ôð ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»âÚ Þ,¼È.´Ã.
กลาวถึงแลวในงานวิจยั ของพระธรรมวสิ ทุ ธิเถระ๒ สําหรบั งานวิจัยเลม น้ีมวี ตั ถปุ ระสงค
หลกั เพือ่ มุงเนน เฉพาะเรือ่ งความเปนไปของคณะสงฆส องนกิ ายเทานั้น
เชอ่ื กันวา พระปาวนวาสีสวนใหญพํานักพักอาศัยตามปาเขาและดอยดง ตาง
มงุ มน่ั สนใจแตเ รอ่ื งวิปส สนากรรมฐาน๓ แตมิไดหมายความวาทา นไดต ัดขาดจากสังคม
ชาวบา น หลกั ฐานบอกวาพระปาวนวาสีไดมีการโยกยายเร่ือยไป ไมวาเมืองหลวงจะ
ยายไปทแ่ี หงใด สมยั อาณาจกั รโปโฬนนารวุ ะน้ัน ศนู ยกลางของสํานักทิมบุลาคณะวน
วาสีไดยา ยไปอยูที่ปลาพัตคะละ๔ และยังดํารงคงม่ันในฐานะเปนศูนยกลางของคณะ
สงฆฝายวนวาสีจนกระทั่งถึงสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะ แตครั้นกษัตริยสิงหลอพยพ
โยกยา ยผคู นไปสรางเมืองหลวงแหง ใหมทางตะวนั ตกเฉยี งใตใกลชายทะเล ศูนยกลาง
ของคณะสงฆฝายวนวาสีก็เคล่ือนยายดวยเชนกัน หลักฐานระบุวาประมาณพุทธ
ศตวรรษที่ ๒๐ คณะสงฆฝายวนวาสีแหงสํานักปลาพัตคะละก็ยังเปนที่รูจักกัน
แพรห ลาย แตไ มน านเกิดมีคณะสงฆฝายวนวาสีซึ่งมศี ูนยก ลางอยูที่แครคละบริเวณหัว
เมืองทางตะวันตกของเกาะประมาณ ๓๐ ไมล ดานทิศเหนือของเมืองโกฏเฏ คัมภีร
หงั สสนั เดศยะไดอธบิ ายถงึ การกอตงั้ สถาบนั การศกึ ษาของวัดแครคละ ซึ่งมพี ระเถระผู
เปน หวั หนา นามวาวนรัตนมหาสามี๕
๒ Y Dhammavisuddhi, The Buddhist Sangha in Ceylonc. 1200-1400.
(Unpublished thesis submitted for the degree of Doctor of Philosophy of the
University of London), 1970. p.13ff.
๓ Ibid., p.66.
๔ ปลาพัตคะละเปนภูเขาตั้งอยูบริเวณเขตรัตนปุระแหงมณฑลสบรคามุวะ see,
JCBRAS, xxxi, pp.511-512.
๕ Hims.,v.165ff. H.W. Codrington, ‘the karatala inscription’, JCBRAS., no
96, 1925.
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÕÅѧ¡Ò ôñ
นอกจากแครคละแลว สํานักวนวาสีแหงเมืองวัตตละก็มีช่ือเสียงโดงดัง
เชน เดยี วกนั สมภารเจาวัดสมยั น้ันนามวาพระนาคเสนมหาเถระ๖ เช่อื กันวา ทานมีชีวิต
อยูสมัยอาณาจักรดัมพเดณิยะหลักฐานชิ้นน้ีสามารถระบุระยะเวลายอนถอยหลังไป
จนถึงพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ คมั ภรี ห งั สสันเดศยะ และจารกึ แครคละระบุวา วัดแหงนีเ้ ปน
ท่พี าํ นักพักอาศัยของพระนาคเสนเถระผูเ ปนสมภารเจา วดั เหตุท่ีทราบเพราะคาดเดา
เอาจากการเกดิ ขนึ้ ของสํานักแครคละ สมัยน้สี ํานักวนวาสแี หง น้ีอาจจะสูญเสยี ช่ือเสียง
และหมดความสาํ คัญ สาํ นกั วนวาสอี ีกแหง หน่ึงอยูท ่ีเมอื งเบนโตตะทางตอนใตข องเกาะ
มกี ลา วถึงหลายครั้งตามคมั ภีรนอ ยใหญ๗ แตไ มม ีหลักฐานชีช้ ดั ถึงพระเถระผรู ง้ั ตําแหนง
สมภารเจาวดั เพยี งบอกวา เปนศนู ยก ลางของคณะสงฆฝา ยวนวาสีเชน กนั
รายละเอียดโดยยอของสํานักแครคละมีกลาวถึงในคัมภีรหังสสันเดศยะ
ผูเขียนบอกวาเปน ผูศรทั ธาช่ืนชอบอยางสงู ตอพระนวรตั นมหาสามแี หงสํานักแครคละ
คมั ภีรเลมนี้กลา วถึงวิถีชวี ิตของพระสงฆวาดํารงตนตามกฎระเบียบ ประพฤติถูกตอง
ตามพระวินยั และงดงามดว ยศีลจารวัตร ลกั ษณะเชนนี้ถือวาเปนหลักปฏิบัติเบื้องตน
ของพระสงฆผูพํานักพักอาศัยในอารามแหงนี้๘ นอกจากน้ันยังมีการฝกฝนดวย
วิปสสนาธุระดวย สอดคลองกับกฎระเบียบของดัมพเดณิกติกาวัตรวา หลักปฏิบัติ
เบื้องตนของพระสงฆฝ ายวนวาสีคือควรใสใ จเรือ่ งวปิ สสนาธุระ การเนนเรื่องวิปสสนา
ธรุ ะของพระสงฆฝ า ยวนวาสีบอกไวชัดในคัมภีรสัทธรรมรัตนากรยะของพระวิมลกีรติ
เถระ ซึง่ ทา นเปน พระนักปราชญผชู ืน่ ชอบสํานักวนวาสีแหงน้ี เพราะเช่ือเรื่องการสูญ
หายเสาคํ้าหลักพระพุทธศาสนา (ปญจอันตรธาน) ผูเขียนไดรองขอใหสรรพสัตว
วิปส สนากรรมฐาน เพือ่ ใหค ําสอนของพระพุทธเจารุงเรืองสวางไสวช่ัวกาลนาน สวน
๖ Hims., v.195ff; H.W. Codington, ‘The Karagala inscription’, JCBRAS., no
96. 1925, p.29ff.
๗ Tss., v.65; Prs.,v.69; Grs. ,v.105; kks., v.90.
๘ Hms., v.173.
ôò ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»âÚ Þ,¼È.´Ã.
ความมั่งค่ังแหงจักรพรรดิผูเขียนไดกระตุนเตือนใหอุบาสกอุบาสิกาพัฒนากุศลจิต
ภาวนาเพอื่ เปน กุศลกรรมวบิ ากหลงั จากสังขารไปสูปรโลกเบ้ืองหนา ความสนใจเรื่อง
วิปส สนากรรมฐานของพระสงฆฝายวนวาสีดังกลาว ไมไดหามเรียนรูหรือสรางสรรค
ผลงานดานวรรณกรรมแตอยางใด เพราะมพี ระสงฆฝายวนวาสีเปนจํานวนมากพากัน
สรา งช่ือเสียงในฐานะพระนักปราชญ ดังเชนพระสงฆที่สืบเชื้อสายมาจากพระธรรม
กีรติเถระแหงสํานักปลาพัตคะละ ลวนโดงดังในฐานะพระสงฆผูทรงความรูในดาน
วรรณคดรี ายช่ือพระสงฆนักปราชญที่สืบสายมาจากพระธรรมกีรติเถระ และผลงาน
ของทา นปรากฏในปจฉมิ บทของคัมภีรส ัทธรรมรตั นากรยะ
คัมภีรนอยใหญสมยั น้ัน ชี้วางานเขียนของพระสงฆฝายวนวาสี ลวนกลาวถึง
แตเร่อื งธรรมสงั เคราะห๙ ไมยงุ เก่ยี วการเรียนการสอนหรอื ผลิตผลงานดานโลกศาสตร
เชน กวีนิพนธ การละคร และดาราศาสตร๑๐ แตหลังจากตรวจสอบหลักฐานอยาง
ละเอียดแลว กลับเหน็ วา ไมไดเ ปน นั้นจริง ตวั อยา งเชน พระวนรัตนมหาสามีแหงสํานัก
แครคละเปนปราชญแตกฉาน ท้ังคดีโลกและคดีธรรมไมแพพระสงฆนักปราชญฝาย
คามวาสี๑๑ คัมภีรหังสสันเดศยะบอกวาทานไดแตงคัมภีรดําเนินตามกาพยภาษา
สนั สกฤต ซึ่งถือวา เปน มาตรฐานในการผลติ ผลงานกวีนพิ นธแนวสันเดศยะ๑๒ คมั ภีรกวี
นิพนธเลม นี้ผเู ขียนยกยองพระวนรตั นเถระวาเปนผูเชี่ยวชาญความรูทางโลก เชน กวี
นิพนธ ละคร และดาราศาสตร๑๓ และอธิบายถึงปทมาวดีปริเวณะท่ีแครคละวา
พระสงฆนักศึกษารูปศึกษาทางโลกดวย ดังเชน กวีนิพนธและละครเชิงศาสนา๑๔
๙ Sannasgala, Sinhala Sandesa Sahtyaya, p.179; M. Wickramsinha,
Sinhala Sahityaya Nagima, Colombo, 1954, p. 140.
๑๐ Sannasgala, Sinhala Sandesa Sahityaya, p.๑๗๙.
๑๑ Hms., v.144ff; cf. Grs., v.16ff.
๑๒ Hms., Introduction, p.xxv.
๑๓ Hms., vv.194-196.
๑๔ Hms., v.191.
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÅÕ Ñ§¡Ò ôó
รายละเอียดเก่ียวกับหลักสูตรของสถาบันแหงน้ีจะวิเคราะหตอไปหลักฐานดังกลาว
เบ้ืองตน ช้ใี หเห็นวาพระสงฆฝายวนวาสยี คุ นี้มิไดเ รยี นวชิ าทางโลกเทานั้นแตยังผลิตผล
งานอีกดว ย
กลาวกันวา พระสงฆฝ า ยวนวาสีปฏเิ สธคติความเชื่อของมหายานและความเชือ่
แบบชาวบานขณะทฝี่ า ยคามวาสกี ลบั ยอมรบั ความเช่อื เหลา นน้ั อยา งอสิ ระ๑๕ หลกั ฐาน
เหลาน้ีมกี ลาวถึงในคัมภีรสัทธรรมรัตนากรยะ ซ่ึงเปนงานเขียนเชิงกวีกวีธรรมะสมัย
พุทธศตวรรษที่ ๒๐ แตง โดยพระธรรมทนิ นวิมลกีรติเถระ ถือวาเปนสุดยอดงานเขียน
ของพระสงฆฝายวนวาสี เน้ือหากลาวถึงพระพุทธเจามี ๔ กาย กลาวคือ รูปกาย
ธรรมกาย นิมิตกาย และสูญกาย ผูเ ขียนอธบิ ายความหมายเหลาน้ีวา รูปกายหมายถึง
พระพทุ ธเจาในรางกายสามัญมนุษยซึ่งสามารถมองเห็นดวยประสาทเน้ือ ธรรมกาย
เปน รางแหงการตรสั รภู ายใน หรือธรรมะของพระพทุ ธองค สวนนิมติ กายอธบิ ายวา เปน
สภาวะของโสปาธเสสนิรวาณธาตุหมายถึงนิพพาน สวนท่ีเหลือเปนภาวะสามารถ
มองเห็นไดเ พียงผวู เิ ศษเทานั้น และสญู ตาเปน ภาวะของพระพุทธเจาในลกั ษณะของอนุ
ปาธิเสสนิรวาณธาตุ ดงั เชน การประทานพรพระนิพพานปราศจากสว นทีเ่ หลอื ตัวตน๑๖
คําสอนเกี่ยวกบั กายสามของพระพทุ ธเจา เปน หลกั คาํ สอนเดนอยางหนึ่งของ
มหายาน พบเหน็ ในคมั ภรี อษฏสาหสั ริกาปรัชญาปารมติ า ทานนาคารชนุ อธิบายวากาย
ของพระพทุ ธเจา มีสองเทา นน้ั กลา วคอื รปู กาย๑๗ สาํ นักวชิ ญาณวาทไดเ พม่ิ กายสามเขา
๑๕ M. Wickramasinha, op.cit., p.120.
๑๖ See L ‘Abhidhammakosa de Vasubndhu, Traduit et Annote par louis
De La Vallee Poussin, ii, p.294, vi, p.211; louis De La Vallee Poussin, The Two
Nirvanadhatus according to the Vibhasa, Indian Historicail Quarterly, vi. pp.39-45.
๑๗ N. Dutt. Aspecst of Mahayana, Buddhism and Its Relation to
Hinayana, London, 1930, p.95; M. Sasanaratana, Lakdiva Mahayana Adakas,
Colombo, 1969, p.217.
ôô ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»âÚ Þ,¼È.´Ã.
มากลาวคือสัมโภคกายจึงกลายเปนตรีนิกายของมหายาน๑๘ บรรดาตรีกายเหลานั้น
ธรรมกายหรือธรรมธาตุ เปน สารัตถะหลักของพระพุทธเจา และเปนของจริงแทหน่ึง
เดียวตามปรากฏการณและเปนปจเจกภาพ สําหรับสัมโภคกายเปนภาคสําแดงเปน
ภาวะเหนือธรรมชาติ พระพทุ ธเจา ปรากฏพระกายบนสวรรคหรอื สําแดงรางในรปู แบบ
ของเทวดาอันเรอื งรอง สวนนิรมาณกายหมายถึงรางกายท่ีเปลี่ยนรูปรางตามกฎไตร
ลักษณ ช่ือวาเปนกายเน้ือของพระพุทธเจา๑๙ ศัพทวาธรรมธาตุตามความหมายคือ
ธรรมชาตขิ องสรรพสง่ิ ซ่ึงเปนทร่ี จู ักกันดีของนักศึกษาภาษาบาลี๒๐ สวนอีกสองอยาง
เปนท่ีรูจักกันดีในหมูศาสนิก ผูศรัทธามหายาน๒๑ การอธิบายเรื่องตรีกายและกายส่ี
ของพระพุทธเจา ตามหลกั คาํ สอนของมหายานอยางละเอียดเชน นี้ แสดงใหเ หน็ วาพระ
ธรรมทนิ นวิมลกีรตเิ ถระคุน เคยกับหลกั คําสอนเหลาน้เี ปนอยา งดี
คําสอนเรื่องรูปกายมีความคลายคลึงกับนิรมาณกาย แนวความคิดของ
มหายานเกี่ยวกับธรรมกายอาจจะเปรียบเทียบกับธรรมกายของคัมภีรเลมน้ี
ความหมายของนิมิตกายตามคมั ภีรเ ลมนี้ ถือวา เปน การตอ เตมิ เสริมแนวความคิดเร่ือง
สัมโภคกายของมหายาน เพราะผูเขียนไดเพ่ิมอีกหนึ่งกายตามหลักคําสอนเรื่องกาย
การอธิบายเร่ืองกายชใ้ี หเห็นถึงการขยายแนวความคิดเรื่องสุญญตา ของทานนาคาร
ชุน๒๒ แสดงใหเ หน็ วาพระธรรมทินนวิมลกีรติเถระรูจักผลงานของทานนาคารชุนเปน
อยางดี กลาวเฉพาะบทที่ ๗ มีช่ือวาไมตรียสังครหกถาอธิบายเร่ืองพระพุทธเจาทรง
พยากรณพระไมตรียพุทธเจา ตามคําทูลนิมนตของพระสารีบุตรในโอกาสช่ือวารุวัน
๑๘ N. Dutt, op.cit.p.117ff; Har Dayal, The Bodhisattva Doctrine in
Buddhist Sankrit Literature, p. 29.
๑๙ N. Dutt, op.cit., p. 113ff.
๒๐ See Dhigha Nikaya, (PTS), 2.p.9; Majjhima Nikaya, (PTS), 1. P.396.
๒๑ S. Paranavitana, ‘Mahayanism in Ceylon’, CJSc, ii, p.43.
๒๒ M. Sasanaratana, Baudha Darsana Sanghaya, Colombo, 1953, 2.vv.
๔๙-๕๓.
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÅÕ Ñ§¡Ò ôõ
สักมณะ ความแตกตางอยางเดนชัดขอหน่ึงระหวางมหายานกับเถรวาท คือความ
ผกู พันกบั คติความเชอื่ เรอื่ งพระโพธสิ ัตว หรอื พระพุทธเจาในอนาคต มหายานยอมรับ
วา มีพระโพธสิ ตั วจาํ นวนมากมายนับไมถ ว น๒๓ แมเจาชายสิทธัตถะกอนตรัสรูเปนพระ
โคตมพทุ ธเจา ก็ถือวา เปนพระโพธสิ ตั วเ ชนกนั คติความเชอ่ื เรอ่ื งพระโพธสิ ัตว จึงไดกอ
รางสรางตัวกลายเปนหลักคําสอนสําคัญอยางหนึ่งของชาวสิงหล ดวยเหตุน้ันคัมภีร
สัทธรรมรัตนกรยะอางอิงเรื่องพระไมตรีโพธิสัตวจึงพิจารณาไดวาเปนการยอมรับ
โดยเฉพาะการพยากรณเกี่ยวกับพระไมตรียโพธสิ ตั ววามีตน เคามาจากมหายาน๒๔
ตั้งแตสมัยอนรุ าธปุระตอนปลายเปนตน มา กษัตริยล ังกาลว นยอมรับคติความ
เชื่อพระโพธิสัตวตามนัยมหายาน๒๕ สิลาจารึกท่ีสํานักเชตะวันวิหารชี้บอกวาพระ
โพธสิ ตั วเ ทานน้ั จงึ สามารถเปน กษัตริยของเกาะลังกาได ความเช่ือแบบมหายานทรง
อิทธิพลเร่ือยมาจนถงึ พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ พระบรมราชูทิศแหงโอรุวะระ ระบุวาพระ
เจา ปรากรมพาหุท่ี ๖ ทรงเปนพระโพธิสัตวผูยิ่งใหญ เรียกวาโพธิสัตวาวตาระ ผูแตง
คัมภีรสัทธรรมรัตนากรยะก็ยืนยันวาพระองคเปนพระโพธิสัตวจริง หลักฐานสวนนี้
ช้ีใหเห็นวาพระธรรมทินนวิมลกีรติเถระ ยอมคติความเช่ือมหายานดวยการอางถึง
กษัตรยิ วา เปน พระโพธสิ ัตว มคี ติความเชอ่ื ของมหายานสอดแทรกอยูในงานเขียนสมัย
นั้นดว ย ดังเชน เนอ้ื หาของคัมภีรหังสเดศยะไดข อรองใหพระวนรัตนเถระสาธยายรัตน
สูตร เพ่ือแสดงความออ นนอมคารวะตอ เทพอุบลวัณ เทพสามัน และเทพวิภีศะณะ๒๖
ต้งั จติ ปรารถนาใหเทพเหลาน้นั ประทานพรแกพระเจาปรากรมพาหุ ความจริงแลวเถร
วาทยคุ ด้งั เดมิ ไมเ กี่ยวขอ งกับคติความเช่ือเหลานเ้ี ลย แตก ลายมาเปนท่ีรูจักแพรหลาย
๒๓ Bodhicaryavatara, ed. W. Meddhananda, Colombo, 1953, 2vv.49-53.
๒๔ M. Sasanaratana, Lakdiva Mahayana Adahas, p.213.
๒๕ G.C. Mendis, Early History of Ceylon, Colombo, 1959, p.54.
๒๖ Hms.,v.201ff. H.W. Codrington, ‘the karatala inscription’, JCBRAS., no
96, 1925.
ôö ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»ÚâÞ,¼È.´Ã.
