี่มคี วามสาคัญท่สี ดุ ตอ่ การดารงชวี ติ ของมนุษย์ ตลอดระยะเวลาทผี่ า่ นมา ความตอ้ งการใช้
ทรัพยากรน้ามีแนวโน้มเพ่ิมข้ึนเรอื่ ยๆ และคาดว่าจะเป็นทรพั ยากรที่มีข้อจากัดในอนาคตอนั ใกล้ อนั เน่ืองมาจากปญั หาแหลง่ น้า
เสื่อมโทรม และมลพิษทางน้า จงึ จาเปน็ ที่จะต้องให้ความสาคัญตอ่ การอนุรักษ์ทรัพยากรน้า เพื่อให้ได้นา้ ที่มีปริมาณพอเหมาะ
เพียงพอแกค่ วามต้องการ ให้ได้นา้ ท่ีมีคุณภาพดใี สสะอาด ไมข่ ุน่ ขน้ และตามลาห้วยลาธารก็ให้มีน้าไหลอย่างสม่าเสมอตลอดไป
รวมท้ังเพ่ือเพ่ิมระดับนา้ ใตด้ นิ ลดการสญู เสียจากน้าไหลบา่ และลดการสญู เสียจากการใช้ประโยชนด์ ้านตา่ งๆ เชน่ การใช้ใน
การเกษตร การชลประทาน และการอุตสาหกรรม เปน็ ต้น ดงั นน้ั ประชาชนทุกคนต้องมีจติ ส้านกึ โดยชว่ ยกันพัฒนาและอนรุ ักษ์
แหลง่ น้าใหม้ สี ภาพทดี่ ีอย่เู สมอ เพ่ือชีวิตและสขุ ภาพของประชาชน

ภาพท่ี 2.113 การบาบดั น้าเสีย ภาพท่ี 2.114 การสร้างเขอ่ื นในบริเวณเหมาะสม ภาพที่ 2.115 การใชข้ นั ตักอาบแทนการ
อาบด้วยฝักบวั

การใชป้ ระโยชนจ์ ากแหล่งน้าอย่างไม่เหมาะสมสง่ ผลใหเ้ กดิ ธรณพี บิ ตั ิภัยจากนา้ ได้ เชน่ กรณีของการสบู นา้ บาดาลขน้ึ มาใช้
เป็นปริมาณมากจนเกินกวา่ อัตราทีน่ ้าจะไหลเข้ามาแทนท่ี ระหว่างช่องว่างตะกอนในชั้นหนิ จะทาใหเ้ กดิ แผน่ ดินทรดุ และเกดิ
ความเสียหายตามมา ท้ังน้ี ขึ้นอยกู่ ับอัตราการลดระดับลงของระดบั นา้ ใต้ดนิ และยงั ส่งผลทาใหเ้ กิด......................... (sinkhole)
ได้อีกด้วย นอกจากนแ้ี ล้วนา้ ผิวดินทม่ี ปี ริมาณมากจนเกินไปกอ็ าจทาให้เกดิ ธรณพี บิ ตั ิภัยขึ้นได้ เชน่

1.................................. (flood) เปน็ ปรากฎการณ์ทร่ี ะดับนา้ ในพื้นทห่ี นึ่งๆ .................................................................
.................................... หรือมีปริมาณนา้ มากเกนิ กว่าทแี่ หล่งกักเกบ็ น้าน้นั จะกกั เก็บไว้ได้ ทาให้นา้ ไหลล้นเข้าท่วมพน้ื ที่ การเกดิ นา้
ทว่ มมหี ลายลักษณะ ขน้ึ อยู่กับปรมิ าณนา้ ท้ังจากน้าผิวดินและน้าใตด้ นิ ภูมิประเทศของพื้นที่และระยะเวลาในการสะสมตวั ของนา้
ในพืน้ ที่ การเกิดนา้ ทว่ มจะส่งผลกระทบทั้งต่อส่ิงมีชวี ิตและสิง่ แวดล้อมในลกั ษณะท่แี ตกต่างกนั ออกไปตามลักษณะการเกิดน้าท่วม
ในพื้นทีน่ ั้น ดงั น้ี

