pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แม้ผู้รับเหมาก่อสร้างได้เสริมเหล็กค้ำยันโครงเหล็กก็กระทำเพียงบางส่วน แต่โครงสร้างยังเหมือนเดิม เมื่อปรากฏว่าพายุฝนในวันเกิดเหตุเป็นพายุฝนที่เกิดขึ้นตามธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้โดยธรรมชาติ ทำให้โครง เหล็กและตาข่ายซึ่งก่อสร้างไว้บกพร่องล้มลงทับคลังสินค้า ซึ่งมีสต็อกสินค้าของ บริษัท ล.ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ตาม ป.พ.พ.มาตรา 434 วรรคหนึ่ง ฎีกาที่ 281/2560 ต้นกระถินปลูกในที่ดินของจำเลยแต่ห่างจากแนวเสาไฟฟ้าของโจทก์เพียง 2 ถึง 3เมตร และสูงกว่าเสาไฟฟ้ามาก ลักษณะนี้ต้องถือว่าการปลูกหรือค้ำจุนบกพร่องเพราะเป็นที่น่ากลัวอันตราย จากการหักโค่นของต้นกระถินตกล้มทับสายไฟฟ้าของโจทก์ ปกติธรรมดาต้นไม้ต้องมีวันโค่นล้ม และไม่ได้ แน่นอนว่าจะโค่นล้มเมื่อใด ต้นไม้ที่ปลูกในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ง่ายเช่นนี้ เจ้าของต้องตัดฟันให้ เตี้ยลงเพื่อเมื่อโค่นล้มจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือทรัพย์สินของผู้อื่น หรือจะต้องค้ำจุนด้านที่จะ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นให้โค่นล้มเข้ามาในที่ดินของตนเอง การปล่อยต้นกระถินดังกล่าวไว้ในลักษณะ เช่นนั้นถือว่าเป็นความบกพร่องของจำเลยผู้เป็นเจ้าของต้นกระถินที่บำรุงรักษาไม่เพียงพอตามป.พ.พ. มาตรา 434 ต้นไม้สูงใหญ่ของจำเลยปลูกอยู่ใกล้แนวเสาไฟฟ้าของโจทก์มาก ถ้าโค่นล้มทับสายไฟฟ้าย่อมจะเกิด อันตรายแก่สายไฟฟ้า อุปกรณ์ และเสาไฟฟ้า ยิ่งกรณีมีพายุฝนฟ้าคะนองโอกาสที่ต้นไม้จะโค่นล้มก็มีมากเป็น ธรรมดา ตามปกติแล้วในฤดูฝนหรือก่อนจะถึงฤดูฝนย่อมเกิดเหตุฝนฟ้าคะนองลมพัดแรงและมีต้นไม้หักโค่นล้ม ได้ เหตุดังกล่าวเป็นเรื่องที่อาจคาดการณ์และป้องกันได้ เหตุฝนฟ้าคะนองและมีลมพัดในฤดูฝนหรือก่อนจะถึง ฤดูฝนอันเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกปีดังกล่าว จึงมิใช่เหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจป้อนกันได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 8 ฎีกาที่ 75/2538 ต้นสนที่อยู่ข้างถนนซึ่งเทศบาลจำเลยที่1 มีหน้าที่ดูแลมีสภาพผุกลวงแม้จะมีฝนตก และฟ้าคะนองในวันเกิดเหตุแต่ก็เป็นฝนตกเล็กน้อยและปานกลางในช่วงสั้นๆ และความเร็วของลมก็เป็น ความเร็วลมปกติการที่ต้นสนล้มลงทับรถยนต์โจทก์จึงมิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัยเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน แต่เป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1 ที่ไม่ยอมโค่นหรือค้ำจุนต้นสนเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิด ข้อสังเกต เหตุเกิดจากต้นไม้ ถือว่าบำรุงรักษาไม่ดีทั้งสิ้น ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะของตกหล่นจากโรงเรือน มาตรา 436 บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดเพราะของตกหล่นจาก โรงเรือนนั้น หรือเพราะทิ้งขว้างของไปตกในที่อันมิควร ข้อพิจารณา กำหนดเฉพาะของตกหล่นจากโรงเรือนเท่านั้น โรงเรือนหมายถึงที่ใช้สำหรับอยู่อาศัย ไม่รวมสิ่งปลูก สร้าง ต้นไม้ ตกหล่นคือไม่ได้ตั้งใจแต่ถ้าทิ้งขว้างคือตั้งใจ และของที่ตกหล่นจะต้องไม่ใช่ส่วนประกอบของ โรงเรือน บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือน หมายถึง ฐานะเจ้าของบ้าน ผู้เช่า แต่ต้องเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น จะอยู่ชั่วคราวหรือถาวรก็ถือว่าเป็นผู้อยู่ในโรงเรือน อาจารย์บอกให้แยกมาตรา 343 กับมาตรา 436 ให้ได้ ของ หมายถึงวัตถุทุกชนิด รวมถึงน้ำ
pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 1689/2518 จำเลยสร้างแฟลตให้คนเช่า ซึ่งอาจทิ้งของและน้ำลงบนที่ดินของโจทก์ถัดไป แม้จำเลยจะครอบครองและอยู่อาศัยในแฟลต แต่ได้มีผู้เช่าแยกเป็นส่วนสัดซึ่งเป็นผู้ทำละเมิด จำเลยไม่ต้องรับ ผิดตาม มาตรา 436 ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาที่ 5782/2541 จำเลยที่ 1 ผู้เช่าอาคารนั้น ไม่ว่าจะเช่าเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อประกอบการ ค้าขายสินค้าก็ถือได้ว่าเป็นบุคคล ผู้อยู่ในโรงเรือน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 436 ความเสียหายเกิดจากยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล มาตรา 437 (สำคัญ) บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใด ๆ อันเดินด้วยกำลัง เครื่องจักรกล บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการ เสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้ตลอดถึงบุคคลผู้มีไว้ในครอบครองของตน ซึ่งทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้ โดยสภาพ หรือโดยความมุ่งหมายที่จะใช้ หรือโดยอาการกลไกของทรัพย์นั้นด้วย ข้อพิจารณา โดยสถิติแล้วออกข้อสอบบ่อย วรรคแรกเป็นบทสันนิษฐานให้ผู้ครอบครองหรือผู้ควบคุมยานพาหนะ ต้องรับผิดชอบ แต่ไม่ใช่บทสันนิษฐานเด็ดขาดสามารถนำสืบพิสูจน์เป็นอย่างอื่นได้ ยานพาหนะต้องเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล (ไม่ใช่ลากจูง) และเกิดความเสียหายในขณะที่ยานพาหนะ นั้นเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล แต่ต้องไม่ใช่ความเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะอันเดินด้วยเครื่องจักรกล ด้วยกัน เช่น รถกับรถชนกันไม่เข้ามาตรา 437 ต้องเป็นกรณีที่เกิดจากยานพาหนะอันเดินด้วยเครื่องจักรกล ฝ่ายเดียวจึงจะเข้ามาตรา 437 ผู้รับผิดคือผู้ควบคุมดูแล หรือผู้ครอบครอง เดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล ได้แก่ รถยนต์ เรือยนต์ เครื่องบิน ฎีกาที่ 6384/2558 เมื่อจำเลยที่ 4 ผู้ควบคุมเรือเพนนินซูล่าซึ่งมีหน้าที่ตรวจนับสินค้าและผูกโยง เชือกเรือไม่สามารถบังคับทิศทางการเคลื่อนที่ของเรือดังกล่าวได้เองต้องแล่นไปตามที่เรือยนต์จินดา 95 ลาก จูงไปที่มี น. เป็นผู้ควบคุม จำเลยที่ 4 จึงไม่ใช่ผู้ควบคุมเรืออันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลตามความหมายของ ป.พ.พ. มาตรา 437 ผู้ควบคุมเรืออันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลขณะเกิดเหตุคือ น. ซึ่งขับเรือยนต์จินดา 95 ลากเรือลำเลียงเพนนินซูล่า เข้าไปในระยะกระชั้นชิดใกล้กับสะพานของท่าเทียบเรือ และเลี้ยวกลับเป็นเหตุให้ เรือลำเลียงเพนนินซูล่ากระแทกเสาและคานของท่าเรือ จึงเป็นการกระทำประมาทเลินเล่อของ น. โดยตรง และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที จำเลยที่ 4 ไม่อาจช่วยเหลือหรือป้องกันไม่ให้เกิดเหตุได้ จำเลยที่ 4 มิได้มี ส่วนประมาท จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลละเมิด ฎีกาที่ 7166/2542 เมื่อนักบินผู้ควบคุมเครื่องบินเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 และความเสียหายเกิดจาก เครื่องบินซึ่งเป็นยานพาหนะที่เดินด้วยเครื่องจักรกล กรณีจึงตกอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 437 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชอบเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้นเว้นแต่จะ พิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของผู้เสียหายนั้นเอง ความเสียหายอาจเกิดได้หลายรูปแบบ เช่น ถูกชน รถวิ่งผ่านทำให้น้ำกระเด็นไปโดน ของตกหล่นจาก รถที่กำลังแล่น คลื่นจากเรือยนต์ไปกระแทก