สมัยกลาง แมแตพระวนรัตนเถระก็ไมสามารถปฏิเสธอิทธิพลความเชื่อทางสังคมได
ดวยเหตุดงั กลาวหลกั คาํ สอนของมหายานและคตคิ วามเช่ือชาวบา นตางเปน ท่รี จู กั กันดี
ของพระสงฆฝายวนวาสี เพราะผูเขยี นคัมภีรสทั ธรรมรัตนากรยะและคัมภีรหื ังสสนั เดศ
ยะ ลว นไดแรงบันดาลใจจากคัมภีรข องมหายานทั้งสิน้
๒.๑.๒ คณะสงฆฝายคามวาสี
สําหรับคณะสงฆฝายคามวาสีนั้นอาศัยอยูตามอารามวิหารใกลเมืองหรือ
หมูบ าน ทาํ งานพระศาสนาอยูกับชาวบานเปนปกติวิสัย ศูนยกลางสวนใหญอยูกลาง
เมืองหลวง สมัยอาณาจักรดมั พเดณยิ ะนน้ั คระสงฆฝ า ยคามวาสีมีศูนยกลางอยูท่ีวิชัย
สนุ ทรารามแหง เมอื งดัมพเดณยิ ะ๒๗ คมั ภรี ว ตุ ตมาลาสันเดศสตกะ ซึ่งเปนกาพยภาษา
บาลีไดอ ธบิ ายรายละเอยี ดเกีย่ วกับวดั ที่แดดคิ ามะวา สรา งโดยพระเจาปรากรมพาหุท่ี
๕๒๘ และระบุเพิ่มเติมวาอาวาสแหงนี้มีพระผูใหญท้ังสองคณะอาศัยอยู๒๙ แมไมมี
หลักฐานระบุแนชัดวาอาวาสแหงน้ีเปนศูนยกลางของคณะสงฆฝายคามวาสี แตก็
ยนื ยันไดว า เปนศนู ยกลางการบริหารคณะสงฆ
ภายหลังการลม สลายของอาณาจกั รดมั พเดณิยะ ลว งเขา สมัยพระเจา ปรากรม
พาหทุ ่ี ๖ แหง อาณาจักรโกฏเฏ๓๐ พระองคโ ปรดใหสรา งอาวาสหลายแหง บริเวณเมือง
หลวงโกฏเฏ สันนิษฐานวานาจะนอมถวายแดพระสงฆฝายคามวาสี เพ่ือใหเปน
ศูนยกลางสงเคราะหชวยเหลือชาวบาน งานเขียนประเภทสันเดศยะยุคนี้กลาวถึง
อาวาสขนาดใหญในเมืองโกฏเฏนามวารามราชมหาวิหาร๓๑ แปลวาวัดของพระเจา
แผนดิน นาจะเปนวัดสําคัญสรางโดยพระเจาปรากรมพาหุ นอกจากน้ันยังมีตามหัว
๒๗ D. Sumanajoti, Damabadeni Yugaya, 2.p.69; Sdhityaya, 4.63.
๒๘ Vss.,v.51 f.
๒๙ SSL., p.104.
๓๐ JCBRAS., xxii, p.15.
๓๑ Sahityaya, 2, 1957. P.69.
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÅÕ §Ñ ¡Ò ô÷
เมืองนอยใหญต ลอดอาณาจักร วัดเหลานี้คงเปนศูนยกลางทางศาสนาของบานเมือง
เกอื บครึ่งศตวรรษ แตรัชสมัยพระเจาภูวเนกพาหุกลับไมมีกลาวถึง อาจเปนไปไดวา
ความมากอิทธิพลของโปรตเุ กสและบทบาทของคณะมิชชนั นารตี อพระเจา ภูวเนกพาหุ
จึงทําใหสถานภาพและช่ือเสียงของคณะสงฆสิ้นสุดลงนับตั้งแตชวงแรกแหงการณ
ครองราชยของพระเจา ธรรมปาละ
ความเสยี หายรายแรงเกิดข้นึ กับราชมหาวหิ าร เม่ือพระเจาธรรมปาละไดเขารีต
เปนคริสต พระสงฆตามอารามวิหารเหลานี้จึงพากันท้ิงวัดเสีย แลวอพยพไปอาศัย
อาณาจักรสีตาวะกะ และอาณาจักรแคนดี๓๒ หลกั ฐานในพระบรมราชูทิศแสดงใหเห็นถึง
ความศรัทธามั่นคงตอ ศาสนาใหม ของพระเจา ธรรมปาละวา พระองคท รงประทานอาราม
วิหารนอยใหญท่ีดินและภาษีวัดท้ังหมดภายในอาณาจักรโกฏเฏ มอบถวายใหแกพวก
มชิ ชนั นารเี พอื่ เปนทุนสําหรบั คํ้าจุนวิทยาลัย ซ่ึงบาทหลวงโรมันคาทอลิกกําลังเรงสราง
ตามหวั เมอื งนอ ยใหญช ายทะเล นอกจากอารามนามราชมหาวิหารเหลานั้นแลว จํานวน
วดั มากหลายท่สี ังกัดคณะสงฆฝ า ยคามวาสกี ็ถูกพวกมิชชันนารียึดครองเชนกัน ไดแก เก
ลาณียะ แวลิคามะ เดลคามุวะ อัตตนคัลละ และโตฏคามุวะ บางแหงเปนศูนยกลาง
การศกึ ษาแหงยุคซ่งึ มีชือ่ เสยี งโดงดัง๓๓
เม่ือดินแดนรอบนอกของเกาะลังกาตกเปน อาณานิคมของโปรตุเกสหมดแลว
พระเจาวิมลธรรมสุริยะที่ ๑ ไดตั้งตัวเปนกษัตริยศรีลังกาครองเมืองศรีวัฒนบุรีหรือ
เมอื งแคนดี้ เม่ือ พ.ศ. ๒๑๓๕ โปรตุเกสไมสามารถตีเมืองแคนดี้ไดเพราะมีภูเขาเปน
กาํ แพงลอมรอบอยางดี ในยุคทีแ่ คนด้ีเปนเมืองหลวงของศรีลังกานี่เองที่คณะสงฆสูน
สนิ้ ไปจากศรีลังกาจนกษตั ริยศ รลี งั กาตองสง ราชทูตไปกรงุ ศรีอยุธยาเพอื่ อาราธนาพระ
อบุ าลไี ปพื้นฟสู มณวงศที่ศรีลังการ
๓๒ Rjv.,v.59.
๓๓ SSS., pp.191-196.
ôø ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»ÚâÞ,¼È.´Ã.
๒.๒ บทบาทของพระสงฆค ามวาสี
หนาหลักของพระสงฆฝ ายคามวาสีคือศกึ ษาเลาเรียนธรรมะ สวดสาธยาพระ
ไตรปฏ ก เทศนาธรรม และสงเคราะหศาสนพิธีแกชาวบานซ่ึงสอดคลองตามนัยแหง
คนั ถธุระ๓๔ มีกลา วไวในคมั ภรี อ รรถกถา๓๕ และกติกาวัตร ดังเชนโปรโฬนนารุกกติกา
วตั รไดบัญญตั ิกฎระเบียบเพ่ือใหพระสงฆประพฤติตนตามคันถธุระและวิปสสนาธุระ
เพอ่ื ความเจรญิ รุงเรืองของพระศาสนา ดัมพเดณิกติกาวัตรเพิ่มเติมอีกวา หนาที่หลัก
ของพระสงฆผูประพฤติตนตามคันถธุระ คือการสอน การเรียน และการแสดงธรรม
หลกั ฐานสว นนีม้ ิไดหมายความวาพระสงฆฝายคามวาสีพากันเหินหางจากการปฏิบัติ
ธรรม เพราะดัมพเดณิกติกาวัตรบอกวาพระสงฆฝายคามวาสีนั้น นอกจากศึกษาเลา
เรยี นธรรมะ และปฏิบัติหนาท่ีตามขอ บังคับแลว ควรเจริญภาวนาดวย กติกาวัตรสมัย
พระเจาพาหุที่ ๖ ระบวุ า พระสงฆฝา ยคามวาสีควรรําลึกไวเสมอวาหนาท่ีเบื้องตนคือ
การศึกษาเลาเรียนและส่ังสอนธรรม หลักฐานสวนน้ีชี้ชัดเจนวา หนาที่หลักของ
พระสงฆฝายคามวาสีคือใกลชิดติดตอฆราวาส จึงเห็นไดวาเมื่อเก่ียวของคุนเคยกับ
ฆราวาสนานวัน นามเดือนและนานป ยอมทําใหความคิดและความเปนอยูของ
พระสงฆฝา ยคามวาสีมีความแตกตางจากพระสงฆฝ า ยวนวาสีอยา งสนิ้ เชงิ ความใกลช ิด
ของพระสงฆฝ ายคามวาสกี ับชาวบา นเชนนี้ นําไปสคู วามประมาทและความเส่ือมถอย
ดว ยเหตนุ ี้หลักฐานหลายแหงจึงอธบิ ายถงึ การชําระฟนฟูคณะสงฆหลายตอหลายครั้ง
โดยระบวุ าความเสื่อมเกิดขึ้นบอยครง้ั ในคณะสงฆ ฝายคามวาสมี ากกวา ฝา ยวนวาสี
๓๔ See, The Pali Text Society’s Pali English Dictionary, ed. T.W. Rhys
Davids and William Stede, p.93.
๓๕ Dhammapdatthakatha, (PTS), ed. H.C. Norman, London, 1906, 1.
pp.7,9,154; paramatthajotika, (PTS), ed. H.Smith, London, 1916, pp.194, 306.
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÅÕ §Ñ ¡Ò ôù
แตอ ีกมุมหนึ่ง ความสัมพนั ธใ กลช ดิ ระหวางพระสงฆฝายคามวาสีกับชาวบาน
กเ็ กิดพฒั นาการภายในคณะสงฆห ลายอยาง กลายเปนลกั ษณะพเิ ศษระหวางพระสงฆ
ผูสนใจวิปสสนากรรมฐานกับพระสงฆผูมีความเชื่อแตกตางจากหลักคําสอนของ
พระพทุ ธเจา
สันนษิ ฐานวา พระสงฆผ อู ยทู ามกลางสงั คม ตา งชื่นชอบความเชื่อแบบชาวบาน
ดงั เชน คติความเชอื่ เกี่ยวกับยักษ หลักฐานเหลานพี้ บในคมั ภรี สุมังคลวิลาสินีซึ่งอธิบาย
วธิ ีการแกไข กรณีพระสงฆถ ูกยักษเ ขา สงิ ๓๖ บัญญัติขอหนึ่งในดัมพเดณิกติกาวัตรหาม
พระสงฆถวายเคร่ืองพลีแกยักษ หรือวารวมพิธีทรงเจาเขาผี ยุคน้ีการทรงเจาเขาผี
กลายเปน ที่รจู กั แพรห ลายของพระสงฆ ฝายคามวาสี โดยเฉพาะพระศรีราหุลเถระนั่น
ถือวาเปนผูช ํานาญในพธิ กี รรมเหลาน้ี๓๗ หลักฐานเชนนี้ปรากฏในงานเขียนหลายเลม
ของทา น คมั ภีรกเุ วณอิ สั นะซึ่งมีเนอ้ื หาเก่ียวกับไสยศาสตร แตงข้นึ เพือ่ สดดุ ชี ยั ชนะและ
ประทานพรแดพ ระเจา ปรากรมพาหทุ ่ี ๖ เปนผลงานของพระสงฆลูกศิษยของพระศรี
ราหุลเถระ สวนพระวีทาคมไมตรยี เถระไดป ระณามความเชือ่ เหลาน้ี โดยแตงคัมภีรชื่อ
วาบุดุคณุ าลงั การยะ
การกราบไหวบูชาเทพอุบลวันและเทพวิภีศะณะ พรอมกับพระโพธิสัตว
มหายานนามวา อวโลกเิ ตศวร (นาถะ) ปรากฏวา มีอยูเ คียงขางพระพุทธเจาแพรหลาย
ตามอารามนอ ยใหญข องคณะสงฆฝายคามวาสี คติความเชื่อเหลานี้สามารถยอนรอย
ถอยหลังถึงยุคอนุราธปุระ เปนท่นี าสงั เกตวา ทั้งวรรณกรรมหรอื จารกึ จาํ นวนมาก ภาย
พทุ ธศตวรรษที่ ๑๕–๑๘ ลวนอางถงึ คตคิ วามเชอื่ เหลานี้ และวรรณกรรมเหลานั้นตาง
เปน ผลงานของพระสงฆฝ า ยคามวาสี๓๘ วชิ ัยพาหปุ รเิ วณะแหงหมูบานโตฏคามุวะเปน
๓๖ Sumangalailasini, (PTS), 3. pp.969-70.
๓๗ Wachissara, Saranankara Sangharaja Samaya, p.99
๓๘ Prs.,v.179ff; trs.,v.100; kks.,v.165; Sls.,vv.77-92.
õð ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»âÚ Þ,¼È.´Ã.
ศูนยกลางการประกอบพิธีกรรมสรรเสริญบูชาเทพนาถะ๓๙ สําหรับเดวินูวะระเปน
สถานสถติ ของเทพอุบลวนั และเกลาณยี ะเปน สถานสถติ ของเทพวภิ ีศะณะมาเนน่ิ นาน
พระศรรี าหลุ เถระเปน ผูเชื่อมัน่ ตอ เทพวิภีศะณะ และศรทั ธาม่ันคงตอ เทพอบุ ล
วนั หลกั ฐานสวนน้ียนื ยนั ไดจ ากงานเขียนของทานชอ่ื วาปเรวสิ นั เดศยะ สว นสมภารเจา
วัดแหง ตลิ กปริเวณะแหง เมืองเดวินวู ะระ ก็เปน ผศู รทั ธาแกกลาตอเทพอุบลวันเชนกัน
เพราะระบถุ งึ งานเขียนของทานนามวาโกกิลสันเดศยะ คัมภีรหังสสันเดศยะของพระ
วนรตั นเถระแหงสํานักแครคละไดรองขอใหออนนอมตอเทพเจาเหลาน้ัน ท้ังพระศรี
ราหุลเถระและเจาอาวาสติลกปริเวณะตางพากันประกอบพิธีออนวอนเทพเจาดวย
ความเคารพศรัทธาสวามิภักด์ิ เหตุเพราะคณะสงฆฝายคามวาสีผูกพันใกลชิดกับ
ฆราวาสเชน นี้ จึงยอมรบั คติความเชื่อแบบชาวบานแลวกลมกลืมเขากับพิธีกรรมทาง
พทุ ธศาสนาจนรวมเปน เนื้อเดยี วกัน
เพราะศรทั ธาเชื่อม่นั ตอความเชื่อแบบชาวบา น คณะสงฆฝายคามวาสีจึงทรง
อิทธิพลตอชาวบานเปนธรรมดาวิสัย สมัยนั้นตางเช่ือกันวาเทพอุบลวันและเทพ
วิภีศะณะ สามารถประทานพรใหสําเร็จผลได ดังเชน ประทานพรพระสวามีผูมี
ความสามารถแดพระราชธดิ าของกษตั ริย หรอื ประทานบุตรแกพ ระราชธดิ าผไู รบตุ รมา
นาน ความเชอ่ื เชน น้เี ปน แรงบนั ดาลใจใหพระศรีราหลุ เถระ แตงคัมภีรปเรวิสันเดศยะ
และคัมภีรแสฬลิหินิสันเดศยะ เน้ือหาของคัมภีรปเรสันเดศยะใชนกพิราบเปนผูนํา
สาสนสงถึงเทพอุบลวันแหงเมืองเดวินูวะระ เพ่ือออนวอนประทานพรใหพระนาง
จันทราวดี ผูเปนพระราชธิดาของพระเจาปรากรมพาหุที่ ๖ สยัมพรกับพระสวามีท่ี
เหมาะสม๔๐ สว นคัมภรี แ สฬลิหนิ ิสันเดศยะกลาวถึงการสงสาสนถึงเทพวิภีศะณะแหง
๓๙ N. Mudiyanse, Mahayana Monuments in Ceylon, 1969, Colombo,
p.12. Prs., 179ff; Sls.,vv..77-92.
๔๐ G Varasambodhi, Campola Ithihasaya, Colombo, 1949, p.32. AAGP.,
p.64.
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÕÅѧ¡Ò õñ
เกลาณียะในนามของนันนุระ พระราชธิดาอีกพระองคหน่ึงของพระเจา ปรากรมพาหุท่ี
๖ วอนขอใหเทพวิภีศะณะประทานบุตรแกพระนาง สาสนท่ีสงถึงเทพวิภีศะณะมี
ใจความวา ขา พระมหาเทพเทวาเจา ผูเปนพระเนตรแหงโลกสาม ผูมีพระบาทอันชุม
เย็นดวยกลิ่นหอมแหงเกสรของบุปผาชาติ อันเปนมาลาคลองพระบาทเทวาเจา ขอ
พระองคท รงเมตตาประทานพรใหเ จา หญิง (อุลกุฑยเทวี) ไดอัญมณีกลาวคือพระราช
โอรสผูง ามสงา มจี ติ ใจงดงาม มีอายยุ ั่งยืนนาน รงุ เรืองงดงาม มีพระปรีชาสามารถและ
มีชื่อเสียงเลอ่ื งลอื ขจรไกล ขอใหพ ระโอรสของพระองคน ้นั ไดรับการยกยองและชื่นชม
ยินดีของพระมเหสีนามวารัตนาวลี ขอใหพระองคไดเสวยราชยเปนพระเจาแผนดิน
แหงลังกาเหมือนดังพระเจาปรากรมพาหุมหาราช ไมมีความสําเร็จอันใดยิ่งไปกวา
ความเปนใหญ และอํานาจอันสูงสงของพระองคอีกแลว พระกรุณาคุณและชื่อเสียง
ของพระองคจะเพมิ่ ขึ้นเทา พันทวี หากอญั มณคี อื พระโอรสจะปรากฏเปนของขวัญอัน
ทรงคุณคาแกพระราชธิดา ผูกราบกรานนอมบูชาที่พระบาทอันสูงเลิศดวยดอกมะลิ
และปทุมชาติ๔๑
อรรถาธิบายดังกลาวชวยใหเขาใจชัดแจง ถึงอิทธิพลความเช่ือตอคณะสงฆ
ฝายคามวาสี ความยืดหยนุ เชน นนี้ าํ ไปสูการสรางเทวาลยั จาํ นวนมากใกลชิดติดอาราม
วหิ าร หลักฐานระบวุ า ยุค อนรุ าธปรุ ะไมม อี ารมวิหารเก่ียวขอ งกับเทวาลยั แตอยางใด
ปรากฏพบเหน็ ครั้งแรกในสมยั คัมโปละ ซ่งึ ระบุวา บรเิ วณวดั ลงั กาตลิ กะมรี ูปปนเทพเจา
ฮนิ ดปู ระดษิ ฐานเชือ่ มติดกบั พระวิหารดานนอก๔๒ ตอ มาพุทธศตวรรษท่ี ๒๐ ความเชื่อ
เชนนไี้ ดร งุ เรอื งแพรห ลายเกิดมเี ทวาลัยจํานวนมากเคียงคูอยูกับอารามวิหาร คัมภีรอ
ลตุ นูวะระเดวาเลกรวมี ะระบวุ า มอี ารามวหิ ารหลายแหง อยูติดกบั เทวาลัย และสมภาร
เจาวัดเปนผูทําหนาที่สวดพระปริตรตอหนาเทพอุบลวันเปนนิจ๔๓ คณะสงฆฝาย
๔๑ Sls.,vv.77-92.
๔๒ ADK., folio. Klu.
๔๓ ADK., folio. Klu.
õò ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»âÚ Þ,¼È.´Ã.
คามวาสีแหงสํานักคลตุรุมลุ ะวหิ ารก็ประกอบพิธีเชนเดียวกัน๔๔ นอกจากนั้นยังมีการ
นอมถวายท่ีดินและภาษีอากรแกสมภารผูกระทําพิธีดวย เจาอาวาสผูกระทําเชนน้ี
เรียกวาวิทานสามี๔๕ ตําแหนงนี้เปนกฎระเบียบเชนเดียวกับสามันเทวาลัยแหงเมือง
รัตนปุระ มิใชเฉพาะสํานักคลตุรุมุวะเทานั้น ยังมีอารามวิหารอีกหลายแหงท่ีอยูติด
เทวาลยั หลักฐานจากพระบรมราชูทิศมหาสามันเทวาลัยระบุวา หนาท่ีหลักของเจา
อาวาสผูด แู ลเทวาลัยคอื สวดพระปรติ รทุกวันดานหนาเทพสามัน๔๖
งานวรรณกรรมของพระสงฆฝา ยคามวาสหี ลายเลม แสดงถึงความคุนเคยกับ
เคร่ืองหมายฤกษยามตามนัยโหราศาสตร ตัวอยางเชน คัมภีรปเรวิสันเดศยะระบุวา
พระศรีราหุลเถระกาํ หนดฤกษยามแกนกพิราบ โดยเร่ิมตนเดินทางวันจันทรตอนเชา
ตามดวงหะตะ ตอนดาวพุธเคล่ือนเขาสูราศีกันย๔๗ สวนคัมภีรแสฬลิหิณิสันเดศยะได
รวบรวมรายชื่อฤกษยามเปนจํานวนมาก๔๘ ดานคัมภีร กุเวณิอัสนะบอกวาพระศรี
ราหลุ เถระไดแ นะนาํ ผูสง สาสนใหตรวจสอบฤกษยามกอนออกเดินทาง เพราะเห็นวา
เปนเรอื่ งสําคัญย่ิงกวาดวงดาว๔๙ พระเถระนอกจากปฏิบัติตนตามความเช่ือดังกลาว
แลว ยงั มีสวนสาํ คัญในการประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตรดวย ตัวอยางเชนคัมภีรกุ
เวณิอัสนะบอกวาพระเถระประกอบพิธีกรรมเซนสรวงเทพธิดากุเวณิ เพ่ือออนวอน
เทพธดิ าใหประทานพรแกพ ระเจา ปรากรมพาหุที่ ๖ หลกั ฐานตามตํานานกลาววาพระ
ศรีราหุลเถระเปนผูศรัทธาช่ืนชอบเทพสกันดะโดยมีมนตราอยางหนึ่งเรียกวาส
กันดวรปรสาทะ กลาวกันวาเพราะมนตรานี้เองทําใหพระเถระสามารถมีความรู
๔๔ ADK., folio. Klu.
๔๕ K. Nanavimala, Sapragamuve Parani Liyavili, p.34.
๔๖ Skt. Hasta, eleventh (or thirteenth) lunar asterism, sv. Sanskrit-English
Dictionary, A.A. Macdon ald, London, 1973.
