การมสี ว่ นรว่ มในกิจกรรมทางการเมอื งของประชาชนตําบลโคกสี
อําเภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแก่น
THE PARTICIPATION IN POLITICAL ACTIVITIES OF THE PEOPLE OF
KHOK SI SUBDISTRICT, MUEANG DISTRICT, KHON KAEN PROVINCE
นายสวาท ฮาดภกั ดี
วทิ ยานิพนธน์ ี้เป็นสว่ นหน่งึ ของการศึกษา
ตามหลักสตู รรัฐศาสตรมหาบณั ฑิต
บณั ฑิตวทิ ยาลัย
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๓
การมสี ่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตาํ บลโคกสี
อาํ เภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแกน่
นายสวาท ฮาดภกั ดี
วิทยานิพนธน์ เ้ี ป็นส่วนหนง่ึ ของการศึกษา
ตามหลักสตู รรฐั ศาสตรมหาบณั ฑิต
บณั ฑิตวทิ ยาลยั
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
พุทธศักราช ๒๕๖๓
(ลิขสิทธิเ์ ป็นของมหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย)
The Participation in Political Activities of the People of
Khok Si Subdistrict, Mueang District, Khon Kaen Province
Mr. Sawat Hadpagdee
A Thesis Submitted in Partial Fulfillment of
the Requirements for the Degree of
Master of Political Science
Graduate School
Mahachulalongkornrajavidyalaya University
C.E. 2020
(Copyright by Mahachulalongkornrajavidyalaya University)
ก
ชื่อวิทยานพิ นธ์ : การมีส่วนร่วมในกจิ กรรมทางการเมอื งของประชาชนตําบลโคกสี
อาํ เภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ผวู้ ิจยั : นายสวาท ฮาดภกั ดี
ปรญิ ญา : รฐั ศาสตรมหาบณั ฑติ
คณะกรรมการควบคมุ วทิ ยานพิ นธ์
วันสําเรจ็ การศึกษา : ผศ. ดร.สรุ พล พรมกลุ , ป.ธ. ๕, พธ.บ (การสอนสังคมศึกษา),
ศศ.ม. (สงั คมศาสตรเ์ พ่อื การพฒั นา), ศน.ม. (รฐั ศาสตร์การปกครอง),
Ph.D. (Social Science)
: ดร.ปรชั ญา มโี นนทองมหาศาล, น.บ. (นิติศาสตร)์ , น.ม. (นติ ิศาสตร)์ ,
ศศ.ม. (รัฐศาสตร์), Ph.D. (Political Science)
: ๑๔ มถิ นุ ายน ๒๕๖๔
บทคัดยอ่
การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) ศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง
ของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ๒) เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทาง
การเมืองของประชาชนตําบลโคกสี ตามหลักสัปปุริสธรรม ๓) เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในกิจกรรม
ทางการเมอื งของประชาชนตาํ บลโคกสี อาํ เภอเมือง จงั หวดั ขอนแกน่ ๔) ศกึ ษาแนวทางการมีส่วนรว่ ม
ในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นการวิจัยแบบ
ผสานวิธี คือ การวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง จํานวน ๓๘๓ คน ผู้ให้
ข้อมูลสําคัญ จํานวน ๑๕ คน สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย
และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ ความแปรปรวนทางเดียว (One
way analysis of variance) และใช้เทคนคิ การวิเคราะหเ์ น้ือหา ประกอบบริบท
ผลการวิจยั พบว่า
๑) การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัด
ขอนแก่น โดยภาพรวมอยูใ่ นระดบั มาก
๒) การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัด
ขอนแก่นตามหลกั สัปปรุ สิ ธรรม ๗ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก
๓) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของ
ประชาชน พบว่าตัวแปรอิสระประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉล่ียต่อ
เดือนทกุ ตัวมคี วามแตกต่างกันอยา่ งมนี ยั สาํ คัญทางสถิติทร่ี ะดับ ๐.๐๕ ซึง่ เป็นไปตามสมมติฐานที่ตัง้ ไว้
๔) แนวทางการมีส่วนรว่ มในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง
จังหวัดขอนแก่น ควรประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรม ๗ ในกิจกรรมทางการเมืองด้านต่าง ๆ
ประกอบด้วย ด้านการลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง ด้านกิจกรรมการรณรงค์หาเสียง ด้านการติดต่อใน
ฐานะของพลเมอื ง
ข
Thesis Title : The Participation in Political Activities of the People of
Khok Si Subdistrict, Mueang District, Khon Kaen Province
Researcher : Mr. Sawat Hadpagdee
Degree : Master of Political Science
Thesis Supervisory Committee
: Assist. Prof. Dr. Suraphon Promgun, Pali V,
B.A. (Social Study Teaching),
M.A. (Social Sciences for Development),
M.A. (Political Science), Ph.D. (Social Science)
: Dr. Pruchya Meenonthongmahasan, Bachelor of Laws,
Master of Laws, M.A. (Political science),
Ph.D. (Political science)
Date of Graduation : June 14, 2021
Abstract
This research aimed 1) to study the level of participation in political
activities of the people of Khok Si Sub-district, Muang District, Khon Kaen Province;
2) to compare the participation in political activities of the people of Khok Si Sub-
district; 3) to study participation in political activities of the people of Khok Si
Subdistrict based on the Seven Sappurisadhamma (Virtues of the Gentleman) ; 4) to
study the way of participation in political activities of people in Khok Si Sub-district.
This study was carried out by means of mixed research methodologies: quantitative
and qualitative. The sample consisted of 383 participants and 15 key informants.
The statistics used for data analysis were: Frequency, Percentage, Mean, Standard
Deviation and t-test (One-Way Analysis of Variance). The tools used in data
collection included questionnaire and in-depth interview. The obtained data were
interpreted by contextual content analysis techniques.
The results of the research were as follows:
1) The participation in political activities of the people of Khok Si Subdistrict
overall was statistically rated at a high level.
2) The results of comparing opinions on participation in political activities
of the people revealed that the independent variables consisting of sex, age,
education level, occupation, and average monthly income were all significantly
different at the level of 0.05, according to the hypothesis.
ค
3) The participation in political activities of the people of Khok Si Subdistrict
according to the principle of the Seven Sappurisadhamma overall was rated at a high
level.
4) The guideline for participation in political activities of people in Khok Si
Subdistrict is that the Seven Sappurisadhamma has been applied to various political
activities including voting, electoral campaign, and contact as a citizen.
ง
กิตติกรรมประกาศ
วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี ด้วยความเมตตาอนุเคราะห์ของคณะกรรมการที่
ปรึกษาวิทยานิพนธ์ ประกอบด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ผศ.ดร.สุรพล พรมกูล และอาจารย์ ดร.ปรัชญา
มโี นนทองมหาศาล ที่ได้กรุณาให้คําปรกึ ษา แนะนํา ดูแลเอาใจใส่ให้ความช่วยเหลือในการปรบั ปรงุ แก้ไข
มาดว้ ยดีโดยตลอด
ขอกราบขอบพระคุณพระครูสุตธรรมภาณี, ผศ., ผศ. ดร.วิทยา ทองดี, ผศ.ดร. นิเทศ
สนั่นนารี, ผศ.ดร.ชาญชัย ฮวดศรี, ดร.สมควร นามสีฐาน และ ดร.ธีร์ดนัย กัปโก ที่กรุณาเป็น
ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบเครื่องมือวิจัย กรุณาเสียสละเวลาอันมีค่า ช่วยตรวจสอบความถูกต้อง ทั้ง
ด้านภาษา เน้ือหา ระเบียบวิธี และเคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย
ขอขอบคณุ กลมุ่ ตวั อย่างในการวิจัยท่ไี ดใ้ หค้ วามรว่ มมอื เป็นอยา่ งดีในการตอบแบบสอบถาม
สดุ ท้ายขอขอบพระคุณ พระอาจารย์ทุกรูปและอาจารย์คณะสังคมศาสตรท์ ุกท่าน ตลอดจนเจ้าหน้าทที่ ุก
คนท่ใี ห้ความรู้ ประสบการณ์ รวมถึงใหค้ วามเมตตาเอ้อื เฟื้อถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ และเป็นกําลังใจ
ใหแ้ ก่ผู้วิจยั ตลอดมา
คุณความดีรวมถึงการทําประโยชน์ใด ๆ อันเกิดจากวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบบูชา
เป็นกตเวทิตาคุณแก่มารดาบิดา ญาติมิตร สหาย และเพื่อนท้ังบรรพชิตและคฤหัสถ์ ที่เป็นกําลังใจ
และใหก้ ารสนับสนนุ ทุกเรื่อง
นายสวาท ฮาดภักดี
๑๔ มถิ นุ ายน ๒๕๖๔
สารบัญ จ
เร่ือง หน้า
บทคดั ย่อภาษาไทย ก
บทคัดยอ่ ภาษาองั กฤษ ข
กิตตกิ รรมประกาศ ง
สารบญั จ
สารบัญตาราง ช
สารบญั แผนภาพ ฎ
คาํ อธบิ ายสัญลกั ษณแ์ ละคาํ ยอ่ ฏ
บทที่ ๑ บทนํา ๑
๑.๑ ความเปน็ มาและความสาํ คญั ของปญั หา ๑
๑.๒ วัตถปุ ระสงคก์ ารวิจัย ๓
๑.๓ สมติฐานการวจิ ัย ๓
๑.๔ ขอบเขตการวจิ ยั ๔
๑.๕ นิยามศัพทเ์ ฉพาะท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ๔
๑.๖ ประโยชน์ทไี่ ดร้ ับจากการวิจยั ๕
บทที่ ๒ เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วข้อง ๖
๒.๑ แนวคิดเกย่ี วกับการเมืองในระบอบประชาธปิ ไตย ๖
๒.๒ แนวคดิ และทฤษฎีเกยี่ วกับการมีสว่ นรว่ มทางการเมอื ง ๑๖
๒.๓ แนวคดิ การมสี ว่ นร่วมในกจิ กรรมทางการเมือง ๓๓
๒.๔ สภาพพื้นท่กี ารวิจยั ๕๗
๒.๕ งานวิจัยทเ่ี ก่ียวข้อง ๖๐
๒.๖ กรอบแนวคิดในการวจิ ยั ๗๑
บทที่ ๓ วิธีดาํ เนนิ การวิจยั ๗๓
๓.๑ ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ๗๓
๓.๒ ตัวแปรทีใ่ ช้ในการวิจัย ๗๔
๓.๓ เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ยั ๗๕
๓.๔ การสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพเครือ่ งมอื ๗๕
๓.๕ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ๗๖
๓.๖ การวิเคราะหข์ อ้ มูล ๗๗
๓.๗ สถติ ทิ ีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย ๗๘
ฉ
บทที่ ๔ ผลการวิจยั ๘๐
๔.๑ ปัจจัยสว่ นบคุ คลของผตู้ อบแบบสอบถาม ๘๐
๔.๒ ผลการวิเคราะห์ระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวดั ขอนแกน่ โดยพจิ ารณาเป็นรายด้าน ๘๓
๔.๓ ผลระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี
อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ตามหลักสัปปุริสธรรม ๗ ๘๖
๔.๔ ผลการเปรียบเทียบการมสี ่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบล
โคกสี อาํ เภอเมือง จังหวัดขอนแกน่ ๙๒
๔.๕ ผลการวิเคราะห์แบบสัมภาษณ์แนวทางการมสี ่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง
ของประชาชนตาํ บลโคกสี อาํ เภอเมอื ง จังหวดั ขอนแก่น ๑๑๔
๔.๖ องค์ความร้ทู ่ีได้รบั จากการวจิ ัย ๑๑๗
บทท่ี ๕ สรปุ อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ ๑๑๘
๕.๑ สรุปผลการวจิ ัย ๑๑๘
๕.๒ อภปิ รายผล ๑๓๒
๕.๓ ขอ้ เสนอแนะ ๑๓๘
บรรณานกุ รม ๑๔๐
ภาคผนวก ๑๔๗
ภาคผนวก ก หนงั สือขอความอนเุ คราะหเ์ ป็นผู้เช่ียวชาญตรวจสอบเครอื่ งมอื การวจิ ัย ๑๔๘
ภาคผนวก ข แบบสอบถามเพือ่ การวิจยั ๑๕๔
ภาคผนวก ค ผลการวเิ คราะหค์ า่ IOC หรือผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล ๑๖๕
ภาคผนวก ง คา่ เฉลี่ยของผตู้ อบแบบสอบถาม ๓๐ ชุด (Try Out) ๑๖๙
ประวตั ผิ ูว้ ิจยั ๑๗๓
ช
สารบญั ตาราง
ตารางท่ี หน้า
ตารางที่ ๒.๑ แสดงสรปุ แนวคิดเก่ยี วกับการเมอื งในระบอบประชาธิปไตย ๑๕
ตารางที่ ๒.๒ แสดงสรุปแนวคดิ และทฤษฎเี กย่ี วกบั การมีส่วนร่วมทางการเมอื ง ๑๙
ตารางที่ ๒.๓ แสดงสรุปสาระสาํ คญั เกีย่ วกับการมสี ่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ๓๒
ตารางท่ี ๒.๔ แสดงสรุปสาระสําคัญเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของ
ประชาชน ๓๙
ตารางที่ ๒.๕ แสดงการปกครองจําแนกตามหมู่บ้าน ๕๘
ตารางที่ ๒.๖ แสดงจาํ นวนผู้มสี ิทธเิ์ ลอื กต้ังจําแนกตามหมบู่ า้ น ๕๙
ตารางท่ี ๒.๗ แสดงจาํ นวนประชากรจําแนกตามรายหม่บู า้ น ๕๙
ตารางที่ ๓.๑ แสดงรายช่ือผู้ให้ข้อมูลสาํ คญั ๗๔
ตารางที่ ๔.๑ จาํ นวนรอ้ ยละผ้ตู อบแบบสอบถาม จาํ แนกตาม เพศ ๘๐
ตารางท่ี ๔.๒ จาํ นวนรอ้ ยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จําแนกตาม อายุ ๘๑
ตารางที่ ๔.๓ จาํ นวนรอ้ ยละของผู้ตอบแบบสอบถามจาํ แนกตาม ระดับการศึกษา ๘๑
ตารางท่ี ๔.๔ จํานวนรอ้ ยละผ้ตู อบแบบสอบถาม จาํ แนกตาม อาชพี ๘๒
ตารางที่ ๔.๕ จํานวนรอ้ ยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จําแนกตาม รายได้ต่อเดอื น ๘๒
ตารางที่ ๔.๖ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
โดยภาพรวม ๘๓
ตารางท่ี ๔.๗ ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ดา้ นการลงคะแนนเสียงเลือกตงั้ ๘๓
ตารางที่ ๔.๘ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ดา้ นกจิ กรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตง้ั ๘๔
ตารางที่ ๔.๙ ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทาง
การเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ด้านการ
ติดตอ่ ในฐานะของพลเมือง ๘๕
ตารางที่ ๔.๑๐ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ตามหลกั สปั ปรุ สิ ธรรม ๗ โดยภาพรวม ๘๖
ตารางที่ ๔.๑๑ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ตามหลกั สปั ปรุ ิสธรรม ๗ ด้านความเปน็ ผู้รูจ้ กั เหตุ ๘๗
ซ
ตารางท่ี ๔.๑๒ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมใน ๘๘
กิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ๘๘
ตามหลกั สปั ปรุ สิ ธรรม ๗ ดา้ นความเปน็ ผรู้ จู้ กั ผล ๘๙
๙๐
ตารางที่ ๔.๑๓ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมใน ๙๑
กิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ๙๑
ตามหลักสัปปรุ ิสธรรม ๗ ดา้ นความเป็นผู้รู้จักตนเอง ๙๒
๙๓
ตารางท่ี ๔.๑๔ ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมใน ๙๔
กิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ๙๕
ตามหลักสัปปรุ ิสธรรม ๗ ด้านความเป็นผรู้ ู้จกั ประมาณ ๙๖
๙๗
ตารางท่ี ๔.๑๕ ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ตามหลกั สปั ปรุ ิสธรรม ๗ ด้านความเป็นผู้รู้จักกาลเวลา
ตารางที่ ๔.๑๖ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ตามหลักสปั ปรุ สิ ธรรม ๗ ด้านความเป็นผู้รูจ้ ักชุมชน
ตารางท่ี ๔.๑๗ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ตามหลกั สปั ปรุ ิสธรรม ๗ ดา้ นความเป็นผรู้ ้จู กั บคุ คล
ตารางท่ี ๔.๑๘ ผลการเปรยี บเทยี บความคดิ เหน็ ต่อการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมอื งของ
ประชาชนตําบลโคกสี อาํ เภอเมอื ง จงั หวัดขอนแกน่ จําแนกตามเพศ
ตารางท่ี ๔.๑๙ ผลการเปรียบเทยี บความคิดเห็นต่อการมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อาํ เภอเมอื ง จงั หวัดขอนแก่น จําแนกตามอายุ
ตารางที่ ๔.๒๐ ผลการเปรียบเทยี บความคดิ เหน็ ต่อการมสี ว่ นร่วมในกจิ กรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามอายุ โดย
ภาพรวม
ตารางท่ี ๔.๒๑ ผลการเปรียบเทยี บความคิดเห็นต่อการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมอื งของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามอายุ ด้านการ
ลงคะแนนเสยี ง
ตารางที่ ๔.๒๒ ผลการเปรยี บเทยี บความคิดเห็นต่อการมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมทางการเมอื งของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามอายุ ด้าน
กจิ กรรมการรณรงค์หาเสยี ง
ตารางท่ี ๔.๒๓ ผลการเปรียบเทียบความคิดเหน็ ต่อการมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามอายุ ด้านการ
ติดต่อในฐานะของพลเมือง
ฌ
ตารางท่ี ๔.๒๔ ผลการเปรยี บเทยี บความคิดเหน็ ต่อการมีส่วนร่วมในกจิ กรรมทางการเมอื งของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตาม ระดับ
การศกึ ษา ๙๘
ตารางท่ี ๔.๒๕ ผลการเปรียบเทยี บความคิดเหน็ ต่อการมีส่วนรว่ มในกิจกรรมทางการเมอื งของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามอายุ โดย
ภาพรวม ๙๙
ตารางที่ ๔.๒๖ ผลการเปรียบเทียบความคดิ เหน็ ต่อการมีส่วนรว่ มในกิจกรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามอายุ ด้านการ
ลงคะแนนเสยี ง ๑๐๐
ตารางที่ ๔.๒๗ ผลการเปรียบเทียบความคดิ เห็นต่อการมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามอายุ ด้าน
กิจกรรมการรณรงคห์ าเสียง ๑๐๑
ตารางท่ี ๔.๒๘ ผลการเปรียบเทยี บความคิดเหน็ ต่อการมสี ว่ นร่วมในกจิ กรรมทางการเมอื งของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามอายุ ด้านการ
ตดิ ต่อในฐานะของพลเมือง ๑๐๒
ตารางที่ ๔.๒๙ ผลการเปรียบเทียบความคดิ เหน็ ต่อการมีส่วนรว่ มในกิจกรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมอื ง จงั หวัดขอนแก่น จําแนกตาม อาชพี ๑๐๓
ตารางที่ ๔.๓๐ ผลการเปรยี บเทียบความคิดเหน็ ต่อการมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามอาชีพ โดย
ภาพรวม ๑๐๔
ตารางท่ี ๔.๓๑ ผลการเปรียบเทียบความคดิ เห็นต่อการมสี ว่ นร่วมในกจิ กรรมทางการเมอื งของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามอาชีพ ด้าน
การลงคะแนนเสียง ๑๐๕
ตารางท่ี ๔.๓๒ ผลการเปรียบเทยี บความคดิ เหน็ ต่อการมสี ว่ นรว่ มในกิจกรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามอาชีพ ด้าน
กจิ กรรมการรณรงค์หาเสยี ง ๑๐๖
ตารางที่ ๔.๓๓ ผลการเปรียบเทียบความคดิ เหน็ ต่อการมีสว่ นรว่ มในกิจกรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามอาชีพ ด้าน
การตดิ ต่อในฐานะของพลเมอื ง ๑๐๘
ตารางที่ ๔.๓๔ ผลการเปรียบเทยี บความคิดเห็นต่อการมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตาม รายได้เฉล่ีย
ต่อเดือน ๑๐๙
ญ
ตารางท่ี ๔.๓๕ ผลการเปรยี บเทยี บความคิดเห็นต่อการมสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมทางการเมอื งของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามรายได้เฉลี่ย
ต่อเดอื น โดยภาพรวม ๑๑๐
ตารางที่ ๔.๓๖ ผลการเปรียบเทียบความคิดเหน็ ต่อการมีส่วนร่วมในกจิ กรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามรายได้เฉลี่ย
ตอ่ เดอื น ดา้ นการลงคะแนนเสยี ง ๑๑๑
ตารางที่ ๔.๓๗ ผลการเปรยี บเทยี บความคิดเหน็ ต่อการมีสว่ นร่วมในกจิ กรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามรายได้เฉลี่ย
ต่อเดือน ดา้ นกิจกรรมการรณรงค์หาเสยี ง ๑๑๒
ตารางท่ี ๔.๓๘ ผลการเปรียบเทียบความคดิ เห็นต่อการมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมทางการเมอื งของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามรายได้เฉล่ีย
ต่อเดือน ดา้ นการตดิ ตอ่ ในฐานะของพลเมอื ง ๑๑๓
สารบญั แผนภาพ ฎ
แผนภาพที่ หน้า
แผนภาพท่ี ๒.๑ กรอบแนวคดิ ในการวิจยั ๗๒
แผนภาพที่ ๔.๑ แสดงองคค์ วามรู้ท่ไี ดจ้ ากงานวิจยั ๑๑๗
ฏ
คําอธบิ ายสัญลกั ษณ์และคําย่อ
ในวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ ใช้พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ในการอ้างอิงระบุ เล่ม/ข้อ/หน้า หลังคําย่อช่ือคัมภีร์ เช่น ที.สี. (ไทย) ๙/๒๗๖/๙๘. หมายถึง ทีฆ
นิกายสลี ขนั ธวรรค ภาษาไทย เลม่ ๙ ขอ้ ๒๗๖ หน้า ๙๘ ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ๒๕๓๙
ก. คําย่อชื่อคมั ภรี ์พระไตรปิฎก
พระสุตตันตปฎิ ก
คําย่อ ช่ือคัมภีร์ ภาษา
สํ.ส. (ไทย) = สตุ ตันตปฎิ ก สงั ยตุ ตนิกาย สคาถวรรค (ภาษาไทย)
ขุ.อิต.ิ (ไทย) = สตุ ตนั ตปิฎก ขทุ ทกนิกาย อติ วิ ุตตกะ (ภาษาไทย)
บทที่ ๑
บทนํา
๑.๑ ความเป็นมาและความสําคญั ของปัญหา
เป็นที่ยอมรับกันว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองท่ีดีระบอบหน่ึง
แม้ว่าจะไม่ใช่ระบอบการปกครองที่ดีที่สุดก็ตาม ท้ังนี้เพราะการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็น
ระบอบที่เน้นหนักให้ความสําคัญกับประชาชนมากที่สุด เป็นระบอบที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วน
รว่ มในการปกครองตนเอง ในขณะเดียวกนั ก็ได้ยดึ หลกั การว่าประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจอธปิ ไตยซ่ึง
เป็นอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศ การปกครองระบอบประชาธิปไตยเน้นการเข้ามามีส่วนร่วม
ทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ ของประชาชน รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับบัญญัติไว้ว่าประชาชนจะมีส่วน
ร่วมทางการเมืองประเดน็ ใดได้บ้าง ซึ่งการมสี ่วนร่วมทางการเมอื งเป็นเป้าหมายสําคัญ ของการพฒั นา
ระบบทางการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยท้ังนี้เพราะการมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นตัวชี้วัดที่สําคัญ
ประการหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยสังคมใดจะมีความเป็นประชาธิปไตยสูงหรือต่ําพิจารณาได้จาก
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนสังคมใดท่ีประชาชนมีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองสูง
ย่อมมีระดับความเป็นประชาธิปไตยสูงในทางตรงข้ามสังคมใดประชาชนมีระดับการมีส่วนร่วม
การเมืองตํ่าแสดงว่าสังคมน้ันมีระดับความเป็นประชาธิปไตยตํ่า กล่าวได้ว่าหัวใจสําคัญของการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ การมีส่วนร่วมในการปกครองของพลเมือง ความสัมพันธ์
ระหว่างประชาชน กับรัฐบาลการแสดงออกซึ่งกิจกรรมทางการเมืองเหล่าน้ีคือกระบวนการทาง
การเมืองซึ่งจะนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายท่ีประชาชนต้องการการมีส่วนร่วมทางการเมืองของบุคคล
และองค์ประกอบทางการเมืองที่ครอบคลุมระบบปฏิสัมพันธ์ (interaction system) ทางการเมือง
ทง้ั หมดจะทาให้เข้าใจบทบาทการมีสว่ นร่วมทางการเมืองของบุคคลและองค์กรทางการเมอื งไดช้ ัดเจน
ยิ่งข้ึนดังน้ันการศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองในฐานะเป็นกระบวนการทางการเมือง (political
process) จึงเก่ียวข้องและสัมพันธ์โดยตรงกับกระบวนการอบรมกล่อมเกลาเรียนรู้ทางการเมือง
(political socialization) ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อ และพฤติกรรมทางการเมืองของปัจเจกบุคคลใน
แต่ละสังคมทเ่ี รียกว่า วัฒนธรรมทางการเมอื ง (political culture)๑
๑ ลิขิต ธีรเวคิน, วิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย, พิมพค์ ร้ังท่ี ๙, (กรุงเทพมหานคร:
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร,์ ๒๕๔๖).