1.1 .................................. (flooding) เปน็ การเกดิ น้าทว่ มท่เี กิดใน……………………………………………………………….
เกิดข้ึนเนื่องจากมีฝนตกหนักอย่างต่อเนือ่ ง ทาให้การสะสมตัวของนา้ ทั้งจากนา้ ผวิ ดนิ และจากนา้ ใตด้ นิ มีปริมาณมาก จนมกี าร
ระบายออกจากสู่พืน้ ทล่ี มุ่ ต่าหรอื ออกสู่ทะเลได้ไม่ทัน ความล่าช้าในการระบายนา้ อาจเกดิ ขน้ึ เนอื่ งจากมีส่ิงกีดขวางได้ขวางทาง
ระบายนา้ ไว้ หรืออาจเปน็ เพราะมีนา้ ทะเลหนุนสูงในช่วงเวลาดงั กลา่ ว กอ่ ให้เกิดความเสียหายท้งั ทางด้านเศรษฐกจิ และสงั คม
ประชาชนไรท้ อี่ ยู่อาศยั

ภาพที่ 2.116 นา้ ทว่ มขงั รอบตวั เมือง ภาพท่ี 2.117 นา้ ทว่ มขงั ทว่ั ทง้ั เมอื ง

1.2 ……………………………………… (flash flood) เปน็ การเกิดน้าทว่ มในอีกลักษณะหน่ึงที่เกิดขนึ้ ใน………………………

………………………………………………….หรอื ทีล่ าดเชิงเขาทมี่ ีแหลง่ ตน้ นา้ เกดิ ข้ึนเนื่องจากมฝี นตกหนักอย่างต่อเน่ืองบริเวณเหนอื

ภูเขาทีม่ แี หล่งน้าหรือแหล่งต้นนา้ ฝนตกหนกั ทาใหน้ ้าผิวตินและนา้ ใตต้ ินมีกาสะสมตัวอยู่เปน็ ปริมาณมากจนเกินกว่าที่ดนิ หนิ
ตะกอน รวมถึงรากของต้นไม้จะดูดชบั ไว้ได้ ทาให้นา้ สว่ นท่ีเกินจากทด่ี ูดชับไวไ้ หลบ่าจากภเู ขาลงมาสู่ทร่ี าบดา้ นล่างอย่างรวดเรว็
สง่ ผลใหบ้ า้ นเรือนและสง่ิ ปลูกสร้างที่ขวางทางน้าไหลถูกพัดพาให้เคล่ือนท่ีไปหรือพังทลายไป บางคร้ังอาจรนุ แรง

ภาพท่ี 2.118 นา้ ปา่ ไหลหลาก ภาพที่ 2.119 น้าปา่ ไหลหลาก

1.3 ................................................................................ (overbank flow) สว่ นใหญ่
เกดิ ขนึ้ บริเวณท่รี าบริมแม่น้าหรือบรเิ วณทีร่ าบนา้ ท่วมถึง (food-plain) เกิดขึ้นเนอ่ื งจากฝน
ทต่ี ก หนกั อย่างต่อเนื่อง ทาให้นา้ ท้งั จากน้าผวิ ดินและนา้ ใต้ดนิ ปริมาณมากไหลลงสูแ่ ม่นา้ จน
ทาใหน้ า้ ในแม่น้าระบายออกสู่พน้ื ทลี่ ่มุ นา้ หรือปากแม่นา้ ไม่ทัน ส่งผลใหน้ า้ ลน้ ตลง่ิ ไหลเข้าท่วมบริเวณริมแมน่ ้า ผลกระทบที่เกิด
จากน้าล้นตลง่ิ อาจเกิดขน้ึ ได้จากน้าในแมน่ า้ กัดเซาะริมตลิ่งให้พังทลายลงไป ทาใหบ้ ้านเรือน ถนน ส่ิงปลูกสร้างเสียหาย