pg. 11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 1300-1315/2499 ระหว่างรถไฟแล่นอยู่ในเขตตำบลมหาชัย จำเลยได้เร่งไฟและกำลังไอ น้ำเป็นเหตุให้ลูกไฟและประกายไฟปลิวไปไหม้บ้านเรือนนาย ก. แล้วลุกลามไปไหม้บ้านโจทก์ ทั้งนี้เนื่องจาก ความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยที่ทราบดีแล้วว่าตัวรถจักรและเครื่องจักรชำรุดขาดสมรรถภาพที่ จะใช้เดินรถ ก็หาได้หาทางป้องกันหรือแก้ไข จำเลยจึงต้องรับผิด ฎีกาที่ 1292/2524 จำเลยนำรถบรรทุกดินน้ำหนักมากผ่านหน้าบ้านโจทก์หลายเที่ยวเป็นเหตุให้ บ้านโจทก์สั่นสะเทือนร้าว เป็นละเมิด ต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แม้จะนำสืบจำนวนไม่ได้ชัดแจ้ง ศาลก็ คำนวณให้ได้ตาม มาตรา 438 หากทั้งสองฝ่ายใช้เครื่องจักรกลด้วยกันต้องพิจารณามาตรา 420 ดังนั้น ฝ่ายผู้เสียหายมิใช่เป็นผู้ที่ ครอบครองหรือควบคุมยานพาหนะ ฎีกาที่ 396/2544 โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 ก็ต่อเมื่อโจทก์มิใช่เป็นผู้ที่ครอบครองหรือควบคุมยานพาหนะอันเดินด้วยกำลัง เครื่องจักรกล เมื่อเหตุเกิดขึ้นจากรถยนต์ของโจทก์และจำเลยซึ่งกำลังแล่นชนกัน เป็นยานพาหนะอันเดินด้วย กำลังเครื่องจักรกลทั้งสองฝ่าย จึงมิใช่กรณีตามมาตรา 437 โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าจำเลย เป็นฝ่ายประมาท เพราะโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84 คนที่นั่งมาด้วยในรถไม่ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามมาตรา 437 ฎีกาที่ 2379-2380/2532 ผู้ตายโดยสารมาในรถยนต์ ของจำเลยที่ 3 ซึ่ง เดิน ด้วย กำลัง เครื่องจักรกลเช่นเดียวกับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย ความเสียหายมิได้เกิดจาก ยานพาหนะที่เดิน ด้วยกำลังเครื่องจักรกลของจำเลยที่ 3 แต่ ฝ่ายเดียว จึงนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 อันว่าด้วยหน้าที่นำสืบมาใช้ บังคับไม่ได้ หมายเหตุ มีผู้เห็นว่า ปัจจุบันน่าจะใช้ข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของ เหตุการณ์ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 84/1 ผู้โดยสารที่ตายจึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานที่เป็นคุณ ทำให้ คนขับต้องพิสูจน์เหตุสุดวิสัยหรือความผิดของผู้ตาย ฎีกาที่ 436-437/2559 จำเลยที่ 10 และ ป. ขับรถเฉี่ยวชนกัน ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และ ทำให้ทรัพย์สินของผู้ตายได้รับความเสียหาย ดังนั้นจำเลยที่ 10 และ ป. จึงเป็นผู้ครอบครองหรือเป็นผู้ ควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล โดยผู้ตายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการควบคุมหรือ ครอบครองเครื่องจักรกลที่ก่อให้เกิดความเสียหายด้วย จำเลยที่ 10 และ ป. จึงต้องรับผิดเพื่อการเสียหายอัน เกิดจากยานพาหนะนั้นเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเป็นเพราะความผิดของผู้เสียหายนั้นเอง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 437 วรรคหนึ่ง การมีชื่อในทะเบียนรถไม่ได้หมายความว่าเป็นผู้ครอบครองเสมอไป ต้องเป็นผู้ครอบครองรถตาม ความเป็นจริง ณ เวลาที่เกิดเหตุ ฎีกาที่ 2659/2524 ผู้ครอบครองตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 หมายถึงผู้ที่ใช้ยานพาหนะนั้นในฐานะเป็นผู้ยึดถือในขณะเกิดความเสียหายหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งหมายถึง ผู้ที่ได้ครอบครองยานพาหนะนั้นอยู่ในขณะเกิดเหตุ
pg. 12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 5679/2545 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 ที่กำหนดว่าบุคคลใด ครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะใดอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล บุคคลนั้นต้องรับผิดชอบเพื่อการ เสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น ผู้ครอบครอง หมายถึง ผู้ใช้ยานพาหนะนั้นในฐานะเป็นผู้ยึดถือในขณะเกิด ความเสียหาย หรือเป็นผู้ครอบครองยานพาหนะนั้นอยู่ในขณะเกิดเหตุ ฉะนั้น เมื่อจำเลยมิได้เป็นผู้ขับหรือ โดยสารไปในรถยนต์ด้วยแม้จะมีชื่อในทะเบียนเป็นเจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถยนต์คันเกิดเหตุตามความในมาตราดังกล่าว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง ฎีกาที่ 2417/2562 (น่าสนใจแต่โยงกับกฎหมายอื่นน่าจะเอามาออกข้อสอบยาก) แม้จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของเรือ แต่บุคคลที่จะรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล จะต้องเป็นผู้ครอบครองหรือควบคุมดูแลซึ่งหมายถึงผู้ใช้ยานพาหนะนั้นในฐานะเป็นผู้ยึดถือในขณะเกิดความ เสียหายเท่านั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 437 จำเลยที่ 2 เพียงแต่มีชื่อในทางทะเบียนเรือเป็นผู้ควบคุมเครื่องยนต์ เรือเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงจำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำหน้าที่ดังกล่าวนานแล้วเพราะได้ให้ ธ. บุตรชายนำเรือยนต์ นั้นไปใช้ในกิจการส่วนตัวของ ธ. หลังจากที่ ก. ผู้เป็นบิดาเสียชีวิตไปนานแล้ว จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิด ในฐานะผู้กระทำละเมิด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 เพราะไม่ใช่บุคคลผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องร่วมกับ ธ. ในฐานะผู้ควบคุมเครื่องยนต์เรือลากจูงขบวนเรือเกิดเหตุการบรรทุกน้ำหนักของเรือลำเลียงทั้งสามลำที่เกิน ระวางบรรทุกของเรือเป็นการฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมายอันเป็นกฎหมายที่มีประสงค์เพื่อจะปกป้องบุคคลอื่น ๆ กรณีจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า ผู้ควบคุมเรือทุกลำในขบวนเรือ รวมทั้งจำเลยที่ 4 ผู้กระทำการฝ่าฝืนเป็น ฝ่ายผิดอีกด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 422 จำเลยที่ 3 ประกอบธุรกิจขนส่งสินค้าทางน้ำโดยนำเรือลำเลียงของ ตนออกให้ผู้อื่นเช่าใช้งานและรู้เห็นยินยอมให้มีการบรรทุกสินค้าน้ำหนักเกินระวางบรรทุกของเรือตาม ใบอนุญาตใช้เรือที่โจทก์ที่ 1 กำหนดไว้เยี่ยงนี้เป็นประจำต่อเนื่องตลอดมาทั้ง ๆ ที่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงเป็นการกระทำโดยประมาทด้วยการจงใจฝ่าฝืนบทบังคับแห่งกฎหมายอันเป็นกฎหมายที่มีประสงค์เพื่อจะ ปกป้องบุคคลอื่น ๆ โดยชัดแจ้ง กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย เช่นนี้เป็นผู้ผิด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 422 การที่จำเลยที่ 4 รับเงินสินจ้างจากจำเลยที่ 3 โดยตรง เพื่อตอบแทน การปฏิบัติหน้าที่สรั่งเรือในขณะที่จำเลยที่ 3 นำเรือออกให้เช่าอันเป็นกิจการของจำเลยที่ 3 ในฐานะนายจ้าง แล้วเกิดเหตุละเมิด จำเลยที่ 3 ผู้เป็นนายจ้างยังต้องรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งจำเลยที่ 4 ลูกจ้างได้ กระทำไปในทางการที่จ้างนั้นอีกฐานะหนึ่งด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 ขณะเกิดเหตุเรือ บ. จมนั้น น้ำตาล ทรายดิบจำนวนมากละลายและเจือปนกับน้ำในแม่น้ำและส่งผลต่อคุณภาพของน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาทำให้น้ำ เน่าเสียและทำให้คุณภาพสิ่งแวดล้อมในแม่น้ำเสื่อมโทรมลงจนเกิดภาวะมลพิษทางน้ำขึ้น อันเนื่องมาจาก น้ำตาลซึ่งเป็นสารอินทรีย์และเป็นอาหารที่ดีที่สุดของจุลินทรีย์สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในน้ำ จุลินทรีย์ บริโภคน้ำตาลหรือสารอินทรีย์อื่นเป็นอาหารโดยใช้ออกชิเจนเผาผลาญให้เกิดพลังงานเพื่อแบ่งเซลล์ขยาย จำนวน ทำให้ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลงจนถึงขั้นวิกฤต และเป็นผลให้สิ่งมีชีวิตหรือสัตว์น้ำขนาดใหญ่ อาทิ เช่น ปลาหรือกุ้งไม่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำได้ต้องลอยตายเป็นจำนวนมาก แม้น้ำตาลหรือน้ำตาลทรายดิบจะ ไม่ใช่ทรัพย์หรือสารอันตรายโดยสภาพก็ตาม แต่หากถูกปล่อยทิ้งให้ละลายลงในแม่น้ำเป็นจำนวนมาก ก็อาจ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมหรือเกิดภาวะที่เป็นพิษได้ โดยเฉพาะภาวะมลพิษทางน้ำดังกล่าว
