๓๕
ความต้องการของประชาชนมาแปลงเป็นนโยบายของพรรค เพ่ือนํานโยบายเหล่าน้ันไปปฏิบัติเม่ือ
ไดร้ บั เลือกต้งั เข้าไปทําหน้าทฝี่ า่ ยนิตบิ ัญญตั หิ รอื ฝา่ ยบรหิ าร
กรณกี ารจัดตั้งพรรคการเมือง
การมีส่วนร่วมในการจัดต้ังพรรคการเมือง เป็นการสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของ
ประชาชนและเพื่อดําเนินกิจกรรมในทางการเมืองให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ตามวิถีทางการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยท่ัวไปการจัดตั้งพรรคการเมืองนั้น
สามารถกระทําได้โดยต้องขอจัดตั้งพรรคการเมือง โดยผู้ท่ีจะรวมกันจัดต้ังพรรคต้องมีจํานวนตั้งแต่
๑๕ คน ข้ึนไป และบคุ คลเหลา่ นนั้ ต้องมคี ณุ สมบตั ดิ งั น๔้ี ๒
๑. มสี ญั ชาติไทยโดยการเกดิ หรอื ได้สัญชาตไิ ทยมาแล้วไม่นอ้ ยกวา่ ๕ ปี
๒. อายุไมต่ ่าํ กว่า ๑๘ ปบี ริบูรณ์
๓. ไม่มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกต้ังตามรัฐธรรมนูญ และเมื่อขอจัดต้ังพรรค
การเมืองแล้วต้องมีการประชุมพรรคเพ่ือกําหนดนโยบายและข้อบังคับของพรรครวมท้ังต้องเลือกตั้ง
คณะกรรมการบริหารและหัวหน้าพรรค และภายหลังหัวหน้าพรรคการเมืองต้องยื่นคําขอจัดตั้งพรรค
การเมืองต่อนายทะเบยี นพรรคการเมอื งพรอ้ มเอกสาร ซ่ึงประกอบดว้ ย
๑) นโยบายและข้อบงั คับของพรรค
๒) รายงานการประชุมการจัดตง้ั พรรคการเมือง
๓) บญั ชีลงลายมือช่ือของผ้เู ข้าร่วมประชุมจดั ต้ังพรรค
๔) บันทกึ ประวตั ิของผจู้ ดั ต้งั พรรคการเมือง
๕) บญั ชรี ายชื่อและประวตั ขิ องคณะกรรมการบรหิ ารพรรคการเมือง
๖) บัญชีแสดงทรัพยส์ ินและหน้สี ินของพรรคการเมือง
๗) ภาพเครอื่ งหมายพรรคการเมอื ง
๘) แผนที่ตั้งสํานักงานใหญ่ของพรรคหลังจากที่นายทะเบียนตรวจสอบเอกสาร
เรียบร้อยแล้วจะมีการประกาศการจัดตั้งพรรคการเมืองในราชกิจจานุเบกษาพรรคการเมืองจึงจะ
สามารถดําเนินกิจกรรมทางการเมืองได้และจากนั้นภายหลังเป็นเวลา ๑ ปีนับจากวันท่ีนายทะเบียน
รับจดแจ้งการจัดต้ังพรรคการเมือง พรรคการเมืองต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า๕,๐๐๐ คน และจัดตั้ง
สาขาพรรคใหไ้ ดอ้ ยา่ งน้อย ๔ ภาค ๆ ละ ๑ สาขา กรณกี ารสมัครเป็นสมาชกิ พรรคการเมอื งบุคคลท่ีมี
ความสนใจหรือมีแนวความคิด เจตนารมณ์ทางการเมืองและชื่นชอบในนโยบายของพรรคการเมืองใด
สามารถท่ีจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองน้ัน ๆ ได้โดยผู้ที่มีความประสงค์จะสมัครเป็น
สมาชิกพรรคการเมืองจะตอ้ งมีคุณสมบัตติ ามทพ่ี รรคกําหนดไวโ้ ดยท่วั ไปจะกําหนด ดงั น้ี
๑. มีสัญชาติไทยโดยการเกิด หรือมีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติซึ่งได้
สญั ชาตมิ าแลว้ ไม่นอ้ ยกว่า ๕ ปี
๒. มอี ายุไมต่ าํ่ กว่า ๑๘ ปีบริบรู ณ์
๔๒ กกต., “แจง ๕ ข้ันตอน ขอจดจองตงั้ พรรคการเมืองใหม่”, หนังสือพิมพไ์ ทยรฐั , (๒๕๖๑).
๓๖
๓. ไมม่ ลี กั ษณะตอ้ งหา้ มมิใหใ้ ชส้ ทิ ธเิ ลือกตัง้ ตามรฐั ธรรมนูญ
๔. เป็นภกิ ษสุ ามเณร นกั พรต หรือนักบวช
๕. อย่ใู นระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
๖. ตอ้ งคุมขงั อยโู่ ดยหมายของศาลหรอื โดยคําส่ังท่ีชอบด้วยกฎหมาย
๗. วิกลจริต หรอื จติ ฟัน่ เฟือนไม่สมประกอบ
๘. มิได้เปน็ สมาชิกพรรคการเมืองอ่ืนอยู่ในขณะเดยี วกัน
การเข้าชื่อเสนอกฎหมายในระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย กฎหมายมี
ความสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่งต่อการดําเนินการต่าง ๆ ภายในรัฐเน่ืองจากกฎหมายเป็นเครื่องมือใน
การบริหารและการปกครองประเทศ ทั้งยังเป็นการกําหนดขอบเขตการใช้อํานาจของผู้ปกครอง
(รัฐบาล) เป็นการจัดระเบียบของสังคม เป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคของประชาชน
และก่อให้เกิดความชอบธรรมขึ้นในสังคม จึงเกิดแนวคิดท่ีว่าเมื่ออํานาจสูงสุดเป็นของประชาชน
ดังนั้น กฎหมายท่ีออกมาบังคับแก่ประชาชนจะต้องมาจากประชาชน ซึ่งก็คือการเสนอร่างกฎหมาย
โดยประชาชน เพราะแต่เดิมการเสนอร่างพระราชบัญญัติโดยท่ัวไปมักกระทําโดยคณะรัฐมนตรีและ
สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร กระท่งั รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทยพุทธศกั ราช๒๕๔๐ ได้เปิดโอกาให้
ประชาชนมีสิทธิเข้าช่ือเสนอร่างกฎหมายได้เป็นครั้งแรก โดยกําหนดว่าผู้มีสิทธิเลือกต้ังไม่น้อยกว่าห้า
หมนื่ คนสามารถเข้าชอื่ ร้องขอตอ่ ประธานรฐั สภาเพอ่ื ใหร้ ฐั สภาพจิ ารณาร่างกฎหมายบางประเภทได้๔๓
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ได้ปรับปรุงการเข้าช่ือเสนอ
กฎหมายโดยประชาชนให้สามารถทําได้ง่ายขึ้น โดยลดจํานวนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการเข้าชื่อ
เสนอกฎหมายเหลอื ไมน่ ้อยกว่าหนึง่ หมน่ื คน
การเข้าช่ือถอดถอนนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงออกจากตําแหน่งหลักการที่ว่า
ประชาชนเป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย และการที่ประชาชนได้มอบอํานาจท่ีมีอยู่ของตนให้แก่ตัวแทน
เพื่อทําหน้าที่แทนตนเองในรัฐสภานั้น หมายถึง การที่ประชาชนมีอํานาจในการ“ให้”และ“เรียกคืน”
อํานาจของตนเองอีกประการหน่ึงข้าราชการระดับสูงเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหารที่ประชาชนเลือก
เข้าไปและได้รับเงินเดือนที่มาจากภาษีของประชาชนดังนั้นประชาชนจึงมีอํานาจในการถอดถอนผู้
ดํารงตําแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูง หลักการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนได้
ติดตาม ตรวจสอบการทํางานของนักการเมืองที่ตนได้เลือกเข้ามาว่าได้ทําหน้าที่หรือมีพฤติการณ์ท่ี
เหมาะสมจะอยู่ในตําแหน่งน้ันต่อไปหรือไม่ และเม่ือพบว่าไม่เป็นไปดังเจตนารมณ์หรือตามท่ีความ
มุ่งหวัง ประชาชนจึงสามารถรวบรวมรายช่ือเพื่อร้องขอให้มีการถอดถอนนักการเมืองน้ันออกจาก
ตําแหน่งได้หากพบว่าคนใดทําหน้าท่ีอย่างไม่น่าไว้วางใจหรือมีพฤติการณ์ที่ส่อไปทางการทุจริต
ประพฤติมิชอบประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังสามารถถอดถอนผู้แทนราษฎรออกจากการดํารงตําแหน่ง
ทางการเมืองได้
๔๓ สารานุกรมการเมืองไทยสําหรับเยาวชน, รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมือง, เล่มที่ ๓.
[ออนไลน]์ , แหล่งที่มา: https://www.saranukromthai.or.th/sub/Ebook/Ebook.php. [๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓].
๓๗
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ กําหนดให้ต้องมีประชาชนผู้สิทธิ
เลือกตั้งจํานวนไม่น้อยกว่า๕๐,๐๐๐คนเข้าช่ือเสนอให้วุฒิสภาถอดถอนนักการเมืองและข้าราชการ
ระดับสูงได้แต่ด้วยความยากลําบากในการรวบรวมรายช่ือและเร่ืองค่าใช้จ่ายในการดําเนินการของ
ประชาชนดังนั้น เม่ือมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ จึงได้มี
การกําหนดเงื่อนไขในการถอดถอนนักการเมืองให้ทําได้ง่ายขึ้น ด้วยการลดจํานวนประชาชนผู้มีสิทธิ
เลือกตั้งเหลือไม่น้อยกว่า๒๐,๐๐๐ คน ก็สามารถเข้าช่ือร้องขอให้วุฒิสภาถอดถอนออกจากตําแหน่ง
ได้๔๔
๒. การออกเสียงประชามติ
การออกเสียงประชามติเป็นกลไกการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน โดยผ่าน
กระบวนการในการแสดงความเห็นของประชาชนด้วยการลงคะแนนออกเสียงประชามติเพื่อตัดสินใจ
ว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในเรื่องที่มีความสําคัญและมีผลกระทบต่อประโยชน์ได้เสียของ
ประเทศชาติหรือกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้
แสดงความต้องการที่แท้จริงของตนให้รัฐบาลทราบก่อนที่จะนํามติหรือการตัดสินใจนั้นออกเป็น
กฎหมายหรือนําไปปฏิบัติเพื่อบังคับใช้เป็นการท่ัวไป การออกเสียงประชามติต่างจากการประชา
พิจารณ์ตรงท่ีการออกเสียงประชามติจะต้องมีการลงคะแนนออกเสียงเพ่ือหามติของประชาชน ส่วน
ประชาพิจารณ์เป็นเพียงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนที่จะได้รับผลกระทบในเรื่องน้ัน ๆ
ก่อนที่หน่วยงานทเ่ี กีย่ วข้องของรฐั จะมีคําสัง่ หรือดําเนินการใด ๆ
๓. หลักสําคญั ของการออกเสียงประชามติ
๑) เรื่องที่จะจัดทําประชามติต้องมีความสําคัญและมีผลกระทบต่อประโยชน์ได้เสียของ
ประเทศชาติและประชาชนโดยไม่เกย่ี วกับตวั บุคคล
๒) ข้อความท่ีจะขอความเห็นต้องชัดเจนเพียงพอที่จะทําให้ผู้มีสิทธิออกเสียงสามารถ
ตัดสนิ ใจจะเห็นชอบหรอื ไม่เห็นชอบในเรอ่ื งนั้น ๆ ได้
๓) ต้องเปิดโอกาสให้ผู้เห็นชอบและไม่เห็นชอบในเรื่องที่จะจัดทําประชามติได้แสดง
ความเห็นอยา่ งเทา่ เทยี มกนั
๔) ตอ้ งจัดใหม้ กี ารลงคะแนนออกเสยี งประชามตโิ ดยอสิ ระ
๕) ต้องนําผลการออกเสียงประชามติไปดําเนินการเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ
ประชาชนผู้มาออกเสยี งประชามติ
ก า ร อ อ ก เสี ย งป ร ะ ช า ม ติ บั ญ ญั ติ ไว้ ค ร้ั ง แ ร ก ใ น รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ แ ห่ ง ร า ช อ า ณ า จั ก ร ไท ย
พุทธศักราช ๒๔๙๒ ในมาตรา ๑๗๔ ที่กําหนดว่าการเสนอแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญหาก
พระมหากษัตริย์ทรงเห็นว่าอาจกระทบถึงประโยชน์ได้เสียสําคัญของประเทศชาติหรือประชาชน อาจ
จัดให้มีการออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ และต่อมาใน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับพุทธศักราช ๒๕๑๑, ๒๕๑๗ และฉบับพุทธศักราช ๒๕๓๔
๔๔ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๔๐, การใชส้ ิทธิเลอื กต้งั , ๒๕๔๐
๓๘
แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ ๖) พุทธศักราช ๒๕๓๙ก็ได้มีการกล่าวถึงการออกเสียงประชามติโดยการออก
เสียงประชามติน้ันเป็นการให้ความเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตราหรือทั้งฉบับ ส่วน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ นั้นมีการกําหนดให้เร่ืองที่จะจัดให้มีการออก
เสยี งประชามติเป็นเร่ืองอ่นื ที่คณะรัฐมนตรเี หน็ ว่ามีความสําคัญและอาจกระทบถงึ ประโยชนไ์ ด้เสยี ของ
ประเทศชาตแิ ละประชาชนแม้ว่ารัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทยหลายฉบับจะมบี ทบญั ญัติเรอ่ื งการ
ออกเสียงประชามตไิ ว้แตใ่ นทางปฏบิ ัติยังไม่เคยจดั ใหม้ ีการออกเสียงประชามติในระดับชาติเลยกระท่ัง
ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ ได้มีการบัญญัติมาตรา ๒๙
วรรคสอง เพื่อให้มีการออกเสียงประชามติว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซ่ึงเป็นการออกเสียง
ประชามติระดับชาติครั้งแรกของประเทศไทย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐
กไ็ ดช้ ือ่ วา่ เปน็ รัฐธรรมนญู ฉบบั ประชามติ
การมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของ
ประเทศ ดังนั้น หากจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆอันเป็นสาระในรัฐธรรมนูญจะมีการเปิดช่องทางหรือมี
กลไกในการแจ้งข้อมูลให้แก่ประชาชนทราบ หรือรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพ่ือให้การ
ดําเนินการเป็นไปด้วยความรอบคอบ รัดกุม และป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่
ของประชาชน หรอื เกดิ ผลกระทบตอ่ ชวี ติ ความเป็นอย่นู ้อยทีส่ ดุ ๔๕
การมีส่วนร่วมของประชาชนผ่านการปกครองท้องถิ่นการปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นการ
ปกครองท่ีถือเป็นระดับท่ีมีความใกล้ชิดและผูกพันกับประชาชนชุมชนและพื้นที่มากที่สุด เพราะ
นักการเมืองท้องถิ่นหรือตัวแทนที่ประชาชนเลือกให้เข้ามาทําหน้าที่ใน“สภาท้องถ่ิน”ล้วนแต่เป็น
สมาชิกของชุมชน และข้าราชการท้องถ่ินโดยส่วนใหญ่ก็เป็นคนในชุมชน ผู้บริหารท้องถิ่นก็เป็นบุคคล
ที่ประชาชนเลือกจากผู้แทนซ่ึงเป็นคนในชุมชนหรือเป็นบุคคลท่ีมีบ้านพักอาศัยในชุมชนหรือเคยเสีย
ภาษีให้แก่พื้นท่ีเป็นเวลาไม่น้อยกว่า๓ ปีติดต่อกัน ดังนั้น การปกครองท้องถิ่น จึงถือว่าเป็นการ
ปกครองที่มีส่วนสําคัญในการพัฒนาประชาธิปไตยท้องถิ่นของคนในชุมชนเพ่ือเป็นการเตรียมความ
พร้อมสําหรบั การเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยในระดับชาติ
การกระจายอํานาจและส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองส่วนท้องถิ่นถูก
กล่าวถึงอย่างชัดเจนครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เพราะเร่ิมมี
การให้ความสําคัญกับการมีส่วนร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนในพ้ืนที่
เพ่ือการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและคุณภาพชีวิตของประชาชน ในรัฐธรรมนูญกําหนดกลไกการมีส่วน
ร่วมของประชาชนในการดําเนินงานและบริหารงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินไว้หลาย
ประการไดแ้ ก่
๔๕ พนารัตน์ มาศฉมาดล, กฎหมายปกครอง, (กรุงเทพมหานคร: คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, ๒๕๖๓).
๓๙
การถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นหากสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะ
ผู้บริหาร หรือผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินได้กระทําการใด ๆ เช่น มีพฤติการณ์ทุจริตหรือมี
ผลประโยชน์ทับซอ้ น หรอื มีพฤติการณไ์ ม่สมควรดํารงตําแหนง่ ประชาชนผู้มีสทิ ธิเลือกตั้งในท้องถิ่นนั้น
มีสิทธิเข้าชื่อหรือลงคะแนนเสียงตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกฎหมายกําหนดเพื่อถอดถอนบุคคล
ดังกล่าวให้พ้นจากตําแหน่งได้ทั้งนี้ขั้นตอน วิธีการในการถอดถอนจะข้ึนอยู่กับบทบัญญัติใน
รัฐธรรมนูญ และพระราชบญั ญตั ทิ ่ีเก่ยี วข้องจะบัญญัติไว้
การเข้าช่ือเสนอกฎหมายทอ้ งถิน่ (ข้อบญั ญัติท้องถิน่ )ประชาชนผู้มีสทิ ธิเลือกต้ังในท้องถน่ิ มี
สิทธิเข้าช่ือเพ่ือเสนอข้อบัญญัติท้องถ่ินหากองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินไม่ดําเนินการตอบสนองความ
ต้องการของประชาชนในท้องถ่ิน เช่น ไม่ดําเนินการจัดระเบียบสถานบันเทิงอันอาจส่งผลกระทบต่อ
สวัสดิภาพของเด็กและเยาวชน หรือเมื่อประชาชนเห็นว่าควรจะมีการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นใด ๆ อัน
จะเป็นผลดีแก่ประชาชนในท้องถ่ิน ก็สามารถที่จะเข้าช่ือยืนคําร้องต่อประธานสภาท้องถิ่นเพื่อให้มี
การออกข้อบัญญัติท้องถิน่ ได้ทงั้ น้ีขั้นตอน วิธกี ารในการเสนอข้อบญั ญัตทิ ้องถ่นิ จะขึ้นอยกู่ ับบทบัญญัติ
ในรัฐธรรมนูญ และพระราชบญั ญัตทิ เ่ี กย่ี วขอ้ งจะบญั ญัตไิ ว้
จากการทบทวนสาระสําคัญเก่ียวกับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองสามารถสรุป
ลายระเอยี ดได้ดังตารางตอ่ ไปน้ี
ตารางที่ ๒.๔ แสดงสรุปสาระสาํ คญั เกี่ยวกบั การมีส่วนร่วมในกจิ กรรมทางการเมืองของประชาชน
ท่ี รายการ แนวคดิ หลกั
๑ สารานกุ รมการเมอื งไทย จําแนกการมีส่วนร่วมกิจกรรมทางการเมืองออกเปน็ ๔ ประเภท
ได้แก่ ๑. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
โดยตรง (Direct Democracy) ๒. การมีส่วนร่วมทางการเมือง
ในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน หรือประชาธิปไตยโดย
อ้ อ ม (Representative Democracy) ๓ . ก ารมี ส่ วน ร่วม
ทางการเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วน
ร่วม (Participatory Democracy) ๔. การมีส่วนร่วมทางการ
เมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยแบบถกแถลง (สาน
เสวนาหาทางออก) (Deliberative Democracy)
จะเห็นได้ว่า การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองเป็นกิจกรรมท่ีประชาชนเข้าไปมี
บทบาทเป็นสําคัญท่ีส่งผลการกระทํานั้นถึงรัฐบาลหรือผู้นําทางการเมือง ทั้งในระดับท้องถ่ินและ
ระดับชาติ เช่น ความสนใจทางการเมือง การมีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง การมีส่วนร่วมในการบริหาร
การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองและการส่วนร่วมในการชุมนุมเคล่ือนไหวทางการเมือง ดังน้ัน
ผู้วิจัย จึงขอนําเสนอแนวคิดที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคก
สี อําเภอเมอื ง จังหวดั ขอนแก่น ในส่วนท่เี กีย่ วข้อง ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้
๔๐
๒.๓.๑ แนวคดิ เก่ียวกบั ความสนใจทางการเมือง
ความสนใจน้ันเป็นแนวคิดทางจิตวิทยาท่ีนักจิตวิทยาได้ให้ความสําคัญในการค้นหา
ความหมายและแสดงแนวคิดต่าง ๆ ต่อความสนใจไว้ดังน้ี๔๖ ได้อธิบายไว้ว่า ความสนใจความรูส้ ึกของ
บุคคล ซึ่งบ่งลักษณะออกมาเป็นความเอาใจใส่ไปยังสิ่งใดส่ิงหนึ่ง เป็นแรงผลักดันอันหน่ึงที่กระตุ้นให้
ทําการ หรือมีความโน้มเอียงท่ีจะทําส่ิงที่ตนเองรู้สึกชอบมากกว่าสิ่งอื่น การที่ตนได้มีโอกาสทํางานท่ี
ตนชอบหรือมีความสนใจย่อมก่อให้เกิดความพึงพอใจ และรักงานอาชีพน้ัน ความสนใจจึงเป็น
องค์ประกอบสําคัญประการหนึ่งในการปฏิบัติหน้าท่ีให้สําเร็จไปด้วยดี โดยความสนใจนั้นอยู่ในระดับ
ความรู้สึก สอดคล้องกับแนวคิดของวัชรี ทรัพย์มี๔๗ วิไลพร ดําสะอาด๔๘และอดิศร เหลาแตว๔๙ ท่ีให้
ความหมายไว้ว่า ความสนใจเป็นความรู้สึกจดจ่อ อยากรู้อยากเห็น อยากกระทํา สิ่งที่ตนสนใจน้ัน
ความสนใจเป็นองค์ประกอบที่สําคัญท่ีทําให้เกิดแรงจูงใจในการเรียน หรือการทํางาน และเป็น
ความรู้สึกที่โน้มเอียงในการที่จะเลือกทําส่ิงหน่ึงสิ่งใดเก่ียวข้อง พร้อมท่ีจะเสาะหาสิ่งสนใจด้วยความ
ต้ังใจและยอมรบั ในคณุ ค่าของสงิ่ น้นั ๆ
ส่วนความหมายต่อความสนใจทางการเมืองน้ัน ณรงค์ สินสวัสดิ์๕๐ ได้กล่าวไว้ว่า ความ
สนใจทางการเมืองนั้นเป็นพ้ืนฐานของความโน้มเอียงพ้ืนฐานทางการเมืองประเภทอ่ืน ๆ เช่น ความ
ไว้วางใจทางการเมือง ความรู้สึกสัมฤทธิผลทางการเมือง ฯลฯ จากการศึกษาวิจัยของ พบว่า บุคคลท่ี
มีความสนใจทางการเมืองสูงมักจะมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่าบุคคลท่ัว ๆ ไป
นอกจากน้นั ยังได้แสดงทศั นะเพม่ิ เตมิ เก่ียวกับความสนใจทางการเมอื งไว้ดงั น้ี
๑. ผู้ที่มีความสนใจทางการเมืองมาก มีแนวโน้มที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง
มากกวา่ ผูท้ ่ีไมส่ นใจทางการเมอื ง
๒. ผทู้ ี่มคี วามเล่ือมใสในพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งเป็นพิเศษ มีแนวโน้มทีจ่ ะเข้าไป
มสี ่วนรว่ มทางการเมอื งมากกวา่ ผูอ้ ืน่
๔๖ สวัสดิ์ เรืองฉาย, “แบบสํารวจความสนใจทางอาชีพ”, วารสารแนะแนว, ปีที่ ๙ ฉบับท่ี ๔๐
(สิงหาคม กันยายน ๒๕๑๘): ๑๖-๒๑.
๔๗ วัชรี ทรัพย์มี, “การให้คําปรึกษาหารือเป็นกลุ่มแก่วัยรุ่น”, วารสารแนะแนว. ปีท่ี ๓๖: (ธันวาคม
๒๕๑๗ – มกราคม ๒๕๑๘): ๓๖–๔๓.
๔๘ วิไลพร ดําสะอาด, “การศึกษาความสามารถในการใช้ภาษา ความคิดสร้างสรรค์ และคามสนใจใน
วิธีสอนภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ท่ีได้รับการสอนโดยใช้เพลงและเกมประกอบการสอนกับการ
สอนตามคู่มือครู”, ปริญญานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ
โรฒประสานมติ ร, ๒๕๔๑).
๔๙ อดิศร เหลาแตว, “ปัจจัยที่เก่ียวข้องกับความสนใจทางการเมือง ของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๖
โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา และนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีท่ี ๓ วิทยาลัยเทคนิคสกลนคร จังหวัด
สกลนคร”, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย:
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๔๗)
๕๐ ณรงค์ สนิ สวสั ดิ,์ จติ วิทยาการเมือง, (กรุงเทพมหานคร: แพรพ่ ทิ ยา, ๒๕๒๗), หน้า ๑๑๑.
