โลกเปน็ ดาวเคราะห์ในระบบสรุ ยิ ะ เมอื่ มองจากดาวเทียมหรอื ยานอวกาศจะเห็นโลกมรี ูปร่างเปน็ ทรงกลมสีน้าเงนิ เนอ่ื งจาก
พน้ื ผิวโลก มนี ้าเปน็ สว่ นใหญ่ปกคลุมอยูแ่ ละมบี รรยากาศห่อหุม้ พนื้ ผิวโลก มที ั้งส่วนทเ่ี ป็นเทือกเขา ดิน หนิ แร่ ที่ราบ พน้ื น้า
ธารน้าแข็ง และมสี ิง่ มีชีวติ ท่ีเป็นพืช และสตั ว์หลายชนดิ เมอื่ โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์แกนของโลกจะเอยี งทามุม 23.5 องศากบั
เสน้ ท่ีต้ังฉากกบั ระนาบการโคจรของโลก ทาให้เกดิ ฤดกู าลต่างๆ ท่มี ผี ลต่อการดารงชวี ิตของมนุษย์ สตั ว์ และพืช
โลกและการเปลย่ี นแปลง
* รปู รา่ ง ลกั ษณะและโครงสรา้ งของโลก สว่ นประกอบของโลก
* โครงสรา้ งภายในของโลก
การเปลี่ยนแปลงของ * ลกั ษณะของแผ่นเปลอื กโลก
เปลอื กโลก * การเคลอ่ื นทข่ี องแผ่นเปลอื กโลก
* การเกดิ ภูเขา * รอยต่อของขอบเพลต การยกตัว ยบุ ตัวและ
* การแผ่นดนิ ไหว * การเกดิ ภูเขาไฟระเบดิ คดโค้งโกง่ งอ
การผพุ งั อยกู่ บั ที่ การกรอ่ น * การผุพงั อย่กู บั ท่ี * การกรอ่ น
การพดั พาและการทบั ถม * การพดั พา * การทบั ถม
* องคป์ ระกอบดนิ * การจาแนกดนิ * สมบตั ิ ดิน
ของดนิ * ปัจจยั ต่อความเป็นกรดเบสของดนิ
การปรบั ปรุงคณุ ภาพ * การชะลา้ งพงั ทลายของดนิ
ของดนิ * วธิ กี ารอนุรกั ษ์ดนิ
* หนิ อคั นี * หนิ ตะกอน หิน
* หนิ แปร * วฏั จกั รของหนิ
แร่ * คุณสมบตั ขิ องแร่ * ชนดิ ของแร่
* แรเ่ ชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์
* ประเภทของน้า * สมบตั ขิ องน้า นา้
* วฏั จกั รของน้า * คณุ ภาพของน้า
ประโยชน์ การอนรุ กั ษน์ า้ * ประโยชน์ของแหลง่ น้า * การอนุรกั ษ์น้า
และภัยพบิ ัตทิ ่ีเกิดจากนา้ * ภยั พบิ ตั ทิ เ่ี กดิ จากน้า
โลกของเรามลี กั ษณะเปน็ ทรงกลมและมีบรรยากาศปกคลุมผวิ โลกอยเู่ ป็นช้ันบางๆ สามารถเห็นผิวโลกท่มี ลี ักษณะแตกต่าง
กนั บางแหง่ เป็นพ้นื ทวีป บางแห่งเปน็ มหาสมทุ ร แต่ภายในโลกเปน็ บรเิ วณทเ่ี ราไมส่ ามารถสงั เกตเห็นไดโ้ ดยตรง ตอ้ งอาศัยการ
เจาะสารวจ แตเ่ น่อื งดว้ ยภายในโลกมอี ุณหภูมิและความดันสงู มาก ทาให้การขุดเจาะเพื่อทาการสารวจในระดับลกึ เปน็ ไปดว้ ย
ความยากลาบาก ปจั จบุ ันนักวทิ ยาศาสตร์ได้ใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ด้านต่างๆ ในการศกึ ษาลักษณะภายในโลก นกั เรียนคิดวา่
ภายในโลกมีลกั ษณะเป็นอยา่ งไร
1. สรา้ งแบบจาลองทอ่ี ธิบายโครงสรา้ งภายในโลก ตามองค์ประกอบทางเคมจี ากข้อมูลที่รวบรวมได้
คำสำคญั
- เปลือกโลกส่วนบน - เปลอื กโลกส่วนล่าง
- แมนเทิล - แกน่ โลกชนั้ นอก
- แก่นโลกชน้ั ใน - เหล็กและนเิ กิล
พิจารณาข้อความต่อไปน้แี ล้วเขยี นเครื่องหมาย / หน้าข้อความท่ีถูกต้อง และเขียนเคร่ืองหมาย X หน้าข้อความทีไ่ ม่
ถกู ตอ้ ง
..............1. โลกของเรามรี ูปร่างเปน็ ทรงกลม
..............2. โลกในระดับลกึ มากๆ ลงไป จะมีสงิ่ มชี วี ติ อาศัยอยู่ได้
..............3. แมนเทลิ หรือหนิ หนืด เป็นช้นั หนึง่ ในส่วนประกอบของโลก
..............4. หนิ หนืดทแี่ ทรกข้ึนมาสู่เปลอื กโลกแลว้ เย็นตัวลง จะกลายเป็นหนิ ตะกอน
..............5. โลกของเรามพี ื้นดินมากกวา่ พ้ืนนา้
โลกมีรปู ร่างเปน็ .......................................คล้ายผลสม้ หรือกลมแป้น ภาพที่ 2.1 รปู รา่ งและเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางของโลก
(ส่วนบนและสว่ นลา่ งค่อนข้างจะแบนเลก็ น้อย) มเี ส้นผ่านศูนย์กลางในแนวดง่ิ
จากข้วั โลกเหนอื ถงึ ขัว้ โลกใตป้ ระมาณ 12,714 กิโลเมตร ซง่ึ สนั้ กว่าเส้นผา่ น
ศูนยก์ ลางในแนวนอนเล็กน้อย เนื่องจากเสน้ ผ่านศนู ย์กลางในแนวนอนประมาณ
12,756 กิโลเมตร
ลักษณะพื้นผวิ นอกของโลกในที่ตา่ ง ๆ จะมลี ักษณะแตกต่างกันมีทง้ั พ้ืนดนิ พน้ื น้า ภูเขา และ
ปา่ ทบึ ส่วนทเี่ ป็น..........................................มมี ากท่ีสดุ ประมาณ.............................หรือ 71% และ
เปน็ พ้นื ดนิ ประมาณ ………………….…… สว่ น หรือ 29% ของพน้ื ผวิ โลก
ภาพท่ี 2.2 สว่ นประกอบของโลก ภาพที่ 2.3 ส่วนประกอบของโลก
ภาพท่ี 2.4 โครงสร้างภายในของโลก
นักธรณวี ิทยา แบง่ โครงสร้างภายในของโลกออกเป็น 3 ช้นั พจิ ารณาจากองค์ประกอบทางเคมี ดังน้ี
2.1...........................................(Crust) เป็นช้ันนอกสุดของโลก หนาประมาณ 6-35 km แบ่งเป็น 2 ส่วน ดงั นี้
1) เปลือกโลกส่วนบนหรอื ......................................
(Continental crust ) ส่วนใหญ่เป็น………...............…… (Sial)
ซง่ึ ………..……….............ของเปลือกโลกส่วนทีเ่ ปน็ ทวีป ส่วนใหญ่
ประกอบด้วย…….……..….. (silica) กับ…………...........(Alumina)
มีความหนาของแผ่นเปลือกโลก เฉลย่ี 35 กโิ ลเมตร ความหนาแนน่
2.7 กรัม/ลกู บาศก์เซนติเมตร
ภาพท่ี 2.5 ชั้นเปลือกโลก
2) เปลือกโลกสว่ นลา่ งหรือ………................…………. (Oceanic crust)
สว่ นใหญ่เปน็ ………………...................(Sima) ซึง่ เป็น…………...................…….. อยตู่ าม
เปลือกโลกในส่วนท่ีเป็นท้องมหาสมุทรและรองอยู่ใต้ช้นั หินไซอลั หนิ ไซมา ประกอบด้วย
………….........…… (Silica) กบั ……………….....…....….. (Magnesia) ความหนาของแผ่น
เปลือกโลก เฉลี่ย 5 กิโลเมตร ความหนาแน่น 3 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร (มากกว่าเปลือกทวีป)
2.2………….……………… (Mantle) อยู่ถดั จากเปลอื กโลกลงไป
จนถงึ แกน่ โลก หนาประมาณ 3,000 km ประกอบด้วยแมนเทลิ ชั้น
บนสุด (Uppermost mantle) เป็นชั้นหนิ และแรต่ ่าง ๆ ซ่ึงรองรับ
เปลือกทวปี และเปลือกสมทุ รอยลู่ กึ ลงมาถงึ ระดับลึก 100 km และ
ลกึ ลงไปอีกจะเป็นสว่ นของ……………………..และรอ้ นจัด ประกอบดว้ ย
ซิลิกอน (Si) เหลก็ (Fe) และอะลูมิเนยี ม (Al) หลอมละลายปนกนั อยู่
ภายใต้ความดันและอุณหภมู ิสงู มากประมาณ 2,800 C
2.3……………………….….. (Core) ชน้ั ในสุดของโลก หนาประมาณ ภาพท่ี 2.6 ช้นั เนือ้ โลกหรือแมนเทลิ
3,440 km แบง่ เป็น 2 ช้ัน ดงั น้ี ภาพท่ี 2.7 ชั้นแกน่ โลก
1)…………………….....……….. (Outer core) อย่ลู กึ จาก
ผิวโลกประมาณ 2,900 – 5,000 km เป็นชั้นของเหลวร้อน มีอุณหภมู ิ
สงู ประมาณ…………...........…….. เคลอ่ื นตวั ดว้ ยกลไกการพาความร้อน
ทาให้เกดิ สนามแมเ่ หล็กโลกมีความหนาสมั พัทธ์ (ความถว่ งจาเพาะ)
ประมาณ 12 ประกอบด้วยธาตุเหล็กและนเิ กลิ
2)………………………………..….(Inner core) เป็นชั้นของแขง็
ทปี่ ระกอบด้วยธาตเุ หล็กและนิเกลิ ซงึ่ มคี วามกดดันและอุณหภูมิสูงมาก
สงู ถงึ ………..…....……..จนทาใหอ้ นุภาคของ…………………….............…..
ถกู อัดแน่นกลายเปน็ ชนั้ มีความหนาแนน่ สมั พันธ์ (ความถ่วงจาเพาะ)
มากกว่า…….....…………จุดศูนยก์ ลางของโลกอยู่ท่รี ะดบั ลึก 6,370 km
โครงสรา้ งและส่วนประกอบของโลก
https://www.youtube.com/watch?
v=dkCJef_v5WI
ภาพท่ี 2.8 องค์ประกอบทางเคมีของโครงสร้างภายในของโลก
ปรากฏการณ์ในภาพท้งั สองแสดงว่า
ภายในโลกมีความรอ้ นอย่มู าก ดังน้ี
1) การเกดิ ภูเขาไฟระเบิด มีสาเหตุมา
จากภายในชั้นแมนเทิลและแก่นโลกมีหินหนดื ท่ี
หลอมละลายอย่ภู ายใต้อุณหภูมแิ ละความดันสงู
มาก จึงดันผ่านรอยแตกของเปลือกโลกพงุ่ ข้ึนมา
2) การเกดิ น้าพุร้อน เกิดจากน้าผิวดิน
ซมึ ลงไปใต้ดิน และซมึ ลงไปใต้ดิน และซมึ ลกึ
ลงไปจนถึงชั้นหินหนืด และไดร้ บั ความร้อนจาก
หินหนืด เกดิ การดนั ขึ้นมาเปน็ นา้ พุร้อน
• รูปร่าง ลักษณะและโครงสรา้ งของโลก โลกมรี ูปร่างเป็นทรงกลม คลา้ ยผลสม้ มีเส้นผ่านศนู ย์กลางในแนวด่ิงจากขั้วโลก
เหนอื ถึงขว้ั โลกใตป้ ระมาณ 12,711 กิโลเมตร ซึง่ สนั้ กวา่ เส้นผ่านศูนย์กลางในแนวนอนเลก็ นอ้ ย เนื่องจากเส้นผ่านศูนย์กลาง
ในแนวนอนประมาณ 12,755 กโิ ลเมตร
- ลกั ษณะพื้นผวิ นอกของโลก พื้นน้ามีมากท่สี ุดประมาณ 3 ใน 4 หรือ 71% และเปน็ พืน้ ดนิ ประมาณ 1 ใน 4 สว่ น หรอื
29% ของพื้นผวิ โลก
• โครงสร้างภายในของโลก แบ่งออกเป็น 3 ช้นั พจิ ารณาจากองคป์ ระกอบทางเคมี ดงั น้ี
1) เปลือกโลก (Crust) เป็นช้นั นอกสดุ ของโลก หนาประมาณ 6-35 km แบง่ เป็น 2 ส่วนดงั นี้
1.1 เปลือกโลกส่วนบนหรือเปลือกทวีป (Continental crust ) สว่ นใหญเ่ ป็นหนิ ไซอลั
(Sial) ซงึ่ หนิ แกรนติ ของเปลอื กโลกส่วนท่ีเป็นทวีป ส่วนใหญป่ ระกอบด้วยซิลิกา (silica) กับ
อะลูมนิ า (Alumina)
1.2 เปลือกโลกส่วนล่างหรือเปลือกมหาสมุทร(Oceanic crust) ส่วนใหญ่เปน็ หินไซมา
(Sima) ซ่งึ เปน็ หนิ บะซอลต์ ประกอบด้วยซิลกิ า (Silica) กับแมกนเี ซยี (Magnesia)
2) เนื้อโลก (Mantle) อยู่ถัดจากเปลอื กโลกลงไป หนาประมาณ 3,000 km ประกอบด้วย แมนเทิลชนั้ บนสุด
(Uppermost mantle) เป็นช้นั หนิ และแรต่ า่ ง ๆ หลอมละลายปนกันอยู่ภายใต้ความดนั และอุณหภูมิสงู มากประมาณ 2,800 C
3) แกน่ โลก (Core) ชั้นในสุดของโลก หนาประมาณ 3,440 km แบง่ เป็น 2 ชั้น ดังนี้
3.1 แก่นโลกช้นั นอก (Outer core) อยู่ลึกจากผวิ โลกประมาณ 2,900 – 5,000 km เปน็ ช้ันของเหลวรอ้ น
มอี ุณหภูมสิ ูงประมาณ 2,000 องศาเซลเซยี ส มคี วามหนาสัมพทั ธ์ ประมาณ 12 ประกอบดว้ ยธาตุเหล็กและนเิ กลิ
3.2 แกน่ โลกชั้นใน (Inner core) เป็นชน้ั ของแขง็ ที่ประกอบด้วยธาตุเหล็กและนิเกิล ซึ่งมคี วามกดดัน และอุณหภูมิ
สูงมาก สูงถึง 5,000 องศาเซลเซยี ส จนทาให้อนภุ าคของเหล็กและนกิ เกิล ถกู อัดแน่นกลายเป็นช้นั มีความหนาแนน่ สัมพันธ์
มากกวา่ 17
คา้ ชีแ้ จง จงนาตัวอักษรหน้าข้อความทางขวามือมาเติมลงหนา้ ขอ้ ความทางซ้ายมือทม่ี ีความสมั พันธก์ ัน
.........................1. เส้นผ่านศนู ย์กลางของโลกในแนวดง่ิ ก. แก่นโลกช้ันใน
.........................2. พนื้ ผวิ โลกส่วนที่เป็นพ้ืนดิน ข. 12,756 km
.........................3. สว่ นท่ีเปน็ ช้ันนอกสุดของโลก ค. แมนเทิล
.........................4. หินไซมาซงึ่ ประกอบด้วยสารประกอบซลิ ิกาและแมกนเี ซยี ง. 71% ของพื้นผิวโลก
.........................5. ชัน้ ของโลกที่อย่ถู ดั จากเปลือกโลก หนาประมาณ 3,000 km จ. แกน่ โลก
.........................6. ช้ันของโลกที่มสี ถานะเป็นของเหลว ประกอบด้วยธาตเุ หล็กและนเิ กลิ ฉ. เปลือกโลกสว่ นบน
.........................7. ชั้นในสดุ ของโลกท่มี ีความหนาประมาณ 3,440 km ช. 12,714 km
.........................8. ชน้ั ของโลกทมี่ ีความหนาแนน่ มากท่สี ุด ซ. 1 ใน 4 ของพ้ืนผวิ โลก
.........................9. ช้ันของโลกที่เรยี กวา่ เปลอื กทวีปและเปลอื กสมุทร ฌ. เปลอื กโลกสว่ นล่าง
.......................10. เสน้ ผ่านศนู ย์กลางของโลกในแนวนอน ญ. แก่นโลกช้ันนอก
ฎ. เปลือกโลก
คะแนนเต็ม 10
คะแนนทไี่ ด้ ...............................
ผู้ตรวจ
การทดสอบหลังเรียนเปน็ การวัดผลสัมฤทธิ์วา่ เม่อื นักเรียนศึกษาแล้วมีความร้คู วามเข้าใจในเนือ้ หาเพียงใด
• ถา้ ได้คะแนนน้อยกว่า 5 ข้อ ไม่ต้องเสียใจ ขอให้นักเรียนเริ่มศึกษาเนอ้ื หาใหม่ตง้ั แต่ตน้ อกี ครงั้
• ถ้าไดค้ ะแนน 5-7 ข้อ แสดงวา่ นักเรยี นผ่านเกณฑ์ใหศ้ กึ ษาเร่อื งต่อไป
• ถ้าได้คะแนน 8-10 ขอ้ แสดงว่า นักเรียนผา่ นเกณฑ์และอยใู่ นระดับดีเยีย่ ม ให้ศกึ ษาเร่ืองตอ่ ไปไดแ้ ละ
ให้รักษามาตรฐานทด่ี ีเย่ียมไว้....จ้า
Hp
พน้ื ผิวโลกบรเิ วณต่างๆ มีลกั ษณะแตกตา่ งกัน บางแห่งเป็นพืน้ ดนิ บางแห่งเป็นที่ราบ บางแหง่ เป็นภูเขา บางแห่งเป็นทะเลและ
มหาสมทุ ร การท่ีพน้ื ผวิ โลกมีลกั ษณะแตกต่างกันเช่นนี้ เกิดจากการเปลย่ี นแปลงของเปลอื กโลกทเ่ี ป็นไปตามธรรมชาติ จากข้อมลู
ในปจั จุบันจะเห็นว่า ส่วนของเปลอื กโลกทเ่ี ปน็ พื้นดินจะแบ่งเปน็ ทวปี ต่าง ๆ เช่น ทวีปเอเชีย ทวปี ยุโรป ทวปี แอฟริกา เปน็ ตน้ โดยมี
ทะเลและมหาสมุทรคั่นอยู่ระหวา่ งทวีปเหล่านี้
1. อธิบายการเปลย่ี นแปลงของเปลอื กโลกและกลไกท่ีทาใหเ้ ปลอื กโลกเคล่อื นทไ่ี ด้
2. ระบุช่ือและตาแหนง่ ของแผน่ เปลือกโลกได้
คำสำคญั
- แผน่ เปลือกโลก - แพงกอี า - อลั เฟรด เวเจเนอร์
- การเคล่ือนทข่ี องหินหนืด - ทฤษฎีของพลูม
พิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วเขียนเคร่ืองหมาย / หน้าข้อความท่ถี ูกต้อง และเขียนเครอ่ื งหมาย X หนา้ ข้อความที่
ไม่ถูกต้อง
..............1. ในอดตี ผวิ โลกสว่ นทเี่ ป็นพืน้ ดิน ย่ืนโผล่ขน้ึ มาจากผิวน้าเพยี งสว่ นเดยี ว
..............2. ประเทศไทยอยู่ในทวปี แอฟรกิ า
..............3. การเกิดแผ่นดินไหวขึน้ นั้น เกดิ จากการเคล่ือนท่ีของแผ่นเปลือกโลก
..............4. ปรากฏการณภ์ เู ขาไฟระเบิด และน้าพุร้อน แสดงว่า ภายในโลกมีความรอ้ นอยูม่ าก
..............5. ความร้อนจากแก่นโลก เป็นสาเหตุท่ีทาให้แผ่นเปลอื กโลกเคลื่อนที่ได้
เปลือกโลกแตเ่ ดิมจะเป็นผืนเดียวกนั แตต่ อ่ มาเปลือกโลกได้แตกออกเปน็ แผน่ โลกหลายแผน่ ทาให้เกิดเป็นทวิปต่าง ๆ
และแผ่นเปลือกโลกเหลา่ น้ีไม่ได้หยดุ นง่ิ อยู่กบั ที่เสมอไป จะมกี ารเปลีย่ นแปลงต่อไปได้อกี
1.1 ในอดตี ประมาณปี พ.ศ. 2163 นักอุตนุ ยิ มวิทยาและนกั ดาราศาสตร์ชาวเยอรมนั ช่ือ………………………………..…….
