The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

2563 การมีส่วนร่วมของกำนันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ
THE PARTICIPATION OF THE SUBDISTRICT HEADMEN AND VILLAGE HEADMEN IN PROMOTING THE GOVERNANCE OF THE CHAIYAPHUM SANGHA พระเพชรณรงค์ ปญฺญาวชิโร (ทองนาค)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

2563 การมีส่วนร่วมของกำนันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ THE PARTICIPATION OF THE SUBDISTRICT HEADMEN AND VILLAGE HEADMEN IN PROMOTING THE GOVERNANCE OF THE CHAIYAPHUM SANGHA พระเพชรณรงค์ ปญฺญาวชิโร (ทองนาค)

2563 การมีส่วนร่วมของกำนันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ
THE PARTICIPATION OF THE SUBDISTRICT HEADMEN AND VILLAGE HEADMEN IN PROMOTING THE GOVERNANCE OF THE CHAIYAPHUM SANGHA พระเพชรณรงค์ ปญฺญาวชิโร (ทองนาค)

Keywords: 2563,การมีส่วนร่วมของกำนันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ,THE PARTICIPATION OF THE SUBDISTRICT HEADMEN AND VILLAGE HEADMEN IN PROMOTING THE GOVERNANCE OF THE CHAIYAPHUM SANGHA,พระเพชรณรงค์ ปญฺญาวชิโร (ทองนาค)

การมีส่วนร่วมของกํานนั และผูใ้ หญบ่ า้ นในการสง่ เสรมิ การปกครองคณะสงฆ์
จังหวดั ชัยภมู ิ

THE PARTICIPATION OF THE SUBDISTRICT HEADMEN AND VILLAGE
HEADMEN IN PROMOTING THE GOVERNANCE OF THE
CHAIYAPHUM SANGHA

พระเพชรณรงค์ ปญญฺ าวชิโร (ทองนาค)

วิทยานิพนธน์ เี้ ปน็ สว่ นหนึ่งของการศึกษา
ตามหลักสูตรปรญิ ญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต

บณั ฑติ วทิ ยาลยั
มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓

การมีสว่ นร่วมของกาํ นันและผูใ้ หญ่บา้ นในสง่ เสริมการการปกครองคณะสงฆ์
จงั หวดั ชยั ภูมิ

พระเพชรณรงค์ ปญญฺ าวชโิ ร (ทองนาค)

วทิ ยานพิ นธน์ เ้ี ป็นสว่ นหน่งึ ของการศกึ ษา
ตามหลักสตู รปริญญารฐั ศาสตรมหาบณั ฑติ

บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั

พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓
(ลิขสิทธ์ิเปน็ ของมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั )

The Participation of the Subdistrict Headmen and Village
Headmen in Promoting the Governance of the
Chaiyaphum Sangha

Phra Pechnarong Paññāvajiro (Tongnak)

A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of
the Requirements for the Degree of
Master of Political Science Program
Graduate School

Mahachulalongkornrajavidyalaya University
C.E. 2020

(Copyright by Mahachulalongkornrajavidyalaya University)





ชือ่ วิทยานพิ นธ์ : การมสี ่วนรว่ มของกํานันและผูใ้ หญ่บ้านในการส่งเสรมิ การปกครอง

คณะสงฆ์จังหวดั ชยั ภูมิ

ผวู้ ิจยั : พระเพชรณรงค์ ปญญฺ าวชโิ ร (ทองนาค)

ปรญิ ญา : รฐั ศาสตรมหาบณั ฑติ

คณะกรรมการควบคมุ วิทยานิพนธ์

: ผศ. ดร.ชาญชยั ฮวดศร,ี พธ.บ. (สังคมศึกษา), M.A. (Political Science),

Ph.D. (Political Science)

: ผศ. ดร.สรุ พล พรมกลุ , ป.ธ. ๕, พธ.บ (การสอนสังคมศกึ ษา),

ศศ.ม. (สงั คมศาสตรเ์ พื่อการพฒั นา), ศน.ม. (รฐั ศาสตร์การปกครอง),

Ph.D. (Social Science)

วันสาํ เรจ็ การศึกษา : ๑๔ มถิ นุ ายน ๒๕๖๔

บทคดั ยอ่

การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพ่ือ ๑) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของกํานันและ
ผใู้ หญ่บา้ นในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จงั หวดั ชัยภูมิ ๒) เปรียบเทียบการมีสว่ นร่วมของกาํ นัน
และผู้ใหญ่บ้านกับการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ ๓) ศึกษาแนวทางการมีส่วนร่วม
ของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ การศึกษาครั้งนี้ เป็นการ
วิจัยแบบผสานวิธี ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาได้แก่ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยกลุ่มตัวอย่าง จํานวน
๓๒๕ คน ผู้ให้ข้อมูลสําคัญ ด้วยวิธีเลือกแบบเจาะจง จํานวน ๑๐ คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่
แบบสอบถาม มีลกั ษณะเป็นแบบปลายปิด และแบบสัมภาษณเ์ ป็นแบบปลายปดิ สถติ ิท่ีใช้ในการวจิ ัย
ได้แก่ ค่าความถี่ คา่ ร้อยละ คา่ เฉล่ยี ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที

ผลการวิจัย พบว่า การทดสอบความแปรปรวนทางเดียวและวิเคราะห์เน้ือหาประกอบ
บริบท

๑. ผลการศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครอง
คณะสงฆจ์ งั หวดั ชยั ภูมิ โดยภาพรวมการมสี ว่ นรว่ มอยใู่ นระดบั มาก

๒. ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านกับการส่งเสริมการ
ปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ พบว่า กํานันและผู้ใหญ่บ้านท่ีมีเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ต่อ
เดอื นตา่ งกนั การมีสว่ นรว่ มในการสง่ เสริมการปกครองคณะสงฆจ์ งั หวดั ชัยภมู ิ ไม่แตกต่างกนั

๓. ผลการศึกษาแนวทางการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการ
ปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิจากการสัมภาษณ์ พบว่า กํานันผู้ใหญ่บ้านควรรักษาความสงบ
เรียบร้อย บําบัดทุกข์บํารุงสุขให้แก่ราษฎร บริจาคอุปกรณ์การเรียนให้แก่พระภิกษุสามเณรมอบ
ทุนการศึกษา สืบสานงานประเพณี ช่วยสนับสนุนการศึกษาในโรงเรียนและคณะสงฆ์ ร่วมบริจาค
ส่ิงของ ช่วยเหลือส่ิงอํานวยความสะดวกดูแลกลุ่มพระสงฆ์ผู้สูงอายุและการตั้งม่ันที่จะดําเนินงาน
ช่วยเหลือวัดอย่างเข้มแข็ง เอาใจใส่ติดตามการดําเนินงานอย่างจริงจัง มีการดําเนินงานโดยใช้สติ
พิจารณาวางแผนการทาํ งานและใช้ปญั ญาดําเนินงานตรวจสอบข้อดขี ้อเสยี อย่างมเี หตผุ ล



Thesis Title : The Participation of the Subdistrict Headmen and

Village Headmen in Promoting the Governance of the

Chaiyaphum Sangha

Researcher : Phra Pechnarong Paññāvajiro (Tongnak)

Degree : Master of Political Science Program

Thesis Supervisory Committee

: Asst. Prof. Chanchai Huadsri, B.A. (Social Study),

M.A. (Political Science), Ph.D. (Political Science)

: Assist. Prof. Dr. Suraphon Promgun, Pali V, B.A. (Social

Study Teaching), M.A. (Social Sciences for Development),

M.A. (Political Science), Ph.D. (Social Science)

Date of Graduation : June 14, 2021

Abstract

The objectives of this research were: 1) to study the level of participation
of subdistrict headmen and village headmen in promoting the governance of the
Sangha of Chaiyaphum Province; 2) to compare the participation of subdistrict
headmen and village headmen with the promotion of the Sangha governance in
Chaiyaphum Province; 3) to study the ways of participation of subdistrict headmen
and village headmen in promoting the governance of the Sangha in Chaiyaphum
Province. This study was carried out by means of the mixed method research. The
samples of this study included 325 participants and 10 key informants, selected by
purposive sampling. The method used in the research was a closed-ended
questionnaire and the closed-ended interview form. The statistics used in this
research were: Frequency, Percentage, Mean, Standard Deviation and t-test.

The results of the research were as follows:
1) The participation level of subdistrict headmen and village headmen in
promoting the governance of the Sangha of Chaiyaphum Province overall was at a
high level.
2) The results of comparing the participation of subdistrict headmen and
village headmen in promoting the governance of the Sangha of Chaiyaphum Province
found that subdistrict headmen and village headmen with differences in sex, age,
education, occupation, monthly income participated in promoting the governance of
the Sangha of Chaiyaphum Province indifferently.



3) The results of the study on the ways of participation of subdistrict
headmen and village headmen in promoting the governance of the Sangha of
Chaiyaphum Province, from interviews, revealed that subdistrict headmen and village
headmen should maintain order, create happiness and solve problems for people,
donate educational materials to monks and novices, give scholarships, carry on the
tradition, support education in schools and the Sangha, donate things, assist with
facilities, take care of elderly monks and establish a strong commitment to help the
temple, pay attention to the operation seriously with consciousness, consider a plan
of work and use the intelligence to examine the pros and cons logically.



กิตตกิ รรมประกาศ

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดีด้วยความเมตตานุเคราะห์ของคณะกรรมการที่
ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ประกอบด้วย ผศ.ดร.ชาญชัย ฮวดศรี ประธานกรรมการควบคุมวทิ ยานิพนธ์ และ
ผศ.ดร.สุรพล พรมกุล กรรมการ ที่ไดก้ รุณาให้คําปรึกษาแนะนําดูแลเอาใจใส่ให้ความช่วยเหลือในการ
ปรับปรงุ แก้ไขมาดว้ ยดีโดยตลอด

ขอกราบขอบพระคุณ พระครูสุตธรรมภาณี, ผศ. และขอบคุณ ผศ.ดร.วิทยา ทองดี,ดร.
ปาณจิตร สุกุมาลย์, ดร.สุธิพงษ์ สวัสดิ์ทา, ดร.สมควร นามสีฐาน ที่กรุณารับเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้
ความอนุเคราะห์ตรวจสอบความถูกต้องท้ังด้านภาษาเนื้อหาระเบียบวิธีและเคร่ืองมือท่ีใช้ในการ
ดาํ เนินการวจิ ยั คร้งั นี้

ผู้วิจัยขอขอบคุณกํานันและผู้ใหญ่บ้านในจังหวัดชัยภูมิบ้างส่วน ท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่างในการ
วิจัยที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการตอบแบบสอบถามและผู้วิจัยขอขอบคุณ นายสุรเชษฐ
ชยั สอน ผู้ใหญ่บา้ น บ้านกุดนํ้าใส หมู่ที่ ๓, นางสายทอง พิพิธกุล ผู้ใหญ่บ้าน บ้านดอนเกษตร หมู่ท่ี ๑๑,
นายอุทัย ลาภเกิด ผู้ใหญ่บ้าน บ้านท่าแตง หมู่ท่ี ๗, นายจักรพงษ์ ชาติวิเศษ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านห้วยเป้ง
หมู่ท่ี ๙, นายแอ๊ด ทวงลี ผู้ใหญ่บ้าน บ้านร่วมมิตร หมู่ท่ี ๘, นายประมง สุวรรณราช ผู้ใหญ่บ้าน บ้าน
เหนือ หมู่ท่ี ๑๐, นายประยูร พิพิธกุล ผู้ใหญ่บ้าน บ้านเดื่อ หมู่ท่ี ๕, นายฉัตรฉาย โพธ์ิชัย กํานันตําบล
กุดน้ําใส, นายโฆสิทธิ์ ศิลา กํานันตําบลบ้านขาม และนายวิชชาญ ช่วยจัตุรัส กํานันตําบลหนองโดน ที่
ไดใ้ หค้ วามร่วมมอื เปน็ อยา่ งดใี นการตอบแบบสัมภาษณ์

ขอขอบคุณคณะกรรมการสอบป้องกนั วิทยานิพนธ์ คอื ผศ.ดร.วทิ ยา ทองดี ประธานสอบ
ป้องกันวิทยานิพนธ์, ผศ.ดร.ชาญชัย ฮวดศรี กรรมการ, ผศ.ดร.สุรพล พรมกุล กรรมการและ รศ.ดร.
ภาสกร ดอกจันทร์ กรรมการ/ผู้ทรงคุณวุฒิ ท่ีได้ให้ข้อเสนอแนะเพ่ือให้วิทยานิพนธ์ฉบับน้ีมีความ
ถกู ต้องและสมบูรณย์ ่งิ ขน้ึ

สุดท้ายขอขอบพระคุณคณาจารย์คณะรัฐศาสตรมหาบัณฑิตทุกท่านตลอดจนเจ้าหน้าท่ี
ทุกคนท่ีได้ให้ความรู้ประสิทธ์ิประสาทวิทยาการและประสบการณ์รวมถึงให้ความเมตตาเอื้อเฟ้ือ
ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจและเป็นกําลังใจให้แก่ผู้วิจัยมาตลอดคุณความดีการทําประโยชน์ใดๆอัน
เกิดจากวิทยานิพนธ์น้ีผู้วิจัยขอมอบบูชาเป็นกตเวทิตาคุณมารดาบิดาญาติสนิทมิตรสหายและเพ่ือน
ร่วมชั้นเรียนท้ังบรรพชิตและคฤหัสถ์ที่เป็นกําลังใจและให้การสนับสนุนในทุก ๆ เร่ืองรวมท้ังญาติและ
ผมู้ พี ระคณุ ทกุ ท่าน

พระเพชรณรงค์ ปญญฺ าวชโิ ร (ทองนาค)
๑๔ มิถนุ ายน ๒๕๖๔

สารบญั จ

เรือ่ ง หน้า

บทคัดยอ่ ภาษาไทย ก

บทคดั ยอ่ ภาษาองั กฤษ ข

กติ ติกรรมประกาศ ง

สารบญั จ

สารบัญตาราง ช

สารบัญแผนภาพ ฌ

บทท่ี ๑ บทนํา ๑
๑.๑ ความเปน็ มาและความสาํ คญั ของปญั หาการวจิ ัย ๑
๑.๒ คําถามการวิจยั ๓
๑.๓ วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั ๓
๑.๔ ขอบเขตของการวจิ ัย ๓
๑.๕ สมมตฐิ านการวจิ ยั ๕
๑.๖ นยิ ามศพั ท์เฉพาะท่ใี ชใ้ นการวิจัย ๕
๑.๗ ประโยชนท์ ่จี ะไดร้ ับจากการวิจยั ๖

บทท่ี ๒ แนวคดิ ทฤษฎีและงานวจิ ยั ทเี่ กีย่ วข้อง ๗
๒.๑ แนวคิดเกย่ี วกบั การมสี ่วนรว่ มและการมสี ่วนร่วมในการปกครอง ๗
๒.๒ แนวคดิ เกี่ยวกบั การสง่ เสรมิ การปกครอง ๒๒
๒.๓ แนวคดิ เก่ยี วกบั กาํ นันและผใู้ หญ่บ้าน ๓๓
๒.๔ แนวคิด เกี่ยวกับการปกครองคณะสงฆ์ ๔๒
๒.๕ แนวคิดทีเ่ กีย่ วกับหลักอิทธิบาท ๔ ๔๕
๒.๖ ผลงานวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ ง ๔๙
๒.๗ กรอบแนวคิดในการวิจัย ๖๕

บทที่ ๓ วธิ กี ารดําเนนิ การวจิ ยั ๖๖
๓.๑ รปู แบบการวจิ ัย ๖๖
๓.๒ ประชากรและผใู้ ห้ขอ้ มูลสําคญั ๖๖
๓.๓ เครือ่ งมอื และการพฒั นาเครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการศกึ ษาวจิ ยั ๖๗
๓.๔ การเก็บรวบรวมข้อมลู ๗๑
๓.๕ การวิเคราะหข์ อ้ มูล ๗๑



บทที่ ๔ ผลการวจิ ัย ๗๓

๔.๑ ขอ้ มลู ทัว่ ไปของผูต้ อบแบบสอบถาม ๗๓

๔.๒ ลาํ ดับขนั้ ตอนในการวเิ คราะหข์ ้อมลู ๗๓

๔.๓ ผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล ๗๔

๔.๔ ผลการสัมภาษณ์การใช้หลักอิทธิบาท ๔ มาใช้ในการมีส่วนร่วมของกํานันและ

ผใู้ หญ่บา้ นในการปกครองคณะสงฆ์ จงั หวัดชยั ภมู ิ ๙๖

๔.๕ สรปุ องคค์ วามรใู้ หม่ทไ่ี ดร้ บั จากการวิจัย ๑๐๐

บทที่ ๕ สรปุ อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ ๑๐๑
๕.๑ สรุปผลการวจิ ยั ๑๐๑
๕.๒ อภปิ รายผล ๑๐๔
๕.๓ ขอ้ เสนอแนะ ๑๐๗

บรรณานกุ รม ๑๐๘

ภาคผนวก ๑๑๕

ภาคผนวก ก รายนามผูเ้ ชยี่ วชาญในการตรวจสอบเครื่องมอื วิจยั และหนงั สือขอ

ความอนเุ คราะห์ตรวจเครอ่ื งมอื ท่ีใช่ในการทาํ การวจิ ัย ๑๑๖

ภาคผนวก ข หนังสอื ขอความอนเุ คราะหใ์ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู และหนังสือ

ขอความอนเุ คราะหใ์ นการสมั ภาษณ์เพื่อการวิจยั ๑๒๓

ภาคผนวก ค แบบสอบถามเพ่ือการวิจัยและแบบสมั ภาษณ์เพือ่ การวจิ ัย ๑๓๔

ภาคผนวก ง ผลของการหาค่า IOC แบบสอบถามแบบสมั ภาษณแ์ ละคา่

สัมประสทิ ธิแ์ อลฟ่า ๑๔๔

ภาคผนวก จ ตารางสาํ เร็จรูปคาํ นวณหาขนาดของกล่มุ ตวั อย่างของ ทาโร ยามาเน ๑๕๑

ภาคผนวก ฉ ประมวลภาพจากการศึกษาภาคสนามการสมั ภาษณ์ ๑๕๓

ประวัตผิ วู้ จิ ยั ๑๕๘



สารบญั ตาราง

ตารางที่ หน้า
ตารางที่ ๒.๑ สรุปสาระสําคัญจากการศึกษาวิเคราะห์ แนวคิดทฤษฎีท่ีเกี่ยวกับการมีส่วน ๒๐
๓๑
รว่ มของกาํ นนั และผใู้ หญบ่ ้านในการส่งเสรมิ การปกครอง ๔๑
ตารางที่ ๒.๒ สรุปสาระสําคัญจากการศึกษาวิเคราะห์ แนวคิดท่ีเกี่ยวกับการส่งเสริมการ ๔๔
๔๘
ปกครอง ๖๐
ตารางที่ ๒.๓ สรุปสาระสําคัญจากการศึกษาวิเคราะห์ แนวคิดทฤษฎีท่ีเก่ียวกับกํานันและ ๗๔
๗๔
ผ้ใู หญ่บา้ นการปกครองคณะสงฆ์จงั หวัดชัยภูมิ ๗๕
ตารางที่ ๒.๔ สรุปสาระสําคัญจากการศึกษาวิเคราะห์ แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับหลักการ ๗๕
๗๖
ปกครองหรือการบริหารของคณะสงฆ์
ตารางที่ ๒.๕ สรปุ สาระสาํ คญั จากการศึกษาวเิ คราะห์ แนวคดิ ทฤษฎีท่ีเกยี่ วกบั อทิ ธิบาท ๔ ๗๖
ตารางท่ี ๒.๖ สรุปงานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง
ตารางท่ี ๔.๑ ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลเกีย่ วกบั สภาพทัว่ ไป จาํ แนกตามเพศ ๗๗
ตารางที่ ๔.๒ ผลการวิเคราะห์ข้อมลู เก่ียวกบั สภาพท่วั ไป จาํ แนกตามอายุ
ตารางที่ ๔.๓ ผลการวิเคราะห์ข้อมลู เกย่ี วกบั สภาพท่วั ไป จําแนกตามระดับการศึกษา ๗๘
ตารางท่ี ๔.๔ ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู เกย่ี วกบั สภาพทว่ั ไป จําแนกตามอาชพี
ตารางที่ ๔.๕ ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู เกย่ี วกบั สภาพท่วั ไป จาํ แนกตามรายไดต้ อ่ เดือน ๗๙
ตารางที่ ๔.๖ ค่าคะแนนเฉลี่ย และค่าความเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับการมีส่วนร่วมของ
๘๐
กํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ
โดยภาพรวม ๘๑
ตารางที่ ๔.๗ ค่าคะแนนเฉล่ยี และค่าความเบีย่ งเบนมาตรฐานระดับการมีส่วนร่วมของกาํ นัน
และผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ ด้านการ
ปกครอง
ตารางที่ ๔.๘ ค่าคะแนนเฉล่ยี และคา่ ความเบ่ยี งเบนมาตรฐานระดับการมีส่วนรว่ มของกํานัน
และผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ ด้านการ
ศาสนศึกษา
ตารางที่ ๔.๙ ค่าคะแนนเฉล่ีย และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับการมีส่วนร่วมของ
กํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ
ด้านการเผยแผ่
ตารางที่ ๔.๑๐ ค่าคะแนนเฉลี่ย และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับการมีส่วนร่วมของ
กํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ ด้าน
การศึกษาสงเคราะห์
ตารางท่ี ๔.๑๑ ค่าคะแนนเฉล่ีย และค่าความเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับการมีส่วนร่วมของ
กํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ ด้าน
การสาธารณปู การ



ตารางท่ี ๔.๑๒ ค่าคะแนนเฉลี่ย และค่าความเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับการมีส่วนร่วมของ ๘๒
กํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ ๘๓
ด้านการสาธารณสงเคราะห์ ๘๔
๘๕
ตารางที่ ๔.๑๓ แสดงการเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการปกครองคณะ ๘๖
สงฆจ์ งั หวัดชัยภูมิ จําแนกตามเพศ ๘๘
๘๙
ตารางที่ ๔.๑๔ ผลการเปรียบเทียบระดับการมีส่วนในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์
จังหวัดชยั ภมู จิ ําแนกตามอายุ