ภาพที่ 2.120 น้าลน้ ตลิ่ง ภาพที่ 2.121 นา้ ล้นตลง่ิ

2. …………………………………………………(coastal erosion) เปน็ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของชายฝัง่ ที่เกดิ ขึน้ ตลอดเวลา
จากการกดั เซาะของ..................................................... ทาใหต้ ะกอนจากทีห่ นง่ึ ไปตกทบั ถมในอกี บรเิ วณหนง่ึ แนวของชายฝั่งเดมิ
จงึ เปล่ยี นแปลงไปบริเวณทีม่ ตี ะกอนเคลื่อนเขา้ มาน้อยกว่าปรมิ าณทีต่ ะกอนเคล่ือนออกไปถอื เป็นบรเิ วณทม่ี กี ารกัดเซาะชายฝ่งั
นอกจากนี้ยังมแี ม่น้าที่มีการขนส่งคมนาคมทางนา้ มาก ความเรว็ ของเรือทาให้เกิดคล่ืนแรงซง่ึ จะทาลายพนื้ ดินชายฝ่ังได้

ภาพที่ 2.122 การกัดเซาะชายฝั่ง ภาพที่ 2.123 การกดั เซาะชายฝ่ัง

การป้องการนา้ กัดเซาะตลงิ่ สามารถทาได้โดยการสรา้ งแนวรว้ั โดยอาจจะเป็นไมห้ รือปนู เพือ่ ป้องกนั การกดั เซาะ โดยลดแรง
กระทบของคลน่ื และกกั เก็บตะกอนทรายไม่ให้ไหลกลับลงไป

ภาพที่ 2.124 การป้องกนั แนวชายฝั่งโดยใช้ไม้ ภาพที่ 2.125 การป้องกนั แนวชายฝั่งโดยใชเ้ สาไฟฟ้าทไี่ ม่ไดใ้ ช้แลว้

ภัยธรรมชาติจากหลมุ ยบุ และแผน่ ดินทรุด

น้ามีประโยชนม์ ากมาย แตส่ ภาพอากาศหรือการกระทาของมนษุ ย์อาจทาให้เกดิ โทษได้ ดังนี้

1. ............................................. (landslide) เป็นกระบวนการเคลื่อนที่ของดนิ หรือ
หนิ ลงมาตามแนวลาดชนั ของพนื้ ทเ่ี น่ืองด้วยปัจจัยหลักจาก................................................ โดยในช่วงท่ีมฝี นตกหนกั น้าผิวดนิ จะมี
ปรมิ าณมาก ทาให้การไหลซึมของน้าผิวดินลงสู่ใตด้ ินไปอยู่ตามชอ่ งวา่ งระหว่างเม็ดดินหรือตะกอนมีปรมิ าณมากข้ึน จนดินหรือ
ตะกอนอิ่มตวั ไปดว้ ยน้า ทาให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างเม็ดดินหรอื ตะกอนลดลง มีผลทาให้ดนิ ตะกอน หรือหนิ พงั ถลม่ ลงมาด้านลา่ ง
แผ่นดนิ ถลม่ สว่ นใหญเ่ กิดต่อเน่ืองจากเหตุการณน์ ้าป่าไหลหลากแผน่ ดินถล่มยังเกิดขึน้ เน่ืองจากปจั จัยอืน่ ๆ เช่น ปัจจยั จาก
โครงสรา้ งทางธรณีวทิ ยาท่ชี ้ันหนิ มีรอยแตกเป็นจานวนมากปรมิ าณฝน ปรมิ าณพชื ปกคลุมดิน และอาจเกิดข้นึ เน่อื งจากการได้รับ
แรงสัน่ สะเทือนจากแผ่นดินไหว

ภาพที่ 2.126 ดินสไลดต์ ามแนวภเู ขา ภาพท่ี 2.127 แผน่ ดินถลม่

อาจมีการสร้างโครงสรา้ งป้องกนั การเกดิ แผน่ ดินถลุ่มขนึ้ โดยอาจทา...........................................หรือ.................................
ลงไปยังบรเิ วณท่ีลาดเชิงเขา ซึ่งโครงสร้างดังกลา่ วจะช่วยพยงุ ดินหรือหนิ ที่อุม้ น้าไวเ้ ปน็ ปริมาณมากไมใ่ ห้เคล่ือนทลี่ งมายงั ดา้ นลา่ ง
และในบางบริเวณของโครงสร้างจะมีการเจาะรูเพื่อระบายน้าใต้ดนิ ออกจากพ้ืนทล่ี าดเชิงเขา เพ่ือลดแรงดนั