๔๑
๓. ผู้ท่ีมีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมสูง มักจะสนใจทางการเมือง และมีความ
ปรารถนาทางการเมือง คืออยากจะใหก้ ารเมืองเปน็ ไปในรปู นั้นรปู นีด้ ว้ ย
๔. คนที่มีการศึกษาสูงมักจะรู้ความเป็นไปหรือข่าวคราวความเคล่ือนไหวทางการเมือง
ดกี ว่าคนทมี่ ีการศึกษาตา่ํ กวา่
๕. เดก็ อาจเปล่ยี นความนยิ มพรรคการเมอื งทเ่ี คยนยิ มได้
๖. ผู้ที่ได้รับการศึกษาสูงขึ้น โดยเฉพาะผู้เข้ามหาวิทยาลัยจะมีแนวโน้มท่ีจะเข้ามีส่วนร่วม
ทางการเมอื ง เช่น ไปเลือกต้ัง ชว่ ยผู้สมัครบางคนหาเสยี ง หรอื เขา้ รว่ มโดยวิธอี ่ืน ๆ
ท้ังนี้ วัลลภ ลําพาย๕๑ ได้สรุปความหมายของความสนใจทางการเมือง หมายถึง การให้
ความสนใจต่อเหตุการณ์บ้านเมือง การเปิดรับข่าวสารการเมือง ข่าวราชการ ข่าวอื่น ๆ การสนทนา
พูดคุยในประเด็นทางเศรษฐกิจและการเมือง ความรู้เกี่ยวกับการเมือง ตลอดจนการเข้ามีส่วนร่วม
ทางการเมือง เช่น การชุมนุมทางการเมือง การฟังอภิปรายหรือชมนิทรรศการทางการเมือง การ
ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง การสมัครรับเลือกตั้ง การช่วยหาเสียง
เลือกต้ัง เป็นต้น เช่นเดียวกับ คันธรส แสนวงศ์๕๒ ที่ได้สรุปความสนใจทางการเมือง(political
interest) ไว้ว่า เป็นการส่ือความหมายหนึ่งซึ่งหมายถึงความสนใจที่บุคคลมีต่อเหตุการณ์บ้านเมือง
การเมือง เศรษฐกิจและสังคมทั้งหลาย นักรัฐศาสตร์โดยท่ัวไปมักจะนําไปโยงเข้ากับความรู้สึกทาง
จิตวิทยาในด้านตัวบุคคล คือความรู้สึกมีประสิทธิภาพทางการเมือง ดังกล่าวแล้วเน่ืองจาก
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรท้ังสองคือระดับความในใจทางการเมืองจะมีความเก่ียวพันกับระดับ
ความรู้สึกสัมฤทธิผลทางการเมือง นอกจากน้ีแล้ว อดิศร เหลาแตว๕๓ ได้อธิบายถึงความสนใจทาง
การเมืองของแต่ละบุคคลไว้ว่า บุคคลท่ีมีความสนใจทางการเมืองน้ันจะเป็นผู้ท่ีเข้าไปมีส่วนร่วม
ทางการเมืองอย่างแท้จริงมีความต่ืนตัว และจะพยายามแสวงหาอํานาจทางการเมืองหรือไม่ก็เข้าไปมี
อิทธิต่อการตัดสินใจทางการเมืองในรูปใดรูปหนึ่ง ซ่ึงสามารถแบ่งกลุ่มของบุคคลที่มีความสนใจทาง
การเมืองไดเ้ ปน็ ๒ กลุม่ ไดแ้ ก่
๑. กลุ่มที่แสวงหาอํานาจ (Power seekers) กลุ่มนี้ประกอบไปด้วยบุคคลท่ีพยายามใช้
ทรัพยากร หรือสิ่งที่มีคุณค่าท่ีมีอยู่ทุกชนิดเพื่อให้ได้มาซ่ึงอํานาจ โดยสรุปแล้วพวกนี้จะใช้ข้ออ้างของ
การแสวงหาอาํ นาจของตนเองดงั ตอ่ ไปนี้
๕๑ วัลลภ ลําพาย, “ความรู้สึกสัมฤทธิผลทางการเมืองและความสนใจทางการเมืองของข้าราชการไทย
ศึกษาเฉพาะกรณี : ข้าราชการกรมส่งเสริมสหกรณ์(ส่วนกลาง)”, สารนิพนธ์ตามหลักสูตรรัฐศาสตร์มหาบัณฑิต
คณะรฐั ศาสตร์, (บณั ฑิตวทิ ยาลัย: มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๓๔), บทคดั ย่อ.
๕๒ คันธรส แสนวงศ์, “ความรู้สึกสัมฤทธิผลทางการเมืองและความสนใจทางการเมืองของนักศึกษา
สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ”, รายงานการวจิ ัย, (สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ,
๒๕๓๙), บทคดั ย่อ.
๕๓ อดศิ ร เหลาแตว, “ปจั จัยท่ีเกยี่ วข้องกบั ความสนใจทางการเมือง ของนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
โรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา และนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีท่ี๓.วิทยาลัยเทคนิคสกลนคร จังหวัด
สกลนคร”, วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต,สาขาวิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย:
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, ๒๕๔๗), หน้า ๒๙-๓๐.
๔๒
๑.๑ เพื่อประโยชน์สขุ ของประชาชนโดยส่วนรวม
๑.๒ เพอื่ ประโยชน์สว่ นตน
๑.๓ เป็นการตอบสนองต่อแรงกระตุ้นจากจิตใต้สํานกึ เชน่ ต้องการให้ได้มาซึง่ อํานาจ
เพือ่ ใช้อํานาจนัน้ เป็นเคร่อื งมือเพื่อใหไ้ ดม้ าในสิง่ ทตี่ นเองถกู กีดกนั ในตอนวยั เยาว์
๒. กลุ่มผู้นํา ท่ีมีอํานาจ (Powerful elites) ในท่ีน้ีหมายถึงกลุ่มบุคคลท่ีสามารถนํา เอา
ทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพและชํานาญกว่าในการให้ได้มาซ่ึงอํานาจทางการเมืองส่วน
บคุ คลท่ีไม่มีความสนใจทางการเมืองนั้นจะมีลกั ษณะ ไม่ยินดียนิ ร้าย ไม่มคี วามต่ืนตัวกระตือรือร้นทาง
การเมอื ง ซ่งึ สาเหตทุ ท่ี ําใหบ้ ุคคลไม่สนใจทางการเมืองนนั้ พอจะสรปไุ ด้ ๖ ประการไดแ้ ก่
๒.๑ พวกนี้มีความคิดว่าในเชิงเปรียบเทียบแล้ว ถ้าเขาดําเนินกิจกรรมอ่ืนที่มิใช่
กิจกรรมทางการเมืองจะได้ผลประโยชนห์ รือไดร้ บั การตอบแทนทมี่ ีคุณค่าสงู กวา่ กจิ กรรมทางการเมือง
๒.๒ พวกน้ีคิดว่าข้อเลือกหรือทางเลือกท่ีนําไปให้พวกเขาเลือกน้ัน ไม่มีความ
แตกต่างอะไรมาก ถงึ ไม่ไปใช้สิทธิในการเลือกตงั้ กไ็ มเ่ ป็นไร
๒.๓ พวกน้ีคิดว่าแมพ้ วกเขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองใด ๆ ก็ไม่ได้
ช่วยใหผ้ ลท่อี อกมาผิดแผกไปจากเดมิ เลย
๒.๔ พวกน้ีเชื่อว่าผลท่ีจะออกมาจากการเลือกตั้ง หรือจากกิจกรรมทางการเมืองใด ๆ
จะเป็นไปตามท่ีคนปรารถนา สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับคนข้อนข้างแน่แม้ว่าตนจะไม่ไปใช้สิทธิ
หรือเขา้ ไปมสี ว่ นร่วมทางการเมอื งกต็ าม
๒.๕ พวกนี้มองว่าการเมืองเป็นเรื่องสลับซับซ้อน ต้องมีความเช่ียวชาญชํานาญ
ในทางนี้หรือไม่ก็ต้องมีการศึกษามีความรู้ ส่วนพวกตนที่มีความรู้น้อยเกินไปที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม
ทางการเมอื งอย่างมีประสิทธิภาพ
๒.๖ กระบวนการทางการเมืองตลอดจน วิธกี ารเข้าไปมีส่วนรว่ มที่ซับซ้อน หยุมหยิม
เกินความจําเป็นก็นับเป็นอุปสรรคที่สําคัญอย่างย่ิงท่ีทํา ให้บุคคลเพิกเฉย ไม่เข้าไปมีส่วนร่วมทางการ
เมอื งเสยี เลย
ความสนใจทางการเมืองน้ัน มีความสําคัญมากต่อการเมืองการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตย เพราะว่าถ้าประชาชนมีความสนใจทางการเมืองมากก็จะส่งผลให้ประชาชนเข้ามีส่วน
ร่วมทางการเมอื งมากดว้ ยเช่นกัน
สรุปได้ว่าความสนใจทางการเมือง คือ ความรู้สึกของบุคคลต่อเหตุการณ์บ้านเมือง ใน
เรื่องความรับรู้ข่าวสารบ้านเมือง การรับฟังการอภิปราย การหาเสียง การไปลงคะแนนเสียง การ
ติดตามความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสมํ่าเสมอ รวมถึงการตัดสินลงสมัครรับเลือกตั้ง ซ่ึง
พฤติกรรมการแสดงออกมาของความสนใจน้ันจะมากน้อยต่างกันออกไปด้วยปัจจัยส่วนบุคคล ซ่ึง
ความสนใจน้นั นักรัฐศาสตร์จัดเปน็ พฤตกิ รรมทางจติ วทิ ยาส่วนบคุ คล
๒.๓.๒ การมสี ่วนรว่ มในการเลอื กตั้ง
การเลือกต้ังเป็นกระบวนการแสวงหาทางเลือกในการเมืองการปกครองของประชาชนน่ัน
คอื เป็นแนวทางในการไดม้ าซึ่งผูป้ กครองประเทศนนั่ เอง ในระบบประชาธิปไตยการเลอื กต้งั ถอื ว่าเป็น
หัวใจสําคัญ เพราะเปน็ การสรรหาตัวแทนเข้าไปทําหนา้ ท่ีแทนประชาชน ซึง่ เราเรยี กว่า
๔๓
ประชาธิปไตยแบบตัวแทน (representative democracy) เพราะเหตุผลว่าประชาชน
ทุกคนไม่สามารถที่จะเข้าไปทําหน้าที่ในสภาได้ทุกคน เพราะประชาชนมีเป็นจํานวนมาก แนวคิด
เกีย่ วกบั การเลอื กตงั้ สรปุ ไดด้ งั น้ี๕๔
๑. ความสาํ คัญของการเลอื กตง้ั
๑.๑ เป็นการเลอื กผนู้ ําหรือผู้ปกครองประเทศ
๑.๒ การเลือกต้ัง เป็นห้ามล้อทางการเมือง กล่าวคือหากผู้ปกครองที่เลือกข้ึนมา
ปกครองประเทศไปในทางที่ไม่ถกู ต้อง ก็ใชก้ ารเลอื กต้ังเป็นตัวตัดสินไม่ใหผ้ ปู้ กครองคนน้นั เข้ามาอีกใน
การเลือกต้ังครั้งต่อไป ทําให้ต้องมีการกําหนดระยะเวลาในการบริหารประเทศ เช่น ๔ ปี เลือกต้ัง ๑
ครง้ั เป็นตน้
๑.๓ การเลือกตั้ง เป็นกลไกในการเช่ือมโยงระหว่างความต้องการของประชาชนกับ
รัฐบาล นั่นคอื ผู้ทลี่ งเลอื กต้งั จะต้องนาเอาความตอ้ งการของประชาชนมากาํ หนดเปน็ นโยบาย
๑.๔ การเลอื กต้ัง เป็นตัวสรา้ งความชอบธรรมในทางการเมืองใหก้ ับผู้ปกครองเพราะ
รฐั บาลท่ผี ่านการเลอื กต้ังจะมาจากความยนิ ยอมของคนส่วนใหญ่
๒. ประเภทของการเลอื กต้ัง
๒.๑ การเลือกต้ังท่ัวไป (general election) เป็นการเลือกตั้งใหญ่ท่ัวประเทศ เช่น
การเลอื กตง้ั เมือ่ วนั ที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๔
๒.๒ การเลือกต้ังซ่อม (by-election) กรณีท่ีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิก
วุฒสิ ภาตาย ลาออก หรอื ขาดคณุ สมบตั ิจนเป็นเหตุให้ต้องออกจากตําแหนง่
๒.๓ การเลือกต้ังซ้ํา (re-election) จะทําในกรณีการเลือกตั้งคร้ังแรกไม่บริสุทธ์ิ
ยุติธรรม หรอื เกิดปญั หาในการเลอื กต้ัง
๓. ประโยชน์ที่ประชาชนได้รบั จากการเลือกต้งั
๓.๑ ประชาชนจะไดผ้ แู้ ทนซึง่ เป็นตัวแทนของคนสว่ นใหญ่
๓.๒ ไดร้ บั การเลอื กต้งั ทบี่ ริบรู ณ์
๓.๓ การเลือกตั้งช่วยส่งเสริมให้คนดีมีความรู้เข้ามาสู่การเมือง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ
ประชาชนวา่ เลอื กคนดจี ริง ๆ เขา้ มาหรอื ไม่
๓.๔ การเลอื กตงั้ ชว่ ยสง่ เสรมิ ระบอบประชาธปิ ไตย
๓.๕ การไปเลอื กต้งั เป็นการทําหน้าท่ีของพลเมอื งดี
๓.๖ การเลือกตั้งช่วยลดความขัดแย้ง เช่น ถ้าเกิดปัญหาในการบริหารประเทศมี
ความขดั แยง้ ในพรรครว่ มรฐั บาล ก็จะใชว้ ธิ กี ารยุบสภาเพ่ือเลอื กตง้ั ใหม่
๓.๗ การเลือกต้ังช่วยสรา้ งบรู ณาการทางการเมอื ง
๕๔ ชลธิชา ณ เชียงใหม่, แนวคิดเกี่ยวกับการเลือกต้ัง, (กรุงเทพมหานคร: โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์
วิทยาลัย, ๒๕๔๖).
๔๔
๓.๘ การเลือกต้ังทําให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง ซึ่งเป็นการมีส่วนร่วม
ทางการเมอื งที่สําคัญมาก
๓.๙ การเลือกตัง้ นาํ มาซงึ่ การเปล่ียนแปลงผนู้ ําอย่างสันติ
๔. ปัจจัยที่มผี ลตอ่ การเลอื กตั้ง
๔.๑ การศึกษา ถือว่าเป็นตัวแปรสาํ คัญที่มีผลต่อการเลือกตั้งมากอย่างหนึ่ง จากการ
ศึกษาวิจัยในการเลือกตั้งในอเมริกา พบว่าคนที่มีการศึกษาสูงจะไปเลือกตั้งมากกว่าคนการศึกษาต่ํา
หรอื คนทไี่ ม่ไดร้ ับการศึกษา การศกึ ษาในอเมรกิ าข้นั ต่ํา คอื hi-school ส่วนในประเทศไทยเราปจั จบุ ัน
ยังไม่ถึงระดับ ม.๖ คือ ยังมีการจบการศึกษาภาคบังคับอยู่ ยังไม่แยกแยะว่านโยบายของพรรคคือ
อะไร มอี ดุ มการณ์ว่าอย่างไร เมอ่ื มคี นนาผลประโยชนม์ าให้กจ็ ะรบั ทนั ที
๔.๒ เศรษฐกิจ เป็นเร่ืองของรายได้ของประชาชนเป็นเร่ืองของปากท้องปัจจุบัน
รายได้ต่อหัวของประชากรในประเทศไทยยังต่ํามาก ถือว่าอยู่ในขั้นยากจน เห็นได้มีการสํารวจราษฎร
จํานวน ๘๐๐ ครัวเรือน ท่ีจังหวัดสุรินทร์ พบว่าประชาชนมีรายได้เฉลี่ยวันละ ๔ บาท หรือปีละ
๑,๔๔๐ บาท ซึ่งถือว่าต่ํามาก ๆ ไม่เพียงพอต่อการครองชีพในปัจจุบัน ดังน้ันเม่ือประชาชนท้องก่ิวไม่
มจี ะกิน ถ้ามีคนนาสิง่ ของ นําเงินมาให้ก็จะต้องรับเพื่อความอยูร่ อดไม่สนใจว่าบุคคลที่ใหอ้ ยู่พรรคไหน
มีอุดมการณ์อย่างไร จะพัฒนาไปในทิศทางใด เศรษฐกิจจึงมีผลตอ่ การเลือกต้ังอยา่ งมาก ปากท้องของ
ประชาชนจะต้องมากอ่ นการเมอื ง ด้วยเหตุนีจ้ งึ มีการซอื้ เสียงในการเลอื กต้งั ครั้งตอ่ ไปแน่นอน
๔.๓ สังคมของประเทศไทยจะเป็นสังคมแบบหลวม ๆ ไม่ผิดระเบียบกฎเกณฑ์ ไม่มี
การฝึกคนไทยเป็นคนเอาอย่างไรกไ็ ดง้ ่าย ๆ ไมเ่ รือ่ งมากจากการศึกษา พบวา่ สงั คมไทย
๑) เป็นระบบอุปถัมภ์ คนไทยยังชอบการแต่งตั้งอยู่ ชอบพรรคพวกกัน เคยฝาก
อะไรกันไว้ เคยทําให้ยังรกั พ่ีรักพอ้ ง รักเจา้ นายรักลูกนอ้ ง เพ่อื นท่ที างาน ดังนั้นถ้ามีการฝากว่าเลือกให้
หนอ่ ยนะคนนเี้ พอ่ื นกัน ก็ไดถ้ อื ว่าชว่ ย ๆ กนั การซอื้ เสียงจงึ เกิดขนึ้ แนน่ อน
๒) เป็นระบบเครือญาติ สังคมไทยเป็นระบบครอบครัวใหญ่ ยังมีสายใยความ
ผูกพันกันอยู่มีปู่ย่า ตายาย ลูกป้าน้าอา ยังเกรงใจฝากมาคนนี้เป็นญาติฝ่ายแม่นะ ลงสมัครฝากหน่อย
ก็เลือกญาติ ต้องช่วยญาติไม่สนใจว่านโยบายพรรคหรือไม่อย่างไร โดยไม่สามารถแยกเร่ืองเครือญาติ
หรอื เรื่องส่วนตวั ออกจากการเมอื งได้ ดังนั้นจึงยงั มกี ารซ้อื เสยี งอยู่
๓) เป็นระบบอาวุโส คนไทยยังมีระบบอาวุโส มีระบบผู้บังคับบัญชาฝากมาก็
เลือก ๆ ตามผู้อาวโุ สโดยไม่คิดถึงเรอ่ื งการเมือง
๔) ระบบสะสมมรดก คือสังคมไทยชอบการสะสมมรดกไว้ให้ลูกหลานอย่างน้ัน
ทําอย่างไรก็ได้ขอให้ได้เงินมามาก ๆ เพ่ือสะสมไว้ให้ลูกหลานของตน วิธีท่ีจะได้มาง่ายก็คือการมี
อํานาจทางการเมือง เพราะมีช่องทางในการหาเงินได้มาก คือการคอรัปชั่นมากเมื่อคนอยากรวยก็เลย
ทุจริต โดยการพยายามซอ้ื เสียงทาํ ไปใหไ้ ด้เพื่อจะได้เปน็ รฐั มนตรี
๔.๔ คา่ นยิ ม ค่านยิ มของคนไทยจะมีความชอบอยูม่ าก เช่น
๑) คา่ นิยมชอบคนมีบารมมี ีอิทธพิ ล ร่ํารวย โดยมิได้สนใจว่าเขามีนโยบายพรรค
วา่ อยา่ งไร แตช่ อบคนน้ีแหละจงึ เลอื กเพราะเขามีบารมี ส่วนเลอื กแล้วเขาจะไปทําอะไรบา้ งไม่ไดค้ ิด
๔๕
๒) ค่านิยมชอบคนใจนักเลง พูดจริงทําจริง คําไหนคําน้ัน แต่ไม่ใช่ทําเพ่ือ
ประชาชนของชาติ แต่เป็นประโยชน์ส่วนตัว คนไทยชอบเพราะใจนักเลงดี คนตรง แต่ไม่ได้พิจารณา
วา่ เขาอยพู่ รรคไหน มนี โยบายอย่างไรเลือกเขาเพราะชอบปัจจยั ท่เี กยี่ วข้อง ดงั น้ี
- ชอบคนใจกว้าง ใจใหญ่ ทําบุญมาก ๆ บริจาคมาก ๆ ไปจัดเสียง โดยมิต้องให้
ใครออกค่าใช้จ่ายช่วย เอาภาพยนตร์มาฉาย เอามวยเอาหมอลํามาให้ดูฟรี นักการเมืองลงทุนไปก็ต้อง
หาคนื
- ชอบของฟรี คนไทยจะชอบมากของฟรี อะไรก็ได้ขอให้ได้มาฟรี ๆ ชอบ เช่น
เขาจัดโต๊ะจีน จัดให้กินฟรี จัดมโหรสพให้ดูฟรี ชอบก็เลือกเขาโดยไม่สนใจเลยว่าเขาจะทําอะไรได้บ้าง
เขามีอุดมการณห์ รอื นโยบายหรอื ไม่ จะช่วยเศรษฐกจิ ชาตไิ ด้อย่างไร
- ชอบคนที่ดีเด่น มีชื่อเสียง ถ้าดังมีช่ือเสียงลงสมัครรับเลือกต้ังคนไทยจะชอบ
เลอื ก โดยไม่สนใจว่าเขาลงเพราะมีอุดมการณท์ างการเมอื ง มนี โยบายหรอื เปลา่
๔.๕ ชอบลืมง่าย คนไทยจะเป็นคนท่ีลืมอะไรง่าย ๆ ไม่ค่อยจาว่าในอดีตท่ีผ่านมาได้
ทําอะไรผิดไปบ้าง เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็จะลืม คนท่ีเขาสมัครใหม่ก็จะเลือกอีกจนลืมไปว่าเขาเคย
สร้างผลงานหรือไม่ จําได้แตว่ า่ เคยเลอื ก
๔.๖ เช่ือเร่ืองบาปบุญคุณโทษ คนไทยจะเป็นคนท่ีเช่ือบาปบุญคุณโทษเม่ือได้รับเงิน
รับส่ิงของเขามาแล้ว ก็จะต้องเลือกเขาเพราะจะบาป โดยไม่สนว่าเขาได้รับเลือกต้ังแล้วเขาจะไปทํา
อะไรบ้าง
๔.๗ ชอบเช่ือเรื่องโชคลาง ผีสางเทวดา ดูดวงแลว้ คนน้ีได้รับเลือกต้ังก็ได้รับเรือ่ งการ
ดูดวง เช่อื ผีบอก
๔.๘ ชอบคนบริจาคมาก ถ้าบริจาคมาก ๆ ก็ชอบ เขาบริจาคเงินสร้างวัด สร้างถนน
ให้จะต้องเลอื ก ๆ เพราะเขาทาํ ให้ ไม่สนใจวา่ เขาเล่นการเมอื งเพราะมนี โยบายว่าอะไร
๔.๙ ชอบให้อภัย ถ้านักการเมืองทําผิดมาในอดีตเขาออกมาขอโทษ ก็ให้อภัยให้เล่น
การเมืองตอ่ ได้ เลือกเขาอีก และถ้าทําผดิ อีกกข็ อโทษและใหอ้ ภยั อีกเรอื่ ย ๆ
๔.๑๐ ชอบการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ นิสัยคนไทยแต่โบราณมาแขกมาบ้านให้ต้อนรับ ยิ่ง
เขามขี องมาฝากด้วยยิ่งตอ้ นรับ มาขอคะแนนถงึ ประตูบา้ น นาของมาฝากด้วยจะตอ้ งเลอื กเขา
๔.๑๑ ไม่ค่อยมีจริยธรรม คนไทยไม่ยึดติดกับระเบียบแบบแผน การเมืองไม่มี
จรยิ ธรรมทางการเมอื ง
๔.๑๒ ถืออาวุโส ต้องเชื่อผู้ใหญ่ ดังน้ันเม่ือผู้ใหญ่บอกให้เลือกใครก็เลือก
ผู้บงั คับบญั ชาให้เลอื กใครกเ็ ลอื ก โดยไมส่ นใจวา่ มีอดุ มการณ์เมืองหรือไม่
๔.๑๓ คนไทยมีกตัญญู คนไทยเป็นคนมีกตัญญู เช่น เคยฝากเขาให้เอาลูกเข้า
โรงเรียนฝากลูกให้ทางาน หรือช่วยเหลือเขาโดยยืมเงินเขา จึงต้องเลือกเขากล่าวโดยสรุป การมีส่วน
ร่วมทางการเมืองของประชาชนในการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มี
ดงั นี้
๑. กําหนดให้การไปเลือกตัง้ เป็นหนา้ ทีข่ องประชาชน
๒. ขยายสทิ ธิ์การเลือกต้งั ใหก้ ับ ชาย หญงิ ไทย ทีอ่ ายุ ๑๘ ปบี ริบูรณ์
๔๖
๓. ให้มีการลงคะแนนล่วงหน้าได้ กําหนดให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งใน
ตา่ งประเทศสาํ หรบั คนไทยท่ีอยตู่ ่างประเทศ (nom ว่าไม่เหมาะเพราะอาจมีการทจุ ริตคะแนนเลอื กต้ัง
ทีห่ ย่อนบัตรล่วงหนา้ และกรณีทจี่ ัดให้มกี ารลงคะแนนที่ต่างประเทศน้นั เปลืองคา่ ใช้จ่าย ไม่คุม้ กบั การ
ลงทุน) แสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้ง มีความสําคัญย่ิงในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเพราะ
เป็นการแสดงออกของประชาชนท่ีต้องการรัฐบาลไปบริหารประเทศในลักษณะใด การเลือกต้ังไม่ว่า
จะเป็นการปกครองระบอบใด เท่ากับว่าเป็นการยอมรับให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมทางการเมืองได้ใช้
สิทธิในการเลือกตั้ง การออกเสียงเลือกตั้งเป็นสิทธิขั้นพ้ืนฐานของมนุษย์ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิ
มนุษยชน ข้อ ๒๑ (๑) กล่าวว่า “เจตจํานงของประชาชนย่อมเป็นมูลฐานแห่งอํานาจรัฐบาลของ
ผู้ปกครอง เจตจานงดังกล่าวต้องแสดงออกโดยการเลือกต้ังอันสุจริต ซ่ึงจัดเป็นครั้งคราวตาม
กําหนดเวลาด้วยการลงคะแนนเสียงอย่างทั่วถึง โดยถือหลักคนละหนึ่งเสียงเท่าน้ัน โดยกระทําเป็น
การลับด้วยวิธีต่าง ๆ เพ่ือที่จะประกันให้การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นไปโดยเสรี” นอกจากการ
เลือกต้ังเป็นสิทธิข้ันพื้นฐานของมนุษย์แล้ว ความสําคัญของการเลือกตั้งยังทาให้ประชาชนได้เข้าไปมี
ส่วนปกครองตนเอง โดยการเลือกต้ังตัวแทนเข้าไปในสภาและรัฐบาล เป็นวิธีการเปล่ียนอํานาจ
ปอ้ งกันมิใหเ้ กิดการปฏิวัตริ ัฐประหาร การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีการคนื อํานาจให้ประชาชน
ได้ติดสินใจว่าสมควรจะเลือกใครเป็นผู้บริหารประเทศ เป็นวิธีการท่ีจะทําให้หมุนเวียนเปล่ียนอํานาจ
และเป็นการสร้างความชอบธรรมในการใช้อํานาจทางการเมืองให้กับบุคคลที่จะมาทาหน้าที่เป็น
รฐั บาล
แมกเวเบอร์ (Max Weber)๕๕ นักสงั คมวิทยาทยี่ ึดถอื แนวคดิ เร่ืองแบบในอุดมคติ (Ideal
Type) ได้นําเสนอแนวคิดในอุดมคตขิ องการกระทาํ ทางสงั คม ซงึ่ แบ่งได้เปน็ ๔ประเภทคอื
๑. การกระทําตามเหตุผลอย่างมเี งือ่ นไข (Instrumental or means/ends Rationality)
เป็นการกระทําท่ีผู้กระทํามีการคิดคํานวณวิธีการที่จะนําไปสู่บรรลุเป้าหมายบางอย่างเป็นการกระทํา
อยู่บนพ้ืนฐานของการมองเง่ือนไขความเป็นไปของโลกเป็นสําคัญเป็นการเลือกวิธีการกระทําที่จะมุ่ง
ผลสําเร็จไปสู่เป้าหมายท่ีต้องการซึ่งการกระทําแบบนี้มีความสําคัญมากที่สุดในบรรดาการกระทํา
ประเภทต่าง ๆ
๒. การกระทําตามเหตุผลค่านิยม (Value – Rationality) เป็นการกระทําทีม่ ีเป้าหมายใน
ตัวเองเป็นการกระทําท่ีข้ึนอยู่กับค่านิยมในเป้าหมายและวิธีการน้ัน ๆในตัวของมันเองซ่ึงบุคคลยึดถือ
นาํ มาปฏบิ ัติบุคคลเหน็ วา่ การกระทําน้ันมีคุณคา่ ควรแกก่ ารกระทําไมไ่ ด้คาํ นึงถงึ ผลตอบแทนทีจ่ ะได้รับ
กลับมาการกระทําแบบเหตุผลอย่างมีเง่ือนไขเป็นการกระทําส่วนใหญ่ในเร่ืองเศรษฐกิจ(แบบทุนนิยม)
สว่ นการกระทาํ ตามค่านิยมมกั จะเปน็ การกระทําในเรอ่ื งทีเ่ ก่ยี วกบั ศาสนา (Religions)
๓. การกระทําตามอารมณ์ (Emotional Action) เป็นการกระทําท่ีเป็นผลมาจาก
แรงผลักดันทางความรู้สกึ (Felling) ซ่ึงอาจจะพบไดจ้ ากนักตอ่ ต้านทางการเมอื งหรือผ้คู ลั่งไคล้ศาสนา
๕๕ สุภารัตน์ พุทธรักษา, การมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการองค์การบริหารส่วน
ตาํ บลในจังหวัดชลบรุ ,ี (นนทบุร:ี มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๔๙).
