51
ฟรอยด์ (Freud) มีความเห็นว่า อิทธิพลสําคัญที่สุดของพัฒนาการนั้นมาจากภายในตัวเด็ก
ท้ังทางด้านอารมณ์ สงั คม สติปัญญาและทางร่างกาย
กีเซล (Gesell) มีความเห็นว่า พัฒนาการของเด็กจะเป็นไปตามธรรมชาติ ตามอายุของเด็ก
เมอื่ ถึงวันน้ันเด็กจะแสดงพฤติกรรมต่างๆ ได้โดยไม่ต้องไปเร่งหรือฝึกเด็กนักการศึกษาหรือพ่อแม่ควร
ใหอ้ ิสระเด็กในการทาํ กจิ กรรมตา่ งๆ ตามความสนใจ
เพียเจต์ (Piaget) นักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศสได้อธิบายถึงกระบวนการคิดและสร้างความรู้ของเด็ก
หลกั การทางทฤษฎพี ฒั นาการทางสติปญั ญาของเพยี เจต์หลายประการที่ช่วยให้ครูคิดสร้างสรรค์ จัด
กิจกรรมและประสบการณท์ เี่ หมาะสมใหก้ บั เด็ก กล่าวคอื
1. การเรยี นรเู้ ปน็ กระบวนการที่อาศัยความกระตือรือร้นท้ังทางร่างกายและจิตใจของผ้เู รียน
2. พัฒนาการแต่ละข้ันจะดําเนินไปตามลําดับข้ันตอน จะข้ามขั้นไม่ได้และด้วยอัตราที่แตกต่าง
กันไปในแตล่ ะบุคคล
3. ภาษาไม่ใชป่ ัจจัยท่ที ําให้เด็กเกิดการเรียนรู้
4. พัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กส่งเสริมได้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นผู้ใหญ่และ
ส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ
ภรณี คุรุรัตนะ (2558: 50) ได้กล่าวว่า การสร้างรูปแบบการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เน้นการ
สร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับกระบวนการเรียนการสอนเด็กปฐมวัย การบูรณาการกิจกรรมท่ีสัมพันธ์กัน
การปรับบทบาทครู การสร้างปฏิสัมพันธ์เป็นการจัดประสบการณ์ให้แก่เด็กปฐมวัยโดยมีเปูาหมาย
พฒั นาเด็กในด้านทกั ษะทางภาษา ความคดิ สรา้ งสรรค์ ความเช่อื ม่นั และทักษะทางสงั คม เปน็ ตน้
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์สําหรับเด็กปฐมวัยต้ังอยู่บนพ้ืนฐานหลาย
แนวคิด การที่จะจัดประสบการณ์แบบใดน้ันขึ้นอยู่กับความเช่ือตามแนวความคิดแต่ละบุคคลแต่ส่ิง
สําคัญที่ทําให้การจัดประสบการณ์ให้บรรลุผลสําเร็จ คือ บทบาทของครู ไม่ว่าจะเป็นการจัด
สภาพแวดล้อมการจัดกิจกรรมลว้ นแตเ่ ป็นหน้าที่ของครูท่ีจะจัดประสบการณ์เสริมให้เด็กมีทัศนคติท่ีดี
ในการเรียนอันจะนําไปสเู่ ปูาหมายทีว่ างไวไ้ ด้
2.4หลกั การจดั ประสบการณ์สาหรบั เด็กปฐมวยั
กรมวชิ าการ (2546 : 51) ได้กาํ หนดหลักการจดั ประสบการณ์และกจิ กรรมสําหรบั เด็กไวด้ งั นี้
1) กิจกรรมท่ีจัดควรคํานึงถึงตัวเด็กเป็นสําคัญ เด็กแต่ละคนมีความสนใจแตกต่างกัน จึง
ควรจัดให้มีกิจกรรมหลายประเภทท่ีเหมาะสมกับวัยตรงกับความสนใจและความ ต้องการของเด็ก
เพ่อื ให้เดก็ ไดม้ ีโอกาสและความสามารถ กิจกรรมท่ีจัดควรมีทั้งกิจกรรมท่ีให้เด็กทําเป็นรายบุคคลกลุ่ม
ย่อยและกลมุ่ ใหญ่และควรมีความสมดุล คือ ให้มีท้ังกิจกรรมในห้องเรียนและนอกห้องเรียน กิจกรรม
ทต่ี อ้ งเคลอ่ื นไหวและสงบ กิจกรรมท่เี ด็กรเิ รม่ิ และครูริเรม่ิ
2) เวลาในการจัดกิจกรรมควรเหมาะสมกับวัย มีการยืดหยุ่นได้ตามความต้องการและ
ความสนใจชองเด็ก เชน่
52
วยั 3 ขวบ มีช่วงความสนใจสัน้ ประมาณ 8 นาที
วัย 4 ขวบ มีช่วงความสนใจสน้ั ประมาณ 12 นาที
วยั 4 ขวบ มชี ่วงความสนใจสั้นประมาณ 15 นาที
3) กิจกรรมท่ีจัดควรเน้นให้มีส่ือของจริงให้เด็กได้มีโอกาสสังเกต สํารวจ ค้นคว้า ทดลอง
แก้ปัญหาด้วยตนเอง มีโอกาสปฏสิ มั พนั ธก์ ับเด็กคนอ่ืน ๆ และผูใ้ หญ่
หน่วยศึกษานิเทศก์สํานักการศึกษากรุงเทพมหานคร (2540 : 16 – 17 ) ได้กล่าวถึง
กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ไว้ว่ามีวิธดี าํ เนนิ กิจกรรม 3 ขั้นตอน ดังน้ี
1) ขั้นนําเข้าสู่บทเรียน เป็นการเตรียมเด็กให้พร้อมและกระตุ้นให้เด็กสนใจที่จะร่วม
กิจกรรมตอ่ ไป กจิ กรรมท่ใี ช้อาจเป็นการร้องเพลง คาํ คลอ้ งจอง ปริศนาคําทาย ท่าใช้ เป็นต้น ซึ่งจะใช้
ระยะเวลาสน้ั ๆ
2) ขั้นสอน เป็นการจัดกิจกรรมท่ีต้องการให้เด็กได้รับความรู้และประสบการณ์ด้วย
กจิ กรรมหลายรปู แบบ เช่น
2.1) การสนทนา ซักถาม อภิปราย เป็นการพูดคุย ซักถามระหว่างครูกับเด็กหรือเด็ก
กับเดก็ ซ่งึ สอ่ื ทใ่ี ชอ้ าจเปน็ จริง ของจําลอง รูปภาพ สถานการณจ์ าํ ลอง เป็นตน้
2.2) การเลา่ นทิ าน ครูจะเล่านิทานท่ีเก่ียวกับเร่ืองราวที่ครูต้องการให้เด็กเข้าใจหรือให้
ปฏิบัติตาม ส่วนมากจะเป็นการปลูกฝังหรือการสอนในเร่ืองที่เป็นนามธรรม วิธีการน้ีจะช่วยให้เด็ก
เข้าใจได้ดขี ึ้น เพราะเดก็ ในวัยนี้จอชอบฟังนิทานและชอบเลียนแบบตัวละครในนิทานในการเล่านิทาน
อาจใช้รูปภาพ หุ่นหรอื ส่วนต่าง ๆ ของรา่ งกายประกอบ
2.3) การสาธิต การปฏิบัติการทดลองเป็นการสอนท่ีทําให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง
เพราะได้ทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง ได้สังเกตเห็นการเปล่ียนแปลงในส่ิงที่ตนเองได้ทดลอง เป็นการฝึก
ทักษะการคดิ แก้ปญั หาและสง่ เสรมิ ให้เด็กมคี วามอยากรู้อยากเหน็ และคน้ พบความรู้ด้วยตนเอง
2.4) การจัดทัศนศึกษา เป็นการสอนที่ให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงอีกรูปแบบหนึ่ง
อาจเปน็ การพาเดก็ ไปเรียนนอกหอ้ งเรียน รอบบริเวณโรงเรียน แตค่ รูจะต้องดแู ลเอาใจใส่ในเร่ืองความ
ปลอดภัย
2.5) การประกอบอาหาร ในบางหน่วยงานท่ีสอนเก่ียวกับผัก ผลไม้ เน้ือสัตว์ต่างๆ ครู
อาจให้เด็กมีส่วนร่วมในการประกอบอาหาร ทั้งนี้เด็กจะได้รับประสบการณ์การสังเกตการ
เปลี่ยนแปลงของอาหารดิบสุก รับรู้รสและกล่ินของอาหาร เรียนรู้ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสต่าง ๆ
และเรยี นรูก้ ารทํางานรว่ มกับผ้อู ่ืน
ในขณะที่เด็กทํากิจกรรมหรือหลังจากทํากิจกรรมเสร็จแล้วครูควรใช้คําถามปลายเปิด
ในลักษณะต่าง ๆ ท่ีชวนให้คิด ไม่ควรใช้คําถามที่มีคําตอบ “ใช่” “ไม่ใช่” หรือมีคําตอบให้เด็กเลือก
ครคู วรใจเยน็ ให้เวลาเด็กคิดตอบ เปน็ ต้น
53
3) สรุปบทเรียน เป็นการสรุปสิ่งต่าง ๆ ท่ีเรียนไปทั้งหมด ให้เด็กได้เข้าใจย่ิงข้ึน ซ่ึงครูอาจใช้
คําถาม เพลง คาํ คล้องจอง เกม เป็นตน้ ในการสรปุ เร่อื งราว
สรุปได้ว่า หลักการจัดประสบการณ์สําหรับเด็กปฐมวัย มีจุดมุ่งหมายเพื่อเน้นให้เด็กมี
พัฒนาการท้ัง 4 ด้าน คือ ร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญา โดยยึดหลักการจัดในลักษณะ
บูรณาการ ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง จัดกิจกรรมให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงมีรูปแบบที่หลากหลาย
สนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ยืดหยุ่นตามเหตุการณ์ กิจกรรมมีความหมายต่อผู้เรียนและ
หลักการเหลา่ น้ีสอดคล้องกับหลักการสร้างความสนใจของเด็กปฐมวัย
2.5 รูปแบบการจัดประสบการณส์ าหรบั เดก็ ปฐมวัย
การจัดประสบการณ์สําหรับเด็กปฐมวัยจะไม่จัดเป็นรายวิชา แต่จัดในรูปแบบของกิจกรม
บูรณาการผ่านการเล่น เพ่ือให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง เกิดการเรียนรู้ ได้พัฒนาร่างกาย อารมณ์-
จิตใจ สังคมและสติปัญญา กิจกรรมที่จัดให้กับเด็กในแต่ละวันอาจใช้ชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละ
หน่วยงาน แต่ทั้งน้ีประสบการณ์ท่ีจัดต้องครอบคลุมประสบการณ์สําคัญ 9 ประการตามหลักสูตร
ได้แก่ การสื่อความคิดท่ีเป็นการกระทํา, การใช้ภาษา, การเรียนรู้ทางสังคม, การเคล่ือนไหว, ดนตรี,
การจําแนกและการเปรียบเทียบ, จํานวน, มิตีสัมพันธ์ (พื้นท่ี/ระยะ/) และเวลา ควรให้ยืดหยุ่นตาม
เนอ้ื หาท่เี ดก็ สนใจหรอื ครมู ีสว่ นริเร่ิมกําหนดให้ เม่ือเด็กได้รับประสบการณส์ าํ คัญและทาํ กิจกรรมในแต่
ละหัวข้อเน้ือหาแล้ว เด็กจะเกิดแนวคิดตามที่ได้เสนอแนะไว้ในหลักสูตร ได้แก่ ตัวเรา ครอบครัว
โรงเรยี นของฉัน บคุ คลตา่ ง ๆ
กิจกรรมที่ควรจัดให้เดก็ ปฐมวยั เป็นประจาํ ทกุ วนั มดี งั นี้
1) กิจกรรมเสรีหรือการเล่นตามมุม เป็นกิจกรรมท่ีเปิดโอกาสให้เล่นอิสระตามมุมการเล่น
หรอื มุมประสบการณ์หรือศูนย์การเรียนท่ีจัดไว้ภายในห้องเรียน เช่น มุมบล็อก มุมหนังสือ มุมร้านค้า
มุมบ้าน มุมวทิ ยาศาสตร์หรอื มุมธรรมชาติ เป็นตน้ มุมตา่ ง ๆ เหล่านี้มีโอกาสเลือกเล่นได้อย่างเสรีตาม
ความสนใจและความต้องการของเด็ก ทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่มย่อย กิจกรรมการเล่นแต่ละ
ประเภทจะสนองความต้องการตามธรรมชาติของเดก็
2) กิจกรรมสร้างสรรค์ (ศิลปศึกษา) เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กแสดงออกทางอารมณ์
ความรู้สึกความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการ การรับรู้เกี่ยวกับความงามและส่งเสริมกระตุ้นให้
เด็กแต่ละคนได้แสดงออกมาตามความรู้สึกและความสามารถของตนเองโดยใช้ศิลปะ เช่น การวาด
ภาพ ระบายสี การป้ัน การฉีก ตัด ปะ การพิมพ์ การร้อย การประดิษฐ์หรือวิธีการอ่ืนท่ีได้คิด
สร้างสรรค์และเหมาะกับพัฒนาการ เช่น การเล่นพลาสติกสร้างสรรค์ การสร้างรูปจากกระดานปัก
หมุด เป็นต้น (กรมวชิ าการ,2540 : 17 และสํานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ 2541
: 35)
3) กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้เคล่ือนไหวส่วนต่าง ๆ ของ
ร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ เพื่อส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ เรียนรู้จังหวะ
54
และควบคุมการเคล่ือนไหวของตนเองได้ โดยใช้จังหวะและดนตรีประกอบดารเคลื่อนไหว เช่น
เสียงเพลง คําคล้องจอง เสียงปรบมอื เครอ่ื งเคาะจังหวะและอุปกรณ์อ่ืนๆ (กรมวิชาการ, 2540ก : 31
และสํานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติ, 2541 : 31)
4) กิจกรรมเสริมประสบการณ์หรือกิจกรรมในวงกลม เป็นกิจกรรมท่ีมุ่งเน้นให้เด็กได้พัฒนา
ทักษะการเรียนรู้ ฝึกการทํางานและอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนเป็นกลุ่ม ทั้งกลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมท่ีจัด
มุ่งฝึกให้เด็กมีโอกาสฟัง พูด สังเกต คิด แก้ปัญหา ใช้เหตุผลและฝึกปฏิบัติ เพ่ือให้เกิดความคิดรวบ
ยอดเก่ียวกับส่ิงท่ีเรียนและเมพูนทักษะต่าง ๆ ด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย การจัดกิจกรรมเสริม
ประสบการณส์ ามารถจัดไดห้ ลายวิธี เช่น
4.1) การสนทนาอภิปราย เป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาในการพูดการฟัง รู้จัก
แสดงความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่ืน ซ่ึงส่ือที่ใช้อาจเป็นของจริงจําลอง รูปภาพ
สถานการณจ์ ําลอง เป็นต้น
4.2) เป็นการเล่าเรื่องต่าง ๆ ส่วนมากจะเป็นเร่ืองที่เน้นการปลูกฝังให้เกิดคุณธรรม
จริยธรรม วิธีการนี้จะช่วยให้เด็กเข้าใจได้ดีย่ิงขึ้น ในการเล่านิทานสื่อท่ีใช้อาจเป็นรูปภาพ หนังสือ
นทิ าน หุน่ การแสดงท่าทางประกอบการเลา่ เร่ือง
4.3) การสาธิต เป็นการจัดกิจกรรมที่ต้องการให้เด็กได้สังเกตและเรียนรู้ตามข้ันตอนของ
กจิ กรรมนัน้ ๆ ในบางครั้งอาจให้เด็กอาสาสมัครเป็นผู้สาธิตร่วมกับครู เพ่ือนําไปสู่การปฏิบัติจริง เช่น
การเพาะเมล็ด การเปุาลูกโปงุ การเล่นเกมการศึกษา
4.4) การทดลอง/ปฏิบัติการ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงเพราะได้
ทดลองปฏิบตั ดิ ว้ ยตนเอง ได้สังเกตการณเ์ ปลย่ี นแปลง ฝกึ การสงั เกต การคดิ แก้ปัญหาส่งเสริมให้เด็กมี
ความอยากรู้อยากเห็นและคน้ พบด้วยตนเอง เช่น การประกอบอาหาร การทอลองวิทยาศาสตร์ง่าย ๆ
การเล้ยี งหนอนผเี สอื้ การปลกู พืช เป็นตน้
4.5) การศึกษานอกสถานท่ี เป็นการจัดกิจกรรมที่ทําให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงอีก
รูปแบบหน่งึ โดยการพาเด็กไปทศั นศึกษาสิ่งตา่ ง ๆ รอบโรงเรียนหรอื สถานที่นอกโรงเรียนเพ่ือเป็นการ
เพิม่ พนู ประสบการณแ์ กเ่ ด็ก
4.6) การเล่นบทบาทสมมติ เป็นการให้เด็กเล่นสมมติตนเองเป็นตัวละครต่าง ๆ ตามเน้ือ
เร่ืองในนิทานหรือเร่ืองราวต่าง ๆ อาจใช้สื่อประกอบการเล่นสมมติเพ่ือเร้าความสนใจและก่อให้เกิด
ความสนุกสนาน เช่น หุ่นสวมศีรษะ ท่ีคาดศีรษะรูปคนและสัตว์รูปแบบต่าง ๆ เคร่ืองแต่งกายและ
อปุ กรณข์ องจริงชนดิ ต่าง ๆ
4.7) การร้องเพลง เล่นเกม ท่องคําคล้องจอง เป็นการจัดให้เด็กได้แสดงออกเพ่ือความ
สนุกสนานเพลิดเพลินและเรียนรู้ที่เกี่ยวกับภาษาและจังหวะ (กรมวิชาการ, 2540ก : 36-37
สาํ นักงานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาต,ิ 2541 : 43)
55
5) กิจกรรมกลางแจ้งหรือการเล่นกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้มีโอกาสออกไปนอก
ห้องเรียนไปสู่สนามเด็กเล่นทั้งท่ีเป็นกลางแจ้งและในร่ม เพ่ือให้เด็กได้ออกกําลังเคลื่อนไหวร่างกาย
และแสดงออกอยา่ งอิสระ โดยยดึ เอาความสนใจและความสามารถของเดก็ แตล่ ะคนเป็นหลัก กิจกรรม
กลางแจง้ ครูควรจดั ให้เด็กเลน่ เช่น การเล่นเคร่ืองเล่นสนาม การเล่นทราย การเล่นนํ้า การเล่นสมมติ
ในบา้ นตกุ๊ ตาหรือบา้ นจําลอง การเลน่ ในมุมช่างไม้ การเล่นกับอุปกรณ์กฬี าและการเล่นเกมการละเล่น
(กรมวิชาการ, 2540ก : 38 – 41 และสํานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2541 :