2. ................................................ (land subsidence) บรเิ วณที่มี........................................................จากชนั้ หนิ อุ้มนา้
ขน้ึ มาใชเ้ ป็นปริมาณมาก จนเกินกว่าอตั ราท่นี ้าบาดาลบริเวณข้างเคยี งจะไหลเขา้ มาทดแทนนา้ ในช่องวา่ งของช้นั หินอุ้มนา้ ทถี่ ูกสบู
ข้นึ มาใชไ้ ด้ทนั จะสง่ ผลทาใหร้ ะดับน้าใต้ดนิ บริเวณที่สบู นา้ และบริเวณข้างเคยี งลดระดับลงอย่างรวดเรว็ จึงเกิดช่องว่างของอากาศ
ระหวา่ งตะกอนในชั้นหินอุ้มน้า เมอ่ื ไม่มีนา้ กกั เก็บอยู่ตามช่องว่างระหว่างตะกอนของชนั้ หินอมุ้ นา้ จะทาให้ตะกอนอัดตัวกันแนน่
มากขึ้น เป็นสาเหตุให้ช้ันดนิ ชั้นหิน หรอื ช้ันตะกอนด้านบนทรดุ ตัวตามลงมาเกดิ เป็นแผ่นดินทรดุ

ภาพท่ี 2.128 แผ่นดนิ ทรุด ภาพท่ี 2.129 แผน่ ดินทรุด

3. ................................... (sinkhole) ในบางพืน้ ทจ่ี ะม.ี ...................................................
อย่ใู ต้ดนิ ในระดบั ตน้ื ซ่ึงสามารถละลายนา้ ไดเ้ น่ืองจากการกระทาของนา้ บาดาล จะทาให้
เกลือหนิ และแรย่ ปิ ซมั กร่อนออกไปเกิดเป็นชอ่ งว่าง ส่งผลใหพ้ น้ื ดนิ ตอนบนยุบลงไปเป็นหลมุ ลกึ
เปน็ แอ่งบนพ้นื ดนิ ทีป่ ากหลุมมลี ักษณะเกลือบกลม หรอื เม่ือนา้ ฝนรวมตวั กบั แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดเป็นกรดเมือ่ นา้ ฝนไหล
ไปในพน้ื ทท่ี ่มี หี นิ ปนู หรือหินโดโลไมต์ จะถูกกัดเซาะจนกร่อนออกไปเป็นเวลานานทาใหเ้ กิด..................................................หรือถ้า
ใตด้ ินและส่งผลใหเ้ กดิ ..........................................ได้

ภาพที่ 2.130 หลมุ ยุบ ภาพที่ 2.131 หลมุ ยบุ

ปฏิบตั กิ ารที่ 11 เรอ่ื ง สมบัตบิ างประการของน้า 8. กลอ่ งใส่ส่ีเหลยี่ ม
วัตถปุ ระสงค์ เพือ่ ทดสอบสมบตั ิบางประการของน้าได้ 9. หลอดฉดี ยา
วัสดุอุปกรณ์ 10. น้ากล่ัน
11. เทอรโ์ มมิเตอรแ์ บบธรรมดา
1. บกี เกอร์ 12. กาละมงั
2. แทง่ แก้วคนสาร 13. รางน้า
3. จานแกว้
4. กระดาษยูนเิ วอร์ซลั อนิ ดเิ คเตอร์
5. ขวดรูปชมพู่
6. กระบอกตวง
7. เกลอื แกง

วธิ กี ารทดลอง

การทดลองที่ 1 ทดลองหาคา่ pH ดว้ ยกระดาษยนู เิ วอรซ์ ัลอนิ ดเิ คเตอร์

การทดลองท่ี 2 ทดลองดูดน้าใส่หลอดฉีดยาและฉดี น้าออกจากหลอดฉดี ยา

การทดลองที่ 3 สังเกตนา้ ในภาชนะรปู ทรงตา่ งๆ การทดลองที่ 4 เติมเกลือแกงลงในน้า

การทดลองท่ี 6 ดดู น้าจากถังบนโต๊ะลงสู่ภาชนะรองรบั ด้านล่าง

การทดลองท่ี 5 วัดอุณหภมู ขิ องนา้ แข็ง

ตารางบันทึกผลจากการทากิจกรรม

การทดลอง ผลการทดลองทส่ี ังเกตได้
1. ทดลองหาคา่ pH ด้วยกระดาษยนู ิเวอร์ซัลอนิ ดิเคเตอร์