ไดเ้ สนอ……………………………….............………………. (Continental Drift Theory) มีใจความวา่ “เมอ่ื ประมาณ 50 ล้านปมี าแลว้
(ปัจจุบันตัวเลข 50 ลา้ นปไี ด้ถูกเปล่ยี นแปลงเปน็ 200 ล้านป)ี โลกของเรามีพนื้ ทวปี ใหญ่เพียงทวีปเดียวเทา่ นั้น นั่นคอื พน้ื ทวปี ท่ี
เป็นแผ่นดนิ ท่โี ผลข่ ึ้นมาจากผิวนา้ ต่อกันเปน็ ผืนเดยี ว เรียกว่า …………………………………………..……………… แปลวา่ All Land หรือ
แผ่นดนิ ท้ังหมด เมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ แพงกีอาเร่ิมแยกออกเป็นหลายสว่ น แต่ละสว่ นกเ็ ร่มิ ขยบั เคล่อื นท่ี และบางส่วนกแ็ ยก
จากกันออกไปเลยจนปรากฏเป็นทวปี ต่าง ๆ ในปจั จบุ นั
ภาพที่ 2.9 แผน่ เปลือกโลกในอดตี ท่เี รยี กว่า แพงกีอา ภาพท่ี 2.10 การเคล่ือนที่ของแผ่นเปลอื กโลกจากอดีตถงึ ปัจจบุ ัน
หลกั ฐานข้อมูลท่เี วเจเนอร์ได้อา้ งเพื่อสนบั สนุน ทฤษฎขี องเขา ดังน้ี
1)…………………………………………………….….……………….…………….จากรูปรา่ งของทวปี ตา่ งๆ ที่สวมเข้ากันได้อย่างพอเหมาะ
โดยเฉพาะทวปี อเมรกิ าเหนือและทวปี อเมริกาใตก้ ับทวีปแอฟริกา
2)……………………………………………………………………………...….……จากการพบสง่ิ มชี วี ติ ทั้งพืชและสัตว์ชนิดเดียวกันที่อยูใ่ นแถบ
ทวปี ท้ังทอ่ี ยู่ด้านเดียวกันหรอื ใกล้เคียงกนั เปน็ การแสดงวา่ เดิมทวปี 2 ทวีปนเ้ี คยเช่ือมตดิ กันมาก่อน
3)………………………………………...................................................... ในสมัยนั้นนกั ธรณีวิทยาไดศ้ ึกษา พบว่า เกาะกรนี แลนด์กาลัง
เคลอ่ื นที่ อัลเฟรด เวเจเนอร์ จึงได้อ้างเหตุการณท์ ีเ่ กดิ ขนึ้ วา่ สอดคลอ้ งกับทฤษฎขี องเขา
ภาพที่ 2.11 หลกั ฐานส่งิ มชี วี ิตทง้ั พืชและสตั วท์ ี่ทเี่ วเจเนอรไ์ ด้อา้ งเพอื่ สนบั สนนุ ภาพท่ี 2.12 หลกั ฐานสภาพรูปร่างของทวีป
1.2) ปจั จบุ ัน พ้นื ทวปี ไมไ่ ด้ตดิ ต่อกนั เป็นผืนเดียว แต่กระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ของโลก
โดยมีมหาสมทุ รและทะเลคั่นอยู่ นักธรณวี ิทยาได้ศึกษา พบวา่ ทวปี ตา่ งๆ ในโลกไม่ได้อยู่นิ่งกับท่ี
แตส่ ามารถเคลอื่ นที่ได้และสง่ิ ต่างๆ ทีป่ ระกอบกันเป็นเปลือกโลกนั้นไม่ไดร้ วมติดกันเปน็ แผ่นเดยี ว
แต่มีรอยแยกอยู่หลายแห่ง รอยแยกเหลา่ น้ีสว่ นใหญจ่ ะลึกลงไปจากผวิ โลก จากรอยแยกทาใหส้ ามารถแบง่ เปลือกโลกที่มขี นาดใหญ่
ออกเป็น 6 แผน่ แตล่ ะแผ่นเรยี กว่า “ แผ่นเปลือกโลก” หรือ “เพลต (plate)” ดังรปู
ภาพท่ี 2.13 แผน่ เปลอื กโลกในปจั จบุ ัน
1).……………………….……….…รองรับทวีปเอเชียและทวีปยโุ รป รวมทง้ั พื้นน้าบริเวณใกล้เคียง
2).…………………………………..รองรับทวปี อเมรกิ าเหนือ ทวปี อเมริกาใต้ และน้าครึ่งซีกตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติก
3)……………………………….…..รองรบั มหาสมทุ รแปซฟิ ิกท้งั หมด
4)……………………………….…..รองรับทวีปออสเตรเลยี ประเทศอินเดีย และพ้ืนนา้ ระหวา่ งประเทศทั้งสอง
5)……………………………………รองรับทวีปแอนตาร์กติกและพ้ืนนา้ โดยรอบ
6)……………………………………รองรบั ทวีปแอฟริกาและพน้ื นา้ โดยรอบ
นอกจากน้ยี งั มีแผ่นเปลือกโลกขนาดเล็กอีกหลายแผ่น เช่น แผ่นฟลิ ิปปินส์ท่รี องรับประเทศฟิลปิ ปินส์ เปน็ ต้น
1.3) ในอนาคต แผ่นเปลือกโลก
ตา่ งๆ จะเคลื่อนท่ีตลอดเวลา ทาให้ทวีป
ตา่ งๆ ทีพ่ บอยู่ในปจั จบุ นั มีการเปล่ยี น
แปลงได้อกี เชน่ อีก 50 ล้านปีขา้ งหน้า
อลาสกาและรัสเซยี อาจจะเช่ือมต่อกัน
ก็ได้
ภาพที่ 2.14 ในอนาคตเชื่อวา่ อลาสกาและรสั เซยี อาจจะเช่ือมต่อกนั ได้
เปลือกโลกประกอบด้วยแผ่นเปลือกโลกทง้ั ขนาดใหญแ่ ละขนาดเลก็ และแผ่นเปลอื กโลกแตล่ ะแผ่นสามารถเคลื่อนท่ีได้
ทาให้เกดิ กระบวนการยกตวั ยุบตวั และการคดโค้งโก่งงอ ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก ซึ่งกลไกที่ทาให้เกดิ
การเคล่ือนทข่ี องแผน่ เปลือกโลก ไดแ้ ก่
2.1 …………………………………………………..………….. หนิ หนดื ภายในโลกได้รับความร้อนจากแกน่ โลก ทาให้หินหนดื ท่ี
ไหลวนช้าๆ สง่ ผลใหแ้ ผ่นเปลือกโลกที่อยบู่ นหนิ หนดื เคลื่อนทอี่ ย่างช้าๆตามไปดว้ ย อธบิ ายโดยการใช้ “………………………………”
(.........................................................) กล่าววา่ การเคลอื่ นท่ีของเปลือกโลกเกดิ จากการไหลวนของหินหนืด ในชน้ั แมนเทิล โดยที่
หนิ หนดื ไดร้ ับความร้อนจากแกน่ โลกและส่งผา่ นขึน้ มา พอถึงช้นั Asthenosphere หินหนดื จะมกี ารไหลแผ่ออกในแนวราบและมี
การม้วนตวั ไปอีกครั้ง
ภาพที่ 2.15 การเคลอ่ื นท่ีของหนิ หนืดโดยไหลวนอย่างช้าๆ ภาพที่ 2.16 การเคลือ่ นที่ของหินหนืดโดยไดร้ ับความรอ้ นจากแก่นโลก
2.2)………………………………………………………………………………………….…………………………..…….
แผน่ เปลือกโลกส่วนท่ีเป็นมหาสมทุ รจะมคี วามหนาแนน่
มากกว่าแผ่นเปลือกทวีป จึงทาให้หนิ หนดื ชั้นแมนเทลิ ที่มีอุณหภมู ิ
และความดนั สูงมาก สามารถดนั และแทรกตวั ขนึ้ มาตามรอยต่อ
ระหวา่ งแผน่ เปลอื กโลกที่อยู่ใต้มหาสมทุ รได้งา่ ยกวา่ แผ่นเปลือกโลก
ส่วนที่เป็นทวีป ทาใหแ้ ผ่นเปลอื กโลกใตม้ หาสมุทรถูกดนั ใหเ้ คลือ่ น
หา่ งออกไป เช่น
- ……………………………………………………………………… ภาพท่ี 2.17 การเกดิ แนวหนิ ใหม่ใตม้ หาสมทุ ร
…………………………………………………………………………………...……..
ซ่งึ เกิดจากหนิ หนืดใตเ้ ปลือกโลกดนั ขึน้ มาท่ีบริเวณรอยต่อน้ี ส่งผล
ใหบ้ ริเวณรอยต่อน้ีมแี นวหนิ ใหม่เกดิ ขึน้ ตลอดเวลาและทาให้แผน่ ดิน
ของทวีปอเมริกากับยโุ รปและทวปี แอฟริกาหา่ งกันมากข้ึนเร่อื ย ๆ
ภาพที่ 2.18 แนวหนิ ใหม่ใต้มหาสมทุ ร
- …………………………..…. เน่ืองจากแผ่นเปลอื กโลกให้มหาสมุทรเคลอ่ื นท่ีออกไปมาก
ทาให้ของอีกด้านหน่ึงเขา้ ไปชนและมุดตัวเข้าไปใต้แผน่ เปลือกโลก และมแี รงดนั มหาศาลเกิดข้ึน
ตามบรเิ วณท่ีจรดกนั น้ี ทาให้เปลือกโลกบางส่วนถูกดนั จนโค้งงอได้ เช่น แผ่นออสเตรเลยี มุดลง
ไปอยใู่ ต้แผน่ ยูเรเซีย ส่งผลให้เปลอื กโลกบางสว่ นถูกดันให้โค้งตัวขึน้ กลายเป็นภเู ขาสงู เช่น บรเิ วณเทือกเขาหิมาลยั ซึ่งอย่ทู างตอน
เหนือของประเทศ………………………………....
ภาพท่ี 2.19 การชนกนั ของแผ่นยูเรเชียและแผน่ ออสเตรเลีย ภาพที่ 2.20 การชนกันของแผน่ เปลอื กโลกทาใหเ้ กิดภเู ขา
ปฏบิ ัตกิ ารที่ 9 เรอื่ ง แผน่ เปลือกโลกเคลอ่ื นที่ได้อยา่ งไร
วัตถปุ ระสงค์ 1. อธบิ ายการเคลื่อนท่ีของสผี สมอาหารท่ีหยดลงในน้ากบั การเคลื่อนท่ีของเศษกระดาษได้
2. อธิบายการกระทาท่ีเกิดจากการเคล่ือนท่ีของของเหลวทมี่ ีต่อวตั ถบุ นผิวของเหลวนั้นได้
อปุ กรณ์ 1. บีกเกอร์ขนาด 600 ml จานวน 1 ใบ 2. นา้
3. ตะเกยี งแอลกอฮอล์ 4. สีผสมอาหารหรอื ดา่ งทบั ทิม
5. ช้อนตักสาร 6. ชิน้ กระดาษ
7. แผงกนั้ ลม
วิธีทา้ การทดลอง
1. ใส่น้าในบกี เกอรข์ นาด 50 ml ประมาณ คร่ึงบกี เกอร์ แล้วนาบีกเกอรด์ ังกลา่ ว ตัง้ ไฟประมาณ 2 นาที เพ่ือให้นา้ ในบีกเกอร์
เดอื ด แลว้ ทาการหยดสีผสมอาหาร 1 หยด ลงตรงข้างบกี เกอร์
2. สงั เกตและบันทกึ ผลการเคลื่อนท่ีของสีผสมอาหารวา่ เปน็ ไปในลักษณะใด
3. หยดสีผสมอาหารอีก 1 หยด แล้วคอ่ ยหยอ่ นกระดาชนิ้ เลก็ ๆ ขนาด 0.5 cm x 0.5 cm จานวน 3-4 ชิ้น ลงบนผิวนา้ ตรง
ตาแหนง่ ท่ีหยดสีลงไป พยายามอย่าให้กระดาษทบั กัน สังเกตและบันทึกผลการทดลองของการเคล่ือนทก่ี ระดาษแตล่ ะชิ้น เป็น
อยา่ งไร
ตารางบันทกึ ผลการทดลอง
รายการกิจกรรม ภาพ การเปล่ยี นแปลงทเ่ี กิดขึ้น
1.เมื่อหยดสารละลายด่างทบั ทมิ หรือ
สผี สมอาหาร 1 หยด
2.เม่อื หยดสารละลายด่างทบั ทิม หรือ
สีผสมอาหาร 1 หยด และกระดาษ
สรปุ ผลการทดลอง
………………...............................................................…………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………...............................................................……………………………………………………………………………………………………..……
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………...............................................................………………………………………………………………………………………………………..…
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………...............................................................……………………………………………………………………………………………………..……
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………...............................................................……………………………………………………………………………………………………..……
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………...............................................................……………………………………………………………………………………………………..……
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………...............................................................……………………………………………………………………………………………………..……
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คาถามท้ายการทดลอง
1. สผี สมอาหารท่ีหยดลงไปในน้าขณะท่ีน้าได้รบั ความร้อนจากตะเกียงแอลกอฮอล์ จะเกิดการเคลื่อนทอี่ ยา่ งไร
………………...............................................................………………………………………………………………………………………………..…………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. เศษกระดาษทหี่ ย่อนลงบนพ้นื นา้ ที่ได้รับความร้อน จะเกิดการเคล่ือนที่อย่างไร
………………...............................................................…………………………………………………………………………………………………..………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ในกจิ กรรมน้สี ีผสมอาหารและนา้ เปรยี บไดก้ บั หนิ ในช้นั แมนเทลิ ของเปลือกโลก ซึ่งได้แก่………….....................................……….
และการเคลอื่ นที่ของเศษกระดาษเปรียบ………………………………………………………………………………………………………………………….
• ลักษณะของแผน่ เปลือกโลก
1) ในอดีต นกั อตุ ุนยิ มวิทยา และนกั ดาราศาสตร์ชาวเยอรมนั ช่ือ อลั เฟรด เวเจเนอร์ (Alfred Wegener) ได้เสนอ
“ทฤษฎีการเลอื่ นไหลของทวีป” (Continental Drift- Theory) มีใจความวา่ “เม่ือประมาณ 50 ล้านปีมาแล้ว โลกของเรามีพ้นื
ทวปี ใหญ่เพียงทวปี เดยี วเทา่ นั้น นนั่ คอื พ้นื ทวปี ที่เปน็ แผ่นดินทีโ่ ผล่ขึ้นมาจากผวิ น้าต่อกันเป็นผนื เดยี ว เรียกว่า แพงกีอา/แพงเจยี
(Pangaea) แปลว่า All Land หรอื แผน่ ดินทง้ั หมด เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ แพงกีอาเร่ิมแยกออกเปน็ หลายสว่ นแตล่ ะส่วนก็เร่มิ ขยบั
เคลอ่ื นท่ี และบางส่วนกแ็ ยกจากกันออกไปเลยจนปรากฏเป็นทวปี ตา่ ง ๆ ในปัจจบุ ัน”
• หลักฐานข้อมูลทส่ี นบั สนนุ ทฤษฎีของอัลเฟรด เวเจเนอร์ มีดังน้ี
1. หลกั ฐานสภาพรปู ร่างของทวีป ท่สี วมเข้ากนั ได้อย่างพอเหมาะ โดยเฉพาะทวปี อเมริกากบั ทวีปแอฟริกา
2. หลักฐานสง่ิ มีชีวติ ทัง้ พืชและสตั ว์ จากการพบสิ่งมชี ีวติ ทงั้ พชื และสัตวช์ นดิ เดียวกนั ทอี่ ยู่ในแถบทวปี ทั้งที่อยู่ดา้ นเดียวกัน
หรือใกล้เคยี งกัน เป็นการแสดงวา่ เดมิ ทวีป 2 ทวปี น้ีเคยเชอื่ มตดิ กนั มาก่อน
i. 3. หลกั ฐานการเคลอ่ื นที่ของเกาะกรนี แลนด์ ในสมยั น้ันนักธรณีวทิ ยาได้ศึกษาพบวา่ เกาะ
ii. กรนี แลนด์กาลังเคล่ือนที่ซง่ึ สอดคล้องกับทฤษฎขี องเขา
iii. 2) ปัจจุบัน พืน้ ทวปี ไม่ได้ตดิ ต่อกนั เป็นผืนเดียว แตส่ ามารถแบง่ เปลือกโลกที่มขี นาดใหญ่
ออกเปน็ 6 แผ่นแตล่ ะแผน่ เรียกว่า “ แผ่นเปลอื กโลก” หรอื “เพลต (plate)” เชน่
1. แผน่ ยูเรเชยี 2. แผน่ อเมรกิ า 3. แผ่นแปซิฟิก 4. แผน่ ออสเตรเลีย 5. แผ่นแอนตาร์กติก 6. แผน่ แอฟริกา
3) ในอนาคต แผน่ เปลือกโลกต่างๆ จะเคล่อื นท่ตี ลอดเวลา เชน่ อีก 50 ลา้ นปขี า้ งหน้า อลาสกาและรัสเซียอาจจะเชือ่ มตอ่ กัน
• การเคล่ือนทข่ี องแผ่นเปลือกโลก ซงึ่ กลไกท่ีทาให้เกิดการเคล่ือนท่ีของแผ่นเปลือกโลก ได้แก่
1) การเคลือ่ นที่ของหินหนืด หนิ หนืดภายในโลกไดร้ ับความร้อนจากแก่นโลก ทาให้หนิ หนืดท่ไี หลวนชา้ ๆ ส่งผลใหแ้ ผ่น
เปลอื กโลกท่ีอยู่บนหินหนืดเคลื่อนทอี่ ยา่ งชา้ ๆ ตามไปด้วย อธบิ ายโดยการใช้ “ทฤษฎขี องพลูม (Plum Theory) กล่าววา่ การ
เคลอ่ื นท่ีของเปลือกโลกเกิดจากการไหลวนของหนิ หนืดในชัน้ แมนเทิล โดยท่หี นิ หนืดได้รับความรอ้ นจากแก่นโลกและสง่ ผา่ นขึน้ มา
พอถึงช้ัน Asthenosphere หนิ หนดื จะมกี ารไหลแผ่ออกในแนวราบและมีการมว้ นตัวไปอีกครั้ง
2) แรงดันและแรงพยุงทเี่ กิดจากหนิ หนดื ในช้นั แมนเทลิ แผน่ เปลอื กโลกสว่ นทเี่ ปน็ มหาสมุทรจะมีความหนาแน่น
มากกวา่ แผ่นเปลือกโลกท่ีอยู่ใต้ทวีป จงึ ทาใหห้ นิ หนืดช้ันแมนเทิลทีม่ อี ุณหภมู ิและความดันสูงมาก สามารถดนั และแทรกตวั ขนึ้ มา
ตามรอยต่อระหว่างแผน่ เปลอื กโลกที่อยู่ใตม้ หาสมุทรไดง้ ่ายกวา่ แผน่ เปลือกโลกสว่ นท่เี ปน็ ทวีป ทาใหแ้ ผน่ เปลอื กโลกใต้มหาสมุทร
ถูกดันใหเ้ คลอื่ นห่างออกไป เช่น
2.1 การเกิดหนิ แนวใหม่ท่ีบรเิ วณรอยต่อระหว่างแผ่นเลอื กโลกทอ่ี ยู่ใต้มหาสมุทร ส่งผลใหบ้ รเิ วณรอยตอ่ นม้ี ีแนว
หินใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลาและทาให้แผน่ ดินของทวปี อเมริกากบั ยุโรปและทวปี แอฟริกาหา่ งกันมากข้ึนเรื่อยๆ
2.2 การเกิดภูเขา เน่ืองจากแผน่ เปลือกโลกเคล่ือนที่ ทาให้อกี ด้านหน่ึงเขา้ ไปชนและมุดตวั เขา้ ไปใต้แผ่นเปลอื กโลก
และมีแรงดนั มหาศาลเกดิ ขึ้นบรเิ วณนี้ ทาใหเ้ ปลอื กโลกบางสว่ นถูกดันจนโค้งงอได้ เช่น แผ่นออสเตรเลียมุดลงไปอย่ใู ต้แผน่ ยูเรเซีย
สง่ ผลให้ถกู ดันโคง้ ตัวขน้ึ กลายเปน็ ภูเขาสูง เช่น บรเิ วณเทอื กเขาหมิ าลยั ซ่ึงอยู่ทางตอนเหนอื ของประเทศอนิ เดยี
ค้าชแี้ จง ใหน้ ักเรยี นท้าเคร่ืองหมาย / หน้าข้อความท่ถี ูกตอ้ ง และท้าเครอื่ งหมาย X หน้าขอ้ ความทไี่ ม่ถกู ต้อง
1.………..….…การเคล่ือนที่ของแผน่ เปลือกโลกเกิดจากการเคล่ือนท่ีของหินหนดื
2…………….…แผ่นเปลือกโลกท่อี ยใู่ ต้มหาสมทุ รมคี วามหนามากกว่าแผ่นเปลือกโลกสว่ นท่ีเป็นทวีป
3…………….…การเกดิ แนวหินใหมเ่ ป็นผลจากการทห่ี นิ หนืดในช้ันแกน่ โลกดันข้นึ มาตามรอยต่อระหว่างแผ่นเปลอื กโลกใต้
มหาสมุทร
4…………….…การทีห่ นิ หนืดดันขนึ้ มาตามรอยต่อระหวา่ งแผ่นเปลือกโลกของทวีปอเมรกิ า ทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกา เปน็ ผล
ใหท้ วีปทั้งสามหา่ งกนั มากขึน้ เร่ือย ๆ
5…………….…แรงดนั และแรงพยุงแผ่นเปลอื กโลกใต้มหาสมุทรเกิดจากหินหนืดในชั้นแมนเทิล
6………...….…ภูเขาหิมาลัยเกิดจากการชนกันของแผ่นออสเตรเลยี กบั แผ่นแอนตาร์กติก
7…………….…หินหนืดในชั้นแมนเทลิ ได้รบั ความรอ้ นจากแก่นโลก จึงทาให้เกิดการเคล่อื นทไ่ี หลวนอย่างช้า ๆ
8…………….…การชนกนั ของแผน่ เปลอื กโลกใต้มหาสมทุ รอินเดีย ทาให้เกิดกระบวนการยุบตัว
9……….………หนิ หนดื สามารถแทรกตัวขึ้นมาตามรอยต่อระหวา่ งแผ่นเปลอื กทวีปได้ดกี ว่าแผ่นเปลอื กโลกสว่ นท่ีอยู่ใตม้ หาสมุทร
10…………..…แผ่นเปลือกโลกท่ีอย่ใู ต้มหาสมทุ ร ได้แก่ แผ่นออสเตรเลยี
การเคล่อื นท่ีของหินหนืดภายในโลกมผี ลทาให้.............................................................. และการเคล่อื นที่ของเปลือกโลก
ทาให้เกดิ กระบวนการต่าง ๆ หลายกระบวนการ เชน่ การยกตวั การยุบตัว การคดโค้งโก่งงอ ซึง่ กระบวนการเหล่านี้ เปน็ สาเหตุ
ทาให้เกดิ ............................................................................................................... เปน็ ต้น
1. อธิบายการเกิดภูเขา แผน่ ดินไหว และภูเขาไฟได้
2. เขยี นแผนภาพแสดงการเกิดภเู ขา แผน่ ดินไหว และภูเขาไฟได้
คำสำคญั
- การเกดิ ภเู ขา - รอยตอ่ ของขอบเพลต
– การเกิดแผน่ ดนิ ไหว - การเกิดภูเขาไฟระเบดิ
คา้ ชี้แจง จงเลือกตัวอักษรหน้าขอ้ ความทางขวามือ มาเติมลงในชอ่ งว่างหนา้ ข้อความทางซา้ ยมอื ท่ีมีความสมั พนั ธ์กนั
1............การเคล่ือนที่ของแผ่นเปลอื กโลกอย่างฉนั พลนั ก. ริกเตอร์
2............การท่ีเปลือกโลกถูกแรงบบี อัดจนโค้งงอ ข. การเกิดภูเขาไฟ
3............การดันตัวของหนิ หนืดตามแทรกรอยแตกข้นึ สูผ่ วิ โลกจากแรงดันภายในโลก ค. การเกิดภเู ขาไฟระเบดิ
4............มาตราในการวัดแผน่ ดนิ ไหวของประเทศไทย ง. แมกมา
5............หนิ หนดื ท่ีออกจากปล่องภเู ขาไฟ จ. การเกดิ แผน่ ดินไหว
ฉ. ลาวา
ภูเขาเกดิ ขนึ้ ได้หลายกระบวนการและแตล่ ะกระบวนการใช้ ภาพท่ี 2.21 การเกดิ เทอื กเขาทางภาคเหนอื ของไทย
เวลานานมาก ซึง่ กระบวนการเกดิ ภเู ขาท่สี าคญั มีดงั นี้
1) .......................................................................................