47)
6) เกมการศึกษาเป็นเกมการเล่นท่ีช่วยพัฒนาสติปัญญา มีกระบวรการในการเล่นตามชนิด
ของเกมประเภทต่าง ๆ มีกฎเกณฑ์ง่าย ๆ เด็กสามารถเล่นคนเดียวหรือเป็นกลุ่มได้ช่วยให้เด็กรู้จัก
สังเกตคิดหาเหตุผลและเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสี รูปร่าง จํานวน ประเภทและความสัมพันธ์
เกยี่ วกับพืน้ ท่รี ะยะ เช่น เกมจบั คู่ แยกประเภท จดั หมวดหมู่ เรยี งลําดบั โดมิโน ล็อตโต ภาพตัดต่อ ต่อ
ตามแบบ เป็นต้น (กรมวิชาการ, 2540ก : 43-44 และสํานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษา
แห่งชาต,ิ 2541 : 51)
จากเอกสารที่ได้ศึกษามาสรุปได้ว่า การจัดประสบการณ์สําหรับเด็กปฐมวัยมีหลายรูปแบบ
แต่ละรูปแบบยึดหลักการจัดในลักษณะบูรณาการยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง จัดกิจกรรมให้เด็กได้รับ
ประสบการณ์ตรง กิจกรรมมีความหมายต่อเด็ก มีจุดหมายเพื่อเน้นให้เด็กพัฒนาทั้งด้านร่างกาย
อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญา มีการยึดหยุ่นตามเหตุการณ์โดยคํานึงถึงความสนใจและ
ความสามารถของแต่ละคนเป็นหลัก
3. เอกสารทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความสามารถดา้ นการพดู
3.1 ความหมายของการพดู
นักการศกึ ษาได้ให้ความหมายของการพูดไว้ดงั น้ี
รงั สรรค์ จนั ต๊ะ (2541 : 21) ไดก้ ล่าวถงึ การพูดไว้ว่า การพูด หมายถึง กระบวนการหน่ึงในการ
สื่อสารของมนุษย์ ผู้พูดจะเป็นผู้ส่งสารอันเป็นเนื้อหาสาระข้อมูล ความรู้กับอารมณ์ความรู้สึกความ
ต้องการและความคิดเห็นของตัวเองประกอบกับกริยาท่าทางต่าง ๆ ส่งไปยังผู้ฟัง หรือผู้รับสารเพ่ือให้
ได้รบั ทราบและเกดิ การตอบสนองในข้นั สดุ ท้าย
ศรียา นิยมธรรม และประภัสสร นิยมธรรม (2541 : 49) ได้กล่าวถึงความหมายของการพูดไว้
4 ด้าน ดังน้ี
ในด้านภาษาศาสตร์ (Linguistic level) หมายถึง ขบวนการที่ผู้พูดสรรหาถ้อยคํา เสียงท่ี
ตอ้ งการใชม้ าร่วมกนั เปลง่ ออกมาเป็นประโยคท่ถี ูกต้องตามหลักไวยากรณ์
ในด้านสรีรวิทยา (Physiological lever)เปน็ ระบบการทาํ งานของเซลล์ประสาท เช่น จัดสรรให้
อวัยวะต่าง ๆ ของผู้พูดเคล่ือนไหวเพ่ือการเปล่งเสียง กระตุ้นการทํางานของอวัยวะท่ีใช้ในการออก
เสยี งและอวยั วะท่ใี ชใ้ นการรับฟังเสยี งของผูพ้ ดู และผฟู้ งั
56
ในด้านความรูใ้ นเร่ืองเสี่ยง (Acoustic level) ก็คือ การท่ีคลื่นเสียงเดินทางผ่านอากาศระหว่างผู้
พูดมายงั ผฟู้ งั พรอ้ ม ๆ กับทจ่ี ะสะทอ้ นไปเข้าหผู ู้พูดเองด้วย
ในดา้ นจิตวิทยา (Psychological level) หมายถงึ ความรู้สึกจากการฟังท่ีได้ยนิ ได้ฟังจากผู้ทําให้
เกดิ ความสมั พนั ธก์ ันทงั้ ผู้พูดและผู้ฟงั โดยที่มีการคาดหวงั ด้วยกนั ทัง้ สองฝุาย
สุภาวดี ศรีวรรธณะ (2542 : 86) ได้กล่าวว่า การพูด หมายถึง พฤติกรรมการติดต่อสื่อสารกัน
ระหว่างบุคคลด้วยการใช้ถ้อยคํา น้ําเสียง ภาษา อากัปกิริยา ท่าทาง สีหน้า แววตาเพ่ือถ่ายทอด
ความรู้สกึ ความคิด ความต้องการของผ้พู ูดไปสูผ่ ้ฟู งั เกดิ ความเข้าใจและตอบสนองได้
พจนานกุ รมฉบบั บัณฑิตยสถาน (2546 : 797) พูด หมายถึง เปล่งเสยี งออกมาเปน็ ถอ้ ยคํา
นงเยาว์ คลิกคลาย (2543 : 14) ได้กล่าวว่า การพูดเป็นการสื่อสารสร้างความสัมพันธ์กับผู้อ่ืน
โดยใช้นํ้าเสียงเพื่อส่ือความหมายไปให้ผู้ฟังรู้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดหรือความต้องการของตนและ
สําหรับเดก็ ปฐมวยั การพดู เปน็ เคร่ืองมอื อยา่ งหนงึ่ ในการส่อื สารความรสู้ ึกนึกคิดหรือความต้องการของ
ตนให้ผู้อืน่ ไดท้ ราบ
จุฑา สกุ ใส (2545 : 17) ได้กล่าวว่า การพดู หมายถึง การแสดงความรู้สึกจากการได้ฟังและการ
คิดแล้วสื่อออกมาให้ผู้อ่ืนได้เข้าใจ อาจเป็นการแสดงความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ ความรู้และ
ประสบการณ์โดยการเปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคํา ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการต่าง ๆ ทํางานอย่าง
ต่อเนื่องและประสานกัน คือ ขบวนการหายใจ ขบวนการเปล่งเสียง ขบวนการแปรเสียงและการ
กาํ หนดเสยี งเพ่ือใหผ้ ฟู้ ัง ๆ แลว้ เข้าใจไดอ้ ย่างถกู ต้อง
ดงั น้นั จึงสรุปได้ว่า การพดู เป็นการติดต่อส่ือสารกับผูอ้ นื่ โดยการเปล่งเสยี งออกมาเป็นถ้อยคํา
เพื่อส่งสารให้ผู้ฟังเข้าใจ ความต้องการ ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ซึ่งการพูดของเด็กปฐมวัยในการ
วจิ ัยครัง้ น้เี ปน็ การบอกชอื่ คําศัพท์ การสนทนาโตต้ อบและการเล่าเรื่องจากภาพ
3.2 ความสาคัญของการพูด
ภาษาพูดเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ภาษาอ่านและภาษาเขียนและเพ่ือท่ีจะได้ประโยชน์จากการ
เรียนในรายวิชาอื่น ๆ (คันสนีย์ ฉัตรคุปส์, 2543 : 35) ภาษาและการพูดเป็นส่ิงที่ช่วยส่งเสริม
พัฒนาการทางด้านสติปัญญาของเด็กปฐมวัยตามทฤษฎีและแนวคิดของการ์ดเนอร์(Gardner) ใน
ทฤษฎีพหุปัญญา (สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2540 : 138) กล่าวถึงสติปัญญา
ทางด้านภาษา (Linguistic Intelligence) ว่าทักษะทางภาษานับเป็นส่วนหน่ึงของสติปัญญา ดังน้ัน
พัฒนาการทางการพูดจึงมีความสําคัญเป็นอย่างมากสําหรับเด็กปฐมวัยท่ีต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ใน
อนาคต
นอกจากนย้ี ังมีนักการศกึ ษาได้กลา่ วถึงความสําคัญของการพูดไว้ดังน้ี
สุภาวดี ศรีวรรธนะ (2542 : 63-64) กล่าวว่า การพูดเป็นเครื่องมือสําคัญของการ
ติดต่อส่ือสารที่จะนําไปสู่ความสําเร็จในชีวิตการฝึกพูดเป็นพ้ืนฐานที่จะช่วยฝึกทักษะด้านภาษาได้
อย่างดซี ่งึ จดุ ประสงค์ของการฝกึ พูดมีดังนี้
57
1) เพ่อื ให้เด็กพัฒนาการพดู ได้คล่องเป็นธรรมชาติได้เรยี นรูค้ าํ ศพั ท์ใหม่ ๆ
2) พัฒนาความสามารถในการพูดได้ชัดเจน ได้ฝึกเสียงท่ีเป็นปัญหาสําหรับเด็ก เช่น “ส”
นอกจากนย้ี งั ควรพดู ดว้ ยนาํ้ เสยี งทีน่ า่ ฟัง รน่ื หู ไมด่ งั ไมเ่ บาเกินไป มีความม่นั ใจในการพดู
3) พูดถูกต้องจนเปน็ นสิ ัย เช่น เด็ก ๆ มกั จะพูดประโยคปฏิเสธว่า “ผมเปล่าทํา” ต้องแก้เป็น
“ผมไม่ได้ทาํ ครบั ” หรือ “ไมไ่ ด้ทําค่ะ”
4) เพ่ือใช้ภาษาเป็นเครื่องมือติดต่อสังคมกับเพื่อน ๆ และบุคคลอ่ืน ๆ การท่ีเด็กจะเป็นที่น่า
คบหาสมาคมด้วยย่อมต้องมีภาษาท่ีสุภาพ ดังน้ันการให้การศึกษาเด็กวัยน้ีย่อมจะฝึกเด็กให้รู้จักใช้คํา
สุภาพท้ังหลาย เชน่ คาํ ว่า “ขอโทษ” “ขอบคณุ ” “ขอบใจ” โดยตอ้ งเปน็ แบบให้เด็กและต้องใช้อย่าง
สม่ําเสมอ นอกจากน้ีจะต้องให้รู้จักกาลเทศะด้วย เสียงที่พูดในห้องเรียนย่อมไม่ต้องดังเหมือนเสียงท่ี
ใชใ้ นสนาม
5) เพ่ือพัฒนาความสามารถในการติดต่อกับผู้อื่น คือไม่เพียงแต่แสดงความคิดเห็นของตน
เท่านั้นแต่ยังสามารถเข้าใจสงิ่ ท่คี นอืน่ พูด สามารถพูดสิ่งทม่ี ีผกู้ ลา่ วไว้ได้
6) การฝึกเลียนเสียงคําพูดก่อนที่จะบรรยายเรื่องราวต่าง ๆ หากไม่ฝึกในเร่ืองนี้ เด็กบางคน
จะเลา่ เร่อื งไม่ตรงจดุ เช่น เด็กอาสาจะเล่าเรื่อง “ไปเที่ยวทะเล” แทนท่ีจะพูดถึงการไปทะเล เด็กบาง
คนจะมวั พะวงแต่จดุ ไม่สาํ คญั เชน่ การแตง่ ตวั การซื้อของต่าง ๆ สําหรับการเดินทาง ครูอาจต้องช่วย
เตอื นเดก็ ใหพ้ ดู เขา้ มาหาเรือ่ งอกี ทีหนึง่
7) เรียนรู้เกี่ยวกับภาษา เช่น หลักของการออกเสียง เสียงวรรณยุกต์ การเว้นวรรคการเรียบ
เรียงคําให้เป็นประโยคและคาํ บางคาํ มคี วามหมายไดห้ ลายอยา่ ง
นภเนตร ธรรมบวร (2544 : 113-114) กล่าวว่า การพูดถือเป็นการแสดงออกทางพัฒนาการ
ภาษาด้านหนึ่ง ซ่ึงมีความสําคัญพอ ๆ กับการเขียนเลขเลยทีเดียว การพูดเป็นการรวบรวม
ประสบการณ์ต่าง ๆ ของเด็ก ๆ เข้าด้วยกัน อันได้แก่ ความรู้สึก การรับรู้ การเรียนรู้ ความจําและ
ความรูค้ วามเขา้ ใจ
สมาพร สามเตี้ย (2545 : 19) ได้กล่าวว่า การพูดมีความสําคัญสําหรับมนุษย์เป็นอันมาก
เน่ืองจากเป็นเคร่ืองมือในการส่ือสารความหมายที่ดีที่สุดระหว่างผู้พูดและผู้ฟังได้รวดเร็วกว่าการส่ือ
ความหมายด้วยวิธีอื่น ๆ การพูดเป็นการได้เห็นได้ทราบถึงความต้องการของผู้พูดต่อผู้ฟังได้เป็นอย่าง
ดที ง้ั ยังช่วยสร้างความเข้าใจต่อมนุษย์ด้วยกัน เน่ืองจากการพูดต้องใช้ระดับเสียงตามสถานการณ์ต่าง
ๆ ทเี่ หมาะสมและได้เหน็ ทา่ ทางในการพูด
ดังนั้นสรุปได้ว่า การพูดมีความสําคัญต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก เป็นการสื่อความเข้าใจระหว่างผู้
พูดกับผู้ฟัง อีกทั้งยังเป็นรากฐานของการพัฒนาภาษา ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญาเป็น
เคร่ืองมือสื่อสารอย่างหนึ่งท่ีจะช่วยให้บุคคลมีความสุขหรือทุกข์ ดังน้ันในเด็กการพัฒนาการพูด จึง
เปน็ แนวทางท่จี ะวางใหเ้ ดก็ มีความสุขในอนาคตไดส้ ว่ นหน่ึง
3.3 พฒั นาการความสามารถดา้ นการพูด
58
กุลยา ตันตผิ ลาชวี ะ (2542 : 111) กล่าวว่า เด็กจะเริ่มพูดเป็นคําเมื่ออายุ 1 ขวบ แสดงท่าทาง
ประกอบได้ แต่ถ้าอายุเกิน 1 ขวบคร่ึงแล้วยังไม่พูด ควรปรึกษาแพทย์ถ้า 2 ขวบแล้วพูดได้ 1 คํา ถือ
วา่ พูดช้ามาก เพราะอายุ 1 ขวบคร่ึง เดก็ ควรพดู ได้ 4- 10 คาํ ชร้ี ูปได้ เรียกลุกบอลได้ เม่ืออายุ 2 ขวบ
ใช้สรรพนามได้ พูดเป็นประโยคบางครั้งอาจจะไม่รู้เรื่อง แต่จะพูดได้ดีข้ึน เด็กชายมักพูดช้ากว่า
เด็กหญิง สาเหตุที่เด็กพูดช้าท่ีพบนอกจากความผิดปกติของหูแล้วยังพบว่าเกี่ยวกับสภาพจิตใจ เช่น
อิจฉาน้องหรือในครอบครัวในภาษาแตกต่างกันมากเด็กสับสน แต่เมื่ออายุ 3 ขวบข้ึนไปถึง 6 ขวบ
เด็กจะพูดได้คล่องเป็นเร่ืองราว เบญจมาศ พระธานี (2540 : 9-11) ได้สรุปขั้นตอนของพัฒนาการ
ดา้ นการพูดไวด้ งั นี้
1) เสยี งแสดงปฏิกิริยาสะท้อน (Reflex sounds) อายุ 0-2 เดือน เป็นขั้นแรกของการเรียนรู้
ภาษาและการพูดต้ังแต่เด็กร้องไห้ตอนแรกเกิด ซ่ึงเป็นการแสดงถึงพัฒนาการทํางานของอวัยวะที่ใช้
ในการออกเสียงและหายใจที่จะเป็นพื้นฐานของการพูดต่อไป การร้องไห้ระยะต่อมาจะแสดงถึงความ
ต้องการของเด็กไดห้ ลายอยา่ ง เช่น หวิ เปยี กหรือตกใจ เป็นตน้
2) เสียงออ้ แอ้ (Babbling) อายคุ รง่ึ เดอื นถงึ 2 ปี เป็นข้ันท่ีเด็กส่งเสริมด้วยความพึงพอใจที่ได้
เคล่ือนไหวอวัยวะที่ใช้ในการพูด โดยเลียนแบบเสียงของตัวเองซํ้า ๆ เสียงอ้อแอ้น้ีเกิดข้ึนโดยสัญชาติ
ญาณของความเป็นมนุษย์จึงพบได้ในเด็กทุกคน แม้กระท่ังหูหนวก หูตึง แต่การส่งเสียงอ้อแอ้ในเด็ก
เหล่านีจ้ ะไมพ่ ัฒนาต่อไปตามปกตเิ พราะไมไ่ ด้ยินเสยี งของตวั เอง
3) การส่งเสียงเพ่ือส่ือความหมาย (Sociallized vocal play) อายุ 5-6 เดือน เป็นข้ันท่ีเริ่ม
ส่งเสียงเพ่ือการส่ือสารกับผู้อื่น โดยเด็กจะฟังเสียงอ่ืนและส่งเสียงโต้ตอบเป็นครั้งคราว ข้นท่ีคาบ
เกยี่ วกับการส่งเสริมอ้อแอ้นี้ บางคร้ังเด็กจะส่งเสียงอ้อแอ้เล่นคนเดียว บางคร้ังส่งเสียงเพื่อโต้ตอบคน
รอบขา้ ง
4) คําแรกที่มีความหมาย (The first Meanininful Word) อายุ 8-10 เดือน เป็นขั้นที่เด็ก
เขา้ ใจคําพูดทีเ่ คยได้ยนิ จากการเชอื่ มโยงพูดกับเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้วสะสมเป็นความรู้ภายใน เมื่อเด็ก
มคี วามพร้อมจะเลยี นแบบการออกเสียงผู้อนื่ และออกเสียงคาํ ๆ น้นั ไดถ้ กู ตอ้ งในเวลาต่อมา
5) วลีประโยคและภาษาเด็ก (Phrases, Sentences, and Jargon) อายุ 12-24 เดือน เป็น
ขน้ั ที่เดก็ เร่มิ เปน็ คําทยี่ าว 2 พยางคห์ รือคํา 2 คํามารวมกันเป็นวลีและประโยค ซึ่งมีความซับซ้อนมาก
ขึ้นตามอายุ โดยเฉล่ียเด็กอายุ 1 ปี จะพูดวลีหรือประโยคท่ียาว 1 คํา เด็กอายุ 2 ปี จะพูดวลีหรือ
ประโยคทย่ี าว 2 คํา อายุ 3 ปี จะพูดวลีหรือประโยค 3 คํา เด็กอายุ 4 ปี จะพูดวลีหรือประโยคท่ียาว
4 คํา แตใ่ นบางครัง้ เดก็ จะมีการทดลองใช้คําศัพท์ซึ่งอาจจะมีลักษณะของการหยุดคิด (Pause) พูดซํ้า
ๆ ใช้คําเอ้ออ้าบ่อย ๆ คล้ายคนติดอ่าง (Normal Disfuency) ลักษณะการพูดเช่นน้ีเกิดขึ้นในช่วงที่
เด็กอายุ 2-6 ปี ซึ่งจะค่อย ๆ หายไปเม่ือเด็กเรียนรู้การพูดคําศัพท์ต่าง ๆ มากขึ้นหรือในบางคร้ังเด็ก
เองอยากพูดอยากอธิบายบางสิ่งบางอย่างแต่ไม่ทราบว่าจะใช้คําศัพท์อะไรเด็กจะใช้พยางค์ท่ีไม่มี
ความหมายปันกับพยางค์ท่ีมีความหมาย (Jagon) การพูดลักษณะน้ีควรจะหายไปเมื่อเด็กอายุ 2 ปี
ครง่ึ เพราะเด็กมีการขยายคาํ ศัพท์มากข้นึ
59
6) พัฒนาการการแปลเสียง จังหวะและภาษา (Articulation, voice, Rhythm, and
Language Development) อายุ 5-7 ปี เป็นขนั้ ที่เด็กมีการเรียนรู้การใช้เสียงพูดให้ถูกต้องและมีการ
ขยายคําศัพท์โครงสร้างและความซับซ้อนของประโยคมากขึ้น เด็กจะพัฒนาส่ิงเหล่าน้ีได้ค่อนข้าง
สมบรู ณ์ใกลเ้ คยี งผู้ใหญ่ราวอายุ 7-8 ปี
ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า พัฒนาการการพูดของเด็กปฐมวัยเร่ิมจากพูดออกเสียงทีละคําแทน
ประโยค 1 ประโยค เมื่อเด็กโตขึ้นความพร้อมทางด้านภาษาดีข้ึนสามารถท่ีจะนําคําที่ทําหน้าท่ีต่าง ๆ
กันมารวมประกอบกันเป็นประโยค ในที่สุดเด็กจะสามารถเรียนรู้การผูกประโยคต่าง ๆ เป็นการส่ือ
ความหมาย ความคิด ความต้องการของตนเองให้ผอู้ ่นื ไดร้ บั รูแ้ ละเข้าใจได้เปน็ อย่างดี
3.4 กระบวนการพดู
สุภาวดี ศรีวรรธนะ (2542 : 68-70) กระบวนการในการพูดของเด็กปฐมวัยประกอบด้วย
กระบวนการ 3 ข้นั ตอน คือ
1) การออกเสียง
2) การสรา้ งคํา
3) การสรา้ งประโยค
ทั้ง 3 ขัน้ ตอนน้มี ีความสัมพนั ธ์เกี่ยวเนือ่ งกนั ขน้ั ตอนใดเป็นไปได้จะมีผลเสียต่อขน้ั ตอนอื่น
1) การออกเสียงทําได้โดยการเลียนแบบ เด็กเลียนแบบเสียงคําและเนืองจากบุคคลท่ีเด็ก
ตดิ ต่อเก่ียวข้องด้วย เด็กจะเปล่ียนภาษาพูดไปตามส่ิงแวดล้อมใหม่น้ัน เพราะกลไกการออกเสียงและ
นสิ ัยการพูดยังไม่มีรูปแบบแน่นอน ด้วยเหตุน้ีพ่อแม่และนักการศึกษาบางคนจึงเห็นว่าวัยเด็กเล็กเป็น
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเรียนภาษาต่างประเทศ เด็กจะพูดได้เหมือนเจ้าของภาษาแต่ถ้ารอไปเรียน
ตอ่ เมือ่ เด็กอย่ชู น้ั มัธยมเดก็ จะพดู ภาษาด้วยสําเนียงภาษาแม่ของตน
2) การสร้างคํา คือ การเชื่อมโยงกับความหมายคําหลาย ๆ คําที่มีเสียงเหมือนกันแต่
ความหมายต่างกัน เชน่ สาด สารท ศาสน์ การสร้างคําจึงยากกว่าการออกเสียง ท้ังการเชื่อมโยงเสียง
กบั ความหมายมโี อกาสผดิ ไดง้ า่ ย เมอ่ื เด็กไปโรงเรยี นเด็กจะทราบศัพท์ใหม่และความหมายใหม่เพ่ิมขึ้น
เร่ือย ๆ เพราะครูสอนได้โดยตรงและจากประสบการณ์ของเด็กเองจากการอ่านหนังสือฟังวิทยุหรือดู
โทรทัศน์ นอกจากน้ีเด็กอายุเท่ากันทราบศัพท์จํานวนไม่เท่ากัน เน่ืองจากความแตกต่างระหว่าง
บคุ คล ด้านสตปิ ญั ญา อทิ ธิพลของส่งิ แวดล้อม โอกาสในการเรียนรแู้ ละแรงจูงใจ
3) การสร้างประโยค ระยะแรกเด็กอายุ 12-18 เดือน พูดประโยคที่มีคําเพียงคําเดียวใช้
ท่าทางประกอบ เช่น “ขอ” และช้ีไปที่ตุ๊กตา หมายความว่า ขอตุ๊กตาให้หนู อายุ 2 ปีเด็กใช้ประโยค
สนั้ ๆ ได้แลว้ อายุ 4 ปี เดก็ จะพดู ประโยคต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เด็กชอบใช้ประโยคคําถามมากพอเด็กพูดได้
เดก็ จะพดู ไม่หยุดเหมือนกับตอนท่ีเด็กเดนิ ได้จะเดนิ ไมห่ ยุดเช่นเดยี วกัน
ดังน้ันสรุปได้ว่า การพูดของเด็กปฐมวัยนั้นเด็กเริ่มเปล่งเสียงร้องที่ไม่มีความหมายก่อน
จากน้ันเด็กจะค่อย ๆ พัฒนาเป็นคําพูดเดียวก่อน แล้วค่อย ๆ พัฒนาเป็นประโยคสั้น ๆ และมีความ
60
ซับซ้อนมากข้ึน ดังน้ันกระบวนการพูดของเด็กปฐมวัยจึงประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การออกเสียง
การสร้างคําและการสร้างประโยค การจดั กจิ กรรมสง่ เสริมการพดู ทเ่ี หมาะสมกับวยั มากทส่ี ดุ
3.5 ทฤษฎีทเี่ กย่ี วขอ้ งกับการพดู
จากเอกสารประกอบการสอนรายวิชาหลักสตู รและการจัดโปรแกรมการอบรมเด็กปฐมวัย สุณี
บุญพิทกั ษ์ (2557 : 18) ได้กลา่ วทฤษฎที เี่ ก่ยี วขอ้ งกับการพดู ไวด้ ังน้ี
1) ทฤษฎีพฒั นาการทางสติปัญญา เพียเจต์(Jean Piaget)
เพียเจต์(Jean Piaget) เป็นนักการศึกษาชาวอเมริกันเช้ือชาติสวิส เจ้าของทฤษฎีพัฒนาการ
ทางสติปัญญา เขาเช่ือว่าเด็กอายุ 2-7 ปี สติปัญญากําลังพัฒนาอยู่ในขั้นก่อนปฏิบัติการ (Pre-
Operational Stage) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กวัย 4-6 ปี เป็นวัยท่ีพัฒนาการทางภาษาเป็นไปใน
ลักษณะยังเข้าใจความหมายของคําและเร่ืองราวไม่แจ่มแจ้ง (คู่มือการอบรมเลี้ยงดูเด็กก่อน
ประถมศึกษา, 2541 : 13) ฉะนั้นควรให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการสัมผัส สํารวจ ทดลองและลงมือกระทํา
ต่อวัตถุด้วยตนเอง ซ่ึงพัฒนาการด้านสติปัญญาของเพียเจต์ที่เกี่ยวข้องในช่วงวัยเด็กปฐมวัยมี 2
ข้ันตอน ได้แก่
1.1) ข้ันประสาทสัมผัสและการเคล่ือนไหว (Sensormotor Stage) อยู่ในช่วงอายุ 0- 2 ปี
เด็กในวัยนี้จะเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ รอบตัวจากการสัมผัสจับต้องผ่านประสาทสัมผัสของเด็กทุกด้าน จะ
สังเกตเห็นได้ว่าเด็กไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบเคลื่อนไหวตลอดเวลา มือจับต้องส่ิงของต่าง ๆ ท่ีอยู่ใกล้ตัว
อยากเลน่ อยากลองสงิ่ ทพ่ี บทเ่ี ห็น ผู้เล้ียงดูถ้าไม่เข้าใจพฤติกรรมที่เกิดขึ้นสนับสนุนส่งเสริม ย่อมส่งผล
ทด่ี ีตอ่ การพัฒนาเดก็
1.2) ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ (Preoperational Stage) อยู่ในช่วงวัย 2 – 7 ปี เด็กเร่ิม
เรียนรู้ภาษาพูดและภาษาท่าทางในการส่ือสาร แต่ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ดี เด็กยังคงยึดตนเอง
เปน็ ศูนย์กลางอยา่ งมาก สามารถจดั หมวดหมูส่ ิง่ ของไดต้ ามเกณฑ์ของตน
ศรียา นิยมธรรม และประภัสสร นิยมธรรม (2541 : 27-30) ได้กล่าวถึง ทฤษฏีพัฒนากร
ทางการพูดไว้ดังนี้
1) ทฤษฎีการรับรู้ (Motor Theory of Perception) ในบางคร้ังเด็กจะพูดําท่ีไม่เคยพูด
หรือไม่เคยถูกสอนให้พูดมาก่อนเลยแม้แต่ในระยะเล่นเสียงก็มิได้เปลี่ยนแปลงเสียงที่คล้ายกับคําน้ัน
จึงสงสยั วา่ เดก็ เรียนรไู้ ด้อย่างไร ทฤษฎีน้ีให้คําตอบในแง่นี้ซึ่งลิเบอร์แมน (Liberman) ต้ังสมมติฐานไว้
ว่า การรับรู้ทางการฟังขึ้นอยู่กับการเปล่ียนแปลงเสียง จึงเห็นได้ว่าเด็กมักจ้องหน้าเวลาเราพูดด้วย
ทํานองเดียวกับเด็กหูตึง การทําเช่นนี้อาจเป็นเพราะเด็กฟังพูดซ้ําด้วยตนเองหรือหัดเปล่งเสียง โดย
อา่ นริมฝีปากแล้วจงึ เรียนรคู้ ํา
2) ทฤษฎีความบังเอิญจากการเล่นเสียง (Babble Luck) ซ่ึงธอร์นไดร์(Thondike) เป็นผู้คิด
โดยอธบิ ายวา่ เมอื่ เด็กกาํ ลังเลน่ อย่นู ัน้ เผอิญมบี างเสียงไปคล้ายกบั เสยี งท่ีมีความหมายในภาษาพูดของ
แม่ พ่อแมจ่ งึ ให้รางวลั ในทันทีด้วยวธิ ีนี้เด็กจะมพี ฒั นาการทางภาษาไปเรื่อยๆ
61
จากการศึกษาทฤษฎีและกระบวนการการเรียนรู้ภาษาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าพัฒนาการทาง
ภาษาหรือการพูดของเด็กปฐมวัยน้ันจะต้องผ่านกระบวนการพัฒนามาเป็นลําดับขั้น เด็กสามารถ
เรียนรู้ภาษาได้หลายรูปแบบแตกต่างกันไปและการเรียนรู้น้ันเป็นไปอย่างรวดเร็วท้ังน้ีขึ้นอยู่กับ
องค์ประกอบต่าง ๆ ทางสังคม เช่น สิ่งแวดล้อม ตัวเด็กเอง ตลอดจนปฎิกิริยาตอบสนองจากส่ิงเร้า
โดยกระบวนการเรียนรู้เริ่มอย่างไม่เป็นกฎเกณฑ์ มีการปฏิสัมพันธ์กับส่ิงต่าง ๆ และบุคคลใกล้ตัวใน
ลักษณะการเลียนแบบหรือการปฏิบัติแบบลองผิดลองถูกและเมื่อได้รับการเสริมแรงก็จะเกิดการ
เรียนรู้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างย่ิงหากการเรียนรู้น้ันเป็นการเช่ือมโยงความรู้ใหม่เข้ากับความรู้
เดมิ กจ็ ะทาํ ให้เด็กมพี ฒั นาการทางภาษาหรือพฒั นาการทางการพูดไดด้ ยี ่ิงขน้ึ
3.6 กจิ กรรมท่ีสง่ เสรมิ การพดู ของเดก็ ปฐมวยั
กิจกรรมท่ีจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางการพูดให้กับเด็กนั้น มีกิจกรรมหลายรูปแบบ เป็น
กิจกรรมท่ีเปิดโอกาสให้เด็กได้พูดคุย ซักถามและแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นอิสระเพ่ือให้เกิด
ประสบการณ์ตรงเกิดการเรยี นรู้ได้พัฒนาครบทุกด้าน (กรมวิชาการ, 2540 : 36-37) ตามแนวการจัด
กิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์ทีส่ ามารถจัดได้หลากหลายวธิ ี เชน่
1) การสนทนา อภิปราย เป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาในการพูด การฟัง รู้จักแสดง
ความคิดเห็นและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งสื่อท่ีใช้อาจเป็นของจริง ของจําลอง รูปภาพ
สถานการณจ์ ําลอง เป็นต้น
2) การเลา่ นทิ าน เป็นการเล่านิทานเร่ืองต่าง ๆ ส่วนมากจะเป็นเร่ืองที่เน้นการปลูกฝังให้เกิด
คุณธรรม จริยธรรม วิธีการน้ีจะช่วยให้เด็กเข้าใจได้ดีขึ้น ในการเล่านิทานสื่อท่ีใช้อาจเป็น รูปภาพ
หนงั สอื นทิ าน ห่นุ การแสดงท่าทางประกอบการเลา่ เรอ่ื ง
3) รง้ั ผู้สอนอาจใหเ้ ด็กอาสาสมัครเปน็ ผู้สาธิตรว่ มกับผู้อื่น เพ่ือนาํ ไปสู่การปฏบิ ัติจริง เช่น การ
เพาะเมลด็ การเปุาลกู โปงุ การเล่นเกม การศึกษา เป็นต้น
4) การทดลองการปฏิบัติ เป็นกิจกรรมที่จัดให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง เพราะได้ทดลอง
ปฏิบัติด้วยตนเอง ได้สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลง ฝึกการสังเกต การคิดแก้ปัญหาและส่งเสริมให้เด็กมี
ความอยากรู้อยากเห็นและค้นพบด้วยตนเอง เช่น การประกอบอาหาร และการทดลองวิทยาศาสตร์
งา่ ย ๆ การเลี้ยงหนอนผเี สอ้ื การปลกู พชื เปน็ ตน้
5) การศึกษานอกสถานที่ เป็นการจัดกิจกรรมท่ีทําให้เกได้รับประสบการณ์ตรงอีกรูปแบบ
หน่ึง ด้วยการพาเด็กไปทัศนศึกษาสื่อต่าง ๆ รอบสถานศึกษาหรือสถานท่ีนอกสถานศึกษา เพื่อเป็น
การเพ่ิมพนู ประสบการณแ์ ก่เดก็
6) การเล่นบทบาทสมมติ เป็นการให้เด็กเล่นสมมติตนเอง เป็นตัวละครต่าง ๆ ตามเนื้อเร่ือง
ในนิทานหรอื เรื่องราวตา่ ง ๆ อาจใชส้ ่ือประกอบการเล่นสมมติ เพ่ือเร้าความสนใจและก่อให้เกิดความ
สนุกสนาน เช่น หุ่นสวนศีรษะ ท่ีคาดศีรษะรูปคนและสัตว์ต่าง ๆ เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์ของจริง
ชนิดต่าง ๆ
62
7) การร้องเพลง เล่นเกม ท่องคําคล้องจอง เป็นการจัดให้เด็กแสดงออกเพ่ือความสนุกสนาน
เพลิดเพลินและเรียนรูเ้ กี่ยวกับภาษาและจงั หวะ เกมทนี่ าํ มาเล่นไม่ควรเนน้ การแข่งขัน
นิรมล ช่วงวฒั นชยั (2541 : 26) ไดแ้ นะนาํ ตัวอย่างกิจกรรมทส่ี ่งเสริมการพดู ดงั น้ี
1) กจิ กรรมการอธบิ ายหรือเลา่ ถงึ ภาพทีเ่ หน็
2) ทาํ ท่าประกอบการพดู
3) เลา่ นิทาน
4) ลาํ ดับเรื่องตามนิทาน
5) เรียกชือ่ และอธิบายลกั ษณะส่งิ ของ
6) จาํ และอธิบายลกั ษณะสิง่ ของ
7) อธิบายขนาดและสีของสงิ่ ของ
นอกจากนี้พ่อแม่ก็มีส่วนสําคัญในการช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางการพูดให้กับเด็กปฐมวัย
เพ่อื เด็กเร่ิมต้นจากท่บี ้าน การทเี่ ด็กไดม้ ีปฏสิ ัมพนั ธก์ ับผู้ท่อี ยแู่ วดล้อมเพียงใดเด็กจะพัฒนาการฟังและ
การพดู มากเพยี งนั้น ซ่ึงสอดคล้อง กลุ ยา ตนั ตผิ ลาชีวะ (2542 : 10) ที่กล่าวว่า ผู้ปกครองไม่ว่าจะเป็น
พ่อแม่หรือผู้ที่ทําหน้าท่ีเป็นผู้ปกครองมีอิทธิพลโดยตรงต่อการพัฒนาเด็ก ซึ่งจากการศึกษาวิจัยเรื่อง
ความสมั พนั ธ์ระหว่างส่ิงแวดลอ้ มทางบ้านกับความสามารถทางด้านสติปัญญาของเด็กอายุระหว่าง 4-
7 ปี พบว่า ส่ิงแวดล้อมทางบ้านส่งผลต่อการเรียนรู้ความสามารถทางด้านสติปัญญาของเด็กวัยนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระตุ้นเด็กให้เกิดการเรียนรู้ด้วยการพูดตอบสนองของแม่ท่ีมีต่อเด็กจะทําให้
เดก็ มีความสามารถทางดา้ นสติปัญญาสูงขนึ้ ดงั นนั้ พ่อแม่จึงควรให้ความสนใจและช่วยส่งเสริมการพูด
ของเดก็ ให้มากที่สดุ ในการส่งเสริมการพดู นน้ั ทําได้หลานวิธี เช่น ให้โอกาสเด็กฝึกเล่นเสียง สนใจและ
หาวิธีการเลียนเสียงว่าเสียงใดมีความหมายใช้ประโยชน์ได้และเล่ียงการใช้ท่าทางให้น้อยลง แต่ฝึกให้
เด็กนําคําศัพท์มาใช้แทน ท้ังน้ีเพราะพ่อแม่เป็นผู้ที่ใกล้ชิดที่สุดของเด็กจึงทําหน้าที่เสมือนเป็น
แบบอย่างในการพูดช้ากว่าปกติและไม่เหมาะสมกับวัย ส่ิงท่ีพ่อแม่ควรปฏิบัติในการส่งเสริมการพูด
ของเด็กปฐมวยั ซึง่ ได้มกี ารศกึ ษากล่าวไว้หลายทา่ นดงั นี้
เยาวพา เดชะคุปต์ (2542 ; 75-76 ) กล่าวว่าแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาการทางการพูด
จะต้องคาํ นงึ ถึงตัวครุ การจดั บรรยากาศและจดุ มุง่ หมายของกจิ กรรมดังตอ่ ไปน้ี
1) การฝึกพุดควรฝึกในกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อให้มีการตอบสนองระหว่างครูและนักเรียนให้มมาก
ที่สดุ
2) การฝกึ พูดควรอยูใ่ นลกั ษณะที่เปน็ ธรรมชาติท่ีสุด ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาในกลุ่มย่อยหรือ
ในขณะที่เด็กกําลังเลน่
3) บรรยากาศและสิ่งแวดลอ้ มในการพูด ควรเป็นบรรยากาศที่เด็กรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยสบาย
ใจทจ่ี ะแสดงออกและมีอสิ ระ
4) ใหเ้ ด็กเกิดนสิ ัยท่ีดใี นการพูดและสามารถใชค้ ําพดู ได้อย่างเหมาะสม
5) เปิดโอกาสให้เด็กเล่าประสบการณข์ องตนเอง
63
ดังนน้ั จึงสรุปได้ว่า การส่งเสริมความสามารถด้านการพูดของเด็กปฐมวัยสามารถจัดกิจกรรม
ได้อย่างหลากหลาย เช่น การเล่าเร่ืองจากประสบการณ์จริงท่ีมีอยู่ใกล้ตัวเด็กรวมท้ังท่ีอยู่รอบตัวเด็ก
การพูดแสดงความรู้สึก การให้เด็กไดแสดงออกในโอกาสต่าง ๆ ธรรมชาติของเด็กปฐมวัยการจัด
ประสบการณ์โดยใช้ปริศนาคําทาย เด็กได้พูดได้ตอบเกี่ยวกับปริศนาคําทาย จึงน่าจะเป็นวิธีการที่
เหมาะสมและสอดคลอ้ งกับธรรมชาติของเด็กมากทสี่ ุดและได้ผลดที ่สี ุด
4. เอกสารทีเ่ กย่ี วข้องกบั คาคลอ้ งจอง
4.1 ความหมายของคาคลอ้ งจอง
สํานักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ (2541) ได้ให้ความหมายของคําคล้องจอง
หมายถงึ คาํ ประพันธ์อาจเป็นโคลง กลอน เป็นต้น ซ่ึงใช้ถ้อยคําง่าย ๆ และมีความหมายไม่มากนัก มี
เนอ้ื หาสาระงา่ ย ๆ เด็กท่องแล้วเกิดความสนุกสนาน
รัชนี ศรีไพวรรณ (2546) คําคล้องจอง หมายถึง กลุ่มคําต้ังแต่ 2 คําข้ึนไปที่มีเสียงคล้องจอง
กันและเสียงท่ีคล้องจองกันน้ันเกิดจากคําสัมผัส คําคล้องจองอาจจะมีต้ังแต่ 2 คํา ถึง 6 คําใจความ
ของคาํ คลอ้ งจองจะต้องเป็นเรื่องเดียวกนั และจะมกี ่ีกลุม่ คาํ ก็ได้แล้วแตใ่ จความ
ปานใจ จารุวนิช (2548) คาํ คล้องจองเป็นคาํ ท่มี ีเสยี งสมั ผัสกันดว้ ยรูปสระและตัวสะกด ทําให้