๒
รัฐธรรมนูญ ถือเป็นกติกาของการอยู่ร่วมกันจะได้บัญญัติไว้อย่างดีเลิศเพียงใด หาก
ประชาชนในประเทศนั้น ไม่สนใจทจ่ี ะเขา้ ไปมีส่วนร่วมในทางการเมอื ง ปล่อยให้กจิ กรรมทางการเมือง
เป็นหน้าที่ของนักการเมืองฝ่ายเดียว ก็ยากที่การเมืองการปกครองของประเทศน้ัน จะมีความเป็น
ประชาธิปไตยท่ีสมบูรณ์และอํานวยประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวม ดังนั้น รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเขา้ มามสี ว่ นร่วมในทางการเมืองตาม
ระบอบประชาธิปไตยได้มากข้ึน และประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย
ได้ถูกบรรจุไว้ในมาตรา ๒๔๗ ถึง ๒๕๔ ในหมวด ๑๔ ของรัฐธรรมนูญฉบับปีพุทธศักราช ๒๕๖๐ ซ่ึง
นับว่าเป็นการกระจายอํานาจจากส่วนกลางไปสู่ท้องถิ่นที่เอ้ือต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยได้
เป็นอย่างดี การมีส่วนร่วมของประชาชนในทางการเมืองถือเป็นบริบทที่สําคัญย่ิงในการปกครองแบบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นการสะท้อนอํานาจประชาธิปไตยที่เป็นของ
ประชาชนอย่างแท้จริง สําหรับผู้ใช้อํานาจน้ีประชาชนได้มอบหมายให้ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งเป็น
ผู้ดําเนินการ ทําการงานแทนปวงชนทั้งประเทศ เราจึงเรียกผู้ใช้อํานาจอธิปไตยว่ารัฐบาล รัฐบาลนํา
เจตนารมณ์ของปวงชนมาบังคับใชโ้ ดยใช้อาํ นาจอธิปไตยเปน็ เครอื่ งสนับสนุน เพอ่ื ทําให้เจตนารมณ์น้ัน
บังเกิดผล๒ และกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย (Democratization Process) เป็นกระบวนการ
ท้ังหมดของการเปล่ียนแปลงระบอบการปกครองต้ังแต่แรกเร่ิมจนสิ้นสุดสมบูรณ์ กล่าวคือ ต้ังแต่การ
ส้ินสุดของระบอบเผด็จการเดิมจนถึงการสร้างประชาธิปไตยให้มั่นคง การสร้างและพัฒนา
ประชาธิปไตยน้ีรวมถึงการนําเอาข้ันตอนต่าง ๆ ที่เรียกว่าการเปล่ียนแปลงไปสู่ (Transition)
ประชาธิปไตยเสรีหรือประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ (A Liberal or Constitutional Democracy)
และการเป็นปึกแผ่น (Consolidation) ท่ีตามมา ผลท่ีได้รับก็คือ ระบบที่ประกอบด้วยองค์ประกอบ
ทางระเบียบวิธีท่ีจําเปน็ เช่น การมีการเลอื กต้ังอยา่ งสมา่ํ เสมอและมีกลไกทางสถาบันท่ีคอยตรวจสอบ
อํานาจการบริหาร รวมทั้งการมีหลักประกันซ่ึงสิทธิมนุษยชนและวิวัฒนาการของมนุษยชนที่จะมีการ
สรา้ งขน้ึ ใหม่ซึง่ วฒั นธรรมทางการเมอื ง (Political Culture)
การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นรากฐานสําคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
เนื่องจากระบบการปกครองประชาธิปไตยแบบผู้แทนโดยประชาชนเลือกผู้แทนขึ้นมาทําหน้าที่แทน
ตนนั้นยังไม่สามารถสนองตอบและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอํานาจ
อธิปไตยได้อย่างทั่วถึง ท้ังการเมืองระดับประเทศและการเมืองท้องถ่ิน ประเทศไทยประสบปัญหาใน
การพัฒนาประชาธิปไตยมาโดยตลอดท้ังนี้อาจเป็นเพราะประชาชนขาดความสนใจและขาดความรอบ
รู้ข่าวสารทางการเมือง ในกรณีเช่นน้ีมักเกิดข้ึนกับประชนท่ีอยู่ตามชนบทท่ีอยู่ห่างไกล การมีส่วนร่วม
ทางการเมืองของประชาชนจึงมีส่วนสําคัญในการส่งเสริมบทบาทของผู้แทน เพ่ือให้ผู้แทนท่ีทําหน้าที่
แทนประชาชนไดเ้ ข้าใจปัญหาและความตอ้ งการของประชาชนการเข้ามามีสว่ นร่วมทางการเมอื งไม่ใช่
เฉพาะเป็นการเลือกผู้แทนเข้าไปทําหนา้ ที่แทนตนเท่านั้น แต่ยงั รวมถึงการควบคุม ตรวจสอบ ตดิ ตาม
การทํางานของรัฐบาล หน่วยงานของรัฐ รวมท้ังมีส่วนร่วมในกระบวนตัดสินใจของรัฐบาลเก่ียวกับ
๒ จรูญ สุภาพ, การพัฒนาประเทศ, (กรุงเทพมหานคร: คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
๒๕๒๒), หน้า ๗๙
๓
นโยบาย การบริหารงานของรัฐบาล ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจสังคม ท่ีส่งผลกระทบต่อชีวิตความ
เป็นอยแู่ ละวถิ ีชีวติ ของประชาชน
ดว้ ยเหตุผลดงั กล่าวข้างต้น ผู้วิจยั จึงมคี วามสนใจในการทําวิจัยเพอื่ ศกึ ษาการมีส่วนรว่ มใน
กจิ กรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อาํ เภอเมือง จงั หวัดขอนแกน่ เพอื่ ให้ได้ทราบถงึ ระดับ
การมีส่วนร่วมทางการเมือง เพื่อนําองค์ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในภาพรวมต่อไป
๑.๒ วตั ถุประสงค์การวิจยั
๑.๒.๑ เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี
อาํ เภอเมอื ง จังหวัดขอนแก่น
๑.๒.๒ เพ่ือศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี
อาํ เภอเมือง จงั หวดั ขอนแก่น ตามหลกั สัปปรุ สิ ธรรม
๑.๒.๓ เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี
อําเภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแก่น จาํ แนกตามเพศ อายุ ระดับการศกึ ษา อาชพี และรายไดต้ อ่ เดอื นต่างกัน
๑.๒.๔ เพื่อศึกษาแนวทางการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคก
สี อาํ เภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแกน่
๑.๓ สมติฐานการวิจยั
๑.๓.๑ ประชาชนที่มีเพศแตกต่างกัน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองตําบลโคกสี
อาํ เภอเมอื ง จงั หวัดขอนแก่นแตกตา่ งกนั
๑.๓.๒ ประชาชนที่มีอายุแตกต่างกัน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองตําบลโคกสี
อาํ เภอเมือง จังหวดั ขอนแก่นแตกต่างกนั
๑.๓.๓ ประชาชนที่มีระดับการศึกษาแตกต่างกัน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง
ตาํ บลโคกสี อาํ เภอเมือง จงั หวัดขอนแก่นแตกตา่ งกนั
๑.๓.๔ ประชาชนที่มีอายุแตกต่างกัน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองตําบลโคกสี
อาํ เภอเมอื ง จงั หวดั ขอนแก่นแตกต่างกนั
๑.๓.๕ ประชาชนที่มีรายได้ต่อเดือนแตกต่างกัน การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง
ตาํ บลโคกสี อาํ เภอเมอื ง จังหวัดขอนแกน่ แตกตา่ งกนั
๔
๑.๔ ขอบเขตการวจิ ยั
การวิจัยครั้งนี้ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอ
เมือง จังหวัดขอนแกน่ มีขอบเขตการวิจยั ดงั นี้
๑.๔.๑ ขอบเขตด้านเนอื้ หา
ในการศึกษาการมีสว่ นรว่ มในกิจกรรมทางการเมอื งของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง
จังหวัดขอนแก่น เนื้อหาได้จากการสังเคราะห์แนวนโยบายด้านการลงคะแนนเสียงตามรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ ประกอบด้วย การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง และ การ
ส่วนร่วมในการชุมนมุ เคลอ่ื นไหวทางการเมอื ง
๑.๔.๒ ขอบเขตด้านตวั แปรและกลุ่มตัวอยา่ ง
ประชากร ที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังและอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่
ตําบลโคกสี อําเภอเมืองขอนแก่น จงั หวัดขอนแกน่ จาํ นวน ๘,๙๑๑ คน
กลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยได้กําหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามสูตรของทาโร ยามาเน่ (Taro
Yamane) ได้กล่มุ ตัวอย่าง จํานวน ๓๘๓ คน
๑.๔.๓ ขอบเขตดา้ นตัวแปร
ตัวแปรอิสระ (Independent Variables) ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ
รายไดต้ ่อเดอื น
ตัวแปรตาม (Dependent Variables) ได้แก่ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
๓ ด้าน ได้แก่
๑. ดา้ นการลงคะแนนเสียงเลอื กต้งั (Voting)
๒. ดา้ นกิจกรรมการรณรงค์หาเสยี ง (Campaign Activity)
๓. ดา้ นการตดิ ตอ่ ในฐานะของพลเมอื ง (Citizen–Initiated)
๑.๔.๔ ขอบเขตด้านพ้ืนท่ี
ตาํ บลโคกสี อําเภอเมอื งขอนแกน่ จงั หวดั ขอนแกน่
๑.๕ นิยามศพั ท์เฉพาะทีใ่ ช้ในการวิจยั
การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง หมายถึง กิจกรรมที่ประชาชนเข้าไปมีบทบาท
เป็นสําคัญท่ีส่งผลการกระทําน้ันถึงรัฐบาลหรือผู้นําทางการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
เช่น ความสนใจทางการเมือง การมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง การมีส่วนร่วมในการบริหาร การมีส่วน
รว่ มในกิจกรรมทางการเมืองและการสว่ นรว่ มในการชุมนมุ เคลอ่ื นไหวทางการเมือง
ความสนใจทางการเมือง หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลต่อเหตุการณ์บ้านเมือง ในเร่ือง
ความรับรู้ข่าวสารบ้านเมือง การรับฟังการอภิปราย การหาเสียง การไปลงคะแนนเสียง การติดตาม
ความเคล่ือนไหวทางการเมืองอย่างสมํ่าเสมอ รวมถึงการตัดสินลงสมัครรับเลือกตั้ง ซ่ึงพฤติกรรมการ
๕
แสดงออกมาของความสนใจน้ันจะมากน้อยต่างกันออกไปด้วยปัจจัยส่วนบุคคล ซึ่งความสนใจน้ันนัก
รัฐศาสตร์จดั เปน็ พฤตกิ รรมทางจิตวทิ ยาสว่ นบคุ คล
การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง หมายถึง การมุ่งหวังที่จะเลือกคนท่ีตนเอง สนับสนุนให้เข้า
ไปมีอํานาจเพื่อท่ีจะกําหนดนโยบายให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเอง การยอมรับให้ประชาชน
ได้มสี ่วนร่วมทางการเมอื งไดใ้ ชส้ ิทธิในการเลือกต้ัง
การติดต่อในฐานะพลเมือง หมายถึง การติดต่อเผชิญหน้าของบุคคลที่มีต่อรัฐบาล หรือ
หน่วยงานของรัฐบาล ซึ่งเป็นการกระทําตามลําพังโดยตัดสินใจเกี่ยวกับเวลาเป้าหมาย และเน้ือหา
สาระของการเข้ามีส่วนร่วมเอง
การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ตามความสมัครใจของ
สมาชิกในสังคมการเมืองท่ีจะเลือกกระทํา ซึ่งมีจุดมุ่งหมายท้ังทางตรง และทางอ้อมท่ีต้องการมี
อิทธิพลต่อการกําหนดนโยบายการดําเนินงานของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถ่ิน หรือในระดับชาติ
ก็ตามซ่ึงการกระทํานั้นอาจผิดกฎหมายหรือถูกกฎหมาย อาจใช้ความรุนแรง หรือไม่ใช้ความรุนแรง
สาํ เรจ็ ผลหรือไม่ หรือกระทําโดยความสาํ นึก หรือชกั จงู ระดมพลังกไ็ ด้
๑.๖ ประโยชนท์ ี่ได้รบั จากการวจิ ัย
๑.๖.๑ ทําให้ทราบระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมอื งของประชาชนตําบลโคกสี
อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบล
โคกสี อําเภอเมือง จงั หวดั ขอนแกน่ ตามหลักสปั ปรุ สิ ธรรม
๑.๖.๒ ทําให้ทราบถึงผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ท่ีมีความแตกต่างกันจําแนกตามเพศ อายุ ระดับ
การศึกษาและอาชพี
๑.๖.๓ นําผลการวิจัยไปเป็นแนวทางสําหรับผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องนําไปสู่การวางแผนพัฒนา
ส่งเสริมให้ประชาชนได้มสี ่วนรว่ มทางการเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตย
บทท่ี ๒
เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกีย่ วข้อง
การวิจัยเร่ือง “การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอ
เมอื ง จงั หวัดขอนแก่น” น้ีเป็นการวิจัยเชิงปรมิ าณ ผู้วจิ ัยได้รวบรวมเอาแนวความคิด ทฤษฎี ตลอดจน
เอกสารการวจิ ยั ท่เี กยี่ วข้องมาเปน็ แนวทางในการศึกษาวจิ ัยดังนี้
๒.๑ แนวคิดเกีย่ วกับการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
๒.๒ แนวคดิ และทฤษฎีเกย่ี วกับการมีส่วนรว่ มทางการเมือง
๒.๓ การมสี ่วนร่วมในกจิ กรรมทางการเมอื ง
๒.๔ สภาพพืน้ ทีท่ ีก่ ารวิจยั
๒.๕ งานวจิ ยั ท่ีเก่ยี วข้อง
๒.๖ กรอบแนวคิดการวิจยั
๒.๑ แนวคิดเกย่ี วกบั การเมืองในระบอบประชาธิปไตย
ประชาธิปไตย Democracy คําว่า ประชาธิปไตย มาจาก Democracy ในภาษาอังกฤษ
แปลมาจากคําว่า Demokratia ในภาษากรีกโบราณ มาจากคําว่า Demos = ประชาชน กับคําว่า
Kratos = ปกครอง, หลักเกณฑ์ นํามารวมกัน จะมีความหมายว่าการปกครองโดยประชาชน น่ันเอง
แปลโดยรากศัพท์มีความหมายว่าการปกครองโดยผู้ถูกปกครอง หรือการปกครองโดยประชาชน การ
ปกครองของประชาชน โดยประชาชน เพือ่ ประชาชน
“ประชาธิปไตย” มาจากคําว่า “ประชา” และ “อธิปไตย” เม่ือรวมกันแล้ว หมายถึง
อํานาจของประชาชน น้ันคือประชาชนเป็นอํานาจของคนหมู่มากดังคํากล่าวของประธานาธิบดี
สหรัฐอเมริกาอับราฮัม ลินคอลน์ ทว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองของ
ประชาชน โดยประชาชน และเพอ่ื ประชาชน๑
คําว่า “ประชาธิปไตย”อาจตีความไปหลายทางบางคนอาจเน้นไปที่ประชาธิปไตยทางการ
เมือง (Political democracy) ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ (Economic democracy) ประชาธิปไตย
ทางสังคม (Social democracy) แต่ประชาธิปไตยในแนวคิดของ Joseph Schumpeter: เป็นระบบ
การเมืองที่มีการเลือกตั้งอย่างเสรีมีระบบการตรวจสอบ ผู้มีอํานาจปกครองมาจากการลงคะแนนของ
๑ บุญธรรม เลิศสุขีเกษม, บทบาทของประชาชนต่อการส่งเสริมและพัฒนาประชาธิปไตย,
(เชียงใหม:่ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม,่ ๒๕๔๓).
