The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

งานวิจัยในชั้นเรียนของเด็กปฐมวัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Bank Sorranat, 2022-09-28 09:50:29

งานวิจัยในชั้นเรียนของเด็กปฐมวัย

งานวิจัยในชั้นเรียนของเด็กปฐมวัย

1

รายงานวจิ ัยในชั้นเรยี น
การพฒั นาทักษะการพูดของเด็กปฐมวยั ช้ันอนุบาลปีท่ี 2 ท่ีได้รับการจดั กิจกรรมเสรมิ

ประสบการณ์ โดยใช้คาคลอ้ งจองประกอบภาพ โรงเรียนสามแยกบา้ นเนียง
(สิทธพิ นั ธอ์ นกุ ลู ) อาเภอเมอื ง จังหวดั ยะลา

นางสาววนดิ า โรจนอุดมศาสตร์

โรงเรยี นสามแยกบ้านเนยี ง (สิทธิพันธอ์ นุกูล)
สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษายะลาเขต 1

ช่อื เร่ือง 2
ช่ือผ้วู ิจยั
การพัฒนาทักษะการพดู ของเด็กปฐมวัยช้นั อนุบาลปีที่ 2 ที่ได้รบั การจัดกจิ กรรม
เสรมิ ประสบการณ์ โดยใชค้ ําคลอ้ งจองประกอบภาพ โรงเรยี นสามแยกบ้านเนยี ง
(สทิ ธิพันธ์อนกุ ูล) อําเภอเมือง จงั หวัดยะลา
นางสาววนดิ า โรจนอดุ มศาสตร์

คณะกรรมการท่ีปรึกษา

………………………………………………………………………………กรรมการ

(นางสาวฮายาตี แดนิ)
(ครปู ระจําชั้นอนบุ าล 1)

………………………………………………………………………………กรรมการ
(นางวนพรรณ ศรีน้อย)
(ครปู ระจาํ ช้นั อนบุ าล 3)

………………………………………………………………………………กรรมการ
(นางสาวมุไซนา ชูสมบัติ)

(หวั หน้าวิชาการโรงเรียนสามแยกบ้านเนยี ง (สิทธิพันธอ์ นุกูล) )

3

ชอ่ื เรื่อง การพัฒนาทกั ษะการพดู ของเดก็ ปฐมวัยชั้นอนบุ าลปที ่ี 2 ท่ีไดร้ บั การจัดกิจกรรมเสริม
ประสบการณ์ โดยใชค้ ําคล้องจองประกอบภาพ โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธพิ นั ธอ์ นุกูล)อําเภอ
เมอื ง จงั หวดั ยะลา
ช่อื ผู้วิจัย นางสาววนดิ า โรจนอุดมศาสตร์
ปกี ารศกึ ษา 2562

บทคดั ย่อ

การศึกษาวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เปรียบเทียบทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยก่อน
และหลังการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองประกอบภาพกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ
วิจัยครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยชาย – หญิง อายุระหว่าง 4 – 5 ปี ท่ีกําลังศึกษาอยู่ช้ันอนุบาลปีที่ 2
โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพันธ์อนุกูล) อําเภอเมือง จังหวัดยะลา ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา
2562 จํานวน 37 คน โดยวิธกี ารเลอื กแบบเจาะจง

เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี (1) แผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้อง
จองประกอบภาพ เพื่อพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีท่ี 2 โรงเรียนสามแยกบ้าน
เนียง (สิทธิพันธ์อนุกูล) (2) แบบทดสอบพัฒนาการทางด้านการพูดสําหรับเด็กปฐมวัยก่อนและหลัง
การจัดกจิ กรรม โดยใชค้ าํ คล้องจองประกอบภาพ

สถิติท่ีใช้วิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย (X) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D) ค่าร้อยละและการ
ทดสอบคา่ (t – test dependent)

ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยท่ีได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจอง
ประกอบภาพ เพื่อพัฒนาทักษะการพูด มีพัฒนาการด้านการพูดท่ีสูงกว่าก่อนได้รับการจัดกิจกรรม
อย่างมีนยั สําคญั ท่รี ะดับ .05

4

ประกาศคุณูปการ

รายงานผลการพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยช้ันอนุบาลปีที่ 2 ท่ีได้รับการจัดกิจกรรม
เสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองประกอบภาพ โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพันธ์อนุกูล)
อําเภอเมือง จังหวัดยะลา ฉบับน้ีสําเร็จสมบูรณ์ด้วยดี เพราะผู้ศึกษาได้รับความกรุณาอย่างดีย่ิงจาก
นางสาวกาญจนา อนันตโภไคย ผู้อํานวยการโรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพันธ์อนุกูล) และนาว
สาวรัตนา หนูผูก นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูที่ช่วยทําวิจัยฉบับนี้ และได้ทดลองกับนักเรียน
ทําให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ มีความสุขกับการเรียนโดยใช้คําคล้องจองประกอบภาพและประสบ
ผลสาํ เร็จมาด้วยดี

ขอขอบคุณคณะครู และนกั เรียนโรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพันธ์อนุกูล) สํานักงานเขต
พ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษายะลา เขต 1 ทีไ่ ด้ใหค้ วามรว่ มมือในการทาํ การศึกษาค้นคว้าเปน็ อย่างดี

นางสาววนดิ า โรจนอุดมศาสตร์

สารบัญ 5

เรื่อง หน้า
บทคัดย่อ ก
ประกาศคุณูปการ ข
สารบญั ค
สารบัญตาราง จ
บทท่ี 1 บทนา
1
ความเป็นมาและความสาํ คญั ของการวิจยั 3
วัตถุประสงค์การวจิ ยั 3
สมมติฐานการวจิ ยั 3
ขอบเขตการวิจัย 4
นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ 5
ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ บั 5
กรอบการวจิ ัย
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เก่ยี วข้อง 8
หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย พุทธศกั ราช 2560 38
การจดั ประสบการณส์ ําหรับเด็กปฐมวัย 43
ความสามารถด้านการพูด 50
คําคล้องจอง 57
งานวจิ ยั ทเ่ี ก่ียวข้อง
บทท่ี 3 วธิ ดี าเนนิ กิจกรรม 61
ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ งที่ใช้ในการวจิ ัย 61
เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการวิจัย 62
การสรา้ งและการหาคุณภาพเครื่องมือ 64
แบบแผนการวจิ ยั และวิธีการดาํ เนนิ การทดลอง 66
การเก็บรวบรวมข้อมูล 67
สถติ ิท่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล

สารบญั (ต่อ) 6

เร่ือง หน้า
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
70
สญั ลกั ษณ์ที่ใชใ้ นการนําเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู 70
ข้นั ตอนการวิเคราะหข์ อ้ มลู 70
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
บทที่ 5 สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ 73
ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง 73
เครือ่ งมอื ท่ีใช้ในการวิจยั 73
สรุปผลการวิจัย 74
อภปิ รายผลการวิจยั 74
ข้อเสนอแนะ 75
บรรณานุกรม 77
ภาคผนวก

7

สารบญั ตาราง หนา้
64
ตารางที่ 65
70
ตารางที่ 1 การสร้างส่อื การสอนคําคล้องจองประกอบภาพ
71
ตารางท่ี 2 แบบแผนการทดลอง
72
ตารางที่ 3 แสดงคา่ ดัชนคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) ของแผนการจดั กิจกรรมเสริม
ประสบการณ์ โดยใช้คําคลอ้ งจองประกอบภาพ เพื่อพฒั นาทกั ษะดา้ น
การของเด็กปฐมวยั ช้นั อนุบาลปที ่ี 2
ตารางที่ 4แสดงค่าดัชนคี วามสอดคล้อง (IOC) ของแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรม
ทางด้านการพูดสาํ หรบั เดก็ ปฐมวยั กอ่ นและหลังการจัดกจิ กรรม
ตารางที่ 5 ผลการเปรยี บเทยี บคะแนนเฉลีย่ กอ่ นและหลังการจดั กิจกรรม
การพัฒนาทักษะการพดู ของเดก็ ปฐมวยั ช้นั อนุบาลปีที่ 2 ที่
ได้รบั การจัดกจิ กรรมเสริมประสบการณ์ โดยใชค้ าํ คล้องจองประกอบ
ภาพ

8

บทที่ 1

บทนา

ความเป็นมาและความสาคัญของการวิจัย
การจัดการศึกษามีบทบาทสําคัญต่อการพัฒนาท่ีย่ังยืนของประเทศ โดยเฉพาะการจัด

การศึกษาปฐมวยั เปน็ การจัดการศกึ ษาทีเ่ ปน็ รากฐานสาํ คญั ในการพัฒนามนุษย์ เพราะเด็กในวัยนี้เป็น
วัยแห่งช่วงพลังการเจริญเติบโตของชีวิตท่ีควรได้รับการอบรมเลี้ยงดูส่ังสอนอย่างถูกต้องเหมาะสม
ตั้งแต่เร่ิมต้น เพื่อให้เติบโตเป็นพลเมืองท่ีมีคุณภาพในอนาคต (สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์, 2554 : บท
นํา) และจากพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่ีได้พระราชทานในพิธีพระราชทาน
ปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (สํานักราชเลขา,2540) ทรงพระราชทานว่า บุคคลจะพัฒนา
ไดก้ ด็ ว้ ยปจั จัยประการเดยี ว คือ การศึกษา การศกึ ษานั้นแบ่งเป็นสองส่วน คือ การศึกษาด้านวิชาการ
ส่วนหนึ่งการอบรมบม่ นสิ ยั ใหเ้ ปน็ ผู้มีจติ ใจใฝดุ ี ใฝเุ จรญิ ละอายช่ัวกลัวบาปส่วนหน่ึง การพัฒนาบุคคล
จะต้องพัฒนาให้ครบถ้วนท้ังสองส่วน เพื่อให้บุคคลได้มีความรู้ไว้ใช้ประกอบการและมีความดีไว้
เก้ือหนุนการประพฤติปฏิบัติทุกอย่างให้เป็นไปในทางที่ถูกท่ีควร การศึกษาจึงเป็นปัจจัยสําคัญที่จะ
พฒั นาบคุ ลากรของประเทศ โดยเร่ิมพัฒนาตั้งแต่ปฐมวัยท้ังความรู้ทางด้านวิชาการและการอบรมบ่ม
นิสัยถือเป็นบทบาทสําคัญของบ้าน ชุมชน โรงเรียนท่ีมีความสําคัญต่อการพัฒนาศักยภาพของเด็กใน
การจะจัดประบวนการอบรมเลี้ยงดู ส่ังสอนและจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการพัฒนาเด็กเต็มตาม
ศักยภาพท้งั ด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สงั คมและสตปิ ัญญาโดยเฉพาะศักยภาพทางด้านปญั ญานนั้

เพียเจต์ (สิริมา ภิญโญอนันตพงษ์, 2541 : บทนํา) ได้กล่าวถึง พัฒนาการทางสติปัญญาว่า
ความสําคัญของความเปน็ มนษุ ยอ์ ยู่ทีม่ นษุ ยม์ ีวามสามารถในการสร้างความรู้ผ่านการปรับตัวให้เข้ากับ
ส่ิงแวดล้อม ซ่ึงปรากฏในตัวเด็กต้ังแต่แรกเกิด ความสามารถนี้คือ การปรับตัว (Adaptation) เป็น
กระบวนการที่เด็กสร้างโครงสร้างตามความคิด (Scheme) โดยมีการปฏิสัมพันธ์ซึมซับประสบการณ์
(Accommodation) ตามสภาพแวดล้อม เพื่อให้เกิดความสมดุลในโครงสร้างความคิด ความเข้า
(Equilibration) ความสามารถนี้เป็นส่วนสําคัญของโครงสร้างทางสมอง ดังน้ันจะเห็นได้ว่า ศักยภาพ
ด้านปัญญาเป็นพัฒนาการที่สําคัญควรพัฒนาให้กับเด็กปฐมวัย ซึ่งหน่ึงในพัฒนาการทางด้าน
สติปัญญา คือ พัฒนาการทางด้านภาษา ภาษามีหน้าท่ีสําคัญที่ ฮอลิเดย์(Holiday : 1997) กล่าวว่า
หน้าท่ีของภาษา คือ สง่ิ ที่เดก็ ใช้ในการแปลความหมายตั้งแตย่ ังเลก็

ไวกอตสกี (Vygotsky, 1934 : 60) กล่าวว่า ภาษามีความสําคัญต่อพัฒนาการของมนุษย์ใน
แง่บุคคลและสังคมหลายทิศทาง ภาษาเป็นสื่อถ่ายทอดมรดกทางวิชาการและวัฒนธรรมจากสังคม
หน่ึงไปยังอีกสังคมหนึ่ง จากคนรุ่นหนึ่งไปยังรุ่นถัดไป ภาษาเป็นระบบสัญลักษณ์ที่เพ่ิมพูนพัฒนาการ
ทางสติปัญญาระดับบุคคล สังคมและอารยธรรมของโลก การพูดนับเป็นทักษะหน่ึงของภาษา การพูด

9

เป็นทักษะในการสื่อความหมายซึ่งเป็นทักษะการคิดพ้ืนฐานที่บอกแน่นอนว่าจะพูด เพ่ือถ่ายทอด
ความคิดเกย่ี วกบั อะไรและเพ่ืออะไร การจัดโครงสร้างของส่ิงท่ีจะพูดได้ถูกต้องครบถ้วน การจัดลําดับ
ความคิดของเร่ืองที่จะพูดได้ต่อเน่ืองและสอดคล้องกัน การเลือกวิธีนําเสนอและสํานวนภาษาให้
เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในการพูด การเรียบเรียงความคิดท้ังหมดแล้วถ่ายทอดออกมาเป็นคําพูด
การใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่จะช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการนําเสนอความคิดด้วยการพูด เช่น นํ้าเสียง สี
หน้าท่าทาง จังหวะการพูดตามท่ีเรียบเรียงไว้ เพื่อนําเสนอความคิดของตนออกมาตามลําดับต่อเนื่อง
ครอบคลุมประเด็นสําคัญและมีรายละเอียดครบถ้วน โดยใช้วิธีท่ีเหมาะสมทําให้ผู้ฟังเกิดการ
ตอบสนองตามท่ีผู้พูดต้องการ (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติสํานักนายกรัฐมนตรี,
2540 : 33) ความสามารถด้านการพูดของเด็กคือ ความสามารถทางภาษาที่เด็กแสดงออกด้วยการใช้
ถ้อยคํา ถ่ายทอดความรู้สึก ความต้องการออกมาเป็นภาษาพูด เพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจและสื่อสารได้อย่าง
ถูกต้อง แบ่งออกเป็น 3 สว่ น คอื ความสามารถทางดา้ นการพดู คาํ ศพั ท์ ความสามารถทางด้านการพูด
เปน็ ประโยคและความสามารถทางด้านการพูดเป็นเรื่องราว ผู้ใหญ่ควรส่งเสริมให้เด็กมีความสามารถ
ทางด้านการพูดสูงข้ึน ซึ่งนับเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาท่ีจําเป็น เพราะเม่ือเด็กเติบโตข้ึน
ภาษาพดู จะแสดงให้เหน็ ว่าบุคคลทพี่ ดู เป็นอย่างไรดงั ท่ี นนทพันธ์ ภักดผี ดุงแดน (2546 : 88) กล่าวว่า
คนดีนั้นคือ ดีด้วยการมีวิชาความรู้ศิลปะศาสตร์ต่าง ๆ และประพฤติตัวดี พร้อมท้ังกาย วาจา ทั้ง
อัธยาศัยใจคอสุภาพเรียบร้อยสมกับหน้าที่ของตัว การปลูกฝังให้เด็กดีด้วยวาจาหรือมีการพูดดี พูด
อย่างมีศิลปะนับเป็นหนึ่งในปัจจัยของการเป็นคนดี ซึ่งจําเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องฝึกฝนต้ังแต่เยาว์วัย
เม่ือมีศักยภาพทางด้านสติปัญญาในส่วนของภาษา คือการพูดแล้วการปลูกฝังให้พูดดีพูดดีพูดอย่างมี
ศลิ ปะ จึงรวมเอาท้งั สว่ นของการศึกษาด้านวชิ าการและการอบรมบ่มนสิ ัยเข้าไวด้ ว้ ยกัน

เน่ืองจากสภาพสังคมในปัจจุบันท่ีเทคโนโลยีเกิดข้ึนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มนุษย์จึง
จําเปน็ ตอ้ งได้รับการพฒั นาให้สามารถเตบิ โตและเรยี นร้ไู ดต้ ลอดชวี ติ โดยปลูกฝังให้เด็กมีเจตคติที่ดีต่อ
การรับรู้ เรยี นรู้และการแสวงหาความรู้นั้นต้ังแต่เกิด สิ่งสําคัญท่ีสุดก็คือ ภาษา เพราะภาษามีบทบาท
สําคัญอย่างยิ่งต่อการดํารงชีวิตของมนุษย์ เนื่องจากภาษาเป็นเคร่ืองมือชนิดหนึ่งที่มนุษย์สามารถใช้
ติดต่อส่ือสารได้รวดเร็ว เข้าใจง่ายสุดและนอกจากน้ันภาษาจึงเป็นเครื่องมือสําคัญในการติดต่อกับ
ผู้อื่นเพื่อแลกเปล่ียนความคิดและความรู้สึกท่ีมีต่อกัน การติดต่อแลกเปล่ียนความคิดความรู้สึกน้ี
อาจจะสอ่ื ออกมาหลายรปู แบบ เชน่ ในการฟงั การพดู การอ่าน การเขียนและแน่นอนท่ีสุดวิธีพูดย่อม
เปน็ วธิ ตี ดิ ต่อสอ่ื สารท่มี ีประสทิ ธภิ าพมากท่สี ุด นอกจากน้ันการพัฒนาภาษาพดู ยงั เป็นจุดเริ่มต้นในการ
พัฒนาภาษาอนื่ ตดิ ตามมาอีกด้วย (กรมวชิ าการ, 2541 : 1)

การพูดและการสนทนาจึงมีความสําคัญต่อมนุษย์เป็นอย่างมากท้ังในชีวิตประจําวันและชีวิต
การทํางาน การพูดเป็นเครื่องมือสําคัญของการติดต่อสื่อสาร ทั้งน้ีเพราะมนุษย์ต้องใช้ภาษาอยู่เสมอ

10

และใช้คาํ พดู ในการส่ือสารถงึ บุคคล (Persoral media) หรือเป็นวิธีทางหน่ึงในการถ่ายทอดชักนําเอา
ความรู้สึกนึกคิดของตนมาตีแผ่แสดงให้ผู้อื่นได้ทราบและเข้าใจ เม่ือเป็นเช่นนี้การพูดจึงเป็นเครื่องมือ
สาํ คญั ย่ิงในการดํารงชีวติ อยู่ในสงั คมร่วมกับผ้อู น่ื ดงั น้ันการพูดการสนทนาที่ดีถูกต้องเหมาะสมจึงเป็น
การสรา้ งบุคลิกภาพท่ดี สี าํ หรบั บคุ คลในอนาคต (สภุ ี วงศพ์ ลับ, 2555 : 2)

การจัดการศึกษาปฐมวยั มุ่งเน้นเพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กปฐมวัยก่อนเรียนในระดับชั้น
ประถมศึกษา แต่ด้วยอิทธิพลของการใช้ภาษามลายูท้องถ่ินในชีวิตประจําวันจึงทําให้พัฒนาการด้าน
การใชภ้ าษาไทยเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ในระดับชั้นสูงข้ึน จากสภาพปัญหาดังกล่าวทําให้ทราบว่า
พฒั นาการทางดา้ นภาษาของเด็กใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ข้นึ อยู่กับอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมท่ีเด็กอาศัย
อยู่เป็นประการสําคัญ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฏีการเรียนรู้ที่ว่า พฤติกรรมมนุษย์เป็นผล
ปฏิสัมพันธ์ของบุคคลกับสิ่งแวดล้อม ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฏีการเรียนรู้ว่า พฤติกรรมของ
มนุษย์เป็นผลปฏิสัมพันธ์ของบุคคลกับสิ่งแวดล้อม แต่เน่ืองจากบุคคลแต่ละคนแตกต่างกัน อีกท้ัง
ส่ิงแวดล้อมของบคุ คลกไ็ มเ่ หมอื นกัน จึงสง่ ผลให้พฤตกิ รรมของมนษุ ย์แตกต่างกัน ดังน้ัน เมื่อเด็กอยู่ใน
สภาพแวดล้อมที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาท่ีสองในชีวิตประจําวัน จึงได้แนวคิดว่าการเรียนรู้ด้านภาษา
ของเด็กสามารถเปล่ียนแปลงได้หากจัดสภาพแวดล้อมและเทคนิควิธีท่ีเหมาะสม (กมลรัตน์ คะนอง
เดช, 2554 : 1)