ง่ายต่อการออกเสียง เด็ก ๆ จะชอบฟังและชอบพูดตาม เนื่องจากคําคล้องจองเป็นคําง่าย ๆ และมี
ความยาวไมม่ ากปรากฏในรูปของคําประพนั ธต์ ่าง ๆ เช่น โคลง กลอน กาพย์ เปน็ ต้น
นภดล สังข์ทอง (2551) คําคล้องจอง หมายถึง คําท่ีมีเสียงรับสัมผัสกัน ถูกต้องกันไม่ขัดกัน
คาํ คล้องจองจงึ เปน็ คาํ ท่ีออกเสยี งรบั สัมผสั กันนนั่ เอง
เครือรัตน์ เรืองแก้ว (2554) คําคล้องจอง หมายถึง คําที่รับสัมผัสกัน ไม่ขัดกัน คล้องจอง
สัมผัสกนั ดว้ ยรปู สระและตวั สะกด เช่น กอ่ รา่ งสรา้ งตัว คณุ งามความดี
สรปุ ได้วา่ คําสมั ผสั คล้องจอง หมายถงึ คาํ ที่มีเสียงสัมผัสคล้องจองกันหรือกลุ่มคําท่ีมีเสียงรับ
สมั ผสั คลอ้ งจองกนั ด้วยรูปสระและตวั สะกด ใชถ้ ้อยคาํ และเน้ือหาสาระง่าย ๆ มีความหมายหรือไม่มีก็
ได้ ซง่ึ ปรากฏในรูปของคาํ คล้องจองหรอื คําประพนั ธ์ประเภทกลอน โคลง กาพย์
4.2 ความสาคญั ของคาคลอ้ งจอง
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนคําคล้องจองสําหรับเด็กปฐมวัยมีความสําคัญและ
จําเป็นอยา่ งมากตามท่นี กั การศึกษาได้กลา่ วไว้ดงั น้ี
สํานักงานคณะกรรมการการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2541) กล่าวถึงวัตถุประสงค์หรือ
ความสาํ คญั ของคาํ คลอ้ งจองไว้ ดงั นี้
1) เพ่ือพัฒนาภาษา
2) เพอ่ื ฝกึ ความจาํ
3) เพ่ือใหค้ วามสนกุ สนาน เพลดิ เพลิน
64
4) เพอ่ื ฝกึ ระเบียบวินยั
จริ ะประภา บณุ ยนติ ย์ ลออ ชตุ กิ รและศรสี มบัติ เทพกาญจนา (2554) กล่าวถึง จุดมุ่งหมายหรือ
ความสําคญั ในการสอนบทรอ้ งกรองหรือคําคลอ้ งให้แก่เด็กไว้ดงั นี้
1) เพือ่ สนองความตอ้ งการทางธรรมชาติในเรือ่ งของจงั หวะ เด็ก ๆ มีความสนใจ มีความสุขท่ี
ไดท้ ําเสียงหรอื ท่าทางใหเ้ ข้ากับจังหวะหรอื ได้ฟงั เสยี งทีเ่ ป็นจังหวะ
2) เพ่ือช่วยปกปูองและส่งเสริมพัฒนาการทางด้านจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของ
เด็ก
3) เพ่ือส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของเด็ก ช่วยให้เด็กใช้ภาษาได้ดี ใช้ถ้อยคําท่ีถูกต้อง
ชัดเจน สามารถใช้ระดับเสียงแสดงออกซึ่งความรู้สึกได้ตรงความหมาย เช่น ประหลาดใจ ดีใจ กลัว
ตกใจ เสยี ใจ เป็นต้น
4) ช่วยใหเ้ ดก็ ไดเ้ รียนรกู้ ารใช้วรรคตอน ก่อนทีจ่ ะอ่านหนงั สือ ซึง่ เปน็ การฝกึ ฝนตามธรรมชาติ
เปน็ ทางหนึ่งทชี่ ว่ ยฝกึ ฝนเด็กให้รจู้ ักสังเกต
5) เพม่ิ พนู ความร้ใู นดา้ นต่าง ๆ ให้แก่เด็ก
6) ช่วยให้เด็กไดเ้ รียนรู้คําศพั ทม์ ากขน้ึ
7) ช่วยให้ผูใ้ หญ่และเด็กมีความสมั พันธอ์ ันดตี ่อกัน
สรุปได้ว่า การสอนคําคล้องจองมีความสําคัญกับเด็กปฐมวัยมาก เพราะจะช่วยให้เด็กได้มี
พัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญา เด็กได้ฝึกกระบวนการคิดการจํา ทํา
ใหเ้ ข้าใจบทเรียน มพี ฒั นาการทางสงั คมและพฒั นาการทางภาษาไดด้ ขี ึน้
4.3 ประเภทของคาคลอ้ งจอง
สํานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2541) ได้แบ่งประเภทของคําคล้องจอง
เป็น 2 ประเภทใหญ่ คอื
1) มเี น้ือหาสมั พันธก์ ับเร่อื งท่ีสอน คาํ คลอ้ งจองบางบทมีขอ้ ความท่สี ัมพนั ธ์กับเน้ือหาในหน่วย
ทําให้เด็กมคี วามเข้าใจและจดจําเรอ่ื งราวต่าง ๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ งกับหน่วยการสอนไดร้ วดเร็วยง่ิ ข้ึน เช่น
คาํ คล้องจอง “ฝนตกแดดออก” (ผูแ้ ตง่ ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ)
ฝนตกพรํา ๆ แมด่ าํ กางรม
แกเดินกม้ ๆ อยใู่ ตก้ าํ แพง ประเด๋ยี วแดดออก
แกบอกพอ่ แดง ฉันไมม่ ีแรงหุบร่มให้ที
2) ไม่สัมพันธ์วิชา แต่เป็นคําคล้องจองที่ต้องการให้เด็กท่อง เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน
และเพอื่ ผอ่ นคลายความตึงเครียดในขณะทํากจิ กรรมท่ีต้องใช้สมาธมิ าก ๆ เช่น
คําคล้องจอง “ตะกร้อของใคร” (ผแู้ ต่ง ฐะปะนีย์ นาครทรรพ)
ตะกรอ้ ของใคร มนั ใหญจ่ รงิ จริง
พอเตะมนั กลิ้ง ไปโดนตะกรา้
65
กระโดดไปตะครบุ หล่นปบฺุ พลาดท่า
ตะกรอ้ ถกู หนา้ หกล้มจมโคลน
เครอื รตั น์ เรอื งแก้ว (2544) ได้จดั ประเภทของคําคล้องจองไว้ ดังนี้
1) คาํ คล้องจองทเี่ ปน็ สาํ นวนไทย เช่น ลม้ ลกุ คลุกคลาน ขับไลไ่ สส่ง
2) คําคล้องจองทีเ่ ปน็ บทร้อยกรอง เช่น
เพอื่ นกนิ มีมาก ถา้ หากจะหา
เพอื่ นตายนน้ั หนา หายากเต็มที
3) คาํ คล้องจองท่ีเปน็ สํานวนภาษติ ไดแ้ บ่งเป็น 2 ชนดิ
- สาํ นวนแบบธรรมดา เช่น กระเชอกน้ รว่ั
- สาํ นวนแบบอุปมาอปุ ไมย เช่น แก้มแดงเหมือนลกู ตาํ ลึง
4) คาํ คลอ้ งจองทเี่ ป็นคําพังเพย เช่น ความรทู้ ว่ มหวั เอาตัวไม่รอด
5) คาํ คลอ้ งจองที่เป็นภาษิต สุภาษิต เช่น ตนแลเปน็ ทพ่ี ง่ึ แหง่ ตน
6) คาํ คลอ้ งจองที่เป็นคาํ ขวญั เช่น สามคั คคี ือพลงั
7) คาํ คล้องจองที่เป็นคาํ โฆษณา เช่น บรกิ ารทกุ ระดับประทบั ใจ
จากท่กี ลา่ วมาท้ังหมดนั้น สรุปได้ว่าคาํ คลอ้ งจองนน้ั แบ่งออกไดห้ ลายประเภท ทั้งนี้ข้ึนอยู่กับการ
เกบ็ รวบรวมและค้นควา้ ของนกั การศกึ ษาแตล่ ะทา่ นที่แสดงข้อคิดเห็นแตกตา่ งกนั
4.4 ลกั ษณะของคาคล้องจอง
สุปาณี พดั ทอง (2544) กล่าวว่า หัวใจของร้อยกรองไทย คอื สัมผสั สัมผสั คือ ความคล้องจอง
กัน ของถ้อยคําที่มีเสียงรับกัน ความคล้องจองกันทําให้เกิดจังหวะที่ทําให้บทร้อยกรองอ่านร่ืน
สละสลวยไมต่ ิดขัด
สัมผัส คือ ความคล้องจองกันของถ้อยคําท่ีมีเสียงรับกัน ทําให้เกิดความไพเราะ ซึ่งสัมผัสน้ี
เป็นลักษณะบังคับที่สําคัญที่สุดของบทร้องกรองทุกชนิดและหากขาดเร่ืองสัมผัสคล้องจองแล้วจะหา
ความไพเราะในร้อยกรองนน้ั ไม่ได้คาํ สัมผัสมี 2 ลักษณะ คอื
1) สมั ผัสสระ มอี ยู่ดว้ ยกัน 2 ลักษณะ ดงั นี้
1.1) สัมผัสสระท่ีมีสระคล้องจองกัน เพราะใช้สระเสียงเดียวกัน เช่น ใบ – ใส, ปุา – กา,
นะ – คะ, จะเห็นวา่ เป็นคําที่มสี ียงสระคล้องจองกันเพราใช้สระเสยี งเดียวกันในมาตรา ก.กา
1.2) สัมผัสสระที่มีเสียงสระคล้องจองกัน เพราะใช้เสียงสระและตัวสะกดมาตราเดียวกัน
เช่น กาล – บ้าน, จริง – นิ่ง, กฎ – บท
2) สมั ผัสอกั ษร มลี ักษณะ ดงั น้ี
คล้องจองกันด้วยพยัญชนะต้น เป็นพยัญชนะตัวเดียวกัน เช่น ห่าง – เหิน, จันทร์ – เจ้า,
ความ – ควาน, อยาก – อยู่, หมอ – เหมือน, หรือคล้องจองด้วยพยัญชนะต้นมีเสียงเดียวกัน เช่น ซ้ึง
66
– สขุ เพราะ ช เป็นอกั ษรของ ส หรอื ทบั – ถงึ เพราะ ท เป็นอักษรคู่ ของ ถ หรือ เย็น – หยาด เป็น
สมั ผัส อกั ษรระหวา่ ง ย กบั หย
การสมั ผัสมี 2 ประเภท คอื
1) สัมผัสนอกหรือสัมผัสบังคับ ไม่มีไม่ได้เพราะถูกฉันทลักษณ์บังคับให้มีตามกําหนดไว้ท่ี
เรยี กว่าสัมผสั นอกกเ็ พราะเป็นสัมผัสนอกวรรคหรอื สมั ผัสระหวา่ งวรรค สมั ผัสนอกจะเป็นสัมผสั สระ
2) สมั ผัสใน หมายถึง สมั ผสั ทคี่ ลอ้ งจองกันในวรรคเดียวกัน เป็นสัมผัสที่ไม่บังคับ ดังน้ันจึงไม่
มีก็ได้ถือว่าไม่ผิด แต่สัมผัสในน้ีเองที่ทําให้กลอนมีความงาม ความไพเราะรื่นหูเพิ่มขึ้นถือว่าเป็น
ความสามารถพิเศษในการเขียน เพราะเป็นสัมผัสไม่บังคับ ถ้าสัมผัสนอกสร้างรูปร่างลักษณะให้แก่คํา
ประพนั ธ์แล้ว สัมผัสในก็สร้างความมชี ีวิตให้สัมผัสสระและสัมผสั อักษร
นภดล สังข์ทอง (2551) กล่าวถึง คําสัมผัสคล้องจองว่าเป็นคําที่เกิดจากการประสมด้วยสระ
เสยี งเดยี วกนั และถา้ มีตวั สะกดกต็ อ้ งเปน็ ตวั สะกดทีอ่ ยู่ในมาตราเดียวกันด้วย ท้ังนี้ไม่ต้องคํานึงถึงเสียง
วรรณยุกต์ ตัวอย่าง เชน่
คาํ ว่า กา คล้องจองกบั คาํ วา่ นา หมา จํา กล้า เปน็ ต้น
คําว่า บิน คลอ้ งจองคาํ ว่า กนิ ลิ้น นลิ ถิน่ พิณ เปน็ ตน้
คําว่า ไป คลอ้ งจองกบั คําว่า ใจ ไกล ให้ ศยั ไพร เป็นตน้
ลักษณะของคาํ คล้องจอง
1) ประสมสระเสียงเดียวกัน เช่น คําว่า ไ คล้องจองกับคําท่ีประสมหรือออกเสียงสระ ไอ
ได้แก่ คําว่า ไก่ ให้ ไพร ศัย (คําเหล่าน้ี แม้ไม่ใช่ประสมด้วยสระไอ แต่อ่านออกเสียงเป็นสระ ไอ คือ
ไส)
2) ถึงจะเป็นสระเสียงเดียวกัน แต่คําหน่ึงเป็นสระเสียงส้ัน คําหน่ึงเป็นสระเสียงยาว เช่น กะ
– กา, มิด – มีด, ช่ัง – ช่าง, เป็นต้น กไ็ มถ่ อื วา่ คล้องจองกัน
3) ถ้ามีตัวสะกดไม่จําเป็นจะต้องเป็นอักษรตัวเดียวกัน แต่จะต้องอยู่ในมาตราเดียวกัน เช่น
คําว่า สอน มีเสยี งพยัญชนะตน้ คือ ส เสือ ประสมดว้ ยสระ ออ ตัวสะกดอยู่ในแม่ กน คําที่คล้องจองก็
จะต้องเป็นคําที่ประสมด้วยสระ ออ ตัวสะกดก็ต้องอยู่ในแม่ กน เช่นกัน เช่นคําว่า ตอน ก้อน กลอน
หนอน มอญ พร (พอน) เป็นตน้
4) ต้องมพี ยัญชนะตน้ ต่างกัน เช่น คําว่า มา (ม ม้า เป็นพยัญชนะต้น) คล้องจองกับคําว่า สา
(ส เสือ เป็นพยัญชนะต้น) คําว่า เดิน (ด เด็ก เป็นพยัญชนะต้น) คล้องจองกับคําว่า เนิน (น หนู เป็น
พยญั ชนะต้น) เป็นต้น
คําบางคําถึงแม้ว่าจะประสมด้วยสระหรือเสียงสระเดียวกัน ตัวสะกดอยู่ในมาตราเดียวกัน
และวรรณยุกต์เสียงด้วยกันก็ตาม แต่ถ้ามีพยัญชนะต้นเป็นตัวเดียวกันไม่จัดเป็นคําคล้องจองหาก
เรยี กวา่ คาํ พอ้ งเสยี ง (คําท่อี า่ นออกเสียงเหมือนกนั แตค่ วามหมายไมเ่ หมือนกัน) เช่น คาํ วา่
บาด บาท บาตร บาศก์ (อ)ุ บาทว์
67
กาน กาล การ การณ์ กาญจน์ กานต์ กานท์ กาฬ
จนั จัณฑ์ จนั ทร์ จันทน์ จรรย์จัญ(ไร) เป็นต้น
คําเหล่านี้จัดเป็นคําพ้องเสียง อย่างไรก็ตามคําท่ีมีพยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน สระ
เสียงเดียวกนั แต่หากเสยี งวรรณยกุ ตต์ า่ งกันก็สามารถใชร้ บั สมั ผสั ในบทร้อยกรองได้ เช่น กาน – ก้าน,
ลาน – ลา้ น – หลาน, จา – จ้า – จํา ฯลฯ
5) คําคล้องจองอาจใช้รูปและเสียงวรรณยุกต์เหมือนกันหรือต่างกันก็ได้ เช่นคําว่า ว่ิง (รูป
วรรณยุกต์เอก เสียงโท) คล้องจองกับคําว่า ท้ิง จริง อ๋ิง ลิง ปลิง พิง กลิ้ง เป็นต้น คําว่า ปูาย (รูป
วรรณยุกต์จัตวา เสียงจตั วา) คลอ้ งจองกับคําว่า ช้า กา หนา หวา พรา่ กล้า ลา้ ตา มา้ เปน็ ตน้
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ลักษณะคําสัมผัสคล้องจองจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ สัมผัสสระที่มี
เสียงสระเดียวกัน ถ้ามีตัวสะกดต้องมาตราเดียวกันและสัมผัสพยัญชนะมีลักษณะท่ีพยัญชนะต้นเป็น
ตวั เดียวกันหรือมีเสยี งเดยี วกัน
4.5 การจดั ประสบการณ์เก่ียวกับคาคลอ้ งจอง
สาํ นักงานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ (2541) ได้จัดลําดับข้ันในการสอนคําคล้องจอง
ให้กบั เด็กควรสอนตามลําดับขั้น ดังนี้
1) ครูกล่าวคําคลอ้ งจองให้เด็กฟัง พร้อมทั้งอธบิ ายความหมาย
2) ครูพูดคําคล้องจองให้เด็กพูดตามทีละวรรคจบบท แล้วครูจะบอกให้เด็กพูดคําคล้องจอง
ตามซ้ําอกี 2-3 ครงั้ เมื่อเด็กจาํ ไดบ้ า้ งแลว้ จึงไดพ้ ูดพร้อม ๆ กับครู
3) ขณะท่ีพูดคําคล้องจองครูทําท่าทางประกอบไปด้วยถ้าทําได้ ส่วนเด็ก ๆ จะทําท่าทาง
ประกอบตามครู
4) เม่ือเด็กจําคล้องจองและท่าทางประกอบได้แล้ว จึงให้เด็กพูดคําคล้องจองและทําท่า
ประกอบเอว โดยครูคอยให้กาํ ลังใจอยู่ใกล้ ๆ
รชั นี ศรไี พวรรณ (2546) กล่าวถงึ การสอนคาํ คลอ้ งจองควรดาํ เนินการตามข้ันตอน ดงั น้ี
1) ทบทวนเร่ืองคําสัมผัส โดยครูหรือนักเรียนคนใดคนหน่ึงข้ันต้นคําแล้วให้นักเรียนช่วยกัน
หาคําสมั ผสั ตอ่ ทีละคน เชน่
ครู เกลือ
นกั เรียน เรอื เมื่อ เบือ่ เสือ เจอื เป็นต้น
ครู เคล่ือน
นักเรยี น เตอื น เพื่อน เลอื่ น เกลอื่ น เบอื น เดือน เปน็ ตน้
2) สอนคําคล้องจอง 2 คําก่อน ตอนแรก ๆ ยังไม่ต้องให้ใจความของคําคล้องจองเป็นเร่ือง
เดียวกันก็ได้ เด็กจะได้มีความรู้สึกว่าง่าย เมื่อนึกข้อความใดท่ีคล้องจองกันได้ก็ให้พูดออกมาไดทันที
โดยดาํ เนินการดงั นี้
68
2.1 ครูพูดคําคล้องจอง 2 คํา พร้อมกับเขียนบนกระดาน พยายามหาข้อความที่ชวนขัน
เพ่อื ให้นักเรยี นสนใจ เชน่ ลิงซน ขนพอง จ้องดู ปูเดิน เพลนิ ไป ไม่รู้ ปูหนีบ
2.2 ใหน้ ักเรียนอ่านเป็นจังหวะพร้อม ๆ กัน แล้วให้ช่วยกันบอกคําสัมผัส (ซน – ขน, พอง
– จ้อง, ดู – ปู, เดิน – เพลนิ , ไป – ไมร่ ู้, รู้ – ปู)
2.3 แบ่งกลุ่มนักเรียนกลุ่มละ 3 – 5 คน ครูข้ึนคําต้นคําคล้องจอง 2 คํา แล้วให้กลุ่มที่ 1
ช่วยกันคิดคําคล้องจองต่อคําคล้องจองท่ีครูข้ึนต้น กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ 1 กลุ่มท่ี 3 ต่อกลุ่มที่ 2 เร่ือยไป
โดยไมบ่ งั คับว่าใจความจะต้องเป็นเร่ืองเดียวกัน ในข้ันน้ีแต่เพียงให้เด็กหาคําสัมผัสในคล้องจอง 2 คํา
มาต่อให้ได้ ถ้ากลุม่ ใดต่อไมไ่ ด้ ให้กลุ่มตอ่ ไปต่อแทน เชน่
ครู กินข้าว
กลุ่มที่ 1 หาวนอน
กลุ่มที่ 2 ซอ้ นปลา
กล่มุ ท่ี 3 หาฟนื
กลุ่มที่ 4 ยืนดู
3) เม่ือนักเรียนสามารถต่อคําคล้องจอง 2 คํา โดยไม่ต้องให้ใจความเป็นเรื่องเดียวกันจนคล
ลอ่ งแลว้ ในข้นั น้ใี หน้ ักเรียนตอ่ คําคลอ้ งจองใหเ้ ปน็ เร่ืองเดียวกนั โดยดาํ เนินการสอนดงั นี้
3.1) ให้นักเรียนดูคําคล้องจองท่ีครูยกขึ้นมาครั้งแรก ในข้อ 2.1 ลิงชน ขนพอง จ้องดู ปู
เดิน เพลินไป ไม่รู้ ปูหนบี
3.2) ให้นักเรยี นอ่านเปน็ จังหวะพรอ้ ม ๆ กัน
3.3) ให้นักเรยี นชว่ ยกนั บอกเนื้อเรื่องของคําคล้องจองบทน้ี เช่น “ลิงขนพองตัวหน่ึงชุกชน
มาก มนั นง่ั ดู ปเู ดนิ เพลนิ ไป เลยถกู ปหู นีบเอา”
3.4) ใหน้ ักเรยี นชว่ ยกันต่อคําคลอ้ งจองทีม่ ีใจความต่อเนื่องกัน โดยครูช่วยแนะนําหรือช่วย