2. ทดลองดดู น้าใส่หลอดฉดี ยาและฉดี นา้ ออกจากหลอดฉีดยา

3. สังเกตนา้ ในภาชนะรูปทรงต่างๆ

4. เติมเกลอื แกงลงในนา้

5. วัดอณุ หภมู ิของน้าแขง็

6. ดูดนา้ จากถังบนโตะ๊ ลงสภู่ าชนะรองรับดา้ นล่าง

สรปุ ผลการทากจิ กรรม

…………………………………………………………………………………………….................................………………………………………………………..…
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
…………………………………………………………………………………………….................................…………………………………………………………..
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................................................................................................

คาถามเพ่อื การวิเคราะห์ และสรปุ ผล

การทดลองท่ี 1 ทดลองหาค่า pH ด้วยกระดาษยนู ิเวอร์ซลั อนิ ดเิ คเตอร์
1. น้าบริสุทธิม์ ีสมบัตเิ ป็นกรด กลาง หรือเบส.................................................................................................................................

การทดลองท่ี 2 ทดลองดดู น้าใส่หลอดฉีดยาและฉีดน้าออกจากหลอดฉีดยา
2. การดดู นา้ ใส่หลอดฉีดยาและฉดี น้าออกจากหลอดฉดี ยา แสดงวา่ น้ามีสมบัติ..............................................................................

การทดลองที่ 3 สังเกตนา้ ในภาชนะรูปทรงตา่ งๆ
3. การทน่ี านา้ ใสภ่ าชนะรูปร่างต่างๆ กนั นั้น แสดงว่าน้ามีคุณสมบัต.ิ ..............................................................................................

การทดลองท่ี 4 เติมเกลือแกงลงในนา้
4. เมื่อเทเกลือแกงลงในน้า แล้วใชแ้ ท่งแก้วคน พบวา่ ....................................................................................................................

การทดลองที่ 5 วัดอณุ หภมู ิของนา้ แข็ง
5. นา้ แขง็ มจี ุดหลอมเหลวและจุดเยือกแข็ง................................................................................................................องศาเซลเซยี ส

การทดลองท่ี 6 ดูดน้าจากถังบนโต๊ะลงสภู่ าชนะรองรับด้านล่าง
6. การทีด่ ดู นา้ จากถงั บนโตะ๊ ลงสู่ภาชนะรองรับดา้ นล่าง แสดงว่าน้ามคี ุณสมบัต.ิ ............................................................................

• มลพิษทางนา้ ปัจจบุ นั พบว่าแหลง่ นา้ เหล่านเ้ี ริม่ เสื่อมสภาพ เกิดจากการกระทาของมนุษย์ในลกั ษณะต่างๆ กนั
เน่อื งจากสาเหตุใหญ่ 3 ประการคือ

1. การเพิ่มจานวนประชากร 2. การขยายตวั ของเมอื ง 3. การใชเ้ ทคโนโลยีสมัยใหม่

• ประโยชนข์ องแหล่งนา้ บนโลก ได้แก่ ผลติ พลังงานไฟฟา้ ใช้คมนาคมขนส่งสนิ ค้าระหว่างประเทศ เป็นแหลง่ ทรพั ยากร
และแร่ธาตุ เชน่ ปโิ ตรเลยี ม ดบี กุ ทองแดง นิกเกิล เกลือแกง เป็นแหล่งอาหารและใชเ้ ปน็ ทเี่ พาะเลยี้ งสตั วน์ า้ เค็ม กระแสน้าอนุ่
และกระแสน้าเย็นมผี ลต่ออุณหภมู ิของอากาศโลก

• ประโยชนข์ องแหล่งนา้ ในท้องถิน่ ไดแ้ ก่ ด้านเกษตรกรรม ใชใ้ นการเพาะปลูกและเลีย้ งสัตว์ ด้านอุตสาหกรรม
ผลติ กระดาษ เสน้ ใยสงั เคราะห์ และอตุ สาหกรรมแร่ ดา้ นการประมง การประมงนา้ จดื นา้ เค็มและป่าชายเลน ดา้ นการคมนาคม
ขนสง่ การคมนาคมขนส่งทางลาคลอง แม่นา้ ทะเล มหาสมุทร การทา้ นาเกลือ การผลติ เกลอื แกง (NaCl) จากน้าทะเลไปใช้ในการ
บริโภคและใชเ้ ป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่างๆ การพักผ่อนหย่อนใจ ว่ายน้าในแม่น้าลาคลอง วา่ ยนา้ และดานา้ ในทะเล เดนิ เล่น
ตามชายหาด