จากสภาพปัญหาในช้ันเรียนท่ีผู้วิจัยได้ปฏิบัติการสอน คือ ช้ันอนุบาลปีที่ 2 ว่าเด็กปฐมวัยมี
ปัญหาในการใช้ภาษาไทย คือ พูดภาษาไทยไม่ชัด ใช้ภาษามลายูในการสื่อสาร อีกทั้งยังขาดความ
มั่นใจในการใช้ภาษาไทยในการส่ือสาร จากเด็กปฐมวัย 30 คน จะมีสภาพปัญหาดังกล่าว 20 คน ซ่ึง
จากสภาพปัญหาและความสําคัญดังที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะเตรียมความพร้อมทาง
ภาษาไทยในการพูด โดยการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองประกอบภาพเป็นสื่อ
การสอน เพ่อื พัฒนาทกั ษะทางด้านการพูดของเดก็ ปฐมวัยใหม้ ปี ระสิทธิภาพมากยิ่งขน้ึ

วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย
1. เพ่ือเปรียบเทียบทักษะการพูดชองเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมเสริม

ประสบการณ์ โดยใชค้ าํ คลอ้ งจองประกอบภาพ

สมมติฐานการวิจยั
1. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองประกอบภาพ

เพือ่ พฒั นาทักษะดา้ นการพดู มพี ัฒนาการดา้ นการพูดทส่ี งู กวา่ ก่อนได้รับการจัดกิจกรรม

ขอบเขตการวิจยั
ประชากรที่ศึกษา

11

ประชากรที่ศึกษาวิจัยคร้ังน้ี ได้แก่ เด็กปฐมวัยชาย – หญิง อายุระหว่าง 4 – 5 ปี ท่ีกําลัง
ศึกษาอยู่ช้ันอนุบาล 2 โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพันธ์อนุกูล) ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา
2563 จาํ นวน 30 คน

กลมุ่ ตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยชาย – หญิง อายุระหว่าง 4 – 5 ปี ท่ี

กําลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพันธ์อนุกูล) ในภาคเรียนท่ี 1 ปี
การศึกษา 2563 จํานวน 30 คนไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง

ตัวแปรทีศ่ ึกษา
ตัวแปรต้น คือ การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองประกอบภาพ

ประกอบด้วยคําคล้องจอง 10 หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ โรงเรียน ฉันชอบดอกไม้ ฝนตก อาบน้ํา ข.ไข่
ปาุ แสนสวย กระตา่ ย นับเลข กจิ วตั รประจาํ วัน และผีเส้อื แสนงาม

ตัวแปรตาม คือ ทักษะการพูด มที ้งั หมด 3 ด้าน ได้แก่
1. ฟังผู้อน่ื พูดจนจบและสนทนาโต้ตอบสอดคล้องกบั เร่ืองท่ีฟัง
2.เล่าเรื่องเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งต่อเนือ่ ง
3. อา่ นภาพ สญั ลักษณ์ คํา พร้อมท้งั ชห้ี รอื กวาดตามองข้อความตามบรรทดั

ระยะเวลาในการวิจยั
การศกึ ษาวิจัยคร้ังน้ี ผู้วจิ ยั ทําการทดลองในภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศึกษา 2562 ใช้ระยะเวลาใน
การทดลอง 1 ภาคเรียน โดยได้ทําการทดลองตามแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เป็นระยะเวลา
สปั ดาห์ละ 2 แผน วันละ 20 นาที

นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ
เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กชาย – หญิง อายุระหว่าง 4 – 5 ปี ท่ีกําลังศึกษาอยู่ช้ันอนุบาลปีที่

2 โรงเรยี นสามแยกบา้ นเนียง (สทิ ธิพนั ธอ์ นุกลู ) ในภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2563
การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองประกอบภาพ หมายถึง การจัด

กิจกรรมเสริมประสบการณ์ท่ีครูใช้คําคล้องจองประกอบภาพ ซึ่งมีเน้ือหาสัมพันธ์กันกับหน่วยการ
เรียนรู้และเน้ือหาท่ีเก่ียวข้องในชีวิตประจําวันของเด็ก โดยครูใช้ขั้นตอนการทํากิจกรรมดังน้ี ขั้นแรก
ครใู หเ้ ดก็ ๆ ฟงั ครูอา่ นคาํ คล้องจอง และสนทนาพดู คุยเก่ยี วกบั คําคล้องจอง ขั้นท่ีสอง ครูอ่านคําคล้อง
จองให้เด็กฟัง และครูให้เด็ก ๆ เล่าเรื่องเกี่ยวกับคําคล้องจอง ข้ันท่ีสาม ครูให้เด็กอ่านคําคล้องจอง
พร้อมกบั ครชู ้คี ําคลอ้ งจองแล้วให้เด็กกวาดตาตามท่ีครูชี้ โดยครูเลือกคําคล้องจอง 10 เร่ือง ได้แก่ คํา
คล้องจองโรงเรียน ดอกไม้ ฝนตก อาน้ํา ข.ไข่ ปุาแสนสวย กระต่าย นับเลข กิจวัตรประจําวัน และ
ผเี สื้อแสนงาม โดยจัดกิจกรรมในช่วงเวลาเสริมประสบการณ์ วันละ 20 นาที

12

ทักษะการพูด หมายถึง การฟังผู้อ่ืนพูดจนจบ และสนทนาโต้ตอบสอดคล้องกับเรื่องที่ฟัง
สามารถเล่าเร่ืองเป็นประโยคอย่างต่อเนื่อง อ่านภาพ สัญลักษณ์ คํา พร้อมทั้งชี้หรือกวาดตามอง
ขอ้ ความเป็นบรรทัด ซ่ึงในการทําวจิ ัยได้สร้างเครอ่ื งมอื วดั โดยใช้แบบทดสอบทักษะการพูดทั้ง 3 ด้าน
(1) ฟังครพู ดู และสนทนาโต้ตอบ (2) เล่าเป็นประโยค (3) อ่านภาพสัญลักษณ์ พร้อมท้ังช้ีหรือกวาดตา
มองตามบรรทัด เช่น ครูจําลองภาพปลาหมึก โดยการให้เด็กเล่าเรื่องท่ีฟังจากครู พร้อมดู
ภาพประกอบ ตอนท่สี อง ภาพจําลองสถานการณโ์ รงเรียน โดยการใหน้ ักเรยี นเลา่ ตามภาพท่ีเห็น ตอน
ท่ีสาม คาํ คล้องจอง โดยให้เดก็ อา่ นตามคณุ ครู พร้อมชแ้ี ละกวาดตามอง

ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะไดร้ บั

1. ทาํ ให้เดก็ ปฐมวัยช้ันอนุบาล 2 มีความสามารถด้านทักษะการพูดหลังการจัดกิจกรรม โดย

ใช้คําคลอ้ งจองประกอบภาพสําหรบั เด็กปฐมวยั

กรอบการวิจัย

ตวั แปรต้น ตัวแปรตาม

การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดย ทักษะทางด้านการพูด มี 3 ด้าน ไดแ้ ก่
ใ ช้ คํ า ค ล้ อ ง จ อ ง ป ร ะ ก อ บ ภ า พ 1)ฟังผู้อื่นพูดจนจบและสนทนาโตต้ อบ
ประกอบด้วยคําคล้องจอง 10 เร่ือง
ได้แก่ เร่ือง โรงเรียน ฉันชอบดอกไม้ ใน สอดคลอ้ งกบั เรื่องท่ีฟัง
ตกพรํา พรํา อาบนํ้า ข.ไข่ ปุาแสนสวย 2) เลา่ เรื่องเป็นประโยชน์อย่างตอ่ เน่ือง
กระต่าย นับเลข กิจวัตรประจําวัน และ 3) อา่ นภาพ สญั ลักษณ์ คํา พรอ้ มท้งั ชี้
เรือ่ งผีเส้ือแสนงาม
หรอื กวาดตามองข้อความตามบรรทดั

13

บทที่ 2

เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ ก่ียวข้อง

การศึกษาวิจัยเรอ่ื ง การพฒั นาทักษะการพูดของเดก็ ปฐมวัยชน้ั อนบุ าลปีที่ 2 ทไ่ี ด้รบั การจดั
กิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใชค้ าํ คลอ้ งจองประกอบภาพ โรงเรียนสามแยกบา้ นเนยี ง (สทิ ธิพนั ธ์
อนุกลู ) อาํ เภอเมือง จังหวดั ยะลา ซ่ึงในการศกึ ษาคร้ังนีผ้ ูว้ ิจยั ไดศ้ ึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกย่ี วข้อง
ดังต่อไปน้ี

1. เอกสารที่เกย่ี วข้องกับหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย พุทธศกั ราช 2560
1.1 ปรัชญาการศกึ ษาปฐมวัย
1.2 หลกั การศึกษาปฐมวัย
1.3 จุดมงุ่ หมายหลกั สูตรการศึกษาปฐมวยั
1.4 คณุ ลกั ษณะตามวยั
1.5 โครงสรา้ งของหลกั สูตร
1.6 การจดั ประสบการณ์
1.7 แนวทางการจัดประสบการณ์
1.8 การจดั กจิ กรรมประจําวนั
1.9 การประเมินพัฒนาการ

2. เอกสารทเ่ี กี่ยวข้องกับการจดั ประสบการณส์ าหรับเด็กปฐมวัย
2.1 ความหมายของแนวทางการจดั ประสบการณ์
2.2 ความสําคัญของการจดั ประสบการณ์
2.3 แนวคิดพื้นฐานเก่ียวกับการจัดประสบการณส์ ําหรบั เด็กปฐมวัย
2.4 หลักการจัดประสบการณส์ าํ หรับเด็กปฐมวยั
2.5 รปู แบบการจัดประสบการณส์ ําหรบั เดก็ ปฐมวัย

3. เอกสารทเ่ี กย่ี วข้องกับความสามารถดา้ นการพูด
3.1 ความหมายของการพดู
3.2 ความสาํ คัญของการพูด
3.3 พัฒนาการความสามารถดา้ นการพดู
3.4 กระบวนการพูด
3.5 ทฤษฏีทเ่ี กีย่ วข้องกับการพูด
3.6 กิจกรรมที่ส่งเสรมิ การพูดของเด็กปฐมวัย

4. เอกสารทเี่ กีย่ วข้องกับคาคลอ้ งจอง

14

4.1 ความหมายของคําคล้องจอง
4.2 ความสาํ คัญของคาํ คลอ้ งจอง
4.3 ประเภทของคําคล้องจอง
4.4 ลักษณะของคําคล้องจองประกอบภาพ
4.5 การจดั ประสบการณเ์ ก่ียวกับคาํ คล้องจอง
5. งานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้อง
5.1 งานวิจยั ในประเทศ
5.2 งานวจิ ัยต่างประเทศ

15

1. เอกสารทีเ่ กีย่ วข้องกับหลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั พทุ ธศกั ราช 2560
1.1 ปรชั ญาการศกึ ษาปฐมวยั

หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั พุทธศักราช 2560 กาํ หนดปรชั ญาการศึกษาปฐมวัยที่สะท้อน
ให้เห็นความเชื่อพื้นฐานในการพัฒนาเด็กปฐมวัยต้ังแต่อายุแรกเกิด – 6 ปีบริบูรณ์ โดยเห็น
ความสําคัญของการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม การคํานงึ ถงึ ความสมดลุ และครอบคลุมพัฒนาการของเด็ก
ครบทุกด้านในการอบรมเลี้ยงดูพัฒนาและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก ที่ผู้สอนและผู้ที่
เก่ียวข้องต้องยอมรับความแตกต่างของเด็กปฏิบัติต่อเด็กแต่ละคนอย่างเหมาะสม โดยผู้สอนให้ความ
รัก ความเอ้ืออาทร มีความเข้าใจในการพัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์
จติ ใจ สตปิ ญั ญา คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และอยูร่ ่วมกับผอู้ นื่ ได้อย่างมคี วามสขุ

1.2 วิสัยทัศน์
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 กําหนดวิสัยทัศน์ท่ีสะท้อนให้เห็นความ

คาดหวังท่ีเป็นจริงได้ในอนาคต ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีคุณภาพผ่านประสบการณ์ท่ีเด็กปฐมวัย
เรียนรู้อย่างมคี วามสขุ มที กั ษะชีวติ ปฏิบตั ิตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินัย
และสํานึกความเป็นไทย และทุกฝุายทั้งครอบครัว สถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และ
ชุมชนรว่ มมอื กันพฒั นาเดก็

1.3 หลกั การ
หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวยั พทุ ธศักราช 2560 กําหนดหลักการสําคญั ในการจัดการศึกษา

ปฐมวยั ซ่งึ ผสู้ อนจําเปน็ ตอ้ งศกึ ษาให้เขา้ ใจ เพราะในการจัดประสบการณ์ให้เด็กอายุ 3 – 6 ปี จะต้อง
ยดึ หลกั การอบรมเลีย้ งดูควบคูก่ ับการให้การศึกษา โดยต้องคํานึงถึงความสนใจและความต้องการของ
เด็กทุกคนทั้งเด็กปกติ เด็กที่มีความสามารถพิเศษ และเด็กท่ีมีความบกพร่องทางร่างกาย อารมณ์
จิตใจ สังคม สติปัญญา รวมทั้งการสื่อสารและการเรียนรู้ หรือเด็กท่ีมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพ
หรือบุคคลซ่ึงไม่สามารถพึ่งตนเองได้หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส เพ่ือให้เด็กพัฒนาทุกด้านทั้งด้าน
รา่ งกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คมและสติปัญญาอย่างสมดุล โดยจัดกิจกรรมท่ีหลากหลาย บูรณาการผ่าน
การเล่น และกิจกรรมท่ีเป็นประสบการณ์ตรงผ่านประสาทสัมผัสท้ังห้า เหมาะสมกับวัยและความ
แตกต่างระหว่างบุคคล ด้วยปฏิสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับผู้เลี้ยงดูหรือบุคลากรท่ีมี
ความรู้ความสามารถในการอบรมเล้ียงดูและให้การศึกษาเด็กปฐมวัย เพ่ือให้เด็กแต่ละคนได้มีโอกาส
พัฒนาตนเองตามลาํ ดับข้ันของพัฒนาการสูงสุดตามศักยภาพ และนําไปใช้ในชีวิตประจําวันได้อย่างมี
ความสุข เป็นคนดีของสังคม และสอดคล้องกับธรรมชาติ ส่ิงแวดล้อม ขนบธรรมเนียมประเพณี
วฒั นธรรม ความเชื่อ ทางศาสนา สภาพเศรษฐกิจ สังคมและสิทธิเด็ก โดยความร่วมมือจากครอบครัว

16

ชุมชนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน สถาบันสาสนา สถานประกอบการ และสถาบัน
สังคม ดังนี้

1. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเดก็ ปฐมวัยทุกคน
2. ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสําคัญ โดยคํานึงถึงความ
แตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลและวธิ ชี วี ิตของเดก็ ตามบรบิ ทของชุมชน สังคม และวฒั นธรรมไทย
3. ยดึ พัฒนาการและการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม ผ่านการเล่นอย่างมีความหมาย และมี
กิจกรรมท่ีหลากหลายได้ลงมือกระทําในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เหมาะสมกับวัย
และมีการพักผ่อนเพียงพอ
4. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตนตามหลัก
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง เป็นคนดี มวี ินยั และมีความสุข
5. สร้างความรู้ ความเข้าใจ และประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก ระหว่าง
สถานศกึ ษากบั พ่อแม่ ครอบครัว ชมุ ชน และทกุ ฝาุ ยทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับการพัฒนาเดก็ ปฐมวัย
1.4 จดุ หมาย
จุดหมายของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 เป็นความคาดหวังเพ่ือให้
เกิดกับเด็ก เม่ือจบการศึกษาระดับปฐมวัยแล้ว โดยจุดหมายอยู่บนพื้นฐานพัฒนาการท้ัง 4 ด้าน คือ
ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญาท่ีนําไปสู่การกําหนดมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึง
ประสงค์ ตวั บง่ ช้ี และสถานท่ีพงึ ประสงค์ ดงั นี้
1. รา่ งกายเจริญเติบโตตามวยั แข็งแรง และมีสขุ นิสัยที่ดี
2. สขุ ภาพจิตดี มสี นุ ทรียภาพ มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจิตใจทดี่ ีงาม
3. มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีวินัยและอยู่
ร่วมกับผูอ้ นื่ ได้อยา่ งมีความสุข
4. มที ักษะการคดิ การใช้ภาษาส่ือสาร และการแสวงหาความรไู้ ดเ้ หมาะสมกบั วยั
1.5 มาตรฐานคุณลักษณะทพี่ งึ ประสงค์
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 กําหนดมาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึง
ประสงค์จํานวน 12 ข้อ ท่ีตอ้ งการใหเ้ กดิ ขึ้นในตัวเด็ก เมื่อจบหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย โดยหลักสูตร
การศึกษาปฐมวัยกําหนดตัวบ่งชี้ซึ่งเป็นเปูาหมายในการพัฒนาเด็ก ท่ีมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับ
มาตรฐานคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์และมีการกําหนดสภาพท่ีพึงประสงค์ซ่ึงเป็นพฤติกรรมหรือ
ความสามารถตามวัยทจ่ี าํ เปน็ สาํ หรบั เดก็ ทุกคนบนพื้นฐานพัฒนาการหรือความสามารถในแต่ละระดับ
อายุ เพอ่ื นําไปใช้ในการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้ เพื่อกําหนดเป็นจุดประสงค์ในการจัดประสบการณ์
ในการจัดประสงการณ์และการประเมินพัฒนาการเด็ก ซ่ึงนอกจากสภาพท่ีพึงประสงค์ท่ีกําหนดใน

17

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ผู้สอนจําเป็นต้องทําความเข้าใจพัฒนาการของเด็กอายุ 3-6 ปี เพื่อนําไป

พิจารณาจัดประสบการณ์ให้เด็กแต่ละวัยได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ขณะเดียวกันจะต้องสังเกตเด็กแต่

ละคนซ่ึงมีความแตกต่างระหว่างบุคคล เพ่ือนําข้อมูลไปช่วยพัฒนาเด็กให้เต็มตามความสามารถและ

ศักยภาพหรือช่วยเหลือเด็กได้ทันท่วงที ในกรณีท่ีสภาพท่ีพึงประสงค์ของเด็กไม่เป็นไปตามวัย ผู้สอน

จําเป็นต้องหาจุดบกพร่องและรีบแก้ไขโดยจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาเด็ก ถ้าเด็กมีสภาพที่พึงประสงค์สูง

กว่าวัย ผู้สอนควรจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการเต็มตามศักยภาพ สภาพท่ีพึงประสงค์

เกิดข้ึนตามวัยมากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ทั้งน้ี ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม การอบรมเล้ียงดู

และประสบการณท์ ่เี ด็กได้รับ

รายละเอียดของมาตรฐานคณุ ลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์ ตวั บ่งช้ี และสภาพทีพ่ ึงประสงค์ มีดังนี้

มาตรฐานท่ี 1 รา่ งกายเจริญเติบโตตามวัยและมสี ขุ นสิ ัยทด่ี ี

ตวั บง่ ช้ี สภาพที่พงึ ประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

1.1 นํา้ หนักและ 1.1.1 นํ้าหนักและส่วนสูง 1.1.1 นํ้าหนักและส่วนสูง 1.1.1 นํ้าหนักและส่วนสูง
สว่ นสงู ตามเกณฑ์ ตามเกณฑข์ องกรมอนามยั ตามเกณฑข์ องกรมอนามัย ตามเกณฑข์ องกรมอนามัย

1.2 มีสุขภาพอนามัย 1.2.1 ยอมรับประทาน 1.2.1 ยอมรบั ประทาน 1.2.1 ยอมรับประทาน
อาหารท่ีมีประโยชน์และ
สุขนสิ ยั ทีด่ ี อาหารที่มีประโยชน์และ อาหารทมี่ ปี ระโยชนแ์ ละ ดืม่ นํ้าสะอาดได้ด้วยตนเอง