ต่อเมื่อนักเรียนตดิ ขดั
3.5) แบง่ กลมุ่ นักเรยี นแขง่ ขันต่อคําคล้อง 2 คําต่อกัน กลุ่มใดต่อได้และมีความต่อเน่ืองกัน
ได้คะแนนขอ้ ความละ 1 คะแนน ถ้าต่อไม่ได้หรือใจความไม่ต่อเนื่องไม่ให้คะแนน โดยครูหรือนักเรียน
คนใดคนหนง่ึ เป็นกรรมการการตัดสินและให้นักเรียนคนหน่ึงจดจําคําคล้องจองไว้ในสมุดหรือแผนภูมิ
3.6) ใหน้ กั เรยี นช่วยกันสรุปลักษณะคําคลอ้ งจอง 2 คํา ลงในสมดุ หรือแผนภูมิ
เมอ่ื เด็กต่อคําคล้องจอง 2 คําท่ีมีใจความต่อเน่ืองเป็นเรื่องเดียวกันจนคล้องแล้วจึงสอนคํา
คล้องจอง 3 คําและ 4 คํา โดยดําเนินการสอนตามลําดับขั้นตอนเช่นเดียวกับการสอนคําคล้องจอง 2
คาํ
ในข้ันสรุปลักษณะคําคล้องจอง 3 คําและ 4 คํา ให้นักเรียนสรุปลงในสมุดหรือแผนภูมิต่อ
จากข้อสรุปคาํ คล้องจอง 2 คํา ดงั น้ี
คําคล้องจอง 3 คํา คือ กลุ่มคําท่ีมีคํากลุ่มละ 3 คําและมีเสียงคล้องจองกันระหว่างกลุ่ม
โดยคาํ ทา้ ยของกลุ่มหนา้ สัมผัสกบั คาํ ท่ี 1 หรอื 2 ของกลุม่ คําหลงั เรือ่ ยไป
69
คําคลอ้ งจอง 4 คาํ กลมุ่ คาํ ทีม่ คี าํ กล่มุ ละ 4 คําและมเี สยี งคล้องจองกันระหว่างกลุ่ม โดยคํา
ท้ายของกลุม่ หน้าสัมผัสกับคําท่ี 1,2 หรือ 3 ของกลมุ่ หลังเร่อื ยไป
จิระประภา บุญยนิตย์และคณะ (2544) กล่าวถึง วิธีสอนบทร้อยกรองแก่เด็กก่อนเรียนไว้ว่า
เนื่องจากเด็กวัยน้ียังอ่านหนังสือไม่ออก ผู้สอนจึงต้องพูดให้เด็กฟัง ซึ่งอาจทําได้โดยพูดให้เด็กพูด
ตามมาทีละประโยคซํ้า ๆ หลาย ๆ เทียวจนเด็กจําได้ แต่วิธีนี้เด็กจะท่องได้แบบสอนให้นักพูด เด็ก
อาจจะพูดได้แต่ไม่เข้าใจเน้ือความ อีกวิธรหนึ่งซึ่งมีกระบวนการที่ฝึกให้เด็กคิดและสังเกตช่วยให้เด็ก
สามารถทอ่ งได้และเข้าใจเน้ือความซึ่งวธิ ีการดงั นี้
ก่อนอื่นแบง่ บทร้อยกรองท่ีจะสอนออกเป็นตอน ๆ ตามลาํ ดบั ความยากง่ายกอ่ นดงั น้ี
นวิ้ มือของฉนั เรียงกนั เป็นแถว
ฉันนับดูแลว้ สบิ น้วิ พอดี
นิ้วมือของฉัน เคลือ่ นไหวได้คลอ่ ง
หยบิ ฉวยจบั ต้อง ว่องไว้ด้วยซ่ี
พนมมอื ก็ได้ ไหว้สวยทกุ ที
ขี้เลบ็ ไมม่ ี สะอาดดจี ัง
1) พูดใหฟ้ ังหน่ึงจบ ซกั ถามเกย่ี วกบั เนื้อความขอกลอนบทน้นั
2) เมื่อเด็กไม่สามารถตอบตอนใดได้ก็ถือโอกาสพูดให้เด็กฟังซํ้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ซกั ถามดังครงั้ แรก
3) ถ้าเป็นบทที่ยากหรือยาวก็อาจจะต้องพูดให้ฟังและซักถามอีกครั้ง แต่ถ้าเป็นบท
สั้น ๆ หรือง่าย ๆ พูดให้ฟัง 2 ครั้งก็พอ แล้วให้เด็กพูดตอนที่ง่ายท่ีสุดก่อนแล้วจึงค่อยต่อบทท่ียากขึ้น
ดังตัวอยา่ ง
ครู
นิ้วมอื ของฉนั เรยี งกนั เปน็ แถว
ฉันนบั ดูแล้ว สบิ นว้ิ พอดี
นวิ้ มอื ของฉนั เคล่ือนไหวได้คล่อง
หยิบฉวยจับตอ้ ง วอ่ งไว้ด้วยซ่ี
เด็กเขา้ รว่ มพูดด้วย ไหว้สวยทุกที
พนมมอื ก็ได้ สะอาดดจี ัง
ขเ้ี ล็บไมม่ ี
ครู เรยี งกันเปน็ แถว
นิ้วมือของฉนั สบิ นว้ิ พอดี
ฉนั นบั ดแู ลว้
เดก็ เขา้ ร่วมพูดด้วย
70
น้วิ มอื ของฉนั เคลื่อนไหวได้คลอ่ ง
หยบิ ฉวยจับต้อง ว่องไว้ด้วยซ่ี
พนมมือกไ็ ด้ ไหวส้ วยทกุ ที
ขีเ้ ล็บไมม่ ี สะอาดดจี ัง
4) ครูและเด็กพูดพร้อมกันท้ังบท 2 หรือ 3 จบตามความหมายเหมาะสม การสอน
คําคล้องหรือบทร้อยกรองแก่เด็กไม่จําเป็นต้องให้เด็กพูดได้คล่องในบทเรียนเดียวในการเรียนครั้ง
ต่อไป ควรจาํ ไดม้ ีการทบทวนบทเกา่ ก่อนทีจ่ ะสอนบทใหม่เดก็ ก็จะพดู ได้คล่องขึน้ ตามลําดับ
สรุปได้ว่า คําคล้องจองสามารถนํามาใช้ในการจัดประสบการณ์ให้กับเด็กได้หลาย
รูปแบบ เชน่ การจดั ให้เดก็ ได้ทอ่ คําคลอ้ งจองแล้วแสดงท่าทางประกอบหรือใช้ในลักษณะการนํามาใช้
เล่นเกม เพ่ือทําให้เกิดความสนุกสนาน แต่ไม่ว่าจะใช้คําคล้องจองในรูปแบบใดก็เป็นประสบการณ์ที่
สามารถชว่ ยส่งเสรมิ ให้เด็กไดฟ้ ังและพดู อันจะส่งผลไปสู่ทักษะทางภาษาและส่งผลต่อพฤติกรรมความ
รว่ มมือของเด็กปฐมวยั ได้ทงั้ สนิ้
5. งานวจิ ยั ที่เก่ียวข้อง
5.1 งานวจิ ยั ทีเ่ กี่ยวขอ้ งในประเทศ
ได้มีผวู้ ิจัยเก่ยี วกบั พฒั นาการทางการพดู ของเด็กในประเทศหลายท่านดังตอ่ ไปน้ี
คณิศร ตรีผล (2550) ได้ศึกษาการใช้คําคล้องจองเพ่ือพัฒนาความสามารถทางการพูดของ
เดก็ ปฐมวยั ในโรงเรยี นสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏรําไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี ผลการศึกษาพบว่า การ
ใช้คําคล้องจองมีผลให้ความสามารถทางการพูดแสดงความต้องการ พูดแสดงความคิดเห็นพูดเล่า
เรื่องราว พูดต้ังคําถามของเด็กปฐมวัยสูงขึ้นจากการใช้วิธีวัดคะแนนเพิ่มสัมพันธ์และความสารถ
ทางการพดู ของเด็กปฐมวยั ท่ไี ดร้ บั การจัดกิจกรรมใช้คําคล้องจองหลังการทดลองสูงกว่าก่อนได้รับการ
ทดลอง
จฑุ า สกุ ใส (2555 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเปรียบเทียบพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่
ได้รับการจัดกิจกรรมท่องคําคล้องจองแบบมีความหมายและการจัดกิจกรรมท่องคําคล้องจองแบบ
ปกติกลมุ่ ตวั อย่างเป็นนักเรียนช้ันอนุบาล 2 จํานวน 30 คน ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยท่ีได้รับการ
จัดกิจกรรมท่องคําคล้องจองแบบมีความหมายก่อนและหลังการทดลองมีพัฒนาการทางการพูด
แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เด็กปฐมวัยท่ีได้รับการจัดกิจกรรมท่องคําคล้องจอง
แบบปกติก่อนและหลังการทดลองมีพัฒนาการทางการพูดแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่
ระดับ .01 เดก็ ปฐมวยั ท่ีไดร้ บั การจดั กจิ กรรมทอ่ คําคล้องจองแบบมคี วามหมายและเด็กปฐมวัยที่ได้รับ
การจัดกิจกรรมท่องคําคล้องจองแบบปกติมีพัฒนาการทางการพูดแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทาง
สถติ ิทรี่ ะดบั .01 เด็กปฐมวยั ทไี่ ดร้ บั การจัดกจิ กรรมท่องคําคลอ้ งจองแบบมคี วามหมายและเด็กปฐมวัย
ที่ได้รับการจัดกิจกรรมท่องคําคล้องจองแบบปกติมีความก้าวหน้าของพัฒนาการทางการพูด
เปลีย่ นแปลงไปในทางทส่ี งู ข้ึน
71
จุฬารัตน์ อินนุพัฒน์ (2543 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่
ได้รับการจัดประสบการณ์การเล่นมุมบล็อกแบบปกติ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเด็กปฐมวัย ชาย – หญิง
อายุระหว่าง 5-6 ขวบ ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเล่นมุมบล็อก
แบบเตม็ รูปแบบและมมุ บล็อกแบบปกตมิ ีพฒั นาการทางการพดู ท่ีไม่แตกต่างกนั
นงเยาว์ คลิกคลาย (2543 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเกี่ยวกับความสามารถด้านการฟังและการ
พูดของเด็กปฐมวัยท่ีได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยการใช้เพลงประกอบ โดยใช้กลุ่ม
ตวั อยา่ งเด็กปฐมวัย ชาย – หญิง อายรุ ะหว่าง 5 -6 ขวบ โรงเรยี นหว้ ยโปร่ง – ไผ่ขวาง จาํ นวน 10 คน
ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้เพลงประกอบมี
ความสามารถด้านการฟังและการพูดแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .001 โดยเด็ก
ปฐมวัยท่ีได้รับกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยการใช้เพลงประกอบมีความสามารถด้านการฟังและ
การพูดสูงกว่าเด็กปฐมวัยท่ีได้รับการจดั กจิ กรรมเสริมประสบการณต์ ามปกติ
เนื้อน้อง สนับบุญ (2541 : 131) ได้ศึกษาเปรียบเทียบความสามารถทางภาษาของเด็ก
ปฐมวยั ท่ไี ด้รับการจดั ประสบการณ์เล่านิทานที่เด็กเล่าเรื่องตามรูปจากหนังสือท่ีเด็กเลือกเด็กเล่าเร่ือง
ตามรูปจากหนังสือท่ีเด็กเลือกต่อกับเพื่อนและเด็กเล่าเรื่องตามรูปจากหนังสือที่เด็กเลือกต่อจากครู
โดยศึกษากับเดก็ อายุ 5 – 6 ปี จํานวน 45 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองท่ี 1 จํานวน 15 คน กลุ่มทดลอง
ท่ี 2 จาํ นวน 15 คนและกล่มุ ควบคมุ 15 คน การทดลองใชเ้ วลา 8 สัปดาหส์ ัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 20
นาที ผลการทดลองพบว่าความสารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยท่ีได้รับการจัดประสบการณ์การเล่า
เร่ืองตามรูปจากหนงั สือที่เด็กเลือก เด็กเลา่ เร่อื งตามรูปจากหนังสือท่ีเด็กเลือกต่อกับเพ่ือนและเด็กเล่า
เรอ่ื งตามรูปจากหนังสือทีเ่ ด็กเลือกต่อจากครมู ปี ฏสิ มั พนั ธก์ นั อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่รี ะดบั 0.001
ปานใจ จารุวณิช (2558 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาพฤติกรรมทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ
การจัดกิจกรรมท่องคําคล้องจอง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช้ันอนุบาล 2 จํานวน 15 คน ผลการวิจัย
พบว่า เด็กปฐมวัยท่ีได้รับการจัดกิจกรรมท่องคําคล้องจองมีพฤติกรรมทางการพูดหลังการจัดกิจรรม
สงู ขึ้นกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนับสําคัญทางสถิติระดับ .05 เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม
คาํ คลอ้ งจองมพี ฤตกิ รรมการพูดดา้ นทกั ษะทางการพูดด้านการเข้าใจความหมายและด้านการใช้ภาษา
เพ่ือใหบ้ รรลเุ ปาู หมายท่ีตอ้ งการสงู ขึ้นอย่างมีนัยสําคัญทางสถติ ิทีร่ ะดบั .05
สนอง สุทธาอามาตย์ (2545 : บทคัดย่อ) ได้ทําการศึกษาเก่ียวกับความสามารถด้านการฟัง
และการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยการประกอบอาหารศึกษา
กับเด็กอายุ 5 – 6 ปี โรงเรียนพระราม 9 กาญจนาภิเษก จํานวน 15 คน ผลการศึกษาพบว่าเด็ก
ปฐมวยั ท่ีไดร้ บั การจดั กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ โยการประกอบอาหารที่มีความสามารถด้านการฟัง
และการพดู แตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 โดยเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม
เสรมิ ประสบการณ์โดยการประกอบอาหารทีความสามารถด้านการฟังแลละการพูดสูงกว่าเด็กปฐมวัย
ทไ่ี ดร้ บั การจัดกิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์ตามปกติ
72
สมาพร สามเตี้ย (2545 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัยที่ได้รับ
การจดั กิจกรรม โยการเล่นเกมทางภาษา โดยใช้กล่มุ ตัวอยา่ งเดก็ ปฐมวัยชาย – หญิง อายุระหว่าง 5 –
6 ปี จํานวน 10 คน ผลการวิจัยพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเล่นเกมทางภาษามี
พัฒนาการทางภาษาพูด โดยเฉลี่ยร่วมก่อนการจัดกิจกรรมและหลังจัดกิจกรรมแตกต่างกันอย่างมี
นัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และพัฒนาการทางการพูดในแต่ละด้านทางการเข้าใจความหมายของ
คํา ด้านการสร้างประโยคมีความแตกต่างกันอย่างนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 ส่วนผลการสังเกต
ทางการพดู ในระหวา่ งการจดั กจิ กรรมเล่นเกมทางภาษามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ี
ระดับ .01 ท้งั ด้านการเข้าใจความหมายและการสร้างประโยค
อุบล เวียงสมุทร (2540 : 63 - 67) ได้ทําการศึกษาเปรียบเทียบความพร้อมทางภาษาของ
เด็กปฐมวัยทไ่ี ด้รับการจัดประสบการณ์หุ่นมือ โดยใช้ภาษากลางคู่กับภาษาถ่ินและเด็กปฐมวัยที่ได้รับ
การจัดประสบการณ์การเล่าเร่ืองประกอบหุ่นมือ โดยใช้ภาษากลาง โดยศึกษากับเด็กอายุ 5 – 6 ปี
จํานวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คนและกลุ่มควบคุม 30 คนการทดลองใช้เวลา 8 สัปดาห์
สัปดาห์ละ 5 วันวันละ 20 นาที ผลการทดลองพบว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดประสบการณ์เล่าเร่ือง
ประกอบหุ่นมือ โดยใช้ภาษากลางควบคู่กับภาษาท้องถิ่นมีความพร้อมทางภาษาแตกต่างจากเด็ก
ปฐมวัยท่ีได้รับการจัดประสบการณ์การเล่าเร่ืองประกอบหุ่นมือ โดยใช้ภาษากลางอย่างมีนัยสําคัญ
ทางสถิตทิ ่ีระดับ 0.01
จากงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องดังกล่าวสรุปได้ว่า เด็กสามารถพูดได้ตามความพร้อมของเด็กแต่ละ
คน โดยปกติในเด็กวัยใกล้เคียงกันก็จะพูดได้ในระดับที่ใกล้เคียงกัน อาจสังเกตจากการพูด
ความสามารถในการเข้าใจความหมายของคําศัพท์ การที่เด็กอยู่ในส่ิงแวดล้อมที่ต่างกันจะส่งผลต่อ
พัฒนาการทางการพูด หากเด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมท่ีมีสถานการณ์ย่ัวยุให้เด็กคิดเพ่ือท่ีจะ
พูดการได้เล่นกับเพื่อน การท่ีมีผู้ใหญ่พูดคุยอย่างเหมาะสม รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการพูดต่าง ๆ
นทิ านคาํ คลอ้ งจอง เพลง กิจกรรมทางศิลปะเหล่าน้ีล้วนมีผลต่อพัฒนาการทางการพูดของเด็ก ซึ่งการ
จัดกิจกรรมโดยใช้คําคล้องจองทําให้เด็กได้เรียนรู้ทักษะทางภาษา โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมการ
ทํางานเป็นกลุ่มน้ันทําให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กันในการทํางานร่วมกัน เด็กจะแสดงความคิดเห็นออกมา
ด้วยความสมัครใจ ซึง่ เดก็ จะได้พัฒนาลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์
5.2 งานวิจยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งต่างประทศ
จอนห์สโทน (Johnston, 1995 : Abstacts) ได้ทําการศึกษาความสามารถทางด้านการพูด
และพฤติกรรมการอ่านหนังสือของเด็กปฐมวัยต่อการมีปฏิสัมพันธ์การอ่านกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์