• ผลิตภณั ฑบ์ างชนดิ จากทะเล เช่น สาหรา่ ยผมนาง เมอ่ื ตากแห้งใช้ทาวุน้ ผง สาหรา่ ยจีฉ่าย มโี ปรตนี สงู ใชส้ กัดทาวนุ้

• การพัฒนาแหล่งน้า หมายถงึ การจดั การทเ่ี หมาะสม และมีประสทิ ธิภาพ เพื่อให้แหล่งนา้ มคี ณุ ประโยชน์ต่อมนุษย
ตลอดไป และมีประโยชนม์ ากข้ึน

• วิธกี ารแก้ไขและอนรุ กั ษ์แหล่งน้า เช่น ให้ความรู้แก่ประชาชนเกยี่ วกบั อันตรายของน้าเสีย ให้มกี ระบวนการบาบดั น้าเสยี
จากครัวเรือนกอ่ นปล่อยสแู่ หล่งน้าสาธารณะ ออกกฎหมายควบคุมการปล่อยนา้ เสยี อย่างเครง่ ครัด และเพ่ิมโทษแก่ผู้ฝ่าฝนื ให้มาก
ขนึ้ การชลประทานทม่ี ีประสิทธภิ าพ การสร้างเขื่อน อา่ งเก็บน้า ในบริเวณทเ่ี หมาะสม หยุดการตัดไม้ทาลายป่า การใชน้ ้าอย่าง
ประหยดั เชน่ ตักน้าอาบแทนการใชฝ้ ักบวั

• ภยั พิบตั ทิ เี่ กิดจากน้า
1) น้าท่วม (flood) เป็นปรากฎการณ์ทร่ี ะดับนา้ ในพืน้ ท่หี นง่ึ ๆ มรี ะดับสูงกว่าระดบั ปกติ หรอื มีปรมิ าณน้ามากเกนิ กว่า

ทแี่ หลง่ กกั เกบ็ นา้ นน้ั จะกักเก็บไว้ได้ แบ่งลกั ษณะการเกิดนา้ ท่วมในพื้นทน่ี นั้ ดงั นี้

1.1 นา้ ทว่ มขัง (flooding) เปน็ การเกดิ น้าท่วมทเ่ี กิดในพื้นที่ราบลมุ่ เกดิ ขึ้นเน่ืองจากมฝี นตก
หนักอยา่ งต่อเน่ือง ทาให้การสะสมตวั ของน้าท้งั จากนา้ ผวิ ดนิ และจากน้าใต้ดนิ มปี ริมาณ
มาก จนมีการระบายออกจากสพู่ น้ื ท่ีลุม่ ต่าหรือออกสูท่ ะเลไดไ้ ม่ทนั

1.2 น้าป่าไหลหลาก (flash flood) เปน็ การเกิดนา้ ทว่ มในอีกลกั ษณะหนึ่งท่เี กิดขึ้นในพ้นื ทีร่ าบที่อยู่ใกล้ภูเขาหรือท่ลี าดเชงิ
เขาทีม่ ีแหลง่ ตน้ นา้ เกดิ ขึ้นเนื่องจากมีฝนตกหนักอยา่ งตอ่ เนื่องบรเิ วณเหนือภูเขาที่มีแหลง่ นา้ หรอื แหล่งต้นนา้

1.3 น้าทว่ มท่ีเกดิ จากน้าลน้ ตลง่ิ (overbank flow) สว่ นใหญ่เกดิ ขึน้ บรเิ วณที่ราบริมแม่นา้ หรอื บริเวณทีร่ าบน้าทว่ มถงึ
(food-plain) เกิดข้ึนเนอ่ื งจากฝนทต่ี กหนักอย่างต่อเน่ือง
2) การกัดเซาะชายฝ่ัง (coastal erosion) เป็นการเปลี่ยนแปลงของชายฝง่ั ทเี่ กิดขึ้นตลอดเวลาจากการกัดเซาะของคล่นื หรือลม