๗
มวลชนและประชาธิปไตยท่ีคนส่วนใหญ่ให้ความสนใจคือประชาธิปไตยทางการเมืองและเสรีภาพของ
พลเมืองประเด็นสําคัญที่มีการอภิปรายกันมากคือการแบ่งประชาธิปไตยเป็นประเภทที่มีความหมาย
เพียงการแบ่งระหว่างการเป็นประชาธิปไตยกับการไม่เป็นประชาธิปไตย ซ่ึงในบางความคิดเป็นการ
ม อ ง ไ ม่ เห็ น ค ว า ม เป็ น รู ป ธ ร ร ม ห รื อ บ า ง ค น อ า จ ก ล่ า ว ถึ ง ก า ร เป็ น ป ร ะ ช า ธิ ป ไ ต ย ค รึ่ ง ใ บ (Semi
democracy)๒
ส่วนอีกแนวคิดหนึ่ง คือ ประชาธิปไตยมีความหมายเป็นการแยกระหว่างรัฐท่ีมี
ประชาธปิ ไตยมากกวา่ หรอื มีประชาธิปไตยน้อยกว่า หมายความวา่ ประชาธปิ ไตยเปน็ สิง่ ท่ีวัดคา่ ได้๓
Huntington และ Fuguyama ยอมรับแนวคิดประชาธปิ ไตยท่ีวัดคา่ ได้ซึ่งทําให้ระบุความ
แตกต่างของประชาธิปไตย ในประเทศต่าง ๆ เป็นการวัดเปรียบเทียบในลักษณะพ้ืนที่และเวลา
เดียวกันได้โดยมีการวิเคราะห์ปัญหาที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยที่เป็นระบบประชาธิปไตยในทัศนะของ
Robert A.Dahl คือ ระบอบการเมืองระบอบหน่ึงที่รัฐบาลต้องตอบสนองความต้องการของ
ประชาชนโดยเท่าเทียมกันบนความรับผิดชอบและ ต้องให้ประชาชนมีเสรีภาพท่ีจะรวมตัวกันในการ
แสดงออก มีสทิ ธิในการลงคะแนน มีแหลง่ ขอ้ มูลทางเลือกมีการเลือกตงั้ ท่ียุติธรรม ผู้นําทางการเมืองมี
สิทธิในการแข่งขันเพื่อการเลือกตั้งและมีสถาบันในการดําเนินการตามนโยบายท่ีมาจากการเลือกตั้ง
และการแสดงออกของประชาชน ดังน้ันประชาธิปไตยในความหมายนี้เสมือนเป็นเครื่องมือเพ่ือการมี
อิสรภาพในหลายมติ ิ๔
จากหลายความคิดท่ีผ่านมาอาจสรุปได้จากคําจํากัดความประชาธิปไตยของ Etzioni-
Helevy ท่ีได้บูรณาการคําจํากัดความของนักคิดหลายคนและให้ความหมายของประชาธิปไตยว่าเป็น
ระบบการปกครองท่ีอํานาจในการปกครองของรัฐบาลมาจากการยินยอมของประชาชนส่วนใหญ่การ
ยินยอมนี้แสดงออกโดยการดําเนินการให้ประชาชนได้รับและใช้อํานาจโดยสม่ําเสมอ เสรีมีการ
เลือกตั้งที่เป็นการแข่งขันโดยผู้ท่ีเป็นผู้ใหญ่ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเลือกตั้ง ซ่ึงหลักพ้ืนฐาน
ของประชาธิปไตยคอื เสรภี าพของประชาชน
โกวิทย์ พวงงามได้กล่าวว่า การปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นท่ีนิยมของประชากร
จาํ นวนมากในโลก และได้รับการยอมรับว่าเป็นระบอบการปกครองท่ีดีท่ีสดุ ซ่ึงมีจุดเด่น คอื สอดคลอ้ ง
กับความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคมการปกครองแบบประชาธิปไตย ยึดถือหลักสําคัญในการ
ปกครอง ได้แก่มนุษย์มีความเท่าเทียมกัน มนุษย์มีเหตุผลสามารถที่จะปกครองตนเองได้มนุษย์มีสิทธิ
เสรีภาพและต้องการมีหลักประกันในการใช้โดยสมบูรณ์ ซึ่งสอดคล้องกับ Sodaro ศาสตราจารย์ด้าน
๒ Huntington, S. P., & Nelson, M. No Easy Choice: Political Participation in
Developing Countries, (Cambridge: Harvard University Press, 1976).
๓ Kenneth A. Bollen, Structural Equations with Latent Variables, (John Wiley & Sons,
Inc., 1989).
๔ Dahl, Robert A., Moderm Political Analysis, (New Delhi: Prentice Hall of India
Private Limited, 1975).
๘
รัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยจอร์จวอชิงตัน ได้กล่าวว่า ในระบอบการ
ปกครองแบบประชาธิปไตยประชาชนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ปกครองได้ด้วยการเลือกต้ัง เช่น การเลือกต้ัง
รัฐบาลหรือผู้ทําหน้าท่ีบริหารประเทศ นอกจากน้ีประชาชนยังสิทธิ เสรีภาพและอิสระในการดําเนิน
ชีวิตแต่ต้องอยูภายใต้ขอบเขตของกฎหมายที่ได้กําหนดไว้ ํโดยประชาธิปไตยนั้นมีหลักพ้ืนฐานอยู่ ๓
ประการ ได้แกค่ วามเสมอภาค ความมีเสรภี าพหรืออิสระ และถกู ควบคุมโดยรัฐบาลหรือกฎหมาย๕
ในทฤษฎีทางการเมือง คําว่า ประชาธิปไตย อาจหมายถึงระบอบการปกครองประเทศท่ีมี
ความเสมอภาคและอิสรภาพท่ีสะท้อนให้เห็นผ่านทางความเสมอภาคทางกฎหมายของประชาชนทุก
คนและมีสิทธิเสรีภาพตามที่กฎหมายกําหนดและได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญซึ่งถือเป็น
กฎหมายสูงสุดของการปกครองประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งองค์การสหประชาชาติได้
ประกาศให้วนั ที่ ๑๕ กันยายน ของทกุ ปีเป็นวันประชาธปิ ไตยสากลนับแต่ปคี .ศ. ๒๐๐๗ เป็นต้นมา
ณัชชาภัทร อุ่นตรงจิตร ได้กล่าวเกี่ยวกับประชาธิปไตยไว้อย่างน่าสนใจว่าคําว่า
ประชาธิปไตยเกิดข้ึนครั้งแรกในสมัยกรีก แต่ประชาธิปไตยในสมัยกรีกมีความแตกต่างจาก
ประชาธิปไตยในสมัยปัจจุบัน คําวา ประชาธิปไตย มาจากภาษาอังกฤษว่า Democracy แปลวา การ
ปกครองโดยประชาชน (rule by people) หรือเรียกอีกประการหนึ่งได้ว่า popular sovereignty
คือ อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน จากที่กล่าวไปจะเห็นได้วา นักวิชาการท้ังส่ีท่านมีแนวคิดท่ี
คล้ายคลึงกนเกย่ี วกับ ประชาธปิ ไตย คือ ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจหรอื อาํ นาจเป็นของประชาชน๖
สําหรับ Smith ได้ให้นิยามเกี่ยวกับประชาธิปไตยเพ่ิมเติมให้มีความชัดเจนมากยิ่งข้ึน โดย
ได้กล่าววา ประชาธิปไตย คือ การปกครองโดยประชาชนในทางปฏิบัติ หมายถึง อํานาจในการ
ตดั สินใจประเดน็ ปัญหาสําคัญของนโยบายสาธารณะต้องข้ึนอยู่กับคนจาํ นวนมากในสังคม และในการ
ตัดสินใจน้ัน ทุกๆ คนสามารถออกเสียงได้เพียงเสียงเดียวไม่มีผู้ใดสามารถออกเสียงได้เกินหน่ึงเสียง
ประชาชนใช้อํานาจโดยตรง เช่นการลงมติยืนยัน เป็นต้น หรือโดยอ้อมผ่านสถาบัน ตัวแทนซ่ึงอํานาจ
ของประชาชนจะถูกจํากัดอยู่ท่ีบัตร เลือกต้ังที่จะบังคับความรับผิดชอบให้เกิดแก่ผู้ท่ีได้รบั มอบอํานาจ
รวมถงึ ต้ังอยู่บนพืน้ ฐานของความคิดเร่ืองความเสมอภาคทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ การเลอื กต้ังอย่าง
สม่ําเสมอ ศักด์ิศรีของมนุษย์ สิทธิของเสียงส่วนน้อย รวมถึงการได้รับบริการของรัฐและสังคมอย่าง
เทา่ เทียมกัน๗
๕ โกวิทย์ พวงงาม และอลงกรณ์ อรรคแสง, มิติใหม่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น : ผู้บริหารท้องถ่ิน
ที่มาจากการเลือกตัง้ โดยตรงจากประชาชน. (กรุงเทพมหานคร: สาํ นักพมิ พ์เสมาธรรม, ๒๕๔๗).
๖ ณัชชาภัทร อุ่นตรงจิตร, ทศวรรษแห่งการปฏิรูปการเมือง : ผลงาน ปัญหา และอุปสรรค.
(กรงุ เทพมหานคร: สถาบันพระปกเกลา้ , ๒๕๕๓).
๗ อมร รักษาสตั ย์ และคณะ, ประชาธิปไตย : อุดมการณ์ หลักการ และแบบอยา่ งการปกครองหลาย
ประเทศ, (กรงุ เทพมหานคร: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙).
๙
สําหรับ Eremenko๘ นักวิชาการมหาวิทยาลัยวิจัยแห่งชาติโรงเรียนอุดมศึกษา
เศรษฐศาสตร์รัสเซีย (Russia) ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองท่ี
อยู่บนพื้นฐานของระบบท่ีมีผู้แทนที่ถูกเลือกโดยประชาชนการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
สิทธิเสรีภาพของประชาชน รวมถึงมีสิทธิในการแสดงออกต่าง ๆ เพื่อเรียกร้องบางสิ่งบางอยางที่
ต้องการจากรัฐบาลของพวกเขา เช่น ในแถบสหภาพยโุ รปประชาชนเขา้ ร่วมกระบวนการทางการเมอื ง
ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยผ่านทางกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเลือกตั้ง การประท้วง
การคว่ําบาตร เป็นต้น จากที่ได้กล่าวไปสามารถสรุปได้ว่า ประชาธิปไตย มีนิยามความหมายหรือคํา
จาํ กัดความ ดงั ต่อไปนี้
๑. อํานาจอธปิ ไตยเป็นของประชาชนหรือประชาชนมีอํานาจสูงสุดในรฐั
๒. ประชาชนในสังคมมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน
๓. ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการดําเนินชีวิตโดยอยูภายใต้ขอบเขตที่กฎหมาย
กาํ หนด
๔. ประชาชนแสดงอํานาจในการปกครองผ่านทาง ก่ ิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นและอํานวย
ความสะดวกโดยรัฐบาล เช่น การเลือกต้ัง การออกเสียงประชามติการเสนอร่างกฎหมายการชุมนุม
ตามทีก่ ฎหมายกําหนดเพือ่ เรยี กรอ้ งบางอยา่ งจากรฐั บาล เป็นต้น
Ranney๙ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์อดีตประธานสมาคมรัฐศาสตร์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้
ให้รายละเอียดเพิ่มเติมไว้อย่างน่าสนใจว่า ประชาธิปไตย หมายถึง รูปแบบการปกครองและประกอบ
ไปด้วยหลักพ้ืนฐาน ๔ ประการได้แก่ ๑.หลักอํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน คืออํานาจสูงสุดในการ
ตัดสินใจเป็นของประชาชนทุกคนไม่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง ๒.หลักความเสมอภาคทางการเมือง
พลเมืองทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันในการมีส่วนร่วมหรือตัดสินใจทางการเมือง ๓.หลักการฟังความ
คิดเห็นของประชาชน คือการตัดสินใจของรัฐบาลมาจากการรับฟังหรือคํานึงถึงความต้องการของ
ประชาชนทุกคนไม่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง วาต้องการสิ่งใดไม่ตอ้ งการสิง่ ใด ๔. หลกั เสียงข้างมาก เป็น
การตัดสินใจทางการเมืองของรัฐบาล หากกรณีใดความต้องการของประชาชนมีความแตกต่างกันไม่
เปน็ เอกฉันท์รฐั บาลต้องตดั สนิ ใจบนพ้นื ฐานของคนสว่ นใหญห่ รือเสยี งขา้ งมาก
ทอมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes)๑๐ กลา่ วว่าหน้าที่ของมนษุ ย์จะมาอยูร่ ่วมกันเปน็ สงั คม
เมือง มนุษย์มีอิสรภาพและเสรีภาพในการกระทําใด ๆ ซ่ึงย่อมให้เกิดความวุ่นวายมนุษย์จึงตกลงกันที่
จะหาคนกลางมาทําหน้าท่ีปกครองเพ่ือให้เกิดสังคมการเมทองที่อยู่รวมกันอย่างสันติสุข โดยแต่ล่ะคน
๘ Eremenko อ้างใน สถาบนั พระปกเกลา้ , รายงานสถานการณ์การกระจายอํานาจ บทสาํ รวจความ
เป็นประชาธิปไตยท้องถิ่น ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๑, (กรุงเทพมหานคร: วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถ่ิน สถาบัน
พระปกเกลา้ , ๒๕๖๑).
๙ Ranney Austin and Kendall Willmoore, Democracy and the American party
System. (New York: Harcsort, 1956).
๑๐ Thomas Hobbes อ้างใน สมเกียรติ วันทะนะ, “อํานาจของประเทศ”, วารสารสังคมศาสตร์
และมนุษยศาสตร์, ปที ่ี ๔๐ ฉบับท่ี ๒ (๒๕๕๗): ๑-๑๘.
๑๐
ยอมเสียสละอํานาจสูงสุดของตนให้แก่ฝ่ายปกครองท้ังนี้ประชาชนมีสิทธิการปกครองท่ีสอดคล้องกับ
ความต้องการของคนส่วนใหญ่ฮอบส์จะนิยมระบอบกษัตริย์แต่มีแนวคิดว่าอํานาจของกษัตริย์ไม่ใช่
อํานาจของเทวสทิ ธิ์ แท้จริงแลว้ เปน็ อาํ นาจทปี่ ระชาชนยนิ ยอมพร้อมใจมอบให้
จอห์น ล๊อค (John Locke) ได้เขียนหนังสือทฤษฎีการเมืองเกี่ยวกับที่มาของอํานาจรัฐ
ว่า อํานาจการเมืองต้องมาจากประชาชน ผู้เป็นเจ้าของอํานาจไม่ใช่กษัตริย์ ในหนังสือชื่อ สองนิพนธ์
ว่าด้วยเร่ืองการป กครอง (Two Treaties of Government ๑ ๖ ๙ ๐ ) ซ่ึงแน วคิดการเมือง
ประชาธิปไตยของล๊อค คืออสิ รภาพและเสรีภาพเป็นสิทธิข้ันพื้นฐานของมนุษย์ซ่ึงเกิดมาด้วยความเท่า
เทยี มกัน รฐั บาลมาจากความยินยอมของประชาชน รฐั บาลจึงเปน็ เพียงผู้คอยปกป้องผลประโยชน์ของ
ประชาชนและต้องมีอํานาจจํากัด และการทีป่ ระชาชนเป็นเจ้าของอํานาจทางการเมอื ง ประชาชนจงึ มี
สิทธิล้มลางรัฐบาลได้เม่ือไม่ปฏิบัติตามความต้องการของประชาชน จอห์น ล๊อค ได้รับการยกย่องว่า
เปน็ เจ้าทฤษฎีแหง่ สทิ ธิเสรีภาพตามธรรมชาติ๑๑
บารอน เดอ มองเตสกิเออร์ (Baron de Montesquieu) เขียนหนังสือชื่อวิญญาณ
แห่งกฎหมาย (The Spirit of Law ๑๗๔๘) ซ่ึงแสดงแนวคิดประชาธิปไตยว่า แนวคิดระบอบกษัตริย์
ไม่เหมาะสมสําหรบั ประเทศทปี่ ระชาชนมคี วามตืน่ ตัวทางการเมอื ง แต่ควรมรี ูปแบบการประชาธปิ ไตย
ได้รับสมญานามว่า เจ้าทฤษฎีแห่งการแบ่งแยกอํานาจ มีความเห็นสอดคล้องกับจอห์น ล๊อค โดยให้
แนวคิด “ทฤษฎีการแบ่งแยกอํานาจ” โดยแบ่งอํานาจอธิปไตย ออกเป็น ๓ ส่วน คือ นิติบัญญัติ
บรหิ ารและตุลาการ๑๒
วอลแตร์ (Voltaire) เป็นนักคิดนักเขียนที่สนับสนุนแนวคิดประชาธิปไตย โดยมี
ความเห็นว่า เสรีภาพและอิสรภาพเป็นของมนุษย์ รัฐบาลที่ดีต้องให้เสรีภาพและอิสรภาพแก่
ประชาชน และต้องเป็นผู้รอบรู้ มีเหตุผลและปกครองด้วยหลักเหตุและผล ประชาชนสามารถใช้
เสรีภาพและอิสรภาพในการแสดงความคิดเห็น วอลแตร์ ได้รับสมญานามว่า เจ้าทฤษฎีแห่ง
สื่อสารมวลชน
ฌ็อง-ฌัก รูโซ (Jean-Jacques Rousseau) เป็นเจ้าทฤษฎีแห่งอํานาจอธิปไตยของ
ประชาชน ถือเป็นบิดาแห่งประชาธิปไตย เขียนหนังสือชื่อ Social Contract ๑๗๖๒ (สัญญา
ประชาคม) โดยเน้นว่า “อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน” รัฐบาลที่ดีต้องมาจากประชาชน และ
รัฐบาลต้องสัญญากับประชาชนว่าจะดูแลให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีสุข ถ้ารัฐบาลไม่ทําตามสัญญา
ประชาชนมสี ทิ ธิลม้ ล้างรัฐบาลได้๑๓
จากแนวคิดของนักปรชั ญาการเมอื งแนวประชาธิปไตย สรุปไดว้ า่ แนวคิดของ จอหน์ ลอ๊ ค
และ ชอง ชาคส์ รุสโซ มีแนวคิดประชาธิปไตยที่ตรงกันมากที่สุด คือรัฐบาลท่ีดีต้องมาจากประชาชน
แนวคิดของ โทมัส ฮอบส์ มีความแตกต่างกับนักปรัชญาอื่น ๆ เน่ืองจากให้การสนับสนุนการปกครอง
๑๑ อา้ งแล้ว.
๑๒ อา้ งแล้ว.
๑๓ อา้ งแลว้ .