ตารางที่ ๔.๑๕ ผลการเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์
จังหวดั ชยั ภมู ิ จําแนกตามระดับการศึกษา

ตารางท่ี ๔.๑๖ ผลการเปรียบเทียบระดับการมีส่วนในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์
จังหวัดชยั ภมู จิ ําแนกตามอาชีพ

ตารางท่ี ๔.๑๗ ผลการเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์
จงั หวดั ชยั ภูมิ จําแนกตามรายได้ต่อเดอื น

ตารางท่ี ๔.๑๘ ผลสรุปโดยภาพรวมการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้าน
ในการสง่ เสริมการปกครองคณะสงฆจ์ ังหวดั ชยั ภูมิ

สารบัญแผนภาพ ฌ

แผนภาพที่ หน้า
แผนภาพที่ ๒.๑ กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย ๖๕
แผนภาพท่ี ๔.๑ องคค์ วามรจู้ ากการวจิ ยั ๑๐๐

บทท่ี ๑

บทนํา

๑.๑ ความเปน็ มาและความสําคัญของปญั หาการวจิ ัย

การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นตัวช้ีวัดท่ีสําคัญประการหน่ึงของระบอบประชาธิปไตย
สังคมใดเป็นความประชาธิปไตยหรือไม่ สามารถพิจารณาได้จากการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ
ประชาชน สังคมใดท่ีประชาชนมีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองสูง ย่อมมีระดับความเป็น
ประชาธิปไตยสูง ในทางตรงข้ามสังคมใดประชาชนมีระดับการมีส่วนร่วมการเมืองที่น้อย แสดงว่าสังคม
นั้นมีระดับความเป็นประชาธิปไตยน้อย กล่าวได้ว่าหัวใจสําคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
คือ การมีส่วนร่วมในการปกครองของพลเมือง ซึ่งนอกจากเป็นการสะท้อนการยืนยันในเสรีภาพของ
สมาชิกในสังคมแล้ว ยังเป็นการยืนยันถึงความเสมอภาคของสมาชิกของสังคมด้วย ซ่ึงในส่วนของ
กระบวนการทางการเมืองนั้น การมีส่วนร่วมทางการเมืองแท้จริง คือ การแสดงซ่ึงกิจกรรมทางการเมือง
ของบุคคลในสังคมกิจกรรมเหล่าน้ี ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกองค์กรทางการเมือง รวมทั้ง
ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับรัฐบาล การแสดงออกซึ่งกิจกรรมทางการเมืองเหล่าน้ีคอื กระบวนการ
ทางการเมือง ซ่งึ จะนําไปสูก่ ารบรรลุเปา้ หมายทีป่ ระชาชนตอ้ งการ การมสี ว่ นร่วมทางการเมอื งของบุคคล
และองค์กรประกอบทางการเมืองที่ครอบคลุมระบบปฏิสัมพันธ์ (Interaction system) ทางการเมือง
ทั้งหมด จะทําให้เข้าใจบทบาทการมีส่วนร่วมทางการเมืองของบุคคลและองค์กรทางการเมืองได้ชัดเจน
ยงิ่ ขึ้น๑

กํานัน ผู้ใหญ่บ้านถือเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการเมืองการปกครอง ซึ่งได้ถือกําเนิดและมี
พัฒนาการอยา่ งตอ่ เนื่องมาตั้งแต่สมยั พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ ๕ โดยกํานัน
ผู้ใหญ่บ้านมีบทบาทและอํานาจหน้าท่ีในเขตตําบลและหมู่บ้าน ที่เรียกกันว่า “การปกครองท้องที่”
กาํ นัน ผูใ้ หญ่บ้านจึงมีฐานะเป็นผู้แทนของรัฐทปี่ ฏบิ ตั ิงานใกลช้ ิดกบั ประชาชนในทอ้ งท่ีช่วยในเรอื่ งการ
ประสานงาน การประชุมลูกบ้าน การแจ้งข่าวสารของทางราชการให้ลูกบ้านรับทราบ และดูแล
ความสุขทุกข์ของลูกบ้านในด้านต่าง ๆ ดังนั้นกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน จึงมีสถานะที่เป็นทั้งผู้แทนประชาชน

๑ ณรงค์ พึ่งพานิช และคณะ, “การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประธิปไตยของประชาชนใน
จังหวัดตาก”, วารสารวิชาการสถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค, ปีที่ ๕ ฉบับท่ี ๑ (มกราคม – มิถุนายน
๒๕๖๒): ๑๗๑.



และเป็นผู้นําของชุมชน๒ กล่าวคือ กํานันผู้ใหญ่บ้านสวมบทบาทสองด้านพร้อมกัน คือ ก่ึงข้าราชการ
ประจําและกึ่งข้าราชการการเมืองในระดับท้องถิ่น โดยกํานันผู้ใหญ่บ้านเปรียบเสมือนกลไกที่สําคัญ
ของการปกครองในส่วนท้องถิ่นและเป็นตัวแทนของกระทรวงมหาดไทยในการเป็นผู้นําตําบลหมู่บ้าน
ท่ีมีบทบาทสําคัญในการเป็นผู้ช่วยเหลือทางราชการในการบําบัดทุกข์บํารุงสุขแก่ประชาชนในตําบล
หมู่บ้านประสานประชาชนในพื้นท่ี นําแนวนโยบายของรัฐกระทรวง ทบวงกรมต่าง ๆ มาปฏิบัติใน
พื้นที่ และเป็นผู้แทนประชาชนในตําบลหมู่บ้านในการติดต่อกับภาคส่วนต่าง ๆ รวมท้ังประสานงาน
กับองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน องค์การพัฒนาเอกชนหรือภาคธุรกิจเอกชนรว่ มกันพัฒนาท้องถิ่น เพื่อ
ทําให้ประชาชนในตําบลหมู่บา้ นมีความอยดู่ กี ินดแี ละชุมชนมคี วามสงบสขุ ๓

ในปัจจุบันน้ีการบริหารและการปกครองท้องท่ีได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก และ
มีผลกระทบต่อบทบาทหน้าท่ีของกํานันผู้ใหญ่บ้านอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ สืบเน่ืองมาจากการตรา
พระราชบัญญัติสภาตําบลและองค์การบริหารส่วนตําบล พ.ศ.๒๕๓๗ ซ่ึงกําหนดให้มีการจัดต้ัง
องค์การปกครองท้องถิ่นรูปแบบใหม่อันได้แก่ องค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) ขึ้นท่ัวประเทศ และ
การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๔๐ ส่งผลให้มีการยกฐานะสุขาภิบาลเดิมข้ึนเป็นเทศบาลตําบล มี
การกําหนดแผนงานและขั้นตอนให้มีกระจายอํานาจและถ่ายโอนงานให้เทศบาลและให้แก่องค์การ
บรหิ ารส่วนตําบล ซงึ่ เป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นช้นั ลา่ ง นอกเหนือจากการขยายบทบาทอํานาจหนา้ ท่ี
ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ซ่ึงเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นชั้นบนด้วยมากไปกว่าน้ัน การปฏิรูป
ระบบราชการ การจัดกลุ่มภารกิจของกระทรวงและกรมต่าง ๆ ใหม่ และการจดั ระบบการบริหารงาน
ภาครัฐแบบใหม่ ที่มีเป้าหมายในการบริหารงานโดยเน้นประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มีการประเมินผล
งานโดยมีเกณฑ์วัดรวมท้ังมีระบบการงบประมาณและการตรวจสอบการใช้งบประมาณท่ีแตกต่างไป
จากเดิม ทําให้กํานันผู้ใหญ่บ้านผู้ไม่ได้อยู่ในฐานะเป็นข้าราชการเต็มตัวและไม่ได้เป็นพนักงานของ
องค์กรปกครองท้องถ่ินอยู่ในสถานะที่ไม่ชัดเจนแน่นอน เพราะการประเมินประสิทธิภาพและ
ประสิทธิผลของกํานันผู้ใหญ่บ้านด้วยเกณฑ์ของระบบการบริหารราชภาครัฐแบบใหม่ กระทําได้ยาก
และอาจไม่มคี วามเปน็ ธรรมแก่กาํ นันผู้ใหญบ่ า้ น๔

กล่าวได้ว่า บทบาทและอํานาจหน้าท่ีของกํานันผู้ใหญ่บ้านภายหลังปีพ.ศ. ๒๕๔๐ มีการ
เปล่ียนแปลงไปอย่างมากท้ังทางสถานะทางกฎหมาย และบทบาทในฐานะการเป็นตัวแทนของรัฐและ
การเป็นผู้นําของชุมชน ซ่ึงเห็นได้ชัดเจนว่า หลังจากกระแสการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครอง
ส่วนท้องถ่ิน บทบาทของกํานันผู้ใหญ่บ้านมีแนวโน้มที่จะลดลงในขณะที่ องค์การบริหารส่วนตําบล

๒ ชาญชัย จิตรเหล่าอาภรณ์, กํานันผู้ใหญ่บ้านกับอํานาจทางการเมือง, (๒๕๔๗). [ออนไลน์],
แหลง่ ที่มา: http://it.ripa.ac.th/humanity/py.html [๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓].

๓ สุริยะ วิริยะสวัสด์ิ, “บทบาทกํานันผู้ใหญ่บ้านท่ามกลางสังคมไทยที่เกิดการเปล่ียนแปลงปัจจุบัน”,
วารสารกํานนั ผู้ใหญ่บา้ น, ปีท่ี ๖๒ ฉบับที่ ๓ (มีนาคม ๒๕๕๒): ๑๑-๑๕.

๔ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ และคณะ, (๒๕๔๖), “บทบาทอํานาจหน้าท่ีของกํานันผู้ใหญ่บ้านและการ
ปกครองท้องที่”, รายงานการศึกษาวิจัยเสนอต่อสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, [ออนไลน์], แหล่งที่มา:
www.lawreform.go.th [๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓].



กลับมีอํานาจในการบริหารงานอย่างเตม็ ที่ในระดับตําบลแทนกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน แต่อย่างไรก็ตาม ยังมี
อีกหลายบทบาทท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในปัจจุบันยังไม่สามารถกระทําการแทนหน้าที่ต่าง ๆ
ของกํานันผู้ใหญ่บ้านได้กล่าวคือ การส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์ ซ่ึงเป็นบทบาทหนึ่งที่กํานันและ
ผู้ใหญ่บ้านได้กระทําอย่างต่อเน่ืองและมีความใกล้ชิดกับหมู่บ้าน แต่อาจขาดการส่งเสริมจาก
หนว่ ยงานภาครัฐ โดยยดึ หลักบา้ น วดั โรงเรียน (บวร.)

ดังน้ันผู้วิจัยจึงต้องการศึกษา การมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการ
ปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิน้ันเป็นเช่นไร เพ่ือเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของกํานันและ
ผใู้ หญ่บ้านในการส่งเสรมิ การปกครองคณะสงฆจ์ งั หวัดชัยภูมิเปน็ อย่างไร เพื่อศกึ ษาแนวทางการมสี ว่ น
ร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ เป็นอย่างไร ท้ังใน
ด้านภารกิจบทบาท อํานาจหน้าท่ีและภาวะความเป็นผู้นําของกํานันผู้ใหญ่บ้าน เพื่อนําไปสู่การเสนอ
ภาพอนาคตของแนวโน้มการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์
จังหวัดชยั ภมู ติ อ่ ไป

๑.๒ คําถามการวจิ ัย

๑.๒.๑ ระดับการมีส่วนรว่ มของกาํ นันและผู้ใหญ่บ้านในการสง่ เสริมการปกครองคณะสงฆ์
จังหวัดชัยภมู ิเปน็ เชน่ ไร

๑.๒.๒ ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการ
ปกครองคณะสงฆจ์ งั หวดั ชัยภูมเิ ป็นอย่างไร

๑.๒.๓ แนวทางการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะ
สงฆจ์ งั หวัดชัยภูมิ เปน็ อยา่ งไร

๑.๓ วัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั

๑.๓.๑ เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการ
ปกครองคณะสงฆ์จงั หวดั ชัยภูมิ

๑.๓.๒ เพ่ือเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการ
ปกครองคณะสงฆจ์ งั หวดั ชยั ภมู ิ

๑.๓.๓ เพื่อศึกษาแนวทางการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการ
ปกครองคณะสงฆจ์ งั หวัดชยั ภมู ิ

๑.๔ ขอบเขตของการวิจยั

การวจิ ัยครัง้ นไ้ี ด้กําหนดขอบเขตการวจิ ัยไวด้ งั นี้

๑.๔.๑ ขอบเขตดา้ นเนอื้ หา

ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมุ่งศึกษาถึง การมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริม
การปกครองคณะสงฆ์จังหวดั ชัยภูมิ



๑.๔.๒ ขอบเขตดา้ นประชากร กลุ่มตัวอย่างสําคญั
ประชากร ที่ใช้ในการศึกษาคร้ังนี้ ได้แก่ กํานันและผู้ใหญ่บ้านท่ีมีส่วนร่วมในการปกครอง
คณะสงฆ์จังหวัดชัยภูมิ จํานวน ๑,๗๔๔ คน ประชากร ประกอบด้วย (กํานันผู้ใหญ่บ้านในจังหวัด
ชัยภูมิ) จํานวน ๑,๗๔๔ คน แยกเป็นกํานัน ๑๒๔ ตําบล และผู้ใหญ่บ้านจํานวน ๑,๖๒๐ หมู่บ้าน
วิธีการได้มาของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรคํานวณของ ทาโร่ ยามาแน่ (Taro Yamane)๕ จํานวน ๓๔๙
คน แยกเป็นกํานัน จาํ นวน ๒๕ คน และผู้ใหญบ่ า้ น ๓๒๔ คน
๑.๔.๓ ผู้ใหข้ อ้ มูลสําคัญ (Key Informant)
ผู้ให้ข้อมูลสําคัญ ได้แก่ ผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับการมีส่วนร่วม ด้วยวิธีเลือกแบบเจาะจง
(Purposive Sampling) ประกอบด้วย ตัวแทนกํานัน จํานวน ๓ คน ตัวแทนผู้ใหญ่บ้านท่ีเป็นผู้นํา
ท้องถ่ิน จํานวน ๗ คน รวมเปน็ ๑๐ คน
๑.๔.๔ ขอบเขตด้านตัวแปร
ตัวแปรตน้ ได้แก่

๑. เพศ
๒. อายุ
๓. ระดับการศกึ ษา
๔. อาชีพ
๕. รายได้ต่อเดอื น
ตวั แปรตาม ได้แก่
๑. ด้านการปกครอง
๒. ด้านการศาสนศึกษา
๓. ดา้ นการเผยแผ่
๔. ดา้ นการศึกษาสงเคราะห์
๕. ดา้ นการสาธารณูปการ
๖. ด้านการสาธารณะสงเคราะห์
๑.๔.๕ ขอบเขตดา้ นพืน้ ทีใ่ นการวิจัย
การวิจัยครั้งน้ี ผู้วิจัยกําหนดศึกษาเรื่อง “การมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการ
สง่ เสรมิ การปกครองคณะสงฆ์จังหวัดชัยภูม”ิ

๕ Taro Yamane, Elementary sampling theory, ( New Jersey: Prentice-Hall, Inc, 1967) ,
p. 398.



๑.๕ สมมตฐิ านการวิจยั

๑.๕.๑ กํานันผู้ใหญ่บ้านที่มีเพศต่างกันมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์
จงั หวดั ชัยภมู ิ แตกต่างกัน

๑.๕.๒ กํานันผู้ใหญ่บ้านท่ีมีอายุต่างกันมีส่วนร่วมในส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์จังหวัด
ชัยภมู ิ แตกตา่ งกนั

๑.๕.๓ กํานันผู้ใหญ่บ้านที่มีระดับการศึกษาต่างกันมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการปกครอง
คณะสงฆจ์ งั หวดั ชยั ภมู ิ แตกต่างกัน

๑.๕.๔ กํานันผู้ใหญ่บ้านที่มีอาชีพต่างกันมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการปกครองคณะสงฆ์
จังหวัดชยั ภมู ิ แตกต่างกนั

๑.๕.๕ กํานันผู้ใหญ่บ้านที่มีรายได้ต่อเดือนต่างกันมีส่วนร่วมในการส่งเสริมการปกครอง
คณะสงฆจ์ งั หวดั ชยั ภูมิ แตกตา่ งกัน

๑.๖ นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะทใ่ี ช้ในการวิจยั

๑.๖.๑ การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในทุกข้ันตอน
การพัฒนาทั้งในการแก้ไขปัญหาและป้องกันปัญหาโดยเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการคิดริเริ่ม ร่วม
กําหนดนโยบาย ร่วมวางแผน ตัดสินใจและปฏิบัติตามแผน ร่วมตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐทุกระดับ
รว่ มติดตามประเมินผลและรับผิดชอบในเรอ่ื งต่าง ๆ อันมีผลกระทบถึงประชาชน ชุมชนและเครือข่าย
ทุกรูปแบบในพ้ืนที่

๑.๖.๒ กํานัน หมายถึง ผู้ป้องกัน, ผู้รักษา, ผู้ดูแล, ตําแหน่งพนักงานฝ่ายปกครอง ซ่ึงมี
อํานาจหน้าท่ปี กครองราษฎรท่อี ยู่ในเขตตาํ บล ในจังหวดั ชยั ภมู ิ จํานวน ๑๒๔ คน

๑.๖.๓ ผู้ใหญ่บ้าน หมายถึง ตําแหน่งผู้ปกครองท้องท่ี ซ่ึงมีอํานาจหน้าที่ปกครองบรรดา
ราษฎรทีอ่ ย่ใู นเขตหมู่บา้ นในจังหวัดชยั ภมู ิ จาํ นวน ๑,๖๒๐ คน

๑.๖.๔ การส่งเสริม หมายถึง การส่งเสริมและสนับสนุน หมายถึง การให้ความสําคัญและ
การขยายขอบเขตในโครงการหรือกิจกรรมให้ดีมีคุณภาพสมบูรณ์ขึ้นด้วยปัจจัยต่าง ๆ เช่น งบประมาณ
วัสดุอุปกรณ์ อาคารสถานท่ี บุคลากร ความรู้ โอกาส และกําลังใจ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และ
เปา้ หมายทม่ี ีความเปน็ ไปได้อย่างเป็นรูปธรรม สามารถจะดําเนนิ การได้อยา่ งต่อเน่ือง และยงั่ ยืน

๑.๖.๕ การปกครองคณะสงฆ์ หมายถึง การปกครอง โดยยึดพระธรรมวินัยเป็นธรรมนูญ
การปกครองโดยใช้อํานาจรัฐและจารีตเป็นหลักอุดหนุน คราวใดเกิดความไม่เรียบร้อยเกิดข้ึนในคณะ
สงฆ์จนเป็นเหตุขัดข้องและจาํ เปน็ ต้องพง่ึ รัฐ กจ็ ะอาศยั อํานาจรัฐเข้าช่วยจัดการแกข้ อ้ ขัดขอ้ ง



๑.๗ ประโยชน์ทีจ่ ะไดร้ ับจากการวิจัย

๑.๗.๑ ทําให้ทราบถึงระดับการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการ
ปกครองคณะสงฆ์จงั หวัดชยั ภมู ิ

๑.๗.๒ ทําให้ทราบถึงการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการ
ส่งเสรมิ การปกครองคณะสงฆจ์ ังหวดั ชัยภูมิ

๑.๗.๓ ทําให้ได้แนวทางการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการ
ปกครองคณะสงฆ์จงั หวดั ชยั ภูมิ

บทท่ี ๒

แนวคิด ทฤษฎแี ละงานวจิ ัยท่ีเกี่ยวขอ้ ง

การวิจัยเก่ียวกับการมีส่วนร่วมของกํานันและผู้ใหญ่บ้านในการส่งเสริมการปกครองคณะ
สงฆจ์ ังหวัดชัยภูมิผวู้ ิจยั ได้ศกึ ษาคน้ คว้า เอกสารงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วข้อง แลว้ สามารถนํามาเสนอดงั ต่อไปนี้

๒.๑ แนวคิดเกยี่ วกบั การมสี ่วนรว่ มและการมสี ่วนรว่ มในการปกครอง
๒.๒ แนวคดิ เก่ยี วกับการสง่ เสรมิ การปกครอง
๒.๓ แนวคดิ เกยี่ วกับกาํ นันและผู้ใหญบ่ ้าน
๒.๔ แนวคดิ เกีย่ วกับการปกครองคณะสงฆ์
๒.๕ งานวจิ ัยที่เก่ยี วขอ้ ง
๒.๖ กรอบแนวคดิ ในการวิจัย

๒.๑ แนวคิดเก่ยี วกบั การมีสว่ นรว่ มและการมีสว่ นรว่ มในการปกครอง

๒.๑.๑ การมีส่วนร่วม
การมีส่วนร่วมมีความสําคัญอย่างย่ิงในการพัฒนาคุณภาพองค์กร เพราะเมื่อบุคคลได้เข้า
มามีส่วนร่วมแล้วจะไม่ค่อยเกิดการต่อต้านเก่ียวกับแนวคิดและการดําเนินงาน รวมท้ังช่วยลดความ
ขัดแย้งและความเครียดจากการทํางาน ทําให้บุคคลได้ร่วมกันพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการ
ทํางาน เพ่ือมุ่งไปสู้เป้าหมายและการยอมรับการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึน เกิดความมุ่งม่ันในการสร้าง
ความสําเร็จให้กับองค์กร ซ่ึงบุคลากรจะรู้สึกพึงพอใจในผลงานท่ีเกิดข้ึนและเกิดความรู้สึกมีคุณค่าใน
ตนเอง ความรู้สกึ เปน็ เจ้าของและผกู พันกบั องคก์ ร ผลลพั ธส์ ุดทา้ ยคอื องค์กรมคี ุณภาพ
ยุคของการเปลี่ยนแปลงจากประชาธิปไตยแบบตัวแทน เป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วน
ร่วม การทํางานแบบมีส่วนร่วมน้ันไม่ว่าจะเป็นระดับครอบครัว ระดับโรงเรียน ระดับชุมชน ระดับ
องค์กร หรือระดับประเทศนั้นว่ามีความสําคัญอย่างยิ่งในกระบวนทัศน์ปัจจุบัน เพราะจะช่วยให้ผู้มี
ส่วนร่วมเกิดความรู้สึกความเป็นเจ้าของ (Ownership) และจะทําให้ผู้มีส่วนร่วมหรือผู้มีส่วนได้ส่วน
เสียนั้น ยินยอมปฏิบัติตาม (Compliance) และรวมถึงตกลงยอมรับ (Commitment) ได้อย่างสมัคร
ใจ เต็มใจ และสบายใจ ได้มีการดําเนินการแก้ปัญหาความไม่เรียบร้อยในห้องเรียนโดยกระบวนการมี
ส่วนร่วม๑ แต่อย่างไรก็ตาม การเข้ามามีส่วนร่วมน้ัน จําเป็นจะต้องมีข้ันตอนเสียก่อน โดยคนจะเข้า

๑ วันชัย วัฒนศัพท์, คนไทยไม่ทอดทิ้งกัน: คู่มือการจัดการสร้างความปรองดองในระบบบริการ
สาธารณสุข, (ขอนแก่น: ศริ ภิ ณั ฑ์ ออฟเซท็ , ๒๕๕๓).



