pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา ละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ. ไสลเกษ วัฒนพันธุ บรรยายวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 (ครั้งที่ 1) (สัปดาห์ที่ 1) สวัสดีครับ วันนี้อาจารย์ได้มีโอกาสมาบรรยายที่นี่เพราะที่ผ่านมาอาจารย์บรรยายออนไลน์ตลอด สำหรับการเรียนเนติบัณฑิตให้สำเร็จนั้น เชื่อว่าอาจารย์หลายท่านคงจะได้แนะนำแล้ว ว่าท่านจะต้อง เป็นนักคิดช่างคิด ช่างถาม ช่างสงสัย ปัญหาหลายเรื่องในสังคมไทยนั้น มักจะมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องละเมิด เข้ามาเกี่ยวพันทั้งสิ้น นักศึกษาคงทราบแล้วว่าละเมิดเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เกิดจาก เจตนาของคู่กรณี ดังนั้นการละเมิดจึงเป็นนิติเหตุที่เกิดขึ้นง่ายที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ในฤดูกาลเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการขึ้นเวทีปราศรัยและมีการตำหนิติเตียนอีกฝ่ายหนึ่ง กรณีดังกล่าวถือว่ามีปัญหาเรื่องละเมิดหรือไม่ หากนักศึกษาพยายามตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบ โดยอธิบายด้วยเหตุผลตามกฎหมาย ก็จะทำให้ความรู้ ของนักศึกษาแตกฉาน แต่เมื่อตั้งคำถามแล้วก็ต้องรู้จักหยุด เพราะถ้าไม่หยุดก็จะเกิดการฟุ้งซ่าน ดังนั้น จึงอยากจะแนะนำท่านนักศึกษาว่า หากเจอปัญหาใดในชีวิตประจำวันก็ขอให้ลองตั้งคำถามว่ากรณีดังกล่าวมี เรื่องของการละเมิดเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ วิชาละเมิดนี้ กรอบการเรียนคือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 ถึงมาตรา 452 รวม 33 มาตราและยังรวมถึงกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ หรือ พระราชบัญญัติว่าด้วยสินค้าที่ไม่ปลอดภัยฯ หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม กฎหมาย เหล่านี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงและสามารถนำมาออกข้อสอบได้เช่นเดียวกัน ตั้งแต่อาจารย์ได้เข้ามา บรรยายที่เนติบัณฑิต เรื่องละเมิดได้รับเลือกไปออกสอบมาโดยตลอด และก็คาดว่าน่าจะได้รับเลือกไปเป็น ข้อสอบในสมัยที่ 76 เช่นเดียวกันและอาจารย์ก็บอกว่านักศึกษาจะทำข้อสอบได้ดี วันนี้อาจารย์มีฎีกาใหม่สุด แต่ยังไม่แน่ว่าจะได้รับเลือกไปออกสอบหรือไม่ ฎีกาเรื่องนี้มีข้อเท็จจริงว่า มีโรงเรียนอยู่โรงเรียนหนึ่ง เป็นโรงเรียนนานาชาติ ก่อตั้งโดยขออนุญาต กระทรวงศึกษาให้เป็นสถานศึกษาเอกชน ทำการศึกษาภาคบังคับตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม และมีการเรียนการสอนในระดับชั้นจนถึงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย โดยโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนภาคภาษาอังกฤษซึ่ง ใช้หลักสูตรของ Cambridge ปรากฏว่าในคดีนี้ก่อนเกิดเหตุ เศรษฐกิจมีความผันผวน น้ำมันแพง จึงมีการขึ้น ค่าเทอมขึ้นอีกประมาณ 10% ทางโรงเรียนได้แจ้งผู้ปกครองซึ่งเป็นผู้ปกครองของนักเรียนสองคนที่เรียนอยู่ใน โรงเรียนนี้ว่าจะมีการขึ้นค่าเทอม ขอให้มาชำระตามจำนวนและภายในระยะเวลาที่ได้แจ้งให้ทราบ ปรากฏว่า ทางผู้ปกครองก็ได้ขอให้ทางโรงเรียนชี้แจงว่าจะขึ้นค่าเทอมในรายการใดบ้าง และมีเหตุผลอะไรก็ขอให้ทาง โรงเรียนชี้แจง พอถึงกำหนดจ่าย ผู้ปกครองท่านนี้ก็ยังไม่นำค่าเทอมไปจ่ายให้ทางโรงเรียน ทางโรงเรียนจึงมี หนังสือนัดให้ผู้ปกครองท่านดังกล่าวมาพูดคุยกันถึงเรื่องเหตุผลในการขึ้นค่าเทอม เมื่อถึงวันนัดปรากฏว่า ผู้ปกครองท่านดังกล่าวไม่มา โดยได้มีการนัดผู้ปกครองท่านนี้ถึงสองครั้งแต่ผู้ปกครองท่านดังกล่าวก็ไม่มา ทาง โรงเรียนจึงได้มีหนังสือไปถึงผู้ปกครองท่านดังกล่าวว่า นักเรียนซึ่งเป็นบุตรของผู้ปกครองท่านนี้เป็นเด็กเรียนดี มาก มีความขยันและโรงเรียนพร้อมจะออกใบรับรองให้ ถ้าผู้ปกครองท่านดังกล่าวจะนำนักเรียนทั้งสองไปเข้า โรงเรียนอื่น ปรากฏว่าเมื่อถึงกำหนดเปิดเรียน ชื่อของเด็กทั้งสองคนถูกจำหน่ายออกจากบัญชีรายชื่อของ นักเรียนโรงเรียนนานาชาติแห่งนี้ ทำให้ผู้ปกครองต้องนำนักเรียนทั้งสองไปเข้าโรงเรียนนานาชาติแห่งอื่นซึ่งเสีย
pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ค่าใช้จ่ายมากกว่า ต่อมาผู้ปกครองจึงได้ยื่นฟ้องโรงเรียนและผู้บริหารของโรงเรียนเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด เนื่องจากมีการจำหน่ายชื่อบุตรของตนออกจากโรงเรียนโดยไม่มีเหตุผลและไม่ทำการชี้แจง โดยทางโรงเรียน ต่อสู้ว่าได้มีการนัดหมายผู้ปกครองให้มาชี้แจงแล้วแต่ผู้ปกครองไม่มา เรื่องนี้อาจารย์อยากฝากให้นักศึกษาไปคิดดูว่า การที่โรงเรียนจำหน่ายชื่อนักเรียนทั้งสองออกจาก รายชื่อนักเรียนของโรงเรียนนั้น เข้าองค์ประกอบของการกระทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อหรือไม่ มีข้อพิจารณาและฝากเป็นข้อคิดประกอบคือ ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญประกาศว่า รัฐจะต้องจัด การศึกษาภาคบังคับให้กับพลเมืองและกำหนดในทางกลับกันว่า เป็นหน้าที่ของพลเมืองจะต้องรับการศึกษา ภาคบังคับ จึงมีประเด็นที่จะต้องคิดต่อไปว่า การศึกษาภาคบังคับนั้นเป็นการบังคับโรงเรียนของรัฐโดยเฉพาะ หรือบังคับโรงเรียนเอกชนด้วยหรือไม่ โรงเรียนเอกชนมีหน้าที่ต้องจัดการศึกษาภาคบังคับให้แก่พลเมืองตาม รัฐธรรมนูญหรือไม่ และการที่ยังไม่สามารถเจรจาเรื่องค่าเทอมได้แต่กลับจำหน่ายชื่อนักเรียนออกจากโรงเรียน ถือเป็นการละเมิดสิทธิหรือไม่ ดังนั้นเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจมากขึ้นก็ขอให้นักศึกษากลับไปอ่านคำพิพากษาฎีกา ที่ 6234/2564 มาด้วย ฎีกาที่ 6234/2564 ตามบทบัญญัติมาตรา 50, 54 วรรคหนึ่ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 17, 45 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และมาตรา 4 นิยามศัพท์ “การศึกษาภาคบังคับ” “สถานศึกษา” “เด็ก” แห่ง พ.ร.บ.การศึกษาภาคบังคับ พ.ศ.2545 เป็น บทบังคับให้ประชาชนผู้มีสัญชาติไทยมีหน้าที่เข้ารับการศึกษาภาคบังคับ และเป็นหน้าที่ของรัฐจัดการศึกษา ให้แก่ประชาชนผู้มีสัญชาติไทยตามที่กฎหมายบัญญัติ เริ่มตั้งแต่ก่อนวัยเรียน คือ ชั้นอนุบาล 1 ถึง 3 จนจบ การศึกษาภาคบังคับ คือ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำเลยที่ 1 เปิดสอนการศึกษาภาคบังคับจึงเป็นสถานศึกษาตาม นิยามศัพท์แห่ง พ.ร.บ.การศึกษาภาคบังคับฯ โดยไม่คำนึงว่าเป็นโรงเรียนเอกชนหรือรัฐ จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ จัดการศึกษาภาคบังคับให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย แม้มาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฯ และมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.การศึกษาภาคบังคับฯ ยังไม่ได้แก้ไขกำหนดอายุของเด็กก่อนวัย เรียนให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แต่จำนวนชั้นปีที่ต้องได้รับการศึกษาภาคบังคับตามกฎหมายทั้ง สองฉบับสอดคล้องกับอายุเด็กซึ่งเริ่มตั้งแต่อายุย่างเข้าปีที่เจ็ดจนถึงอายุย่างเข้าปีที่สิบหก แสดงว่าการศึกษา ภาคบังคับไม่ว่าเป็นการจัดการศึกษาโดยรัฐหรือเอกชนต้องทำอย่างต่อเนื่อง จะให้ออกกลางคันหรือจำหน่าย นักเรียนออกจากทะเบียนนักเรียนโดยไม่มีเหตุตามกฎหมาย กฎหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องไม่ได้ ซึ่งมูลเหตุที่โจทก์ ที่ 1 และที่ 2 ออกจากโรงเรียนของจำเลยที่ 1 ไม่ได้เกิดจากความผิดของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 1 โดย คณะกรรมการบริหารของโรงเรียนแสดงเจตนาให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 สิ้นสภาพการเป็นนักเรียนมีผลเป็นการ จำหน่ายนักเรียนออกจากทะเบียนนักเรียนโดยปราศจากอำนาจตามตราสารจัดตั้งนิติบุคคลโรงเรียนจำเลยที่ 1 และเป็นการกระทำผิดต่อหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมายกระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ที่จะได้รับการศึกษาภาคบังคับอย่างต่อเนื่อง การกระทำของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจ ให้บริการทางการศึกษาจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นผู้บริโภค ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และ ที่ 4 ไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์นั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการ แทนจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนจึงเป็นผู้แทนนิติบุคคลของจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 มาตรา 24 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดในผลแห่งละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม
pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 และมาตรา 1167 ประกอบมาตรา 427 จำเลยที่ 4 ผู้อำนวยการโรงเรียนมีหน้าที่ และความรับผิดชอบในการจัดทำทะเบียนนักเรียนกับปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามตราสารจัดตั้งของโรงเรียนตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนฯ มาตรา 39 (4) (6) แต่กลับทำผิดหน้าที่จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 รับผิด ในผลแห่งการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ประกอบมาตรา 432 ในวันนี้อาจารย์จะยังไม่ลงลึกเข้าไปในองค์ประกอบของเรื่องการละเมิด แต่อาจารย์อยากจะปูพื้นฐาน ให้เข้าใจแนวคิดในเบื้องต้นเสียก่อน ประเทศไทย เริ่มใช้ประมวลกฎหมายครั้งแรกภายหลังการปฏิรูปกฎหมายในสมัยรัชกาลที่ห้า และผู้ที่ วางรากฐานสำคัญในการปฏิรูประบบกฎหมายรวมถึงกฎหมายละเมิดด้วยนั้นก็คือกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ โดยในปี 2478 เป็นครั้งแรกที่ประมวลกฎหมายได้มีการบัญญัติเรื่องละเมิดในกฎหมายไทย ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะในสมัยสุโขทัยหรือกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏเรื่องละเมิดอย่างที่มีในปัจจุบัน การทำ ผิดกฎหมายทำให้ผู้อื่นเสียหายถือเป็นความผิดอาญาทั้งสิ้น ผู้ที่จะบังคับลงโทษและชดใช้ค่าเสียหายคือรัฐ หรือ หน่วยงานของรัฐโดยใช้อำนาจทางพระมหากษัตริย์หรือตัวแทนของพระมหากษัตริย์ ดังนั้นในสมัยสุโขทัยก็ดี หรือสมัยอยุธยาก็ดี ถ้ามีการละเมิดสิทธิของผู้อื่นก็จะต้องถูกบังคับลงโทษทางอาญา หรือลงโทษให้ชดใช้ ค่าเสียหายซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่า “ปรับพินัย” คำว่าพินัยจึงมีความหมายเป็นการลงโทษ โดยเงินที่ได้จากการ ปรับพินัย จะถูกนำไปแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเอาเข้ารัฐในฐานะภาษีเป็นเงินหลวง อีกส่วนหนึ่งนำไปเยียวยา ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ที่เสียหาย ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมกฎหมายที่ใช้คือคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ซึ่งได้ใช้จนถึงสมัยการล่าอาณา นิคมของชาวต่างชาติ ในหลวงรัชกาลที่ห้ามีวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล เห็นว่าถ้าไม่ปรับตัวประเทศไทยคงจะต้องตก เป็นเมืองขึ้นอาณานิคม กรมพระยาดำรงราชานุภาพจึงแนะนำให้พระองค์ทรงพบกับฝรั่งคนหนึ่งซึ่งเป็นคน เบลเยียม ชื่อว่าโรแรง ยักแมน ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิเป็นสมเด็จเจ้าพระยาอภัยราชา และฝรั่ง คนนี้ช่วยให้พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ได้ทำการปฏิรูปกฎหมายและนำระบบกฎหมายสมัยใหม่มาใช้ จนทำให้ เกิดการยกร่างประมวลกฎหมายและก่อให้เกิดการใช้กฎหมายเรื่องละเมิดขึ้นใน พ.ศ. 2478 โดยในขณะนั้นยัง ไม่มีการใช้คำว่าละเมิด แต่พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ได้ใช้คำว่า “การประทุษร้ายทางแพ่ง” เพื่อแยกการกระทำ ความผิดทางอาญาออกจากการกระทำความผิดทางแพ่ง และต่อมาเมื่อมีการยกร่างประมวลกฎหมายจึงได้มี การใช้คำว่าละเมิด ซึ่งบทบัญญัติในเรื่องละเมิดดังกล่าวยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยต้นแบบของกฎหมาย ลักษณะละเมิดในประเทศไทยนั้นมาจากกฎหมายละเมิดของประเทศเยอรมันเป็นหลัก โดยมีการนำหลัก กฎหมายเรื่องละเมิดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์และญี่ปุ่นมาผสมใช้ด้วย วิวัฒนาการกฎหมายละเมิด เดิมในระบบกฎหมายยังไม่มีหลักการเรื่องละเมิด มีแต่หลักการป้องปรามผู้ที่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย บาดเจ็บล้มตาย ทำให้มีการยอมรับสิทธิของผู้เสียหายที่จะให้มีการเอาคืน หรือที่เรียกว่าหลักการแก้แค้น (Lex Talionis) หรือ หลัก “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ซึ่งหลักกฎหมายดังกล่าว ตามที่ค้นพบเกิดขึ้นครั้งแรก 1800 ปี ก่อนสมัยพุทธกาลในยุคบาบิโลน ซึ่งปรากฏอยู่ในประมวลกฎหมายในสมัยพระเจ้าฮัมบูราบี โดยหลักตาต่อตา ฟันต่อฟันนั้นอนุญาตให้ผู้เสียหายเอาคืนผู้กระทำความผิดได้เลย เช่นถ้าผู้เสียหายถูกทำให้ตาบอดข้างหนึ่ง ผู้เสียหายก็สามารถทำให้ผู้กระทำความผิดตาบอดข้างหนึ่งได้ แต่จะทำเกินกว่าความเสียหายที่ตนเองได้รับไม่ได้
pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แต่หลักตาต่อตาฟันต่อฟันนี้มักเกินกว่าเหตุ รัฐจึงเข้ามาควบคุมหลักตาต่อตาฟันต่อฟัน โดยรัฐเข้ามา เป็นผู้ดูแลเสียเองจึงทำให้เกิดหลัก ห้ามแก้แค้น กล่าวคือ เมื่อเกิดการกระทำความผิดขึ้น รัฐจะเข้าไปจัดการ เยียวยาความเสียหายและลงโทษผู้ที่กระทำความผิด ซึ่งเป็นหลักเดียวกันกับกฎหมายเรื่องการปรับพินัยที่ ประเทศไทยได้มีการใช้ในสมัยสุโขทัยและอยุธยา ต่อมา 450 ปีก่อนคริสตศักราชการ กฎหมายโรมันได้มีการบัญญัติกฎหมาย 12 โต๊ะขึ้น และได้มีการ บัญญัติเรื่องการเรียกค่าเสียหายทางละเมิดไว้ในโต๊ะที่แปด โดยแนวคิดดังกล่าวแทบจะเหมือนกับกฎหมาย ละเมิดในยุคปัจจุบันแต่ไม่ได้ครอบคลุมถึงทุกเรื่อง เป็นการกำหนดการเรียกค่าเสียหายในการละเมิดเฉพาะบาง เรื่องไว้เท่านั้น กฎหมายละเมิดจึงปรากฏว่ามีการบังคับใช้ในสมัยโรมัน และต่อมาในศตวรรษที่หก กฎหมายโรมันได้ถูกรวบรวมและบัญญัติขึ้นเป็นประมวลกฎหมายแพ่งฉบับ แรก (Corpus Juris Civilis) อันเป็นที่มาของละเมิดตามระบบกฎหมาย Civil Law ซึ่งบัญญัติให้ละเมิดเป็นหนี้ อย่างหนึ่งในทางแพ่งที่จะต้องมีการชดใช้กันและแยกออกจากคดีอาญา ดังนั้นนักศึกษาจะเห็นได้ว่ากฎหมาย เรื่องละเมิดได้มีวิวัฒนาการแยกค่าเสียหายทางแพ่งและความผิดทางอาญาออกจากกันโดยเด็ดขาดตาม ประมวลกฎหมายโรมัน หลังจากสมัยโรมันได้เริ่มมีการทำประมวลกฎหมายขึ้นมาใช้ในประเทศต่างๆมากขึ้น แต่ประมวล กฎหมายที่ทันสมัยที่สุดในสมัยดังกล่าวนั่นก็คือประมวล Napoleon Code หรือประมวลกฎหมายของนโป เลียนที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 13-14 และกลายมาเป็นประมวลกฎหมายต้นแบบของประมวลกฎหมายใน ภาคพื้นยุโรปทั้งหมด ซึ่งทำให้เกิดข้อสรุปได้ว่า ความรับผิดทางละเมิดเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ ทฤษฎีเกี่ยวกับความรับผิดเพื่อความเสียหาย 1. ทฤษฎีรับภัย (Théorie durisque) ความรับผิดทางละเมิดนั้นเริ่มต้นด้วยทฤษฎีรับภัยกล่าวคือ เมื่อ บุคคลได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ผู้ที่ก่อความเสียหายก็ต้องรับผิดโดยไม่คำนึงว่าเขาจะมีเจตนาที่จะ ก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่ ถ้ารับฟังได้ว่าความเสียหายเกิดจากการกระทำของใคร หรือใครเป็นต้นเหตุของ ความเสียหาย บุคคลดังกล่าวต้องรับผิด ทฤษฎีรับภัยนั้นหากเปรียบเทียบกับทฤษฎีในปัจจุบันก็คือทฤษฎีความ รับผิดโดยเด็ดขาด 2. ทฤษฎีความรับผิด (Theory of Fault) ต่อมาหลังจากที่มีการใช้ทฤษฎีรับภัย ก็ได้เกิดการสร้างงาน และเกิดอุตสาหกรรมมากขึ้น มีการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของบุคคลในสังคม การคุ้มครองผู้เสียหายจึงเปลี่ยน มาเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคล จึงเกิดทฤษฎีว่า ต้องมีความผิดอันเกิดจากการกระทำของ บุคคลใดบุคคลหนึ่ง โดยการกระทำนั้นอาจเกิดจากการจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อนจึงจะความรับผิดทาง ละเมิด (liability based on fault) 3. หลักความรับผิดโดยเคร่งครัด (strict liability) หรือ ทฤษฎีความรับผิดโดยสมบูรณ์ (absolute liability) เกิดเมื่อมีการพัฒนาทางอุตสาหกรรมมากขึ้น จึงเกิดภาระในการพิสูจน์ความเสียหายแก่ผู้เสียหาย มากขึ้น และยากที่ผู้เสียหายจะทำการพิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหาย จึงก่อให้เกิดหลักความ รับผิดโดยเคร่งครัดขึ้น กล่าวคือทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่พัฒนาขึ้นในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยมีหลักการว่า การ พิจารณาความรับผิดทางละเมิดนั้น ไม่จำต้องพิจารณาถึงความรู้สึกนึกคิดภายในใจของผู้ก่อความเสียหายว่ามี เจตนาหรือไม่ซึ่งหลักความรับผิดโดยเคร่งครัดนี้ได้มีการนำมาใช้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยสินค้าไม่ปลอดภัยฯ ด้วย
pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ส่วนในยุคปัจจุบันนี้ก็ได้มีการคิดหลักทฤษฎีขึ้นใหม่ ซึ่งก็คือ “หลักหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคม” โดยหลักการดังกล่าวเป็นหลักที่มุ่งคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและมุ่งคุ้มครองผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น คดี Henley v Phillip Morris คดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นในอเมริกา โดยมอริสเป็นบริษัทผลิตบุหรี่ ส่วนเฮนรี่นั้นเป็น เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เรียนรู้การสูบบุหรี่มาจากสังคมรอบตัว จึงทำให้เธอเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุยังน้อยและทำให้ เธอป่วยเป็นโรคมะเร็งจากการสูบบุหรี่ เธอจึงได้ฟ้องบริษัทบุหรี่เพื่อให้รับผิดชอบต่อความเจ็บป่วย ก่อนหน้านี้ เคยมีผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดเนื่องจากการสูบบุหรี่พยายามที่จะฟ้องบริษัทบุหรี่แต่ก็ถูกศาลปฏิเสธด้วยให้ เหตุผลว่า โจทก์นั้นเสี่ยงภัยเอง (assumption of risk) แต่ในคดีของเฮนรี่นั้น เฮนรี่ต่อสู้ว่าบริษัทไม่เคยให้ ข้อมูลเลยว่าบุหรี่มีพิษภัยอย่างไร ถ้าบริษัทเคยมีการให้ข้อมูลว่าบุหรี่มีผลต่อร่างกายอย่างไร เฮนรี่ก็คงจะ พิจารณาที่จะไม่สูบหรือเลิกสูบไปนานแล้ว ด้วยข้ออ้างดังกล่าวศาลตัดสินให้บริษัทมอร์ริสชดใช้ค่าเสียหาย ให้แก่เฮนรี่ โดยเป็นค่าเสียหายส่วนตัวจำนวน 1,500,000 ดอลล่าร์และค่าเสียหายเพื่อลงโทษอีก 50,000,000 ดอลลาร์ ในคดีดังกล่าวผู้พิพากษาปฏิเสธข้ออ้างของจำเลยที่ว่าโจทก์เสี่ยงภัยเอง อันเคยเป็นข้อ ต่อสู้ที่ทำให้บริษัทบุหรี่ชนะคดีมาตลอด คดีนี้ศาลอเมริกาใช้ทฤษฎีเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมในการผลิตสินค้าที่เป็นอันตรายในการตัดสิน คดี ทำให้ต่อมาบริษัทบุหรี่จึงต้องมีการทำการเขียนข้อความระบุว่าบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพลงบนซองบุหรี่ และส่งผลให้โรงงานยาสูบและบริษัทบุหรี่ที่นำบุหรี่เข้ามาขายในประเทศไทยก็จะต้องมีข้อความเตือนว่าบุหรี่ เป็นอันตรายต่อสุขภาพบนซองบุหรี่ด้วย เพื่อให้ผู้สูบเสี่ยงภัยเอาเองทั้งที่รู้ว่าบุหรี่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอยู่แล้ว ตัวอย่างคดีอีกเรื่องหนึ่งนั้นก็คือคดี Donoghue v Stevenson (1932) คดีนี้โจทก์ซื้อน้ำขวดจาก ร้านค้าซึ่งมีเศษซากสัตว์ตายในขวดน้ำทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์สามารถฟ้องผู้ผลิตฐานละเมิดได้ แม้ว่าโจทก์จะไปซื้อน้ำขวดดังกล่าวจากตัวแทนจำหน่ายก็ตาม เพราะแม้ผู้ผลิตสินค้าจะไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อ ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายโดยตรง แต่ผู้ผลิตสินค้าจะต้องอยู่ภายใต้หลัก Duty of Care ที่จะต้องใช้ความ ระมัดระวังดูแลเรื่องสุขภาพและความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค และผู้ผลิตสินค้าจะต้องรับผิดในความบกพร่อง หรือความไม่ปลอดภัยของสินค้าแม้ว่าเค้าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ดังนั้นแม้ผู้ซื้อจะไม่ได้ซื้อน้ำขวดจากบริษัทผู้ผลิต โดยตรงแต่ก็สามารถฟ้องบริษัทผู้ผลิตได้ ทั้งการที่เศษซากสัตว์เข้าไปอยู่ในขวดน้ำได้อย่างไรนั้นก็ยากที่จะพิสูจน์ โดยผู้เสียหาย ศาลจึงตัดสินโดยใช้หลักความรับผิดโดยเคร่งครัด (strict liability) ให้ผู้ผลิตสินค้าต้องรับผิด คดี Liebeck v. McDonald’s Restaurants คดีนี้ Liebeck ได้ไปซื้อกาแฟร้อนแมคโดนัลด์แบบ Drive Thru เมื่อรับแก้วกาแฟมาแล้ว เธอวางกาแฟ ไว้ที่ตัก พอเปิดแก้วกาแฟร้อนหกรดตัก ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บ ต้องรักษาผิวหนังที่ถูกลวกให้หายเป็นปกติ Liebeck จึงได้ทำการฟ้องแมคโดนัลด์ ร้านแมคโดนัลด์อ้างว่า Liebeck ไม่ระวังเอง แต่ Liebeck บรรยายฟ้อง ว่า กาแฟของแมคโดนัลด์โดยสภาพของสินค้ามีลักษณะเป็นอันตรายเพราะอุณหภูมิของกาแฟสูงถึง 80 ถึง 82 องศา แมคโดนัลด์อ้างว่าคนซื้อกาแฟ Drive Thru จะขับรถไปเป็นระยะทางหนึ่งกว่าจะดื่มกาแฟจึงต้องทำ อุณหภูมิให้สูง แต่ทนายของ Liebeck หาข้อมูลมาได้ว่า แมคโดนัลด์ทำวิจัยค้นพบว่าคนที่ซื้อกาแฟแบบ Drive Thru ส่วนใหญ่จะเริ่มดื่มกาแฟเลยและเคยมีคนมาร้องเรียนเรื่องกาแฟหกจำนวนมาก คณะลูกขุนเห็นว่ากาแฟ ของแมคโดนัลด์ร้อนเกินกว่าเหตุ แมคโดนัลด์รู้อยู่แล้วว่าเป็นอันตรายเพราะเคยมีคนร้องเรียนจึงถือว่าการที่ แมคโดนัลด์ทำกาแฟร้อนเกินไปและไม่ทำป้ายเตือนว่ากาแฟร้อนเป็นการละเมิด แต่คณะลูกขุนก็เห็นว่า Liebeck เปิดถ้วยกาแฟโดยไม่ระวังและจับไม่แน่นจึงมีส่วนผิดด้วย ศาลชั้นต้นเห็นว่าแมคโดนัลด์ผิด 80%
pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง Liebeck ผิด 20% จึงเอาค่าเสียหายจริงบวกด้วยค่าเสียหายเชิงลงโทษรวมกันแล้วให้แมคโดนัลด์รับผิด 80% แต่คดีนี้ได้มีการเจรจานอกศาลแล้วถอนคดีออกไปในที่สุด ซึ่งคดีนี้ก็เป็นคดีที่ก่อให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคใน อีกระดับ กรณีจอดรถในห้าง หากออกมารถหาย ใครต้องรับผิดชอบและต้องทำอย่างไร? ประเด็นเกี่ยวกับการจอดรถในห้างแล้วรถหายนั้นเคยนำไปออกเป็นข้อสอบเนติบัณฑิตแล้ว ซึ่งส่วน ใหญ่แล้วมักจะไม่นำมาออกซ้ำ แต่ถ้าผ่านไประยะเวลาหนึ่งก็อาจสามารถเอาเรื่องดังกล่าวมาออกซ้ำได้ และ อาจจะมีข้อเท็จจริงที่พิสดารมากขึ้น ฎีกาที่ 2416/2561 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ใด้เป็นผู้จำหน่ายสินค้าหรือให้บริการต่างๆ ให้แก่ ลูกค้าที่ เข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 โดยตรง แต่จำเลยที่ในฐานะผู้ประกอบกิจการ ย่อมต้องให้ความสำคัญในด้านบริการต่างๆ โดยเพาะเรื่องของที่จอดรถซึ่งมีผลโดยตรงต่อจำนวนลูกค้า แม้ จำเลยที่ 1 จะไม่ใด้แจกบัตรจอดรถ ไม่เรียกเก็บค่าบริการจอดรถ แต่จำเลยที่ 1 ต้องคำนึงถึงและมีหน้าที่ดูแล รักษาความปลอดภัยรถของลูกค้าตามสมควร มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าผู้มาใช้บริการต้องเป็นฝ่ายระมัดระวังหรือเสี่ยง ภัยเอาเอง จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ดูแลรักษาทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 แต่ไม่ได้ว่าจ้างให้ดูแลรักษา ทรัพย์สินของลูกค้า ทางเข้าและทางออกลานจอดรถไม่มีการมอบและคืนบัตรจอดรถ ไม่มีพนักงานรักษาความ ปลอดภัยประจำอยู่ คงมีแต่เพียงกล้องวงจรปิดติดตั้งไว้เพื่อบันทึกภาพรถเข้าและออก ซึ่งเห็นได้ว่าไม่สามารถ ป้องกัน ระงับ หรือยับยั้งการโจรกรรมรถยนต์ได้ ถือว่าจำเลยที่ 1 ปล่อยปละละเลย งดเว้น ไม่สอดส่อง ตรวจ ตรา ดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณลานจอดรถตามหน้าที่ตามสมควร เป็นเหตุให้รถยนต์ซึ่งจอดอยู่ในลาน จอดรถศูนย์การค้าของจำเลยที่ 1 สูญหายไป เป็นการกระทำละเมิด ข้อพิจารณา ฎีกานี้สอดคล้องกับหลักความรับผิดชอบต่อสังคม โดยมีข้อเท็จจริงอยู่ว่า เมื่อมีการเปิด ห้างสรรพสินค้าขึ้นมา ห้างก็จะมีการเอาพื้นที่ออกให้บริษัทต่างๆเช่าเพื่อทำการขายของ และก็จะมีการอำนวย ความสะดวกในการจัดหาที่จอดรถและพนักงานรักษาความปลอดภัย ผู้ที่เข้ามาซื้อของในห้างก็สามารถเข้าไป ซื้อของในร้านค้าต่างๆที่อยู่ในห้างได้แม้จะไม่ใช่ร้านค้าของห้างสรรพสินค้าโดยตรง ปรากฏว่าลูกค้าก็ได้นำรถมา จอดที่ห้างเพื่อเข้าไปซื้อของในร้านที่อยู่ในห้าง ซึ่งเป็นร้านที่เช่าสถานที่ของห้างอยู่ แต่มิได้เป็นร้านที่ขายสินค้า ของห้างโดยตรง ปรากฏว่าเมื่อออกมารถหาย จึงมีปัญหาว่าทางห้างจะต้องรับผิดชอบหรือไม่ หรือบริษัทผู้เช่า สถานที่ที่มาเปิดขายของซึ่งลูกค้าได้เข้าไปซื้อของจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ หรือบริษัทรักษาความปลอดภัยที่เป็น ผู้ดูแลจะต้องรับผิดชอบ ในเรื่องความรับผิดทางละเมิดกรณีรถที่จอดในห้างหายนั้นมีวิวัฒนาการอยู่ว่า เดิมเมื่อจอดรถในห้าง ก็จะมีใบรับฝากรถ โดยจะมีการแจกใบรับฝากรถที่ทางเข้าและเจ้าของรถก็จะต้องเก็บใบรับฝากรถไว้ เมื่อซื้อ ของเสร็จแล้วก่อนที่จะเอารถออกก็จะต้องมีการคืนบัตรจอดรถ หากรถหายศาลฎีกาวินิจฉัยว่ากรณีเช่นนี้คือ การรับฝากรถโดยไม่มีบำเหน็จ แต่ถึงแม้จะไม่มีบำเหน็จแต่ถ้ารถหายผู้รับฝากก็ต้องรับผิดชอบ คดีดังกล่าวจึง ตัดสินให้ห้างผู้ซึ่งออกใบรับฝากต้องเป็นผู้รับผิดชอบในฐานสัญญาฝากทรัพย์ ทำให้ต่อมาห้างสรรพสินค้าต่างๆ เปลี่ยนแปลงระบบไม่แจกบัตรจอดรถให้แก่ผู้ที่เข้ามาใช้บริการในห้าง เพื่อเป็นการปฏิเสธว่าห้างไม่ได้ทำสัญญา ฝากทรัพย์กับผู้ที่เข้ามาใช้บริการ คำพิพากษาฎีกาที่ 2416/2561 จึงเป็นตัวอย่างว่าแม้ห้างจะได้มีการ เปลี่ยนแปลงระบบไม่ทำการแจกบัตรจอดรถเพื่อปฏิเสธความรับผิดในฐานฝากทรัพย์ก็ตาม แต่ห้างก็ยังคงมี
pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง หน้าที่ในการดูแลรถของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเพราะตนเองเป็นเจ้าของห้าง และการจัดสรรที่จอดรถให้แก่ผู้ เข้ามาใช้เป็นบริการก็เป็นแรงจูงใจในการดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการในห้าง ห้างจึงเป็นผู้รับประโยชน์ โดยตรงจึงเกิดหน้าที่ที่จะต้องดูแลความปลอดภัยให้แก่ทรัพย์สินของผู้ที่เข้ามาใช้บริการในห้าง หลักตามคำ พิพากษาฎีกานี้จึงเป็นวิวัฒนาการเกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อสังคมและต่อสาธารณะของเจ้าของห้างต่อผู้ที่เข้า มาใช้บริการ การพิสูจน์ความผิด เมื่อมีการละเมิดแล้วก็จะต้องมีการพิสูจน์ว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดซึ่งก็คือการพิสูจน์ว่ามีการกระทำ โดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อหรือไม่ ตามทฤษฎี Theory of Fault กล่าวคือผู้ที่เสียหายเป็นผู้มีหน้าที่ในการ พิสูจน์ว่าผู้กระทำได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามมีการใช้ทฤษฎีความรับผิดเด็ดขาด (strict liability) ผู้เสียหายก็ไม่จำต้องพิสูจน์ถึงการกระทำดังกล่าว ในบทบัญญัติเรื่องละเมิดนั้นได้มีการบัญญัติไว้ว่ากรณีใดบ้างที่เป็นบทสันนิษฐานความรับผิดและใครจะ ปฏิเสธความรับผิด และใครเป็นผู้มีภาระในการพิสูจน์ ซึ่งหลักเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักศึกษาจะต้องจำให้ดี ขอให้ไปดู ตัวบทแล้วแยกแยะให้ออกว่ากรณีอะไรคือภาระการพิสูจน์ของผู้เสียหาย และกรณีใดบ้างถือเป็นภาระการ พิสูจน์ของผู้ที่ต้องรับผิด เพราะเรื่องภาระการพิสูจน์นี้มีโอกาสที่จะนำมาออกสอบ ทฤษฎีข้อสันนิษฐานความรับผิด (theory of presumption fault) ทฤษฎีข้อสันนิษฐานความรับผิด คือ ภาระการพิสูจน์ที่อาจารย์ขอให้ไปท่องจำ เช่น กรณีที่การกระทำ ละเมิดเกิดจากยานพาหนะ ผู้ที่ควบคุมยานพาหนะอันเดินด้วยเครื่องจักรนั้นก็จะต้องมีภาระในการพิสูจน์ หรือ หากความเสียหายเกิดจากทรัพย์อันตราย ผู้ที่ครอบครองทรัพย์ชิ้นนั้นก็เป็นฝ่ายมีภาระการพิสูจน์ เป็นต้น ดังนั้นแนวคิดในเรื่องนี้นักศึกษาก็จะต้องไปดูว่าสอดคล้องกับมาตราใดบ้างเพราะเป็นหลักคิดพื้นฐานในเรื่อง ของความรับผิด เมื่อมีข้อสันนิษฐานเรื่องความรับผิดแล้ว ก็ขอฝากท่านนักศึกษาไปค้นหาต่อด้วยว่ากฎหมายเปิดช่องให้ มีการนำสืบพิสูจน์ยกเว้นความรับผิดได้หรือไม่ ถ้ากฎหมายเปิดช่องให้มีการนำสืบพิสูจน์ข้อยกเว้นความรับผิด ได้ ก็สามารถนำสืบเพื่อยกเว้นความรับผิดได้ แต่ถ้ากฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้ ผู้ที่ต้องรับผิดก็จะต้องรับผิด ทั้งหมด โดยไม่มีข้ออ้างใดทั้งสิ้นเช่นเดียวกับทฤษฎีความรับผิดโดยเด็ดขาด (Absolute Liability) การจะเป็นละเมิดต้องมีความเสียหายเกิดขึ้น การกระทำใดจะเป็นละเมิดนั้นจะต้องมีความเสียหายเกิดขึ้นจึงจะเป็นละเมิด ถ้ามีการกระทำโดยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อแล้ว แต่ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น ย่อมไม่เกิดเป็นละเมิด เพราะองค์ประกอบของละเมิด นั้นประกอบไปด้วยการกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ตาม ซึ่งการกระทำนั้น อาจเป็นการกระทำโดยชัดแจ้งหรือโดยงดเว้นก็ได้ และเมื่อมีการกระทำแล้วจะต้องมีความเสียหายเกิดขึ้น ตราบใดที่ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้นการดังกล่าวย่อมมิใช่ละเมิด ฎีกาที่ 521/2562 แม้ ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิด แต่มูลละเมิดนั้น ท่านว่าขาดอายุความเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึง ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันทำละเมิด แต่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 บัญญัติว่า "ผู้ใดจง
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่รางกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพ ก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น" แสดงว่าแม้ผู้ทำละเมิดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายแล้ว แต่เมื่อยังไม่เกิดความ เสียหาย ผู้ทำละเมิดก็ยังไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อความเสียหายเกิดขึ้นจริง จึงต้องเริ่มนับอายุความแต่วันที่เกิดความเสียหายเป็นวันที่รู้ถึงการละเมิด มิใช่นับแต่วันที่รู้ถึงการกระทำผิดกฎหมายเท่านั้น และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ข้อพิจารณา ฎีกาเรื่องนี้มีประเด็นเกี่ยวกับการนับอายุความในเรื่องของการทำละเมิดว่าจะต้องเริ่มนับ เมื่อใด ซึ่งศาลฎีกาวางหลักว่า แม้จะมีการกระทำเกิดขึ้นและรู้ตัวผู้กระทำความผิดแล้ว แต่ถ้ายังไม่มีความ เสียหายเกิดขึ้นอายุความละเมิดจึงยังไม่นับ สำหรับฎีกานี้ถ้าจะนำมาออกข้อสอบก็อาจจะมีประเด็นหลอกได้ว่า การนับอายุความในเรื่องละเมิด นั้นจะต้องเริ่มนับเมื่อใด เพราะถ้ามีการกระทำละเมิดแล้วแต่ความเสียหายยังไม่เกิด อายุความจะเริ่มเมื่อใด ข้อเท็จจริงในคดีนี้มีอยู่ว่า มีที่ดินอยู่แปลงหนึ่งซึ่งติดอยู่กับที่ดินของเพื่อนบ้านและถนนสาธารณะ เจ้าของที่ดิน ดังกล่าวได้ทำการขุดดินขาย และยังคงขุดต่อไปเรื่อย ๆ จนมีความลึกถึง 40 เมตร ซึ่งระยะในการขุดนั้นห่าง จากถนนสาธารณะและที่ดินของเพื่อนบ้านไม่มาก ทำให้เกรงว่าอาจทำให้ถนนและที่ดินฝั่งติดกันพังลงมาได้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินฝั่งติดกันจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล แต่จำเลยต่อสู้ว่าตนเองนั้นได้มีการขุดที่ดินมานาน แล้วคดีจึงขาดอายุความ เพราะอายุความในการกระทำละเมิดนั้นมีอายุความเพียงหนึ่งปี นักศึกษาจะเห็นได้ว่า การทำละเมิดในบางครั้งนั้นเพียงแค่กระทำก็จบและเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว แต่ในบางกรณีการกระทำละเมิดอาจเกิดต่อเนื่องกันไปจนก่อให้เกิดความเสียหายในภายหลัง ดังนั้นในกรณี เช่นนี้ เมื่อมีการขุดดินทุกวันและก่อให้เกิดความเสียหายในภายหลัง อายุความจึงยังไม่เริ่มนับตั้งแต่วันที่มีการ ขุด แต่เริ่มนับวันสุดท้ายที่มีการขุด และต้องดูด้วยว่าความเสียหายเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ เพราะถ้าความเสียหายยัง ไม่เกิด การกระทำละเมิดก็ยังไม่เกิด แต่ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นแล้วจึงจะถือว่ามีการกระทำละเมิดเกิดขึ้น ความเสียหายในเรื่องละเมิดนั้นก็ยังมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไปว่า กรณีใดบ้างที่จะถือว่ามีความ เสียหายเกิดขึ้นแล้ว ความเสียหายจะต้องจับต้องได้เป็นรูปธรรมหรือความเสียหายนั้นสามารถเป็นความ เสียหายทางจิตใจได้หรือไม่ ในปัจจุบันนี้ตามแนวคำพิพากษาของศาลฎีกามีทั้งฎีกาที่ยอมรับว่าความเสียหาย ทางจิตใจเป็นความเสียหายในทางละเมิด แต่บางฎีกาก็ยังไม่ยอมรับว่าความเสียหายทางจิตใจเป็นความ เสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิด แต่อย่างไรก็ตามในตัวบทนั้นได้มีการกล่าวถึงความเสียหายไว้ว่าหมายถึง ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน และสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีความหมายกว้างมาก และเป็นที่ถูกเถียงกันมาโดยตลอดว่ารวมถึงความเสียหายทางจิตใจหรือไม่ ทำให้ศาลฎีกาในอดีตไม่ยอมรับว่า ความเสียหายทางจิตใจเป็นความเสียหายตามมาตรา 420 แต่ท่านอาจารย์จิตติได้บันทึกความเห็นโต้แย้งไว้ว่า ตัวบทมาตรา 420 นั้นใช้คำว่าความเสียหายต่อสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งด้วย ซึ่งมีความหมายที่กว้างมาก ครอบคลุมทุกอย่าง ฉะนั้นความเสียหายอันเกิดแต่การทำละเมิดจึงยังคงไม่จำกัด ทำให้ในที่สุดต่อมาคำ พิพากษาฎีกาในระยะหลังจึงมีการยอมรับเกี่ยวกับเรื่องความเสียหายทางจิตใจมากขึ้น
pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ความยินยอมทำให้ไม่เสียหายไม่เป็นละเมิด ในเรื่องละเมิดนั้นมีหลักอยู่เรื่องหนึ่งนั้นคือหลักเรื่องความยินยอม กล่าวคือ ถ้ามีการให้ความยินยอม ย่อมไม่เป็นการละเมิด อาทิ ถ้ามีการให้ความยินยอมที่จะรับเอาความเสียหายไว้ตั้งแต่แรกก็จะไม่ถือว่าการ กระทำดังกล่าวเป็นการละเมิด หลักความยินยอมไม่เป็นละเมิดนั้นเป็นหลักที่มีการใช้มานาน แต่ในระยะหลัง จะต้องพิจารณาด้วยว่าความยินยอมนั้นเป็นความยินยอมอันเกิดจากความสมัครใจและมีการเข้าใจถึง สาระสำคัญของความยินยอมหรือไม่ และต้องพิจารณาด้วยว่าผู้ที่ให้ความยินยอมมีความสามารถที่จะให้ความ ยินยอมด้วยหรือไม่ และความยินยอมจะต้องมีขอบเขตจำกัด หากให้ความยินยอมเพียงเท่าใดก็จะต้องกระทำ เพียงเท่านั้นจะไปล่วงละเมิดเกินกว่าที่ให้ความยินยอมไม่ได้ หากทำเกินกว่าที่มีการให้ความยินยอมก็จะถือว่า เป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น ยกตัวอย่างเช่น กีฬาฟุตบอลยอมให้มีการประทะร่างกายกันได้ แต่ไม่มีการยินยอม ให้เกิดการชกต่อยขึ้น หากมีการชกต่อยเกิดขึ้นในระหว่างการแข่งขันย่อมถือเป็นการกระทำที่เกินเลยไปจาก ความยินยอม จึงอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำละเมิดได้ เป็นต้น หลักเรื่องความยินยอมที่เกิดขึ้นบ่อยก็เช่น การ ยินยอมให้แพทย์ทำการผ่าตัดรักษา การยินยอมให้มีการประทะกันในการเล่นกีฬา การสมัครใจอยู่กินร่วมกัน ในเรื่องการสมัครใจอยู่กินร่วมกันนั้นเคยมีคดีเกิดขึ้นซึ่งมีข้อเท็จจริงอยู่ว่า มีสามีภรรยาคู่หนึ่งจด ทะเบียนสมรสกันแต่ต่อมาภายหลังได้ทิ้งร้างกันไปเป็น 10 ปี ฝ่ายชายจึงได้ไปพบกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งและได้มี การขอพระราชทานสมรสกับผู้หญิงคนดังกล่าว ทั้งฝ่ายหญิงก็ได้เสียค่าใช้จ่ายในการจัดงานไปเป็นจำนวนมาก และตกลงกันว่าจะอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาและจะไปจดทะเบียนสมรสกันต่อไป แต่ปรากฏว่าภายหลังงานแต่ง ฝ่ายผู้ชายนั้นเพิกเฉยไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรสตามที่ได้ตกลงกัน ฝ่ายหญิงจึงนำคดีมาฟ้องว่าฝ่ายชายผิด สัญญาและกระทำละเมิด เนื่องจากฝ่ายหญิงได้ทำการจัดงานแต่งงานและเสียค่าใช้จ่ายไปแล้วแต่ฝ่ายชายกลับ ไม่ไปจดทะเบียนสมรสตามสัญญาและไม่ขวนขวายที่จะทำกานหย่ากับภรรยาเก่าดังที่สัญญาไว้ จึงมีปัญหาว่า ฝ่ายหญิงจะสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายเพราะว่าฝ่ายชายกระทำละเมิดได้หรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้ศาลฎีกาวินิจฉัย ว่าเป็นความสมัครใจของฝ่ายหญิงเอง ทั้งการสมรสก็ยังไม่ได้เกิดจากการหลอกลวงหรือข่มขู่ จึงไม่เป็นการ ละเมิด ฎีกาที่ 45/2532 การเรียกค่าทดแทนเนื่องจากผิดสัญญาหรือข้อตกลงเกี่ยวกับการสมรสนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1439 บัญญัติไว้เป็นพิเศษให้เรียกได้เฉพาะกรณีที่มีการหมั้น เท่านั้น เมื่อโจทก์จำเลยตกลงจะสมรสกันโดยไม่มีการหมั้น จึงนอกขอบเขตที่กฎหมายรับรอง แม้จำเลยไม่ ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ โจทก์ก็เรียกค่าทดแทนไม่ได้ การที่โจทก์ต้องใช้จ่ายในการเตรียมการสมรส ต้องเสีย พรหมจารีให้แก่จำเลย และอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับจำเลย โดยจำเลยไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับโจทก์ เกิดจากความสมัครใจของโจทก์ไม่เป็นเหตุที่จะถือว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องใช้ค่าสินไหม ทดแทนให้แก่โจทก์ คำฟ้องโจทก์อ้างว่าโจทก์ยินยอมสมรสกับจำเลย จำเลยให้โจทก์เป็นฝ่ายเตรียมจัดพิธีมงคล สมรสแต่ฝ่ายเดียว และจำเลยได้มอบเงินช่วยเหลือในการเตรียมจัดงานสมรสเป็นเงิน 11,000 บาท ที่โจทก์ ฎีกาว่า เงินจำนวน 11,000 บาท ที่จำเลยมอบให้ฝ่ายหญิงเป็นของหมั้นนั้น คำฟ้องเดิมกับฎีกาโจทก์ขัดแย้ง
pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา ละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ บรรยายวันที่ 29 พฤษภาคม 2566 (ครั้งที่ 2)(สัปดาห์ที่ 2 ) สวัสดีครับ คราวที่แล้วพูดถึงทฤษฎีและแนวคิดต่างๆ วันนี้จะขยายความเรื่องหลักความยินยอม ไม่ก่อให้เกิดละเมิด ความยินยอมไม่เป็นละเมิด Volenti Non Fit Injuria การให้ความยินยอมต้องให้ก่อนหรือขณะกระทำละเมิด หากให้ความยินยอมภายหลังละเมิดเกิด จะเป็นเรื่องไม่ติดใจเอาความ ความยินยอมต้องให้แก่ผู้กระทำโดยตรงและต้องเป็นไปโดยสมัครใจ ไม่เกิด จากการฉ้อฉล หลอกลวง ข่มขู่ สำคัญผิด ความยินยอมอาจให้โดยตรงหรือปริยายก็ได้และความยินยอมที่ ไม่เป็นละเมิดมีขอบเขตเท่าที่ยินยอม และความยินยอมต้องไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของ ประชาชน พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 8 บัญญัติว่า ข้อตกลง ประกาศ หรือคำแจ้งความที่ได้ทำไว้ล่วงหน้าเพื่อยกเว้นหรือจำกัด ความรับผิดเพื่อละเมิดหรือผิดสัญญาในความเสียหายต่อชีวิตร่างกาย หรืออนามัยของผู้อื่น อันเกิดจากการ กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของผู้ตกลง ผู้ประกาศ ผู้แจ้งความ หรือของบุคคลอื่นซึ่งผู้ตกลง ผู้ ประกาศหรือผู้แจ้งความต้องรับผิดด้วย จะนำมาอ้างเป็นข้อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดไม่ได้ ข้อตกลง ประกาศ หรือคำแจ้งความที่ได้ทำไว้ล่วงหน้าเพื่อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดในกรณีอื่น นอกจากที่กล่าวในวรรคหนึ่ง ซึ่งไม่เป็น โมฆะ ให้มีผลบังคับได้เพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณี เท่านั้น มาตรา 9 บัญญัติว่า “ความตกลงหรือความยินยอมของผู้เสียหายสำหรับการกระทำที่ต้องห้ามชัด แจ้งโดยกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จะนำมาอ้างเป็นเหตุ ยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดเพื่อละเมิดมิได้” หมายเหตุ พ.ร.บ.นี้มีหลักมาจากความเสียหายอยู่บนหลักของข้อตกลง แต่ข้อตกลงมักไม่ได้เป็นไป ตามความยินยอมของคู่สัญญา แต่เป็นเพราะผู้มีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจเหนือกว่าถือโอกาสอาศัยหลัก ดังกล่าวเอาเปรียบอีกฝ่ายหนึ่ง ฎีกาที่ 7292/2543 มาตรฐานของความปลอดภัยในการจัดตั้งสระว่ายน้ำจะต้องมีเจ้าหน้าที่ รักษาความปลอดภัยและอุปกรณ์ในการช่วยชีวิต จำเลยเป็นเจ้าของสระว่ายน้ำเปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไป โดยเก็บค่าบริการจากผู้มาใช้บริการก็ต้องยึดถือตามมาตรฐานนั้นด้วย ยิ่งก่อนหน้านี้ก็มีผู้มาใช้บริการจมน้ำ ในสระว่ายน้ำของจำเลยมาแล้ว จำเลยยิ่งควรต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้มากขึ้น แต่จำเลย มิได้ปรับปรุงแก้ไข ถือว่าละเว้นปฏิบัติในสิ่งซึ่งตามวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจให้บริการสระว่ายน้ำควรต้อง ปฏิบัติ แม้จำเลยจะปิดประกาศไว้ที่สระว่ายน้ำว่าผู้มาใช้บริการสระว่ายน้ำ ผู้ปกครองของผู้มาใช้บริการสระ ว่ายน้ำจะต้องเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบด้วยตนเองก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นจากความรับผิด เมื่อจำเลยไม่ระมัดระวัง
pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ทำให้ไม่มีผู้เข้าช่วยเหลือเด็กชาย ภ. ซึ่งจมน้ำได้ทันท่วงทีและถูกต้อง ทั้งไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่จะปฐม พยาบาล ทำให้สมองขาดออกซิเจนเป็นเวลานานจนสมองพิการจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของ จำเลย ฎีกาที่ 6679/2557 ผู้ตายกับพวกและจำเลยที่ 1 กับพวกต่างสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยยอมรับ อันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดจากการวิวาทต่อสู้ทำร้ายกัน ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยในทาง อาญา ไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งต่อจำเลยที่ 1 เพราะความยินยอมไม่ก่อให้เกิดละเมิด จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แก่โจทก์ทั้งสอง และกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาไม่เป็น ธรรม พ.ศ.2540 ที่จะนำมาอ้างเป็นเหตุมิให้ยกเว้นความรับผิดทางละเมิด อันเป็นบทกฎหมายเฉพาะข้อ สัญญาซึ่งเป็นนิติกรรมโดยตรง ที่มีต่อกันในทางธุรกรรมเกี่ยวกับอำนาจต่อรองในทางเศรษฐกิจ ข้อสังเกต อาจารย์บอกว่าฎีกานี้ยังเป็นปัญหาอยู่ สำหรับอาจารย์เองจะไม่นำมาออกข้อสอบ แต่ใน การออกข้อสอบมีกรรมการหลายคน จึงอาจนำมาออกได้ กระทำภายในขอบเขตของความยินยอม ฎีกาที่ 7294/2556 โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ก่อเหตุท้าชกต่อยขึ้นก่อน เมื่อ ว. เข้าร่วมในการท้าทายและ เกิดชกต่อยต่อสู้กัน จึงเท่ากับทั้งสองฝ่ายยินยอมเข้าเสี่ยงภัยจากการทะเลาะวิวาทนั้น ซึ่งหากเหตุการณ์ ดำเนินไปเพียงเท่านี้ การกระทำของทั้งสองฝ่ายย่อมไม่ก่อให้เกิดความรับผิดฐานละเมิด แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ใช้มีดดาบเป็นอาวุธทำร้ายโจทก์ที่ 1 กรณีจึงต้องถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกินเลยไปกว่าที่โจทก์ที่ 1 ได้สมัครใจ เข้าเสี่ยงภัยกับ ว. เหตุนี้การที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 1 ด้วยอาวุธมีดดาบให้ได้รับอันตรายแก่ กาย จึงเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้อง สมัครใจอยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยาแล้วไม่ยอมไปจดทะเบียนสมรส ฎีกาที่ 2830/2563 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2529 จำเลยจดทะเบียนสมรสกับ พ และเลิก ร้างกันโดยไม่ได้จดทะเบียนหย่า ต่อมาจำเลยขอสมรสพระราชทาน วันที่ 29 พฤศจิกายน โจทก์กับจำเลย ได้รับพิธีสมรสพระราชทานและจัดงานฉลองสมรสเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 การแต่งงานโดยจำเลยขอ สมรสพระราชทานและจัดงานฉลองสมรสจะเกิดขึ้นมิได้เลยหากโจทก์ไม่ยินยอม เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยไม่ได้หลอกลวงโจทก์ให้แต่งงาน แสดงว่าโจทก์สมัครใจยินยอมแต่งงานกับจำเลย เมื่อการแต่งงานโดย จำเลยขอสมรสพระราชทานและจัดงานฉลองสมรสเกิดจากความสมัครใจของโจทก์ เป็นการยอมรับผล เสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ตนเอง ตามกฎหมายจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้รับ ผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ไม่ได้ จำเลยจึงไม่ได้กระทำละเมิดและไม่จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ข้อสังเกต ข้อเท็จจริงสรุปว่าจำเลยไม่ได้หลอกลวงให้แต่งงาน โดยข้อเท็จจริงปรากฏว่าอีกฝ่ายรู้อยู่ แล้วว่าอีกฝ่ายจดทะเบียนสมรสอยู่ จึงไม่เป็นละเมิด กรณี Romance Scam คือการหลอกให้หลงรัก หลอกให้เชื่อว่ารัก ให้ความหวังว่าจะแต่งงานใช้ ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไป และใช้ความรักความเชื่อใจหรือความหวังของเหยื่อเพื่อแสวงหาประโยชน์โดย หลอกให้โอนเงินหรือทรัพย์สินอื่นๆไปให้ หลอกให้กระทำผิดบางอย่าง เช่น ขนส่งยาเสพติดหรือสิ่งผิด
pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กฎหมาย ปลอมแปลงเอกสาร เมื่อเหยื่อเริ่มรู้ตัว คนร้ายก็จะหนีหาย คนร้ายมักจะใช้รูปภาพของบุคคลอื่น ที่ดูดี หล่อ สวย น่าเชื่อถือ หรืออาจจะสร้างตัวตนใหม่โดยใช้รูปคนอื่นแต่งเรื่องราวให้ดูน่าเชื่อถือเพื่อให้ เหยื่อเชื่อใจจากภาพลักษณ์ที่เห็น กรณีแบบนี้หากข้อเท็จจริงมีการหลอกลวงเกิดขึ้นและเกิดความเสียหาย ก็เป็นละเมิดได้และอาจเป็นความผิดทางอาญาได้เช่นกัน อย่าลืมว่าการจะเป็นละเมิดได้ต้องมีความ เสียหายเกิดขึ้นด้วย ฎีกาที่ 9797/2560 เมื่อผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยกระทำชำเรา จึงไม่เป็นละเมิด จำเลยไม่ต้อง รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายนั้น ตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำชำเราเด็ก อายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษ..." แสดงว่า กฎหมายคุ้มครองเด็กอายุน้อยเป็นกรณีพิเศษโดยไม่ให้ความสำคัญแก่ความยินยอมของเด็ก ดังนั้น แม้ผู้เสียหายยินยอม การกระทำของจำเลยก็ยังเป็นละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ผู้เสียหายมีสิทธิเรียก ค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลย และมารดาผู้เสียหายย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก จำเลยแทนผู้เสียหายได้ ตัวบทกฎหมายเรื่องละเมิดในกฎหมายต่างๆ ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นหลัก คือ มาตรา 420 ถึงมาตรา 452 พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 (เคยออกข้อสอบ) พ.ร.บ.ว่าด้วยเรื่องข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 (อาจารย์บอกให้จำมาตรา 8 และมาตรา 9) พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551 *พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 หลักการสำคัญ คือก่อให้เกิดความ เป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ 1.การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ดังนั้น มาตรา 5 วรรค หนึ่ง จึงบัญญัติให้ผู้เสียหายจากการทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำไปในทางการปฏิบัติหน้าที่ จะต้องฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากหน่วยงานรัฐโดยตรง แต่ห้ามมิให้ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจาก เจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ต้องฟ้องหน่วยงาน และเมื่อหน่วยงานต้องรับผิด หน่วยงานก็ไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ เจ้าหน้าที่ แต่หากเจ้าหน้าที่จงใจทำละเมิดต่อประชาชน หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เจ้าหน้าที่ต้อง รับผิดชอบส่วนตัวและหน่วยงานต้องรับผิดชอบด้วย ฎีกาที่ 4373/2558 ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ผู้เสียหายในทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำไปในทางปฏิบัติหน้าที่ ฟ้องเรียกค่า สินไหมทดแทนจากหน่วยงานรัฐโดยตรง แต่ห้ามมิให้ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่รัฐนั้น เมื่อ ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ในผล แห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวหาได้บัญญัติให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิดดังเช่นในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างไม่ จึงไม่อาจกำหนดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448
pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับ แต่เนื่องจากตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มิได้ บัญญัติอายุความฟ้องร้องหน่วยงานรัฐได้โดยเฉพาะ จึงต้องนำกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ 2.เจ้าหน้าที่ของรัฐ จะต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวเมื่อปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงใจหรือประมาท เลินเล่ออย่างร้ายแรง ฎีกาที่ 12979/2558 เจ้าพนักงานตำรวจนำตัวผู้เยาว์ส่งสถานพินิจฯ เป็นหน้าที่ตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดไว้ไม่มีเจตนารับดูแลผู้เยาว์ เมื่อผู้เยาว์หลบหนีไปทำละเมิด เจ้า พนักงานตำรวจไม่ต้องรับผิดเพราะไม่อยู่ในบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 430 ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ต้องรับผิดเพราะเป็นเพียงความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจไม่ได้ทำละเมิดโดย ตรงที่หน่วยงานของรัฐจะต้องรับผิดตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 วรรคหนึ่ง กรณีที่ฟ้องว่า การตรวจร่างกายของผู้สอบคัดเลือก (เพศหญิง) เข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ พร้อมกันคราวเดียวหลายคน โดยแต่ละคนต้องถอดเสื้อออกและถือเอาไว้เพื่อรอเข้ารับการตรวจ ร่างกายกับแพทย์ เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม เป็นการล่วงละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเป็นการ กระทำละเมิดที่หน่วยงานต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน *คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 1113/2561 การตรวจร่างกายได้จัดที่ห้องประชุมชิน วัตร โรงพยาบาลตำรวจ ในการตรวจเจ้าหน้าที่ได้จัดให้มีการตรวจเป็นรอบ ในแต่ละรอบมีผู้เข้ารับการตรวจ จำนวน 5 - 10 คน โดยแต่ละคนต้องถอดเสื้อผ้าออกเพื่ออยู่ในสภาพพร้อมตรวจกับแพทย์ทันทีเมื่อถึงคิว ของตนและยืนรออยู่ที่ประตูห้องตรวจ กรณีนี้จึงมีปัญหาต้องพิจารณาว่า รูปแบบและวิธีการจัดให้ผู้เข้ารับการตรวจร่างกายอยู่ในสภาพ หรือลักษณะเช่นนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายอันเป็นการละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งมีผลใช้บังคับขณะ เกิดข้อพิพาท มาตรา 4 บัญญัติว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลย่อม ได้รับความคุ้มครอง มาตรา 26 บัญญัติว่า การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์สิทธิและเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ มาตรา 29 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าการ จำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตาม บทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบกระเทือน สาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้ประกอบกับมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี….การที่คณะกรรมการใช้วิธีการตรวจร่างกายโดยการจัดชุดให้ผู้เข้ารับ การตรวจร่างกายเข้าตรวจร่างกายพร้อมกันหลายคนโดยแต่ละคนต้องถอดเสื้อออกจากตัว และถือไว้ใน ลักษณะพร้อมตรวจร่างกายเมื่อพบแพทย์ จึงเป็นวิธีการเข้าตรวจร่างกายที่ยังไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับผู้
pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เข้ารับการตรวจร่างกายที่เป็นเพศหญิง เพราะก่อให้เกิดภาพที่ไม่สมควรและอาจเป็นการล่วงละเมิดต่อสิทธิ ส่วนตัวเกินจำเป็น เมื่อวิธีการจัดการตรวจร่างกายเช่นนั้นไม่มีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการ หรือแบบ แผนการปฏิบัติราชการให้กระทำได้ประกอบกับพฤติการณ์แห่งการกระทำดังกล่าวเห็นได้ว่าขาดความ ระมัดระวัง และขาดมาตรการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนแก่ผู้เข้ารับการตรวจร่างกาย จึงรับฟังได้ว่าใน การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจร่างกายฯ มีผลกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิส่วนตัว ของผู้ฟ้องคดีเกินความจำเป็นอันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 4 มาตรา 26 และมาตรา 29 วรรค หนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดี ตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ จึงต้องรับผิด ต่อผู้ฟ้องคดีในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ข้อสังเกต เป็นการวินิจฉัยกรณีของเพศหญิงเท่านั้นและสาระสำคัญ คือ การละเมิดสิทธิตาม รัฐธรรมนูญเป็นการละเมิดตาม ป.พ.พ.มาตรา 420 แต่อย่าลืมว่าต้องมีความเสียหายเกิดขึ้นจึงจะครบ องค์ประกอบของการเป็นละเมิด สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่จะต้องได้รับการศึกษาภาคบังคับหรือเรื่องศักดิ์ศรีความ เป็นมนุษย์เมื่อมีการล่วงละเมิดสิทธิถือเป็นการทำละเมิดตาม ป.พ.พ.มาตรา 420ทั้งสิ้น *อาจารย์บอกว่าเรื่องอายุความจะไม่ออกสอบ พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551 เนื่องจาก ป.พ.พ.มาตรา 420 เป็นไปตามหลักความรับผิด เมื่อมีความผิด จึงเป็นการยากที่ผู้ซื้อ หรือผู้บริโภคจะพิสูจน์ได้ เนื่องจากในปัจจุบัน กระบวนการผลิตสินค้ามีความสลับซับซ้อน มีการใช้ความรู้ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆสูงขึ้น ทั้งเป็นการยากที่จะตรวจพบว่าสินค้าใดเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย มาตรา 5 บัญญัติว่า “ผู้ประกอบการทุกคน ต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้เสียหายในความเสียหายที่เกิด จากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย และสินค้านั้น ได้มีการขายให้แก่ผู้บริโภคแล้ว ไม่ว่าความเสียหายนั้น จะเกิดจาก การกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของผู้ประกอบการหรือไม่ก็ตาม” ใช้หลักความรับผิดโดยเคร่งครัด (Strict liability) หมายถึง การกำหนดความรับผิดในความเสียหาย ที่เกิดจากสินค้าให้แก่ผู้ประกอบการ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ประกอบการจงใจหรือประมาทเลินเล่อหรือไม่ เพียงแต่สินค้านั้นได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ผู้ประกอบการก็ต้องรับผิด แต่ก็มีข้อยกเว้นได้ใน บางประการที่ให้ผู้ประกอบการไม่ต้องรับผิด ซึ่งจะแตกต่างไปจากความรับผิดโดยเด็ดขาด ความแตกต่างระหว่างการกระทำละเมิดและความผิดทางอาญา ความผิดทางอาญาจะต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้งให้เป็นความผิด จึงจะมีความผิดและต้องรับ โทษ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและมีโทษทางอาญาคือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน ส่วนกรณีของละเมิด มีวัตถุประสงค์เพื่อเยียวยาผู้เสียหายให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมดัง ก่อนที่เขาจะเสียหายและสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมโดยให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน กรณีผู้กระทำละเมิด
pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ตาย สิทธิหน้าที่ตกแก่กองมรดก ผู้เสียหายดำเนินคดีต่อทายาทได้ แต่สิทธิในการดำเนินคดีอาญานั้น หากผู้กระทำความผิดตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับ เรื่องความยินยอมในกรณีละเมิด ความยินยอมไม่เป็นละเมิด เว้นแต่เข้า พ.ร.บ.ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ส่วนในทางอาญานั้น ความยินยอม ไม่เป็นข้อแก้ตัวให้พ้นความรับผิดหากขัดต่อความสงบเรียบร้อยในศีลธรรมอันดีของประชาชน เปรียบเทียบระหว่างละเมิดกับสัญญา ทั้งสัญญาและละเมิดเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ การผิดสัญญาและการกระทำละเมิดนั้น ก่อให้เกิดความ เสียหาย โดยความเสียหายในเรื่องละเมิดนั้น ถือว่าเป็นความเสียหายต่อสิทธิตามกฎหมาย ได้แก่ ความเสียหายต่อสิทธิในชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ อนามัย ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งเป็น สิทธิเด็ดขาด ส่วนสิทธิตามสัญญานั้นเป็นบุคคลสิทธิ คือ สิทธิที่ใช้ยันกันได้เพียงระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น ถ้าการกระทำนั้นกระทบต่อสิทธิเด็ดขาด ก็ฟ้องในมูลละเมิด แต่หากกระทบต่อบุคคลสิทธิก็ต้องฟ้องใน มูลสัญญา ความสามารถในการก่อให้เกิดความรับผิด ละเมิดไม่พิจารณาเรื่องความสามารถ (บรรลุนิติภาวะ หรือไม่ ไม่สำคัญ) แต่จะพิจารณาว่ารู้สำนึกในการกระทำหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาวางหลักไว้ว่า อายุ 10ขวบ ต้องถือว่ารู้สำนึกในการกระทำแล้ว จึงกระทำละเมิดหรือก่อหนี้ได้ แต่ 10 ขวบในทางสัญญา ถือว่า เป็นผู้เยาว์ จึงไม่สามารถทำนิติกรรมก่อหนี้ได้ และเมื่อเปรียบเทียบกับในทางอาญา อายุต่ำกว่า 7 ขวบ ไม่ต้องรับโทษ เรื่องการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ละเมิดพิจารณาจากพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด แต่เรื่องสัญญานั้น จะพิจารณาจากความเสียหายปกติหรือพฤติการณ์พิเศษที่คาดเห็นหรือควรจะคาดเห็น ตามป.พ.พ.มาตรา 222 และละเมิดนั้น เมื่อมีการผิดนัด ก็ถือว่าผิดนัดเมื่อทำละเมิดตาม ป.พ.พ.มาตรา 206 แต่ในเรื่องของสัญญานั้น หากเป็นการกำหนดเวลาให้ชำระหนี้ไว้แน่นอน ก็ถือว่าผิดนัดนับแต่วันที่ ถึงกำหนดแล้วไม่ชำระ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 204 โครงสร้างตามกฎหมายลักษณะละเมิด แบ่งเป็น 3 กลุ่ม 1.ความรับผิดเพื่อละเมิดโดยแท้ 2.ความรับผิดเพื่อละเมิดที่เกิดจากการกระทำของผู้อื่น 3.ความรับผิดเพื่อละเมิด อันความเสียหายที่เกิดจากสัตว์และสิ่งของ (อาจารย์บอกว่าเรื่องเกี่ยวกับ สัตว์ไม่ออกข้อสอบนานแล้ว) 4.กฎหมายเฉพาะเรื่อง ความรับผิดต่อสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ในการทำข้อสอบเกี่ยวกับละเมิด ต้องดูว่าใครเป็นผู้เสียหายในการทำละเมิดเสมอ สำหรับวันนี้สวัสดีครับ ***จบการบรรยาย*** สรุปโดย a08 ตรวจทานความถูกต้องโดยแอดมิน
1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิต สมัยที่ 1/76 วิชา ละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ บรรยายวันที่ 12 มิถุนายน 2566 (ครั้งที่ 3) (สัปดาห์ที่ 4) สวัสดีนักศึกษาทุกท่านนะครับ วันนี้เราจะเข้าเนื้อหาสำคัญ นั่นก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 กันนะครับ มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดีแก่ร่างกายก็ดีอนามัยก็ดีเสรีภาพก็ดีทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดีท่านว่าผู้นั้น ทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” เมื่อกล่าวมาถึงส่วนนี้อาจารย์อยากให้นักศึกษาจำองค์ประกอบของการทำละเมิดให้ดีว่า 1.ต้องมีผู้ทำละเมิดโดยจงใจหรือประมาท อันเป็นไปตามหลักความผิด 2.ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น 3.ความเสียหายนั้น เป็นผลเกิดจากการกระทำของผู้กระทำ กล่าวคือ มีความสัมพันธ์ระหว่างการ กระทำและผลของการกระทำ คำว่า “ผู้ใด” นั้น ต้องเป็นบุคคล ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ฎีกาที่ 893/2521 โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลว่าทำละเมิดต่อโจทก์ให้รับผิดชดใช้ ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้ ดังนั้น หากเป็นกรณีที่สัตว์ก่อให้เกิดความเสียหาย นักศึกษาอย่าตอบว่าสัตว์คือผู้ทำละเมิด ต้องตอบว่าสัตว์ก่อให้เกิดความเสียหาย โดยผู้ต้องรับผิดก็จะเป็นผู้ควบคุมดูแลสัตว์หรือสิ่งของดังกล่าว ดังนั้น จึงถือว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ทำละเมิด ฎีกาที่ 1083/2533 แม้ไม่ได้ความว่าผู้ทำละเมิดเป็นใคร แต่เมื่อฟังได้ว่าผู้ทำละเมิดเป็นพนักงาน หรือคนงานของจำเลยที่ 1 ได้ทำละเมิดในขณะปฏิบัติการงานของจำเลยที่ 1 ตามหน้าที่ที่รับมอบหมาย พนักงานหรือคนงานดังกล่าวถือได้ว่าเป็นผู้แทนอื่น ๆ ของจำเลยที่ 1เมื่อก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 76 ม้พนักงาน หรือคนงานผู้ทำละเมิดเป็นผู้อยู่ในบังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 กับพนักงาน หรือคนงานดังกล่าวต่างก็เป็นพนักงานหรือคนงานของจำเลยที่ 1 และต่างปฏิบัติหน้าที่ให้จำเลยที่ 1 ด้วยกัน จึงอยู่ในฐานะนายงานกับคนงานเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีส่วนผิดในการออกคำสั่ง เกี่ยวกับการปฏิบัติงานจนเกิดความเสียหายขึ้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย ฎีกาที่ 2512/2529 นิติบุคคลจะรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเฉพาะในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของ นิติบุคคลได้กระทำให้เกิดความเสียหายหรือทำละเมิดขณะทำการตามหน้าที่และอยู่ภายในขอบวัตถุที่ ประสงค์ของนิติบุคคลเท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 76
2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เดี๋ยวเรามาดูกรณีที่คณะบุคคลยื่น ฟ้องประเทศสหรัฐอเมริกาว่าเป็นต้นเหตุแพร่ โควิด 19 ทำให้โจทก์เสียหายต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งต่อมาศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษายกฟ้อง เพราะจำเลยมีสิทธิในความคุ้มกันของรัฐตามจารีตประเพณีระหว่างประเทศและไม่ได้สละสิทธิดังกล่าว จึงไม่อาจรับฟ้องได้ รอยเตอร์- ฟ้องข้ามโลก มิสซูรีในวันอังคาร (๒๑ เม.ย.) กลายเป็นรัฐแรกของสหรัฐฯ ที่ยื่นฟ้อง รัฐบาลจีนต่อการบริหารจัดการไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด ๑๙) ระบุแนวทางตอบสนองของจีนต่อโรค ระบาดใหญ่ที่อุบัติขึ้นในเมืองอู่ฮั่น ก่อความเสียหายเลวร้ายแก่เศรษฐกิจของรัฐ การฟ้องร้องในคดีแพ่งที่ยื่นต่อศาลรัฐบาลกลาง โดยเอริก ชมิตต์อัยการสูงสุดรัฐมิสซูรีกล่าวหาจีน ฐานประมาทเลินเล่อ รัฐมิสซูรีและพลเมืองภายในรัฐได้รับความทุกข์ทรมานจากความเสียหายทางเศรษฐกิจ หลายหมื่นล้านดอลลาร์รัฐบาลจีนโกหกชาวโลกเกี่ยวกับอันตรายและลักษณะการแพร่เชื้อของโควิด -๑๙ ปิดปากผู้เปิดโปงและแทบไม่ทำอะไรเลยเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของโรค รัฐบาลจีนทำให้สถานการณ์โรค ระบาดใหญ่เลวร้ายลงไปอีกด้วยการกักตุนหน้ากากอนามัยและชุดอุปกรณ์ป้องกัน (PPE) กรณี “การกระทำ”ตามกฎหมายละเมิดนั้น หมายถึง การเคลื่อนไหวโดยรู้สำนึก หากเป็นการ เคลื่อนไหวโดยไม่รู้สำนึก ก็ไม่เป็นการกระทำ เช่น เด็กทารก การหาว การละเมอ อาการสะดุ้งผวา โดยสัญชาตญาณเพราะตกใจไร้สติหรืออาการลมบ้าหมูและหมายความรวมถึงการงดเว้นการกระทำด้วย แต่ต้องเป็นการงดเว้นไม่กระทำการเมื่อมีหน้าที่ที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วยนะครับ ฎีกาที่ 388/2506 ระเบียบของกระทรวงมหาดไทยที่ให้นายกเทศมนตรีปลัดเทศบาล สมุห์บัญชี ต้องร่วมรับผิดชดใช้เงินคืนให้แก่เทศบาลในกรณีมีการทุจริตอันเกี่ยวกับการรักษาเงินขึ้นนั้น ไม่ใช่กฎหมาย จะยกเอาระเบียบดังกล่าวนี้ขึ้นวินิจฉัยว่า บุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้รับผิดชดใช้เงินแทนในทันทีขณะทราบ ว่ามีการทุจริตขึ้น โดยมิต้องสอบสวนว่าบุคคลดังกล่าวจะต้องรับผิดจริงหรือไม่เสียก่อนหาได้ไม่ ส่วนคำว่า “หน้าที่” นั้น อาจเกิดจากหน้าที่ตามกฎหมาย หน้าที่ที่เกิดจากสัญญา หน้าที่ที่เกิด จากการกระทำครั้งก่อนๆของตนเอง หรือหน้าที่ที่เกิดจากความสัมพันธ์พิเศษ หรือในส่วนของการ “งดเว้น” การกระทำ ก็ต้องเป็นกรณีที่ผู้ที่งดเว้นนั้น มีหน้าที่ป้องกันมิให้ผลนั้นเกิดด้วย อาจารย์ได้กล่าวไปแล้วว่าการกระทำนั้น หมายความรวมถึง การงดเว้นในกรณีที่มีหน้าที่จะต้องกระทำ เพื่อป้องกันผลด้วย แต่ต้องเป็นการงดเว้นไม่ทำการเมื่อมีหน้าที่ต้องทำเพื่อป้องกันผล หน้าที่เกิดจากกฎหมายบัญญัติเช่น กรณีอาคารชุด ฎีกาที่ ๔๔๙๓/๒๕๔๓ พระราชบัญญัติอาคารชุดฯ ต้องการให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องชุดอันเป็นทรัพย์สิน ส่วนบุคคลสามารถใช้สิทธิในห้องชุดได้ตามสิทธิของตน แต่ทรัพย์ส่วนกลางถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างเจ้าของ ห้องชุดซึ่งมีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน ทั้งกฎหมายและข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดล้วนกำหนดให้ เป็นหน้าที่ของนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยที่ ๑ ต้องดูแลรักษาทรัพย์สินส่วนกลางของอาคารชุด เมื่อสาเหตุที่น้ำ ท่วมห้องชุดของโจทก์เพราะน้ำฝนเอ่อล้นจากท่อรับน้ำภายในอาคารชุดเนื่องจากท่อรวมรับน้ำอุดตัน ซึ่งจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ดูแลให้ท่อระบายน้ำดังกล่าวระบายน้ำได้ตลอดเวลา แม้โจทก์มิได้นำสืบว่าเหตุใดท่อน้ำจึงอุดตันและจำเลย ที่ ๑ ได้กระทำอย่างไรกับสิ่งอุดตันนั้นหรือบริเวณที่อุดตันนั้นไม่อาจตรวจพบได้โดยง่าย ก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำ ละเมิดของจำเลยที่ ๑ แล้ว เพราะจำเลยที่ ๑ ได้เก็บเงินค่าดูแลรักษาทรัพย์สินส่วนกลาง แล้วว่าจ้างบริษัทเอกชนที่
3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มีอาชีพในการบริหารอาคารชุดมาทำหน้าที่แทน เมื่อบริษัทดังกล่าวละเว้นหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อปล่อยให้ท่อ ระบายน้ำอุดตันจนน้ำท่วมห้องชุดของโจทก์เช่นนี้ย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาที่ ๓๒๒๐/๒๕๕๓ การกระทำอันเป็นละเมิดนั้นต้องเป็นการประทุษกรรมต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย หรือละเว้นไม่กระทำในสิ่งที่กฎหมายบัญญัติให้กระทำ หรือที่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องกระทำโดยจงใจหรือ ประมาทเลินเล่อ การละเว้นไม่กระทำในสิ่งที่กฎหมายไม่ได้บัญญัติให้กระทำหรือตนไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่ ต้องกระทำนั้นหาเป็นละเมิดไม่ เมื่อนิติบุคคลอาคารชุดมีหน้าที่จัดการและดูแลเฉพาะทรัพย์ส่วนกลางซึ่งหมายถึง ส่วนของอาคารชุดที่มิใช่ห้องชุด ที่ดินที่ตั้งอาคารชุดและที่ดินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อใช้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน สำหรับเจ้าของร่วมตาม พ.ร.บ.อาคารชุดฯ มาตรา ๔ วรรคสามเท่านั้น นิติบุคคลอาคารชุดจึงไม่มีหน้าที่ดูแลรักษา ห้องชุดซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลตามมาตรา ๔ วรรคสองแต่อย่างใด ดังนั้นการที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของ นิติบุคคลอาคารชุดจำเลยที่ ๑ มิได้ใช้ความระมัดระวังดูแลตรวจตราอาคารชุดโดยใกล้ชิดและมีคนร้ายเข้าไปลัก ทรัพย์ในห้องชุดของโจทก์จึงถือไม่ได้ว่าการลักทรัพย์เกิดจากการที่จำเลยที่ ๑ งดเว้นหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดฐานละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๐ กรณีโรงพยาบาล ฎีกาที่ ๑๑๓๓๒/๒๕๕๕ จำเลยเป็นผู้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล บุตรของโจทก์ได้รับ บาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ที่นั่งซ้อนท้ายชนแผงเหล็กกั้นทางโค้งปากทางเข้าหมู่บ้านเมืองเอก และผู้ขับขี่ ถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุ บุตรของโจทก์มีอาการเจ็บปวด มีภาวะการบอบช้ำของสมองและโลหิตออกในสมอง จะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที แม้ไม่ปรากฏบาดแผลร้ายแรงที่มองเห็นจากภายนอก แต่พยาบาลเวรซึ่งเป็น ลูกจ้างของจำเลยกลับให้ผู้ช่วยพยาบาลตรวจค้นหลักฐานในตัวบุตรของโจทก์ว่ามีบัตรประกันสังคม บัตรประกัน สุขภาพ ๓๐ บาท หรือบัตรประกันชีวิตหรือไม่ เมื่อไม่พบหลักฐานใด จึงสอบถามเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิที่เป็น ผู้นำส่งว่าใครจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย เมื่อไม่มีคำตอบ จึงปฏิเสธที่จะรับบุตรของโจทก์ไว้รักษา โดยแนะนำให้ไป รักษายังโรงพยาบาลของรัฐ การที่พยาบาลเวรลูกจ้างของจำเลยปฏิเสธไม่รับบุตรของโจทก์เข้ารับการรักษาดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นผลโดยตรงที่ทำให้บุตรของโจทก์ถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นนายจ้าง เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ประกอบ กิจการสถานพยาบาล มีหน้าที่ต้องควบคุมและดูแลให้มีการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วย ซึ่งอยู่ในสภาพอันตราย และจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ป่วยพ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพตาม พ.ร.บ. สถานพยาบาล พ.ศ.๒๕๔๑ มาตรา ๓๖ แต่กลับไม่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของลูกจ้างดังกล่าว จึงเป็นการ ละเมิดต่อโจทก์ หน้าที่เกิดจากสัญญา ในกรณีที่มีสัญญาแล้ว แต่กลับไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาจนก่อให้เกิดความ เสียหายจะถือว่าเป็นละเมิดหรือไม่ เช่น กรณีธนาคารไม่ตรวจสอบไม่ตรวจสอบลายมือชื่อของเจ้าของบัญชีให้ ถูกต้องตรงกับที่ได้ให้ลายมือชื่อตัวอย่างเอาไว้กับธนาคาร เท่ากับเป็นการขาดความระมัดระวังที่สมควรจะต้องใช้ ดังนั้นจึงเป็นการทำละเมิด ฎีกาที่ ๕๓๙๖/๒๕๖๑ ก. กรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์เก็บรักษาสมุดเช็คไว้ในตู้เซฟภายในห้องทำงาน บางครั้งจะให้ ศ. พนักงานการเงินและบัญชีกรอกรายละเอียดในเช็คที่จะสั่งจ่าย ส. ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์ลักเช็ค พิพาททั้งสิบเจ็ดฉบับไปกรอกข้อความและปลอมลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย หาก ก. ตรวจสอบก็จะทราบว่าลายมือที่ต้นขั้ว เช็คเป็นของ ส. ไม่ใช่ลายมือของ ศ. โจทก์จึงมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วย จำเลยประกอบธุรกิจธนาคาร พาณิชย์ การจ่ายเงินตามเช็คเป็นงานที่เกิดขึ้นเป็นประจำ พนักงานจำเลยย่อมมีความชำนาญในการตรวจสอบ
4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ลายมือชื่อในเช็คกับตัวอย่างลายมือชื่อที่จำเลยมีอยู่ว่าเป็นลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายจริงหรือไม่ เมื่อลายมือชื่อผู้สั่ง จ่ายปลอมในเช็คแตกต่างกับลายมือชื่อที่โจทก์ให้ไว้แก่จำเลย การที่พนักงานของจำเลยจ่ายเงินตามเช็คถึงสิบเจ็ด ฉบับจึงเป็นการขาดความระมัดระวังเท่าที่สมควรจะต้องใช้ในกิจการเช่นจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ มีคำขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนรายการลงบัญชีเงินฝากของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเช็คทั้งสิบเจ็ดฉบับ รวมเป็น เงิน ๑,๗๐๗,๙๗๕.๐๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย เท่ากับเป็นการขอให้บังคับจำเลยคืนเงินตามเช็ค รวมจำนวน ๑,๗๐๗,๙๗๕.๐๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ เมื่อโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วย การกำหนดค่าเสียหาย ให้แก่โจทก์มากน้อยเพียงใด ต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง, ๔๓๘ และ ๔๔๒ ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ จึงมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน จำนวน ๘๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง ฎีกาที่ ๔๑๖๑/๒๕๓๒ มีผู้ลักเช็คของโจทก์ไปปลอมลายมือชื่อโจทก์สั่งจ่ายเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แล้วนำไป เบิกเงินจากธนาคารจำเลยที่ ๓ ซึ่งโจทก์มีบัญชีกระแสรายวันอยู่ จำเลยที่ ๑ ผู้ช่วยสมุห์บัญชีและจำเลยที่ ๒ ผู้จัดการธนาคารจำเลยที่ ๓ มีหน้าที่ตรวจลายมือชื่อลูกค้าอยู่เป็นประจำย่อมมีความชำนาญในการตรวจพิสูจน์ ลายมือชื่อของลูกค้ามากกว่าคนธรรมดา ถ้าใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่โดยละเอียดรอบคอบจะต้อง ทราบว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายในเช็คเป็นลายมือชื่อปลอม แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังจึงไม่ทราบ และอนุมัติให้จ่ายเงินจากบัญชีของโจทก์ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงทำให้เกิดความ เสียหายแก่โจทก์เป็นทั้งละเมิดและผิดสัญญาฝากทรัพย์ซึ่งจำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ แม้จะมีข้อตกลง ยกเว้นความรับผิดของจำเลยไว้ตามหนังสือขอเปิดบัญชีกระแสรายวันก็ตาม จำเลยก็จะอ้างมาปฏิเสธความรับผิด ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๓ หนี้ละเมิดอันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย มากน้อยเพียงใด ต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญคือความเสียหายเกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่ง หย่อนกว่ากันเพียงไร แม้จำเลยจะมิได้ให้การว่าโจทก์จะต้องร่วมรับผิดด้วยก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์และ จำเลยต่างประมาทเลินเล่อด้วยกัน ศาลกำหนดให้จำเลยรับผิดเพียงกึ่งหนึ่งของค่าเสียหายทั้งหมดได้ ฎีกาที่ ๑๑๐๒๙/๒๕๕๓ จำเลยที่ ๑ ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์โดยเพิ่มเติมจำนวนตัวเลขและตัวหนังสือใน เช็คเงินสดที่เรือนจำกลางชลบุรีสั่งจ่ายในนามของจำเลยที่ ๑ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ นำไปเบิกถอนเงินมาจ่ายให้แก่ เจ้าหน้าที่ แต่จำเลยที่ ๑ ใช้เช็คขอเบิกเงินสดถึง ๑๕,๕๕๘,๔๐๖ บาท เป็นการใช้เช็คเบิกเงินสดที่มากผิดปกติ เช่นนี้ โดยหน้าที่ตามสัญญารับฝากเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๙ วรรคสาม และตามระเบียบภายในของธนาคาร จำเลยที่ ๒ พนักงานผู้ทำหน้าที่ตรวจรับเช็คและอนุมัติจ่ายเงินควรที่จะต้องเพิ่มความระมัดระวังและพิจารณาด้วย ความรอบคอบ และควรที่จะสงสัยถึงขนาดที่ควรจะสอบถามเรือนจำกลางชลบุรี ผู้สั่งจ่ายว่าได้ออกเช็คจ่ายเงิน จำนวนมากดังกล่าวให้จำเลยที่ ๑ มาเบิกเงินสดไปจริงหรือไม่ การที่พนักงานของจำเลยที่ ๒ ไม่ได้สอบถามผู้สั่งจ่าย และยอมจ่ายเงินตามที่ระบุในเช็คดังกล่าวไป ถือได้ว่าเป็นการละเว้นไม่กระทำการที่จะต้องกระทำเป็นการผิด สัญญารับฝากเงินและเป็นละเมิดด้วย กรณีของทนายความ ฎีกาที่ ๓๙๕๘/๒๕๖๑ การที่โจทก์มอบหมายให้จำเลยที่ ๑ ฟ้องคดีล้มละลาย บ. แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ ดำเนินการ กลับรายงานเท็จต่อโจทก์ ทำให้โจทก์หลงเชื่อว่ามีการฟ้องคดีล้มละลาย บ. แล้ว เป็นการกระทำผิด สัญญาจ้างและละเมิดต่อโจทก์ หากจำเลยที่ ๑ ดำเนินการฟ้อง บ. ภายในอายุความ แม้ปรากฏว่า บ. ไม่มีทรัพย์สิน ใดให้บังคับคดีในคดีแพ่งก็ตาม แต่ในคดีล้มละลายมีกระบวนการพิจารณาแตกต่างไปจากการบังคับคดีแพ่งทั่วไป