ดื่มน้ําสะอาดเม่ือมผี ชู้ แ้ี นะ ด่ืมนํ้าสะอาดด้วยตนเอง

1.2.2 ลา้ งมอื กอ่ น 1 . 2 . 2 ล้ า ง มื อ ก่ อ น 1 . 2 . 2 ล้ า ง มื อ ก่ อ น
รบั ประทานอาหารและ
หลงั จากใชห้ ้องนาํ้ ห้อง รับประทานอาหารและ รับประทานอาหารและ
ส้วมเมือ่ มีผชู้ ีแ้ นะ
หลังจากใช้ห้องนํ้าห้อง หลังจากใช้ห้องน้ําห้อง

ส้วมดว้ ยตนเอง ส้วมดว้ ยตนเอง

1.2.3 นอนพักผ่อนเป็น 1.2.3 นอนพักผ่อนเป็น 1.2.3 นอนพักผ่อนเป็น
เวลา เวลา เวลา

1.2.4 ออกกําลังกายเป็น 1.2.4 ออกกําลังกานเป็น 1.2.4 ออกกําลังกายเป็น
เวลา เวลา เวลา

1.3 รักษาความ 1.3.1 เล่นและทาํ กิจกรรม 1.3.1 เล่นและทํากิจกรรม 1.3.1 เล่นและทํากิจกรรม
ปลอดภัยของตนเอง อยา่ งปลอดภัยเม่อื มผี ู้ อย่างปลอดภัยเม่ือมีผู้ อย่างปลอดภัยเมื่อมีผู้
และผ้อู น่ื ช้แี นะ ช้แี นะ ชแ้ี นะ

18

มาตรฐานท่ี 2 กลา้ มเนือ้ ใหญ่และกลา้ มเน้อื เล็กแขง็ แรง ใชไ้ ด้อยา่ งคล่องแคลว่ และประสานสัมพันธ์กนั

ตวั บง่ ช้ี สภาพท่พี งึ ประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

2.1 เคลอ่ื นไหวรา่ งกาย 2.1.1 เดินตามแนว ท่ี 2.1.1 เดินตอ่ เท้าไป 2.1.1 เดินต่อเท้าถอยหลัง

อ ย่ า ง ค ล่ อ ง แ ค ล่ ว กําหนดได้ ขา้ งหนา้ เปน็ เสน้ ตรงได้โดย เป็นเส้นตรงได้โดยไม่ต้อง
ประสานสัมพันธ์และ
ไม่ตอ้ งกางแขน กางแขน

ทรงตัวได้ 2.1.2กระโดดสองขาขนึ้ ลง 2.1.2 กระโดดขาเดยี วอยู่ 2.1.2กระโดดขาเดียวไป

อยกู่ บั ที่ได้ กับทไ่ี ด้ โดยไมเ่ สยี การทรง ข้างหน้าได้อย่างต่อเน่ือง

ตัว โดยไมเ่ สยี การทรงตัว

2.1.3 วิ่งแลว้ หยดุ ได้ 2.1.3 ว่ิงหลบหลีกส่ิงกีด 2.1.3 ว่ิงหลบหลีกส่ิงกีด
ขวางได้ ขวางไดอ้ ย่างคล่องแคล่ว

2.1.4 รับลุกบอลโดยใช้มือ 2.1.4 รับลูกบอลโดยใช้มือ 2 . 1 . 4 รั บ ลู ก บ อ ล ท่ี

และลาํ ตัวช่วย ท้ัง 2 ข้าง กระดอนขึ้นจากพืน้ ได้

2.2 ใช้มือ-ตาประสาน 2 . 2 . 1 ใ ช้ ก ร ร ไ ก ร ตั ด 2 . 2 . 1 ใ ช้ ก ร ร ไ ก ร ตั ด 2 . 2 . 1 ใ ช้ ก ร ร ไ ก ร ตั ด

สัมพนั ธ์กัน กระดาษขาดจากกันไดโ้ ดย กระดาษตามแนวเส้นตรง กระดาษตามแนวเส้นโค้ง

ใช้มือเดยี ว ได้ ได้

2.2.2 เขยี นรูปวงกลมตาม 2.2.2 เขียนรูปส่ีเหลี่ยม 2.2.2 เขียนรูปสามเหล่ียม
แบบได้ ตามแบบได้อย่างมีมุม ตามแบบได้อย่างมีมุม

ชัดเจน ชดั เจน

2.2.3 รอ้ ยวสั ดุท่มี รี ู 2.2.3 ร้อยวัสดุที่มีรุขนาด 2.2.3 ร้อยวัสดุท่ีมีรูขนาด

เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลาง 1 ซม.ได้ เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 ซม. เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.25

ได้ ซม.ได้

มาตรฐานท่ี 3 มีสุขภาพจิตดีและมคี วามสขุ สภาพท่ีพงึ ประสงค์
ตัวบ่งช้ี

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

3. 1 แส ด ง ออก ท า ง 3 . 1 . 1 แ ส ด ง อ า ร ม ณ์ 3 . 1 . 1 แ ส ด ง อ า ร ม ณ์ 3 . 1 . 1 แ ส ด ง อ า ร ม ณ์

อ า ร ม ณ์ ไ ด้ อ ย่ า ง ความรู้สึกได้เหมาะสมกับ ค ว า ม รู้ สึ ก ไ ด้ ต า ม ความรู้สึกได้สอดคล้องกับ
บางสถานการณ์ สถานการณ์ ส ถ า น ก า ร ณ์ อ ย่ า ง
เหมาะสม
เหมาะสม

19

มาตรฐานที่ 3 มสี ขุ ภาพจิตดีและมคี วามสขุ สภาพที่พงึ ประสงค์
ตวั บ่งช้ี

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

3. 1 แส ด ง ออก ท า ง 3 . 1 . 1 แ ส ด ง อ า ร ม ณ์ 3 . 1 . 1 แ ส ด ง อ า ร ม ณ์ 3 . 1 . 1 แ ส ด ง อ า ร ม ณ์

อ า ร ม ณ์ ไ ด้ อ ย่ า ง ความรู้สึกได้เหมาะสมกับ ค ว า ม รู้ สึ ก ไ ด้ ต า ม ความรู้สึกได้สอดคล้องกับ
บางสถานการณ์ สถานการณ์ ส ถ า น ก า ร ณ์ อ ย่ า ง
เหมาะสม เหมาะสม

3 . 2 . 1 ก ล้ า พู ด ก ล้ า 3.2.1 กลา้ พูดกล้า 3 . 2 . 1 ก ล้ า พู ด ก ล้ า
แสดงออกอย่างเหมาะสม
3.2 มีความรู้สึกที่ดีต่อ แสดงออก แสดงออกอย่างเหมาะสม กับสถานการณ์
ตนเองและผอู้ น่ื
บางสถานการณ์ 3.2.2 แสดงความพอใจใน
ผลงานและความสามารถ
3.2.2 แสดงความพอใจใน 3.2.2 แสดงความพอใจใน ของตนเองและผู้อืน่

ผลงานตนเอง ผลงานและความสามรถ

ของตวั เอง

มาตรฐานท่ี 4 ชืน่ ชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรี และการเคลือ่ นไหว

ตัวบง่ ชี้ สภาพที่พึงประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

4.1 สนใจ มีความสุข 4.1.1 สนใจ มีความสุข 4.1.1 สนใจ มีความสุข 4.1.1 สนใจ มีความสุข

และแสดงออก ผ่าน และแสดงออกผ่านงาน และแสดงออกผ่านงาน และแสดงออกผ่านงาน
งานศิลปะ ดนตรีและ ศลิ ปะ ศลิ ปะ ศิลปะ

การเคลอ่ื นไหว 4.1.2 สนใจ มีความสุข 4.1.2 สนใจ มีความสุข 4.1.2 สนใจ มีความสุข

แ ล ะ แ ส ด ง อ อ ก ผ่ า น แ ล ะ แ ส ด ง อ อ ก ผ่ า น แ ล ะ แ ส ด ง อ อ ก ผ่ า น

เสียงเพลง ดนตรี เสยี งเพลง ดนตรี เสียงเพลง ดนตรี

4.1.3 สนใจ มีความสุข 4.1.3 สนใจ มีความสุข 4.1.3 สนใจ มีความสุข

แ ล ะ แ ส ด ง ท่ า ท า ง / แ ล ะ แ ส ด ง ท่ า ท า ง / แ ล ะ แ ส ด ง ท่ า ท า ง /

เคล่ือนไหวประกอบเพลง เคลื่อนไหวประกอบเพลง เคลื่อนไหวประกอบเพลง

จังหวะ และดนตรี จังหวะ และดนตรี จงั หวะ และดนตรี

20

มาตรฐานที่ 5 มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดงี าม

ตวั บ่งชี้ สภาพท่ีพึงประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

5.1 ซอื่ สัตย์สจุ รติ 5.1.1 บอกหรือชี้ได้ว่าส่ิง 5.1.1 ขออนุญาตหรือรอ 5.1.1 ขออนุญาตหรือรอ

ใดเป็นของตนเองและส่ิง คอย เม่ือต้องการส่ิงของ คอย เมื่อต้องการส่ิงของ

ใดเป็นของผู้อนื่ ของผู้อื่น เม่อื มผี ูช้ ีแ้ นะ ของผูอ้ นื่ ดว้ ยตนเอง

5 . 2 มี ค ว า ม เ ม ต ต า 5.2.1 แสดงความรักเพื่อน 5.2.1 แสดงความรักเพ่ือน 5.2.1 แสดงความรักเพื่อน

ก รุ ณ า มี น้ํ า ใ จ แ ล ะ และมเี มตตาสัตวเ์ ล้ยี ง และมีเมตตาสัตว์เลีย้ ง และมีเมตตาสตั ว์เลีย้ ง

ชว่ ยเหลือแบ่งปัน 5.2.2 แบ่งปันผู้อื่นได้ เมื่อ 5. 2 . 2 ช่ ว ย เ ห ลื อ แ ล ะ 5. 2 . 2 ช่ ว ย เ ห ลื อ แ ล ะ

มีผชู้ ้ีแนะ แบ่งปันผู้อื่นได้เมื่อมีผู้ แบ่งปันผอู้ ่นื ได้ด้วยตนเอง

ชีแ้ นะ

5.3 มีความเห็นอกเห็น 5.3.1 แสดงสีหน้าหรือ 5.3.1 แสดงสีหน้าหรือ 5.3.1 แสดงสีหน้าหรือ
ใจ ทา่ ทางรับรคู้ วามรูส้ กึ ผ้อู นื่ ทา่ ทางรบั รู้ความรสู้ กึ ผอู้ น่ื ท่าทางรบั รคู้ วามร้สู ึกผู้อืน่

5.4 มีความรบั ผดิ ชอบ 5. 4. 1 ทํา งา นท่ี ไ ด้ รั บ 5. 4. 1 ทํา งา นที่ ไ ด้ รั บ 5.4.1 ทาํ งานที่ได้รับ

มอบหมายจนสําเร็จเม่ือมี มอบหมายจนสําเร็จเมื่อมี มอบหมายจนสําเรจ็ ดว้ ย

ผูช้ ่วยเหลือ ผ้ชู แ้ี นะ ตนเอง

มาตรฐานที่ 6 มที กั ษะชวี ิตและปฏบิ ตั ิตนตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง

ตวั บง่ ชี้ สภาพท่ีพึงประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

6.1 ช่วยเหลือตนเอง 6 . 1 . 1 แ ต่ ง ตั ว โ ด ย มี ผู้ 6.1.1 แต่งตัวดว้ ยตนเอง 6.1.1 แต่งตัวด้วยตนเอง

ในการปฏิบัติกิจวัตร ชว่ ยเหลอื ได้อย่างคล่องแคล่ว

ประจําวนั 6.1.2 รับประทานอาหาร 6.1.2 รับประทานอาหาร 6.1.2 รับประทานอาหาร

ดว้ ยตนเอง ด้วยตนเอง ด้วยตนเองอยา่ งถกู วธิ ี

6.2 มีวินยั ในตนเอง 6.2.1 เก็บของเล่นของใช้ 6.2.1 เก็บของเล่นของใช้ 6.2.1 เก็บของเล่นของใช้

เข้าทเ่ี มื่อมผี ชู้ ้แี นะ เขา้ ทดี่ ้วยตนเอง เข้าท่ีอย่างเรียบร้อยด้วย

ตนเอง

6.2.2 เข้าแถวตามลําดับ 6.2.2 เข้าแถวตามลําดับ 6.2.2 เข้าแถวตามลําดับ
กอ่ นหลังได้เมอื่ มผี ้ชู ้แี นะ กอ่ นหลงั ไดด้ ้วยตนเอง ก่อนหลังไดด้ ้วยตนเอง

21

มาตรฐานท่ี 6 มที ักษะชวี ิตและปฏบิ ตั ิตนตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ตัวบง่ ชี้ สภาพท่ีพงึ ประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

6 . 3 ป ร ะ ห ยั ด แ ล ะ 6.3.1 ใช้ส่ิงของเครื่องใช้ 6.3.1 ใช้ส่ิงของเครื่องใช้ 6.3.1 ใช้สิ่งของเครื่องใช้

พอเพียง อยา่ งประหยดั และพอเพียง อ ย่ า ง ป ร ะ ห ยั ด แ ล ะ อ ย่ า ง ป ร ะ ห ยั ด แ ล ะ

เมือ่ มีผู้ช้ีแนะ พอเพียงเมื่อมีผ้ชู ี้แนะ พอเพยี งด้วยตนเอง

มาตรฐานที่ 7 รกั ธรรมชาติ สิ่งแวดลอ้ ม วฒั นธรรม และความเปน็ ไทย

ตวั บง่ ชี้ สภาพทพ่ี ึงประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

7 . 1 ดู แ ล รั ก ษ า 7.1.1 มีส่วน ร่วมดูแล 7.1.1 มีส่วนร่วมดูแล 7.1.1 มีส่วนร่วมดูแล

ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ รั ก ษ า ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ รั ก ษ า ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ รั ก ษ า ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ
สิง่ แวดลอ้ มเมื่อมผี ้ชู ี้แนะ สิ่งแวดลอ้ มเมือ่ มผี ชู้ แ้ี นะ ส่งิ แวดล้อมด้วยตนเอง
ส่ิงแวดล้อม

7.1.2 ทิ้งขยะได้ถูกท่ี 7.1.2 ท้งิ ขยะได้ถูกท่ี 7.1.2 ท้งิ ขยะไดถ้ ูกท่ี

7. 2 มี ม า ร ย า ท ต า ม 7 . 2 . 1 ป ฏิ บั ติ ต น ต า ม 7 . 2 . 1 ป ฏิ บั ติ ต น ต า ม 7 . 2 . 1 ป ฏิ บั ติ ต น ต า ม

วัฒนธรรมไทย และรัก มารยาทไทยได้เม่ือมีผู้ มารยาทไทยไดด้ ้วยตนเอง ม า ร ย า ท ไ ท ย ไ ด้ ต า ม
ชีแ้ นะ กาลเทศะ
ความเป็นไทย

7.2.2 กล่าวคําขอบคุณ 7.2.2 กล่าวคําขอบคุณ 7.2.2 กล่าวคําขอบคุณ

และขอโทษเม่ือมผี ชู้ ้แี นะ และขอโทษด้วยตนเอง และขอโทษดว้ ยตนเอง

7.2.3 หยุดยืนเม่ือได้ยิน 7.2.3 ยืนตรงเมื่อได้ยิน 7.2.3 ยืนตรงและร่วมร้อง
เพลงชาติไทยและเพลง เพลงชาติไทยและเพลง ยินเพลงชาติไทยและเพลง
สรรเสรญิ พระบารมี สรรเสริญพระบารมี สรรเสรญิ พระบารมี

มาตรฐานท่ี 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกท่ีดีของสังคมในระบอบ

ประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษตั ริย์ทรงเปน็ ประมขุ

ตัวบ่งช้ี สภาพท่พี ึงประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

8.1 ยอมรับความเหมือน 8.1.1 เล่นและทํากิจกรรม 8.1.1 เล่นและทํากิจกรรม 8.1.1 เล่นและทํากิจกรรม

แ ล ะ ค ว า ม แ ต ก ต่ า ง ร่วมกับเด็กที่แตกต่างไป ร่วมกับเด็กที่แตกต่างไป ร่วมกับเด็กที่แตกต่างไป

ระหว่างบุคคล จากตน จากตน จากตน

22

มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบ

ประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข

ตัวบง่ ช้ี สภาพทพี่ ึงประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

8.2 มีปฏิสัมพันธ์ท่ีดี 8.2.1 เล่นร่วมกับเพอื่ น 8.2.1 เล่นหรือทํางาน 8.2.1 เล่นหรือทํางาน
กับผูอ้ ืน่ รว่ มกบั เพอ่ื นเปูนกลุม่ ร่วมมือกับเพ่ือนอย่างมี

เปูาหมาย

8.2.2 ย้ิมหรือทักทาย 8.2.2 ยิ้มหรือทักทาย 8.2.2 ยิ้มหรือทักทาย

ผู้ใหญ่และบุคคลที่คุ้นเคย ผู้ใหญ่และบุคคลที่คุ้นเคย ผู้ใหญ่และบุคคลท่ีคุ้นเคย

เม่อื มีผู้ช้แี นะ ไดด้ ว้ ยตนเอง ไ ด้ เ ห ม า ะ ส ม กั บ

สถานการณ์

8.3 ปฏิบัติตนเบื้องตน 8 . 3 . 1 ป ฏิ บั ติ ต น ต า ม 8.3.1 มีส่วนร่วมสร้าง 8.3.1 มีส่วนร่วมสร้าง

ในการเป็นสมาชิกที่ดี ข้อตกลงเมอื่ มีผชู้ ี้แนะ ข้อตกลงและปฏิบัติตาม ข้อตกลงและปฏิบัติตาม
ของสงั คม ขอ้ ตกลงเม่อื มีผชู้ ี้แนะ ขอ้ ตกลงด้วยตนเอง

8.3.2 ปฏิบัติตนเป็นผู้นํา 8.3.2 ปฏิบัติตนเป็นผู้นํา 8.3.2 ปฏิบัติตนเป็นผู้นํา

และผู้ตามเม่ือมีผู้ชแ้ี นะ และผตู้ ามไดด้ ้วยตนเอง และผู้ตามได้เหมาะสมกับ

สถานการณ์

8 . 3 . 3 ย อ ม รั บ ก า ร 8.3.3 ประนีประนอมแกไ้ ข 8.3.3 ประนีประนอมแก้ไข

ป ร ะ นี ป ร ะ น อ ม แ ก้ ไ ข ปญั หาโดยปราศจากการใช้ ปัญหาโดยปราศจากการใช้

ปัญหาเมื่อมีผู้ชี้แนะ ความรนุ แรงเมื่อมผี ู้ชี้แนะ ความรุนแรงด้วยตนเอง

มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกบั วยั

ตวั บ่งชี้ สภาพทพ่ี ึงประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

9.1 ส นทนาโต้ตอบ 9.1.1 ฟังผู้อื่นพูดจนจบ 9.1.1 ฟังผู้อ่ืนพูดจนจบ 9.1.1 ฟังผู้อ่ืนพูดจนจบ

และเล่าเร่ืองให้ผู้อ่ืน และพูดโต้ตอบเกี่ยวกับ และพูดโต้ตอบสอดคล้อง แ ล ะ พู ด โ ต้ ต อ บ อ ย่ า ง
เรื่องทีฟ่ งั กับเรอื่ งท่ีฟัง ตอ่ เนอ่ื งเชือ่ มโยงกับเร่ืองที่
เขา้ ใจ
ฟัง

9 . 1 . 2 เ ล่ า เ ร่ื อ ง ด้ ว ย 9 . 1 . 2 เ ล่ า เ รื่ อ ง ด้ ว ย 9.1.2 เล่าเป็นเร่ืองราว

ประโยคสั้น ๆ ประโยคอยา่ งต่อเน่ือง ต่อเนือ่ งได้

23

มาตรฐานที่ 9 ใชภ้ าษาสื่อสารไดเ้ หมาะสมกบั วัย

ตวั บ่งชี้ สภาพท่พี งึ ประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

9.2 อ่าน เขียนภาพ 9.2.1 อ่านภาพ และพุด 9.2.1 อา่ นภาพ สัญลักษณ์ 9.2.1 อ่านภาพ สญั ลักษณ์

และสัญลักษณ์ได้ ข้อความด้วยภาษาของตน คําพร้อมทั้งช้ีหรือกวาดตา คําด้วยการช้ีหรือกวาดตา
มองขอ้ ความตามบรรทดั มองจุดเริ่มต้นและจุดจบ

ของขอ้ ความ

9.2.2 เขียนขีดเข่ียอย่างมี 9.2.2 เขยี นคลา้ ยตัวอักษร 9.2.2 เขียนชื่อของตนเอง
ทิศทาง ตามแบบ เขียนข้อความ