๑๑
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่เชื่อเรื่องการปกครองท่ีมาจากประชาชน หรือรูปแบบรัฐบาล
หลักเกณฑ์สําคัญของประชาธิปไตย
๑. เชื่อในอํานาจอธิปไตยของปวงชนถือว่าอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรือ
อํานาจอธิปไตย เป็นของประชาชนท้ังประเทศร่วมกัน อํานาจอธิปไตยน้ี เห็นได้ จากการเลือกตั้ง
ประชาชนจะเลือกคนเข้าไปทําหน้าที่ปกครอง แทนตัวเององค์การในการปกครองประเทศสูงสุดคือ
รัฐบาล การเลอื กตงั้ จะเรียกไดว้ า่ เป็นประชาธิปไตยหรือไม่ จะต้องมหี ลกั เกณฑ์ดังตอ่ ไปน๑้ี ๔ คอื
๑.๑ เป็นการเลือกที่เปน็ ไปโดยอิสระ ไม่มีการบังคับ จงู ใจ ใหอ้ ามิสสินจา้ ง
๑.๒ เปน็ การลงคะแนนเสียงโดยการลงคะแนนลับ
๑.๓ เป็นการเลือกต้ังอย่างแท้จริงคือต้องมีผู้ลงรับสมัครเลือกตั้งมากกว่า ๑ คน และ
ไม่ทาํ การคดโกงโดยวิธกี ารตา่ ง ๆ
๑.๔ เป็นการเลือกต้ังที่มีการกําหนดระยะเวลาคือกําหนดไว้ว่าจะอยู่ได้ในตําแหน่งกี่
ปีถึงจะมีการเลือกตงั้ กนั ใหมอ่ ีกครัง้
๑.๕ ผู้ท่ีไปใช้สิทธิเลือกตั้งและผู้ท่ีลงรับสมัครเลือกตั้ง มีสิทธิเสมอภาคและใช้สิทธิได้
ท่ัวถงึ ขอ้ สําคญั ของการเลือกตง้ั
ถา้ ประชาชนส่วนใหญ่เลอื กตัง้ ไม่เป็น ไมเ่ ข้าใจการเมืองระบอบประชาธิปไตยและไม่เข้าใจ
วตั ถุประสงค์สาํ คญั ของการเลือกตง้ั อาจเป็นสาเหตขุ องการท าลายประชาธิปไตยไดอ้ ย่างไม่รู้ตัว
การมีส่วนร่วม ประชาชนจะต้องสนใจเร่ืองราวต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเราโดยเฉพาะเร่ือง
การเมือง คือคอยเฝ้าติดตาม เฝ้าดูบทบาท และพฤติกรรมของรัฐบาลและฝ่ายต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องว่ามี
นโยบายอะไรออกมาและมีผลกระทบอะไรต่อการดํารงชีวิตปะจําวันของเราหรือไม่อย่างไรบ้าง การท่ี
ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมน้ัน สามารถกระทําได้โดยผ่าน พรรคการเมือง ผ่าน กลุ่มผลประโยชน์
และกลุ่มกดดัน อันเพื่อที่จะทําให้รับรู้และเข้าใจข้อเท็จจริงของการบริหารบ้านเมืองและรู้เท่าทัน
นักการเมืองการยึดถือเสียงข้างมากที่เคารพสิทธิเสียงส่วนน้อย มนุษย์เรานั้น ต่างคนต่างจิตใจ จะหา
ความเป็นเอกฉันท์ในทุกเรื่องน้ันย่อมเป็นไปได้ยากลําบากมากแต่ควรต้องยอมรับในหลักการ การคง
อยู่/ดํารงอยู่ของฝ่ายค้าน คือเคารพในความคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลไม่ดูถูกหม่ินประมาทเสียง
ส่วนน้อย [พรรคฝ่ายค้านโดยดูถูกเหยียดหยามจากสมาชิกพรรคพลังประชาชนอยู่เสมอ] ที่สําคัญ ไม่
กระทําการอันใดท่ีจะไปละเลยสิทธิหรือไปละเมิด/ ยับยั้งสิทธิของฝ่ายค้าน โดยการใช้เสียงข้างมาก
ลากไป เช่น ก่อนหน้าที่กลุ่มพันธมิตร ฯ จะเคล่ือนย้ายมาหน้าทําเนียบรัฐบาล พรรคฝ่ายค้านย่ืนญัตติ
อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะ แต่ถูกรัฐบาลไม่สนใจละเลย โดยอ้างว่า เพ่ิงบริหาร
บ้านเมืองเพียงแค่ ๔ เดือน แต่พรรคฝ่ายค้าน มองว่า บ้านเมืองกําลังมีปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องม็อบ
พนั ธมิตร ฯ มอ็ บชาวนาม็อบรถบรรทกุ น้าํ มันแพง แตร่ ฐั บาลมองว่า เหตกุ ารณย์ งั ปกติ
๑๔ สมบัติ ธํารงธัญวงศ์, การเมอื งอเมรกิ า, (กรุงเทพมหานคร: เสมาธรรม, ๒๕๔๒).
๑๒
๒. เช่ือในหลักเสรีภาพ เสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความว่าทําอะไรก็ได้
หมดทกุ อย่างแต่หมายความว่ากระทําใด ๆ ได้ตามขอบเขตที่กําหนดไว้โดยไม่ทําใหผ้ ู้อ่ืนเดือดร้อนและ
ไปละเมดิ สิทธผิ อู้ นื่
๓. เชือ่ ในหลกั เสมอภาค หมายความว่า ความเสมอภาคบนพื้นฐานท่ีเท่าเทียมกนั แตไ่ ม่ได้
หมายความวา่ เท่าเทียมกนั ทกุ เรื่องทุกอย่าง
๔. เชื่อในหลักเหตุผลและภราดรภาพก็คือ ยึดหลักเหตุผลเป็นสําคัญ เคารพซึ่งกันและกัน
รวมถึงสิ่งที่ขาดเสียมิได้คือคํานึงถึงประเทศชาติบ้านเมืองเป็นหลักการท่ีจะมีการเมืองการปกครอง
แบบประชาธิปไตยไดอ้ ย่างแทจ้ รงิ นน้ั
ประชาชนจะต้องมีความคิด ความเช่ือ และทัศนคติท่ีสอดคล้องกับหลักการสําคัญของ
ประชาธปิ ไตยด้วยหรือท่เี รยี กว่า มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย
หลกั การสาํ คญั ของประชาธิปไตย
๑. การมีเหตุผลและเคารพในความคิดเหน็ ซึ่งกันและกนั
๒. มีความอดกลั้นในความคิดเห็นทแี่ ตกต่าง
๓. การตกลงอย่างสันตวิ ธิ ี
๔. การเขา้ มามีสว่ นรว่ มทางการเมอื ง
๕. ตระหนักถึงเร่ืองสิทธิหน้าท่ีและความรับผิดชอบต่อส่วนรวมคือการคํานึงถึง
ผลประโยชน์สว่ นรวมเปน็ สาํ คัญ๑๕
หลักการของประชาธิปไตย
หลักการประชาธปิ ไตยมีมากมายแตท่ ี่ถอื ว่าสําคัญและนักการเมอื งต้องยดื ถึงเปน็ สรณะ
มีดงั ต่อไปนี้
๑. อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (Popular sovereignty) ระบอบการปกครองแบบ
ประชาธิปไตยคือระบบท่ีประชาชนมีอํานาจอธิปไตย และมอบหมายให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ีมา
จากการเลือกตง้ั ทําหน้าที่แทนตน การเลือกตั้งเป็นการแสดงออกถึงสทิ ธิและอาํ นาจของประชาชน จน
มีคํากลา่ ววา่ เสียงของประชาชนคอื เสยี งของสวรรค์ (Vox populi, Vox dei)
๒. สิทธิเสรีภาพ (Rights and freedom) เป็นหัวใจสําคัญของระบอบการปกครองแบบ
ประชาธิปไตย สิทธิดังกล่าวต้องกําหนดในรัฐธรรมนูญและการบังคับกฎหมาย เจ้าหน้าท่ีของรัฐได้แก่
ผู้ดํารงตาํ แหน่งบริหารและขา้ ราชการประจาํ ท่อี ํานาจตามกฎหมาย จะตอ้ งยดึ ถือตัวบทกฎหมายอยา่ ง
เคร่งครัด ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน เพราะถ้ามีการกระทําดังกล่าวก็เท่ากับละเมิดเจ้าของ
อาํ นาจอธิปไตย
๓. ความเสมอภาค(Equality) ความเสมอภาคภายใต้ระบอบการปกครองแบบ
ประชาธิปไตยถือว่าทุกคนเสมอภาคเท่ากันหมด หนึ่งคนมีสิทธิลงคะแนนเสียงได้หนึ่งเสียง (Oneman
๑๕ วิทยากร เชียงกูล, ปฏิรูปประเทศไทย เศรษฐกิจ การเมือง, พิมพ์คร้ังท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร:
บา้ นพระอาทติ ย,์ ๒๕๕๗).
๑๓
one vote) ความเสมอภาคดังกล่าวนี้ หมายถึงความเสมอภาคทางการเมืองและความเสมอภาคต่อ
หน้ากฎหมาย(Equality before the law) การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม ถือว่าขัดต่อ
หลกั การประชาธปิ ไตย
๔. หลักนิติธรรม (The rule of law) ได้แก่การใช้กฎหมายในการบริหารประเทศ โดย
กฎหมายดังกล่าวนั้นต้องผ่านกระบวนการร่างกฎหมายอย่างถูกต้อง และหลักของกฎหมายนั้นต้อง
เป็นกฎหมายท่คี าํ นึงถงึ สิทธิเสรีภาพและอาํ นาจอธิปไตยของประชาชน โดยกระบวนการยตุ ธิ รรม(Due
process of law) จะต้องเป็นไปตามครรลอง หลักนิติธรรม (The rule of law) จึงต่างจากThe rule
by law ซ่ึงหมายถึงการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศโดยไม่คํานึงถึงหลักการ
ประชาธิปไตย และบ่อยครั้งก็กลายเป็นการบริหารงานโดยตัวบุคคล (The rule by men)มากกว่า
หลักการ๑๖
๕. ค่านิยมและจิตวิญญาณความเป็นประชาธิปไตย (The democratic ethos) ซึ่ง
หมายถึงค่านิยมทีไ่ ด้รบั การอบรมตงั้ แต่ครอบครัว สถาบนั การศกึ ษา และทางสังคม ให้มีความเช่ือและ
ศรัทธา ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย มีพฤติกรรมที่เป็นประชาธิปไตย มองคนอ่ืนด้วย
สายตา ท่ีเสมอภาค ท้ังหมดน้ีถือได้ว่าเป็นการพัฒนาจิตวิญญาณประชาธิปไตย ซ่ึงเป็นส่วนสําคัญ
อยา่ งยิง่ ต่อความสาํ เร็จของการพัฒนาและธํารงไว้ซ่ึงระบบ ประชาธปิ ไตย
๖. ความอดทนอดกล้ัน (Tolerance) ความใจกว้าง (Open-mindedness) และความมี
น้ําใจนักกีฬา (Sporting spirit) ทั้งหมดน้ีเป็นหัวใจสําคัญของสังคมประชาธิปไตย เพราะในสังคม
ประชาธิปไตยนั้นจะต้องยอมรับความแตกต่างทั้งในเช้ือชาติศาสนา ภาษาขนบธรรมเนียมประเพณี
จุดยืนและความคิดเหนือทางการเมืองของคนในสังคม การรู้แพ้รู้ชนะ รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
โดยเฉพาะอย่างย่ิงนักปราชญ์ราชบัณฑิตและผู้มีประสบการณ์ เพ่ือนํามาประมวลใช้ให้เป็นประโยชน์
ในการทาํ งาน ทสี่ าํ คญั อะไรทตี่ นไมช่ อบและไมพ่ อใจแต่ตราบเท่าท่ีไม่กระทบต่อสทิ ธิของตนกต็ ้องยอม
ใหส้ ่ิงน้ันปรากฏอย่เู พราะเปน็ สทิ ธิสว่ นบุคคลภายใต้ระบบทม่ี ีความเสมอภาค
๗. ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยคือกรรมวิธี (Means) เพื่อเป้าหมายทาง
การเมืองแต่ขณะเดียวกันระบบประชาธิปไตยตกเป็นเป้าหมายอันสูงส่ง (Noble end) ในตัวของมัน
เอง การมองว่าระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นเฉพาะกรรมวิธีหรือ Meansจึงไม่ถูกต้อง
ถึงแม้ว่า End คือผลประโยชน์จะตกต่อสังคมก็ตาม เพราะถ้าทําลายกระบวนของความถูกต้องแม้จะ
ส่งผลใน ทางบวกต่อสังคม แต่ถ้ามีผลกระทบในทางลบต่อระบบก็จะเป็นการท าลายเป้าหมายอัน
สูงส่งของระบอบประชาธิปไตย อันเป็นส่ิงที่ไม่พึงปรารถนาอย่างยิ่งประชาธิปไตยจึงเป็นท้ังกรรมวิธี
(Means) และเป้าหมาย (End) ในตัวของมันเอง ท้ังสองส่วนน้ีต้องไปด้วยกัน
๘. ผู้ดํารงตําแหน่งบริหารระดับสูงทั้งในนิติบัญญัติบริหารและศาลรัฐธรรมนูญ จะต้อง
ตระหนักว่าตนเป็นผู้ซ่ึงได้รับอาณัติจากประชาชน ดงั นั้น ผลประโยชน์สูงสุดจะต้องเปน็ ผลประโยชน์ที่
เออ้ื อาํ นวยต่อผลประโยชน์ของประชาชน ส่วนใหญ่การกระทําอันใดขัดต่อผลประโยชน์ของประชาชน
๑๖ ศูนย์ศึกษาประชาธิปไตย, (๒๕๕๙), หลักการของประชาธิปไตย, [ออนไลน์], แหล่งที่มา: https://
www.ect.go.th/dec/main.php?filename=index [๑๕ มกราคม ๒๕๖๔].
๑๔
ซ่ึงเป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย การน้ันย่อมไม่ถูกต้อง นอกจากนั้นยังต้องมีความรู้สึกว่าสิ่งท่ีตนทําอยู่
นั้นเป็นการประกอบภารกิจศักด์ิสิทธิ (Sacred mission) หรือหน้าท่ีอันสูงส่ง (Noblesse oblige)
เพือ่ ประชาชน เพอื่ ชาตแิ ละแผน่ ดนิ
๙. ผู้ซ่ึงดาํ รงตําแหน่งบริหารระดับสูงท้ังในนิติบัญญัตบิ ริหาร ตุลาการ จําเป็นอย่างยิ่งต้อง
ยึดถือหลักจริยธรรมทางการเมือง รวมตลอดทั้งมารยาททางการเมือง โดยจะต้องกระทําหน้าที่อย่าง
ซื่อสัตย์สุจริต คํานึงถึงผลดีผล เสียที่จะเกิดต่อประชาชน ชาติและบ้านเมือง เสียสละความสุขส่วนตัว
เพ่อื สว่ นรวม เพราะงานการเมืองเปน็ งานอาสาสมคั รทไี่ ด้รบั มอบหมายจากประชาชน
๑๐. ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยการกระทําอันใดก็ตามต้องคํานึงถึง
หลักการใหญ่ ๆ ดังต่อไปน้ี คือ ความถูกต้องตามกฎหมาย (Legality) ความชอบธรรมทางการเมือง
(Legitimacy) ความถูกต้องเหมาะสม (Decency) ความน่าเชื่อถือ(Credibility) ทั้งหลายทั้งปวง
ดังกล่าวจะทําให้งานที่รับผิดชอบอยู่น้ันประสบความสําเร็จ การมุ่งเน้นไปที่ตัวบทกฎหมายตามลาย
ลักษณ์อักษรแต่เพียงอย่างเดียวเป็นสิ่ง ท่ีไม่พอเพียงการกระทําอันใดที่ไม่เหมาะสมแม้จะถูกต้อง ตาม
กฎหมายกจ็ ะขาดความชอบธรรมทางการ เมือง อันจะสง่ ผลถึงความน่าเชอื่ ถือของผู้ดาํ รงตําแหนง่ ทาง
การเมอื งในท่สี ุด
๑๑. การบริหารบ้านเมืองจะต้องอิงหลักธรรมาภิบาล (Good governance) ซ่ึงได้แก่
ความชอบธรรมทางการเมือง (Legitimacy) ความโปร่งใส (Transparency) การมีส่วนร่วมของ
ประชาชน (Participation) ความรับผิดชอบเป็นได้ให้ไล่เบี้ยได้(Accountability) และความมี
ประสิทธิภาพและประสิทธิผล(Efficiency and effectiveness) ซ่ึงหมายถึงการกระทํานั้นต้องส่งผล
ในทางบวกทั้งในแง่ผลได้ (Output) และผลลัพธ์ (Outcome)
๑๒. ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างย่ิงผู้บริหารระดับสูง ซึ่งสามารถนํา
ประเทศชาติและสังคมไปสู่ความเจริญ หรือไปสู่ความเสียหายในด้านต่าง ๆ ท้ังในแง่การเมืองสังคม
เศรษฐกิจอุดมการณ์ศรัทธาและความเช่ือในระบบ ฯลฯ ต้องเป็นบุคคลที่เป็นที่นิยมไปด้วยคุณสมบัติ
อันได้แก่ การมีอุดมการณ์ทางการเมือง (Political ideology) การมีจริยธรรมทางการเมือง(Political
ethics) การมีความรู้ทางการเมือง (Political knowledge) การมีประสาทสัมผัสทางการเมือง
(Political sense) และการเข้าใจอารมณ์ทางการเมอื ง (Political mood) ของประชาชนอย่างถูกตอ้ ง
นอกจากน้ันยังต้องบริหารประเทศโดยคํานึงถึงหลัก นิติธรรมและคุณสมบัติอ่ืน ๆ ที่กล่าวมา ๑๑ ข้อ
เบ้ืองต้น เพ่ือจะธํารงไว้ซ่ึงความชอบธรรมท่ีจะดํารงตําแหน่งบริหารและการใช้อํานาจรัฐ(Moral
authority) ผู้ใด ก็ตามที่ขาดหลักการข้อท่ี ๑๒ ดังกล่าวมานี้ย่อมจะเสียความชอบธรรมทางการเมือง
ในการดาํ รง ตาํ แหนง่ ทางการเมือง
๑๕
จากการทบทวนแนวคิดเก่ียวกับการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสามารถสรุปลายระ
เอยี ดไดด้ งั ตารางตอ่ ไปน้ี
ตารางที่ ๒.๑ แสดงสรปุ แนวคดิ เกี่ยวกบั การเมืองในระบอบประชาธปิ ไตย
ที่ นักวชิ าการ แนวคิดหลัก
๑ Robert A.Dahl ระบอบการเมืองระบอบหน่ึงที่รัฐบาลต้องตอบสนองความต้องการ
(1975) ของประชาชนโดยเท่าเทียมกันบนความรับผิดชอบและต้องให้
ประชาชนมีเสรีภาพที่จะรวมตัวกันในการแสดงออก มีสิทธิในการ
ลงคะแนน มีแหล่งข้อมูลทางเลือกมีการเลือกต้ังท่ียุติธรรม ผู้นําทาง
การเมืองมีสิทธิในการแข่งขันเพื่อการเลือกตั้งและมีสถาบันในการ
ดําเนินการตามนโยบายท่ีมาจากการเลือกตั้งและการแสดงออกของ
ประชาชน
๒ Etzioni-Helevy เป็นระบบการปกครองทีอ่ ํานาจในการปกครองของรัฐบาลมาจากการ
(1985) ยินยอมของประชาชนส่วนใหญ่การยินยอมน้ีแสดงออกโดยการ
ดาํ เนินการให้ประชาชนไดร้ บั และใชอ้ ํานาจโดยสมา่ํ เสมอเสรี
๓ Sodaro ประชาธิปไตยน้ันมีหลักพื้นฐานอยู่ ๓ ประการ ได้แก่ความเสมอภาค
(1965) ความมีเสรีภาพหรอื อสิ ระ และถกู ควบคมุ โดยรัฐบาลหรอื กฎหมาย
๔ Eremenko ระบอบการปกครองที่อยู่บนพ้ืนฐานของระบบที่มีผู้แทนที่ถูกเลือก
(1975) โดยประชาชนการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน สิทธิ