• ภยั ธรรมชาติจากหลุมยุบและแผน่ ดนิ ทรดุ
1. แผน่ ดนิ ถลม่ (landslide) เปน็ กระบวนการเคลอ่ื นท่ขี องดนิ หรือหิน ลงมาตามแนวลาดชันของพ้ืนท่ี เน่อื งดว้ ย

ปจั จยั หลักจากแรงโน้มถว่ งของโลก โดยในชว่ งท่ีมฝี นตกหนกั นา้ ผวิ ดินจะมีปรมิ าณมาก
2. แผน่ ดินทรุด (land subsidence) บรเิ วณท่ีมีการสูบน้าบาดาลจากช้นั หนิ อุ้มน้าขน้ึ มาใชเ้ ป็นปริมาณมาก
3. หลมุ ยบุ (sinkhole) ในบางพนื้ ทีจ่ ะมีเกลือหนิ หรือแรย่ ิปซัมอยูใ่ ต้ดนิ ในระดับตื้น ซึง่ สามารถละลายน้าได้ เนื่องจาก

การกระทาของนา้ บาดาลเป็นเวลานาน ทาใหเ้ กดิ ช่องวา่ งจนเกิดเปน็ โพรงหรือถ้าใต้ดินและส่งผลให้เกดิ หลมุ ยุบได้

คา้ ส่งั ใหน้ ักเรยี นเตมิ เคร่อื งหมาย / หนา้ ข้อความที่ถกู ตอ้ งและเตมิ เครอ่ื งหมาย X หนา้ ขอ้ ความทไี่ มถ่ ูกต้อง

1………………………………การขยายตัวของเมือง เป็นสาเหตุหน่ึงทที่ าให้เกดิ มลพษิ ทางนา้
2.……………………………..กระแสนา้ อนุ่ และกระแสน้าเยน็ มีผลต่ออุณหภมู ิของอากาศโลก
3. …………………….………ควรตกั นา้ อาบแทนการใชฝ้ ักบัว
4. ……………………….......น้าทว่ มขงั (flooding) มักเกดิ ขึน้ ในบริเวณพื้นท่รี าบท่อี ยู่ใกลภ้ ูเขาหรอื ทลี่ าดเชงิ เขาท่ีมแี หลง่ ตน้ น้า
5……………………………….นา้ ท่วมที่เกิดจากนา้ ลน้ ตลงิ่ (overbank flow) มักเกิดขึ้นบรเิ วณท่ีราบริมแม่น้า
6. ………………….………….การป้องการน้ากัดเซาะตล่งิ ทาไดโ้ ดยการสร้างแนวรั้วโดยอาจจะเป็นไม้ไผ่ หรอื เสาไฟฟา้ ท่ีไม่ใชแ้ ลว้
7. ……………………….…….ปจั จยั หลักของแผ่นดินถล่ม (landslide) คือ แรงโน้มถว่ งของโลกจากปริมาณน้าในดินที่มากจนเกินไป
8. ………………………….….การป้องกันแผน่ ดนิ ถล่ม โดยใช้ไมไ้ ผ่ทาเปน็ แนวบริเวณภูเขา
9. ……………………….….…การทแ่ี ผ่นดนิ ทรดุ มักเกิดบริเวณทม่ี ีการสบู น้าบาดาลจากชั้นหินอุ้มน้าขึ้นมาใชเ้ ปน็ ปริมาณมาก
10. ………………………….….การเกิดหลุมยุบ (sinkhole) ในบางพนื้ ที่ เนื่องจากบรเิ วณน้นั มดี นิ จดื ทีไ่ ม่มแี ร่ธาตุทีส่ ามารถละลายนา้