pg. 13 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ข้างต้น ในสภาวการณ์เช่นนี้จึงต้องถือว่าน้ำตาลทรายดิบเป็นมลพิษชนิดหนึ่ง ตามความหมายของบทนิยามใน มาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และไม่ใช่แหล่งอันเป็นที่มา ของมลพิษอันจะถือได้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษจำเลยที่ 14 รู้อยู่แล้วว่าเรือลำเลียงทั้งสามลำที่รับจ้างช่วงนั้น บรรทุกน้ำตาลทรายดิบเกินกว่าอัตราระวางบรรทุกที่กำหนดไว้ในใบทะเบียนเรือหรือใบอนุญาตใช้เรือซึ่งได้มี การทักท้วงแล้ว แต่จำเลยที่ 14 กลับเพิกเฉยมิได้สั่งห้ามหรือสั่งให้แก้ไขเพื่อป้องกันอันตรายและความเสียหาย ที่จะเกิดขึ้น จำเลยที่ 14 ผู้ว่าจ้างทำของจึงต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่ บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้างนั้นอีกฐานะหนึ่งด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 428 กรณีเจ้าของรถนั่งอยู่ในรถด้วยแต่เมาหลับไปและมีคนอื่นขับรถไปชน จะถือว่าเจ้าของรถที่เมาอยู่ เป็นผู้ครอบครองรถหรือไม่ คำพิพากษาฎีกามีทั้งเป็นผู้ครอบครองและไม่เป็นผู้ครอบครอง โดยให้พิจารณาจาก ว่า ถ้าก่อนที่เจ้าของรถจะเมาได้รู้ตัวเลยมอบให้คนขับรถช่วยขับแทนกรณีนี้ถือว่าเป็นตัวการตัวแทน แต่ถ้าเมาหลับไปแล้วเพื่อนจึงเข้าไปขับรถแทนเสียเองไม่ได้เกิดจากการมอบหมายของเจ้าของรถเจ้าของรถ ขณะนั้นจึงไม่ใช่ผู้ครอบครอง ฎีกาที่ 3076/2522 เจ้าของรถเมาสุรานอนหลับอยู่ในรถยนต์ เพื่อนของเจ้าของรถขับรถไปธุระของ เพื่อน รถชนผู้อื่น เจ้าของไม่ใช่ผู้ครอบครองรถหรือควบคุมรถตาม มาตรา 437 ฎีกาที่ 4814/2533 จำเลยที่ 1 ขับรถของจำเลยที่ 2 โดยมีจำเลยที่ 2 ซึ่งเมาสุรานั่งไปด้วย ถือได้ ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถอันเป็นกิจการของจำเลยที่ 2แทนจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ซึ่ง เป็นตัวการ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถในขณะเกิดเหตุ ฟ้องของโจทก์จึง เป็นฟ้องที่ให้ จำเลยที่ 2 รับผิดในฐานะตัวการด้วย ผู้ควบคุม ไม่จำกัดเฉพาะคนขับเท่านั้น แต่รวมถึงผู้วานให้ผู้อื่นขับรถแทนโดยตนนั่งไปด้วย หรือ พนักงานนำร่องเดินสมุทร และผู้ครอบครองและผู้ควบคุมดูแลอาจรับผิดร่วมกันทั้งสองคน ข้อยกเว้นความรับผิด เหตุสุดวิสัย ฎีกาที่ 15670/2553 การที่ฝนตกในขณะเกิดเหตุเป็นเหตุการณ์ปกติตามธรรมชาติและย่อมมีผลให้ ถนนลื่นกว่าสภาพปกติเป็นธรรมดา หากจำเลยที่ 1 เพียงแต่ใช้ความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ ก็ย่อมจะ สามารถควบคุมรถไม่ให้เกิดความเสียหายเช่นที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ยาก กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่จะ ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากความรับผิด ฎีกาที่ 122/2474 เรือยนต์ของจำเลยแล่นเต็มฝีจักรสวนเรือบรรทุกเข้าของโจทก์ คนในเรือเข้าบอก ให้เรือยนต์เบาเครื่อง เรือยนต์ไม่เบา คลื่นของเรือยนต์ซัดเรือเข้าโจทก์ล่มลง ปรากฏว่าเรือของโจทก์บรรทุก ข้าวอย่างธรรมดาเหมือนเรืออื่นๆ ในจังหวัดนี้บรรทุกกัน ไม่เพียบจนเกินขนาด จำเลยต้องรับผิดตามมาตรา 437 เพราะผู้ควบคุมเรือยนต์และพิสูจน์ไม่ได้ว่าที่เรือบรรทุกข้าวล่มเกิดจากเหตุสุดวิสัย ฎีกาที่ 3081/2523 ผู้ที่นำยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลมาใช้ในทางมีหน้าที่ต้อง ตรวจสอบรักษาเปลี่ยนแก้ให้เครื่องจักรกลอยู่ในสภาพที่มั่นคงแข็งแรงใช้การได้โดยปลอดภัยเสมอ จำเลยไม่มี
pg. 14 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง พยานแสดงว่าเหตุที่เรียกว่าเบรกแตกไม่มีใครจะอาจป้องกันได้ แม้จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควรแล้ว จึงอ้างเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ได้ ฎีกาที่ 765/2533 ป. ลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์โดยสารประจำทางของจำเลยชนผู้ตายซึ่งกำลัง เดินข้ามถนน อันเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยและได้ครอบครองควบคุมดูแลยานพาหนะอันเดิม ด้วยเครื่องจักรกล จึงเป็นกรณีอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 ดังนั้นจึงฟัง ได้ในเบื้องต้นว่าจำเลยจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายนั้นเกิดแต่ยานพาหนะนั้นร่วมกับ ป. เว้นแต่จะพิสูจน์ ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง มาตรา 437 วรรคสอง ความเสียหายอันเกิดจากทรัพย์อันตราย ความเสียหายอันเกิดจากทรัพย์อันตราย มี 3 ชนิด 1.