เนอ่ื งจากไดร้ บั แรงดนั จากหินหนืดใตผ้ ิวโลก กระบวนการน้ี
มหี ลายข้นั ตอน และแต่ละขัน้ ตอนใชเ้ วลานานมาก ภูเขาท่เี กิดขนึ้
ด้วยวิธีนีจ้ ะเป็นเทือกเขาแนวยาว เชน่ การเกิดเทอื กเขาทาง
............................................................................................ของไทย
2) การท่เี ปลอื กโลกถูกแรงบบี อัดจนโค้งงอ เชน่ การเกดิ
.............................................................ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
3) การดันของหนิ หนืดท่ใี ต้ผวิ โลกแล้วเยน็ ตัวก่อนทจ่ี ะ ภาพท่ี 2.22 การทเี่ ปลอื กโลกถูกแรงบีบอัดจนโคง้ งอ
ไหลออกมา เชน่ การเกดิ ภูเขาหินแกรนิต......................................
.................................................ของภาคกลาง
4)..................................................................................... ภาพที่ 2.23 การเกิดเทอื กเขาหมิ าลัย
เช่น ภูเขาหิมาลัยซง่ึ อย่ทู างตอนเหนอื ของประเทศ.........................
เกดิ จากการชนกนั ของแผ่น................................................กับแผ่น
..................................................
5) การทีผ่ วิ โลกมคี วามทนทานตอ่ การกร่อนไม่เทา่ กนั
โดยผิวโลกส่วนที่ไม่แขง็ จะถกู กดั กร่อนทาลายไป ส่วนทแ่ี ข็งจะยงั
คงอยู่ เช่น การเกิด.......................................................................
ภาพท่ี 2.24 การเกดิ ภกู ระดงึ จงั หวดั เลย
1)....................................................(Divergent)
เมอื่ แมกมาในช้ันแอสทโี นสเฟียร์ดันตัวขึน้ ทาให้เพลตขยายตวั
ออกจากกนั แนวเพลตแยกจากกันส่วนมากเกิดขึน้ ในบริเวณ
..........................................................
ภาพท่ี 2.25 รอยต่อของขอบเพลตบนโลก
2)........................................(Convergent) เม่ือเพลตเคล่ือนท่ีเขา้ ชนกัน เพลตทมี่ ี
ความหนาแนน่ สูงกว่าจะ......................ลงและหลอมละลายในชนั้ แมนเทลิ สว่ นเพลตทีม่ ีความ
หนาแนน่ นอ้ ยกว่าจะถูกเกยสูงข้นึ กลายเป็น........................................... เช่น เทือกเขาหิมาลัย
เกดิ จากการชนกนั ของเพลตอินเดียและเพลตเอเชยี เทือกเขาแอพพาเลเชยี น เกิดจากการชนกนั ของเพลตอเมริกาเหนอื กบั เพลต
แอฟริกา
ภาพที่ 2.26 เพลตชนกันและเพลตแยกออกจากกัน
3).........................................(Transfer fault) เป็นรอยเล่ือนขนาดใหญ่ มักเกิดในบรเิ วณเทอื กเขากลางมหาสมุทร
แต่บางคร้ังเกดิ ขึ้นบริเวณชายฝั่ง เชน่ รอยเลอื่ นแอนเดรยี ส์ ท่ที าให้เกดิ แผ่นดินไหวในรฐั แคลฟิ อร์เนยี ประเทศสหรัฐอเมริกา
เกิดจากการเคล่ือนทสี่ วนกันของเพลตอเมริกาเหนือและเพลตแปซิฟิก
ภาพท่ี 2.27 รอยเลอื่ น
3.2.1 ขน้ั ตอนการเกดิ แผ่นดนิ ไหว แผ่นดนิ ไหวเกดิ จาก...........................................................................................................
(1) ความร้อนจากแก่นโลกทาใหเ้ ปลอื กโลกสว่ นล่าง.............................................................ส่วนบน ประกอบกับบริเวณผวิ
โลกมกี ารเปลี่ยนแปลงอุณหภูมติ ลอดเวลา ทาให้เปลือกโลกมกี ารขยายตัวและหดตัวไม่สมา่ เสมอ
(2) การขยายตัวและหดตวั ไม่สมา่ เสมอของเปลือกโลกกอ่ ให้เกิดแรงดัน สง่ ผลกระทบต่อรอยแตกในช้ันหนิ และรอยต่อ
ระหว่างเปลือกโลกโดยตรง ทาให้รอยต่อระหวา่ งเปลือกโลกบางแหง่ แยกออกจากกันและบางแหง่ เคลอ่ื นทเ่ี ข้าชนกัน
ภาพท่ี 2.28 แผ่นดนิ ไหว ภาพที่ 2.29 ความเสยี หายจากแผ่นดินไหว
3.2.2 บรเิ วณทีเ่ กิดแผน่ ดนิ ไหว การเกิดแผ่นดนิ ไหวจะเกดิ บรเิ วณ.............................................................................ไดม้ ากกวา่
บริเวณอน่ื ๆ ท้งั นีเ้ พราะเปลอื กโลกมีการ...........................................................................................
3.2.3 มาตราวดั การส่นั สะเทอื น เม่ือเกิดแผ่นดินไหว มี 2 แบบ คือ ............................................................................................
ประเทศไทยใช้มาตรา.....................................ในการวดั การสน่ั สะเทือนของแผ่นดินไหว
ภาพท่ี 2.31 ไซโมกราฟ
ภาพที่ 2.30 เครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหว
3.2.4 สถานตี รวจแผน่ ดินไหว ประเทศไทยมสี ถานีตรวจแผน่ ดินไหวอยู่ 9 แหง่ ได้แก่
1ภ.าเพชทงิ ่ีด2อ.3ย0สเุเคทรพือ่ งมอื ตรวจวดั จแงั ผหน่ วดดั ินเไชหียวงใหม่
2. เขือ่ นภูมพิ ล จังหวดั ตาก
3. อาเภอเมือง จังหวดั นครสวรรค์ ........................................................................................
4. ปากชอ่ ง จงั หวดั นครราชสมี า มีประสทิ ธิภาพมากท่ีสดุ ในประเทศไทย และสามารถวดั
5. เข่อื นเขาแหลม จังหวัดกาญจนบุรี การสนั่ สะเทือนของแผ่นดินไหวได้ทั่วโลก
6. อาเภอหวั หนิ จงั หวัดประจวบคริ ขี นั ธ์
7. จงั หวดั สงขลา
8. จงั หวดั เลย
9. อาเภอเมือง จังหวดั กาญจนบุรี
ภาพท่ี 2.32 สถานตี รวจวัดแผน่ ดนิ ไหว กรมอุตุนยิ มวทิ ยา ภาพท่ี 2.33 สถานตี รวจวัดแผน่ ดนิ ไหวในประเทศไทย
3.2.5 ผลกระทบจากการเกิดแผ่นดนิ ไหว ทาให้อาคารบ้านเรือน ส่ิงก่อสร้างตา่ งๆ พังทลาย และได้รับความเสียหายมากมาย
ซึง่ มนษุ ยแ์ ละสิ่งมีชีวติ ต่างๆ อาจไดร้ ับอันตรายหรือความเสียหายตามไปด้วย
ระดับ ผลของแรงสั่นสะเทือน ระดับ ผลของแรงส่ันสะเทือน
1 คนไม่รูส้ กึ 8 ตึกรามบา้ นช่องและสิง่ ก่อสรา้ งบางแห่งจะ
2 คนทอ่ี ยูน่ ่ิงๆ จะรู้สกึ พังทลาย ก่ิงไมจ้ ะหักออกจากตน้ บนแผ่นดนิ
3 วตั ถุที่แขวนไว้จะแกว่ง คนในอาคารจะร้สู ึกถึง จะมีรอยแตกแยกให้เห็น
แรงสั่นสะเทือนเหมือนมีรถบรรทุกขนาดเล็กแล่นผ่าน 9 เขอื่ นและอ่างเกบ็ น้าอาจจะพัง ทอ่ น้าที่ฝงั อยู่
4 ประตหู น้าตา่ งและรถยนต์ท่ีจอดไว้จะสัน่ ไหว เหมือนมี ใตด้ ินแตกเสยี หาย แผ่นดินจะเกิดรอย
รถบรรทุกขนาดใหญแ่ ลน่ ผ่าน แตกแยกใหเ้ หน็ ชดั
5 ประตจู ะปิดเปิดไปมา ของเหลวในภาชนะ จะกระฉอก 10 ส่งิ ก่อสร้างและตึกสว่ นใหญ่จะพงั ทลาย
จนหก คนทีห่ ลับจะรสู้ ึกตวั ต่ืน แผน่ ดินมีการเล่ือนไหลหรอื ถลม่ น้าจะ
6 ระฆังเล็กๆ ท่แี ขวนไว้จะสน่ั ดังได้เอง คนจะไมส่ ามารถ กระฉอกออกจากแม่น้า ลาธาร และทะเลสาบ
เดนิ ไดต้ รงทาง 11 รางรถไฟจะบิดงอไปมา
7 ระฆังขนาดใหญ่จะสน่ั ดังไดเ้ อง คนจะทรงตัวยาก และ 12 ทกุ สิง่ ทุกอยา่ งจะถกู ทาลายพังพินาศ แทบไม่มี
คนท่ีกาลังขบั รถอยู่จะควบคมุ รถลาบาก อะไรเหลอื
3.3.1 การเกิดภเู ขาไฟ เกดิ จาก......................................................................ทมี่ คี วามดันและอณุ หภูมิสูงมาก ทาให้หนิ หนืดถกู
แรงดนั อัดใหแ้ ทรกรอยแตกขน้ึ สู่ผวิ โลก โดยมีแรงประทหุ รอื แรงระเบิดเกดิ ขึ้น
3.3.2 สิ่งที่พงุ่ ออกมาจากภูเขาไฟ เม่ือเกิดภูเขาไฟระเบิด ได้แก่
1) หนิ หนืด หินหนดื ทอี่ อกจากปล่องภเู ขาไฟ เรียกวา่ ........................
ส่วนหินหนืดที่ยงั ไม่ออกมาสู่ผวิ โลก เรยี กวา่ ...................................
2) เถ้าถ่าน ฝนุ่ ละออง ไอนา้ เศษหนิ และแก๊สต่างๆ เช่น
CO2 , CO, SO2 , N2
3.3.3 บริเวณทีม่ ีโอกาสเกิดภูเขาไฟ ได้แก่
1) บรเิ วณ.........................................................................................
จะมโี อกาสมากทส่ี ดุ
2) บริเวณที่ห่างจากรอยต่อระหว่างเปลอื กโลกมโี อกาสเกดิ ได้น้อย
เชน่ บุรรี มั ย์ ลาปาง
3.3.4 ผลกระทบจากการระเบดิ ของภเู ขาไฟ
1) ก่อให้เกดิ ความเสยี หายแก่มนุษย์ สิง่ มชี วี ิตและสง่ิ แวดล้อมอยา่ งมากมาย ภาพที่ 2.34 ภูเขาไฟปะทุและลาวาไหล
2) เกดิ ............................................หลงั จากภูเขาไฟระเบดิ
3) เกิดแอง่ ภูเขาไฟ
ภาพท่ี 2.35 ภูเขาไฟระเบดิ เกิดเถ้าถา่ นและฝุ่นละออง แก๊สต่างๆ ภาพท่ี 2.36 ภเู ขาไฟระเบดิ
ภาพท่ี 2.37 แอ่งภเู ขาไฟ ภาพท่ี 2.38 การเกดิ ภเู ขาไฟระเบดิ ก่อให้เกิดความเสียหายตอ่ ส่งิ มีชวี ติ
3.3.5 รูปแบบของภเู ขาไฟ แบง่ ตามชนดิ ของลาวา ได้แก่ ความใกล้-ไกลทีล่ าวาไหลไป และ
ความรุนแรงของการปะทุ และการสะสมเถ้าภเู ขาไฟภายหลังการปะทุ จาแนกได้ 3 แบบ ดงั นี้
1) แบบกรวยกรวดภเู ขาไฟ มลี ักษณะเหมือน.............................อยู่ เปน็ ภูเขาท่มี ี
.....................................เกิดจากการปะทุของหนิ หลอมเหลวทอ่ี ยู่ใตผ้ วิ โลกถูกดันปะทุออกมาทางปล่องโดยแรง ทาให้ชน้ิ สว่ นของ
หนิ ที่ร้อนจัดลุกเปน็ ไฟปะทุขึ้นไปในอากาศ และเย็นตัว................................................ ภูเขาไฟที่พบทวั่ ไปส่วนใหญจ่ ะเปน็ แบบน้ี
ภาพท่ี 2.39 การเกดิ ภเู ขาไฟแบบกรวยกรวดภูเขาไฟ
2) แบบกรวยภเู ขาไฟสลับชัน้ มีลักษณะคลา้ ยแบบ
กรวยกรวดภูเขาไฟ แต่มีฐานแผ.่ ...................................และมี ภาพท่ี 2.40 ลักษณะของภเู ขาไฟแบบกรวยกรวดภูเขาไฟ
แนวความลาดจากปากปล่องมาท่ฐี านมากกว่า เพราะหินหนืด
ทไี่ หลออกมาจากปล่องมี......................................จึงไหลไปไดไ้ ม่ไกลนกั ทาให้เกดิ การทบั ถมของหินหนดื ที่เยน็ ตัวลงผสมกับหนิ ที่
แขง็ ตวั และขเ้ี ถา้ จากการปะทุคร้ังแลว้ ครง้ั เลา่ จนเกดิ เป็นภเู ขากรวยควา่ ขนาดใหญ่ขน้ึ เช่น……………………………….…………………..
ภาพที่ 2.41 การเกดิ ภูเขาไฟแบบกรวยภูเขาไฟสลบั ชน้ั
ภาพที่ 2.42 ภูเขาไฟฟจู ิ ประเทศญี่ปุ่น
3) ภเู ขาไฟรปู โล่ มลี กั ษะคล้ายรูป...................................................... เกิดจากหินหนืดทม่ี อี ุณหภูมิสูงมากไหลออกจาก
ปลอ่ งด้วยอัตราการไหลที่เร็วมากจึงไหลไปได้ไกลจากปากปล่อง ทาให้ไม่เกดิ การทับถมของเถ้าถา่ นเปน็ รูปกรวย แตจ่ ะแผข่ ยาย
กว้างออกไป จงึ กลายเปน็ ภเู ขาไฟท่ีม.ี ................................................... เช่น ภเู ขาไฟทอ่ี ยู่ในแถบ..................................................