เสรีภาพของประชาชน รวมถึงมีสิทธิในการแสดงออกต่าง ๆ เพื่อ
เรยี กร้องบางส่ิงบางอยางที่ตอ้ งการจากรฐั บาลของพวกเขา
๕ จอห์น ล๊อค (John อิสรภาพและเสรีภาพเป็นสิทธิขั้นพ้ืนฐานของมนุษย์ซึ่งเกิดมาด้วย
Locke) (1966) ความเทา่ เทยี มกัน รฐั บาลมาจากความยินยอมของประชาชน
๖ ฌอ็ ง-ฌัก รโู ซ อํานาจอธปิ ไตยเป็นของปวงชน รัฐบาลที่ดีต้องมาจากประชาชน และ
(Jean-Jacques รฐั บาลต้องสัญญากับประชาชนวา่ จะดูแลให้ประชาชนอย่ดู ีกินดี มีสุข
Rousseau) (1978) ถ้ารฐั บาลไมท่ าํ ตามสญั ญา ประชาชนมีสทิ ธลิ ม้ ลา้ งรฐั บาลได้
๗ โกวทิ ย์ พวงงาม เป็นระบอบการปกครองท่ีดีที่สุด ซ่ึงมีจุดเด่น คือสอดคล้องกับความ
(๒๕๔๗) ต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม โดยยึดถือหลักสําคัญในการ
ปกครอง ได้แก่มนุษย์มีความเท่าเทียมกัน มนุษย์มีเหตุผลสามารถท่ี
จะปกครองตนเองได้ มนุษย์มีสิทธิ เสรีภาพและต้องการมี
หลักประกันในการใชโ้ ดยสมบรู ณ์
๘ ณชั ชาภทั ร อนุ่ ตรงจติ ร ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจหรอื อาํ นาจเป็นของประชาชน
(๒๕๕๓)
๑๖
๒.๒ แนวคิดและทฤษฎเี กีย่ วกบั การมีสว่ นรว่ มทางการเมอื ง
การเมืองเป็นเร่ืองท่ีประชาชนจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน ท้ังน้ีเพราะการใช้อํานาจทาง
การเมืองล้วนมีผลต่อวิถีชีวิตของประชาชน ดังนั้นจึงเป็นหน้าท่ีของประชาชนที่จะต้องมีส่วนร่วมใน
การกําหนดตวั ผู้นําทางการเมืองและตรวจสอบการใชอ้ ํานาจของผูน้ ําทางการเมอื งให้เป็นไปตามความ
ต้องการของประชาชน นอกจากน้ีการมีส่วนร่วมทางการเมืองยังเป็นการแสดงออกของประชาชนใน
ฐานะที่เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตยตามระบอบประชาธิปไตย ความหมายของการมีส่วนร่วมทางการ
เมืองได้มีนักวิชาการหลายท่านท้ังนักวิชาการชาวไทยและชาวต่างประเทศ ได้ให้คํานิยามและหรือ
ความหมายของคําวา่ “การมีสว่ นร่วม”ไวต้ ่างกัน ดงั น้ี
๒.๒.๑ ความหมายของการมสี ว่ นร่วมทางการเมอื ง
วิฑูรย์ ภูนุช ได้ให้ความหมายของการมีส่วนร่วมทางการเมืองไว้อย่างกว้าง ๆ และ
ครอบคลุมว่าหมายถึงกิจกรรมท้ังหลายของประชาชน แต่ละบุคคลที่ต้องการมีอิทธิพลผลักดันให้
เกิดผลงานทางการเมืองตามต้องการเท่านั้นแต่ยังรวมถึงกิจกรรมเป็นการยอมรับสนับสนุนในเชิงพิธี
การด้วยผู้ที่ยอมรับรัฐบาลที่แสดงออกโดยการปรับพฤติกรรมตนเองตามคําสั่งหรือข้อเรียกร้องของ
รัฐบาลแต่ผู้ท่ีไม่เห็นด้วยก็พยายามก่ออิทธิพลผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขใหม่การมีส่วน
ร่วมทางการเมืองจึงมีทั้งท่ีเป็นการต่อต้าน เช่น เดินขบวนประท้วงการก่อจลาจลและทั้งที่เป็นการ
สนบั สนนุ เช่น การให้ความร่วมมือทางการเมืองในการเสียภาษีเกณฑท์ หารเปน็ ตน้ ๑๗
ได้มีนักวิชาการหลายท่านท้ังนักวิชาการชาวไทยและชาวต่างประเทศ ได้ให้คํานิยามและ
หรือความหมายของคําว่า “การมีส่วนร่วม”ไว้ต่างกัน ดังน้ี วิฑูรย์ ภูนุช ได้ให้ความหมายของการมี
ส่วนร่วมทางการเมืองไว้อย่างกว้าง ๆ และครอบคลุมว่าหมายถึงกิจกรรมท้ังหลายของประชาชน แต่
ละบุคคลท่ีต้องการมีอิทธิพลผลักดันให้เกิดผลงานทางการเมืองตามต้องการเท่านั้นแต่ยังรวมถึง
กิจกรรมเป็นการยอมรับสนับสนุนในเชิงพิธีการด้วยผู้ท่ียอมรับรัฐบาลที่แสดงออกโดยการปรับ
พฤติกรรมตนเองตามคําส่ังหรือข้อเรียกร้องของรัฐบาลแต่ผู้ท่ีไม่เห็นด้วยก็พยายามก่ออิทธิพลผลักดัน
ให้มีการเปล่ียนแปลงหรือแก้ไขใหม่การมีส่วนร่วมทางการเมืองจึงมีท้ังท่ีเป็นการต่อต้าน เช่น
เดินขบวนประท้วงการก่อจลาจลและท้ังท่ีเป็นการสนับสนุน เช่น การให้ความร่วมมือทางการเมืองใน
การเสียภาษเี กณฑท์ หารเปน็ ตน้ ๑๘
สมคิด บางโม กล่าวว่า การตัดสินใจ หมายถึงการตัดสินใจเลือกทางปฏิบัติซ่ึงมีหลายทาง
เป็นแนวปฏิบัติไปสู่เป้าหมายท่ีวางไว้การตัดสินใจน้ีอาจเป็นการตัดสินใจที่จะกระทําการส่ิงใดสิ่งหน่ึง
หรือหลายสิ่งหลายอย่าง เพื่อความสําเร็จตรงตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ในทางปฏิบัติการตัดสินใจ มัก
เกี่ยวข้องกับปัญหาท่ียุ่งยากสลับซับซ้อน และมีวิธีการแก้ปัญหาให้วินิจฉัยมากกว่าหน่ึงทางเสมอ
ดังน้ันจึงเป็นหน้าที่ของผู้วินิจฉัยปัญหาว่าจะเลือกสั่งการปฏิบัติโดยวิธีใดจึงจะบรรลุเป้าหมายอย่างดี
๑๗ วิฑูรย์ ภูนุช, “การมีส่วนร่วมทางการเมืองของบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยรามคําแหง”,
วิทยานิพนธศ์ ิลปศาสตรมหาบณั ฑติ , สาขาวิชารฐั ศาสตร์, (คณะรัฐศาสตร์: มหาวิทยาลัยรามคําแหง, ๒๕๔๘).
๑๘ อ้างแลว้ .
๑๗
ท่ีสุดและบังเกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่องค์การนั้น๑๙ การตัดสินใจ(Decision Making) หมายถึง
กระบวนการในการคัดเลอื กเพื่อการปฏิบตั ิท่ีมีทางเลอื กอยู่หลายทางและผลลพั ธ์มคี วามแตกตา่ งกันใน
การตัดสินใจน้ีจะมีขั้นตอนท่ีเร่ิมต้นจากการที่ได้ตระหนักถึงปัญหาและข้ันตอนสุดท้ายจะนําไปสู่การ
ตัดสินใจอย่างมีเหตุผลจากการที่มีผู้ให้ความหมายดังกล่าวข้างต้นผู้เขียนมีความเห็นว่าการตัดสินใจ
หมายถึงกระบวนการที่ผู้บริหารตัดสินใจใช้ในการแก้ไขปัญหาขององค์การ หรือการกําหนดแนว
ทางการปฏิบัติซ่ึงต้ังอยู่บนพื้นฐานข้อมูลข่าวสารที่ได้รับจากโครงสร้างองค์การ พฤติกรรมของบุคคล
และกล่มุ
บรรยงค์ โตจินดา กล่าวว่า การวินิจฉัยส่ังการหรือการตัดสินใจหมายถึงการท่ีผู้บริหาร
หรือผู้บงั คับบัญชาพิจารณาตดั สนิ ใจและส่งั การในเรื่องใดเรอื่ งหนึ่งการวนิ ิจฉัยส่ังการหรือการตดั สินใจ
เป็นเร่ืองท่ีมีความสําคัญมากเพราะการวินิจฉัยสั่งการจะเป็นการเลือกทางเลือกดําเนินการที่ดีท่ีสุดใน
บรรดาทางเลือกหลาย ๆ ทาง๒๐
สมบัติ ธํารงธัญวงศ์ อธิบายว่าการมีส่วนร่วมทางการเมือง จะต้องเป็นเรอ่ื งของกิจกรรม
มิใช่ทัศนคติและใช้กับบุคคลธรรมดาไม่ใช่นักการเมือง หรือผู้นําทางการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
เพราะเป็นอาชีพ ถือว่าเป็นเรื่องของการมีบทบาททางการเมืองการท่ีจะตัดสินใจว่าการกระทําใด ๆ
เป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองหรอื เป็นบทบาททางการเมืองอาจถือลักษณะทางการเมืองท่ีบุคคลนั้น
กระทําอยู่และจะต้องเป็นเรื่องที่แสดงออกเพื่อให้มีผลต่อการตัดสินใจของรัฐบาลหรือผู้นําประเทศ
ดังนั้น การมีส่วนร่วมทางการเมืองจึงอาจเป็นได้ท้ังถูกกฎหมายและผิดกฎหมายสันติหรือรุนแรง
ถึงแม้ว่าผู้เข้าร่วมจะมีวัตถุประสงค์เพื่อกดดันรัฐบาลแต่ก็อาจจะไม่มีผลต่อการเปล่ียนแปลงการ
ตัดสินใจของรัฐบาลแต่ประการใด ข้ึนอยู่กับอํานาจทางการเมืองของผู้มีส่วนร่วมว่ามีศักยภาพมาก
น้อยเพียงใด
Weiner ไดร้ วบรวมความหมายของการมีส่วนร่วมทางการเมืองไว้๒๑ ดังนี้
๑. การกระทาํ ทีส่ นบั สนุนหรอื เรียกรอ้ งต่อคณะผ้ปู กครอง (Support and demand)
๒. ความพยายามท่ีจะทําให้เกิดผลสําเร็จในการใช้อิทธิพล(Influence) ต่อการปฏิบัติการ
ของรฐั บาลหรอื ในการเลอื กผู้นาํ รฐั บาล
๓. การกระทําที่ถูกตอ้ งตามกฎหมายและไดร้ บั การยอมรับว่าชอบธรรม (Legitimate)
๔. การกระทําทม่ี ีตวั ตนแทน (Representation)
๕. สภาพท่ีบุคคลไม่ต้องการท่ีจะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง (Alienation) เพราะเห็น
วา่ การเข้ามามสี ว่ นร่วมน้นั ไมไ่ ดก้ ่อใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ ตนเอง
๑๙ สมคิด บางโม, องค์การและการจดั การ, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรงุ เทพมหานคร: วิทยพฒั น์, ๒๕๔๘).
๒๐ บรรยงค์ โตจินดา, องค์การและการจัดการ, พิมพ์ครง้ั ท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร: รวมสาสน์ , ๒๕๔๘).
๒๑ Weiner, Myron, “Political Participation : Crisis of the Political Process”, In Leonard,
Binder and others (eds.). Crisis on Sequences in Political, (1971): 161-163.
๑๘
๖. ความกระตือรือร้นท่ีจะเข้าไปเก่ียวข้อง หรือเป็นพวกที่กระตือรือร้นท่ีจะกระทํา
(Activists)
๗. การกระทําที่มีความต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา (Persistence continuum) ซ่ึงอาจมี
สภาวะการเป็นสถาบัน (Institutionalized) หรือการกระทาคร้ังคราว ซ่ึงเกิดข้ึนทันทีทันใด และมี
ระดับความรนุ แรง
๘. การกระทําที่มุ่งต่อการเลือกผู้นําทางการเมือง มุ่งท่ีจะมีอิทธิพลต่อนโยบายสาธารณะ
(Public policy) หรือเป็นความพยายามที่จะมีอิทธิพลต่อการกระทําของหน่วยราชการ (Bureaucratic
actions)
๙. การกระทําทีเ่ ป็นกิจกรรม อันมผี ลกระทบต่อการเมอื งระดบั ชาต(ิ National politics)
๑๐. การกระทาํ ทเี่ ป็นการกระทาทางการเมือง (Political acting)
จากความหมายข้างต้น Weiner ไดป้ ระมวลและสรุปคําว่า “การมีส่วนรว่ มทางการเมอื ง”
หมายถึงการกระทําโดยสมัครใจใด ๆ ซึ่งไม่ว่าจะประสบผลสําเร็จหรือไม่ มีการจัดองค์กรหรือไม่
เกิดข้ึนเป็นคร้ังคราวหรือต่อเนื่องและใช้วิธีถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ก็ตาม โดยมุ่งท่ีจะไปมีอิทธิพล
ต่อนโยบายสาธารณะการบริหารนโยบายสาธารณะและการเลือกผู้นําทางการเมืองของรัฐบาลทั้ง
ระดับชาติระดับท้องถ่ิน Weiner เน้นวัด “การมีส่วนร่วมทางการเมือง” จะต้องมีองค์ประกอบครบ ๓
ประการคือ มกี ารกระทาํ เปน็ ไปโดยสมคั รใจและมีการเลอื กจะขาดอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ไม่ได้
Parry กลา่ วว่าการมีส่วนรว่ มทางการเมอื ง หมายถึงการมสี ่วนร่วมกับผอู้ ื่นในกจิ กรรมทาง
การเมือง ซ่ึงกิจกรรมทางการเมืองน้ันมีอยู่ทั่วไป อาจเรียงลําดับได้จากการออกเสียงเลือกตั้งไปจนถึง
การเปน็ ผู้กาํ หนดนโยบายและการดําเนนิ นโยบาย๒๒
Huntington and Nelson ได้ให้ความหมายของการมีส่วนร่วมทางการเมืองว่าเป็น
กิจกรรมของประชาชนแต่ละบุคคลท่ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัฐบาลโดย
Huntington ได้พิจารณาแง่มมุ ที่สําคัญและกําหนดขอบเขตของความหมายให้ชดั เจนขึ้นคือการมสี ่วน
ร่วมทางการเมืองนั้นไม่รวมถึงทัศนคติแต่เป็นการกระทําของการมีส่วนร่วมที่เป็นประชาชนธรรมดา
ซ่ึงกจิ กรรมทางการเมืองมีลักษณะเป็นช่วง ๆ ไม่ต่อเน่ือง ไม่เป็นเวลาและเป็นบทบาทรองจากบทบาท
อื่น ๆ นอกจากน้ียังหมายความเฉพาะการกระทําที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของ
รัฐบาล ซ่ึงเปน็ ผูท้ ่ีมีความชอบธรรมในการตัดสินใจในการแบ่งสรรทรัพยากรในสังคมที่มีอยู่อย่างจากัด
ซ่งึ การกระทาํ ตา่ ง ๆ น้ไี มร่ วมไปถึงการกดดันหรอื มอี ิทธิพลต่อกลุ่มตา่ ง ๆ ทีไ่ มเ่ กี่ยวข้องกบั รัฐบาล๒๓
๒๒ Parry, G., Participation in Political Manchester, (Manchester University Press, 1972).
๒๓ Huntington, S. P., & Nelson, M. No Easy Choice: Political Participation in
Developing Countries, (Cambridge: Harvard University Press, 1976).
๑๙
Nie and Verba ได้ให้ความหมายการมีส่วนร่วมทางการเมืองว่าคือกิจกรรมต่าง ๆ ที่
ถูกต้องตามกฎหมายของประชาชน ซึ่งมีวัตถุประสงค์โดยตรงมากหรือน้อยในการมีสิทธิต่อการเลือก
ของเจ้าหน้าท่ีรัฐบาล หรือการกระทําท่ีกําลังดําเนินการอยู่ของเจ้าหน้าท่ีรัฐบาลโดยเน้นว่าการมีส่วน
รว่ มทางการเมืองจะตอ้ งมลี กั ษณะดงั น๒ี้ ๔
๑. เป็นเรื่องเกี่ยวกับกิจกรรมของพลเมืองเฉพาะบุคคลรวมทั้งผู้ท่ีเฉื่อยชาต่อกฎเกณฑ์ต่อ
การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยอาชีพ ซ่ึงรวมถึงเจ้าหน้าท่ีรัฐบาลเจ้าหน้าท่ีพรรคการเมืองและพวก
หัวคะแนน
๒. เป็นกิจกรรม ซึ่งมีจุดมุ่งหมายท่ีจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการเลือกของรัฐบาล
หรือเจ้าหนา้ ท่ีของรัฐบาล
๓. การมีส่วนรว่ มในการปกครองโดยการกระทํากจิ กรรม
กล่าวโดยสรุปการมีส่วนร่วมทางการเมืองจึงหมายถึง การมีส่วนร่วมในการเมืองการ
ปกครองของประชาชนตามสิทธิที่ระบบการเมืองและกฎหมายกําหนดให้กระทําได้ เป็นการกระทํา
ต้องเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของประชาชน เพ่ือให้มีอิทธิพลต่อการกําหนดนโยบายของรัฐทั้งใน
การเมืองการปกครองระดับท้องถิ่นและระดับชาติ อย่างไรก็ตาม แม้การมีส่วนร่วมทางการเมืองการ
ปกครองของประชาชนจะเป็นไปตามสิทธิท่ีระบบการเมืองและกฎหมายกําหนดให้ไว้กระทําได้ เช่น
อนุญาตให้ประชาชนรวมตัวเพอื่ ชุมนุมคัดคา้ น หรือแสดงความคดิ เห็นตอ่ นโยบายต่าง ๆ ของรัฐได้ แต่
ก็อาจปรากฏได้ว่าการมีส่วนร่วมดําเนินไปโดยถูกต้องตามกฎหมายอาจลุกลามเป็นการกรทําที่ผิด
กฎหมายได้ เชน่ การขวา้ งปา ตอ่ ส้ทู ํารา้ ยร่างกาย การใช้ความรนุ แรง
จากการทบทวนแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองสามารถสรุปลาย
ระเอียดได้ดังตารางตอ่ ไปนี้
ตารางท่ี ๒.๒ แสดงสรปุ แนวคดิ และทฤษฎเี กีย่ วกับการมสี ว่ นรว่ มทางการเมือง
ท่ี นักวชิ าการ แนวคิดหลกั
๑ วฑิ รู ย์ ภนู ชุ
กิจกรรมทัง้ หลายของประชาชน แต่ละบคุ คลทต่ี ้องการมีอิทธพิ ล
(๒๕๔๘) ผลักดันให้เกิดผลงานทางการเมืองตามต้องการ รวมถึงกิจกรรม
เปน็ การยอมรับสนบั สนนุ ในเชงิ พิธกี ารดว้ ย
๒ สมบตั ิ ธาํ รงธัญวงศ์
(๒๕๔๙) เป็นเรื่องของกิจกรรมมิใช่ทัศนคติและใช้กับบุคคลธรรมดาไม่ใช่
นกั การเมอื ง หรอื ผ้นู าํ ทางการเมือง
๓ Weiner
(1971) การกระทําโดยสมคั รใจใด ๆ ซึ่งไม่ว่าจะประสบผลสําเร็จหรือไม่
มีการจัดองค์กรหรือไม่ โดย“การมีส่วนร่วมทางการเมือง”
๒๔ Nie, N.H. and Verba, S. “Political Participation”, In Grunstiien and Nelson, W.P.
(eds.), Handbook Political Science : Non Government Politic, (Massasuseette: Addisen Wesley,
1975): 9-12.