จากการศึกษาพบว่า การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทาํ ให้มีพัฒนาการความสามารถทางการพูดของเด็ก
ปฐมวัยอยา่ งมีนัยสําคัญทางสถิติ เมื่อเด็กได้ใช้เวลาอย่างน้อย 45 นาทีต่อสัปดาห์ แต่การใช้โปรแกรม
คอมพวิ เตอรใ์ หเ้ ด็กไม่มผี ลต่อพฤติกรรมการอ่านของเด็กปฐมวัย
73
ซิมสัน (Simpson, 1998) ได้ศึกษาลักษณะภาษาพูดของเด็กปฐมวัย 4 ปีที่ได้รับการจัด
ประสบการณ์เล่านิทานแบบเล่าเรื่องซํ้า ผลการวิจัยพบว่า การเล่าเร่ืองซํ้าช่วยส่งเสริมความสามารถ
ด้านการสื่อสารมากข้ึนอย่างมีนัยสําคัญ กล่าวคือ ช่วยให้เด็กพัฒนาความสามารถในการถ่ายทอด
ภาษาให้ชัดเจนละเอียดลออครอบคลุมความหมายที่ต้องสื่อให้ผู้อ่ืนได้รับรู้และเข้าใจ ซึ่งความสามารถ
น้ีวัดได้เป็นจํานวนคําต่อประโยค (Lenghoof a T – unit) ไม่ได้วัดท่ีปริมาณคําซ่ึงมิลเลอร์(Miller,
1951) ถอื วา่ ความสามารถน้ีเปน็ เครื่องมือท่ีสามารถวัดความซบั ซ้อนของรปู ประโยคไดเ้ ป็นอยา่ งดี
เดล(Del, 1978 : 307) ศึกษาการใช้ถ้อยคําของเด็กในช่วงอายุต้ังแต่ 2 ปีถึง 12 ปี โดย
วิธีการทดสอบคําศัพท์จากรูปภาพ ผลการศึกษาพบว่า ความถูกต้องในการใช้คําศัพท์ของเด็กเพ่ิมขึ้น
ตามลาํ ดบั อายุ กลา่ วคือ ช่วงอายุ 2 ปีเร่ิมท่ี 15 คําถึง 60 คํา เม่ือเด็กอายุ 6 ปีและเพิ่มถึง 90 คําเมื่อ
อายุ 12 ปี อัตราการเพิ่มของคําศัพท์ต่าง ๆ จะสูงข้ึนอย่างรวดเร็วในระยะก่อนวัยเรียน หลังจากวัยน้ี
คําศัพท์จะค่อยเพ่ิมข้ึนอย่างช้าแต่จะไม่มีการหยุดน่ิงสัดส่วนของคําชนิดต่าง ๆ ท่ีเด็กนํามาใช้มักจะ
เปล่ียนไปด้วย กล่าวคือ สัดส่วนของการใช้คํานามจะลดลง ในขณะท่ีสัดส่วนของการใช้คําวิเศษ บุพ
บทและสนั ธานจะเพิ่มมากขน้ึ พิจารณาจากจํานวนคาํ ทเ่ี ด็กนํามาใช้ทง้ั หมด
บลัด(Blood, 1996 : 153) ได้ศึกษาความสามารถทางภาษาของเด็กอายุ 3 – 5 ปี จํานวน
67 โรงเรียน โดยการทดสอบพัฒนาการทางภาษา การรับรู้ การเขียนและมีการศึกษาระยะยาว มี
ผูป้ กครองของเด็กจาํ นวน 6 คน เข้ามามีส่วนร่วมในการเรียนของเด็ก จากการศึกษาพบว่าการเรียนรู้
ทางภาษาของเด็กขึ้นอยู่กับความสนใจของเด็กและเจตคติของผู้ปกครองในกระบวนการเรียนรู้เพื่อ
การอา่ นออกเขียนได้และส่งเสริมให้เด็กเขียนชื่อตนเองจะทําให้มีความสามารถในการเรียนรู้การสอน
อ่านเขียนได้อย่างมีความหมายเพราะช่ือของเด็กจะถูกเรียกอยู่เป็นประจําและเป็นคําที่นึกภาพได้
หากเดก็ สามารถเขยี นชอ่ื ตนเองไดจ้ ะเปน็ แนวทางขยายความสามารถในการรบั รู้คําอา่ นต่อไป
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าในการจัดกิจกรรมท่ีส่งเสริมพัฒนาการทางการพูดของเด็กปฐมวัย
นั้นจัดได้หลากลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีกาจัดประสบการณ์ทางภาษาเปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกฝนซ้ํา ๆ
โดยเฉพาะอย่างย่ิงกิจกรรมเสริมประสบการณ์ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้พูดคุยซักถามและแสดงความ
คิดเห็นอย่างอิสระในคําศัพท์และเน้ือหา เพ่ือให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรงจากการฟังและการพูดจน
ทาํ ให้เกิดดารเรียนรมู้ กี ารพัฒนาทักษะทางด้านภาษาในข้นั ต่อไป
74
บทท่ี 3
วธิ ีดาเนินการวจิ ยั
การศกึ ษาวิจัยเรอื่ ง การพัฒนาทักษะการพูดของเดก็ ปฐมวัยช้นั อนุบาลปที ี่ 2 ทีไ่ ด้รับการจัด
กิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คาํ คลอ้ งจองประกอบภาพ โรงเรียนสามแยกบ้าเนยี ง (สทิ ธิพนั ธ์
อนกุ ลู ) อําเภอเมือง จังหวัดยะลา ผวู้ ิจัยไดด้ าํ เนินการตามข้ันตอนดังนี้
1. ประชากรและกลุ่มตวั อย่างทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย
2. เครอื่ งมือทใ่ี ช้ในการวจิ ยั
3. การสร้างและการหาคณุ ภาพเคร่ืองมือ
4. แบบแผนการวจิ ัยและวิธกี ารดําเนินการทดลอง
5. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
6. สถติ ิทใ่ี ชแ้ ละการวเิ คราะห์ข้อมูล
ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ งที่ใชใ้ นการวจิ ัย
ประชากรทีศ่ ึกษา
ประชากรที่ศึกษาวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ เด็กปฐมวัยชาย – หญิง อายุระหว่าง 4 – 5 ปี ที่กําลัง
ศกึ ษาอยชู่ ัน้ อนบุ าล 2 โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สทิ ธิพันธ์อนกุ ูล) อาํ เภอเมือง จังหวัดยะลา ในภาค
เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จํานวน 30 คน
กล่มุ ตวั อยา่ ง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคร้ังน้ี คือ เด็กปฐมวัยชาย – หญิง อายุระหว่าง 4 – 5 ปี ที่
กําลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพันธ์อนุกูล) อําเภอเมือง จังหวัดยะลา
ในภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2563 จํานวน 30 คนได้มาโดยการเลอื กแบบเจาะจง
เคร่อื งมือทใี่ ช้ในการวิจยั
เครอื่ งมอื ที่ใช้ในการทดลองครง้ั นี้ ประกอบด้วยเครอื่ งมือ 4 ประเภท ไดแ้ ก่
1. แผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองประกอบภาพ เพื่อพัฒนา
ทักษะด้านการพูดของเดก็ ปฐมวัยช้ันอนุบาลปีที่ 2 จํานวน 10 แผน ไดแ้ ก่
แผนวนั ที่ 1 คําคลอ้ งจอง โรงเรียน
แผนวันที่ 2 คําคลอ้ งจอง ฉนั ชอบดอกไม้
แผนวันท่ี 3 ฝนตกพราํ พราํ
แผนวันท่ี 4 อาบน้ํา
แผนวันท่ี 5 ข.ไข่
75
แผนวันท่ี 6 ปาุ แสนสวย
แผนวนั ที่ 7 กระต่าย
แผนวนั ท่ี 8 นับเลข
แผนวนั ท่ี 9 กิจวัตรประจําวัน
แผนวันที่ 10 ผเี ส้ือแสนงาม
2. แบบทดสอบพัฒนาการทางด้านการพูดสําหรับเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรม
จาํ นวน 3ข้อ 1 ชุด ประกอบดว้ ย
2.1 แบบทดสอบ การสนทนาโต้ตอบเกีย่ วกบั รปู ภาพ จาํ นวน 1 ขอ้
2.2 แบบทดสอบ การเล่าเร่ืองรปู ภาพสถานการณ์จาํ ลอง จํานวน 1 ขอ้
2.3 แบบทดสอบ การอ่านคําคล้องจองตามครู พร้อมกวาดตามองแต่ละบรรทัดจํานวน 1
เรื่อง
3. แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมทางด้านการพูดสําหรับเด็กปฐมวัย ประกอบด้วย
พฤตกิ รรม 3 พฤติกรรม โดยระบเุ กณฑ์การให้คะแนน 3 ระดบั ซง่ึ ประกอบดว้ ย
3.1 แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมทางด้านการพูดสําหรบเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการ
จัดกจิ กรรม จาํ นวน 1 ชดุ
3.2 แบบบันทกึ การสังเกตพฤติกรรมทางด้านทักษะการพูดสําหรับเด็กปฐมวัยระหว่างการ
จดั กิจกรรมแผนละ 1 ชดุ ทั้งหมด 10 แผน รวมท้งั สน้ิ 10 ชุด
การสร้างและการหาคุณภาพเคร่อื งมอื
ข้ันตอนการสรา้ งเครื่องมอื
1. แผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คาคล้องจองประกอบภาพ เพ่ือพัฒนา
ทักษะดา้ นการพดู ของเด็กปฐมวยั ชน้ั อนุบาลปีท่ี 2 จานวน 10 แผน
ขั้นตอนการสร้างเคร่อื งมอื
(1) ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2561 เอกสาร แนวคิด ทฤษฏีหละ
หลักการต่าง ๆ รวมถึงงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับแผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้อง
จองประกอบภาพสําหรับเด็กปฐมวยั
(2) เลือกหน่วยการเรียนร้แู ละคาํ คลอ้ งจองทเ่ี หมาะสมกับวัยของเด็กและเป็นคําคล้องจองท่ีมี
สาระเกีย่ วขอ้ งกบั หนว่ ยการจดั ประสบการณ์
(3) สร้างแผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์สําหรับเด็กปฐมวัย โดยใช้คําคล้องจอง
ประกอบภาพ 10 เรือ่ ง
(4). ใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญจาํ นวน 3 ทา่ น ตรวจสอบคุณภาพของเครอ่ื งมือ ไดแ้ ก่
76
ทา่ นท่ี 1 นางวรพรรณ ศรนี ้อย หวั หน้าสายช้นั ระดับอนบุ าลและเป็นครูประจําชั้น
อนุบาล 3 โรงเรยี นสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพนั ธ์อนุกูล)
ทา่ นที่ 2 นางสาวมไุ ซนา ชสู มบัติ หวั หน้าวชิ าการโรงเรยี นสามแยกบา้ นเนียง (สิทธิพันธ์
อนกุ ูล)
ทา่ นท่ี 3 นางฮายาตี แดนิ ครปู ะจําชนั้ อนบุ าลปีที่ 1 โรงเรยี นสามแยกบ้านเนียง (สิทธิ
พนั ธอ์ นกุ ูล)
1.6 นาํ แผนการจัดประสบการณ์คําคล้องจอง เพื่อพัฒนาทักษะการพูดมาปรับปรุงแก้ไขตาม
คําแนะนาํ ของผเู้ ชี่ยวชาญ
1.7 นําแผนการจัดประสบการณ์คําคล้องจองเพ่ือพัฒนาทักษะการพูดท่ีผ่านผู้เช่ียวชาญแล้ว
นาํ ไปใช้กบั กลมุ่ ตวั อยา่ งตอ่ ไป
2. แบบทดสอบพัฒนาการทางด้านการพูดสาหรับเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัด
กจิ กรรม
ขน้ั ตอนการสร้างเคร่ืองมอื
(1) ศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับการสร้างแบบทดสอบพัฒนาการด้านการพูดสําหรับเด็ก
ปฐมวัย
(2) สร้างแบบทดสอบพัฒนาการทางด้านการพูดสําหรับเด็กปฐมวัย โดยเป็นแบบทดสอบ
ในรูปแบบ ซ่งึ แบบทดสอบพัฒนาการทางด้านการพูดสําหรับเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรม
จะประกอบด้วยแบบทดสอบ 3 ตอนซึง่ มรี ายละเอียดดังน้ี
ตอนท่ี 1 ให้นักเรียนฟังครูเล่าจนจบและสนทนาพูดคยุ กับครู
ตอนท่ี 2 ใหน้ ักเรียนเล่าเรอื่ งรปู ภาพสถานการณจ์ ําลอง
ตอนท่ี 3 ให้นักเรยี นอ่านคาํ คลอ้ งจองตามครู พร้อมกวาดตามองแต่ละบรรทัด
3. สร้างคู่มือในการดําเนินการทดสอบความสามรถในการฟังและการพูด ให้ สอดคล้องกับ
แบบทดสอบทส่ี ร้างข้นึ
4. นําแบบทดสอบวัดความสามรถในการฟังและการพูด ไปตรวจสอบโดยผู้เช่ียวชาญ เพื่อพิจารณา
ตรวจสอบค่า IOC
ทา่ นท่ี 1 นางวรพรรณ ศรนี ้อย หวั หนา้ สายชั้นระดบั อนุบาลและเป็นครปู ระจําชัน้
อนุบาล 3 โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สทิ ธิพันธอ์ นุกลู )
ท่านที่ 2 นางสาวมุไชนา ชูสมบัติ หัวหนา้ วิชาการโรงเรยี นสามแยกบ้านเนียง (สทิ ธพิ นั ธ์
อนุกลู )
ทา่ นท่ี 3 นางฮายาตี แดนิ ครปู ะจาํ ชัน้ อนบุ าลปีที่ 1 โรงเรยี นสามแยกบา้ นเนยี ง (สิทธิ
พนั ธอ์ นุกูล)
77
3. แบบบนั ทึกการสังเกตพฤตกิ รรมทางด้านการพูดสาหรับเด็กปฐมวัย
ขั้นตอนการสรา้ งเครอ่ื งมือ
(1) ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมทางด้านการพูด
สําหรบั เดก็ ปฐมวัย
(2) สร้างแบบบนั ทกึ การสังเกตพฤติกรรมทางด้านการพูดสําหรับเด็กปฐมวัย โดยเป็นแบบ
บันทึกในรูปแบบของการให้คะแนน 3 2 และ 1 ตามพฤติกรรมทีเด็กแสดงออก ซ่ึงแบบบันทึกการ
สังเกตพฤติกรรมทางด้านการพูดสําหรับเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมจะประกอบด้วย
รายการพฤตกิ รรมจํานวน 3 รายการ
(3). ให้ผ้เู ชี่ยวชาญจาํ นวน 3 ทา่ น ตรวจสอบคุณภาพของเคร่อื งมอื ไดแ้ ก่
ทา่ นที่ 1 นางวรพรรณ ศรีน้อย หัวหน้าสายชนั้ ระดับอนบุ าลและเป็นครปู ระจําชั้น
อนุบาล 3 โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สทิ ธิพันธ์อนุกูล)
ทา่ นท่ี 2 นางสาวมุไชนา ชสู มบัติ หวั หนา้ วชิ าการโรงเรียนสามแยกบา้ นเนยี ง (สิทธพิ ันธ์
อนกุ ลู )
ทา่ นที่ 3 นางฮายาตี แดนิ ครปู ะจําช้นั อนบุ าลปีที่ 1 โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิ
พันธ์อนุกลู )
4.นําแบบสังเกตความสามารถในการฟังและพูดของเด็กปฐมวัย ปรับปรุงแก้ไขต าม
ข้อเสนอแนะของผ้เู ชย่ี วชาญ
5.นําแบบสังเกตความสามารถในการพูดของเด็กปฐมวัย ไปสังเกตพฤติกรรมนักเรียนช้ัน
อนุบาลปีที่ 2 โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพันธ์อนุกูล) ระหว่างการจัดกิจกรรมตามแผนการจัด
ประสบการณ์คําคล้องงจองเพอ่ื พฒั นาทักษะการการพดู
4. ส่ือการสอนคาคล้องจองประกอบภาพ เพ่ือพัฒนาทักษะทางด้านการพูดสาหรับเด็ก
ปฐมวัย
ข้นั ตอนการสร้างเคร่อื งมือ
(1) ศึกษาตาํ รา เอกสารและงานวิจัยเกย่ี วกับคําคลอ้ งจองประกอบภาพสาํ หรับเด็กปฐมวัย
(2) กําหนดวัตถุประสงค์ในการพัฒนาทักษะการพูด โดยใช้คําคล้องจองประกอบภาพ
เพอื่ ให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคต์ ามต้องการ โดยคํานงึ ถงึ หลักพฒั นาการของเดก็ ปฐมวยั กอ่ นเรยี น
(3) ดําเนนิ การสรา้ งสอ่ื การสอนคาํ คล้องจองประกอบภาพดังนี้
78
ตารางท่ี 1 การสร้างสื่อการสอนคาํ คล้องจองประกอบภาพ
คาคลอ้ งจองที่ เร่อื ง
1 โรงเรียน
2 ฉนั ชอบดอกไม้
3 ฝนตกพราํ พรํา
4 อาบนํ้า
5 ข.ไข่
6 ปุาแสนสวย
7 กระตา่ ย
8 นับเลข
ตารางท่ี 1 การสร้างส่อื การสอนคําคล้องจองประกอบภาพ (ต่อ)
คาคล้องจองที่ เร่ือง
9 กิจวัตรประจาํ วนั
10 ผีเสื้อแสนงาม
แบบแผนการวิจัยและวธิ กี ารดาเนนิ การทดลอง
การวจิ ยั ผลการพฒั นาทกั ษะการพูด ทีไ่ ดร้ บั การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจอง
ประกอบภาพสําหรับเด็กปฐมวัยช้ันอนุบาล 2 โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพันธ์อนุกูล) ตําบลเปาะเส้ง
อําเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยผู้วิจัยได้ดําเนินการจัดกิจกรรมคําคล้องจองเพื่อพัฒนาทักษะการพูดไป
ดาํ เนินการทดลองจาํ นวน 10 คร้ัง เป็นเวลา 5 สัปดาห์ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 แก่เด็กช้ันอนุบาล
2โรงเรยี นสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพนั ธ์อนุกูล) ตาํ บลเปาะเสง้ อาํ เภอเมอื ง จงั หวัดยะลา
ผลการวิจัยคร้ังน้ีเป็นการวิจัยเชิงทดลอง ผู้วิจัยได้ดําเนินการทดลองโดยการดําเนินกลุ่มเดียววัดผล