๔๗
(ในท่ีนี้หมายถึงการกระทําทางสังคมประเภทหน่ึงซ่ึงไม่ใช่เป็นการกระทําท่ีเกิดจากประสาทสัมผสั อาทิ
เช่นไม่ไดห้ มายถึงการร้องของคนท่ไี ดร้ ับความเจบ็ ปวด)
๔. การกระทําตามประเพณี (Traditional Action) เป็นการกระทําตามลักษณะนิสัย
ความเคยชินที่ได้ปฏบิ ตั กิ นั มาหรอื เป็นการกระทําทส่ี บื ทอดต่อๆกนั มาจากคนแต่ละรุ่น การกระทาํ ตาม
ป ร ะ เพ ณี มี ลั ก ษ ณ ะ ใก ล้ เคี ย ง กั น กั บ ต า ม อ า ร ม ณ์ คื อ ไม่ ใค ร่ จ ะ มี ค ว า ม ห ม า ย ภ า ย ใน เท่ า ใ ด นั ก
(Meaningless) ไม่มีความสําคัญในแง่ท่ีเป็นการกระทําที่มีแก่นสารแท้จริงตามทัศนะในทางสังคม
วิทยาและเปน็ การกระทาํ ท่ีเป็นอปุ สรรคตอ่ การพฒั นา
ความคิดในเรื่องเหตุผลถ้าหากจะวิเคราะห์ “พฤติกรรมการเลือกต้ัง” ตามแนวคิดเร่ือง
“การกระทําทางสังคม” ของแมกเวเบอร์อาจจะจําแนกลักษณะการกระทําได้๔ประเภทเช่นเดียวกัน
คือ๕๖
๑. การไปเลือกตั้งเป็นได้ท้ังการกระทําที่มีเจตจํานงเชิงเหตุผลได้แก่ผู้เลือกตั้งมีการคิด
คํานึงถึงผลประโยชน์ท่ีจะได้จากการไปใช้สิทธิเลือกตั้งเช่นการมุ่งหวังที่จะเลือกคนท่ีตนเอง สนับสนุน
ให้เข้าไปมีอํานาจเพื่อท่ีจะกําหนดนโยบายให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเองกล่าวคือการท่ีจะ
บรรลุเปา้ หมายผลประโยชน์โดยการใชก้ ารเลอื กต้งั เป็นวธิ ีการท่จี ะบรรลุเป้าหมายดงั กล่าว
๒. การเลือกตั้งเป็นการกระทําตามค่านิยมได้แก่ผู้ที่ไปใช้สิทธิเลือกต้ังเห็นว่าการไป
เลือกตั้งมีความหมายในแง่คุณค่าอยู่ในตัวตัวอย่างเช่นคนท่ีมีความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยจะ
เห็นว่าการไปเลือกตั้งมีคุณค่าในแง่ท่ีเป็นการส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยจึงตัดสินใจไป
ใช้สิทธิเลือกต้ัง
๓. การเลือกต้ังเป็นการกระทําตามอารมณ์เช่นคนท่ีมีความรู้สึกรักใคร่ชอบพอต่อตัว
ผูส้ มคั รรับเลอื กต้งั บางคนแล้วไปใชส้ ทิ ธิเลือกต้งั เพ่ือแสดงความรักศรัทธาต่อบุคคลผู้นน้ั เปน็ ต้น
๔. การเลือกตั้งเป็นการกระทําตามประเพณีเช่นคนท่ีไปใช้สิทธิเลือกต้ังบางคนไปใช้สิทธิ
เพราะความเคยชนิ การเห็นคนอนื่ ปฏิบัติตามเปน็ ต้น
อย่างไรก็ตามการพิจารณาแรงจูงใจในการไปใช้สิทธิเลือกตั้งที่จะศึกษาต่อไปนี้มุ่งท่ีจะ
พิจารณาในแง่ท่ีเป็นการกระทําในเชิงเหตุผลและการกระทําในเชิงค่านิยมเป็นด้านหลักส่วนการ
พิจารณาในแง่ที่เป็นการกระทําตามอารมณ์และการกระทําตามประเพณีเป็นประเด็นท่ีให้ความสนใจ
เป็นลําดับรองลงไปทั้งนี้สอดคล้องกับการให้ความสนใจของแมกเวเบอร์ซ่ึงให้ความสําคัญกับการ
กระทําในสองประเภทแรกมากกว่าการกระทําในสองประเภทหลังซึ่งแมกเวเบอร์เห็นว่าเหตุผลท่ีให้
ความสําคญั กบั การกระทําสองประเภทหลงั (การกระทําตามอารมณ์และการกระทาํ ตามประเพณี)เป็น
ลําดับรองไม่ใช่เป็นเพราะเห็นว่าการกระทําจากปฏิกิริยาของจิตสานึกแต่เพราะเห็นว่าเป็นการกระทํา
ท่ไี ม่มีอิทธิพลต่อการเปลยี่ นแปลงทางสังคมเท่าใดนกั
๕๖ บุญศรี มีวงศ์อุโฆษ, การเลือกตั้งและพรรคการเมือง บทเรียนจากเยอรมัน, (กรุงเทพมหานคร:
สถาบันนโยบายศึกษา, ๒๕๔๒).
๔๘
เมื่อพจิ ารณาตามกรอบแนวคดิ เรอื่ งความต้องการของมนุษย์แลว้ อาจจะตงั้ สมมติฐานไดว้ า่
๑) คนที่มาใช้สทิ ธิเลือกต้ังมคี วามต้องการท่ีจะไดร้ ับการตอบแทนในลกั ษณะที่หลากหลาย
แตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นจะมีความต้องการท่ีจะได้รับการตอบแทนในลักษณะมีความต้องการ
ประเภทใดอย่ใู นระดบั ข้ันใด
๒) การที่คนจะมาใช้สิทธิเลือกต้ังหรือไม่ขึ้นอยู่กับการประเมินว่าการเลือกตั้งจะสามารถ
ตอบสนองความตอ้ งการของเขาได้มากนอ้ ยเพียงใด
สรุปได้ว่า การมีส่วนร่วมในการเลือกต้ัง หมายถึง การมุ่งหวังที่จะเลือกคนท่ีตนเอง
สนับสนุนให้เข้าไปมีอํานาจเพื่อท่ีจะกําหนดนโยบายให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเอง การ
ยอมรบั ใหป้ ระชาชนไดม้ ีส่วนร่วมทางการเมืองได้ใชส้ ิทธิในการเลือกต้งั
๒.๓.๓ การมสี ่วนรว่ มในการบรหิ าร
การบริหารแบบมีส่วนร่วมมีวิวัฒนาการมาจากแนวคิดการบริหารเชิงมนุษยสัมพันธ์
(Human relation approach) และการบริหารเชิงพฤติกรรม (Behavioral approach) บุคคลที่เป็น
ผู้บุกเบิกแนวคิดนี้คือ แมรี ปาร์คเกอร์ฟอลเลต (Mary Parker Follet) จากบทความชื่อ
“DynamicsAdministration” บรรยายให้ผู้บริหารแก้ปัญหาความขัดแย้งในองค์การด้วยวิธีการสร้าง
มนุษยสัมพันธ์ ได้รับการสนับสนุนจากเอลตัน เมโย (Elton Mayo) และเอฟ.เจ.โรธลิสเบอร์เกอร์
(F.J.Roethlisberger) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harward University) โคเฮน และนอร์แมน
อัฟฮอฟฟ์ (Cohen; & Norman Uphoff. ๑๙๘๐: ๒๑๓-๒๒๒) ได้แบ่งลักษณะของการมีส่วนร่วมไว้
๔ ประเภท ดังน้ี
๑. การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Decision making) ประกอบด้วย การริเร่ิมตัดสินใจ
การดาเนินการตัดสนิ ใจและการตดั สินใจปฏิบัตกิ าร
๒. การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการ (Implementation) ประกอบด้วยการสนับสนุนด้าน
ทรพั ยากร การเข้ารว่ มการบรหิ าร การประสานขอความรว่ มมอื
๓. การมีส่วนร่วมในผลประโยชน์ (Benefits) ได้แก่ ผลประโยชน์ทางวัตถุผล ประโยชน์
ทางสงั คมและผลประโยชนส์ ว่ นบุคคล
๔. การมีส่วนร่วมในการประเมินผล (Evaluation) ในรูปแบบน้ีนับเป็นการควบคุม
ตรวจสอบการดาเนนิ กิจกรรมทง้ั หมดและแสดงถงึ การปรบั ตวั ในการมสี ่วนร่วมตอ่ ไป
กิจกรรมที่แสดงถึงกระบวนการมีส่วนร่วมท่ีสามารถนาไปประยุกต์ในบริบทของการจัด
การศึกษาได้ มดี ังนี้๕๗
๑. การรวบรวมและตรวจสอบ การวเิ คราะห์ และพิจารณาข้อมลู สภาพปญั หา
๒. กาํ หนดนิยาม จดั ลาํ ดับความสาํ คัญของปัญหา และกําหนดเปา้ หมาย
๕๗ Shaeffer. S (ed.), Parnerships and Participation In Basic Education: A Series of
Training Moduales and Case study Abstracts for Educational Planner and Managers, (Paris:
UNES Co. International Institute for Educational Planning, 1994), p. 2.
๔๙
๓. การประเมินความเปน็ ไปได้ของข้อมลู
๔. การตดั สนิ ใจและการวางแผนการดาเนนิ งาน
๕. การออกแบบยุทธศาสตร์ การจัดสรรงานและความรับผดิ ชอบให้กบั ทีมงาน
๖. การปฏิบตั ติ ามแผนงาน
๗. การตรวจสอบความกา้ วหนา้ ของแผนงาน
๘. การประเมนิ ผลลัพธ์ท่เี กิดขน้ึ และผลกระทบ
อุทยั บญุ ประเสรฐิ ๕๘ กลา่ ววา่ การมีสว่ นร่วมในการบรหิ ารมีแนวความคิดพน้ื ฐาน ดงั น้ี
๑. ความเช่ือเรื่องธรรมชาติมนุษย์ (Assumption about human nature) ตามแนวคิด
ของ แมคเกรเกอร์ (McGregor) มี ๒ แนวทาง คือ ทฤษฎี x และทฤษฎี y ตามแนวคิดของทฤษฎี x
เช่ือว่ามนุษย์ขี้เกียจ และขาดความรับผิดชอบ ดังนั้น ต้องใช้วิธีการบังคับหรือควบคุมการทางานอย่าง
ใกล้ชิด ส่วนทฤษฎี y เชื่อว่ามนุษย์มีความขยัน ชอบทางานโดยเฉพาะอย่างย่ิงถ้าสภาพการทางานที่มี
ความเหมาะสม และคนมีสว่ นร่วมในการทางานโดยไม่ถกู บังคบั กจ็ ะมคี วามรบั ผิดชอบมากขน้ึ
๒. ความคิดความเป็นองค์การของสถานศึกษา (Concept of school organization)
แนวความคิดของการบริหารปัจจุบันเชื่อว่าองค์การมิใช่เป็นเพียงเคร่ืองมือสาหรับการบรรลุเป้าหมาย
หรือผลผลติ เชงิ ปริมาณเทา่ นั้น แต่เปน็ สถานที่สาหรับการดารงชวี ิตและการพฒั นาด้วย
๓. รูปแบบการตัดสินใจ (Decision making style) การตัดสินใจส่ังการในระดับ
สถานศึกษาควรมีลักษณะร่วมมือกันใช้อํานาจระหว่างครู ผู้ปกครอง นักเรียน ตลอดจนศิษย์เก่าเพ่ือ
สะท้อนสภาวการณ์ปัจจุบัน ความต้องการในอนาคต ซึ่งจะต้องระดมสติปัญญาและแนวคิดให้สมาชิก
ได้มีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาให้บริหารโรงเรียนได้สําเร็จ อีกท้ัง ยังสร้างความรู้สึกผูกพันกับ
สถานศึกษาดว้ ย
๔. แบบภาวะผู้นา (Leadership style) ตามทฤษฎขี องเซอร์จิโอวานนิ (Sergiovanni) ได้
จัดระดับภาวะผู้นาของผู้บริหารสถานศึกษาไว้ ๕ ระดับ ได้แก่ ภาวะผู้นาด้านเทคนิค ภาวะผู้นาด้าน
มนษุ ย์ ภาวะผนู้ าทางการศกึ ษา ภาวะผนู้ าเชงิ สัญลกั ษณ์และภาวะผู้นาทางวฒั นธรรม
๕. กลยทุ ธก์ ารใช้อํานาจ (Use of power) ในการบริหารโดยทั่วไปมีความจาเป็นท่ีจะต้อง
ใช้อํานาจเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ตามทฤษฎีที่ว่าด้วยที่มาของอํานาจ (Source of power) ของเฟรนช
และราเวน (French และ Raven) ได้แบ่งท่ีมาของอํานาจพ้ืนฐานเป็น ๕ แบบ ได้แก่ อํานาจจากการ
ให้รางวัล อํานาจจากการบังคับ อํานาจตามกฎหมาย อํานาจจากการอ้างอิงและอํานาจจากความรู้
ความเชีย่ วชาญ
๖. ทกั ษะเฉพาะในการบริหาร (Management skills) ทักษะการบริหารแบบใหม่ ที่ได้รับ
การพัฒนาและนามาใช้ในองค์การ เช่น การใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการวิเคราะห์เพ่ือการ
ตัดสินใจ การใช้ทักษะการแก้ไขความขัดแย้ง การใช้กลยุทธ์เพ่ือการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาองค์การ
เปน็ ตน้
๗. การใช้ทรัพยากร (Use of resources) บริหารงานตามสถานการณ์ของตนเองอย่างมี
ประสิทธผิ ลไมต่ อ้ งสิ้นเปลอื งบคุ ลากร งบประมาณ เวลาในการควบคุมและตรวจสอบ
๕๐
นอกจากนี้ การกระจายอํานาจเป็นหลักการหนึ่งของการบริหารแบบมีส่วนร่วมที่มีการ
ถ่ายโอนอํานาจ หนา้ ที่ ความรับผิดชอบและการตัดสินใจจากส่วนกลาง หรือศูนยร์ วมอํานาจ ไปสู่ส่วน
ต่าง ๆ หรือลําดับช้ันขององค์การ โดยให้ทุกส่วนขององค์กรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ท้ังนี้ ในการให้
บุคคล คณะบุคคล หรือท้องถ่ินมีส่วนร่วมในการบริหาร ย่อมเป็นรากฐานท่ีสําคัญของสังคม
ประชาธิปไตย ซึ่งการกระจายอํานาจทางการบริหารจะทาให้บางสว่ นขององค์การมีความเป็นอิสระใน
การตัดสินใจ (Autonomy) ท่ีจะนาไปสู่เป้าหมายท่ีสําคัญ ๓ ประการ ได้แก่ ความยืดหยุ่น ความ
รับผิดชอบท่ีจะตรวจสอบได้และการเพ่ิมผลผลิต โดยมีจุดมุ่งหมายสําคัญคือ การปรับปรุงและ
พัฒนา๕๘
สรุปได้ว่า การมีส่วนร่วมในการบริหาร หมายถึง หลักการจัดสรรหน้าที่และอํานาจ การ
กระจายอํานาจการรวมตัวเป็นทีมงาน ความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนและองค์กร ความแตกต่างกัน
ระหว่างสังคมภายนอกกับภายในองค์การ ลักษณะของการมีส่วนร่วมองคนในองค์การ การรวมพลัง
และความพยายามท่ีจะชว่ ยกันระดมทรพั ยากรในทกุ ๆ ด้าน
๒.๓.๔ การมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมทางการเมอื ง
ความหมายของการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง คํากล่าวท่ีว่า “การเมืองเป็นเรื่อง
ของคนทุกคน และทกุ คนไม่สามารถปฏเิ สธผลกระทบทางการเมืองต่อการดํารงชีวิตของประชาชนได้”
คํากล่าวน้ีได้สะท้อนให้นักวิชาการหลายท่านได้หันมาให้ความสนใจ และศึกษาไว้อย่างมากมายจน
สามารถสะท้อนแนวคิดต่าง ๆ ออกมาตามบริบท ทางสังคมการเมือง และวัฒนธรรมของตนเอง
โดยเฉพาะประเด็นความหมายการมีส่วนร่วมทางการเมืองมีผู้ให้แนวคิดไว้อย่างหลากหลาย และได้
รวบรวมความหมายของการมสี ่วนรว่ มทางการเมอื ง
ตามแนวคิดของ บาร์เบอร์ เจ เดวิด๕๙ ได้แบ่งรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองไว้ ๒
ประการ ดงั นี้
๑. การมีส่วนร่วมโดยตรง เป็นลักษณะที่ประชาชนเป็นผู้ดําเนินการปกครองตนเอง
โดยตรง เชน่ การบรหิ ารงาน การกาํ หนดนโยบาย และการตัดสนิ ใจในการดําเนนิ งานดว้ ยตนเอง
๒. การมีส่วนร่วม โดยทางอ้อมเป็นลักษณะท่ีประชาชนเข้ามีส่วนร่วมแต่มิได้เป็น
ผู้ดําเนินการปกครองด้วยตนเองโดยตรง แต่เป็นการเลือกตัวแทนเข้าไปทําหน้าที่ด้วยวิธีการเลือกต้ัง
โดยประชาชนอย่างเสรีซ่ึงกลไกน้ีต้องการให้ประชาชนเข้ามาควบคุมการบริหารงานฝ่ายปกครองให้
เปน็ ไปตามความตอ้ งการ
๕๘ เสริมศักด์ิ วิศาลาภรณ์, “ปัญหาและแนวโน้มเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหาร
ก า รศึ ก ษ า ” , ใน เอ ก ส า ร สั ม ม น า ปั ญ ห า แ ล ะ แ น ว โน้ ม ท า ง ก า ร บ ริ ห า ร ก า ร ศึ ก ษ า , (น น ท บุ รี :
มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๔๓)