๒๐
ท่ี นกั วชิ าการ แนวคดิ หลัก
จะต้องมีองค์ประกอบครบ ๓ ประการคือ มีการกระทํา เป็นไป
โดยสมัครใจและมีการเลือกจะขาดอยา่ งใดอย่างหนง่ึ ไม่ได้
๔ Parry การมีส่วนรว่ มกบั ผอู้ น่ื ในกจิ กรรมทางการเมอื ง
(1972)
๕ Huntington and Nelson กิจกรรมของประชาชนแต่ละบุคคลท่ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือท่ีจะมี
(1976) อิทธพิ ลต่อการตัดสินใจของรฐั บาล
๖ Nie and Verba กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีถูกต้องตามกฎหมายของประชาชน ซ่ึงมี
(1975) วัตถุประสงค์โดยตรงมากหรือน้อยในการมีสิทธิต่อการเลือกของ
เจ้าหน้าท่ีรัฐบาล หรือการกระทําท่ีกําลังดําเนินการอยู่ของ
เจา้ หนา้ ท่รี ฐั บาล
๒.๒.๒ ความสาํ คัญของการมีสว่ นรว่ มทางการเมือง
การมีส่วนร่วมของประชาชนมีความสําคัญในการสร้างประชาธิปไตยอย่างยั่งยืนและ
ส่งเสริมธรรมาภิบาล ตลอดจนการบริหารงาน หากการมีส่วนร่วมของประชาชนมากข้ึนเพียงใดก็จะ
ช่วยให้มีการตรวจสอบการท างานของผู้บริหาร และทําให้ผู้บริหารมีความรับผิดชอบต่อสังคมมาก
ย่ิงข้ึน อีกท้ังยังเป็นการป้องกันนักการเมืองจากการกําหนดนโยบายท่ีไม่เหมาะสมกับสังคมนั้น ๆ
นอกจากน้กี ารมีส่วนร่วมของประชาชนยังเป็นการสร้างความม่ันใจว่าเสียงของประชาชนจะมีคนรับฟัง
อกี ท้ังความตอ้ งการหรือความปรารถนาของประชาชนก็จะได้รับการตอบสนอง อย่างไรก็ดีไม่มีเทคนิค
การมีส่วนร่วมของประชาชนเทคนิคใดเทคนิคหนึ่งท่ีมีความเหมาะสมและสามารถใช้ได้ผลดีกับทุก
สถานการณ์
สําหรับความสําคัญของการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้น นอกจากการมีส่วนร่วมของ
ประชาชนและเป็นเงื่อนไขหลักของระบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมแล้ว ยังจะช่วยให้กระบวนการ
ตัดสินใจเก่ียวกับปัญหาและโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลเป็นไปด้วยความรอบคอบลดความขัดแย้งใน
สังคมและบังเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งแก่ชุมชนและประเทศชาติ ทําให้คุณภาพของการตัดสินใจดีขึ้น
การมสี ่วนรว่ มของประชาชนทําใหใ้ ช้ต้นทุนน้อยและลดความล่าช้าลงการมีส่วนรว่ มของประชาชนจงึ มี
เป้าหมายสําคัญคือ นําค่านิยม ความคิดเห็นของสาธารณชนเข้าสู่การตัดสินใจ เพื่อปรับปรุงคุณภาพ
ของการตัดสินใจที่สําคัญ แก้ปัญหาความขัดแย้งจากความต้องการท่ีเหมือนกัน การสร้างความเชื่อมั่น
และใหก้ ารศกึ ษาและใหข้ อ้ มูลแกส่ าธารณชน
อุดมคติของประชาธิปไตยแล้วต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมกับรัฐบาลอย่างกว้างขวาง
เช่น ไปเลือกตั้งมีกิจกรรมในชุมชน ร่วมเป็นสมาชิกในองค์กรชุมชนและเป็นสมาชิกกลุ่มผลประโยชน์
เป็นผู้ปฏิบัติงานให้กับพรรคการเมืองและสมัครรับเลือกตั้ง ตามอุดมการณ์ ชุมชนนิยม
(Communitarianism) ยกย่องการมีส่วนร่วมโดยตรงในกิจกรรมชุมชน ไม่แต่เพียงการเลือกต้ังแต่
บางคร้ังจําเป็นตอ้ งมสี ่วนร่วมในกลมุ่ การประชุม การท างานกับเพอื่ นบ้านเพื่อนร่วมกันแก้ปญั หาของ
ชุมชน ตามอุดมการณ์น้ีเช่ือถือว่าหากชุมชนพูดคุยปัญหากันเองโดยการประชุมแบบเห็นหน้ากันจะ
๒๑
เกิดการเรียนร้จู ากกนั กล่มุ ชุมชนนิยมของสหรฐั อเมริกาจึงเรียกรอ้ งให้ใช้ประชาธปิ ไตยแบบมสี ว่ นรว่ ม
(Participatory democracy) เป็นวิธีหาความหมายให้กับชีวิตกลุ่มชุมชนนิยมพยายามกระจาย
ความคิดของท็อกเกอร์วิลล์(Tocqueville) ที่ยกย่องการประชุมเทศบาลและเรียกร้องให้เพ่ิม
อาสาสมคั รชมุ ชน๒๕
สมบัติ ธํารงธัญวงศ์ ได้อธบิ ายว่า การมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political participation)
เป็นทั้งเปา้ หมายและกระบวนการทางการเมอื ง๒๖ กล่าวคอื
๑. การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นเป้าหมายสําคัญของการพัฒนาระบบการเมืองให้เป็น
ประชาธิปไตยการมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นดัชนีช้ีวัดท่ีสําคัญของระบอบประชาธิปไตย สังคมใดมี
ระดับความเป็นประชาธิปไตยสูงหรือต่ําพิจารณาได้จากระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ
ประชาชน สังคมท่ีประชาชนมีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองสูง ย่อมมีระดับความเป็น
ประชาธิปไตยสูง ในทางตรงข้ามถ้าสังคมใดมีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองตํ่าแสดงว่าสังคมนั้นมี
ระดับความเป็นประชาธิปไตยต่ําดังนั้น การมีส่วนร่วมทางการเมืองจึงเป็นเป้าหมายของการพัฒนา
ทางการเมอื งโดยตรง โดยเฉพาะการพฒั นาทางการเมืองใหเ้ ป็นประชาธิปไตย
๒. การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นกระบวนการทางการเมืองการมีส่วนร่วมทางการเมือง
แท้จริงคือการแสดงออกซึ่งกิจกรรมทางการเมืองของบุคคลในสังคม กิจกรรมเหล่านี้ก่อให้เกิด
ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคมการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกกับองค์กรทางการ
เมือง รวมทั้งความสัมพันธร์ ะหว่างประชาชนกับรัฐบาล การแสดงออกซ่ึงกิจกรรมทางการเมอื งเหล่าน้ี
คือกระบวนการทางการเมืองซึ่งจะนําไปสู่การบรรลุเป้าหมายที่ประชาชนต้องการ ดังนั้นพฤติกรรม
ทางการเมืองของบุคคลและองค์กรทางการเมืองท่ีครอบคลุมระบบปฏิสัมพันธ์(Interaction system)
ทางการเมืองทั้งหมดจะส่งเสริมให้เข้าใจบทบาทการมีส่วนร่วมทางการเมืองในฐานะที่เป็น
กระบวนการทางการเมือง (Political process) จึงเก่ียวข้องและสัมพันธ์โดยตรงกับกระบวนการ
อบรมหล่อหลอมทางการเมือง (Political socialization) ซ่ึงจะมีผลต่อความเช่ือถือและพฤติกรรม
ทางการเมืองของปัจเจกบุคคลในแต่ละสังคมหากพิจารณาการมีส่วนร่วมทางการเมืองภายใต้กรอบ
ของระบอบการเมอื งอาจจําแนกได้ ๒ ลักษณะสาํ คัญ คอื
๒.๑ เป็นลักษณะของการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมี
ความหมายครอบคลมุ ลกั ษณะต่าง ๆ ทีไ่ ด้กล่าวมาแลว้ ในตอนตน้
๒.๒ การมีส่วนรว่ มทางการเมืองในระบอบอํานาจนยิ มหรือระบอบเผด็จการลักษณะ
สําคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบนี้จะเป็นไปแบบทิศทางเดียวกล่าวคือ ประชาชนจะ
แสดงบทบาททางการเมืองได้เฉพาะภายใต้กรอบที่ผู้ปกครองกําหนดให้เท่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นการ
แสดงออกทางการเมืองเพ่ือสนับสนุนผู้ปกครองภายใต้การระดมและการกํากับของผู้ปกครองโดยตรง
อาจเปน็ การแสดงออกของประชาชนเพื่อสนับสนุนรัฐบาล หรือแสดงออกซึ่งการต่อต้านต่างชาติที่เป็น
๒๕ เรอื งวทิ ย์ เกษสวุ รรณ, หลักรัฐศาสตร,์ (กรงุ เทพมหานคร: บริษัท บพิธการพมิ พ์ จํากัด, ๒๕๕๓).
๒๖ สมบัติ ธํารงธัญวงศ์, นโยบายสาธารณะ : แนวความคิด การวิเคราะห์และกระบวนการ, พิมพ์
ครัง้ ที่ ๑๔, (กรุงเทพมหานคร: เสมาธรรม, ๒๕๔๙).
๒๒
ปฏิปักษ์กับรัฐบาลการแสดงออกซ่ึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระบอบอํานาจนิยม
หรือระบอบเผด็จการจะเป็นไปในลักษณะของการระดมการมีส่วนร่วม(Mobilized participation)
เป็นสําคัญและจะต้องเป็นไปในลักษณะการสนับสนุนผู้นําเผด็จการเท่านั้นจะแสดงออกเพื่อการ
คดั ค้านผนู้ าํ หรือรัฐบาลเผดจ็ การมิไดด้ ังนั้นการมสี ว่ นร่วมทางการเมืองของประชาชนในระบอบอํานาจ
นิยมหรือระบอบเผด็จการจึงแตกต่างกับระบอบประชาธิปไตยอย่างชัดเจน เพราะการแสดงออกซึ่ง
การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยสามารถกระทําได้ท้ังในทาง
สนับสนุนและคัดค้านรัฐบาลและโดยส่วนใหญ่จะเป็นการแสดงออกที่เป็นอิสระจากการควบคุมหรือ
กํากับของรัฐบาล นอกจากนี้การแสดงออกทางการเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอาจมี
อิทธิพลหรือส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ท้ังน้ี
เพราะการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยถ้าสะท้อนถึงความต้องการของประชาชน
ส่วนใหญ่ก็คือการแสดงออกซ่ึงเจตจํานงทั่วไป (General will) ของประชาชนน่ันเอง จึงเป็นเร่ืองที่
ผู้นําทางการเมืองจะตอ้ งใหค้ วามสาํ คัญเป็นอยา่ งย่ิง
๒.๒.๓ การมีส่วนร่วมทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.
๒๕๖๐
การมีส่วนร่วม คือการเปิดโอกาสให้ประชาชนไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเข้ามามี
สว่ นร่วมในกิจกรรมใดกิจกรรมหน่งึ ไมว่ า่ จะเปน็ ทางตรงหรือทางอ้อมในลกั ษณะของการรว่ มรบั รู้ ร่วม
คิด ร่วมทํา ในส่ิงท่ีมีผลกระทบต่อตนเองหรือชุมชนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐
หมวด ๕ แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ส่วนที่ ๑๐ แนวนโยบายด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน
กาํ หนดให้รฐั ตอ้ งดาํ เนินการตามแนวนโยบายด้านการมสี ว่ นร่วมของประชาชนดงั ตอ่ ไปน๒ี้ ๗
๑) ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกําหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคม ท้ังในระดบั ชาตแิ ละระดบั ท้องถิน่
๒) ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางการเมืองการ
วางแผนพัฒนาทางเศรษฐกิจและสงั คม รวมทง้ั การจัดทาํ บริการสาธารณะ
๓) ส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐ
ทกุ ระดบั ในรูปแบบองค์กรทางวิชาชีพหรือตามสาขาอาชีพทห่ี ลากหลายหรอื รปู แบบอืน่
๔) ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเข้มแข็งในทางการเมืองและจัดให้มีกฎหมายจัดตั้งกองทุน
พัฒนาการเมืองภาคพลเมืองเพ่ือช่วยเหลือการดําเนินกิจกรรมสาธารณะของชุมชน รวมทั้งสนับสนุน
การดําเนินการของกลุ่มประชาชนที่รวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายทุกรูปแบบให้สามารถแสดงความ
คิดเห็นและเสนอความตอ้ งการของชุมชนในพื้นที่
๒๗ คะนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม และคณะ, แนวทางการเสริมสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมตาม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐: ปัญหา อุปสรรค และทางออก, (กรุงเทพมหานคร: ธรรมดาเพลส,
๒๕๔๕).
๒๓
๕) ส่งเสริมและให้การศึกษาแก่ประชาชนท่ีเกี่ยวกับการพัฒนาการเมืองและการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขรวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้สิทธิ
เลอื กต้งั โดยสจุ รติ และเทีย่ งธรรม
๖. ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า ๑๐,๐๐๐ คน มีสิทธิเข้าช่ือร้องขอต่อประธานรัฐสภา
เพอ่ื ใหร้ ฐั สภาพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั ิ(การเข้าชอื่ เสนอกฎหมาย)
๗) ผู้มีสิทธิเลือกต้ังจํานวนไม่น้อยกว่า ๒๐,๐๐๐ คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธาน
วุฒิสภาเพ่ือให้วุฒิสภาถอดถอนบุคคลผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองและผู้ดํารงตําแหน่งระดับสูง
(นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาล
รัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครอง หรืออัยการสูงสุด รวมถึง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการ
เลือกต้ัง ผู้ตรวจการแผ่นดินและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้พิพากษาหรือตุลาการ พนักงานอัยการ
หรือผู้ดํารงตําแหน่งระดบั สูง) ดว้ ยเหตุมีพฤติการณร์ ํ่ารวยผิดปกติ
๗.๑) สอ่ ไปในทางทจุ รติ ต่อหนา้ ที่
๗.๒) ส่อว่ากระทําผิดตอ่ ตาํ แหนง่ หน้าทีร่ าชการ
๗.๓) สอ่ วา่ กระทาํ ผิดต่อตาํ แหน่งหน้าทใ่ี นการยตุ ิธรรม
๗.๔) ส่อวา่ จงใจใช้อํานาจหน้าที่ขัดตอ่ บทบัญญัตแิ ห่งรัฐธรรมนูญหรอื กฎหมาย หรือ
ฝ่าฝนื หรอื ไมป่ ฏบิ ัตติ ามมาตรฐานจริยธรรมอย่างรุนแรง
๗.๕) มีสทิ ธิเลือกตง้ั ย่อมมีสทิ ธิออกเสียงประชามตเิ ห็นชอบหรอื ไม่เห็นชอบในกิจการ
ตามท่จี ดั ให้มีการออกเสยี งประชามติแบ่งเปน็ กรณดี งั ต่อไปนี้
(๑) กรณที ่ีอาจกระทบถึงประโยชนไ์ ดเ้ สยี ของประเทศชาตหิ รือประชาชน
(๒) กรณที มี่ ีกฎหมายบัญญตั ใิ หม้ กี ารออกเสียงประชามติ
สรุปสาระสําคญั ไดด้ ังนี้
มาตรา ๑๖๓ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าหนึ่งหม่ืนคน มีสิทธิเข้าช่ือร้องขอต่อ
ประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามท่ีกําหนดในหมวด ๓ และหมวด ๕แห่ง
รฐั ธรรมนญู น้ีคาํ รอ้ งขอตามวรรคหนึ่งต้องจัดทาํ รา่ งพระราชบัญญัติเสนอมาดว้ ยหลักเกณฑ์และวิธกี าร
เข้าชื่อรวมท้ังการตรวจสอบรายช่ือ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติในการพิจารณาร่าง
พระราชบัญญัติตามวรรคหน่ึง สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิ
เลื อ ก ตั้ ง ท่ี เข้ า ช่ื อ เส น อ ร่ า ง พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ น้ั น ช้ี แ จ ง ห ลั ก ก า ร ข อ ง ร่ า ง พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ แ ล ะ
คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยผู้แทนของ
ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าช่ือเสนอร่างพระราชบัญญัติน้ันจํานวนไม่น้อยกว่าหน่ึงในสามของ
จํานวนกรรมาธิการทงั้ หมดดว้ ย
มาตรา ๑๖๔ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังจํานวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน มีสิทธิเข้าช่ือร้อง
ขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติตามมาตรา ๒๗๔ ให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา ๒๗๐ ออก
จากตําแหน่งได้คําร้องขอตามวรรคหนึ่งต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่าผู้ดํารงตําแหน่งดังกล่าว
กระทําความผิดเป็นข้อ ๆ ให้ชัดเจนหลักเกณฑ์ วิธีการและเงือ่ นไขในการท่ีประชาชนจะเข้าชื่อร้องขอ
๒๔
ตามวรรคหน่ึงให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม
การทุจริต
มาตรา ๒๖๕ ประชาชนผู้มีสิทธเิ ลือกตั้งยอ่ มมสี ทิ ธอิ อกเสียงประชามตกิ ารจัดให้มกี ารออก
เสียงประชามตใิ หก้ ระทําได้ในเหตดุ ังตอ่ ไปนี้
(๑) ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่ากิจการในเร่ืองใดอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียของ
ประเทศชาติหรือประชาชน นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีอาจปรึกษา
ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภาเพ่ือประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีการออกเสียง
ประชามติได้
(๒) ในกรณีท่ีมีกฎหมายบัญญัติให้มีการออกเสียงประชามติการออกเสียงประชามติตาม
(๑) หรือ (๒)อาจจัดให้เป็นการออกเสียงเพื่อมีข้อยุติโดยเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ
ในปัญหาที่จดั ใหม้ ีการออกเสียงประชามติหรือเป็นการออกเสียงเพื่อให้คาํ ปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรีก็ได้
เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไวเ้ ป็นการเฉพาะการออกเสียงประชามติต้องเป็นการใหอ้ อกเสียงเห็นชอบ
หรือไม่เห็นชอบในกิจการตามที่จัดให้มีการออกเสียงประชามติและการจัดการออกเสียงประชามติใน
เร่ืองที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือเกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลจะกระทํามิได้ก่อนการออก
เสียงประชามติ รัฐต้องดําเนินการให้ข้อมูลอย่างเพียงพอและให้บุคคลฝ่ายที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบ
กบั กิจการน้ัน มีโอกาสแสดงความคิดเห็นของตนได้อย่างเท่าเทียมกนั หลักเกณฑ์และวิธกี ารออกเสียง
ประชามติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติซ่ึงอย่าง
น้อยต้องกําหนดรายละเอียดเก่ียวกับวิธีการออกเสียงประชามติ ระยะเวลาในการดําเนินการและ
จํานวนเสยี งประชามติ เพอื่ มขี ้อยตุ ิ
๒.๒.๔ ลกั ษณะของการมีสว่ นรว่ มทางการเมือง
สมบัติ ธํารงธัญวงศ์ ได้อธิบายว่าลักษณะของการมีส่วนร่วมทางการเมืองว่าได้มี
นักวิชาการหลายท่านท่ีได้ให้ทัศนคติและแนวความคิดไว้ โดยได้จําแนกลักษณะการเข้ามีส่วนร่วม
ทางการเมอื งของประชาชนในการปกครองไว้ ๓ อยา่ งใหญ่ ๆ๒๘ คือ
๑. การลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง (Voting) เป็นการแสดงออกซ่ึงเจตนาของประชาชนต่อวิธี
กําหนดนโยบายในการปกครองประเทศการแสดงเจตจํานงดังกล่าวนี้จะมีความหมายจริง ๆ หรือมี
ผลดีตามระบอบประชาธิปไตยหรือไม่นั้นย่อมข้ึนอยู่กับความสนใจของประชาชนอย่างจริงจังและการ
มสี ว่ นรว่ มมากนอ้ ยเพยี งใดด้วย
๒. การบังคับและชักจูงอย่างไม่เป็นทางการ (Information method of pressure and
persuasion) เช่น การติดตามการปฏิบัติงานของผู้แทนทางส่ือมวลชน และแสดงเจตจํานงในรูปแบบ
การรวมกลุ่มกันเดินขบวน เพื่อหาทางเปล่ียนแปลงผู้ที่ได้รับการเลือกต้ังที่ตนเองไม่พอใจ ดังนั้นผู้ท่ี
ได้รับการเลือกต้ังจึงต้องฟังความคิดเห็นของประชาชนที่เป็นแรงกดดันอยู่ตลอดเวลา เพื่อผ่อนคลาย
๒๘ สมบัติ ธํารงธัญวงศ์, นโยบายสาธารณะ : แนวความคิด การวิเคราะห์และกระบวนการ, พิมพ์
คร้ังที่ ๑๔, หน้า ๒๐.