ทรัพย์อันตรายโดยสภาพ เช่น กระแสไฟฟ้า น้ำมัน 2.ทรัพย์อันตรายโดยความมุ่งหมายที่จะใช้ 3.ทรัพย์อันตรายโดยอาการกลไกของทรัพย์ ผู้รับผิด คือ ผู้ครอบครองทรัพย์อันตราย (ไม่มีผู้ควบคุม) ฎีกาที่ 2651/2546 การไฟฟ้านครหลวงจำเลยที่ 2 มีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าแก่ ประชาชน จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เมื่อกระแสไฟฟ้าที่จำเลยที่ 2 จัดให้มีขึ้นเพื่อจำหน่ายให้แก่ ประชาชนเกิดการลัดวงจรเป็นเหตุให้เพลิงลุกไหม้ทำให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 ผู้ครอบครอง กระแสไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์ที่เกิดอันตรายได้โดยสภาพ จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ เว้นแต่จะพิสูจน์ ได้ว่าความเสียหายนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของโจทก์ ผู้ต้องเสียหายตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 วรรคสอง แม้จำเลยที่ 2 นำสืบว่าได้ดูแลและบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้า อย่างดีแล้ว แต่ไม่ได้พิสูจน์ว่ากระแสไฟฟ้าลัดวงจรเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเป็นความผิดของโจทก์ จำเลยที่ 2 จึง ไม่พ้นความรับผิด ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้ เป็นผู้ครอบครองกระแสไฟฟ้าหรือทำให้กระแสไฟฟ้าลัดวงจร ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด ได้แก่ 1.ค่าสินไหมทดแทน 2.ค่าสินไหมทดแทนกรณีทำให้ตาย 3.ค่าสินไหมทดแทนแก่ร่างกายหรืออนามัย 4.ค่าสินไหมทดแทนแก่เสรีภาพ 5.ค่าสินไหมทดแทนแก่ชื่อเสียง มาตรา 438 ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์ และความร้ายแรงแห่งละเมิด อนึ่ง ค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิด หรือใช้ราคา ทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วย
pg. 15 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มาตรา 442 ถ้าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ต้องเสียหาย ประกอบด้วยไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 223 มาใช้บังคับ โดยอนุโลม วัตถุประสงค์ในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คือ เพื่อให้ผู้เสียหายกลับสู่ฐานะเดิมเหมือนเมื่อยังไม่มี การละเมิด และความเสียหายต้องเป็นผลโดยตรงมาจากการกระทำละเมิด การกำหนดค่าเสียหายเป็น ดุลยพินิจของศาลแม้โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเสียหายเพียงใดศาลก็กำหนดค่าเสียหายให้ตามพฤติการณ์ ตัวอย่างต้องเป็นผลโดยตรงและไม่ไกลเกินเหตุ ละเลยไม่รีบนำไปให้แพทย์ตรวจรักษา ฎีกาที่ 7383/2558 อ. ครูประจำชั้นของโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนของจำเลยมีส่วน ประมาทเลินเล่อในการดูแลความปลอดภัยของโจทก์โดยละเลยไม่รีบนำโจทก์ไปให้แพทย์ตรวจรักษาดวงตา หลังจากทราบว่าโจทก์ถูกเด็กชาย ณ. ใช้หนังยางยิงแท่งดินสอถูกดวงตาข้างซ้าย ซึ่งการกระทำของเจ้าหน้าที่ ของจำเลยดังกล่าวน่าเชื่อว่ามีส่วนทำให้ดวงตาข้างซ้ายของโจทก์ติดเชื้อ โดย ว. จักษุแพทย์พยานโจทก์เบิก ความยืนยันว่า หากดวงตาข้างซ้ายของโจทก์ไม่ติดเชื้อก็อาจจะไม่ถึงขนาดสูญเสียการมองเห็น เมื่อโจทก์นำสืบ รับฟังได้ว่า โจทก์ต้องสูญเสียการมองเห็นในเวลาต่อมาตามใบรับรองแพทย์ โดยจำเลยมิได้นำสืบ หักล้าง พยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่น เช่นนี้ จำเลยจึงต้องรับผิดในผลของความประมาทเลินเล่อ ของเจ้าหน้าที่ของจำเลยดังกล่าวตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ประกอบ ป.