๔๗ Kuveni-asana, ed. K. Nanavimala, Ratnapura, 1956, p.11.
๔๘ Sls., v.16.
๔๙ Kuveni-asna, p.11.
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÅÕ §Ñ ¡Ò õó
กวา งขวางทั้งศาสตรแ ละศลิ ป จนไดรับการขนานนามวา ศาฑภาษาปรเมศวร แปลวาผู
แตกฉานดา นภาษาทัง้ หก๕๐ คมั ภีรป เรวิสันเดศยะบอกวาพระศรีราหุลเถระอางตนวา
ไดร บั พรจากเทพสกนั ดะเม่อื อายุ ๑๕ ป สว นบรู พาจารยข องทา น ซง่ึ สังกัดสํานกั อุตรุ ุมู
ละกศ็ รัทธาชนื่ ชอบเทพสกนั ดะเชนกัน๕๑ คัมภรี ราชรัตนากรยะ๕๒ บอกวาสํานักแหงน้ี
เปนสาขาหนึง่ ของสาํ นักอภัยคิรีวหิ ารสมัยอาณาจักร อนรุ าธปรุ ะ
หลกั ฐานชน้ิ สุดทายท่กี ลา วถึงคณะสงฆฝายวนวาสีและฝายคามวาสี พบเห็น
ในคัมภรี ร าชรัตนากรยะ ซ่ึงวาดวยการฟนฟูคณะสงฆภายใตการอุปถัมภของพระเจา
เสนาสัมมตวิกรมพาหุแหงอาณาจักรแคนดี้ หลักฐานบางแหงบอกวาพระสงฆฝาย
คามวาสีพากนั ประพฤตทิ ุจริตผดิ พระธรรมวนิ ัย เพราะคิดวาไมม ใี ครสามารถชําระฟน ฟู
คณะสงฆได๕๓ สถานการณเส่ือมทรุดลงอีกเมอ่ื เกดิ ความไมม่นั คงทางการเมืองท่ัวเกาะ
ลังกา ซึ่งเรมิ่ ปรากฏเคาลางตอนตนพุทธศตวรรษที่ ๒๑ การตอสูด้ินรนทางการเมือง
ภายในและการบกุ รกุ รานจากคนตา งชาติ เปนเหตใุ หก ษัตรยิ ภ ายหลงั พระเจา วิกรมพาหุ
ไมส ามารถใหค วามอปุ ถัมภพระศาสนาได เมอื่ ขาดการอุปถมั ภจ ากบา นเมอื งพระสงฆท ัง้
วนวาสีและฝายคามวาสี ก็ตกอยูในสภาพลมเหลวไมสามารถสืบตอพิธีอุปสมบทได
ตอนทา ยพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ สถานการณเ ขา สภู าวะวกิ ฤตจนพระเจา วมิ ลธรรมสูรยิ ะที่
๒ แหงอาณาจักรแคนด้ี ตองสงคณะราชทูตไปอัญเชิญพระสงฆจากเมืองยะไขมา
ประกอบพิธีอปุ สมบท๕๔ ถงึ กระน้นั กไ็ มสามารถทําใหสถานการณพระพุทธศาสนาก็ไม
กระเตอ้ื งข้นึ แตอ ยา งใด จนกระทั่งสมยั ที่พระเจา ศรวี ชิ ัยราชสง่ิ หะขึ้นครองราชยใน พ.ศ.
๒๒๘๒ ท้ังเกาะลังหาพระสงฆไมไดคงมีแตคณะสามาเณรที่มีหัวหนาช่ือวา สามเณร
๕๐ For an account of sadbasa, see below chapter five. p.152 ff.
๕๑ SRS., p.5.
๕๒ Rjrt., p.55.
๕๓ K. Wachisara, op.cit. p.27.
๕๔ M.B. Ariyapala, Society in Mevieval Ceylon, Colombo, 1956, p.233.
õô ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»ÚâÞ,¼È.´Ã.
สรณงั กร สามเณรสรณังรปู น้แี หละท่เี ปน ผูถวายพระพรพระเจา ศรวี ชิ ยั ราชสิงหะใหสง
ราชทูตไปนมิ นตพระสงฆไ ทยไปพื้นฟสู มณวงศใ นศรีลังกา
๒.๓ ความเช่อื ที่มีตอ พระเขีย้ วแกว
วัดพระธาตุเข้ียวแกวเปนวัดสําคัญที่สุดในศรีลังกา คณะของเราท้ังฝาย
บรรพชิตและฝา ยคฤหสั ถไ ดทยอยกันไปมนสั การพระธาตุเขี้ยวแกวแลวเกิดความปล้ืม
ปต เิ หมือนกบั ไดเขา เผา เฉพาะพระพักตรพ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา พระธาตเุ ข้ียวแกว องคน ้ี
ถอื วา เปน สง่ิ สักการะบูชาสูงสุดของชาวศรีลังกาขนาดท่ีวาเจาชายองคใดของศรีลังกา
สมัยโบราณไครอบครองพระธาตุเขี้ยวแกว เขาชายองคน้นั ก็จะไดใหเ ปน กษตั ริยของศรี
ลังกาทงั้ ประเทศทีเดียว แมในปจจุบันนี้ พระธาตุเข้ียวแกวก็เปนศูนยรวมใจของชาว
พทุ ธศรลี ังกาท้ังประเทศ
พระธาตเุ ขี้ยวแกว (พระทาฐธาตุ) คอื พระธาตุสวนท่ีเปนเขี้ยวของพระพุทธเจา
มีทงั้ หมด ๔ องค มหาปริพพานสูตรระบุท่ีประดิษฐานของพระธาตุเขี้ยวแกวท้ัง ๔ องค
ไววา องคหน่ึงประดิษฐานอยูท่ีพระเจดียจุฬามณีบนสวรรคช้ันดาวดึงส องคหนึ่ง
ประดิษฐานอยูที่พิภพพญานาค องคหนึ่งประดิษฐานอยูที่แควนคันธาระ องคหน่ึง
ประดษิ ฐานอยูท ี่แควนกาลิงคะ ซึ่งอยทู างทิศตะวันออกเฉียงใตของอนิ เดยี
ในขณะเดียวกันพระธาตุเขี้ยวแกวที่กลาวไวในโลกมนุษยมีเพียง ๒ องค คือ
องคหน่ึงเคยอยูที่แควนคันธาระและปจจุบันประดิษฐานอยูท่ีวัดหลิงกวง กรุงปกก่ิง
ประเทศจนี อกี องคห นึ่งเคยอยูท ี่แควนกาลิงคะและปจจุบันประดิษฐานท่ีวัดพระธาตุ
เขย้ี วแกว เมืองแคนด้ี ประศรีลังกา
คมั ภรี ดาลกาวงศข องศรีลังการะบุวา ในรชั สมัยพระเจาคหุ สวี ะ แควนกาลงิ คะ
เกิดศกึ สงคราม กอนออกรบพระเจาคหุ สีวะตรัสส่ังพระราชธิดาพระนามวาเหมมาลา
วาถา พระองคสวรรคตในสนามรบใหนาํ พระธาตุเขี้ยวแกวไปท่ีลังกา เม่ือพระราชบิดา
สวรรคตในสนามรบ พระนางเหมมาลาพรอ มดว ยพระสวามีไดปลอมพระองคอัญเชิญ
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÕÅ§Ñ ¡Ò õõ
พระธาตเุ ขีย้ วแกว ลงเรือไปศรลี ังกา พระธาตเุ ข้ยี วแกว ถึงเมืองอนุราธบุรีในศรีลังกาใน
รัชสมัยของพระเจากีรติศิรเิ มฆวรรณผูข น้ึ ครองราชยใ น พ.ศ. ๘๔๕
กษัตริยศรีลังกาในอดีตรักและหวงแหนพระธาตุเข้ียวแกวมาก เมื่อยายเมือง
หลวงไปทใี่ ดก็จะอญั เชญิ พระธาตเุ ขยี้ วแกวไปประดษิ ฐานไวที่น้ันดวย เม่ือราชอาณาจักร
สดุ ทา ยของศรีลังกาท่เี มืองแคนดสี้ ูญเสียเอกราชใหกับองั กฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๘ ชาวพุทธ
ศรีลังกาไดสรางวัดพระธาตุเข้ียวแกว ณ ที่ปจจุบันแลวต้ังคณะกรรการรักษาพระธาตุ
เขยี้ วแกวกนั เองโดยไมยอมใหอ ังกฤษเขายงุ เก่ยี วซ่ึงฝา ยองั กฤษก็ยนิ ยอมโดยดี
เม่ือ วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๑ คณะของคณาจารยและนิสิตจาก มจร. ได
เดินทางไปนมัสการพระธาตุเขี้ยวแกว การเดินทางไปในคร้ังน้ีเปนการเดินทางไปศึกษาดู
งานของนิสติ ปรญิ ญาเอก สาขาวิชาพระพทุ ธศาสนา ในการโปรแกรมที่เดินทางน้ันคือไป
นมัสการพระธาตุเข้ียวแกวดวย แตการไปในคร้ังนี้จะไดเห็นเฉพาะสถูปทองคําสูงสอน
ศอกเศษท่ีบรรจุพระธาตเุ ขยี้ วแกว ไวภายในเทา นั้น คนทว่ั ไปจะไมม ีโอกาสไดเห็นพระธาตุ
เขย้ี วแกว องคจ รงิ เขาจะเปดใหแ ขกบา นแขกเมือง คนสาํ คัญระดบั นายก รัฐมนตรีเทาน้ัน
ไดช มพระธาตุเข้ียวแกว องคจ รงิ
สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานภุ าพไดท รงนพิ นธไ วใน เรื่องประดิษฐานพระสงฆ
สยามวงศในลังกาทวิป ตอนหน่ึงกลาวถึงบันทึกของราชทูตไทยทีติดตามพระอุบาลีไป
นมัสการพระธาตุเขี้ยวแกวท่ีศรีลังกา เมื่อ ๒๕๔ ปมาแลววา “ขาพเจานมัสการใกล
ประมาณศอกคืบแลสัญฐานพระทันตธาตุน้ันเหมือนดอกจําปาตูม พระรัศมีตันเหลือง
ปลายแดงออนๆ” คณะของคณาจารยแ ละนสิ ิตจาก มจร. ไดเ ขา ไปนมัสการพระธาตุเข้ียว
แกวถอื วาบุญและมงคลชวี ิตอยางยง่ิ
ความเชื่อพิธกี รรมและประเพณวี ฒั นธรรมทางพระพทุ ธศาสนาของชาวสิงหล
ไมป ฏบิ ตั ิเครงครัดนัก แตธรรมดาวิสัยก็ตองมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงบาง เพราะคํา
สอนของพระพุทธเจากอ เกิดพัฒนาการจนรงุ เรอื งแพรห ลาย ประวตั ิศาสตรยคุ ตน บอก
วา พระพทุ ธศาสนาผูกพันกับคติความเช่ือแบบพราหมณ คมั ภีรพ ระพุทธศาสนาระบุวา
õö ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»âÚ Þ,¼È.´Ã.
ยักษนาคและเทพเจา ลวนยอมรบั ความยง่ิ ใหญข องพระพทุ ธเจา๕๕ พัฒนาการแรกเร่ิม
ในศรีลังกาคือพระพุทธศาสนามีคติความเชื่อหลากหลาย พรอมทั้งพิธีกรรมและ
ประเพณีที่ประพฤติปฏิบัติท่ัวไป ซ่ึงถือวาไมขัดแยงกับคําสอนหลักของพระพุทธเจา
ลกั ษณะเชนนี้เปนการกลมกลืนกบั ความเช่อื ทางสังคมอันหลากหลาย
บรรดาคตคิ วามเช่อื ของศรลี ังกายคุ กลางนั้น พระเข้ียวแกวถือวาสําคัญสูงสุด
แมป ระวตั ิพระเขย้ี วแกวจะยอ นถอยหลังพุทธสตวรรษที่ ๙๕๖ แตเ ร่มิ มีความสําคัญมาก
สดุ ยุคหนง่ึ อาจเปนเพราะเกิดการต่ืนตัวยอมรับวาผูครอบครองพระเขี้ยวแกวมีสิทธิ์
ครองราชยเหนือแผนดินลังกา ความเช่ือเชนน้ีเริ่มตนจากยุคโปโฬนนารุวะ เม่ือพระ
เขยี้ วแกว กลายเปนเครื่องคุม ครองของอาณาจักร กษตั รยิ สงิ หลทําหนา ทค่ี มุ ครองรกั ษา
พระเข้ียวแกว จําตองประดิษฐานพระเข้ียวแกวภายในวิหารใกลพระราชวัง และทํา
หนา ทค่ี มุ ครองรักษาท้ังกลางวนั และกลางคนื ความเชอ่ื เรอื่ งความยงิ่ ใหญข องพระเขยี้ ว
แกว เกดิ ขนึ้ ตอนพุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘
ลวงเขาสมัยโกฏเฏพระเจาปรากรมพาหุที่ ๖ โปรดใหสรางวิหารอันใหญโต
งดงาม และมีพระราชโองการจัดพิธีแหแหนอยางย่ิงใหญ หลักฐานสวนน้ีบันทึกไวใน
คัมภีรดาฬดาสิริตะ จึงทําใหทราบวาพิธีแหแหนพระเขี้ยวแกวยิ่งใหญตระการตาตอ
สาธารณชนเพยี งไร๕๗ กอ นสมยั อาณาจักรโกฏเฏพระเขยี้ วแกว มกี ารโยกยา ยตามความ
เปล่ียนแปลงของราชวงศสิงหล และจําตองคุมครองพระเขย้ี วแกวจากผูบุกรุกตางชาติ
หรอื ผยู ดึ ครองบัลลงั กบ อยคร้งั เม่ือพระเจาปรากรมพาหุท่ี ๖ เสวยราชยเปนกษัตริย
แหง อาณาจักรโกฏเฏแลว พระราชกรณียกิจเบ้ืองตนคือโปรดใหสรางพระวิหาร เพ่ือ
๕๕ Samyutta Nikaya (PTS), I, pp.212; Saratthapakasini, (PTS), I, pp.316-
337; See also J. Mason, La religion populaire Ie canon bouddhique pali, Louvain,
1941, pp.126-129.
๕๖ Dathavamsa, ed. M. Ananda, 1956, Gampaha, 5, vv,1-3; Daladasirita,
ed. Vv. Sorata, Colombo, 1961, p.35.
๕๗ Dls., p.49ff; ASCM., iii, pp.34-37.
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÕÅ§Ñ ¡Ò õ÷
ประดิษฐานพระเขี้ยวแกวคัมภีรสัทธรรมรัตนากรยะระบุวา พระองคโปรดใหสราง
อาคารสามชัน้ อยางสวยสดงดงาม ประดิษฐานพระเขี้ยวแกวใกลชิดติดพระราชวัง๕๘
สว นบาตรของพระพทุ ธเจาซง่ึ ปกติเกบ็ รักษาไวพรอมกับพระเขี้ยวแกวหลายศตวรรษ
ไมมีกลาวถงึ เลย หลกั ฐานสุดทายกลา วถงึ สมยั พระเจาปรากรมพาหทุ ี่ ๔ นบั จากน้ันไม
มหี ลกั ฐานกลาวถงึ ในคมั ภรี เลม ใดเลย
นกั กวนี อยใหญส มยั นั้น นอกจากบรรยายมหานครโกฏเฏแลว ยังไดกลาวถึง
วดั พระเขย้ี วแกวดวย โดยระบุวา ไดร ับการดูแลรักษาเปนอยางดีจากกษัตริย๕๙ คัมภีร
คิรสนั เดศยะระบวุ า พระเจาปรากรมพาหุที่ ๖ โปรดใหจัดงานแหแหนพระเขี้ยวแกว
ทุกปเ พือ่ สกั การบชู า คัมภรี ส ัทธรรมรัตนาลังการยะ กลาวาพิธีแหดังกลาวเปนหนาที่
ของกษัตริยผูศรัทธาตอพระเข้ียวแกว สวนตํานานระบุวาพระเจาแผนดิน (พระเจา
ปรากรมพาหุท่ี ๖) โปรดใหสรางวิหารสามช้ันอยางอลังการสําหรับประดิษฐานพระ
เข้ียวแกว ใหทําผอบทองคาํ ดว ยมณีอันมคี า มากมายเปลงประกายเจิดจา และโปรดให
สรา งผอบทองคําครอบอกี ชนั้ หนงึ่ นอกจากนน้ั โปรดใหท าํ ผอบทองคําอนั สวยงามเลิศ
ลํา้ แลว ประดษิ ฐานพระเขี้ยวแกว ภายในผอบสชี่ นั้ คัมภีรค ริ สันเดศยะอธิบายเสริมอีกวา
พระองคโ ปรดใหจัดพิธีบูชาทุกวันและแหแหนทุกป เพราะทรงเคารพศรัทธาตอพระ
เขย้ี วแกว แตรายละเอยี ดพิธีแหแ หนไมมกี ลา วถึง พิธีดงั กลา วพบในคัมภรี ดาฬดาสิริตะ
สมยั พระเจาภูวเนกพาหุท่ี ๗ พระเขยี้ วแกว ประดษิ ฐานภายในอารามกลางเมอื งโกฏเฏ
เมอ่ื พระเจาธรรมปาละเขารีตเปนคริสตแลว หิริปฏิแยนิลาเมไดอันเชิญพระ
เขย้ี วแกวออกจากเมืองโกฏเฏแลวนําไปถวายแดพ ระเจา มายาดนุ เน๖๐ กลาวกันวาชาว
พทุ ธตางเปนหวงถึงความปลอดภยั ของพระเขีย้ วแกว เน่ืองจากมัชชนั นารีมีอิทธิพลตอ
๕๘ Sdhrt., p.297; JCBRAS.,, no65, p.312.
๕๙ Sls.,v.๑๖; Prs.,vv.๓๙-๔๐; Grs.,vv.๕๐-๕๑; Sdhrt., p.297.
๖๐ Hugh Nevill, Ethnology, ‘Sinhala Kavi’, ed. P.E.P. Deraniyagala, Colombo,
iii, p.155; Saparagamurl Parani Liyavili, ed. K. Nanavimala, Ratnapurta, p.36.
õø ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»ÚâÞ,¼È.´Ã.
ราชสํานักโกฏเฏ หลักฐานบอกวาการครอบครองพระเข้ียวแกวหมายถึงผูทําหนาท่ี
คมุ ครองอาณาจกั ร ดว ยเหตุน้ันจึงทําใหสถานภาพทางการเมอื งของพระเจา มายาดนุ เน
เขมแข็งข้ึน พระองคจึงมีพระราชทินนามวาตรีสีหลาธิศวระ หรือกษัตริยแหงตรี
สงิ หล๖๑ พระองคโปรดใหส รางวัดพระเข้ียวแกวท่ีเดลคมุวะแลวประดิษฐานไวภายใน
และโปรดใหป ระกอบพธิ แี หแหนเปน ประจาํ ทกุ ป สวนผสู บื ทอดคอื พระเจา ราชสิงหะท่ี
๑ แมทรงขัดแยง กับคณะสงฆบ าง แตก็โปรดใหมีประเพณีแหแหนพระเข้ียวแกวทุกป
เชนกัน โดยใหจ ัดทส่ี ามันเทวาลยั แหง เมืองรัตนปุระ สันนิษฐานวาพระองคอาจจะจัด
พธิ ีแหแหนบูชาเทพสามนั พรอมกับพระเขย้ี วแกว แตรายละเอยี ดไมมีกลาวไว
๒.๔ พระพทุ ธบาทบนยอดเขาสมุ นกฏู
พระพุทธบาทบนยอดเขาสุมนกูฏ ประเทศศรีลังกา นับเปนรอยท่ีสูงที่สุดใน
ประเทศศรีลังกา ประวัติยอพระพุทธบาทเขาสุมณกูฎ (สิริปาทะ) รอยพระพุทธบาท
เขาสุมนกูฏ ประเทศศรีลังกา ตามตํานานเดิมมีความเช่ือวาพระพุทธเจาเคยเสด็จมา
ประทับรอยพระพทุ ธบาทที่ภเู ขาสุมนกฏู แหงนี้ ภูเขาน้ีมีชื่อเรียกกันทั้ง ๓ ชื่อ เชน วา
ศรีปาทะ Sri Pada, sacred foot print. Shiva Padam, foot print of Shiva.