ภาพท่ี 2.43 การเกิดภูเขาไฟแบบรูปโล่
ภาพที่ 2.44 ลกั ษณะของภูเขาไฟแบบรปู โล่จะมลี ักษณะโล่คว่า กว้าง เต้ยี
• การยกตวั การยุบตัว และการคดโค้งโกง่ งอของเปลือกโลก กระบวนการเหล่านเี้ ป็นสาเหตทุ าใหเ้ กิดภเู ขา แผน่ ดนิ ไหว
ภเู ขาไฟ เป็นต้น
1) การเกิดภูเขา ซ่ึงกระบวนการเกดิ ภเู ขาท่ีสาคญั มดี งั นี้
1.1) การยกตวั ขนึ้ ของพน้ื ทวีป เช่น การเกดิ เทือกเขาทางภาคเหนือและภาคใตข้ องไทย
1.2) การทีเ่ ปลอื กโลกถูกแรงบบี อดั จนโค้งงอ เช่น การเกิดเทือกเขาภพู าน ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ
1.3) การดนั ของหินหนืดท่ีใต้ผิวโลกแล้วเย็นตัวก่อนทีจ่ ะไหลออกมา เชน่ การเกดิ ภเู ขาหนิ แกรนติ ทางตะวนั ตกของ
ภาคกลาง
1.4) การเคลือ่ นท่ีชนกันของแผ่นเปลือกโลก เชน่ ภเู ขาหมิ าลยั เกิดจากการชนกันของแผ่นยเู รเชยี กับแผน่ ออสเตรเลยี
1.5) การท่ีผิวโลกทีม่ ีความทนทานต่อการกร่อนไม่เท่ากัน เช่น การเกิดภกู ระดึง จงั หวัดเลย
• รอยตอ่ ของของเพลต (Plate boundaries)
- เพลตแยกกนั (Divergent) เม่ือแมกมาดนั ตวั ข้ึนทาใหเ้ พลตขยายตวั ออกจากกนั สว่ นมากเกดิ ขน้ึ ในบรเิ วณสันมหาสมุทร
- เพลตชนกนั (Convergent) เมอ่ื เพลตเคลอ่ื นที่เข้าชนกนั เพลตท่มี ีความหนาแนน่ สูงกวา่ จะมดุ ลงและหลอมละลาย
ในแมนเทลิ สว่ นเพลตที่มีความหนาแนน่ นอ้ ยกวา่ จะถูกเกยสูงข้นึ กลายเป็นภูเขา เช่น เทือกเขาหมิ าลัย
- รอยเล่อื น (Transfer fault) มกั เกิดในบรเิ วณเทือกเขากลางมหาสมุทร แตบ่ างคร้ังเกดิ ข้นึ บริเวณชายฝ่งั
2) การเกิดแผน่ ดินไหว แผ่นดนิ ไหวเกดิ จากการเปลย่ี นแปลงของเปลอื กโลกอยา่ งฉับพลนั
2.1 บรเิ วณท่เี กดิ แผน่ ดินไหว การเกิดแผน่ ดินไหวจะเกิดบริเวณรอยต่อระหว่างแผ่นเปลอื กโลกได้มากกวา่ บริเวณอื่นๆ
ท้ังนเ้ี พราะเปลือกโลกมีการเคล่ือนทีอ่ ยตู่ ลอดเวลา
2.2 มาตราวดั การสั่นสะเทอื น มี 2 แบบ คือ มาตราริกเตอร์ประเทศไทยใช้ และมาตราเมอร์คิวรี่
2.3 สถานตี รวจแผน่ ดนิ ไหว ประเทศไทยมอี ยู่ 9 แห่ง โดยเชิงดอยสุเทพ จงั หวดั เชียงใหม่
มปี ระสทิ ธิภาพมากท่ีสดุ ในประเทศไทย และวัดการสัน่ สะเทอื นของแผน่ ดนิ ไหวได้ทั่วโลก
2.4 ผลกระทบจากการเกิดแผน่ ดินไหว ทาใหอ้ าคารบา้ นเรอื น สง่ิ ก่อสรา้ งตา่ ง ๆ พงั ทลาย และไดร้ บั ความเสียหายมากมาย
ซึง่ มนุษย์และสง่ิ มชี วี ติ ตา่ ง ๆ อาจได้รับอนั ตรายหรือความเสยี หายตามไปด้วย โดยมมี าตราวดั ต้ังแต่ 1 – 12 รกิ เตอร์
3) การเกิดภเู ขาไฟ
3.1 การเกดิ ภเู ขาไฟ เกิดจากหนิ หนืดในช้ันแมนเทิลท่ีมีความดนั และอุณหภมู ิสูงมาก ทาให้หินหนืดถูกแรงดนั อัดให้แทรกรอย
แตกขึน้ สูผ่ วิ โลก โดยมแี รงประทหุ รอื แรงระเบิดเกดิ ขน้ึ
3.2 สง่ิ ทพี่ ุ่งออกมาจากภูเขาไฟ เมื่อเกดิ ภูเขาไฟระเบิด ได้แก่ หินหนดื และเถา้ ถ่าน ฝ่นุ ละออง ไอนา้ เศษหนิ และแกส๊ ตา่ งๆ
3.3 บริเวณท่มี โี อกาสเกิดภูเขาไฟ ได้แก่ บรเิ วณรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลกจะมีโอกาสมากที่สดุ ส่วนบรเิ วณท่หี า่ งจาก
รอยตอ่ ระหว่างเปลือกโลกมโี อกาสเกิดไดน้ ้อย เชน่ บรุ ีรัมย์ ลาปาง
3.4 ผลกระทบจากการระเบิดของภูเขาไฟ อาจจะเกิดแผ่นดนิ ไหว หลงั จากภเู ขาไฟระเบิด เกิดแอ่งภูเขาไฟ และก่อให้เกดิ
ความเสยี หายแก่มนุษย์ ส่งิ มีชีวิตและส่งิ แวดล้อมอยา่ งมากมาย
3.5 รปู แบบของภูเขาไฟ จาแนกได้ 3 แบบ ดงั น้ี
1) แบบกรวยกรวดภเู ขาไฟ มีลกั ษณะเหมือนกรวยคว่าอยู่ เปน็ ภูเขาทีม่ ีขนาดเล็กทีส่ ุด โดยหนิ หนืดท่ีปะทุออกมาเยน็
ตวั อยา่ งรวดเรว็ ภูเขาไฟทพ่ี บท่วั ไปส่วนใหญจ่ ะเปน็ แบบนี้
2) แบบกรวยภเู ขาไฟสลบั ชนั้ มฐี านแผ่ขยายใหญ่ เกิดการทบั ถมของหินหนดื ทีเ่ ย็นตวั ลงผสมกบั หินทแี่ ข็งตัว และข้ีเถ้า
จากการปะทคุ ร้ังแล้วครงั้ เล่าจนเกดิ เปน็ ภเู ขากรวยควา่ ขนาดใหญข่ ้นึ เช่น ภูเขาไฟฟจู ิ ประเทศญ่ปี ุน่
3) ภเู ขาไฟรปู โล่ มลี กั ษณะคล้ายรปู โลค่ วา่ กวา้ ง เตย้ี หินหนดื ไหลออกจากปล่องดา้ ยอตั ราการไหลทเ่ี ร็วมาก แผ่ขยาย
กว้างออกไป จึงกลายเปน็ ภเู ขาไฟทมี่ ีรปู รา่ งใหญ่ที่สุด เช่น ภูเขาไฟทีอ่ ยู่ในแถบหมฮู่ าวาย
ค้าช้แี จง ใหน้ กั เรียนทา้ เคร่อื งหมาย / หนา้ ข้อความท่ีถูกต้อง และท้าเคร่ืองหมาย X หน้าขอ้ ความท่ีไม่ถกู ต้อง
1…………………….การเกิดเทือกเขาภูพาน ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ มาจากการยกตวั ขึน้ ของพ้ืนทวปี
2…………………….การเกิดภกู ระดึง จงั หวัดเลย มาจากการทผ่ี วิ โลกท่มี ีความทนทานตอ่ การกร่อนไมเ่ ท่ากนั
3…………………….สนั มหาสมุทร เกิดจากแผ่นเปลือกโลก หรอื เพลตชนกนั (Convergent)
4…………………….แผน่ ดนิ ไหวเกดิ จากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกอย่างฉบั พลัน
5…………………….มาตราท่ีใช้วดั แผน่ ดนิ ไหวท่ปี ระเทศไทยใช้ คือ มาตราเมอร์ควิ รี่
6…………………….เชิงดอยสุเทพ จงั หวัดเชียงใหม่ มีประสิทธภิ าพมากทีส่ ุดในประเทศไทย และวดั การสนั่ สะเทือนของแผน่ ดนิ ไหว
ได้ท่ัวโลก
7…………………….เมอื่ เกิดแผ่นดนิ ไหวขนาด 9 รกิ เตอร์ อาจทาให้เข่ือนหรืออ่างเกบ็ นา้ แตกและพังทลายลงได้
8.........................หนิ หนืด คอื ส่งิ ทพี่ ุ่งออกมาจานวนมากทสี่ ดุ จากการระเบิดของภูเขาไฟ
9.........................มกั จะเกิดแผ่นดินไหวขึ้นก่อนและหลังจากภเู ขาไฟระเบิด
10........................ภเู ขาไฟฟูจิในประเทศญปี่ ุ่น เป็นภเู ขาไฟแบบรปู โล่
เราทราบแลว้ วา่ ภายในโลกมอี ุณหภมู แิ ละความดันสงู มาก จนทาให้ภายในโลกเกดิ การเปลี่ยนแปลงและสง่ ผลกระทบขึ้นมาสู่
ผวิ โลก เช่น การเกิดพุนา้ ร้อน การระเบิดของภเู ขาไฟ นอกจากนน้ั บนผวิ โลกที่เราอาศัยอยกู่ เ็ กิดการเปลยี่ นแปลงทางธรณีวิทยาขน้ึ
มากมาย จนทาให้ผิวโลกเกดิ การเปล่ียนแปลงเปน็ รปู พรรณสณั ฐานต่างๆ เช่น บริเวณสามพนั โบก จ.อบุ ลราชธานี ลกั ษณะของผวิ
โลกถกู กร่อนจากการกระทาของกระแสนา้ จนเกดิ เป็นบ่อกลมคลา้ ยรปู หม้อ การเกิดรปู พรรณสณั ฐานตา่ งๆ ของผวิ โลกน้ี ลว้ นเกิด
จากตัวนาพาและปัจจยั ตา่ งๆ ตามธรรมชาติ ซึ่งนกั เรียนจะไดศ้ ึกษาตอ่ ไป
1. อธบิ ายกระบวนการผพุ งั อยูก่ ับที่ การกรอ่ น และการสะสมตัวของตะกอนจากแบบจาลอง รวมทง้ั ยกตวั อย่างผลของ
กระบวนการดงั กลา่ วทท่ี าให้ผิวโลกเกิดการเปลยี่ นแปลง
คำสำคญั
- การผพุ ังอยู่กับท่ี - การกร่อน – การพดั พา
- การทบั ถม - เนนิ ตะกอนรูปพัด - ดนิ ดอนสามเหลีย่ ม
จงพจิ ารณาข้อมูลตอ่ ไปน้ี และเขยี นเคร่ืองหมาย / ลงในช่องวา่ งที่ตรงกับความเขา้ ใจของนักเรยี น
1. เม่ือสสารได้รบั ความร้อนจะมีการเปลย่ี นแปลงอย่างไร
หดตัว ขยายตวั
2. เมื่อสสารสญู เสียความร้อนจะมกี ารเปลีย่ นแปลงอย่างไร
หดตัว ขยายตวั
3. กระแสนา้ ทาให้เกิดการกร่อนไดห้ รือไม่
ได้ ไมไ่ ด้
4. แม่น้าคดโค้งนั้น น้าจะไหลไดเ้ ร็วท่ีทางโคง้ ด้านใด
ทางโคง้ ด้านใน ทางโค้งดา้ นนอก
5. บรเิ วณเขตทะเลทรายมักจะมีการกร่อนแบบใด
อณุ หภมู ิ กระแสลม
ป่าหินงาม จงั หวดั ชัยภมู ิ ในอดตี พนื้ ทีบ่ รเิ วณนเ้ี ปน็ หนิ ทราย และมหี ินรปู รา่ งตา่ งๆ แปลกตาออกไป เนือ่ งดว้ ยการกระทาของ
ฝน นา้ ผวิ ดนิ และปจั จัยต่างๆ ตามธรรมชาติ ได้กดั เซาะแนวรอยแยกของหนิ ดังกลา่ ว ให้มีรูปร่างตามจินตนาการของผู้พบเห็น เช่น
หินรปู เรดาร์ รปู แมไ่ ก่ รูปถว้ ยฟีฟ่า หรือรูปช้าง เปน็ ตน้ โดยใชร้ ะยะเวลายาวนาน ไมส่ ามารถสงั เกตเหน็ การเปล่ียนแปลงได้อย่าง
ทันทที นั ใด ปา่ หินงามจงึ เปน็ ลักษณะหนึ่งของเปลือกโลกที่เกดิ จากกระบวนการเปลยี่ นแปลงทางธรณีวทิ ยาบนผิวโลก
4.1 การผพุ งั อยกู่ บั ท่ี (Weathering)
กระบวนการเกดิ ภูเขาทาให้หนิ ต่าง ๆ ปรากฏตัวขึ้นบนพนื้ ผิวโลก หลงั จากนนั้ หินเหล่าน้ีก็จะเกิดการผุพงั กบั ท่ี
4.1.1 ความหมายและสาเหตขุ องการผพุ ังอยูก่ บั ที่
การผพุ งั อยกู่ ับท่ี เปน็ กระบวนที่ทาให้..................................................อืน่ ๆ บนพน้ื โลกแตกออกเปน็ ชิน้ ๆ
สาเหตุของการผพุ ังอยกู่ ับท่ี ได้แก่
.........................................................................................................
........................................................................................................
........................................................................................................
4.1.2 ประเภทของการผพุ ังอย่กู บั ที่
การผุพงั อยกู่ ับที่ แบ่งได้ เปน็ .................... ประเภท คอื
การผุพังอยกู่ บั ที่.........................และการผุพังอยู่กบั ที่.......................
ซงึ่ การผุพังทง้ั 2 ประเภทน้ี จะเกดิ ขึ้นอยา่ งชา้ ๆ แตเ่ ม่ือเวลาผ่าน
ไปนาน ๆ ก็ทาใหห้ นิ หรือสสารอน่ื ๆ.พงั ทลายลงได้
1) การผุพังอยูก่ ับทเี่ ชงิ กล (Mechanical veatherlng) ภาพที่ 2.45 การผุพังอยู่กบั ทขี่ องหิน
คือ กระบวนการผุพังอยู่กบั ที่ทท่ี าให้หนิ หรือสสารอื่นๆ แต่ออกเปน็ ชิ้น ๆ ได้
ตวั การส้าคญั ทที่ า้ ให้เกิดการผพุ ังอยกู่ บั ทีเ่ ชิงกล ไดแ้ ก่
1.1 ............................................................. โดยความรอ้ นจากดวงอาทิตย์หรอื ไฟปา่ ทาให้ด้านนอกของหินรอ้ นกวา่
ด้านในของหิน ทาใหด้ า้ นนอกของหนิ หลดุ ออกเป็นแผน่ ๆ ส่วนความเย็นได้มาจากฝน ซ่ึงทาให้หินทรี่ ้อนเยน็ ตัวลงอยา่ งรวดเรว็
จงึ ทาให้หนิ แตกออกเปน็ รอยแยกได้
1.2 ............................................................ เกดิ จากน้าที่อยู่ในรอยแตกของหินแขง็ ตัว น้าจะขยายตัวทาให้รอยแยก
ของหินใหญม่ ากข้ึน และทาให้พื้นถนนเกิดเป็นหลุมเปน็ บ่อ
1.3 ........................................................... โดยเกิดจากการชอนไชของรากตน้ ไม้ไปตามรอยแยกของหิน เมอ่ื ราก
ตน้ ไมใ้ หญ่ขน้ึ สามารถทาใหห้ ินแตกได้
1.4 ................................................. เปน็ การเสยี ดสีกันระหว่างหนิ กบั ทรายและเศษหนิ เลก็ ๆ ท่ีมากับน้า น้าแข็ง ลม
และแรงโน้มถว่ งของโลก ทาให้หินท่ถี กู เสยี ดสเี กิดการเปล่ยี นแปลงได้
1.5 .................................................... พบว่าสตั ว์ทข่ี ุดรูอยู่ในพ้นื ดิน เช่น ตัวต่นุ หนู แมลงบางชนิด ช่วยทาให้หินใน
ดินเกดิ การแตกทลายออกเป็นชนิ้ เล็ก ๆ ได้
ภาพที่ 2.46 แสงแดดจากดวงอาทิตยส์ อ่ งกระทบหนิ ภาพที่ 2.47 น้าอยใู่ นรอยแตกของหนิ ภาพท่ี 2.48 ตัวตุ่นขุดรอู ยู่ในพน้ื ดนิ
2) การผุพงั อยกู่ บั ทีเ่ ชงิ เคมี (Chemical Weathering) เปน็ กระบวนการที่
ทาให้หินแตกสลายออกเป็นชนิ้ เล็กๆ โดยอาศยั การเปล่ยี นแปลงทางเคมี
ตัวการส้าคัญที่ท้าใหเ้ กิดการผุพังอยกู่ ับท่ีเชิงเคมี
2.1 .........................เปน็ ตวั การสาคัญท่ีสุด ทาให้เกดิ การผุพังไดโ้ ดยการละลาย
2.2 ................................หนิ ที่มเี หล็กเป็นองค์ประกอบจะทาปฏิกิรยิ ากับแก๊สออกซิเจนในภาวะที่มนี ้าอยู่ด้วย และเกดิ
เปน็ สนมิ สนิมทาให้ออ่ นตวั ลงและแตกเปน็ ชน้ิ เลก็ ๆ และให้มสี ีน้าตาลหรอื แดง
2.3 .......................................นจี้ ะละลายรวมตวั กับนา้ ฝนและน้าที่อยใู่ นชอ่ งอากาศในดินทาใหเ้ กดิ เปน็ กรดอ่อน เรยี กว่า
............................................ซึง่ ทาให้หนิ ประเภท....................................................ผุพงั ได้
2.4 ......................................พบวา่ รากพืชเม่ือเตบิ โตข้นึ จะผลติ กรดออ่ นทีส่ ามารถละลายหินรอบๆ รากได้ และสงิ่ มีชีวิต
ท่ีคลา้ ยพืชท่ีเรยี กวา่ .......................... (Lichens) ทีเ่ ตบิ โตบนหินจะสรา้ ง.................................ทท่ี าให้หินผพุ ังได้
ภาพท่ี 2.49 ศลิ าแลงมีเหลก็ เป็นองคป์ ระกอบ ภาพท่ี 2.50 หินงอกหนิ ย้อยจากกรดคารบ์ อนกิ ภาพที่ 2.51 ไลเคนทาให้หินผุพงั ได้
4.1.3 ปัจจยั สาคัญตอ่ อัตราการผพุ งั อยูก่ ับท่ี
ปจั จยั สาคัญตอ่ อตั ราการผพุ ังอยกู่ ับที่ขึ้นอยูก่ ับสง่ิ ต่อไปน้ี
4.1.3.1 ......................................การผพุ ังอยกู่ ับทจี่ ะเกดิ ข้ึน
ได้เร็วในภูมิอากาศที่รอ้ นช้ืน และมีฝนตกอยู่เสมอ
4.1.3.2 ..............................................หนิ ที่มีแรธ่ าตทุ ี่ละลาย
นา้ ยากเปน็ องค์ประกอบจะผุพังช้ากว่าหินที่มีแร่ธาตุทล่ี ะลายนา้ งา่ ย
เป็นองค์ประกอบ เช่น หินชนวนจะคงทนการผุพงั ไดด้ ีกวา่ หินอ่อน
ภาพที่ 2.52 ภูมิอากาศที่ร้อนชืน้ และมฝี นตกมโี อกาสผุพังอยกู่ บั ที่
4.2 การกร่อน การพดั พา และการทบั ถม ได้เร็ว
การกร่อนเปน็ สาเหตุหน่ึงทใ่ี หเ้ ปลือกโลกเปล่ียนแปลงได้เชน่ กัน ซ่งึ ผลของการกร่อนจะทาให้เกิดการพัดพาและการทับถม
ตามมา
4.2.1 ความหมายของการกร่อน การพดั พา และการทบั ถม
4.2.1.1 การกร่อน หมายถงึ กระบวนการที่...................................................................................................................
4.2.1.2 การพดั พา หมายถงึ กระบวนการที่แรงธรรมชาตินาเอา หนิ ดิน ที่ผพุ ังสกึ กร่อนจากที่หน่ึงไปยังอกี ทหี่ น่ึง
4.2.1.3 การทบั ถม หมายถงึ การรวมกันของดินหนิ ท่ีเกดิ จาก.......................................................................................
ภาพที่ 2.53 การกร่อน ภาพท่ี 2.54 การพัดพา ภาพที่ 2.55 การทับถมของเปลือกหอย
4.2.2 สาเหตุของการกร่อน
สาเหตุของการกร่อนขน้ึ อยู่กบั ตวั การหลายชนิด ได้แก่ ……………………………………….………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………..……………………………………………………………………………
4.2.2.1 การกรอ่ นโดยกระแสน้า
กระแสนา้ จะกัดเซาะเปลือกโลกใหส้ ึกกรอ่ นพังทลายลงมา และพัดเอาชิ้นส่วนตา่ งๆ ทห่ี ลุดออกมาให้เคลื่อนที่
ไปและเกดิ การทบั ถม ดังน้ี
1) การที่กระแสนา้ กัดเซาะบรเิ วณรมิ ฝ่ัง คลอง แม่นา้ ล้าธารจนพงั ทลายไป เปน็ สาเหตหุ น่ึงทท่ี าให้เปลอื ก
โลกมีการเปล่ียนแปลงอย่างช้า ๆ โดยรปู รา่ งของแมน่ า้ ลาธารจะมผี ลต่อการไหลของนา้ และการทับถมของตะกอน
- ในบริเวณที่แมน่ ้าไหลเป็นเส้นตรง น้าในบรเิ วณ........................................ของแม่น้าจะไหลได้
.....................บรเิ วณริมตลิ่ง การทับถมจึงเกดิ ขึ้นตาม.................................. ซ่ึงนา้ เคลื่อนตัวไปอยา่ งช้าๆ
- ในบริเวณทเ่ี ปน็ ทางเลี้ยวโคง้ ของแม่น้า นา้ จะไหลเร็วตามทาง................................. เกิดการกดั เซาะ
ของแมน่ ้าเข้าไปยังริมตล่ิง ส่วนตะกอนถูกทับถมในทาง.................................................. ซง่ึ เป็นบรเิ วณทมี่ ีนา้ ไหลช้า
ภาพที่ 2.56 การไหลของแมน่ า้ ทางเล้ียงโค้ง ภาพที่ 2.57 การสกึ กร่อนและตกตะกอนทับถมของแม่นา้ ทางเล้ียงโคง้
2) การทับถมของตะกอนทเ่ี กดิ จากการกร่อนและพดั พาโดยกระแสน้าจะถกู ทับถมเป็นชน้ั ๆ มลี ักษณะ
แตกตา่ งกันไปตามพื้นท่ีที่กระแสน้าพัดผา่ น เช่น
2.1 เนนิ ตะกอนรปู พัด (Alluvial Fan) เกดิ จากกระแสน้าไหลจาก...............................................................
................................................ทมี่ ีรอ่ งน้ากวา้ งกวา่ เดมิ มาก ๆ ทาให้ความเร็วของกระแสน้าลดลงจนไมส่ ามารถพัดพาตะกอนไปได้
ตะกอนจะทับถมกันเป็นเนินตะกอนรปู พัด
ภาพท่ี 2.58 การทับถมเป็นเนนิ ตะกอนรปู พดั ภาพที่ 2.59 การไหลของนา้ บนภเู ขาลงมาทาให้เกดิ เนินตะกอนรูปพัด
2.2 ดินดอนสามเหลี่ยม (Delta) เกดิ จากกระแสนา้ บริเวณ.............................................................................ไหลชา้ ลง
ทาให้เกดิ การทบั ถมของตะกอนท่บี ริเวณ........................................ ลักษณะคลา้ ย..............................................
ภาพที่ 2.60 การไหลของแมน่ า้ ลงสทู่ ะเล ภาพท่ี 2.61 ดินดอนสามเหลย่ี มปากแม่น้าเจา้ พระยา ภาพที่ 2.62 ดนิ ดอนสามเหล่ียมปากแม่นา้ โขง
4.2.2.2 การกรอ่ นทเี่ กิดจากปฏิกิรยิ าเคมี
1) การกร่อนของหนิ เนอื่ งจากในบรรยากาศมีแกส๊ บางชนดิ ปะปนอยู่ เชน่ ..................................................................
แกส๊ ซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ และไนโตรเจนไดออกไซด์ เม่ือฝนตกลงมานา้ ฝนจะละลายแก๊สเหล่านี้ทาให้ฝนจะมสี ภาพเปน็ กรด
เรยี กว่า “.......................................................” เมอื่ ตกลงมาบนพ้นื โลกสามารถกัดกร่อนหินใหผ้ ุพงั ได้
2) การเกิดหินงอกหินย้อยภายในถ้าตา่ ง ๆ มีลาดบั การเกิด ดงั น้ี
2.1) น้าฝน (H2O) สารละลายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ทาใหฝ้ นมสี ภาพเป็น..................................................