ด้วยวธิ ที คี่ ิดข้ึนเอง

มาตรฐานที่ 10 มคี วามสามารถในการคดิ ท่ีเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้

ตวั บ่งช้ี สภาพทพ่ี ึงประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

10.1 มีความสามารถ 10.1.1 บอกลักษณะของ 10.1.1 บอกลักษณะ และ 1 0 . 1 . 1 บ อ ก ลั ก ษ ณ ะ

ในการคดิ รวบยอด สิ่งต่าง ๆ จากการสังเกต ส่วนประกอบของสิ่งต่าง ๆ ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ก า ร
โดยใชป้ ระสาทสมั ผสั จากกา รสังเกตโด ยใช้ เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง ห รื อ

ประสาทสัมผัส ความสมั พนั ธ์ของส่ิงต่าง ๆ

จากกา รสังเกตโด ยใช้

ประสาทสมั ผสั

10.1.2 จบั คูห่ รือ 10.1.2 จบั คแู่ ละ 10.1.2 จับคู่และ

เปรียบเทยี บสิ่งตา่ ง ๆ โดย เปรยี บเทยี บความแตกต่าง เปรยี บเทียบความแตกต่าง

ใช้ลักษณะหรือหนา้ ทกี่ าร หรือความเหมอื นของสง่ิ หรือความเหมือนของส่ิง

ใชง้ านเพยี งลกั ษณะเดยี ว ต่าง ๆ โดยใชล้ กั ษณะที่ ต่าง ๆ โดยใช้ลักษณะท่ี

สังเกตพบเพียงลกั ษณะ สังเกตพบสองลักษณะข้ึน

เดียว ไป

10.1.3 คัดแยกส่งิ ต่าง ๆ 10.1.3 จาํ แนกและจดั 10.1.3 จําแนกและจัด
ตามลักษณะหรือหนา้ ท่ี กลุ่มสงิ่ ตา่ ง ๆ โดยใชอ้ ย่าง กลมุ่ ส่ิงตา่ ง ๆ โดยใช้ต้ังแต่
การใช้งาน น้อยหนงึ่ ลักษณะเปน็ ส อ ง ลั ก ษ ณ ะ ข้ึ น ไ ป เ ป็ น
เกณฑ์ เกณฑ์

24

10.1.4 เรยี งลาํ ดับส่ิงของ 10.1.4 เรยี งลําดับส่งิ ของ 10.1.4 เรียงลาํ ดับสิง่ ของ
หรอื เหตกุ ารณอ์ ย่างนอ้ ย หรือเหตุการณ์อยา่ งนอ้ ย หรือเหตกุ ารณอ์ ย่างน้อย
3 ลําดับ 4 ลําดับ 5ลาํ ดบั

มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคดิ ทเ่ี ปน็ พน้ื ฐานในการเรยี นรู้

ตัวบง่ ช้ี สภาพท่พี งึ ประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

10.2 มีความสามารถ 10.2.1 ระบผุ ลที่เกดิ ขึ้นใน 10.2.1 ระบุสาเหตหุ รือผล 10.2.1 อธบิ ายเช่ือมโยง

ในการคิดเชงิ เหตผุ ล เหตุการณห์ รือการกระทํา ท่ีเกดิ ข้นึ ในเหตกุ ารณ์หรือ สาเหตุและผลทเ่ี กดิ ขนึ้ ใน

เมอื่ มผี ู้ชี้แนะ การกระทาํ เมือ่ มผี ชู้ ีแ้ นะ เหตุการณห์ รือการกระทํา

ด้วยตนเอง

10.2.2 คาดเดา หรือ 10.2.2 คาดเดาหรอื 10.2.2 คาดคะเนสิง่ ที่
คาดคะเนส่งิ ทอ่ี าจจะ คาดคะเนสิ่งที่อาจจะเดข้ึน อาจจะเกดิ ขนึ้ และมสี ่วน
เกิดขึ้น ในเหตุการณ์หรอื การ ร่วมในการลงความเห็น
กระทาํ เม่ือมผี ู้ช้แี นะ จากขอ้ มลู อยา่ งมีเหตผุ ล

10.3 มีความสามารถ 10.3.1 ตัดสนิ ใจในเรอื่ ง 10.3.1 ตัดสินใจในเรอ่ื ง 10.3.1 ตดั สินใจในเรื่อง
ในการคิดแก้ปัญหาและ ง่ายๆ ง่าย ๆ และเริม่ เรียนรู้ผลท่ี งา่ ย ๆ และยอมรบั ผลที่
เกิดขนึ้ เกิดขน้ึ
ตัดสนิ ใจ
10.3.2 ระบุปัญหาและ 10.3.2 ระบปุ ัญหาสร้าง
10.3.2 แก้ปัญหาโดยการ แกป้ ญั หาโดยลองผดิ ลอง ทางเลือกและเลอื กวธิ ี
ลองผดิ ลองถกู ถูก แกป้ ญั หา

มาตรฐานที่ 11 มจี นิ ตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์

ตวั บ่งช้ี สภาพทพ่ี งึ ประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

11.1 ทํางานศิลปะตาม 11.1.1 สร้างผลงานศิลปะ 11.1.1 สร้างผลงานศิลปะ 11.1.1 สร้างผลงานศิลปะ

จิ น ต น า ก า ร แ ล ะ เ พ่ื อ สื่ อ ส า ร ค ว า ม คิ ด เ พ่ื อ สื่ อ ส า ร ค ว า ม คิ ด เ พ่ื อ ส่ื อ ส า ร ค ว า ม คิ ด
ความคิดสรา้ งสรรค์ ความรู้สึกของตนเอง ความรู้สึกของตนเองโดยมี ความรู้สึกของตนเองโดยมี

การดัดแปลง และแปลก การดัดแปลง และแปลก

ใ ห ม่ จ า ก เ ดิ ม ห รื อ มี ใ ห ม่ จ า ก เ ดิ ม ห รื อ มี

รายละเอยี ดเพ่มิ ขึ้น รายละเอยี ดเพ่มิ ข้ึน

25

11.2 แสดงท่าทาง/ 11.2.1 เคลื่อนไหวท่าทาง 11.2.1 เคลื่อนไหวท่าทาง 11.2.1 เคลื่อนไหวท่าทาง

เ ค ล่ื อ น ไ ห ว ต า ม เ พ่ื อ สื่ อ ส า ร ค ว า ม คิ ด เ พื่ อ สื่ อ ส า ร ค ว า ม คิ ด เ พื่ อ สื่ อ ส า ร ค ว า ม คิ ด
จิ น ต น า ก า ร อ ย่ า ง ความรู้สึกของตนเอง ความรู้สึกของตนเองอย่าง ความรู้สึกของตนเองอย่าง
สร้างสรรค์ หลากหลายหรอื แปลกใหม่ หลากหลายหรือแปลกใหม่

มาตรฐานท่ี 12 มีเจตคติท่ีดีต่อการเรียนรู้ และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับ

วัย

ตัวบง่ ช้ี สภาพท่พี งึ ประสงค์

อายุ 3-4 ปี อายุ 4-5 ปี อายุ 5-6 ปี

12.1 มีเจตคติที่ดีต่อ 12.1.1 สนใจฟังหรืออ่าน 12.1.1 ส นใจซักถา ม 12.1.1 สนใจหยิบหนังสือ

การเรยี นรู้ หนงั สอื ดว้ ยตนเอง เกี่ยวกับสัญลักษณ์หรือ มาอ่านและเขียนส่ือสาร

ตวั หนงั สือทพ่ี บเห็น ความคิดด้วยตนเองเป็น

ประจําอย่างต่อเนือ่ ง

12.1.2 กระตือรือร้นใน 12.1.2 กระตือรือร้นใน 12.1.2 กระตือรือร้นใน
การเขา้ ร่วมกิจกรรม การเข้ารว่ มกิจกรรม การเข้าร่วมกิจกรรมตั้งแต่

ต้นจนจบ

12.2 มีความสามารถ 12.2.1 ค้นหาคําตอบของ 12.2.1 ค้นหาคําตอบของ 12.2.1 ค้นหาคําตอบของ

ในการแสวงหาความรู้ ข้ อ ส ง สั ย ต่ า ง ๆ ต า ม ข้ อ ส ง สั ย ต่ า ง ๆ ต า ม ข้ อ ส ง สั ย ต่ า ง ๆ ต า ม
วธิ ีการท่ีมผี ู้ช้แี นะ วิธกี ารของตนเอง วิธีการท่ีหลากหลายด้วย

ตนเอง

12.2.2 ใช้ประโยคคําถาม 12.2. ใชป้ ระโยคคาํ ถามวา่ 12.2.2 ใช้ประโยคคําถาม

ว่า “ใคร” “อะไร” ในการ “ท่ีไหน” “ทําไม” ในการ ว่า “เม่ือไร” “อย่างไร”

คน้ หาคําตอบ คน้ หาคาํ ตอบ ในการคน้ หาคาํ ตอบ

1.6 หลักการจดั ประสบการณ์
หลักสตู รการศึกษาปฐมวัย พทุ ธศกั ราช 2560 ไดก้ าํ หนดหลักการจัดประสบการณ์ไว้ ดงั นี้

6.1 จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เพื่อพัฒนาเด็กโดยองค์
รวมอยา่ งสมดลุ และต่อเน่อื ง

6.2 เน้นเด็กเป็นสําคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคล
และบริบทของสงั คมทเ่ี ดก็ อาศัยอยู่

26

6.3 จัดให้เด็กได้รับการพัฒนา โดยให้ความสําคัญทั้งด้านกระบวนการเรียนรู้และ
พฒั นาการของเดก็

6.4 จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนหน่ึงของ
การจดั ประสบการณ์ พรอ้ มทง้ั นําผลการประเมินมาพฒั นาเด็กอย่างตอ่ เนอ่ื ง

6.5 ให้พอ่ แม่ ครอบครัว ชมุ ชน และทุกฝุายที่เกย่ี วขอ้ ง มีสว่ นร่วมในกรพัฒนาเด็ก
1.7 แนวทางการจัดประสบการณ์
การจดั ประสบการณส์ าํ หรบั เดก็ ปฐมวัย ควรดําเนนิ การตามแนวทางดงั ตอ่ ไปนี้

7.1 จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทํางานของสมอง ท่ี
เหมาะสมกับอายุ วุฒภิ าวะ และระดับพัฒนาการ เพอ่ื ใหเ้ ด็กทกุ คนได้พัฒนาเตม็ ตามศักยภาพ

7.2 จัดประสบการณใ์ หส้ อดคลอ้ งกบั แบบการเรยี นรู้ของเดก็ เด็กได้ลงมือกระทํา เรียนรู้
ผ่านประสาทสัมผัสท้ังห้า ได้เคลื่อนไหว สํารวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และคิดแก้ปัญหาด้วย
ตนเอง

7.3 จัดประสบการณ์แบบบูรณาการ โดยบูรณาการทั้งกิจกรรม ทักษะ และสาระการ
เรยี นรู้

7.4 จัดประสบการณ์ให้เด็กได้คิดริเร่ิม วางแผน ตัดสินใจ ลงมือกระทําและนําเสนอ
ความคดิ โดยผสู้ อนหรอื ผู้จดั ประสบการณ์เปน็ ผสู้ นบั สนนุ อาํ นวยความสะดวก และเรียนรูร้ ว่ มกับเด็ก

7.5 จัดประสบการณใ์ ห้เดก็ ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเดก็ อื่น กบั ผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่
เออ้ื ต่อการเรียนรู้ในบรรยากาศที่อบอุ่น มีความสุข และเรียนรู้การทํากิจกรรมแบบร่วมมือในลักษณะ
ตา่ ง ๆ

7.6 จัดประสบการณใ์ หเ้ ด็กมปี ฏิสมั พันธก์ ับสือ่ และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายและอยู่ใน
วถิ ชี ีวติ ของเด็ก สอดคลอ้ งกบั บรบิ ท สังคม และวฒั นธรรมทแี่ วดลอ้ มเด็ก

7.7 จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยท่ีดีและทักษะการใช้ชีวิตประจําวัน ตาม
แนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม และการมีวินัย
ใหเ้ ปน็ ส่วนหน่ึงของการจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรอู้ ย่างตอ่ เนื่อง

7.8 จัดประสบการณท์ ั้งในลกั ษณะทม่ี ีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและแผนท่ีเกิดข้ึนในสภาพ
จริง โดยไมไ่ ด้คาดการณ์ไว้

7.9 จัดทําสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก
เป็นรายบุคคล นํามาไตร่ตรองเพ่ือใช้ประโยชนใ์ นการพัฒนาเด็กและการวจิ ยั ในชัน้ เรียน

7.10 จัดประสบการณ์โดยให้พ่อแม่ ครอบครัว และชุมชนมีส่วนร่วม ท้ังการวางแผน
การสนบั สนุนส่ือ แหล่งเรยี นรู้ การเข้าร่วมกจิ กรรม และการประเมนิ พัฒนาการ

27

1.8 หลักการจัดกจิ กรรมประจาวนั
การจดั กจิ กรรมประจาํ วันจะตอ้ งคํานงึ ถงึ อายุ และความสนใจของเดก็ ในแตล่ ะช่วงวยั ดงั น้ี

8.1.1 การกาํ หนดระยะเวลาในการจัดกจิ กรรมแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัยของเด็กใน
แตล่ ะวนั แต่ยดื หยนุ่ ไดต้ ามความต้องการและความสนใจของเดก็ เชน่

เด็กวยั 3-4 ปี มีความสนใจประมาณ 8-12 นาที
เด็กวยั 4-5 ปี มคี วามสนใจประมาณ 12-15 นาที
เด็กวยั 5-6 ปี มคี วามสนใจประมาณ 15-20 นาที
8.1.2 กิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดท้ังในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้เวลาเล่นต่อเนื่อง
นานเกินกวา่ 20 นาที
8.1.3 กิจกรรมท่ีเด็กอิสระเลือกเล่นอย่างเสรี เพื่อช่วยให้เด็กได้เรียนรู้การเลือก การ
ตัดสินใจ การคิดแก้ปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ ใช้เวลาประมาณ 40-60 นาที เช่น กิจกรรมการ
เล่นตามมมุ กิจกรรมการเลน่ กลางแจ้ง กิจกรรมศิลปะสรา้ งสรรค์
8.1.4 กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกห้อง กิจกรรมท่ีใช้
กลา้ มเนอื้ ใหญ่และกลา้ มเนือ้ เลก็ กิจกรรมที่เปน็ รายบคุ คล กลุ่มย่อย และกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่เด็กเป็น
ผู้ริเรม่ิ และผู้สอนเปน็ กจิ กรรมท่ีไมต่ ้องออกกําลงั กายมากนกั เพ่อื เดก็ จะได้ไม่เหนอ่ื ยเกนิ ไป

1.9 ขอบข่ายของกิจกรรมประจาวนั
การเลือกกิจกรรมที่จะนํามาจัดในแต่ละวัน สามารถจัดได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความ
เหมาะสมในการนําไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สําคัญผู้สอนต้องคํานึงถึงการจัด
กจิ กรรมให้ครอบคลุมพัฒนาการทกุ ด้านดงั ตอ่ ไปน้ี

9.1 การพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว การยืดหยุ่นความ
คล่องแคล่วในการใช้อวยั วะต่าง ๆ การประสานสัมพนั ธ์ และจังหวะการเคลื่อนไหวในการใช้กล้ามเน้ือ
ใหญ่ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นอิสระกลางแจ้ง เล่นเคร่ืองเล่นสนาม เล่นปีนปุายอย่างอิสระ และ
เคล่อื นไหวรา่ งกายตามจังหวะดนตรี

9.2 การพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก เป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมือ น้ิวมือ และ
การประสานสัมพันธ์ระหว่างตากับมือได้อย่างคล่องแคล่ว โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นเคร่ืองเล่น
สัมผัส ฝึกช่วยเหลือตนเองในการแต่งกาย การหยิบจับส่ิงของ และอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ช้อนส้อม สี
เทียน กรรไกร พกู่ ัน ดินเหนยี ว

9.3 การพัฒนาอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝั่งคุณธรรม จริยธรรม เป็นการปลูกฝั่งให้เด็กมี
ความรู้สึกท่ีดีต่อตนเองและผู้อ่ืน มีความเชื่อม่ัน กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซ่ือสัตย์ ประหยัด
เมตตา กรุณา เอื้อเฟ้ือ แบ่งปัน มีมารยาท และปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและศาสนาที่นับถือ โดย

28

จดั กิจกรรมต่าง ๆ ผ่านการเลน่ ให้เด็กได้มีโอกาสตัดสนิ ใจเลอื ก ได้รับการตอบสนองตามความต้องการ
ไดฝ้ ึกปฏบิ ัตโิ ดยสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมอยา่ งต่อเนื่อง

9.4 การพัฒนาสังคมนิสัย เป็นการพัฒนาให้เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดี แสดงออกอย่าง
เหมาะสมและอยรู่ ่วมกบั ผู้อน่ื ไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข ช่วยเหลือตนเองในการทํากิจวัตรประจําวัน มีนิสัยรัก
การทํางาน รักษาความปลอดภยั ของตนเองและผูอ้ น่ื รวมทงั้ ระมดั ระวังอันตรายจากคนแปลกหน้า ให้
เดก็ ไดป้ ฏบิ ตั ิกจิ วัตรประจําวันอยา่ งสมํ่าเสมอ รับประทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่าย ทําความ
สะอาดร่างกาย เล่นและทํางานร่วมกับผู้อ่ืน ปฏิบัติตามกฎกกติกา ข้อตกลงของส่วนร่วม เก็บของเข้า
ท่ีเมอ่ื เลน่ หรือทํางานเสรจ็

9.5 การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหา การคิด
รวบยอดและการคิดเชิงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้สังเกต
จําแนก เปรียบเทียบ สืบเสาะหาความรู้ สนทนา อ๓ปรายแลกเปล่ียนความคิดเห็น เชิญวิทยากรมา
พูดคุยกับเด็ก ศึกษานอกสถานที่ เล่นเกมการศึกษา ฝึกแก้ปัญหาในชีวิตประจําวัน ฝึกออกแบบและ
สร้างช้นิ งาน และทํากิจกรรมเป็นรายบคุ คล กลมุ่ ย่อย และกลุ่มใหญ่

9.6 การพัฒนาภาษา เป็นการพัฒนาให้เด็กได้ใช้ภาษาในการส่ือสารถ่ายทอดความรู้สึก
ความคิด ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่เด็กมีประสบการณ์ โดยสามารถตั้งคําถามในสิ่งที่สงสัยใคร่รู้ จัด
กิจกรรมทางภาษาใหม้ ีความหลากหลายในสภาพแวดล้อมท่ีเอ้ือต่อการเรียนรู้ มุ่งปลุกฝังให้เด็กได้กล้า
แสดงออกในการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน มีนิสัยรักการอ่าน และบุคคลแวดล้อมต้องเป็น
แบบอย่างท่ีดีในการใช้ภาษา ท้ังน้ีต้องคํานึงถึงหลักการจัดกิจกรรมทางภาษาท่ีเหมาะสมกับเด็กเป็น
สาํ คญั

9.7 การส่งเสริมจนิ ตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์ เป็นการส่งเสริมให้เด็กมีความคิดริเริ่ม
สร้างสรรค์ ได้ถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกและเห็นความสวยงามของส่ิงต่าง ๆ โดยจัดกิจกรรม
ศิลปะสร้างสรรค์ การเคลื่อนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ประดิษฐ์ส่ิงต่าง ๆ อย่างอิสระ เล่น
บทบาทสมมติ เล่นน้าํ เลน่ ทราย เล่นบล็อก และเล่นก่อสร้าง

1.10แนวทางการจัดกิจกรรมประจาวัน
การจัดกิจกรรมประจําวัน ครูสามารถนําไปปรับใช้ได้ หรือนํานวัตกรรมต่าง ๆ มาปรับใช้ใน
การจัดกิจกรรมประจําวันให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา โดยมีแนวทางในการจัด
กิจกรรมและการใชส้ อ่ื ดังนี้
1. กิจกรรมเคลอ่ื นไหวจงั หวะ

การเคล่ือนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมท่ีจัดให้เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
อย่างอิสระตามจังหวะ โดยใช้เสียงเพลง คําคล้องจอง เครื่องเคาะจังหวะ และอุปกรณ์อื่น ๆ มา

29

ประกอบการเคล่ือนไหว ซ่ึงจังหวะและเครื่องดนตรีประกอบ ได้แก่ การปรบมือ การร้องเพลง การ
เคาะไม้ กรุ๋งกริ๋ง รํามะนากลอง กรับ เพ่ือส่งเสริมให้เด็กพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเน้ือเล็ก
อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาเกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ สอดคล้องกับจุดประสง๕
ดังนี้