Adam's Peak, Muslims Christians ท้ัง ๓ ชอื่ นี้ มีความหมายท่ีตางกันอยางเชน Sri
Pada, sacred foot print (ศรีปาทะ) เปนความเช่ือของชาวพุทธท่ีมีความเช่ือวาน้ัน
คือรอยพุทธบาท สว นที่ช่อื วา Shiva Padam, foot print of Shiva น้นั เปนความเชื่อ
ของศาสนกิ ชนของฮินดทู ่ีเชื่อวานั้นคือรอยบาทของพระศิวะ ในสวนท่ีชื่อวา Adam's
Peak, Muslims, Christians น้ันศาสนิกชนมุสลิม, คริสต มีความเชื่อวาเปนรอยเทา
ของเทพเจา ในศาสนาของตน แตอ ยางไรก็ตาม เม่ือมาตรวจสอบประวัติและรองรอย
ของความเปนมาของ Sri Pada กพ็ อมหี ลกั ฐานกนั อยูบ าง
๖๑ Ethnology, III, p.155; Queroz., op.cit., p.223.
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÅÕ §Ñ ¡Ò õù
สมุ นกฏู ซ่ึงเปน สถานทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงประทับรอยพระบาทเบือ้ งซา ยบนกอน
หิน กลายเปนบณุ ยสถานสําคญั สาํ หรบั ผจู ารกิ แสวงบุญยคุ กลางของศรลี งั กา ความเชื่อ
เร่ืองพระพุทธบาทและการสักการบูชาเปนที่รูจักแพรหลาย หน่ึงศตวรรษกอน
อาณาจักรโกฏเฏ คัมภีรมหาวงศบอกวาเมื่อคร้ังเสด็จลังกาครั้งท่ี ๓ พระพุทธเจาได
เสด็จไปยังสมุ นกูฏและประทับรอยพระบาทเบื้องซายเอาไว๖๒ นอกจากหลักฐานน้ีไม
ปรากฏวา มใี นตํานานหรอื หลกั ฐานอนื่ ใด มีงานเขียนของชาวตางชาติระบุวารอยพระ
พทุ ธบาททสี่ มุ นกฏู มกี ารเคารพกราบไหวสงู สดุ กอ นพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๖๖๓
คัมภีรจ ลุ ฃวงศแ ละจารกึ อมั พคามวุ ะบันทกึ ไววาพระเจา วิชัยพาหุท่ี ๑ ไดเ สด็จ
จาริกไปยังเขาสุมนกูฏเพอ่ื สักการรอยพระพุทธบาท ครั้นทราบถึงความลําบากของผู
จาริกบุณยสถานแหงน้ี จึงโปรดใหสรางอาคารหลายแหงและมอบถวายหมูบาน
เรยี กวาคิลิมลยะ เพอื่ ชว ยเหลือผูจ ารกิ แสวงบญุ หลักฐานฝายศรีลังกาอางถึงคติความ
เช่ือเก่ยี วกบั รอยพระพุทธบาท และการจาริกแสวงบุญสุมนกูฏเริ่มต้ังแตสมัยพระเจา
วิชยั พาหุท่ี ๑ สมัยนถ้ี อื วา เปน การปฏิรปู ความเช่ือเก่ียวกับรอยพระพุทธบาท จากน้ัน
เปนตนมาดุเหมือนวาสุมนกูฏรุงเรืองแพรหลาย ไดรับราชูปถัมภหลายตอหลาย
ศตวรรษ ดงั เชนพระเจา นิสสงั กมัลละ พระเจาปรากรมพาหุท่ี ๒ และพระเจา วชิ ยั พาหุ
ท่ี ๔๖๔ หลักฐานลวนบันทึกไววาพระเจาแผนดินเหลานั้นไดเสด็จไปกราบไหวบุณย
สถานแหง นี้ พรอมพระราชทานหมบู า นเปนจาํ นวนมากเพื่อเปนพุทธบชู า
ความเช่ือเร่ืองรอยพระพุทธบาทเร่ิมมีความสําคัญมาก จากกวีนิพนธของ
พระเวเทหเถระ ชื่อวาสุมนกูฏวัณณนา ซึ่งมีเนื้อหาอธิบายถึงความเปนมาและ
๖๒ S. Paranavitana, The Good of Adam’s Peak, p.2 ff; Manimekhalai, 2,
pp.122-123.
๖๓ Cv.,60. 14-67; CJSG., ii, p.195; EZ., pt.2, pp.202-209.
๖๔ Samantakutavannana, ed. M. Nanissara, Colombo, 1910; Ps, p.420ff.
öð ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»ÚâÞ,¼È.´Ã.
ความสาํ คญั ของพระพุทธบาทแหงนี้๖๕ แมรอยพระพุทธบาทจะไมไดตั้งอยูในเสนทาง
ของพวกนักผูแตงคัมภีรสันเดศยะสมัยอาณาจักรโกฏเฏ สวนใหญก็ไมไดละเลยท่ีจะ
อางถึงสมุ นกูฏและรอยพระพทุ ธบาทแตอยา งใด ไมมีการกลา วถงึ พระเจาปรากรมพาหุ
ที่ ๖ หรือกษัตริยแหงอาณาจักรโกฏเฏพระองคใด โปรดใหซอมแซมหรือเสด็จจาริก
แสวงบุณยสถานแหงน้ี แตพระเจาเสนาสัมมตวิกรมผูปกครองอาณาจักรแคนดี ได
เสด็จไปสกั การะบณุ ยสถานแหงน้ี พรอ มโปรดใหจ ดั งานเทศกาลนอมถวายสิ่งของมีคา
ราคาแพงเปนจํานวนมาก๖๖ สมัยนี้สุมนกูฏกลายเปนบุณยสถานที่ร่ํารวยม่ังคั่ง
เนอื่ งจากมที ีด่ ินอันเปน พระบรมราชทู ศิ หลายยุค หลายสมัยเปน จํานวนมาก พรอมทั้ง
รายไดจากการบชู าของผจู ารกิ แสวงบญุ เปน จาํ นวนมาก มีบนั ทกึ ไวว าพระเจาราชสิงหะ
ท่ี ๑ ผปู ระกาศเลกิ นบั ถอื พระพุทธศาสนาแลว หันไปนับถือลัทธิฮินดู ไดเลิกสิทธิของ
พระสงฆผดู ูแลรอยพระพุทธบาทพรอมภาษีที่ดิน ใหถวายแกพระผูหันมานับถือลัทธิ
ฮนิ ดูเสยี ๖๗
รอยพระพุทธบาทบนเขาสุมนกูฏมิใชศูนยรวมใจชาวพุทธสิงหลเทาน้ัน แต
รวมถงึ นักจารกิ แสวงบุญชาวตางแดนดวย พระเมธังกรเถระหนึ่งในผูนําของสมณทูต
กมั พูชาและไทย ซงึ่ ไดรับการอปุ สมบท่ีเกลาณียะ (พ.ศ. ๑๙๖๘) กอนจะเดินทางกลับ
บา นเกดิ เมืองนอน เพอ่ื กอต้ังสงิ หลสงั ฆะทเี่ มืองสโุ ขทยั ไดเ ดนิ ทางไปกราบไหวร อยพระ
พุทธบาท จารกึ พระพทุ ธบาททเ่ี มอื งสโุ ขทยั กลา ววามคี วามคลายคลึงกับรอยพระพุทธ
บาทบนยอดเขาสุมนกูฏซ่ึงเปนอัญมณีแหงเกาะลังกา๖๘ คณะสมณทูตของพระเจา
ธรรมเจดียแ หงอาณาจกั รหงสาวดีเดินทางมาศรีลังกาสมัยพระเจาภูวเนกพาหุท่ี ๖ ก็
๖๕ Grs.,v.21; Sls.,v.25; Hms,v.76; Svls.,v.152.
๖๖ SPL., p.36; Wachissara, op.cit. p.65.
๖๗ Forneau, Le Siam Ancient, Paris, 1995, I. pp.242-254; G. Coedes, Recuil
des inscriptions du Siam, p.46ff.
๖๘ IA, xxii, (1996), p.44.
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÅÕ §Ñ ¡Ò öñ
เคยเดนิ ทางไปกราบไหวสักการะรอยพระพุทธบาทเชนกัน๖๙ จารึกสามภาษาที่เมือง
กอลลอ ธริ ายช่ือพระบรมราชูทิศของกษัตรยิ แ หง ราชวงศหมิงพระนามวาหยงเลอ (พ.ศ.
๑๙๕๓) โปรดใหแมทัพเรือนามวาเจิ้งเหอและวังเจียงสรางอารามวิหารบนยอดเขา
ปรณวิตานะกลา ววาวดั แหง นรี้ ูจักกันในนามลังกาปรวะ (สุมนกฏู )๗๐
ความเชื่อเรื่องรอยพระพุทธบาทโดงดังไปไกลทวั่ โลก นกั เดนิ ทางตางประเทศ
และ นักเขียนลวนอางถึงสุมนกูฏหรืออดัมพีค บรรดานักเดินทางชาวยุโรปยุคกลาง
กลาวคือมาโคโปโล และ มาริโญลลิบอกวาอดัมพีคเปนหนึ่งในสถานที่อัศจรรยแหง
ลังกา และเพ่มิ เตมิ วาธรรมดาชาวมุสลมิ น้ันมคี วามศรัทธามากกวาชาวพุทธ๗๑ นกั ประวิ
ตศิ าสตรชาวโปรตุเกสนามวาริเบยโรและเควยรอชก็ใหรายละเอียดเก่ียวกับอดัมพีค
เชนกัน๗๒ เม่ือโปรตุเกสสามารถยึดครองหัวเมืองใกลรอยพระพุทธบาทแลว ไดอุทิศ
ถวายภเู ขาสมนั ตกฏู แกน กั บุญยูเซบอิ สั ๗๓
เมื่อยอนกลับไปในความเชื่อของอินเดียสมัยโบราณมักจะเห็นวามีความเช่ือ
เก่ียวกบั รอยพระพทุ ธบาทวา มีปรากฏอยูในทุกศาสนา ไมวาในศาสนาพราหมณ เชน
และพุทธเปนตน สําหรับพุทธศาสนาหลักฐานที่เปนลายลักษณอักษรเกาแกที่สุดท่ี
แสดงใหเห็นความเช่ือเกี่ยวกับรอยพระพุทธบาท ในอรรถกถาของพระสุตตันตปฎก
มัชฌมิ านิกาย คอื ปุณโณวาทสูตร ไดกลาวถงึ รอยพระพุทธบาทวา รอยพระบาทมสี อง
แหง คือ ฝง แมน า้ํ นิมมทาและบนภูเขาสจั จพนั ธครี ี๗๔ สว นหลักฐานทีเ่ ปนรอยพระพทุ ธ
บาท เร่ิมพบในศิลปะอินเดียตั้งแตประมาณตนพุทธศตวรรษท่ี ๓ สมัยพระเจาอโศก
มหาราชแลว จากนัน้ จงึ ปรากฏแพรห ลายทั่วไปในประเทศทนี่ ับถอื พุทธศาสนา
๖๙ EZ., 3. Pp.337-339; GAP., p.17.
๗๐ The Book of Ser Marco Polo, tr. and ed. By Sir. H. Yule, ii, pp.316-322
๗๑ Ribeiro’s History of Ceilao,tr. P.E. Peiris, Colombo, 1905. pp.90-92.
๗๒ E. Carpenter, From Adam’s Peak to Elephanta, London, 1992, p.62.
๗๓ HBC., pp.316-322.
๗๔ ม.อ.ุ (ไทย) 14/395/447.
öò ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»ÚâÞ,¼È.´Ã.
สมเด็จฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพทรงนพิ นธถงึ คติการนบั ถอื รอยพระพุทธ
บาทของไทยวา รับสืบเนื่องมาจากชาวอินเดียและลังกา โดยชาวอินเดียแตคร้ัง
พุทธกาลหรือกอ นหนา นัน้ ไมน ิยมสรา งรูปเทวดาหรือมนุษยไวบูชา เม่ือพระสัมมาสัม
พุทธเจาเสด็จดับขันธปรินิพพาน พุทธศาสนิกชนจึงสรางสถูปหรือวัตถุตาง ๆ เปน
สัญลักษณแทนพระพุทธองค รอยพระพทุ ธบาทเปนวัตถหุ นง่ึ ทน่ี ยิ มทําในสมัยนั้น สวน
คติของชาวลังกาเกดิ ข้นึ ภายหลงั มกี ลาวถงึ ในตาํ นานเร่อื ง มหาวงศ วา พระพุทธเจาได
เสดจ็ ทางอากาศไปยงั ลังกาทวีปและทรงเทศนาสงั่ สอนชาวลังกาจนเกิดความเลื่อมใส
ในพระพุทธศาสนา กอนท่ีพระพุทธเจาจะเสด็จกลับมัชฌิมประเทศ จึงไดทรงทํา
ปาฏิหาริยประทับรอยพระพุทธบาทไว ณ ยอดเขาสุมนกูฎ เพ่ือใหชาวลังกาไดทําการ
สกั การบชู า
ตอมาราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๐ เมื่อหลวงจีนฟาเยนเดินทางมาถึงลังกา ได
บันทกึ โดยเช่อื วาพระพุทธเจา ไดประทบั รอยพระบาทไวสองแหงในลังกา คือ ยอดเขา
สุมนกูฏแหงหนึ่ง อีกรอยหน่ึงไดประทับไวทางทิศเหนือของเมืองอนุราธปุระ ซึ่งใน
เอกสารลังกากลบั ไมพ บการยืนยันถึงสถานทด่ี งั กลาว หากแตม ปี รากฏในบทสวดบาลีที่
ใชก ันในเมอื งไทย มกี ารกลาวถงึ “สุวณั ณมาลกิ ” วา เปนหน่ึงในรอยพระบาทในจาํ นวน
๕ แหงที่พระพทุ ธเจาประทับไว ไดแก เขาสัจจพันธคีรี ฝงแมนํ้านิมมทา เขาสุมนกูฏ
และโยนกปรุ ะ จงึ เหน็ ไดว าความเชือ่ ทวี่ ามีรอยพระพุทธบาทแทจริงที่เขาสัจจพันธคีรี
และฝงแมนาํ้ นิมมทานนั้ เปนความเชื่อด้ังเดิมท่ีสุด เกิดขึ้นในอินเดียและปรากฏอยูใน
พระไตรปฎก
สว นเขาสุมนกูฎและสวุ รรณมาลิกเกิดขึ้นในลังกา และลังกาก็ไดลืมรอยพระ
พุทธบาทที่เขาสุวรรณมาลิกไปแลว แตมาเหลือตกคางอยูในบทสวดมนตที่ใชใน
เมืองไทย ซง่ึ รับอิทธพิ ลทางพุทธศาสนามาจากลังกา สวนโยนกปุระเปนสถานท่ีที่ฝาย
ไทยเพ่มิ เตมิ ขนึ้ ภายหลัง และอาจหมายถึงดินแดนอาณาจักรลานนาท่ีเปนอาณาจักร
โยนกมากอ น จากการคน หาขอ มูลจากพระไตรปฎ กใน ปณุ โณวาทสตู ร อรรถกถา พระ
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÅÕ §Ñ ¡Ò öó
สตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกายและแหลงขอ มลู ตา งๆ ทม่ี กี ารคนหา สุวรรณมาลิกและสุมน
กูฏ พบวา อยูในประเทศศรีลังกา สวนอีกสามแหงอยูในประเทศไทย ในพระไตรปฎก
เรยี กวา แควน สนุ าปรนั ตะ หางจากเชตวันวิหาร ๓๐๐ โยชน๗๕ ทรงเสด็จทางอากาศ
พรอมภกิ ษอุ รหนั ต ๔๙๙ รูปไปโปรดดาบสท่เี ขาสจั จพนั ธ (สระบรุ )ี ใหบรรลุพระอรหนั ต
บวชแลวตามเสด็จพระพทุ ธองคไปโปรดนิมมทานาคราช พระพทุ ธองคทรงประทบั รอย
พระบาทไวท่ีริมฝงแมนํ้านิมมทา (เชื่อกันวาคือรอยพระพุทธบาทที่เกาะแกวพิศดาร
ปลายแหลมพรหมเทพ จ.ภูเก็ต) จากนั้นโปรดใหพระสจั จพันธก ลับไปพํานักท่ีเขาสัจจ
พันธต ามเดิม พระสัจพนั ธทูลขอเครอื่ งสักการะบชู า พระพุทธองคจึงประทับรอยพระ
บาทไวบนหลงั แผนหนิ ทึบเหมือนประทบั ตราไวบนกอนดินเหนียวสดเปนตํานานที่มา
ของรอยพระพทุ ธบาทบนเขาสจั จพนั ธ จ.สระบรุ ี สว นรอยพระพุทธบาทที่โยนกบุรี คง
หมายเอาชอ่ื โยนกนครอันเปน ชอ่ื เดิมของลานนา สวนท่ีศรีลงั กาน้ันมเี จดียอ งคหน่ึงบน
เขาอภยั คีรี หรอื Abhayagiri Dagoba (ไทยเรียกวา สุวรรณมาลิก หรือ สุวรรณมาลี)
สันนิษฐานวาเปนเจดียท่ีสรางครอบรอยพระพุทธบาทไว ดังขอความภาษาอังกฤษ
อางอิงดงั นี้
The Abhayagiri Dagoba is the second biggest brick structure in
the world after the Jetavana Dagoba. The Abhayagiri Dagoba was built
by King Gajabahu (114-136 AD) and reaches a height of 370 feet (115 m).
Abhayagiri monastery is one of the eight sacred sites for Buddhists in
Anuradhapura, Sri Lanka. It is believed that the Abhayagiri Dagoba was
๗๕ ม.อ.ุ อ. ๑๔/๓๙๗/๓๒๐., ทาวสกั กะน้ันทรงพิจารณาเห็นวาพระศาสดาจะเสด็จไปแควน
สนุ าปรนั ตะ จึงรบั สง่ั เรยี กพระวศิ วกรรมมาสงั่ วา พอ วันนีพ้ ระผูมีพระภาคเจาจะเสด็จเท่ียวบิณฑบาต
ระยะทางไกลประมาณสามรอยโยชน พอ จงเนรมติ เรอื นยอดไว ๕๐๐ หลังทาํ การเตรียมระยะทางเสด็จ
ท่ีทายสุดซุมประตูพระเชตวัน ตั้งไวใหพรอม. พระวิศวกรรมนั้นไดกระทําอยางน้ันแลว. เรือนยอด
สาํ หรับพระผมู ีพระภาคเจา มี ๔ มขุ . ของสองพระอศั รสาวกมี ๒ มุข. ทเี่ หลอื มีมขุ เดียว.