(H2CO3) ดงั สมการ CO2 + H2O H2CO3
2.2) เม่ือน้าฝนที่มีสภาพเปน็ กรดไหลซมึ ไปตามก้อนหนิ หรอื ภูเขาทีเ่ ป็นหินปูนกจ็ ะทาปฏิกิรยิ าเคมกี บั
..................................................... (CaCO3) ในหนิ ปูนไดส้ ารละลายแคลเซยี มไฮโดรเจนคาร์บอเนต (Ca(HCO3)2)
2.3) เมือ่ สารละลายแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตไหลซึมมาตามเพดานถ้า แลว้ น้าระเหยไปหมดจะเหลือตะกอน
ปูนสะสม อยู่นานเขา้ กจ็ ะกลายเปน็ .......................... ท่ีเพดานถ้า แต่ถ้าสารละลายนห้ี ยดลงบนพืน้ ถ้า เม่ือน้าระเหยไปจะเหลือ
ตะกอนอย่เู กาะสะสมอยเู่ มื่อเวลาผา่ นไปนาน ๆ กจ็ ะกลายเปน็ .......................... ดังปฏกิ ิรยิ าเคมีต่อไปนี้
HCO3 + CaCO3 (Ca(HCO3)2) CaCO3 + CO2 + H2O
ภาพที่ 2.63 การเกิดหินงอกหินยอ้ ย ภาพท่ี 2.64 การกร่อนทเี่ กิดจากปฏิกริ ยิ าเคมที าใหเ้ กดิ หนิ งอกหินย้อย
4.2.2.3 การกร่อนเน่ืองจากการเปลย่ี นแปลงของอณุ หภูมิ
การเปลีย่ นแปลงของอุณหภมู ใิ นอากาศจะทาให้หนิ ซ่ึงเป็นสว่ นประกอบของเปลือกโลกขยายตวั และหดตวั ไมเ่ ทา่ กนั
ระหว่างผวิ ด้านนอกกับเน้ือหนิ ช้นั ในทาให้เกิดการแตกร้าวได้
4.2.2.4 การกร่อนเนอื่ งจากแรงโน้มถ่วงของโลก
แรงโนม้ ถ่วงของโลกจะดึงดูดวตั ถตุ ่าง ๆ ให้ตกลงสู่ทต่ี า่ หรือกตกลงสู่พ้ืนโลกตลอดเวลา เชน่ ในบริเวณใกล้แถบขวั้ โลก
นา้ ในแมน่ ้าลาธารจะแข็งตัวและมีหิมะปกคลมุ หมิ ะเหล่านี้จะสะสมกนั มากจนกลายเปน็ มวลนา้ แข็งขนาดใหญ่ และมีนา้ หนักมาก
จะถกู แรงดงึ ดูดของโลกดงึ ดดู ใหเ้ คลอื่ นท่ีลงสู่ท่ตี า่ จงึ เรียกว่า “....................................” (Glacier) เม่อื ธารนา้ แข็งเคลอื่ นที่จะเกิด
การบด การกระแทก และการขัดสีกบั หนิ ท่ีธารนา้ แขง็ เคลื่อนท่ีผ่านไป ทาให้เปลือกโลกเกิดการกรอ่ นได้
ภาพท่ี 2.65 การกรอ่ นเนอื่ งจากแรงโน้มถ่วงของโลกของธาร ภาพที่ 2.66 ก้อนนา้ แข็งหลุดออกมาจากแรงโนม้ ถว่ งของโลก
นา้ แข็ง
4.2.2.5 การกร่อนเนอื่ งจากกระแสลม
1) ลมเปน็ ปัจจัยที่มผี ลน้อยท่สี ดุ ต่อการเกดิ การกร่อน แต่อยา่ งไรกด็ ี
กระแสลม จะทาให้เปลือกโลกเกดิ การกร่อนได้มาก ถ้าเปน็ บริเวณท่ีแห้งแลง้ ผวิ ดนิ
ขาดพืชปลกคลุม เชน่ .........................................ปา่ ไม้ทถ่ี ูกทาลาย ภเู ขาทโ่ี ล่งเตยี น
2) การทบั ถมเนื่องจากการกร่อนโดยกระแสลม เกดิ จากตะกอนทีต่ ิด
ไปกับกระแสลมตกลงสู่พ้นื โลกทาให้เกิด....................................................................
ภาพที่ 2.67 การทบั ถมเกดิ เป็นเนนิ ทราย ภาพท่ี 2.68 การทบั ถมเกดิ เปน็ ดนิ ลมหอบ
4.2.2.6 การกร่อนเนื่องจากคลน่ื
1) ........................................................................................โดยคลืน่ จะกดั เซาะพ้นื ดิน และคลื่นขนาดใหญ่จะปะทะกบั
หินต่าง ๆ ท่ีอยู่ตามแนวชายฝ่ังด้วยแรงมหาศาล ในทีส่ ุดก็จะทาใหห้ นิ แตกออกเป็นชิ้น ๆ ได้ และคลนื่ ยงั ทาให้รอยแยกเลก็ ๆ ของ
หนิ มขี นาดใหญ่ขนึ้ ในที่สุดกจ็ ะเกิดการพังทลายลงมาได้
2) .................................................................บริเวณชายฝ่ังทะเลจะมกี ารเปลี่ยนแปลงรูปรา่ งได้โดยการกรอ่ นและการ
ทบั ถมซึ่งการทบั ถมจะเกดิ ข้นึ เม่ือคลน่ื ที่ช้าลง ทาให้ตะกอนตกลงไปอยใู่ ต้.................................................และเมอ่ื คลื่นเคล่ือนท่ีไป
ถึงชายฝัง่ ก็จะทบั ถมกันเปน็ .......................................................................
ภาพท่ี 2.69 การกดั กร่อนโดยคลนื่ ภาพที่ 2.70 การทบั ถมเกดิ เป็นชายหาด
• การผุพงั อยกู่ ับที่ (Weathering)
- ความหมายและสาเหตุของการผุพงั อยกู่ บั ท่ี เป็นกระบวนทที่ าใหห้ ินละสสารอน่ื ๆ บนพ้ืนโลกแตกออกเป็นช้นิ ๆ
- สาเหตขุ องการผุพังอยู่กับที่ ได้แก่ ความรอ้ น ความเย็น น้า น้าแขง็ แก๊สออกซเิ จน และแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์
- ประเภทของการผุพงั อยู่กบั ที่ แบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ การผุพงั อยู่กบั ทีเ่ ชิงกลและการผุพังอย่กู บั ที่เชงิ เคมี
1) การผุพงั อย่กู ับทเ่ี ชิงกล (Mechanical weathering) ตัวการสาคญั ทท่ี าใหเ้ กดิ การผุพังอยู่กับทเ่ี ชิงกล ไดแ้ ก่
1.1 ความร้อนและความเยน็ โดยความร้อนจากดวงอาทิตยห์ รือไฟป่าทาให้ด้านนอกของหนิ ร้อนกวา่ ด้านใน
ส่วนความเยน็ ไดม้ าจากฝน ซึ่งทาใหห้ นิ ทร่ี ้อนเยน็ ตวั ลงอย่างรวดเร็ว จงึ ทาใหห้ ินแตกออกเปน็ รอยแยกได้
1.2 การแขง็ ตัวและการละลาย เกดิ จากน้าท่ีอยู่ในรอยแตกของหินแข็งตัว น้าจะขยายตวั ทาให้รอยแยกของหินใหญ่
มากขน้ึ และทาใหพ้ ืน้ ถนนเกิดเป็นหลุมเปน็ บ่อ
1.3 การเจรญิ เติบโตของตน้ ไม้ โดยเกิดจากการชอนไชของรากต้นไมไ้ ปตามรอยแยกของหิน
1.4 การครดู ถู เป็นการเสียดสีกนั ระหวา่ งหนิ กับทรายและเศษหนิ เล็กๆ ทีม่ ากบั นา้ นา้ แข็ง ลม และแรงโนม้ ถ่วง
ของโลก ทาให้หินทถ่ี ูกเสียดสีเกิดการเปลย่ี นแปลงได้
1.5 การกระท้าของสตั ว์ พบว่าสัตว์ที่ขุดรูอยู่ในพ้นื ดิน เช่น ตวั ตุ่น หนู แมลงบางชนิด ช่วยทาให้หนิ ในดินเกิดการ
แตกทลายออกเป็นชน้ิ เลก็ ๆ ได้
2) การผพุ ังอยูก่ ับทเ่ี ชิงเคมี (Chemical Weathering) ตัวการสาคัญทท่ี าใหเ้ กดิ การผุพงั อยู่กับที่เชิงเคมี
2.1 น้า เป็นตวั การสาคญั ทสี่ ุด
2.2 ออกซิเจน หินทีม่ เี หล็กเปน็ องค์ประกอบจะทาปฏกิ ิรยิ ากับแกส๊ ออกซิเจนเกดิ เป็นสนมิ และให้มีสีนา้ ตาลหรือแดง
2.3 คารบ์ อนไดออกไซด์ จะละลายรวมตัวกับน้าฝน ทาให้เกิดเป็นกรดอ่อน เรยี กวา่ กรดคารบ์ อนกิ ซึ่งทาให้หิน
ประเภทหินปูนและหินอ่อนผพุ งั ได้
2.4 ส่ิงมชี ีวิต พบว่า ส่งิ มีชีวติ ทค่ี ลา้ ยพชื ท่ีเรยี กวา่ ไลเคน (Lichens) ทเ่ี ติบโตบนหนิ จะสร้างกรดท่ที าใหห้ ินผพุ ังได้
- ปัจจยั ส้าคัญต่ออัตราการผพุ ังอยกู่ ับที่ ไดแ้ ก่ ภมู อิ ากาศ ชนดิ ของหิน ฯลฯ
• การกรอ่ น การพัด และการทับถม
- ความหมายของการกรอ่ น การพัดพา และการทบั ถม
1) การกรอ่ น หมายถึง กระบวนการทส่ี ารเปลอื กโลกหลดุ ออกไป
2) การพดั พา หมายถึง กระบวนการที่แรงธรรมชาตินาเอา หนิ ดิน ที่ผพุ งั สึกกรอ่ นจากท่หี นง่ึ ไปยงั อีกท่ีหนึ่ง
3) การทบั ถม หมายถงึ การรวมกันของดนิ หนิ ทเ่ี กิดจากการกรอ่ นกลายเปน็ ตะกอน
- สาเหตขุ องการกร่อน ได้แก่ กระแสน้า กระแสลม คลนื่ ปฏกิ ิริยาเคมี การเปล่ยี นแปลงของอุณหภูมิ และแรงโนม้ ถ่วง
1) การกัดกร่อนโดยกระแสนา้
1.1 การท่กี ระแสนา้ กัดเซาะบริเวณริมฝั่ง คลอง แม่นา้ ลา้ ธารจนพังทลายไป
1.1.1 ในบรเิ วณทีแ่ มน่ ้าไหลเป็นเสน้ ตรง น้าในบรเิ วณกึง่ กลางของแมน่ ้าจะไหลไดเ้ ร็วกว่าบริเวณรมิ ตล่ิง
การทบั ถมจึงเกิดขึน้ ตามริมแม่น้า ซงึ่ น้าเคล่ือนตัวไปอย่างช้า ๆ
1.1.2 ในบริเวณทีเ่ ปน็ ทางเลยี้ วโคง้ ของแมน่ ้า น้าจะไหลเรว็ ตามทางโค้งดา้ นนอก เกดิ การกัดเซาะของแมน่ า้
เขา้ ไปยงั ริมตลิง่ ส่วนตะกอนถูกทับถมในทางโค้งดา้ นใน ซึ่งเป็นบรเิ วณทม่ี นี า้ ไหลชา้
1.2 การทบั ถมของตะกอนท่ีเกิดจากการกร่อนและพัดพาโดยกระแสน้าจะถกู ทบั ถมเป็นชั้นๆ
1.2.1 เนินตะกอนรูปพดั (Alluvial Fan) เกิดจากกระแสนา้ ไหลจากภูเขาลงสทู่ ี่ราบ
1.2.2 ดินดอนสามเหลย่ี ม (Delta) เกิดจากกระแสนา้ บริเวณปากแมน่ า้ ท่ไี หลลงส่ทู ะเล
ทาใหเ้ กดิ การทบั ถมของตะกอนท่ีบริเวณปากแมน่ า้ ลักษณะคลา้ ยรูปสามเหลีย่ ม
2) การกร่อนท่ีเกิดจากปฏิกิรยิ าเคมี
2.1 การกร่อนของหิน เนอ่ื งจากในบรรยากาศมแี กส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เมื่อฝนตกลงมานา้ ฝน
จะละลายแกส๊ เหล่านท้ี าให้ฝนจะมีสภาพเป็นกรด เรยี กวา่ “ฝนกรด” เม่อื ตกลงมาบนพ้ืนโลกสามารถกัดกร่อนหินให้ผุพังได้
2.2 การเกิดหินงอกหนิ ย้อยภายในถ้าตา่ ง ๆ มีลาดับการเกดิ ดังนี้
2.2.1 นา้ ฝน เมือ่ รวมกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ทาให้ฝนมสี ภาพเป็นกรด (กรดคารบ์ อนกิ )
2.2.2 เมอ่ื น้าฝนไหลซึมไปตามภเู ขาหนิ ปนู จะทาปฏิกิริยาเคมีกับแคลเซียมคารบ์ อเนต (CaCO3) ในหนิ ปูนได้
สารละลายแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต (Ca(HCO3)2)
2.2.3 เมอ่ื สารละลายแคลเซยี มไฮโดรเจนคาร์บอเนตไหลซึมมาตามเพดานถ้า แล้วน้าระเหยไปหมดจะเหลือตะกอนปนู
สะสมอย่นู าน เขา้ กจ็ ะกลายเป็นหนิ ยอ้ ยทเ่ี พดานถ้า แตถ่ า้ สารละลายนี้หยดลงบนพนื้ ถ้าเมอ่ื นา้ ระเหยไปจะเหลอื ตะกอนอย่เู กาะ
สะสมอยู่เม่ือเวลาผา่ นไปนาน ๆ ก็จะกลายเป็นหนิ งอก
3) การกรอ่ นเน่ืองจากการเปลยี่ นแปลงของอณุ หภมู ิ จะทาให้หินซ่ึงเปน็ ส่วนประกอบของเปลือกโลกขยายตวั และหดตัว
ไมเ่ ท่ากันระหว่างผวิ ดา้ นนอกกบั เน้ือหินช้นั ในทาให้เกดิ การแตกร้าวได้
4) การกร่อนเนื่องจากแรงโน้มถว่ งของโลก เช่น ในบรเิ วณใกลแ้ ถบขัว้ โลก น้าในแมน่ ้าลาธาร จะแข็งตัว จนกลายเป็นมวล
น้าแข็งขนาดใหญ่ และมีน้าหนกั มาก จะถูกแรงดึงดูดของโลกดึงดดู ใหเ้ คลื่อนทีล่ งสู่ท่ีต่า จงึ เรยี กวา่ “ธารนา้ แข็ง” (Glacier) เมอื่
ธารนา้ แข็งเคล่ือนทจ่ี ะเกดิ การบด การกระแทก และการขัดสกี บั หนิ ท่ธี ารนา้ แข็งเคลอ่ื นท่ผี ่านไป ทาใหเ้ ปลือกโลกเกิดการกร่อนได้
5) การกร่อนเน่อื งจากกระแสลม
5.1 บรเิ วณที่เกิดการกรอ่ น จะเกิดไดม้ ากในบรเิ วณที่แห้งแลง้ ผวิ ดินขาดพืช เช่น เขตทะเลทราย ภเู ขาท่ีโลง่ เตียน
5.2 การทับถมเน่ืองจากการกรอ่ นโดยกระแสลม ทาใหเ้ กิดเนินทราย และดินลมหอบ
6) การกร่อนเนื่องจากลม
6.1 คลนื่ ทที่ า้ ให้เกิดการกรอ่ นตามชายฝ่ัง โดยจะกัดเซาะพ้นื ดิน และคลนื่ ขนาดใหญ่จะปะทะกบั หินต่างๆ ท่อี ยูต่ ามแนว
ชายฝง่ั ทาใหห้ นิ แตกออกเป็นชน้ิ ๆ ได้ และทาให้หินมีขนาดใหญ่เกิดการพังทลายลงมาได้
6.2 การทบั ถมโดยคลน่ื ตะกอนจะตกลงไปอยู่ใต้ก้นทะเล และเม่อื คลน่ื เคลอื่ นที่ไปถงึ ชายฝั่ง จะทับถมกนั เป็นหาดทราย
หรือชายหาด
ค้าชแ้ี จง ให้นักเรียน X ลงบนข้อทถี่ กู ต้องทส่ี ดุ
1. สาเหตสุ าคญั ท่ที าใหเ้ ปลือกโลกเกดิ การเปล่ียนแปลง คือข้อใด
ก. พชื ข. สตั ว์ ค. สงิ่ แวดลอ้ ม ง. มนุษย์
ง. กระแสลม
2. บริเวณท่ีแห้งแลง้ เป็นทะเลทรายน่าจะเกิดการกรอ่ นจากสาเหตุใดมากที่สุด
ก. อุณหภมู ิ ข. ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ค. แรงโน้มถ่วง
3. ข้อใดคือความหมายของการผพุ ังอยู่กบั ท่ี
ก. กระบวนการท่ีทาให้หินผพุ งั สลายตวั ลงเป็นเศษหนิ ชนดิ ต่างๆกนั
ข. กระบวนการที่เกิดจากการกดั เซาะโดยความแรงและความเร็วของกระแสน้า
ค. กระบวนการทเ่ี กิดจากตะกอนถูกพดั พาโดยลมท่ีมขี นาดเลก็ และเบา
ง. กระบวนการทท่ี าใหส้ ารที่เปน็ องคป์ ระกอบของเปลอื กโลกหลุดออกหรอื สลายตวั ไปจากผวิ โลก
4. การสะสมตัวของตะกอนคืออะไร
ก. กระบวนการทส่ี ารเปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเปน็ ไอ
ข. การรวมกันของดนิ และหนิ ทีเ่ กิดจากการกร่อนกลายเป็นตะกอน
ค. กระบวนการทีท่ าให้สารทเี่ ป็นองค์ประกอบของเปลอื กโลกหลุดออกหรอื สลายตัวไปจากผวิ โลก
ง. กระบวนการท่แี รงธรรมชาตินาเอาหนิ ดินทีผ่ ุพังสกึ กร่อนจากท่หี นึ่งไปยังอีกที่หนึง่
5. จงพจิ ารณาว่าข้อความในข้อใดไมถ่ ูกต้อง
ก. ส่งิ มชี ีวิตเปน็ ตัวการสาคัญทส่ี ุดท่ีทาให้เกดิ การผุพังอยู่กบั ทีเ่ ชิงเคมี
ข. การทบั ถมของตะกอนท่ีเกิดจากกระแสน้าไหลจากภูเขาสทู่ ี่ราบท่ีมรี ่องน้ากว้างกว่าเดมิ มากๆจะเกดิ เป็นเนนิ ตะกอนรปู พัด
ค. หนิ งอกหินย้อยภายในถ้าหนิ ปนู เกิดจากการกร่อนทเ่ี กิดจากปฏิกริ ิยาเคมี
ง. ลมเป็นปัจจัยทีม่ ผี ลน้อยทส่ี ุดต่อการเกิดการกร่อน
6. กระแสน้าทาใหเ้ ปลือกโลกกร่อนไดม้ ากหรือน้อยขึน้ อยกู่ ับปัจจยั ในขอ้ ใดมากทีส่ ุด
ก. ความกวา้ งของแม่น้า ข. ความเร็วของกระแสน้า ค. ความลึกของแมน่ ้า ง. ความคดเคยี้ วของกระแสน้า
7. หนิ งอกและหินย้อยเกิดจากสารชนดิ ใดหยดลงในถ้า
ก. แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ข. กรดคารบ์ อนกิ ค. แคลเซยี มไฮโดรเจนคาร์บอเนต ง. แคลเซียมคารบ์ อเนต
8. การทบั ถมของตะกอนรปู ดินดอนสามเหลีย่ ม จะพบในบรเิ วณใด
ก. บริเวณปากแมน่ ้าที่ไหลออกส่ทู ะเล ข. บริเวณพ้ืนท่ีราบท่นี า้ ไหลลงจากพน้ื ที่สงู
ค. บริเวณชายฝัง่ ท่กี ระแสน้าไหลแรงพุ่งเข้าชน ง. บริเวณชายฝ่ังดา้ นตรงข้ามกบั ดา้ นที่กระแสนา้ พุ่งเขา้ ชน
9. สาเหตสุ าคัญที่ทาใหธ้ ารน้าแขง็ เคลื่อนที่ลงสูท่ ่ตี ่าจนทาให้เปลือกโลกเปลี่ยนแปลงคืออะไร
ก. แรงดงึ ดดู ของโลก ข. ความลาดเอยี งของภูมิประเทศ
ค. แรงกดดันของธารน้าแข็งดา้ นบน ง. การเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ิบรเิ วณรอบๆธารนา้ แขง็
10. กระบวนการเปลยี่ นแปลงของโลกทีเ่ กิดจากการกรอ่ นโดยกระแสลมมักเกดิ ข้ึนในบริเวณที่มสี ภาพอากาศเชน่ ใด
ก. ร้อนและชุ่มชนื้ ข. อบอนุ่ และชมุ่ ช้นื ค. ร้อนและแหง้ แล้ง ง. หนาวและแห้งแลง้
11. เปลือกโลกบรเิ วณประเทศไทย ได้รบั อิทธพิ ลจากการกร่อนโดยกระแสน้าเป็นสว่ นใหญเ่ นื่องจากสาเหตใุ ด
ก. ต้งั อยูใ่ นเขตร้อนช้นื ข. มแี ม่น้าลาครองอยทู่ วั่ ไป ค. ได้รบั ลมมรสุมเกือบตลอดปี ง. ถูกทกุ ข้อ
12. สาเหตุสาคญั ท่ีทาใหส้ ิง่ ปลกุ สรา้ งในเมืองใหญ่ท่ีเปน็ เมืองอุสาหกรรมเกิดการสกึ กรอ่ นมากกวา่ เมืองเกษตรกรรมคือข้อใด
ก. ฝนกรด ข. กระแสลม ค. กระแสนา้ ง. แผ่นดนิ ทรดุ ตัว
คะแนนเตม็ 12
คะแนนท่ไี ด้ ...............................