๒๕
ความรู้สึกของประชาชนให้ใช้วิธีการมีส่วนร่วมอย่างสันติซ่ึงได้แก่การรวมกลุ่มต่อรองหรือผลักดันใน
รปู แบบของพรรคการเมอื งหรือกลมุ่ ผลประโยชน์ต่าง ๆ โดยถือว่าพรรคการเมอื งหรอื กล่มุ ดังกลา่ วเป็น
ตวั กลางในการรบั ฟงั และถา่ ยทอดความคิดเห็นของประชาชน
๓. การดําเนินการอย่างเป็นทางการ (Formal active) ได้แก่การมีส่วนร่วมทางการเมือง
ของประชาชนโดยการใช้สิทธิที่ได้รับตามรัฐธรรมนูญ เช่น การริเริ่มกฎหมายการแสดงประชามติและ
การเพกิ ถอนให้ออกจากตาํ แหน่ง (Recall)
Townsend กล่าวว่า มีความเช่ือที่เกือบจะเป็นสากลว่า มนุษย์ในสังคมจะเข้าไปมีส่วน
ร่วมและเก่ียวข้องกบั ระบบการเมอื ง ซึง่ เขาเหน็ วา่ มอี ยู่๒ ลักษณะ๒๙ คอื
๑. ลักษณะการเกยี่ วข้องตามแบบสังคมคอมมิวนิสต์คอื ประชาชนถกู บังคับให้เกี่ยวข้องใน
เร่อื งลกั ษณะท่ีรัฐบาลเห็นว่าจาํ เป็น
๒. ลักษณะแบบตะวันตกในประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยประชาชนมักจะ
เก่ยี วข้องกับการเมืองอยเู่ สมอโดยความสมคั รใจ
๒.๒.๕ รูปแบบการมสี ว่ นรว่ มทางการเมือง
การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการเลือกตั้ง การเลือกต้ังเป็นสิทธิและหน้าที่ของ
ประชาชนชาวไทยทุกคน ที่มีอายุครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์เพื่อไปทําหน้าท่ีคัดเลือกตัวแทนของตนเข้าไป
ออกกฎหมายและเข้าไปบริหารประเทศ ดังน้ันประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการเลือกต้ัง และทําให้
การเลือกตัง้ สุจริตและเท่ียงธรรม ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตงั้ ได้ดังน้ี๓๐
๑. สมัครเปน็ สมาชิกพรรคการเมือง
๒. สอดส่องดูแลการเลอื กต้ัง แจ้งเหตหุ รือเบาะแสการทุจริตซ้ือสทิ ธขิ ายเสยี ง
๓. ใช้สทิ ธเิ ลอื กต้งั โดยพร้อมเพรยี ง
๔. ร่วมตรวจสอบการเลือกต้ัง โดยเป็นสมาชิกหรืออาสาสมัครขององค์การเอกชนท่ี
คณะกรรมการการเลอื กตงั้ รบั รองใหต้ รวจสอบการเลือกตั้ง
๕. ร่วมเป็นเจ้าหน้าที่จัดการเลือกต้ังในระดับต่าง ๆ เช่น กรรมการประจําหน่วย
เลือกต้ังกรรมการนับคะแนน กรรมการการเลือกตั้งประจําองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการการ
เลือกต้งั ประจําเขตเลือกตัง้ เปน็ ตน้ การมสี ่วนรว่ มในการเลือกตั้ง สามารถจําแนกรายละเอยี ดได้ดงั น้ี
กจิ กรรมการมสี ว่ นรว่ มก่อนการเลือกตั้ง
๑. ตรวจบญั ชีรายชอื่ วา่ ตนเปน็ ผมู้ สี ทิ ธิเลือกตัง้ หรอื ไม่
๒. ตรวจสอบพรรคการเมอื งและผูส้ มัครรบั เลอื กตัง้
๓. ร่วมรณรงคเ์ ลอื กต้ัง
๒๙ Townsend, J. R., “ Political participation in communist china” , American Political
Science Review, Vol. 2 (1967): 25-29.
๓๐ สารานุกรมการเมืองไทยสําหรับเยาวชน, รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมือง, เล่มที่ ๓.
[ออนไลน์], แหลง่ ทมี่ า: https://www.saranukromthai.or.th/sub/Ebook/Ebook.php. [๒๕ ธนั วาคม ๒๕๖๓].
๒๖
๔. ฟังการปราศรัยนโยบายของผสู้ มคั รและพรรคการเมือง
๕. สอดส่องดูแลพฤตกิ รรมท่ีมชิ อบ
๖. ศึกษาประวัติผู้สมัคร
๗. ให้การศกึ ษาแก่ประชาชน
๘. การตอ่ รองนโยบายของพรรคการเมอื ง
กจิ กรรมการมีสว่ นร่วมระหวา่ งการเลอื กตง้ั
๑. สงั เกตการณ์การซอ้ื เสยี ง
๒. ลงคะแนนเสียงเลอื กตง้ั
๓. ติดตามการนบั คะแนน
๔. ร่วมเป็นคณะกรรมการประจาํ หน่วยเลอื กตงั้
๕. แจ้งเหตหุ ากพบเหตุการณผ์ ิดปกติ
๖. ชกั ชวนประชาชนไปใช้สทิ ธิเลอื กตง้ั
๗. ไม่รบั เงินซื้อเสยี ง
๘. ตรวจสอบดแู ลการเลือกต้ังใหเ้ ปน็ ไปตามกติกา
กิจกรรมการมสี ว่ นร่วมหลังการเลอื กตง้ั
๑. ติดตามผลการเลือกต้งั
๒. ติดตามผลการใช้สิทธเิ ลอื กต้งั
๓. ตดิ ตามการจดั ตงั้ รัฐบาล
๔. ตดิ ตามตรวจสอบการท างานของผแู้ ทนทเ่ี ราเลือก
๕. แสดงพลังกลมุ่ ถอดถอนนักการเมือง ถา้ พบว่ามกี ารกระทําโดยมชิ อบ
๒.๒.๖ การมีสว่ นรว่ มทางการเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตย
การมีส่วนร่วมในรูปแบบของกลุ่มผลประโยชน์ เป็นการรวมตัวกันของบุคคลเป็นกลุ่ม
บุคคลหรือองค์กรในสังคม มีเป้าหมายหลักอยู่ท่ีการรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มตนเท่านั้น โดยไม่มี
เป้าหมายที่จะเข้าไปเป็นรัฐบาลเพ่ือบริหารประเทศแต่อย่างใด สําหรับเป้าหมายของแต่ละกลุ่มจะ
แตกต่างกันไป บางกลุ่มอาจเรยี กร้องให้รัฐบาลทําตามสิ่งที่กลุ่มตนต้องการ เช่น การเรียกรอ้ งให้แก้ไข
ปัญหาเร่ืองท่ีดินทํากิน ราคาพืชผลการเกษตรหรือเพื่ออํานวยความสะดวกแก่กลุ่มของตน หรืออาจ
เรียกร้องให้รฐั บาลจดั ทํานโยบายหรอื โครงการที่กลมุ่ ตนจะไดเ้ ปน็ โยชน์๓๑ เปน็ ต้น
การมีส่วนร่วมในรูปแบบของพรรคการเมือง เป็นการรวมกลุ่มของบุคคลท่ีมีความเชื่อทาง
การเมืองคล้ายคลึงกัน มีเป้าหมายหลักอยู่ท่ีการส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งเพ่ือไปทําหน้าที่ทั้งฝ่าย
บรหิ าร นิติบญั ญัตอิ ย่างไรกต็ ามการเข้ามารวมตวั กันในรูปแบบพรรคการเมืองยังมเี ป้าหมายอ่ืนอกี เช่น
การให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชน การดูแลและรักษาผลประโยชน์ของส่วนร่วม การสร้าง
๓๑ อ้างแลว้ .
๒๗
ผนู้ ําทางการเมือง การควบคุมและติดตามตรวจสอบทางการเมือง ฯลฯ ในส่วนของประชาชนสามารถ
เข้าไปมีส่วนร่วมในพรรคการเมืองได้ เช่น การสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง การบริจาคเงิน
สนับสนุนกิจกรรมของพรรคการเมอื งการชว่ ยรณรงคห์ าเสยี งในชว่ งที่มีการเลือกตงั้ เป็นตน้
การมีส่วนร่วมในรูปแบบของการไปใช้สิทธิเลือกต้ัง เป็นการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งถือเป็น
รูปแบบการมีส่วนร่วมท่ีสําคัญของการบริหารประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแต่สิ่งท่ีควร
ตระหนักคือจํานวนผู้มาใช้สิทธิเลือกต้ังจํานวนมากไม่ได้หมายความถึงความเป็นประชาธิปไตยของ
ประเทศ หากแตก่ ารใชส้ ทิ ธเิ ลอื กตั้งในรูปแบบประชาธิปไตยท่ีแทจ้ ริง ต้องมีลักษณะดังนี้
- การใช้สิทธิโดยอิสระคือการใช้สิทธิเลือกต้ังจะต้องเกิดจากความสมัครใจ ไม่ได้เกิดมา
จากการบังคบั หรือขม่ ขู่หรอื สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนในการออกไปใช้สิทธิเลอื กตั้ง
- การเลือกต้ังโดยลับ การออกเสียงต้องกระทําแต่เพียงลําพัง โดยไม่มีผู้อ่ืนอยู่ร่วมด้วย
หรือสามารถล่วงรู้ได้ว่าผู้มีสิทธิเลือกผู้สมัครคนใดหรือออกเสียงอย่างไรการออกเสียงเลือกตั้งของ
บุคคล ไมส่ ามารถประกาศใหท้ ราบเปน็ การทว่ั ไปได้
- ความเสมอภาคในการเลอื กตง้ั บคุ คลแต่ละคนมสี ิทธอิ อกเสียงไดค้ นละหนงึ่ เสยี งเท่านัน้
- ความเป็นกลาง บคุ คลท่เี ข้าไปมีส่วนเกี่ยวกับในการเลือกตง้ั ทุกคนตอ้ งปฏิบัติหน้าทีอ่ ย่าง
เท่ียงธรรม ไมล่ าํ เอยี งเข้าฝา่ ยใดฝา่ ยหนงึ่
๒.๒.๗ ระดบั การมสี ่วนร่วมทางการเมือง
Rush ได้จัดลําดับการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองไว้ ๑๐ ระดับ โดยเรียงจากสูงไปต่ํา
คอื
๑. การดํารงตําแหน่งด้านการบริหารหรือการเมือง (Holding political of administrative
officer) ซง่ึ ได้แกผ่ ูด้ าํ รงตาํ แหนง่ ทางการเมือง๓๒
๒. การเสาะแสวงหาตาํ แหนง่ ด้านการบริหารหรือการเมอื ง
๓. การเข้าร่วมในรูปการเป็นสมาชิกพรรคที่เข้มแข็ง (Active membership) ของ
องค์การทางการเมือง (Political organization) ได้แก่ การปฏิบัติหน้าที่ในพรรคการเมืองหรือกลุ่ม
ผลประโยชน์
๔. การเข้ามาในรูปของการเป็นสมาชิกเฉย ๆ (Passive membership) ขององค์การทาง
การเมือง ซ่ึงหมายถึงการเป็นสมาชิกโดยไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างไร เพียงแต่เป็นการจ่ายค่าสมาชิกอยู่
เปน็ ประจําเท่าน้นั
๕. การมีส่วนร่วมในรูปของการเป็นสมาชิกท่ีเข้มแข็งขององค์การที่คล้ายคลึงกับองค์การ
ทางการเมือง (Quasi political organization) ได้แก่ กลุ่มผลประโยชน์ท้ังหลายท่ีมีหน้าที่เกี่ยวกับ
การเมืองในบางส่วนเทา่ นน้ั
๓๒ Michael Rush and Phillip Athoff, Introduction to Political Sociology, (London:
Western Printing Service Press, 1971).
๒๘
๖. การมีส่วนร่วมในรูปแบบของการเป็นสมาชิกเฉย ๆ ขององค์การท่ีคล้ายคลึงกับองค์กร
ทางการเมือง
๗. การเข้าร่วมในรูปแบบการชุมนุมในท่ีสาธารณะหรือชุมชนเพ่ือแสดงความคิดเห็น
ทางการเมือง การว่ มเดินขบวนต่าง ๆ (Demonstration)
๘. การเข้าร่วมในรูปการอภิปรายถกเถียงข้อปัญหาทางการเมือง ในรูปแบบไม่เป็น
ทางการ (Informal political discussion)
๙. การเขา้ ร่วมในรปู ของการใหค้ วามสนในท่ัวไปตอ่ เรอื่ งราวทางการเมอื ง
๑๐. การเข้าร่วมในรูปของการใช้สิทธเิ ลอื กตงั้ (Voting)
Roth and Wilson ได้แบ่งระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองจากระดับสูงสุดไปหาระดับ
ต่ําสดุ ดังน้ี
๑. พวกเบ่ยี งเบน เช่น ผูก้ อ่ การรา้ ยทางการเมือง การลอบฆา่ กนั ในทางการเมอื ง
๒. การเป็นเจา้ หน้าทีข่ องรัฐบาลและการสมคั รเขา้ รับการเลือกตั้ง
๓. การเปน็ เจา้ หน้าท่ขี องพรรคการเมืองซ่ึงทําหนา้ ท่ีอย่างเต็มเวลา
๔. การเปน็ หวั หนา้ กลุ่มผลประโยชน์
๕. การชว่ ยรณรงค์หาเสียงให้แก่พรรคหรือผ้สู มคั รเขา้ รบั การเลือกต้ัง
๖. การเป็นสมาชิกทก่ี ระตอื รอื ร้นของพรรคการเมือง
๗. การเขา้ ร่วมในกิจกรรมทางการเมอื งของกลุ่มผลประโยชน์
๘. การเข้ารว่ มในโครงการตา่ ง ๆ ของชุมชนทต่ี นอาศัยอยู่
๙. การเขา้ ร่วมชมุ นมุ ทางการเมือง
๑๐. การเขา้ เป็นสมาชิกของกลุม่ ผลประโยชน์
๑๑. การชักชวนบุคคลอื่น ๆ ใหไ้ ปลงคะแนนแก่ผสู้ มคั รคนใดคนหน่ึง
๑๒. การไปใชส้ ิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
๑๓. การพูดคยุ หรอื สนทนาในเร่ืองราวทางการเมอื ง
๑๔. การใหค้ วามสนใจตอ่ ความเปน็ ไปทางการเมือง
๑๕. ผทู้ ี่ไม่ได้ใหค้ วามสนใจทางการเมอื งเลย๓๓
สมบัติ ธํารงธัญวงศ์ ได้อธิบายเก่ียวกับระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองว่า ประชาชน
อาจมีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ ท้ังรูปแบบวิธีการที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ
โดยทั่วไปการมีส่วนร่วมทางการเมืองมี ๓ ระดับ คือระดับปัจเจกบุคคลระดับองค์การและเครือข่าย
ขององคก์ รภาคประชาชน ซงึ่ สามารถอธบิ ายไดด้ ังนี้
๑. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับปัจเจกบุคคลการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับ
ปัจเจกบุคคลเป็นพ้ืนฐานสําคัญต่อการเข้าไปมีส่วนร่วมในระดับองค์การดังนั้นการศึกษาบทบาทของ
ปัจเจกบุคคลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองจะทําให้เข้าใจพื้นฐานการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ
๓๓ Lester W. Milbrath and M. L. Goal, Political Participation : How and Why Do Peo-
ple Get Involved in Politics, (Chicago : Rand McNally College Publishing Company, 1977).
๒๙
ประชาชนท่ัวไปและจะทําให้เข้าใจถึงแนวโน้มของการพัฒนาการมีส่วนร่วมในระดับปัจเจกบุคคลไปสู่
ระดับองคก์ ารไดด้ ีย่ิงขึน้ จากการศกึ ษาของนักวชิ าการจํานวนมากทสี่ นใจเรื่องพฤติกรรมการมีส่วนรว่ ม
ทางการเมอื งของปัจเจกบุคคลสามารถสรุปสาระสําคญั ไดด้ งั นี้๓๔
๑.๑ บุคคลมีความสนใจหรือผูกพันกับการเลือกตั้งจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่าผู้ที่
ไม่สนใจการเลอื กตัง้
๑.๒ บุคคลท่ีมีความสนใจจนเกิดความผูกพันทางการเมือง ทําให้มีแนวโน้มในการ
เข้าร่วมกจิ กรรมทางการเมอื งหรอื การรณรงค์ทางการเมืองตา่ ง ๆ อยา่ งกว้างขวาง
๑.๓ บุคคลท่ีประกาศตัวสังกัดพรรคการเมืองอย่างชัดเจนมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วม
อย่างสาํ คัญในกระบวนการทางการเมอื ง
๑.๔ ผูอ้ าวุโสมแี นวโนม้ ทจี่ ะสงั กัดพรรคการเมอื งมากกวา่ คนหนุ่มสาว
๑.๕ บุคคลที่มีความนิยมคู่แข่งขันทางการเมืองหรือมีความสนในต่อประเด็นการ
โต้เถยี งหรือการตอ่ สทู้ างการเมอื งใดเป็นการเฉพาะจะมีแนวโน้มเป็นผทู้ ีก่ ระตือรอื ร้นทางการเมือง
๑.๖ บุคคลที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงโดยเฉพาะบุคคลท่ีมีการศึกษาสูงมี
แนวโนม้ ทจ่ี ะมจี ิตใจผูกพันทางการเมอื งสูงกวา่ บคุ คลทม่ี ีฐานะทางเศรษฐกจิ และสังคมตา่ํ กว่า
๑.๗ โดยทั่วไปชายจะมีจิตใจเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธท์ างการเมืองมากกว่าหญิง
๑.๘ บุคคลท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะผู้ที่มีการศึกษาดีกว่าจะมี
แนวโนม้ ที่จะพฒั นาประสิทธภิ าพทางการเมอื งไดด้ ีกว่า
๒. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับองค์การหรือกลุ่มการมีส่วนร่วมทางการเมืองใน
ระดับองค์การจะมีพลังในการเรียกร้องและต่อรองสูง และจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในนโยบายของ
รัฐบาล หรือการเปล่ียนแปลงทางการเมืองได้มากกว่าการมีส่วนร่วมในระดับปัจเจกบุคคล ปัจจัย
สําคัญท่ีเป็นตัวกําหนดอิทธิพลและพลังของการมีส่วนร่วมในลักษณะนี้ได้แก่จํานวนสมาชิกของกลุ่ม
ความสามัคคขี องกลมุ่ และบทบาทของผู้นํากลมุ่ เป็นตน้
การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับองค์การของประชาชนสามารถกระทําได้ใน ๒ ระดับ
คอื
๑. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับชาติเป็นการกระทําโดยผ่านการใช้สิทธิเลือกตั้ง
ผ้แู ทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาการสมคั รเปน็ สมาชกิ พรรคการเมืองการชว่ ยเหลือพรรคการเมืองรณรงค์
หาเสียงในการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือวฒุ ิสภาการแสดงความคิดเห็นการตรวจสอบและ
ติดตามการท างานของรัฐบาลโดยการพูด เขียน การพิมพ์โฆษณาการชุมนุม และการเดินขบวน
ประท้วงคดั คา้ นเรยี กร้องหรอื สนับสนุนนโยบายของรฐั บาลเป็นตน้
๒. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับท้องถิ่น เป็นการกระทําผ่านการใช้สิทธิเลือกตั้ง
หรือลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้บริหารระดับท้องถ่ิน เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลองค์การ
บริหารส่วนตําบลการช่วยรณรงค์หาเสียงในการเลือกต้ังระดับท้องถ่ิน การแสดงความคิดเห็น การ
๓๔ สมบัติ ธํารงธัญวงศ์, นโยบายสาธารณะ: แนวความคิด การวิเคราะห์และกระบวนการ, พิมพ์ครั้ง
ที่ ๑๔, (กรงุ เทพมหานคร: เสมาธรรม, ๒๕๔๙), หนา้ ๕๗๙-๕๘๐.