๕๙ Barber J. David, Citizen Politics, (Chicago: Markham, 1972), p. 3.
๕๑
รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองใน ระบอบประชาธิปไตยแนวความคิดของการมีส่วน
รว่ มทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจําแนกเปน็ ๔ แนวคิด ได้แก่
๑. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยโดยตรง (Direct Democracy)
การมีส่วนร่วมในลักษณะน้ี ประชาชน หรือพลเมืองของรัฐจะทําหน้าที่เป็น “สภา” โดยทุกคนมีส่วน
ร่วมในการประชุมพิจารณาเร่ืองต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ประชาชนทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการกําหนด
กฎเกณฑ์ในสังคมภายหลังเมื่อสมาชิกของสังคมเพ่ิมจํานวนมากขึ้น และสังคมมีความซับซ้อนขึ้นการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตยโดยตรงกลายเป็นเร่ืองยากท่ีจะสามารถทําได้จริงเพราะประชาชนทุก
คนไมส่ ามารถเขา้ มาใชอ้ าํ นาจของตนเองได้ในทกุ กิจกรรมของประเทศ
๒. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน หรือประชาธิปไตย
โดยอ้อม(Representative Democracy) การมีส่วนร่วมในรูปแบบน้ี คือ การที่ประชาชนได้ทําหน้าท่ี
เลือกผูแ้ ทนของตน เข้าไปใชอ้ าํ นาจอธิปไตยแทนตนในรัฐสภา ผ่านระบบ ทเ่ี รยี กวา่ “การเลือกต้งั ”
๓. การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย แบบมีส่วนร่วม
(Participatory Democracy) หรือที่เรียกว่า “ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม” เป็นการนําการมีส่วน
ร่วม ทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยโดยตรงมาผสมผสานกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองใน
ระบอบประชาธปิ ไตยแบบตัวแทน และเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนรว่ มในทางการเมอื งการปกครอง
มากยิ่งขึ้น โดยให้ประชาชนได้มีอํานาจในการตรวจสอบ และควบคุมการทํางานของ “ผู้แทน” คือ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาแล้วแต่กรณีรวมท้ังการเปิดโอกาสให้ “สถาบัน
การเมือง” ต่าง ๆ ภาคประชาสังคม ภาคประชาชนองค์กรอิสระ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ องค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่น ส่ือมวลชน สามารถทําหน้าที่ในการติดตามและตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐได้
อย่างเต็มที่
๔. การมีสว่ นรว่ มทางการเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย แบบถกแถลง (สาน
เสวนาหาทางออก) (Deliberative Democracy) เป็นประชาธิปไตยแบบถกแถลงที่เป็นกระบวนการ
สําคัญของประชาธิปไตยภาคพลเมือง ประชาธิปไตยชุมชน หรือประชาธิปไตยทางตรง เป็นความ
พยายามท่ีจะแก้ไขปัญหาที่เกิดจากข้อบกพร่องของประชาธิปไตยแบบตัวแทนท่ีเป็นรูปแบบสถาบันที่
ตายตัวไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนท่ีมีความซับซ้อน และมีความแตกต่าง
หลากหลายได้ท้ังน้ีหลักการประชาธิปไตยแบบถกแถลงไม่ได้เป็นส่ิงท่ีขัดแย้งกับระบอบประชาธิปไตย
แบบ ตัวแทน เพราะระบอบประชาธิปไตยทั้งสองแบบสามารถอยู่คู่กันได้ ซึ่งระบอบประชาธิปไตย
แบบถกแถลงจะช่วยแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องต่าง ๆ ของระบบการเมืองแบบตัวแทน โดยการมีส่วน
ร่วมของภาคพลเมืองท่ีมีความสํานึกทางการเมอื ง (Active Citizen) และมีจิตสาธารณะรวมหมู่ (Civic
Life)
รูปแบบการมีส่วนร่วมในลักษณะน้ีที่เห็นได้ชัด คือการท่ีภาคประชาชน หรือภาคพลเมือง
เข้าร่วมกันวิเคราะห์แลกเปล่ียน ถกแถลงกันเพื่อนําเสนอแนวคิดของตนในการสร้างนโยบายท่ี
เหมาะสมสําหรับตนเองหลักการสําคัญของการมีส่วนร่วมในรูปแบบน้ี คือกระบวนการที่ให้ประชาชน
ทุกคน หรือภาคพลเมืองได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะ และตอบสนองข้อเรียกร้องเพ่ือให้ตัวแทนของ
ตน หรือรัฐบาลนําไปปฏิบัติต่อไปการมีส่วนร่วมในทางการเมืองของประชาชนจึงสามารถทําได้หลาย
รูปแบบ รูปแบบที่หลากหลายเหล่าน้ีได้ทําให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองท่ีกว้างข้ึน การมีส่วน
๕๒
รว่ มทางการเมืองเป็นกลไกหนึ่งท่ีทําให้ประชาชนได้มีโอกาสส่ือสารกับรัฐมากย่ิงข้ึน ได้มีโอกาสในการ
สื่อสารและสานผลประโยชน์ร่วมกัน ทําให้การดําเนินนโยบายการเมืองเศรษฐกิจ และสังคมเปล่ียน
ผ่านไปสู่ “การเป็นประเด็นสาธารณะ” ท่ีทุกคน ทุกภาคส่วนต้องให้ความสําคัญ และสนใจที่สําคัญ
การมีส่วนร่วมทางการเมืองทําให้เปลี่ยนข้ัวความคิดท่ีว่าการตัดสินใจทางการเมือง และกิจกรรม
ทางการเมืองเป็นเรื่องของ “นักการเมือง” ไปสู่การเป็น “เรื่องของทุกคน” ข้อจํากัดของการมีส่วน
ร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสภาพเร้าระดมทางสังคม ถ้าสังคมมีการเร้าระดมทางสังคม
ตํ่าหมายความว่า ราษฎรท่ีได้รับการศึกษามีจํานวนน้อย การเข้าถึงส่ือมวลชนก็มีน้อย การพัฒนาเป็น
สังคมเมืองก็ตํ่า สิ่งเหล่าน้ีก็คือข้อจํากัดของการมีส่วนร่วมทางการเมืองท่ีสําคัญภาวะทางเศรษฐกิจ
หรือการครองชีพประเทศท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจดี และมีความมั่งค่ังจะมีโอกาสเป็นประชาธิปไตยได้
มากกว่าประเทศท่ียากจนในประเทศยากจนราษฎรเองจะมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองน้อย
แต่ถ้าความยากจน ความขาดแคลนและเดือดร้อนทางเศรษฐกิจมีมากเกินไปจนอยู่ในภาวะเกินทน
แล้ว อาจจะผลักดันให้ประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้นก็ได้ ข้อจํากัดทางการเมือง ถ้า
ระบอบการเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตยประชาชนก็จะมีส่วนร่วมทางการเมืองสูง แต่ถ้าการ
ปกครองแบบเผด็จการ ประชาชนก็จะมีส่วนร่วมทางการเมืองต่ํา และจะเป็นไปในรูปของการมีส่วน
ร่วมโดยการปลุกเร้าระดม เพ่ือสนับสนุนรัฐบาล วัฒนธรรมทางการเมือง ถ้าการมีบทบาททาง
การเมืองที่จํากัดอยู่แต่เฉพาะกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่ตระกูล ซึ่งกลุ่มบุคคลเหล่านี้มีท้ังอิทธิพล และ
อํานาจเงิน ทําให้คนมีความรู้ไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมือง ปัญหาการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ของประชาชน ปัญหาความต่ืนตัวทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
น้ัน ต้องเป็นการมีส่วนร่วมแบบสมัครใจไม่ใช่เป็นแบบปลุกระดม สําหรับการมีส่วนร่วมแบบเสรีหรือ
แบบสมัครใจนี้จะเกิดขึ้นได้ เม่ือประชาชนมีความสํานึกทางการเมืองหรือความตื่นตัวทางการเมือง
เสียก่อน คนไทยยังมีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่ในระดับต่ํา เช่น การไปลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง มี
อัตราส่วนน้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของผู้มีสิทธ์ิออกเสียงผู้ท่ีไปออกเสียงก็มักจะถูกจ้างวาน ชักจูง หรือถูก
ระดมไป การเปล่ียนแปลงทางการเมืองของไทยจากอดีตเปน็ ตน้ มา สว่ นใหญป่ ระชาชนไม่ไดม้ สี ว่ นรว่ ม
ทั้งในด้านการสนับสนุนหรือการต่อต้านแสดงให้เห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่มีความนิ่งเฉยทางการเมือง
สว่ นมากอยใู่ นกลมุ่ ของผนู้ าํ ทางการเมืองไม่ก่ีกลุ่มก่ตี ระกลู แม้แต่การ
ปฏิวัติเม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๕ ตามเหตุการณ์ท่ีแสดงถึงความต่ืนตัวทางการเมืองและการเข้ามา
มีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนอย่างกว้างขวาง คือเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ มีประชาชน
นิสิต นกั ศึกษา นกั เรียน ร่วมกันเรียกรอ้ งรัฐธรรมนูญตอ่ ต้านการปกครองของ จอมพลถนอม กติ ตขิ จร
จอมพลประภาส จารุเสถยี ร และพนั เอกณรงค์ กิตตขิ จร ผนู้ ําของประเทศขณะนนั้
ดังน้ัน ปัญหาสําคัญของการมีส่วนร่วมของไทยอย่างหนึ่ง คือ ประชาชนยังมีความน่ิงเฉย
หรือไม่ต่ืนตัวทางการเมืองมากพอ ปัญหาวัฒนธรรมทางการเมือง และการศึกษาวัฒนธรรมทาง
การเมืองท่ีมีส่วนร่วมในการกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง คือ วัฒนธรรมทางการเมือง
แบบประชาธิปไตยหรือวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วมสําหรับเมืองไทยมีงานวิจัยหลายเร่ือง
สรุป และแสดงว่าวัฒนธรรมทางการเมืองของคนไทยไม่สนับสนุนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม
ทางการเมือง เพราะประชาชนโดยทั่วไปเช่ือว่าการเมือง หรือการบริหารประเทศเป็นเรือ่ งของคนกลุ่ม
น้อยบางกลุ่มเท่าน้ัน อีกประการหน่ึงคนไทยยังเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์อย่างชัดแจ้ง
๕๓
จนเกินไป การเมืองเป็นเรื่องของความ “สกปรก” ความรู้สึกเช่นนี้ทําให้ประชาชน ขาดความศรัทธา
หรือความกระตือรือร้นท่ีจะเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง แต่ถ้าเข้ามาก็มักจะมีวัตถุประสงค์อย่างอ่ืน
เช่น เพ่ือแลกเปลี่ยนกับเงินทอง หรือการช่วยเหลือในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องของสํานึกทาง
การเมืองลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองของคนไทยอีกประการหน่ึงที่ไม่สนับสนุนการมีส่วนร่วม
ทางการเมือง คือ การยอมรับในอํานาจนิยมของความเป็นข้าราชการ น้ันคือ ประชาชนโดยทั่วไปมอง
ว่าข้าราชการเป็นชนช้ันผู้นํา เม่ือข้าราชการแนะนํา หรือชักจูงไปในทางใดประชาชนจึงมักปฏิบัติตาม
โดยไม่โต้แย้ง ซ่ึงไม่สอดคล้องกับหลักการของประชาธิปไตย ในด้านการศึกษาการจัดการเรียนการ
สอนยังคงยึดนโยบายจากส่วนกลางยังไม่มีการกระจายอํานาจทางการศึกษา ลงไปสู่ภูมิภาค และ
ท้องถิ่นในการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนก็เช่นกัน ยังคงเป็นบทบาทของผู้บริหาร และครูเท่านั้น
นกั เรยี น และผู้ปกครองยังไมม่ สี ว่ นร่วมในการจัดการศกึ ษาใหเ้ ปน็ ไปตามความตอ้ งการของทอ้ งถิน่
๕. กระบวนการมีส่วนร่วม กระบวนการมสี ่วนร่วม หมายถงึ การมีส่วนรว่ มท่ีเป็นอิสระโดย
ความสมัครใจ ในการร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมลงมือการปฏิบัติ ร่วมประเมินผล และร่วมกับ
ประโยชน์การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนา มิได้หมายถึงการให้ประชาชนเข้าร่วมกิจกรรรม
การพัฒนาของรัฐตามท่ีรัฐกําหนดแต่ หมายถึง การให้ประชาชนกลุ่มชุมชนร่วมกันคิด และตัดสินใจ
กาํ หนดทิศทางการพัฒนาการดาํ รงชีวิตร่วมปฏิบัติตามแผนของกลุ่ม หรือของชุมชน และรับประโยชน์
รว่ มกันโดยรัฐเปน็ เพียงผสู้ นับสนุน การร่วมคิด และตัดสินใจภายในกลมุ่ เป็นเร่ืองยากที่จะทาํ ให้ทกุ คน
มีส่วนร่วมจริง ๆ และเป็นอิสระในการแสดงออกเพราะสมาชิกในกลุ่มมีศักยภาพฐานะอํานาจทาง
สงั คมแตกต่างกนั ปัจจัยวัฒนธรรมบางประการเป็นอุปสรรคต่อความเปน็ อสิ ระในการแสดงออกคนแต่
ละคนต่างมีมุมมองในการตัดสินคุณค่าเรื่องต่าง ๆ ไม่เหมือนกันประสบการณ์ต่างกัน เหล่านี้อาจ
นําไปสู่การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น การมีส่วนร่วมเป็นการเข้าไปเกี่ยวข้องทางความคิด
จิตใจ อารมณ์ และทางกาย การมีส่วนร่วมมีความหมายมากกว่าการเป็นส่วนหนึ่งการมีส่วนร่วมมี
ความหมายท้ังในด้านปริมาณ และคุณภาพ การมีส่วนร่วมครอบคลุมท้ังมิติด้านความสามารถเวลา
และโอกาสที่จะมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมเป็นการกระทําจึงมีทั้งผู้กระทํา ผู้ถูกกระทําหรือผู้รับ และ
สาธารณชนผเู้ ป็นบริบทของการกระทํา การมีส่วนร่วมตามความหมายข้างต้น จึงหมายถึงการที่บุคคล
กระทําการในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง หรือในประเด็นที่บุคคลน้ันสนใจไม่ว่าเขาจะได้ปฏิบัติการเพ่ือแสดงถึง
ความสนใจอย่างจริงจังหรือไม่ก็ตาม และไม่จําเป็นท่ีบุคคลน้ันจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมน้ัน
โดยตรงก็ได้ แต่การมีทัศนคติ ความคิดเห็น ความสนใจ ห่วงใยก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกว่าเป็นการมี
ส่วนร่วมได้ และยังได้ให้คําจํากัดความของการมีส่วนร่วมของประชาชนว่า “การมีส่วนร่วมของ
ประชาชน” หมายถึง การที่กลุ่มประชาชน หรือขบวนการที่สมาชิกของชุมชนท่ีกระทําการออกมาใน
ลักษณะของการทํางานรว่ มกันทจ่ี ะแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความตอ้ งการร่วมความสนใจรว่ ม มีความตอ้ งการท่ี
จะบรรลุถึงเป้าหมายร่วมทางเศรษฐกิจ และสังคม หรือการเมือง หรือการดําเนินการร่วมกันเพื่อให้
๕๔
เกิดอิทธิพลต่อรองอํานาจ มติชน ไม่ว่าจะเป็นทางตรง หรือทางอ้อม หรือการดําเนินการเพื่อให้เกิด
อิทธิพลตอ่ รองอาํ นาจทางการเมอื ง เศรษฐกจิ การปรับปรุงสถานภาพทางสงั คมในกลุ่มชมุ ชน๖๐
นอกจากน้ี ยังมีนักวิชาการอีกหลายท่านท่ีได้ให้นิยามคําว่า “การมีส่วนร่วมของ
ประชาชน” ไว้เช่น ปัทมา สูบกําปัง๖๑ ได้สรุปความหมายของการมีส่วนร่วมของประชาชนไว้ว่า
หมายถึง การเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิในกระบวนการนโยบายสาธารณะทั้งในด้านการให้ และ
รับรู้ข้อมูลข่าวสาร การให้ความคิดเห็น หรือข้อเสนอแนะ การร่วมตัดสินใจ ทั้งในขั้นตอนการริเร่ิม
นโยบาย การจัดทําแผนงาน โครงการหรอื กิจกรรมที่อาจมีผลกระทบต่อคณุ ภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม
การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม การจัดการส่ิงแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ รวมท้ังการ
ปฏบิ ตั ิ การตดิ ตาม และประเมินผลตามนโยบายแผนงานโครงการหรอื กิจกรรมน้ัน
เจมส์ แอล เครย์ตัน ได้กําหนดความหมายของการมีส่วนร่วมของประชาชนว่า เป็น
กระบวนการท่ีรวบรวมเอาความห่วงกังวล ความต้องการและค่านิยมต่าง ๆ ของสาธารณชนไว้อยู่ใน
กระบวนการตัดสินใจของรัฐและเอกชน เป็นการส่ือสารสองทาง และเป็นการมีปฏิสัมพันธ์ที่มี
เป้าหมายเพอ่ื การตัดสนิ ใจที่ดีกวา่ และท่ไี ดร้ ับการสนับสนนุ จากสาธารณชน๖๒
บวรศักด์ิ อวุ รรณโณ และถวิลวดี บรุ กี ุล กล่าวถึงการมสี ว่ นรว่ มในระบอบประชาธปิ ไตย
แบบมีส่วนร่วมว่า หมายถึง การท่ีอํานาจในการตัดสินใจไม่ควรเป็นของกลุ่มคนจํานวนน้อยแต่อํานาจ
ควรได้รับการจัดสรรในระหว่างประชาชนเพ่ือทุก ๆ คนได้มีโอกาสท่ีจะมีอิทธิพลต่อกิจกรรม
สว่ นรวม๖๓
Nie and Verba ได้จําแนกรูปแบบและกิจกรรมในการมีส่วนร่วมทางการเมืองใน
ลกั ษณะกวา้ งและชดั เจน ไว้ ๓ รปู แบบ คือ๖๔
๑. การลงคะแนนเสียง (Voting) ซึ่งเห็นว่ารูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองทําให้
ประชาชนมีอิทธิพลเหนือผู้นํา เพราะทําให้ผู้นําจําเป็นต้องปรับปรุงนโยบายเพื่อคะแนนเสียงของตน
๖๐ เกียรติขจร วัจนะสวัสด์ิ, กฎหมายอาญาภาคความผิด เล่ม ๑, พิมพ์คร้ังท่ี ๕, (กรุงเทพมหานคร:
จิรรัชการพมิ พ,์ ๒๕๕๐)
๖๑ ปัทมา สูบกําปัง, การศึกษาความเคล่ือนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกต้ัง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พุทธศักราช ๒๕๕๔, (กรุงเทพมหานคร: สํานักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า,
๒๕๕๘), หน้า ๑๑๕-๑๑๗.
๖๒ เจมส์ แอล. เครย์ตัน อ้างใน วันชัย วัฒนศัพท,์ ถวิลวดี บุรีกลุ และ เมธศิ า พงษ์ศักด์ิศร,ี แปล, การ
ตัดสินใจที่ดีกว่าโดยให้ชุมชนมีส่วนร่วม = The Public Participation Handbook Making Better
Decisions Through Citizen Involvement, (กรงุ เทพมหานคร: สถาบันพระปกเกลา้ , ๒๕๕๑).
๖๓ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ และถวิลวดี บุรีกุล, ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม, (กรุงเทพมหานคร:
สถาบนั พระปกเกลา้ , ๒๕๔๘), หน้า ๕๖.
๖๔ Nie, N.H. and Verba, S. “Political Participation”, In Grunstiien and Nelson, W.P.
(eds.). Handbook Political Science : Non Government Politic, (Massasuseette: Addisen Wesley,
1975): 9-12.
๕๕
แต่คะแนนดังกล่าวน้ีคือ ความเห็นเก่ียวกับความช่ืนชมของพลเมืองที่มีต่อผู้นําได้เพียงเล็กน้อยเท่าน้ัน
เพราะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงการลงคะแนนเสียงจากผู้สมัครคนหน่ึงไปยังอีกคนหนึ่งเท่าน้ัน มิได้
แสดงความช่ืนชอบเป็นพิเศษสําหรับขอบเขตของผลผลิตของการเลือกตั้งนั้นกว้างขวางมาก และมี
อิทธิพลเหนือพลเมืองทั้งหมด เพราะการร่วมช่ืนชอบของพลเมือง และแรงกดดันทําให้คะแนนเสียง
เปน็ เสมือนอาวุธท่ีมีอาํ นาจควบคมุ รัฐบาล
๒. กิจกรรมการรณรงค์หาเสียง (Campaign Activity) ซึ่งพบว่า การท่ีพลเมืองได้มีส่วน
ร่วมในการรณรงค์หาเสียงเลือกต้ังน้ัน ทําให้สามารถเพิ่มอิทธิพลเหนือผลการเลือกต้ังได้โดยการ
กําหนดคะแนนเสียงให้กับผู้สมัครคนใดคนหน่ึงไว้ก่อน และมีอิทธิพลต่อผู้นําไว้เช่นเดียวกับกิจกรรม
การลงคะแนนเสียง ผลผลิตของการรณรงค์หาเสียงนําไปสู่ความขัดแย้งได้ และกิจกรรมดังกล่าวเป็น
กิจกรรมท่ียาก และต้องการความคิดริเริ่มมากกว่าการลงคะแนนเสียง สําหรับขอบเขตของกิจกรรม
รณรงค์หาเสียงได้แก่ การชักชวนให้ผู้อ่ืนลงคะแนนเสียงการทํางานอย่างกระตือรือร้นเพื่อพรรค
การเมือง ตลอดจนการร่วมประชุมสัมมนาทางการเมือง การบริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมือง การ
เป็นสมาชกิ สโมสรทางการเมือง และการเข้าร่วมเปน็ สมาชกิ พรรคการเมอื ง
๓. การตดิ ต่อในฐานะของพลเมือง (Citizen–Initiated) การมสี ่วนร่วมทางการเมืองรูปแบบ
น้ีหมายถึง การติดต่อเผชิญหน้าของบุคคลที่มีต่อรัฐบาล หรือหน่วยงานของรัฐบาล ซ่ึงเป็นการกระทํา
ตามลําพังโดยตัดสินใจเก่ียวกับเวลาเป้าหมาย และเนื้อหาสาระของการเข้ามีส่วนร่วมเอง การเข้ามามี
ส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบน้ีสามารถคาดหวังในผลประโยชน์ได้มาก เน่ืองจากบุคคลสามารถ
ตดั สินใจเลือกเร่ืองท่ีจะติดต่อโดยคํานึงถึงความเป็นไปได้ภายใต้สภาพแวดล้อมน้ัน ๆ แต่ในด้านอิทธิพล
ท่ีมีต่อรัฐบาลมีเพียงเล็กน้อย เนื่องจากเป็นการกระทําของคนจํานวนน้อย กิจกรรมดังกล่าวมักไม่มี
ความขัดแย้งโดยตรงกับกลุ่มบุคคลอ่ืน ๆ และต้องการความคิดริเร่ิมค่อนข้างมากสําหรับขอบเขตของ
กิจกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบน้ี ได้แก่การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเกี่ยวกับปัญหา
เฉพาะ เช่น ปัญหาครอบครัวหรือปัญหาส่วนตัว การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ท้องถ่ินระดับพิเศษในเรื่อง
ปญั หาสังคม เชน่ ปญั หาอาชญากรรม หรอื การบรหิ ารงานของรัฐบาลท้องถ่นิ เปน็ ต้น
สรุปได้ว่า การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง คือ กิจกรรมต่าง ๆ ตามความสมัครใจ
ของสมาชิกในสังคมการเมืองที่จะเลือกกระทํา ซึ่งมีจุดมุ่งหมายท้ังทางตรง และทางอ้อมท่ีต้องการมี
อิทธิพลต่อการกําหนดนโยบายการดําเนินงานของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่น หรือในระดับชาติ
ก็ตามซึ่งการกระทํานั้นอาจผิดกฎหมายหรือถูกกฎหมาย อาจใช้ความรุนแรง หรือไม่ใช้ความรุนแรง
สาํ เร็จผลหรือไม่ หรอื กระทําโดยความสํานึก หรือชักจูงระดมพลงั ก็ได้
๒.๓.๕ การมสี ว่ นรว่ มในการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมอื ง
มนุษย์เมื่อเกิดมาบนโลกก็มีสิทธิธรรมชาติตามมาแล้ว สิทธิธรรมชาติหมายถึงสิ่งท่ีมีอยู่ใน
ธรรมชาติเป็นความชอบธรรมของมนุษย์ท่ีพึงมีพึงได้ มนุษย์ทั้งหลายเกิดมาเท่าเทียมกันมีสิทธิบาง
ประการติดตัวมาต้ังแต่เกิดจนกระทั่งตาย สิทธินี้ได้แก่ สิทธิในชีวิตเสรีภาพในร่างกายและความเสมอ
ภาคเป็นส่ิงท่ีไม่สามารถโอนให้แก่กันได้ และผู้ใดล่วงละเมิดมิได้ หากมีการละเมิดก็อาจจะก่อให้เกิด
อันตรายหรือกระทบกระเทือนเสอ่ื มเสยี ต่อสภาพของความเปน็ มนษุ ยไ์ ด้ สิทธิธรรมชาติแยกออกได้คอื
๕๖
๑. หลักของเหตุผลถือว่า สิทธิธรรมชาติของมนุษย์เป็นหลักของความจริงความถูกต้องท่ี
อาจโต้แย้งเปล่ียนแปลงหรือแก้ไขได้
๒. หลักความชอบธรรมในการรักษาไว้ซ่ึงสิทธิธรรมชาติของมนุษย์ เวลาใดก็ตาม
ผู้ปกครองใช้อํานาจโดยฉ้อฉล ย่อมมีสิทธิโดยชอบธรรมท่ีจะเปลี่ยนแปลงหรือล้มเลิกรัฐบาลได้และ
สถาปนารัฐบาลขึ้นใหม่ เพ่อื ให้เปน็ ไปตามหลักการและอาํ นาจสร้างสรรค์ความปลอดภัยความผาสุกให้
เกดิ ข้นึ ได้
๓. หลักปัจเจกชนนิยม สิทธิธรรมชาติได้เกิดขึ้นพร้อมกับการมีสภาพบุคคลเป็นสิทธิ
ประจําตัวของบุคคลไมส่ ามารถโอนยกเลิกเพิกถอนระหวา่ งกนั ได้
ในระบอบประชาธิปไตยถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลท่ีต้องส่งเสริมให้ประชาชนมีความกล้า
หาญในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมา และด้วยเหตุด้วยผล การ