จดุ ประสงค์
1. เพอ่ื พัฒนาอวัยวะทุกส่วนให้มคี วามสัมพนั ธก์ ันอย่างดีในการเคล่อื นไหว
2. เพื่อฝึกทักษะภาษา ฝึกฟงั คาํ สง่ั และข้อตกลง
3. เพื่อฝึกให้เกดิ ทักษะในการฟังดนตรี หรอื จังหวะตา่ ง ๆ
4. เพ่ือให้เกดิ ความซาบซ้งึ และสุนทรียภาพ
5. เพื่อฝกึ ความจําและเสริมสร้างประสบการณ์
6.เพื่อฝึกการเปน็ ผู้นําและผู้ตามที่ดี
7. เพ่ือพฒั นาดา้ นสังคม การปรบั ตัวและความรว่ มมอื ในกลุ่ม
8. เพื่อให้โอกาสเด็กได้แสดงออก มคี วามเชื่อมัน่ ในตนเอง และความคิดริเริม่ สร้างสรรค์
9. เพอ่ื ให้เกดิ ความสนุกสนาน ผอ่ นคลายความตงึ เครียดทั้งร่างกายและจติ ใจ

ขอบขา่ ยของการจัดกจิ กรรมเคลอ่ื นไหวและจงั หวะ
1. การเคลื่อนไหวร่างกาย
2. การฟังสญั ญาณและการปฏบิ ัตติ ามขอ้ ตกลง
3. การฝึกการเปน็ ผู้นาํ และผตู้ ามท่ีดี
4. การฝกึ จินตนาการและความคิดสรา้ งสรรค์
5. ความมรี ะเบยี บวนิ ัย
6. การเรยี นรู้จังหวะ
7. ความเพลดิ เพลินสนุกสนาน
8. การฝึกความจํา
9. การแสดงออก
10. เนื้อหาของหนว่ ยการสอน

รูปแบบการเคลือ่ นไหว
1. การเคล่ือนไหวพ้ืนฐาน เป็นกิจกรรมท่ีต้องฝึกทุกคร้ังก่อนท่ีจะเร่ิมฝึกกิจกรรมอื่น ๆ

ต่อไป ลักษณะการจัดกิจกรรมมีจุดเน้นในเรื่องจังหวะและการเคล่ือนไหวหรือท่าทางอย่างอิสระ การ
เคล่ือนไหวตามธรรมชาตขิ องเดก็ มี 2 ประเภท ได้แก่

30

1.1 การเคล่ือนไหวอยู่กบั ท่ี เช่น ปรบมอื ผงกศรี ษะ ขยับตา ชันเขาขยับมือและแขน มือ
และนว้ิ มือ เทา้ และปลายมือ

1.2 การเคลอ่ื นไหวเคล่ือนที่ เชน่ คลาน คืบ วงิ่ กระโดด ควบม้า กา้ วกระโดด เขย่ง ก้าว
ชดิ

2. การเคล่ือนไหวที่สัมพันธ์กับเนื้อหา เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคล่ือนไหวร่างกาย โดย
เน้นการทบทวนเร่ืองท่ีได้รับรู้จากกิจกรรมอ่ืนและนํามาสัมพันธ์กับสาระการเรียนรู้ หรือเร่ืองอื่น ๆ ท่ี
เด็กสนใจ ไดแ้ ก่

2.1 การเคลอ่ื นไหวเลียนแบบ เป็นการเคล่ือนไหวเลียนแบบส่ิงต่าง ๆ รอบตัว เช่น การ
เลียนแบบท่าทางสัตว์ การเลียนแบบท่าทางคน การเลียนแบบเครื่องยนต์กลไกและเคร่ืองเล่น และ
การเลียนแบบปรากฏการณ์ธรรมชาติ

2.2 การเคล่ือนไหวตามบทเพลง เป็นการเคลื่อนไหวหรือทําท่าทางประกอบเพลง เช่น
เพลงไก่ เพลงขา้ มถนน เพลงสวสั ดี

2.3 การทําท่าทางกายบริหารประกอบเพลงหรือคําคล้องจอง เป็นการเคลื่อนไหวแบบ
กายบริหาร อาจจะมีท่าทางไม่สัมพันธ์กับเนื้อหาของเพลงหรือคําคล้องจอง เช่น เพลงกํามือแบมือ
เพลงออกกาํ ลงั กาย คําคลอ้ งจองฝนตกพราํ พรํา

2.4 การเคล่ือนไหวเชิงสร้างสรรค์ เป็นการเคล่ือนไหวที่ให้เด็กคิดสร้างสรรค์ท่าทางข้ึน
เองหรอื อาจใช้คําถามหรอื คําสัง่ หรือใช้อปุ กรณ์ประกอบ เชน่ หวงหวาย แถบผ้า รบิ บน้ิ ถุงทราย

2.5 การเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางตามคําบรรยาย ที่ครูเล่า หรือเร่ืองราว หรือ
นทิ าน

2.6 การเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางตามคําสั่ง เป็นการเคลื่อนไหวหรือทําท่าทาง
ตามคาํ สั่งของครู เชน่ การจัดกลมุ่ ตามจํานวน การทาํ ท่าทางตามคาํ สัง่

2.7 การเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางตามขอ้ ตกลง เป็นการเคลอื่ นไหวหรือทําท่าทาง
ตามข้อตกลงท่ีได้ตกลงไวก้ อ่ นเรมิ่ กจิ กรรม

2.8 การเคลื่อนไหวหรือการแสดงท่าทางเป็นผู้นํา ผู้ตาม เป็นการคิดท่าทางการ
เคลื่อนไหวอย่างสร้างสรรคข์ องเด็กเองแล้วใหเ้ พื่อนปฏิบัตติ าม

จากขอบข่ายของการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะข้างต้น ผู้สอนควรตระหนักถึง
ลักษณะของการเคลื่อนไหวโดยการใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายให้ประสานสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์
ด้วยการเคลื่อนไหวลักษณะ ช้า เร็ว นุ่มนวล ทําท่าทางขึงขัง ร่าเริง มีความสุข หรือเศร้าโศก เสียใจ
และเคลอ่ื นไหวในทศิ ทางที่แตกต่างกัน เพ่ือเป็นการฝึกให้เด็กได้เคลื่อนที่อิสระโดยบริเวณท่ีอยู่รอบ ๆ
ตัวเด็ก ได้แก่ การเคลื่อนไหวไปข้างหน้าและข้างหลัง ไปข้างซ้ายและข้างขวา เคลื่อนตัวขึ้นและลง

31

หรือหมุนไปรอบตัว โดยให้มีระดับของการเคลื่อนไหวสูง กลาง และ ตํ่า ในบริเวณพ้ืนท่ีท่ีเด็กต้องการ
เคลือ่ นไหว

สือ่ กจิ กรรมเคลื่อนไหวและจงั หวะ
1. เครอื่ งเคาะจงั หวะ เชน่ ฉ่งิ เหล็กสามเหลย่ี ม กรับ รํามะนา กลอง
2. อุปกรณ์ประกอบการเคลื่อนไหว เช่น หนังสือพิมพ์ ริบบิ้น แถบผ้า ห่วงหวาย ห่วง
พลาสติก ฮูลาฮูบ ถุงทราย

แนวการจดั กิจกรรมเคล่อื นไหวและจังหวะ
1. เริม่ จากการทาํ กิจกรรมเคลอ่ื นไหวพ้ืนฐาน เพื่อเป็นการเตรียม โดยการแตะสัมผัสส่วนต่าง
ๆ ของรา่ งกาย สํารวจการใชส้ ว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกายในการเคลอ่ื นไหว

2. อธิบายหรือสร้างข้อตกลงร่วมกันในการกําหนดสัญลักษณ์ การใช้เครื่องให้จังหวะ และ
การกาํ หนดจงั หวะ เช่น ข้อตกลงเกยี่ วกับสัญญาณและจงั หวะ จะใชเ้ ครื่องเคาะจังหวะเป็นการกําหนด
จังหวะใหส้ มาํ่ เสมอและชัดเจน อาจจะกําหนดดังน้ี

2.1 ให้จังหวะ 1 คร้ัง สม่ําเสมอ แสดงว่า ให้เด็กเดินหรือเคล่ือนไหวไปเรื่อย ๆ ตาม
จังหวะ

2.2 ใหจ้ งั หวะ 2 ครั้งติดกัน แสดงว่า ให้เด็กหยุดการเคลื่อนไหว โดยเด็กจะต้องหยุดนิ่ง
จรงิ ๆ หากกาํ ลังอยใู่ นท่าใด กต็ อ้ งหยุดน่งิ ในทา่ นนั้ จะเคลอื่ นไหวหรอื เปลย่ี นท่าไม่ได้

2.3 ให้จงั หวะรวั แสดงวา่ ให้เด็กเคลื่อนไหวอยา่ งเร็ว หรือเคลอื่ นที่เร็วขึ้นแต่ไม่ใช่การวิ่ง
และสง่ เสยี งดงั บางกจิ กรรมอาจจะหมายถงึ การเปล่ยี นตาํ แหนง่ การทาํ ตามคาํ สัง่ หรือข้อตกลง

3. ใหเ้ ด็กเคลื่อนไหวอยา่ งอิสระตามความคิด หรือจินตนาการของตนเอง โดยใช้ส่วนต่าง ๆ
ของร่างกายให้มากท่ีสุด ในขณะเดียวกันต้องคํานึงถึงองค์ประกอบพื้นฐานในการเคลื่อนไหว ได้แก่
การใช้ร่างกายตนเอง การใชพ้ ้ืนท่ี การเคลอื่ นไหวอยา่ งอสิ ระ มรี ะดบั และทิศทาง

4. ให้เดก็ ทดลองปฏบิ ตั ิและปฏิบัติซ้าํ เพอื่ ใหเ้ ดก็ ได้เคลอ่ื นไหวหลากหลายรปู แบบ
5. หลังจากปฏิบัติกิจกรรมให้เด็กได้พักผ่อนตามอัธยาศัย โดยให้เด็กน่ังกับพ้ืนห้อง ผู้สอน
เปดิ เพลงเบา ๆ
ข้อเสนอแนะ
1. ควรเร่ิมกิจกรรมจากการเคล่ือนไหวท่ีเป็นอิสระ และมีวิธีการท่ีไม่ยุ่งยากมากนัก เช่น ให้
เด็กได้กระจายอย่ภู ายในห้องหรือบรเิ วณทฝ่ี ึก และใหเ้ คลอื่ นไหวไปตามธรรมชาติของเดก็
2. ควรให้เด็กได้แสดงออกด้วยตนเองอย่างอิสระและเป็นไปตามความนึกคิดของเด็กเอง
ครไู ม่ควรชแี้ นะ

32

3. ควรเปิดโอกาสให้เด็กคิดหาวิธีเคลื่อนไหวทั้งที่ต้องเคล่ือนท่ีและไม่ต้องเคลื่อนท่ีเป็น
รายบุคคล เปน็ คู่ เป็นกลุ่ม ตามลําดบั และกลุ่มไมค่ วรเกิน 5 - 6 คน

4. ควรใช้สิ่งของท่ีหาได้ง่าย เช่น ของเล่น กระดาษ หนังสือพิมพ์ เศษผ้า เชือก ท่อนไม้
ประกอบการเคล่ือนไหวและการให้จังหวะ

5. ควรกําหนดจังหวะสัญญาณนัดหมายในการเคล่ือนไหวต่าง ๆ หรือเปลี่ยนท่า หรือหยุด
ให้เดก็ ทราบ เม่อื ทํากิจกรรมทกุ ครงั้ เช่น เม่ือใช้จังหวะ 1 จงั หวะ ให้เด็กทาํ ท่าทาง 1 ท่าทาง ฯลฯ

6. ควรสร้างบรรยากาศอย่างอิสระ ช่วยให้เด็กรู้สึกอบอุ่น เพลิดเพลิน และรู้สึกสบายและ
สนุกสนาน

7. ควรจัดให้มีรปู แบบของการเคลอ่ื นไหวทหี่ ลากหลาย เพื่อช่วยใหเ้ ด็กสนใจมากข้ึน
8. กรณีเด็กไม่ยอมเข้าร่วมกิจกรรม ครูไม่ควรใช้วิธีบังคับ ควรให้เวลาและโน้มนาวให้เด็ก
สนใจเข้ารว่ มกจิ กรรมดว้ ยความสมคั รใจ
9. หลังจากเด็กได้ทํากิจกรรมแล้ว ต้องให้เด็กได้พักและผ่อนคลายอิริยาบถ โดยเปิดเพลง
จงั หวะช้า ๆ เบา ๆ
10. การจัดกิจกรรมควรจัดตามตารางกิจวัตรประจําวัน และควรจัดให้เป็นท่ีน่าสนใจ เกิด
ความสนุกสนาน

2. กิจกรรมเสรมิ ประสบการณ/์ กิจกรรมในวงกลม
กิจกรรมเสริมประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม เป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนาทักษะ
การเรียนรู้ มีทักษะการฟัง การพูด การอ่าน การสังเกต การคิดแก้ปัญหา การใช้เหตุผล โดยการฝึก
ปฏิบัติรว่ มกนั และการทาํ งานเป็นกลมุ่ ทง้ั กลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ เพื่อให้เกิดความคิดรวบยอดเก่ียวกับ
เรื่องทไ่ี ดเ้ รยี นร้สู อดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์ดังน้ี

จดุ ประสงค์
1. เพอ่ื ให้เดก็ เข้าใจเน้ือหาและเรื่องราวในหน่วยการจดั ประสบการณ์
2. เพอื่ ฝกึ การใช้ภาษาในการฟัง พูด และการถ่ายทอดเร่ืองราว
3. เพอ่ื ฝึกมารยาทในการฟงั การพูด
4. เพอ่ื ฝกึ ความมีระเบียบ
5. เพอ่ื ให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการสงั เกต เปรียบเทียบ
6. เพอ่ื ส่งเสรมิ ความสามารถในการคิดรวบยอด การคิดแก้ปญั หาและตดั สินใจ
7. เพอื่ สง่ เสริมการเรยี นรู้วิธแี สวงหาความรู้ เกิดการเรียนร้จู ากการคน้ พบดว้ ยตนเอง

33

8. เพ่ือฝึกให้กล้าแสดความคิดเห็น ร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผลและยอมรับฟัง
ความคิดเห็นของผู้อืน่

9. เพ่ือฝึกใหม้ ลี ักษณะนสิ ัยใฝุรู้ ใฝุเรียน
10. เพอื่ ฝกึ ลกั ษณะนิสัยใหม้ ีคุณธรรม จรยิ ธรรม

ขอบข่ายสาระของกิจกรรมเสรมิ ประสบการณ/์ กิจกรรมในวงกลม
สาระท่ีควรเรียนรู้ สาระในส่วนน้ีกําหนดเฉพาะหัวข้อไม่มีรายละเอียด ทั้งน้ีเพ่ือ

ประสงค์จะใหผ้ ู้สอนสามารถกําหนดรายละเอียดข้ึนเองให้สอดคล้องกับวัย ความต้องการ ความสนใจ
ของเด็ก อาจยืดหยุ่นเน้ือหาได้โดยคํานึงถึงประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อมในชีวิตจริงของเด็ก ผู้สอน
สามารถนําสาระท่ีควรเรียนรู้มาบูรณาการจัดประสบการณ์ต่าง ๆ ให้ง่ายต่อเรียนรู้ ทั้งนี้มิได้ประสงค์
ให้เด็กท่องจําเนื้อหา แต่ต้องการให้เด็กเกิดแนวคิดหลังจากนําสาระการเรียนรู้นั้น ๆ มาจัด
ประสบการณ์ใหเ้ ด็กเพ่ือบรรลุจดุ หมายทก่ี ําหนดไว้ นอกจากนสี้ าระท่ีควรเรียนรู้ยังใช้เป็นแนวทางช่วย
ผู้สอนกําหนดรายละเอยี ดและความยากงา่ ยของเนอื้ หาใหเ้ หมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก สาระท่ีควร
เรียนรู้ประกอบด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เรื่องราวเกี่ยวกับบุคลแบะสถานท่ีแวดล้อม ธรรมชาติ
รอบตวั และสง่ิ ตา่ ง ๆ รอบตวั เดก็ ดังนี้

1. เร่ืองราวเกี่ยวกับเด็ก เด็กควรเรียนรู้เก่ียวกับชื่อ นามสกูล รูปร่างหน้าตา อวัยวะ
ต่าง ๆ วิธีระวังรักษาร่างกายให้สะอาดและมีสุขภาพอนามัยท่ีดี การรับประทานอาหารที่เป็น
ประโยชน์ การรักษาความปลอดภัยของตนเอง รวมทั้งการปฏิบัติต่อผู้อ่ืนอย่างปลอดภัย การรู้จัก
ประวตั คิ วามเปน็ มาของตนเองและครอบครัว การปฏบิ ตั ติ นเป็นสมาชกิ ท่ดี ขี องครอบครัวและโรงเรียน
การเคารพสิทธขิ องตนเองและผู้อื่น การรู้จักแสดงความคิดเห็นของตนเองและรับฟังความคิดเห็นของ
ผู้อื่น การกํากับตนเอง การเล่นและทําส่ิงต่าง ๆ ด้วยตนเองตามลําพังหรือกับผู้อ่ืน การตระหนักรู้
เก่ียวกับตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การสะท้อนการรับรู้อารมณ์และความรู้สึกของตนเองและ
ผู้อ่ืน การแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกอย่างเหมาะสม การแสดงมารยาทท่ีดี การมีคุณธรรม
จริยธรรม

2. เรื่องราวเก่ียวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับ
ครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน และบุคคลต่าง ๆ ท่ีเด็กต้องเกี่ยวข้องหรือใกล้ชิดและมีปฏิสัมพันธ์
ชีวิตประจําวัน สถานท่ีสําคัญ วันสําคัญ อาชีพของคนในชุมชน ศาสนา แหล่งวัฒนธรรมในชุมชน
สัญลักษณ์สําคัญของชาติไทยและการปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้องถ่ินและความเป็นไทย หรือแหล่ง
เรยี นรู้จาก๓มปิ ญั ญาทอ้ งถ่ินอืน่ ๆ

3. ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับช่ือ ลักษณะ ส่วนประกอบ การ
เปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนการรู้จักเกี่ยวกับดิน น้ํา ท้องฟูา สภาพ

34

อากาศ ภัยธรรมชาติ แรงและพลังงานในชีวติ ประจาํ วนั ท่ีแวดล้อมแดด รวมท้ังการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม
และรักษาสาธารณสมบัติ

4. สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษาเพื่อส่ือสารความหมาย
ในชีวติ ประจําวนั ความรู้พืน้ ฐานเกีย่ วกับใชห้ นังสือและตัวหนงั สือ รูจ้ ักชื่อ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด
รูปร่าง รปู ทรง ปรมิ าตร นํ้าหนกั จาํ นวน ส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ของส่ิงต่าง
ๆ รอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การใชง้ าน และการเลอื กใชส้ ่ิงของเคร่ืองใช้ ยานพาหนะ การคมนาคม
เทคโนโลยีและการสื่อสารต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจําวันอย่างประหยัด ปลอดภัยและรักษา
สงิ่ แวดลอ้ ม

สือ่ กจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม
1. ส่ือของจรงิ ท่ีอยูใ่ กล้ตวั และสอื่ จากธรรมชาตหิ รือวัสดุท้องถนิ่ เชน่ ตน้ ไม้ ใบไม้ เปลือกหอย
เสือ้ ผา้

2. สอื่ ทจ่ี ําลองขน้ึ เช่น ตน้ ไม้ ตุ๊กตาสตั ว์
3. สื่อประเภทภาพ เชน่ ภาพพลิก ภาพโปสเตอร์ หนงั สือภาพ
4. สื่อ เทคโนโลยี เช่น เครื่องบันทึกเสียง เคร่ืองขยายเสียง โทรศัพท์ แม่เหล็ก แว่นขยาย
เครอื่ งช่ัง กล้องถ่ายรูปดจิ ิตอล
5. สื่อ แหล่งเรียนรู้ เช่น แหล่งเรียนรู้ภายในและภายนอกสถานศึกษา เช่น แปลงเกษตร
สวนผัก สมุนไพร ร้านค้า สวนสตั ว์ แหลง่ ประกอบการในท้องถิน่

แนวการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม
การจดั กิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์/กจิ กรรมในวงกลม จดั ไดห้ ลายวธิ ี ได้แก่

1. การสนทนาหรือการอภิปราย เป็นการพูดคุย ซักถามระหว่างเด็กกับครู หรือเด็กกับเด็ก
เป็นการสง่ เสรมิ พัฒนากาทางภาษาด้านการพูดและการฟัง โดยการกําหนดประเด็นในการสนทนาหรื
อภิปราย เดก็ จะได้แสดงความคิดเหน็ และยอมรบั ฟังความคิดเหน็ ของผู้อื่น ครูหรือผู้สอนเปิดโอกาสให้
เด็กซักถาม โดยใช้คําถามกระตุ้นหรือเล่าประสบการณ์ที่แปลกใหม่ นําเสนอปัญหาท่ีท้าทายความคิด
การยกตัวอย่าง การใช้สื่อประกอบการสนทนาหรือการอภิปรายควรใช้ส่ือจริง ของจําลอง รูปภาพ
หรือสถานการณจ์ ําลอง

2. การเลา่ นิทาน และการอา่ นนทิ าน เป็นกจิ กรรมทีค่ รูหรือผ้สู อนเล่าหรืออา่ นเรื่องราวจาก
นิทาน โดยการใช้นํ้าเสียงประกอบการเล่าแตกต่างจากบุคลิกของตัวละคร ซ่ึงครูหรือผู้สอนควรเลือก
สาระของนทิ านให้เหมาะสมกบั วัย สื่อทีใ่ ชอ้ าจเปน็ หนังสือนิทาน หนงั สอื ภาพ แผ่นภาพ หุ่นมือ หุ่นนิ้ว
มือ หรือการแสดงท่าทางประกอบการเล่าเร่ือง โดยครูใช้คําถามเพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ เช่น ในนิทาน

35

เรื่องน้ีมีตัวละครอะไรบ้าง เหตุการณ์ในนิทานเรื่องนี้เกิดที่ไหน เวลาใด หรือลําดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในนทิ าน นทิ านเรอื่ งนีม้ ปี ญั หาอะไรบา้ ง และเดก็ ๆ ชอบเหตุการณใ์ ดในนทิ านเร่อื งนี้มากท่ีสดุ

3. การสาธิต เป็นกิจกรรมท่ีเด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง โดยแสดงหรือทําส่ิงท่ี
ต้องการให้เด็กได้สังเกตและเรียนรู้ตามข้ันตอนของกิจกรรมน้ัน ๆ และเด็กอภิปรายและร่วมกันสรุป
การเรียนรู้ การสาธิตในบางคร้ังอาจให้เด็กอาสาสมัครเป็นผู้สาธิตร่วมกับครูผู้สอน เพื่อนําไปสู่การ
ปฏิบัติจริงด้วยตนเอง เช่น การเพาะเมล็ดพืช การประกอบอาหาร การเปุาลูกโปุง การเล่นเกม
การศึกษา

4. การทดลอง/การปฏิบัติ เป็นกิจกรมท่ีจัดให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง จากการลงมือ
ปฏิบัติทดลอง การคิดแก้ปัญหา มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะคณิตศาสตร์ ทักษะ
ภาษา ส่งเสริมให้เด็กเกิดข้อสงสัย สืบค้นคําตอบด้วยตนเอง ผ่านการวิเคราะห์ สังเคราะห์อย่างง่าย
สรุปผลการทดลอง อภปิ รายผลการทดลอง และสรุปการเรียนรู้ โดยกิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์
งา่ ย ๆ เช่น การเล้ยี งหนอนผีเสื้อ การปลกุ พืช ฝกึ การสังเกตการณ์ไหลของนํา้

5. การประกอบอาหาร เปน็ กจิ กรรมท่จี ดั ให้เดก็ ได้เรียนร้ผู ่านการทดลอง โดยเปิดโอกาสให้
เด็กได้ลงมือทดสอบและปฏิบัติการด้วยตนเองเกี่ยวกับการเปล่ียนแปลงของผัก เนื้อสัตว์ ผลไม้ด้วย
วิธีการตา่ ง ๆ เชน่ ตม้ นึ่ง ผัด ทอด หรือการรับประทานสด เด็กจะได้รับประสบการณ์จากการสังเกต
การเปล่ียนแปลงของอาหารการรับรู้รสชาติและกลิ่นของอาหาร ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสและการ
ทาํ งานรว่ มกัน เช่น การทําอาหารจากไข่

6. การเพาะปลกู เป็นกิจกรรมทีเ่ นน้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ซ่ึงเด็ก
จะได้เรียนรู้การบูรณาการจะทําให้เด็กได้รับประสบการณ์โดยทําความเข้าใจความต้องการของ
ส่ิงมีชีวิตในโลก และช่วยให้เด็กเข้าใจความคิดรวบยอดเก่ียวกับส่ิงท่ีอยู่รอบตัวโดยการสังเกต
เปรยี บเทียบ และการคดิ อยา่ งมีเหตุผล ซึง่ เป็นการเปดิ โอกาสให้เดก็ ได้ค้นพบและเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง

7. การศึกษานอกสถานที่ เป็นการจัดกิจกรรมทัศนศึกษาท่ีให้เด็กได้เรียนรู้สภาพความเป็น
จริงนอกห้องเรียน จากแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา หรือแหล่งเรียนรู้ในชุมชน เช่น ห้องสมุด สวน
สมุนไพร วัด ไปรษณีย์ พิพิธภัณฑ์ เพ่ือเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์แก่เด็ก โดยครูและเด็กร่วมกัน
วางแผนศกึ ษาสิ่งที่ต้องการเรยี นรูก้ ารเดินทาง และสรปุ ผลการเรยี นรทู้ ่ีได้จากการไปศกึ ษานอกสถานท่ี

8. การเลน่ บทบาทสมมติ เป็นกิจกรรมให้เดก็ สมมติตนเองเป็นละคร และแสดงบทบาทต่าง
ๆ ตามเน้อื เร่อื งในนิทาน เร่ืองราวหรือสถานการณ์ตา่ ง ๆ โดยใชค้ วามร้สู ึกของเด็กในการแสดง เพื่อให้
เด็กเข้าใจเร่ืองราว ความรู้สึกและพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่น ๆ ควรใช้ส่ือประกอบการเล่นสมมติ
เชน่ หุ่นสวมศีรษะ ทีค่ าดศีรษะรูปคนและสัตว์รูปแบบต่าง ๆ เคร่ืองแต่งกาย และอุปกรณ์ของจริงต่าง


36

9. การรอ้ งเพลง ท่องคําคล้องจอง เป็นกิจกรรมท่ีจัดให้เด็กได้เรียนรู้เก่ียวกับภาษา จังหวะ
และการแสดงท่าทางให้สัมพันธ์กับเน้ือหาของเพลงหรือคําคล้องจอง ครูหรือผู้สอนควรเลือกให้
เหมาะสมกับวยั ของเด็ก

10. การเล่นเกม เป็นกิจกรรมที่นําเกมการเรียนรู้เพ่ือฝึกทักษะการคิด การแก้ปัญหา และ
การทาํ งานเป็นกลุ่ม เกมท่ีนํามาเล่นไม่ควรเน้นการแข่งขนั

11. การแสดงละคร เป็นกิจกรรมท่ีเด็กจะได้เรียนรู้เก่ียวกับการลําดับเร่ืองราว การ
เรียงลําดับเหตุการณ์ หรือเรื่องราวจากนิทาน การใช้ภาษาในการส่ือสารของตัวละคร เพ่ือให้เด็กได้
เรียนรู้และทําความเข้าใจบุคลิกลักษณะของตัวละครที่เด็กสวมบทบาท สื่อท่ีใช้ เช่น ชุดการแสดงที่
สอดคลอ้ งกบั บทบาทที่ได้รับ บทสนทนาที่เด็กใช้ฝึกสนทนาประกอบการแสดง

12. การใชส้ ถานการณ์จําลอง เป็นกิจกรรมที่เด็กได้เรียนรู้แนวทางการปฏิบัติตนเมื่ออยู่ใน
สถานการณ์ท่ีครูหรือผู้สอนกําหนด เพื่อให้เด็กได้ฝึกการแก้ปัญหา เช่น น้ําท่วม โรคระบาด พบคน
แปลกหนา้

ข้อเสนอแนะ
1. การจัดกิจกรรมควรให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง ใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าและมี
โอกาสค้นพบดว้ ยตนเองให้มากทส่ี ุด
2. ผู้สอนควรยอมรับความคิดเห็นที่หลากหลายของเด็กและให้โอกาสเด็กได้ฝึกคิด
แสดงความคดิ เหน็ ฝึกตง้ั คาํ ถาม
3. กรจัดกิจกรรมอาจเชิญวิทยากรมาให้ความรู้เพ่ิมเติม เพื่อช่วยให้เด็กสนใจและ
สนุกสนานยงิ่ ข้นึ
4. ในขณะที่เด็กทํากิจกรรม หรือหลังจากทํากิจกรรมเสร็จแล้ว ผู้สอนควรใช้คําถาม
ปลายเปิดท่ชี วนใหเ้ ด็กคิด หลกี เลีย่ งการใชค้ ําถามทีม่ คี ําตอบ “ใช่” “ไม่ใช่” หรือมีคําตอบให้เด็กเลือก
และผูส้ อนควรให้เวลาเด็กคิดคําตอบ
5. ช่วงระยะเวลาที่จัดกิจกรรมสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม โดยคํานึงถึง
ความสนใจของเด็กและความเหมาะสมของกิจกรรมน้ัน ๆ เช่น กิจกรรมการศึกษานอกสถานที่ การ
ประกอบอาหาร การปลกู พชื อาจใชเ้ วลานานกวา่ ทกี่ ําหนด
6. ควรสรุปส่ิงต่าง ๆ ที่ได้เรียนรู้ให้เด็กเข้าใจ ซ่ึงครูหรือผู้สอน อาจใช้คําถาม เพลง
คําคล้องจอง เกมการเรยี นรู้ แผนภมู ิ แผนผงั กราฟฟิก ฯลฯ เพอ่ื นาํ ไปใช้ในชวี ิตประจําวัน

37

กจิ กรรมศิลปะสร้างสรรค์
กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ เป็นกิจกรรมที่ม่งุ พัฒนากระบวนการคิด การรับรู้เกี่ยวกับความงาม และ
ส่งเสรมิ กระตุ้นให้เด็กแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์และจินตนาการ โดย
ใช้กจิ กรรมศิลปะหรอื กจิ กรรมอนื่ ทีเ่ หมาะกับพัฒนาการของเด็กแต่ละวยั และสอดคล้องกับจุดประสงค์
ดงั น้ี
จดุ ประสงค์

1. เพ่อื พัฒนากล้ามเนอ้ื มือ และตาให้ประสานสัมพันธ์กนั
2. เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเพลดิ เพลิน ช่ืนชมในส่งิ ท่สี วยงาม
3. เพอ่ื สง่ เสรมิ การปรับตวั ในการทาํ งานรว่ มกับผู้อ่นื
4. เพอ่ื ส่งเสริมการแสดงออกและความมั่นใจในตนเอง
5. เพ่อื ส่งเสริมคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และทกั ษะทางสงั คม
6. เพื่อสง่ เสรมิ ทักษะทางภาษา
7. เพื่อฝกึ ทกั ษะการสังเกต และการแกป้ ัญหา
8. เพอ่ื สง่ เสริมความคดิ ริเริม่ สร้างสรรค์ และจนิ ตนาการ
ขอบข่ายการจดั กิจกรรมศลิ ปะสร้างสรรค์
1. การวาดภาพและระบายสี เชน่ การวาดภาพด้วยสเี ทยี น หรอื สีไม้ การวาดภาพด้วยสนี าํ้
2. การเลน่ กับสีนาํ้ เช่น การหยกสี การเทสี การเปาุ สี ละเลงสีดว้ ยนิว้ มือ
3. การพิมพ์ภาพ เช่น กาพมิ พภ์ าพดว้ ยพืช การพิมพภ์ าพดว้ ยวสั ดุต่าง ๆ
4. การป้ัน เช่น การปัน้ ดนิ เหนียว การป้นั แปงู ปัน้ การปนั้ ดนิ นา้ํ มนั การปน้ั แปงู ขนมปัง
5. การพบั ฉีก ตดั ปะ เช่น การพบั ใบตอง การฉีกกระดาษเสน้ การตดั ภาพต่าง ๆ
6. การปะตวิ สั ดุ
7. การประดิษฐ์ เชน่ การประดษิ ฐเ์ ศษวสั ดุ การรอ้ ย การสาน

สื่อกจิ กรรมศลิ ปะสร้างสรรค์
1. การวาดภาพและระบายสี
1.1 สเี ทยี นแทง่ ใหญ่ สีไม้ สีชอล์ก สนี าํ้
1.2 พูก่ ันขนาดใหญ่ (ประมาณเบอร์ 12)
1.3 กระดาษ
1.4 เอคลมุ หรือผา้ กันเปอื้ น
2. การเล่นกบั สี
2.1 การเปุาสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ สนี าํ้

38

2.2 การหยกสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ พกู่ นั สีน้าํ
2.3 การพับสี มี กระดาษ สีนํา้ พู่กนั
2.4 การเทสี มี กระดาษ สีน้ํา
2.5 การละเลงสี มี กระดาษ สีนาํ้ แปูงเปยี ก
3. การพิมพภ์ าพ
3.1 แมพ่ ิมพ์ตา่ ง ๆ จากของจริง เชน่ นิว้ มอื ใบไม้ กา้ นกลว้ ย
3.2 แม่พิมพจ์ ากวัสดอุ น่ื ๆ เช่น เชือก เส้นด้าย ตรายาง
3.3 กระดาษ ผา้ เชด็ มอื สีโปสเตอร์ (สีนํ้า สฝี นุ ฯลฯ)
4. การปนั้ เช่น ดินนา้ํ มัน ดินเหนยี ว แปูงโดว์ แผน่ รองป้นั แมพ่ ิมพ์รูปต่าง ๆ ไม้นวด
แปงู
5. การพับ ฉีก ตัดปะ เช่น กระดาษ หรือวัสดุอื่น ๆ ท่ีจะใช้พับ ฉีก ตัด ปะ กรรไกร
ขนาดเลก็ ปลายมน กาวน้าํ หรือแปงู เปียก ผ้าเชด็ มือ
6. การประดษิ ฐ์เศษวัสดุ เชน่ เศษวัสดุต่าง ๆ มีกล่องกระดาษ แกนกระดาษ เศษผ้า
เศษไหม กาว กรรไกร สี ผ้าเช็ดมือ
7. การร้อย เช่น ลูกปัด หลอดกาแฟ หลอดดา้ ย
8. การสาน เชน่ กระดาษ ใบตอง ใบมะพร้าว

แนวทางการจัดกจิ กรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์
1. เตรยี มจัดโต๊ะและอปุ กรณ์ให้พร้อม และเพียงพอก่อนทํากิจกรรม โดยจัดไว้หลาย

ๆ กจิ กรรม และอยา่ งนอ้ ย 3-5 กจิ กรรม เพื่อใหเ้ ด็กมีอสิ ระในการเลือกทาํ กิจกรรมทสี่ นใจ
2. ควรสร้างขอ้ ตกลงในการทํากิจกรรม เพ่ือฝึกให้เดก็ มีวินยั ในการอยรู่ ว่ มกัน
3. การจัดให้เด็กทํากิจกรรม ควรให้เด็กเลือกทํากิจกรรมอย่างมีระเบียบ และทยอย

เข้าทาํ กจิ กรรม โดยจดั โต๊ะละ 5-6 คน
4. การเปลี่ยนและหมุนเวียนทํากิจกรรม ต้องสร้างข้อตกลงกับเด็กให้ชัดเจน เช่น

หากกิจกรรมใดมีเพ่ือครบจาํ นวนท่ีกาํ หนดแล้ว ใหค้ อยจนกว่าจะมีท่ีวา่ ง หรือให้ทาํ กจิ กรรมอ่นื ก่อน
5. กิจกรรมใดเป็นกิจกรรมใหม่ หรือการใช้วัสดุ อุปกรณ์ใหม่ ครูจะต้องอธิบาย

วิธีการทํา วิธกี ารใช้ วิธกี ารทําความสะอาด และการเก็บของเขา้ ท่ี
6. เมื่อทํางานเสร็จหรือหมดเวลา ควรเตือนให้เด็กเก็บวัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมือ

เคร่ืองใช้เขา้ ทแี่ ละช่วยกันดูแลห้องใหส้ ะอาด

39

ขอ้ เสนอแนะ
1. ควรจัดการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ให้เด็กทําทุกวัน วันละ 3-5 กิจกรรม

และให้เด็กเลือกทําอย่างน้อย 1-2 กิจกรรมตามความสนใจ ควรเน้นกระบวนการทางศิลปะของเด็ก
และไมเ่ น้นใหเ้ ด็กทําเหมือนกันท้งั หอ้ ง

2. การจัดเตรียมวสั ดุอปุ กรณ์ ควรพยายามหาวัสดุทอ้ งถนิ่ มาใช้กอ่ นเป็นอันดบั แรก
3. ก่อนใหเ้ ดก็ ทํากิจกรรม ต้องอธิบายวิธีใช้วัสดุที่ถูกต้องให้เด็กทราบพร้อมท้ังสาธิต
ให้ดจู นเขา้ ใจ เชน่ การใชพ้ กู่ นั หรือกาว จะตอ้ งปาดพกู่ ันหรือกาวน้ันกับขอบภาชนะท่ีใส่ เพื่อไม่ให้กาว
หรือสไี หลเลอะเทอะ
4. ควรให้เด็กทํากิจกรรมอิสระ หรือเป็นกลุ่มย่อย เพื่อฝึกการวางแผน และการ
ทํางานร่วมกันกับผูอ้ ่ืน
5. ควรแสดงความสนใจ และช่ืนชมผลงานของเด็กทุกคน และนําผลงานของเด็กทุก
คนหมุนเวยี นจัดแสดงที่ปาู นนิเทศ
6. หากพบว่าเด็กคนใดสนใจทํากิจกรรมเดียวทุกคร้ัง ควรชักชวนให้เด็กเปลี่ยนทํา
กิจกรรมอื่นบ้าง เพราะกิจกรรมสร้างสรรค์แต่ละประเภทพัฒนาเด็กแต่ละด้านแตกต่างกัน และเม่ือ
เดก็ ทําตามท่ีแนะนาํ ได้ ควรให้แรงเสริมทางบวกทุกครั้ง
7. เมื่อเด็กทํางาเสร็จ ควรให้เล่าเร่ืองเกี่ยวกับส่ิงท่ีทําหรือภาพที่วาด โดยครูหรือ
ผูส้ อนบนั ทึกเรือ่ งราวทีเ่ ด็กเลา่ และวนั ท่ที ท่ี ํา เพือ่ ใหท้ ราบความก้าวหน้าและระดับพัฒนาการของเด็ก
โดยเขยี นด้วยตวั บรรจงและให้เดก็ เห็นลลี ามือในการเขียนทถี่ ูกตอ้ ง
8. เก็บผลงานช้ินท่ีแสดงความก้าวหน้าของเด็กเป็นรายบุคคลเพื่อเป็นข้อมูลสังเกต
พฒั นาการของเดก็

กิจกรรมการเล่นตามมมุ
กิจกรรมการเล่นตามมุม เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กเล่นอิสระตามมุมเล่น หรือมุม
ประสบการณ์ หรอื กําหนดเปน็ พืน้ ทเ่ี ลน่ ทจ่ี ดั ไวใ้ นหอ้ งเรยี น ซ่ึงพื้นท่ีหรือมุมต่าง ๆ เหล่าน้ีเด็กมีโอกาส
เลือกเล่นได้อย่างเสรีตามความสนใจและความต้องการของเด็ก ทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่มย่อย
เดก็ อาจจะเลือกทาํ กิจกรรมท่คี รูจดั เสริมขึ้น เช่น เกมการศึกษา เครื่องเล่นสัมผัส โดยจัดให้สอดคล้อง
กับจุดประสงค์ ดงั น้ี

จดุ ประสงค์
1. เพ่ือส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเน้ือใหญ่ กล้ามเน้ือเล็ก และการประสานสัมพันธ์

ระหว่างมอื กับตา

40

2. เพ่ือส่งเสริมให้รู้จักปรับตัวอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน มีวินัยเชิงบวก รู้จักการรอคอย
เอือ้ เฟือ้ เผ่ือแผ่ และใหอ้ ภัย