5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เพราะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจหน้าที่ในการที่จะไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผยให้ลูกหนี้แสดงรายการหรือ รายละเอียดของทรัพย์สินที่มีอยู่รวมทั้งสิทธิต่าง ๆ ในการที่จะได้มาซึ่งเงินและทรัพย์สินจากบุคคลภายนอก รวมทั้ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สามารถใช้สิทธิในการตรวจสอบสินทรัพย์ของ บ. ได้ จึงอาจทำให้โจทก์มีโอกาสที่จะได้รับ ชำระหนี้ การที่จำเลยที่ ๑ ไม่ฟ้องคดีล้มละลาย บ. จึงเป็นผลโดยตรงที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย หน้าที่ที่เกิดจากการกระทำครั้งก่อน ๆ ของตน เช่น กรณีของห้างสรรพสินค้า ฎีกาที่ ๗๔๓/๒๕๖๑ การจัดให้มีลานจอดรถสำหรับเป็นที่จอดรถของลูกค้าหรือผู้มาใช้บริการ ห้างสรรพสินค้าของจำเลยเป็นปัจจัยหนึ่งเพื่อจูงใจให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการจึงเป็นการให้บริการอย่างหนึ่ง ของจำเลยแก่ลูกค้า จำเลยย่อมต้องมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของลูกค้า ซึ่งรวมถึง รถยนต์ของลูกค้าที่นำมาจอดบริเวณลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าจำเลยด้วย แม้จำเลยยินยอมให้บุคคลทั่วไปนำ รถยนต์มาจอดที่ลานจอดรถก็ไม่ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากหน้าที่ที่จะต้องให้การดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ ทรัพย์สินของลูกค้า จำเลยจึงมีหน้าที่ที่ต้องดูแลรถกระบะที่ลูกค้าของจำเลยนำมาจอดในลานจอดรถของ ห้างสรรพสินค้าจำเลย ห้างสรรพสินค้าจำเลยใช้มาตรการในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่รถยนต์ของลูกค้า โดยมีพนักงานคอยตรวจสอบดูแลรถยนต์ในขณะที่เข้าหรือออกจากลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าจำเลย หากไม่มี บัตรที่มอบให้ในขณะที่นำรถยนต์เข้ามาจอดก็ไม่สามารถนำรถยนต์ออกไปจากลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า จำเลยได้ อันเป็นมาตรการในการตรวจสอบที่ค่อนข้างจะรัดกุมแต่จำเลยกลับยกเลิกไปและนำกล้องวงจรปิดมา ติดตั้งไว้บริเวณทางเข้าออกลานจอดรถแทนและติดป้ายเตือนไว้ที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าจำเลยว่า ลูกค้า ต้องดูแลทรัพย์สินของตนเองเท่ากับจำเลยงดเว้นหน้าที่ที่จะต้องดูแลรถยนต์ของลูกค้าโดยลูกค้าต้องเสี่ยงภัยเอง ทั้งการติดตั้งกล้องวงจรปิดเป็นเพียงอุปกรณ์บันทึกภาพรถยนต์เข้าออกไม่สามารถป้องกันการโจรกรรมได้ นับว่า เป็นมาตรการที่ไม่เพียงพอที่จะดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่รถยนต์ของลูกค้า การที่รถกระบะที่ อ. ขับมาจอดที่ ลานจอดรถของจำเลยสูญหายไปจึงเกิดจากการงดเว้นในการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลย จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการที่รถหายไป ฎีกาที่ 7471/2556 จำเลยเป็นห้างสรรพสินค้าขายปลีกและขายส่งสินค้าอุปโภคและบริโภค ย่อมต้องให้ ความสำคัญด้านบริการต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการเกี่ยวกับสถานที่จอดรถซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญในการ ตัดสินใจของลูกค้าที่จะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการอื่น ๆ หรือไม่ แม้ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 8 (9), 34 บัญญัติให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของอาคารต้องจัดให้มีพื้นที่จอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การจราจร แต่ จำเลยยังต้องคำนึงและมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของลูกค้าทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน มิใช่ปล่อยให้ลูกค้าระมัดระวัง หรือเสี่ยงภัยเอาเอง การที่จำเลยเคยจัดให้มีการแจกบัตรสำหรับรถของลูกค้าที่เข้ามาในห้างซึ่งเป็นวิธีการที่ ค่อนข้างรัดกุม เพราะหากไม่มีบัตรผ่าน กรณีจะนำรถยนต์ออกไปจะต้องถูกตรวจสอบโดยพนักงานของจำเลย แต่ ขณะเกิดเหตุกลับยกเลิกวิธีการดังกล่าวเสียโดยใช้กล้องวรจรปิดแทน เป็นเหตุให้คนร้ายสามารถเข้าออกลานจอด รถห้างฯ ของจำเลยและโจรกรรมรถได้โดยง่ายยิ่งขึ้น แม้จำเลยจะปิดประกาศว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหาย หรือเสียหายใด ๆ รวมทั้งการที่ลูกค้าก็ทราบถึงการยกเลิกการแจกบัตรจอดรถ แต่ยังนำรถเข้ามาจอดก็ตาม ก็เป็น เรื่องข้อกำหนดของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวไม่มีผลเป็นการยกเว้นความรับผิดในการทำละเมิดของจำเลย แต่มีกรณีที่เป็นเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องของตลาดไท ในกรณีของตลาดไทซึ่งเป็นตลาดที่ ใหญ่มาก เปิดพื้นที่ให้เกษตรกรเข้ามาเช่าพื้นที่จำหน่ายสินค้าด้วยตนเอง โดยตลาดไทมีเจ้าหน้าที่อำนวยความ
6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สะดวกทางการจราจร แต่ไม่รับฝากรถ คนที่มาตลาดจะไปจอดรถที่ไหนก็ได้เจ้าหน้าที่จะจัดที่จอดให้ดังนี้ เมื่อรถของลูกค้าที่ไปจอดในตลาดสูญหาย ตลาดไทต้องรับผิดชอบหรือไม่ ฎีกาที่ 5508/2560ได้ความว่าตลาดไทมีพื้นที่ประมาณ 500 ไร่ มีการแบ่งตลาดย่อยๆตามประเภท สินค้าหลายตลาดและมีลานซื้อขายสินค้า อาคารพาณิชย์และที่จอดรถหลายจุด ทั้งลักษณะกิจการของตลาดไทเป็น ศูนย์กลางซื้อขายสินค้าเกษตรขนาดใหญ่ เปิดบริการ 24 ชั่วโมง ทำให้มีรถยนต์เข้าออกเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ปรากฏว่าการเข้าออกตลาดไทซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่นั้น รถยนต์ของผู้ที่มาใช้บริการสามารถเข้าออกตลาดย่อยต่างๆ และลานจอดรถได้ตามความสะดวก ไม่ต้องขออนุญาตหรือแลกบัตรในการผ่านเข้าออก เว้นแต่รถยนต์ที่นำ สินค้าเข้ามาจำหน่ายต้องเสียค่าธรรมเนียมที่ป้อมยาม ส่วนรถยนต์อื่นๆไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าจอดรถ และไม่ได้มีบริการรับฝากรถ ผู้ที่มาใช้บริการสามารถเลือกที่จอดรถในบริเวณที่จำเลยที่ 1 จัดไว้เป็นพื้นที่จอดรถได้ ตามอิสระ ไม่ได้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยดูแลเป็นการเฉพาะในการนำรถยนต์เข้าหรือออกจากลานจอด รถ ผู้ที่มาใช้บริการจะขับรถยนต์ออกไปก็สามารถกระทำได้ทันที ไม่มีการตรวจสอบของพนักงานรักษาความ ปลอดภัย ทั้งรถยนต์ที่เข้าออกส่วนใหญ่บรรทุกหรือขนส่งสินค้าเกษตรนำมาเสนอขายเพื่อให้ผู้ซื้อรับซื้อสินค้าไปใน ลักษณะการขายส่งเป็นหลัก การขับรถยนต์เข้ามาในตลาดไทเพื่อนำสินค้ามาขายหรือเพื่อมาซื้อสินค้ามุ่งในการซื้อ ขายกระจายสินค้าโดยมีรถยนต์เป็นพาหนะขนส่งซึ่งแตกต่างจากการที่บุคคลไปใช้บริการห้างสรรพสินค้าหรือ ศูนย์การค้า โดยนำรถยนต์ไปจอดในลานจอดรถแล้วเข้าไปซื้อสินค้าหรือบริการในฐานะลูกค้าของของกิจการนั้น ส่วนสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยกำหนดให้จำเลยที่ 2 ดูแลรักษาทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 และบริวาร ผู้ ค้าขาย ผู้ซื้อ ผู้มาติดต่อ หรือใช้บริการภายในตลาดไท เป็นเพียงการกำหนดขอบเขตการดำเนินงานทั่วไปของ จำเลยที่ 2 โดยในสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยระบุเพียงว่า ตระเวนและตรวจตราดูแล จัดระบบและ ควบคุมดูแลจัดระเบียบการจราจรภายในบริเวณโครงการตลาดไท โดยไม่มีหน้าที่โดยเฉพาะว่าพนักงานรักษาความ ปลอดภัยต้องทำการดูแลรักษาความปลอดภัยรถยนต์ของลูกค้าทั่วไปที่มาใช้บริการ หรือต้องปฏิบัติหน้าที่ประจำ ลานจอดรถ พนักงานรักษาความปลอดภัยเพียงแต่มีหน้าที่ตรวจตราดูแลเพื่อจัดระเบียบการจราจรเท่านั้น จำเลย ทั้งสองจึงไม่มีหน้าที่ตามสัญญาหรือตามความสัมพันธ์ที่เคยปฏิบัติในการดูแลรักษาความปลอดภัยแก่รถยนต์ของ ผู้ใช้บริการที่นำมาจอดในลานจอดรถของตลาดไท จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดในการที่รถยนต์ที่โจทก์รับ ประกันภัยไว้สูญหายในลานจอดรถ หน้าที่ที่เกิดจากความสัมพันธ์พิเศษ เช่น กรณีที่ตำรวจต้องปฏิบัติการเข้าเวรที่สถานีตำรวจหรือที่ห้อง ขัง แล้วไม่มาอยู่เวรตามกำหนด เป็นเหตุให้ผู้ต้องหาที่ถูกขังนั้นทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน จนกระทั่งได้รับ บาดเจ็บล้มตาย กรณีนี้ตำรวจที่ไม่ได้มาปฏิบัติหน้าที่อยู่เวรนั้นจะต้องรับผิดฐานละเมิดหรือไม่ ฎีกาที่ ๑๔๔๒๗/๒๕๕๕ การที่ดาบตำรวจ ว. ซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดจำเลยที่ ๓ มีหน้าที่เฉพาะเจาะจง เป็นเวรดูแลผู้ต้องหาในห้องควบคุมของสถานีตำรวจให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยและเพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาหลบหนี แต่ ดาบตำรวจ ว. ขาดความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่เวรยามจนเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ทำร้าย ส. จนถึง แก่ความตาย ซึ่งเป็นการงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่จำต้องกระทำเพื่อป้องกันผลจากเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น ถือได้ว่า ดาบตำรวจ ว. ประมาทเลินเล่อ จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดของดาบตำรวจ ว. จึงต้องรับผิดต่อ โจทก์ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ มาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แต่ดาบตำรวจ ว. ไม่ต้อง ร่วมกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดแก่โจทก์ คงรับผิดเป็นการเฉพาะตัวของดาบ ตำรวจ ว. ที่ประมาทเลินเล่อไม่ตรวจห้องควบคุมผู้ต้องหาเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันทำร้าย ส. ถึงแก่
7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ความตาย ซึ่งพิเคราะห์พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว สมควรให้ดาบตำรวจ ว. รับผิดเพียง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นส่วนที่จำเลยที่ ๓ ต้องชดใช้แก่โจทก์ ฎีกาที่ ๑๙๙๖/๒๕๒๓ การที่ข้าราชการละเว้นไม่ปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติราชการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ และคำสั่งของทางราชการนั้น อาจทำให้ข้าราชการต้องรับผิดในทางวินัยก็จริง แต่จะถือเป็นหลักแน่นอนตายตัว ว่า เมื่อข้าราชการผู้ใดกระทำผิดวินัยแล้วต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในทางละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา ๔๒๐ เสมอไปหาได้ไม่ การที่จะให้จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในทางละเมิดต่อ โจทก์นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้เห็นว่าการที่จำเลยกระทำผิดวินัยนั้นเป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลย รับราชการเป็นครู อาจารย์ใหญ่ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งจำเลยเป็นครูเวรรักษาการณ์ตามมติคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่ ควบคุมคนยามมิให้ละทิ้งหน้าที่แต่ต้องมาอยู่เวรที่โรงเรียนและนอนในห้องที่โรงเรียนจัดไว้ คืนเกิดเหตุจำเลยไม่ ได้มาอยู่เวร คงมีแต่ภารโรงทำหน้าที่เป็นคนยาม ระหว่างอยู่ยามรักษาการณ์คนยามได้หลับยาม คนร้ายจึงได้งัดเข้า ไปลักทรัพย์ในโรงงานที่ ๔ และที่ ๖ ของโรงเรียนที่อยู่ห่างจากห้องที่ครูเวรนอนออกไปถึง ๕๐ เมตร และ ๒๕๐ เมตร ตามลำดับ ซึ่งไม่อยู่ในวิสัยที่ผู้อยู่เวรจะล่วงรู้ได้ ถึงหากจำเลยจะมาอยู่เวรก็ไม่อาจป้องกันไม่ให้เกิดการลัก ทรัพย์ดังกล่าวขึ้นได้ เพราะไม่มีหน้าที่เป็นคนยามคอยตรวจตราเฝ้าขโมย การที่โรงเรียนถูกลักทรัพย์ จึงไม่ใช่ผล โดยตรงจากการที่จำเลยไม่มาอยู่เวร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายฐานละเมิด กรณีที่ตำรวจมีหน้าที่อยู่เวรยาม แต่ไม่ไปอยู่เวรยามตามหน้าที่และเกิดมีคนร้ายเข้ามาลักทรัพย์ที่ สถานีตำรวจไป และมีการฟ้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นรับผิดชอบ ซึ่งตามระเบียบของตำรวจกำหนดว่า ตำรวจมีหน้าที่ในการอยู่เวรยามและกำหนดว่าหากตำรวจคนใดมีภาระกิจหน้าที่ไม่สามารถมาอยู่เวรยามได้ ต้องแจ้งให้หัวหน้าที่รับผิดชอบทราบ เพื่อให้หัวหน้าจัดนายตำรวจคนอื่นมาอยู่เวรยามแทน ระเบียบจึงยัง เปิดโอกาสยกเว้นให้ไม่ต้องอยู่เวรยามได้แต่ต้องแจ้งก่อน เรื่องนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ผู้บังคับชาของตำรวจที่มีหน้าที่อยู่เวรยามนี้ จะใช้ให้ไปทำหน้าที่อื่น แต่ ตำรวจผู้ที่ต้องอยู่เวรยามยังมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบคือแจ้งให้หัวหน้าตำรวจที่รับผิดชอบในวัน นั้นทราบว่าตนไม่สามารถอยู่เวรได้ เพื่อให้มีการจัดตำรวจคนอื่นมาอยู่เวรยามแทน ดังนั้นการที่จำเลยละเลย ต่อหน้าที่โดยไม่บอกให้หัวหน้าทราบ จึงถือว่าความเสียหายเป็นเหตุโดยตรงจากการไม่อยู่เวรในวันนั้น อัน เป็นการงดเว้นหน้าที่ตามระเบียบที่ตนเองต้องปฏิบัติ ฎีกาที่ ๔๐๐/๒๕๓๔ วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มีหน้าที่อยู่เวรยาม แต่ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัด นครพนมสั่งให้จำเลยที่ 1 ไปราชการที่กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 จึงไปราชการโดยไม่แจ้งให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหัวหน้าเวรทราบตามระเบียบซึ่งกำหนดว่า ผู้ใดไม่สามารถอยู่เวรวันใดได้ให้แจ้งหัวหน้าทราบ จึงไม่มี การจัดเวรยามอยู่รักษาการณ์ เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์ถูกคนร้ายลักไป การที่จำเลยที่ 1 ละเลยต่อ หน้าที่ที่ต้องมีตามที่กำหนดไว้โดยไม่บอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 จัดเวรยามแทนในเมื่อตนจะต้องไปราชการตาม คำสั่งของผู้บังคับบัญชาไม่อาจมาอยู่เวรยามตามกำหนด จึงเป็นเหตุโดยตรงต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นของ โจทก์ ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์ด้วย *มีปัญหาว่า ในกรณีที่มีการยึดของกลางไว้ เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานสอบสวนที่ยึดหรืออายัด ทรัพย์สินของกลางไว้เพื่อประโยชน์ในการสอบสวนมีหน้าที่เพียงใดในการดูแลทรัพย์สินของกลาง เช่น การที่ ตำรวจนำรถไปจอดและล็อคไว้โดยไม่มียามคอยตรวจตราดูแลอยู่สม่ำเสมอเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้
8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง คนร้ายลักข้าวสารหรือรถได้โดยง่าย จึงไม่ใช่การใช้ความระมัดระวังในการดูแลรถบรรทุกและข้าวสาร ดังเช่นวิญญูชนพึงรักษาทรัพย์สินของตนเอง เป็นเหตุให้รถบรรทุกและข้าวสารสูญหาย จึงเป็นความประมาท เลินเล่อของตำรวจ ฎีกาที่ ๗๙๗๕/๒๕๔๙ รถบรรทุกและข้าวสารบนรถบรรทุกของโจทก์ถูกยึดไว้เป็นของกลางในการ ดำเนินคดีอาญาโดยจำเลยที่ 3 เป็นพนักงานสอบสวน มีหน้าที่ดูแลรักษารถบรรทุกและข้าวสารของกลางไว้ ระหว่างสอบสวนโดยต้องใช้ความระมัดระวังดูแลเหมือนเช่นวิญญูชนพึงดูแลทรัพย์สินของตนเอง เฉพาะ อย่างยิ่งมีข้าวสารบรรจุกระสอบถึง 200 กระสอบ มูลค่าหลายแสนบาทบรรทุกอยู่บนรถจะต้องระมัดระวัง ยิ่งขึ้นมิให้สูญหายหรือได้รับความเสียหาย การที่จำเลยที่ 3 นำรถบรรทุกไปจอดในรั้วของสถานีตำรวจได้ เป็นเพียงการนำรถบรรทุกไปจอดไว้เท่านั้น มิใช่เป็นการดูแลรักษาทรัพย์สิน แม้จะได้เก็บกุญแจรถไว้ แล้ว เอาโซ่และกุญแจล็อกระหว่างพวงมาลัยกับคลัตซ์และได้ตรวจดูบ่อยๆ แต่การจอดรถบรรทุกไว้ข้างถนนโดย มิได้จัดให้มีผู้ดูแลรักษาตามสมควรย่อมเปิดโอกาสให้คนร้ายลักรถบรรทุกและข้าวสารไปได้โดยง่าย จำเลยที่ 3 จึงมิได้ใช้ความระมัดระวังดูแลรถบรรทุกและข้าวสารเหมือนเช่นวิญญูชนพึงดูแลรักษาทรัพย์สินของ ตนเองเป็นเหตุให้รถบรรทุกและข้าวสารสูญหายไปถือได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 3 ฎีกาที่ ๒๑/๒๕๔๐ จำเลยที่ 2 เป็นสารวัตรใหญ่และจำเลยที่ 3 เป็นพนักงานสอบสวนคนทั้งสอง ต่างเป็นข้าราชการในสังกัดของกรมตำรวจจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยึดรถยนต์พิพาทของโจทก์ เป็นของกลางเป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างหนึ่งตามระเบียบข้อบังคับและคำสั่งที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 1 มีหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้เป็นไปตามระเบียบและคำสั่ง เพื่อมิให้เกิดความเสียหาย เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยึดรถยนต์พิพาทไว้เป็นของกลางในคดีความผิดต่อ พระราชบัญญัติจราจรทางบกซึ่งมีคนตายและได้รับบาดเจ็บ ในกรณีนี้เป็นการปฏิบัติหน้าที่อย่างหนึ่งและมี ฐานะเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์ของกลางเหมือนเช่นวิญญู ชนพึงดูแลทรัพย์สินของตน แต่เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ดูแลรักษารถยนต์พิพาทของกลางตามสมควร เป็นเหตุให้รถยนต์พิพาทสูญหายกรณีจึงเป็นการกระทำละเมิดในฐานะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 76 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกับ จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายแก่โจทก์ด้วย จะอ้างว่าตนไม่มีอำนาจใน การยึดสิ่งของในคดีอาญามาปฏิเสธความรับผิดของตนไม่ได้ กรณีที่มีระเบียบกำหนดหน้าที่ไว้โดยตรง ในกรณีที่มีระเบียบกำหนดหน้าที่ไว้โดยตรง และไม่ทำ ตามระเบียบหน้าที่ที่กำหนดไว้จนทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นก็ถือว่ามีการกระทำงดเว้นไม่ปฏิบัติ หน้าที่ตามระเบียบที่กำหนดไว้ ฎีกาที่ ๕๒๕๙/๒๕๕๑ รถยนต์ของโจทก์ไม่มีบัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุดติดหน้ากระจก รถยนต์ตามระเบียบของนิติบุคคลอาคารชุดจำเลยที่ 1 พนักงานรักษาความปลอดภัยจะต้องดำเนินการแลก บัตรหรือให้แจ้งชื่อ ที่อยู่ของผู้ขับรถยนต์ที่จะผ่านเข้าออกอาคารชุด คืนเกิดเหตุจำเลยที่ 4 ทำหน้าที่เป็น พนักงานรักษาความปลอดภัยบริเวณป้อมยามของทางเข้าออกอาคารชุดเห็นแล้วว่ารถยนต์ของโจทก์ไม่มี บัตรติดรถยนต์ผ่านเข้าออกอาคารชุด มิได้เรียกให้หยุดรถเพื่อแลกบัตรหรือให้ผู้ขับรถยนต์แจ้งชื่อ ที่อยู่ตาม
9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ระเบียบ กลับปล่อยให้รถยนต์ของโจทก์แล่นผ่านออกไปอันเป็นเหตุให้รถยนต์สูญหาย เนื่องจากการปฏิบัติ หน้าที่โดยบกพร่องของจำเลยที่ 4 เป็นการประมาทเลินเล่อกระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็น นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 4 ฎีกาที่ ๑๒๐๑๗/๒๕๕๗ จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการที่เกิดเหตุที่รถซึ่งโจทก์รับประกันภัยสูญ หายจะต้องรับผิดก็ต่อเมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 4 ประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขา เสียหายแก่ทรัพย์สิน อันเป็นการทำละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ที่ว่าทำต่อบุคคลอื่น หมายถึง ทำหรือ การกระทำต่อสิทธิของบุคคลอื่น ซึ่งรวมถึงการงดเว้นไม่กระทำกรณีมีหน้าที่ต้องกระทำด้วย โดยหน้าที่ ดังกล่าวรวมถึงหน้าที่ตามสัญญา หน้าที่เกิดจากความสัมพันธ์และหน้าที่ตามกฎหมาย สำหรับหน้าที่ตาม สัญญาไม่ปรากฏว่ามีสัญญาระหว่างฝ่ายโจทก์กับฝ่ายจำเลย สำหรับตามสัญญาจ้างเหมาดูแลรักษาความ ปลอดภัยเป็นสัญญาระหว่างจำเลยที่ 4 กับฝ่ายจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยเป็นการจ้างให้ ดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 เท่านั้น ไม่ได้จ้างให้ดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ ทรัพย์สินของผู้พักอาศัยหรือผู้เช่าห้องพักในโครงการด้วยแต่อย่างใด จำเลยที่ 4 จึงไม่มีหน้าที่ตามสัญญาที่ จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้เช่าห้องในโครงการ ส่วนหน้าที่เกิดจากความสัมพันธ์ก็ได้ ความว่าทางปฏิบัติจำเลยที่ 4 ไม่ได้จัดให้มีการตรวจรถที่แล่นเข้าออกโครงการ ไม่ได้จัดให้มีการแลกบัตร หรือแจกบัตรแก่ผู้ขับรถเข้าออกโครงการ อันอาจทำให้เห็นเป็นปริยายถึงพฤติกรรมของจำเลยที่ 4 ว่าจำเลย ที่ 4 มีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้เช่าห้องในโครงการ สำหรับหน้าที่ตามกฎหมายคือ ป.พ.พ. บรรพ 3 ลักษณะ 4 เช่าทรัพย์ มาตรา 546 ถึงมาตรา 551 ก็ไม่ได้บัญญัติให้จำเลยที่ 4 ผู้ให้เช่ามี หน้าที่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายอันเกิดแก่ทรัพย์สินของผู้เช่า ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 4 ไม่มีหน้าที่ดังกล่าว ย่อมไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 4 ผู้ให้เช่า ประมาทเลินเล่อทำต่อผู้เช่าห้องในโครงการโดยผิดกฎหมายให้ผู้เช่า เสียหายแก่รถที่โจทก์รับประกันภัยอันจะเป็นการทำละเมิด จำเลยที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนแก่ผู้เช่ารวมทั้งโจทก์ผู้รับประกันภัย โจทก์ไม่อาจรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาฟ้องจำเลยที่ 4 ได้ ต่อไปเป็นเรื่องเกี่ยวกับธนาคารหรือบริษัทที่มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินที่มีการเปิดให้เช่าตู้นิรภัย โดยบริษัทได้มีการออกระเบียบเกี่ยวกับการเก็บรักษากุญแจหรือรหัสของตู้นิรภัย และมีการกำหนดว่า เจ้าหน้าที่คนใดจะเป็นผู้รับผิดชอบในการเก็บรักษากุญแจหรือรหัสและใครสามารถเข้าถึงได้บ้าง ปรากฎ ว่ามีคนร้ายขโมยทั้งกุญแจและรหัสแล้วนำไปเปิดห้องนิรภัยแล้วนำทรัพย์สินที่ลูกค้ามาฝากไว้ไป จึงมี ปัญหาว่า กรณีเช่นนี้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นการทำละเมิดหรือไม่ ฎีกาที่ ๑๔๙๓๑/๒๕๕๗ จำเลยที่ 1 ให้โจทก์เช่าตู้นิรภัยเพื่อเก็บรักษาทรัพย์สินโดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 เป็นพนักงานมีหน้าที่ในการเก็บรักษารหัสและกุญแจห้องมั่นคง การที่จำเลยที่ 2 เก็บสำเนารหัส และวิธีการเปิดห้องมั่นคงไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน จำเลยที่ 4 เก็บกุญแจห้องมั่นคงไว้ในตู้นิรภัยเล็ก และ จำเลยที่ 5 เก็บกุญแจห้องมั่นคงอีกดอกหนึ่งไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานอันเป็นการผิดระเบียบของจำเลยที่ 1 จน เป็นเหตุให้คนร้ายรื้อค้นพบและนำไปใช้เปิดห้องมั่นคงแล้วลักทรัพย์ของโจทก์ที่เก็บไว้ในตู้นิรภัยไปจึงต้องถือ ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ในการเก็บรักษารหัสและกุญแจห้องมั่นคงอัน เป็นผลโดยตรงต่อเกิดเหตุลักทรัพย์ของโจทก์ มิใช่เป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจป้องกันได้ การที่จำเลยที่ 2 ที่ 4