วิพากษ์วิจารณ์โดยประชาชนจะเป็นเสมือนกลไกที่คอยควบคุม กํากับ และตรวจสอบการทํางานของ
รัฐบาล เป็นกลไกที่จะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารของระบบราชการให้ตอบสนองความ
ต้องการของประชาชนอย่างเสมอภาคในปัจจุบันการวิพากษ์วิจารณ์โดยใช้ส่ือต่าง ๆ อาทิ วิทยุ
โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์นับว่ามีบทบาทสําคัญในการควบคุม กํากับ และตรวจสอบการกระทําของ
รัฐบาล นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนสนใจกิจกรรมของรัฐบาลมากข้ึน ทั้งน้ีเพราะการ
วิพากษ์วิจารณ์การกระทําของรัฐบาลจะก่อให้เกิดประเด็นของการพูดคุยจะพัฒนาไปสู่ความรู้ความ
เข้าใจ และผลต่อการตัดสินใจของตนว่าจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยต่อการกระทําของรัฐบาล ถ้าไม่
เห็นด้วยอาจพัฒนาไปส่กู ารมสี ว่ นร่วมทมี่ ีระดบั สงู เชน่ การเข้ารว่ มรณรงคท์ างการเมือง เป็นต้น
การส่วนร่วมในการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตยประชาชนมีสิทธิ
และเสรีภาพท่ีจะชุมนุม และเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ท้ังในทางสนับสนุน และคัดค้านการกระทํา
ของรัฐบาล การชุมนุมเคล่ือนไหวทางการเมือง ถือว่าเป็นการแสดงออกซง่ึ การมีส่วนรว่ มทางการเมือง
ที่สําคัญในระบอบประชาธิปไตยทั้งน้ีเพื่อแสดงให้รัฐบาลรู้ว่าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับ
นโยบาย และการกระทําของรัฐบาล และเพื่อแสดงการเรียกร้องให้รัฐบาลสนองตอบความต้องการ
ของประชาชนอย่างรวดเร็ว โดยปกติการชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองจะเกิดข้ึนเพ่ือการต่อรองกับ
รัฐบาลด้วยการเจรจาไม่ประสบผลสําเร็จ กลุ่มผู้เรียกร้องจึงจัดให้มีการชุมนุมเคลื่อนไหวเพื่อเพ่ิมพลัง
การต่อรองให้สูงข้ึน ถ้าการชุมนุมเคล่ือนไหวได้รับการสนับสนุนจากสื่อมวลชนเสนอข่าวสารที่เป็น
ประโยชน์ต่อผู้ชุมนุมจะมีผลให้ประชาชนให้ความสนใจ และอาจเข้ามีส่วนร่วมในการชุมนุมมากขึ้น
และในท่ีสุดจะเป็นการบบี บังคับให้รฐั บาลจะตอ้ งทําตามขอ้ เรยี กร้องของผ้ชู มุ นมุ
การชุมนุมเคล่ือนไหวเพื่อสนับสนุนรัฐบาลส่วนใหญ่จะเป็นไปโดยสงบ และระเบียบ
เรียบร้อยมีลักษณะเป็นการชุมนุม เพ่ือให้กําลังใจอาจจะมีป้ายคําขวัญที่กล่าวยกย่องช่ืนชม
ประกอบการชุมนุมด้วยการชุมนุมลักษณะน้ีจะไม่มีการยืดเยื้อส่วนใหญ่จะเริ่มต้น และส้ินสุดตาม
กําหนดการท่ีกําหนดไว้ล่วงหน้า แต่การชุมนุมเคลื่อนไหวเพ่ือคัดค้านรัฐบาลจะมีลักษณะตรงกันข้าม
โดยส้ินเชิง กล่าวคือ การชุมนุมประเภทน้ีโดยส่วนใหญ่จะเร่ิมต้นจากความไม่พอใจต่อนโยบาย หรือ
การกระทําของรัฐบาลอาจเปน็ ประเดน็ ทเี่ ก่ียวกับประโยชน์ของกลุ่ม หรือประโยชน์ของสังคมก็ได้ การ
ชุมนุมจะเพิ่ม ความรุนแรงยิ่งขึ้นหากข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล การ
๕๗
ชุมนุมอาจตั้งมั่นอยู่กับที่ หรือการเคลื่อนไหวเพ่ือเพ่ิมความกดดันต่อรัฐบาลก็ได้ ถ้าประเด็นที่
เคล่ือนไหวเป็นเร่ืองประโยชน์ของสังคม และประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยประชาชนอาจเข้าร่วมมาก
ขนึ้ จนในที่สุดหากรัฐบาลไม่ยอมตกลงตามขอ้ เสนออาจเกิดการประจันหน้า และนําไปสู่การปะทะกัน
กลายเป็นการเจรจาไดใ้ นทีส่ ุด
การชุมนุมเคล่ือนไหวทางการเมืองแม้จะมีสิทธิเสรีในระบอบประชาธิปไตย แต่จะต้อง
กระทําภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายที่เป็นประชาธิปไตย กล่าวคือ การชุมนุมเคล่ือนไหวทางการเมือง
จะต้องไม่ละเมิดกฎหมาย ท่ีเป็นประชาธิปไตยจะต้องไม่ละเมิดเสรีภาพของผู้อ่ืน และไม่ก่อให้เกิด
ความเสียหายต่อผู้อ่ืน การท่ีจะชุมนุมจะต้องระบุว่าการชุมนุมเคลื่อนไหวสามารถกระทําภายใต้กรอบ
ของกฎหมายท่ีเป็นประชาธิปไตยก็เพื่อยืนยันว่าภายใต้ระบอบประชาธิปไตยประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ
ท่ีชุมนุมทางการเมือง แต่ในระบอบเผด็จการประชาชนจะไม่มีสิทธิและเสรีภาพในการชุมนุม
เคลื่อนไหว ดังน้ัน จึงถือว่าถ้ากฎหมายไม่เป็นประชาธิปไตยประชาชนย่อมมีสิทธิละเมิดได้เพราะการ
ชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมืองภายใต้ระบอบเผด็จการ ย่อมมีความหมายในการโค่นล้ม และยกเลิก
กฎหมายทีไ่ มเ่ ป็นประชาธปิ ไตยด้วย
สรุปได้ว่า การส่วนร่วมในการชุมนุมเคล่ือนไหวทางการเมือง คือ การแสดงออกซึ่งการมี
ส่วนร่วมทางการเมืองเพื่อแสดงให้รัฐบาลรู้ว่าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับนโยบาย และการ
กระทําของรัฐบาล และเพ่ือแสดงการเรียกร้องให้รัฐบาลสนองตอบความต้องการของประชาชนอย่าง
รวดเร็ว
๒.๔ สภาพพืน้ ทกี่ ารวจิ ยั
๑. สภาพท่วั ไปและข้อมลู พื้นฐานท่สี ําคญั ขององคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาํ บลโคกสี
บรรพบุรุษของคนในตําบลโคกสี (บ้านโคกสี) พ้ืนเพเดิมน้ันมีเช้ือสายมาจากเมืองนคร
จําปาสี (พระธาตนุ าดูนในปจั จบุ ัน) นครจําปาสีถกู ภยั สงครามจนเป็นเหตใุ หเ้ จ้าเมืองนครจําปาสี และ
ภรรยาถึงแก่ความตาย คนที่อยู่ในนครก็หนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง โดยแตกออกเป็น ๓ กลุ่ม
ใหญ่ แต่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน เม่ือ ๓ กลุ่มน้ันเดินทางหนีภัยสงครามมาถึงบ้านโนนเมือง (ในพื้นที่
อาํ เภอโกสุมพิสัยในปัจจุบัน) จึงได้แยกเดินทางออกเป็น ๓ สาย กลุ่มท่ี ๑ เดินทางไปทางเมืองฟ้าแดด
สูงยาง (จังหวัดกาฬสินธุ์ในปัจจุบัน) กลุ่มที่ ๒ เดินทางไปทางด้านทิศเหนือข้ามแม่นํ้าโขงมุ่งสู่นคร
เวียงจันทน์หรือหลวงพระบาง ส่วนกลุ่มที่ ๓ เดินทางมาตามลําน้ําพอง พอมาถึงบริเวณทิศตะวันตก
ของที่ต้งั วัดศิรธิ รรมกิ าวาส บ้านโคกสีในปัจจบุ ันได้พากนั พักอาศัยอยู่ชัว่ คราว ทําให้เกิดความคิดข้นึ ว่า
ตรงบริเวณน้ีอุดมสมบูรณ์ พอท่ีจะตั้งหมู่บ้านเป็นหลักแหล่งได้ จึงได้ต้ังหมู่บ้านพากันพํานักอาศัยอยู่
แต่อีกส่วนหน่ึง ได้เดินทางต่อไปทางเมืองหนองคาย เม่ือไปถึงได้เล่าถึงความเดือดร้อนให้เจ้าเมือง
หนองคายทราบ เจา้ เมืองจงึ ได้จัดสถานท่ีใหอ้ ยตู่ ามแนวลาํ นํ้าโขง โดยในกล่มุ นมี้ ลี ูกชายคนเล็กของเจ้า
เมืองนครจําปาสีมีนามวา่ “เจา้ วชั ระกุมาร” ทีร่ อดพ้นชีวติ จากภัยสงครามร่วมเดินทางมาดว้ ย
ส่วนกลุ่มคนที่ตั้งหมู่บ้านอยู่บริเวณท่ีเป็นท่ีต้ังบ้านโคกสีปัจจุบัน ก็เร่ิมต้ังตัวเป็นปึกแผ่น
ตามลําดับ ต่อมาได้มีพระสงฆ์ ๒ รูป คือ พระอาจารย์จันดี กับ พระอาจารย์โสดา เดินทางมาจาก
๕๘
เมืองสาเกตุ (จังหวัดร้อยเอ็ด) ได้มาร่วมต้ังหมู่บ้านพร้อมกับตั้งวัดข้ึนประจําหมู่บ้านและได้ต้ังชื่อ
หมู่บ้านและวัดขึ้นว่า “บ้านโคกก่อง” และ “วัดบ้านโคกก่อง” ท้ังสองพระอาจารย์และชาวบ้านญาติ
โยมก็อยู่กันมาโดยปกติสุขตามลําดับ แต่ต่อมาได้เกิดโรคระบาดข้ึน เป็นเหตุให้ผู้คนล้มตาย พระ
อาจารย์ทั้งสองกับชาวบ้าน จึงร่วมใจกันทําพิธีแก้เคล็ดย้ายบ้านและวัดข้ามฟากถนนมาทางด้านทิศ
ตะวันออก เมื่อประมาณปีพ.ศ.๒๓๙๓ และเพ่ือให้เกิดความเป็นสิริมงคลจึงได้ต้ังช่ือบ้านขึ้นใหม่ว่า
“บา้ นโคกส”ี และ“วัดบา้ นโคกสี”
ในเวลาต่อมาบ้านโคกสี ได้ยกฐานะขึ้นเป็นตําบลโคกสี โดยแรกเริ่มน้ันมีทั้งหมด ๑๑
หมู่บ้าน หลังจากน้ันในปี พ.ศ.๒๕๒๘ ตําบลโคกสีได้แยกหมู่บ้านออกเพ่ือต้ังเป็นตําบลอีกตําบลหนึ่ง
คือตําบลหนองตูม และมีการแบ่งแยกหมู่บ้านใหม่ท่ีเหลืออยู่ จนในปัจจุบันน้ีมีท้ังหมด ๑๔ หมู่บ้าน
และไดย้ กฐานะจากสภาตาํ บลโคกสี เปน็ องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาํ บลโคกสี เมอื่ ปี พ.ศ.๒๕๓๙
๒. ด้านการเมือง/การปกครอง
๒.๑ เขตการปกครอง
ตารางที่ ๒.๕ แสดงการปกครองจําแนกตามหมูบ่ า้ น๖๕
หมทู่ ่ี ชอื่ หมู่บา้ น ชอ่ื ผนู้ าํ หมู่บา้ น ตําแหนง่
๑ บา้ นโคกสี นายธนพงษ์ กองไตร ผูใ้ หญ่บา้ น
๒ บ้านโคกสี นายสธุ ี พลสนั ต์ ผใู้ หญบ่ า้ น
๓ บ้านยางหยอ่ ง นายวิชาญ สมอมุ่ จารย์ ผู้ใหญบ่ า้ น
๔ บา้ นพรหมนมิ ติ นางรุ่งทวิ า แกว้ พรรณนา ผู้ใหญบ่ ้าน
๕ บ้านหนองเต่า นายเสรี สะตะ ผูใ้ หญบ่ ้าน
๖ บา้ นหนองหัววัว นายสรุ พงษ์ เตินเตียน ผใู้ หญบ่ ้าน
๗ บ้านหนองไหล นายเวชจินฎา แสนศาลา ผู้ใหญ่บ้าน
๘ บ้านเลงิ นายประสาท กางจันทา ผ้ใู หญ่บา้ น
๙ บ้านหนองบัวทอง นายบุดดา ลากุล ผ้ใู หญบ่ ้าน
๑๐ บา้ นบึงเรือใหญ่ นายทองหลาง ยางสวาย ผใู้ หญ่บ้าน
๑๑ บา้ นท่าพระทราย นายสงกรานต์ สงั ยวน กาํ นัน
๑๒ บ้านโคกแปะ นายอดุ ม โมล้ ี ผู้ใหญบ่ ้าน
๑๓ บา้ นโคกสี นายกณั หา หล้าสดุ ผู้ใหญ่บ้าน
๑๔ บา้ นโคกสี นายบุญถม มาตรสมบัติ ผู้ใหญ่บ้าน
๖๕ สํานักบริหารทะเบียน อําเภอเมืองขอนแก่น, ข้อมูลการปกครองจําแนกตามหมู่บ้าน, (พฤษภาคม
๒๕๖๓).
๕๙
๒.๒ การเลอื กต้ัง
ตารางที่ ๒.๖ แสดงจาํ นวนผมู้ สี ิทธเ์ิ ลอื กตงั้ จําแนกตามหมู่บ้าน๖๖
หมูท่ ี่ ชอื่ หมบู่ ้าน จาํ นวนผ้มู สี ทิ ธเิ ลือกตั้ง (พ.ศ.๒๕๖๒)
๑ บ้านโคกสี ๕๕๓
๒ บา้ นโคกสี ๕๐๙
๓ บ้านยางหยอ่ ง ๒๔๐
๔ บา้ นพรหมนิมติ ๖๓๙
๕ บ้านหนองเต่า ๒๔๖
๖ บา้ นหนองหวั วัว ๔๓๓
๗ บ้านหนองไหล ๘๖๘
๘ บ้านเลิง ๘๒๐
๙ บา้ นหนองบัวทอง ๓๖๖
๑๐ บ้านบึงเรอื ใหญ่ ๒๖๙
๑๑ บ้านทา่ พระทราย ๒๓๘
๑๒ บ้านโคกแปะ ๘๘๖
๑๓ บา้ นโคกสี ๖๖๒
๑๔ บ้านโคกสี ๓๓๙
๗,๐๖๘
รวม
๓. ประชากร
ตารางท่ี ๒.๗ แสดงจํานวนประชากรจาํ แนกตามรายหมู่บา้ น๖๗
หมู่ที่ ชอ่ื หมู่บา้ น จาํ นวนครวั เรือน จาํ นวนครวั เรอื น จํานวนประชากร (พ.ศ.๒๕๖๒)
ทง้ั หมด เกษตรกร ชาย หญงิ รวม
๑ บ้านโคกสี ๓๔๒ ๓๔๒ ๖๘๔
๒ บา้ นโคกสี ๓๔๐ ๖๙ ๓๑๑ ๓๐๙ ๖๒๐
๓ บา้ นยางหยอ่ ง ๒๕๓ ๙๙ ๑๕๘ ๑๕๓ ๓๑๑
๔ บ้านพรหมนิมติ ๙๖ ๕๒ ๔๓๘ ๔๙๙ ๙๓๗
๕ บ้านหนองเตา่ ๕๓๖ ๓๘ ๑๕๘ ๑๗๒ ๓๓๐
๙๓ ๕๘
๖๖ สํานักบริหารทะเบียน อําเภอเมืองขอนแก่น, ข้อมูลจํานวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง จําแนกตามหมู่บ้าน,
(พฤษภาคม ๒๕๖๓).
๖๗ สํานักบริหารทะเบียน อําเภอเมืองขอนแก่น, จํานวนประชากรจําแนกตามรายหมู่บ้าน,
(พฤษภาคม ๒๕๖๓).
๖๐
๖ บ้านหนองหัววัว ๑๔๐ ๑๐๙ ๒๔๑ ๒๘๙ ๕๓๐
๗ บา้ นหนองไหล ๒๗๗ ๑๖๗ ๕๘๙ ๕๒๓ ๑,๑๑๒
๘ บ้านเลงิ ๒๗๗ ๑๗๙ ๔๙๘ ๕๒๕ ๑,๐๒๓
๙ บา้ นหนองบัวทอง ๓๐๘ ๘๐ ๒๔๘ ๒๔๖ ๔๙๔
๑๐ บ้านบงึ เรือใหญ่ ๑๒๗ ๖๐ ๑๗๗ ๑๗๔ ๓๕๑
๑๑ บา้ นท่าพระทราย ๙๐ ๔๖ ๑๔๖ ๑๖๑ ๓๐๗
๑๒ บา้ นโคกแปะ ๗๒ ๑๗๓ ๕๓๖ ๕๖๗ ๑,๑๐๓
๑๓ บ้านโคกสี ๒๙๘ ๑๓๒ ๓๙๓ ๔๑๒ ๘๐๕
๑๔ บา้ นโคกสี ๒๕๔ ๖๗ ๒๑๐ ๒๑๔ ๔๒๔
๓,๐๕๕ ๑,๓๒๙ ๔,๔๔๕ ๔,๕๘๖ ๙,๐๓๑
รวม
๒.๕ งานวิจยั ทีเ่ ก่ียวข้อง
๒.๕.๑ งานวจิ ัยที่เกย่ี วข้องกบั พฤติกรรมทางการเมอื ง
พลพันธ์ แช่มช้อย ได้ศึกษาเร่ือง พฤติกรรมทางการเมืองของนายกเทศมนตรีเมืองแกน
พัฒนา อําเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ พบว่า พฤติกรรมและปัจจัยท่ีมีผลต่อการได้รับเลือกตั้งเข้า
ดาํ รงตําแหนง่ ทางการเมืองของนายจรสั ไชยยา ประกอบด้วย ๑) ความมุ่งมั่นและความต้ังใจทํา งาน
เพ่ือพ่ีน้องประชาชนในเขตเทศบาลเมืองเมืองแก่นพัฒนา ๒) ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีความเป็นกันเองกับ
ชาวบ้าน ๓) สร้างความเจริญให้ชุมชน แต่ก็ยังรักษาและฟ้ืนฟูซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม
อันดีงามเอาไว้ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ ๔) นโยบาย การบริหารงานท่ีตอบสนองต่อความต้องการของ
ประชาชนในพื้นที่เทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา ๕) ทีมงานในเทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนาท่ีมีมี
คุณภาพ มีความรู้ความสามารถ จึงช่วยส่งเสริมการ บริหารงานของนายจรัส ไชยยา ๖) ความ
ได้เปรียบทางการเมืองจากการสั่งสมประสบการณ์การทํางาน ด้านการบริหารในเทศบาลเมืองเมือง
แกนพัฒนามาหลายสมัย ทําให้ทราบถึงความต้องการของคนใน พื้นท่ี และบริบทต่าง ๆ ในพื้นท่ี
ข้อเสนอแนะในการวิจัย ได้แก่ ๑) ควรมีการถอดบทเรียน ประสบการณ์การทํางานของนายจรัส ไชย
ยา เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง สามารถต่อยอด
แนวความคิดในการปฏิบัติงานแก่ผู้ปฏิบัติงานในเทศบาลเมืองเมืองแกนพัฒนา และเป็นแนวทางใน
การปรับใช้แก่ท้องถ่ินอ่ืน ๆ ตามบริบทในพ้ืนท่ีนั้น ๆ ๒) การศึกษาคร้ังต่อไปอาจศึกษาเปรียบเทียบ
พฤติกรรมทางการเมืองระหว่างนายกองค์กรปกครองท้องถ่ินท่านอ่ืน ๆ เพ่ือเกิดการสร้างเป็นตัวแบบ
ในการสร้างแรงจูงใจในการเข้าสู่ตําแหน่งทางการเมือง การใช้อํานาจทางการเมือง การรักษาอํานาจ
ทางการเมือง และการเป็นผู้นําทางการเมืองท่ีดีได้ ๓) ในการศึกษาคร้ังต่อไป ควรมีการสังเกตแบบมี
๖๑
ส่วนร่วม(Participatory Observation) ร่วมด้วย เพ่ือเข้าใจถึงบริบทพ้ืนที่ และบริบททางสังคม
ต่าง ๆ๖๘
สนุก สิงห์มาตร ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง พฤติกรรมทางการเมืองตามวิถีประชาธิปไตยของ
พลเมือง ในจังหวัดร้อยเอ็ด ผลการวิจัยพบว่า ๑) ระดับพฤติกรรมทางการเมืองตามวิถีประชาธิปไตย
ของ พลเมืองในจังหวัดร้อยเอ็ด โดยรวมอยู่ในระดบั ปานกลาง ๒) ผลการศึกษาวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผล
ต่อ พฤติกรรมทางการเมือง ตามวิถีประชาธิปไตยของพลเมืองในจังหวัด ร้อยเอ็ด พบว่าตัวแปรอิสระ
ท้ัง ๗ ตัว ได้แก่อุดมการณ์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตย วัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตย
การ กล่อมเกลาทางการเมือง การส่งเสริมจากภาครฐั การส่งเสริมจากภาคประชาสังคม ความศรัทธา
ต่อ นกั การเมอื ง ความศรัทธาต่อพรรคการเมือง มคี วามสัมพันธ์เชิงเส้นกับตัวแปรตาม (พฤตกิ รรมทาง
การเมืองตามวิถีประชาธิปไตยของพลเมืองในจังหวัดร้อยเอ็ด) และ ๓) ผลการตรวจสอบรูปแบบ
โครงสร้างเชิงสาเหตุพฤติกรรมทางการเมือง ตามวิถีประชาธิปไตยของพลเมือง ในจังหวัดร้อยเอ็ด
พบว่าคา่ ที่ได้จากการวิเคราะหน์ น้ั อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการแสดงถงึ มีความกลมกลืนของสมการโครงสร้าง
ความสัมพันธ์พฤติกรรมทางการเมืองตามวิถีประชาธิปไตยของพลเมืองจังหวัดร้อยเอ็ดกับข้อมูลเชิง
ประจกั ษม์ ีความสอดคล้องกลมกลนื กัน๖๙
ศุภักษร ตระกูลศิริ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนในเขต
องค์การ บริหารส่วนตําบลบ้านชบ อําเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์” พบว่า ด้านพฤติกรรมก่อนการ
ออกไปใช้สิทธิ์ เลือกต้ัง อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้านอื่น ๆ อยู่ในระดับมาก โดยเรียงด้านที่มี
ค่าเฉลี่ยสูงไปหาต่ําได้ ดังนี้ ด้านการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง ด้านมูลเหตุจูงใจในการเลือกต้ัง
และด้านพฤติกรรม ก่อนการออกไปใช้สิทธิ์เลือกต้ังตามลาํ ดับ ๒. ความคิดเหน็ และขอ้ เสนอแนะอ่ืน ๆ
ที่มีจํานวนมากท่ีสุด คือ ควรให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากกว่านี้ เช่น ร่วมเป็นกรรมการ
เลือกตั้ง ร่วมตรวจสอบ การทุจริตการเลือกต้ัง รองลงมาคือ นักการเมืองควรคํานึงถึงประโยชน์
ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วน ตน การเมืองควรปรองดองกันไม่ควรแบ่งพรรคแบ่งพวก และการ
เลือกต้ังควรกระทาํ โดยเสรีอยา่ ง แท้จริง ตามลาํ ดับ๗๐
สุรพล พรมกุล ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง พฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
๒๕๕๗ : ศึกษากรณีจังหวัดขอนแก่น ผลการวิจัยพบว่า ๑.ปัจจัยทางสังคม พบว่า บุคคลที่มีส่วน
๖๘ พลพันธ์ แช่มช้อย, “พฤติกรรมทางการเมืองของนายกเทศมนตรีเมืองเมืองแกนพัฒนา อําเภอแม่
แตง จังหวัดเชียงใหม่ กรณีศึกษานายจรัส ไชยยา”, งานนิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองการและ
การปกครอง (บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวทิ ยาเชียงใหม,่ ๒๕๕๙).
๖๙ สนุก สิงห์มาตร, “พฤติกรรมทางการเมืองตามวิถีประชาธิปไตยของพลเมืองในจังหวัดร้อยเอ็ด”,
ดุษฎีนิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบันฑิต, (คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์: มหาวิทยาลัยราชภัฏ
มหาสารคาม, ๒๕๕๖).
๗๐ ศุภักษร ตระกูลศิริ, “พฤติกรรมการเลือกต้ังของประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตําบลบ้านชบ
อําเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์”, วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยราช
ภฏั บรุ รี มั ย์, ๒๕๕๓).
๖๒
สําคัญท่ีสุดท่ีทําให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง คือ สามี/ภรรยา ส่ือประชาสัมพันธ์ที่มีส่วนสําคัญที่สุดท่ีทําให้ไป
ใช้สทิ ธเิ ลอื กตั้งคือ โทรทัศน์ เคเบ้ลิ ทีวที ้องถน่ิ ๒.ปัจจัยทางการเมือง พบวา่ โดยภาพรวม มีค่าเฉลีย่ อยู่
ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านท่ีมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านคุณสมบัติพรรค
การเมือง รองลงมาคือ ด้านคุณลักษณะของหัวคะแนน และด้านคุณสมบัติผู้สมัคร ตามลําดับ ๓.
พฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พบว่า แบบแผนการตัดสินใจน้ัน ประชาชนเลือก
พรรคและบุคคลเป็นจํานวนมากท่ีสุด ในขณะท่ีเหตุผลในการเลือกตัวบุคคลประชาชนเลือกผู้สมัครที่
เข้าใจปัญหาคนในพ้ืนท่ีเป็นจํานวนมากที่สุด และเหตุผลในการเลือกพรรค ประชาชนเลือกพรรค
เพราะชอบหัวหน้าพรรคเป็นจํานวนมากที่สุด ๔.ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยทาง
สังคมและปัจจัยทางการเมืองกับพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๒๕๕๗ ในจังหวัด
ขอนแก่น พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล คือ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ ปัจจัยทางสังคม คือ
บุคคลท่ีมีส่วนสําคัญที่สุดท่ีทําให้ไปใช้สิทธิเลือกต้ัง สื่อประชาสัมพันธ์ท่ีสําคัญที่สุดท่ีทําให้ไปใช้สิทธิ
เลือกต้ัง และปัจจัยทางการเมือง คือ ด้านคุณสมบัติผู้สมัคร ด้านคุณสมบัติพรรคการเมือง ด้าน
คุณลักษณะของหวั คะแนน มีความสัมพันธ์กบั พฤตกิ รรมการเลอื กตงั้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๒๕๕๗
ในจงั หวัดขอนแกน่ อยา่ งมีนัยสําคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .๐๕ ซง่ึ เป็นไปตามสมมติฐานท่ตี ้งั ไว้๗๑
๒.๕.๒ งานวิจัยทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั การมีสว่ นรว่ มทางการเมือง
บุศรา โพธิสุข ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถ่ินของประชาชน :
ศึกษาเฉพาะกรณี ตําบลช้างเผือก อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ผลการวิจัยพบว่า การมีส่วนร่วม
ทางการเมืองของประชาชนโดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลางค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๒.๘๖ ซ่ึงสามารถเรียง
ตามลําดับจากมากไปน้อยได้ดังนี้ ด้านหลักอปริหานิยธรรมส่งเสริมการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับปาน
กลางค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๓.๒๗ ด้านการร่วมรณรงค์การเมืองท้องถิ่นอยูใ่ นระดบั ปานกลางคา่ เฉลย่ี เท่ากับ
๒.๘๖ ด้านการตัดสินใจทางการเมืองอยู่ในระดับปานกลางค่าเฉล่ียเท่ากับ ๒.๗ และด้านการ
ดําเนินการเลือกต้ังอยู่ในระดับปานกลางค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๒.๕๙ ตามลําดับผลการศึกษาการ
เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถ่ินของประชาชนจําแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลพบว่าอายุ
และการศึกษาประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถ่ินแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ
๐.๐๕ สว่ นเพศและสถานภาพประชาชนมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งทอ้ งถ่ินไม่แตกต่างกนั เมื่อจาํ แนกตาม
ปัจจยั ทางสังคมและเศรษฐกจิ พบว่าอาชีพรายไดต้ ่อเดือนและตําแหน่งหน้าท่ีในชุมชนประชาชนมีส่วน
ร่วมทางการเมืองท้องถิ่นแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ ๐.๐๕ ปัญหาพบว่าประชาชน
ยังมีการปลูกฝังในระบบอุปถัมภ์อยู่มีการแบ่งกลุ่มไม่ค่อยมีส่วนร่วมทางการเมืองส่วนใหญ่จะมีส่วน
ร่วมเฉพาะช่วงเลือกตั้งและการประชาสัมพันธ์เลือกตั้งยังไม่ครอบคลุมพื้นที่แนวทางแก้ไขปัญหาควร
ปลูกฝังให้ประชาชนมีความคิดท่ีเป็นประชาธิปไตยให้ตระหนักในการใช้สิทธิเลือกตั้งเพ่ือสังคมและ
๗๑ สุรพล พรมกุล, “พฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๒๕๕๗ : ศึกษากรณีจังหวัด
ขอนแก่น”, รายงานการวิจัย, (มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๗), บทคัดยอ่ .