รว่ มในกิจกรรมทุกอยา่ ง อย่างนอ้ ยต้องมีพื้นฐานคติความคิดในเรอ่ื งของการมีสว่ นรว่ มอยู่ภายในใจ ไม่
มากก็น้อย ท้ังน้ี หลักการพื้นฐานของการมีส่วนร่วมจะรวมถึงการให้ความสําคัญต่อมนุษย์ไม่น้อยไป
กว่าเทคโนโลยี และควรคิดว่ามนุษย์ทุกคนต่างมีความคิดและมีศักด์ิศรีเท่าเทียมกันมาต้ังแต่เกิด มีภูมิ
ปญั ญาทีส่ อดคลอ้ งกับวิถชี ีวิต ความเป็นอยขู่ องตนในระดับหน่ึง มีความสามารถพัฒนาชวี ิต ใหด้ ีไดถ้ ้า
ได้รับโอกาสที่จะร่วมคิด ร่วมเข้าใจ และร่วมจัดการเทคโนโลยีอย่างเหมาะสม๒ ดังน้ัน ก่อนอ่ืนจะได้
รับรู้ถึงเน้ือหาสาระ จะขอกล่าวถึงความหมายของคําว่า “การมีส่วนร่วม” เป็นปฐมบท เพื่อเป็นการปู
พ้นื ฐานในการทําความเข้าใจในลาํ ดับหัวขอ้ อื่น ๆ ต่อไป

๑. ความหมายการมีส่วนร่วม

สําหรับความหมายของการมีส่วนร่วม มีนักวิชาการท้ังชาวไทย และชาวต่างประเทศที่มี
ความรู้ ความสามารถ และทําวิจัย แต่งตํารา เก่ียวกับเร่ืองน้ีมานาน ได้ให้ความหมายของการมีส่วน
รว่ มดงั รายละเอยี ด ดงั นี้

Arnstien การมีส่วนร่วม หมายถึง การเข้าไปมีส่วนร่วมโดยไม่มีบทบาทอะไรเลย ย่อม
ไม่ได้ผลการมีส่วนร่วมที่มีคุณภาพน้ัน ผู้เข้าร่วมจะต้องรู้จักใช้อํานาจและสามารถควบคุมกิจกรรมน้ัน
ได้จงึ จะทําให้เกดิ ผลอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ๓

Berkley การมีส่วนร่วม หมายถึง การที่ผู้นําเปิดโอกาสให้ผู้ตามทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม
ตดั สนิ ใจในการทาํ งานเทา่ ท่ีจะสามารถกระทําได๔้

William Erwin การมสี ่วนร่วม หมายถงึ กระบวนการให้ประชาชนเข้ามามีสว่ นเก่ียวข้อง
ในการดเนนิ งานพัฒนา ร่วมคิด รว่ มตัดสินใจ แก้ปัญหาของตนเอง๕

Cohen & Uphoff การมีส่วนร่วม หมายถึง สมาชิกของชุมชนต้องเข้ามามีส่วน
เก่ียวข้องใน ๔ มิติ ได้แก่ ๑) การมีส่วนร่วมการตัดสินใจว่าควรทําอะไรและทําอย่างไร ๒) การมีส่วน
ร่วมเสียสละในการพัฒนา รวมท้ังลงมือปฏิบัติตามที่ได้ตัดสินใจ ๓) การมีส่วนร่วมในการแบ่งปัน
ผลประโยชนท์ เี่ กดิ ข้ึนจากการดําเนินงาน ๔) การมีส่วนร่วมในการประเมินผลโครงการ๖

๒ นรินทร์ชัย พัฒนพงศา, การมีส่วนร่วม : หลักการพื้นฐาน เทคนิคและกรณีตัวอย่าง.พิมพ์คร้ัง
ท่ี ๒. (กรุงเทพมหานคร: สริ ิลักษณ์การพมิ พ์, ๒๕๔๖).

๓ Arnstien, S.R., “A Ladder of Citizen Participation”, Journal of the American Institute
of Planners, Vol. 35 No. 4 (1969): 216-224.

๔ Huntington, S. & Nelson, S., No easy choice: political participation in developing
countries, (New York: Harvard University Press, 1975).

๕ William, E. “ Electoral Participation in a Low Stimulus Election” , Rural Development,
Vol. 4 No. 1 (1976): 111–124.

๖ Cohen, J.M., & Uphoff, N.T, Rural Development Participation: Concept and
Measure For Project Design Implementation and Evaluation: Rural Development Committee
Center for international Studies, (New York: Cornell University Press, 1981).



United Nations การมีส่วนร่วม หมายถึง การเข้าร่วมอย่างกระตือรือร้นและมีพลังของ
ประชาชนในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ในการตัดสินใจเพ่ือกําหนดเป้าหมายของสังคมและการจัดสรร
ทรัพยากรเพอ่ื ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมาย และปฏิบตั ติ ามแผนการหรือโครงการต่าง ๆ ด้วยความเตม็ ใจ๗

Putti การมีสว่ นรว่ ม หมายถงึ พืน้ ฐานของกิจกรรมต่าง ๆ ท่จี ะส่งผลให้การบริหารจัดการ
มีลักษณะกว้าง ซึ่งเป็นทางหน่ึงที่จะทําให้การมีส่วนร่วมขยายไปสู่การปฏิบัติงานในระดับล่างของ
องคก์ าร๘

นิคม ผัดแสน การมีส่วนร่วม หมายถึง การที่ให้ประชาชนได้คิดค้นแนวทางข้ึนเอง เป็นผู้
กําหนดการตัดสินใจคิดค้นปัญหาและการดําเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น แสดงความคิดเห็น
เสนอแนะและสนบั สนุนกิจกรรมต่าง ๆ๙

อุทัย บุญประเสริฐ การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให้สมาชิกของชุมชนและ
ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตัดสินใจในกิจกรรมใดๆ ให้ความช่วยเหลือและมีอิทธิพลต่อการดําเนิน
กิจกรรมทม่ี ผี ลกระทบต่อประชาชน๑๐

พรี ะ พรนวม การมีส่วนรว่ ม หมายถงึ เป็นการกระจายอํานาจให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้า
มามีส่วนร่วมในการพิจารณาปัญหาความต้องการร่วมกัน ในการตัดสินใจร่วมกัน วางแผนดําเนินงาน
หรือแก้ไขปัญหาร่วมกัน ดําเนินการหรือปฏิบัติงานร่วมกัน ตลอดจนรับรู้ผลดี เสีย จนเกิดความ
ภาคภมู ิใจรว่ มกนั ๑๑

สมยศ นาวีการ การมีส่วนร่วมหมายถึงกระบวนการของการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีส่วน
เกี่ยวข้องในกระบวนการตัดสินใจ (Participative Management) เน้นการมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแข็ง
ขันของบุคคล PM ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และความเชี่ยวชาญของพวกเขาในการแก้ปัญหาของการ
บริหาร๑๒

๗ United Nations, Yearbook of International Trade Statistics, (United Nations:
UN Press, 1981).

๘ Putti., “ Work values and organizational commitment: A study in the Asian
context”, Human Relations, Vol.4 No. 2 (1987): 275-288.

๙ นิคม ผัดแสน, “การมีส่วนร่วมของคณะกรรมการโรงเรียนประถมศึกษาต่อการพัฒนาการศึกษาของ
กลุ่มโรงเรียนอุดรศึกษา สังกัดสํานักงานประถมศึกษาอําเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่”, วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร
มหาบัณฑิต สาขาวิชาการวิจยั และสถติ ทิ างการศกึ ษา, (บัณฑติ วทิ ยาลยั : มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่, ๒๕๔๐).

๑๐ อทุ ัย บญุ ประเสริฐ, “การศึกษาแนวทางการบริหารและการจัดการศึกษาของสถานศึกษาในรปู แบบ
การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน”, รายงานการวิจัย, (โครงการวิจัยภายใต้การสนับสนุนของสํานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ สาํ นกั นายกรัฐมนตร,ี ๒๕๔๒), บทคัดยอ่ .

๑๑ พีระ พรนวม, “ศรัทธาต่อหลักการการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาของผู้บริหารโรงเรียน สังกัด
สํานักงานการประถมศึกษา อําเภอแม่ทา จังหวดั ลําพูน”, วทิ ยานิพนธ์การบรหิ ารการศกึ ษามหาบัณฑิต สาขาวิชา
การวจิ ยั และสถิติทางการศกึ ษา, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๔), บทคัดย่อ.

๑๒ สมยศ นาวีการ, การบรหิ าร, (กรงุ เทพมหานคร: ชาญวิทย์เซน็ เตอร,์ ๒๕๔๕).

๑๐

นรินทร์ชัย พัฒนพงศา การมีส่วนร่วม หมายถึง การที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่ไม่เคยได้เข้าร่วม
ในกิจกรรมต่าง ๆ หรือเข้าร่วมการตัดสินใจหรือเคยเล็กน้อยได้เข้าร่วมด้วยมากขึ้น เป็นไปอย่างมี
อิสรภาพ เสมอภาค มิใชเ่ พียงมสี ว่ นร่วมอย่างผิวเผินแต่เขา้ รว่ มด้วยแทจ้ ริงยง่ิ ขน้ึ ๑๓

จิราภรณ์ ศรีคํา การมีส่วนร่วม หมายถึง การท่ีบุคคลท่ีมีความสนใจหรือมีส่วนเก่ียวข้อง
ในเรื่องเดียวกันเข้ามาร่วมกัน เพ่ือปฏิบัติภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน การดําเนินงาน การ
รบั ทราบผลการดําเนินงาน การติดตามประเมินผล หรือร่วมกันทํากจิ กรรมต่าง ๆ เพื่อบรรลเุ ป้าหมาย
ตามทไ่ี ดต้ กลงกันไว้๑๔

จินตนา สุจจานันท์ การมีส่วนร่วม หมายถึง กระบวนการดําเนินงานรวมพลังประชาชน
กบั องคก์ รของรฐั หรือองค์กรเอกชนเพื่อประโยชนใ์ นการพฒั นาหรอื แก้ปญั หาของชมุ ชน โดยใหส้ มาชิก
เข้ามารว่ มวางแผนปฏิบัตแิ ละประเมินงาน เพื่อแกป้ ญั หาของชมุ ชน๑๕

ทรงวุฒิ เรืองวาทศิลป์ การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วน
ที่เกี่ยวข้องเข้ามามีบทบาทร่วมในกิจกรรมทุกประการตามกําลังความสามารถของสมาชิกไม่ว่าจะเป็น
การตัดสินใจ การดําเนินกิจกรรม การติดตามตรวจสอบ และการประเมินผลร่วมกัน นําผลท่ีได้มา
ปรับปรุงแกไ้ ขพัฒนางานในกล่มุ ให้มีประสทิ ธภิ าพยิ่ง ๆ ข้ึน๑๖

สัญญา เคณาภูมิ การมีส่วนร่วม หมายถึง การที่สมาชิกได้มีโอกาสร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ
ร่วมวางแผน ร่วมปฏบิ ัติตามโครงการ ร่วมติดตามประเมนิ ผลเพื่อใหบ้ รรลุเปา้ หมายท่ีพงึ ประสงค์ ทง้ั น้ี
การมีส่วนร่วมจะต้องมาจากความสมัครใจ พึงพอใจ และได้รับผลประโยชน์ที่เกิดจากชุมชนโดย
ส่วนรวมรว่ มกัน๑๗

๑๓ นรินทร์ชัย พัฒนพงศา, การมีส่วนร่วม: หลักการพื้นฐาน เทคนิคและกรณี ตัวอย่าง.
พมิ พ์คร้ังท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร: สิรลิ ักษณ์การพิมพ์, ๒๕๔๖), บทคัดยอ่ .

๑๔ จิราภรณ์ ศรีคํา, “การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการพัฒนาการจัดการศึกษาของโรงเรียน
วชิรวิทย์ ระดับประถมศึกษา จังหวัดเชียงใหม่”, การค้นคว้าแบบอิสระศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการ
บริหารการศึกษา, (บณั ฑิตวทิ ยาลัย: มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม,่ ๒๕๔๘), บทคดั ยอ่ .

๑๕ จินตนา สุจจานนั ท์, การศกึ ษาและการพฒั นาชมุ ชน, (เชียงใหม่: มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่, ๒๕๔๙).
๑๖ ทรงวฒุ ิ เรืองวาทศลิ ป์, “การมสี ่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษาในพ้ืนทบี่ รกิ ารของโรงเรียนล้อมแรด
วิทยา อําเภอเถิน จังหวัดลําปาง”, วิทยานิพนธ์การบริหารการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา,
(บณั ฑิตวทิ ยาลยั : มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม,่ ๒๕๕๐).
๑๗ สัญญา เคณาภูมิ, “ความสําเร็จของวิสาหกิจชุมชนใน ๔ จังหวัดชายแดนลุ่มน้ําโขง”, วิทยานิพนธ์
รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยลง
กรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ,์ ๒๕๕๑).

๑๑

เมตต์ เมตต์การุณจิต การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคล
เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ในลักษณะของการร่วมรับรู้ ร่วมคิด
รว่ มทํา ร่วมตัดสนิ ใจ รว่ มตดิ ตามผล๑๘

โดยสรุป การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาคส่วนร่วมมือกันการ
ตัดสินใจ การดําเนินกิจกรรม การติดตามตรวจสอบ และการประเมินผลร่วมกันเป็นไปอย่างมี
อิสรภาพ เสมอภาคนําผลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไขพัฒนางานเพื่อพัฒนาหรือใช้ความคิดสร้างสรรค์ และ
ความเช่ียวชาญของแต่ละคนในการแก้ปัญหาของชุมชนและพัฒนางานในกลุ่มให้มีความโปร่งใสและ
ให้มปี ระสิทธภิ าพยง่ิ ๆ ขน้ึ

๒. กระบวนการมีสว่ นรว่ ม

เมื่อกล่าวถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนแล้ว จะต้องนึกถึงกระบวนการที่จะให้
ประชาชนได้เข้ามามีบทบาทในทุกข้ันตอนของการมีส่วนร่วม เพราะอย่างน้อยท่ีสุดประชาชนจะต้อง
ได้รับรู้ขั้นตอนการดําเนินการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการตัดสินใจ ข้ันตอนการดําเนินงาน และ
ข้ันตอนในการประเมินผลงาน เพื่อให้รับรู้ถึงความเป็นไปในกิจกรรมสาธารณะต่าง ๆ ซ่ึงมีผลกระทบ
ต่อประชาชนท้ังทางตรงและทางอ้อม ดังน้ัน กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน มีนักวิชาการท่ีได้
ทาํ การวิจัย ได้กลา่ วถงึ กระบวนการมีสว่ นรว่ มตามประเด็นสําคัญตา่ ง ๆ เช่น

ถวิลวดี บุรีกุล ได้กล่าวถึงกระบวนการมีส่วนร่วมที่นํามาประมวลเป็นระดับไว้ได้อย่าง
น่าสนใจ โดยถวิลวดี ได้ทําวิจัยเร่ืองประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม และได้ขอ้ สรุปถึงกระบวนการมีส่วน
ร่วม ควรจะมีลําดับข้ันประกอบไปด้วย การให้ข้อมูล การเปิดรับความคิดเห็นของประชาชน การ
ปรึกษาหารือการวางแผนร่วมกัน การร่วมปฏิบัติและการควบคุมติดตามโดยประชาชน โดยเป็นการ
เร่ิมจากการส่ือสารทางเดียว ซึ่งเป็นการให้ข้อมูลแต่เพียงอย่างเดียวไปจนถึงส่ือสารสองทางที่เป็นการ
ปรึกษาหารือ ร่วมคิด ร่วมวางแผน และเมื่อสื่อสารกันเข้าใจตรงกันแล้ว จึงเป็นการร่วมทํา และใน
ท่ีสุดเป็นการรว่ มติดตามควบคุม ซึ่งนบั เปน็ ข้นั ตอนของการมีส่วนร่วมสูงสดุ ๑๙

อภิญญา กังสนารักษ์ ได้นําเสนอกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนว่า ชุมชนต้องมีส่วน
รว่ มใน ๔ ข้นั ตอน ไดแ้ ก่

๑) การมีส่วนร่วมในการริเร่ิมโครงการ ร่วมค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหาภายใน
ชมุ ชน รว่ มตดั สนิ ใจกาํ หนดความตอ้ งการและร่วมลาํ ดบั ความสําคัญของความตอ้ งการ

๒) การมีส่วนร่วมในข้ันการวางแผน กําหนดวัตถุประสงค์วิธีการแนวทางการดําเนินงาน
รวมถงึ ทรัพยากรและแหลง่ วิทยากรทจ่ี ะใชใ้ นโครงการ

๑๘ เมตต์ เมตต์การุณ์จิต, การบริหารจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วม: ประชาชน องค์กรปกครอง
สว่ นทอ้ งถ่นิ และราชการ, พมิ พค์ ร้ังที่ ๒, (กรงุ เทพมหานคร: บคุ๊ พอยท์, ๒๕๕๓), หน้า ๑๔๗.

๑๙ ถวิลวดี บุรีกุล, “แนวคิดของการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย”, จดหมายข่าวสถาบัน
พระปกเกล้า, (๒๕๔๓): ๔-๖.

๑๒

๓) การมีส่วนร่วมในขั้นตอนการดําเนินโครงการ ทําประโยชน์ให้แก่โครงการ โดยร่วม
ชว่ ยเหลือด้านทนุ ทรัพย์ วัสดุอปุ กรณ์ และแรงงาน

๔) การมีส่วนร่วมในการประเมินผลโครงการ เพื่อให้รู้ว่าผลจากการดําเนินงานบรรลุ
วัตถุประสงค์ท่ีกําหนดไว้หรือไม่ โดยสามารถกําหนดการประเมินผลเป็นระยะต่อเนื่องหรือประเมินผล
รวมท้งั โครงการในคราวเดียวกไ็ ด้๒๐

ประพันธ์ สร้อยเพ็ชร ได้กล่าวว่า การมีส่วนร่วมที่แท้จริงน่าจะประกอบด้วย ๔ ข้ันตอน
หลัก คอื ๒๑

๑) การค้นหาปัญหาและสาเหตุ
๒) การวางแผนดําเนนิ กจิ กรรม
๓) การลงทนุ และการปฏบิ ตั งิ าน
๔) การติดตามและประเมินผล ในขณะเดียวกนั

สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒๕๔๘ ได้ช้ีให้เห็นถึงประเด็นสําคัญของ
กระบวนการมีส่วนร่วมทม่ี คี วามลึกลงไปอีก ได้แก่

๑) การตดั สนิ ใจและผลกระทบท่ีสาํ คัญ
๒) การตัดสนิ ใจจะมผี ลกระทบตอ่ บางคนมากกว่าคนอ่นื
๓) การตดั สนิ ใจจะมีผลกระทบตอ่ ผลประโยชนข์ องบางคนหรอื กลุม่ คนทมี่ อี ยู่เดิม
๔) การตดั สนิ ใจทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับเรือ่ งท่ีมีความขดั แยง้ อยู่กอ่ นแล้ว
๕) ความจําเป็นเพ่อื ให้มีการสนับสนนุ ต่อผลการตดั สินใจ

อคนิ รพพี ัฒน์ ไดแ้ บง่ ข้นั ตอนการมสี ว่ นร่วมออกเป็น ๔ ข้ันตอน คอื
๑) การกาํ หนดปญั หา สาเหตขุ องปญั หา ตลอดจนแนวทางแกไ้ ข
๒) การตดั สนิ ใจเลอื กแนวทางและวางแผนพัฒนา แกไ้ ขปญั หา
๓) การปฏิบตั งิ านในกิจกรรมการพัฒนาตามแผน
๔) การประเมนิ ผลงานกิจกรรมการพฒั นา

ทรงวุฒิ เรืองวาทศิลป์ ได้ทําวิจัยเรื่องการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ได้ใช้หลักการที่
อิงไปในแนวทางของนโยบาย และได้พบว่า แท้จริงแล้วกระบวนการมีส่วนร่วมมีลักษณะที่คล้ายกับ
การกําหนดนโยบาย เพราะท้ายที่สุดของการกําหนดนโยบาย คือ การตัดสินใจและการตัดสินใจนี้เอง
จึงเป็นเหตุเบื้องต้นของการกําหนดนโยบาย และเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามาแสดงความ

๒๐ อภิญญา กังสนารักษ์, “รูปแบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในองค์กรที่มีประสิทธิผลระดับคณะของ
สถาบันอุดมศกึ ษา”, ดุษฎบี ัณฑิตครศุ าสตรดษุ ฎบี ณั ฑิต, (บัณฑติ วิทยาลยั : จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๔๔).

๒๑ ประพันธ์ สรอ้ ยเพ็ชร, “การมีส่วนร่วมในการจดั การศกึ ษาของคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน
ศูนย์โรงเรียนตําบลแช่ช้าง อําเภอสันกําแพง จังหวัดเชียงใหม่”, วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการ
วจิ ยั และสถติ ทิ างการศกึ ษา, (บณั ฑิตวทิ ยาลยั : มหาวิทยาลยั เชยี งใหม,่ ๒๕๔๗).