öô ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»ÚâÞ,¼È.´Ã.
built over the footprint of the Buddha.The Buddha came to Lanka and
by his supernatural powers placed one foot in the north of
Anuradhapura, the other on top of Adam's Peak
ในขณะเดียวกันตํานานในประเทศไทยสมัยสุโขทัย มีหลักฐานที่ใช
ประกอบการพิจารณาเรอ่ื งนี้ ถึงแมจ ะหาไดย ากแตก ็พอทจี่ ะช้ีทิศทางไดบางเปนเคา มลู
ก็คอื จารึกเขาสมุ นกฏู (เขาพระบาทใหญ) เมอื งสุโขทัย ๑๐ จารึกหลกั น้เี ปนจารึกของ
พญาฤาไทย, ๑๑ จารึกในราว พ.ศ. ๑๙๑๓-๑๙๑๕. ตอนตนเลาถึง พญาเลอไทย
(โอรสพอ ขนุ รามคําแหง) จําลองรอยพระพทุ ธบาทจากยอดเขา “สูมนกูฏ” เมืองลังกา
มาประดิษฐานไวเหนือยอดเขาเมืองสุโขทัย ใหช่ือภูเขาน้ันใหมตามอยางลังกาวา “สู
มนกูฏ” คตทิ ถ่ี ือกันในลังกาทวีปน้ัน เกิดข้ึนภายหลัง โดยไดกลาวถึง พระพุทธเจาได
ทรงประทับรอยพระพุทธบาทไวใหเปนที่สักการะบูชามีอยูหาแหงดวยกัน คือท่ีเขา
สวุ รรณมาลกิ เขาสวุ รรณบรรพต เขาสุมนกูฏ ทเ่ี มอื งโยนกบุรี และทีห่ าดในลําน้ํานิมม
ทานที มีคาถา คํานมัสการ แตงไวสาํ หรับสวดทายบทสวดมนตอยางเกา ดังน้ี สุวณฺณ
มาลิเก สุวณฺณปพพเต สุมนกูเฏ โยนกปุเร นิมฺมทาย นทิยา ปฺจปทวรํ อหํ วนฺทามิ
ทรู โต เดิมเรารจู ักแตรอยพระพุทธบาทท่ีเขาสมุ นกูฏ ซึ่งอยูที่ลังกาทวีปแหงเดียว ตาม
ตํานานในเรื่องมหาวงศ วาคร้ังหน่ึง พระพุทธเจาไดเสด็จโดยทางอากาศไปยังลังกา
ทวีป ไดทรงสั่งสอนชาวลังกาทวีป จนเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา กอนท่ี
พระองคจ ะเสดจ็ กลับไปยังมัชฌมิ ประเทศ ไดท รงกระทําอทิ ธิปาฏิหารย ประทับรอย
พระพทุ ธบาท ซ่ึงมขี นาดใหญ มคี วามยาวประมาณหนึ่งวา ประดิษฐานไวบนยอดเขา
สมุ นกฏู สําหรบั ใหช าวลังกาไดส กั การะบชู าตางพระองค
ยังมหี ลกั ฐานการบูชารอยพระพทุ ธบาทในไทย คือ รอยพระบาทคูที่สระ
มรกต จังหวัดปราจีนบุรี มีอายุอยูประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑–๑๓ ถือวาเปน
หลกั ฐานทเ่ี กา แกท ี่สดุ ในเมืองไทยซึง่ อยใู นยคุ ของวัฒนธรรมสมัยทวารวดี หลังจากนั้น
ไมปรากฏหลักฐานการทํารอยพระบาทอีกจนถึงสมัยพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ จึงพบ
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÅÕ Ñ§¡Ò öõ
แพรห ลายขน้ึ ทั้งในสโุ ขทยั และลานนา อนั อาจเนื่องจากอิทธิพลของพุทธศาสนาลังกา
วงศที่พระเถระจากสุโขทัยและลานนาหลายรูปไดเดินทางไปลังกาหรือพมาอันเปน
ดนิ แดนทีพ่ ทุ ธศาสนาแบบลงั กาวงศไ ปเจริญอยู กระทง่ั สบื คติดงั กลา วตอ มาจนถึงสมัย
อยธุ ยา การสรางรอยพระพทุ ธบาทจําลองขน้ึ ในสถานท่ีตาง ๆ ก็มีมากยิ่งขึ้น ดวยเชื่อ
วา รอยพระพทุ ธบาทจาํ ลองยอมมอี านุภาพและสิริมงคลประดุจรอยพระพุทธบาทอัน
แทจริง
คํานมัสการรอยพระพุทธบาท ๕ แหง
วนั ทามิ พุทธงั ภะวะปาระตณิ ณัง
ตโิ ลกะเกตงุ ตภิ ะเวกะนาถัง
โย โลกะเสฏโฐ สะกะลงั กเิ ลสงั
เฉตะวานะ โพเธสิ ชะนัง อะนันตัง
ยงั นิมมะทายะ นะทยิ า ปลุ เิ น จะ ตเี ร
ยัง สจั จะพนั ธะคิรเิ ก สเุ มนา จะลัคเค
ยัง ตตั ถะ โยนะกะปุเร มนุ โิ น จะ ปาทงั
ตัง ปาทะลญั ชะนะมะหังสริ ะสา นะมามิ
สวุ ัณณะมาลิเก สวุ ณั ณะปพพะเต สมุ ะนะกเู ฏ
โยนะกะปเุ ร นิมมะทายะ นะทยิ า
ปญจะปาทะวะรัง ฐานัง อะหงั วันทามิ ทรู ะโต ฯ
อิจเจวะมจั จนั ตะนะมสั สะเนยยงั
นะมสั สะมาโน ระตะนัตตะยงั ยงั
ปญุ ญาภิสนั ทัง วปิ ลุ งั อะลตั ถัง
ตัสสานภุ าเวนะ หะตันตะราโยฯ
อามนั ตะยามิ โว ภิกขะเว ปะฏเิ วทะยามิ โว ภกิ ขะเว
ขะยะวะยะธมั มา สงั ขารา อปั ปะมาเทนะ สมั ปาเทถาตฯิ
öö ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»ÚâÞ,¼È.´Ã.
คาํ แปล
ขาพเจาขอนมัสการพระพทุ ธเจา ผูข า มพนฝงแหง ภพ,
ผเู ปน ธงชัยของไตรโลก ผเู ปนนาถะเอกของไตรภพ,
ผปู ระเสริฐในโลก ตัดกเิ ลสท้งั ส้ินไดแ ลว ชว ยปลุกชน
หาที่สดุ มไิ ดใหต รสั รมู รรคผลและนพิ พาน,
รอยพระบาทใดอันพระพทุ ธองค ไดท รงแสดงไว,
ในหาดทรายแทบฝง แมน้ํานมิ มะทา,
รอยพระบาทใดอันพระพทุ ธองค ไดทรงแสดงไว,
เหนือยอดเขาสัจจะพนั ธ และเหนอื ยอดเขาสุมะนา,
รอยพระบาทใดอันพระพุทธองค ไดทรงแสดงไว,
ในเมืองโยนะกะ ขาพเจาขอนมัสการพระบาท และ
รอยพระบาทนัน้ ๆ ของพระมุนดี ว ยเศยี รเกลา ,
ขา พเจาขอนมสั การสถานทม่ี รี อยพระบาท,
อันประเสรฐิ ๕ สถานแตทไ่ี กล, คือที่เขาสวุ รรณมาลกิ ๑
ท่ีเขาสวุ รรณะบรรพต ๑, ทย่ี อดเขาสุมะนะกูฏ ๑,
ทีโ่ ยนะกะบรุ ี ๑, ท่แี มน ้ําช่อื นิมมะทา ๑,
ขาพเจาขอนมสั การอยูซ ่ึงพระรัตนตรยั ใดๆ อนั บุคคล
ควรไหวโดยสว นยงิ่ , อยา งน้ีดวยประการฉะนี้,
ไดแ ลวซง่ึ กองบุญอันไพบลู ย,
ขออานุภาพแหง พระรตั นตรยั น้นั จงขจัดภัยอนั ตราย เสยี เถดิ ,
ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย เราขอเตือนทานทงั้ หลาย
ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย เราขอใหท านทัง้ หลายทราบไววา
สังขารท้ังหลายมคี วามเส่อื มส้นิ ไปเปน ธรรมดา,
ขอใหท านท้งั หลายจงยังประโยชนต น และประโยชนท าน
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÅÕ Ñ§¡Ò ö÷
ใหถ ึงพรอมดว ยความไมป ระมาทเถดิ ,
ดวยประการฉะน้แี ล ฯ.
จากความเชื่อวาเร่อื งรอยพระพทุ ธบาท ๕ แหง ทป่ี ระดษิ ฐานสถานดังนั้น
๑) สวุ ัณณะมาลิเก ที่เขาสุวรรณมาลิก รอยพระพุทธบาท เขาสุวรรณมาลิก
(อภยั คีรี) เมอื งอนรุ าธะปุระ ประเทศศรีลังกา เจดียบนเขาอภัยคีรี หรือ Abhayagiri
Dagoba ไทยเรียกวา สวุ รรณมาลิก หรือ สุวรรณมาลี สันนิษฐานวาเปนเจดียที่สราง
ครอบรอยพระพุทธบาท
๒) สุวัณณะปพพะเต ท่ีเขาสุวรรณบรรพต รอยพระพุทธบาท เขาสุวรรณ
บรรพต (เขาสัจพนั ธบรรพต) วัดพระพทุ ธบาท จ.สระบุรี ประเทศไทย
๓) สุมะนะกูเฏ ทย่ี อดเขาสุมะนะกูฏ รอยพระพุทธบาท เขาสุมนกูฏ อีกชื่อคือ
ศรีปาทะ (Sri Pada) หรอื ยอดเขาของอดมั (Adam's Peak) ประเทศศรีลังกา
๔) โยนะกะปุเร ที่โยนะกะบุรี รอยพระพทุ ธบาทสรี่ อย จ.เชียงใหม
๕) นมั มะทายะ นะทิยา ทแ่ี มน้ําชื่อนัมมะทา รอยพระพุทธบาท ริมฝงแมนํ้า
นมิ มทา (นมั มทานที) ตงั้ อยทู เ่ี กาะแกวพศิ ดาร ปลายแหลมพรหมเทพ จ.ภูเก็ต
๒.๕ คติการบชู าพระพุทธรูป
ตํานานการสรางพระพุทธรูปสวนมากแลว เช่ือกันวาเริ่มจากสมัยพระเจามิ
ลินทเปนตนมา กลาวคือเม่ือชนชาติกรีกเขารุกรานอินเดีย เมื่อชนชาติกรีกที่เขามา
ต้งั แตพระเจาอเลก็ ซานเดอรเขารุกรานอินเดียไดแลว ก็ไดตั้งรกรากถาวรที่บากเตรีย
คนั ธาระ สาคระและหลายสวนของอาฟกานิสถาน ปากีสถานและอินเดียเหนือเร่ิมมา
เลอื่ มใสในพุทธศาสนา คาํ วา คนั ธาระ (Gandhara) มาจากคําวา คันธารี คติของพวก
กรีกไมรังเกียจสรางรูปเคารพและกอนที่จะเปลี่ยนมาเปนพุทธมามกะก็ไดสรางรูป
เคารพของตนอยมู ากมายหลายองคดวยกนั เชน เทพเจายูปเ ตอรห รือ ซิวส ฮิรา เฮอร
มีส อริ ีสอพอลโล อารเตมิส เอเธนา โปซดี อน อาโปรดตี ฯลฯ เทพเจา เหลา นีส้ วนใหญ
öø ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»ÚâÞ,¼È.´Ã.
เปน พระเจาประจาํ ธรรมชาติ และพวกกรีกสรางเปน เทวรูปดุจมนุษยมีสัดสวนเปนสัน
งดงามจนจัดเปน สญั ลักษณอ ันหน่งึ แหงศลิ ปกรรมของชาตกิ รกี โบราณ
ครน้ั เม่อื เปลย่ี นใจมาเลือ่ มใสพทุ ธศาสนา นสิ ัยความเคยชินที่ไดกราบไหวบูชา
เทวรูป ทาํ ใหพวกกรกี เกิดมโนภาพคดิ สรางพระพทุ ธรูปข้ึนมาบาง เพ่อื ใหเ ปน ทสั นานตุ
ตรยิ ะยามนึกถงึ พระบรมศาสดา ไมเกดิ ความวาเหวเปล่ียวใจ ฉะน้ันจึงไดเกิดคติสราง
พระพุทธรปู ขึ้นในหมูชาวกรีกข้ึนกอน ภายหลังพุทธมามกะชนชาติอินเดียไดพบเห็น
พระพทุ ธรูปเขากเ็ กดิ ความปสาทะจึงไดหันมานิยมสราง พระพุทธรูปตามคติของชาว
กรีกข้ึน แตไ ดดัดแปลงเปน แบบอยา งศลิ ปกรรมแหงชนชาติของตน แมพวกพราหมณ
พลอยเกิดสรา งเทวรูปพระอิศวร พระนารายณข้ึนกราบไหวบูชา คติรังเกียจสรางรูป
เคารพจึงเปน อันจืดจางไปจากชาติชาวอินเดียโดยพฤตินัย ในสมัยพระเจามิลินทะจึง
นบั วาเปน ยคุ แรกแหงการสรางพระพทุ ธรปู ลกั ษณะพทุ ธรูปของชางชาวกรกี กส็ รา งให
เหมือนมนุษยจริง ลักษณะที่เห็นวางดงามดวงพระพักตรคลายคลึงกับเทวรูป จน
บางคร้งั ทาํ เปนพระมสั สุ (หนวด) บนพระโอษฐก็มี เบ้ืองบนพระเศียรทําเปนพระเกตุ
มาลา (ขมวดผม) เพื่อใหเห็นแตกตา งจากรปู พระสาวก เสนพระเกศาก็ทําเปนลักษณะ
มวนเกลา ดังเชนพระเกศาของพระกษัตริย ผากาสาวพัสดุทําเปนรอยกลีบยนเห็น
ชัดเจนดุจผาจรงิ ๆ และมกั จะมีประภามณฑลรายรอบพระเศยี ร แตไ มม ลี วดลาย พระ
พุทธปฏิมากรดังกลาวน้ี ชางกรีกคิดสรางสรรคเ ปน ปางตาง ๆ โดยอาศยั พระพุทธจริยา
ที่ทรงบําเพ็ญเปนบรรทัดฐาน เชน ปางตรัสรูก็ทําเปนขัดสมาธิวางพระหัตถซอนกัน
ภายใตรมไมโพธิพฤกษ ปางแสดงพระธรรมจักรทําเปนรูปประทับบนบัลลังก และจีบ
พระดรรชนี เปนวงกลมดุจวงจักรดังน้ี เปนตน อยางไรก็ดีพุทธศิลปดังกลาวนี้ มา
แพรหลายรุงเรอื งอยางกวางขวางก็ในสมยั ตอ มาคือสมยั พวกอนิ โดไซรสั หรอื พวกงวย
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÕÅ§Ñ ¡Ò öù
สีมีอํานาจในอินเดียภาคเหนือเรียกวา "พุทธศิลปแบบคันธาระ (Gandhara Arts)"
ท้งั นีเ้ พราะเกดิ ขึ้นแถวแควนคนั ธาระนัน่ เอง๗๖
หรับคติความเช่อื เกี่ยวกับพระพุทธรูปในศรีลังกาน้ัน สามารถสืบคนไปจนถึง
ยุคแรกเร่ิม หลกั ฐานอา งอิงเกี่ยวกับพระพุทธรปู กอ นพุทธศตวรรษท่ี ๙ มีไมมากนัก มี
กลาวถึงมากในคัมภีรมหาวงศ๗๗ ความโดงดังแพรหลายเรื่องพระพุทธรูปเห็นไดจาก
วิหารขนาดใหญ (ปฏมิ าฆระ) ซ่ึงสรางทกุ แหง ทั่วเกาะลงั กา โดยเฉพาะสมยั อนุราธปุระ
แลโปโฬนนารุวะ สถาปตยกรรมที่โดดเดนหลังยุคโปโฬนนารุวะคือคฑลาเดณิยวิหาร
และลังกาตลิ วหิ าร สรางสมยั พุทธศตวรรษที่ ๑๙๗๘ วิหารท่ยี ง่ิ ใหญแหง ยุคโปโกฏเฏอยู
ท่วี ดั เกลาณิวิหาร คมั ภรี แสฬลิหิณิสนั เดศยะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวัดเกลาณียะ
อยางละเอยี ด โดยบอกวา ผูม าเยย่ี มเยียนอารามแหงน้ยี อมเห็นวหิ ารขนาดใหญนามวา
ลังกาติลกะ ซึ่งมีนามคลายวิหารสมัยโปโฬนนารุวะและสมัยคัมโปละ๗๙ ผูแตงคัมภีร
บอกวาวิหารหลังน้ีมีความสําคัญมาก เปนรองเพียงสฬปฬิมเคยะและบอกอีกวาสี
สาํ หรับแตมทางวิหารคลายคลึงกบั สีนาํ้ ทะเลของทาวโกสยี ซึง่ เจดิ จาดัง่ ละลอกคลื่น๘๐
ฉันทบทท่ี ๖๒ อธิบายวาวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสนทองคําตั้งอยู
ดา นซายของวหิ าร๘๑ ถดั มาเปนพระพุทธรูปอีกองคหนึ่งมีพญานาคแผพังพานบนพระ
เศียร เพือ่ บงถึงพระพทุ ธเจาขณะประทับคราวฝนตกหนักมีพญานาคมุจลินทคอยแผ
พงั พานปกปอง๘๒ สว นพระพุทธรูปใตตนโพธ์ิเปนปางประทับนั่งสมาธิพรอมดวยมหา
๗๖ เสถียร โพธินันทะ, ประวัติศาสตรพระพุทธศาสนา, บริษัทสรางสรรคบุคส จํากัด,
๒๕๔๔
๗๗ HBC., pp.316-322.
๗๘ AAGB., pp.46-54 and 63-70.
๗๙ Sls., v.60.
๘๐ Sls., v.61.
๘๑ Ibid. v.62.
๘๒ Ibid. v.66.
÷ð ¾ÃÐÁËÒÁԵà °Ôµ»ÚâÞ,¼È.´Ã.
บรุ ษุ ลักษณะ ๓๒ ประการ๘๓ จากประตดู านทศิ ใตผ ูท ําหนา ท่ีสงสาสนคือนกไดยนิ เสียง
กลอง และการบูชาพระพุทธรูปตรีภังคสององคท่ีติวังกปฬิมเคยะตามเวลาอันเปน
มงคลฤกษ๘๔ วิหารอีกหลงั หนง่ึ นามวา เตลกฏรเคยะเช่อื กันวาสรางตรงจุดพระอรหันต
ถกู ตม ดวยหมอ นา้ํ เดือดโดยพระเจา กลั ยาณีติสสะ๘๕
พิธีเก่ียวกับพระพุทธรูปมีการปฏิบัติเหมือนบุคคลมีชีวิต อาจเปนไปไดวา
ความคิดเชน นเี้ ปนความคิดเชิงสญั ลกั ษณเฉพาะบคุ คล เชนพิธีอปุ สมบทและอภิเษก๘๖
บางคร้งั ตวิ ังกะมีพ้นื ฐานประตมิ ากรรมท่แี ตกตา งจากรปู ปน เมื่อพระพุทธรปู ไดรับการ
ปฏบิ ัตเิ หมือนคนมีชีวติ จะตอ งมีพธิ สี รงนํ้าแตงตวั และถวายอาหาร สมัยอาณาจักรอนุ
ราธปรุ ะอาจะมพี ิธีกรรมชื่อวาอภิเษก (การประพรหมพระพุทธรูปดวยนํ้าศักด์ิสิทธิ์)๘๗
คัมภีรสัทธรรมรัตนากรยะอธิบายรายละเอยี ดเกีย่ วกับพิธีกรรมที่กระทําโดยพระเจา ธัน
ยกฏกะแหง อนิ เดยี ใต ตามคาํ บอกเลาของบูรพาจารยนามวาสีลวังสธรรมกีรติเถระ๘๘
คมั ภีรบ อกวาพระพุทธรปู ศิลาทว่ี ดั ธันยกฏกะมีการสรงนา้ํ ทกุ วนั พระพุทธรปู หินออนก็
คลมุ ดวยผาขนาดสองนวิ้ พรอ มดวยดอกไมเสววันดิยิะ๘๙ ตกแตงเพื่อใหพระพุทธรูปมี
ลักษณะเหมือนดอกไม ถัดมาเปนการสรงน้ําในอางนํ้าหอมและนํ้ามันงา จากน้ันขัด
ดวยน้ํามนั พรอ มสรงดว ยนาํ้ อันบริสทุ ธ์ิ๙๐ สนั นษิ ฐานวา พิธกี รรมท่ีคลายกันถูกจัดขึ้นใน
เทศกาลพเิ ศษเพ่อื พระพุทธรูปเปน กรณีพเิ ศษ พิธีกรรมท่บี รรยายเก่ยี วกับพระพุทธรูป
อมราวดีเหมือนวิธีปฏิบัติของฮินดู เพราะยุคนี้พระพุทธศาสนาบริเวณอมราวดีไดรับ
๘๓ Ibid. v.69.
๘๔ Ibid. v.69.
๘๕ Ibid. v.70.
๘๖ Mv.,39.66; HBC., p.293.
๘๗ Mv., 39.40.
๘๘ Sdhrt., p.561f.
๘๙ Rosa Centifolia, Rosa Damaseoene, sv. SSS., p.1094.
๙๐ Shrt., p.962.
¾Ãоط¸ÈÒʹÒã¹»ÃÐà·ÈÈÃÕÅ§Ñ ¡Ò ÷ñ
อิทธิพลแบบฮินดูคอนขางมาก แมพระสงฆผูนําทําพิธีกรรมจะเปนชาวสิงหล แตไม
มั่นใจวา จะเปน พิธกี รรมท่ีคลายคลึงกบั สมัยยังรงุ เรอื งหรอื ไม
หลังจากการเขามาของพระมหินทเถระ ผูคนชาวลังกาไดยอมรับนับถือ
พระพทุ ธศาสนาแลว ความเชื่อด้งั เดมิ เกี่ยวกบั เทพเจาและเหลายักษไมปรากฏใหเห็น
อีกเลย เทพเจา และเหลายักษเ ปน สง่ิ ทม่ี ีอยจู ริงตามจักรวาลวิทยาของชาวพุทธ เทพเจา
เหลานน้ั ไมมีรูปเคารพแตก ําเนิดกอ นพุทธศาสนา หมายถงึ เทพเจา ฮนิ ดู การรกุ รานของ
พวกทมฬิ ครั้งแลวครั้งเลาทําใหศรีลังการูจักเทพเจาแหงอินเดียใต ซึ่งเร่ิมตนแตสมัย
อาณาจกั รโปโฬนนารุวะจนกลายเปนท่ีรูจักแพรหลาย และการแตงงานเก่ียวดองกับ
พระราชธิดากษัตริยอินเดียตอนใตสมัยกลาง เปดโอกาสใหเทพเจาฮินดูกอรางสราง
ฐานะตอ ผคู น เพราะยคุ อาณาจักรคัมโปละนนั้ เทพเจา ฮินดูสามารถประดษิ ฐานภายใน
อาคารอันเดยี วกนั กับพระพุทธรูปได
บทท่ี ๓
องคค์ วามรู้ท่ไี ดจ้ ากการศึกษาดูงานประเทศศรลี ังกา
ความนา
บทน้ีเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ท่ีนิสิตได้สะทอดออกจากการศึกษาดูงานที่
ประเทศศรีลังกา ว่า จากประสบการณ์ท่ีได้ออกไปทัศนะศึกษาดูงานแล้ว นิสิตได้อะไร
บาง แล้วจะเก็บประสบการณ์น้ีไปปรับใช้ในการดาเนินงาน การเผยแผ่ และการดาเนิน
ชวี ติ อย่าง ประสบการณใ์ นการออกศึกษาดูงานนอกสถานที่เป็นการศึกษาท่ีประสบการณ์
ตรง องค์ความรู้นี้เป็นองค์ความรู้ที่ทรงคุณค่าท่ีนิสิตได้แสดงออก ด้วยเหตุน้ี จึงได้
นาเสนอองค์ความรู้ผ่านประสบการณ์ท่ีนิสิตพยายามสื่อสารประสบการณ์ของตนสู่สังคม
สื่อสารเก่ียวกับประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศศรีลังกาสู่ประเทศไทย
ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกากับประเทศไทย วิถีชีวิตของ
พุทธศาสนิกชนในประเทศศรลี ังกา สถานที่ที่มีความประทับใจในการทัศนศึกษาครั้งนี้ ส่ิง
ที่ได้จากการศึกษาในคร้ังนี้ และประสบการณ์จะสามารถนาไปเป็นแนวทางการพัฒนา
ในอนาคต
๓.๑ ประวตั ศิ าสตร์พระพทุ ธศาสนาเถรวาทในประเทศศรลี งั กาส่ปู ระเทศไทย
ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศศรีลังกาสู่ประเทศไทย:
สงั คมเมืองพุทธศรีลังกา ไม่แตกต่างจากประเทศพุทธอื่นๆ เท่าใดนัก มีวัดวาอารามให้
เห็นกันทั่วทุกมุมเมือง ประชาชนเคารพนับถือพระสงฆ์ในฐานะตัวแทนพระพุทธเจ้า
เป็นอย่างมาก วิถีชีวิตชาวบ้านใกล้ชิดพระเจ้าอย่างแยกไม่ออก แต่ที่เห็นต่างไป คือ
เหตุการณ์ความไม่สงบและการรบพุ่งกันระหว่างชาวทมิฬกับชาวสิงหล ทาให้ประเทศ
นอี้ ยูภ่ ายใต้ภาวะความตงึ เครยี ดและอนั ตรายมานานมากแลว้ แต่แม้กระนน้ั ชาวบ้านก็
ยังนิยมนุ่งขาวห่มขาวเข้าวัด วัดกลายเป็นที่พึ่งทางจิตใจที่สาคัญมากอย่างหนึ่งเลย
ทีเดียว ในเมืองไทยเวลาจะลาพระกลับบ้าน ท่านก็จะให้พรและพรมน้ามนต์เป็นสิริ
พระพทุ ธศาสนาในประเทศศรีลงั กา ๗๓
มงคล แต่ท่ีศรีลังกา ท่านจะเอาเครื่องประดับศีรษะ คล้ายๆ พวกมงกุฏชฎา ซึ่งถือว่า
เป็นของสูงมาสวมลงบนศีรษะเรา พร้อมกับให้พร เป็นธรรมเนียมปฏิบัติสากลสาหรับ
ทกุ วัดที่นี่
ชาวศรีลังกาให้ความสาคัญ และมีความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่าง
มาก สังเกตได้จากชาวศรีลังกา มีโรงเรียนสอนพระพุทธศาสนาในวันอาทิตย์
ผู้ปกครองจะใหก้ ารสนับสนนุ โดยสง่ เยาวชนเข้าศึกษาพระพุทธศาสนาในวันอาทิตย์กัน
อย่างพร้อมเพรียง ประชาชนไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กที่เข้ามาศึกษาในโรงเรียน
พระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ทุกคนจะพร้อมใจการสวมใส่ชุดสีขาวท้ังผู้ชายและผู้หญิง
และเข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างมสี มาธแิ ละจรงิ จงั เปน็ อย่างมาก๑
สยามนกิ าย ได้กาเนิดไปจากประเทศไทย มีลักษณะการแต่งกายแตกต่างจาก
สองนิกายหลัง เนอ่ื งจากพระสงฆส์ ยามนกิ ายนิยมโกนขนค้ิวหมด การห่มจีวรเวลาออก
จากวัด บางวัดก็ห่มคลุม บางวัดก็ห่มลดไหล่หรือท่ีเรียกว่า พาดหางควาย นอกจากน้ี
พระสยามนิกายทุกองค์จะใช้ร่มผ้าสีดา คันยาว ที่ถือมีลักษณะงอโค้ง ซึ่งเป็นบริขาร
ประจาไม่ว่าฝนจะตกหรือไม่ก็ตาม เมื่อจะออกจากวัดไปไหนต้องถือติดตัวไปด้วยทุก
ครั้งเหมือนเป็นธรรมเนยี มปฏบิ ัติ
ส่วนอมรปุรนิกายน้ัน ไม่นิยมโกนค้ิวเหมือนพระสยามนิกาย และเม่ือจะออก
นอกวัดก็จะห่มคลุมท้ัง ๒ บ่า เช่นเดียวกับรามัญนิกาย และจะถือร่มใบตาลที่มีรูป
ยาวๆ ไม่ใหญ่นัก ไม่มีก้านเหล็ก แต่มีที่กางและหุบได้ โดยอาศัยก้านตาล ใช้ได้เฉพาะ
กันแดดเท่านั้น อย่างไรก็ตามการห่มผ้าของพระท้ัง ๓ นิกายน้ีจะเหมือนกัน คือ
ตอนล่างจะต้องห่มให้ชายจีวรเล้ือยลงมาถึงข้อเท้า นอกจากนั้นเวลา มีกิจนิมนต์ไป
บ้านใคร ทุกนิกายจะต้องมีพัดใบตาลเล็กๆ ติดมือไปด้วยทุกองค์ รวมทั้งร่มที่จะต้อง
ถอื ไป ไม่นยิ มถือยา่ มเหมือนพระไทยและพระพม่า
๑ พระครูวรมงคลประยุต, เลขประจาตัวนิสิต ๖๐๐๕๑๐๕๐๐๒, สาขาวิชา
พระพุทธศาสนา
๗๔ พระมหามติ ร ฐิตปญโฺ ญ,ผศ.ดร.
ในเรือ่ งการปฏบิ ตั ิตนของท้ัง ๓ นกิ ายนี้ พระสยามนิกายและอมรปุรนิกาย จะ
คล้ายกันมาก ส่วนพระรามัญนิกาย จะต่างออกไปโดยที่ท่านจะไม่จับเงิน ดังน้ันเม่ือ
เวลาไปไหนมักจะต้องมีเด็กติดตามไปด้วย เพ่ือให้เด็กช่วยในการหยิบเงินจ่ายค่ารถ
เหน็ ได้วา่ การปฏิบตั ิตนของรามัญนิกายน้ันจะเครง่ ครัดกว่านิกายอนื่ ๆ
อย่างไรก็ตามพระสงฆ์ทั้ง ๓ นิกายนี้ ไม่นิยมลาสิกขา เน่ืองจากประชาชน
มักจะดหู มนิ่ ดแู คลนและไมน่ ับถือผู้ที่สึกออกมาจากพระโดยถือว่าไม่ใช่คน
ดี ซงึ่ ในภาษาสิงหลจะเรยี กวา่ หิระลุ คือ ผู้ทิ้งผ้าจีวร และคนศรีลังกาหมายถึง บุคคล
ที่เกยี จคร้าน ไมน่ า่ ปรารถนาในสงั คม
ในเรื่องการแสดงความเคารพระหว่างพระในนิกายทั้ง ๓ ไม่แตกต่างกัน
เพราะผ้ทู ีอ่ าวุโสนอ้ ยกวา่ ตอ้ งเคารพผทู้ ่ีมีอาวุโสมากกว่า สาหรับความเป็นอยู่ เช่น การ
ฉัน ก็เช่นเดียวกัน ท้ัง ๓ นิกาย สามารถฉันร่วมอาสนะเดียวกันได้ ยกเว้นในเรื่องทา
อุโบสถสงั ฆกรรม จะไมท่ าร่วมกัน เพราะพระสยามนกิ ายคิดว่าตนเองมาจากวรรณะสูง
จงึ มองอกี สองนกิ ายวา่ มาจากวรรณะต่ากวา่ นอกจากนน้ั พระท้ัง ๓ นิกาย ไม่นิยมการ
สบู บหุ รี่ เพราะประชาชนจะไม่เล่ือมใสพระท่ีสูบบุหรี่ ในเร่ืองการปลงผมก็เช่นเดียวกัน
พระทั้ง ๓ นิกาย ปลงผมตามความพอใจ เพราะไม่มีวันโกนโดยเฉพาะเหมือนใน
ประเทศไทย๒
พระพุทธศาสนา ไดอ้ บุ ัติขน้ึ ในดินแดนชมพทู วปี เรียกอีกอย่างวา่ อินเดีย โดยมี
สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าเป็นองค์พระศาสดา หลังจากพระองค์ได้เสด็จดับขันธ์
ปรินิพพานแล้ว พุทธบริษัทเหล่าสาวกได้ ทาสังคายนาข้ึน เพื่อรักษาพระธรรมคาสอน
ชาระพระธรรมวินัยให้บริสุทธ์ิผุดผ่อง ในครั้งนั้นพระเจ้าอโศกมหาราช และพระโมค
คัลลีบุตรติสสเถระ ได้เรียกประชุมสงฆ์จานวน ๑,๐๐๐ รูป จัดทาสังคายนา ครั้งที่ ๓
ขึน้ ณ วัดอโศการาม แขวงเมืองปาฏลีบุตร ประเทศอินเดีย หลังจากทาสังคายนาแล้ว
๒ พระครูวิบูล ภัทโรภาส (โอภาโส) นิสิตปริญญาเอกช้ันปีท่ี๑ รหัส .......สาขาวิชา
พระพุทธศาสนา
พระพทุ ธศาสนาในประเทศศรลี งั กา ๗๕
พระเจ้าอโศกมหาราชได้ ส่งธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามากท่ีสุดถึง ๙ สาย
ด้วยกัน สายที่ ๘ ได้ส่งพระโสณะ พระอุตตระไปยังแคว้นสุวรรณภูมิ ส่วนสายที่ ๙
น้ัน ได้ส่งพระพระมหินท์เถระ พร้อมด้วยคณะ อีก ๕ รูป และอุบาสก ๑ ท่าน ไปยัง
เกาะลังกาของชาวสิงหล โดยมีพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะทรงศรัทธาเล่ือมใส ได้อุทิศ
มหาเมฆวันทอทุ ยาน เรียกว่า “วัดมหาวิหาร”ถวายแด่คณะสงฆ์ พระพุทธศาสนาเข้าสู่
ลังกาในยุคนี้ เป็นแบบเถรวาท พร้อมกันนี้พระมหินท์เถระยังได้นาเอาพระไตรปิฎก
พระอรรถกถา และอารยธรรม ศลิ ปกรรม สถาปัตยกรรมเขา้ ไปด้วย
เมือ่ พ.ศ.๑๖๙๗ – ๑๗๓๐ สมัยพระเจ้าปรากรมพาหุที่ ๑ ทรงเป็นมหาราชที่
สาคัญที่สุดองค์หนึ่งของลังกา ในด้านการพระศาสนาทรงชาระการพระศาสนาให้
บริสุทธ์ิ ยังคณะสงฆ์ให้รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อีกคร้ังหนึ่ง พระมหากษัตริย์
ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ปกครองสงฆ์ทั้งประเทศเป็นครั้งแรก เป็นยุคที่มี
ศิลปกรรมงดงาม และลังกาได้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนา ปรากฏ
เกียรติคุณแพร่ไปท่ัว มีพระสงฆ์และนักศึกษาเดินทางจากประเทศใกล้เคียงมาศึกษา
พระพทุ ธศาสนาในลังกา แลว้ นาไปเผยแพรใ่ นประเทศของตน เป็นอันมากถือได้ว่าเป็น
ยคุ ทองแห่งพระพุทธศาสนาในลงั กา
พ.ศ.๑๖๙๗ น้ี น่ีเองที่ประเทศไทย ตรงกับสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ก็ได้มี
การนมิ นต์พระสงฆ์จากลังกา นามว่า ราหุล มาจาพรรษา และเผยแผ่พุทธศาสนาแบบ
ลงั กาวงศ์ ณ เมอื งนครศรธี รรมราช ตัง้ แตพ่ ุทธศตวรรษที่ ๑๗ ซึ่งกไ็ ด้รับการยอมรับใน
หม่คู นไทยอย่างรวดเรว็
พ.ศ. ๑๘๒๐ พ่อขุนรามคาแหงมหาราช กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ได้อาราธนา
พระมหาเถรสังฆราช จากเมืองนครศรีธรรมราช มาจาพรรษา ณ วัดอรัญญิก ในกรุง
สโุ ขทัย ทาให้พระพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์เจริญรุ่งเรืองในสยามประเทศ นับแต่นั้น
เป็นตน้ มาจวบจนปจั จุบนั โดยในปี พ.ศ. ๑๙๐๔ พระเจา้ ลไิ ท
๗๖ พระมหามติ ร ฐิตปญฺโญ,ผศ.ดร.
กษตั รยิ อ์ งค์ที่ ๕ ของกรุงสุโขทัย ทรงอาราธนาพระมหาสามีสังฆราชจากลังกาทวีป มา
จาพรรษาในสุโขทัย ซึ่งในยุคน้ีเริ่มมีการแบ่งคณะสงฆ์ออกเป็น ๒ ฝุาย คือ ฝุาย
คามวาสี และฝุายอรัญวาสี
พ.ศ. ๒๐๕๐ ฝรั่งโปตุเกสถือโอกาสรุกรานอีก ได้นาเอาคริสต์ศาสนา มา
เผยแพร่
พ.ศ. ๒๒๐๐ ฝร่ังฮอลันดาก็เข้ายึดครอง นาเอาคริสต์ศาสนา มาเผยแพร่ ทา
ให้พุทธศาสนาในขณะนั้นก็ย่าแย่ลงจนพระภิกษุสงฆ์ต้องทิ้งวัดวาอาราม ทาให้ไม่มี
พระภิกษุหลงเหลืออยู่เลย คงเหลือแต่สามเณรอยู่บ้าง โดยมี สามเณรสรณังกร เป็น
หัวหน้า
พ.ศ. ๒๒๙๓ พระเจ้ากิตติราชสิงหะ กษัตริย์ลังกาในขณะน้ัน ให้ส่งทูตมา ขอ
นิมนต์พระสงฆ์จากเมืองไทย (อยุธยา) ไปฟ้ืนฟูพระพุทธศาสนา ณ ลังกาทวีป สมัยน้ัน
ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าบรมโกศจึงได้ส่งพระ
ธรรมทูตไทยจานวน ๑๐ รูป มีพระอุบาลี เป็นหัวหน้า เดินทางมาประเทศลังกา มาทา
การบรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวลังกาถึง ๓,๐๐๐ คน ณ เมืองแคนด้ี ทาให้
สามเณรสรณังกร ได้รับการอปุ สมบทในคร้งั นี้ และได้รับการสถาปนาจากกษัตริย์ลังกา
ให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช จึงเป็นเหตุให้เกิดคณะสงฆ์นิกายสยามวงศ์ หรืออุบาลีวงศ์
ขนึ้ ในประเทศลังกา๓
พ.ศ. ๒๓๔๐ องั กฤษไดค้ รองอานาจแทนฮอลันดา ขยายอานาจไปทั่วประเทศ
ลังกา โดยรบชนะกษัตริย์แคนดี ได้ตกลงทาสนธิสัญญารับประกันสิทธิของฝุายลังกา
และการคุม้ ครองพระศาสนา ครัน้ ตอ่ มาได้เกิดกบฏขน้ึ เมอ่ื ปราบกบฏได้สาเร็จ อังกฤษ
ได้ดัดแปลงสนธิสัญญาเสียใหม่ ระบบกษัตริย์ลังกาจึงได้สูญส้ินตั้งแต่บัดน้ัน ตั้งแต่
อังกฤษเขา้ มาปกครองลงั กาตอนต้น พระพทุ ธศาสนาไดร้ บั ความเป็นอิสระมากขึ้น ด้วย
๓ พระครูสุเมธธรรมกิจ ฐิตเมโธ / กุดสมบัติ รหัส นิสิต ๖๐๐๕๑๐๕๐๐๓ สาขาวิชา
พระพทุ ธศาสนา
พระพุทธศาสนาในประเทศศรลี งั กา ๗๗
สนธิสัญญาดังกล่าว ครั้นต่อมาภายหลังจากการปกครองของอังกฤษประมาณ ๕๐ ปี
พระพุทธศาสนากถ็ ูกกีดกันและตอ่ ต้านจากศาสนาคริสต์ รัฐถูกบีบจากศาสนาคริสต์ให้
ยกเลิกสัญญาทค่ี ุม้ ครองพุทธศาสนา บาทหลวงของคริสต์ได้เผยแผ่ครสิ ต์ศาสนาของตน
และโจมตีพุทธศาสนาอย่างรุนแรง โดยได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ นับต้ังแต่
อังกฤษเข้าปกครองลังกามาเป็นเวลากว่า ๓๐๐ ปี จนได้รับอิสรภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๑
จากการท่ีพุทธศาสนาถูกรุกรานเป็นเวลาช้านานจากศาสนาคริสต์ ทาให้ชาวลังกามี
ความมุ่งมานะที่จะฟื้นฟูพุทธศาสนาในลังกาอย่างจริงจัง จนปัจจุบันประเทศศรีลังกา
ไดเ้ ป็นประเทศทีม่ พี ระพทุ ธศาสนาเปน็ ศาสนาประจาชาติ
อิทธิพลพระพุทธศาสนาเถรวาทท่ีมีต่อประชาชนประเทศศรีลังกา จะเห็นได้
ว่าประชาชนในประเทศศรีลังกาได้นับถือศาสนาพุทธมากของประชากรในประเทศศรี
ลังกามีการนับถือศาสนาท่ีหลากหลาย แต่ประชากรส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา คือ
ร้อยละ ๖๙.๓ รองลงมาคือศาสนาฮินดู ร้อยละ ๑๕.๕ ศาสนาอิสลาม ร้อยละ ๗.๖%
ครสิ ต์ศาสนา รอ้ ยละ ๗.๕ และผ้ทู ี่นบั ถือศาสนาอื่น ๆ อีกรอ้ ยละ ๐.๑ ความสาคัญของ
พุทธศาสนาที่รองรับโดยกฎหมายของรัฐท่ีมีอยู่สูงมาก เช่น ในกฎหมายสิงหลโบราณ
ว่า “ผู้ทาลายเจดีย์และต้นโพธิ์ กับผู้ท่ีปล้นสะดมทรัพย์ของศาสนามีโทษถึงตาย”
กฎหมายนี้ใช้บังคับชาวศรีลังกาทุกระดับชั้น รวมถึงชาวต่างชาติด้วย และคงมีการ
บังคบั ใช้มานานแล้ว ตงั้ แต่รชั กาลพระเจ้าเอลระ ซ่ึงเป็นชาวทมิฬ ในพุทธศตวรรษที่ ๕
ความสาคัญต่อสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงการดาเนินชีวิต อิทธิพลทางด้านการเมือง
การปกครอง พระภิกษุมีบทบาทอย่างมาก พระภิกษุมีความผูกพันกับประชาชนและ
ชนช้ันปกครองอยา่ งใกล้ชิด จึงมบี ทบาทหลายประการ๔
พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน เมื่อ
ประมาณ พ.ศ. ๒๓๖ สมัยเดียวกันกับประเทศศรีลังกา ด้วยการส่งพระสมณทูตไปเผย
แผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ ๙ สาย โดยการอุปถัมภ์ของพระเจ้าอโศก
๔ พระครูโสภณชยาภวิ ัตฒน.์ รหัสนิสติ ๖๐๐๕๑๐๕๐๐๑. สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา
๗๘ พระมหามติ ร ฐติ ปญโฺ ญ,ผศ.ดร.