๖๓
ประโยชน์ของส่วนร่วมควรมีการรณรงค์ให้ความเข้าใจต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองมากย่ิงข้ึนและ
ควรประชาสมั พันธ์การเลือกตั้งให้ครอบคลมุ พน้ื ท่ี๗๒
เสาวลักษณ์ ปิติ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นของประชาชน :
ศึกษาเฉพาะกรณี ตําบลช้างเผือก อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ผลการวิจัยพบว่า โครงสร้างการ
บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์กาบริหารส่วน
ตําบล ให้ความสําคัญกับตัวแทนท่ีมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น จึงทําให้ชุมชนซึ่งมีบทบาทในการพัฒนา
อยู่ในพ้ืนท่ีไม่อาจมีส่วนร่วมในการบริหารกิจการขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในทําโครงสร้างได้
ส่งผลให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมิได้สะท้อนตัวแทนของภาคส่วนต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ในพ้ืนที่อย่าง
ครบถ้วน และนําไปสู่การบริหารกิจการขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินไม่สามารถตอบสนองความ
ต้องการของประชาชนในพ้ืนท่ีได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังพบวา่ กฎหมายได้กําหนดวิธีการมีสว่ นร่วม
ในการบริหารกิจการขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในลักษณะ การใช้สิทธิของปัจเจกบุคคล แต่เมื่อ
พิจารณาข้อเท็จจริงในพ้ืนท่ีกลับพบว่าเป็นลักษณะการมีส่วนร่วม ในการบริหารกิจการขององค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่นผ่านการใช้สิทธิชุมชนเป็นสําคัญ อย่างไรก็ตาม เม่ือพิจารณาพระราชบัญญัติสภา
องค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งมีเจตนารมณ์ให้สภาองค์กรชุมชน ช่วยหนุนเสริมการพัฒนาท้องถ่ิน
พบว่าภารกจิ ของสภาองค์กรชุมชนกลบั ไม่มสี ภาพบงั คบั ใหอ้ งคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ินนําไปปฏบิ ตั ๗ิ ๓
สุกฤตา จอนดาพรม และโชติมา แก้วกรอง ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การมีส่วนร่วมทางการ
เมอื งของสตรีไทยในพ้ืนทอี่ งค์ปกครองส่วนทอ้ งถิน่ ของภูมิภาคตะวันตก ผลการวจิ ยั พบวา่ ๑) สตรไี ทย
ในพ้ืนท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของภูมิภาคตะวันตกมีส่วนร่วมทางการเมืองอยู่ในระดับปานกลาง
๒) ปัจจัยระดับการศึกษา ต่างกัน ส่งผลต่อการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองแตกต่างกัน ปัจจัยอาชีพ
และปัจจัยพ้ืนฐานภูมิทางการเมืองต่างกันส่งผลต่อการเข้าร่วมกิจกรรมชุมชน แตกต่างกัน และปัจจัย
การรับสื่อมวลชนเก่ียวกับข่าวสารทางการเมืองต่างกันส่งผลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และด้าน
การสนับสนุนพรรคการเมืองแตกต่างกัน ส่วนปัจจัยความสํานึกทางการเมืองมีความสัมพันธ์กับปัจจัย
การมีส่วนร่วมทางการเมืองด้านการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕
โดยมคี วามสัมพันธ์ไปในทางทิศเดียวกันในระดับต่าํ มาก และ ๓) ประเด็นปัญหาและอุปสรรคของสตรี
๗๒ บุศรา โพธิสุข, “การมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถ่ินของประชาชน : ศึกษาเฉพาะกรณี ตําบล
ช้างเผือก อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่”, รายงานการวิจัย, (มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต
เชยี งใหม,่ ๒๕๕๘), บทคดั ยอ่ .
๗๓ เสาวลักษณ์ ปิติ, “การมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถ่ินของประชาชน : ศึกษาเฉพาะกรณี ตําบล
ช้างเผือก อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่”, วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: สถาบันบัณฑิตพัฒน
บริหารศาสตร์, ๒๕๕๖), บทคัดย่อ.
๖๔
ต่อการมีสว่ นร่วมทางการเมอื งพบวา่ สตรีไทยส่วนใหญ่ตอ้ งรับภาระในการดูแลครอบครวั และมีความรู้
ความเข้าใจเกีย่ วกบั การเมืองนอ้ ยลง๗๔
รัฐ กันภัย และธรรมนิตย์ วราภรณ์ ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การรับรู้ข่าวสารและการมีส่วน
ร่วมของประชนท่ีส่งผลต่อการพัฒนาท้องถ่ินในองค์การบริหารส่วนตําบล จังหวัดภาคตะวันตก
ตอนล่าง ผลการวิจัยพบว่า ๑) ประชาชนในองค์การบริหารส่วนตําบลเขตจังหวัดภาคตะวันตก
ตอนล่าง มีการรับรู้ข่าวสารจากส่ือโทรทัศน์มากท่ีสุด มีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์จากการพัฒนา
มากที่สุด และมีการพัฒนาด้านการศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม มากที่สุด ๒) ค่าความสัมพันธ์
ระหว่างการรับรู้ข่าวสาร และการมีส่วนร่วมของประชาชนกับการพัฒนาท้องถิ่นในองค์การบริหาร
ส่วนตําบลเขตจังหวัดภาคตะวันตกตอนล่าง มีความสัมพันธ์ทางบวกทุกตัวและมีนัยสําคัญทางสถิติที่
ระดับ .๐๑ โดยตัวแปรมีค่าสัมประสิทธิ์สหพันธ์กับการพัฒนาท้องถิ่นในองค์กรบริหารส่วนตําบลมาก
ท่สี ุด คอื สัมพนั ธ์กบั การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์จากการพัฒนา และตัวแปรท่ีมีค่าสัมประสิทธิ์
สหสัมพันธ์กับการพัฒนาท้องถิ่นในองค์การบริหารส่วนตําบลท้องถิ่น น้อยที่สุด คือการรับรู้ข่าวสาร
จากอินเตอร์เน็ต๓) การรับรู้ข่าวสารและการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนา
ท้องถ่ินในองค์การบริหารส่วนตําบล เขตจังหวัดภาคตะวันตกตอนล่าง มีค่าอํานาจจากการพยาการณ์
๕๔.๙ ข้อค้นพบจากการวิจัยทางคุณภาพจะเห็นได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับข่าวสารทางการเมือง
จากสื่อหอกระจายข่าวและเสยี งตามสายของหมู่บ้าน๗๕
๒.๕.๓ งานวจิ ัยที่เกย่ี วขอ้ งกบั ผ้นู ําทางการเมอื ง
ธญั รตั น์ ปัญญาคันธา ศึกษาเร่ือง ความคิดเห็นของผ้นู ําชุมชนในเขตเทศบาลตําบล สัน
นาเม็ง อําเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ต่อคุณสมบัติและภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใน
การเป็นผู้นาทางการเมือง พบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ที่มีพลังกาย คือเป็นผู้ท่ีมีร่างกาย
แข็งแรง กายา พลังประสาท คือ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ เป็นผู้ที่รู้จุดมุ่งหมายและแนวทางใน
การนาประเทศ ด้วยวิธีการกําหนดเป้าหมายการดําเนินงาน และกําหนดนโยบายท่ีชัดเจน เช่น การ
ดําเนินการโครงการ ๓๐ บาทรักษาทุกโรค การรับจํานําข้าว ฯลฯ เพื่อให้ประเทศเกิดการพัฒนา ด้วย
การใช้สติปัญญาอย่างเฉลียวฉลาด เพ่ือให้เกิดเป็นความศรัทธาและสร้างความเช่ือมั่นให้กับประชาชน
นักการเมอื ง นกั ลงทนุ รวมไปถึงคณะรัฐมนตรี เพ่ือใหเ้ กดิ ความเช่ือม่นั ให้กบั ประชาชนในประเทศและ
ต่างประเทศ จนเกิดเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น การพยายามท่ีปลดหนี้ IMF ก็ทําให้
ต่างชาติได้เห็นถึงศักยภาพในการแก้ไขของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนกลายเป็นความร่วมมือข้ึน
นอกจากนี้แล้ว ผู้นําชุมชนยังมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เปรียบเสมือนการเป็นครูท่ีดี เพราะเป็น
๗๔ สุกฤตา จินดาพรม และโชติมา แก้วกรอง, “การมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรีไทยในพ้ืนที่องค์
ปกครองส่วนท้องถิน่ ของภูมภิ าคตะวันตก”, วารสารการเมอื งการปกครอง การจดั การชุมชนเพ่ือพัฒนาทยี งั่ ยนื , ปี
ที่ ๓ ฉบับที่ ๒ (มีนาคม - สงิ หาคม ๒๕๕๖): ๑๑๘-๑๓๓.
๗๕ รัฐ กันภัย และธรรมนิตย์ วราภรณ์, “การรับรู้ข่าวสารและการมีส่วนร่วมของประชนที่ส่งผลต่อ
การพัฒนาท้องถิ่นในองค์การบริหารส่วนตําบล จังหวัดภาคตะวันตกตอนล่าง”, Veridian E-Journal, SU ฉบับ
ภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์และศิลปะ, ปีท่ี ๘ ฉบับที่ ๑ (มกราคม - เมษายน ๒๕๕๘): ๑๐๗๕.
๖๕
คนที่คอยสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ ๆ ให้กับประเทศ และเป็นผู้ที่คิดค้นนโยบายใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความ
ต้องการของประชาชนให้มากท่ีสุด แต่ในอีกมุมมองหนึ่งผู้นําชุมชนก็มองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยัง
ไม่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือในเร่ืองของการคอร์รัปช่ันหรือผลประโยชน์ของประเทศ ให้เห็นได้
ชัดเจน จึงเป็นหนงึ่ คุณสมบัติทีส่ ําคญั ท่ีขาดหายไป
ในเรื่องของภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามความคิดเห็นของผู้นําชุมชน มอง
ว่าหากมองจากภาพลักษณ์ภายนอกแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ท่ีมีรูปร่างสันทัด หน้าเหลี่ยม
ผิวขาวเหลือง ตาเล็กบุคลิกภาพดี พูดจาฉะฉาน มีความย้ิมแย้มแจ่มใส เป็นผู้ท่ีมีเช้ือสายจีน ผู้นํา
ชุมชนยังมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีภาพลักษณ์ของนักการเมืองท่ีดี ด้วยการรักษาคําพูด การ
ดําเนินการตามนโยบายที่ต้ังไว้ก่อนการเลือกต้ังให้เห็นเป็นรูปธรรม นอกจากน้ี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ยังถูกมองว่าเปรียบเสมอื นนักการทูต คอื การเดินทางเพื่อเย่ยี มเยียน ปาฐกถา และแลกเปลยี่ นความรู้
ดา้ นการบรหิ ารประเทศ และเพ่ือให้เกดิ การสรา้ งพนั ธมติ รอกี ด้วย อน่งึ ในทางกลบั กัน ผู้นาํ ชุมชนมอง
ว่าภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เกิดข้ึนจากวิธีการพูด การแสดงออกด้านสีหน้า ท่าทาง
อาทิเช่น การพูดไว ใจเร็ว คิดเร็ว ทาเร็ว และนิสัยที่เป็นคนโผงผาง น้ัน หรือด้วยวิธีการต่าง ๆ ทาง
การเมือง เช่น การตอบโต้ทางการเมืองท่ีค่อนข้างก้าวร้าว และรุนแรง อาจส่งผลให้เกิดศัตรูทาง
การเมือง และ ส่งผลให้เกิดผลกระทบทางลบกบั ภาพลักษณ์ ของ พ.ต.ท.ทักษณิ ชนิ วัตร ได้
สําหรับข้อเสนอแนะในการวิจัยในคร้ังน้ี ผู้นําชุมชนมองคุณสมบัติและภาพลักษณ์ของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในการเป็นผู้นําทางการเมืองท่ีเกิดข้ึน ไม่เพียงแต่จะเป็นไปในแนวทางบวก แต่
ก็ยังมีแนวทางลบ โดยผู้นําชุมชนมองว่า ปฏิกิริยาท่าทาง การแสดงออกถึงวัตถุประสงค์ทางการเมือง
เช่น ผลประโยชน์ทางการเมือง ที่ชัดเจนมากเกินไป ก็ทําให้ภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เปล่ียนแปลงไป เนื่องจากประชาชนได้รับข่าวสารมากมายจากการนําเสนอเก่ียวกับทาการงาน การ
ดําเนินนโยบายทางการเมือง จนทําให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมือง ดังนั้น การศึกษา
การมีสติปัญญา และความรู้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้นํามีคุณสมบัติท่ีดีทางการเมืองได้ แต่ควรท่ีจะมีสติ
ในการควบคุมอารมณ์ เพ่ือให้เสริมสร้างภาพลักษณ์ของผู้นําทางการเมืองให้เป็นที่ยอมรับของ
ประชาชนใหน้ านที่สดุ
สําหรับความคิดเห็นของผู้วิจัยท่ีได้ค้นพบจากการศึกษาในคร้ังน้ี คือ คุณสมบัติและ
ภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นลักษณะที่เกิดการสร้างสรรค์ข้ึน เพื่อทําให้ประชาชนเกิด
การรับรู้ในด้านบวก เป็นไปได้ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๔๘ ซึ่งเป็นช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ได้รับความนิยมทางการเมือง แต่ด้วยระยะเวลาการดํารงตําแหน่งทางการเมือง การมีอํานาจ บารมี
ยศถาบรรดาศักด์ิ นอกจากน้ียังมีแรงกระตุ้นจากพรรคฝ่ายค้าน, กลุ่มต่อต้าน ก็เป็นตัวแสดงหลักท่ี
สาํ คญั ท่ีทาํ ให้ภาพลักษณข์ องพ.ต.ท.ทกั ษณิ ชินวัตร เปลย่ี นแปลงไปอยา่ งเหน็ ได้ชดั เจน สาเหตุหลักมา
จากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ในการตอบโต้ทางการเมืองได้ จนทําให้
ประชาชนเกิดความรู้สึกท้ังยอมรับ และคัดค้าน จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณสมบัติและ
ภาพลกั ษณข์ อง พ.ต.ท.ทักษณิ ชินวตั ร ในการเป็นผู้นาํ ทางการเมืองในปจั จบุ นั
ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะว่า ผู้นําทางการเมืองในปัจจุบันคุณสมบัติและภาพลักษณ์ท่ี
พึงปรารถนาอย่างเดียวคงไม่สามารถทาใหป้ ระชาชนเกิดความนิยมในตวั ของบุคคลและพรรคการเมือง
๖๖
ไดต้ ลอดไป เพราะส่ือและเทคโนโลยีมีความก้าวหน้า การรับสารและการส่งสารจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ในการนําเสนอคุณสมบัติและภาพลักษณ์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในการเป็นผู้นําทางการเมือง
ประกอบกับการโต้ตอบทางการเมืองท่ีมีสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะต่างฝ่ายต่างย่ัวยุ ต่างหาข้อผิดพลาดซ่ึง
กันและกัน การโต้ตอบทางการเมืองจึงเป็นไปอย่างดุเดือด ทําให้เกิดเป็นวลีทางการเมืองท่ีส่งผล
กระทบต่อคุณสมบัติและภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ ดังน้ัน เพื่อให้เกิดคุณสมบัติและ
ภาพลักษณ์ที่ดีในการเป็นผู้นําทางการเมือง ผู้นําทางการเมืองจะต้องควบคุมอารมณ์และใช้
สติสัมปชัญญะให้มากในการโต้ตอบทางการเมืองโดยคิดถึงผลกระทบท่ีจะตามมา เพื่อเป็น
องคป์ ระกอบทสี่ ่งเสรมิ คุณสมบตั ิและภาพลกั ษณ์ ในการเปน็ ผ้นู าํ ทางการเมอื ง๗๖
ดวงพร พยัตตพงษ์ ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง ความเป็นสตรีกับการเป็นผู้นําทางการเมือง
ท้องถ่ิน :กรณีศึกษานายกเทศมนตรีเทศบาลตําบลเกาะคา จังหวัดลําปาง พบว่า สาเหตุท่ีสตรีได้รับ
การเลือกต้ังในเขตเทศบาลตําบลเกาะคาน้ันเกิดจากปัจจัยด้านบุคลิกภาพส่วนตัวของนายกเทศมนตรี
คนปัจจุบัน คือความเป็นคนทํางานด้วยความตั้งใจ มีความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ รวมท้ัง
สามารถทํางานทางการเมอื งไดเ้ ท่าเทียมกับผชู้ ายอยา่ งดี ประกอบกบั ปัจจยั ดา้ นครอบครัวทีม่ ีสว่ นชว่ ย
สนับสนุนในการให้ยอมรับ และกําลังใจต่อการทํางานทางการเมือง อีกทั้งการดํารงตําแหน่ง
นายกเทศมนตรีหลายสมัยจึงมฐี านเสียงสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่ ซง่ึ ประชาชนในการสนับสนุน
เพราะต้องการให้เกิดการเปล่ียนแปลงต่อการพัฒนาด้านปัญญาอุปสรรคในความเป็นสตรีกับการเป็น
ผู้นําทางการเมืองท้องถ่ิน : กรณีศึกษานายกเทศมนตรีเทศบาลตําบลเกาะคา จังหวัดลําปาง พบว่าไม่
มีปัญหาอุปสรรคในการทํางานของนางสาวเพ็ญภัค รัตนคําฟู ตลอดจนการทํางานกับข้าราชการท่ี
เกี่ยวข้อง ชุมชน และผู้นําชุมชนเนื่องจากปัจจัยด้านบุคลิกภาพมีความตรงไปตรงมา สามารถแก้
ปญั ญาและลดอุปสรรคในการพัฒนาทอ้ งถิน่ ๗๗
อภิรักษ์ แสงทอง ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง ศึกษาเปรียบเทียบคุณลักษณะของผู้นําทางการเมือง
ท่ีปรากฏในงานเขียนเรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” และนวนิยายเร่ือง “เวียงกุมกาม” พบว่า คุณลักษณะ
ของผู้นําทางการเมืองที่ปรากฏในงานเขียนเรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” และคุณลักษณะของผู้นําทาง
การเมืองของ “พระยามังราย”ที่ปรากฏในนวนิยายเรื่อง “เวียงกุมกาม” ไม่มีความแตกต่างมากนัก
กล่าวคือ คุณลักษณะของผู้นําทางการเมืองท่ีมีความเหมอื นกนั ได้แก่ คุณธรรมความสามารถของผู้นํา
ทางการเมืองในการทําสงคราม และความรูค้ วามสามารถในการรักษาอํานาจและการรู้จักใชเ้ ทคนิคใน
การปกครอง เพื่อรักษาอาํ นาจทางการเมือง ส่วนคุณลักษณะของผู้นําทางการเมืองท่ีมีความเหมือนกัน
๗๖ ธัญรัตน์ ปัญญาคันธา, “ความคิดเห็นของผู้นาชุมชนในเขตเทศบาลตําบลสันนาเม็ง อําเภอสัน
ทราย จังหวัดเชียงใหม่ต่อคุณสมบัติและภาพลักษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในการเป็นผู้นําทางการเมือง”, งาน
นิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองการและการปกครอง, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาเชียงใหม่,
๒๕๕๕), บทคัดยอ่ .
๗๗ ดวงพร พยัตตพงษ์, “ความเป็นสตรีกับการเป็นผู้นําทางการเมืองท้องถ่ิน:กรณี ศึกษา
นายกเทศมนตรีเทศบาลตําบลเกาะคา จังหวัดลําปาง”, งานนิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองการ
และการปกครอง, (บัณฑิตวทิ ยาลยั : มหาวิทยาเชียงใหม่, ๒๕๕๓), บทคดั ย่อ.
๖๗
ได้แก่ ประเด็นเร่ืองศีลธรรมและจริยธรรม ตลอดจนความรับผิดชอบทางศีลธรรม ซ่ึงปรากฏอยู่ใน
นวนิยายเรื่องเวียงกุมกาม แต่ในงานเขียนเร่ืองเจ้าผู้ปกครอง ไม่ได้ให้ความสําคัญในเร่ืองความดีและ
ความช่ัวในเชิงศีลธรรมแต่อย่างใด หากแต่เน้นความสําคัญเร่ืองความสุขุมรอบคอบของผู้นําทาง
การเมืองในการใช้อํานาจทางการเมือง เพ่ือรักษาอํานาจทางการเมืองของผู้นาทางการเมือง จากการ
ศึกษาวจิ ยั ในคร้ังน้ี ทําให้เห็นว่า ความแตกต่างของคณุ ลักษณะของผ้นู าํ ทางการเมอื งที่ปรากฏอยูใ่ นตัว
บทที่นํามาศึกษา เกิดจากพ้ืนฐานทางสังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนบริบททางการเมืองท่ีแตกต่างกัน
ส่วนนัยยะสําคัญที่มีต่อสังคมการเมืองไทยน้ัน พบว่าผู้นําทางการเมืองไทยต้องยอมรับและอยู่ภายใต้
เง่ือนไขของชุดความคิดและความเชื่อทางศีลธรรมของสังคม อันเป็นเคร่ืองคํ้าจุนความชอบธรรมใน
การปกครอง การละเลยส่ิงดังกล่าวถือเป็นจุดเรม่ิ ต้นของการสิน้ สุดลงของอํานาจ และความชอบธรรม
ในการปกครอง๗๘
ธนสรร ธรรมสอน ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง ภาวะผู้นําทางการเมืองของนายกเทศมนตรีในการ
บริหารเทศบาลตําบล ในเขตพื้นท่ีภาคเหนือ พบว่า ๑) ภาวะผู้นําทางการเมืองของนายกเทศมนตรี มี
องค์ประกอบสําคัญท่ีสุดคือ เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ มอง กว้าง มองไกล มองรอบด้าน ภาวะผู้นําทาง
การเมืองของนายกเทศมนตรีที่ประชาชนต้องการ ประกอบด้วย (๑) ส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย
ท้องถ่ิน (๒) เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ (๓) บริการสาธารณะให้ ท่ัวถึง (๔) เปิดโอกาสให้
ประชาชนมสี ่วนรว่ ม (๕) พัฒนาเทศบาล และชมุ ชนใหม้ คี วามยง่ั ยืน (๖) พัฒนาและ รักษาสง่ิ แวดลอ้ ม
และศิลปวัฒนธรรมชุมชน ๒) วัฒนธรรมประชาธิปไตยการเมืองท้องถ่ิน นั้นพบว่าประชาชน มีความ
เช่ือมั่น และศรัทธาต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมากท่ีสุด ๓) สัมฤทธิผลในการบริหาร
โครงการท้องถ่ินน้ัน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า การมีส่วนร่วมในการ
บริหาร โครงการของประชาชน การกําหนดโครงการในแผน ๓ ปี ตอบสนองความต้องการและความ
พึงพอใจของ ประชาชนตามลําดับ ๔) การบริหารนโยบายท้องถ่ินของเทศบาลตําบล โดยรวมการ
ปฏิบัติอยู่ในระดับมาก ซ่งึ พบว่ามีประเด็นสําคัญ ๖ ประการ ประกอบด้วย (๑) กระบวนการกาํ หนด
นโยบายสามารถตอบสนองความ ต้องการท่ีแท้จริงของประชาชน (๒) การจัดทําแผนพัฒนาท้องถ่ิน
ควรให้สามารถแก้ปัญหาของชุมชนอย่าง แท้จริงโดยเฉพาะอย่างย่ิงในด้านการกระจายรายได้และ
แก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชน (๓) ด้านการ จัดบริการสาธารณะไว้ท่ัวถึงทุกกลุ่มของ
ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ยากจนและด้อยโอกาสในชุมชน (๔) ด้านสนับสนุนงบประมาณ
ควรสนบั สนนุ ใหม้ โี ครงการสรา้ งรายได้ และสร้างอาชพี ทีเ่ หมาะสมให้ประชาชน อย่างเท่าเทียมกัน (๕)
ด้านการอนุรกั ษ์ส่ิงแวดล้อมการดําเนนิ การให้มีการบังคับใช้กฎหมายด้านส่ิงแวดล้อม อย่างจรงิ จัง (๖)
๗๘ อภิรักษ์ แสงทอง, “ศึกษาเปรียบเทียบคุณลักษณะของผู้นาทางการเมืองท่ีปรากฏในงานเขียน
เร่อื ง เจา้ ผู้ปกครอง และนวนยิ ายเรือ่ ง เวยี งกุมกาม”, งานนิพนธร์ ฐั ศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการเมืองการและ
การปกครอง, (บณั ฑติ วิทยาลยั : มหาวิทยาเชียงใหม,่ ๒๕๕๘), บทคดั ยอ่ .
๖๘
ด้านการให้ความรู้ การครองชีพ การศึกษา สุขภาพ การพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่ประชาชน และ
ชุมชน๗๙
ศิริรัตน์ ธรรมใจ ศึกษาเรื่อง การรักษาอํานาจทางการเมืองของผู้นําท้องถิ่นในอําเภอ แม่
ทา จังหวัดลําพูน พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการรักษาอํานาจทางการเมืองของผู้นําท้องถ่ินท่ีได้รับความ
ไว้วางใจจากประชาชนในพื้นท่ีมี ๖ ปัจจัย ได้แก่ ๑) ปัจจัยด้านกฎหมายการไม่ได้กําหนดวาระ
ตําแหน่งเอื้อประโยชน์ให้กับผู้นําท้องถ่ินสามารถทํางานได้อย่างต่อเนื่อง ๒) ปัจจัยส่วนบุคคลท้ังด้าน
การศึกษาประสบการณ์ทํางานลักษณะนิสัยอายุและช่ือเสียงวงศ์ตระกูลของแต่ละบุคคล ๓) ปัจจัย
ด้านความสัมพันธ์ของเครือญาติในพ้ืนท่ีมีส่วนช่วยเหลือสนับสนุนหาเสียงหรือกระจายข่าวสารของ
ผนู้ ําท้องถ่ิน ๔) ปัจจัยด้านการเมืองผู้นําทอ้ งถ่นิ ส่วนใหญ่จะวางตัวเป็นกลางไม่แสดงความสัมพันธท์ าง
การเมืองกับพรรคการเมืองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ประชาชนรับรู้ แต่จะมีสายสัมพันธ์กับ
การเมืองระดับท้องถ่ินด้วยกันเอง ๕) ปัจจัยด้านความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ
ในพื้นที่เช่นผู้นําชุมชนอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้านผู้สูงอายุ ๖ ปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆเช่น
ฐานะทางเศรษฐกิจภาพพจน์ของผู้สมัครคู่แข่งปัจจัยด้านเงินทุน มีผลทําให้ประชาชนไว้วางใจผู้นํา
ท้องถ่นิ และสนบั สนุนผ้นู ําทอ้ งถ่นิ ท้องถิน่ ในขณะดาํ รงตาํ แหนง่ ได้
สําหรับวิธีการรกั ษาอํานาจทางการเมืองของผู้นําท้องถิ่นทที่ ําให้ผนู้ ําท้องถ่ินสามารถรกั ษา
อํานาจทางการเมืองได้มีทั้งส้ิน ๕ วิธีการคือ ๑) วิธีการในการสร้างบุคลิกภาพหรือภาพพจน์ให้แก่ตัว
ผู้นําท้องถิ่น ๒) วิธีการในการประชาสัมพันธ์ตัวบุคคลการใช้สื่อต่าง ๆ ช่วยในการแนะนําและทําให้
ผู้นําท้องถ่ินเป็นท่ีรู้จัก ๓) วิธีการในการเข้าร่วมกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ร่วมกับชุมชนเพ่ือ
สร้างความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม ๔) วิธีการการบริหารจัดการงบประมาณโดยเฉพาะการจัดหาแหล่ง
งบประมาณหรือการให้ความช่วยเหลือและพัฒนาประชาชนและพื้นท่ีตําบล ๕) วิธีการทางการเมือง
ผา่ นการต่อสู้ในการเลือกตั้งและใชป้ ัจจัยตา่ ง ๆ มาส่งเสริมโอกาสในการชนะการเลือกตั้งข้อเสนอแนะ
ของผลการศึกษาการวิจัยคือการส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนและการ
สร้างกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างผู้นําท้องถ่ินกับประชาชนเนื่องจากในการรักษาอํานาจ
ทางการเมืองของผู้นําท้องถ่ินในอําเภอแม่ทาจังหวัดลําพูนได้อาศัยปัจจัยและวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้
ได้มาซึ่งอํานาจทางการเมืองทั้งข้อกฎหมายและความสัมพันธ์ที่เก่ียวข้องกับกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ
คอยช่วยเหลือเกื้อกูลจนกลายเป็นเครือข่ายทางการเมืองภายใต้ระบบอุปถัมภ์ซึ่งอาจนํามาสู่การ
ผูกขาดอํานาจทางการเมืองของผู้นําท้องถ่ินและทําให้โอกาสในการพัฒนาผู้นําในพ้ืนท่ีลดน้อยลงไป
ข้อเสนอแนะการศึกษาวิจัยคร้ังต่อไปควรมีการศึกษาถึงปัจจัยท่ีเกื้อกูลกันระหว่างนักการเมืองระดับ
ท้องถิ่นกับพรรคการเมืองและนักการเมืองระดับชาติเพ่ือเพ่ิมมิติองค์ความรู้ทางโครงสร้างการเมือง
มากขึ้นโดยเฉพาะการอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวในการเช่ือมโยงกับการสนับสนุนด้านงบประมาณ
ด้านการทํางานรวมทั้งควรมีการศึกษากรณีกลุ่มตัวอย่างผู้นําอ่ืน ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นท่ีท้องถิ่นเช่นกลุ่ม
๗๙ ธนสรร ธรรมสอน, “ภาวะผู้นําทางการเมืองของนายกเทศมนตรีในการบริหารเทศบาลตําบล ใน
เขตพ้ืนทภี่ าคเหนือ”, วารสารวิชาการคณะบรหิ ารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธัญบุรี, ปีที่ ๑๐ ฉบับท่ี
๑ (มิถุนายน ๒๕๕๘): ๑๗๑-๑๙๐.