ก่อนทดลองและหลังการทดลอง
79
ตารางที่ 2 แบบแผนการทดลอง Treatment Posttest
กลมุ่ Pretest X T2
E T1
ความหมายบอกสัญลกั ษณ์
E แทน กลุ่มตัวอยา่ งในการทดลอง
T1 แทน การสังเกตการทดลอง (Pre-test) โดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมความสามารถ
ดา้ นการฟังและการพูด
X แทน การเล่านทิ านพฒั นาทกั ษะการฟังและการพดู
T2 แทน การสงั เกตหลงั การทดลอง (Post-test) โดยใชแ้ บบสงั เกตพฤตกิ รรม
ความสามารถด้านการฟังและการพูด
วธิ กี ารดาํ เนนิ การทดลอง
การดาํ เนนิ การทดลองมขี ัน้ ตอนดังน้ี
1. เตรียมเครื่องมือทจ่ี ะใชใ้ นการทดลองกบั กลมุ่ ตวั อยา่ ง
2. ทําการสังเกตและบนั ทึกพฤติกรรมของเด็กก่อนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดย
ใช้คําคล้องจองประกอบภาพ โดยให้เด็กทําแบบทดสอบพัฒนาการทางด้านการพูดควบคู่กับแบบ
บนั ทกึ การสงั เกตพฤติกรรมทผี่ ูว้ ิจยั สร้างข้นึ เพ่ือใช้กับกลมุ่ ตัวอย่างในการทดลอง
3. ผู้วิจัยดําเนินการทดลองด้วยตนเอง โดยกลุ่มตัวอย่างจะได้รับการจัดกิจกรรมเสริม
ประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองประกอบภาพ
4. เมื่อส้ินสุดการทดลองผู้วิจัยทําการบันทึกพฤติกรรมของเด็กหลังได้รับการจัดกิจกรรม
เสรมิ ประสบการณโ์ ดยใช้คาํ คล้องจองประกอบภาพดว้ ยแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมฉบับเดียวกัน
กบั แบบบนั ทกึ การสงั เกตพฤตกิ รรมที่ใช้กอ่ นการทดลอง
5. นําคะแนนท่ีได้จากการทดลองไปทําการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ ได้แก่
คะแนนจากแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมก่อนและหลังการทดลองและคะแนนจากแบบประเมิน
ความพงึ พอใจของเดก็ ท่ีมตี ่อการจดั กิจกรรม
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผู้วจิ ยั ได้ดําเนนิ การทดลองด้วยตนเองตามขั้นตอน ดังนี้
1. หลังจากผู้เช่ียวชาญตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือการวิจัย นําผลท่ีได้มาวิเคราะห์หาค่า
IOC
2. เก็บข้อมูลก่อนการทดลอง โดยใช้แบบทดสอบพัฒนาการทางด้านการพูดควบคู่กับแบบ
บันทึกการสังเกตพฤติกรรมทางด้านการพูดสําหรับเด็กปฐมวัยประกอบกับการสังเกตพฤติกรรมของ
80
เดก็ ปฐมวยั ท่ีไดร้ ับการจัดประสบการณต์ ามหน่วยการเรยี นรูต้ ่าง ๆ ทีค่ รูผู้สอนประจําช้ันได้จัดขึ้น เพ่ือ
สังเกตพฒั นาการทางดา้ นทักษะการพูดของเด็กปฐมวัย
3. ผู้วิจัยทดลองกิจกรรมเสริมประสบการณ์สําหรับเด็กปฐมวัย โดยใช้คําคล้องจองประกอบ
ภาพ ระหว่างวันท่ี 1 เดือน กันยายน พ.ศ. 2563 ถึงวันท่ี 30 กันยายน พ.ศ. 2563 ทั้งหมด 10 แผน
ระยะเวลาการทดลอง 1 ภาคเรยี น สัปดาหล์ ะ 2 วัน วนั ละ 20 นาที ดงั น้ี
วนั ที่ 1 คาํ คลอ้ งจอง โรงเรยี น
วันที่ 2 คาํ คล้องจอง ฉนั ชอบดอกไม้
วันท่ี 3 ฝนตกพรํา พรํา
วันท่ี 4 อาบนํา้
วันที่ 5 ข.ไข่
วันท่ี 6 ปาุ แสนสวย
วนั ท่ี 7 กระตา่ ย
วนั ท่ี 8 นับเลข
วนั ท่ี 9 กจิ วัตรประจาํ วัน
วนั ท่ี 10 ผเี สอ้ื แสนงาม
4. ผู้วิจัยประเมินพัฒนาการทางด้านทักษะการพูดก่อนการจัดกิจกรรม โดยใช้แบบทดสอบ
พฒั นาการทางดา้ นการพูดควบคู่กับแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมสําหรับเด็กปฐมวัยและใช้สถิติใน
การวเิ คราะหห์ าค่า E1
5. เม่ือผู้วิจัยจัดกิจกรรมครบตามระยะเวลาท่ีกําหนด ผู้วิจัยทําการประเมินหลังการจัด
กิจกรรมอีกคร้ัง โดยใช้แบบทดสอบพัฒนาการทางด้านการพูดควบคู่กับแบบบันทึกการสังเกต
พฤติกรรมด้านทกั ษะการพดู สาํ หรับเด็กปฐมวยั ชุดเดียวกันกับท่ีใช้ประเมินก่อนการจัดกิจกรรมและใช้
สถิติในการวเิ คราะห์หาค่า E2
6. เมื่อได้คะแนนจากการบันทึกพฤติกรรมทางด้านทักษะการพูด โดยใช้แบบทดสอบ
พฒั นาการทางด้านการพดู ควบค่กู ับแบบบันทกึ การสงั เกตพฤติกรรมทางด้านทักษะการพูดสําหรับเด็ก
ปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรมแล้ว จากน้ันหาค่าที (t – test) ชนิดข้อมูลสัมพันธ์กัน เพื่อ
ตรวจสอบสมมติฐาน
7. เขียนรายงานการวิจยั เพ่ือสรปุ ผลการวจิ ยั
81
สถติ ิทีใ่ ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล
สถิตทิ ใ่ี ช้ในการหาคณุ ภาพของเครอื่ งมอื
1. หาความเท่ียงตรงของแบบทดสอบโดยใช้ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับ
พฤตกิ รรม โดยคาํ นวณจากสูตร (บุญเชดิ ภญิ โญอนนั ตพงษ,์ 2526 : 89)
IOC R
N
เม่ือ IOC แทน ดชั นีความสอดคลอ้ งระหว่างขอ้ คาํ ถามกับลักษณะพฤตกิ รรม
R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็ ของผเู้ ชีย่ วชาญทั้งหมด
N แทน จาํ นวนผเู้ ชยี่ วชาญ
2.การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิของเดก็ กล่มุ ตัวอยา่ ง จากคะแนนก่อนและหลังเรียน ได้แก่ (t –
test for dependent samples) ใชส้ ูตรการคาํ นวณดังนี้ (ชูศรี วงศ์รตั นะ, 2544 : 193)
เมือ่ t แทน ค่าสถิตทิ ใี่ ช้พิจารณาใน t – distribution
D แทน ความแตกต่างของคะแนนแต่ละคู่
D แทน ผลรวมของความแตกตา่ งระหว่างคะแนนแตล่ ะคู่
D2 แทน ผลรวมของยกกาํ ลงั สอง
N แทน จาํ นวนคู่ของคะแนน
สถิตทิ ีใ่ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
1. หาคา่ รอ้ ยละ ใช้สตู รการคํานวณดังน้ี
เมื่อ P F 100
F N
N
แทน ร้อยละ
แทน ความถ่ีต้องการแปลงเป็นร้อยละ
แทน จานวนความถี่ทงั้ หมด
82
2. ค่าคะแนนเฉลี่ย (Mean) ใช้สตู รการคาํ นวณดังนี้ (ชูศรี วงศ์รตั นะ, 2544 : 35)
X X
N
เมื่อ X แทน คะแนนเฉล่ีย
แทน ผลรวมของคะแนนทงั้ หมด
N แทน จานวนนกั เรียนในกลมุ่ ตวั อยา่ ง
3. ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สูตรการคํานวณดังน้ี (ชูศรี วงศ์รัตนะ,
2544: 65)
เมื่อ S.D แทน ความเบย่ี งเบนมาตรฐานของคะแนน
แทน ผลรวมของคะแนนทงั้ หมด
2 แทน ผลรวมของคะแนนแตะละตวั ยกกาลงั สอง
N แทน จานวนนกั เรียนในกลมุ่ ตวั อยา่ ง
4. หาประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองเพื่อพัฒนา
ทกั ษะการพดู ของเดก็ ปฐมวัยชน้ั ปที ่ี 2 ใหม้ ปี ระสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80
80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่เด็กได้จากแบบบันทึกพฤติกรรมหลังเรียน
ซึ่งเขยี นแทนดว้ ยสัญลักษณ์ E1 คาํ นวณไดจ้ ากสูตร
E1= x 100
n
A
เมอ่ื E1แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ
x แทน คะแนนรวมของแบบประเมินระหวา่ งเรยี น
A แทน คะแนนเต็มของแบบประเมนิ ระหว่างเรยี น
N แทน จาํ นวนนกั เรียนท้ังหมด
83
80 ตัวหลัง หมายถงึ ผลรวมของคะแนนจากแบบบันทึกหลังเรียนของเด็กทง้ั หมดซึง่ แทน
ดว้ ยสัญลักษณ์ E2 คาํ นวณได้จากสูตร
E2= x 100
n
A
เม่ือ E2 แทน ประสทิ ธิภาพของผลลพั ธ์
x แทน คะแนนรวมของแบบประเมินหลงั เรียน
A แทน คะแนนเตม็ ของแบบประเมินหลงั เรียน
N แทน จานวนนกั เรียนทงั้ หมด
84
บทท่ี 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยนําเสนอผลการพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 2 ท่ีได้รับการจัด
กิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองประกอบภาพ โรงเรียนสามแยกบ้าเนียง (สิทธิพันธ์
อนุกูล) อําเภอเมือง จังหวัดยะลาผู้วิจัยได้กําหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและการ
นาํ เสนอผลการวิเคราะหข์ อ้ มูลตามลาํ ดบั ดงั นี้
สญั ลักษณ์ท่ใี ชใ้ นการนาเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู
เพ่ือให้เกิดความเข้าใจตรงกันในการแปลผลข้อมูล ผู้วิจัยได้กําหนดความหมายของสัญลักษณ์ท่ี
ใช้ในการนําเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมลู ดงั นี้
N แทน จํานวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง
x แทน คา่ เฉลย่ี
x แทน คะแนนรวม
S.D. แทน ค่าส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
แทน คะแนนเฉลี่ยของผู้เรยี นท้ังหมดจากคะแนนขณะปฏบิ ัติ
กิจกรรมระหว่างเรียน
แทน คะแนนเฉลีย่ ของผู้เรยี นจากการทําแบบทดสอบหลังเรยี น
t แทน ค่า t-test
แทน ผลรวมของผลตา่ งของคะแนนของนักเรียนยกกําลังสอง
แทน ผลรวมของผลตา่ งของคะแนนของนักเรียนทั้งหมดยกกําลังสอง
ข้ันตอนการวิเคราะห์ข้อมูล
ตอนที่ 1 แสดงค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของเคร่ืองมืองานวิจัยการพัฒนาทักษะ
การพูดของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาล 2 ท่ีได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจอง
ประกอบภาพ โรงเรยี นสามแยกบ้านเนียง (สทิ ธิพันธ์อนกุ ลู )
ตอนท่ี 2วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลังการจัด
กิจกรรมการพัฒนาทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยช้ันอนุบาลปีที่ 2 ที่ได้รับการจั ดกิจกรรมเสริม
ประสบการณ์ โดยใช้คาํ คล้องจองประกอบภาพ โดยใช้ T – test for dependent samples
ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู
ตอนที่ 1 แสดงค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของเครื่องมืองานวิจัยการพัฒนาทักษะการพูด
ของเด็กปฐมวัยช้ันอนุบาลปีท่ี 2 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองประกอบ
ภาพ โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพนั ธ์อนกุ ลู )
85
ตารางท่ี แสดงค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คํา
คล้องจองประกอบภาพ เพ่ือพฒั นาทักษะดา้ นการพูดของเด็กปฐมวยั ช้นั อนุบาลปที ี่ 2
ตารางท่ี 3 แสดงค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คํา
คลอ้ งจองประกอบภาพ เพื่อพัฒนาทักษะด้านการพูดของเดก็ ปฐมวัยชนั้ อนุบาลปีที่ 2
ผลการประเมนิ ของ ผลรวม
ผู้เชี่ยวชาญ
รายการ ของ IOC แปลผล
123 คะแนน
แผนท่ี 1 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
แผนท่ี 2 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
แผนที่ 3 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
แผนท่ี 4 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
แผนท่ี 5 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้
แผนท่ี 6 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้
แผนท่ี 7 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้
แผนที่ 8 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้
แผนที่ 9 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้
แผนที่ 10 +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้
ค่าดชั นคี วามสอดคล้องของแผนการจัดกจิ กรรม IOC R
=
=1
จากตารางท่ีแสดงว่าค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดประสบการณ์ โดยใช้คํา
คล้องจองประกอบภาพ เพ่ือพัฒนาทักษะด้านการพูดของเด็กปฐมวัยช้ันอนุบาลปีที่ 2ค่าดัชนีความ
สอดคล้อง (IOC) เท่ากบั 1.00 มากกวา่ 0.5 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน
86
ตารางท่ี 4 แสดงค่าดัชนคี วามสอดคลอ้ ง (IOC) ของแบบบนั ทกึ การสงั เกตพฤติกรรมทางดา้ นการพูดสําหรับ
เด็กปฐมวัยกอ่ นและหลงั การจดั กิจกรรม
ผลการประเมนิ ผลรวม IOC แปล
ของผเู้ ชี่ยวชาญ ของ ผล
รายการ คะแนน
123
1. แบบทดสอบมีความสอดคล้องกับหลักสตู รการศึกษา +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
ปฐมวยั พ.ศ. 2560
2. แบบทดสอบมีความสอดคลอ้ งกับวชิ าการของเดก็ ปฐมวัย +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้
3. แบบทดสอบมีความเหมาะสมและสอดคล้องกบั พัฒนาการ +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
ของเด็กปฐมวัย
4. แบบทดสอบสามารถนาํ ไปวัดและประเมินผลการพัฒนา +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้
ทักษะทางภาษาดา้ นการอา่ นของเด็กปฐมวยั ไดจ้ รงิ
5. เกณฑ์การใหค้ ะแนนของแบบทดสอบมีความสอดคล้องกับ +1 +1 +1 3 1.00 ใชไ้ ด้
พฒั นาการตามวัยของเดก็ ปฐมวัย
ค่าดชั นีความสอดคล้องของของแบบทดสอบ IOC R
=
=1
จากตารางท่ี แสดงว่าค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัด และความรู้ความ
เข้าใจทักษะทางภาษาด้านการฟังของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการทดลองนักเรียนค่าดัชนีความ
สอดคล้อง (IOC) เท่ากบั 1.00 มากกวา่ 0.5 เป็นไปตามเกณฑม์ าตรฐาน
ตอนที่ 2วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนเฉล่ียก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการพัฒนา
ทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีท่ี 2 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้อง
จองประกอบภาพ โดยใช้ T – test for dependent samples
87
ตาราง 5 ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉล่ียก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการพูดของ
เด็กปฐมวัยช้ันอนุบาลปีที่ 2 ท่ีได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองประกอบ
ภาพ
การจดั กจิ กรรมเสรมิ จำนวนเดก็ คา่ เฉลย่ี สว่ นเบ่ยี งเบน D S.D. คำ่ t Sig
ประสบการณ์ มำตรฐำน
(N) (X)
(S.D.)