๑๓

คิดเห็นเสมือนหนึ่งเป็นการขัดเกลานโยบายให้มีความเหมาะสมกับความต้องการของประชาชน ตาม
แนวคิดของ ทรงวฒุ ิ เรอื งวาทศิลปแ์ ลว้ กระบวนการการมีสว่ นรว่ มน่าจะเริ่มจาก

๑) การมสี ว่ นรว่ มในการตดั สนิ ใจ
๒) การมสี ่วนรว่ มในการดําเนนิ กิจกรรม
๓) การมีสว่ นรว่ มในการติดตามตรวจสอบการประเมินผล

เมตต์ เมตต์การุณ์จิต ได้กล่าวถึงกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยที่มีความ
สอดคล้องกับ ทรงวุฒิ เรืองวาทศิลป์ แต่ได้เพ่ิมบางประเด็นท่ีเห็นว่า ยังมีข้อบกพร่องและอาจจะเสริม
ประเดน็ ดงั กลา่ วใหม้ คี วามชดั เจนข้นึ โดยเรมิ่ จาก

๑) การมีสว่ นร่วมในการค้นหาสาเหตุ และความตอ้ งการ
๒) มีสว่ นรว่ มในการวางแผน
๓) มสี ว่ นร่วมในการตดั สนิ ใจ
๔) มีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิการ
๕) มีส่วนรว่ มในการติดตามประเมนิ ผล
๖) มสี ่วนรว่ มในการเผยแพรป่ ระชาสมั พนั ธ์

ทรงวุฒิ เรืองวาทศิลป์ และเมตต์ เมตต์การุณ์จิต ยังคงมีลักษณะในเชิงแคบ หากแต่
ยุวัฒน์ วุฒิเมธี ได้ให้ความเห็นในกระบวนการมีส่วนร่วมท่ีลึก หรือเป็นการต่อเติมประเด็นสําคัญใน
กระบวนการมีสว่ นร่วมมากกว่า

ยุวัฒน์ วุฒิเมธี น้ีได้เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมไปในทางของการพัฒนาชุมชน โดยการบูร
ณาการแนวทางท่ีเป็นนโยบายเข้ากับการพัฒนา จึงสะท้อนแนวคิดในเชิงสังคมมากกว่า ตามแนวคิด
ของเขาแล้ว กระบวนการมีสว่ นรว่ มจะตอ้ งเริ่มจาก

๑) การมีสว่ นร่วมในการรบั รขู้ อ้ มูลขา่ วสาร
๒) การมีส่วนรว่ มในการคิด
๓) การมีสว่ นร่วมในการตดั สินใจ
๔) การมีส่วนร่วมในการวางแผนและดําเนินการ
๕) การมสี ว่ นรว่ มในการประเมนิ ผล
๖) การมีส่วนรว่ มในการรับผลประโยชน์

วรรณศิลป์ พีรพันธุ์ ได้กล่าวถึง กระบวนการมีส่วนร่วมในการวางแผนของประชาชน
ประกอบไปด้วย

๑) การรับรขู้ ้อมลู ข่าวสาร
๒) การให้ความเห็น
๓) การประชุมรบั ฟงั ความเหน็
๔) การรว่ มตดั สินใจ
๕) การทํางานรว่ มกัน

๑๔

จากแนวคิดกระบวนการมีส่วนร่วมท่ีนักวิชาการทั้งหลายได้ให้ทรรศนะไว้ในเบ้ืองต้นที่
กล่าวมา มีความหลากหลายในประเด็นมากพอสมควร แต่อย่างไรก็ตาม หากนํามาประมวลให้เป็น
ลักษณะท่ีเป็นระบบตามแนวคิดของ Cohen, J.M., & Uphoff, N.T. จะเห็นว่า มีความเป็นระบบใน
เรื่องของประเด็นสําคัญ โดยเขาได้มีการนําเอากระบวนการมีส่วนร่วมจากนักวิชาการท้ังหลายมา
ประมวลเปน็ แนวคิดหลกั และได้จําแนกรูปแบบกระบวนการมสี ว่ นร่วม ดังนี้

ขั้นท่ี ๑ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Decision Making) ในกระบวนการของการ
ตดั สินใจน้ัน ประการแรกสุดท่ีต้องกระทํา คือ การกําหนดความต้องการและการจัดลําดับความสําคัญ
ต่อจากน้ันก็เลือกนโยบายและประชาชนที่เก่ียวข้อง การตัดสินใจน้ีเป็นกระบวนการต่อเน่ืองท่ีต้อง
ดําเนินการไปเรื่อย ๆ ต้ังแต่การตัดสินใจในช่วงเริ่มต้น การตัดสินใจในช่วงดําเนินการวางแผน และ
การตดั สนิ ใจในช่วงการปฏิบตั ติ ามแผนท่วี างไว้

ข้ันที่ ๒ การมีส่วนร่วมในการดําเนินงาน (Implementation) ในส่วนที่เป็นองค์ประกอบของ
การดําเนินงานโครงการน้ันได้มาจากคําถามว่าใครจะทําประโยชน์ให้แก่โครงการได้บ้างและจะทํา
ประโยชน์ได้โดยวิธีใด เช่น การช่วยเหลือด้านทรัพยากร การบริหารการงานและการประสานงานและ
การขอความช่วยเหลือ เปน็ ตน้

ขั้นท่ี ๓ การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ (Benefits) ในส่วนที่เก่ียวกับผลประโยชน์
นอกจากความสําคัญของผลประโยชน์ในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพแล้ว ยังจะต้องพิจารณาถึงการ
กระจายผลประโยชน์ภายในกลุ่มด้วย ผลประโยชน์ของโครงการน้ีรวมท้ังผลที่เป็นประโยชน์ทางบวก
และผลที่เกิดข้ึนในทางลบท่ีเป็นผลเสียของโครงการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์และเป็นโทษต่อบุคคลและ
สงั คมดว้ ย

ข้ันที่ ๔ การมีส่วนร่วมในการประเมินผล (Evaluation) การมีส่วนร่วมในการประเมิน ผล
น้ันสิ่งสําคัญจะต้องสังเกต คือ ความเห็น (Views) ความชอบ (Preferences) และความคาดหวัง
(Expectation) ซึง่ มีอิทธิพลสามารถแปรเปลย่ี นพฤติกรรมของบคุ คลในกลุ่มต่าง ๆ ได๒้ ๒

โดยสรุป กระบวนการมสี ่วนรว่ มในงานวจิ ัยครง้ั น้ี ผวู้ จิ ยั จะมงุ่ ให้ความสนใจถึงกระบวนการมี
ส่วนร่วมในประเด็น การมีส่วนร่วมในการค้นหาสาเหตุ และความต้องการ การมีส่วนร่วมในการวางแผน
และดําเนินการ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ มีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ การมีส่วนร่วมในการ
ประเมินผล มีสว่ นร่วมในการเผยแพรป่ ระชาสัมพันธ์

๓. ประเภทการมสี ่วนรว่ ม

เฉลียว บุรีภักดี และคนอื่น ๆ สรุปได้ว่า การมีส่วนร่วมของชุมชน แบ่งได้
ออกเป็น ๓ ประเภท ได้แก่

๒๒ ทรงวฒุ ิ เรอื งวาทศิลป,์ “การมสี ่วนร่วมของชุมชนในการจดั การศึกษาในพื้นที่บริการของโรงเรยี นล้อมแรด
วิทยา อําเภอเถิน จังหวัดลําปาง”, วิทยานิพนธ์การบริหารการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา,
(บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวิทยาลยั เชยี งใหม่, ๒๕๕๐).

๑๕

๑) การมีส่วนร่วมแบบชายขอบ (Marginal Participation) เป็นการมีส่วนร่วมท่ีเกิดจาก
ความสัมพันธ์เชงิ อํานาจไม่เท่าเทียมกันกล่าวคือ ฝ่ายหนึ่งรู้สึกดอ้ ยอํานาจกว่า มีทรัพยากรหรือความรู้
ด้อยกว่าอกี ฝ่ายหนง่ึ เป็นต้น

๒) การมีส่วนร่วมแบบบางส่วน (Partial Participation) เป็นการมีส่วนร่วมท่ีเกิดจากการ
กําหนดนโยบายของรัฐ โดยไม่รู้ความต้องการของประชาชน ดังน้ัน การมีส่วนร่วมจึงเป็นเพียง
ประชาชนได้รว่ มแสดงความคดิ เห็นในการดาํ เนนิ กิจกรรมบางส่วนบางเร่ืองเท่านนั้

๓) การมีส่วนร่วมแบบสมบูรณ์ (Full Participation) เป็นการมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการ
พัฒนาด้วยความเท่าเทียมกันทุกฝ่าย จัดเป็นการมีส่วนร่วมในการพัฒนาอย่างแท้จริงของประชาชน
ตามแนวความคิดและหลักการพัฒนาชุมชน เม่ือนํามาใช้ในการเรียนรู้จะสนับสนุนและส่งเสริมให้
กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของชมุ ชนดาํ เนนิ ไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ๒๓

จินตนา สุจจานันท์ ได้แบ่งประเภทของการมีส่วนร่วมของประชาชนไว้เป็น ๒ ประเภท
ดังน้ี

๑) การมีส่วนร่วมที่แท้จริง (Genuine Participation) เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามี
ส่วนร่วมในโครงการตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งจบโครงการ เร่ิมตั้งแต่ร่วมศึกษาปัญหาและความต้องการ
รว่ มหาวิธแี ก้ปัญหา รว่ มวางนโยบายและแผนงาน ร่วมตัดสินใจการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่และร่วมปฏิบัติ
ตามแผนทีก่ าํ หนดไว้ และรว่ มประเมินผลโครงการ

๒) การมีส่วนร่วมท่ีไม่แท้จริง (No Genuine Participation) เป็นการมสี ่วนร่วมเพียงบางส่วน
โดยเฉพาะเขา้ ร่วมในการปฏิบัตติ ามโครงการทีไ่ ด้มีการกําหนดไวแ้ ล้ว เช่น การเข้าเป็นสมาชิก หรือการ
รว่ มเสียสละแรงงาน๒๔

นิรันดร์ จงวฒุ ิเวศย์ ได้สรุปรูปแบบของการมีสว่ นร่วมมดี ังต่อไปนี้
๑) การท่ีประชาชนมสี ่วนร่วมโดยตรง (Direct Participation) โดยผ่านองค์กรที่จดั ตงั้ โดย
ประชาชน (Inclusive Organization) การรวมกลุม่ เยาวชนตา่ ง ๆ
๒) การท่ีประชาชนมีส่วนร่วมทางอ้อม (Indirect Participation) โดยผ่านองค์กรผู้แทน
ของประชาชน (Representative Organization) กรรมการของกลุม่ หรอื ชุมชน
๓) การมีประชาชนมีส่วนร่วมโดยเปิดโอกาสให้ (Open Participation) โดยผ่านองค์กรที่
ไม่ใช่ผู้แทนของประชาชน (Non-Representative Organization) เช่น สถาบันหรือหน่วยงานท่ีเชิญ
ชวน หรอื เปดิ โอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเม่ือไรทไี่ ด้ทุกเวลา๒๕

๒๓ เฉลียว บุรีภักดี และคนอ่ืนๆ, ชุดวิชาการวิจัยชุมชน ชุดการเรียนรู้ด้วยตนเอง, หลักสูตร
ประกาศนยี บตั รบณั ฑติ การจดั การและประเมินโครงการ, (นนทบรุ :ี เอส. อาร์. พริ้นติ้ง แมสโปรดักส์, ๒๕๔๕).

๒๔ จนิ ตนา สจุ จานนั ท,์ การศึกษาและการพฒั นาชมุ ชน, (เชยี งใหม:่ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม,่ ๒๕๔๙).
๒๕ นิรันดร์ จงวุฒิเวศย์, การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชนบท, (กรุงเทพมหานคร: ศักดิ์
โสภา, ๒๕๕๐).

๑๖

เมตต์ เมตต์การุณ์จิต ได้กล่าวถึงประเภทของการมีส่วนร่วมโดยสามารถจําแนกการมี
สว่ นร่วมออกเปน็ ๒ ประเภท ดังน้ี

๑) การมีส่วนโดยตรง การมีส่วนร่วมในการบริหารเป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวกับการตัดสินใจเป็น
สําคัญ ดังน้ัน ผู้มีหน้าท่ีรับผิดชอบกิจกรรมโดยตรง เช่น ผู้บริหาร หัวหน้าโครงการ มักจะเปิดโอกาส
ให้บุคคลอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในรูปของกรรมการท่ีปรึกษาที่ให้ข้อคิด ข้อเสนอแนะ เพราะกิจกรรม
บางอย่างอาจมีอุปสรรค ไม่สารถแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี จึงจําเป็นตอ้ งให้บุคคลอื่นเข้ามาร่วมใน
การตัดสินใจ เพ่ือให้ผลการตัดสินใจเป็นที่ยอมรับแก่คนทั่วไปหรือเกิดผลงานที่มีประสิทธิภาพ การมี
ส่วนร่วมโดยตรงจึงมีสาระสําคัญอยู่ที่ว่า เป็นการร่วมอย่างเป็นทางการและมักทําเป็นลายลักษณ์
อกั ษร เชน่ คําส่งั แต่งตงั้ หนงั สอื เชญิ ประชุม บันทกึ การประชมุ เป็นตน้

๒) การมีส่วนร่วมโดยอ้อม การมีส่วนร่วมโดยอ้อมเป็นเรื่องของการทํากิจกรรมใด
กิจกรรมหน่ึงให้บรรลุเป้าหมายอย่างไม่เป็นทางการ โดยไม่ได้ร่วมในการตัดสินใจในกระบวนการ
บริหาร แต่เป็นเร่ืองของการให้การสนับสนุน ส่งเสริมให้บรรลุเป้าหมายเท่านั้น เช่น การบริจาคเงิน
ทรพั ยส์ ิน วัสดอุ ุปกรณ์ แรงงาน เขา้ ชว่ ยสมทบ ไมไ่ ด้เข้าร่วมประชมุ แตย่ นิ ดรี ่วมมือ เป็นตน้ ๒๖

๔. ลกั ษณะการมสี ่วนร่วม

ลักษณะการมีส่วนร่วมน้ัน จะพิจารณาได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับว่าจะสนใจศึกษาใน
ประเด็นบ้าง ประเด็นท่ีน่าสนใจในงานวิจัยครั้งน้ี คือ การเน้นลักษณะการมีส่วนร่วมในประเด็นท่ีเกิด
จากกิจกรรม เช่น การเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในประโยชน์สาธารณะ การเข้าร่วมในการตัดสินใจ
การวางแผน และร่วมตรวจสอบในลักษณะองค์กรชุมชน ฯลฯ และการเน้นการศึกษาในลักษณะของ
การบริหารท่ีเกิดจากการดําเนินงานในทางนโยบายและในทางปฏิบัติการโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกับ
ชุมชน ดังมีนักวิชาการได้ให้ความเห็น เช่น Ornstein เห็นว่า การมีส่วนร่วมจะมีลักษณะมากน้อย
เพียงใด ให้พิจารณาว่าผู้นําเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าไปร่วมในการใช้อํานาจและมีบทบาทในการ
ควบคมุ ได้เทา่ ใด ซงึ่ เป็นข้อบง่ บอกถงึ ภาวะผ้นู ําท่เี ป็นประชาธปิ ไตย วา่ มีสูงหรอื ตํ่า โดย Ornstein ได้
สรุปลักษณะการมสี ่วนรว่ มออกเปน็ ๓ ลักษณะ คอื

๑) การมีส่วนร่วมเทยี ม หรอื ไมม่ ีส่วนรว่ ม
๒) การมีส่วนรว่ มพอเปน็ พิธีหรอื รว่ มเพยี งบางสว่ น
๓) การมีสว่ นร่วมอย่างแทจ้ ริง คือ มอี าํ นาจและบทบาทมาก

Campbell & Ramseyer ได้แบ่งลักษณะการมีส่วนร่วมของประชาชนได้ ๕ ลักษณะ
ไดแ้ ก่

๑) ลักษณะทไ่ี มม่ ีสว่ นร่วมเลย
๒) ลักษณะที่มสี ว่ นรว่ มนอ้ ย
๓) ลักษณะท่ีมีส่วนรว่ มปานกลาง

๒๖ เมตต์ เมตต์การุณ์จิต, การบริหารจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วม: ประชาชน องค์กรปกครอง, หน้า
๑๔๗.

๑๗

๔) ลกั ษณะที่มีส่วนรว่ มมาก
๕) ลักษณะท่มี ีสว่ นรว่ มมากที่สดุ ๒๗

Huntington & Nelson เห็นว่า ลักษณะการมีส่วนร่วมของประชาชนจะพิจารณาจาก
กิจกรรม และการบริหาร ซ่ึงจะต้องมีการศึกษาควบคู่กันไปในระดับกิจกรรมน้ัน จะเป็นพื้นฐาน
เบ้ืองต้นของการทําให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด ส่วนในด้านการบริหารนั้น จะ
เป็นลักษณะของผู้มีอํานาจหน้าที่ที่จะเปิดทางให้ประชาชนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น หรือ
แสดงออกถึงเข้าร่วมในกิจกรรม โดย Huntington & Nelson ได้มีหลักในการพิจารณาถึงลักษณะ
การมีส่วนรว่ มดงั มรี ายละเอยี ด ดงั นี้

๑) กิจกรรม ลักษณะของการมีส่วนร่วมประเภทนี้ให้ดูจากกิจกรรมที่เข้าร่วม เช่น ด้าน
การเมือง อาจพิจารณาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเลือกตั้ง การลงประชามติ การประท้วง
กรณีทร่ี ัฐมโี ครงการทีม่ ผี ลกระทบตอ่ ประชาชน เป็นต้นว่า สามารถกระทาํ ไดเ้ พยี งใด

๒) ระดบั การบริหาร โครงสรา้ งขององค์กรหน่ึงจะต้องมีสายการบงั คบั บญั ชา ดงั นั้นการมี
สว่ นรว่ มจะพิจารณาได้จาก

- ในแนวราบ ทุกแผนกทุกฝ่ายจะมีความเสมอกันในตําแหน่ง ดังนั้น การมีส่วนร่วมใน
แนวราบจึงเป็นไปอยา่ งหลวมๆ ไม่จริงจัง ทงั้ นอี้ าจเป็นเพราะมีสถานะหรือตาํ แหนง่ เทา่ กนั

- ในแนวดิ่ง เป็นการมีส่วนร่วมตามสายการบังคับบัญชา เช่น มีหัวหน้าลูกน้อง มีฝ่าย
แผนกต่าง ๆ ลดหลนั่ กันไป เป็นต้น การทํางานจึงมกี ารตรวจสอบตามลาํ ดบั ข้ัน การแสวงหาผลประโยชน์
เพ่ือตนเองหรอื ผู้อนื่ จะไดร้ บั การตรวจสอบจากผ้บู ังคับบัญชา

- การมีส่วนร่วมทั้งแนวราบและแนวด่ิงน้ัน ในบางครั้งจะต้องทํางานร่วมกันผู้บังคับบัญชา
และเพ่อื นรว่ มงานในแผนกอนื่ จึงต้องแสดงบทบาทตาสถานภาพของแนวราบและแนวด่งิ ๒๘

ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และพรรณทิพย์ เพชรมาก ได้กล่าวถึงลักษณะการมีส่วนร่วมใน
การพัฒนาชุมชนไว้ใน เอกสารประกอบการสอนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาเมืองและ
ชนบท โดยได้ขอ้ สรุปลักษณะการมสี ่วนรว่ มแบง่ ออกเปน็ ๖ ลักษณะ ไดแ้ ก่

๑) การรบั รขู้ ่าวสาร (Public Information) การมีส่วนรว่ มแบบน้ี ประชาชนเปน็ ผู้ทีม่ ีส่วน
ได้ส่วนเสีย และบุคคลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องได้รับการแจ้งให้ทราบถึงรายละเอียดของ
โครงการท่ีจะดําเนินการ รวมทั้งผลกระทบท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้น ท้ังนี้ การแจ้งข่าวสารดังกล่าวจะต้อง
เปน็ การแจ้งก่อนท่จี ะมีการตัดสินใจดาํ เนนิ โครงการ

๒) การปรึกษาหารือ (Public Consultation) เป็นรูปแบบของการมีส่วนร่วมที่มีการ
จัดการหารือระหว่างผู้ดําเนินการโครงการกับประชาชนท่ีเก่ียวข้องและได้รับผลกระทบ เพ่ือรับฟัง

๒๗ Campbell & Ramseyer อ้างใน จิราภรณ์ ศรีคํา, “การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการพัฒนาการ
จัดการศึกษาของโรงเรียนวชิรวิทย์ ระดับประถมศึกษา จังหวัดเชียงใหม่”, การค้นคว้าแบบอิสระศึกษาศาสตร
มหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการบริหารการศกึ ษา, บทคัดย่อ.

๒๘ Huntington, S. & Nelson, S., No easy choice: political participation in developing
countries, (New York: Harvard University Press, 1975).