ผู้ตรวจ
การทดสอบหลังเรียนเปน็ การวัดผลสมั ฤทธ์ิวา่ เมือ่ นกั เรียนศึกษาแล้วมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจในเนอ้ื หาเพียงใด
• ถา้ ได้คะแนนน้อยกว่า 6 ข้อ ไม่ตอ้ งเสียใจ ขอให้นกั เรียนเรมิ่ ศกึ ษาเนือ้ หาใหม่ตงั้ แต่ตน้ อีกคร้ัง
• ถา้ ไดค้ ะแนน 6-9 ข้อ แสดงว่า นักเรียนผ่านเกณฑใ์ ห้ศึกษาเร่ืองต่อไป
• ถ้าได้คะแนน 10-12 ขอ้ แสดงว่า นกั เรยี นผ่านเกณฑ์และอยใู่ นระดับดีเยย่ี ม ใหศ้ กึ ษาเรื่องตอ่ ไปได้และ
ใหร้ กั ษามาตรฐานท่ีดีเย่ยี มไว้....จา้
ดินเปน็ ทรพั ยากรธรรมชาติทม่ี ีความสาคญั อย่างยิ่งตอ่ สิง่ มชี วี ิตโดยเฉพาะมนษุ ย์ เน่ืองจากการดารงชีวติ ของมนษุ ย์ ตอ้ ง
อาศยั ปจั จัย 4 อนั ได้แก่ อาหาร เครอ่ื งนุ่งห่ม ท่อี ยู่อาศัย และยารกั ษาโรค ซึง่ ลว้ นเป็นผลติ ผลทเี่ กดิ จากดนิ หรือได้มาจากใต้ดนิ
การผุพังอยูก่ ับทท่ี ัง้ เชิงกลและเชิงเคมี เปน็ กระบวนการสาคัญท่ที าใหเ้ กดิ ดินทีป่ กคลุมผวิ โลกอย่เู ปน็ ชัน้ บางๆ กระบวนการเกดิ ดนิ
ตอ้ งอาศัยปจั จัยใดบา้ ง นกั เรียนจะไดเ้ รยี นรูใ้ นบทเรียนน้ี
1. อธิบายลักษณะของชั้นหน้าตัดดนิ และกระบวนการเกดิ ดิน จากแบบจาลอง รวมทง้ั ระบุปัจจยั ท่ีทาใหด้ ินมีลักษณะ
และสมบตั ิแตกตา่ งกัน
2. ตรวจวัดสมบัตบิ างประการของดนิ โดยใช้เครือ่ งมือทีเ่ หมาะสมและนาเสนอแนวทางการใช้ประโยชนด์ นิ จากข้อมลู
สมบตั ิของดิน
คำสำคญั
- ฮวิ มัส – วัตถุต้นกา้ เนดิ ดิน - ดินชัน้ บน - ดนิ ชนั้ ล่าง
- ชัน้ หนา้ ตดั ดนิ - สมบตั ิบางประการของดนิ
- ดินเค็ม - ดนิ เปรี้ยว - ดินจืด
พจิ ารณาข้อความต่อไปนี้แลว้ เขียนเครื่องหมาย / หน้าข้อความทีถ่ ูกต้อง และเขียนเคร่ืองหมาย X หน้าข้อความที่
ไมถ่ ูกต้อง
..............1. ดนิ ในแต่ละพน้ื ทจ่ี ะมีลกั ษณะเหมือนกัน เน่ืองจากดนิ วัตถุต้นกาเนดิ ดิน ซากพืชซากสตั ว์ ภูมิอากาศเหมอื นกัน
..............2. ดนิ ชั้นบนจะมีซากพชื ซากสตั ว์มากกว่าดนิ ช้นั ล่าง
..............3. เนอ้ื ของดินทรายจะมคี วามละเอียดมากกวา่ ดนิ เหนียว
..............4. ดินชน้ั ล่างเหมาะแก่การปลูกพชื มากกว่าดินชน้ั บน
..............5. ดินเปรยี้ ว คอื ดนิ ทเ่ี ปน็ กรดมาจากดินทีเ่ ตมิ ปุ๋ยเคมมี ากเกินไป
ดนิ เป็นทรัพยากรท่ีเปน็ แหลง่ กาเนิดทรัพยากรธรรมชาติอน่ื ๆ เชน่ การเจริญเติบโตของพืช เป็นแหล่งกาเนิดของแร่ธาตุ
เปน็ แหลง่ ทอี่ ยู่อาศยั ของมนษุ ยแ์ ละสัตวร์ วมทั้งปจั จัยทจ่ี าเป็นต่อการดารงชวี ิตของมนุษย์
5.1 กาเนิดดนิ
ดนิ เกดิ ขนึ้ ตามธรรมชาติจากการสลายตัวผพุ ังของหนิ แร่ และการสลายตวั ของสารอนิ ทรยี พ์ วกซากพืชซากสัตว์ ขัน้ ตอน
ของกระบวนการสร้างดนิ มี 2 ขนั้ ตอน คือ
1.1 ...............................................................คือ กระบวนการสลายตวั ผพุ ังของหิน
แร่ ซากพชื และซากสัตว์ได้วตั ถุตน้ กาเนิดดินและฮิวมัสตามลาดับ
1.2 ...............................................................คอื กระบวนการผสมคลกุ เคลา้ ระหว่าง
วตั ถตุ ้นกาเนดิ ดินกบั ฮวิ มสั โดยอาศยั สิ่งมีชวี ิตท้ังพชื และสัตว์ช่วย บางคร้ังก็อาศยั เหตุการณ์ทางธรรมชาติ เชน่ ลม ฝน ซ่งึ สิง่ เหลา่ น้ี
ก็ชว่ ยใหเ้ กิดดินได้เช่นกัน
ดนิ ในพื้นที่ต่างกัน จะมลี ักษณะแตกตา่ งกัน เน่ืองจากดินเหล่านัน้ มี
กาเนดิ ท่ีต่างกนั ซึ่งมปี ัจจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง ได้แก่ สภาพภูมิอากาศ สภาพภมู ปิ ระเทศ
วตั ถตุ น้ กาเนิดดิน กาลเวลา และซากสง่ิ มีชีวติ ท่ีเรยี กว่า ...................................
...................................................คือ ซากพืชซากสัตว์ทเ่ี นา่ เป่อื ยผุพัง
อยู่ในดิน มสี นี า้ ตาลดา เก็บความชื้นไดด้ ี มฤี ทธ์ิเป็นกรดอ่อน ๆ สามารถละลาย
ไดแ้ ร่ธาตุทีเ่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ พืช
ดินเกิดจาก การสลายตวั ของหนิ และแร่และการสลายตวั ของสารอนิ ทรีย์ ภาพท่ี 2.71 ดินแต่ละพนื้ ที่จะแตกต่างกนั ออกไป
ซึ่งมีขึน้ ตอนดงั นี้
เกิดการสลายตวั เนา่ เปื่อย เกดิ การสลายตัวเนา่ เปอ่ื ย
เนอื่ งจากถกู ยอ่ ยสลายจาก เนื่องจาก ความรอ้ นและ
แบคทีเรยี สภาพลมฟา้ อากาศ
ทับถมผสมกัน ทบั ถมผสมกนั
ภาพท่ี 2.72 องค์ประกอบของดิน 5.2 องค์ประกอบของดนิ
ดินมอี งค์ประกอบต่าง ๆ 4 องคป์ ระกอบดังน้ี
1) ........................................เกิดจากชิ้นสว่ นของแรแ่ ละหนิ ต่าง ๆ
เปน็ แหลง่ กาเนิดอาหารของพืชและจุลินทรยี ์ในดิน
2) ........................................เกดิ จากการสลายตัวของซากพืชซากสตั ว์ เป็น
แหลง่ กาเนิดอาหารของพืชและจุลินทรยี ์ เชน่ ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส
และกามะถัน เปน็ ตน้
3) ........................................ไดจ้ ากฝนที่ตกลงมาบนผิวดนิ จะแทรกอยู่ตาม
ช่องว่างของผวิ ดินทาให้มีความชุ่มช้ืนและออ่ นนุ่มมากมีประโยชน์มาก
สาหรบั พชื
4) ........................................จะแทรกตวั อยูร่ ะหวา่ งชอ่ งว่างระหวา่ งเม็ดดนิ
อากาศที่อยใู่ นดนิ มปี ระโยชนต์ ่อดนิ ทาให้ดนิ มีความร่วนซุยและความอ่อนนุ่ม
5.3 การจาแนกดิน
3.1 5.3.1 จาแนกตามลกั ษณะของเนอ้ื ดนิ ได้ 3 ประเภท คือ
1) ....................................เปน็ ดินทีม่ ีลกั ษณะเมด็ ใหญ่และมีอากาศในเน้ือดินมาก แตม่ ีความชื้นน้อย
2) ....................................เป็นดินทีม่ ีลักษณะเมด็ ละเอียด และมีชอ่ งวา่ งในเนอื้ ดนิ น้อย
3).................................... เปน็ ดนิ ทม่ี ีลกั ษณะเม็ดดนิ พอเหมาะ และมีอากาศกับน้าอยู่ในช่องว่างของดนิ พอเหมาะ
ภาพที่ 2.73 ดนิ ทราย ภาพที่ 2.73 ดนิ เหนียว ภาพท่ี 2.74 ดนิ รว่ น
5.3.2 จาแนกตามระดบั ความลกึ จากผวิ ดนิ (ชั้นหน้าตัดดนิ )
องคป์ ระกอบต่างๆของดนิ เมอื่ ทับถมเป็นช้นั ดนิ ลึกลงไปจากผวิ ดิน ข้อมลู ทางธรณีวทิ ยาทศ่ี ึกษาหน้าตัดขา้ งของดิน (Soil
profile) และแบ่งชนั้ ดนิ ทม่ี ีการพฒั นาอยา่ งสมบรู ณ์ จานวน 6 ช้นั ไดแ้ ก่ ช้นั O A E B C และ R
ภาพที่ 2.75 โครงสรา้ งของชน้ั ดิน
นVอ’อกจอา1ก)น้ีย…งั …แ…บ่ง…ต…า…มร…ะ…ด…ับ…ค…วา…ม…ล…ึกจ…า…ก.ผ...วิ ..ด..ิน....ไ..ด..เ้…ป(็นSu3rfaปceระsเoภiทl หดรงั อื นTี้ op soil)
เปน็ ดินช้นั ท่ีมีอินทรียวัตถุหรือฮวิ มสั ปนอย่มู าก ดินสคี ล้าถงึ ดา ร่วนซุย เมด็ ดินมีขนาดใหญ่ และมี
ความพรุนมาก จงึ เหมาะในการเพาะปลกู พืช
2) …………………………………………..(Sub soil)
มสี ารอินทรีย์หรอื ฮิวมสั น้อยจึงมีแร่ธาตุอาหารของพชื นอ้ ยดิน
สจี าง หรือสีอ่อน การเกาะตัวของเมด็ ดินแนน่ เนอื้ ดินค่อน
ขา้ งแข็ง เมด็ ดินมีขนาดเล็กกว่าดนิ ชน้ั บน มคี วามพรุนน้อย
ไม่เหมาะสาหรบั การปลกู พืช
3) .................................................................
(Parent material) ไมม่ สี ารอินทรยี ์ ส่วนใหญ่เป็นเศษหิน
เศษแร่ (สาหรับชั้นดินดาน (Bed rock) เป็นหนิ แข็งท่ีอย่ใู น
สว่ นลกึ ที่สดุ มีส่วนเก่ยี วข้องกบั การใหก้ าเนดิ ดนิ ชั้นบนข้ึนไป
นักเรียนทราบแลว้ ว่า ช้ันหน้าตัดดินในแต่ละพน้ื ท่ี ภาพที่ 2.76 โครงสรา้ งของชนั้ ดนิ
มลี กั ษณะและสมบัตทิ ่ีแตกต่างกนั เนือ่ งด้วยปจั จยั ในการเกิดดนิ ต่าง ๆ นกั เรยี นทราบหรือไมว่ ่าปจั จัยต่าง ๆ ดังกลา่ วนี้ ทาให้ชั้น
หนา้ ตัดดินในแต่ละพ้นื ที่มีความแตกต่างกันได้อย่างไร
1) ........................................................... วตั ถุต้นกาเนิดดนิ เป็นหิน ดนิ และแรช่ นิดต่าง ๆ ที่ผพุ งั อยู่กบั ที่ ซ่งึ จะผพุ ัง
กลายเป็นเศษหนิ หรือ ตะกอนขนาดตา่ ง ๆ ซึ่งเปน็ องค์ประกอบทีส่ าคญั ของดินที่มผี ลตอ่ ลักษณะและสมบัตขิ องดิน กล่าวคอื ทาให้
ดินมจี านวนและปรมิ าณแร่ธาตุ สดี ิน เนอื้ ดนิ โครงสร้างของดิน และสมบัตทิ างเคมีของดนิ แตกตา่ งกัน
หนิ ทเี่ ป็นวตั ถตุ น้ กาเนิดดินต่างชนิดกนั จะมคี วามทนทานต่อ
การผุพงั อยู่กบั ทไ่ี ด้แตกตา่ งกัน เช่น หินทรายและหนิ ควอร์ตไซต์
เมอ่ื ผพุ ังอยู่กบั ที่แล้วจะใหต้ ะกอนทราย หรือ หินดนิ ดานเมื่อผุพงั
อยู่กับท่ีแลว้ จะให้ตะกอนดนิ เหนียว ในธรรมชาติตะกอนทรายจะมี
ความทนทานต่อการผุพังมากกวา่ ดินเหนียว ทาใหช้ ัน้ ดนิ ที่มีตน้ กาเนดิ
มาจากหนิ ทรายและหินควอร์ตไซต์ มชี นั้ ดินทีบ่ างกว่าชน้ั ดินท่มี ี
ตน้ กาเนดิ มาจากหินดินดาน ดังภาพ
2)........................................ ภูมอิ ากาศมผี ลตอ่ อณุ หภูมิอากาศ
และปริมาณฝนในพ้นื ทห่ี น่ึง ๆ ซ่งึ จะมีผลตอ่ กระบวนการเกิดดนิ เชน่ ภาพท่ี 2.77 ชนั้ ดินทเี่ กิดจากวัตถตุ ้นกาเนิดดินท่เี ปน็ หนิ ชนิดต่างกนั
ในเขตภูมอิ ากาศร้อนชืน้ จะมีอุณหภูมขิ องอากาศค่อนขา้ งสงู และมปี ริมาณฝนมาก ทาให้การผุพังอยูก่ ับท่ขี องหนิ ทงั้ ทางกายภาพ
และทางเคมีเกดิ ขึน้ ไดม้ ากกว่าในเขตภมู ิอากาศหนาวเยน็ นอกจากนอี้ ุณหภูมิของอากาศยังมผี ลตอ่ ปริมาณสง่ิ มีชีวติ ในดนิ และการ
สลายตวั ของซากพชื ซากสตั วใ์ นดิน ซงึ่ ล้วนสง่ ผลตอ่ ปรมิ าณอินทรียวตั ถุในดิน และสดี ิน
3) .................................. พ้ืนท่ีที่มรี ะดบั ความสงู ต่าแตกตา่ งกนั
หรอื มีความลาดชันต่างกนั จะมผี ลต่อความหนาของช้ันดนิ กล่าวคอื
พื้นท่ีที่มีความลาดชันสูงจะมีการชะลา้ ง พังทลายของหน้าดินมาก
ทาใหช้ น้ั ดนิ มคี วามบางหรอื อาจ ไม่มชี ัน้ ดินเลย ส่วนพ้ืนท่ีราบ หรอื
พืน้ ทรี่ าบลุ่มจะมีการ ชะลา้ งพงั ทลายของหน้าดนิ นอ้ ยกวา่ พื้นที่ ทม่ี ี
ความลาดชนั ทาใหพ้ บช้นั ดนิ ที่มคี วามหนามากกวา่ ดงั ภาพ
ภาพที่ 2.78 บรเิ วณพนื้ ที่ลาดชันชั้นดนิ จะมคี วามบางมากกวา่
4) ..................................................... ระยะเวลาในการเกดิ ดนิ มีผลตอ่ จานวนชั้นดิน
และความหนาของชัน้ ดิน กลา่ วคอื ดินที่เกดิ ขน้ึ มาเป็นเวลานานแลว้ จะมีจานวนชน้ั ดนิ และ
ความหนาของช้ันดนิ มากกว่าดินทเี่ กิดขน้ึ มาเปน็ เวลานอ้ ยกว่า ดินที่มีระยะเวลาในการเกดิ น้อย
จะมลี กั ษณะและสมบัตคิ ลา้ ยคลงึ กบั วตั ถุต้นกาเนิดดนิ มาก ยิ่งระยะเวลาในการเกิดดนิ มากขึ้นเทา่ ใด ความแตกตา่ งของดิน จาก
วตั ถตุ น้ กาเนิดจะมมี ากขึ้นตามลาดบั
5.3.3 การใช้สบี อกลกั ษณะของดนิ
1) ............................เป็นดินทม่ี ีอายุมาก หรือผ่านการสลายตวั อย่างรนุ แรง ดินประเภทนจี้ ะมกี ารระบายนา้ และ
ถ่ายเทอากาศได้ดี
2) .....................................เป็นดินที่มีการระบายนา้ และถ่ายเทอากาศไม่ดี
3) ดินที่มีแถบสีเหลือง สแี ดง หรือสีนา้ ตาลเทา เปน็ ดนิ ทร่ี ะบายน้าไม่ดี เช่น ......................................
4) ดินสเี ทาจดั หรือสเี ขียวคล้าปนน้าเงิน เป็นดินช้ันลา่ งท่มี นี ้าขงั และระบายน้าไม่ดี
5.4 สมบตั ิของดิน
5.4.1 สขี องดิน
สขี องดนิ ซงึ่ เกิดจากส่วนประกอบต่างๆ ในดินทาให้ดินในแตล่ ะพื้นที่มสี ีที่แตกต่างกัน เช่น ดนิ ทีม่ ีฮวิ มัสอยู่มาก จะมี
สีคล้า ดนิ ทม่ี ีเหล็กปนอย่มู ากจะมีสีน้าตาลแดง
5.4.2 เนอื้ ดนิ
เน้อื ดนิ คือ สมบัตทิ างกายภาพทสี่ ังเกตไดด้ ว้ ยตาเปลา่ ดินบางชนิดมีเน้ือละเอยี ด บางชนิดมเี นือ้ หยาบ
5.4.3 ความชน้ื ดนิ
ความช้นื ดิน คอื ปรมิ าณน้าทถี่ ูกอนุภาคดนิ ดดู ยดึ ไว้ ซึ่งมีความสาคัญต่อสิ่งมีชวี ติ ในดิน ได้แก่ สตั ว์ พืช หรือจลุ ินทรีย์
ดินแต่ละประเภทมคี วามช้นื ที่แตกต่างกันและพชื แตล่ ะชนิดย่อมต้องการ ความชื้นดนิ ทีแ่ ตกตา่ งเช่นกนั ดังนั้น จึงสามารถวัด
ความช้ืนดนิ ไดโ้ ดยใชเ้ ครื่องวดั ความชนื้ ดนิ (soil moistuse meter) เพอ่ื หาปริมาณความชนื้ ดนิ ใหเ้ หมาะสมกบั พชื ท่ีต้องการปลูก
5.4.4 ความเปน็ กรด – เบสของดิน
ความเปน็ กรด – เบส หรือค่า pH (Power of Hydrogen Ion Concentration) ของดนิ เปน็ สมบัติที่สาคญั ของดิน
อีกประการหน่ึง ซึ่งการทดสอบความเป็นกรด – เบสของดินทาได้ดงั น้ี
1) ใช้กระดาษลิตมัสสนี ้าเงนิ หรอื แดง – ถ้าดนิ เป็นกรดจะเปลี่ยนกระดาษลติ มัสจากสี.............................................
ถ้าดินเปน็ กรดจะเปล่ียนกระดาษลิตมสั จากส.ี ....................................................................
2) ใช้กระดาษยนู ิเวอร์ซัลอินดเิ คเตอร์ โดยเปรียบเทียบกบั สที ่ีข้างกล่องและกาหนดค่าเป็นตัวเลข ความเปน็ กรด-
เบส ต้ังแต่ 1-14 เรียกคา่ ตัวเลขน้ีว่า .............................
3) ใช้ pH มิเตอร์ โดยใช้ pH มิเตอร์จมุ่ ในน้าที่ละลายดินจะแสดงค่า pH เป็นตัวเลขซึ่งได้ค่าที่ถกู ต้องมากกว่า
กระดาษ pH
4) ใชน้ า้ ยาตรวจสอบความเป็นกรด – เบส เช่น ................................................ ซ่ึงปกตใิ สไม่มีสี ซง่ึ ถา้ ดินเปน็ กรด
และเป็นกลาง จะไมเ่ ปล่ียนแปลงสี.......................................................... แตถ่ า้ ดนิ เป็นเบส จะเปล่ยี นสฟี ีนอล์ฟทาลนี ซ่งึ ใสไม่มสี ี
เปน็ สี……………………………………………
สารละลายเป็นกลาง
ความเป็นกรดเพมิ่ ข้นึ ความเปน็ เบสเพิ่มขึน้
0_ ------------------------- _7_ ------------------------ _14
ภาพที่ 2.79 กระดาษลติ มสั ภาพที่ 2.80 กระดาษยูนเิ วอร์ซลั อินดิเค ภาพที่ 2.81 pH มิเตอร์ ใชจ้ ุ่มลงในสารละลาย
ปัจจัยทีม่ ผี ลตอ่ ความเปน็ กรด-เบสของดินเตอร์
ปัจจยั ท่ีมผี ลต่อความเป็นกรด-เบสของดนิ ไดแ้ ก่
1) ...................................................... สาเหตุเกดิ จากการเติมปุ๋ยอนิ ทรยี ์มากเกิดไป ซง่ึ จะให้ CO2 เมื่อรวมกับน้าในดนิ
จะกลายเป็นกรดคารบ์ อนกิ ดังสมการ CO2 (แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์) + H2O (น้า) H2CO3 (กรดคารบ์ อนกิ )
หรอื เติมปยุ๋ เคมีกลุ่มซลั เฟต เมอื่ รวมกบั น้าจะกลายเป็นกามะถัน
การแก้ไข ..........................................................................................................................................................................