๖๙
สมาคมพ่อค้ากลุ่มผู้สูงอายุกลุ่มเยาวชนท่ีมีบทบาทสําคัญในทางการเมืองระดับท้องถ่ินมากข้ึน
โดยเฉพาะควรมีการศกึ ษาบทบาทในฐานะผูส้ นบั สนนุ กลมุ่ ผนู้ ําทางการเมือง๘๐
๒.๕.๔ งานวิจยั ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับหลักสปั ปรุ ิสธรรม
ทวีศักดิ์ สุขกมล ศึกษาการใช้หลักสัปปุริสธรรมในการบริหารงานเชิงบูรณาการของ
ผู้บริหารเทศบาล ตําบลป่าใหม่ อําเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ จากการศึกษาพบว่า โดยภาพรวมมี
การใช้หลักสัปปุริสธรรมในการบริหารงานเชิงบูรณาการของผู้บริหารเทศบาลตําบลป่าใหม่ อําเภอ
พร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อพิจารณาหลักสัปปุริสธรรมในแต่ละด้านมีการนํามาใช้ในการบริหารงาน
เชิงบูรณาการครบทั้ง ๗ ด้านจริง แต่ไม่เด่นชัด เป็นการแฝงหลอมรวมอยู่ในหลักการบริหารงาน
ภาครัฐซ่งึ เนน้ เรอ่ื งเทคนิคและวิธกี ารในการดาํ เนินงานด้านการบริหารงานของเทศบาล๘๑
พระศตวรรษ กิตฺติปาโล ศึกษาการประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรมในการส่งเสริมการ
ปกครอง ของพระสังฆาธิการในเขตจงั หวัดนนทบุรี ผลการวิจยั พบว่า ๑. พระสังฆาธิการในเขตจังหวัด
นนทบุรี มีระดับการประยกุ ต์ใช้หลักสัปปุรสิ ธรรมในการส่งเสริมการปกครอง โดยรวมทั้ง ๗ ด้าน มีค่า
แปลผลอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีระดับการประยุกต์ใช้อยู่ในระดับมากทุก
ด้าน โดยเรียงลําดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย มีดังน้ี ด้านหลักปุคคลปโรปรัญญุตา มีค่าเฉลี่ย
สูงสุด ด้านหลักธัมมัญญุตาและด้านหลักอัตถัญญุตา มีค่าเฉล่ียรองลงมา ส่วนด้านหลักอัตตัญญุตามี
ค่าเฉลี่ยต่ําสุด ตามลําดับ ๒. ผลการเปรียบเทียบการประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรมในการส่งเสริมการ
ปกครองของพระสังฆาธิการท่ีมี อายุ พรรษา ระดับการศึกษาทางโลก ระดับการศึกษาทางธรรม และ
ตาํ แหน่งต่างกนั พบวา่ พระสังฆาธิการในเขตจังหวัดนนทบรุ ี ที่มอี ายุ พรรษา ระดับการศึกษาทางโลก
และระดับการศึกษาทางธรรม ต่างกัน มีการประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรมในการส่งเสริมการปกครอง
โดยรวมท้ัง ๗ ด้าน ไม่แตกต่างกัน ไม่เป็นไปตามสมมติฐานท่ีตั้งไว้ แต่พระสังฆาธิการในเขตจังหวัด
นนทบุรี ท่ีมีตําแหน่งต่างกัน มีการประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรมในการส่งเสริมการปกครอง ด้าน
หลักธัมมัญญุตา ด้านหลักอัตถัญญุตา ด้านหลักอัตตัญญุตา ด้านหลักมัตตัญญุตา และด้านหลัก
ปุคคลปโรปรัญญุตา แตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๕ ๓. ข้อเสนอแนะแนวทาง
การประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรมในการส่งเสริมการปกครองของพระสังฆาธิการในเขตจังหวัดนนทบุรี
จําแนกรายด้าน มีดังนี้ ๑) ด้านหลักธัมมัญญุตา พระสังฆาธิการในเขตจังหวัดนนทบุรีควรเป็นผู้รู้จัก
การพิจารณาวิเคราะห์ แยกแยะอย่างสมเหตุสมผล ๒) ด้านหลักอัตถัญญุตา พระสังฆาธิการในเขต
จังหวัดนนทบุรี ควรมมี ่งุ มั่น พากเพียรทจี่ ะทํานบุ าํ รงุ พระศาสนา ๓) ดา้ นหลักอตั ตญั ญตุ า พระสงั ฆาธิ
การในเขตจังหวัดนนทบุรี ควรมีความเข้าใจภาวะความเป็นผู้นาของคณะสงฆ์เพื่อเป็นแนวทางในการ
๘๐ ศิริรัตน์ ธรรมใจ, “การรักษาอํานาจทางการเมืองของผู้นําท้องถิ่นในอําเภอแม่ทา จังหวัดลําพูน”,
งานนิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการเมืองการและการปกครอง, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาเชียงใหม่,
๒๕๕๘), บทคดั ยอ่ .
๘๑ ทวีศักดิ์ สุขกมล, “การใช้หลักสัปปุริสธรรมในการบริหารงานเชิงบูรณาการของผู้บริหารเทศบาล
ตําบลป่าใหม่ อําเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา,
(บัณฑติ วทิ ยาลยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๖๐), บทคัดยอ่ .
๗๐
ส่งเสริมด้านการปกครอง ๔) ด้านหลักมัตตัญญุตา พระสังฆาธิการในเขตจังหวัดนนทบุรี ควรมีการ
วางแผน และกําหนดนโยบายของศาสนสถานให้เหมาะสม เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมด้านการ
ปกครอง ๕) ด้านหลักกาลัญญุตา พระสังฆาธิการในเขตจังหวัดนนทบุรี ควรมีการจัดลําดับ
ความสําคัญของปัญหาท่ีเกิดขึ้น ๖) ด้านหลักปริสัญญุตา พระสังฆาธกิ ารในเขตจังหวัดนนทบุรี ควรให้
ความสําคัญในการพัฒนาเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรมแก่พุทธศาสนิกชน ๗) ด้านหลักปุคคลป
โรปรัญญุตา พระสังฆาธิการในเขตจังหวัดนนทบุรี ควรมีการสนับสนุนคนที่มีความรู้ความสามารถ
เพือ่ สง่ เสริมใหม้ ีส่วนร่วมในการส่งเสริมดา้ นการปกครอง๘๒
พระจํารัส ฐติ ธมฺโม (สวาสโพธกิ ลาง) ศกึ ษาการประยุกต์ใช้หลกั สัปปุริสธรรม ๗ ในการ
บริหารจัดการชุมชน: กรณีศึกษา ชุมชนวัดใหม่พิเรนทร์ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
ผลการวิจัยพบว่า ๑. ประชาชน มีความคิดเห็นต่อการประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรม ๗ ในการบริหาร
จดั การชุมชนวัดใหม่พิเรนทร์ เขตบางกอกใหญ่ กรงุ เทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงจํานวน ๑๓๐
คน คิดเป็นร้อยละ ๕๔.๔ มีอายุ ๓๖-๔๕ ปี จํานวน ๖๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๗.๒ มีสถานภาพสมรส
จาํ นวน ๑๒๐ คน คิดเป็นรอ้ ยละ ๕๐.๒ มกี ารศึกษาระดับตํ่ากว่าปริญญาตรีจํานวน ๑๖๓ คน คิดเป็น
ร้อยละ ๖๘.๒ มีอาชีพอ่ืน ๆ จํานวน ๙๗ คน คิดเป็นร้อยละ ๔๐.๖ มีรายได้รวมต่อเดือน ๕,๐๐๐-
๑๐,๐๐๐ บาทจํานวน ๘๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๔.๗ ๒. ประชาชนมีความคิดเห็นต่อการประยุกต์ใช้
หลักสัปปุริสธรรม ๗ ในการบริหารจัดการชุมชนวัดใหม่พิเรนทร์ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
โดยรวม อยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย เท่ากับ ๓.๘๐ เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ประชาชนมีความ
คิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับมากทุกข้อ ๓. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนท่ีมีต่อการ
ประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรม ๗ ในการบริหารจัดการชุมชนวัดใหม่พิเรนทร์ เขตบางกอกใหญ่
กรุงเทพมหานคร โดยจําแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ประชาชนท่ีมีสถานภาพต่างกันมีความ
คิดเห็นต่อการประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรม ๗ ในการบริหารจัดการชุมชนวัดใหม่พิเรนทร์ เขต
บางกอกใหญ่กรุงเทพมหานคร แตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๑ และบุคคลที่มี
อายุ อาชีพต่างกันมีความคิดเห็นต่อการประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรม ๗ ในการบริหารจัดการชุมชน
วัดใหม่พิเรนทร์ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร แตกต่างกัน อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ
๐.๐๕ ซ่ึงยอมรบั สมมติฐานท่ีต้ังไว้ ส่วนประชาชนที่มีเพศ ระดับการศกึ ษา รายได้รวมตอ่ เดือน ต่างกัน
มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐานท่ีตั้งไว้ ๔. แนวทางในการประยุกต์ใช้
หลักสัปปุริสธรรม ๗ ในการบริหารจัดการชุมชนวัดใหม่พิเรนทร์ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร
พบว่า ควรทํางานโดยการนําหลักสัปปุริสธรรมมาประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ คือ ด้านความเป็นผู้รู้จัก
เหตุ รู้จักหลักการ รู้จักหลักเกณฑ์และระเบียบการบริหารจัดการ ด้านความเป็นผู้รู้จักผล รู้
ความหมาย รู้ความมุ่งหมาย รู้หน้าที่และรู้ประโยชน์ที่พึงประสงค์ ด้านความเป็นผู้รู้จักตน คือ รู้ว่า
ตัวตนของเราเป็นใคร มีฐานะหรือทําหน้าท่ีอะไร ด้านความเป็นผ้รู ู้จกั ประมาณ ความพอเพยี งในความ
๘๒ พระศตวรรษ กิตฺติปาโล, “การประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรมในการส่งเสริมการปกครอง ของพระ
สังฆาธิการในเขตจังหวัดนนทบุรี”, บัณฑิตศึกษาปริทรรศน์ วิทยาลัยสงฆ์นครสวรรค์, ปีท่ี ๗ ฉบับท่ี ๒
(พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๖๒): ๓๑๓-๓๑๔.
๗๑
เป็นอยู่ ในการใช้จ่ายทรัพย์ ด้านความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันเหมาะสมว่า เวลาไหนควรทํา เวลาไหน
ไม่ควรทําและระยะเวลาในการทํางาน การจัดคนเข้าทํางาน ด้านความเป็นผู้รู้จักชุมชน ที่ประชุม
การประพฤติตัวในท่ีประชุม การเข้าหาชุมชนหรือกลุ่มคนในสังคม ด้านความเป็นผู้รู้จักบุคคล ความ
แตกต่างแห่งบุคคล ความสามารถ คุณธรรม อัธยาศัย ทํางานเพื่อส่วนรวม ซ่ือตรงต่อตนเอง ต่องาน
ต่อบุคคลอื่น บริหารจัดการด้วยความซ่ือสัตย์สุจริต มีวินัยในตนเอง รักษากฎระเบียบที่ตั้งไว้ เคารพ
ความคิดเห็นของกันและกัน เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมประชุมเพื่อเสนอปัญหา และความ
ต้องการในชุมชน แสดงความคิดเห็น วิจารณ์การทํางาน และร้องทุกข์เรื่องราวต่าง ๆ ได้เพื่อนํามา
ปรบั ปรงุ แกไ้ ขพฒั นาตนเอง และชมุ ชนอยูเ่ สมอ๘๓
พระณัฐพงษ์ กิจฺจสาโร (พลเวียง) ศึกษาภาวะผู้นําของผู้บริหารองค์การบริหารส่วน
ตําบลในเขตอําเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด ตามหลักสัปปุริสธรรม ๗ ผลการวิจัย พบว่า ๑) ความ
คิดเห็นของบุคลากรต่อภาวะผู้นําของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตําบลในเขตอําเภอเชียงขวัญ
จงั หวัดรอ้ ยเอ็ด ตามหลักสัปปรุ ิสธรรม ๗ โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพจิ ารณาเป็นรายด้านพบวา่ อยู่
ในระดับมากทั้งห้าด้าน ลําดับตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านสติปัญญา ด้านจิตใจด้าน
อารมณ์ ด้านคุณธรรมและจริยธรรม และด้านความสัมพันธ์ ตามลําดับ ๒) ผลการเปรียบเทียบความ
คิดเห็นของบุคลากรต่อภาวะผู้นําของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตําบลในเขตอําเภอเชียงขวัญ
จังหวัดร้อยเอ็ด ตามหลักสัปปุริสธรรม ๗ พบว่า บุคลากรท่ีมีเพศ อายุ และประสบการณ์ในการ
ทํางานต่างกัน มีความคิดเห็นต่อภาวะผู้นําของผู้บริหาร โดยรวมไม่แตกต่างกัน ๓) ข้อเสนอแนะ
เก่ียวกับภาวะผู้นําของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตําบลในเขตอําเภอเชียงขวัญ จงั หวัดร้อยเอ็ด ตาม
หลักสัปปุริสธรรม ๗ โดยเรียงลําดับจากความถี่มากไปหาน้อย สามลําดับแรก คือ ผู้บริหารควร
ควบคุมอารมณ์ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุมีผล ควรมีดุลยพินิจในการตัดสินใจ และควร
แสดงออกดว้ ยความจรงิ ใจ๘๔
๒.๖ กรอบแนวคิดในการวิจยั
พฤติกรรมทางการเมืองของผู้นาํ ท้องถิ่นตามทรรศนะของประชาชนในอาํ เภอโพธ์ิตาก จงั หวัด
หนองคาย ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมากําหนดเป็นกรอบแนวคิดในการ
วิจัยโดยสังเคราะห์งานวิจัยของ สนุก สิงห์มาตรและพิกุล มีมานะ (Conceptual Framework)
๘๓ พระจํารัส ฐิตธมฺโม (สวาสโพธิกลาง), “การประยุกต์ใช้หลักสัปปุริสธรรม ๗ ในการบริหารจัดการ
ชุมชน : กรณีศึกษา ชุมชนวัดใหม่พิเรนทร์ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร
มหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๔),
บทคดั ย่อ.
๘๔ พระณัฐพงษ์ กิจฺจสาโร (พลเวียง), “การศึกษาภาวะผู้นําของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตําบลใน
เขตอําเภอเชียงขวัญ จังหวัดร้อยเอ็ด ตามหลักสัปปุริสธรรม ๗”, วารสาร มมร. ร้อยเอ็ด, ปีท่ี ๔ ฉบับที่ ๑
(มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๘): ๑๐๔-๑๑๘.
๗๒
ประกอบด้วยตัวแปรต้น (Independent Variables) และตัวแปรตาม (Dependent Variables)
ดังนี้
ตัวแปรตน้ ตัวแปรตาม
(Independent Variables) (Dependent Variables)
ปจั จยั สว่ นบคุ คล พฤติกรรมทางการเมือง ๓ ด้าน
๑. เพศ ไดแ้ ก่
๒. อายุ
๓. ระดบั การศกึ ษา ๑) การลงคะแนนเสียงเลอื กตั้ง
๔ อาชพี ๒) กจิ กรรมการรณรงคห์ าเสียง
๕. รายไดต้ ่อเดือน ๓) การตดิ ต่อในฐานะของ
พลเมือง
หลกั สปั ปรุ สิ ธรรม ๗ ประการ
แผนภาพท่ี ๒.๑ กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั
บทท่ี ๓
วิธดี ําเนินการวจิ ัย
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัด
ขอนแก่น เพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอ
เมือง จังหวัดขอนแก่น จําแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพและรายได้ต่อเดือนต่างกัน และ
เพ่ือเสนอแนวทางการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง
จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยได้ทําการศึกษาค้นคว้าจากหนังสือ ตํารา เอกสาร วิทยานิพนธ์ และงานวิจัยท่ี
เกีย่ วข้อง ซง่ึ มขี น้ั ตอนและวิธกี ารดาํ เนนิ การวิจยั โดยมีรายละเอยี ดเกีย่ วกบั วธิ ีดําเนินการวจิ ัย ดงั น้ี
๓.๑ ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
๓.๒ ตัวแปรท่ีใชใ้ นการวจิ ัย
๓.๓ เครอื่ งมอื ทีใ่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
๓.๔ การสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพเครอื่ งมอื
๓.๕ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
๓.๖ การวเิ คราะหข์ ้อมูล
๓.๗ สถิติท่ีใช้ในการวจิ ยั
๓.๑ ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง
๓.๑.๑ ประชากร ได้แก่ ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังท่ีอยู่ในเขตตําบลโคกสี อําเภอเมือง
จงั หวัดขอนแกน่ จํานวน ๘,๙๑๑ คน
๓.๑.๒ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ประชานผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง ซ่ึงมีภูมิลําเนาและอาศัยอยู่จริงใน
เขตพ้ืนท่ีตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น จํานวน ๓๘๓ คน โดยหาขนาดของกลุ่มตัวอย่าง
จากสูตรของ ทาโร่ยามาเน๑
๑ Yamane, Taro Statistic : An Introductory Analysis, (New York: Harper & row, 1967),
pp. 580-581.
๗๔
n = N เม่ือระดบั นัยสาํ คญั เทา่ กบั .๐๕ (α= .๐๕)
1 Ne2
n = ขนาดของกลมุ่ ตวั อย่าง
N = ขนาดของประชากร
e = ความคลาดเคล่ือนเทา่ กบั .๐๕ (α= .๐๕)
๘,๙๑๑
n = ๑ ๘,๙๑๑ (.๐๕)๒
n = ๓๘๓ คน
๓.๑.๓ รายชอ่ื ผูใ้ ห้ขอ้ มลู สําคัญ
การศึกษาวิจยั ครง้ั น้มี ผี ู้ใหข้ อ้ มลู สาํ คญั จํานวนทง้ั ส้ิน ๑๕ คน ดังมีรายชือ่ ตอ่ ไปน้ี
ตารางท่ี ๓.๑ แสดงรายชอื่ ผใู้ หข้ อ้ มลู สําคญั
ที่ ชอื่ ผนู้ าํ หมบู่ า้ น ตําแหนง่
๑ นายชาลี ลาสา นายกองคก์ ารบริหารสว่ นตาํ บลโคกสี
๒ นายธนพงษ์ กองไตร ผใู้ หญบ่ ้านบ้านโคกสี
๓ นายสธุ ี พลสนั ต์ ผ้ใู หญ่บา้ นบ้านโคกสี
๔ นายวิชาญ สมอมุ่ จารย์ ผู้ใหญบ่ ้านบา้ นยางหย่อง
๕ นางรุ่งทวิ า แกว้ พรรณนา ผู้ใหญ่บา้ นบ้านพรหมนิมติ
๖ นายเสรี สะตะ ผ้ใู หญ่บ้านบา้ นหนองเต่า
๗ นายสุรพงษ์ เตินเตยี น ผูใ้ หญ่บ้านบ้านหนองหวั วัว
๘ นายเวชจนิ ฎา แสนศาลา ผ้ใู หญ่บา้ นบา้ นหนองไหล
๙ นายประสาท กางจันทา ผใู้ หญบ่ า้ นบ้านเลงิ
๑๐ นายบุดดา ลากลุ ผใู้ หญ่บา้ นบ้านหนองบัวทอง
๑๑ นายทองหลาง ยางสวาย ผ้ใู หญบ่ ้านบา้ นบึงเรือใหญ่
๑๒ นายสงกรานต์ สังยวน กาํ นนั บ้านทา่ พระทราย
๑๓ นายอุดม โม้ลี ผูใ้ หญบ่ ้านบ้านโคกแปะ
๑๔ นายกัณหา หลา้ สุด ผใู้ หญบ่ า้ นบา้ นโคกสี หมทู่ ่ี ๑๓
๑๕ นายบุญถม มาตรสมบตั ิ ผ้ใู หญบ่ า้ นบา้ นโคกสี หมทู่ ี่ ๑๔
๓.๒ ตัวแปรทีใ่ ช้ในการวิจัย
ตัวแปรทใี่ ช้ในการศกึ ษาคร้งั น้ี คือ
๓.๒.๑ ตัวแปรอิสระ (Independent Variables) ได้แก่ ข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม คือ
ขอ้ มลู คุณสมบตั ิของผ้ทู ่ีตอบแบบสอบถาม ไดแ้ ก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายไดต้ อ่ ปี
๗๕
๓.๒.๒ ตวั แปรตาม (Dependent Variables) มี ๕ ด้าน ไดแ้ ก่
๑. ความสนใจทางการเมือง
๒. การมีส่วนรว่ มในการเลอื กต้งั
๓. การมีสว่ นรว่ มในการบรหิ าร
๔. การมสี ่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง
๕. การสว่ นร่วมในการชมุ นุมเคล่ือนไหวทางการเมอื ง
๓.๓ เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ยั
เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัยในครัง้ น้ี เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) เก่ียวกับการมีส่วน
ร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ท่ีผู้วิจัยสร้างข้ึน
จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง ซ่ึงมีลักษณะเป็นคําถามปลายปิดและปลายเปิด แบ่ง
ออก ๓ ตอน คือ
ตอนที่ ๑ สอบถามข้อมูลท่ัวไปเก่ียวกับปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่
เพศ อายุ ระดบั การศกึ ษา อาชพี และรายได้ตอ่ ปี เป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist)
ตอนที่ ๒ แบบสอบถามประเด็นวัดระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น มีลักษณะแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating
Scale) โดยแบง่ ระดับของการวดั ออกเปน็ ๕ ระดบั
คะแนน ๕ หมายถงึ การมสี ่วนร่วมในกิจกรรม อยู่ในระดบั มากท่ีสุด
คะแนน ๔ หมายถึง การมสี ่วนร่วมในกิจกรรม อย่ใู นระดบั มาก
คะแนน ๓ หมายถงึ การมีส่วนร่วมในกจิ กรรม อยใู่ นระดบั ปานกลาง
คะแนน ๒ หมายถงึ การมสี ว่ นร่วมในกิจกรรม อย่ใู นระดบั นอ้ ย
คะแนน ๑ หมายถงึ การมีสว่ นรว่ มในกจิ กรรม อยูใ่ นระดบั น้อยทสี่ ุด
ตอนท่ี ๓ เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนที่มี
ต่อการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ลกั ษณะเปน็ คาํ ถามปลายเปดิ (Open-ended)
๓.๔ การสร้างและตรวจสอบคณุ ภาพเคร่ืองมือ
ผู้วิจัยดําเนินการสร้างตรวจคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้ดําเนินการตามลําดับ
ขั้นตอน ดังน้ี
๓.๔.๑ ศึกษาค้นคว้า เอกสาร ตํารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพ่ือเป็นแนวทางในการ
กาํ หนดขอบเขตของเนื้อหาในการวจิ ยั และขอบเขตเนือ้ หาของแบบสอบถาม
๓.๔.๒ ศึกษาวิธีการสร้างแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า เพื่อเป็นแนวทางในการ
กําหนดรูปแบบเคร่ืองมือทเ่ี หมาะสมในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
๗๖
๓.๔.๓ จัดทําเครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถามแล้วนําเสนออาจารย์ที่ปรึกษา
ตรวจสอบเพอ่ื ปรับปรงุ แกไ้ ขตามข้อเสนอแนะใหม้ คี วามเหมาะสมและถกู ต้อง
๓.๔.๔ แก้ไขตามอาจารย์ท่ีปรึกษาเสนอแนะนํา และนําแบบสอบถามที่สร้างขึ้นตาม
เน้ือหา และวัตถุประสงค์ของการวิจัย เสนอผู้เช่ียวชาญตรวจสอบเพื่อปรับปรุงแก้ไขความเท่ียงตรงท้ัง
ดา้ นโครงสรา้ ง ดา้ นเนอื้ หา และสํานวนภาษา ผเู้ ชี่ยวชาญทั้งสามท่าน ประกอบด้วย
๑. ผศ.ดร.วิทยา ทองดี อาจารย์ประจําหลักสูตรหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่
๒. ผศ.ดร.นิเทศ สนั่นนารี อาจารย์ประจําหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น
๓. ผศ.ดร.ชาญชัย ฮวดศรี ผู้อาํ นวยการหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
๔. ดร.สมควร นามสีฐาน อาจารย์ประจําหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณ ฑิต
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
๕. ดร.ธีร์ดนัย กัปโก อาจารย์ประจําหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่
๓.๔.๕ นําไปทดลองใช้ (Try Out) นําแบบสอบถามไปทดสอบกับประชาชนตําบลโคกสี
อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ซ่ึงไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ จํานวน ๓๐ คน แล้วนํามาหาค่า
อํานาจจําแนกรายข้อ (Discrimination) ด้วยค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์อย่างง่าย (Item Total
Correlation) ได้ค่าอํานาจจําแนกอยู่ระหว่าง ๐.๒๓๘-๐.๖๖๓ และมีค่าอํานาจจําแนกอย่างมี
นัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .๐๕ นําแบบสอบถามวิเคราะห์ค่า IOC ปรากฏว่าได้ค่า IOC อยู่ระหว่าง
๐.๖๐ -๑.๐๐ และค่าความเช่ือม่ันของแบบสอบถาม (Reliability) ท้ังฉบับโดยใช้การวิเคราะห์หา
ความเช่อื ม่นั โดยใช้ค่าสมั ประสิทธแิ์ อลฟาครอนบาค (Cronbrach’s Alpha Coefficient)๒
๓.๕ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
การวิจัยครง้ั น้ี มีขน้ั ตอนการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ตามขั้นตอน ดงั นี้
๓.๕.๑ ขอหนังสอื ขอความอนุเคราะหใ์ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จากศูนย์การศึกษา บณั ฑิต
วิทยาลัย มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่
๓.๕.๒ ผู้วิจัยเก็บข้อมูลจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งท่ีอยู่ในเขตประชาชนตําบลโคกสี
อาํ เภอเมอื ง จังหวดั ขอนแก่น
๒ บญุ ชม ศรีสะอาด, การวิจัยเบื้องตน้ , พิมพ์ครัง้ ที่ ๗, (กรงุ เทพมหานคร: สุวิริยาสาส์น, ๒๕๔๕), หน้า
๑๐๐.