๑๘

ความคิดเห็นและการตรวจสอบข้อมูลเพ่ิมเติม นอกจากนี้ ยังเป็นช่องทางการกระจายข่าวารข้อมูลไป
ยังประชาชนและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องให้เกิดความเข้าใจ และเพ่ือให้มีการให้ข้อเสนอแนะเพื่อ
ประกอบทางเลือกการตัดสนิ ใจ

๓) การประชุมรับฟังความคิดเห็น (Public Meeting) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนและฝ่าย
ท่ีเก่ียวข้องกับโครงการหรือกิจกรรมและผู้ที่มีอํานาจในการตัดสินใจ ใช้เวทีสาธารณะในการทําความ
เข้าใจ การประชุมรับฟังความคิดเห็นมีหลายวิธีการ เช่น การประชุมระดับชุมชน (Community
Meeting) การประชมุ รับฟังความคิดเห็นเชงิ วิชาการ (Technical Meeting)

๔) การประชาพิจารณ์ (Public Hearing) เป็นการประชุมที่มีข้ันตอนการดําเนินงานท่ีเป็น
ระบบ และมีความชัดเจนมากข้ึน เป็นเวทีในการสเนอข้อมูลอย่างเปิดเผยไม่มีการปิดบังขอผู้ที่มีส่วนได้
และสว่ ยของโครงการ การประชาคมและคณะกรรมการจดั ประชุมจะต้องมีองค์ประกอบของผู้เข้ารว่ ม
ทเี่ ปน็ ทย่ี อมรบั มีหลักเกณฑแ์ ละประเด็นในการพจิ ารณาที่ชดั เจน และมีการแจง้ ให้ทุกฝา่ ยทราบอยา่ ง
ชดั เจน

๕) การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Decision Making) เป็นเป้าหมายสูงสุดของการมีส่วนร่วม
ของประชาชนให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจต่อประเด็นปัญหาน้ัน ๆ ซึ่งอาจจะดําเนินการโดยการเลือก
ตวั แทนเขา้ ไปเป็นกรรมการท่ีมอี าํ นาจการตดั สินใจ

๖) การใช้กลไกทางกฎหมาย รูปแบบน้ีไม่ถือว่าเป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยตรงในเชิง
การป้องกันและแก้ไข แต่เป็นลักษณะของการเรียกร้องและการป้องกันสิทธิของตนเองอันเน่ืองมาจาก
การไม่ได้รับความเป็นธรรม เพ่ือให้ได้มาซ่ึงผลประโยชน์ที่ตนเองควรจะไดรับ ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทยได้ให้หลักเรื่องการมีส่วนของประชาชนไว้หลายประการ และประชาชนสามารถใช้
สทิ ธิตามรัฐธรรมนญู ทัง้ ในรปู แบบของปจั เจกหรือในรปู แบบกลุ่ม องคก์ าร ตามทกี่ ฎหมายบัญญัติไว๒้ ๙

โดยสรุป ลักษณะการมีส่วนร่วม คือ การมีส่วนร่วมในระดับกิจกรรม ได้แก่ การรับรู้
ข่าวสาร การปรึกษาหารือ การประชุมรับฟังความคิดเห็น การประชาพิจารณ์ การลงประชามติ และ
การมีส่วนร่วมในระดับการบริหาร ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ การใช้กลไกทางกฎหมาย ใน
ประเด็นการมีส่วนรว่ มในระดับการบริหารนี้ ยังจะต้องพจิ ารณาจาก ในแนวราบ ทกุ แผนกทุกฝ่ายจะมี
ความเสมอกันในตาํ แหน่ง และ ในแนวด่งิ เป็นการมสี ่วนร่วมตามสายการบงั คับบญั ชา

๕. ปจั จยั ทที่ าํ ใหเ้ กดิ การมสี ว่ นรว่ ม

การท่ีชุมชนจะเข้ามามีส่วนร่วมน้ัน มีปัจจัยท่ีส่งผลให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งมี
นกั วิชาการได้เสนอแนวคดิ ดังน้ี

Koufman ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาชุมชนในชนบท พบว่า อายุ เพศ
การศึกษา ขนาดของครอบครัว อาชีพ รายได้และระยะเวลาการอยู่อาศัยในท้องถ่ิน มีความสัมพันธ์

๒๙ ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และพรรณทิพย์ เพชรมาก, การบริหารสังคม ศาสตร์แห่งศตวรรษเพื่อ
สังคมไทยและสงั คมโลก, (กรุงเทพมหานคร: สถาบันพัฒนาองคก์ รชมุ ชน, ๒๕๕๑).

๑๙

กับระดับการมีส่วนร่วมของประชาชน ในขณะท่ี ประยูร ศรีประสาธน์ ได้นําเสนอปัจจัยของการมี
สว่ นร่วม วา่ ปจั จัยทสี่ ่งผลต่อการมสี ว่ นร่วม มีด้วยกนั ๓ ปัจจยั คือ

๑) ปัจจัยส่วนบคุ คล ไดแ้ ก่ อายุ เพศ
๒) ปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจ ได้แก่ การศึกษา อาชีพ รายได้ และการเป็นสมาชิก
กลุ่ม
๓) ปัจจยั ดา้ นการสื่อสาร ได้แก่ การรบั ข่าวสารจากส่ือมวลชนและส่อื บคุ คล๓๐

สธุ ี วรประดิษฐ์ ไดศ้ ึกษาการมีสว่ นร่วมของประชาชน และได้นําเสนอปจั จยั ท่มี ีส่วนในการ
ผลักดันใหป้ ระชาชนเขา้ มามีสว่ นรว่ ม โดยได้สรปุ แบ่งออกเป็น ๓ ประเด็น คือ ๑) ลกั ษณะส่วนบุคคล
ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ต่าง ๆ ๒) ลักษณะทางเศรษฐกิจ ได้แก่ อาชีพ
รายได้ ๓) การได้รับข้อมูลข่าวสาร ได้แก่ ความถ่ีในการรับรู้ข่าวสาร และแหล่งท่ีมาของข่าวสาร แต่
ไม่สอดคล้องกับ Leeder ได้สรุปปัจจยั ท่ีทําให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมหรือไม่มีส่วนรว่ มในกิจกรรม
ต่าง ๆ ไว้ว่า บุคคลหรือกลุ่มบุคคลจะเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมใดๆ ก็ต่อเมื่อกิจกรรมนั้นสอดคล้อง
กับความเช่ือพื้นฐาน ทัศนคติ และค่านิยมของตน มีคุณค่าสอดคล้องกับกับผลประโยชน์ของตน มี
เปา้ หมายทจี่ ะส่งเสรมิ และปกป้องรักษาผลประโยชน์ของตน สอดคลอ้ งกับสง่ิ ท่ีตนไดม้ าหรือหวังเอาไว้
และบุคคลหรือกลุ่มบุคคลจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมใดก็ต่อเมื่อตนเองได้มีประสบการณ์ท่ีเป็น
อคตติ ่อเร่ืองนั้น ๆ มาแล้วและบุคคลหรอื กลุ่มบุคคลจะเข้ามามีสว่ นร่วมในกิจกรรมใดๆ ย่อมขนึ้ อยู่กับ
ความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่ ข้นึ อยกู่ บั อุปนสิ ยั และจารรตี ประเพณี ขนึ้ อยกู่ บั โอกาสทจ่ี ะอํานวยขน้ึ อยู่
กับความสามารถรวมทั้งการเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมใดๆ ของบุคคลและกลุ่มบุคคลจะกระทําโดย
การบีบบังคับหาได้ไม่ นอกจากน้ีบุคคลและกลุ่มบุคคลจะเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมใดๆ ก็ต่อเม่ือ
ได้รบั การสนับสนนุ กระตุ้นยวั่ ยแุ ละจงู ใจใหเ้ กดิ ขน้ึ

โดยสรุป ปัจจัยที่ทําให้เกิดการมีส่วนร่วม ได้แก่ ๑) ปัจจัยด้านบุคคลได้แก่ เพศ อายุ
ระดบั การศึกษา ประสบการณต์ ่าง ๆ ๒) ปัจจัยด้านชุมชน ได้แก่ชุมชนใหก้ ารสนบั สนนุ และเปิดโอกาส
ให้มีส่วนร่วม เลือกให้เป็นตัวแทน ชุมชนมีความสามัคคี และมีกลุ่มต่าง ๆ ท่ีสนับสนุนผลักดันการมี
ส่วนร่วม ๓) ปัจจัยด้านองค์การ ได้แก่ บรรยากาศองค์กร การติดต่อส่ือสาร กฎระเบียบ การเอาใจใส่
กระตือรือร้นในการแก้ปัญหา มีประชาพิจารณ์ประชาคม ๔) ปัจจัยด้านทัศนคติ ได้แก่ เจตคติต่อการ
มีส่วนร่วม และแรงจงู ใจในการทาํ งาน

๖. การมีส่วนร่วมทางการเมือง การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองการปกครองใน
ระบบประชาธิปไตย ประชาชนสามารถมีสว่ นรว่ มได้ ดังนี้

๑. การใช้สิทธิในกรเลือกต้ังระดับต่าง ๆ เม่ืออายุครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์ ทุคนต้องไปใช้สิทธิ
เลือกตั้งทั้งในระดับประเทศ เช่นการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกต้ังสมาชิกวุฒิสภา

๓๐ Koufman, F.H.F, “Participation Organized Activities in Selected Kentucky
Localities”, Agricultural Experiment Station Bulletins, Vol. 4 No. 2 (1949): 5-50.

๒๐

และการเลือกต้ังระดับท้องถ่ิน เช่น การเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร การเลือกต้ังสมาชิกองค์กรส่วน
ทอ้ งถน่ิ เปน็ ต้น

๒. การมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
น้ันประชาชนทุกคนล้วนมีส่วนร่วมมือกันสอดส่องดูแลการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลหรือ
ตรวจสอบการทาํ งานของเจ้าหน้าทใ่ี นองคก์ รต่าง ๆ เพ่ือไม่ใหอ้ าํ นาจไปในทางทไี่ มถ่ กู ต้อง

๓. การเป็นแกนนําปลุกจิตสํานึกให้แก่ผู้อ่ืนในการร่วมกิจกรรมทางการเมืองการปกครอง
ได้แก่การใช้สิทธิเลือกตั้งและการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบอํานาจของรัฐ โดยการเป็นแกนนําน้ัน
สามารถปฏิบัติได้หลายอย่าง เช่น ประกาศโฆษณาประชาสัมพันธ์ การเข้าไปชี้แจงเป็นรายบุคคลการ
จัดใหม้ กี ารประชมุ เพอ่ื แสดงความคดิ เหน็ ต่อประเด็นท่ีมผี ลกระทบตอ่ สังคม

ตารางที่ ๒.๑ สรุปสาระสําคัญจากการศึกษาวิเคราะห์ แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของ
กํานนั และผใู้ หญ่บา้ นในการสง่ เสริมการปกครอง

นักวิชาการหรอื แหล่งข้อมลู แนวคิดหลกั
การมีสว่ นร่วม
Arnstien, S.R. (1969). การมสี ่วนรว่ ม หมายถงึ การเข้าไปมสี ่วนรว่ มโดยไมม่ บี ทบาท

Huntington, S. & Nelson, S. อะไรเลย ยอ่ มไมไ่ ด้ผลการมสี ่วนรว่ มที่มีคณุ ภาพนั้น ผู้เขา้ รว่ ม
(1975)
นิคม ผดั แสน. (๒๕๔๐). จะตอ้ งรูจ้ กั ใช้อํานาจและสามารถควบคุมกจิ กรรมนน้ั ไดจ้ งึ จะ

ทรงวฒุ ิ เรืองวาทศิลป.์ (๒๕๕๐). ทําใหเ้ กดิ ผลอยา่ งมีประสิทธิภาพ

กระบวนการมสี ว่ นร่วม การมสี ่วนรว่ ม หมายถึง การทผ่ี นู้ ําเปิดโอกาสใหผ้ ู้ตามทุกคน
ประพนั ธ์ สรอ้ ยเพช็ ร. (๒๕๔๗).
เข้ามามสี ่วนรว่ มตัดสนิ ใจในการทาํ งานเทา่ ทจี่ ะสามารถ

กระทาํ ได้
การมีส่วนร่วม หมายถึง การท่ีให้ประชาชนได้คิดค้นแนวทาง
ขึ้นเอง เป็นผู้กําหนดการตัดสินใจคิดค้นปัญหาและการ
ดาํ เนินการในข้นั ตอนต่าง ๆ เช่น แสดงความคิดเห็นเสนอแนะ
และสนับสนนุ กิจกรรมตา่ ง ๆ

การมีส่วนร่วม หมายถึง การเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกภาค

สว่ นที่เก่ียวข้องเข้ามามีบทบาทร่วมในกิจกรรมทุกประการตาม

กําลังความสามารถของสมาชิกไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจ การ

ดําเนินกิจกรรม การติดตามตรวจสอบ และการประเมิน ผล

ร่วมกัน นําผลท่ีได้มาปรับปรุงแก้ไขพัฒนางานในกลุ่มให้มี

ประสทิ ธิภาพยง่ิ ๆ ขนึ้
การมสี ว่ นรว่ มท่ีแทจ้ ริงน่าจะประกอบดว้ ย ๔ ขนั้ ตอนหลัก
คอื
๑) การค้นหาปัญหาและสาเหตุ
๒) การวางแผนดาํ เนินกจิ กรรม

นักวชิ าการหรอื แหลง่ ขอ้ มลู ๒๑
Cohen, J.M., & Uphoff, N.T.
แนวคิดหลกั
ประเภทการมสี ว่ นร่วม ๓) การลงทุนและการปฏบิ ัติงาน
เฉลียว บุรีภักดี และคนอ่นื ๆ.
(๒๕๔๕). ๔) การติดตามและประเมินผล
เมตต์ เมตต์การุณ์จติ . (๒๕๕๓). จาํ แนกรูปแบบกระบวนการมีสว่ นรว่ ม ดงั นี้
ขัน้ ท่ี ๑ การมสี ว่ นรว่ มในการตัดสินใจ (Decision Making)
ลกั ษณะการมสี ่วนรว่ ม ขั้นที่ ๒ การมีส่วนร่วมในการดําเนนิ งาน (Implementation)
Huntington, S. & Nelson, S. ข้นั ที่ ๓ การมสี ว่ นร่วมในการรับผลประโยชน์ (Benefits)
(1975).
ข้นั ท่ี ๔ การมสี ว่ นรว่ มในการประเมินผล (Evaluation)
ไพบูลย์ วัฒนศริ ธิ รรม และพรรณ การมสี ว่ นรว่ มของชมุ ชน แบง่ ได้ออกเปน็ ๓ ประเภท ได้แก่
ทพิ ย์ เพชรมาก. (๒๕๕๑). ๑) การมสี ว่ นร่วมแบบชายขอบ (Marginal Participation)
๒) การมีส่วนรว่ มแบบบางส่วน (Partial Participation)

๓) การมสี ว่ นร่วมแบบสมบูรณ์ (Full Participation)
ประเภทของการมีส่วนร่วมโดยสามารถจําแนกการมีส่วนร่วม
ออกเป็น ๒ ประเภท ดงั นี้
๑) การมสี ่วนโดยตรง

๒) การมีส่วนร่วมโดยอ้อม
ลักษณะการมีส่วนร่วมของประชาชนจะพิจารณาจากกิจกรรม
และการบริหาร โดย Huntington & Nelson ได้มีหลักในการ
พิจารณาถึงลกั ษณะการมสี ว่ นร่วมดังมรี ายละเอียด ดังน้ี
๑) กิจกรรม ดูจากกิจกรรมที่เข้าร่วม

๒) ระดบั การบริหาร โครงสรา้ งขององค์กรหน่งึ จะต้องมสี าย

การบงั คบั บญั ชา ดังน้ันการมีสว่ นร่วมจะพจิ ารณาไดจ้ าก
- ในแนวราบ ทกุ แผนกทุกฝ่ายจะมีความเสมอกันในตําแหน่ง
- ในแนวด่งิ เปน็ การมสี ว่ นร่วมตามสายการบงั คบั บัญชา
- การมีส่วนร่วมทั้งแนวราบและแนวดิ่ง ในบางครั้งจะต้อง
ทํางานร่วมกันผู้บังคับบัญชาและเพ่ือนร่วมงานในแผนกอ่ืน
จงึ ต้องแสดงบทบาทตาสถานภาพของแนวราบและแนวดิง่
ก ล่ า ว ถึ ง ลั ก ษ ณ ะ ก า ร มี ส่ ว น ร่ ว ม ใน ก า ร พั ฒ น า ชุ ม ช น ไว้ ใน
เอกสารประกอบการสอนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการ
พัฒนาเมืองและชนบท ได้ข้อสรุปลักษณะการมีส่วนร่วมแบ่ง
ออกเป็น ๖ ลักษณะ ไดแ้ ก่
๑) การรบั รู้ขา่ วสาร (Public Information)
๒) การปรึกษาหารือ (Public Consultation)
๓) การประชุมรบั ฟังความคดิ เหน็ (Public Meeting)
๔) การประชาพิจารณ์ (Public Hearing)

๒๒

นักวิชาการหรอื แหลง่ ขอ้ มูล แนวคดิ หลกั
๕) การมีสว่ นรว่ มในการตดั สนิ ใจ (Decision Making)
การมีส่วนร่วมทางการเมอื ง
นครนิ ทร์ เมฆไตรรตั น์ และคณะ. ๖) การใช้กลไกทางกฎหมาย รูปแบบนี้ไม่ถอื ว่าเป็นการมีส่วนร่วม
๒๕๔๖.
ของประชาชนโดยตรง
การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองการปกครองในระบบ
ประชาธิปไตย ประชาชนสามารถมีส่วนรว่ มได้ ดงั นี้
๑. การใช้สิทธใิ นกรเลอื กตง้ั ระดบั ต่าง ๆ
๒. การมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐในการ
ปกครองระบอบประชาธปิ ไตย

๓. การเปน็ แกนนาํ ปลุกจติ สํานกึ ใหแ้ กผ่ ู้อน่ื ในการร่วมกิจกรรม

ทางการเมอื งการปกครอง

๒.๒ แนวคิด เก่ียวกับการส่งเสริมการปกครอง

ในปัจจุบันนี้ประชาชนเริ่มให้ความสนใจกับการเมือง โดยเห็นว่าเป็นเร่ืองสําคัญและผลท่ี
เกิดข้ึนจากการเมืองย่อมมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคม ในด้านต่าง ๆ ท้ังด้านสังคม
เศรษฐกิจ วัฒนธรรม เป็นต้น ซึ่งเม่ือพูดถึงคําว่า “การเมือง” คนทั่วไปอาจให้ความหมายที่
หลากหลายกันออกไป บางคนอาจมองว่าการเมืองเป็นเรื่องของการแสวงหาอํานาจ บางคนอาจมอง
ว่าการเมืองเป็นเร่ืองของการการแสวงหาผลประโยชน์ บางคนท่ีเชื่อม่ันในระบอบประชาธิปไตยจะ
มองว่าการเมืองเป็นเร่ืองของประชาชน ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย อันเป็นอํานาจสูงสุดใน
การปกครองประเทศ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้ของประเทศอื่น ซึ่งในการศึกษาการเมืองไทยน้ันจะต้อง
เข้าใจ ท้ังในด้านของความหมายของการเมอื ง สถาบันทางการเมือง พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์
และอุดมการณท์ างการเมอื งแบบประชาธิปไตยที่มอี ิทธิพลตอ่ วถิ ชี วี ิตของประชาชนไทยในปัจจุบนั

๒.๒.๑ ความหมายการปกครอง

การอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์เรานั้น มักจะมีปัญหาต่าง ๆ เกิดข้ึนมากมาย เนื่องจาก
มนุษย์เป็นสิ่งที่มีชีวติ จิตใจมีทัศนคติ อารมณ์ ความคิดและความ ต้องการ ซึ่งมีทั้งเหมือนและแตกต่าง
กัน แต่ความจําเป็นทําให้มนุษย์ต้องมาอาศัยอยรู่ ่วมกันในสังคมดังนนั้ จึงต้องมีวิธกี ารหรือกระบวนการ
ในการท่ีจะทําให้มนุษย์ในสังคมน้ันสามารถอยู่ร่วมกันได้อยา่ งมีความสุขโดยไม่แก่ง แย่งชิงดีชิงเด่นกัน
ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ซ่ึงวิธีการหรือกระบวนการนั้นเราเรียกว่า การปกครอง ดังนั้นการปกครองจึง
หมายถึงกระบวนการในการในการจัดการเพ่ือให้มนุษย์ในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ซึ่งนักรัฐ
ศาสตร์ไดก้ ล่าวถึงกระบวนการในการจดั การไว้ ๒ แนวทางดว้ ยกนั คือ

๑. แนวทางเสรีนิยม แนวทางเสรีนิยมซ่ึงเป็นแนวทางที่ตั้งอยู่บนความเชื่อพ้ืนฐานท่ีว่า
มนุษย์ตามธรรมรมชาติเกิดมามีอิสระและมีความเท่าเทียมกันโดยกําเนิดรัฐไม่ควรเข้าไปแทรกแซง
กิจการของเอกชนหน้าท่ีของรัฐควรเป็นหน้าท่ีในการสนับสนุนและส่ง เสริมให้เอกชนสามารถทํา
กิจกรรมต่าง ๆ เหล่าน้ันให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามท่ีเอกชน ต้องการรูปแบบท่ีใช้ในการปกครองนี้คือ
ประชาธิปไตย

๒๓

“ประชาธิปไตย (อังกฤษ: democracy) เป็นระบอบการปกครองแบบหน่ึงซ่ึงการบริหาร
อํานาจรัฐมาจากเสียงข้างมากของพลเมืองผู้เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย โดยพลเมืองอาจใช้อํานาจ
ของตนด้วยตนเองหรือผ่านผู้แทนท่ีเลือกไปใช้อํานาจแทนก็ได้ ประชาธิปไตยยังเป็นอุดมคติที่ว่า
พลเมืองทุกคนในชาติร่วมกันพิจารณากฎหมายและการปฏิบัติของรัฐ และกําหนดให้พลเมืองทุกคนมี
โอกาสแสดงความยินยอมและเจตนาของตนเทา่ เทียมกัน

ประชาธิปไตยเกิดข้ึนในบางนครรัฐกรีกโบราณช่วงศตวรรษท่ี ๕ ก่อนคริสตกาล โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง ในเอเธนส์หลังการก่อการกําเริบเมื่อ ๕๐๘ ปีก่อนคริสตกาล ประชาธิปไตยแบบน้ี
เรียกว่า ประชาธิปไตยทางตรง ซ่ึงพลเมืองเก่ียวข้องในกระบวนการทางการเมืองโดยตรง แต่
ประชาธิปไตยในปัจจุบันเป็นประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน โดยสาธารณะออกเสียงในการเลือกตั้งและ
เลือกนักการเมืองเป็นผู้แทนตนในรัฐสภา จากน้ัน สมาชิกสภาจะเป็นผู้ตัดสินใจด้วยเสียงข้างมาก
ประชาธิปไตยทางตรงยังมีอยู่ในระดับท้องถน่ิ หลายประเทศ เชน่ การเลือกตั้งสมาชกิ เทศบาล อย่างไร
ก็ดี ในระดับชาติ ความเป็นประชาธิปไตยทางตรงมีเพียงการลงประชามติ การริเร่ิมออกกฎหมายและ
การถอดถอนผไู้ ดร้ บั เลอื กตง้ั