ก่อนการจัดกิจกรรม 30 4.84 0.82
เสรมิ ประสบการณ์
หลังการจัดกิจกรรม 30 7.89 0.73
เสรมิ ประสบการณ์
จากตาราง พบว่า ทักษะการพูดของเด็กปฐมวัยช้ันอนุบาลปีท่ี 2 หลังการจัดกิจกรรมเสริม
ประสบการณ์ โดยใช้คาํ คล้องจองประกอบภาพ เดก็ ปฐมวยั มีทักษะการพูดสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรม
เสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองประกอบภาพอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 ซึ่ง
สอดคลอ้ งกบั สมมติฐานการวจิ ยั ครั้งน้ี
88
บทท่ี 5
สรปุ อภปิ รายและขอ้ เสนอแนะ
การวจิ ยั เร่อื ง การพฒั นาทักษะการพดู ของเด็กปฐมวัย ช้ันอนบุ าลปีที่ 2 ท่ไี ด้รบั การจัดกจิ กรรมเสริม
ประสบการณ์ โดยใชค้ ําคล้องจองประกอบภาพ โรงเรยี นสามแยกบา้ นเนยี ง (สิทธพิ ันธ์อนุกุล) อําเภอ
เมือง จังหวดั ยะลา ผ้วู จิ ัยได้สรุปผลการศกึ ษา อภิปรายและข้อเสนอแนะตามลาํ ดบั ได้แก่ ประชากร
และกลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใชใ้ นการวจิ ัย วิเคราะหข์ ้อมูล สรปุ ผลการวจิ ยั อภปิ รายผลการวจิ ยั และ
ข้อเสนอแนะ โดยมีรายละเอียดดงั น้ี
ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ งท่ีใช้ในการวจิ ัย
ประชากรทศ่ี ึกษา
ประชากรที่ศึกษาวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ เด็กปฐมวัยชาย – หญิง อายุระหว่าง 4 – 5 ปี ที่กําลัง
ศกึ ษาอยู่ช้ันอนบุ าลปีที่ 2 โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพันธ์อนุกูล) อําเภอเมือง จังหวัดยะลา ใน
ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2563 จํานวน 30 คน
กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยครั้งน้ี คือ เด็กปฐมวัยชาย – หญิง อายุระหว่าง 4 – 5 ปี ท่ี
กําลังศึกษาอยู่ชั้นอนุบาล 2 โรงเรียนสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพันธ์อนุกูล) อําเภอเมือง จังหวัดยะลา
ในภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จาํ นวน 30 คนไดม้ าโดยการเลอื กแบบเจาะจง
เครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการวิจัย
เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ในการทดลองครงั้ น้ี ประกอบด้วยเครื่องมอื 4 ประเภท ไดแ้ ก่
1. แผนการจดั กิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์ โดยใชค้ ําคล้องจองประกอบภาพ เพื่อพฒั นา
ทกั ษะด้านการพูดของเดก็ ปฐมวยั ชัน้ อนุบาลปีท่ี 2 จาํ นวน 10 แผน
2. แบบทดสอบพัฒนาการทางดา้ นการพูดสําหรับเดก็ ปฐมวัยก่อนและหลังการจัดกิจกรรม
จํานวน 3ข้อ 1 ชุด
3. แบบบนั ทึกการสงั เกตพฤติกรรมทางด้านการพูดสาํ หรับเด็กปฐมวัย ประกอบดว้ ย
พฤติกรรม 3 พฤตกิ รรม โดยระบุเกณฑ์การให้คะแนน 3 ระดับ
สรปุ ผลการวิจัย
ผลจากการจดั กิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์ โดยใช้คาํ คล้องจองประกอบภาพเพอื่ พัฒนาทักษะ
การพูดของเด็กปฐมวัยชัน้ อนุบาลปีท่ี 2 โรงเรยี นสามแยกบ้านเนียง (สิทธิพนั ธอ์ นุกูล) สรุปผล
การศึกษาได้ดังน้ี
89
1. สมมตฐิ าน กล่าวว่าเด็กปฐมวัยทีไ่ ด้รบั การจดั กจิ กรรมเสริมประสบการณ์ โดยใชค้ าํ คล้อง
จองประกอบภาพ เพ่ือพฒั นาทักษะดา้ นการพดู มีพัฒนาการพดู ทส่ี งู กวา่ กอ่ นได้รับการจัดกิจกรรม
ผลการเปรยี บเทียบพฤตกิ รรมระหว่างก่อนและหลงั การจดั กิจกรรมปรากฏวา่ หลังการจัดกิจกรรม โดย
ใชแ้ ผนการจัดประสบการณ์การเรยี นรู้การพัฒนาทักษะการพดู ของเด็กปฐมวัยช้ันอนุบาลปที ี่ 2
โรงเรียนสามแยกบา้ นเนยี ง (สิทธิพนั ธ์อนุกูล) เด็กมีพัฒนาการดา้ นการพูดสงู กวา่ ก่อนจัดกิจกรรม โดย
ก่อนการจัดกิจกรรมมีค่าเฉล่ยี เทา่ กบั 4.84 สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานเทา่ กับ 0.82 และหลงั การจดั
กิจกรรมมีค่าเฉลย่ี เท่ากับ 7.89 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากบั 0.73 จะเห็นได้วา่ ทักษะการพดู ของ
เดก็ ปฐมวยั หลงั การจดั กจิ กรรมโดยใชค้ ําคลอ้ งจองประกอบภาพมพี ัฒนาการที่เพิม่ ขน้ึ เป็นไปตาม
สมมติฐาน
อภปิ รายผลการวิจัย
จากการมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทยี บทักษะการพูดของเดก็ ปฐมวัยกอ่ นและหลังการจัด
กิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใชค้ ําคลอ้ งจองประกอบภาพของเดก็ ปฐมวยั ช้นั อนุบาลปีที่ 2
โรงเรียนสามแยกบ้านเนยี ง (สิทธพิ ันธอ์ นุกลู )
1. การจดั กิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยใช้คําคล้องจองประกอบภาพพฒั นาให้เด็กปฐมวัย
ชน้ั อนบุ าลปที ี่ 2 มที ักษะการพูดสงู ข้ึนกวา่ กอ่ นจดั กจิ กรรม เนื่องจากการจัดกิจกรรมโดยใช้คําคลอ้ ง
จองประกอบภาพเปน็ การฝึกให้เดก็ ได้พูด ได้เปล่งเสียงออกมาจากการทอ่ งคําคล้องจอง การสนทนา
จากเร่ืองและการเลา่ เรื่องจากภาพเป็นกจิ กรรมประเภทหนึ่งที่จดั อยู่ในช่วงกจิ กรรเสรมิ ประสบการณ์
ซง่ึ สง่ ผลต่อทักษะการพดู ของเดก็ แตล่ ะคน ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ มลวิ ัลย์ อุน่ อ่อนและนภดล
จนั ทร์เพ็ญ (2554 : บทคดั ย่อ) ไดพ้ ฒั นาชดุ คําคล้องจองประกอบภาพ เพ่ือพัฒนาทักษะด้านการฟัง
และการพดู ของเด็กปฐมวัย พบว่า เดก็ ปฐมวัยทไ่ี ดร้ บั การจัดกจิ กรรมด้วยชดุ คาํ คล้องจองประกอบ
ภาพ มคี วามเช่ือม่นั ในตนเองสงู ขึน้
ขอ้ เสนอแนะ
ขอ้ เสนอแนะในการนาไปใช้
1. การใชค้ ําคล้องจองในการจัดกิจกรรมควรเลอื กคาํ คล้องจองทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั หนว่ ยการเรียนรู้
ทีต่ อ้ งการจดั กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เพอ่ื ช่วยให้เด็กสามารถจําเน้ือหาและเรื่องราวไดร้ วดเร็วขึน้
2. นําไปใช้ประโยชนใ์ นการศึกษาพฤติกรรมเดก็ มีปัญหาในการพดู ไดแ้ ก่ ฟงั ผู้อืน่ พูดจนจบ
และสนทนาโต้ตอบสอดคล้องกบั เรือ่ งท่ฟี ังเล่าเรือ่ งเป็นประโยชน์อยา่ งต่อเนื่องอ่านภาพ สญั ลักษณ์ คํา
พรอ้ มท้ังชีห้ รอื กวาดตามองข้อความตามบรรทดั เพือ่ ช่วยให้ครูผ้สู อนสามารถเลือกกิจกรรมที่
เหมาะสมแกก่ ารจัดกิจกรรมเพอื่ พฒั นาทักษะการพดู ให้กับเดก็ ปฐมวัย
ข้อเสนอแนะในการทาวจิ ัยครั้งตอ่ ไป
90
1. .ในการทาํ วิจัยทุกครัง้ ผ้วู จิ ยั ควรศึกษาขั้นตอนการทําวจิ ยั อยา่ งละเอียด
2. ผู้วิจยั ควรศกึ ษาเร่ืองทต่ี ้องการทาํ วจิ ัยเปน็ อย่างดีและศึกษางานวจิ ัยอ่นื ๆ ให้มากขึ้น
เพ่อื ให้ได้ข้อมูลทดี่ ีและมปี ระสิทธิภาพมากทีส่ ุด
91
บรรณานุกรม
กมลรตั น์ คะนองเดช. (2554). สภาพปญั หาการใชภ้ าษาไทยของเด็กปฐมวัยใน 3 จงั หวัดชายแดน
ภาคใต้. ยะลา : มหาวิทยาลยั ราชภัฏยะลา
กรมวชิ าการ. (2545). แนวการจดั กิจกรรมและส่อื การเรียนการสอนก่อนปฐมศึกษา. พมิ พค์ รง้ั ที่ 2.
กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์ครุ ุสภาลาดพรา้ ว.
______. (2541). ตัวอยา่ งแผนการจดั ประสบการณ์ระดบั เดก็ ก่อนประถมศึกษา. กรุงเทพฯ :
ศนู ย์พฒั นาหลกั สูตร กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
______. (2560). คูม่ ือหลักสูตรก่อนประถมศกึ ษา พุทธศักราช 2560 (อายุ 3 -5 ขวบ).
กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ
______. (2560). หลักสูตรการศกึ ษาปฐมวยั พุทธศักราช 2560 (อายุ 3 – 5 ปี). กรุงเทพฯ.
โรงพมิ พค์ รุ สุ ภาลาดพรา้ ว.
______. กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2535). ความคิดสรา้ งสรรค์ หลกั การ ทฤษฎีการเรยี นการสอน
การประเมนิ ผล. กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ.
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2560). หลกั สูตรการศึกษาปฐมวัย พทุ ธศักราช 2560 (อายุ 3 – 5 ปี).
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ คุรสุ ภา ลาดพรา้ ว
กุลยา ตนั ตผิ ลาชวี ะ. (2542). การเล้ยี งดเู ดก็ ก่อนวัยเรียน 3 – 5 ขวบ. กรุงเทพ : โชติสขุ การพมิ พ.์
______. (2545). รปู แบบการเรียนการสอนปฐมวยั ศึกษา. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั เอดิสนั นเพรสโปรดกั ส์.
______. (2547). การจัดการเรียนรู้สําหรับเดก็ ปฐมวยั . กรุงเทพฯ : เอดิสนั เพรสโปรดักส์.
คณศิ ร ตรผี ล. (2550). การใช้คําคล้องจองเพ่ือพฒั นาความสามารถทางการพดู ของเด็กปฐมวยั ใน
โรงเรียนสาธิตมหาวทิ ยาลัยราชภฏั ราไพพรรณี จงั หวดั นนทบุรี. ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตร์
มหาบัณฑิต : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมธิราช
เครือรตั น์ เรืองแก้ว. (2554). หนังสอื ชุดรกั ภาษาไทย “คาํ คล้องจอง”. พิมพ์คร้ังที่ 17. กรุงเทพฯ :
ไทยวัฒนาพานชิ
จิระประภา บุญยนติ ย์ ลออ ชตุ ิกร และศรีสมบตั ิ เทพกาญจนา. (2544). ภาษาพาสนุก. กรงุ เทพฯ :
วี อนิ เตอร์ พริน้ ท์
จฑุ า สกุ ใส. (2555). ผลการจดั กจิ กรรมทอ่ งคาํ คล้องจองแบบมคี วามหมายทีม่ ีต่อพฒั นาการพูด
ของเดก็ ปฐมวยั . ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : บณั ฑิตวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร
92
จฬุ ารัคน์ อนิ นุพัฒน.์ (2543). พัฒนาการทางการพดู ของเด็กปฐมวยั ทไี่ ดร้ บั การจดั ประสบการณ์
การเล่นมุมบลอ็ กแบบปกติ. ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. (การศกึ ษาปฐมวยั ). กรุงเทพฯ :
มหาวทิ ยาลยั ศรนี ทรวิโรฒประสานมติ ร. ถา่ ยเอกสาร
นงเยาว์ คลกิ คลาย. (2543). ความสามารถด้านการฟังและการพดู ของเด็กปฐมวัยท่ีไดร้ บั การจัด
กิจกรรมเสรมิ ประสบการณโ์ ดยการใช้เพลงประกอบ ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. (การศึกษา
ปฐมวัย). กรงุ เทพฯ : บัณฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทีวิโรฒ. ถา่ ยเอกสาร
นนทพนั ธ ภกั ดีผดุงแดน. (2546). เราจะขา้ มภพข้ามชาติ We shall overcome. กรงุ เทพฯ :
วี อนิ เตอร์ พร้ินท.์
นพเนตร ธรรมบวร. (2544). การประเมนิ พฒั นาการเด็กปฐมวัย. พิมพ์ครงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพฯ :
จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .
นภดล สังข์ทอง. (2551). เกมภาษาไทย คิดให้สนุก พิชิตคาํ คลอ้ งจอง. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.
นิรมล ช่วงพฒั นาชยั . (2541). เทคนิคการสอนศลิ ปะ ภาษา และวทิ ยศาสตร์ สําหรบั เด็กอนบุ าล.
กรงุ เทพฯ : ศริ วิ ัฒนาอินเตอรพ์ ร้นิ ท์.
เน้ือน้อง สนับบญุ . (2541). เปรียบเทียบความสามารถภาษาของเด็กปฐมวัยท่ีไดร้ ับการจดั
ประสบการณ์เล่านิทาน. ปรญิ ญานพิ นธก์ ารศึกษามหาบณั ฑติ . กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั
ศรีนครนิ ทรวโิ รฒประสานมติ ร. ถา่ ยเอกสาร
บุญเชิด ภญิ โญอนันตพงษ.์ (2562). การวดั การประเมนิ ผลทางการศกึ ษา. กรุงเทพฯ : ภาควชิ าพน้ื
ฐานการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร.์ มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ.
เบญจมาศ พระธานี. (2540). วรรณกรรมเด็ก. พิมพ์ครงั้ ท่ี 4. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั โรงพิมพ์ไทยวฒั นา
พานิชจาํ กัด
ปานใจ จารรุ ชี . (2548). พฤติกรรมทางการพูดของเด็กปฐมวยั ท่ไี ด้รบั การจดั กจิ กรรมคําคลอ้ งจอง.
กรุงเทพฯ : ปรญิ ญานพิ นธ์ กศ.ม. (การศกึ ษาปฐมวัย). บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัย
ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร
พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ. (2545). หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 29. กรุงเทพฯ :
หจก. ก๊อปป้ี แอนด์ พริน้ ท์.
ภรณี ครุ ุรัตนะ. (2540). เดก็ ก่อนวยั เรยี น. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์สถานสงเคราะห์หญงิ ปากเกร็ด
กรมประชาสงเคราะห.์ นนทบุรี
เยาวพา เดชะคุปต.์ (2542). กจิ กรรมสําหรบั เด็กปฐมวยั . กรุงเทพฯ : แม็ค.
รงั สรรค์ จนั ต๊ะ. (2541). เอกสารประกอบการสอนวิชา ศท130 : ภาษาไทย. เชยี งใหม่ : คณะธรุ กิจ
การเกษตร มหาวทิ ยาลัยแมโ่ จ้
93
รชั นี ศรีไพวรรณ. (2546). เอกสารการสอนชดุ วชิ การสอนกลุ่มทักษะ (ภาษาไทย) หน่วยที่ 9 – 15
พมิ พ์คร้งั ท่ี 13. นนทบุรี : มหาวทิ ยาลัยยสโุ ขทัยธรรมธิราช
วชิ าการ. (2542). พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พุทธศกั ราช 2542. กรุงเทพฯ : กรมวชิ าการ
กระทรวงศึกษาธิการ
_______. (2546). คู่มอื หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั พทุ ธศักราช 2560. กรุงเทพฯ : คุรสุ ภาลาดพรา้ ว
94
ภาคผนวก ก
รายชอ่ื ผเู้ ชยี่ วชาญ
95
รายนามผู้เชี่ยวชาญ
1. นางวรพรรณ ศรนี ้อย หวั หนา้ สายชั้นระดบั อนุบาลและเปน็ ครูประจําชั้นอนุบาลปที ี่ 3 โรงเรยี นสาม
แยกบา้ นเนียง (สิทธิพันธ์อนุกลู )
2. นางสาวมไุ ชนา ชสู มบตั ิ หัวหน้าวชิ าการโรงเรยี นสามแยกบ้านเนยี ง (สทิ ธิพันธอ์ นุกลู )
3. นางสาวฮายาตี แดนิ ครปู ระจําชัน้ อนุบาลปที ่ี 1 โรงเรยี นสามแยกบา้ นเนียง (สทิ ธพิ ันธ์อนุกูล)
96
ภาคผนวก ข
รายชือ่ นกั เรียนช้ันอนบุ าลปีที่ 2
97
รายช่ือนักเรียนช้นั อนุบาลปีท่ี 2 โรงเรียนสามแยกบ้านเนยี ง (สิทธพิ นั ธอ์ นุกลู )
ลาดับท่ี ชื่อ – สกลู หมายเหตุ
1 ด.ช.นัสรุดดีน โตะ๊ เตบิ
2 ด.ช.ฮาริส แวนิซอ
3 ด.ช.มฮู ําหมดั อาริ วาเลง็
4 ด.ช.อารีฟีน กามา
5 ด.ช.อบั ดุลบารนี สาแม
6 ด.ช.อฟาเดล เซงยะเบ๊าะ
7 ด.ช.ซอฟียุดดนี เจะ๊ เตะ๊
8 ด.ช.อาฟาเดล ลาเต๊ะ
9 ด.ช.อสั รี มะหนับเด็น
10 ด.ช.อชั ลนั ดอมิ
11 ด.ญ.ฟาซญี า ขุนจติ
12 ด.ญ.อานสิ แดเมาะ
13 ด.ญ.ฟัรฮานา มะดงิ
14 ด.ญ.นิซัลวา คาเดร์
15 ด.ญ.นูรฟู าเดยี ร์ ยูโซะ
16 ด.ญ.นรุ อัลฟานี ดอไดห้ มะ
17 ด.ญ.นูรอัยนี ดอื เร๊ะ
18 ด.ญ.นุรอาซกี ีน มะเด็ง
19 ด.ญ.นรู อยั นี แวนามะ
20 ด.ช.พาริซยี ์ ยซู ๊ะ
21 ด.ช.สุไลมาน หะมะ
ลาดับท่ี ชอ่ื – สกูล 98
22 ด.ช.ตว่ นดารวิช รงโซะ
23 ด.ช.อนั ดาลฟี สาและ หมายเหตุ
24 ด.ญ.นรู อยั ซะห์ ตะมะละ
25 ด.ญ.นรู ์อามลี า บากา
26 ด.ญ.อะมีนะฮ บญุ เสน
27 ด.ญ.นจั วา สาแม
28 ด.ช.ตว่ นเนาว์ฟัล ดลุ ขาเดร์
29 ด.ช.ซูเพียน ซารีแปเราะ
30 ด.ช.วรี ะเทพ มะกะจิ
99
ภาคผนวก ค
เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการวิจยั
100
แผนการจัดกิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์ โดยใชค้ าคล้องจองประกอบภาพ
เพื่อพัฒนาทักษะด้านการพูดของเด็กปฐมวัยชน้ั อนบุ าลปที ่ี 2