10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง และที่ 5 ประมาทเลินเล่อในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดกับ จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 อีกโสตหนึ่งด้วย ข้อพิจารณา คดีนี้พนักงานผู้รักษากุญแจได้เก็บกุญแจและรหัสไว้ที่โต๊ะทำงานซึ่งเป็นการผิดระเบียบ เพราะเป็นที่ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย แต่ระเบียบกำหนดว่าต้องเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยเข้าถึงไม่ได้ดังนั้น กรณี เช่นนี้จึงต้องถือว่าเป็นความประมาทของพนักงาน ศาลจึงวินิจฉัยว่าพนักงานแต่ละคนนั้นประมาทเลินเล่อใน การเก็บกุญแจและรหัสซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเข้าถึงตู้นิรภัย เป็นการเปิดโอกาสให้คนร้ายลักทรัพย์สินไป แม้ จำเลยทั้งหลายจะต่อสู้ว่าเหตุดังกล่าวเป็นเหตุสุดวิสัย แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ากรณีนี้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยเพราะ สามารถป้องกันได้ และเมื่อจำเลยซึ่งเป็นพนักงานประมาทเลินเล่อ อันเป็นการประมาทเลินเล่อในหน้าที่ ดังนั้น จำเลยที่ ๑ ในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นที่เป็นลูกจ้างด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นการงดเว้น การทำหน้าที่ของตนเองในการเก็บรักษากุญแจและรหัส กรณีของสระว่ายน้ำ ศาลฎีกาวางหลักว่า ผู้ให้บริการทางด้านสระน้ำมีหน้าที่ที่จะต้องรักษาความ ปลอดภัยให้แก่ผู้มาใช้สระน้ำ ต้องมีอุปกรณ์ในการช่วยชีวิต ต้องมีไลฟ์การ์ดคอยดูแลความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ สระน้ำ กรณีนี้ถือว่าผู้ให้บริการมีหน้าที่ที่จะต้องอำนายความสะดวกในการรักษาความปลอดภัยในการ บริหารจัดการสระน้ำ ฎีกาที่ ๑๖๑/๒๕๓๖ การที่จำเลยที่ 1 ไม่ตระเตรียมพนักงานประจำสระว่ายน้ำไว้คอยช่วยเหลือ ผู้ใช้บริการสระว่ายน้ำของจำเลยที่ 1 กับไม่ได้เตรียมอุปกรณ์การช่วยชีวิตผู้ใช้สระว่ายน้ำในทันทีทันใดที่เกิด การช็อคหรือจมน้ำ เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แม้ จำเลยที่ 1 จะได้ปิดประกาศไว้ที่สระว่ายน้ำว่าจำเลยที่ 1 จะไม่รับผิดชอบใด ๆ เกี่ยวกับชีวิตและทรัพย์สิน ของผู้มาใช้บริการ ประกาศดังกล่าวก็ไม่ทำให้เป็นข้อแก้ตัวที่จะให้จำเลยที่ 1 พ้นความรับผิด จำเลยที่ 1 จึง ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ฎีกาที่ 15695/2555 การที่จำเลยทั้งสองจัดให้มีสระว่ายน้ำไว้ในโรงแรมก็เพื่อเป็นทางเลือกที่จะ ให้ลูกค้าเข้าใช้บริการโรงแรมของจำเลยทั้งสองเพิ่มขึ้นมิฉะนั้นจำเลยทั้งสองคงไม่สร้างสระว่ายน้ำในปี 2540 ซึ่งต้องใช้เงินถึง 560,000 บาท ทั้งสระว่ายน้ำของจำเลยทั้งสองมีความลึกสูงสุด 2.55 เมตร และ บริเวณที่ลึกที่สุดมีลักษณะเป็นกรวยลงไปด้วย ลักษณะดังกล่าวของสระว่ายน้ำ ทำให้ยากต่อการช่วยเหลือผู้ ที่จมน้ำ ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จำเลยทั้งสองจะต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อดูแลความ ปลอดภัยและช่วยเหลือผู้ใช้บริการเมื่อเกิดอุบัติเหตุตลอดเวลาที่เปิดบริการ ชุดปฐมพยาบาลประจำสระว่าย น้ำ อุปกรณ์ช่วยชีวิต เช่น ไม้ช่วยชีวิต ห่วงชูชีพ โฟมช่วยชีวิต เครื่องช่วยหายใจ ทั้งจะต้องมีป้ายบอกแสดง ความลึกของสระว่ายน้ำให้ผู้ใช้บริการทราบ ซึ่งจำเลยทั้งสองได้คิดค่าบริการส่วนนี้รวมกับค่าเช่าที่พักแล้วไม่ ว่าทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม หากจำเลยทั้งสองจัดหาบุคลากรและอุปกรณ์ต่างๆ ดังกล่าว เมื่อผู้ตายจมน้ำก็ สามารถช่วยเหลือผู้ตายให้รอดชีวิตได้แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองขาดบุคลากรและอุปกรณ์จึงเป็นเหตุให้ โจทก์ภริยาโจทก์และบุตรโจทก์ไม่สามารถช่วยผู้ตายขึ้นจากสระว่ายน้ำ ซึ่งได้ความจากโจทก์และภริยา โจทก์ว่า พื้นสระว่ายน้ำของจำเลยทั้งสองลื่นเนื่องจากขาดการดูแลรักษา สระว่ายน้ำของจำเลยทั้งสองเปิด ให้บุคคลที่มาใช้บริการโรงแรมของจำเลยทั้งสองเข้าใช้ได้โดยส่วนที่ลึกที่สุดลึกถึง 2.55 เมตร ซึ่งท่วมศีรษะ
11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ของบุคคลทั่วไป หากมีบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่ว่ายน้ำไม่เป็นหรืออาจจะเป็นเด็กเล็ก หรือผู้สูงวัยพลัดตกลงไป อาจจมน้ำเสียชีวิตได้ควรอย่างยิ่งที่จำเลยทั้งสองจะจัดหาบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญในการช่วยเหลือผู้ ที่ประสบภัยจากการจมน้ำมาคอยดูแลหรือมีเชือกกั้นแสดงเขตส่วนที่ลึกท่วมศีรษะเพื่อป้องกันมิให้ผู้ที่ใช้สระ ว่ายน้ำจมน้ำได้ซึ่งจำเลยทั้งสองสามารถกระทำได้แต่หาได้กระทำไม่ แม้ว่าสระว่ายน้ำในโรงแรมของจำเลย ทั้งสองจะตั้งอยู่ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา แต่หาทำให้ความสำคัญของสระว่ายน้ำแตกต่างไป จากสระว่ายน้ำในกรุงเทพมหานครไม่ แม้อ.บ.ต. หมูสีและอำเภอปากช่องจะไม่มีข้อบังคับหรือข้อบัญญัติ เกี่ยวกับการก่อสร้างสระว่ายน้ำ ก็หาทำให้จำเลยทั้งสองพ้นความรับผิดในกรณีที่มีผู้ประสบภัยจมน้ำตาย ดังเช่นผู้ตายในคดีนี้ไม่ ทั้งนี้เพราะการที่จำเลยทั้งสองมีสระว่ายน้ำซึ่งลึกและมีสภาพเป็นกรวยย่อมเป็นที่ เล็งเห็นได้ว่าหากบุคคลที่ว่ายน้ำไม่เป็นหรือเกิดเป็นตะคริวจมน้ำลงไปย่อมถึงแก่ความตาย หรือเด็กอาจพลัด ตกลงไปถึงแก่ความตายได้ทั้งเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองจะต้องป้องกันเองโดยไม่จำเป็นต้องมีข้อบังคับหรือ ระเบียบใดๆ ของทางราชการออกมาบังคับอีกชั้นหนึ่ง ต่อไปเรื่องของผู้รับเหมาก่อสร้าง จำเลยผู้รับเหมาก่อสร้างสะพาน ละเลยไม่ติดตั้งเครื่องหมาย เตือนว่าสะพานอยู่ในระหว่างก่อสร้างแก่ผู้ที่สัญจรไปมา เมื่อผู้ตายขับรถจักรยายนต์ชนท่อระบายน้ำ คอนกรีตที่ยกสูงขึ้นมาโดยไม่มีป้ายเตือน จึงถือว่า จำเลยงดเว้นหน้าที่ที่ตนจะต้องกระทำ เป็นการละเมิด อย่างไรก็ตามในการกำหนดค่าเสียหาย เมื่อผู้เสียหายก็มีส่วนประมาท เนื่องจากขับรถมาด้วยความเร็วสูง จึง ถือว่าผู้เสียหายมีความประมาทเลินเล่ออยู่ด้วย ดังนั้น เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างประมาทเลินเล่อ การกำหนดค่า เสียหาย จึงต้องคำนึงถึงพฤติการณ์ของผู้เสียหายที่ประมาทเลินเล่อด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ต้องถือว่า ผู้รับเหมาก่อสร้างเป็นฝ่ายที่ประมาทมากกว่าและเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ จึงต้องชดใช้ โดยนำความประมาทของผู้ขับรถจักรยานยนต์มาหักค่าเสียหายออก ฎีกาที่ ๓๙๙/๒๕๔๖ จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างสะพาน มีหน้าที่ต้องติดตั้งเครื่องหมายแสดง ให้เห็นชัดเจนเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนตลอดเวลา แต่กลับละเลยไม่ติดตั้งเครื่องหมายดังกล่าว ถือว่า จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง แม้ผู้ตายจะขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูง แต่หากมี เครื่องหมายเตือนเชื่อว่าผู้ตายสามารถเห็นและชะลอความเร็วของรถได้ทันและจะไม่ชนท่อระบายน้ำ คอนกรีต เหตุที่เกิดขึ้นจึงเป็นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 มากกว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วน ผู้จัดการของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ผู้เป็นทายาทของ ผู้ตาย ซึ่งค่าเสียหายที่โจทก์ควรจะได้มากน้อยเพียงใดนั้นต้องอาศัยพฤติการณ์แห่งกรณีดังกล่าวเป็น ประมาณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 เมื่อโจทก์ฟ้อง เรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองเป็นเงิน 265,000 บาท แต่เหตุละเมิดเกิดจากความประมาทของผู้ตาย ด้วย และจำเลยทั้งสองประมาทมากกว่าการกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำนวน 68,333.33 บาท จึง เหมาะสมแล้ว
12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง การให้บริการเรือด่วน ส่วนราชการได้มีการเปิดประมูลให้เอกชนไปบริหารจัดการบริการเรือด่วน แม้ท่าเรือดังกล่าวจะมีการให้เอกชนเช่าไป จึงอยู่ในความดูแลของเอกชนโดยตรง แต่เมื่อโป๊ะท่าเทียบเรือล่ม ทำให้มีผู้คบได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ศาลฎีกาวางหลักว่าเมื่อ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการ กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 ทาง กทม. มีหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 และแม้ทาง กทม. จะมีการปิดประกาศว่าให้ใช้ความระมัดระวังในการใช้บริการก็ตาม แต่ กทม. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่บริหารกิจการ ยังคงมีหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ไม่อาจปฏิเสธหน้าที่ในการกำกับดูแลได้ ดังนั้น จึงไม่อาจนำการปิดประกาศเพียงอย่างเดียวมาอ้าง เพื่อให้พ้นความรับผิดได้ ทาง กทม. และเอกชนผู้บริหารท่าเรือ จึงต้องร่วมกันรับผิดชอบ ฎีกาที่ ๓๔๓๔-๓๔๔๐/๒๕๕๗ จำเลยที่ 3 เป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น มีอำนาจหน้าที่ดำเนิน กิจการการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การจัดให้มีและบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำและทางระบายน้ำ การขนส่ง การจัดให้มีและควบคุมตลาด ท่าเทียบเรือ ท่าข้ามและที่จอดรถ การควบคุมความปลอดภัย ความ เป็นระเบียบเรียบร้อยและการอนามัยในโรงมหรสพ และสาธารณสถานอื่น ๆ ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหาร ราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 มาตรา 89 (3) (6) (8) (9) และ (20) แม้จะให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น เอกชนเช่าเมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ส่งมอบท่าเทียบเรือให้แก่จำเลยที่ 3 ก็ตาม จำเลยที่ 3 มี หน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรวมทั้งควบคุมความปลอดภัยและความเป็นระเบียบเรียบร้อย ให้แก่ประชาชนผู้มาใช้ท่าเทียบเรือและโป๊ะเทียบเรือ ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงตามกฎหมาย การปิดป้าย ประกาศไว้เพียงอย่างเดียวย่อมไม่อาจป้องกันและควบคุมประชาชนจำนวนมากที่ต้องการใช้บริการเรือด่วน ไม่ให้ลงไปอยู่บนโป๊ะเทียบเรือได้ จำเลยที่ 3 จึงไม่อาจอ้างการปิดป้ายประกาศดังกล่าวมาเป็นข้อแก้ตัวให้ พ้นความรับผิดได้ ข้อสังเกต หากผู้กระทำไม่มีหน้าที่ทั้ง 4 ประการดังกล่าว เพียงแต่มีหน้าที่ตามศีลธรรมหรือหน้าที่ โดยทั่วๆไป ซึ่งไม่ใช่หน้าที่โดยเฉพาะเจาะจง เช่น พบเห็นคนกำลังจะจมน้ำตายแต่ไม่เข้าช่วยเหลือ กรณีนี้ ไม่ถือว่าเป็นงดเว้นและไม่ถือว่ามีการกระทำ เมื่อไม่มีการกระทำ ก็ต้องถือว่าไม่เป็นละเมิด ข้อสังเกต แต่หากไม่มีหน้าที่ทั้ง 4 ประการ เพียงแต่มีหน้าที่ตามศีลธรรมหรือหน้าที่ทั่วๆไป ซึ่งไม่ใช่ หน้าที่โดยเฉพาะเจาะจง เช่น พบคนกำลังจะจมน้ำตายแต่ไม่ช่วยเหลือ หรือรู้ว่ามีการวางแผนจะฆ่าใครบาง คนแต่กลับนิ่งเฉยเสีย กรณีนี้ไม่ถือว่าเป็นงดเว้นและไม่ใช่เป็นการทำละเมิด รวมถึงกรณีที่ไม่ถือว่าเป็นหน้าที่แต่เป็นการใช้ดุลพินิจ ฎีกาที่ 1172/2492 ส่วนจำเลยที่ 2 ที่ห้ามไม่ให้อุปัชฌาย์อุปสมบทให้โจทก์นั้น ไม่มีกฎหมาย บังคับว่า ถ้าโจทก์จะบวชคณะสงฆ์จะต้องยอมให้บวช หรืออุปัชฌาย์จะต้องบวชให้ฉะนั้นจึงเป็นสิทธิของ คณะสงฆ์และผู้เป็นอุปัชฌาย์ที่จะยอมรับให้บวชหรือจะบวชให้หรือไม่ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็น ละเมิดตามมาตรา 420 และทั้งไม่เข้าตามมาตรา 421,422 ด้วย วันนี้อาจารย์ขอยุติการบรรยายแต่เพียงเท่านี้นะครับ ***จบการบรรยาย***
1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ ๑/๗6 วิชา ละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ บรรยายวันที่ 19 มิถุนายน ๒๕๖6 (ครั้งที่ 4) (สัปดาห์ที่ 5) สวัสดีครับนักศึกษา ก็ได้เวลาแล้ว เราจะว่ากันต่อในเรื่องของกฎหมายละเมิดนะครับ ในคราวที่แล้ว เราได้พูดถึงบทบัญญัติในมาตราหลักที่สำคัญของกฎหมายละเมิดก็คือมาตรา 420 โดยได้พูดถึง องค์ประกอบที่เราจะต้องวิเคราะห์โดยละเอียด ไล่เรียงมาตั้งแต่คำว่า “ผู้ใด” และได้พูดว่า การจะเป็น ละเมิด จะต้องมีการ “กระทำ” ไม่ว่าจะเป็นการกระทำโดยตรงหรือกระทำโดยการงดเว้น ซึ่งการกระทำ โดยงดเว้นนั้น จะต้องมีหน้าที่ตามกฎหมาย หรือหน้าที่ตามสัญญา หรือมีหน้าที่จากการกระทำครั้งก่อนๆ ของตนเอง หรือเกิดจากหน้าที่ที่เกิดจากความสัมพันธ์พิเศษและได้งดเว้นไม่ป้องกันผล ปล่อยให้เกิดสิ่งหนึ่ง สิ่งใดขึ้น ก็ถือว่ามีการกระทำ และการกระทำนั้น เป็นการกระทำต่อ “บุคคลอื่น” ดังนั้น ในวันนี้เราจะมา ไล่เรียงกันว่าคำว่า “บุคคลอื่น” ที่จะได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดนั้นมีบุคคลใดบ้าง หรือจะพูด ง่ายๆว่าใครคือผู้เสียหายที่จะสามารถฟ้องคดีละเมิดได้บ้าง (๓.) ทำต่อบุคคลอื่น การละเมิดนั้นคือ ผู้ใดกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อผู้อื่นโดย ผิดกฎหมาย ซึ่งการกระทำนั้นต้องกระทำต่อบุคคลอื่น ดังนั้น ละเมิดจึงต้องมีผู้เสียหาย ผู้เสียหาย หมายถึง บุคคลอื่นที่มีสิทธิเด็ดขาด (Absolute Right) มิใช่เพียงบุคลสิทธิที่ไม่ผูกพันผู้กระทำซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เมื่อการกระทำละเมิด ต้องก่อให้เกิดความเสียหายโดยตรงต่อผู้ถูกกระทำ จึงมีปัญหาว่า ใครเป็น ผู้เสียหายได้บ้าง ๓.๑ เจ้าของทรัพย์ ฎีกาที่ ๔๘๔๑/๒๕๖๐ พืชผลบนที่ดินพิพาท แม้ต้นปาล์มและต้นมะพร้าว โจทก์ทั้งสองจะปลูกไว้ แต่เมื่อเป็นไม้ยืนต้น จึงเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท ผลปาล์มและต้นมะพร้าวจึงเป็นของสำนักงานการ ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ไม่ใช่ของโจทก์ทั้งสองตาม ป.พ.พ. มาตรา 145 ดังนั้นการที่จำเลยทั้งสองเข้า ไปเอาผลปาล์ม แล้วเข้าไปตัดโค่นทำลายต้นมะพร้าว จะถือว่าทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายไม่ได้ โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยทั้งสอง ส่วนต้นกล้วยเป็นไม้ล้มลุก ไม่เป็น ส่วนควบกับที่ดิน โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ปลูกจึงเป็นเจ้าของต้นกล้วย จำเลยทั้งสองเข้าไปโค่นทำลาย ทั้ง ๆ ที่รู้ แล้วว่าแม้จะปลูกอยู่ในที่พิพาทแต่ต้นกล้วยเหล่านั้นเป็นของโจทก์ทั้งสอง ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าเป็นการ กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองโดยไม่มีอำนาจที่ จะกระทำได้ตามกฎหมาย เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองและเป็นการโต้แย้งสิทธิในทรัพย์สินของ โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องและจำเลยทั้งสองต้องรับผิดในมูลละเมิดที่เกิดจากการกระทำของตน หมายเหตุคำพิพากษาฎีกานี้จะแยกเป็น 2 ส่วน คือ ถ้าตัดต้นปาล์ม ตัดต้นมะพร้าว ก็ถือว่าโจทก์ ไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะไม้ยืนต้นนั้นถือว่าเป็นส่วนควบของที่ดินนั้น เมื่อที่ดินเป็นของสำนักงานปฏิรูปที่ดิน เพื่อการเกษตรกรรม จึงถือว่าไม่ใช่เป็นของโจทก์แต่การตัดต้นกล้วยซึ่งไม่ใช่ไม้ยืนต้น ต้นกล้วยไม่ตกเป็น ส่วนควบของที่ดิน โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย
2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง *ฎีกาที่ 3227/2564 โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งแผงค้าที่พิพาท โจทก์ได้ทำ สัญญาให้จำเลยเช่าที่พิพาท แม้ต่อมามีมติคณะรัฐมนตรีให้โอนความรับผิดชอบการบริหารตลาดนัดจตุจักร ซึ่งเป็นของโจทก์ไปเป็นความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร ก็เป็นเวลาภายหลังจากที่โจทก์ได้ทำสัญญา เช่ากับจำเลย เห็นได้ว่า โจทก์เป็นคู่สัญญากับจำเลย ข้อโต้แย้งไม่ว่าจะเป็นการผิดสัญญาเช่าหรือละเมิด ก็เกิดก่อนที่จะมีมติคณะรัฐมนตรีให้โอนการบริหารให้แก่กรุงเทพมหานคร อีกทั้งตามแนวทางดำเนินการ โอนความรับผิดชอบการบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักร ก็มีข้อความระบุว่าหากผู้เช่ารายใดยังคงมีภาระ หนี้สินติดค้างกับโจทก์กรุงเทพมหานครจะไม่ทำสัญญากับผู้เช่ารายนั้นและโจทก์ขอสงวนสิทธิ์ในพื้นที่เช่า จนกว่าผู้เช่ารายนั้นจะได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้ได้รับความเสียหายในขณะฟ้องคดี นี้โจทก์มีอำนาจฟ้องโจทก์บอกเลิกสัญญาและสัญญาเช่าสิ้นสุดลง การที่จำเลยยังคงครอบครองใช้ประโยชน์ ในพื้นที่ที่เช่าจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหาย จากจำเลยได้ *ฎีกาที่ 4335/2564 โครงการหมู่บ้าน พ. มีลักษณะเป็นหมู่บ้านปิด มีรั้วกำแพงกั้นเขตล้อมรอบ และมีทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ คือซอยท่าอิฐเพียงทางเดียวเท่านั้น การที่บริษัท พ. ในฐานะผู้จัดสรร ทำถนนและรั้วกำแพงล้อมรอบที่ดินของโครงการที่จัดสรรย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการสัญจรและ รักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการโดยเฉพาะ มิได้หมายที่จะให้บุคคลภายนอกเข้ามาใช้ถนน ร่วมกับผู้ซื้อที่ดินและบ้านในโครงการดังกล่าวด้วย ที่บริษัท พ. ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๒๑๗๘ พร้อมบ้านใน โครงการหมู่บ้าน พ. แล้วรื้อถอนบ้านและรั้วกำแพงออก ก่อสร้างเป็นถนนเชื่อมระหว่างหมู่บ้านทั้งสอง โครงการเข้าด้วยกัน เป็นเพียงชั่วคราวเพื่อให้ลูกค้าโครงการหมู่บ้าน น. ผ่านเข้าชมโครงการ และเพื่อการ ขนส่งวัสดุก่อสร้าง มิได้มีเจตนาเปลี่ยนแปลงแผนผังโครงการโดยเชื่อมหมู่บ้านทั้งสองเข้าด้วยกัน และจะทำ การปิดกั้นถนนระหว่างโครงการทั้งสองให้เป็นไปตามแผนผังโครงการที่ขอจัดสรร ประกอบกับตามแผนผัง โครงการหมู่บ้าน น. มีทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะทางซอยท่าอิฐ - บางรักน้อย อยู่แล้ว และปัจจุบันใช้เป็น เส้นทางผ่านเข้าออกหมู่บ้านเช่นนี้การก่อสร้างถนนปูด้วยอิฐตัวหนอนเชื่อมหมู่บ้านทั้งสองนั้น หาได้มีเจตนา ตั้งแต่แรกที่จะให้ผู้อาศัยในโครงการหมู่บ้าน น. ผ่านเข้ามาใช้ถนนในโครงการหมู่บ้าน พ. ไม่แม้ต่อมาบริษัท พ. ได้จดทะเบียนโอนถนนทั้งหมดภายในโครงการหมู่บ้าน พ. เป็นทางสาธารณประโยชน์ก็ตาม แต่เชื่อว่าได้ กระทำไปเพียงเพื่อให้การเป็นไปตามประกาศของคณะปฏิบัติฉบับที่ 286 ข้อ ๓๐ วรรคสอง อันจะทำให้ หน้าที่ในการเป็นผู้บำรุงรักษาถนนของบริษัท พ. ตามข้อ ๓๐ วรรคหนึ่ง ตกแก่หน่วยงานของรัฐ ซึ่งปัจจุบัน คือองค์การบริหารส่วนตำบล บ. เท่านั้น ถนนภายในโครงการหมู่บ้าน พ. ยังคงมีอยู่สำหรับการใช้ประโยชน์ เฉพาะจำเลยที่ ๑ และสมาชิกของจำเลยที่ ๑ ในโครงการหมู่บ้าน พ. โจทก์ทั้งสองและสมาชิกของโจทก์ที่ ๑ ในโครงการหมู่บ้าน น. ไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะเข้ามาใช้ถนนดังกล่าวได้ดังนี้จำเลยทั้งสิบหกย่อมใช้สิทธิขัดขวาง ด้วยการนำแท่งปูนมาวางปิดกั้นเพื่อไม่ให้โจทก์ทั้งสองและสมาชิกของโจทก์ที่ ๑ ผ่านเข้ามาใช้ถนนใน โครงการหมู่บ้าน พ. ได้ไม่ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสิบหกจึงไม่จำต้องชดใช้ ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง
3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ๓.๒. ผู้ครอบครอง ฎีกาที่ ๙๑๗๓/๒๕๕๑ การเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการละเมิด มิใช่มี แต่เพียงเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่จะเป็นผู้เสียหายได้เท่านั้น ผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินก็ เป็นผู้ถูกโต้แย้งสิทธิ และสามารถใช้สิทธิทางศาลได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 เมื่อสัญญาร่วมการงานและร่วม ทุนระบุให้โจทก์มีสิทธิใช้ครอบครอง และได้ผลประโยชน์จากอุปกรณ์ในระบบ ทั้งสัญญาดังกล่าวยัง กำหนดให้โจทก์มีหน้าที่บำรุงรักษาอุปกรณ์ในระบบให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดีตลอดเวลาด้วย ค่าใช้จ่ายของ โจทก์หากอุปกรณ์สูญหายหรือเสียหายจนใช้การไม่ได้ ดังนี้ โจทก์ในฐานะผู้ครอบครองใช้ประโยชน์ และดูแล รักษาอุปกรณ์ที่ได้รับความเสียหายจากการละเมิดในทางการที่จ้างของลูกจ้างจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย และมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายคดีนี้ การพิจารณาว่าผู้ครอบครองเป็นผู้ถูกกระทำละเมิดหรือไม่ ให้พิจารณาว่าการละเมิดเกิดขณะ ครอบครองครอบครองทรัพย์หรือไม่ ถ้าในขณะละเมิดผู้ครอบครองครอบครองทรัพย์อยู่ แม้ต่อมาทรัพย์ นั้นพ้นไปจากความครอบครอง แต่ก็ยังถือว่าผู้ครอบครองเป็นผู้ถูกทำละเมิด ฎีกาที่ ๓๕๗๔/๒๕๔๒ ขณะที่โจทก์เสนอคำฟ้องต่อศาลโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งอยู่ในที่ดินโดยละเมิดสิทธิของโจทก์ แม้ภายหลังฟ้องคดีแล้ว โจทก์จด ทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้อื่นไป อำนาจฟ้องของโจทก์ที่บริบูรณ์อยู่แล้วยังคงมีผลอยู่ต่อไป เมื่อมีการทำละเมิดแล้ว แม้ภายหลังทรัพย์สินที่ถูกละเมิดจะถูกทำลายไปโดยเหตุอื่น ความรับผิด ในละเมิดก็ยังคงมีอยู่ ผู้กระทำละเมิดจึงยังคงต้องรับผิด ฎีกาที่ ๙๘๕/๒๔๙๗ จำเลยปล่อยให้อาคารของตนเอนทับอาคารโจทก์เสียหายดังนี้เรียกว่าจำเลย ทำละเมิด จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย ความเสียหายเกิดขึ้นนับแต่ทำละเมิดดังนั้นแม้ภายหลังปรากฏว่า อาคารของโจทก์ถูกไหม้ไม่มีอะไรจะให้จำเลยจัดการกับอาคารก็ดีความเสียหายซึ่งเกิดแต่ละเมิดยังคงอยู่ไม่ ระงับหรือเปลี่ยนแปลงตามไปจำเลยต้องรับผิด ฎีกาที่ ๒๙๔๒/๒๕๒๖ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถพิพาท แต่มีสิทธิใช้และมีหน้าที่บำรุงรักษา ตามที่กรมตำรวจมอบหมาย เมื่อจำเลยกระทำละเมิดเป็นเหตุให้รถเสียหายใช้การไม่ได้ ในขณะที่โจทก์ ครอบครองใช้สอยอยู่ ย่อมถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของโจทก์เกิดขึ้นแล้ว โจทก์ย่อมมี อำนาจฟ้องจำเลยได้ ฎีกาที่ ๗๔๖-๗๕๐/๒๕๓๘ ขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ 2 เช่าซื้อรถยนต์กระบะคันที่ถูกจำเลยที่ 1 ขับชน โดยต้องรับผิดซ่อมแซมรถด้วย โจทก์ที่ 2 ย่อมมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ แม้ต่อมาสัญญาเช่าซื้อจะเลิกกันก็ไม่เป็นเหตุให้สิทธิของโจทก์ที่ 2 ซึ่งมีอยู่แล้วระงับสิ้นไป *ฎีกาที่ ๓๙๗/๒๕๕๔ (ยังไม่เคยออกสอบ) ในขณะที่จำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการดำเนินการ ของโจทก์ และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 14 เป็นคณะกรรมการ ที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2540 ของโจทก์มีมติ อนุมัติให้ซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในกิจการของโจทก์สองคัน ในวงเงิน 1,500,000 บาท ต่อมาจำเลยทั้งสิบสี่ซื้อ รถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด 1 คัน ราคา 291,970 บาท และยี่ห้อเบนซ์ 1 คัน ราคา 1,750,000 บาท เกินกว่า วงเงินตามมติของโจทก์ดังกล่าวถึง 541,970 บาท ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยข้อบังคับของโจทก์
4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง และทำให้โจทก์เสียหาย เพราะโจทก์จะต้องจ่ายเงินซื้อรถยนต์ในราคาที่สูงเกินไป แทนที่จะนำเงินจำนวนนั้น ไปใช้อย่างอื่นตามวัตถุประสงค์ของโจทก์เป็นการไม่ประหยัดไม่ต้องด้วยวัตถุประสงค์ของโจทก์ ที่จำเลยทั้ง สิบสี่อ้างว่าโจทก์ให้สัตยาบันยอมรับรู้การกระทำดังกล่าวแล้ว ทั้งโจทก์ยังขายรถยนต์ทั้งสองคัน โดยหักค่า เสื่อมราคาแล้วไม่ขาดทุนไม่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ความเสียหายของโจทก์เกิดขึ้นนับแต่ วันที่จำเลยทั้งสิบสี่ซื้อรถยนต์ทั้งสองคันดังกล่าว แม้ภายหลังโจทก์จะขายรถยนต์ทั้งสองคันโดยหักค่าเสื่อม ราคาแล้วไม่ขาดทุนก็ไม่อาจทำให้ความเสียหายของโจทก์กลับเป็นไม่มีความเสียหายอีกได้ และการให้ สัตยาบันยอมรับรู้การกระทำของจำเลยทั้งสิบสี่ก็เป็นเพียงทำให้โจทก์ต้องรับผิดชอบต่อผู้ขายรถยนต์ทั้งสอง คัน ผู้สุจริตจากการกระทำของจำเลยทั้งสิบสี่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 77 ประกอบมาตรา 820 ถึง 823 เท่านั้นโดยมิได้ทำให้จำเลยทั้งสิบสี่พ้นความรับผิดในความเสียหายจากการกระทำของตนต่อโจทก์ ๓.๓. ผู้รับจำนำ ผู้รับจำนำที่รับจำนำทรัพย์สินไว้ เมื่อมีการทำละเมิดต่อทรัพย์นั้น ถือว่าผู้รับจำนำ เป็นผู้เสียหาย เนื่องจากผู้รับจำนำเป็นผู้ครอบครองทรัพย์จำนำ มีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์ที่รับจำนำตาม กฎหมาย แต่จะใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลง เมื่อผู้จำนำยินยอมให้ผู้รับจำนำเอารถที่จำนำไปใช้ได้ผู้รับจำนำจึงมีหน้าที่ที่จะต้องคืนรถให้ผู้จำนำ เมื่อเขามาไถ่ หากมีผู้มากระทำละเมิดต่อรถที่จำนำ จึงถือว่าผู้รับจำนำเป็นผู้เสียหาย ฎีกาที่ ๑๑๖๐๕/๒๕๕๓ แม้โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์เก๋งที่ถูกคนร้ายลักไปโดย ครอบครองรถยนต์เก๋งในฐานะเป็นเพียงหลักประกันการกู้ยืมเงิน แต่โจทก์ก็มีสิทธิใช้และมีหน้าที่บำรุงรักษา รถยนต์เก๋งเพื่อส่งมอบคืนให้แก่เจ้าของ เมื่อจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดเป็นเหตุให้รถยนต์เก๋งถูกคนร้าย โจรกรรมไปในระหว่างที่โจทก์ครอบครองใช้สอยอยู่โจทก์จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในรถยนต์เก๋งคันดังกล่าว ถือ ได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของโจทก์เกิดขึ้นแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อเป็นผู้เสียหายในการทำละเมิดได้ แม้ภายหลัง สัญญาเช่าซื้อจะระงับไป ฎีกาที่ ๓๓๖๐/๒๕๒๘ ผู้เช่าซื้อมีสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อในอันที่จะใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่ตนเช่า ซื้อมา ย่อมมีสิทธิฟ้องผู้ที่มายึดทรัพย์สินนั้นจากตนโดยละเมิดได้ แม้ภายหลังผู้ให้เช่าซื้อจะยึดทรัพย์สินคืน ไป ก็ไม่ทำให้ผลการละเมิดที่กระทำไว้ก่อนระงับตามไปด้วย ๓.๔ ที่สาธารณะ ต้องเป็นผู้เสียหายพิเศษ ที่ดินที่ไม่ใช่ที่สาธารณะประโยชน์ ระหว่างราษฎร ด้วยกันใครเข้าครอบครองอยู่ก่อนก็มีสิทธิใช้โดยที่ไม่ถูกรบกวน ดังนั้น ถ้าอีกคนหนึ่งเข้ามาบุกรุกในภายหลัง ย่อมเป็นการทำละเมิดได้ ราษฎรผู้ที่ครอบครองก่อนจึงมีสิทธิดีกว่าราษฎรที่มาบุกรุกในภายหลัง สามารถเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดได้ ฎีกาที่ ๖๑๕๒/๒๕๓๘ ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวน จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1305 ห้ามมิให้ที่ดินประเภทดังกล่าวโอนแก่กัน ประกอบกับพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 มาตรา 14 ห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้ผู้ที่เข้ายึดถือ ครอบครองที่ดินไม่ได้สิทธิครอบครองไม่สามารถใช้ยันรัฐได้แต่ระหว่างราษฎรด้วยกันผู้ที่ครอบครองใช้