พ.พ. มาตรา 420 โจทก์มิได้นำสืบในรายละเอียดของค่าเสียหายในส่วนที่เป็นค่าเจ็บป่วยต้องทนทุกขเวทนาและ กระทบกระเทือนจิตใจที่สูญเสียดวงตาข้างซ้าย กับค่าสูญเสียดวงตาในการทำมาหาเลี้ยงชีพตามที่โจทก์เรียกมา ในคำฟ้องแต่ละจำนวน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายและมีค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินเท่ากับที่ โจทก์เรียกมาในคำฟ้อง ดังนี้ จึงเป็นกรณีที่ศาลจะต้องวินิจฉัยกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ ตามควรแก่ พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคหนึ่ง ปฏิเสธไม่รับการรักษา ฎีกาที่ 11332/2555 การที่พยาบาลเวรลูกจ้างของจำเลยปฏิเสธไม่รับบุตรของโจทก์เข้ารับการ รักษาดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นผลโดยตรงที่ทำให้บุตรของโจทก์ถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นนายจ้าง เป็นผู้ได้รับ อนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล มีหน้าที่ต้องควบคุมและดูแลให้มีการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วย ซึ่ง อยู่ในสภาพอันตรายและจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ป่วยพ้นจากอันตรายตามมาตรฐาน วิชาชีพตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 36 แต่กลับไม่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของลูกจ้าง ดังกล่าว จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ อาการเครียดเป็นผลโดยตรงมาจากการผ่าตัด ฎีกาที่ 292/2542 จำเลยที่ 2 ทำการผ่าตัดหน้าอกโจทก์ที่มีขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลงที่ โรงพยาบาลจำเลยที่ 1 หลังผ่าตัดแล้วจำเลยที่ 2 นัดให้โจทก์ไปทำการผ่าตัดแก้ไขที่คลินิกจำเลยที่ 2 อีก 3 ครั้ง แต่อาการไม่ดีขึ้น โจทก์จึง ให้แพทย์อื่นทำการรักษาต่อ แม้ตัวโจทก์และนายแพทย์ ด. ผู้ทำการรักษาโจทก์ ต่อจากจำเลยที่ 2 จะไม่สามารถ นำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อในการผ่าตัด และรักษาพยาบาล
pg. 16 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โจทก์อย่างไร แต่เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมด้านเลเซอร์ ผ่าตัด จำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ ต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและ พฤติการณ์เป็นพิเศษ การที่ นายแพทย์ ด. ต้องทำการผ่าตัดแก้ไขอีก 3 ครั้ง แสดงว่าจำเลยที่ 2 ผ่าตัดมา มีข้อบกพร่องจึงต้องแก้ไขและแสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช้ความระมัดระวังใน การผ่าตัด และไม่แจ้งให้ผู้ป่วยทราบ ถึงขั้นตอนการรักษา ระยะเวลา และกรรมวิธีในการดำเนินการรักษา จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย นับว่าเป็นความ ประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์ พฤติการณ์ที่โจทก์ติดต่อรักษากับจำเลยที่ 2 ที่คลินิกและตกลงให้โจทก์เข้าผ่าตัดใน โรงพยาบาลจำเลยที่ 1โจทก์จ่ายเงินให้จำเลยที่ 2 จำนวน 70,000 บาทให้จำเลยที่ 1 จำนวน 30,000 บาท ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างหรือตัวการที่ต้องร่วมรับผิด ในส่วนของค่าเสียหายนอกจากส่วนที่มี ใบเสร็จแม้โจทก์จะมีอาการเครียด อยู่ก่อนได้รับการผ่าตัดจาก จำเลยที่ 2 แต่เมื่อหลังผ่าตัดอาการมากขึ้น กว่าเดิมความเครียด ของโจทก์จึงเป็นผลโดยตรงมาจากการผ่าตัดจำเลยที่ 2 ต้องรับผิด และแม้ไม่มีใบเสร็จมา แสดงว่าได้เสียเงินไปเป็นจำนวนเท่าใดแน่นอน แต่น่าเชื่อว่าโจทก์ ต้องรักษาจริง ศาลเห็นสมควรกำหนด ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้ สำหรับค่าเสียหายอื่นนั้นเมื่อปรากฏว่าหลังจากแพทย์โรงพยาบาลอื่นได้รักษาโจทก์อยู่ใน สภาพปกติแล้ว โจทก์จึง ไม่อาจเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย อื่นอันมิใช่ตัวเงิน เหตุละเมิด เกิดวันที่ 12 เมษายน 2537 ต้องฟ้อง ภายใน 1 ปี