มหาราช กษัตริย์อินเดีย ในขณะนั้นประเทศไทยรวมอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณ
ภูมิ ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวาง มีประเทศรวมกันอยู่ในดินแดนส่วนนี้ท้ัง ๗ ประเทศใน
ปัจจุบัน ได้แก่ ไทย พม่า ศรีลังกา ญวน กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ซึ่งสันนิษฐานว่ามีใจ
กลางอยู่ท่ีจังหวัดนครปฐมของไทย เน่ืองจากได้พบโบราณวัตถุท่ีสาคัญ เช่นพระปฐม
เจดีย์ และรูปธรรมจักรกวางหมอบเป็นหลักฐานสาคัญ แต่พม่าก็สันนิษฐานว่ามีใน
กลางอยู่ท่ีเมืองสะเทิม ภาคใต้ของพม่า พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่สุวรรณภูมิในยุคน้ี นา
โดยพระโสณะและพระอุตตระ พระเถระชาวอินเดีย เดินทางมาเผยแผ่พุทธศาสนาใน
แถบนี้ จนเจริญรงุ่ เรืองมาตามลาดับ ตามยุคสมยั ต่อไปนี้
ในรัชสมัยพระเจ้าวิชัยพาหุที่ ๑ พระองค์ได้ทรงเริ่มฟื้นฟูพระพุทธศาสนา
ข้นึ มาใหม่ ตอ่ มาก็ถงึ รัชสมยั ของพระเจา้ ปรกั กมพาหทุ ่ี ๑ ซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้า
วิชัยพาหุท่ี ๑ ทรงฟื้นฟแู ละบารุงพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ต่อจากพระราชบิดา จึง
ทาใหพ้ ระพุทธศาสนาเจรญิ รงุ่ เรอื งมาก แตใ่ นสมยั ตอ่ ๆ มาบ้านเมืองก็วุ่นวายอีก คณะ
สงฆ์แทบจะตั้งอยู่ไม่ได้ จนถึง พ.ศ. ๒๐๑๙ ก็ต้องมีการนาพระสงฆ์จากพม่าได้มาให้
การอุปสมบทแก่กลุ บตุ รทล่ี งั กา
ประมาณ พ.ศ. ๒๐๕๐ ประเทศลังกาอ่อนแอลง โปรตุเกสมีอานาจปกครอง
นกิ ายโรมันคาทอลิครุ่งเรอื ง พระพทุ ธศาสนาไดร้ ับการเบยี ดเบยี นมากเส่ือมโทรมลง ใน
ที่สุดต้องนาคณะสงฆ์จากพม่าไปให้การอุปสมบทในลังกาอีกครั้งหน่ึง ต่อมาชาว
ฮอลันดาเร่ิมเข้ามามีอานาจและขับไล่พวกโปรตุเกสออกไป แต่ฮอลันดาน้ันเองก็
ครอบครองลังกาแทน ซึ่งฮอลันดาพยายามหย่ังนิกายโปรเตสแตนท์ลง แต่ไม่สาเร็จ
เหมือนเป็นความโชคดีที่พระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า พระเจ้ากิตติราชสิงหะ ทรง
ไดร้ ับคาแนะนาจากสามเณรรูปหน่ึงช่ือวา่ “สรณังกร” ใหส้ ่งคณะทูตมายังประเทศไทย
ซึ่งตรงกับสมัยของพระเจ้าบรมโกษฐ์แห่งกรุงศรีอยุธยา ขอสงฆ์ไปอุปสมบทกุลบุตรใน
ลังกา และทางประเทศไทยก็ส่งคณะภิกษุไทยมีพระอุบาลีมหาเถระเป็นประธานมา
ลังกา มกี ารตอ้ นรับภิกษไุ ทยอย่างมโหฬารที่เมืองแคนดี้ (Kandy) และต่อมาคณะภิกษุ
พระพุทธศาสนาในประเทศศรีลงั กา ๗๙
ไทยกใ็ ห้การอุปสมบทแบบไทยแก่กุลบุตรชาวลังกา และสามเณรที่ได้รับการอุปสมบท
เป็นองค์แรกคือ สามเณรสรณังกร ท่านผู้น้ีต่อมาภายหลังได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช
แห่งลงั กา ในนกิ ายสยามวงศเ์ ปน็ องค์แรก เปน็ เหตุใหเ้ กดิ สงฆส์ ยามวงศ์ในลังกาข้ึนและ
มมี าตราบเทา่ ทุกวนั น้ี
สาหรับพระอุบาลีเถระน้ัน ต่อมาได้อาพาธถึงแก่มรณภาพท่ีลังกาน้ันเอง
ปจั จุบนั อัฐขิ องท่านยังปรากฏอยู่ อาสนะที่ท่านนั่งอุปสมบทกุลบุตร ตลอดจนพัดรองที่
ทา่ นใชป้ ระจา ยงั คงรักษาไวค้ งรูปเดิมจดั เป็นปชู นยี วัตถุของพระสงฆ์นกิ ายสยามวงศ์
ในสมยั เดยี วกนั นน้ั ได้มีสามเณรกลมุ่ หน่งึ ออกไปรับการอปุ สมบทในพม่า เมื่อ
กลบั มาแลว้ กต็ ้งั “อมรปรุ นกิ าย” ๒ ข้ึน และยังมีอีกพวกหน่ึงไปบวชแต่เมืองมอญแล้ว
นาตั้งเป็น “รามัญนิกาย” ขึ้น ข้อท่ีผิดกันก็คือ ภิกษุในสยามนิกายน้ันส่วนมากเป็นผู้ดี
ชั้นสูงนิยมบวชกันโดยมาก ไม่นิยมรับคน ชั้นต่าเข้ามาบวช เพราะฉะนั้น คนชั้นต่าจึง
หันไปบวชในอมรปุรนิกายและรามัญนิกายเป็นส่วนมากสรุปนิกายพระสงฆ์ในลังกามี
๓ นิกาย
๑. สยามนกิ าย หรอื อบุ าลีวงศ์
๒. อมรปรุ นิกาย หรือ มรมั มวงศ์
๓. รามัญนกิ าย เปน็ นิกายท่ีเลก็ ทสี่ ดุ
ทง้ั ๓ นกิ าย ยงั แบ่งเป็นสาขาแตกแยกกนั ไปตามสานักต่าง ๆ
อิทธิพลพระพุทธศาสนาเถรวาทท่ีมีต่อประชาชนในศรีลังกา: อิทธิพลของ
พระพุทธศาสนาในศรลี ังกาสว่ นมากเหน็ อทิ ธพิ ลทางดา้ นพระพุทธศาสนาซึ่งสามารถจะ
เป็นการแบ่งการศึกษาซ่ึงแลบ่งออกเป็น ๔ ประเด็น คือ ๑. ศึกษาประวัติ
พระพุทธศาสนาในศรีลังกา ๒. ศึกษาสภาพการณ์ปัจจุบันของพระพุทธศาสนาในศรี
ลงั กา ๓. ศกึ ษาถึงอิทธพิ ลของพระพทุ ธศาสนาในศรีลังกา ๔. ศึกษาแนวโน้มในอนาคต
ของพระพุทธศาสนาในศรีลังกาพุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่ศรีลังกาครั้งแรก เม่ือประมาณ
พ.ศ. ๒๓๖ โดยการนา ของพระมหินทเถระ ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าเทวานัมปิยติส
๘๐ พระมหามติ ร ฐติ ปญโฺ ญ,ผศ.ดร.
สะ พุทธศาสนาในศรีลังกา แบ่งออกเป็น ๓ สมัยใหญ่ๆ ได้แก่สมัยก่อนอนุราธปุระ
สมัยอนุราธปุระ และสมัยโปโรนรุวะ บางสมัยมีความเจริญรุ่งเรืองสุดขีด แต่บางยุค
สมัยก็มีความเส่ือมโทรม จนไม่มีพระสงฆ์ เหลืออยู่เลย ต้องไปนาพุทธศาสนามาจาก
ประเทศอน่ื ดงั เช่น ในปี พ.ศ.๒๒๐๙ รชั สมัย พระเจา้ กิตตริ าชสิงห์ ได้นาคณะสงฆ์จาก
ประเทศไทย และประเทศพมา่ ไปสืบอายุ พทุ ธศาสนายังลังกา เป็นต้น ๑) ประวัติของ
พุทธศาสนาในศรีลังกาประชาชนชาวศรีลังกามากกว่าร้อยละ ๖๐ เป็นพุทธมามกะ
ชาวศรีลังกา มีความผูกพันกับพระพุทธศาสนาทุกด้าน ท้ังประเพณี วัฒนธรรม อารย
ธรรม และวิถีชีวิต จะเห็นร่องรอยความเจริญที่มีพระพุทธศาสนาเป็นรากฐานสาคัญ
พระมหากษัตริย์ส่วนมากเป็นพุทธมามกะ ให้การอุปถัมภ์และคุ้มครองส่งเสริม พุทธ
ศาสนา วัดกลายเป็นศูนย์กลางทางการศึกษา เป็นศูนย์กลางของชุมชน ทุกระดับช้ัน
คณะสงฆ์และวัด ที่มีบทบาทสาคัญในการขับเคลอ่ื นประเทศชาติ ให้ก้าวหน้า ควบคู่ไป
กบั สถาบนั การปกครอง ๒) สภาพการณ์ปัจจบุ นั ของพระพุทธศาสนาในศรีลังกาในด้าน
การเมืองการปกครอง พระสงฆ์ในศรีลังกามีบทบาท ทางการเมืองสูง ไม่ว่าจะเป็น
บทบาทในการเป็นท่ีปรึกษาของพระมหา- กษัตริย์ การไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทระหว่าง
ผู้นาทางการเมือง บทบาทใน การเลือกตั้ง ในปัจจุบันพระสงฆ์ชาวศรีลังกาเข้าไปเป็น
ส.ส. ทาหนา้ ที่ เป็นตัวแทนของประชาชนในรัฐสภา ซ่ึงถือเป็นพัฒนาการแปลกไปจาก
บทบาทเดิมท่เี คยมีมา ๓) อิทธพิ ลของพระพุทธศาสนาในศรีลังกาในด้านการศึกษา วัด
ในประเทศศรีลังกาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มี ลักษณะเป็นท้ังศูนย์กลางและสถาบันทาง
การศึกษา พระสงฆ์นอกจากจะเป็น ปูชนียบุคคลท่ีได้รับความเคารพอย่างสูงจาก
ประชาชนแล้ว ยังเป็นบุคลากร ทางการศึกษา ทาหน้าท่ีเป็นผู้นาทางด้านจิตปัญญา
เป็นครูอบรมศีลธรรม และสั่งสอนวิชาการแก่คนในสังคม เป็นนักวิชาการ นักคิด
สร้างสรรค์ภูมิ ปัญญาแบบพุทธ ผลิตผลงานวรรณกรรมต่างๆ ๓) อิทธิพลของ
พระพทุ ธศาสนาในศรีลังกา (ต่อ)ศรีลังกาเป็นฐานท่ีม่ันของพุทธศาสนาเถรวาทมานาน
จวบจนปัจจุบัน สถานการณ์พุทธศาสนาในลังกาในปัจจุบันจึงยังมั่นคงและเข้มแข็ง
พระพทุ ธศาสนาในประเทศศรีลงั กา ๘๑
ชาวศรีลังกายังคง เคารพนับถือและมีความเล่ือมใสในพุทธศาสนา สามารถประยุกต์
หลักธรรมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิต พระสงฆ์ส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติ
ชอบ เป็นผู้นาทางจิตปัญญาอย่างแท้จริง ที่สาคัญชาวพุทธลังกา ได้แสดง ความเป็น
ผนู้ า ในการผลกั ดนั ให้พุทธศาสนาเปน็ ท่ียอมรับในเวทีโลก อย่างน่าช่ืนชม จากเงื่อนไข
ต่างๆ ในปัจจุบัน สรุปได้ว่า พุทธศาสนาในประเทศศรีลังกาใน อนาคตยังจะมีความ
ม่ันคง และ น่าจะกลับมาเป็นแหล่งเรยี นรู้ทางพุทธศาสนาท่ี สาคัญแห่งหนึ่งของโลกใน
อนาคตได้๕
พทุ ธศาสนาเผยแผเ่ ข้าสู่ศรีลังกา คร้ังแรกสมัยพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ (พ.ศ.
๒๓๕-๒๗๕) เมืองหลวงขณะน้ันช่ือ เมืองอนุราธปุระผู้นาพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ใน
ศรีลังกาคือ พระมหินทเถระโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช พร้อมคณะภิกษุ ๑ รูป
เณร ๑รูปและอุบาสก ๑ คน พระมเหสีของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ยอมรับในพุทธ
ศาสนาจนกระท่ังขอออกบวชเป็นภิกษุณีพร้อมเหล่าสตรีบริวาร แต่ไม่มีพระอุปัชฌา
จงึ ไดท้ ลู ขอผู้ใดมาเป็นพระอุปัชฌาในการบวช ครั้งนั้นพระสังฆมิตตาเถรี เป็นพระธิดา
พระเจ้าอโศกมหาราชพรอ้ มนาเอากิง่ พระศรีมหาโพธ์ิจากพุทธคยา อินเดียมาปลูกที่ศรี
ลังกาเป็นแห่งแรกท่ี เมืองอนุราธปุระ ถือว่าเป็นต้นไม้ประวัติศาสตร์ที่มีอายุยืนยาว
ท่ีสดุ ในพระพทุ ธศาสนา มีการสร้างส่งิ ก่อสรา้ งมหาวิหาร และ ถูปาราม ข้ึนที่บริเวณซึ่ง
ปลูกต้นพระศรีมหาโพธ์ิ เกิดยุคเข็ญในช่วงท่ีชาวทมิฬ ครองศรีลังกานานถึง ๑๔ ปี
ต้องกินเนื้อมนุษย์ พระพุทธศาสนาสูญส้ิน ต่อมากษัตริย์ศรีลังกาองค์หน่ึงสามารถกู้
บัลลังก์คืนได้จะมีการแตกแยกนิกาย พระสงค์ออก ๒ นิกาย คือ ๑. นิกายฝุายมหา
วิหารยึดคาสอนแบบจารีตประเพณี ๒. ฝุายอภัยคีรีวิหาร-คาสอนตามอิสระรับความ
เชื่อจากตา่ งประเทศของนกิ ายธรรมรุจิ
๕ พระครูอุดมธรรมวตั ร รหัส ๖๐๐๕๑๐๕๐๑๖ สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา.
๘๒ พระมหามติ ร ฐติ ปญฺโญ,ผศ.ดร.
พระพทุ ธศาสนาท่เี ผยแผ่เขา้ สูป่ ระเทศไทย ในแต่ละอาณาจักรมีการนับถือ
ที่แตกต่างกันออกไป เช่น อาณาจักรตามพรลิงค์ และอาณาจักรศรีวิชัย นับถือนิกาย
มหายาน ส่วนอาณาจักรทวาราวดี อาณาจักรพุกาม และอาณาจักรหริภุญไชย นับถือ
นิกายเถรวาท สาหรบั การนับถือพระพุทธศาสนาของคนไทย ไม่สามารถระบุให้ชัดเจน
แตย่ ึดถอื เอาอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเร่มิ ตน้ ในการศกึ ษา ดังนี้
๑) อาณาจักรสุโขทัย ในราว พ.ศ. ๑๘๐๐ พระสงฆ์ไทยท่ีไปศึกษาในลังกาได้
กลับมาประเทศไทยพร้อมด้วยพระสงฆ์ชาวลังกา ได้มาตั้งสานักเผยแผ่ศาสนาข้ึนที่เมือง
นครศรีธรรมราชพอถึง พ.ศ. ๑๘๒๐ พ่อขุนรามคาแหงมหาราชข้ึนครองราชย์ และทรง
ทราบกิตติศัพท์ว่า พระสงฆ์ที่เมืองนครศรีธรรมราช ซ่ึงเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
นกิ ายเถรวาทอยา่ งลงั กาวงศ์ มีวัตรปฏิบัติน่าเคารพเล่ือมใส จึงโปรดเกล้าฯ ให้นิมนต์พระ
มหาเถรสงั ฆราชจากนครศรีธรรมราชมายังวัดอรัญญิก ในกรุงสุโขทัย ต่อมา พ.ศ. ๑๘๙๗
พระเจ้าลิไทข้ึนครองราชย์ ได้นิมนต์พระมหาสามีสังฆราช เมืองลังกา ชื่อสมนะ เข้ามาสู่
สุโขทัย พระองค์ทรงเลื่อมใสได้เสด็จออกผนวชช่ัวคราว ณ วัดอรัญญิก และได้ทรงพระ
ราชนิพนธห์ นงั สือเร่ือง เตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง พระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ได้
เป็นท่ีเคารพนับถือของประชาชนไทยในสมัยสุโขทัยเป็นอย่างยิ่ง และแผ่ขยายไปทั่ว
อาณาจกั รสุโขทยั
๒) สมัยอาณาจักรล้านนา เม่ือ พ.ศ. ๑๙๑๓ พระเจ้ากือนาแห่งอาณาจักร
ล้านนา ไดส้ ง่ พระราชทตู มาอาราธนาพระสังฆราชสุมนเถร จากพญาลิไทยแห่งกรุงสุโขทัย
ข้ึนไปยังล้านนา ซึ่งเป็นการเริ่มต้นพระพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ในล้านนา ต่อมาใน
รัชกาลพระเจ้าติโลกราช ได้อุปถัมภ์ให้มีการทาสังคายนาครั้งท่ี ๘ ท่ีวัดโพธารามหรือวัด
เจ็ดยอด และในรัชกาลพระเมืองแก้ว (พ.ศ.๒๐๓๘-๒๐๖๘) เป็นยุครุ่งเรืองของวรรณคดี
พระพุทธศาสนา มีพระสงฆ์เป็นนักปราชญ์คัมภีร์ภาษาบาลีจานวนมาก เช่น พระสิริมัง
คลาจารย์ แตง่ หนังสือเร่ือง มังคลัตถทีปนี เวสสันตรทีปนี จักรวาฬทีปนี และสังขยาปกา
สฎีกา พระรัตนปญั ญาแต่งหนังสอื เรื่อง วชริ สารัตถสังคห และชินกาลมาลีปกรณ์ เปน็ ตน้
พระพุทธศาสนาในประเทศศรีลงั กา ๘๓
๓) สมัยอาณาจักรอยุธยา ในสมัยอยุธยาได้รับอิทธิพลการนับถือ
พระพุทธศาสนานิกาย เถรวาทอย่างลังกาวงศ์ จากอาณาจักรสุโขทัย ในสมัยน้ีได้มีการ
แต่งหนังสือเกย่ี วกับพระพุทธศาสนา เช่น มหาชาติคาหลวง กาพย์มหาชาติ นันโทปนันท
สตู ร พระมาลัยคาหลวง ปุณโณวาทคาฉันท์ เป็นต้น ใน พ.ศ. ๒๒๙๖ พระพุทธศาสนาใน
ประเทศลังกาขาดพระภิกษุที่จะสืบศาสนา กษัตริย์ลังกาจึงส่งคณะทูตมาขอพระสงฆ์ไทย
ไปทาการอุปสมบทให้แก่ชาวลังกา พระเจ้าบรมโกศได้ส่งพระอุบาลีและพระอริยมุนี
พร้อมดว้ ยคณะสงฆ์อีก ๑๕ รูป เดินทางไปยังลงั กา
๔) สมัยอาณาจักรธนบุรี หลังจากที่พระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรงสถาปนา
กรุงธนบรุ ีแล้วก็ไดฟ้ ื้นฟูพระพุทธศาสนาซ่ึงเส่ือมโทรมไปหลังจากได้รับผลกระทบจากการ
เสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังที่ ๒ แก่พม่า จึงได้อาราธนาพระสงฆ์ที่กระจัดกระจายจากภัย
สงครามมาประจาอยู่ในพระอารามต่าง ๆ และได้โปรดเกล้าฯ ให้สืบหาพระสงฆ์ที่ทรง
คุณธรรมจากทั่วประเทศให้ไปประชุมท่ีวัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆษิตารามในปัจจุบัน)
เพ่อื ทาการคดั เลอื กพระสงฆท์ ี่ทรงคุณสมบัติขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งท่ีประชุมได้ลง
มติเลือกพระอาจารย์ศรี วัดประดู่ กรุงศรีอยุธยา เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์แรกของ
กรุงธนบุรี เพื่อให้ทรงเป็นผู้รับผิดชอบในการฟื้นฟูบูรณะพระพุทธศาสนา ให้กลับคืนสู่
ความรุ่งเรืองดังเดิม
อิทธิพลพระพุทธศาสนาเถรวาทที่มีต่อประชาชนในประเทศศรีลังกา: พระ
เจา้ อโศกได้จัดสมณะทูตในพระพทุ ธศาสนาเข้าสู่ลังกาเป็นครั้งแรก ทาให้พระพุทธศาสนา
ได้เปน็ ศาสนาประจาราชอาณาจักรศรีลังกา เป็นรากฐานและวัฒนธรรมของชาว ศรีลังกา
เน่ืองจากอิทธิพลทางศาสนายังมีส่วนช่วยระบบวรรณะได้ลดความเข้มข้นลงด้วยอิทธิพล
คาสอนทางพุทธศาสนา นอกจากน้ันรัฐบาลศรีลังกาได้ถือเอาพุทธศาสนาเป็นศาสนา
ประจาชาติ จะเหน็ ไดว้ ่า ศาสนาพทุ ธมีความสาคัญและส่งผลต่อวัฒนธรรม การดาเนินวิถี
ชีวิตของชาวศรีลังกาเป็นอย่างมาก ประชาชนชาวศรีลังกานับถือพระสงฆ์ในศรีลังกา
ซ่ึงแบง่ ออกเป็น ๓ นกิ ายใหญ่ ๆ คอื สยามนกิ าย อมรปรุ นิกาย และรามัญนกิ าย
๘๔ พระมหามติ ร ฐติ ปญโฺ ญ,ผศ.ดร.