2)..........................................................สาเหตุเกิดจากมเี บสมากเกิดไป เชน่ เติมดินมารล์ หรือปนู ขาวมากเกนิ ไป หรือมี
ความเคม็ ตามธรรมชาติ คือ มีเกลอื ธรรมชาติ (………………………) อยู่ใต้พน้ื ดนิ
การแกไ้ ข ...........................................................................................................................................................................
3).............................................................. ได้แก่ ธาตุอาหารหลัก N-P-K (ไนโตรเจน-ฟอสฟอรสั -โพแทสเซียม) หรอื ธาตุ
อาหารรอง เช่น Ca-Mg-S (แคลเซียม-แมกนีเซียม-กามะถัน) โดยมสี าเหตมุ าจากการปลูกพชื ชนดิ เดียวกันเป็นเวลานานๆ หรือ
การทาไรเ่ ล่ือนลอย
การแกไ้ ข เติมธาตอุ าหารที่ดินขาดลงไป ได้แก่ .............................................เช่น ปุ๋ยหมัก ปยุ๋ คอก ป๋ยุ พชื สด เป็นต้น และ
การเตมิ ป๋ยุ เคมี ซ่งึ ให้ผลรวดเร็วและสะอาดแต่อาจมีผลข้างเคียงสูงหรือปลกู พชื คลุมดนิ ปัจจบุ ันใช้พชื ตระกูลถั่วและหญ้าแฝก
ภาพที่ 2.82 ดินเปรย้ี ว (ดนิ เป็นกรด) ภาพที่ 2.83 ดินเค็ม (ดินเป็นเบส) ภาพท่ี 2.84 ดนิ จืด (ดนิ ขาดธาตุอาหาร)
ความเป็นกรด-เบสของดินมีผลตอ่ การเจริญเติบโตของพชื ดงั น้ี
1) แร่ธาตุแต่ละชนิดที่พชื ต้องการใช้ในกระบวนการเจรญิ เติบโต จะละลายไดด้ ี ในสภาวะที่มี
pH ตา่ งกัน
2) พืชต่างชนดิ กันต้องการแรธ่ าตแุ ต่ละชนิดในปรมิ าณทแ่ี ตกตา่ งกัน ทาให้การดดู ซึมแรธ่ าตุของพืชแต่ละชนดิ แตกตา่ งกนั
3) พืชจะดูดซมึ แร่ธาตทุ ี่ตอ้ งการในสภาวะท่มี ีคา่ pH เหมาะสม ซ่งึ พชื แตล่ ะชนิดจะเจริญเติบโตในดินท่ีมีคา่ pH ที่
เหมาะสมแตกต่างกัน ดังแสดงในตารางต่อไปน้ี
ตารางที่ 14 แสดงค่า pH ของดนิ ท่ีเหมาะสมกบั การดูดซมึ นา้ และแรธ่ าตุของพืชบางชนิด
ล้าดบั ที่ ชนิดของพชื คา่ pH ของดินทีเ่ หมาะสม
1 ขา้ ว ……………………….
2 ผักกาดหวั กะหล่าดอก ข้ึนฉ่าย ถั่วลนั เตา 6.0-7.0
ผักกาดหอม
3 กะหลา่ ปลี แครอท คะน้า 5.7-7.0
4 ยาสูบ 5.4-5.7
5 มนั เทศ 5.5-7.0
6 ฝ้าย ………………………..
7 สบั ปะรด 5.0-6.0
จากตารางแสดงข้อมูล แสดงว่า พชื สว่ นใหญ่เจรญิ เตบิ โตได้ดีท่ีมีค่า pH อย่รู ะหว่าง...................................คอื มคี วามเปน็
กรดเล็กนอ้ ย-เปน็ กลาง
5.4.5 …………………………………….. (Pore space) หมายถงึ ชอ่ งวา่ งภายในดินหรอื ช่องวา่ งระหว่างเมด็ ดิน ความพรนุ
ของดนิ เป็นส่ิงทบี่ อกความสามารถในการระบายน้าและอากาศ ดินช้นั บนมเี ม็ดดินโตกว่าดนิ ชน้ั ลา่ งทาใหช้ อ่ งว่างระหวา่ งเมด็ ดนิ
มขี นาดใหญ่ เน้ือดินรว่ นซยุ เหมาะแก่การเพาะปลูก
ปฏิบตั ิการท่ี 10 เรื่อง สมบตั บิ างประการของดนิ
วตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื ศึกษาส่วนประกอบของดนิ ที่ระดบั ความลึกต่างกนั และค่า pH ของดิน
วสั ดอุ ุปกรณ์ 1. บกี เกอร์ จานวน 2 ใบ 2. แท่งแก้วคนสาร
3. จานแกว้ 4. กระดาษยูนิเวอร์ซัลดินดิเคเตอร์
5. ดินที่ระดบั ความลกึ ตา่ งกนั 6. น้า
วธิ กี ารทดลอง
1. ขุดดินบรเิ วณหนึ่ง ลกึ ประมาณ 20 cm ใส่ในบีกเกอร์ใบที่ 1 และขุดลึกลงไปอีก 20 cm ใสใ่ นบีกเกอร์ใบท่ี 2
เปรยี บเทียบดนิ ในบีกเกอรใ์ บท่ี 1 และ 2 สงั เกตสีของดิน
2. แบง่ ดิน ¼ จากบกี เกอร์ท้ังสองใสใ่ นบกี เกอร์ใบที่ 3 และ 4 ทีม่ นี า้ 200 cm3
3. ใชแ้ ทง่ แก้วคนหลาย ๆ ครัง้ แล้วตง้ั ท้ิงไว้ให้ตกตะกอนสงั เกตลกั ษณะของตะกอน
บันทึกผล
4. ใชแ้ ท่งแกว้ จ่มุ ของเหลวในบีกเกอร์ท้งั 2 แลว้ ไปแตะกบั กระดาษ pH เทียบค่า pH
( กอ่ นท่ีจะนาแทง่ แกว้ ไปจุ่มในของเหลวอีกบีกเกอรห์ น่ึง ต้องล้างใหส้ ะอาดแล้วเช็ดใหแ้ ห้งเสียก่อน)
5. เลือกสง่ิ ต่าง ๆ ทีป่ นอยู่ในดินจากบกี เกอร์ทง้ั สองไปวางบนกระดาษ สังเกตและบนั ทกึ ผล
ตารางบันทกึ ผลการทดลอง เม่อื ใสด่ ินลงในน้า pH ของดนิ
ฟองอากาศ ลักษณะของ สิง่ เจอื ปนในดิน
ลักษณะท่ัวไป
ตะกอน
ดิน สขี องดิน เนอ้ื ดนิ
บกี เกอร์ใบที่ 1
(ดินชน้ั บน)
บกี เกอร์ใบท่ี 2
(ดนิ ชน้ั ล่าง)
คาถามเพอ่ื การวิเคราะห์ และสรุปผล
1. ดนิ ที่ขุดจากระยะความลึกต่างกันจะมลี ักษณะ……………………………………………….เพราะ……………………………………………………
………………………………….………………………………………………………………………………….……………………………………………………………..…
2. เมือ่ ใช้ความลกึ เปน็ เกณฑ์ ดินทีข่ ดุ มาจาแนกได้เป็น……………ชน้ั คือ……………………………….……………………………………………..…
3. เปรียบเทยี บลักษณะและสมบตั ขิ องดินแตล่ ะชั้นท่ีนามาศกึ ษาไดด้ งั นี้
3.1 สขี องดนิ ………………………………………………………………………………………………………….………………………………………………
3.2 ลกั ษณะและขนาดของเน้ือดิน………………………………………………………………………………………………….………………….………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...…
3.3 เมือ่ ใส่ดนิ ลงในนา้ สังเกตฟองอากาศ……………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………………….…….…
3.4 ส่ิงเจอื ปนในดิน……………………………………………………………………………………………………….………………………………………...
3.5 ความเปน็ กรด…………………………………………………………………………………………………………………………..…………………….…
4. สาเหตุทที่ าใหด้ ินชน้ั บนมีสเี ข้มและคลา้ นา่ จะเกดิ จาก……………………………………………………………………………………………….….
5. เหตุใดดินชน้ั บนจึงมฟี องอากาศมาก…………………………………………………………………………….……………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………...……………………
ลักษณะเช่นน้ีทาให้เกิดผลดี คือ……………………………………………………..………..…………………………………………………….…………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……………………….……………
6. ความเปน็ กรดของดินเกิดจาก……………………………………………………….……………………………
……………………………………………………………………………………..……………………………………………
7. ดินช้ันใดมปี ระโยชน์ในการปลูกพืชมากกว่า……………………………………..……………………………
เพราะ………………………………….…………………………………………………………………………………………………………………………………………
สรุปผลการทดลอง
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……
• ก้าเนดิ ดิน ดินเกดิ ขน้ึ ตามธรรมชาตจิ ากการสลายตวั ผุพังของหินแร่ และการสลายตวั ของสารอินทรยี พ์ วกซากพชื ซากสัตว์
ขั้นตอนของกระบวนการสร้างดินมี 2 ข้นั ตอน คือ
1) กระบวนการสลายตัว คอื กระบวนการสลายตัวผุพงั ของหิน แร่ ซากพชื และซากสตั ว์ได้วัตถุตน้ กาเนดิ ดนิ และฮิวมสั
2) กระบวนการสรา้ งดิน คือ กระบวนการผสมคลุกเคล้าระหว่างวตั ถุต้นกาเนิดดินกับฮิวมสั โดยอาศยั สิ่งมีชวี ติ ทงั้ พืชและ
สตั ว์ชว่ ย บางครั้งก็อาศยั เหตุการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ลม ฝน ซึง่ สงิ่ เหลา่ นก้ี ช็ ว่ ยให้เกิดดินได้เช่นกัน
• ฮวิ มัส (Humus) คือ ซากพืชซากสัตวท์ ี่เนา่ เปื่อยผพุ งั อยู่ในดนิ มีสนี า้ ตาลดา เก็บความ
ชื้นไดด้ ี มฤี ทธเ์ิ ป็นกรดอ่อน ๆ สามารถละลายไดแ้ ร่ธาตทุ ่ีเป็นประโยชน์ตอ่ พืช
• ดินเกดิ จาก การสลายตัวของหนิ และแร่ และการสลายตัวของสารอินทรีย์
• องคป์ ระกอบของดนิ มอี งคป์ ระกอบต่าง ๆ 4 ประกอบดังน้ี
1) อนนิ ทรยี ์ เกิดจากชนิ้ ส่วนของแรแ่ ละหินต่างๆ เปน็ แหลง่ กาเนดิ อาหารของพืชและจุลินทรยี ใ์ นดิน
2) อนิ ทรีย์ เกดิ จากการสลายตวั ของซากพืชซากสตั ว์ เปน็ แหล่งกาเนิดอาหารของพืชและจลุ ินทรีย์
3) นา้ ไดจ้ ากฝนทต่ี กลงมาบนผวิ ดนิ จะแทรกอยตู่ ามชอ่ งวา่ งของผิวดินทาให้มีความชุ่มชื้นและอ่อนนมุ่ มาก
4) อากาศ จะแทรกตัวอยรู่ ะหว่างชอ่ งว่างระหว่างเมด็ ดิน ทาใหด้ ินมคี วามร่วนซุยและความอ่อนนุ่ม
• การจ้าแนกดิน
1) จ้าแนกตามลกั ษณะของเนอ้ื ดนิ ได้ 3 ประเภท คือ
1.1) ดินทราย เปน็ ดนิ ทมี่ ีลกั ษณะเมด็ ใหญ่และมีอากาศในเนื้อดนิ มาก แตม่ ีความชนื้ น้อย
1.2) ดินเหนียว เปน็ ดินที่มลี ักษณะเม็ดละเอียด และมีชอ่ งวา่ งในเนอื้ ดนิ นอ้ ย
1.3) ดินร่วน เปน็ ดินที่มีลักษณะเมด็ ดินพอเหมาะ และมอี ากาศกับนา้ อยู่ในชอ่ งว่างของดินพอเหมาะ
2) จ้าแนกตามระดบั ความลึกจากผวิ ดนิ (ชน้ั หนา้ ตัดดิน) ได้ 3 ประเภท
2.1) ดนิ ช้นั บนหรือดนิ ชั้นผวิ ดิน (Surface soil หรอื Top soil) เปน็ ดินชนั้ ทม่ี ีอินทรยี วตั ถหุ รอื ฮิวมสั ปนอยู่มาก ดินมี
สีคล้าถงึ ดา รว่ นซยุ เม็ดดินมีขนาดใหญแ่ ละมีความพรนุ มาก จงึ เหมาะในการเพาะปลกู พืช
2.2) ดินชนั้ ลา่ ง (Sub soil) มสี ารอนิ ทรีย์หรือฮิวมสั น้อยจึงมแี ร่ธาตอุ าหารของพชื น้อย ดินสจี าง หรอื สีอ่อน
การเกาะตวั ของเมด็ ดินแนน่ เน้ือดนิ ค่อนขา้ งแข็ง เมด็ ดินมีขนาดเลก็ กว่าดนิ ชั้นบน มีความพรนุ นอ้ ย ไมเ่ หมาะสาหรับการปลกู พชื
2.3) ดนิ ชนั้ ของวตั ถตุ ้นก้าเนดิ ดิน (Parent material) ไม่มีสารอนิ ทรีย์ ส่วนใหญเ่ ปน็ เศษหินเศษแร่ (สาหรบั ชน้ั ดิน
ดาน (Bed rock) เป็นหนิ แข็งท่ีอยใู่ นส่วนลึกที่สุดมสี ่วนเกย่ี วขอ้ งกบั การให้กาเนดิ ชั้นบนข้ึนไป
นอกจากนอี้ งคป์ ระกอบตา่ งๆของดินเม่ือทับถมเปน็ ชนั้ ดนิ ลกึ ลงไปจากผวิ ดนิ ข้อมลู ทางธรณีวทิ ยาท่ีศึกษาหนา้ ตัดขา้ ง
ของดนิ (Soil profile) และแบง่ ชน้ั ดนิ ทม่ี ีการพัฒนาอย่างสมบูรณ์ จานวน 6 ชน้ั ไดแ้ ก่ ชนั้ O A E B C และ R
• ปัจจยั ท่ีท้าให้ดนิ แตล่ ะพืน้ ท่ีมีความแตกตา่ งกนั คือ วัตถุตน้ กาเนิดดนิ ภมู ิอากาศ ภูมิประเทศ และระยะเวลาในการเกดิ
• สมบตั ขิ องดนิ
1) สีของดนิ เกิดจากส่วนประกอบต่างๆ ในดนิ ทาให้ดนิ ในแต่ละพนื้ ที่มีสที ี่แตกต่างกนั
2) เน้ือดนิ คือ สมบัติทางกายภาพท่สี ังเกตไดด้ ้วยตาเปล่า ดินบางชนิดมีเนอื้ ละเอียด บางชนดิ มีเนอ้ื หยาบ
3) ความช้ืนดนิ คือ ปรมิ าณน้าท่ีถูกอนุภาคดนิ ดูดยึดไว้ สามารถวัดความชืน้ ดินไดโ้ ดยใชเ้ คร่ืองวัดความชืน้ ดนิ (soil
moistuse meter) เพือ่ หาปริมาณความชน้ื ดินใหเ้ หมาะสมกับพืชที่ต้องการปลูก
4) ความเป็นกรด – เบสของดนิ หรือคา่ pH (Power of Hydrogen Ion Concentration) ของดิน เปน็ สมบัติท่ีสาคัญ
ของดนิ อกี ประการหน่งึ ซง่ึ การทดสอบความเปน็ กรด – เบสของดนิ ทาไดด้ ังน้ี
4.1 ใช้กระดาษลิตมัสสีนา้ เงนิ หรือแดง ถา้ เป็นกรดจะเปลย่ี นสีกระดาษลิสมตั สีน้าเงนิ เป็นสีแดง และถ้าเป็นเบสจะ
เปลีย่ นสีกระดาษลิตมสั สีแดงเปน็ สีน้าเงนิ
4.2 ใช้กระดาษยนู เิ วอร์ซัลอนิ ดเิ คเตอร์ โดยกาหนดคา่ เปน็ ตัวเลขความเป็นกรด- เบส ตง้ั แต่ 1-14 เรยี ก ค่า pH
4.3 ใช้ pH มิเตอร์ โดยใช้ pH มิเตอรจ์ ่มุ ในนา้ ท่ีละลายดนิ จะแสดงคา่ pH ที่ถูกต้องมากกวา่ กระดาษ pH
4.4 ใช้น้ายาตรวจสอบความเปน็ กรด – เบส เชน่ ฟนี อลฟ์ ทาลนี ซ่ึงปกตใิ สไมม่ ีสี ซง่ึ ถา้ ดินเป็นกรดและเปน็ กลาง
จะไม่เปลี่ยนแปลงสี ฟีนอล์ฟทาลนี แต่ถ้าดนิ เปน็ เบส จะเปล่ยี นสฟี ีนอลฟ์ ทาลีน ซึ่งใสไม่มสี เี ปน็ สชี มพู
• ปัจจยั ท่ีมผี ลต่อความเปน็ กรด-เบสของดิน ได้แก่
1) 1) ดนิ เปรย้ี วดินเปน็ กรด สาเหตุเกิดจากการเติมปุ๋ยอินทรียม์ ากเกิดไป ซึ่งจะให้ CO2
เม่อื รวมกบั น้าในดินจะกลายเปน็ กรดคาร์บอนกิ หรือเติมปุ๋ยเคมีกลุม่ ซลั เฟต
การแกไ้ ข เติมดินมารล์ หรอื ดนิ สอพองหรือปนู ขาว
2) ดนิ เคม็ หรอื ดนิ เป็นเบส สาเหตเุ กดิ จากมีเบสมากเกิดไป เชน่ เติมดนิ มาร์ลหรือปนู ขาวมากเกนิ ไป หรอื มคี วามเค็มตาม
ธรรมชาติ คอื มีเกลือธรรมชาติ (NaCl) อยใู่ ตพ้ ื้นดิน
การแก้ไข เติมกามะถันผง หรอื เติมเกลือซัลเฟต
3) ดินจืด (ดนิ ทขี่ าดธาตอุ าหาร) ได้แก่ธาตอุ าหารหลกั N-P-K หรอื ธาตุอาหารรอง เช่น Ca-Mg-S โดยมสี าเหตุมาจากการปลูก
พชื ชนิดเดยี วกนั เป็นเวลานานๆ หรอื การทาไรเ่ ลอ่ื นลอย
การแก้ไข เติมธาตุอาหารท่ีดนิ ขาดลงไป ได้แก่ เตมิ ปุ๋ยอินทรีย์ เชน่ ปยุ๋ หมัก ปุย๋ คอก ปุ๋ยพืชสด เปน็ ตน้ และการเติมปยุ๋ เคมี
ซง่ึ ให้ผลรวดเรว็ และสะอาด แตอ่ าจมีผลข้างเคยี งสงู หรือปลูกพชื คลมุ ดินปัจจุบันใช้พชื ตระกลู ถว่ั และหญา้ แฝก
• ความเปน็ กรด-เบสของดินมีผลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพืช แร่ธาตแุ ตล่ ะชนดิ ที่พืชต้องการใช้ในกระบวนการเจรญิ เติบโต
จะละลายได้ดใี นสภาวะที่มี pH ตา่ งกัน และพืชตา่ งชนิดกันต้องการแร่ธาตุแตล่ ะชนดิ ในปรมิ าณทีแ่ ตกตา่ งกัน ทาให้การดูดซึม
แร่ธาตขุ องพชื แต่ละชนิดแตกตา่ งกัน ซง่ึ พชื แตล่ ะชนิดจะเจรญิ เตบิ โตในดินท่ีมีค่า pH ที่เหมาะสมแตกต่างกัน ซงึ่ พบว่า พืชสว่ น
ใหญ่เจริญเตบิ โตไดด้ ีทม่ี ีค่า pH อย่รู ะหวา่ ง 5-7 คือ มคี วามเปน็ กรดเลก็ น้อย-เป็นกลาง
5) ความพรุนของดนิ (Pore space) หมายถึง ช่องว่างภายในดินหรือช่องวา่ งระหว่างเม็ดดิน ความพรนุ ของดิน เป็นสงิ่ ทีบ่ อก
ความสามารถในการระบายน้าและอากาศ
ค้าชีแ้ จง ใหน้ ักเรยี นทา้ เคร่อื งหมาย / หนา้ ข้อความที่ถูกตอ้ ง และทา้ เครื่องหมาย X หน้าขอ้ ความทไ่ี มถ่ กู ต้อง
1. ……….…… ดินชัน้ ล่างมสี คี ล้ากวา่ ดินช้ันบน เนอ่ื งจากมีสารอนิ ทรยี ์ จาพวกซากพชื และซากสตั วอ์ ยู่จานวนมาก