ได้ในดนิ ทาใหเ้ กดิ ช่องวา่ งจนเกดิ เป็นโพรงหรอื ถ้าใต้ดิน

คะแนนเตม็ 10 การทดสอบหลังเรียนเป็นการวดั ผลสมั ฤทธิ์วา่ เมื่อนักเรยี นศึกษาแล้วมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในเนื้อหาเพียงใด
คะแนนที่ได้ ............................... • ถา้ ได้คะแนนนอ้ ยกว่า 5 ข้อ ไม่ต้องเสียใจ ขอให้นกั เรียนเริม่ ศึกษาเน้ือหาใหม่ต้งั แต่ตน้ อกี คร้งั
• ถา้ ไดค้ ะแนน 5-7 ข้อ แสดงว่า นกั เรียนผ่านเกณฑ์ใหศ้ กึ ษาเร่อื งต่อไป
ผ้ตู รวจ • ถ้าได้คะแนน 8-10 ข้อ แสดงว่า นักเรียนผา่ นเกณฑ์และอยใู่ นระดับดีเย่ยี ม ให้ศึกษาเร่ืองต่อไปได้และ
ให้รักษามาตรฐานท่ีดีเยย่ี มไว้....จา้

บรรณานกุ รม

บญั ชา แสนทวี และคณะ. ส่ือการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์สมบูรณ์แบบ ม.2 เล่ม 1 ช่วงชน้ั ท่ี 3 ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2
ตามหลักสูตรการศึกษาข้นั พื้นฐาน พุทธศักราช 2544. กรุงเทพฯ: วฒั นาพานิช จากัด, 2549.

ประดบั นาคแก้ว, วชั วลั ย์ ครฑุ ไชยนั ต์ และดาวลั ย์ เสริมบุญสุข. หนังสอื เรียนแม็ค หนังสือเรียนสาระการเรยี นรู้
พ้นื ฐาน วทิ ยาศาสตร์ ช่วงช้ันท่ี 3 ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 2 ตามหลกั สูตรการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช
2544. กรงุ เทพฯ: แม็ค, 2551.

พมิ พันธ์ เดชะคปุ ต์ และคณะ. ชดุ กจิ กรรมพัฒนาการคดิ เสริมสร้างสมรรถนะสา้ คัญ และคุณลักษณะอันพึง
ประสงคข์ องผูเ้ รยี นยกระดบั สู่โรงเรียนมาตรฐานสากล (World-Class Standard School)
วทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 2 เล่ม 1 ตามหลักสตู รแกนกลาง
การศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ: พฒั นาคุณภาพวชิ าการ, 2557.
. ชดุ กจิ กรรมการเรียนรพู้ ฒั นาการคดิ เสรมิ สร้างคุณธรรม จริยธรรม และคา่ นิยมทด่ี ีงาม
วิทยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เล่ม 1 ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลมุ่ สาระการ
เรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน
พทุ ธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: พัฒนาคุณภาพวิชาการ, 2562.
. หนงั สอื เรียน รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้
วทิ ยาศาสตร์ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: พัฒนา
คุณภาพวชิ าการ, 2557.
. หนังสอื เรียน รายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2 ตามมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละ
ตัวช้ีวัด กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาข้นั พื้นฐานพุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ: พัฒนาคุณภาพวิชาการ, 2562.

ศรีลักษณ์ ผลวัฒนะ และเจียมจิต กุลมาลา. หนงั สอื เรียนแม็ค รายวิชาพนื้ ฐาน วิทยาศาสตร์ ม.2 ชนั้
มธั ยมศกึ ษาปีท่ี2 ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวดั กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร(์ ฉบับ
ปรับปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ:
แมค็ , 2562.

ศรลี กั ษณ์ ผลวัฒนะ, รตั นาภรณ์ อิทธไิ พสฐิ พันธุ์ และสภุ าภรณ์ หรินทรนติ ย์. ส่อื การเรียนรู้และเสรมิ สรา้ งทกั ษะ
ตามมาตรฐานการเรียนรู้ ชว่ งชน้ั ท่ี 3 (ม.1-ม.3) หลักสตู รการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2544
เร่ือง สมบตั ิของสารและการจา้ แนก กรุงเทพฯ: นยิ มวิทยา, 2545.
. ส่อื การเรยี นรู้และเสริมสรา้ งทกั ษะตามมาตรฐานการเรยี นรู้ ช่วงช้นั ที่ 3 (ม.1-ม.3) หลกั สตู ร
การศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2544 เรื่อง สารและการเปลี่ยนแปลง กรุงเทพฯ: นิยมวิทยา,
2546.

สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. หนงั สือเรยี น รายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์
วทิ ยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 2 เล่ม 2 ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วดั กลุ่มสาระการ
เรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน
พุทธศักราช 2551. พิมพค์ รั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2562.


Click to View FlipBook Version