สยามนิกาย ได้กาเนิดไปจากประเทศไทย มีลักษณะการแต่งกายแตกต่าง
จากสองนิกายหลัง เนือ่ งจากพระสงฆ์สยามนิกายนิยมโกนขนคิ้วหมด การห่มจีวรเวลา
ออกจากวัด บางวัดก็ห่มคลุม บางวัดก็ห่มลดไหล่หรือท่ีเรียกว่า พาดหางควาย
นอกจากนี้ พระสยามนิกายทุกองค์จะใช้ร่มผ้าสีดา คันยาว ที่ถือมีลักษณะงอโค้ง ซ่ึง
เป็นบริขารประจาไม่ว่าฝนจะตกหรือไม่ก็ตาม เมื่อจะออกจากวัดไปไหนต้องถือติดตัว
ไปดว้ ยทกุ ครัง้ เหมอื นเปน็ ธรรมเนียมปฏิบตั ิ
ส่วนอมรปุรนิกายนั้น ไม่นิยมโกนคิ้วเหมือนพระสยามนิกาย และเมื่อจะ
ออกนอกวดั ก็จะห่มคลุมทั้ง ๒ บ่า เช่นเดียวกับรามัญนิกาย และจะถือร่มใบตาลที่มีรูป
ยาวๆ ไม่ใหญ่นัก ไม่มีก้านเหล็ก แต่มีที่กางและหุบได้ โดยอาศัยก้านตาล ใช้ได้เฉพาะ
กันแดดเท่านั้น อย่างไรก็ตามการห่มผ้าของพระทั้ง ๓ นิกายน้ีจะเหมือนกัน คือ
ตอนล่างจะต้องห่มให้ชายจีวรเล้ือยลงมาถึงข้อเท้า นอกจากน้ันเวลา มีกิจนิมนต์ไป
บ้านใคร ทุกนิกายจะต้องมีพัดใบตาลเล็กๆ ติดมือไปด้วยทุกองค์ รวมท้ังร่มที่จะต้อง
ถอื ไป ไม่นยิ มถอื ยา่ มเหมือนพระไทยและพระพม่า
ในเร่ืองการแสดงความเคารพระหว่างพระในนิกายท้ัง ๓ ไม่แตกต่างกัน
เพราะผทู้ อ่ี าวโุ สน้อยกว่าต้องเคารพผทู้ มี่ อี าวุโสมากกว่า สาหรับความเป็นอยู่ เช่น การ
ฉัน ก็เช่นเดียวกัน ทั้ง ๓ นิกาย สามารถฉันร่วมอาสนะเดียวกันได้ ยกเว้นในเร่ืองทา
อโุ บสถสงั ฆกรรม จะไม่ทารว่ มกัน เพราะพระสยามนกิ ายคิดว่าตนเองมาจากวรรณะสูง
จงึ มองอกี สองนกิ ายวา่ มาจากวรรณะตา่ กว่า นอกจากนั้นพระท้ัง ๓ นิกาย ไม่นิยมการ
สบู บหุ ร่ี เพราะประชาชนจะไมเ่ ล่อื มใสพระท่ีสูบบุหรี่ ในเร่ืองการปลงผมก็เช่นเดียวกัน
พระทั้ง ๓ นกิ าย ปลงผมตามความพอใจ อย่างไรก็ตามพระสงฆ์ทั้ง ๓ นิกายน้ี ไม่นิยม
ลาสิกขา เน่ืองจากประชาชนมักจะดูหมิ่นดูแคลนและไม่นับถือผู้ที่สึกออกมาจากพระ
โดยถือว่าไม่ใช่คนดี ซ่ึงในภาษาสิงหลจะเรียกว่า หิระลุ คือ ผู้ท้ิงผ้าจีวร และคนศรี
ลงั กาหมายถงึ บคุ คลทีเ่ กยี จคร้าน ไม่น่าปรารถนาในสังคม
พระพุทธศาสนาในประเทศศรีลงั กา ๘๕
ดอกไม้ที่คนศรีลังกานิยมใช้ถวายพระคือ ดอกไม้ที่มีกล่ินหอม ไม่นิยมดอกไม้
พลาสติก และดอกไม้นั้นส่วนใหญ่จะต้องเก็บจากต้นเท่านั้น ชาวศรีลังกายังชอบใช้
ดอกไม้เป็นดอก ๆ ไม่นิยมร้อยมาลัยเหมือนเมืองไทยและอินเดีย ส่วนใหญ่จะใช้
ดอกบวั สชี มพูมากท่สี ดุ ๖
อิทธิพลพระพุทธศาสนาเถรวาทที่ต่อประชาชนในประเทศศรีลังกา: คนศรี
ลังกามคี วามเชื่อและความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ในวัดเต็มไปด้วยคนทุกวัย วัยรุ่น
หนมุ่ สาว คนสงู อายุ ทุกคนใส่ชุดสขี าว น่ังลงท่ีพื้นทราย รอบๆวัด ตั้งใจสวดมนต์ การ
เขา้ วดั สวดมนตค์ อื วัฒนธรรมอนั จริงจังของคนศรลี ังกา ทางานเสร็จ พอเลิกงานก็จะมา
ท่ีวัด นั่งสวดมนต์ คนท่ีนี่เขามีความเช่ือ และศรัทธาต่อต้นโพธิ์ และท่ีวัดพระศรีมหา
โพธ์ิ เมืองอนุราธปุระน้ีเขามีความเช่ือเร่ืองการฝากสิ่งท่ีไม่ดีเอาไว้กับต้นโพธิ์ ด้วยการ
อธิษฐานขอพร พร้อมถือน้าเดินวนรอบต้นโพธิ์ สามรอบ ต้ังจิตอธิษฐานกันให้ดีๆ พอ
ครบสามรอบ กน็ าน้าขน้ึ ไปรดทฐ่ี านต้นโพธ์ิ จะช่วยปัดเปุา คลายเรื่องร้ายให้หมดไปได้
บางคนก็มาเขียนชื่อลูกที่ปุวย ฝากไว้กับต้นโพธิ์ ความสาคัญของพุทธศาสนาท่ีรองรับ
โดยกฎหมายของรัฐท่ีมีอยู่สูงมาก เช่น ในกฎหมายสิงหลโบราณว่า “ผู้ทาลายเจดีย์
และตน้ โพธ์ิ กบั ผูท้ ี่ปลน้ สะดมทรัพย์ของศาสนามีโทษถึงตาย” กฎหมายนี้ใช้บังคับชาว
ศรีลังกาทุกระดับชั้น รวมถึงชาวต่างชาติด้วย และคงมีการบังคับใช้มานานแล้ว ตั้งแต่
รัชกาลพระเจา้ เอลระ ซึง่ เป็นชาวทมิฬ ในพุทธศตวรรษท่ี ๕๗
ในสมัยอนุราชปุระระยะแรก (ในราวกลางศตวรรษที่ ๓ กอนคริสตศักราช)
พระเจ้าอโศกมหาราช ไดทรงส่งสมณฑูตภายใต้การนาของพระราชโอรส คือ พระ
มหินทเถระ เดินทางเข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในศรีลังกา พร้อมทั้งพระเถระอ่ืนๆ
๖ พระครอู ดุ รภาวนาคุณ (สจฺจาสโภ) เลขประจาตัวนิสิต ๖๐๐๕๑๐๕๐๑๐ สาขาวิชา
พระพทุ ธศาสนา
๗ พระมหาก้องไพร สาคโร (เกตุสาคร) รหัส ๖๐๐๕๑๐๕๐๒๒ สาขาวิชา
พระพุทธศาสนา
๘๖ พระมหามติ ร ฐติ ปญฺโญ,ผศ.ดร.
อีก ๔ รูป คือ พระอิฎฎิยะ พระอุตติยะ พระสัมพละ พระภัททสาละ และสมุน
สามเณร ซงึ่ เปนพระนัดดาของพระเจาอโศก การที่ท่านไดพาพระเถระ ๔ รูปมาดัวย
นั้น เพื่อให้ครบองคสงฆเพราะมีวัตถุประสงคท่ีจะใหการบรรพชาอุปสมบทแกผูที่
ปรารถนาจะบวช เน่ืองจากตามพุทธานุญาตน้ันต้องมีสงฆ์จานวน ๕ รูป จึงสามารถ
ทาการอุปสมบทแกกุลบุตรได ตาม หลักฐานคมั ภีรบาลไี ดบันทกึ ไววา พระมหินทเถระ
ไดพบกับพระเจาเทวานัมปยะติสสะเป็นคร้ังแรกที่ มิสสกบรรพต หรือปจจุบันคือ มิ
หินตเล ซึ่งพระเจาเทวานัมปยะติสสะทรงให้การต้อนรับแกคณะธรรมทูตด้วยความ
เคารพ
เมื่อมีการสนทนากันครั้งแรก พระมหินทเถระไดถามปัญหาแกพระราชาเพื่อ
หย่ังถึงปัญญา และเม่ือตระหนักแล้วพระองค์มีพระปรีชาพอที่จะเข้าใจคาสอนของ
พระพทุ ธองค์ จึงได แสดงพระธรรมเทศนา เรื่อง หัตถิปโทปมสูตร (จูฬหัตถปิโทปม
สตูร) โปรดพระเจ้าเทวานัมปยติสสะเปนพระสูตรแรกท่ีแสดงในศรีลังกา และท่ีทรง
เลือกพระสูตรนี้เพราะทรงเห็นว่าเหมาะกับเหตุการณ พระสูตรน้ีไดให้ทรรศนะ
เกี่ยวกับ พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ์และวิธีที่คนจะหันมารับนับถือพุทธศาสนา
และบวชเป็นภิกษุ พรอมทั้งอธิบายถึงความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ และบริสุทธิ์ของภิกษุ
อย่างละเอียด การพัฒนาชีวิตข้ันต่างๆ จนถึงขั้นพระอรหันตซึ่งเป็นขั้นสุดยอดของ
พระพทุ ธศาสนา พระสูตรนย้ี งั ประกอบไปด้วยหลกั สาคัญของพระพุทธศาสนาไวเกือบ
ท้ังหมด เช่น อริยสจั ๔ เปน็ ตน้
ทรงย้าถึงหลักศีลธรรมในพระพุทธศาสนาว่า เป็นคุณธรรมที่จาเป็นแก่ชีวิต
ของผู้หวังความสุข หลังจากเทศนาจบแลวพระเจาเทวานัมปยติสสะไดทูลอาราธนา
ให้พระมหนิ ทเถระพรอมคณะเสด็จประทับในพระราชอุทยานมหาเมฆวัน ซ่ึงต่อมาได
ทรงถวายพระราชอุทยานน้ีให้แก่สงฆ์ พระมหินทเถระจึงไดวางแผนสร้างสานักงาน
ใหญแ่ ห่งพระพุทธศาสนาข้นึ ซง่ึ มชี ่อื เรยี กว่า “มหาวิหาร” เป็นท่ีรู้จักกันท่ัวไปว่าเป็น
ศูนย์กลางการศึกษาและอารยธรรมของพระพุทธศาสนาฝุายเถรวาท และไดรับการ
พระพทุ ธศาสนาในประเทศศรีลงั กา ๘๗
ขนานนามวา “เมืองศักด์ิสิทธ์ิแหงอนุราชปุระ” อย่างไรก็ตามพระพุทธศาสนาก็ยังไม
ไดตงั้ มน่ั ในศรลี งั กา สาหรับหลักฐานการต้ังมั่นของพระพุทธศาสนาในศรีลังกาหรือยัง
น้ันท่ีปรากฏอยู่มีความแตกต่างกัน เนื่องจากคัมภีรทีปวงศ มหาวงศ ได้กล่าวว่า พระ
มหินทเถระไดทูลตอบพระราชาว่า พระพุทธศาสนาจะต้ังมั่นก็ต่อเม่ือสีมาแห่งโรง
อุโบสถและการกระทาอ่ืนๆ ของคณะสงฆไดต้ังมั่นแลว ตามคาสอนของสมเด็จพระ
สมั มาสัมพทุ ธเจาเท่าน้นั แตใ่ นหนงั สอื สมนั ตปาสาทกิ า ไดบันทึกว่า พระราชาตอบว่า
“มหาบพิตร พระพทุ ธศาสนาไดตง้ั ลงแลว แตร่ ากของพระพทุ ธศาสนายังหยั่งไมลึกนัก
ต่อเม่ืองกุลบุตรท่ีเกิดในศรีลังกาไดเข้ามามาอุปสมบทเป็นภิกษุในศรีลังกา ศึกษาวินัย
และท่องจาวินัยได้แล้วน่ันแหละ พระพุทธศาสนาจึงจะช่ือว่า หยั่งรากลึกนะมหา
บพติ ร”๘
พุทธศาสนาลังกาวงศ์สู่ลานนา: ในรัชสมัยพระเจ้ากือนา (บาลีผูกศัพท์ว่ากิล
นา) ทรงเป็นธรรมิกราช ครั้งนั้นทรงส่งทูตไปอาราธนาพระอุทุมพรบุบผามหาสวามี
เป็นพระเถรชาวลังกาที่ชราภาพมากแล้ว ขณะน้ันได้ลัทธิลังกาวงศ์อยู่ท่ีนครพัน (คือ
เมาะตะมะ) ใหม้ าเชยี งใหม่ แตไ่ ม่สาเร็จ ทา่ นจึงส่งพระหลานชายคือ พระอานันทเถระ
มาแทน พระเจา้ กือนาจงึ อาราธนาให้ท่านอานันทเถระทาการบวชกุลบุตรชาวเชียงใหม่
แต่พระอุทุมพรปฏิเสธ พระเจ้ากือนารับคาของพระอุทุมพรให้เชิญพระเถระ ๒ รูป
ชาวสุโขทยั มาเป็นอปุ ัชฌาย์ คอื พระสุมนเถระ และพระอโนมทสั สเี ถระ ท้ัง ๒ รูปจึงได้
จาพรรษาที่วัดพระยืน จังหวัดลาพูน ส่วนตัวท่านเองจะเป็นพระกรรมวาจาจารย์ เมื่อ
ออกพรรษาพระเจ้ากือนาจึงพระราชทานอุทยานหลวงนอกเมืองเชียงใหม่ให้เป็นวัด
คือวดั สวนดอกในปจั จุบนั (บุปผาราม) อาราธนาพระสุมนะครอง และเป็นสังฆราชองค์
แรกแห่งราชอาณาจักรลานนาไทย ได้สร้างเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุ ท่ีวัดสวนดอกไว้
ด้วยเป็นศิลปแบบลังกาองค์แรกในเชียงใหม่ ต่อมาได้ทรงเส่ียงช้างอัญเชิญพระบรม
๘ จานงค์ ทองประเสรฐิ. พระพุทธศาสนาในลงั กา. ๒๕๑๐, หน้า ๗๕.
๘๘ พระมหามติ ร ฐิตปญโฺ ญ,ผศ.ดร.
ธาตุข้ึนไปบนยอดดอยสุเทวบรรพต และสร้างเจดีย์ใหญ่บรรจุพระบรมธาตุ คือ พระ
ธาตดุ อยสุเทพในปัจจุบันนน่ั เอง
ต่อมาพระเจ้าสามฝ่ังแกน เป็นโอรสของพระเจ้าแสนเมือง พระเจ้าสามฝั่งแกน
ไม่โปรดพุทธศาสนาเทาไร พระองค์ชอบไสยสาศตร์ ทรงสร้างวัดมุมเมือง (มุมเมือง)
จดุ ประสงค์ในการสรา้ งวดั มุมเมอื ง
๑. เพอ่ื ประดษิ ฐานพระแกว้ มรกต
๒. เพื่อเก็บผลประโยชนจ์ ากวดั ตา่ งๆ มาไว้ทีว่ ัดมมุ เมือง
จากการกระทาน้ันน้ันทาให้วัดต่างๆ เดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทาให้พระเถระ
ตา่ งๆ ท้ิงเมอื งเชียงใหม่ ไปลังกา คือพระเมธังกรเถระ พระญาณมงคลเถระ ท่านทั้ง ๒
รวมทั้งพระมอญและพระเขมร ประมาณ ๒๐ รูปจึงเดินทางไปลังกา เพราะความไม่
เป็นธรรมของพระเจ้าสามฝ่ังแกน การไปลังกาของพระเหล่านี้ มีจุดประสงค์ ๒
ประการ คอื
๑. เพ่อื ไปศึกษาธรรมวินยั
๒. เพอื่ ทาการอุปสมบทใหม่ โดยทาการอุปสมบทที่ “อุทกสีมา (ใช้แม่น้าเป็น
เขตสมี า) ช่อื แมน่ า้ “กลั ยาณคี งคา” โดยมพี ระธรรมสวามีเปน็ อุปัชฌาย์ พระวันรัตเป็น
พระกรรมวาจาจารย์
ภายหลังท่านเหล่านั้นได้เดินทางกลับมายังประเทศไทย จึงนิมนต์พระชาว
ลังกามาด้วยคือ ๑.พระอุตตมปัญญาสามี ๒. พระวิกรมพาหุสามี ทั้ง ๒ ท่านเม่ือได้
ศึกษาพระธรรมวนิ ยั แล้ว เม่ือมาอยูเ่ มืองไทยไดต้ ง้ั นกิ ายขน้ึ มาเรียกว่า “นิกายลังกาวงศ์
ใหม่”ข้ึนทางตอนเหนือของประเทศไทย ช่วงนั้นลังกาวงศ์มีความเจริญรุ่งเรืองใน ๓
ประเทศคือ ไทย –มอญ-เขมร ทาใหเ้ ชยี งใหม่มีนกิ าย ๓ นกิ าย คอื
๑. นกิ ายเดมิ
๒. นกิ ายลงั กาเก่า (พระสุมนเถระ)
๓. นกิ ายลงั กาใหม่
พระพทุ ธศาสนาในประเทศศรีลงั กา ๘๙
สมัยพระเจ้าติโลกราช ราชนัดดาของพระเจ้าแสนเมืองมา คณะสงฆ์แตกเป็น
๓ นิกาย คือ นิกายเดิม และนิกายที่ ๒ ซ่ึงสืบเน่ืองมาจากพระสุมน นิกายท่ี ๓ คือ
นิกายลังกาวงศ์ใหม่ซ่ึงเข้ามายังลานนาไทย พวกลังกาวงศ์ใหม่ประพฤติเคร่งครัดกว่า
พวกลังกาวงศ์เดิมซึ่งต้ังอยู่ที่วัดสวนดอก พระเจ้าติโลกราชทรงเลื่อมใสมาก ทรงเข้า
อปุ ถัมภ์ และทรงเสด็จออกผนวชในนิกายน้ีด้วยเปน็ เวลา ๗ วัน เม่ือ พ.ศ. ๑๙๙๕ พระ
เจา้ ติโลกราชได้ทรงสถาปนาพระเมธังกรขน้ึ เปน็ พระสงั ราชแห่งลานนาไทย พระองค์ได้
ทรงสร้างวัดใหม่ข้ึน จาลองแบบวิหารพุทธคยา โลหปราสาท รัตนมาลีช่ือว่า วัดโพ
ธาราม คอื วดั เจดยี ์เจด็ ยอดนัน้ เอง
อิทธิพลพระพุทธศาสนาเถรวาทที่มีต่อประชาชนในประเทศศรีลังกา :
ความสาคัญของพระพุทธศาสนาได้รับการรองจากรัฐบาลให้เป็นศาสนาประจาชาติ ดัง
ปรากฏในกฎหมายสงิ หลโบราณวา่ "ผู้ทาลายเจดยี ์และต้นโพธ์ิ กับผู้ที่ปล้นสะดมทรัพย์
ของศาสนามีโทษถึงตาย" กฎหมายน้ีใช้บังคับชาวศรีลังกาทุกระดับช้ัน รวมท้ังคน
ต่างชาตดิ ้วย และคงมีการบังคบั ใช้มานานแล้ว ต้ังแต่รัชกาลพระเจ้าเอลระ ซึ่งเป็นชาว
ทมิฬ ในพทุ ธศตวรรษท่ี ๕
ความสาคัญต่อสังคมและวัฒนธรรม: วิถีชีวิตของผู้คนในสังคม ระบบวรรณะใน
สังคมลังกาได้ถูกลดความสาคัญลง แม้ว่าวิถีชีวิตของชาวลังกาในช่วงเร่ิมต้นสมัย
ประวตั ศิ าสตร์ จนถึงช่วงก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้ามาประดิษฐาน ระบบวรรณะได้ลด
ความเข้มข้นลงด้วยอิทธิพลคาสอนทางพุทธศาสนา นอกจากนั้นยังมีอิทธิพลด้านอ่ืน ๆ
อีก เช่น ช่ือของบุคคลต่าง ๆ ได้มีการนาเอาช่ือทางพุทธศาสนามาต้ังเป็นช่ือของบุคคล
นบั ตงั้ แต่กษตั ริย์ ราชวงศ์ จนถึงประชาชนทั่วไป เช่น พระเจ้าพุทธทาสะ พระเจ้าสังฆติส
สะ พระเจ้าโมคคัลลานะ พระเจ้ากัสปะ พระเจ้า มหินทะ เป็นต้น จะปรากฏเห็นว่ามีชื่อ
ของบุคคลสาคญั ทางพุทธศาสนา ปรากฏเป็นพระนามของกษตั รยิ ล์ ังกาหลายพระองค์