2. ……….…… ดินชนั้ บนมคี วามเปน็ กรดมากกว่าดินช้นั ล่าง เน่ืองจากมกี ารเน่าเปอื่ ยของซากพืชซากสัตว์อยู่มาก
3. ……….…… พชื สว่ นใหญเ่ จรญิ เติบโตไดด้ ใี นดนิ ทมี่ ีค่า pH 5-7 หรอื ดินท่ีมีความเป็นกรดเลก็ นอ้ ย-กลาง
4. ……….…… พืชเจรญิ เติบโตไดด้ ีในดนิ ทส่ี ภาวะเปน็ กรดเลก็ น้อย – เบสเลก็ น้อย คือ ข้าว
5. ……….…… ดินชนั้ ล่างเหมาะสาหรับในการเพาะปลูกพืชมากกว่าดินชน้ั บน
6. ……….…… ดินเกดิ จากการสลายตวั ของหนิ และแร่ และการสลายตัวของสารอนิ ทรยี ์
7. ……….…… ระหวา่ งดินร่วนกบั ดินเหนียว ดนิ ท่มี ีความพรุนของดินน้อย คือ ดนิ รว่ น
8. ……….…… ดินทม่ี ีสีแดง เป็นดินทมี่ ีการระบายนา้ และถา่ ยเทอากาศไม่ดี
9. ……….…… ถา้ ดนิ มสี ภาพเป็นกรด (ดินเปร้ยี ว) แก้ไข โดยเติมผงกามะถนั หรือ แคลเซยี มซัลเฟต (CaSO4)
10. ……….…… ถ้าดนิ เปน็ เบส จะเปล่ียนกระดาษลติ มสั สนี า้ เงนิ เปน็ สีแดง แต่กระดาษลติ มัสสแี ดงไมเ่ ปลีย่ นแปลง
คะแนนเตม็ 10 การทดสอบหลังเรียนเปน็ การวัดผลสมั ฤทธิ์วา่ เมื่อนกั เรียนศึกษาแล้วมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาเพียงใด
คะแนนท่ไี ด้ ............................... • ถ้าได้คะแนนนอ้ ยกว่า 5 ข้อ ไม่ต้องเสียใจ ขอให้นักเรียนเร่ิมศกึ ษาเน้ือหาใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครง้ั
• ถา้ ได้คะแนน 5-7 ข้อ แสดงว่า นักเรียนผ่านเกณฑ์ใหศ้ ึกษาเร่ืองต่อไป
ผู้ตรวจ • ถ้าได้คะแนน 8-10 ขอ้ แสดงวา่ นักเรียนผา่ นเกณฑ์และอยู่ในระดับดีเยี่ยม ใหศ้ กึ ษาเร่อื งต่อไปได้และ
ให้รักษามาตรฐานทด่ี เี ยีย่ มไว้....จ้า
การชะล้างพลงั ทลายของดนิ ทาให้เกดิ เปน็ ร่องนา้ และทาใหด้ ินชน้ั บนซ่ึงอุดมสมบูรณด์ ว้ ยธาตอุ าหารของพืช ตอ้ งสูญเสยี ไป
สง่ ผลกระทบต่อการเกษตรกรรม และยงั ทาใหแ้ ม่น้าและอา่ งเกบ็ น้าตน้ื เขนิ เน่อื งจากการตกตะกอนทาให้เกดสนั ดอนข้ึน เปน็
อุปสรรคตอ่ การคมนาคมทางนา้
1. ตรวจวัดสมบตั บิ างประการของดนิ โดยใช้เครอ่ื งมือที่เหมาะสมและนาเสนอแนวทางการใชป้ ระโยชน์ดิน จากข้อมูล
สมบตั ิของดนิ
2. อธิบายวธิ กี ารปรับปรงุ ดินได้
3. นาความรู้ไปใชใ้ นการพฒั นาและปรับปรงุ ดนิ ได้
คำสำคญั - การปลูกพืชคลุมดิน
- การปลกู พืชแบบข้ันบนั ได
- การชะล้างพงั ทลายของดนิ - การเพ่มิ สารอนิ ทรยี ์ในดนิ
- การปลูกพชื หมุนเวียน
– การปลกู พชื ตามแนวระดับ
คา้ ชแี้ จง จงเลือกตวั อักษรหน้าข้อความทางขวามือ มาเติมลงในชอ่ งว่างหนา้ ข้อความทางซา้ ยมือที่มีความสัมพันธ์กนั
1............การปลกู มากกว่า 1 ชนดิ ในแปลงเดียวกนั ก. การปลูกพืชคลุมดิน
2............การชะลา้ งพังทลายตามธรรมชาติ ข. การสรา้ งเขอื่ น
3............การชะลา้ งพงั ทลายโดยการกระทาของมนษุ ย์ ค. การปลกู พชื แบบขนั้ บนั ได
4............ชว่ ยลดอตั ราการไหลบ่าของน้า ง. แผ่นดนิ ถล่ม
5............การปลูกพืชตระกูลถ่ัว หรอื หญ้าแฝกเพ่ืออนรุ ักษ์ดิน จ. การปลูกพชื หมุนเวยี น
6.1 การชะลา้ งพงั ทลายของดิน
การชะล้างพังทลายของดิน คือ การที่ดินถูกกดั เซาะเป็นร่อง หรอื ถูกขุดเป็นบริเวณกวา้ ง เปน็ การเปลี่ยนแปลงของผิวดนิ
อยา่ งต่อเนื่อง เกิดจากสาเหตุใหญ่ 2 ประการ คอื
1.1 การชะลา้ งพังทลายตามธรรมชาติ เชน่ การกดั เซาะของฝน ลม และกระแสนา้ รวมทั้งการเกดิ แผ่นดนิ ถล่ม
1.2 การชะลา้ งพังทลายโดยการกระท้าของมนุษย์ เช่น การหักร้างถางป่า การขุดเหมืองแร่ การสรา้ งถนน การสร้าง
เขื่อน นอกจากนี้มนุษย์ยังสรา้ งมลภาวะใหก้ ับดนิ ดว้ ยการเพ่ิมโลหะหนกั สารพิษ และขยะลงในดินอีกดว้ ย
จากสาเหตดุ ังกล่าวทาใหด้ ินเส่ือมสภาพและสญู เสียความอุดมสมบรู ณ์อย่างรวดเรว็
ผลทตี่ ามมา คือ ทาให้มนษุ ย์ใช้ประโยชน์จากดินได้น้อยลง จงึ จาเป็นอยา่ งย่ิงทจ่ี ะตอ้ งการหา
วิธีการปรับปรงุ คุณภาพของดินให้เหมาะกบั การนาไปใชป้ ระโยชน์ไดต้ ่อไปตามสภาพและความ
เหมาะสมของทอ้ งถน่ิ แต่ละแหง่
AE
BF
C ภาพ A, B, C แสดงการชะล้างพงั ทลายตามธรรมชาติ
ภาพ E, D แสดงการชะล้างพังทลายโดยการกระทา
ของมนษุ ย์
6.2 ผลกระทบทเี่ กดิ จากการชะล้างพงั ทลายของดนิ มดี ังน้ี
1. ทาใหด้ ินเกดิ เป็นรอ่ งนา้
2. ทาใหด้ นิ ช้ันบนซึ่งอุดมไปด้วยแร่ธาตุอาหารของพืชถกู เคล่ือนย้ายไป ซึ่งก่อใหเ้ กิด
ผลกระทบตอ่ การเกษตรกรรม
3. ทาให้แม่นา้ และอ่างเกบ็ นา้ ตน้ื เขินจากดินที่ตกตะกอน และยังทาให้เกดิ สนั ดอนเร็วข้ึน ซึ่งก่อให้เกิดอปุ สรรคต่อการ
คมนาคมทางนา้
4. อาจทาใหเ้ กิดอทุ กภัยแรงข้ึนได้
6.3 การอนุรกั ษ์และพัฒนาท่ดี นิ
การอนรุ ักษแ์ ละพฒั นาทีด่ ิน หมายถึง การรจู้ ักใชท้ ี่ดินใหเ้ กิดประโยชนม์ ากที่สดุ มกี ารสูญ
เปลา่ นอ้ ยท่ีสุด และมีการสร้างหรอื ทาใหด้ ินมีมากข้ึน
สาเหตุสา้ คญั ที่ท้าใหด้ ินขาดความอุดมสมบรู ณ์ ไดแ้ ก่
1. การแผว้ ถางพืชที่ปกคลมุ ดนิ จนเตียน ทาใหน้ ้าฝนที่ตกลงมาก
ชะเอาผวิ หนา้ ดินท่ีมแี ร่ธาตุอดุ มสมบรู ณ์ไปได้งา่ ย
2. การทา้ ไร่สวนบนเนนิ ทีม่ คี วามลาดเอียงมาก ถา้ ไถเปน็ รอ่ งจาก
ท่ีสงู ลงสู่ทตี่ า่ แล้ว เมือ่ เวลาฝนตกลงมาจะชะหน้าดนิ ที่มคี วามอุดม
สมบรู ณ์ไปไดง้ ่าย
3. การปลูกพชื ชนดิ เดยี วกันซา้ ซากบนพื้นทีเ่ ดียวกนั ทาให้ปยุ๋ และ
แร่ธาตบุ างอย่างหมดไป
4. การเผาพืชหรอื หญ้าท่ขี นึ้ ในไรน่ า ทาใหแ้ ร่ธาตทุ ี่มปี ระโยชน์ ภาพที่ 2.85 การเผาพืชหรอื หญ้าทขี่ นึ้ ในไร่นา
ต่อพืชและจลุ ินทรียใ์ นดินซ่ึงชว่ ยทาให้ดนิ ดขี ึ้นต้องถูกทาลายไป
5. การขาดความรูใ้ นเรื่องการใช้ปยุ๋ ทถ่ี ูกตอ้ ง ทาให้ดินเสื่อมคุณภาพ
ลงเรือ่ ย ๆ
วธิ กี ารอนรุ กั ษ์และพฒั นาท่ดี ิน เพ่อื ทาใหด้ ินมคี ณุ ภาพดแี ละมีความอุดมสมบรู ณ์ตลอดไป มีวิธีการดังน้ี คอื
1. ...................................................................... ลกั ษณะพืชทน่ี ามาปลูก เชน่ พชื ตระกลู หญา้ หญา้ แฝก
- มใี บหนา หรือ มีระบบรากแนน่
- ทนความแลง้ ได้ดี
- เตบิ โตรว่ มกับพืชอืน่ ๆ ได้
ประโยชน์
1. ลดแรงปะทะจากฝนและลม
2. ช่วยยึดดนิ และแร่ธาตุอาหารของพืช
3. เพิม่ อินทรียวตั ถุและความอุดมสมบูรณ์
2. .................................................................... (การปลูกพืชสลบั )
- ปลกู พืชมากกว่า 1 ชนิด ในทด่ี ินแปลงเดยี วกนั หมุนเวยี นกันไป
เชน่ ปลูกข้าวโพดสลบั กับโสนแอฟริกัน
ประโยชน์
1. ป้องกนั การสูญเสยี แรธ่ าตุและการพังทลายของดนิ
2. แรธ่ าตถุ ูกนาไปใช้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ
3. ลดการระบาดของโรคพชื บางชนิด
3. …………………………………………………………………….
เป็นการปลกู พืชขนานไปตามแนวระดบั เดยี วกนั ขวางตาม
ความลาดเอียงของพื้นท่ี
ประโยชน์
1. ช่วยลดความรนุ แรงของเม็ดฝนท่ตี กลงมากระแทกกับผวิ ดิน
2. ช่วยลดอัตราการไหลบา่ ของนา้
3. ลดการพงั ทลายของหน้าดิน
4. ..............................................................................
เป็นการสร้างคันดนิ หรอื แนวหนิ ขวางความลาดเอียงของพ้นื ท่ี
ให้เป็นลักษณะขัน้ บันได แล้วปลกู พืชบนขั้นบนั ไดนน้ั
ประโยชน์
1. ช่วยลดอตั ราการไหลบ่าของน้า
2. ชว่ ยลดการพังทลายของหนา้ ดิน
3. เก็บกักความชนื้ ได้ดี
5. …………………………………………………………………..
โดยการใสป่ ุย๋ คอก ปุ๋ยหมัก และป๋ยุ พืชสดลงในดิน
ประโยชน์
1. ลดอัตราการสญู เสียหนา้ ดิน
2. อากาศสามารถแทรกซึมได้สะดวก
3. ช่วยให้ดินสามารถอมุ้ น้าได้ดขี ้ึน
• การชะลา้ งพังทลายของดิน คอื การที่ดินถูกกัดเซาะเป็นร่อง หรอื ถูกขุดเปน็ บรเิ วณกวา้ ง เปน็ การเปล่ียนแปลงของผวิ ดิน
เกิดจากสาเหตุใหญ่ 2 ประการ คอื
1) การชะลา้ งพังทลายตามธรรมชาติ เชน่ การกัดเซาะของฝน ลม และกระแสนา้ รวมท้ังการเกิดแผ่นดนิ ถล่ม
2) การชะลา้ งพังทลายโดยการกระทา้ ของมนษุ ย์ เชน่ การหกั ร้างถางป่า การขุดเหมืองแร่ การสร้างถนน การสรา้ งเข่ือน
นอกจากนี้มนษุ ยย์ ังสร้างมลภาวะให้กับดินด้วยการเพิ่มโลหะหนกั สารพิษ และขยะลงในดินอีกด้วย
• ผลกระทบที่เกดิ จากการชะล้างพังทลายของดนิ มดี ังนี้
1) ทาให้ดนิ เกิดเปน็ ร่องน้า
2) ทาให้ดนิ ชั้นบนซ่ึงอุดมไปด้วยแรธ่ าตอุ าหารของพืชถูกเคลื่อนยา้ ยไป
3) ทาให้แม่นา้ และอ่างเก็บนา้ ตนื้ เขนิ จากดนิ ทต่ี กตะกอน เกิดสันดอนเรว็ ขึ้น เกิดอปุ สรรคตอ่ การคมนาคมทางน้า
4) อาจทาใหเ้ กิดอทุ กภยั แรงข้นึ ได้
• การอนรุ กั ษแ์ ละพัฒนาที่ดิน หมายถงึ การรจู้ ักใช้ที่ดนิ ให้เกิดประโยชนม์ ากที่สดุ มีการสูญเปล่าน้อยทีส่ ดุ และมกี ารสร้าง
หรือทาให้ดินมมี ากขึ้น
• สาเหตุส้าคญั ที่ทา้ ให้ดินขาดความอดุ มสมบรู ณ์ ไดแ้ ก่
1) การแผ้วถางพืชที่ปกคลุมดนิ จนเตยี น ทาใหน้ า้ ฝนทีต่ กลงมากชะเอาผิวหนา้ ดนิ ทม่ี ีแรธ่ าตุอุดมสมบรู ณ์ไปไดง้ ่าย
2) การท้าไรส่ วนบนเนินท่ีมคี วามลดเอียงมาก ถา้ ไถเป็นร่องจากท่สี ูงลงสูท่ ต่ี ่าแล้ว เม่ือเวลาฝนตกลงมาจะชะหน้าดนิ ทีม่ ี
ความอุดมสมบรู ณ์ไปได้ง่าย
3) การปลูกพืชชนิดเดียวกนั ซา้ ซากบนพื้นที่เดยี วกัน ทาใหป้ ุย๋ และแรธ่ าตบุ างอยา่ งหมดไป
4) การเผาพืชหรือหญา้ ท่ีขนึ้ ในไรน่ า ทาให้แรธ่ าตุทมี่ ีประโยชนต์ ่อพืชและจุลินทรียใ์ นดนิ ถกู ทาลายไป
5) การขาดความรู้ในเร่ืองการใชป้ ุ๋ยที่ถกู ต้อง ทาให้ดินเสอื่ มคุณภาพลงเร่ือย ๆ
• วิธกี ารอนุรักษ์และพัฒนาท่ดี ิน เพือ่ ทาให้ดนิ มีคุณภาพดีและมีความอดุ มสมบูรณ์ตลอดไป มวี ิธกี ารดงั น้ี คือ
1) การปลกู พชื คลุมดิน ลกั ษณะพืชที่นามาปลูก มใี บหนา หรือ มรี ะบบรากแน่น ทนความแล้งไดด้ ี และเติบโตร่วมกบั
พืชอนื่ ๆ ได้
ประโยชน์ ลดแรงปะทะจากฝนและลม ช่วยยดึ ดนิ และแร่ธาตุอาหารของพืช และเพ่ิม
อนิ ทรียวตั ถุและความอุดมสมบูรณ์
2) การปลูกพืชหมนุ เวียนตามฤดู ปลกู พืชมากกวา่ 1 ชนิด ในทดี่ นิ เดียวกันหมนุ เวียนกนั ไป
เชน่ ปลกู ข้าวโพดสลับกบั โสนแอฟริกัน
ประโยชน์ ปอ้ งกนั การสูญเสยี แร่ธาตุและการพงั ทลายของดิน แร่ธาตุถูกนาไปใช้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ และลดการระบาดของ
โรคพชื บางชนดิ
3) การปลูกพืชตามแนวระดับ เปน็ การปลูกพืชขนานไปตามแนวระดบั เดียวกนั ขวางตามลาดเอียงของพื้นท่ี
ประโยชน์ ช่วยลดความรนุ แรงของเม็ดฝนท่ตี กลงมากระแทกกับผิดดนิ ชว่ ยลดอตั ราการไหลบา่ ของนา้ และลดการพงั ทลาย
ของหน้าดนิ
4) การปลูกพืชแบบขน้ั บันได เปน็ การสรา้ งคนั ดิน หรอื แนวหินขวางความลาดเอยี งของพ้ืนที่ให้เปน็ ลักษณะขน้ั บันได แล้วปลกู
พชื บนขนั้ บนั ไดน้นั
ประโยชน์ ชว่ ยลดอตั ราการไหลบ่าของน้า ชว่ ยลดการพังทลายของหนา้ ดิน และเก็บกักความชน้ื ไดด้ ี
5) การเพิ่มสารอินทรีย์ในดิน โดยการใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยพชื สดลงในดิน
ประโยชน์ ลดอตั ราการสญู เสียหนา้ ดนิ และอากาศสามารถแทรกซมึ ไดส้ ะดวก
คา้ ช้แี จง ให้นักเรียนทา้ เครือ่ งหมาย / หนา้ ข้อความที่ถูกต้อง และทา้ เคร่อื งหมาย X หน้าขอ้ ความทไ่ี มถ่ กู ต้อง
1.………..….…การชะล้างพงั ทลายของดิน คือ การทีด่ ินถูกกัดเซาะเปน็ รอ่ ง หรือถูกขดุ เป็นบริเวณกวา้ ง
2…………….…การชะลา้ งพังทลายของดิน มีสาเหตใุ หญ่ 2 ประการ คือ การชะลา้ งพังทลายตามธรรมชาติ และโดยการกระทา
ของมนุษย์
3…………….…การหักร้างถางป่า เป็นการชะล้างพงั ทลายตามธรรมชาติ
4…………….…การชะล้างพังทลายของดิน ทาให้แมน่ า้ และอา่ งเก็บน้าตนื้ เขินจากดินทตี่ กตะกอน และยงั ทาให้เกิดสันดอน
กอ่ ให้เกิดอปุ สรรคต่อการคมนาคมทางน้า
5…………….…การปลูกพืชแบบขนั้ บันได ทาใหด้ นิ ขาดความอดุ มสมบรู ณ์ได้
6………...….…การปลกู พืชชนดิ เดียวกนั ซา้ ซากบนพืน้ ที่เดียวกัน ทาใหป้ ุย๋ และแรธ่ าตบุ างอย่างหมดไป
7…………….…ลกั ษณะพชื ท่ีนามาปลูกเป็นพชื คลุมดนิ นั้น มักมีใบหนา หรอื มีระบบรากแน่น เชน่ พืชตระกลู ถ่ัวหรือ หญ้าแฝก
8…………….…ถา้ ต้องการปลูกพืชบนไหล่เขา ควรปลกู พชื ตามแนวระดบั หรือปลูกพชื แบบขัน้ บันได เพ่อื ชว่ ยลดอัตราการชะลา้ ง
พงั ทลายของดิน
9……….………การปลูกพืชมากกวา่ 1 ชนิด ในท่ีดนิ แปลงเดยี วกันหมุนเวียนกันไป ไมส่ ามารถลดการระบาดของโรคพืชได้
10………….….…การใส่ปุย๋ คอก ปยุ๋ หมกั และปุ๋ยพชื สดลงในดิน ช่วยทาให้อากาศสามารถแทรกซึมในดินไดส้ ะดวกขึ้น
คะแนนเต็ม 10 การทดสอบหลังเรียนเป็นการวัดผลสมั ฤทธิ์ว่า เม่ือนกั เรยี นศึกษาแล้วมคี วามรู้ความเขา้ ใจในเนื้อหาเพียงใด
คะแนนทไ่ี ด้ ............................... • ถ้าได้คะแนนนอ้ ยกว่า 5 ข้อ ไม่ต้องเสียใจ ขอให้นกั เรยี นเร่ิมศกึ ษาเน้อื หาใหม่ต้ังแต่ต้นอีกครงั้
• ถา้ ได้คะแนน 5-7 ข้อ แสดงว่า นกั เรียนผ่านเกณฑ์ใหศ้ ึกษาเร่ืองต่อไป
ผ้ตู รวจ • ถ้าได้คะแนน 8-10 ข้อ แสดงว่า นักเรียนผ่านเกณฑ์และอยู่ในระดบั ดีเย่ียม ใหศ้ ึกษาเร่อื งต่อไปได้และ
ใหร้ ักษามาตรฐานทีด่ เี ยีย่ มไว้....จ้า