๓๐
ตรวจสอบและติดตามการท างานของผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินและการชุมนุมประท้วง
คดั คา้ นเรียกร้องหรือสนบั สนนุ ต่อนโยบายการท างานขององคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่น
๓. การสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมขององค์กรภาคประชาชน การเมืองภาคประชาชน
เปน็ ส่วนหนึ่งของการใช้สทิ ธทิ างการเมืองในระบอบประชาธิปไตยซง่ึ จะช่วยแก้ปญั หาทีเ่ กิดขนึ้ จากการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน การยอมรับในกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนจะ
เป็นการโอนอาํ นาจอธิปไตยทีต่ กคา้ งอยู่กบั รัฐมาสปู่ ระชาชนมากข้ึน๓๕
๒.๒.๘ ปัจจยั ที่มีผลตอ่ การมสี ่วนร่วมทางการเมือง
นักรัฐศาสตร์ได้ให้ความสนใจเก่ียวกับปัจจัยอันเป็นสาเหตุของการเข้ามามีส่วนร่วม
ทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างย่ิงในแวดวงนักวิชาการผู้สนใจทางพฤติกรรมศาสตร์และการพัฒนาทาง
การเมือง เป็นการพยายามหาคําตอบว่า เหตุใดในสังคมหน่ึงจึงมีการขยายตัวของการมีส่วนร่วม
ทางการเมืองอย่างรวดเร็วขณะที่ในอีกสังคมหนึ่งยังมีลักษณะท่ีเกือบไม่มีการมีส่วนร่วมทางการเมือง
เลย เน่ืองจากการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเป็นส่ิงจําเป็น และสําคัญมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย เนอ่ื งจากระบอบประชาธิปไตยเป็นการครอง
ของประชาชน โดยประชาชนและเพ่ือประชาชน ดังนัน้ การพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มผี ลต่อการเข้า
มามีส่วนร่วมทางการเมืองของนักวิชาการที่สนใจจะพิจารณาปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมทางการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม และปัจจัยส่วนบุคคล ว่าเหตุใดบุคคลหนึ่งจึงมีพฤติกรรมการมีส่วนรว่ มทางการเมือง
แตกตา่ งจากอีกบุคคลหนง่ึ ดงั นคี้ ือ
ระดับการพัฒนา เป็นลักษณะของกระบวนการสร้างความทันสมัย เป็นกระบวนการที่
เช่อื มโยงระหว่างสงั คมด้งั เดมิ กับสังคมทนั สมยั กระบวนการนี้จะเป็นผลให้สังคมด้ังเดิมเปลย่ี นไปมกี าร
ขยายตัวของเมืองสร้างความเป็นเมือง การสร้างความเป็นอุตสาหกรรมภายในประเทศ ระดับ
การศึกษาของคนสูงข้ึน ความคาดหวัง ความทะเยอทะยานของคนเพ่ิมสูงขึ้นอันเป็นผลมาจากการ
เปลี่ยนทัศนคติทางสังคมในขณะเดียวกันในสังคมที่ระดับการพัฒนาเศรษฐกิจอยู่ในอัตราท่ีต่ํากว่า
กระบวนการเปล่ียนแปลงทัศนคตทิ างสงั คม (Social mobilization) ความคับข้องใจจะเกดิ ขนึ้ และถ้า
ความคับข้องใจเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ประชาชนจะเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง สร้างข้อ
เรียกร้อง (Demand) เข้าสู่ระบบการเมืองมากยิ่งขึ้น๓๖ กฎเกณฑ์เก่ียวกับวิถีการเมือง เช่น กฎ
เก่ียวกับผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง บุคคลที่ไม่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้ง มีแนวโน้มท่ีจะไม่เข้าร่วมใน
กิจกรรมทางการเมืองอ่ืน ๆ และผู้ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกต้ังก็มิได้หมายความว่าจะไม่เข้าร่วมใน
กิจกรรมทางการเมืองอ่ืน ๆ และผู้ที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งก็มิได้หมายความว่าจะเข้าร่วมทาง
การเมืองเสมอไป ผู้ที่ไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเพราะไม่มีคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น อ่านหนังสือไม่ได้ เพศ
๓๕ อา้ งแล้ว.
๓๖ Huntington, S. P., & Nelson, M. No Easy Choice: Political Participation in Developing
Countries, (Cambridge: Harvard University Press, 1976).
๓๑
หญิง อายไุ มถ่ ึง เป็นต้น นอกจากน้ยี งั มีสิง่ กีดขวางการเขา้ มามสี ่วนรว่ มทางการเมอื งตามกฎหมาย เช่น
ความต้องการหลกั แหล่งท่ีอยูอ่ าศัย ภาษี การลงคะแนน หรอื การดาํ เนินการเลือกตั้ง เปน็ ต้น
สถาบันทางการเมือง โดยเฉพาะระบบพรรคการเมืองย่ิงมีการแข่งขันระหว่างพรรค
การเมืองมากเท่าไร อัตราการมีส่วนร่วมทางการเมือย่ิงสูงข้ึน เพราะพรรคการเมืองจะพยายามใช้
วิธกี ารต่าง ๆ เพอ่ื สร้างความพึงพอใจเปน็ ทป่ี ระทบั ใจแก่ผเู้ ลือกตั้ง โดยการตอบสนองเพือ่ ให้ฐานพรรค
การเมืองกว้าง อันจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคการเมืองในการลงคะแนนเสียงให้พรรคนอกจากน้ี กลุ่ม
ผลประโยชน์ก็เป็นสถาบันการเมืองหน่ึงที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของบุคคล เนื่องจากท่ีมี
ประโยชน์คล้ายคลึงจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มผลประโยชน์ เพื่อผลักดันให้พรรคการเมือง ท่ีกลุ่มตน
สนับสนุนดําเนินนโยบายทางการเมืองท่ีเป็นประโยชน์แก่กลุ่มตนให้มากที่สุดจึงเข้ามามีส่วนร่วม
ทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การให้เงินสนับสนุนพรรคการเมือง การไปเลือกต้ังให้พรรค
การเมอื งอ่ืน
การได้รับข่าวสารทางการเมือง Verba and Nie๓๗ ทําให้มีการสื่อสารทางการเมืองจะมี
ความรู้สึกถึงผลกระทบจากการปฏิบัติงานของรัฐบาล ความรู้สึกในด้านความสามารถทางการเมือง
และความสนใจ โดยจะกระตนุ้ ให้เขา้ มามีส่วนร่วมทางการเมืองโดยการไดร้ ับข่าวสารทางการเมอื งจาก
สื่อมวลชน (วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์) หรือจากการส่ือสารระหว่างบุคคล เช่น การเจรจา การ
ประชมุ
สภาพแวดล้อมทางสังคม ซึ่งมีผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ตัวแปร
เป็นรูปธรรมและมองเห็นได้ชัดเจนมากที่สุด นอกจากนี้ตัวแปรทางด้านสภาพแวดล้อมทางสังคมยัง
เป็นตัวแปรต้น (Independent Variable) ของตัวแปร ที่มีผลต่อการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง
อ่ืน ๆ อีกด้วย เช่น ความเช่ือ ค่านิยม บุคลิกภาพทางการเมือง ทัศนคติทางการเมือง เป็นต้น
สภาพแวดล้อมทางสังคมได้แก่ สถานะทางเศรษฐกิจสังคมของบุคคลท่ีอยู่อาศัย การเป็น
สมาชิกองค์การ อายุของบุคคล ความแตกต่างทางเพศ ศาสนาและผิด๓๘ ปัจจัยเหล่าน้ีมีสหสัมพันธ์สูง
กับการมีส่วนร่วมทางการเมือง นอกจากนี้สถานะทางเศรษฐกิจสังคมของบุคคลพิจารณาจากระดับ
การศึกษา รายได้ และอาชีพ การพิจารณาว่า บุคคลใดมีสถานภาพทางเศรษฐกิจสังคมสูงหรือต่ํานั้น
พิจารณาจากระดับความสูงต่ําของปัจจัยท้ัง ๓ ดังกล่าวเป็นต้น จากการศึกษาวิจัยหลายครั้งใน
สหรัฐอเมริกาพบว่า ผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจ สังคมสูง จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่าผู้ที่มี
๓๗ Verba and Nie, Participation in America: Political democracy and social equality,
(New York: Harper and Row, 1972).
๓๘ Milbrath, Lester W. and Goel, M.L., Political Participation : How and Why Do
People Get Involved in Politics, Second Edition, (Chicago: Rand McNally, 1977).
๓๒
สถานะทางเศรษฐกิจสังคมตํ่า๓๙ และความสัมพันธ์ระหว่างสถานะทางเศรษฐกิจสังคมกับกิจกรรม
ทางการเมืองใกล้ชิดอย่างมากอย่างไรก็ตาม โดยท่ัวไปตัวแปรท่ีใช้ในการศึกษาระดับการมีส่วนร่วม
ทางการเมืองโดย ท่ัวไปได้แก่ การศึกษา รายได้ อาชีพ ที่อยู่อาศัย การเป็นสมาชิกองค์การ อายุ เพศ
และศาสนาซ่ึงแนวคิดดังกล่าวผู้ศึกษามิได้เลือกตั้งแปรเหล่าน้ีมาใช้ในการศึกษาครั้งนี้เพราะมีผู้ทํา
การศึกษาไว้มากแล้ว และผลการวิจัยก็ออกมาในแนวทางเดียวกัน ประกอบกับทั้งตัวแปรเหล่านี้ยาก
ตอ่ การนาํ ผลทไ่ี ดไ้ ปพัฒนาใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงในทางทีด่ ขี ้นึ ตอ่ การมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง
จากการทบทวนสาระสําคัญเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนสามารถ
สรปุ ลายระเอยี ดได้ดงั ตารางต่อไปน้ี
ตารางที่ ๒.๓ แสดงสรุปสาระสําคัญเกย่ี วกบั การมีสว่ นรว่ มทางการเมอื งของประชาชน
ที่ รายการ แนวคิดหลัก
๑ รฐั ธรรมนญู ฉบับปี พ.ศ. ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าหน่ึงหมื่นคน มีสิทธิเข้าชื่อร้อง
๒๕๖๐ มาตรา ๑๖๓ ขอต่อประธานรฐั สภาเพ่ือใหร้ ัฐสภาพจิ ารณารา่ งพระราชบัญญตั ิ
๒ รัฐธรรมนญู ฉบบั ปี พ.ศ. ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังจํานวนไม่น้อยกว่าสองหม่ืนคน มีสิทธิ
๒๕๖๐ มาตรา ๑๖๔ เข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพ่ือให้วุฒิสภามีมติตามมาตรา
๒๗๔ ใหถ้ อดถอนบุคคลตามมาตรา ๒๗๐ ออกจากตําแหน่งได้
๓ รัฐธรรมนญู ฉบับปี พ.ศ. ประชาชนผู้มีสทิ ธิเลือกต้ังย่อมมีสทิ ธิออกเสียงประชามติการจัดให้มี
๒๕๖๐ มาตรา ๒๖๕ การออกเสียงประชามติ
๔ สมบัติ ธํารงธญั วงศ์ จาํ แนกลกั ษณะการเข้ามีสว่ นร่วมทางการเมืองของประชาชนในการ
(๒๕๔๙) ปกครองไว้ ๓ อย่างใหญ่ ๆ คือ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
(Voting) การบังคับและชักจูงอย่างไม่เป็นทางการ (Information
method of pressure and
persuasion) การดาํ เนนิ การอย่างเปน็ ทางการ (Formal active)
๕ Townsend มนุษย์ในสังคมจะเข้าไปมีส่วนร่วมและเกี่ยวข้องกับระบบการเมือง
(๑๙๖๗) ๒ ลักษณะด้วยกันได้แก่ ลักษณะการเกี่ยวข้องตามแบบสังคม
คอมมิวนิสต์ และลักษณะแบบตะวันตกในประเทศท่ีมีการปกครอง
แบบประชาธปิ ไตย
๓๙ Nie, N.H. and Verba, S. “Political Participation”, In Grunstiien and Nelson, W.P.
(eds.). Handbook Political Science : Non Government Politic, (Massasuseette: Addisen Wesley,
1975): 9-12.
๓๓
๒.๓ แนวคดิ การมสี ว่ นร่วมในกจิ กรรมทางการเมอื ง
แนวความคิดของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจําแนก
เป็น ๔ แนวคิด๔๐ ไดแ้ ก่
๑. การมีสว่ นร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยโดยตรง (Direct Democracy) ซ่ึง
การมีส่วนรว่ มในลกั ษณะน้ปี ระชาชน หรือพลเมอื งของรัฐจะทําหนา้ ทเ่ี ปน็ “สภา” โดยทุกคนจะมีส่วน
ร่วมในการประชุมพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เพราะเชื่อว่า ประชาชนทุกคนต้องมีส่วนร่วมใน
การกําหนดกฎเกณฑ์ในสังคม แต่ภายหลังเมื่อสมาชิกของสังคมเพิ่มจํานวนมากขึ้นและสังคมมีความ
ซับซ้อนขึ้นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยตรงจึงกลายเป็นเรื่องยากที่จะสามารถทําได้จริง
เพราะประชาชนทุกคนไม่สามารถเข้ามาใชอ้ ํานาจของตนเองได้ในทุกกิจกรรมของประเทศ
๒. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน หรือประชาธิปไตย
โดยอ้อม (Representative Democracy)การมีส่วนร่วมในรูปแบบน้ีคือ การท่ีประชาชนได้ทําหน้าที่
เลือกผ้แู ทนของตนเข้าไปใช้อํานาจอธปิ ไตยแทนตนในรฐั สภา ผ่านระบบทเ่ี รียกวา่ “การเลือกต้ัง”
๓. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
(Participatory Democracy) หรือที่เรียกว่า“ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม”ซ่ึงเป็นการนําการมีส่วน
ร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยโดยตรงมาผสมผสานกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองใน
ระบอบประชาธปิ ไตยแบบตัวแทน และเปิดโอกาสใหป้ ระชาชนมีสว่ นรว่ มในทางการเมืองการปกครอง
มากยิ่งข้ึน โดยใหป้ ระชาชนได้มีอํานาจในการตรวจสอบและควบคุมการทํางานของ “ผู้แทน” ซ่ึงก็คือ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา แล้วแต่กรณีรวมท้ังการเปิดโอกาสให้“สถาบัน
การเมือง” ต่าง ๆ อาทิภาคประชาสังคม ภาคประชาชน องค์กรอิสระองค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กร
ปกครองส่วนท้องถ่ิน สื่อมวลชนสามารถทําหน้าที่ในการติดตามและตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐได้
อยา่ งเต็มท่ี
๔. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยแบบถกแถลง (สาน
เสวนาหาทางออก) (Deliberative Democracy) เป็นประชาธิปไตยแบบถกแถลงที่เป็นกระบวนการ
สําคัญของประชาธิปไตยภาคพลเมือง ประชาธิปไตยชุมชน หรือประชาธิปไตยทางตรง เป็นความ
พยายามท่ีจะแก้ไขปัญหาท่ีเกิดจากข้อบกพร่องของประชาธิปไตยแบบตัวแทนที่เป็นรูปแบบสถาบันที่
ตายตัว ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนที่มีความซับซ้อนและมีความแตกต่าง
หลากหลายได้ท้ังน้ีหลักการประชาธิปไตยแบบถกแถลงไม่ได้เป็นสิ่งท่ีขัดแย้งกับระบอบประชาธิปไตย
แบบตัวแทน เพราะระบอบประชาธิปไตยทั้งสองแบบสามารถอยู่คู่กันได้ซ่ึงระบอบประชาธิปไตยแบบ
ถกแถลงจะช่วยแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องตา่ ง ๆ ของระบบการเมืองแบบตัวแทน โดยการมีสว่ นร่วมของ
ภาคพลเมืองทม่ี คี วามสาํ นกึ ทางการเมอื ง (Active citizen) และมีจิตสาธารณะรวมหมู่ (Civic life)
๔๐ สารานุกรมการเมืองไทยสําหรับเยาวชน, รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมือง, เล่มที่ ๓.
[ออนไลน]์ , แหลง่ ที่มา: https://www.saranukromthai.or.th/sub/Ebook/Ebook.php. [๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓].
๓๔
รูปแบบการมีส่วนร่วมในลักษณะน้ีที่เห็นได้ชัด คือ การท่ีภาคประชาชน หรอื ภาคพลเมือง
เข้าร่วมกันวิเคราะห์แลกเปลี่ยนถกแถลงกันเพื่อนําเสนอแนวคิดของตนในการสร้างนโยบายท่ี
เหมาะสมสําหรับตนเองหลักการสําคัญของการมีส่วนร่วมในรูปแบบน้ีคือกระบวนการท่ีให้ประชาชน
ทุกคนหรือภาคพลเมืองได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะ และตอบสนองข้อเรียกร้องเพ่ือให้ตัวแทนของ
ตนหรอื รฐั บาลนาํ ไปปฏบิ ตั ติ อ่ ไป
การมีส่วนร่วมในทางการเมืองของประชาชนจึงสามารถกระทําได้หลายรูปแบบ รูปแบบท่ี
หลากหลายเหล่าน้ีได้ทําให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองท่ีกว้างข้ึน การมีส่วนร่วมทางการเมือง
เป็นกลไกหนึ่งที่ทําให้ประชาชนได้มีโอกาสส่ือสารกับรัฐมากยิ่งขึ้น ได้มีโอกาสในการสื่อสารและสาน
ผลประโยชน์ร่วมกันทําให้การดําเนินนโยบายการเมืองเศรษฐกิจและสังคมเปล่ียนผ่านไปสู่“การเป็น
ประเด็นสาธารณะ” ท่ีทุกคน ทุกภาคส่วนต้องให้ความสําคัญและสนใจท่ีสําคัญการมีส่วนร่วมทางการ
เมืองทําให้เปลี่ยนขั้วความคิดท่ีว่าการตัดสินใจทางการเมืองและกิจกรรมทางการเมืองเป็นเรื่องของ
“นักการเมือง” ไปสกู่ ารเปน็ “เรื่องของทุกคน”๔๑
๑. กลไกและกระบวนการมสี ่วนร่วมของประชาชน
การเลือกตั้งเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองใน
ระบอบประชาธิปไตยได้ง่ายท่ีสุด การเลือกต้ังถือเป็นสิทธิและหน้าที่ของประชาชนชาวไทยทุกคนท่ีมี
อายุครบ๑๘ ปีบริบูรณ์เพ่ือไปทําหน้าท่ีเลือกตัวแทนของตนเองเข้าไปใช้อํานาจนิติบัญญัติในรัฐสภา
โดยการออกกฎหมาย และเข้าไปบริหารประเทศ ดังน้ัน ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการเลือกต้ัง
และทําให้การเลือกต้ังสุจริตและเที่ยงธรรมประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้ง ได้
ดงั น้ี
๑) สมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมอื ง
๒) สอดส่องดูแลการเลือกตั้ง และช่วยแจ้งเหตุหรือเบาะแสการทุจริตซ้ือสิทธิ์ขาย
เสยี งเมื่อพบเห็น
๓) ใช้สทิ ธเิ ลือกตัง้
๔) ร่วมตรวจสอบการเลือกตั้งโดยเป็นสมาชิกหรืออาสาสมัครขององค์การเอกชนที่
คณะกรรมการการเลอื กตั้งรับรองให้ตรวจสอบการเลอื กตัง้
๕) ร่วมเป็นเจ้าหน้าที่จัดการเลือกตั้งในระดับต่าง ๆ เช่นกรรมการประจําหน่วย
เลือกตั้ง กรรมการนับคะแนน กรรมการการเลอื กต้ังประจําองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน กรรมการการ
เลอื กตง้ั ประจําเขตเลอื กต้ัง เป็นต้น
ร่วมกันจัดตั้งและเป็นสมาชิกพรรคการเมืองพรรคการเมือง มีบทบาทและความสําคัญ
อย่างยิ่งต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยเน่ืองจากว่าพรรคการเมืองคือสถาบันหลักที่ทําหน้าท่ี
เป็นตัวเช่ือมโยงระหว่าง“ภาครัฐ”กับ “ภาคประชาชน”โดยท่ีพรรคการเมืองจะนําเอาปัญหาหรือ
๔๑ สารานุกรมการเมืองไทยสําหรับเยาวชน, รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมือง, เล่มท่ี ๓.
[ออนไลน]์ , แหล่งทีม่ า: https://www.saranukromthai.or.th/sub/Ebook/Ebook.php. [๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓].