The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุจิตรา พุ่มพึ่ง, 2023-10-18 23:46:33

AED338

AED338

บทที่ 2 กำยวิภำคศำสตร์ของกระดูกสันหลัง (Vertebrae)


27 แผนกำรสอนครั้งที่ 3-4 หัวข้อ กายวิภาคของกระดูกสันหลัง ผู้สอน อาจารย์ ดร. อติยศ สรรคบุรานุรักษ์ เวลำ 4 ชั่วโมง วัตถุประสงค์ ครั้งที่ 3-4 1. เพื่อให้นิสิตมีความเข้าใจเกี่ยวกับกายวิภาคของกระดูก ได้แก่ กายวิภาคศาสตร์ของกระดูกสันหลัง กระดูกบริเวณลำตัวส่วนบน กระดูกสันหลังส่วนคอ กระดูกสันหลังส่วนอก กระดูกสันหลังส่วน บั้นเอว กระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ และกระดูกสันหลังส่วนก้นกบ 2. เพื่อให้นิสิตสามารถปฏิบัติการวาดภาพการวิภาคศาสตร์ของกระดูกสันหลัง กระดูกบริเวณลำตัว ส่วนบน กระดูกสันหลังส่วนคอ กระดูกสันหลังส่วนอก กระดูกสันหลังส่วนบั้นเอว กระดูกสันหลัง ส่วนกระเบนเหน็บ และกระดูกสันหลังส่วนก้นกบได้อย่างถูกต้องตามโครงสร้างทางกายวิภาค เนื้อหำ ครั้งที่ 3-4 1. กายวิภาคกายวิภาคศาสตร์ของกระดูกสันหลัง กระดูกบริเวณลำตัวส่วนบน กระดูกสันหลังส่วนคอ กระดูกสันหลังส่วนอก กระดูกสันหลังส่วนบั้นเอว กระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ และกระดูกสัน หลังส่วนก้นกบ 2. อธิบายและสาธิตการวาดส่วนกระดูกกายวิภาคศาสตร์ของกระดูกสันหลัง กระดูกบริเวณลำตัวส่วนบน กระดูกสันหลังส่วนคอ กระดูกสันหลังส่วนอก กระดูกสันหลังส่วนบั้นเอว กระดูกสันหลังส่วนกระเบน เหน็บ และกระดูกสันหลังส่วนก้นกบ กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ ครั้งที่ 3-4 1. การสอนบรรยายเนื้อหาและสาธิต 80 นาที 2. การฝึกปฏิบัติ 120 นาที 3. การวิจารณ์ผลงาน 40 นาที สื่อกำรสอน ครั้งที่ 3-4 1. เอกสารประกอบการบรรยาย/คำสอน (Lecture Note) 2. เอกสารประกอบการสอน กายวิภาคและภาพคน (ANATOMY AND HUMAN DRAWING ) 3. หนังสือ ตำรา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4. มัลติมีเดีย : ภาพนิ่ง วีดิทัศน์(Picture/Video)


28 5. อินเทอร์เน็ต/เว็บไซต์(Internet/Website) กำรประเมินผล ครั้งที่ 3-4 1. การสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน 2. ประเมินผลจากการฝึกปฏิบัติการวาดภาพกายวิภาคของกระดูก 3. ประเมินผลจากการนำเสนอผลงานและร่วมอภิปรายในชั้นเรียน 4. ประเมินจากแบบฝึกหัด/คำถามท้ายบท หนังสืออ้ำงอิง เคน แอชเวลล์. (2021). แผนที่ร่างกายมนุษย์[the human body atlas]. (พญ.น้ำทิพย์ พันธุ์อนุกูล, ผู้แปล). กรุงเทพฯ: แอร์โรว์ มัลติมีเดีย. จินตนา เวชสวัสดิ์. (2548). กายวิภาคศาสตร์ [Essencial Atlas of Anatomy]. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. ธวัชชานนท์ สิปปภากุล. (2548). การยศาสตร์และกายวิภาคเชิงกล. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: วาดศิลป์. บุญเลิศ บุตรขาว. (2531 ). กายวิภาคนักศึกษาศิลปะ. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮาส์. พารามอน. (2564). กายวิภาคศาสตร์และสรีระวิทยา ฉบับปรับปรุง. (ภุชงค์ เดชอาคม, ผู้แปล). กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่น. มิเชล ลอริเชลลา. (2563). กายวิภาคอาทิสต์ [Morpho Anatomy for Artist]. (อรดา ลีลานุช, ผู้แปล). กรุงเทพฯ : ไอดี ออล ดิจิตอลพริ้นท์. ______. (2565). กายวิภาค: การวาดร่างกายมนุษย์ [Morpho Anatomy for Artist Simplified Form]. (อรดา ลีลานุช, ผู้แปล) กรุงเทพฯ: มติชน. วัชรพงศ์ หงส์สุวรรณ. (2556). วาดเส้นแรเงา Anatomy & Figure Drawing (ฉบับปรับปรุงใหม่). กรุงเทพฯ : วาดศิลป์. วิภาวี บริบูรณ์. (2557). กายวิภาคส าหรับนักวาด Anatomy Drawing. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: ไทย ควอ ลิตี้บุคส์. สมคิด อินท์นุพัฒน์. (2539). กายวิภาค (Anatomy) ส าหรับผู้ศึกษาศิลปะ. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์. เสน่ห์ ธนารัตน์สฤษดิ์. (2525). โครงกระดูกร่างกายมนุษย์. กรุงเทพฯ: บูรพาศิลป์การพิมพ์. _______. (2541). วาดภาพคนและกายวิภาค Drawing & Anatomy. กรุงเทพฯ : เฉลิมชัยการพิมพ์. Ambrus, V. (2006). How to Draw the Human Figure. United State: New Line Books. Peck, S. R. (1951). Atlas of Human Anatomy for the Artist. NY: Oxford University Press, Inc. Sadler, T. W. (2009). Langman's Medical Embryology. Uniter State: Lippincott Williams & Wilkins.


29 Sun Tao, Y. N. (2005). Deconstruction of the Human Body: the Art of Human Anatomy (Modeling Basic Textbook Series of Central Academy of Fine Art) (Chinese Edition). Beijing: People's Fine Arts Publishing House. Taber, C. W., & Venes, D. (2005). Taber's cyclopedic medical dictionary. Philadelphia: F.A. Davis.


30 บทที่ 2 กำยวิภำคศำสตร์ของกระดูกสันหลัง (Vertebrae) 1. กระดูกสันหลัง (Vertebral column) กระดูกสันหลัง เป็นกระดูกแกนของร่างกาย และเป็นกระดูกชนิดที่มีรูปร่างไม่แน่นอน (Irregular bones) มีจํานวนทั้งหมด 33 ชิ้น กระดูกสันหลังเริ่มต้นจากฐานของกะโหลกศีรษะพาดลงมาตลอด แนวความยาวของคอและลําตัว ตลอดความยาวของกระดูกสันหลังนี้ประกอบ ด้วยกระดูกแต่ละชิ้นเรียงตัวกัน ในแนวดิ่ง ที่ยึดติดกันด้วยหมอนกระดูก (Disc) และเอ็น (Ligament) จะทําหน้าที่ยึดกระดูกและทําหน้าที่ ในการรักษาแนวกระดูกสันหลังให้คงรูปร่างลักษณะ เป็นไปตามธรรมชาติ ทั้งหมอนกระดูกและเอ็นจะช่วยให้ กระดูกสันหลังงอโค้งได้อีกด้วย กระดูกสันหลัง ถือเป็นกระดูกแกนที่ต้องรับแรงกด (compressive force) และ แรงเฉือน (shear force) ซึ่งเกิดจากการเคลื่อนไหวร่างกายระหว่างการทํางานอยู่ตลอดเวลา และมักเป็นส่วนที่ได้รับอาการ บาดเจ็บหรือปวดหลังอยู่เป็นประจํา 2. ลักษณะทั่วไปของกระดูกสันหลัง 1) Body เป็นส่วนที่อยู่ด้านหน้า 2) Vertebral arch เป็นส่วนโค้งไปทางด้านหลัง ประกอบด้วย Lamina และ Pedicle 3) Vertebral foramen เป็นช่องบริเวณกลางของกระดูกสันหลังและเป็นทางผ่านของไขสันหลัง 4) Transverse process เป็นส่วนที่ยื่นจาก Body ไปทางด้านข้าง 5) Spinous process เป็นส่วนที่ยื่นจาก Lamina ไปทางด้านหลัง (เกล็ดแก้ว ด่านวิวัฒน์, 2543 : 48) 2.1 กระดูกสันหลัง แบ่งออกเป็น 5 ส่วนด้วยกัน คือ 2.1.1. กระดูกสันหลังส่วนคอ (Cervical vertebrae) 2.1.2. กระดูกสันหลังส่วนลําตัว (Thoracic vertebrae) 12 ชิ้น 2.1.3. กระดูกสันหลังส่วนเอว (Lumbar vertebrae) 5 ชิ้น 2.1.4. กระดูกสันหลังส่วนสะโพก (Sacral vertebrae) 2.1.5. กระดูกสันหลังส่วนก้นกบ (Coccyx vertebrae) 3-5 ชิ้น ทั้งนี้เพื่อการทรงตัว การเคลื่อนไหว และเพื่อความสวยงามนั้นเอง นอกจากนี้กระดูก สันหลังยังมีรูปร่าง เป็นส่วนโค้งสลับกันเป็นตอน ๆ คือ โค้งไปด้านหน้าเรียกว่า Concave สลับกับโค้งไปด้านหลังเรียกว่า Convex ข้างละ 2 ตอน คล้ายตัว S ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ในการรองรับน้ำหนักและสามารถที่จะรักษาสมดุลของ ร่างกายด้านบนทั้งหมดเอาไว้ได้ อีกทั้ง จะช่วยให้การเคลื่อนไหวตลอดแนวยาวมีความยืดหยุ่นและสามารถเลื่อนไป ด้านหน้า ไปด้านหลัง หมุนตัว หรือเลื่อนออกไปทางด้านข้างได้ดีกว่ากระดูกยาวท่อนเดี่ยวท่อนอื่น ๆ


31 ภาพประกอบที่ 15 ภาพวาดโครงกระดูกด้วยชอล์คบนกระดานดำ ที่มา: อติยศ สรรคบุรานุรักษ์. (2563). กระดูกสันหลัง (VERTERRAL COLUMN) กระดูกสันหลัง (ผู้ใหญ่) มีจํานวน 26 ชิ้น กระดูกสันหลัง (เด็ก) มีจํานวน 3 ชิ้น เปรียบเทียบกระดูกสันหลัง ผู้ใหญ่ เด็ก กระดูกสันหลังส่วนคอ (CERVICAL) 7 7 กระดูกสันหลังส่วนอก (THORAX) 12 12 กระดูกสันหลังส่วนเอว (LUMBAR) 5 5 กระดูกสันหลังส่วนกัน (SACRAL) 1 5 กระดูกสันหลังส่วนก้นกบ (COCCYX) 1 4 กระดูกหน้าอก (STERNUM) 1 ชิ้น กระดูกซี่โครง (RIBS) 24 ชิ้น


32 ภาพประกอบที่ 16 The Cervical Spine ที่มา: Cleveland Clinic (2022). The Cervical Spine. Retrieved from https://my.clevelandclinic.org/health/articles/22278-cervical-spine


33 ภาพประกอบที่ 17 The First Cervical Vertebrae ที่มา: The Vertebral Column. (2007). Retrieved from https://www.sciencedirect.com/topics/medicine-and-dentistry/first-cervical-vertebra กระดูกสันหลังส่วนอก (Thoracic vertebrae) กระดูกสันหลังส่วนอก (Thoracic vertebrae) มีจำนวน 12 ชิ้น อยู่ในส่วนอก และมีลักษณะพิเศษ คือ จะมีจุดเชื่อมต่อสำหรับกระดูกซี่โครง ซึ่งเป็นโครงร่างสำคัญของช่องอก กระดูกทรวงอกประกอบด้วย กระดูกกลางอก (STERNUM) และกระดูกซี่โครง (RIBS) มาติดต่อกัน โดยมีกระดูกอ่อนทรวงอก (COSTAL CARTILAGE) คั่นเป็นตัวเชื่อม กระดูกส่วนนี้ทําหน้าที่ป้องกันอวัยวะ ภายในต่าง ๆ ที่สําคัญ ๆ เช่น ปอด หัวใจ ตับ ลักษณะโดยทั่วไปของกระดูกส่วนทรวงอก จะมีลักษณะยืดหยุ่น เพื่อสะดวกในการเคลื่อนไหวตามสภาพที่ร่างกายต้องการ กระดูกทรวงอกแบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ กระดูกหน้าอก (STERNUM BONE) 1 ชิ้น กระดูกซี่โครง (RIBS BONE) 24 ชิ้น กระดูกหน้ำอก (STERNUM BONE) เป็นกระดูกชนิดแบนยาว ประมาณ 6 นิ้ว หรือประมาณ 1 คืบ ของตัวเอง เป็นแกนของอกตอนหัวเป็นที่เกาะ ของกระดูกไหปลาร้า (CLAVICLE) และลําตัวของกระดูกหน้าอก เป็นที่เกาะยึดของ กระดูกซี่โครง (RIBS) ซึ่งอ้อมมาจากกระดูกสันหลัง กระดูกหน้าอกมีอิทธิพลเป็นอย่างมาก ต่อรูปทรงของหน้าอกด้านหน้าของแต่ละคน กระดูกหน้าอกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1. ส่วนกว้างตอนบน (MANUBRIUM) เป็นที่เกาะยึดของกระดูก ไหปลาร้า และปลายของกระดูก ซี่โครง (RIBS) คู่แรกและคู่ที่ 2 ตรงปลายรอยต่อ


34 2. ส่วนกลางหรือส่วนลําตัว (BODY) ขอบทั้ง 2 ข้างมีรอยต่อกับ กระดูกปลายซี่โครง ซี่ที่ 3,4,5,6 และ 7 3. ส่วนปลายกระดูกหน้าอกหรือลิ้นปี่(XIPHOT ENSIFORM PROCESS) หรือ ลิ้นปี่(XIPHOID PROCESS หรือ ENSIFORM PROCESS) กระดูกทรวงอก (Thorax) กระดูกทรวงอก มีลักษณะทั่วไปเหมือนกันกับสุ่ม คือ ส่วนบนจะแคบ ส่วนล่างจะกางออก ส่วนหลัง ยาวกว่าส่วนหน้า ผนังของทรวงอกจะล้อมรอบและป้องกันชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ภายใน เช่น ปอด หัวใจ เป็นต้น หน้าที่หลัก คือ พยุงทรวงอกให้กว้างออกตามการหายใจเข้า ซึ่งจะทําให้ปอดขยายตัว เมื่อหายใจออกทรวงอก จะแฟบลงเป็นแบบยืดหยุ่น กระดูกทรวงอก ประกอบด้วยกระดูก 2 ส่วน คือ 1. กระดูกหน้าอก (Stermum bones) กระดูกหน้าอกเป็นกระดูกชนิดแบน ถือเป็นแกนของทรวงอก ยาวประมาณ 1 คืบของตัวเอง หรือประมาณ 15 เซนติเมตร อยู่ตรงเส้นกึ่งกลางของผนังด้านหน้าของหน้าอก และสามารถคลําได้ตลอดความยาว มีจํานวน 1 ชิ้น กระดูกหน้าอกประกอบไปด้วยกระดูก 3 ส่วน คือ 1.1 ส่วนกว้างตอนบนเรียกว่า Manubrium เป็นส่วนที่กว้างที่สุด ของกระดูกหน้าอก รูปร่างเกือบ เป็นรูปสี่เหลี่ยม ขอบบนมีลักษณะกลมเรียบและที่ตรงกลาง เรียกว่า Jugular notch ซ้ายขวาเป็น Cavicular notch ซึ่งเป็นส่วนที่ติดต่อกับกระดูกไหปลาร้า (Carvicle bones) ต่ำลงมามีรอยยืนออกไปซ้ายขวาไปต่อกับ Costal cartilage อันที่ 1 ปลายล่างสุด จะเว้าเป็น รอยต่อของ Costal cartilage อันที่ 2 1.2 ส่วนตอนกลางเรียกว่า Body มีความยาวมากกว่า Manbrium ประมาณสองเท่า มีความกว้าง ประมาณ 2.4 เซนติเมตร และเป็นส่วนที่ยึดติดกับ กระดูกซี่โครง ซ้ายขวาอันที่ 3-7 ซึ่งอ้อมมาจากกระดูก สันหลัง 1.3 ส่วนปลายสุด คือ ลิ้นปี่(Ensiform process) หรือเรียกว่า Kiphoid process เป็นส่วนปลายสุด มีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยมค่อนข้างแบนและเป็นกระดูกอ่อน แต่เมื่ออายุมากจะกลายเป็นกระดูกแข็ง ควำมแตกต่ำงระหว่ำงเพศและวัยของกระดูกทรวงอก มีดังนี้ เด็ก : Stermum bone จะยื่นออกมาทางด้านหน้ามาก Rib bones ตอนปลายกระดูกทางด้านล่างจะสั้นและผายกว้าง ทําให้เด็กมีท้องใหญ่ยื่น ผู้ชาย : Stemum bone ยื่นเฉียงออกมาทางด้านหน้ามาก ทําให้ผู้ชายมีลําตัวที่หนา Rib bones ด้านตัดจะเป็นรูปวงรี เป็นเหตุให้ผู้ชายมีลําตัวที่แบนกว้าง โดย มีส่วนกว้างที่สุด ของลําตัวอยู่ในระดับซี่โครงซี่ที่ 7 ปลายสุดของซี่โครงอยู่ ระดับเดียวกันกับข้อศอก ผู้หญิง : Sternum bone ตั้งอยู่ในระดับเส้นดิ่ง เพราะเหตุที่ผู้หญิงต้องมีเต้านมเพิ่มขึ้นมาอีก Rib bones ทางด้านตัดจะมีรูปค่อนข้างกลม ทําให้ผู้หญิงมีลําตัวเล็กกว่าผู้ชาย ปลายสุดของ ชายโครงร่นขึ้นมาเหนือข้อศอกและสอบแคบ เป็นผล ทําให้ผู้หญิงมีเอวคอดเล็ก (เรือง ศรี ขาว, และ กมล เวียสุวรรณ, 2526 : 56)


35 กระดูกสันหลังส่วนบนสุดของส่วนคอ (Cervical vertebrae) คือ ชิ้นที่ 1 (Alas) จะยึดติดกับส่วนฐาน ของกระโหลกศีรษะ กระดูกสันหลังส่วนลําตัว (Thoracic vertebra ซ้ายขวาจะยึดติดกับกระดูกซี่โครง (Ribs) ทั้ง 24 ช ิ้น และส่วนปลายล่างส่วนสะโพก (sacral vertebrae) จะยึดติดกับกระดูกเชิงกราน (Pelvis) กระดูกสันหลังส่วนคอ จะมีกระดูกที่มีลักษณะแตกต่างจากชิ้นอื่น ๆ อยู่ 2 ชิ้น คือ ชิ้น 1 เรียกว่า Atlas เป็นกระดูกรูปวงแหวนเรียว ส่วนกลางจะสัมผัสกับปุ่มที่ยื่นออกมาของ Body ของช ิ้นที่ 2 กระดูกสัน หลังส่วนคอชิ้นที่ 2 เรียกว่า Axis เป็นอันที่แข็งแรงที่สุด มีปุ่มยื่นเรียกว่า Dens ซึ่งจะยื่นเข้าไปสัมผัสกับด้านใน ของ Atlas ภาพประกอบที่ 18 The Thoracic Vertebrae ที่มา: The Thoracic Vertebrae. (2019). Retrieved from https://www.crossfit.com/essentials/the-thoracic-vertebrae


36 กระดูกสันหลังส่วนบั้นเอว (Lumber vertebrae) กระดูกสันหลังส่วนบั้นเอว (Lumber vertebrae) มีจำนวน 5 ชิ้น อยู่ในช่วงเอว และมีขนาดใหญ่เพื่อ รองรับน้ำหนักของร่างกายท่อนบน และมีส่วนเป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อที่เป็นผนังทางด้านหลังของช่องท้อง อีกด้วย ภาพประกอบที่ 19 Lumbosacral spine x-ray ที่มา: Lumbosacral spine x-ray. (2021). Retrieved from https://www.mountsinai.org/health-library/tests/lumbosacral-spine-x-ray


37 ภาพประกอบที่ 20 การภาพวาดกระดูกสันหลังด้วยชอล์คเขียนกระดาน ที่มา: อติยศ สรรคบุรานุรักษ์. (2563).


38 กระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ (Sacral vertebrae) กระดูกสันหลังส่วนกระเบนเหน็บ (Sacral vertebrae) หรือ Sacrum มี 5 ชิ้น แต่จะเชื่อมรวมกันเป็น ชิ้นเดียว และจะต่อกับกระดูกเชิงกราน (pelvic bone) โดยจะมีช่องเปิด (sacral foramina) เพื่อเป็นทางผ่าน ของเส้นประสาทที่ไปยังบริเวณเชิงกรานและขา (ภาพประกอบที่ 17 Sacral คือช่วง S1-S5) ภาพประกอบที่ 21 Human Vertebral column ที่มา: The Editors of Encyclopaedia Britannica (2021). Sacrum anatomy. Retrieved from Encyclopaedia Britannica: https://www.britannica.com/science/vertebral-column


39 ภาพประกอบที่ 22 Sacrum Labeled ที่มา: Sacrum. (2021). Retrieved from https://www.theskeletalsystem.net/spine-vertebral-column/sacrum.html


40 กระดูกสันหลังส่วนก้นกบ (Coccygeal vertebrae) กระดูกสันหลังส่วนก้นกบ (Coccygeal vertebrae) ซึ่งเดิมมี 4 ชิ้น ซึ่งจะเชื่อมกันเป็นกระดูกชิ้นเดียว เป็นกระดูกรูปสามเหลี่ยมที่ปลายด้านล่างสุด ภาพประกอบที่ 23 The sacrum and coccyx are weight-bearing spinal structures. ที่มา: The Sacrum and coccyx. (2021). Retrieved from https://www.spineuniverse.com/anatomy/sacrum-coccyx ภาพประกอบที่ 24 Bony landmarks of the coccyx ที่มา: Barnes, S. (2021). The coccyx. Retrieved from https://teachmeanatomy.info/pelvis/bones/coccyx/


41 3. ควำมแตกต่ำงระหว่ำงเพศ-วัย ของโครงกระดูกสันหลัง ทารกแรกเกิด กระดูกสันหลังจะโค้งออกไปทางด้านหน้า (Convex) เพียงโค้งเดียว เพราะต้องงอตัวอยู่ใน ครรภ์ ต่อเมื่อเด็กเริ่มชันคอได้แล้ว ราวอายุ 3-4 เดือน ตรงส่วนคอจะกลับแอ่นไปข้างหน้า (Concave) ต่อไปอายุประมาณ 1 ปี – 18 เดือน เด็กเริ่มเดินได้ ส่วนเอว(Lumbar) เริ่มแอ่น ไปข้างหน้า ส่วนฐาน (Base) คือ Sacrum และ Coccyx ยังคงสภาพเดิม ระยะหนุ่มสาว กระดูกเจริญเต็มที่แล้ว จึงทำให้สันหลังโค้งสลับกันไปมา 4 ตอน คือ - ส่วนคอและส่วนเอวโค้งออกไปทางด้านหน้า (Concave) - ส่วนลำตัวและส่วนฐานโค้งกลับไปทางด้านหลัง (Convex) ระยะวัยชรา กระดูกสันหลังในระยะนี้มักโค้งงอ เนื่องจากไขข้อและเอ็นต่าง ๆ หดตัว จึงยึดกระดูกเส้นหลัง ให้ชิดกันมากขึ้น ทำให้เกิดอาการปวดหลัง และหลังโก่งเพราะรับน้ำหนักตัวไม่ได้ดีนัก (บุญเลิศ บุตรขาว, 2531)


42 วิธีกำรวำดเส้นกำยวิภำคกระดูกสันหลังมองจำกด้ำนหน้ำ ภาพประกอบที่ 25 ขั้นตอนการวาดเส้นกายวิภาคกระดูกสันหลังมองจากด้านหน้า ที่มา: อติยศ สรรคบุรานุรักษ์. (2564).


43 วิธีกำรวำดเส้นกำยวิภำคกระดูกสันหลังส่วนคอ ภาพประกอบที่ 26 ขั้นตอนการวาดเส้นกายวิภาคกระดูกสันหลังส่วนคอ ที่มา: อติยศ สรรคบุรานุรักษ์. (2564).


44 วิธีกำรวำดเส้นกำยวิภำคกระดูกสันหลังส่วนอก ภาพประกอบที่ 27 ขั้นตอนการวาดเส้นกายวิภาคกระดูกสันหลังส่วนอก ที่มา: อติยศ สรรคบุรานุรักษ์. (2564).


45 วิธีกำรวำดเส้นกำยวิภำคกระดูกสันหลังบริเวณช่วงเอว ภาพประกอบที่ 28 ขั้นตอนการวาดเส้นกายวิภาคกระดูกสันหลังบริเวณช่วงเอว ที่มา: อติยศ สรรคบุรานุรักษ์. (2564).


46 ภาพประกอบที่ 29 กระดูกสันหลัง ที่มา: อติยศ สรรคบุรานุรักษ์. (2564).


47 ตัวอย่ำงแนวฝึกปฏิบัติเขียนภำพกระดูกสันหลัง ภาพประกอบที่ 30 ตัวอย่างแนวฝึกปฏิบัติภาพเขียนกระดูกสันหลัง ที่มา: สมคิด อินท์นุพัฒน์. (2539). กายวิภาค (Anatomy) สำหรับผู้ศึกษาศิลปะ. กรุงเทพฯ: โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์.


48 ภาพประกอบที่ 31 แนวกระดูก สันหลัง ที่มา : วัชรพงศ์หงส์สุวรรณ. (2556). วาดเส้นแรเงา Anatomy & Figure Drawing (ฉบับปรับปรุงใหม่). กรุงเทพฯ : วาดศิลป์.


49 ค ำถำมท้ำยบท 1. จงอธิบำยส่วนประกอบของกำยวิภำคกระดูกสันหลังให้ครบถ้วนสมบูรณ์ 2. ฝึกปฏิบัติวำดภำพกำยวิภำคกระดูกในส่วนของกระดูกสันหลัง


บทที่ 3 กำยวิภำคของกระดูกซี่โครง (Ribs) กำยวิภำคของกระดูกสะบัก (Scapula) และกำยวิภำคของกระดูกไหปลำร้ำ (Clavicle) กำยวิภำคของกระดูกสะโพก (ilium)


51 แผนกำรสอนครั้งที่ 5-6 หัวข้อ กายวิภาคของกระดูกลำตัวส่วนล่าง ผู้สอน อาจารย์ ดร. อติยศ สรรคบุรานุรักษ์ เวลำ 4 ชั่วโมง วัตถุประสงค์ ครั้งที่ 5-6 1. เพื่อให้นิสิตมีความเข้าใจเกี่ยวกับกายวิภาคของของกระดูกบริเวณลำตัวส่วนล่าง ได้แก่ กายวิภาคของ กระดูกสะโพก กายวิภาคของกระดูกซี่โครง กายวิภาคของกระดูกสะบัก (Scapula) และกายวิภาค ของกระดูกไหปลาร้า (Clavicle) 2. เพื่อให้นิสิตสามารถปฏิบัติการวาดภาพกระดูกบริเวณลำตัวส่วนล่าง ได้แก่ กายวิภาคของกระดูก สะโพก และกายวิภาคของกระดูกซี่โครง กายวิภาคของกระดูกสะบัก (Scapula) และกายวิภาคของ กระดูกไหปลาร้า (Clavicle) ได้อย่างถูกต้องตามโครงสร้างทางกายวิภาค เนื้อหำ ครั้งที่ 5-6 1. กายวิภาคกระดูกบริเวณลำตัวส่วนล่าง ได้แก่ กายวิภาคของกระดูกสะโพก กายวิภาคของกระดูก ซี่โครง 2. กายวิภาคของกระดูกสะบัก (Scapula) และกายวิภาคของกระดูกไหปลาร้า (Clavicle) อธิบายและ สาธิตการวาดส่วนกระดูกบริเวณลำตัวส่วนล่าง กายวิภาคของกระดูกสะโพก กายวิภาคของกระดูก ซี่โครง กายวิภาคของกระดูกสะบัก (Scapula) และกายวิภาคของกระดูกไหปลาร้า (Clavicle) กำรจัดประสบกำรณ์กำรเรียนรู้ ครั้งที่ 5-6 1. การสอนบรรยายเนื้อหาและสาธิต 80 นาที 2. การฝึกปฏิบัติ 100 นาที 3. การวิจารณ์ผลงาน 40 นาที 4. ถามตอบข้อสงสัย 20 นาที สื่อกำรสอน ครั้งที่ 5-6 1. เอกสารประกอบการบรรยาย/คำสอน (Lecture Note) 2. เอกสารประกอบการสอน กายวิภาคและภาพคน (ANATOMY AND HUMAN DRAWING ) 3. หนังสือ ตำรา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4. มัลติมีเดีย : ภาพนิ่ง วีดิทัศน์(Picture/Video) 5. อินเทอร์เน็ต/เว็บไซต์(Internet/Website)


52 กำรประเมินผล ครั้งที่ 5-6 1. การสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน 2. ประเมินผลจากการฝึกปฏิบัติการวาดภาพกายวิภาคของกระดูก 3. ประเมินผลจากการนำเสนอผลงานและร่วมอภิปรายในชั้นเรียน 4. ประเมินจากแบบฝึกหัด/คำถามท้ายบท หนังสืออ้ำงอิง เคน แอชเวลล์. (2021). แผนที่ร่างกายมนุษย์[the human body atlas]. (พญ.น้ำทิพย์ พันธุ์อนุกูล, ผู้แปล). กรุงเทพฯ: แอร์โรว์ มัลติมีเดีย. จินตนา เวชสวัสดิ์. (2548). กายวิภาคศาสตร์[Essencial Atlas of Anatomy]. กรุงเทพฯ: สุวีริยาสาส์น. ธวัชชานนท์ สิปปภากุล. (2548). การยศาสตร์และกายวิภาคเชิงกล. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: วาดศิลป์. พารามอน. (2564). กายวิภาคศาสตร์และสรีระวิทยา ฉบับปรับปรุง. (ภุชงค์ เดชอาคม, ผู้แปล). กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่น. มิเชล ลอริเชลลา. (2563). กายวิภาคอาทิสต์ [Morpho Anatomy for Artist]. (อรดา ลีลานุช, ผู้แปล). กรุงเทพฯ: ไอดี ออล ดิจิตอลพริ้นท์. ______. (2565). กายวิภาค: การวาดร่างกายมนุษย์ [Morpho Anatomy for Artist Simplified Form]. (อรดา ลีลานุช, ผู้แปล). กรุงเทพฯ: มติชน. วัชรพงศ์ หงส์สุวรรณ. (2556). วาดเส้นแรเงา Anatomy & Figure Drawing (ฉบับปรับปรุงใหม่). กรุงเทพฯ : วาดศิลป์. วิภาวี บริบูรณ์. (2557). กายวิภาคส าหรับนักวาด Anatomy Drawing. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: ไทย ควอ ลิตี้บุคส์. สมคิด อินท์นุพัฒน์. (2539). กายวิภาค (Anatomy) ส าหรับผู้ศึกษาศิลปะ. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ: โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์. เสน่ห์ ธนารัตน์สฤษดิ์. (2525). โครงกระดูกร่างกายมนุษย์. กรุงเทพฯ: บูรพาศิลป์การพิมพ์ _______. (2541 ). วาดภาพคนและกายวิภาค Drawing & Anatomy. กรุงเทพฯ : เฉลิมชัยการพิมพ์. Ambrus, V. (2006). How to Draw the Human Figure. United State: New Line Books. Peck, S. R. (1951). Atlas of Human Anatomy for the Artist. NY: Oxford University Press, Inc. Sadler, T. W. (2009). Langman's Medical Embryology. United State: Lippincott Williams & Wilkins. Sun Tao, Y. N. (2005). Deconstruction of the Human Body: the Art of Human Anatomy (Modeling Basic Textbook Series of Central Academy of Fine Art) (Chinese Edition). Beijing : People's Fine Arts Publishing House. Taber, C. W., & Venes, D. (2005). Taber's cyclopedic medical dictionary.Philadelphia: F.A. Davis.


53 บทที่ 3 กำยวิภำคของกระดูกซี่โครง (Ribs) กำยวิภำคของกระดูกสะบัก(Scapula) กำยวิภำคของกระดูกไหปลำร้ำ(Clavicle) และกำยวิภำคของกระดูกสะโพก (ilium) กำยวิภำคของกระดูกซี่โครง (Ribs) กระดูกซี่โครง (Rib bones) กระดูกซี่โครงเป็นกระดูกชนิดแบนแบบยาวโค้งและบิดตัวเล็กน้อย มี จํานวน 12 คู่รวม 24 ชิ้น กระดูกซี่โครงจะยึดติดกับกระดูกสันหลังซ้ายขวา แล้วอ้อมมาติดกับกระดูกหน้าอก โดยมีกระดูกอ่อนเชื่อมอยู่ กระดูกซี่โครงแบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ 1. กระดูกซี่โครงแท้ (TRUE RIBS) ซีที่ 1-7 ตอนปลายด้านหน้าเกาะ กับกระดูกหน้าอก (STERNUM BONE) 2. กระดูกซี่โครงไม่แท้ (FALSE RIBS) ซี่ที่ 8 - 10 ตอนปลายด้านหน้า อาศัย ซีที่ 7 เกาะต่อกันมา 3. กระดูกซี่โครงลอย (FLOATING RIBS) ซี่ที่ 11-12 ตอนปลายด้านหน้าไม่เกาะกับอะไร กระดูกซี่โครงจะมีลักษณะแบน แบ่งออกเป็นสามส่วนคือ 1. ส่วนหัวกระดูก (head) 2. ส่วนคอกระดูก (neck) 3. ส่วนท่อนกระดูก (shaft) กระดูกซี่โครงทำหน้าที่ห้อหุ้มและป้องกันอวัยวะที่อยู่ในช่องอกไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือนเมื่อ ถูกกระแทก อวัยวะที่อยู่ในช่องอกและได้รับการป้องกันจากซี่โครง เช่น หัวใจ ปอดทั้งสองข้าง และช่วยยึด โครงร่างของคนให้ทรงรูปอยู่ได้ พูดให้ง่ายเข้าหน้าที่ของกระดูกซี่โครงคือเป็นกำแพงป้องกันอันตรายให้กับ หัวใจและปอดและช่วยให้ร่างกายส่วนอกคงรูปอยู่ได้นั่นเอง


54 ภาพประกอบที่ 32 กระดูกซี่โครง ที่มา: อติยศ สรรคบุรานุรักษ์. (2564). โครงสร้ำงของกระดูกสำขำของร่ำงกำย (APPENDICULAR SKELETON) กระดูกสาขาของร่างกาย เป็นกระดูกส่วนที่เกาะยึดกับกระดูกประเภท แกนของลําตัว โครงสร้างส่วน นี้แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ 1. โครงสร้ำงกระดูกสำขำตอนบน (UPPER EXTERMITIES) ประกอบด้วย กระดูกต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 กระดูกไหปลำร้ำ (CLAVICLE BONE) เป็นกระดูกชนิดยาวโค้ง มี จํานวน 2 ชิ้น ด้านหนึ่งติดกับกระดูกกลางอก (STERNUM) อีกด้านไปต่อ กับส่วน ของข้อ ไหล่ ตั้งขวางอยู่เหนือกระดูกซี่โครง ที่ 1 มีหน้าที่ยึดแขนส่วนบน ลักษณะ ของกระดูก


55 ไหปลาร้าเป็นกระดูกยาวโค้ง ช่วงปลายด้านในกลมนูน ต่อเข้ากับส่วนกว้าง ตอนบนของกระดูกหน้าอก ส่วนอีก ปลายหนึ่งมีลักษณะแบน และจะไปติดต่อกับ ACROMION ของสะบัก 1.2 กระดูกสะบัก (Scapula) กระดูกสะบัก ( Scapula) เป็นกระดูกแบบแบน (flat bone) ชิ้นหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของ กระดูกส่วนไหล่ (shoulder girdle) โดยมีส่วนที่ติดต่อกับกระดูกไหปลาร้า (clavicle) และกระดูกต้นแขน (humerus) มีจํานวน 2 ชิ้น พาดเฉียงอยู่เหนือกระดูกซี่โครงซี่ที่ 2-7 กระดูกสะบักมีรูปร่างและสัดส่วนที่สําคัญ คือ 1.2.1 คําว่า Scapula แปลว่า เครื่องมือสําหรับขุด เพราะมีรูปร่างคล้ายกับเครื่องมือขุด 1.2.2 ด้านหลังปลายล่างสุดสามารถคลําได้ง่าย ส่วนของ Body แบนโค้ง เล็กน้อย ด้านหลัง หรือด้านปลายสุดเป็นปุ่มมุมป้านแบน เรียกว่า Acromion พื้นหลังนูนมีสัน 1.2.3 ส่วนที่อยู่ด้านในเรียกว่า Costal surface มีพื้นเป็นรอยปุ่มใหญ่ติดกับ กระดูกซี่โครง เรียกว่า Subscapula fossa เหนือขึ้นไปมีปุ่มยื่นเรียกว่า Coracoid process กระดูกสะบักเป็นกระดูกที่เป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีขอบด้านข้างแบนราบ ดังนั้นบนกระดูกนี้จึงมีพื้นผิว สองด้าน ขอบสามด้าน และมุมสามด้าน ได้แก่ (1) พื้นผิวด้านหน้า (Costal/Anterior surface) (2) พื้นผิวด้านหลัง (Dorsal surface) -------------------------------------------------------- (1) ขอบด้านบน (Superior border) (2) ขอบด้านข้าง (Lateral/Axillary border) (3) ขอบแนวกลาง (Medial/Vertebral border) --------------------------------------------------------- (1) มุมด้านบน (Superior angle) (2) มุมด้านข้าง (Lateral angle) (3) มุมด้านล่าง (Inferior angle) ที่มุมด้านข้างของกระดูกสะบัก จะพบรอยบุ๋มขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกว่า แอ่งกลีนอยด์ (glenoid fossa) ซึ่ง แอ่งนี้ทำหน้าที่เป็นเบ้าให้กับส่วนหัวของกระดูกต้นแขน เพื่อประกอบเป็นข้อต่อกลีโนฮิวเมอรัล (glenohumeral joint) ซึ่งเป็นข้อต่อหลักของการเคลื่อนไหวของส่วนต้นแขน เหนือและใต้ข้อต่อแอ่งนี้จะมีปุ่ม เล็ก ๆ ชื่อว่า ปุ่มเหนือแอ่งกลีนอยด์ (supraglenoid tubercle) และปุ่มใต้แอ่งกลีนอยด์ (infraglenoid tubercle) ซึ่งก็จะเป็นจุดเกาะต้นของกล้ามเนื้อของต้นแขน


56 ภาพประกอบที่ 33 กระดูกสะบัก ที่มา: อติยศ สรรคบุรานุรักษ์. (2564). กำยวิภำคของกระดูกไหปลำร้ำ (Clavicle) กายวิภาคของกระดูกไหปลาร้า ( Clavicle) เป็นกระดูกแบบยาว (long bone) ชิ้นหนึ่งที่เป็น ส่วนประกอบของกระดูกส่วนไหล่ (shoulder girdle) ชื่อของกระดูกไหปลาร้าในภาษาอังกฤษ Clavicle เป็น คำที่มาจากภาษาลาติน clavicula ซึ่งแปลว่า กุญแจเล็ก ๆ เนื่องจากกระดูกชิ้นนี้จะมีการหมุนรอบแกน ใน แนวนอนคล้ายกับการไขกุญแจ ขณะที่แขนกางออก กระดูกไหปลาร้ายังเป็นกระดูกที่สามารถมองเห็น แนวของกระดูกได้จากภายนอกอย่างชัดเจน กระดูกไหปลาร้า เป็นกระดูกชนิดยาวโค้ง มีจํานวน 2 ชิ้น วางขวางถึงขนาน 2 ข้างอยู่บนยอดอก เหนือซี่โครง กระดูกไหปลาร้ามีรูปร่างและสัดส่วน ดังนี้ 1. ปลายด้านใน (Medial) 2 ใน 3 ส่วนโค้งออก กระดูกค่อนข้าง เป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายในสุดเรียบ เรียกว่า Sternal end ต่อเข้ากับส่วนกว้างตอนบนของ กระดูกหน้าอก (Manubium) เรียกว่า Sternal extremity


57 2. ปลายด้านนอก (Lateral) 1 ใน 3 ส่วนเว้าค่อนข้างแบน ปลาย นอกสุดแบนและหยาบเรียกว่า Acromial end ต่อเข้ากับกระดูกสะบัก (Scapula bones) เรียกว่า Acromial extremity กระดูกไหปลาร้ามีหน้าที่ยึดหัวไหล่ไม่ให้ไหล่ตก ในคนที่ผอมจะสามารถมองเห็น กระดูกไหปลาร้าได้ อย่างชัดเจน ลักษณะทั่วไป กระดูกไหปลาร้าเป็นกระดูกแบบยาวที่มีแนวโค้งสองแนว ทำให้มีรูปร่างคล้ายตัว S และเชื่อมระหว่าง ส่วนลำตัวและส่วนแขนของร่างกาย เราจึงแบ่งส่วนของกระดูกไหปลาร้าได้เป็นสองส่วนใหญ่ๆ ตามปลายทั้ง สองด้านของกระดูก ได้แก่ ภาพประกอบที่ 34 กระดูกสาขาของร่างกาย ที่มา : สมคิด อินท์นุพัฒน์. (2539). กายวิภาค (Anatomy) สำหรับผู้ศึกษาศิลปะ. กรุงเทพฯ: โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์.


58 ควำมแตกต่ำงระหว่ำงเพศและวัยของกระดูกไหปลำร้ำและกระดูกสะบัก มีดังนี้ เด็ก Clavicle bones สั้นและยื่นออกมาข้างหน้า Scapula bones มีขนาดเล็ก และสัน ตั้งห่างจากแนวกระดูกสันหลังทําให้ หน้าอกแคบเล็ก ผู้ชำย Clavicle bones ตั้งอยู่แนวตรงตอนปลายจะเฉียงขึ้น ทําให้ช่วงไหล่ดูกว้างฝั่งผาย นับเป็นลักษณะ เด่นของเพศชายโดยเฉพาะ Scapula bones ตั้งอยู่ชิดกับแนวกระดูกสันหลัง จึงรั้งกระดูกต้นแขนให้ รุ่นไปทางด้านหลัง เมื่อมองทางด้านข้างจึงดูอกฝั่งผาย ผู้หญิง Clavicle bones ตั้งอยู่แนวขนานตอนปลายเฉียงลงเล็กน้อย ทําให้ดูไหล่ลาดลง คอยาวระหง Scapula bones ตั้งอยู่ห่างแนวกระดูกสันหลังเพราะเหตุที่มีลําตัวกลม ทําให้ทรวงอกแคบและยื่น ออกมาทางด้านหน้า ต้นแขนของผู้หญิงเมื่อมอง ทางด้านข้างจึงอยู่ประมาณกลางลําตัว (บุญเลิศ บุตร ขาว, 2531 : 37) พื้นผิวและจุดเกำะของกล้ำมเนื้อและเอ็น พื้นผิวบนกระดูกไหปลาร้าที่สำคัญได้แก่ พื้นผิวทางด้านบน (superior surface) พื้นผิวทางด้านล่าง (inferior surface) ขอบด้านหน้า (anterior border) และขอบด้านหลัง (posterior border) ซึ่งจะมีจุดเกาะ ของกล้ามเนื้อและเอ็นต่าง ๆ ที่เป็นส่วนประกอบของบริเวณไหล่ พื้นผิวด้านบนและขอบด้านหน้า จะติดกับกล้ามเนื้อเดลทอยด์ (Deltoid muscle) และเกาะบน บริเวณกระดูก ปุ่มเดลทอยด์ (deltoid tubercle) ซึ่งอยู่ทางด้านหน้าของปลายด้านกระดูกสะบัก พื้นผิวด้านบน จะติดกับกล้ามเนื้อทราพีเซียส (Trapezius muscle) และเกาะบนบริเวณกระดูกส่วน ปลาย ทางด้านกระดูกสะบัก เยื้องไปทางด้านหลัง พื้นผิวด้านล่าง จะติดกับกล้ามเนื้อใต้ไหปลาร้า (Subclavius muscle)และเกาะบนกระดูกบริเวณร่อง ใต้ไหปลาร้า (Subclavian groove) พื้นผิวด้านล่าง จะติดกับเอ็นโคนอยด์ (Conoid ligament) ซึ่งเป็นเอ็นด้านแนวกลางของเอ็นคอราโค คลาวิคิวลาร์ และเกาะบนกระดูกบริเวณปุ่มโคนอยด์ (conoid tubercle) พื้นผิวด้านล่าง จะติดกับเอ็นทราพีซอยด์ (Trapezoid ligament) ซึ่งเป็นเอ็นด้านข้างของเอ็นคอราโค คลาวิคิวลาร์และจะเกาะกับกระดูกบริเวณแนวทราพีซอยด์ (trapezoid line) ขอบด้านหน้า จะติดกับกล้ามเนื้อเพคทอราลิส เมเจอร์ (Pectoralis major muscle) และจะกล่อง กลับบริเวณปลายด้านกระดูกอก ขอบด้านหลัง จะติดกับปลายส่วนกระดูกไหปลาร้าของกล้ามเนื้อสเตอร์โนไคลโดมาสตอยด์ (Sternocleidomastoid muscle) และจะเกาะกับกระดูกบริเวณทางด้านบนของส่วนกลางของกระดูก ขอบด้านหลัง จะติดกลับกล้ามเนื้อสเตอร์โนไฮออยด์ (Sternohyoid muscle) และจะติดกับกระดูก บริเวณทางด้านล่างของส่วนกลางของกระดูก


59 ขอบด้านหลัง จะติดกลับกล้ามเนื้อทราพีเซียส (Trapezius muscle) และจะเกาะกับกระดูกบริเวณ ปลายทางด้านกระดูกสะบัก โครงสร้ำงของร่ำงกำยตอนล่ำง กระดูกส่วนขา (BONE OF LOWER EXTREMITIES) ประกอบด้วยกระดูกส่วนต่าง ๆ ได้แก่ กระดูก PELVIS, PATELLA, TIBIA, FIBULA, TARSAL, METATARSAL และ PHALANGES กระดูกเชิงกราน (PELVIS BONE) เป็นกระดูกชนิดแบน ประกอบด้วย กระดูก 3 ชิ้นมาต่อกัน คือ กระดูกสะโพก (HIP BONE) กระดูกกระเบนเหน็บ (SACRUM) และกระดูกก้นกบ (COCCYX) กระดูกเชิงกรานแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนที่ยื่นออกมาข้างบนของสะโพกมีขอบเป็นสันเรียกว่า ILIUM ส่วนล่างของสะโพก (HIP BONE) เป็นส่วนที่รับน้ำหนักของร่างกาย เวลานั่งส่วนนี้จะติดกับพื้นเรียกว่า ISCHIUM ส่วนตอนหน้าของกระดูกสะโพกยื่นออกไปจาก ILIUM และ ISCHIUM เรียกว่ากระดูก ( PUBIS) รอยต่อ PUBIS ของผู้หญิงจะเคลื่อนไหวได้ขณะที่ จะคลอดบุตร เรียกว่า SYMPHYSIS PUBIS กระดูกปีกสะโพก หรือ กระดูกไอเลียม (ilium) กระดูกปีกสะโพก หรือ กระดูกไอเลียม (ilium) เป็นกระดูกของเชิงกราน แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) ส่วนตัวกระดูก (body) และ 2) ส่วนปีก (ala) กระดูกปีกสะโพกซึ่งเป็นกระดูกที่ใหญ่ที่สุดของเชิงกราน


60 ภาพประกอบที่ 35 กระดูกเชิงกราน (Pelvis Bone) ที่มา: เสน่ห์ ธนารัตน์สฤษดิ์. (2541). วาดภาพคนและกายวิภาค Drawing & Anatomy. กรุงเทพฯ : เฉลิมชัยการพิมพ์. รอยแยกระหว่าง 2 ส่วนจะเป็นเส้นโค้งที่อยู่บนพื้นผิวด้านใน เรียกว่า เส้นคาร์คูเอท (arcuate line) และเบ้าหัวกระดูกต้นขา (acetabulum) บนพื้นผิวด้านนอก ชื่อของกระดูกนี้ในภาษาละตินซึ่งแปลว่า ขาหนีบ (groin)


61 ในส่วนข้อสะโพกเป็นข้อต่อระหว่างกระดูกเชิงกรานและกระดูกต้นขา ทำหน้าที่งอเหยียดในเวลานั่ง เดิน ยืน หรือนอน และรับน้ำหนักในทุกอิริยาบถของร่างกาย (ภาพด้านล่าง : มุมมองด้านหลังของแคปซูลข้อ ต่อสะโพก กระดูกปีกสะโพกอยู่ด้านบนของภาพ) ควำมแตกต่ำงระหว่ำงเพศของเชิงกรำน ชำย กระดูกสะโพกทางด้านหน้าสอบแคบและตั้งสูง มีระยะห่างระหว่างกระดูกชายโครงกับปีกเชิงกราน น้อย ทําให้ชายมีเอวหนา และใหญ่กว่าเพศหญิง ด้านข้างกระดูกสะโพก และด้านข้างของกระดูก หัวหน่าว (PUBIS) จะอยู่ใน แนวดิ่งเดียวกัน จึงไม่ทําให้ กระดูกกระเบนเหน็บ (SACRUM) ยื่นออกไป ทางด้านหลังเช่นของหญิง หญิง กระดูกเชิงกรานหญิงนั้น ธรรมชาติสร้างไว้เพื่อให้เหมาะแก่การตั้งครรภ์ และการคลอดบุตรจึงมี ลักษณะกว้าง-ตื้น เบาและเกลี้ยงกว่าชายโดยเฉพาะด้านหน้า ตอนบนผายกว้าง มีระยะห่างระหว่าง ชายโครงกับเชิงกราน มากเป็นเหตุให้หญิง มีเอวเล็กบาง ปลายสันด้านข้างของสะโพกยื่นออกมา ทางด้านหน้ามากกว่า ส่วน PUBIS ทําให้ส่วนกระเบนเหน็บ (SCRUM) ยื่นมาข้างหลังมากกว่าชาย กระดูกส่วนสะโพกนี้นับว่าเป็นส่วนที่เป็นความแตกต่างระหว่างเพศได้ชัดเจน ส่วนหนึ่งของมนุษย์ และมีอิทธิพลต่อรูปทรงภายนอกได้เป็นอย่างดี


62 วิธีกำรวำดเส้นกำยวิภำคกระดูกล ำตัวส่วนล่ำง ภาพประกอบที่ 36 ขั้นตอนการวาดซี่โครง ที่มา: อติยศ สรรคบุรานุรักษ์. (2564).


63 ภาพประกอบที่ 37 กระดูกซี่โครงหน้า ที่มา: สมคิด อินท์นุพัฒน์. (2539). กายวิภาค (Anatomy) สำหรับผู้ศึกษาศิลปะ. กรุงเทพฯ : โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์.


64 ภาพประกอบที่ 38 ตัวอย่างแนวฝึกปฏิบัติภาพเขียนกระดูกสันหลัง ที่มา: สมคิด อินท์นุพัฒน์. (2539). กายวิภาค (Anatomy) สำหรับผู้ศึกษาศิลปะ. กรุงเทพฯ : โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์.


65 ภาพประกอบที่ 39 ตัวอย่างแนวฝึกปฏิบัติภาพเขียนกระดูกสันหลัง ที่มา: สมคิด อินท์นุพัฒน์. (2539). กายวิภาค (Anatomy) สำหรับผู้ศึกษาศิลปะ. กรุงเทพฯ : โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์.


66 ภาพประกอบที่ 40 กระดูกสะบัก ที่มา: สมคิด อินท์นุพัฒน์. (2539). กายวิภาค (Anatomy) สำหรับผู้ศึกษาศิลปะ. กรุงเทพฯ : โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์.


67 ภาพประกอบที่ 41 กระดูกสะบัก ที่มา: สมคิด อินท์นุพัฒน์. (2539 ). กายวิภาค (Anatomy) สำหรับผู้ศึกษาศิลปะ. กรุงเทพฯ : โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ้าส์.


68 ภาพประกอบที่ 42 กระดูกไหปลาร้า ที่มา: วัชรพงศ์ หงส์สุวรรณ. (2556). วาดเส้นแรเงา Anatomy & Figure Drawing. กรุงเทพฯ : วาดศิลป์.


69 ภาพประกอบที่ 43 ภาพแสดงกระดูกลำตัว ที่มา: วัชรพงศ์ หงส์สุวรรณ. (2556). วาดเส้นแรเงา Anatomy & Figure Drawing. กรุงเทพฯ : วาดศิลป์.


70 ภาพประกอบที่ 44 กระดูกเชิงกราน ที่มา: วิภาวี บริบูรณ์. (2557). กายวิภาคสำหรับนักวาด Anatomy Drawing. กรุงเทพฯ : ไทย ควอลิตี้บุคส์.


71 ภาพประกอบที่ 45 ขั้นตอนการวาดกระดูกสะบัก ที่มา: อติยศ สรรคบุรานุรักษ์. (2564).


72 ภาพประกอบที่ 46 กระดูกสะบัก (Scapula) ที่มา: อติยศ สรรคบุรานุรักษ์. (2564).


73 ภาพประกอบที่ 47 กระดูกสะบักในมุมต่าง ๆ ที่มา: อติยศ สรรคบุรานุรักษ์. (2564).


74 ค ำถำมท้ำยบท 1. จงอธิบำยส่วนประกอบของกำยวิภำคกระดูกซี่โครง กระดูกไหปลำร้ำ กระดูกสะบัก และ กระดูก สะโพก ให้ครบถ้วนสมบูรณ์ 2. ฝึกปฏิบัติวำดภำพกำยวิภำคกระดูกซี่โครง กระดูกไหปลำร้ำ กระดูกกรดูกสะบัก และ กระดูก สะโพก


Click to View FlipBook Version