3. เพื่อสง่ เสรมิ ใหเ้ ด็กมโี อกาสปฏสิ ัมพนั ธ์กับเพือ่ น ครู และสิ่งแวดลอ้ ม
4. เพอื่ ส่งเสริมพัฒนาการทางดา้ นภาษา
5. เพอ่ื ส่งเสริมให้เดก็ มีนิสยั รักการอา่ น
6. เพอื่ สง่ เสริมใหเ้ ด็กเกิดการเรียนร้ดู ว้ ยตนเองจากการสํารวจ การสงั เกต และการทดลอง
7. เพือ่ สง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ พัฒนาความคิดสรา้ งสรรคแ์ ละจินตนาการ
8. เพอื่ ส่งเสรมิ การคดิ แกป้ ัญหา การคิดอยา่ งมีเหตผุ ลเหมาะสมกับวยั
9. เพอ่ื สง่ เสริมใหเ้ ด็กฝึกคดิ วางแผน และตดั สินในการทาํ กจิ กรรม
10. เพื่อสง่ เสรมิ ใหม้ ที ักษะพน้ื ฐานทางวิทยาศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร์
11. เพื่อฝกึ การทาํ งานรว่ มกัน ความรับผิดชอบ และระเบยี บวินัย

ขอบขา่ ยของการจัดกจิ กรรมการเล่นตามมุม
1. เปิดโอกาสให้เด็กเลือกทํากิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ และเล่นตามมุมเล่นในช่วงเวลา
เดียวกนั อย่างอิสระ
2. การจัดมุมเล่นหรือมุมประสบการณ์ ควรจัดอย่างน้อย 3-5 มุม ดังตัวอย่างมุมเล่นหรือมุม
ประสบการณ์ ดังนี้

2.1 มมุ บล็อก เปน็ มมุ ทสี่ ง่ เสริมให้เดก็ เรียนร้เู ก่ียวกับมิตสิ ัมพนั ธ์ผ่านการสรา้ ง
2.2 มุมหนังสือ เป็นมุมท่ีเด็กเรียนรู้เกี่ยวกับภาษา จากการฟัง การพูด การอ่าน การเล่า
เร่อื ง หรือการยมื -คืน หนังสอื
2.3 มุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติศึกษา เป็นมุมท่ีเด็กได้เรียนรู้ธรรมชาติรอบตัว ผ่าน
การเล่นทดลองอยา่ งง่าย
2.4 มุมเครื่องเล่นสัมผัส เป็นมุมท่ีเด็กจะได้ฝึกการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา การ
สรา้ งสรรค์ เช่น การรอ้ ย การสาน การตอ่ เข้า การถอดออก ฯลฯ
2.5 มุมบทบาทสมมติ เป็นมุมที่เด็กได้เรียนรู้เก่ียวกับบทบาทของแต่ละอาชีพหรือแต่ละ
หนา้ ทท่ี ่เี ด็ก ๆ เลยี นแบบบทบาท

สอ่ื กจิ กรรมการเล่นตามมมุ
1. มุมบทบาทสมมติ อาจจัดเปน็ มุมเล่นตา่ ง ๆ เชน่

1.1 มุมบา้ น

41

1) ของเล่นเคร่ืองใช้ในครัวขนาดเล็ก หรือของจําลอง เช่า เตา กระทะ ครก กาน้ํา
เขียง มดี พลาสตกิ หม้อ จาน ซ้อน ถว้ ยชาม กะละมัง

2) เครอ่ื งเล่นตุ๊กตา เสือ้ ผ้าต๊กุ ตา เตยี ง เปลเดก็ ตกุ๊ ตา
3) เคร่ืองแต่งบ้านจําลอง เช่น ชุดรับแขก โต๊ะเคร่ืองแปูง หมอนอิง หวี ตลับแปูง
กระจกขนาดเห็นเต็มตัว
4) เคร่ืองแต่งกายบุคคลอาชีพต่าง ๆ ที่ใช้แล้ว เช่น ชุดเคร่ืองแบบทหาร ตํารวจ ชุด
เสอื้ ผา้ ผู้ใหญ่ชายและหญงิ รองเทา้ กระเปา฻ ถือท่ีไมใ่ ชแ่ ล้ว
5) โทรศัพท์ เตารดี จําลอง ทร่ี ดี ผา้ จาํ ลอง
6) ภาพถา่ ยและรายการอาหาร
1.2 มุมหมอ
1) เครื่องเล่นจําลองแบบเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์การรักษาผู้ปุวย เช่น หูฟัง เส้ือ
คลุมหมอ
2) อุปกรณส์ ําหรบั เลียนแบบการบนั ทกึ ขอ้ มูลผ้ปู ุวย เช่น กระดาษ ดนิ สอ ฯลฯ
3) เคร่อื งชัง่ นา้ํ หนัก วดั ส่วนสูง
1.3 มุมร้านค้า
1) กลอ่ งและขวดผลิตภณั ฑต์ า่ ง ๆ ทใี่ ช้แล้ว
2) ผลไม้จาํ ลอง ผกั จําลอง
3) อปุ กรณ์ประกอบการเล่น เชน่ เครอื่ งคดิ เลข ลกุ คดิ ธนบตั รจําลอง ฯลฯ
4) ปูายชือ่ ร้าน
5) ปาู ยช่อื ผลไม้ ผักจําลอง

มมุ บลอ็ ก
1) ไม้บล็อกหรือแท่งไม้ท่ีมีขนาดและรูปทรงต่าง ๆ กัน เช่น บล็อกตัน บล็อกโต๊ะ
จาํ นวนต้งั แต่ 100 ชนิ้ ขึ้นไป
2) ของเลน่ จําลอง เชน่ รถยนต์ เคร่ืองบิน รถไฟ คน สตั ว์ ตน้ ไม้
3) ภาพถา่ ยต่าง ๆ
4) ทีจ่ ดั ไมบ้ ลอ็ กหรือท่งไมอ้ าจเป็นชั้น ลังไม้หรือพลาสตกิ แยกตาม รูปทรง ขนาด
มุมหนงั สือ
1) หนังสือภาพนิทาน หนงั สือภาพที่มคี ําและประโยคส้ัน ๆ พรอ้ มภาพ
2) ชั้นหรอื ที่วางหนังสือ
3) อุปกรณ์ต่าง ๆ ทใี่ ชใ้ นการสรา้ งบรรยากาศการอา่ น เชน่ เส่ือ พรม หมอน

42

4) สมดุ เซน็ ชอ่ื ยมื หนงั สอื กลบั บา้ น
5) อปุ กรณส์ ําหรบั การเขียน
6) อปุ กรณเ์ สริม เชน่ เครอื่ งเสยี ง แผ่นนิทานพร้อมหนงั สือนิทาน หฟู ัง
มมุ วทิ ยาศาสตร์ หรอื อมมุ ธรรมชาตศิ กึ ษา
1) วสั ดุต่าง ๆ จากธรรมชาติ เล่น เมลด็ พืชตา่ ง ๆ เปลือกหอย ดนิ หิน แร่ ฯลฯ
2) เคร่ืองมือเครื่องใช้ในการสํารวจ สังเกต ทดลอง เช่น แว่นขยาย แม่เล็ก เข็มทิศ
เครื่องชงั่
แนวการจัดกจิ กรรมการเลน่ ตามมุม
1) แนะนาํ มมุ เลน่ ใหม่ เสนอแนะวิธีใช้ การเล่นของเลน่ บางชนิด
2) เดก็ และครรู ว่ มกนั สร้างข้อตกลงเก่ียวกบั การเล่น
3) ครูเปิดโอกาสให้เด็กคิด วางแผน ตัดสินใจเลือกเล่นอย่างอิสระ เลือกทํากิจกรรมท่ี
จัดขึน้ ตามความสนใจของเดก็ แตล่ ะคน
4) ขณะเดก็ เลน่ / ทาํ งาน ครอู าจช้ีแนะ หรือมีส่วนร่วมในการเล่นกบั เด็กได้
5) เด็กต้องการความช่วยเหลือและคอยสังเกตพฤติกรรมการเล่นของเด็กพร้อมท้ังจด
บนั ทกึ พฤติกรรมทน่ี ่าสนใจ
6) เตอื นใหเ้ ดก็ ทราบลว่ งหน้าก่อนหมดเวลาเล่น ประมาณ 3-5 นาที
7) ใหเ้ ดก็ เก็บของเล่นเข้าทใี่ หเ้ รียบรอ้ ยทุกครั้งเม่ือเสรจ็ สน้ิ กจิ กรรม
ข้อเสนอแนะ

1. ขณะเด็กเล่น ครูต้องสังเกตความสนใจในการเล่นของเด็ก หากพบว่ามุมใด เด็ก
ส่วนใหญไ่ ม่สนใจท่จี ะเลน่ ควรเปล่ยี นหรอื จัดส่อื ในมมุ เล่นใหม่ เช่น มุมบ้าน อาจ
ดัดแปลงหรือเพิ่มเตมิ หรอื เปล่ียนเปน็ มุมร้านค้า มุมเสรมิ สวย มมุ หมอ ฯลฯ

2. หากมมุ ใดมีจํานวนเดก็ ในมุมมากเกินไปควรเปิดโอกาสให้เด็กเลอื กเลน่ มุมใหม่
3. หากเด็กเลือกเล่นมุมเดียวเป็นระยะเวลานาน ควรซักชวนให้เด็กเลือกเล่นมุมอ่ืน
ๆ ดว้ ย เพ่อื ใหเ้ ดก็ มปี ระสบการณ์การเรียนรูใ้ นด้านอ่ืน ๆ ดว้ ย
4. การจัดส่ือหรือเคร่ืองเล่นในแต่ละมุม ควรมีการทําความสะอาด และสับเปลี่ยน
หรือเพิ่มเติมเป็นระยะ โดยคาํ นึงถงึ ลาํ ดับขน้ั การเรยี นรู้ เพอ่ื ให้เดก็ เกดิ กาเรียนรทู้ ่ีหลากหลาย

43

กิจกรรมการเล่นกลางแจ้ง
กิจกรรมการเล่นกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมท่ีจัดให้เด็กได้มีโอกาสออกไปนอกห้องเรียน เพื่อ
เคลอื่ นไหวร่างกายออกกาํ ลัง และแสดงออกอย่างอิสระ โดยยึดความสนใจและความสามารถของเด็ก
แต่ละคนเปน็ หลกั โดยจดั ให้สอดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์ ดงั นี้

จุดประสงค์
1. เพอ่ื พฒั นากล้ามเนือ้ ใหญ่ กล้ามเนือ้ เลก็ และการประสานสมั พนั ธ์ของอวัยวะตา่ ง ๆ
2. เพื่อส่งเสรมิ ให้มรี ่างกายแขง็ แรง สขุ ภาพดี
3. เพือ่ ส่งเสรมิ ใหเ้ กิดความสนกุ สนาน ผ่อนคลายความเครยี ด
4. เพื่อปรบั ตวั เลน่ และทํางานรว่ มกับผู้อืน่
5. เพื่อเรยี นรูก้ ารระมัดระวัง รกั ษาความปลอดภัยท้งั ของตนเองและผู้อ่ืน
6. เพอ่ื ฝึกการตัดสนิ ใจ และแก้ปญั หาดว้ ยตนเอง
7. เพอ่ื ส่งเสรมิ ใหม้ ีความอยากรูอ้ ยากเห็นสงิ่ ตา่ ง ๆ ทแ่ี วดลอ้ มรอบตวั
8. เพ่ือพฒั นาทกั ษะการเรยี นรูต้ ่าง ๆ เชน่ การสังเกต การเปรียบเทียบ การจาํ แนก ฯลฯ
ขอบขา่ ยของกจิ กรรมการเล่นกลางแจง้
ลกั ษณะกิจกรรมการเล่นกลางแจง้ ทีค่ รูควรจัดให้เด็กได้เลน่ ได้แก่
1. การเล่นเคร่อื งเลน่ สนาม
เครื่องเล่นสนาม หมายถึง เคร่ืองเล่นท่ีเด็กอาจปีนปุาย หมุน ซึ่งทําออกมาในรูปแบบต่าง ๆ
เชน่

1.) เครื่องเลน่ สาํ หรบั ปีนปุาย หรือตาขา่ ยสาํ หรบั ปนี ปาุ ย
2.) เคร่อื งเลน่ สําหรับโยกหรือไกว เชน่ มา้ ไม้ ชงิ ชา้ ม้านงั่ โยก ไม้กระดก
3.) เครือ่ งเลน่ สําหรับหมุน เชน่ ม้าหมุน พวงมาลยั รถสาํ หรบั หมุน
4.) ราวโหนขนาดเล็กสําหรับเด็ก
5.) ต้นไม้สาํ หรับเดนิ ทรงตวั หรอื ไมก้ ระดานแผ่นเดยี ว
6.) เครอ่ื งเล่นประเภทลอ้ เลื่อน เชน่ รถสามลอ้ รถลากจงู
2. การเล่น
ทราย
ทรายเป็นสิ่งท่ีเด็ก ๆ ชอบเล่น ทั้งทรายแห้ง ทรายเปียก นํามาก่อเป็นรูปต่าง ๆ ได้ และ
สามารถนําวัสดอุ ื่นมาประกอบการเลน่ ตกแต่งได้ เชน่ ก่งิ ไม้ ดอกไม้ เปลอื กหอย พิมพ์ขนม ทีต่ กั ทราย

44

ปกตอบ่อทรายจะอยกู่ ลางแจ้ง โดยอาจจัดให้อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้หรือสร้างหลังคาทํา
ขอบก้ัน เพื่อมิให้ทรายกระจัดกระจาย บางโอกาสอาจพรมน้ําให้ช้ืน เพื่อเด็กจะได้ก่อเล่น นอกจากนี้
ควรมวี ิธีการปิดก้นั มิให้สัตว์เล้ยี งลงไปทาํ ความสกปรกในบอ่ ทรายได้

3. การเลน่ นา้
เด็กท่ัวไปชอบเล่นน้ํามาก การเล่นน้ํานอกจากสร้างความพอใจและคลายความเครียดให้เด็ก
แลว้ ยังทาํ ให้เด็กเกิดการเรยี นรอู้ ีกด้วย เช่น เรยี นรู้ทกั ษะการสงั เกต จําแนกเปรียบเทียบปริมาตร

อุปกรณท์ ีใ่ สน่ าํ้ อาจเป็นถงั ทีส่ รา้ งข้นึ โดยเฉพาะหรืออ่างน้ําวางบนขาต้ังที่มั่นคง ความสูง
พอที่เด็กจะยนื ได้พอดี และควรมผี า้ พลาสติกกนั เสื้อเปียกใหเ้ ด็กใชค้ ลมุ ระหวา่ งเล่น

4. การเลน่ สมมตใิ นบา้ นตุ๊กตาหรอื บ้านจาลอง
เป็นบ้านจําลองสําหรับให้เด็กเล่น จําลองจากบ้านจริง ๆ อาจทําด้วยเศษวัสดุประเภท

ผ้า กระสอบปุาน ของจริงที่ไม่ใช่แล้ว เช่น หม้อ เตา ชาม อ่าง เตารีด เคร่ืองครัว ตุ๊กตาสมมติเป็น
รายบุคคลในครอบครัว เส้ือผ้าผู้ใหญ่ท่ีไม่ใช้แล้วสําหรับผลัดเปล่ียน มีการตกแต่งบริเวณใกล้เคียงให้
เหมือนบ้านจริง ๆ บางคร้ังอาจจัดเป็นร้านขายของ สถานที่ทําการต่าง ๆ เพื่อให้เด็กเล่นสมมติตาม
จนิ ตนาการของเด็กเอง

5. การเลน่ ในมมุ ช่างไม้
เดก็ ต้องการออกแรงเคาะ ตอก กจิ กรรมการเล่นในมุมช่างไม้นี้จะช่วยในการพัฒนากล้ามเนื้อ
ใหแ้ ข็งแรง ชว่ ยฝกึ การใช้มือและการประสานสัมพนั ธร์ ะหว่างมือกับตา นอกจากน้ียังฝึกให้รักงานและ
ส่งเสรมิ ความคิดสร้างสรรค์อีกดว้ ย
6. การเลน่ เกมการละเล่น
กิจกรรมการเล่นเกมการละเล่นท่ีจัดให้เด็กเล่น เช่น เกมการละเล่นของไทย เกมการละเล่น
ของท้องถ่ิน เช่น มอญซอ่ นผ้า รีรีข้าวสาร แม่งู โพงพาง ฯลฯ การละเล่นเหล่าน้ี ต้องใช้บริเวณท่ีกว้าง
การเล่นอาจเล่นเปน็ กลมุ่ เล็ก/กลุ่มใหญ่ก็ได้ กอ่ นเล่นครูอธิบายกติกาและสาธิตให้เด็กเข้าใจ ไม่ควรนํา
เกมการละเลน่ ที่มีกติกาย่งุ ยากและเน้นการแขง่ ขนั แพช้ นะ มาจดั กิจกรรมให้กับเด็กวัยนี้ เพราะเด็กจะ
เกดิ ความเครยี ดและสรา้ งความรสู้ กึ ที่ไม่ดตี อ่ ตนเอง
ส่ือกจิ กรรมการเลน่ กลางแจง้
1. การเลน่ เครอื่ งเล่นสนาม

เครื่องเล่นสนาม หมายถึง เคร่ืองเล่นท่ีเด็กอาจปีนปุาย หมุน ซ่ึงทําออกมาในรูปแบบ
ต่าง ๆ เช่น

1.1 เครื่องเล่นสาํ หรบั ปืนปุาย หรอื ตาขา่ ยสําหรับปีนปาุ ย
1.2 เครอ่ื งเล่นสาํ หรบั โยกหรือไกว เช่น มา้ ไม้ ชิงช้า ม้านัง่ โยกไม้กระดก

45

1.3 เครื่องเลน่ สาํ หรับหมุน เชน่ ม้าหมนุ พวงมาลัยรถสาํ หรบั หมุนเล่น
1.4 ราวโหนขนาดเลก็ สําหรับเดก็
1.5 ตน้ ไมส้ ําหรบั เดนิ ทรงตวั หรอื ไม้กระดานแผ่นเดยี ว
1.6 เครอ่ื งเลน่ ประเภทล้อเลอื่ น เชน่ รถสามลอ้ รถลากจูง
2. การเล่นทราย
ทรายเป็นสิ่งที่เด็ก ๆ ชอบเล่น ทั้งทรายแห้ง ทรายเปียก นํามาก่อเป็นรูปร่างต่าง ๆ
ได้และสามารถนําวัสดุอน่ื มาประกอบการเล่นตกแต่งได้ เชน่ ก่ิงไม้ เปลือกหอย พิมพข์ นม ที่ตกั ทราย
ปกติบ่อทรายจะอยู่กลางแจ้ง โดยอาจจัดให้อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้หรือสร้างหลังคา
ทาํ ของกัน้ เพือ่ มิใหท้ รายกระจัดกระจาย บางโอกาสอาจพรมนํ้าให้ชื้นเพื่อเด็กจะได้ก่อเล่น นอกจากน้ี
ควรมีวิธีการปิดกัน้ มใิ หส้ ตั วเ์ ลย้ี งลงไปทําความสกปรกในบ่อทรายได้
3.การเลน่ น้า
เด็กทั่วไปชอบเล่นนํ้ามาก การเล่นน้ํานอกจากสร้างความพอใจและคลายความเครียดให้
เด็กแล้วยังทําให้เด็กเกิดการเรียนรู้อีกด้วย เช่น เรียนรู้ทักษะการสังเกต จําแนกเปรียบเทียบปริมาตร
อปุ กรณท์ ใ่ี ส่นํ้าอาจเป็นถังท่ีสร้างขึ้นโดยเฉพาะหรืออ่างน้ําวางบนขาต้ังท่ีมั่นคง ความสูงพอดีท่ีเด็กจะ
ยนื ได้พอดี และควรมีผา้ พลาสตกิ กนั เสอ้ื ผา้ เปยี กใหเ้ ดก็ ใชค้ ลมุ ระหว่างเล่น
4. การเล่นสมมติในบา้ นต๊กุ ตาหรือบา้ นจาลอง
เป็นบ้านจําลองสําหรับให้เด็กเล่น จําลองแบบจากบ้านจริง ๆ อาจทําด้วยเศษวัสดุ
ประเภทผ้าใบ กระสอบปุาน ของจริงที่ไม่ใช้แล้ว เช่น หม้อ เตา ชาม อ่าง เตารีด เคร่ืองครัว ตุ๊กตา
สมมติเป็นบุคคลในครอบครัว เสื้อผ้าผู้ใหญ่ที่ไม่ใช้แล้วสําหรับผลัดเปล่ียน มีการตกแต่งบริเวณ
ใกล้เคียงให้เหมือนบ้านจริง ๆ บางคร้ังอาจจัดเป็นร้านขายของ สถานท่ีทําการต่าง ๆ เพ่ือให้เด็กเล่น
สมมตติ ามจนิ ตนาการของเด็กเอง
5. การเล่นในมมุ ช่างไม้
เด็กต้องการออกแรงเคาะ ตอก กิจกรรมการเล่นในมุมช่างไม้น้ีจะช่วยในการพัฒนา
กล้ามเน้ือให้แข็งแรง ช่วยฝึกการใช้มือและการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา นอกจากน้ียังฝึกให้
รักงานและส่งเสรมิ ความคิดสรา้ งสรรคอ์ กี ด้วย
6. การเล่นเกมการละเลน่
กิจกรรมการเล่นเกมการละเล่นท่ีจัดให้เด็กเล่น เช่น เกมการละเล่นของไทย เกม
การละเล่นของท้องถิ่น เช่น มอญซ่อนผ้า รีรีข้าวสาร แม่งู โพงพาง ฯลฯ การละเล่นเหล่านี้ ต้องใช้
บริเวณที่กว้าง การเล่นอาจเล่นเป็นกลุ่มเล็ก/กลุ่มใหญ่ก็ได้ ก่อนเล่นครูอธิบายกติกาและสาธิตให้เด็ก