5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ประโยชน์อยู่ก่อนมีสิทธิที่จะไม่ถูกรบกวนโดยบุคคลอื่น เมื่อที่ดินพิพาทอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโจทก์จึงไม่ มีอำนาจนำที่ดินพิพาทมาให้จำเลยอาศัย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย *ฎีกาที่ 1534/2565 เจ้าของเดิมแบ่งแยกที่ดินมีโฉนด ๑ แปลง ออกเป็น 8 แปลง แล้วทำให้ ที่ดินแปลงย่อยบางแปลงไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ต้องใช้ที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นแปลงที่เป็นทางออกสู่ทาง สาธารณะ เจ้าของเดิมอุทิศที่ดินพิพาทให้เป็นทางสาธารณประโยชน์แล้ว แม้ไม่ปรากฏหลักฐานทางทะเบียน ของราชการก็ตาม ที่ดินพิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๔ (๒) ตาม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. ๒๕๕๗ มาตรา ๑๒๒ และระเบียบ กระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน พ.ศ. ๒๕๕๓ กำหนดให้อำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดิน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันให้เป็นอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอร่วมกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะปกครองท้องที่ ก็เป็นกฎหมายที่กำหนดหน้าที่ของ หน่วยงานรัฐในการดูแลสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนรวม แต่มิได้ตัดสิทธิเอกชนใดที่จะใช้ สิทธิของตนในสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ข้อสังเกต คดีนี้เดิมที่ดินเป็นที่ดินแปลงใหญ่ แล้วต่อมามีการแบ่งแยกออกเป็นที่ดินแปลงย่อย ทั้งหมด 8 แปลง แล้วมีการเว้นไว้1 แปลง เพื่อให้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะ ต่อมามีการโอนกรรมสิทธิ์ ในที่ดินที่กันไว้1 แปลงเพื่อให้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะไปให้แก่บุคคลอื่นและมีการปิดกั้นถนน ไม่ให้เจ้าของที่ดินที่มีการแบ่งแยก 8 แปลงนั้นออกสู่ทางสาธารณะบนถนนดังกล่าว เจ้าของที่ดินทั้ง 8 แปลงจึงมาฟ้องคนที่มาปิดถนน กรณีนี้จะถือว่าเป็นการทำละเมิดหรือไม่ ซึ่งจะคล้ายกับฎีกาข้างบนที่เป็น หมู่บ้าน แต่จะมีข้อเท็จจริงที่แตกต่างกัน เพราะเมื่อที่ดินกลายเป็นทางสาธารณะ กรณีเช่นนี้เจ้าของที่ดิน แปลงย่อยทั้ง 8 แปลง ย่อมมีสิทธิที่จะใช้ทางได้หากมีบุคคลหนึ่งบุคคลใดมาปิดกั้น ก็ถือว่าเป็นการกระทำ โดยไม่มีสิทธิและเป็นการทำละเมิดสิทธิของบุคคลดังกล่าว เพราะฉะนั้น จึงต้องมีความรับผิดทางละเมิด ตามมา ๓.๖. ผู้เช่า ต้องเข้าครอบครองทรัพย์ที่เช่าแล้ว ผู้เช่าทรัพย์จะเป็นผู้เสียหายจากการกระทำละเมิด ในทรัพย์ที่ตนเองเช่าได้ก็ต่อเมื่อผู้เช่าทรัพย์ครอบครองใช้ประโยชน์ในทรัพย์นั้นแล้ว หากเพียงแต่ทำสัญญา เช่า แต่ยังไม่ได้เข้าครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในทรัพย์ที่เช่านั้น ถือว่าผู้เช่าก็มีเพียงบุคลสิทธิในอันที่จะ เรียกร้องให้ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่า ดังนั้น หากมีผู้มาทำละเมิดทรัพย์ที่เช่า เช่นนี้ ไม่ถือว่าผู้เช่าเป็นผู้เสียหาย ฎีกาที่ ๒๕๐๔/๒๕๕๑ แม้โจทก์จะมีสิทธิใช้สอยตึกพิพาทในฐานะเป็นผู้เช่าตามสัญญาเช่า แต่โจทก์ ก็ยังไม่เคยเข้าครอบครองตึกพิพาทตามสัญญาเช่ามาก่อน ที่จำเลยและบริวารอยู่ในตึกพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิ ของ จ. ไม่ได้อาศัยสิทธิของโจทก์ การที่จำเลยและบริวารยังคงอยู่ในตึกพิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการ ละเมิดต่อเจ้าของตึกหาใช่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่ารายใหม่ไม่ จำเลยจึงไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ เนื่องจากโจทก์กับจำเลยต่างไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้ออก จากตึกพิพาทโดยลำพังได้
6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แต่ถ้าเจ้าทรัพย์ที่เช่ามอบอำนาจให้โจทก์ซึ่งผู้เช่ารายใหม่ฟ้องคดีแทน เช่นนี้ แม้โจทก์ยังไม่ได้ เข้าครอบครองทรัพย์ที่เช่า โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องขับไล่ผู้ที่อยู่ในตึกได้ ฎีกาที่ ๕2๓/๒๕๖๒ โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อก่อสร้างอาคารและ ดำเนินการจัดหาประโยชน์ โจทก์ได้รับมอบสถานที่เช่าตามสัญญาแล้ว ซึ่งตามสัญญาเช่าที่ดินระบุให้อาคาร ที่ผู้เช่าก่อสร้าง สิ่งปลูกสร้างและส่วนควบตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง กำหนดเป็น หน้าที่ของผู้เช่าต้องสำรวจ ศึกษาพื้นที่โครงการ ผู้บุกรุก ผู้ประกอบการเดิม ที่อยู่ในพื้นที่เช่า หากมีปัญหา หรืออุปสรรคในการดำเนินงานผู้เช่าต้องรับภาระในการดำเนินการและแก้ไข โดยเสียค่าใช้จ่ายด้วยทุนทรัพย์ ของผู้เช่าเอง อันมีความหมายว่า หากต้องมีการฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกหรือผู้อยู่อาศัยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ออกไปจากสถานที่เช่า ผู้ให้เช่าให้อำนาจแก่ผู้เช่าหรือมอบหมายให้ผู้เช่าฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกหรือผู้อยู่อาศัย แทนผู้ให้เช่าได้ โดยผู้เช่าเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้การก่อสร้างอาคารและดำเนินการจัดหาประโยชน์เป็นไป ตามวัตถุประสงค์ของสัญญา ถือได้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยได้มอบหมายให้โจทก์ผู้เช่ามีอำนาจฟ้องผู้บุก รุกที่ดินที่เช่าตามข้อสัญญาดังกล่าวเพื่อโจทก์ผู้เช่าจะได้นำที่ดินที่เช่ามาใช้ประโยชน์ตามสัญญา ฉะนั้น แม้ จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทยและโจทก์ยังไม่ได้ เข้าครอบครองที่ดินพิพาทก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้รับมอบสถานที่เช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทยผู้ให้เช่า แล้วไม่สามารถก่อสร้างอาคารได้เพราะจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิ และโจทก์มีหนังสือบอก กล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์มี อำนาจฟ้องขับไล่จำเลยโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าที่ดินที่ทำกับการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ ๓.๗. ผู้รับฝาก ผู้รับฝากมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินที่ตนเองรับฝากไว้ หากรับฝากโดยไม่มีค่าตอบแทน ก็ต้องรักษาทรัพย์ที่ฝากดังเช่นวิญญูชนดูแลทรัพย์สินของตนเอง ถ้ารับฝากโดยมีบำเหน็จ ก็ต้องดูแลของที่ ตนรับฝากอย่างผู้ประกอบวิชาชีพ เมื่อรับฝากแล้วมีคนร้ายมาลักทรัพย์ที่ฝากไป ก็ถือว่าผู้รับฝากเป็น ผู้เสียหายฐานละเมิดได้ด้วย ฎีกาที่ ๒๒๐๕/๒๕๔๒ การที่คนร้ายลักเอาทรัพย์สิน ในตู้นิรภัยไปถือเป็นความบกพร่องในหน้าที่ ของจำเลยที่ 1ในการดูแลป้องกันภัยแก่ทรัพย์สิน ความระมัดระวังของจำเลยที่ 1 จึงไม่พอ เป็นการละเมิด ต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงต้องรับผิด ชดใช้แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ทรัพย์บางรายการโจทก์ที่ 1 และที่ 2 รับ ฝากไว้จาก อ.โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จึงมีนิติสัมพันธ์ที่จะต้องรับผิดชอบต่ออ. ย่อมถือเป็นความเสียหายที่เกิด แก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2ซึ่งจำเลยที่ 1 มีหน้าที่รับผิดชอบเช่นกัน ๓.๘. ผู้จะซื้อ ในกรณีที่มีการทำสัญญาจะซื้อ แล้วต่อมาทรัพย์สินที่ทำสัญญาจะซื้อนั้นถูก ทำละเมิด อาจารย์ถามว่ากรณีนี้ผู้จะซื้อเป็นผู้เสียหายมีสิทธิที่จะฟ้องละเมิดได้หรือไม่ ฎีกาที่ ๖๖๔/๒๕๓๔ บรรยายฟ้องว่า จำเลยรื้อถอนอาคารที่ติดกับอาคารโจทก์โดยไม่ถูกต้องตาม หลักวิชา ทำให้อาคารของโจทก์ได้รับความเสียหายแตกร้าว โจทก์ต้องก่อสร้างอาคารใหม่ ทั้งเป็นเหตุทำให้ โจทก์ขาดรายได้จากการขายอาหารเพราะลูกค้าไม่กล้าเข้าร้านอาคารโจทก์ที่ใช้ประกอบกิจการค้าขาย อาหาร ดังนี้ เป็นคำฟ้องที่บรรยายเกี่ยวกับความเสียหายและค่าเสียหายชัดแจ้งแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายที่โจทก์ไม่ได้ระบุในคำฟ้องนั้นโจทก์อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา เหตุ
7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ละเมิดที่ทำให้อาคารได้รับความเสียหาย เกิดขึ้นในขณะที่โจทก์ในฐานะผู้จะซื้อครอบครองอาคารดังกล่าว แทนผู้จะขายโจทก์จึงมีแต่เพียงบุคคลสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนแต่เฉพาะใน ส่วนที่ทำให้โจทก์ขาดรายได้จากการขายอาหารในอาคารดังกล่าวซึ่งเป็นผลโดยตรงเท่านั้น โจทก์ไม่อาจใช้ สิทธิในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ที่จะเรียกค่าเสียหาย ที่เกิดแก่ตัวอาคารเพราะสิทธินั้นเป็นของผู้จะขายอาคารเท่านั้น การที่โจทก์จะให้ผู้ว่าจ้างรับผิดร่วมกับผู้รับ จ้างที่กระทำละเมิดต่อโจทก์นั้น โจทก์มีภาระต้องพิสูจน์ว่าผู้ว่าจ้างเป็นผู้ผิดในการเลือกหาผู้รับจ้างหรือเป็นผู้ ควบคุมดูแลผู้รับจ้างที่ทำละเมิดนั้นเมื่อโจทก์สืบไม่ได้ ผู้ว่าจ้างไม่ต้องรับผิดในผลละเมิดที่ผู้รับจ้างได้กระทำขึ้น ๓.๙ บุคคลสาธารณะ ฎีกาที่ ๔๘๙๓/๒๕๕๘ แม้จำเลยทั้งสองจะเป็นสื่อมวลชน มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาหรือสื่อความหมายโดยวิธีอื่น ๆ แต่ก็หาอาจกระทำการใด ๆ ที่เป็น การก้าวล่วงหรือกระทบกระเทือนต่อสิทธิในความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่น การที่จำเลยทั้งสองนำข่าวการมี เพศสัมพันธ์ของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ๆ เคยนำเสนอภาพและข่าวไปก่อนหน้านั้น แต่ยัง ไม่ได้ระบุว่าชายหญิงในภาพเป็นใครมาเผยแพร่ซ้ำโดยระบุในเนื้อข่าวว่า ชายในภาพที่กำลังมีเพศสัมพันธ์กับ หญิงคนรักคือโจทก์ ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำที่เป็นการก้าวล่วงหรือกระทบกระเทือนต่อสิทธิในความเป็น ส่วนตัวของโจทก์ จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายต้องแจ้ง ชื่อ ลักษณะแห่งความผิดและพฤติการณ์ต่าง ๆ ต่อพนักงานสอบสวนเป็นหน้าที่ที่ผู้เสียหายต้องกระทำใน การร้องทุกข์กล่าวโทษ จะถือว่าโจทก์ยินยอมเปิดเผยชื่อและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อสาธารณชนหาได้ไม่ แม้ โจทก์จะเป็นนักการเมือง เป็นบุคคลสาธารณะ แต่ก็ย่อมมีสิทธิของความเป็นส่วนตัว มิใช่ว่าเมื่อเป็น นักการเมืองหรือบุคคลสาธารณะแล้วจะทำให้สิทธิในความเป็นส่วนตัวต้องสูญสิ้นไปทั้งหมด การกระทำของ จำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 แต่มิใช่เป็นการ กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงตาม มาตรา 423 โจทก์จึงไม่อาจเรียกให้จำเลย ทั้งสองรับผิดในความเสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณและความเสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญ ของตนโดยประการอื่นตามมาตรา 423 ได้ โดยจำเลยทั้งสองต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น และแม้จะ มีบุคคลอื่นกระทำละเมิดด้วยก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับผู้กระทำละเมิดรายนั้น ๆ มิใช่เหตุตามกฎหมายที่ จำเลยทั้งสองจะยกขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลปรับลดค่าเสียหายที่ตนต้องรับผิดลง แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 34 จะบัญญัติคุ้มครองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว และมาตรา 28 บัญญัติ ให้ผู้ถูกกระทำละเมิดสามารถยกขึ้นเพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้และรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มีบทบัญญัติในทำนองเดียวกันนี้ก็ตาม แต่การที่จะพิจารณาว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่กำหนดสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบระหว่างบุคคลไว้เป็นการเฉพาะ จบการบรรยาย
1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ ๑/๗6 วิชา ละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ บรรยายวันที่ 26 มิถุนายน ๒๕๖6 (ครั้งที่ 5) (สัปดาห์ที่ 6) สวัสดีนักศึกษานะครับ วิชานี้เป็นกฎหมายละเมิด คราวที่แล้วเราอยู่ในหัวข้อใหญ่ว่าองค์ประกอบ ของบทบัญญัติในมาตรา 420 นั้น ก็คือการพิจารณาว่าการกระทำเป็นละเมิดหรือไม่ แล้วเราไล่เรียง ข้อกฎหมายมาถึงข้อที่ 1.3 ถึงเรื่อง“การกระทำต่อบุคคลอื่น” และในชั่วโมงที่ผ่านมานั้น เราก็ได้ลงใน รายละเอียดคำว่า “ผู้อื่นซึ่งถูกทำละเมิดนั้น” ใครจะอยู่ในฐานะที่เป็นผู้เสียหายได้บ้าง วันนี้เราจะมาต่อในหัวข้อของคำว่า “บุคคลอื่นที่อยู่ในฐานะเป็นผู้ซึ่งถูกทำละเมิดและสามารถที่จะ ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดได้” ให้จบ สำหรับประเด็นของการเป็นผู้เช่านั้น นักศึกษาคงจะจำได้นะครับ ว่าผู้เช่านั้น มีสิทธิในทรัพย์สินที่เช่าโดยอาศัยสัญญาเช่า ซึ่งโดยหลักแล้วสัญญาเช่านั้น เราถือว่าเป็น บุคคลสิทธิในระหว่างผู้เช่ากับผู้ให้เช่า หากตราบใดที่ผู้เช่ายังไม่ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่ตนเองทำสัญญา เช่าไว้ปรากฏว่าต่อมามีบุคคลอื่นมาทำละเมิด ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็แล้วแต่กับทรัพย์สินที่ทำสัญญาเช่า กรณีนี้ ถือว่าผู้เช่าที่ยังไม่ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินนั้น ไม่เป็นผู้เสียหายที่จะมีสิทธิเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดได้ เพราะถือว่ายังเป็นบุคคลสิทธิ แต่หากเมื่อใดก็ตามที่ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินแล้ว ผู้เช่าก็จะมีสิทธิ ในฐานะที่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามสัญญาเช่าและในกรณีที่ผู้เช่ายังไม่ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินที่เช่า หากต้องการจะดำเนินคดีฐานละเมิด ก็จะต้องอาศัยสิทธิเรียกร้องของผู้ให้เช่าหรืออีกนัยหนึ่ง คือเข้ามา ดำเนินคดีในฐานะที่เป็นตัวแทนของตัวการคือเจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่าก็ได้ ฎีกาที่ 523/2562 โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อก่อสร้างอาคารและ ดำเนินการจัดหาประโยชน์โจทก์ได้รับมอบสถานที่เช่าตามสัญญาแล้ว ซึ่งตามสัญญาเช่าที่ดินระบุให้อาคาร ที่ผู้เช่าก่อสร้าง สิ่งปลูกสร้างและส่วนควบตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง กำหนดเป็น หน้าที่ของผู้เช่าต้องสำรวจศึกษาพื้นที่โครงการ ผู้บุกรุกผู้ประกอบการเดิมที่อยู่ในพื้นที่เช่า หากมีปัญหาหรือ อุปสรรคในการดำเนินงานผู้เช่าต้องรับภาระในการดำเนินการและแก้ไข โดยเสียค่าใช้จ่ายด้วยทุนทรัพย์ของ ผู้เช่าเอง อันมีความหมายว่า หากต้องมีการฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกหรือผู้อยู่อาศัยให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป จากสถานที่เช่า ผู้ให้เช่าให้อำนาจแก่ผู้เช่าหรือมอบหมายให้ผู้เช่าฟ้องขับไล่ผู้บุกรุกหรือผู้อยู่อาศัยแทนผู้ให้ เช่าได้โดยผู้เช่าเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายเพื่อให้การก่อสร้างอาคารและดำเนินการจัดหาประโยชน์เป็นไปตาม วัตถุประสงค์ของสัญญา ถือได้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยได้มอบหมายให้โจทก์ผู้เช่ามีอำนาจฟ้องผู้บุกรุก ที่ดินที่เช่าตามข้อสัญญาดังกล่าวเพื่อโจทก์ผู้เช่าจะได้นำที่ดินที่เช่ามาใช้ประโยชน์ตามสัญญา ฉะนั้น แม้จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทก่อนโจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟแห่งประเทศไทยและโจทก์ ยังไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ได้รับมอบสถานที่เช่าจากการรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้ให้เช่าแล้วไม่สามารถก่อสร้างอาคารได้เพราะจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีสิทธิและโจทก์มี หนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของ โจทก์โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าที่ดินที่ทำกับการรถไฟแห่งประเทศไทยได้
2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง (๔.) โดยผิดกฎหมาย (Unlawfully) การละเมิด ต้องเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย กล่าวคือ เป็นการกระทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย หมายความว่า ทำให้เขาเสียหายในสิทธิเด็ดขาด คือ ชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สิน หรือสิทธิเด็ดขาดอย่างอื่นโดยไม่มีสิทธิหรือข้อแก้ตัวตามกฎหมาย (ถ้ามีสิทธิ ก็จะเป็นเรื่องตามมาตรา ๔๒๑ คือเป็นการใช้สิทธิเกินส่วน อันมีแต่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น) แต่ไม่ จำเป็นต้องมีกฎหมายบัญญัติโดยชัดแจ้งดังเช่นประมวลกฎหมายอาญาตามมาตรา 2 ข้อสังเกต กรณีที่เป็นข่าวในเรื่องของเรือไททันที่ผ่านมา เรามาลองวิเคราะห์กันดูว่ากรณีนี้มีเหตุ ละเมิดเกิดขึ้นหรือไม่แล้วบุคคลใดบ้างที่จะต้องมีส่วนรับผิดชอบ คำตอบ กรณีนี้จะเห็นได้ว่าเจ้าของเรือไททันนั้นเสียชีวิตด้วย แต่แม้เจ้าของเรือไททันจะเสียชีวิต ในทางกฎหมายก็ไม่จบเพียงเท่านี้เพราะในเรื่องการทำละเมิดนั้น มันจะตกไปถึงทรัพย์มรดกหรือทรัพย์สิน ทายาททั้งหลายจะต้องรับผิดเท่าที่ตนเองรับมรดกมาจากเจ้ามรดกผู้ทำละเมิด ซึ่งการวิเคราะห์ของเราใน เรื่องนี้เราจะเอาเฉพาะกฎหมายไทยมาปรับใช้จะไม่นำกฎหมายแคนาดาหรือสหรัฐอเมริกามาปรับใช้ นะครับ ในเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า ทางบริษัทนั้นรู้อยู่แล้ว เพราะพนักงานบริษัทของตัวเอง แจ้งว่าเรือมีปัญหา เนื่องจากวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ไม่แน่ใจว่าจะทนทานต่อแรงบีบอัดของน้ำได้หรือไม่ ในเรื่องนี้อาจารย์อยากจะให้นักศึกษาลองวิเคราะห์ดูว่ามีการทำละเมิดหรือไม่ ก่อนอื่นเราต้อง วินิจฉัยเสียก่อนว่า การที่เรือไททันนำผู้เสียชีวิตลงไปสำรวจเรือไททานิคนั้น จะถือว่าเป็นสัญญาจ้างทำของ หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีข้อเท็จจริงเพิ่มเติมนะครับว่าขณะทำสัญญานั้น บริษัทของรอบคอบมากเพราะมีการ ทำข้อตกลงเอาไว้ข้อหนึ่งว่า หากเกิดอุบัติเหตุใดๆไม่ว่าแก่ ร่างกาย ชีวิต หรือทรัพย์สิน ผู้ที่ลงไปกับเรือ จะไม่ติดใจที่จะว่ากล่าวเอาความกับทางบริษัท ซึ่งเมื่อเกิดเหตุขึ้นมาแล้ว นักศึกษาอย่าลืมว่าการจะเป็น ละเมิดจะต้องมีการกระทำเข้ามาเป็นองค์ประกอบ ซึ่งการที่บริษัทซึ่งเป็นเจ้าของเรือไททันพาลงไปสำรวจ เรือไททานิคนั้น ถือว่าผู้ที่พาไปมีหน้าที่ที่จะต้องอำนวยความสะดวกและต้องดูแลในเรื่องรักษาความ ปลอดภัย ซึ่งหน้าที่นั้น ก็เกิดจะขึ้นจากสัญญา เพราะมีการทำสัญญาว่าจ้างเพื่อไปท่องเที่ยวหรือไปสำรวจ เรือไททานิค เพราะฉะนั้น กรณีนี้ต้องถือว่าหน้าที่นั้นเกิดขึ้นจากสัญญา เพราะฉะนั้น ต้องถือว่าบริษัท มีหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัย แต่ประเด็นคือทางบริษัทได้แจ้งกับทางลูกเรือที่ลงไปสำรวจหรือไม่ ว่าเรือได้มาตรฐานหรือ ไม่ได้มาตรฐาน ได้แจ้งหรือไม่ว่าเรือสามารถทนแรงบีบอัดได้เป็นจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งอาจารย์เชื่อว่า หากทาง บริษัทได้แจ้งหรือได้บอกกล่าว ก็คงจะไม่มีใครกล้าลงไปในเรือแน่นอน ดังนั้นเราจึงต้องพิจารณาว่า ทางบริษัทมีหน้าที่ต้องบอกเรื่องนี้ให้ลูกเรือทราบหรือไม่ เพราะหากมีหน้าที่ต้องบอกกล่าว แต่ไม่ได้บอก ก็ต้องถือว่าเป็นการงดเว้นหน้าที่ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่า เมื่อเรือไททันลงไปในท้องทะเลแล้ว ทนแรงบีบอัดไม่ไหว จึงยุบตัวจากด้านนอกเข้ามา เป็นเหตุให้ลูกเรือเสียชีวิตทั้งหมด กรณีนี้เราถือว่า เป็นผลจากการที่บริษัทนำเรือรับผู้โดยสารลงไปใต้ท้องทะเล ซึ่งถือว่าเป็นผลโดยตรงและความตายหรือ ความเสียหายที่เกิดขึ้น ก็เป็นผลโดยตรงจากการที่เรือระเบิด และเรือระเบิดก็เกิดจากการที่บริษัทผลิตเรือ ที่ไม่ได้มาตรฐานและไม่ได้แจ้งหรือบอกให้ผู้โดยสารหรือลูกเรือทราบถึงความเสี่ยงดังกล่าว แต่ถ้าเกิดว่า
3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง บริษัทได้แจ้งแก่ทางลูกเรือหรือผู้โดยสารแล้ว ในเรื่องที่เรืออาจจะทนแรงบีบอัดของน้ำทะเลไม่ไหว แต่ผู้โดยสารยังลงไปในเรือ ประเด็นนี้ข้อกฎหมายก็จะแตกต่างออกไป แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าบริษัทไม่ได้ บอกกล่าวแก่ทางลูกเรือหรือผู้โดยสารและหากเราใช้กฎหมายของไทยเราวินิจฉัยในเรื่องละเมิด อาจารย์ก็เห็นว่า กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการทำละเมิด ส่วนจะเรียกค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทน ได้เพียงใด ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง การกระทำโดยผิดกฎหมาย เช่น กรณีดังต่อไปนี้ ๔.๑. ผิดกฎหมายแพ่ง หากมีการกระทำให้เกิดความเสียหายต่อสิทธิตามกฎหมายแพ่งทั้งหลาย การกระทำนั้น ก็อยู่ในข่ายของการทำละเมิดได้ ฎีกาที่ ๑๑๖๓๒/๒๕๕๔ จำเลยที่ 2 ร่วมเดินทางไปกับหัวหน้างานบัญชีของบริษัทสยาม เจเนอรัลแฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง เพื่อไปส่งมอบหนังสือบอกกล่าวการโอนสิทธิ เรียกร้องให้แก่กองพลาธิการ กรมตำรวจ ย่อมบ่งชี้ชัดว่าจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่า การโอนสิทธิเรียกร้องในการ รับเงินค่าสินค้าจากโจทก์ของจำเลยที่ 1 ให้แก่บริษัทสยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) มีผลสมบูรณ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 306 วรรคหนึ่ง อันเป็นผลให้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ 1 ในการรับเงินค่าสินค้าผ้า จากโจทก์ตกเป็นของบริษัทสยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง จำกัด (มหาชน) และจำเลยที่ 1 หมดสิทธิที่จะรับเงิน ดังกล่าวจากโจทก์แล้ว ดังนั้นต่อมาเมื่อโจทก์ตรวจรับมอบสินค้างวดที่ 1 จากจำเลยที่ 1 แล้ว เจ้าหน้าที่ของ โจทก์ได้โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบเพื่อให้ไปรับเงินค่าผ้าในงวดที่ 1 อีก ไม่ว่าจะเป็นเพราะความ ผิดพลาดในการตรวจสอบเอกสาร หรือความเข้าใจผิดใดก็ตาม การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ของจำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้พนักงานของจำเลยที่ 1 ไปรับเงินจากกองพลาธิการ กรมตำรวจ แทนจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิที่จะรับเงินจำนวนดังกล่าวจากโจทก์ได้อีก การกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว ย่อมเป็นการกระทำในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 โดยมีเจตนาที่ไม่สุจริตอันถือได้ ว่าจำเลยที่ 2 กระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายทำให้โจทก์เสียหาย จึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ตาม ป. พ.พ. มาตรา 420 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ทำละเมิดจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 นิติบุคคลเจ้าของกิจการที่ จำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำการแทนรับผิดคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 และ มาตรา 1167 ประกอบมาตรา 427 ฎีกาที่ ๒๗๓๐/๒๕๖๒ (ออกสอบไปแล้ว) หากจำเลยทั้งสองเห็นว่าโจทก์ไม่ทำการซ่อมรถยนต์ พิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ ภายในเวลาอันสมควรเป็นการผิดสัญญาต่อจำเลยที่ ๑ จำเลยทั้งสองก็ชอบที่จะบอก เลิกสัญญาแก่โจทก์แล้วนำรถยนต์พิพาทกลับคืนมา ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ว่าเกิดจากการผิดสัญญา ของโจทก์หรือเกิดจากการกระทำละเมิดของโจทก์ก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองจะต้องไปว่ากล่าวเอาแก่โจทก์ อีกสวนหนึ่ง การที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมไปรับรถยนต์พิพาทคืนทั้งที่อยู่ในวิสัยที่คาดหมายได้ว่าโจทก์ไม่ ดำเนินการซ่อมระบบเบรกรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองอย่างแน่นอน โดยยังคงจอดรถยนต์พิพาททิ้งไว้ บริเวณศูนย์บริการของโจทก์มาเป็นเวลาหลายปี เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในการที่จะ ใช้ประโยชน์ในสถานที่ที่จำเลยทั้งสองจอดรถยนต์พิพาททิ้งไว้ การที่โจทก์มาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรับ
4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง รถยนต์พิพาทกลับคืนไปและชำระค่าเสียให้แก่โจทก์ทั้งนั้น จึงมิใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือโจทก์จึงมี อำนาจฟ้อง ฎีกาที่ 1515/2564 โจทก์ได้จดทะเบียนให้ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในบังคับภาระจำยอมเรื่อง ทางเดิน ทางรถยนต์ไฟฟ้า ประปา ตลอดจนสาธารณูปโภคต่างๆของที่ดินของจำเลย จำเลยเจ้าของ สามยทรัพย์ดังกล่าวย่อมมีสิทธิใช้ภาระจำยอมในที่ดินภารยทรัพย์ของโจทก์เฉพาะใช้เป็นทางเดิน ทางรถยนต์ไฟฟ้า ประปา ตลอดจนสาธารณูปโภคต่างๆตามที่โจทก์ได้จดทะเบียนให้สิทธิไว้เท่านั้น โดยจำเลยไม่มีสิทธิทำการเปลี่ยนแปลงในสามยทรัพย์ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1388 การที่จำเลยทำการติดตั้งตะแกรงเหล็กสูงจากพื้นดินประมาณ 3.70 เมตร ที่ผนังของอาคาร ของจำเลยล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ประมาณ 30 ถึง 50 เซนติเมตร ถือว่าจำเลยได้ทำการเปลี่ยนแปลง ในสามยทรัพย์ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ของโจทก์เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมและให้จำเลยรื้อถอน ตะแกรงเหล็กดังกล่าวออกไป แต่จำเลยไม่รื้อถอนตะแกรงเหล็กดังกล่าวจึงเป็นการจงใจกระทำละเมิดต่อ โจทก์โดยผิดกฎหมายย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแก่สิทธิที่จะใช้สอยในแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินของตนซึ่ง กินพื้นที่เหนือพื้นดิน หากโจทก์จะติดตั้งเสาไฟบนที่ดินเพื่อเพิ่มความสว่างบริเวณโดยรอบก็ไม่สามารถทำได้ หรือหากเกิดเหตุด่วนอันตราย เช่น เกิดอัคคีภัย การเข้ามาช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่จะเป็นไปอย่าง ยากลำบากเพราะติดตะแกรงเหล็กดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความ เสียหายดังกล่าของโจทก์ได้ 4.2 การกระทำผิดกฎหมายอาญา ฎีกาที่ 7294/2556 ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ก่อเหตุท้าชกต่อยขึ้นก่อน เมื่อ ว. เข้าร่วมในการท้าทายและเกิดชกต่อยต่อสู้กัน จึงเท่ากับทั้งสองฝ่ายยินยอมเข้าเสี่ยงภัยจากการทะเลาะวิวาท นั้น ซึ่งหากเหตุการณ์ดำเนินไปเพียงเท่านี้ การกระทำของทั้งสองฝ่ายย่อมไม่ก่อให้เกิดความรับผิดฐานละเมิด แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ใช้มีดดาบเป็นอาวุธทำร้ายโจทก์ที่ 1 กรณีจึงต้องถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกินเลยไปกว่าที่ โจทก์ที่ 1 ได้สมัครใจเข้าเสี่ยงภัยกับ ว. เหตุนี้การที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายร่างกายโจทก์ที่ 1 ด้วยอาวุธมีดดาบให้ ได้รับอันตรายแก่กาย จึงเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้อง เพราะฉะนั้น จากคำพิพากษาของศาลฎีกานี้จะเห็นได้ว่าการสมัครใจทะเลาะวิวาทซึ่งเป็นการ กระทำผิดต่อกฎหมายอาญานั้น เราไม่ถือว่าเป็นการทำละเมิด แต่ถ้ามีการกระทำเกินเลยไปจากการสมัครใจ เช่นนี้ฝ่ายที่ทำเกินเลยก็ถือว่าทำละเมิดได้ ฎีกาที่ 4207/2551 เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดและผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาแล้ว ผู้เช่าจำต้องออกไปจาก ที่เช่า เมื่อสัญญาเช่าเลิกต่อกันแล้วผู้เช่าไม่ยอมออกไปจากที่เช่า ผู้ให้เช่าชอบที่จะใช้สิทธิฟ้องร้องทางศาล เนื่องจากผู้เช่ากระทำการอันเป็นการโต้แย้งสิทธิผู้ให้เช่าตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 สิทธิของผู้ให้เช่าที่จะขับไล่ ให้ผู้เช่าออกจากที่เช่าต้องกระทำโดยทางศาลให้ศาลเป็นผู้บังคับ ผู้ให้เช่าหามีสิทธิที่จะทำการบุกรุกเข้าไป ปิดประตูใส่กุญแจห้ามมิให้กรรมการผู้จัดการของผู้เช่าเข้าไปภายในอาคารไม่ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองเข้า ไปในอาคารของโจทก์แล้วทำการปิดประตูใส่กุญแจห้ามมิให้กรรมการผู้จัดการของโจทก์เข้าไปภายในอาคาร จึงเป็นการทำละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420
5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กรณีผิดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เช่น การที่ผู้ให้เช่าไม่ใช้วิธีการฟ้องหรือใช้สิทธิเรียกร้อง ทางศาลในการฟ้องขับไล่แล้วเรียกค่าเสียหาย แต่ใช้วิธีโดยพลการไปปิดประตูใส่กุญแจห้ามไม่ให้ผู้เช่า ใช้ประโยชน์ในอาคาร หรือในกรณีของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่เข้าไปยึดทรัพย์ของลูกหนี้เองโดยพลการ กฎหมายไม่ได้รับรองสิทธิของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะไปบังคับคดีเอง เช่นนี้หากไปกระทำการดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นการทำละเมิด ฎีกาที่ 6101/2558 แม้ว่าจำเลยจะชนะคดีและเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีที่จำเลยเป็น โจทก์ยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยตามคำพิพากษาศาลฎีกาก็ตาม แต่จำเลยมีสิทธิอย่างไรตามคำ พิพากษาดังกล่าว ก็ชอบที่ต้องไปดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือต้องไปว่ากล่าวฟ้องร้องเอากับ โจทก์อีกส่วนต่างหาก การที่จำเลยพาพวกและบริวารบุกรุกเข้าไปในโรงแรมของโจทก์โดยพลการ จึงเป็นการ กระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย ทำให้โจทก์เสียหายอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 กรณีทำผิดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เช่น กรณีเจ้าพนักงานตำรวจนั้น จะจับกุมหรือค้น บ้านบุคคลใดได้จะต้องมีหมายจับหรือหมายค้นตามกฎหมาย เว้นเสียแต่เข้าข้อยกเว้นที่สามารถจะจับและ ค้นในที่รโหฐานได้โดยไม่ต้องมีหมาย เพราะฉะนั้นหากไม่เข้าข้อยกเว้นแล้วไปกระทำการดังกล่าวโดยไม่มี กฎหมายรองรับ เช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมายและเป็นละเมิด ฎีกาที่ 6301/2541 จำเลยมียศพันตำรวจตรี ตำแหน่งรองสารวัตรสืบสวนจึงเป็นเพียงพนักงาน ฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(16) มิใช่สารวัตรตำรวจอัน เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามมาตรา 2(17)(ภ) จำเลยจะจับผู้ใดและค้นในที่รโหฐาน แห่งใดจึงต้องมีหมายจับและหมายค้นด้วย เว้นแต่จะต้องด้วยข้อยกเว้นให้จำเลยจับและค้นได้โดย ไม่ต้องมี หมายจับและหมายค้น ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 78 และมาตรา 92 เมื่อจำเลยจับโจทก์และค้นบ้านโจทก์ อันเป็นที่รโหฐานโดยไม่ปรากฏว่ามีหมายจับและหมายค้นอันถูกต้อง ทั้งไม่ต้องด้วย ข้อยกเว้นตามกฎหมาย ที่จะจับและค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย ดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว การกระทำของจำเลยเป็นเรื่องจงใจทำต่อโจทก์ โดยผิดกฎหมายซึ่งเป็นละเมิด เมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำดังกล่าวของจำเลย จำเลยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 การกระทำผิดต่อ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ฎีกาที่ 1808/2561 การที่จำเลยใช้กลฉ้อฉลในการทำสัญญาด้วยการปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืน เป็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภคทั้งสองซึ่งประสงค์จะซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่ออยู่อาศัย โดยการไม่ได้ให้คำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าที่จำเลยขายแก่ผู้บริโภคทั้ง สอง อันเป็นการโฆษณาที่ใช้ข้อความไม่เป็นธรรมโดยก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้า และตัดโอกาสของผู้บริโภคที่จะใช้ข้อมูลดังกล่าวตัดสินใจที่จะเข้าทำสัญญากับจำเลย ดังนั้นผู้บริโภคทั้งสอง จึงไม่ได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญาซื้อขายอันเป็นโมฆียะนี้ เป็นกรณีจำเลยละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ทั้งสองตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ที่มีมาตรา 4 ประกอบมาตรา 22 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.
6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 2522 รับรองไว้จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าติดตั้งโทรศัพท์ ค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ ค่า ประกันมิเตอร์ไฟฟ้าและน้ำประปา ค่าธรรมเนียมสัญญาจำนอง อากรสัญญากู้และนิติกรรม และค่าประกัน อัคคีภัย ซึ่งเป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกี่ยวเนื่องกับการที่จำเลยใช้กลฉ้อฉลในการปกปิดข้อเท็จจริง ซึ่ง ผู้บริโภคทั้งสองซื้อบ้านเพื่อการอยู่อาศัย สำหรับส่วนต่างราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นความเสียหายเช่น ที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การที่จำเลยใช้กลฉ้อฉลในการทำสัญญาโดยปกปิดข้อเท็จจริง โจทก์มีสิทธิเรียกร้อง จากจำเลยได้และศาลมีอำนาจคิดคำนวณให้ได้ตามพฤติการณ์แห่งคดี การกระทำโดยผิดต่อกฎหมาย ต้องไม่ใช่ผิดสัญญาแต่เพียงอย่างเดียว โดยการกระทำละเมิดนั้น เป็นการกระทำโดยผิดต่อกฎหมาย หากผิดสัญญาอย่างเดียวก็ถือว่าเป็นเรื่องของการผิดสัญญา แต่การผิด สัญญาจะเป็นการกระทำละเมิดหรือไม่ จะต้องพิจารณาว่าหากสิทธิตามสัญญานั้นมีอยู่ตลอดเวลา เช่นนี้ การไม่ปฏิบัติตามข้อสัญญาต้องถือว่าเป็นเพียงการผิดสัญญาอย่างเดียว แต่หากสัญญานั้นสิ้นสุดลงแล้ว แล้วมีการกระทำนอกเหนือจากที่สัญญาให้อำนาจไว้ เช่นนี้ ก็จะกลายเป็นการทำละเมิด ฎีกาที่ 400/2546 โจทก์ตกลงซื้อโต๊ะนักเรียนพร้อมเก้าอี้จากจำเลย การที่จำเลยส่งมอบโต๊ะ นักเรียนพร้อมเก้าอี้ชำรุดบกพร่อง เป็นกรณีที่จำเลยผิดสัญญาซื้อขาย มิใช่เป็นการกระทำโดยจงใจหรือ ประมาทเลินเล่อโดยผิดกฎหมายต่อบุคคลอื่นเป็นเหตุให้เขาเสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการ ละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ฎีกาที่ 6524/2539 การที่จำเลยไม่ยื่นคำแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้งดการบังคับคดีไว้ ชั่วคราวไม่ทันตามที่ตกลงไว้กับโจทก์ มิใช่กรณีกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิด กฎหมายตามมาตรา 420 แต่เป็นการผิดสัญญา ฎีกาที่ 494/2539 เมื่อจำเลยที่ 1 เอาที่ดินพิพาทไปทำสัญญาจะขายให้แก่จำเลยที่ 2 ย่อมทำให้ โจทก์เสียเปรียบอันเป็นการฉ้อฉลโจทก์ แต่ขณะทำนิติกรรมนั้น จำเลยที่ 2 มิได้รู้ความจริงในเรื่องนี้ โจทก์ ย่อมไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้ และการกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการกระทำเพื่อ หลีกเลี่ยงไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญาอันเป็นการผิดสัญญาเท่านั้น ยังมิใช่เป็นการกระทำต่อโจทก์โดย ผิดกฎหมายตามความหมายของ ป.พ.พ.มาตรา 420 จึงไม่เป็นละเมิด กรณีที่อาจเป็นทั้งการผิดสัญญาและเป็นละเมิดด้วย เช่น ฎีกาที่ 3814/2525 โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 รับขนส่งโจทก์ผู้โดยสารจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็น ลูกจ้างจำเลยที่ 1 ยกสิ่งของของโจทก์ให้แก่ผู้โดยสารอื่นไปโดยปราศจากความระมัดระวังทำให้โจทก์ เสียหาย เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ด้วย จำเลยจึงอาจต้องรับผิดทั้งในด้าน สัญญาและละเมิดพร้อม ๆ กัน ซึ่งโจทก์มีสิทธิจะฟ้องอย่างไรก็ได้ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในมูล ละเมิดจึงไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย
7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง *ฎีกาที่ 2378/2564 ระเบียบของโจทก์ว่าด้วยการรับจ่ายและเก็บรักษาเงิน พ.ศ. ๒๕๕0 ข้อ ๒๖ กำหนดว่า “การจ่ายเงินของสหกรณ์ให้กระทำได้ดังนี้(๒) การจ่ายเงินเป็นจำนวนมากให้แก่สมาชิก หรือกรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ให้จ่ายเป็นเช็ค ยกเว้นถ้าผู้รับเงินประสงค์จะได้จ่ายเป็นเงินสด...” และข้อ ๒๗ กำหนดว่า “ก่อนจ่ายเงินทุกครั้ง ผู้มีหน้าที่จ่ายต้องตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ และ ใบสำคัญประกอบการจ่ายเงินให้ถูกต้องเรียบร้อย...” ผู้จัดการสหกรณ์โจทก์มอบหมายให้จำเลยที่ ๑ จ่าย เงินกู้ได้โจทก์อนุมัติให้ป. และ ก. กู้ยืมเงินจากโจทก์ตามปกติแล้ว ป. และ ก. ต้องเป็นผู้รับเงินด้วยตนเอง การจ่ายเงินจำนวนมากเช่นในคดีนี้ต้องจ่ายเป็นเช็ค เว้นแต่ ป. และ ก. เจตนาขอเป็นเงินสด และหาก ป. และ ก. จะไม่รับเงินด้วยตนเอง ต้องทำหนังสือมอบอำนาจหรือมอบฉันทะให้บุคคลอื่นรับเงินแทน ซึ่งจำเลยที่ ๑ ต้องตรวจสอบหนังสือมอบอำนาจหรือมอบฉันทะให้ถูกต้องเสียก่อนจึงจะจ่ายเงินกู้ได้การที่ จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินกู้จำนวนมากเป็นเงินสดให้แก่ น. ซึ่งไม่ใช่ผู้มีสิทธิรับเงินตามสัญญา จึงเป็นการจ่ายเงินที่ ไม่ถูกต้องตามระเบียบ เป็นการละเมิดและเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ด้วย และถือไม่ได้ว่าโจทก์ มีส่วนผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๔๒ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง ที่จะมีผลให้จำเลยที่ ๑ รับผิดน้อยลง ส่วนจำเลยที่ ๒ แม้ไม่มีหน้าที่จ่ายเงินกู้ให้แก่สมาชิกผู้กู้โดยตรง แต่เมื่อจำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ควบคุมการ จ่ายเงินทุกประเภทให้เป็นไปตามระเบียบ แล้วไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๒ ควบคุมการจ่ายเงินสดของ จำเลยที่ ๑ ให้แก่ น. ให้ถูกต้องตามระเบียบ จึงเป็นการละเมิดและเป็นการผิดสัญญาจ้างแรงงานต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ในกรณีที่ผู้กระทำมีสิทธิที่จะกระทำได้ การกระทำนั้นย่อมไม่ผิดต่อกฎหมายและเมื่อไม่เป็นการ กระทำที่ผิดต่อกฎหมายแล้ว การกระทำนั้น ย่อมไม่เป็นละเมิด กรณีที่ถือว่าผู้กระทำมีสิทธิที่จะกระทำได้ อาจสืบเนื่องมาจาก 1.เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย 2.เป็นการใช้สิทธิตามสัญญา 3.เป็นการใช้สิทธิโดยอาศัยอำนาจตามคำพิพากษา 4.ความยินยอมทำให้ไม่เป็นละเมิด 1. การใช้สิทธิตามกฎหมาย หรือกฎหมายให้อำนาจ เช่น หากบุคคลใดได้รับความเสียหาย บุคคลนั้นก็ชอบที่จะใช้สิทธิร้องทุกข์หรือฟ้องคดีได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ปรากฏว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต กล่าวคือ ต้องไม่มีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นต้องถูกดำเนินคดี เพราะหากเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแล้ว ย่อมเป็นละเมิดได้ ฎีกาที่ 1812/2552 ในคดีมูลละเมิดฐานทำให้โจทก์เสียหายต่อร่างกาย เสรีภาพและชื่อเสียง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 นั้น จะต้องได้ความว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อกระทำให้โจทก์ต้อง เสียหายต่อร่างกาย เสรีภาพและชื่อเสียง และหากมีการใช้สิทธิทางศาลก็ต้องถึงขนาดที่ว่าจำเลยกระทำการ โดยไม่สุจริต จงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง จึงจะเป็นการกระทำละเมิด
8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 1354/2505 พนักงานสอบสวนยึดเรือของกลางไว้เกี่ยวกับ คดีอาญาเพื่อดำเนินการ สอบสวนโดยสมควรภายในกรอบอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา132 ย่อมไม่ เป็นละเมิด การใช้สิทธิฟ้องคดีอาญานั้น จะต้องเป็นการกระทำโดยสุจริต หากเป็นการฟ้องคดีโดยมีเจตนา กลั่นแกล้งผู้อื่น ย่อมถือว่าเป็นการทำละเมิดและต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากการฟ้องคดีโดย ไม่สุจริตนั้น ฎีกาที่ 594/2500 การที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยเป็นคดีอาญาต่อศาลนั้นถ้าไม่ได้ความว่า โจทก์ฟ้องโดยไม่สุจริตหรือแกล้งฟ้องแล้วการกระทำของโจทก์หาใช่เป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยทางแพ่ง ไม่จำเลยจะฟ้องขอให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายในการต่อสู้คดีหรือค่าเสียชื่อเสียงหรือค่าใช้จ่ายอย่างใดๆ ไม่ได้ ฎีกาที่ 10854/2559 จำเลยปลอมสัญญากู้เงินใช้เป็นหลักฐานฟ้องโจทก์ และนำสืบสัญญากู้เงิน ปลอมนั้นจนศาลรับฟังและพิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลย เป็นการทำให้โจทก์เสียหายและเป็นละเมิด ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ การใช้สิทธิฟ้องคดีแพ่งนั้น หากกระทำโดยไม่สุจริต ก็ถือว่าเป็นการทำละเมิดเช่นเดียวกัน ฎีกาที่ 3833/2528 การใช้สิทธิทางศาล หากกระทำโดยไม่สุจริต จงใจแต่จะให้โจทก์ได้รับความ เสียหาย โดยใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง ก็เป็นการกระทำละเมิดได้ ฎีกาที่ 752/2543 การที่บริษัทจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าสินค้าที่ค้างชำระ จากโจทก์ทั้งสองนั้นโดยทั่วไปถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย แต่ก็อาจจะเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ได้ หากจำเลยทั้งสองใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต โดยมุ่งประสงค์ให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองแต่เพียง อย่างเดียว ฎีกาที่ 528/2509 การที่เจ้าพนักงานที่ดินรับอายัดที่ดินไว้ ก็ไม่มีกฎหมายห้ามศาลมิให้ยึดหรือ อายัดที่ดินนั้นซ้ำอีก การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาขอให้ศาลยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นเป็น การใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ จึงไม่เป็นการทำละเมิด ฎีกาที่ 468/2527 โจทก์อายุเกินกว่า 80 ปี ไม่ได้ประกอบอาชีพทำนามา 10กว่าปีแล้ว อยู่กับ อ. บุตรโจทก์ซึ่งเป็นคนทำนาและค้าขายข้าวมีการปลูกบ้านใหม่อีกหลังติดกันเป็นแฝดจำเลยเข้าใจโดยสุจริต ว่า อ. ลูกหนี้จำเลยตามคำพิพากษาเป็นคนปลูกบ้านหลังใหม่ การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึด บ้านพิพาทของโจทก์ เป็นการใช้สิทธิในการบังคับคดีตามกฎหมายโดยสุจริต หาได้มีเจตนากลั่นแกล้งหรือ กระทำโดยความประมาทเลินเล่อเพื่อให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใดไม่ การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ข้อสังเกต กรณีทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของลูกหนี้โดยแท้แต่เข้าใจว่าเป็นของลูกหนี้ กรณีเช่นนี้จะเป็น ละเมิดหรือไม่ ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นกรณี ๆ ไป หากเข้าใจโดยสุจริตว่าเป็นของลูกหนี้และ ได้ยืนยันให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำยึดทรัพย์สินดังกล่าว ย่อมถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต ทั้งนี้ต้อง พิจารณาด้วยว่าทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดนั้น ตรงกับที่ระบุไว้ในการค้นหาทรัพย์สินหรือไม่
9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แต่หากข้อเท็จจริงมีพฤติการณ์เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทรัพย์สินของลูกหนี้อย่างแน่นอน แล้วยังยืนยันให้ เจ้าพนักงานบังคับคดีนำยึดทรัพย์สินอีก เช่นนี้ถือว่าประมาทและอาจถือว่าเป็นการกลั่นแกล้งอีกด้วย หากเป็นการฟ้องคดีตามสิทธิของตนโดยสุจริตตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ กรณีนี้ไม่ถือว่าเป็นละเมิด ฎีกาที่ 7824-7825/2551 การที่จำเลยเลือกฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีล้มละลาย โดยไม่ฟ้องเป็น คดีแพ่งสามัญก่อนนั้นเป็นเรื่องที่กฎหมายเปิดช่องให้จำเลยในฐานะเจ้าหนี้ใช้สิทธิทางศาลมากกว่าหนึ่งศาล ได้ตามแต่ที่จะเห็นสมควร โดยขึ้นอยู่กับสภาพและรูปเรื่องแต่ละคดีไป การกระทำย่อมไม่เป็นละเมิด ข้อสังเกต การฟ้องคดีล้มละลาย คือการที่ลูกหนี้เป็นบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่สามารถที่จะ ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ได้ โดยกฎหมายให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ในการฟ้องบังคับให้ชำระหนี้นั้นก่อน หรือเจ้าหนี้จะ เลือกฟ้องคดีล้มละลายเลยก็ย่อมกระทำได้ หากเข้าเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นไม่ว่าเจ้าหนี้ จะเลือกใช้สิทธิทางใด ก็ถือเป็นการใช้สิทธิทางศาลตามปกติ ฎีกาที่ 2458/2538 การปฏิบัติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ หรือการใช้สิทธิฟ้องหรือต่อสู้ คดีทางศาลรวมทั้งการอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความแพ่ง ไม่เป็นการทำละเมิด โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอม ยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วและโจทก์ขอให้มีการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเพื่อขาย ทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดและเพิกถอนการบังคับคดี ตลอดจนอุทธรณ์คำสั่งศาลในกรณีดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์บรรยายฟ้องไม่เป็น ละเมิดต่อโจทก์ ส่วนที่กรณีดังกล่าวทำให้การบังคับคดีต้องล่าช้าออกไปก็เป็นความจำเป็นซึ่งจะต้องดำเนิน กระบวนพิจารณาไปตามที่กฎหมายบังคับไว้โจทก์จะอ้างเอาเป็นเหตุเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง หาได้ไม่ ข้อสังเกต กระบวนการภายหลังจากการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ว่าจะมีการปฏิบัติ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ คู่ความชอบที่จะใช้สิทธิของตนตามกระบวนการเพื่อบังคับให้ เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หรือเพื่อบังคับให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามได้ อันเป็นการ ใช้สิทธิตามปกติที่กฎหมายรับรองไว้ ดังนั้นไม่ถือว่าเป็นการละเมิด ฎีกาที่ 10409/2555 ก่อนคดีนี้จำเลยได้นำหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทมาฟ้องให้โจทก์รับ ผิดแล้ว แต่ภายหลังตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ซึ่งศาลจังหวัดขอนแก่นได้พิพากษาไปตาม สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวและคำพิพากษาตามยอมถึงที่สุดแล้ว ผลของสัญญาประนีประนอม ยอมความย่อมทำให้สิทธิของจำเลยที่จะเรียกร้องให้โจทก์รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อเดิมเป็นอันระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 852 จำเลยคงมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชำระหนี้แก่ตนตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เท่านั้น เนื่องจากคำพิพากษาตามยอมย่อมมีผลผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง แต่สัญญา ประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา เมื่อ ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความระบุไว้เพียงว่าหากโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาผิดนัด
10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โจทก์ยินยอมให้จำเลยบังคับเอากับหนี้ที่เหลือได้ทั้งหมด โดยไม่มีข้อความใดระบุให้สิทธิแก่จำเลยติดตามยึด รถยนต์พิพาทคืน ดังนั้น เมื่อโจทก์ผิดนัดชำระหนี้ จำเลยก็ชอบที่จะร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไป ดำเนินการบังคับคดีเอากับหนี้ที่เหลือตามคำพิพากษาตามยอมทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยได้ทันทีเท่านั้นไม่มีสิทธิ ที่จะไปยึดรถยนต์พิพาทได้อีก การกระทำของจำเลยที่มอบหมายให้พนักงานของจำเลยไปยึดรถยนต์พิพาท แล้วนำออกขายทอดตลาดจึงเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์ โดยผิดกฎหมาย ทำให้โจทก์เสียหายอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่โจทก์ ข้อสังเกต แม้การที่บริษัทให้พนักงานดำเนินการยึดรถและนำออกขายทอดตลาดจะเป็นการ ดำเนินการตามสัญญาเช่าซื้อที่ได้ทำไว้กับผู้เช่าซื้อก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวถือว่าล่วงเลยเวลาที่จะบังคับตาม สัญญาแล้ว เนื่องจากมีการนำคดีมาฟ้องจนกระทั่งศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว และเมื่อศาลมี คำพิพากษาตามยอมแล้ว ผู้มีอำนาจบังคับคดีคือเจ้าพนักงานบังคับคดีของกรมบังคับคดี บริษัทไม่สามารถ จะดำเนินการเองโดยพลการได้ การกระทำโดยอาศัยข้อสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยไม่มี อำนาจ อันเป็นการกระทำละเมิดโดยจงใจ *ฎีกาที่ 1612/2562 โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รั้วกำแพงพิพาท แม้เป็นภารยทรัพย์ แต่ เมื่อถูกทำลายไปโดยผู้ไม่มีสิทธิ โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธินำแท่งปูนวางแทนรั้วกำแพงพิพาทเพื่อยังประโยชน์ การใช้รั้วกำแพงพิพาทให้คงอยู่ดังเดิม การกระทำของโจทก์ทั้งสองส่วนนี้จึงไม่เป็นการละเมิดต่อจำเลยทั้ง สาม อย่างไรก็ดี พื้นที่ส่วนที่เป็นทางสาธารณประโยชน์ ผู้ซื้อบ้านในโครงการรวมทั้งจำเลยทั้งสามมีสิทธิใช้ สัญจร โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธินำรถบรรทุกและแท่งปูนมาปิดกั้น การกระทำของโจทก์ทั้งสองเฉพาะส่วนนี้ เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำเลยทั้งสามกระทำละเมิดทุบทำลายกำแพงรั้วพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสอง จึงต้องคืน ทรัพย์สินอันโจทก์ทั้งสองต้องเสียไปเพราะละเมิดนั้น หรือชดใช้ราคาทรัพย์สิน โจทก์ทั้งสองชอบที่จะขอให้ บังคับจำเลยทั้งสามก่อสร้างรั้วกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กส่วนที่ถูกทุบทำลายไปให้กลับคืนสู่สภาพเดิม หาก จำเลยทั้งสามไม่ดำเนินการก็จะต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าก่อสร้างรั้วกำแพงดังกล่าว แม้โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธินำรถบรรทุกและแท่งปูนมาปิดกั้นถนนอันเป็นทางสาธารณประโยชน์ ซึ่ง จำเลยทั้งสามอ้างว่าทำให้ไม่สามารถนำรถบรรทุกวัสดุอุปกรณ์เข้าไปยังที่ดินของจำเลยทั้งสามส่วนที่อยู่นอก โครงการได้ อย่างไรก็ดี จำเลยทั้งสามไม่มีสิทธิทุบทำลายกำแพงรั้วพิพาท หากรั้วกำแพงพิพาทไม่ถูกทุบ ทำลาย จำเลยทั้งสามก็ไม่สามารถนำวัสดุอุปกรณ์ผ่านรั้วกำแพงพิพาทนั่นเอง การกระทำละเมิดของจำเลย ทั้งสามไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ อันจะอ้างต่อโจทก์ทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสามไม่สามารถนำรถบรรทุกวัสดุ อุปกรณ์เข้าไปยังที่ดินของจำเลยทั้งสาม จึงไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของโจทก์ทั้งสอง
11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กรณีที่มีกฎหมายให้อำนาจ ฎีกาที่ 2814/2517 พระราชบัญญัติการพิมพ์พุทธศักราช 2484 มาตรา 27 ใช้บังคับแก่ผู้ยื่น คำขออนุญาตซึ่งมีสัญชาติอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 24(3) หรือยื่นคำขอออกหนังสือพิมพ์เป็นภาษาอื่น นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 24(4) โจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทย และยื่นคำขออนุญาตออกหนังสือพิมพ์ ภาษาไทย จึงต้องบังคับตามมาตรา 24 วรรคแรก ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 17 ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2501 ข้อ 1. ซึ่งให้อำนาจเจ้าพนักงานการพิมพ์ใช้ดุลพินิจสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาต หรือสั่งเป็นประการอื่นตามความเหมาะสมแก่กรณีเป็นเรื่องๆ ไป ดังนั้น ที่จำเลยมีคำสั่งคำขอของโจทก์ว่า เห็นสมควรรอไว้ก่อนจนกว่าพระราชบัญญัติการพิมพ์ฉบับใหม่จะประกาศใช้จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยบท กฎหมายดังกล่าวข้างต้นไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์และไม่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 มาตรา 33 ที่ใช้บังคับอยู่ขณะนั้น ฎีกาที่ 1617/2519 เมื่อประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 74 ให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่จะ สอบสวนคู่กรณีในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดได้ สอบสวนโจทก์ก่อนที่จะดำเนินการจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทให้จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วย กฎหมาย และเมื่อปรากฏจากการสอบสวนตามถ้อยคำของโจทก์เองว่า โจทก์มีภริยาเป็นคนสัญชาติจีนซึ่ง เป็นคนต่างด้าว อยู่กินกันมาจนมีบุตรถึง 12 คน แล้ว และโจทก์ก็จะซื้อที่พิพาทเพื่อปลูกบ้านอยู่จึงเป็นกรณี ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินควรเชื่อได้ว่าโจทก์จะซื้อที่ดินพิพาทเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าว ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเอก ได้บันทึกเรื่องเสนอกรมที่ดินจำเลยที่ 4 และ จำเลยที่ 4 ได้เสนอต่อไปยังกระทรวงหมาดไทยจำเลยที่ 5 เพื่อพิจารณา จึงเป็นการปฏิบัติตามประมวล กฎหมายที่ดิน มาตรา 74 เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและเมื่อจำเลยที่ 5 โดยรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาและมีคำสั่งไม่อนุมัติให้มีการจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาท คำสั่งเช่น ว่านี้จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 74 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 ปฏิบัติการดังกล่าว โดยเจตนากลั่นแกล้งโจทก์การกระทำตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อ โจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 5ที่สั่งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเรื่อง เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสาม ***จบการบรรยาย***
1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ ๑/๗6 วิชา ละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ บรรยายวันที่ 3 กรกฎาคม ๒๕๖6 (ครั้งที่ 6) (สัปดาห์ที่ 7) สวัสดีครับท่านนักศึกษา เรามาคุยกันต่อในเรื่องละเมิดนะครับซึ่งสัปดาห์ที่แล้วนั้น ได้บรรยายไป แล้วว่า การใช้สิทธิฟ้องคดีแพ่งนั้น หากกระทำโดยไม่สุจริต ก็ถือว่าเป็นการทำละเมิด ฎีกาที่ 3833/2528 การใช้สิทธิทางศาล หากกระทำโดยไม่สุจริต จงใจแต่จะให้โจทก์ได้รับความ เสียหาย โดยใช้ศาลเป็นเครื่องกำบัง ก็เป็นการกระทำละเมิดได้ ฎีกาที่ 752/2543 การที่บริษัทจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าสินค้าที่ค้างชำระ จากโจทก์ทั้งสองนั้นโดยทั่วไปถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย แต่ก็อาจจะเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ได้ หากจำเลยทั้งสองใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริต โดยมุ่งประสงค์ให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองแต่เพียง อย่างเดียว ฎีกาที่ 528/2509 การที่เจ้าพนักงานที่ดินรับอายัดที่ดินไว้ ก็ไม่มีกฎหมายห้ามศาลมิให้ยึดหรือ อายัดที่ดินนั้นซ้ำอีก การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาขอให้ศาลยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นเป็น การใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริตตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ จึงไม่เป็นการทำละเมิด ฎีกาที่ 468/2527 โจทก์อายุเกินกว่า 80 ปี ไม่ได้ประกอบอาชีพทำนามา 10กว่าปีแล้ว อยู่กับ อ. บุตรโจทก์ซึ่งเป็นคนทำนาและค้าขายข้าวมีการปลูกบ้านใหม่อีกหลังติดกันเป็นแฝดจำเลยเข้าใจโดยสุจริต ว่า อ. ลูกหนี้จำเลยตามคำพิพากษาเป็นคนปลูกบ้านหลังใหม่ การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึด บ้านพิพาทของโจทก์ เป็นการใช้สิทธิในการบังคับคดีตามกฎหมายโดยสุจริต หาได้มีเจตนากลั่นแกล้งหรือ กระทำโดยความประมาทเลินเล่อเพื่อให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใดไม่ การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ข้อสังเกต กรณีทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของลูกหนี้โดยแท้แต่เข้าใจว่าเป็นของลูกหนี้ กรณีเช่นนี้จะเป็น ละเมิดหรือไม่ ต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเป็นกรณี ๆ ไป หากเข้าใจโดยสุจริตว่าเป็นของลูกหนี้และ ได้ยืนยันให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำยึดทรัพย์สินดังกล่าว ย่อมถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต ทั้งนี้ต้อง พิจารณาด้วยว่าทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดนั้น ตรงกับที่ระบุไว้ในการค้นหาทรัพย์สินหรือไม่ แต่หากข้อเท็จจริงมีพฤติการณ์เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทรัพย์สินของลูกหนี้อย่างแน่นอน แล้วยังยืนยันให้ เจ้าพนักงานบังคับคดีนำยึดทรัพย์สินอีก เช่นนี้ถือว่าประมาทและอาจถือว่าเป็นการกลั่นแกล้งอีกด้วย หากเป็นการฟ้องคดีตามสิทธิของตนโดยสุจริตตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ กรณีนี้ไม่ถือว่าเป็นละเมิด ฎีกาที่ 7824-7825/2551 การที่จำเลยเลือกฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีล้มละลาย โดยไม่ฟ้องเป็น คดีแพ่งสามัญก่อนนั้นเป็นเรื่องที่กฎหมายเปิดช่องให้จำเลยในฐานะเจ้าหนี้ใช้สิทธิทางศาลมากกว่าหนึ่งศาล ได้ตามแต่ที่จะเห็นสมควร โดยขึ้นอยู่กับสภาพและรูปเรื่องแต่ละคดีไป การกระทำย่อมไม่เป็นละเมิด
2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ข้อสังเกต การฟ้องคดีล้มละลาย คือการที่ลูกหนี้เป็นบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่สามารถที่จะ ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ได้ โดยกฎหมายให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ในการฟ้องบังคับให้ชำระหนี้นั้นก่อน หรือเจ้าหนี้จะ เลือกฟ้องคดีล้มละลายเลยก็ย่อมกระทำได้ หากเข้าเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นไม่ว่าเจ้าหนี้ จะเลือกใช้สิทธิทางใด ก็ถือเป็นการใช้สิทธิทางศาลตามปกติ ฎีกาที่ 10409/2555 ก่อนคดีนี้จำเลยได้นำหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทมาฟ้องให้โจทก์รับ ผิดแล้ว แต่ภายหลังตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ซึ่งศาลจังหวัดขอนแก่นได้พิพากษาไปตาม สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวและคำพิพากษาตามยอมถึงที่สุดแล้ว ผลของสัญญาประนีประนอม ยอมความย่อมทำให้สิทธิของจำเลยที่จะเรียกร้องให้โจทก์รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อเดิมเป็นอันระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 852 จำเลยคงมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชำระหนี้แก่ตนตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เท่านั้น เนื่องจากคำพิพากษาตามยอมย่อมมีผลผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง แต่สัญญา ประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา เมื่อ ข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความระบุไว้เพียงว่าหากโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาผิดนัด โจทก์ยินยอมให้จำเลยบังคับเอากับหนี้ที่เหลือได้ทั้งหมด โดยไม่มีข้อความใดระบุให้สิทธิแก่จำเลยติดตามยึด รถยนต์พิพาทคืน ดังนั้น เมื่อโจทก์ผิดนัดชำระหนี้ จำเลยก็ชอบที่จะร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีไป ดำเนินการบังคับคดีเอากับหนี้ที่เหลือตามคำพิพากษาตามยอมทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยได้ทันทีเท่านั้นไม่มีสิทธิ ที่จะไปยึดรถยนต์พิพาทได้อีก การกระทำของจำเลยที่มอบหมายให้พนักงานของจำเลยไปยึดรถยนต์พิพาท แล้วนำออกขายทอดตลาดจึงเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์ โดยผิดกฎหมาย ทำให้โจทก์เสียหายอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่โจทก์ กรณีที่มีกฎหมายให้อำนาจ ฎีกาที่ 2814/2517 พระราชบัญญัติการพิมพ์พุทธศักราช 2484 มาตรา 27 ใช้บังคับแก่ผู้ยื่น คำขออนุญาตซึ่งมีสัญชาติอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 24(3) หรือยื่นคำขอออกหนังสือพิมพ์เป็นภาษาอื่น นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 24(4) โจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทย และยื่นคำขออนุญาตออกหนังสือพิมพ์ ภาษาไทย จึงต้องบังคับตามมาตรา 24 วรรคแรก ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 17 ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2501 ข้อ 1. ซึ่งให้อำนาจเจ้าพนักงานการพิมพ์ใช้ดุลพินิจสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาต หรือสั่งเป็นประการอื่นตามความเหมาะสมแก่กรณีเป็นเรื่องๆ ไป ดังนั้น ที่จำเลยมีคำสั่งคำขอของโจทก์ว่า เห็นสมควรรอไว้ก่อนจนกว่าพระราชบัญญัติการพิมพ์ฉบับใหม่จะประกาศใช้จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยบท กฎหมายดังกล่าวข้างต้นไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์และไม่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 มาตรา 33 ที่ใช้บังคับอยู่ขณะนั้น ฎีกาที่ 1617/2519 เมื่อประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 74 ให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่จะ สอบสวนคู่กรณีในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินจังหวัดได้
3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สอบสวนโจทก์ก่อนที่จะดำเนินการจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทให้จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วย กฎหมาย และเมื่อปรากฏจากการสอบสวนตามถ้อยคำของโจทก์เองว่า โจทก์มีภริยาเป็นคนสัญชาติจีนซึ่ง เป็นคนต่างด้าว อยู่กินกันมาจนมีบุตรถึง 12 คน แล้ว และโจทก์ก็จะซื้อที่พิพาทเพื่อปลูกบ้านอยู่จึงเป็นกรณี ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดินควรเชื่อได้ว่าโจทก์จะซื้อที่ดินพิพาทเพื่อประโยชน์แก่คนต่างด้าว ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเอก ได้บันทึกเรื่องเสนอกรมที่ดินจำเลยที่ 4 และ จำเลยที่ 4 ได้เสนอต่อไปยังกระทรวงหมาดไทยจำเลยที่ 5 เพื่อพิจารณา จึงเป็นการปฏิบัติตามประมวล กฎหมายที่ดิน มาตรา 74 เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและเมื่อจำเลยที่ 5 โดยรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาและมีคำสั่งไม่อนุมัติให้มีการจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาท คำสั่งเช่น ว่านี้จึงเป็นที่สุดตามมาตรา 74 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 ปฏิบัติการดังกล่าว โดยเจตนากลั่นแกล้งโจทก์การกระทำตามอำนาจหน้าที่ของจำเลยไม่เป็นละเมิดต่อ โจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 5ที่สั่งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเรื่อง เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสาม 2. การใช้สิทธิตามสัญญา เช่น ฎีกาที่ 2441/2531 การที่จำเลยแจ้งว่าจะใช้สิทธิริบมัดจำตามสัญญาจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ เพราะแม้จะเป็นการขู่เข็ญก็เป็นเรื่องที่จำเลยชอบที่ทำได้ตามสัญญา ไม่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอันเป็น องค์ประกอบอย่างหนึ่งของละเมิด การกระทำของจำเลยไม่เป็นละเมิด ฎีกาที่ 137/2513 แม้สัญญาเช่าเป็นโมฆียะ แต่เมื่อโจทก์ยังมิได้บอกล้าง สัญญาเช่านั้นก็คงยัง สมบูรณ์ การที่จำเลยเข้าทำนาโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าที่ยังมีผลใช้บังคับอยู่ ย่อมไม่เป็นละเมิด โจทก์จะ ฟ้องขับไล่หาว่าจำเลยบุกรุกและเรียกค่าเสียหาได้ไม่ ฎีกาที่ 4486/2545 โจทก์ทำสัญญาเช่าสถานที่ประกอบการค้ากับจำเลย โดยมีข้อตกลงว่าโจทก์ จะต้องตบแต่งสถานที่ตามที่จำเลยอนุมัติ โจทก์ได้ติดตั้งระบบไฟฟ้า ตามแบบที่จำเลยอนุมัติเป็นการผิด สัญญาต่อจำเลย เมื่อสัญญากำหนดว่าหากโจทก์ผิดสัญญา จำเลยมีสิทธิปิดกั้นหน้าร้าน ตัดน้ำและ กระแสไฟฟ้าในสถานที่เช่าได้ ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ข้อสังเกต ในกรณีของสัญญาเช่านั้น จะต้องพิจารณาว่ามีเงื่อนไขของสัญญาระบุไว้ว่าให้อำนาจแก่ ผู้ให้เช่าในการที่จะตัดน้ำตัดไฟหรือให้อำนาจผู้ให้เช่าในการที่จะเข้าครอบครองทรัพย์สินนั้นได้หรือไม่ หาก ไม่มีข้อตกลงดังกล่าว เช่นนี้ผู้ให้เช่าก็จะต้องดำเนินการฟ้องคดีใช้สิทธิทางศาลก่อน จะเข้าไปยึดถือเอา อาคารโดยลำพังไม่ได้ หรือต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าภายในกำหนดระยะเวลาพอสมควรเสียก่อน ฎีกาที่ 3921/2535 เมื่อจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว สัญญาเช่าจึงเป็นอันสิ้นสุดลง โจทก์ ไม่มีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ในสถานที่เช่าอีกต่อไป การที่จำเลยไม่จ่ายกระแสไฟฟ้าและน้ำประปาให้ โจทก์ แล้วต่อมาจำเลยได้ใส่กุญแจไม่ให้โจทก์เข้าไปใช้สถานที่เช่าเป็นการกระทำภายหลังสัญญาเช่าได้สิ้นสุด
4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ลงโดยได้กำหนดเวลาให้โจทก์พอสมควรแล้ว จึงไม่เป็นการละเมิด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่ขาด รายได้จากกิจการของโจทก์และค่าชดเชยที่จ่ายให้แก่พนักงานของโจทก์นับแต่วันที่สัญญาเช่าได้สิ้นสุดลง 3. อาศัยอำนาจตามคำพิพากษา ฎีกาที่ 3230/2556 การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ เพื่อขายทอดตลาด ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 โดยขณะนำยึดทรัพย์สินนั้นคำพิพากษาของศาลแพ่งยังมีผล ผูกพันคู่ความอยู่และยังไม่ได้ถูกกลับโดยคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วย กฎหมาย ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องคดีดังกล่าวและคดีถึงที่สุดแล้ว กรณีถือได้ว่าคำ พิพากษาในระหว่างบังคับคดีได้ถูกกลับในชั้นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 (3) เมื่อการกระทำของจำเลย เป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาที่ 37/2529 การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้นเป็นการอันมิชอบด้วย กฎหมาย โจทก์จำเลยมีตึกแถวอยู่ติดกันและมีท่อระบายน้ำโสโครกฝังอยู่ด้านหลังของตึกแถวเป็นแนว เดียวกัน 1 ท่อเพื่อระบายน้ำร่วมกันไปสู่ท่อระบายน้ำสาธารณะโจทก์จำเลยมีเรื่องพิพาทกันมาก่อนแล้ว จำเลยนำแผ่นเหล็กเจาะรูเล็ก ๆ ปิดกั้นทางระบายน้ำที่จะระบายมาจากบ้านโจทก์จนเป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วม ขังบ้านโจทก์เป็นการกระทำที่จงใจจะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ถึงแม้จะกระทำในที่ดินของตนเองก็เป็น การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นอันเป็นการกระทำโดยละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์มาตรา 421 โจทก์ร้องขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาในกรณีฉุกเฉินให้จำเลยรื้อถอน แผ่นเหล็กดังกล่าวออกเมื่อศาลอนุญาตแล้วโจทก์ก็เอาแผ่นเหล็กที่จำเลยนำไปปิดกั้นออกการกระทำของ โจทก์ดังกล่าวได้รับความคุ้มครองตามคำสั่งศาลอันชอบด้วยกฎหมายถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยละเมิด ข้อสังเกต การคุ้มครองชั่วคราว หมายความว่า คู่ความฝ่ายที่ศาลคุ้มครองยังคงสามารถใช้สิทธิและ ประโยชน์โดยอาจจะเป็นในที่ดินหรือทรัพย์สินได้ตลอดเวลาที่คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวมีผลใช้บังคับ และแม้ ภายหลังศาลจะยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว หรือผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปทำให้ผู้ได้รับการ คุ้มครองชั่วคราวเป็นฝ่ายแพ้คดีก็ไม่ทำให้การใช้สิทธิเนื่องจากการคุ้มครองชั่วคราวกลายเป็นสิ่งที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย ฎีกาที่ 973/2508 การที่จำเลยเข้าทำนาพิพาทในระหว่างที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษา ให้ยกฟ้องโจทก์ ไม่เป็นการผิดกฎหมายเพราะจำเลยเป็นผู้ชนะคดี ย่อมมีสิทธิเข้าทำนาได้โดยอาศัยสิทธิตาม คำพิพากษา แม้ต่อมาภายหลังศาลฎีกาจะได้พิพากษากลับให้โจทก์ชนะก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยใน ตอนนั้นกลายเป็นผิดกฎหมาย จึงไม่เป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ข้อสังเกต เมื่อคำพิพากษาย่อมผูกพันคู่ความจนกว่าจะมีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 และการอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุทุเลาการบังคับคดีตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 231 เพราะฉะนั้นแม้คู่ความอีกฝ่ายจะอุทธรณ์ แต่เมื่อคำพิพากษา
5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ของศาลชั้นต้นรองรับ การที่คู่ความฝ่ายที่ชนะคดีในศาลชั้นต้นเข้าไปใช้ประโยชน์หรือหาประโยชน์ในที่ดิน ดังกล่าวจึงถือเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยอาศัยอำนาจตามคำพิพากษา 4. ความยินยอม การกระทำโดยอาศัยความยินยอม ทำให้การกระทำนั้นไม่เป็นการทำโดย ผิดกฎหมาย ฎีกาที่ 673/2510 การที่โจทก์ท้าให้จำเลยฟันเพื่อทดลองคาถาอาคมซึ่งตนเชื่อถือและอวดอ้างว่า ตนอยู่คงนั้น เป็นการที่โจทก์ให้ยอมหรือสมัครใจให้จำเลยทำต่อร่างกาย เป็นการยอมรับผลเสียหายที่จะ เกิดขึ้นแก่ตนเอง ตามกฎหมายจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้รับผิดชำระ ค่าเสียหายแก่โจทก์ไม่ได้ ฎีกาที่ 248/2523 ม. สมัครใจเข้าวิวาทโดยใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กับจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นกรณีที่ ม. สมัครใจยินยอมเข้าเสี่ยงภัยยอมรับอันตรายหรือความเสียหายที่อาจจะเกิดมีขึ้นแก่ตนจากการยิงต่อสู้ของ จำเลยที่ 1 ที่ 2เมื่อจำเลยที่ 1 ยิงถูก ม. ถึงแก่ความตายในการต่อสู้กันนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการทำละเมิด ต่อ ม. จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่จำต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุที่ทำให้ ม. ถึงแก่ความตายนั้นแต่ อย่างใด สรุปหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ความยินยอม - ต้องให้ความยินยอมก่อนหรือในขณะที่มีการทำโดยผิดกฎหมาย - การให้ความยินยอมต้องทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์และด้วยความสมัครใจ กล่าวคือต้องไม่เกิดจากการ ถูกหลอกลวง ข่มขู่ หรือฉ้อฉล และไม่ใช่ความยินยอมเพราะสำคัญผิด - การให้ความยินยอมจะกระทำโดยตรงหรือโดยปริยายก็ได้ เช่น กล่าวด้วยวาจาชัดเจน , ทำสัญญา , ทำเป็นหนังสือ , ทำเป็นลายลักษณ์อักษร หรือแสดงกิริยาปรากฏชัดแจ้งว่าให้ความยินยอมที่จะกระทำได้ โดยปริยาย เช่น สมัครใจเข้าเล่นกีฬา , สมัครใจเข้าแข่งขันกีฬาชกมวยอันเป็นการให้ความยินยอม โดยปริยายว่าอีกฝ่ายหนึ่งสามารถชกต่อยตนได้ , สมัครใจเข้าเล่นกีฬารักบี้ย่อมหมายความว่ายินยอมให้มี การกระแทกหรือชนตามกฎกติกาได้ , สมัครใจเข้าเล่นมวยปล้ำหรือมวยสมัยใหม่ที่ให้กระทำการใด ๆ ได้ สารพัดโดยไม่จำกัดขอบเขต ทั้งนี้ต้องอยู่ในข้อกำหนดของกีฬาประเภทนั้น ๆ - ความยินยอมมีขอบเขตเท่าใด ต้องกระทำภายในขอบเขตเท่านั้น แต่เมื่อใดที่กระทำเกินขอบเขต ที่ให้ความยินยอม ย่อมถือว่าเป็นการกระทำโดยผิดกฎหมาย ฎีกาที่ 9797/2560 ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายยังเป็นเด็กอายุ 13 ปีเศษ และพยานหลักฐานโจทก์ ฟังได้ว่า จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายโดยผู้เสียหายยินยอม ที่จำเลยฎีกาในคดีส่วนแพ่งว่า เมื่อผู้เสียหาย ยินยอมให้จำเลยกระทำชำเรา จึงไม่เป็นละเมิด จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายนั้น ตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามี ของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษ..." แสดงว่า กฎหมายคุ้มครองเด็กอายุน้อยเป็น กรณีพิเศษโดยไม่ให้ความสำคัญแก่ความยินยอมของเด็ก ดังนั้น แม้ผู้เสียหายยินยอม การกระทำของจำเลย