แม้ในปัจจุบัน ประชาธิปไตยจะยังไม่มีนิยามท่ีได้รับการยอมรับโดยท่ัวกันก็ตาม แต่มีการ
ร ะ บุ ว่ า ค ว า ม เส ม อ ภ า ค แ ล ะ อิ ส ร ภ า พ เป็ น คุ ณ ลั ก ษ ณ ะ สํ า คั ญ ข อ งป ร ะ ช า ธิ ป ไต ย นั บ แ ต่ โบ ร า ณ
กาล หลักการดังกล่าวสะท้อนออกมาผ่านความเสมอภาคทางกฎหมายของพลเมืองทุกคน และสิทธิ
เข้าถึงกระบวนการทางกฎหมายโดยเท่าเทียม ตัวอย่างเช่น ในประชาธิปไตยแบบมีผู้แทน ทุกเสียงมี
น้ําหนักเท่ากันท้ังสิ้น และไม่มีการจํากัดอย่างไร้เหตุผลใช้บังคับกับทุกคนที่ปรารถนาเป็นผู้แทน ส่วน
อิสรภาพได้มาจากสิทธิและเสรีภาพตามท่ีกฎหมายบัญญัติ ซึ่งโดยทั่วไปได้รับการคุ้มครองโดย
รฐั ธรรมนูญ

ประชาธิปไตยถือกําเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในกรีซโบราณ แต่วิธีปฏิบัติแบบ
ประชาธิปไตยปรากฏในสังคมอยู่ก่อนแล้ว รวมท้ังเมโสโปเตเมีย ฟินีเซีย และอินเดีย วัฒนธรรมอ่ืน
หลังกรีซได้มีส่วนสําคัญต่อวิวัฒนาการของประชาธิปไตย เช่น โรมันโบราณ ยุโรปและอเมริกาเหนือ
และใต้มโนทัศน์ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนเกิดข้ึนส่วนใหญ่จากแนวคิดและสถาบันซึ่งได้ถูกพัฒนา
ระหว่างยุคกลางของยโุ รปและยคุ ภูมธิ รรมในการปฏวิ ัตอิ เมรกิ าและการปฏวิ ตั ิฝรัง่ เศส

ประชาธิปไตยถูกเรียกว่า "ระบอบการปกครองสุดท้าย" และแพร่หลายอย่างมากไปทั่ว
โลก สิทธิในการออกเสียงลงมติในหลายประเทศได้ขยายวงกว้างขึ้นเม่ือเวลาผ่านไปจากกลุ่มค่อนข้าง
แคบ (เช่น ชายมั่งมีในกลุ่มชาติพันธ์ุหนึ่ง ๆ) โดยนิวซีแลนด์เป็นชาติแรกท่ีให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
ท่ัวไปแก่พลเมืองทุกคนใน ค.ศ. ๑๘๙๓ ประชาธิปไตยมักถูกเข้าใจสับสนกับระบอบการปกครองแบบ
สาธารณรัฐ ในบางนิยาม "สาธารณรัฐ" เป็นประชาธิปไตยรูปแบบหน่ึง แต่นิยามอ่ืนทําให้
"สาธารณรัฐ" เป็นคําท่ีมีความหมายต่างหาก ไม่เกี่ยวข้องกัน อย่างไรก็ดี แม้การดําเนินการปกครอง
ตามระบอบประชาธิปไตยแม้จะได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน แต่ต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการ
ท่ีเกิดขึ้นในปัจจุบัน อย่างเช่น ข้อพิพาทเก่ียวกับดินแดน การอพยพเข้าเมือง และการกีดกันกลุ่ม
ประชากรบางชาตพิ ันธุ์ เป็นต้น

๒๔

องค์การสหประชาชาติได้ประกาศกําหนดให้วันท่ี ๑๘ กันยายน ของทุกปี เป็นวัน
ประชาธปิ ไตยสากล”๓๑

๒. แนวทางสังคมนิยม แนวทางสังคมนิยม ซึ่งเป็นแนวทางท่ีตั้งอยู่บนพ้ืนฐานความเชื่อ
ทว่ี ่ามนุษย์ ตามธรรมชาติเกิดทาไมเ่ ทา่ เทียมกัน การแข่งขันโดยปราศจากความเท่าเทยี มกนั น้ันไม่เป็น
ธรรมรัฐจะต้องเข้าไปควบคุมกิจการเอกชนเพ่ือให้เกิดความยุติธรรม แนวทางนี้จึงเป็นแนวทางท่ีรัฐไม่
เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าไปมีบทบาท หรือมีส่วนร่วมในทางการเมืองรูปแบบของการปกครอง
แนวนี้คือ การปกครองแบบอํานาจนิยม (Authoritarianism) และการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ
นิยม (Totalitaranism)

ทฤษฎีแนวคิดเพลโตและอริสโตเติล “สําหรับท้ังเพลโตและอริสโตเติลแล้ว นักปราชญ์ท้ัง
สองนี้ไม่เห็นด้วยกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพลโตได้แสดงความเห็นถึงผู้นําของรัฐใน
อุดมคติในหนังสืออุตมรัฐ ว่า "ผู้นําของรัฐ ควรจะเป็นผู้นํากลุ่มน้อยที่ทรงภูมิความรู้และเปี่ยมด้วย
คุณธรรม อุทิศตนเองให้กับรัฐ เม่ือรัฐมีผู้นําที่มีคุณภาพเช่นนี้ รัฐนั้นก็เจริญก้าวหน้า มีระบบการ
บริหาร ท่ีดี ประชาชนจะมีชีวิตท่ีเป็นสุข" โดยเขาเห็นว่านักปราชญ์และนักปกครองเป็นผู้นําที่ดี โดย
ถอื ว่าการปกครองแบบอภิชนาธิปไตยเปน็ รูปแบบการปกครองท่ีดีที่สุด เน่ืองจากเพลโตขมขื่นจากการ
ตดั สินของกลุ่มคนท่ใี ห้ประหารโสกราตีส

ส่วนทางด้านอริสโตเติลได้เปรียบเทียบแบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็นสามรูปแบบ
ได้แก่ การปกครองโดยบุคคลเพียงคนเดียว (สมบูรณาญาสิทธิราช/ทรราช) การปกครองโดยคณะ
บุคคลส่วนน้อย (อภิชนาธิปไตย/คณาธิปไตย) และการปกครองโดยคนส่วนใหญ่ (โพลิตี/
ประชาธิปไตย) ซ่ึงรูปแบบที่กล่าวมานั้น อริสโตเติลได้จัดแบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็นรูปแบบที่ดี
และเลวตามลําดับ และเขาได้พิจารณาว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองท่ีไม่ดีเมื่อเทียบกับ
การปกครองโดยชนชั้นกลางสําหรับทั้งเพลโตและอริสโตเติลแล้ว นักปราชญ์ท้ังสองน้ีไม่เห็นด้วยกับ
การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพลโตได้แสดงความเห็นถึงผู้นําของรัฐในอุดมคติในหนังสืออุตม
รฐั วา่ "ผ้นู ําของรฐั ควรจะเป็นผ้นู ํากลมุ่ น้อยท่ที รงภูมิความรู้และเป่ียมด้วยคุณธรรม อทุ ิศตนเองใหก้ ับ
รัฐ เมื่อรัฐมีผู้นําที่มีคุณภาพเช่นนี้ รัฐน้ันก็เจริญก้าวหน้า มีระบบการบริหารที่ดี ประชาชนจะมีชีวิตท่ี
เป็นสุข" โดยเขาเห็นว่านักปราชญ์และนักปกครองเป็นผู้นําท่ีดี โดยถือว่าการปกครองแบบอภิชนาธิป
ไตยเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุด เน่ืองจากเพลโตขมขื่นจากการตัดสินของกลุ่มคนท่ีให้ประหาร
โสกราตีส

เขาเชื่อว่ารากฐานของระบอบประชาธิปไตยน้ันมาจากเสรีภาพ ซ่ึงมีเพียงการปกครอง
แบบดังกล่าวเท่านั้นท่ีพลเมืองสามารถแบ่งปันเสรีภาพร่วมกันได้ ซ่ึงเขาก็ได้โต้แย้งว่านี่เป็น
วัตถุประสงค์ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยทิศทางหลักของเสรีภาพ ประกอบด้วย ภาวะ

๓๑ วิกิพีเดีย, องค์การสหประชาชาติ, [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา: https://th.wikipedia.org/wiki/
ประชาธิปไตย [๒๑ เมษายน ๒๕๖๔].

๒๕

ผู้นําและภาวะผู้ตามที่ดี เนื่องจากทุกคนมีความเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการเหลื่อมล้ําทางฐานะ
ความสามารถ ชาติกาํ เนดิ และสามารถอาศัยอย่รู ว่ มกนั ได้

"เด๋ียวน้ีหลักการมูลพ้ืนฐานของรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตย คือ เสรีภาพ นั่นคือ ส่ิงที่
ถูกยืนยันตามปกติ โดยบอกเป็นนัยว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เท่านั้นท่ีมนุษย์จะเป็นส่วนในเสรีภาพ
เพราะพวกเขายืนยันเสรีภาพน้ีว่าเป็นเป้าหมายของทุกประชาธิปไตย แต่ปัจจัยหน่ึงของเสรีภาพ คือ
การปกครองและการถูกปกครองในขณะเดียวกัน เพราะหลักความยุตธิ รรมทีไ่ ด้รับความนยิ มคอื ความ
เท่าเทียมกันตามจํานวน มิใช่ความมั่งมี และหากนี่เป็นหลักความยุติธรรมที่แพร่หลาย มหาชนจําต้อง
เป็นผู้มีอํานาจสูงสุดและการตัดสินใจของเสียงข้างมากนั้นต้องเป็นที่สุดและต้องกอปรด้วยความยุต
ธรรม เพราะพวกเขาว่า พลเมืองแต่ละคนควรมีส่วนแบ่งเท่าเทียมกัน เพื่อท่ีมันจะส่งให้ใน
ประชาธิปไตย คนจนทรงอํานาจกว่าคนรวย เพราะมีคนจนมากว่าและอะไรก็ตามที่เสียงข้างมาก
ตัดสินน้ันต้องอยู่สูงสุด จากน้ัน นี่เป็นเครื่องหมายหน่ึงของเสรีภาพซึ่งนักประชาธิปไตยตัดสินว่าเป็น
หลักของรฐั ธรรมนญู หน่ึง คือ ความเป็นอสิ ระของมนุษย์ท่ีจะดําเนนิ ชีวิตตามใจชอบ เพราะเขาว่าเป็น
การทําหน้าท่ีของเสรีภาพ เพราะการดําเนนิ ชีวิตอย่างที่มนุษย์คนหน่ึงไม่ชอบนน้ั เป็นชีวิตของชายท่ีตก
เป็นทาส น่ีเป็นหลักประชาธิปไตยข้อสอง และจากข้อน้ี เนื่องจากมีการกล่าวอ้างว่าจะต้องไม่ถูก
ปกครองโดยบุคคลใด ๆ ก็ตาม หรือการปกครองและถูกปกครองในเวลาเดียวกันน้ันไม่เป็นผล และนี่
จะเปน็ วิถที ห่ี ลกั ข้อสองสนบั สนุนเสรีภาพสมภาค"๓๒

๒.๒.๒ หลักในการปกครอง

ในการปกครองของแต่ละประเทศนั้นจําเป็นจะต้องมีองค์กรหรืสถาบันทําหน้าท่ีในการ
ปกครองแทนรัฐ และโดยท่ัวไปในองค์กรหรือหน่วยงานซึ่งได้รับมอบอํานาจจากรัฐให้ทําหน้าที่แทนก็
คอื "รฐั บาล"

สําหรับวิธีการจัดการปกครองที่รัฐบาลแต่รฐั บาลจะนํามาใช้ในการปกครองจะเป็นอยา่ งไร
นั้น กค็ งจะขึน้ อยูก่ ับองคป์ ระกอบหลาย ๆ อย่าง เชน่ สภาพสงั คม เศรษฐกจิ การเมอื ง และประชาชน
เปน็ ต้น ซ่งึ นักวชิ าการได้สรปุ หลกั ในการจดั ระเบียบของรัฐทีส่ าํ คญั ไว้ ๓ หลักคือ

๑. หลักการรวมอํานาจ

เป็นหลักการปกครองท่ีรัฐบาลกลางได้รวมอํานาจไว้ท่ีส่วนกลาง โดยมีสายการบังคับ
บัญชาเป็นลําดับขั้น เช่น กระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆเป็นต้น อํานาจที่รวมไว้น้ีได้แก่ อํานาจการ
วนิ ิจฉัยสงั่ การ อาํ นาจในการบรรจแุ ต่งตั้ง และอํานาจในการใชท้ หาร เปน็ ตน้

ขอ้ ดีของหลักการรวมอํานาจ
๑) ทําใหอ้ ํานาจในทางการเมอื งของรัฐบาลสว่ นกลางมน่ั คง
๒) สามารถอํานวยประโยชน์ให้ประชาชนในส่วนต่าง ๆได้อยา่ งเสมอภาคกนั

๓๒ นายกษิดินทร์ คุณทรัพย์เลิศ, ทฤษฏีเพลโตและอริสโตเติล, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: https://sites.
google.com/site/kheacireiynrukarpchathiptiy/thvsdi-phel-to-laea-xristoteil [๒๒ เมษายน ๒๕๖๔].

๒๖

๓) ประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ยในการปกครอง

ข้อเสียของหลักการรวมอาํ นาจ
๑) ไม่สามารถจัดบริการต่าง ๆได้อย่างทั่วถึง เพราะผู้รับบริการมีมาก ส่ิงที่รัฐบาล
กลางจัดสรรให้ไมอ่ าจเป็นทพ่ี อใจ
๒) ประชาชนส่วนใหญ่ขาดการมีสว่ นรว่ มในทางการเมือง
๓) เกิดความล่าช้าในการปฏิบัติงาน เนื่องจากการตัดสินใจจะต้องได้รับอนุมัติหรือ
ไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากสว่ นกลางกอ่ น

๒. หลักการแบง่ อํานาจ

เป็นการปกครองที่รัฐบาลกลางได้มอบอํานาจในการวินิจฉัยส่ังการและการดําเนินงาน
บางอย่างให้แก่เจา้ หน้าท่ขี องตนเองที่ประจําอยใู่ นสว่ นภูมภิ าคตา่ ง ๆ ของรฐั

ความจริงแล้วการแบ่งอํานาจนี้รับบาลอาจจะมอบอํานาจหรือไม่มอบอํานาจก็ได้ หากแต่
ว่าในการปฏิบัติงานในบางเรื่องซ่ึงไม่มีความสําคัญหรืจําเป็นมากนัก ก็อาจมีการมอบหมายให้
เจ้าหนา้ ท่ใี นส่วนภมู ภิ าคเป็นผู้รบั ภาระดาํ เนินการเอง

ข้อดขี องหลกั การแบง่ อาํ นาจ
๑) เป็นการแบ่งเบาภาระของรัฐบาลกลางและช่วยให้การดําเนินการเป็นไปด้วย
ความรวดเรว็ ข้ึน
๒) เป็นการช่วยให้ประชาชนที่ขาดความรู้ในการปกครองมีความรู้ในการปกครองได้
ดีขึน้

ขอ้ เสียของหลกั การแบง่ อาํ นาจ
๑) ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของท้องถิ่นได้อย่างทั่วถึงและตรงกับความ
ต้องการของท้องถิ่นได้
๒) อาจเกิดความเสยี หายหรือความไม่ยตุ ธิ รรมได้
๓) หลักการกระจายอาํ นาจ

เป็นการจัดการแบบที่รัฐบาลกลางมอบอํานาจในการดําเนินการ และการตัดสินใจ
ให้แก่องค์การหรือสถาบันต่าง ๆ ในท้องถิ่นให้สามารถดําเนินการได้อย่างอิสระไม่ต้องอยู่ในบังคับบัญชา
ของส่วนกลาง กล่าวคือ จะมีองค์กรท่ีเป็นนิติบุคคลแยกออกไปต่างหากจากส่วนกลาง ผู้ปฏิบัติงานใน
องค์กรนัน้ ก็ไมต่ อ้ งขึน้ ตรงต่อสว่ นกลางซ่งึ องค์กรในทอ้ งถิ่นน้นั จะมีอสิ ระในการดําเนนิ การอย่างมาก

ข้อดขี องหลักการกระจายอํานาจ
๑) สามารถตอบสนองความตอ้ งการของประชาชนในท้องถนิ่ ได้อยา่ งแทจ้ รงิ
๒) ทาํ ใหก้ ารดาํ เนินการเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว
๓) เป็นการแบ่งเบาภาระส่วนกลาง
๔) ส่งเสรมิ การปกครองแบบประชาธิปไตย

๒๗

ขอ้ เสยี ของหลักการกระจายอาํ นาจ
๑) อาจเกดิ ปัญหาตอ่ ความมน่ั คงและเอกภาพของรฐั
๒) อาจทําให้เหน็ ประโยชน์ของท้องถ่นิ มากกว่าประโยชนข์ องชาติ
๓) เจา้ หนา้ ทีข่ องท้องถิน่ อาจใชอ้ ํานาจโดยมชิ อบ
๔) ส้นิ เปลืองคา่ ใชจ้ ่ายมาก๓๓

๒.๒.๓ ระบอบการเมืองการปกครอง

๑. ลักษณะการเมอื งการปกครอง

ประเทศต่าง ๆ ในโลกย่อมมีระบอบการเมืองการปกครองที่ประชาชนส่วนใหญ่ของ
ประเทศเช่ือว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับความคิดความเชื่อ ประวัติศาสตร์ และสภาพแวดล้อมทาง
เศรษฐกิจ สงั คม และวฒั นธรรมของประเทศนนั้ ๆ หากปรากฏวา่ ระบอบการเมอื งการปกครองทีใ่ ช้อยู่
ในช่วงระยะเวลาหนึ่งไม่เหมาะสม หรือไม่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ดังกล่าว ก็จะต้องมีการ
เปล่ียนแปลง พัฒนา หรือปฏิรูประบอบการเมืองการปกครองให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อ
ประชาชนของประเทศมากท่ีสดุ

ระบอบการเมืองการปกครองท่ีประเทศต่าง ๆในโลกใช้กันอยู่ในปัจจุบันมี ๒ ระบอบ คือ
ระบอบประชาธิปไตยและระบอบเผด็จการ แต่ถ้าหากจะกล่าวเชิงเปรียบเทียบก็สามารถกล่าวได้ว่า
ประเทศต่าง ๆในโลกนี้ ส่วนใหญ่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่ก็อาจมีในบางประเทศท่ี
ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ เชน่ สหภาพพม่า เกาหลีเหนอื เปน็ ต้น

ระบอบการเมืองการปกครองทง้ั ๒ ระบอบ มรี ายละเอียดพอสังเขป ดงั นี้

๑.๑ ระบอบประชาธิปไตย

การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีลักษณะเด่นอยู่ที่การแข่งขันเสรี
ระหว่างกลุ่มหรือพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนส่วนมากในประเทศ
ให้เป็นรัฐบาลทําหน้าท่ีบริหารกิจการต่าง ๆ ของประเทศตามนโยบายท่ีกลุ่มหรือพรรคได้วางไว้
ลว่ งหนา้

หลกั การของระบอบประชาธิปไตยท่สี าํ คญั มดี ังนี้
๑. อํานาจอธิปไตยหรืออํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เป็นอํานาจท่ีมาจาก
ปวงชนหรือที่เรียกกันว่า “อํานาจของรัฐ (state power)” โดยผู้ที่จะได้อํานาจปกครองจะต้องได้รับ
ความยินยอมจากประชาชนส่วนใหญใ่ นประเทศ
๒. ประชาชนมีสิทธทิ ่ีจะมอบอํานาจปกครองให้แก่ประชาชนด้วยกันเองโดยการออก
เสียงเลือกตั้งประชาชนกลุ่มหนึ่ง ที่อาสาจะมาเป็นผู้บริหารประเทศแทนประชาชนส่วนใหญ่ ตาม

๓๓ Google Sites, ห ลั ก ก า ร แ บ่ งอํ า น า จ , [อ อ น ไล น์ ], แ ห ล่ งที่ ม า : https://sites.google.
com/site/rathprasasnsastr4/home [๒๒ เมษายน ๒๕๖๔].