46

เข้าใจ ไม่ควรนําเกมการละเล่นที่มีกติกายุ่งยากและเน้นการแข่งขันแพ้ชนะ มาจัดกิจกรรมให้กับเด็ก
วยั นี้ เพราะเด็กจะเกดิ ความเครียดและสร้างความร้สู ึกที่ไมด่ ีตอ่ ตนเอง

แนวการจดั กจิ กรรม
1. เดก็ และครูรว่ มกันสร้างข้อตกลง

2. จัดเตรยี มวัสดอุ ปุ กรณ์ประกอบการเล่นให้พรอ้ ม
3. สาธติ การเลน่ เครอ่ื งเลน่ สนามบางชนิด
4. ให้เด็กเลอื กเลน่ อิสระตามความสนใจและใหเ้ วลาเลน่ นานพอควร
5. ครูควรจัดกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัย (ไม่ควรจัดกิจกรรมพลศึกษา) เช่น การเล่นนํ้า
เล่นทราย เล่นบ้านตุ๊กตา เล่นในมุมช่างไม้ เล่นบล็อกกลวง เคร่ืองเล่นสนาม เกมการละเล่น เล่น
อปุ กรณ์กีฬาสําหรับเด็ก เล่นเครอ่ื งเลน่ ประเภทล้อเลอื่ น เลน่ ของเลน่ พ้ืนบ้าน (เดนิ กะลา ฯลฯ)
6. ขณะเด็กเล่นครุต้องคอยดุแลความปลอดภัยและสังเกตพฤติกรรมการเล่น การอยู่
รว่ มกนั กบั เพ่อื นของเด็กอยา่ งใกลช้ ดิ
7. เมอ่ื หมดเวลาควรใหเ้ ด็กเก็บของใชห้ รอื ของเลน่ ใหเ้ รยี บร้อย
8. ใหเ้ ด็กทาํ ความสะอาดร่างกายและดุแลเครื่องแต่งกายให้เรียบรอ้ ยหลังเล่น
ขอ้ เสนอแนะ
1. หม่ันตรวจตราเคร่ืองเล่นสนามและอุปกรณ์ประกอบให้อยู่ในสภาพท่ีปลอดภัยและใช้การ
ได้ดีอยู่เสมอ
2. ให้โอกาสเด็กเลอื กเลน่ กลางแจ้งอยา่ งอิสระทกุ วัน อย่างนอ้ ยวนั ละ 30 นาที
3. ขณะเด็กเล่นกลางแจ้ง ครูต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพ่ือระมัดระวังความปลอดภัยใน
การเลน่ หากพบว่าเดก็ แสดงอาการเหนอื่ ย ออ่ นลา้ ควรให้เด็กหยดุ พัก
4. ไม่ควรนํากิจกรรมพลศึกษาสําหรับเด็กระดับประถมศึกษามาใช้สอนกับเด็กระดับ
ปฐมวัย เพราะยงั ไมเ่ หมาะสมกับวัย
5. หลังจากเลิกกิจกรรมกลางแจ้ง ควรให้เด็กได้พักผ่อนหรือน่ังพัก ไม่คว รให้เด็ก
รับประทานอาหารกลางวันหรอื ด่มื นมทนั ที เพราะอาจทาํ ให้เดก็ อาเจยี น เกิดอาการจกุ แนน่ ได้
เกมการศกึ ษา
เกมการศึกษา (Didactic games) เป็นเกมที่ช่วยพัฒนาสติปัญญาช่วยส่งเสริมให้เด็กเกิดการ
เรยี นรูเ้ ป็นพนื้ ฐานการศกึ ษา มกี ฎเกณฑ์กติกาง่าย ๆ เด็กสามารถเล่นคนเดียวหรือเป็นกลุ่มได้ ช่วยให้
เด็กรู้จักสังเกต คิดหาเหตุผลและเกิดความคิดรวบยอด เก่ียวกับสี รูปร่าง จํานวน ประเภท และ
ความสัมพันธ์เก่ียวกับพื้นที่ ระยะ เกมการศึกษาที่เหมาะสมจะช่วยฝึกทักษะความพร้อมทางด้าน
ร่างกาย อารมณ์ สงั คม และสติปัญญาสาํ หรับเด็กวัย 3-6 ปี มจี ดุ ประสงค์ ดังน้ี

47

จุดประสงค์
1. เพ่ือฝึกทักษะการสงั เกต จาํ แนกและเปรยี บเทยี บ
2. เพือ่ ฝกึ การแยกประเภท การจัดหมวดหมู่
3. เพ่ือส่งเสริมการคิดหาเหตผุ ล และตัดสนิ ใจแก้ปัญหา
4. เพื่อส่งเสริมใหเ้ ดก็ เกดิ ความคดิ รวบยอดเกยี่ วกับสง่ิ ทไ่ี ดเ้ รียนรู้
5. เพอ่ื ส่งเสรมิ การประสานสัมพันธร์ ะหว่างกับตา
6. เพื่อปลุกฝ่งั คุณธรรมและจรยิ ธรรมต่าง ๆ เชน่ ความรบั ผิดชอบ ความเอ้ือเฟอ้ื เผ่ือแผ่

ประเภทของเกมการศึกษา
1. เกมจับคู่ เช่น จับคู่ภาพเหมือน จับคู่ภาพกับเงา จับคู่ภาพกับโครงร่าง จับคู่ภาพท่ีซ่อนอยู่
ในภาพหลัก จับคู่ภาพท่ีมีความสัมพันธ์กัน จับคู่ภาพสัมพันธ์แบบตรงกันข้าม จับคู่ภาพท่ีสมมาตร
จบั คภู่ าพแบบอนกุ รม ฯลฯ

2. เกมตอ่ ภาพให้สมบรู ณ์ (Jigsaws) หรือภาพตดั ต่อ
3. เกมวางภาพตอ่ ปลาย (โดมิโน)
4. เกมเรียงลาํ ดับ
5. เกมการจัดหมวดหมู่
6. เกมการศึกษารายละเอียดของภาพ (ลอตโต้)
7. เกมจับคู่แบบตารางสัมพันธ์ (เมตริกเกม)
8. เกมพ้ืนฐานการบวก
9. เกมหาความสัมพนั ธต์ ามลําดบั ที่กําหนด
ส่อื เกมการศกึ ษา

1. เกมจับคู่
เพื่อให้เด็กได้ฝึกสังเกตสิ่งท่ีเหมือนกันหรือต่างกัน ซึ่งอาจเป็นการเปรียบเทียบ

ภาพต่าง ๆ แล้วจัดเป็นคู่ ๆ ตามจุดมุ่งหมายของเกมแตล่ ะชุด เกมประเภทจับคู่น้ีสามารถแบ่งได้หลาย
แบบ ดงั นี้

1.1 เกมจับคภู่ าพทเ่ี หมอื นกันหรอื จับคู่สงิ่ ของเดียวกัน
1.2 เกมจบั คู่ภาพสิง่ ท่มี คี วามสัมพันธก์ นั
1.3 เกมจับค่ภู าพชน้ิ สว่ นทีห่ ายไป
1.4 เกมจบั คภู่ าพท่สี มมาตรกัน
1.5 เกมจบั คู่ภาพท่สี มั พนั ธ์กนั แบบอุปมาอปุ ไมย
1.6 เกมจบั คู่แบบอนุกรม

48

2. เกมภาพตดั ต่อ
2.1 ภาพตดั ต่อท่สี มั พนั ธ์กับหนว่ ยการเรยี นรู้ต่าง ๆ เชน่ ผลไม้ ผกั
2.2 ภาพตัดตอ่ แบบมติ สิ มั พนั ธ์

3. เกมจดั หมวดหมู่
3.1 ภาพสิง่ ตา่ ง ๆ ทน่ี าํ มาจดั เป็นพวก ๆ
3.2 ภาพเก่ยี วกับประเภทของใช้ในชวี ติ ประจาํ วัน
3.3 ภาพจัดหมวดหม่ตู ามรูปรา่ ง สี ขนาด รูปทรงเรขาคณติ

4. เกมวางภาพต่อปลาย (โดมโิ น)
4.1 โดมโิ นภาพเหมือน
4.2 โดมโิ นภาพสัมพนั ธ์

5. เกมเรียงลาํ ดบั
5.1 เรียงลาํ ดับภาพเหตกุ ารณต์ ่อเน่อื ง
5.2 เรยี งลาํ ดบั ขนาด

6. เกมศกึ ษารายละเอยี ดของภาพ (ลอตโต)
7. เกมจบั คแู่ บบตารางสัมพนั ธ์ (เมตริกเกม)
8. เกมพืน้ ฐานการบวก
แนวทางการจัดกจิ กรรมเกมการศกึ ษา
1. แนะนาํ กิจกรรมใหม่

2. สาธิต/อธบิ าย วธิ ีเล่นเกมอยา่ งเปน็ ขน้ั ตอนตามประเภทของเกม
3. ให้เดก็ หมุนเวียนเขา้ มาเปน็ กลมุ่ หรอื รายบุคคล
4. ขณะทเี่ ดก็ เล่นเกม ครเู ปน็ เพียงผูแ้ นะนาํ
5. เมอื่ เดก็ เลน่ เกมแต่ละชุดเสร็จเรียบร้อย ควรให้เด็กตรวจสอบความถูกต้องด้วย
ตนเอง หรือรว่ มกนั ตรวจกับเพอ่ื น หรอื ครเู ปน็ ผู้ช่วยตรวจ
6. ให้เด็กนําเกมที่เล่นแล้วเก็บใส่กล่อง เข้าท่ีให้เรียบร้อยทุกครั้งก่อนเล่นเกมชุด
อ่นื
ข้อเสนอแนะ

1. การจัดประสบการณ์เกมการศึกษาในระยะแรก ควรเริ่มสอนโดยใช้ของ
จริง เชน่ การจบั คกู่ ระป฻องแปงู ที่เหมอื นกนั หรือการเรียงลาํ ดับกระปอ฻ งแปูงตามลําดบั สงู – ตาํ่

2. การเล่นเกมในแตล่ ะวนั อาจจดั ใหเ้ ล่นทงั้ เกมชุดใหม่และชดุ เก่า

49

3. ครูอาจให้เด็กหมุนเวียนเข้ามาเล่นเกมกับครูทีละกลุ่ม หรือสอนท้ังช้ัน
ตามความเหมาะสม

4. ครูอาจให้เด็กท่ีเลน่ ไดแ้ ลว้ มาชว่ ยแนะนาํ กติกาการเลน่ ในบางโอกาสได้
5. การเล่นเกมการศึกษา นอกจากใชเ้ วลาในช่วงกิจกรรมเกมการศึกษาตาม
ตารางกิจกรรมประจําวันแลว้ อาจใหเ้ ดก็ เลอื กเลน่ อิสระในช่วงเวลากิจกรรมการเลน่ ตามมุมได้
6. การเก็บเกมที่เล่นแล้ว อาจเก็บใส่กล่องเล็ก ๆ หรือใส่ถุงพลาสติกหรือใส่
ยางรัดแยกแต่ละเกม แลว้ จดั ใส่กล่องใหญ่รวมไว้เป็นชดุ
1.11 การประเมินพัฒนาการ
การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ 3 - 6 ปี เป็นการประเมินพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ
สงั คมและสติปัญญาของเด็ก โดยถือเป็นกระบวนการต่อเน่ืองและเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมปกติที่จัด
ให้เด็กในแต่ละวันผลท่ีได้จากการสังเกตพัฒนาการเด็กต้องนํามาจัดทําสารนิทัศน์หรือจัดทําข้อมูล
หลักฐานหรือเอกสารอยา่ งเปน็ ระบบดว้ ยการรวบรวมผลงานสําหรับเด็กเป็นรายบุคคลท่ีสามารถบอก
เร่ืองราวหรือประสบการณ์ที่เด็กได้รับว่าเด็กเกิดการเรียนรู้และมีความก้าวหน้าเพียงใด ท้ังนี้ ให้นํา
ข้อมลู ผลการประเมนิ พัฒนาการเด็กมาพิจารณา ปรบั ปรุงวางแผนการจัดกิจกรรม และส่งเสริมให้เด็ก
แตล่ ะคนได้รับการพัฒนาตามจดุ หมายของหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง การประเมินพัฒนาการควรยึดหลัก
ดังนี้
1. วางแผนประเมินพัฒนาการอย่างเป็นระบบ
2. ประเมินพัฒนาการเด็กครบทุกด้าน
3. ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นรายบุคคลอย่างสม่าํ เสมอต่อเน่ืองตลอดปี
4. ประเมินพัฒนาการตามสภาพจริงจากกิจกรรมประจําวันด้วยเครื่องมือและวิธีการท่ี
หลากหลายไม่ควรใช้แบบทดสอบ
5. สรุปผลการประเมินจัดทําข้อมูลและนําผลการประเมินไปใช้พัฒนาเด็กสําหรับวิธีการประเมินที่
เหมาะสมและควรใช้กับเด็กอายุ 3 - 6 ปี ได้แก่ การสังเกต การบันทึกพฤติกรรม การสนทนากับเด็กการสัมภาษณ์
การวิเคราะหข์ อ้ มูลจากผลงานเด็กท่ีเก็บอยา่ งมีระบบ

2. เอกสารที่เกี่ยวขอ้ งกบั การจดั ประสบการณ์สาหรับเดก็ ปฐมวยั
2.1 ความหมายของแนวการจัดประสบการณ์สาหรบั เด็กปฐมวัย
นกั การศกึ ษาหลายทา่ นไดใ้ หค้ วามหมายของการจดั ประสบการณ์สาํ หรับเดก็ ปฐมวยั ดงั น้ี

ภรณี คุรรุ ัตนะ (2540:49) กล่าวว่า การจัดประสบการณ์ หมายถึง การจัดประสบการณ์ท่ีเด็กปฐมวัย
ควรได้รับ มีการกําหนดจุดประสงค์ การดําเนินกิจกรรมโดยเน้นให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ
และในการดําเนินกิจกรรมผู้สอนควรคํานึงถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์ท่ีดีระหว่างครูกับเด็ก เด็กกับเด็ก
การจัดหาสอ่ื อปุ กรณใ์ หเ้ ด็กไดเ้ รยี นร้อู ย่างเหมาะสมกับวยั โดยคํานงึ ถึงความครอบคลุมของการพัฒนา
ดา้ นร่างกาย อารมณ์ สงั คมและสตปิ ัญญา

50

กุลยา ตันติผลาชีวะ, (2551:41) การจัดประสบการณ์ หมายถึง การสร้างการเรียนรู้และ
ปรับเปล่ียนพฤติกรรมของเด็กทุกบริบทที่อยู่รอบตัวเด็ก ต่างเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ ตัวอย่าง เช่น
เด็กอยู่กับสิ่งแวดล้อมท่ีใช้ภาษาหนึ่ง ก็จะใช้ภาษานั้น เช่น เสียงเหน่อตามภาษาถิ่น ซึ่งการจัดการศึกษา
ที่มีประสิทธิภาพ เด็กสามารถแก้ไขภาษาของตนให้ถูกต้องได้ สําหรับการจัดประสบการณ์ให้แก่เด็กน้ัน
ตอ้ งส่งเสริมพัฒนาการของเดก็ ทั้งดา้ นร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาในรูปแบบของบูรณาการโดย
เน้นเดก็ เปน็ สําคัญ

ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์หมายถึง การจัดสภาพแวดล้อมและสร้างความ
บรรยากาศในการเรียนการสอนให้เอ้ือต่อการพัฒนาเด็กทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม
และสตปิ ญั ญา ในรูปของบูรณาการเน้ือหาวชิ าตา่ งๆ เขา้ ด้วยกนั โดยคํานึงถงึ เดก็ เปน็ สาํ คัญ
2.2 ความสาคัญของการจดั ประสบการณส์ าหรบั เด็กปฐมวัย

อุทัย เพชรช่วย (2558:24) กล่าวว่า การจัดประสบการณ์ให้เด็กน้ันได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพ่ือน
ๆ ฝึกการทํากิจกรรมตามลําพังและการรวมกลมุ่ เดก็ ได้เรียนรู้ร่วมกัน ซ่ึงการเรียนรู้ในลักษณะนี้จะทํา
ให้เกิดความเข้าใจกันได้ดีกว่าการเรียนรู้จากครูเสียอีก เพราะภาษาที่เด็กได้พูดส่ือสารกันนั้นสามารถ
สื่อความหมายได้ดีกว่าภาษาครู ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดของเพียเจต์ (Piaget) ท่ีกล่าวว่าการจัด
ประสบการณ์ตรงให้เด็กได้แสดงออกในการคิดและการสนทนาระหว่างเด็กด้วยกันจะทําให้เกิดความ
เขา้ ใจได้เร็วกว่าครเู ป็นผู้อธบิ ายเพ่ือให้เดก็ ไดเ้ รียนรู้สาระสําคัญตามหน่วยการจัดประสบการณ์ (หน่วย
เรยี นร้)ู ท่กี าํ หนดไว้ในหลกั สตู รพทุ ธศักราช 2560

จากท่ีกล่าวมาสรุปได้ว่า เด็กปฐมวัยเป็นวัยที่กําลังพัฒนาอย่างรวดเร็วท้ังทางด้านร่างกาย
อารมณ์ สังคม และด้านสติปัญญา ฉะน้ันการจัดประสบการณ์เด็กวัยน้ีจึงมีความสําคัญมาก การยึด
เด็กเป็นสําคัญจะทําให้เด็กมีความคิด อิสระในการแสดงออกและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กด้วยกันใน
สภาพท่เี ปน็ จรงิ จะทาํ ให้เดก็ เกิดการเรยี นได้ดีตามศกั ยภาพสามารถพัฒนาการสื่อสารไดด้ ี

2.3 แนวคดิ พน้ื ฐานเกีย่ วกบั การจัดประสบการณส์ าหรับเด็กปฐมวยั
แนวคิดของนักปรัชญาการศึกษา นักปฐมวัยศึกษาและนักทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการหลาย

บุคคลมีอทิ ธพิ ลตอ่ การจดั ประสบการณแ์ ละกิจกรรมในระดบั ปฐมวยั ศึกษา ไดแ้ ก่
ล็อค (Lock) มีความเห็นว่า เด็กทารกน้ันเปรียบเสมือนผ้าขาว ประสบการณ์ต่างๆและ

สิ่งแวดล้อมจะมีความสาํ คัญมากต่อการเจรญิ เตบิ โตของเด็กทาํ ให้เดก็ มีพฒั นาการท่แี ตกต่างกนั
สกินเนอร์ (Skinner) เช่ือว่าพฤติกรรมของคนเราน้ันเกิดจากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม

และสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมน้ันได้ด้วยตัวเสริมแรง ดังน้ันในการสอนครูสามารถนําเด็กไปสู่
พฤติกรรมหรือการเรียนร้ทู ีต่ ้องการได้

รุสโซ (Rousseau) นักปรัชญาชาวฝร่ังเศสเชื่อในพื้นฐานความดีของสัญชาตญาณในมนุษย์
เราเป็นนักวฒุ ิภาวะทีม่ คี วามเห็นว่า ถ้าเราใหโ้ อกาสเดก็ เจริญเติบโตตามวิถีธรรมชาติแล้วเด็กจะพัฒนา
ไดเ้ ตม็ ศักยภาพ เพราะฉะน้นั พอ่ แมห่ รอื ครู ควรหลีกเลี่ยงท่ีจะขัดขวางการเจริญเติบโตตามธรรมชาติ
ของเดก็ ไม่บังคบั เดก็


Click to View FlipBook Version