๗๗
๓.๕.๓ ก่อนแจกแบบสอบถามผู้วิจัยได้ขออนุญาตพร้อมท้ังช้ีแจงถึงจุดประสงค์ของการวิจัย
ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อยู่ในประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น (กลุ่ม
ตวั อยา่ ง) ทราบก่อน
๓.๕.๔ แจกแบบสอบถามให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่อยู่ในเขตประชาชนตําบลโคกสี
อาํ เภอเมอื ง จังหวัดขอนแก่น ประชาชนตอบแบบสอบถามเสรจ็ ผู้วิจยั เก็บแบบสอบถามชดุ น้นั เพราะ
ผู้วิจัยจะได้ตรวจสอบความสมบูรณ์ของการตอบแบบสอบถาม หากพบว่าประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่
อยู่ในเขตประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ตอบคําถามไม่ครบทุกข้อ ผู้วิจัยจะได้
ถามคําตอบข้อน้ันได้ทันที
๓.๕.๕ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถามอีกครั้ง และเก็บแบบสอบถามโดยเรียง
ตามเลขที่แบบสอบถาม จากเลขท่ี ๑ ถึงเลขท่ี ๓๘๓
๓.๕.๖ เตรยี มแบบสอบถามทเ่ี รยี งเลขแล้วไวว้ เิ คราะหข์ ้อมูลตอ่ ไป
๓.๖ การวเิ คราะห์ข้อมลู
ในการวจิ ัยครัง้ น้ีผู้วิจยั จะใช้โปรแกรมคอมพวิ เตอร์โปรแกรมสําเร็จรูปเป็นเคร่ืองมือชว่ ยใน
การวิเคราะห์ขอ้ มูลการวิจัย โดยดําเนนิ การตามข้นั ตอน ดังนี้
๓.๖.๑ ทําการตรวจสอบความสมบูรณ์และถกู ต้องของการตอบแบบสอบถาม ปรากฏว่ามี
ความสมบูรณ์ครบถ้วนทุกฉบับ
๓.๖.๒ บนั ทกึ ขอ้ มลู จากแบบสอบถามลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์สําเร็จรูป
๓.๖.๓ การจัดกระทาํ ขอ้ มูลเพ่ือเตรยี มการวิเคราะห์ ดงั น้ี
๑) แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม เป็นแบบสอบถามประเภท
สํารวจรายการ (Check List) ทําการลงรหัสขอ้ มลู ตามคุณลกั ษณ์ของข้อมูล
๒) แบบสอบถามเก่ียวกับความคิดเห็นของประชาชนท่ีมีต่อการมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นแบบสอบประเภท
มาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ (Rating Scale) ซึ่งมีหลักเกณฑ์การให้คะแนนในการวัดระดับความ
คิดเห็น/พฤตกิ รรมตามมาตรวดั แบบลเิ คอร์ท (Likert Scale) แบ่งค่าของคาํ ตอบเปน็ ๕ ระดบั ๓
๓ ชูศรี วงศ์รัตนะ, เทคนิคการใช้สถิติเพื่อการวิจัย, พิมพ์คร้ังที่ ๑๒, (กรุงเทพมหานคร: คณะ
ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ, ๒๕๕๓), หนา้ ๘๕.
๗๘
จากน้ันทําการแบ่งช่วงระดับคะแนนด้วยวิธีการหาความกว้างของอันตรภาคชั้น๔
ออกเปน็ ๕ ชว่ ง เพ่อื แปลความหมายจากผลคะแนนเฉล่ยี ดงั น้ี
ความกวา้ งของอนั ตรภาคชนั้ = คะแนนสงู สุด-คะแนนตาํ่ สดุ
ความกวา้ งของอนั ตรภาคชน้ั = จาํ นวนชว่ งท่ีต้องการ
=
๕๑
๕
๐.๘
การแปลความหมายของค่าเฉล่ยี ดังนี้
คะแนนเฉลี่ย ๔.๒๑ - ๕.๐๐ หมายถึง ระดับมากท่ีสดุ
คะแนนเฉล่ยี ๓.๔๑ - ๔.๒๐ หมายถงึ ระดับมาก
คะแนนเฉลย่ี ๒.๖๑ - ๓.๔๐ หมายถึง ระดับปานกลาง
คะแนนเฉล่ีย ๑.๘๑ - ๒.๖๐ หมายถงึ ระดับนอ้ ย
คะแนนเฉล่ยี ๑.๐๐ - ๑.๘๐ หมายถงึ ระดับน้อยที่สดุ
๓.๗ สถติ ทิ ี่ใช้ในการวจิ ัย
การวจิ ยั เร่ืองนี้ มสี ถติ ทิ ีใ่ ช้ในการทําวิจยั ๒ ประเภท ไดแ้ ก่
๓.๗.๑ สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) ได้แก่ ค่าความถ่ี (Frequency) ร้อยละ
(Percentage) ค่าเฉล่ยี ( X ) ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) เพ่ือวิเคราะหต์ วั แปร
๓.๗.๒ สถิติอนุมานหรืออ้างอิง (Inferential Statistics) ได้แก่ การทดสอบค่าที (t-test) และ
การทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว (One Way Anova or F-test) ถ้าพบความแตกต่างอย่างมี
นัยสําคญั ทางสถิติ จะทดสอบความแตกตา่ งของคา่ เฉลี่ยเป็นรายคดู่ ้วยวิธกี ารของ เชฟเฟ่ (Scheffé)
สูตรการหาค่าสถติ ทิ ่ีใชใ้ นการวิจยั มดี งั น้ี
๑. การหาคา่ รอ้ ยละ (Percentage)
P= Xx100
N
P = คา่ รอ้ ยละ
X = จํานวนผ้ตู อบแบบสอบถาม
N = จาํ นวนประชากร
๔ รังสรรค์ สิงหเลิศ, ระเบียบวิธีวิจัยทางสังคมศาสตร์, (มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยราชภัฏ
มหาสารคาม, ๒๕๕๑), หน้า ๓๓๕.
๗๙
๒. การหาคา่ เฉลยี่ (Mean) หรือมัชฌมิ เลขคณติ
x = x
N
x = คา่ เฉลย่ี
X = ผลรวมของผูต้ อบแบบสอบถาม
N = จํานวนประชากร
๓. การหาค่าสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
S= N fx 2 ( fx ) 2
S= N (N 1)
fX =
N= ค่าสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลรวมของผู้ตอบแบบสอบถามแตล่ ะระดับ
จาํ นวนประชากร
๔. การทดสอบสมมติฐาน (t-test)
t = X1 X2 2
S12 2
S
n1 n2
เมื่อ t = ค่าที - เทสท์ (t- test Independent) โดยท่ี df = n๑+ n๒-๒
x ๑ , x๒ = ค่าเฉลยี่ ของคะแนนกลุ่มที่ ๑ และกลมุ่ ที่ ๒ ตามลาํ ดบั
S๑๒ , S๒๒ = ความแปรปรวนของคะแนนกลมุ่ ท่ี ๑ และกล่มุ ที่ ๒ ตามลาํ ดับ
n๑ , n๒ = จํานวนคะแนนของกลมุ่ ที่ ๑ และกลมุ่ ท่ี ๒ ตามลาํ ดบั
๕. การวิเคราะหค์ วามแปรปรวนทางเดยี ว (One Way Anova) หรอื (F-test)
F = MS b
MS w
F = อตั ราสว่ นของความแปรปรวน
MSb = ค่าความแปรปรวนระหวา่ งกลุ่ม
MSw = คา่ ความแปรปรวนภายในกลมุ่
บทท่ี ๔
ผลการวิจยั
การวิจัยเรื่อง “การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอ
เมอื ง จงั หวัดขอนแก่น” ไดผ้ ลการวเิ คราะห์ข้อมูลซ่ึงจะได้นําเสนอตามลําดับดังตอ่ ไปน้ี
ตอนท่ี ๑ ปจั จยั ส่วนบุคคลของผตู้ อบแบบสอบถาม
ตอนที่ ๒ ผลระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี
อาํ เภอเมือง จังหวัดขอนแกน่ โดยพจิ ารณาเปน็ รายด้านตามตาราง
ตอนที่ ๓ ผลระดับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี
อําเภอเมือง จังหวดั ขอนแก่น ตามหลกั สปั ปรุ สิ ธรรม ๗ โดยพจิ ารณาเปน็ รายดา้ นตามตาราง
ตอนท่ี ๔ ผลการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบล
โคกสี อาํ เภอเมือง จงั หวดั ขอนแก่น
ตอนที่ ๕ ผลการวิเคราะห์แบบสัมภาษณ์แนวทางการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมือง
ของประชาชนตาํ บลโคกสี อาํ เภอเมอื ง จังหวัดขอนแก่น
ตอนท่ี ๖ องคค์ วามรู้ที่ไดร้ บั จากการวิจัย
๔.๑ ปจั จยั ส่วนบคุ คลของผู้ตอบแบบสอบถาม
ผลการวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม จํานวน ๓๘๓ คน จําแนกตาม
เพศ อายุ ระดบั การศกึ ษา รายไดต้ อ่ เดอื น และประสบการณท์ าํ งาน มีรายละเอียดดังนี้
ตารางที่ ๔.๑ จํานวนร้อยละผตู้ อบแบบสอบถาม จาํ แนกตาม เพศ
(n=๓๘๓)
เพศ จาํ นวน ร้อยละ
ชาย ๑๗๓ ๔๕.๑๗
หญงิ ๒๑๐ ๕๔.๘๓
รวม ๓๘๓ ๑๐๐
จากตารางที่ ๔.๑ พบว่า จํานวนผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จํานวน
๒๑๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๕๔.๘๓ รองลงมาได้แก่ เพศชาย จํานวน ๑๗๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๔๕.๑๗
ตามลาํ ดับ
๘๑
ตารางที่ ๔.๒ จํานวนร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จาํ แนกตาม อายุ
อายุ จํานวน (n=๓๘๓)
๑๘ – ๒๕ ปี ๘๖ รอ้ ยละ
๒๖ – ๓๐ ปี ๙๙ ๒๒.๔๕
๓๑ – ๔๐ ปี ๗๖ ๒๕.๘๔
๔๑ – ๕๐ ปี ๗๕ ๑๙.๘๔
๕๑ – ๖๐ ปี ๓๓ ๑๙.๕๘
๖๑ ปีขึ้นไป ๑๔ ๘.๖๑
๓๘๓ ๓.๖๕
รวม ๑๐๐
จากตารางท่ี ๔.๒ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง ๒๖ – ๓๐ ปี
จํานวน ๙๙ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๕.๘๔ รองลงมาได้แก่ ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอายุระหว่าง ๑๘ –
๒๕ ปี จํานวน ๘๖ คน ๓๑ – ๔๐ ปี จํานวน ๗๖ คน ๔๑ – ๕๐ ปี จํานวน ๗๕ คน ๕๑ – ๖๐ ปี
จํานวน ๓๓ คน และ ๖๑ ปีข้ึนไป จํานวน ๑๔ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๒.๔๕ ๑๙.๘๔ ๑๙.๕๘
๘.๖๑ และ ๓.๖๕ ตามลําดบั
ตารางท่ี ๔.๓ จํานวนร้อยละของผตู้ อบแบบสอบถามจําแนกตาม ระดับการศึกษา
ระดบั การศกึ ษา จาํ นวน (n=๓๘๓)
ประถมศกึ ษา ๙๘ ร้อยละ
มัธยมศึกษาตอนตน้ ๙๙ ๒๕.๕๙
มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ๗๖ ๒๕.๘๔
ปวช./ปวส. ๗๕ ๑๙.๘๔
ปริญญาตรี ๓๓ ๑๙.๕๘
ปรญิ ญาโทข้ึนไป ๒ ๘.๖๑
๓๘๓ ๐.๕๒
รวม ๑๐๐
จากตารางที่ ๔.๓ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีการศึกษาอยู่ในระดับมัธยม
ตอนต้น จํานวน ๙๙ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๕.๘๔ รองลงมาได้แก่ ผู้ตอบแบบสอบถามมีการศึกษาอยู่
ในระดับระดับประถมศึกษา จํานวน ๙๘ คน มัธยมศึกษาตอนปลาย จํานวน ๗๖ คน ปวช./ปวส.
จํานวน ๗๕ คน ระดับปริญญาตรี จํานวน ๓๓ คน และ ระดับปริญญาโทข้ึนไป จํานวน ๒ คน คิด
เปน็ ร้อยละ ๒๕.๕๙ ๑๙.๘๔ ๑๙.๕๘ ๑๙.๕๘ ๘.๖๑ และ ๐.๕๒ ตามลาํ ดับ
๘๒
ตารางท่ี ๔.๔ จาํ นวนรอ้ ยละผู้ตอบแบบสอบถาม จาํ แนกตาม อาชพี
อาชพี จาํ นวน (n=๓๘๓)
ข้าราชการ/รฐั วิสาหกิจ/พนกั งานของรัฐ ๔๑ รอ้ ยละ
เจา้ ของกจิ การ/ร้านค้า/ค้าขาย ๗๖ ๑๐.๗๐
พนกั งานบรษิ ัท/พนักงานรา้ นค้า ๗๑ ๑๙.๘๔
อาชพี อสิ ระ/ธุรกจิ ส่วนตวั /รับจา้ งทัว่ ไป ๙๕ ๑๘.๕๔
เกษตรกรรม/ปศุสตั ว์ /ประมง ๑๐๐ ๒๔.๘๐
อน่ื ๆ (โปรดระบ)ุ - ๒๖.๑๐
๓๘๓
รวม -
๑๐๐
จากตารางท่ี ๔.๔ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม/ปศุสัตว์ /
ประมง จํานวน ๑๐๐ คน คิดเปน็ ร้อยละ ๒๖.๑๐ รองลงมาได้แก่ ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีอาชีพอสิ ระ/
ธุรกิจส่วนตัว/รับจ้างทั่วไป จํานวน ๙๕ คน เจ้าของกิจการ/ร้านค้า/ค้าขาย จํานวน ๗๖ คน
พนักงานบริษัท/พนักงานร้านค้า จํานวน ๗๑ คน ข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ/พนักงานของรัฐ จํานวน
๔๑ คน คดิ เป็นรอ้ ยละ ๒๔.๘๐ ๑๙.๘๔ ๑๘.๕๔ และ ๑๐.๗๐ ตามลาํ ดบั
ตารางที่ ๔.๕ จํานวนรอ้ ยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จําแนกตาม รายได้ตอ่ เดอื น
(n=๓๘๓)
รายได้ตอ่ เดอื น จาํ นวน ร้อยละ
ตาํ่ กว่า ๕,๐๐๐ บาท ๗๑ ๑๘.๕๓
๕,๐๐๑ – ๑๐,๐๐๐ บาท ๑๐๕ ๒๗.๔๑
๑๐,๐๐๑ – ๑๕,๐๐๐ บาท ๙๖ ๒๕.๐๖
๑๕,๐๐๑ - ๒๐,๐๐๐ บาท ๗๕ ๑๙.๕๘
๒๐,๐๐๑ บาทขึน้ ไป ๓๖ ๙.๓๙
๓๘๓ ๑๐๐
รวม
จากตารางที่ ๔.๕ พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มรี ายได้ต่อเดอื นระหวา่ ง ๕,๐๐๑
– ๑๐,๐๐๐ บาท จํานวน ๑๐๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๗.๔๑ รองลงมาได้แก่ ผู้ตอบแบบสอบถามท่ีมีมี
รายได้ต่อเดือนระหว่าง ๑๐,๐๐๑ – ๑๕,๐๐๐ บาท จํานวน ๙๖ คน ๑๕,๐๐๑ - ๒๐,๐๐๐ บาท
จํานวน ๗๕ คน จาํ นวน ๗๑ คน ตาํ่ กวา่ ๕,๐๐๐ บาท จาํ นวน ๗๑ คน และ ๒๐,๐๐๑ บาทขึ้น
ไป จาํ นวน ๓๖ คน คิดเป็นร้อยละ ๒๕.๐๖ ๑๙.๕๘ ๑๘.๕๓ และ ๙.๓๙ ตามลาํ ดับ
๘๓
๔.๒ ผลการวิเคราะห์ระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของ
ประชาชนตาํ บลโคกสี อําเภอเมือง จังหวดั ขอนแก่น โดยพจิ ารณาเป็นรายด้าน
ตารางท่ี ๔.๖ ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทาง
การเมืองของประชาชนตาํ บลโคกสี อาํ เภอเมอื ง จังหวัดขอนแกน่ โดยภาพรวม
ดา้ นท่ี การมสี ่วนรว่ มในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชน ระดบั ความคดิ เห็น
ตําบลโคกสี อาํ เภอเมอื ง จังหวดั ขอนแก่น x S.D. ระดบั
๑ ด้านการลงคะแนนเสยี งเลือกตั้ง ๓.๗๕ ๐.๖๐ มาก
๒ ดา้ นกจิ กรรมการรณรงคห์ าเสียง ๓.๗๗ ๐.๕๗ มาก
๓ ด้านการติดตอ่ ในฐานะของพลเมือง ๓.๕๘ ๐.๒๙ มาก
ภาพรวม ๓.๗๐ ๐.๔๙ มาก
จากตารางที่ ๔.๖ พบว่า การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคกสี
อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x = ๓.๗๐) เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน
พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลําดับจากมากไปหาน้อย พบว่า ด้านกิจกรรมการรณรงค์หาเสียงมี
ค่าเฉล่ียมากท่ีสุด (x = ๓.๗๗) รองลงมาได้แก่ ด้านการลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง (x= ๓.๗๕) และ ด้าน
การตดิ ตอ่ ในฐานะของพลเมอื ง (x = ๓.๕๘) ตามลําดบั
ตารางที่ ๔.๗ ค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทาง
การเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ด้านการลงคะแนน
เสยี งเลอื กตงั้
ขอ้ ที่ ด้านการลงคะแนนเสยี งเลอื กตง้ั ระดับความคิดเห็น
x S.D. ระดับ
๑ การลงคะแนนเสยี งเลอื กต้งั ทาํ ใหป้ ระชาชนมอี าํ นาจเหนอื ผสู้ มคั รรับ ๓.๖๕ ๐.๖๓ มาก
เลอื กตงั้
๒ การลงคะแนนเสียงเลอื กตั้งเปน็ เบ้ืองตน้ ของขบวนการทางการเมืองของ ๓.๙๔ ๐.๔๘ มาก
ประชาชน
๓ การรว่ มชื่นชอบของพลเมอื ง และแรงกดดันทาํ ให้คะแนนเสยี งเป็น ๓.๘๖ ๐.๕๙ มาก
เสมอื นอาวุธท่มี อี ํานาจควบคุมรฐั บาล
๔ ท่านคอยตดิ ตามประวตั ิและขา่ วคราวเก่ยี วกบั ผู้สมคั รอยเู่ สมอ ๓.๕๒ ๐.๔๒ มาก
๓.๘๕ ๐.๖๖ มาก
๕ ท่านไดช้ กั ชวนคนอนื่ ให้ไปใชส้ ทิ ธเิ์ ลือกตั้ง ๓.๕๒ ๐.๗๐ มาก
๓.๘๕ ๐.๗๗ มาก
๖ ทา่ นไดม้ สี ่วนรว่ มเปน็ กรรมการดําเนนิ การจดั การเลือกต้งั ๓.๖๑ ๐.๖๔ มาก
๓.๘๒ ๐.๖๘ มาก
๗ ทา่ นไดท้ าํ การเผยแพร่ข่าวสารขอ้ มูลใหผ้ ู้อ่ืนไปใช้สทิ ธเ์ิ ลือกตง้ั ๓.๙๒ ๐.๕๐ มาก
๓.๗๕ ๐.๖๐ มาก
๘ ท่านสนใจตดิ ตามข่าวสารการลงคะแนนเสียงเลอื กตั้ง
๙ ท่านไดร้ ว่ มตรวจสอบการนบั คะแนนเสยี งเลือกตงั้
๑๐ ท่านได้มีสว่ นรว่ มติดตามและตรวจสอบการนบั คะแนนเสยี งเลือกตง้ั
ภาพรวม
๘๔
จากตารางท่ี ๔.๗ พบว่า การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคก
สี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ด้านการลงคะแนนเสียง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x = ๓.๗๕)
เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า อยู่ในระดับมากทุกข้อ เรียงลําดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อยสาม
ลําดับแรก พบว่า ข้อที่มีค่าเฉล่ียมากที่สุด คือ ข้อที่ ๒ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นเบื้องต้นของ
ขบวนการทางการเมืองของประชาชน (x = ๓.๙๔) รองลงมา คอื ข้อท่ี ๑๐ ทา่ นไดม้ ีสว่ นร่วมติดตาม
และตรวจสอบการนับคะแนนเสียงเลือกต้ัง (x= ๓.๙๒) และข้อที่ ๓ การร่วมชื่นชอบของพลเมือง
และแรงกดดนั ทาํ ให้คะแนนเสยี งเปน็ เสมือนอาวธุ ท่ีมีอาํ นาจควบคุมรฐั บาล (x= ๓.๘๖) ตามลําดับ
ตารางท่ี ๔.๘ ค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานระดับความคิดเห็นการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทาง
การเมืองของประชาชนตําบลโคกสี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ด้านกิจกรรมการ
รณรงค์หาเสยี งเลือกตงั้
ขอ้ ท่ี ด้านกิจกรรมการรณรงคห์ าเสยี งเลอื กต้ัง ระดบั ความความคดิ เหน็
x S.D. ระดับ
๑ สังเกตการณ์ปราศรยั หาเสียงทางการเมือง ๓.๖๕ ๐.๕๒ มาก
๓.๙๒ ๐.๔๘ มาก
๒ สังเกตพฤติกรรมของนักการเมืองจากสื่อประเภทต่าง ๆเช่น
หนงั สอื พมิ พ์ เฟสบคุ เว็ปออนไลน์ เป็นต้น ๓.๙๖ ๐.๕๙ มาก
๓.๕๔ ๐.๔๒ มาก
๓ เข้ารว่ มพูดคุยการเลอื กตัง้ ตามท่สี าธารณะ ๓.๘๕ ๐.๖๖ มาก
๓.๗๒ ๐.๗๐ มาก
๔ เข้ารว่ มสนทนาการเลือกตง้ั ท่ีเปน็ ทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ ๓.๙๕ ๐.๕๗ มาก
๓.๕๑ ๐.๗๔ มาก
๕ อธบิ ายใหเ้ หน็ คุณคา่ ของการเลอื กตง้ั
๓.๘๒ ๐.๔๘ มาก
๖ พดู ช้ีนําให้เห็นผลดขี องการไปเลอื กตง้ั ๓.๗๗ ๐.๕๗ มาก
๗ พูดชกั ชวนชีน้ าํ ใหไ้ ปเลอื กต้ังตามวันเวลา
๘ การสนทนาหรือแสดงความคิดเห็นการเลือกตั้งกับบุคคลใน
ครอบครัว เพอื่ น หรือบุคคลอ่นื
๙ การตดิ ตามผลการเลือกตง้ั ผ่านสื่อต่าง ๆ
ภาพรวม
จากตารางท่ี ๔.๘ พบว่า การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของประชาชนตําบลโคก
สี อําเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ด้านกิจกรรมการรณรงค์หาเสียง โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x =
๓.๗๗) เม่ือพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า อย่ใู นระดบั มากทกุ ขอ้ เรียงลําดับจากมากไปหานอ้ ยสามลาํ ดับ
แรก พบว่า ข้อที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ข้อท่ี ๓ เข้าร่วมพูดคุยการเลือกต้ังตามท่ีสาธารณะ (x =
๓.๙๖) รองลงมา คือ ข้อท่ี ๗ พูดชักชวนช้ีนําให้ไปเลือกต้ังตามวันเวลา (x= ๓.๙๕) และ ข้อที่ ๒
สังเกตพฤติกรรมของนักการเมืองจากสื่อประเภทต่าง ๆเช่น หนังสือพิมพ์ เฟสบุค เว็ปออนไลน์ เป็น
ต้น (x= ๓.๙๒)