๒๘

ระยะเวลาและวิธีการท่ีได้กําหนดไว้อย่างเป็นทางการ เช่น กําหนดไว้วา่ ทุก ๔ ปี จะต้องมีการเลือกต้ัง
ผู้แทนของประชาชนพรอ้ มกันทัว่ ประเทศ เป็นต้น

๓. รัฐบาลจะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพขั้นพ้ืนฐานของประชาชน เช่น สิทธิใน
ทรัพย์สิน สิทธิในชีวิต เสรีภาพในการพูด การเขียน การแสดงความคิดเห็น การรามกลุ่ม สิทธิในการ
สรา้ งครอบครัว เสรีภาพในการชุมนุม เป็นต้น

โดยรัฐบาลจะต้องไม่ละเมิดสิทธิดังกล่าวข้างต้น เว้นแต่เพ่ือรักษาความม่ันคงของ
ชาติ เพ่ือรักษาความสงบเรียบร้อย เพ่ือคุ้มครองประโยชน์ส่วนรวม เพ่ือรักษาศีลธรรมอันดีงามของ
ประชาชน หรอื เพ่อื สรา้ งสรรค์การเปน็ ธรรมแก่สงั คมเทา่ นั้น

๔. ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอกันในการท่ีจะได้รับบริการทุกชนิดท่ีรัฐจัดให้แก่
ประชาชน ฐานันดรหรือยศถาบรรดาศกั ดิ์ไมก่ อ่ ให้เกดิ อภสิ ทิ ธห์ิ รือสทิ ธพิ ิเศษแกบ่ คุ คลนั้นแต่อยา่ งใด

๕. รัฐบาลถือกฎหมายและความเป็นธรรมมาเป็นบรรทัดฐานในการปกครอง และใน
การแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ภายในประเทศโดยรัฐบาลจะต้องไม่ออกกฎหมายที่มีผลเป็นการ
ลงโทษบุคคลย้อนหลัง

ระบอบประชาธิปไตย แบ่งออกได้เป็น ๒ รูปแบบ คือ ระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมุข เช่น ไทย ญปี่ ุ่น เป็นตน้ และระบอบประชาธิปไตยทมี่ ีประธานาธบิ ดเี ป็น
ประมุข เช่น สหรฐั อเมริกา เกาหลใี ต้ อินโดนีเซยี เป็นตน้

๑.๒ ระบอบเผด็จการ

การเมืองการปกครองระบอบเผด็จการมีลักษณะเด่นอยู่ที่การรวมอํานาจในทาง
การเมืองการปกครองไว้ท่ีบุคคลเพียงคนเดียว คณะเดียว หรือพวกเดียว โดยบุคคล คณะบุคคล หรือ
ดังกล่าวสารถใช้อํานาจนั้นควบคุมบังคับประชาชนได้โดยเด็ดขาด หากประชาชนคนใดคัดค้านผู้นํา
หรือคณะผู้นํา กจ็ ะถูกลงโทษด้วยมาตรการตา่ ง ๆ

หลักการของระบอบเผด็จการ จากท่ไี ด้กลา่ วมาข้างต้น อาจสรุปหลกั การของระบอบ
เผด็จการพอสังเขปได้ ดงั นี้

๑. ผู้นําคนเดียว หรือคณะผู้นําของกองทัพ หรือพรรคการเมืองเพียงกลุ่มเดียว มี
อํานาจสูงสุดในการปกครองและสามารถใช้อํานาจน้ันได้อย่างเต็มท่ี โดยไม่ต้องฟังเสียงของคนส่วน
ใหญ่ในประเทศ

๒. การรักษาความม่ันคงของผู้นําหรือคณะผู้นําสําคัญกว่าการคุ้มครองสิทธิและ
เสรีภาพของประชาชน ประชาชนไมส่ ามารถจะวิพากษ์วิจารณก์ ารกระทําของผนู้ าํ อยา่ งเปดิ เผยได้

๓. ผู้นําหรือคณะผู้นําสามารถท่ีจะอยู่ในอํานาจได้ตลอดชีวิต หรือนานเท่าที่กลุ่ม
ผู้ร่วมงานหรือกองทพั ยงั ให้การสนบั สนุน ประชาชนท่ัวไปไม่มีสิทธทิ จี่ ะเปล่ยี นผนู้ าํ ได้

๔. รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้จัดข้ึนตามรัฐธรรมนูญ
และรัฐสภา ไม่มีความสําคัญต่อกระบวนการทางการปกครองเหมือนในระบอบประชาธิปไตยกล่าวคือ
รัฐธรรมนูญเปน็ เพยี งแค่รากฐานอาํ นาจของผู้นาํ หรอื คณะผู้นาํ เทา่ น้นั

๒๙

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนท่ีจัดข้ึนก็เพื่อให้ประชาชนออกเสียงเลือกต้ังผู้สมัครที่
ผู้นําหรือคณะผู้นําส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้งเท่าน้ัน ในทํานองเดียวกันรัฐสภาก็จะประชุมกันปีละ ๕-
๑๐ วัน เพ่ือรับทราบและยืนยันให้ผู้นําหรือคณะผู้นําทําการปกครองต่อไปตามท่ีผู้นําหรือคณะผู้นํา
เห็นสมควร

รูปแบบของระบอบเผด็จการ มี ๓ แบบ คือ เผด็จการทหาร เผด็จการฟาสซิสต์ และ
เผด็จการคอมมิวนสิ ต์ สามารถจะอธบิ ายพอสงั เขปได้ ดงั น้ี

๑.๒.๑ ระบอบเผด็จการทหาร หมายถึง ระบอบเผด็จการท่ีคณะผู้นําฝ่ายทหารเป็น
ผู้ใช้อํานาจเผด็จการในการปกครองโดยตรงหรือโดยอ้อม (ผ่านทางพลเรือนท่ีพวกตนสนับสนุน) และ
มักจะใช้กฎอัยการศึกหรอื รัฐธรรมนญู ที่คณะของตนสรา้ งขึ้นเปน็ เครอื่ งมือในการปกครอง

ตัวอย่างการปกครองแบเผด็จการทหาร เช่น การปกครองของญ่ีปุ่นระหว่าง
สงครามโลกครงั้ ที่ ๒ อันเป็นระยะท่ีพลเอกโตโจและคณะนายทหารใช้อํานาจเผดจ็ การในการปกครอง
หรือการปกครองของไทยช่วงท่ีไม่มีรัฐธรรมนูญระหว่างวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ ถึง
วันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๑ อํานาจการปกครองได้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะปฏิวัติ นํา
โดยจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชน์ และจอมพลถนอม กติ ตขิ จร

ประเทศที่มีการปกครองระบอบเผด็จการทหาร เช่น สหภาพพมา่ ซึ่งมีสภาสันติภาพ
และการพัฒนาแห่งรัฐ( The State Peace and Development Council : SPDC) ท่ีมาจากคณะ
นายทหารทาํ หนา้ ทบี่ ริหารประเทศ เป็นตน้

๑.๒.๒ ระบอบเผด็จการฟาสซิสต์ หมายถึง ระบอบการปกครองท่ีเน้นความสําคัญ
ของผนู้ ําว่ามอี าํ นาจเหนอื ประชาชนท่วั ไป

ผู้นําในระบอบการปกครองเผด็จการฟาสซิสต์มักจะมีความเชื่อในลัทธิการเมืองที่
เรยี กว่า “ลัทธิฟาสซิสต์” เป็นลัทธิชีน้ าํ ในการปกครองและมุ่งท่ีจะใช้อํานาจเผด็จการปกครองประเทศ
เป็นการถาวร โดยเชื่อว่าระบอบการปกครองแบบนี้เหมาะสมกับประเทศของตน และจะช่วยให้
ประเทศของตนมีความเจรญิ ก้าวหนา้ โดยเรว็

ตัวอย่างของการปกครองในระบอบนี้ เชน่ การปกครองของอิตาลิในสมัยเบนโิ ตมสุ โส
ลินี (Benito Mussolini) ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งท่ี ๒ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๖๕-๒๔๘๑ การปกครอง
ของเยอรมนี สมัยอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๘๘ ในระบอบนาซี
(Nazi Regin) ซ่งึ ถือว่าเป็นระบอบฟาสซิสต์ เชน่ เดยี วกัน

๑.๒.๓ ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ หมายถึง ระบอบเผด็จการที่มีเพียงพรรค
คอมมิวนิสต์เพียงพรรคเดียวได้รับการยอมรับหรือสนับสนุนจากบุคคลต่าง ๆ และกองทัพให้เป็นผู้ใช้
อาํ นาจเผดจ็ การปกครองประเทศ

ผู้นําของพรรคคอมมิวนิสต์เช่ือว่าระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์เป็นรูปแบบการ
ปกครองที่เหมาสมกับประเทศของตนและจะช่วยทําให้ชนช้ันกรมาชีพเป็นอิสระจากการถูกกดขี่โดย
ชนช้ันนายทุน รวมท้ังทําให้ประเทศมีความเจรญิ ก้าวหน้าทัดเทียมกับต่างประเทศคนยากจนไม่ถูกเอา
รัดเอาเปรยี บกับนายทุน โดยประเทศทม่ี ีการปกครองระบอบนี้ เช่น สหภาพโซเวียตในอดีต เปน็ ต้น

๓๐

ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์มีความแตกต่างจากระบอบเผด็จการทหารในบาง
ประการ เช่น ระบอบเผด็จการทหารจะควบคุมเฉพาะกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนเท่านั้น แต่
ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์จะใช้อํานาจเผด็จการควบคุมกิจกรรมแลการดําเนินชีวิตของประชาชน
ในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง การปกครอง ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม ด้วยเหตุนี้นัก
รฐั ศาสตร์จงึ เรียกระบอบเผด็จการคอมมิวนสิ ต์วา่ “ระบอบเผดจ็ การแบบเบ็ดเสรจ็ ”

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแต่ละประเทศเล็งเห็นว่าทั้งระบอบประชาธิปไตย และ
ระบอบเผด็จการต่างก็มีข้อดีและข้อจํากัดในตัวเอง บางประเทศจึงมีการปฏิรูปแนวทางการเมืองการ
ปกครองบางด้านให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม บริบทของสังคมท่ีเปลี่ยนแปลง รวมท้ังเพ่ือให้
สามารถแข่งกับนานาประเทศได้ ตัวอย่างเช่น สาธารณรัฐประชาชนจีนท่ีมีการปกครองแบบ
คอมมิวนิสต์ท่ีเป็นแบบฉบับของตนเอง คือ รัฐบาลยังคุมเข้มด้านสิทธิและเสรีภาพการแสดงออกทาง
การเมืองของประชาชน แต่ทางด้านเศรษฐกิจรัฐบาลจีนกลับเปิดกว้างให้มีการแข่งขันทางการผลิต
การคา้ และการลงทนุ ได้อยา่ งเสรี

๒.๒.๔ รปู แบบของรัฐ

รูปแบบของรัฐแบ่งได้เป็น ๒ รูปแบบ ไดแ้ ก่

๑. เอกรัฐหรือรัฐเด่ียว (Unitary State or Single State) หมายถึง รัฐที่มีรัฐบาลกลาง
เพียงรัฐเดียวใช้อํานาจอธิปไตยปกครองดินแดนทั้งหมด อาจมีการกระจายอํานาจให้ท้องถิ่นได้บริหาร
กิจการของท้องถิ่นได้ตามที่รัฐบาลเห็นสมควร ประเทศท่ีมีรูปแบบของรัฐเดี่ยว เช่น ราชอาณาจักร
สเปน ญ่ีป่นุ สาธารณรฐั สิงคโปร์ ราชอาณาจกั รไทย เป็นต้น

ผลดีท่ีเกิดจากการปกครองรูปแบบน้ี คือ มีความเป็นเอกภาพสูง มีความเป็นปึกแผ่น
ม่นั คงและประหยดั งบประมาณในการปกครองประเทศ

๒. สหพันธรัฐหรือรัฐรวม (Federal State or Dual State) หมายถึง รัฐท่ีมีรัฐบาลสอง
ระดับ คือ รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละมลรัฐ รัฐบาลแต่ละระดับจะใช้อํานาจอธิปไตย
ปกครองตามท่ีรัฐธรรมนูญกําหนดไว้ โดยทั่วไปรัฐบาลกลางของสหพันธรัฐมักจะเป็นผู้ใช้อํานาจใน
กิจการที่เก่ียวข้องหรือกระทบกระเทือนต่อประโยชน์ส่วนรวมของชาติ เช่น การทหาร การ
ต่างประเทศ การคลัง เปน็ ตน้

สําหรับรัฐบาลของท้องถิ่นจะมีอํานาจในกิจการท่ีเกี่ยวข้องกับท้องถ่ินของตนโดยเฉพาะ
เช่น การศึกษา การสาธารณสุข การไฟฟ้า การรักษาความสงบเรียบร้อย เป็นต้น ประเทศท่ีมีรูปแบบ
ของรัฐในลกั ษณะดังกลา่ วนี้ เชน่ สหรัฐอมรกิ า สหพนั ธรฐั รัสเซยี มาเลเซีย เปน็ ต้น

ผลดีจากการปกครองรูปแบบน้ี คือ ทําให้การปกครองส่วนท้องถ่ินเป็นไปอย่างท่ัวถึง
สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งลดภาระของรัฐบาลกลางในระดับท้องถิ่นลงทําให้
สามารถดําเนินการเพอ่ื รักษาเอกราชและความเจริญกา้ วหน้าของประเทศได้มากยิง่ ขึ้น

สําหรับประเทศไทยมีรูปแบบการปกครองแบบเอกรัฐหรือรัฐเดี่ยว โดยได้บัญญัติไว้ใน
รัฐธรรมนูญทุกฉบับ รวมถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้บัญญัติไว้ใน

๓๑

หมวด ๑ บททั่วไป มาตรา ๑ ว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยก
มิได้” และในหมวด ๕ หน้าที่ของรัฐ มาตรา ๕๒ ว่า “มาตรา ๕๒ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซ่ึงสถาบัน
พระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพ แห่งอาณาเขตและเขตท่ีประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย
เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความม่ันคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อ
ประโยชนแ์ หง่ การนี้ รัฐต้องจัดให้มกี ารทหาร การทตู และการข่าวกรองท่ีมีประสิทธภิ าพ”๓๔

สรุปสาระสําคัญจากการศึกษาวิเคราะห์ แนวคิดท่ีเก่ียวกับการส่งเสริมการปกครอง ตาม
ตารางที่ ๒.๒

ตารางท่ี ๒.๒ สรปุ สาระสาํ คัญจากการศึกษาวเิ คราะห์ แนวคิดทเี่ กยี่ วกับการส่งเสริมการปกครอง

นกั วชิ าการหรอื แหล่งขอ้ มลู แนวคดิ หลกั

ความหมายของการปกครองและ การปกครอง หมายถึง กระบวนการในการในการจัดการ
รปู แบบการปกครอง เพื่อให้มนุษย์ในสังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข โดยการ
ปกครองแบง่ ออกเปน็ แบบโดยรว่ มมี ๒ ระบอบดงั น้ี

ระบอบประชาธิปไตย
การเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีลักษณะเด่น
อยู่ที่การแข่งขันเสรีระหว่างกลมุ่ หรือพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อให้
ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนส่วนมากในประเทศให้เป็น
รฐั บาลทาํ หนา้ ที่บรหิ ารกิจการต่าง ๆ
อํานาจอธิปไตยหรืออํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ
เป็นอํานาจที่มาจากปวงชนหรือท่ีเรียกกันว่า “อํานาจของ
รัฐ” โดยผู้ที่จะได้อํานาจปกครองจะต้องได้รับความยินยอมจาก
ประชาชนสว่ นใหญใ่ นประเทศ
ประชาชนมีสิทธิท่ีจะมอบอํานาจปกครองให้แก่ประชาชน
ด้วยกันเองโดยการออกเสียงเลือกต้ังประชาชนกลุ่มหนึ่ง ที่อาสา
จะมาเป็นผู้บริหารประเทศแทนประชาชนส่วนใหญ่ ตาม
ระยะเวลาและวิธีการที่ได้กําหนดไว้อย่างเป็นทางการ เช่น
กําหนดไว้ว่าทุก ๔ ปี จะต้องมีการเลือกต้ังผู้แทนของประชาชน
พร้อมกนั ท่วั ประเทศ เป็นตน้

๓๔ อรนิภา บํารุงราษฎร์, ระบอบการเมืองการปกครอง, [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา: https://sites.google.
com/site/30346mayyy/home/rabxb-karmeuxng-kar-pkkhrxng [๒๒ เมษายน ๒๕๖].

นกั วชิ าการหรอื แหลง่ ขอ้ มลู ๓๒

แนวคดิ หลัก
รัฐบาลจะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพข้ันพื้นฐานของ
ประชาชน เช่น สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในชีวิต เสรีภาพในการพูด
การเขียน การแสดงความคิดเห็น การรามกลุ่ม สิทธิในการสร้าง
ครอบครัว เสรีภาพในการชุมนุม เป็นต้น โดยรัฐบาลจะต้องไม่
ละเมิดสิทธิดังกล่าวข้างต้น เว้นแต่เพื่อรักษาความม่ันคงของชาติ
เพอ่ื รกั ษาความสงบเรยี บร้อย เพ่อื ค้มุ ครองประโยชนส์ ่วนรวม
ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอกันในการท่ีจะได้รับบริการทุก
ชนิดที่รัฐจัดให้แก่ประชาชน ฐานันดรหรือยศถาบรรดาศักดิ์ไม่
กอ่ ให้เกดิ อภสิ ทิ ธ์หิ รอื สิทธพิ เิ ศษแก่บุคคลนนั้ แต่อย่างใด
รัฐบาลถือกฎหมายและความเป็นธรรมมาเป็นบรรทัดฐาน
ในการปกครอง และในการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ
ภายในประเทศโดยรัฐบาลจะต้องไม่ออกกฎหมายที่มีผลเป็นการ
ลงโทษบุคคลย้อนหลังระบอบประชาธิปไตย แบ่งออกได้
เป็น ๒ รูปแบบ คือ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็ นประมุ ข เช่น ไทย ญี่ ปุ่ น เป็ นต้ น และระบอบ
ประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข เช่น สหรัฐอเมริกา
เกาหลีใต้ อนิ โดนเี ซีย เปน็ ต้น
ระบอบเผดจ็ การ
การเมืองการปกครองระบอบเผด็จการมีลักษณะเด่นอยู่ท่ี
การรวมอํานาจในทางการเมืองการปกครองไว้ที่บุคคลเพียงคน
เดียว คณะเดียว หรือพวกเดียว โดยบุคคล คณะบุคคล หรือ
ดงั กล่าวสารถใช้อํานาจนั้นควบคุมบังคับประชาชนได้โดยเด็ดขาด
หากประชาชนคนใดคัดค้านผู้นําหรือคณะผู้นํา ก็จะถูกลงโทษ
ด้วยมาตรการตา่ ง ๆ ดังนี้
ผู้นาํ คนเดียว หรอื คณะผู้นําของกองทัพ หรือพรรคการเมือง
เพียงกลุ่มเดียว มีอํานาจสูงสุดในการปกครองและสามารถใช้
อํานาจนั้นได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องฟังเสียงของคนส่วนใหญ่ใน
ประเทศ
การรักษาความม่ันคงของผู้นําหรือคณะผู้นําสําคัญกว่าการ
คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ประชาชนไม่สามารถจะ
วพิ ากษ์วจิ ารณก์ ารกระทาํ ของผนู้ ําอยา่ งเปดิ เผยได้
ผู้นําหรือคณะผู้นําสามารถที่จะอยู่ในอํานาจได้ตลอดชีวิต

๓๓

นักวชิ าการหรอื แหลง่ ขอ้ มูล แนวคิดหลกั
หรือนานเท่าที่กลุ่มผู้ร่วมงานหรือกองทัพยังให้การสนับสนุน
ประชาชนท่วั ไปไม่มสี ทิ ธทิ ่จี ะเปลีย่ นผ้นู าํ ได้

รัฐธรรมนูญและการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ีได้
จัดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ และรัฐสภา ไม่มีความสําคัญ ต่อ
กระบวนการทางการปกครองเหมือนในระบอบประชาธิปไตย
กล่าวคือ รัฐธรรมนูญเป็นเพียงแค่รากฐานอํานาจของผู้นําหรือ
คณะผนู้ าํ เท่าน้นั

๒.๓ แนวคดิ เกี่ยวกับกาํ นนั และผ้ใู หญ่บ้าน

๒.๓.๑ แนวคดิ เกี่ยวกบั กาํ นันและผู้ใหญบ่ า้ นในการเมอื งการปกครอง

การปกครองสว่ นท้องท่ี : ความหมายและขอบขา่ ย

การปกครองท้องท่ี คือ การจัดการปกครองดินแดนหรือพื้นที่ของรัฐของรัฐบาลกลาง
(Territorial Administration by State/Government) ซึ่งมีความสําคัญและมีความสําคัญและมี
ความจําเป็นต่อการรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย (Law and Order) ของประเทศ การ
จัดการปกครองท้องท่ีมีลักษณะต่างกันขึ้นกับรูปลักษณะของรัฐว่าประเทศนั้นเป็นรัฐเด่ียว (Unitary
State) หรือสหพันธรัฐ (Federal State) และขึ้นกับระดับของการรวมศูนย์อํานาจ (Degree of
Centralization) หากประเทศน้ัน ๆ มีระดับของการรวมศูนย์อํานาจอย่างยิ่ง การปกครองดินแดน
หรือพื้นที่ของรัฐนั้นก็จะดําเนินการ โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางท้ังสิ้น หากมีการรวบอํานาจกลาง
เจ้าหน้าท่ีน้ัน ๆ จะเป็นราชการส่วนภูมิภาค อย่างกรณีของประเทศไทย การปกครองท้องที่ก็คือ
หนว่ ยการปกครองที่เรียกว่าตาํ บลและหมู่บา้ นนน้ั เอง

กํานนั ผู้ใหญ่บ้าน มีสถานะผู้แทนของรัฐ ซงึ่ เป็นสว่ นหนึ่งของโครงสรา้ งการบรหิ ารราชการ
ส่วนภูมิภาคท่ีมีจังหวัดและอําเภอข้ึนเป็นโครงสร้างส่วนบนอีกชั้นหนึ่ง ซ่ึงกํานันผู้ใหญ่บ้านปฏิบัติงาน
อยู่ในระดับล่างสุดของรัฐและอยู่ใกล้ชิดสนิทกับประชาชนในท้องที่ต่าง ๆ โดยมีหน้าท่ีสําคัญคือ การ
ช่วยเรื่องการประสานงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการประชุมในหมู่บ้านและการแจ้งข่าวสารของทาง
ราชการให้ประชาชนรับทราบ ในขณะเดียวกันกํานันผู้ใหญ่บ้านก็มีสถานะและมีบทบาทเป็นผู้แทน
ประชาชน เป็นผู้นําของชุมชน เนื่องด้วยไม่ได้มีสถานะเป็นข้าราชการของรัฐเต็มตัวอีกทั้งมิได้ทํางาน
ให้ทางราชการเต็มเวลา บทบาทและหน้าที่ดังกล่าวส่งผลให้กํานันผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ต้องดูแลทุกข์สุข
ของประชาชนในด้านต่าง ๆ นั้นเอง ทั้งน้ีภายใต้บริบทของกระแสการกระจายอํานาจสู่ท้องถิ่นใน
ปัจจุบันนั้น สังคมไทยกําลังตั้งคําถามถึงการคงอยู่ของกํานันผู้ใหญ่บ้านในปัจจุบันไม่ว่าจะในมิติด้าน
การบริหารจัดการ ด้านการเมือง ด้านวัฒนธรรมชุมชน หรือแม้แต่ด้านกระจายอํานาจ และไม่ว่าการ
คงอยู่ของกํานันผู้ใหญ่บ้านในปัจจุบันจะเกิดจากรอมชอมกันระหว่างแนวคิดการรวมศูนย์อํานาจของ
ระบบราชการ (centralization) กับแนวคิดด้านการกระจายอํานาจสู่ท้องถ่ิน (Decentralization)
หรือแม้จะเกิดจากผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ทางการเมืองในการพยายามรักษา

๓๔

ฐานเสียงในระดับชุมชนมาเป็นปัจจัยแทรกก็ตาม ทว่าทั้งหมดน้ีย่อมนําไปสู่ความท้าทายต่อสถานะ
และการคงอยู่ของสถาบันกาํ นนั ผ้ใู หญบ่ ้านในปัจจัยอยา่ งหลกี เล่ยี งไม่ได้

๒.๓.๒ ความเปน็ มาของกาํ นันผใู้ หญบ่ า้ น

กํานันและผู้ใหญ่บ้านถือว่าเป็นผู้นําการปกครองในระดับหมู่บ้านหรือชุมชนขนาดเล็กท่ีมี
ประวัติความเป็นมาอย่างช้านานควบคู่ควบกับสังคมไทยต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กํานันและ
ผู้ใหญ่บ้านมีมาต้ังแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งในแต่ละเมืองจะมีการปกครองคือ๑) เจ้าเมือง
ปกครองหลายหมื่นหลังคาเรือน โดยมีปลัดเมืองเป็นผู้ช่วย ๒) นายแขวงหรือนายอําเภอปกครองราว
หม่ืนหลังคาเรือนขึ้นตางต่อเจ้าเมือง ๓) นายแคว้นหรือกํานันปกครองราวพันหลังคาเรือนข้ึนตรงต่อ
นายแขวงและ๔)นายบา้ นหรือผใู้ หญ่บา้ นปกครองหลายรอ้ ยหลงั คาเรือนและข้นึ ตรงต่อนายแคว้น

การตรากฎหมายเก่ียวกบั การปกครองทอ้ งท่ีของไทย

ในรอบศตวรรษท่ีผ่านมาได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการปกครองท้องท่ี
จํานวน๑๔ ฉบับด้วยกัน โดยล่าสุดคือพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องท่ี (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ.
๒๕๕๒ดังตอ่ ไปน้ี

๑. พระราชบัญญัติลกั ษณะปกครองท้องท่ี ร.ศ.๑๑๖
๒. พระราชบัญญัติลกั ษณะปกครองทอ้ งที่ พ.ศ.๒๔๕๗
๓. พระราชบญั ญัตลิ ักษณะปกครองท้องท(ี่ แกไ้ ขเ้ พม่ิ เตมิ ฉบบั ท่ี๒) พ.ศ.๒๔๘๖
๔. พระราชบญั ญัตลิ กั ษณะปกครองทอ้ งท่ี( แกไ้ ข้เพิ่มเตมิ ฉบบั ๓)พ.ศ.๒๔๘๙
๕. พระราชบญั ญัติลกั ษณะปกครองทอ้ งที(่ แก้ไข้เพม่ิ เตมิ ฉบบั ๔)พ.ศ.๒๕๑๐
๖. ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบบั ท๓่ี เมษายน พ.ศ.๒๕๑๕
๗. พระราชบัญญัตลิ ักษณะปกครองทอ้ งที(่ แก้ไขเ้ พิม่ เติม ฉบบั ๕) พ.ศ.๒๕๑๖
๘. พระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครองท้องท่ี( แก้ไขเ้ พ่ิมเติม ฉบบั ๖)พ.ศ.๒๕๒๕
๙. พระราชบัญญัตลิ ักษณะปกครองท้องที(่ แก้ไข้เพม่ิ เติม ฉบบั ๗)พ.ศ.๒๕๒๗
๑๐. พระราชบัญญตั ิลกั ษณะปกครองทอ้ งท(ี่ แกไ้ ข้เพิม่ เติม ฉบับ๘)พ.ศ.๒๕๓๒
๑๑. พระราชบญั ญัตลิ กั ษณะปกครองท้องที(่ แก้ไข้เพม่ิ เติม ฉบับ๙)พ.ศ.๒๕๓๕
๑๒. พระราชบญั ญัติลกั ษณะปกครองทอ้ งท(่ี แก้ไข้เพิ่มเตมิ ฉบบั ๑๐) พ.ศ. ๒๕๔๒
๑๓. พระราชบัญญตั ลิ กั ษณะปกครองทอ้ งที(่ แก้ไข้เพมิ่ เตมิ ฉบับ๑๑)พ.ศ.๒๕๕๑
๑๔. พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่(แก้ไขเพ่ิมเติม ฉบับที่๑๒) พ.ศ.๒๕๕๒
พระราชบัญญัติลกั ษณะปกครองท้องท่ี ร.ศ.๑๑๖

๒.๓.๓ บทบาทและอาํ นาจหน้าท่ผี ใู้ หญ่บ้าน

กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน นับได้ว่าผู้นําท้องถ่ินท่ีมีบทบาทอันสําคัญย่ิงทั้งในปัจจุบัน ท่ีก่อให้เกิด
ประสิทธิภาพในการบริหารงาน ท้ังภาครัฐและประชาชนในวิถีทางที่จะนําไปสู่การปกครองในระบบ
ประชาธิปไตยอันเป็นแม่บทแบบการปกครองที่ประเทศของเราใช้อยู่ในปัจจุบันจากกการพิจารณา
พระราชบัญญัติฉบบั นี้จะเห็นได้ว่ามีเจตนารมณ์ เพอ่ื ให้มีกาํ นนั ผู้ใหญ่บา้ นเป็นเจ้าหน้าท่ีคอยตรวจตรา
ความทุกข์สุขของราษฎรตามพื้นบ้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นกําลังสําคัญอย่างหน่ึงในการปกครองบ้านเมือง

๓๕

นอกจากน้ันก็เพ่ือรักษาพระราชอํานาจตามกําหนดกฎหมายให้ประชาชนพ่ึงปฏิบัติตามด้วยความ
เรียบร้อยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องท่ี ร.ศ.๑๑๖ ประกาศใช้มาประมาณ ๑๗ ปี ก็ได้มีการ
ปรับปรุงใหม่ และได้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พุทธศักราช๒๔๕๗ ขึ้นใช้บังคับแทน
และเป็นหลักของการปกครองท้องท่ใี นประเทศไทยมาจนถึงปจั จบุ ัน

ปัจจุบันตามกฎหมายลักษณะปกครองท้องที่และตามกฎหมายอ่ืนที่ระบุอํานาจหน้าท่ีของ
ผู้ใหญ่บ้านไว้พบว่ามีมากมายท้ังในฐานนักปกครอง ที่มีหน้าท่ีบําบัดทุกข์ บํารุงสขุ ต่อประชาชนและใน
ฐานะนักพัฒนาเพ่ือสร้างความเจริญเติบโตให้แก่ชุมชนและท้องถ่ิน หน้าท่ีดังกล่าวจะเห็นได้จาก
ภารกิจในด้านการรักษาความสงบเรียบร้อย และสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ในยาม
เกิดวิกฤติการณ์ต่าง ๆ อันเป็นหน้าที่ท่ีมีมาตั้งแต่เดิมเม่ือพุทธศักราช ๒๔๕๗ เป็นต้นมา แต่อย่างไรก็
ตามเหตุการณ์บ้านเมืองได้เปลี่ยนแปลงไป บทบาทหน้าที่บางอย่างได้ลดลงไปโดยมีหน่อยงานที่ทํา
หน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเข้ามาดูแลแทนที่ แต่ขณะเดียวกันก็มีบทบาทใหม่เพิ่มข้ึน เช่น ในเร่ืองของ
กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องท่ี พุทธศักราช ๒๔๕๗ ตาม
พระราชบัญญตั ลิ ักษณะปกครองท้องที่ ได้กําหนดอํานาจ หนา้ ทข่ี องกาํ นันผใู้ หญ่บา้ นไว้ตั้งต่อไปน้ี

๑. ดา้ นการปกครองและรกั ษาความสงบเรยี บร้อยของราษฎร

ตามมาตร ๑๐ กํานันผู้ใหญ่บ้านมีอํานาจหน้าที่เกี่ยวกับการปกครองและรักษาความสงบ
เรียบร้อยของราษฎร ดังน้ี ผู้ใหญ่บ้านมรอํานาจหน้าท่ีปกครองราษฎรที่อยู่ในเขตหมู่ผู้ใหญ่บ้านเป็น
หัวหน้าของราษฎรในหมู่บ้านของตนมอี ํานาจและหน้าที่ในการปกครอง และรักษาความสงบเรยี บรอ้ ย
ของราษฎร์ กล่าว (มาตรา ๒๗) รักษาความสงบและความสุขสําราญช่วยป้องกันความทุกข์ภัยของ
ลกู บา้ นตามสมควรและสามารถจะทําได้

๒. ดา้ นการท่ีเกยี่ วดว้ ยความอาญา

ในมาตรา ๒๘ ตามกฎหมายว่าดว้ ยลักษณะปกครองทอ้ งท่ีได้กําหนดให้ผู้ใหญบ่ ้านมหี น้าท่ี
ในการเกี่ยวด้วยความอาญา ดังต่อไปนี้ เม่ือทราบข่าวว่ามีการกระทําผิดกฎหมายเกิดข้ึนหรือสงสัยว่า
ได้เกิดขึ้นในหมู่บ้านขิงตนต้องแจ้งความต่อกํานัน นายตําบลให้ทราบเมื่อทราบเม่ือทราบข่าวว่ามีการ
กระทําผิดกฎหมายเกิดข้ึนหรือสงสัยว่าได้เกิดขึ้นในหมู่บ้านท่ีใกล้เคียงต้องแจ้งความต่อผู้ใหญ่บ้านน้ัน
ให้ทราบ เมื่อตรวจพบของกลางท่ีผู้กระทําผิดกฎหมายมีอยู่ก็ดี หรือสิ่งของที่สงสัยว่าได้มาการกระทํา
ผิดกฎหมายหรือเป็นส่ิงของสําหรับใช้ในการกระทําผิดกฎหมายก็ดี ให้จับส่ิงน้ันไว้และรีบนําส่งต่อ
กํานนั นายตําบล หรอื มีเหตุสมควรสงสัยวา่ เป็นผทู้ ี่ไดก้ ระทําผิดกฎหมายก็ดี ให้จับตวั ผนู้ ั้นไว้น้ันเอง

๓. ดา้ นงานทะเบยี น

ในมาตรา ๒๗ ข้อ ๔ ตามกฎวา่ ดว้ ยลกั ษณะปกครองท้องทีไ่ ด้กาํ หนดให้กํานนั ผใู้ หญ่บ้านมี
อํานาจหน้าที่เก่ียวกับงานทะเบียน หน้าท่ีของผู้ใหญ่บ้านจะต้องทําบัญชีสํามะโนครัวภายในหมู่บ้าน
และคอยแก้ไขบัญชีให้ถูกต้องเสมอ ถ้ามีคนจรแปลกหน้านอกสํามะโนครัวน้ันเข้ามาอาศัย เป็นหน้าท่ี
ของผู้ใหญ่บ้านท่ีจะต้องไต่ถาม ให้รู้จักตัวตนและรู้เหตุการณ์ที่มาอาศัย ถ้าเห็นว่าไม่ได้มาโดยสุจริตให้
เอาตัวผู้นั้นส่งกํานันนายตําบลของตน (มาตรา๒๗ ข้อ ๖) ให้กํานันดูแลคนเดินทาง ซึ่งไม่มีเหตุควร
สงสัยว่าจะเป็นผู้ร้ายให้ได้ที่พักตามสมควร (มาตรา ๓๘) ถ้าผู้เดินทางด้วยราชการจะต้องการคนนํา

๓๖

ทางหรือขาดแคลนพาหนะ เสบียงอาหารในระหว่างทางและจะขอต่อกํานันให้ช่วยสงเคราะห์ กํานัน
จะตอ้ งช่วยจดั หาใหต้ ามท่ีหาได้ ถ้าหากว่าการช่วยเหลือจะตอ้ งออกราคาจ้างเพียงใดให้กํานนั เรยี กเอา
กบั ผู้เดินทางน้ัน อีกข้อ กํานันผู้ใหญ่บ้าน ต้องรักษาบัญชีสํามะโนครัวและทะเบียนบัญชีของรัฐบาลใน
ตําบลนัน้ และคอยเพ่มิ เติมใหถ้ ูกตอ้ งตรงตามบัญชีของผู้ใหญบ่ า้ น

๔. ดา้ นการพฒั นาตําบลและสง่ เสรมิ อาชีพของราษฎร

๑) ชี้แจ้งให้ประชาชนเห็นความสําคัญของที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
สําหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ซึ่ง ในอนาคตเม่ือบ้านเมืองเจริญข้ึนจํานวนของประชาชนก็จะเพ่ิมมากขึ้น
เป็นลาํ ดบั เมอ่ื ถงึ เวลานน้ั แลว้ จะไม่มีทด่ี นิ สาธารณะประโยชน์สําหรบั สาธารณชนใช้รว่ มกัน

๒) ตรวจสอบท่ีดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกันจาก
ทะเบียนเดิมให้เป็นปัจจุบันกํานันท้องที่เป็นคณะกรรมการที่อําเภอตั้งแต่งร่วมกับปลัดอําเภอที่ดิน
อาํ เภอ และปา่ ไม้อําเภอดําเนินการสอบสวน ตรวจสอบทะเบียนทีด่ นิ สาธารณประโยชน์

๓) ทําการพัฒนาท่ีดินสาธารณประโยชน์ โดยประสานงานกับอําเภอ เพ่ือขอความ
ร่วมมือจากข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนและมวลชนในท้องที่ ขุดคู ทําถนน ปลูกต้นไม้โดยรอบท่ีดิน
สาธารณประโยชน์ อาจจะจัดทําในรูปแบบโครงการงบประมาณของทางราชการสนับสนุนอยู่แล้ว
หรือการพัฒนาท้องถ่ินในโอกาสอันควร เช่น วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันฉัตรมงคล วันจักรี เป็นต้น
หรอื อนื่ ๆ

๔) เสนอให้อําเภอพิจารณาในการใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์ เพราะอําเภออาจนํา
ท่ีดินสาธารณประโยชน์ไปใช้เป็นสนามกีฬาหรือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจหรืออาจนําไปใช้เป็น
ประโยชน์ในด้นเศรษฐกิจแก่ส่วนรวม เช่น ใช้เป็นแปลงทดสอบปลูกพืชผักชนิดต่าง ๆ ใช้เป็นสถานที่
กลางสําหรับนําสินค้าไปจําหน่าย ใช้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ หรือใช้บางส่วนเป็นแหล่งสาธารณะประจํา
ตาํ บลหมบู ้าน เป็นต้น

๕) ช่วยเหลืออําเภอตรวจตราดูแลมิให้บุคคลหรือหน่วยราชการใดเข้าไปใช้ที่ดิน
สาธารณประโยชน์ กอ่ นจะได้รับอนุมัตจิ ากกระทรวงมหาดไทย กรณีมีผู้บุกรกุ ครอบครองทาํ ประโยชน์
มิชอบในท่ีดินดังกล่าว ให้รายงานให้อําเภอทราบ เพ่ือรีบดําเนินการแก้ไขทันทีก่อนที่ปัญหาจะเพ่ิม
มากขน้ึ

๒.๓.๔ อํานาจหนา้ ทขี่ องกาํ นัน ผู้ใหญบ่ า้ นตามกฎหมายอนื่ ๆ

อํานาจหน้าที่การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพ แบ่งออกได้เป็น ด้านเกษตรกรรม กฎหมายท่ี
เกีย่ วข้อง ไดแ้ ก่

๑. ประมวลกฎหมายท่ีดิน ผู้ใหญ่บ้านอาจได้รับมอบหมายให้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานที่ดิน
ในการรางวัดที่ดิน ออกหนังสือสําคัญ (นส.) หรอื โฉนด หรือการแบ่งแยก โอน ซื้อ ขายท่ดี ิน ซึ่งในการ
นีอ้ าจได้รับค่าป่วยการจากทางราชการ (กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับวันที่ ๓๒ พ.ศ.๒๕๒๒) ออกตาม
ความให้ใช้ พระราชบัญญัติกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ ด้วยผู้ใหญ่บ้านในฐานะผู้ปกครองท้องที่ มี
หน้าท่ีตรวจตราดูแลที่ดินของรัฐ มิให้บุคคลใดกระทําการ ดังน้ี เข้าไปยึดถือครอบครองรวมถึงการ
กอ่ สร้างหรือเผ่าป่า ทาํ ลายหรอื ทําให้ทด่ี ิน ท่ีหิน ท่ีกรวด หรอื ท่ีทราย เส่ือมสภาพในบริเวณท่ีประกาศ

๓๗

หวงห้าม ทําสิ่งหน่ึงส่ิงใดอันเป็นอันตรายแก่ทรัพยากรในท่ีดิน เม่ือพบการกระทําผิดกฎหมายดังกล่าว
ให้รายงานอําเภอทราบเพอื่ ทําการจับกุม

๒. พระราชบัญญัติเช่าที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ.๒๕๒๔ ผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านท่ีอยู่ใน
ท้องท่ี ที่มีการเช่าท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม เป็นคณะกรรมการเช่าท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมประจําตําบล
(คชก.ตาํ บล) โดยตําแหน่งมอี าํ นาจหน้าที่กําหนดอัตราค่าเชา่ ขน้ั สูงของแตล่ ะพนื้ ท่ี พิจารณาวินิจฉยั ข้อ
พิพาทเก่ียวกับการเรียกเก็บค่าเช่า การชําระค่าเช่า ระยะเวลาของการเช่า ตลอดจนข้อพิพาทอ่ืนหรือ
ค่าเสียหายจากการเช่า ตามคําขอของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า และมีคําส่ังใดๆ ให้ผู้เช่า หรือผู้ให้เช่าปฏิบัติ
หรือมิให้ปฏิบัติการใดๆ เพื่อเกิดผลตามคําวินิจฉัยอํานาจหน้าที่ตามที่คณะกรรมการเช่าท่ีดิน เพ่ือ
เกษตรกรรมประจําจังหวัด (คชก.จังหวัด) มอบหมาย กฎหมายกําหนดให้ คชก. เป็นเจ้าพนักงานตาม
ประมวลกฎหมายอาญามีอํานาจเรียก ผู้เช่า ผู้ให้เช่า หรือผู้ท่ีเก่ียวข้องมาให้ถ้อยคําหรือชี้แจ้งหรือส่ง
เอกสารหลักฐานท่ีเกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคําหรือช้ีแจ้ง หรือส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับการเช่ามา
ประกอบการพิจารณาได้

๓. พระราชบัญญัติปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ การปฏิรูปท่ีดินเป็นการ
ปรับปรุงเก่ียวกับสิทธิและการถือครองในที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม รวมถึงการจัดที่อยู่อาศัยในท่ีดิน โดย
รัฐนําที่ดินของรัฐหรือท่ีรัฐซ้ือหรือเวนคืนจากเจ้าของเดิม ซ่ึงมิได้ทําประโยชน์ในท่ีดินน้ันด้วยตนเอง
หรือมีท่ีดินเกินสิทธิ เพ่ือจัดให้แก่เกษตรกรผู้ไม่มีท่ีดินของตนเอง หรือเกษตรกรที่มีท่ีดินไม่เพียงพอแก่
การครองชีพ การกําหนดเขตท่ีดินในท้องที่ได้ในเขตปฏิรูปที่ดินให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา โดยมี
แผนที่แสดงเขตและระบุท้องท่ีที่อยู่ในเขตปฏิรูปท่ีดิน โดยให้ถือเอาเขตอําเภอเป็นหลักที่ดิน ที่บุคคล
ได้รับสิทธิ์ โดยการปฏิรูปที่ดินจะทําการแบ่งแยกหรือโอนสิทธิในท่ีดินนั้นไปยังผู้อ่ืนมไิ ด้ เว้นแต่เป็นแต่
การตกทอดแก่ทายาทโดยธรรม เชน่ ลกู หลาน บดิ า มารดา พี่ นอ้ ง ลุง ปา้ น้า อา เปน็ ต้น

๔. พระราชบัญญัติจัดรูปท่ีดินเพื่อการเกษตร พ.ศ. ๒๕๒๗ การจัดรูปที่ดินเป็นการ
ดําเนินงานพัฒนาที่ดินที่ใช้เพื่อเกษตรกรรมให้สมบูรณ์ทั่วถึงที่ดินทุกแปลง เพ่ือเพิ่มผลผลิตและลด
ต้นทุนการผลิต โดยทําการรวบรวมที่ดินหลายแปลงในบริเวณเดียวกัน เพื่อวางผังจัดรูปท่ีดินเสียใหม่
เขตโครงการจัดรูปท่ีดินในท้องท่ีใดให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา พร้อมทั้งรายช่ือเจ้าของหรือผู้
ครอบครองโดยชอบธรรมตามกฎหมาย และแผนท่ีท่ีแสดงเขตโครงการจัดรูปท่ีดิน (เป็นงานในหน้าท่ี
ของกรมชลประทาน) นายอําเภอและปลัดอําเภอผู้เป็นหัวหน้าประจําก่ิงอําเภอ อําเภอท้องที่ที่มีการ
จัดรูปท่ีดินเป็นกรรมการจัดรูปท่ีดินจังหวัด อาจมอบหมายให้กํานันผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้ช่วยเหลือในการ
ดาํ เนนิ งาน เพือ่ ให้เปน็ ไปตามวตั ถุประสงค์ของการจดั รปู ทด่ี ินได้

๕. ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการชวยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน พ.ศ.
๒๕๒๘ ตามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรี ท่ี ๒๒๒/๒๕๒๖ ลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๖ แต่งตั้ง
คณะกรรมการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ยากจน (กชก.) โดยกํานัน (ตําบลที่ผู้ร้องมีภูมิลําเนาหรือที่ดิน
พิพาทต้ังอยู่) เป็นอนุกรรมการส่วนอําเภอ (อชก.ส่วนอําเภอ) ที่ทําการปกครองอําเภอเป็นเจ้าของ
เร่ืองมีอํานาจหน้าท่ีพิจารณาช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน ผู้ท่ีได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย
เกีย่ วหนี้สนิ ทด่ี ินทาํ กิน และคดคี วามต่าง ๆ โดยสํานกั งานกลางชว่ ยเหลอื เกษตรผูย้ ากจน

๖. พระราชบัญญัติการชลประทานราษฎร์ พ.ศ.๒๔๘๒ การชลประทานรากษฎร
หมายความว่า การชนประทานที่ราษฎรได้ร่วมกันจัดทําข้ึนเพ่ือประโยชน์แก่การเพาะปลูกของราษฎร


Click to View FlipBook Version