ครบกำหนดตรงกับวันหยุดสงกรานต์วันที่ 12 ถึง 14 เมษายน วันที่ 15 และ 16 เมษายน 2538 เป็นวันเสาร์อาทิตย์ ราชการหยุดทำการ โจทก์ยื่นฟ้อง วันเปิดทำ การวันที่ 17 เมษายน 2537 ได้ คดีไม่ขาดอายุความ ค่าขาดประโยชน์จากการที่โจทก์มิได้ใช้รถยนต์(ฎีกาที่ 7227/2538) ค่าเสียหายที่ต้องส่งเลี้ยงดูและให้การศึกษาซ้ำชั้น ฎีกาที่ 5069/2538 จำเลยขับรถยนต์เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ที่ 1 นั่งซ้อนท้ายศาลแขวง เชียงใหม่ได้มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย โจทก์ที่ 1 ได้รับอันตรายสาหัส และทรัพย์สินของผู้อื่นได้รับความเสียหาย คดีถึงที่สุดแล้ว ข้อเท็จจริงคดีนี้จึง ต้องฟังว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อเพราะเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จำเลยจะฎีกาโต้แย้ง ว่าจำเลยไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่ออีกไม่ได้ เมื่อจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ที่ 1 เสียหายแก่ร่างกาย จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน การที่ผู้ขับรถจักรยานยนต์ให้โจทก์ที่ 1 นั่งซ้อน ท้ายไปจะประมาทเลินเล่อด้วยหรือไม่ หาทำให้จำเลยพ้นความรับผิดไม่ ค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 2 ต้องส่งเสียเลี้ยงดูและให้การศึกษาเล่าเรียนแก่โจทก์ที่ 1 ซ้ำอีก 1 ปี จำนวนเงิน 40,000 บาทนั้น โจทก์ที่ 1 ขาดเรียนเพราะต้องรักษาบาดแผลจนต้องสมัครใจเรียนซ้ำชั้น เป็นผลโดยตรง จากการกระทำของจำเลย ค่าเสียหายส่วนนี้จำเลยจึงต้องรับผิด ไม่ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน เพราะลางานเพื่อรักษาตัว ฎีกาที่ 4018/2533 โจทก์โดยสารรถยนต์ที่ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับขี่ลูกจ้างจำเลยที่ 1 ขับ รถโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บโจทก์ต้องลางานเพื่อพักรักษาตัวจนเกินกว่าระยะเวลาที่นายจ้าง ของโจทก์กำหนดให้ นายจ้างจึงไม่เลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์เพราะลาเกินสิทธิ เมื่อการพิจารณาขั้นเงินเดือนมี
pg. 17 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง อัตรากำหนดแน่นอนอยู่แล้ว การที่โจทก์ไม่ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน จึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำละเมิดของ ลูกจ้าง ซึ่งกระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ต้องรับผิด ตัวอย่างกรณีไม่ใช่ผลโดยตรง ค่าเสียหายที่โจทก์ถูกผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์ริบเงินดาวน์ไป ฎีกาที่ 2372/2517 แต่ค่าเสียหายเนื่องจาก ขาดรายได้เพราะใช้รถยนต์ของโจทก์รับจ้างตามปกติไม่ได้ ถือเป็นผลโดยตรง ฎีกาที่ 2324/2514 ฎีกาที่ 658/2552 โจทก์ยอมผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินมาลงทุนสร้างทาวน์เฮาส์ใน ที่ดินของโจทก์ออกขายว่า โจทก์จะชำระดอกเบี้ยให้เจ้าหนี้โดยมิพักต้องคำนึงว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ หรือไม่ ภาระในการชำระดอกเบี้ยจึงไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนอันเป็นผลโดยตรงจากการกระทำละเมิดของจำเลย ที่ปิดกั้นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์สู่ทางสาธารณะ เป็นเหตุให้ลูกค้าของโจทก์บอกเลิกสัญญาซื้อขาย ทาวน์เฮาส์และเรียกเงินคืน ทำให้โจทก์ไม่ได้รับเงินจากลูกค้าไปชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ เจ้าหนี้ จำเลยจึงไม่ต้องชำระดอกเบี้ยดังกล่าวให้โจทก์ *ฎีกาที่ 73/2563 (น่าสนใจ) เดิมโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยขายที่ดินพร้อม สิ่งปลูกสร้าง กับห้องชุดในอาคารชุดให้ ศ. เพื่อมิให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาทรัพย์สินดังกล่าว โจทก์จึงฟ้อง จำเลยกับ ศ. เป็นคดีอาญาในข้อหาโกงเจ้าหนี้ กับฟ้องคดีแพ่งขอเพิกถอนการฉ้อฉล คดีทั้งสองเรื่องถึงที่สุดแล้ว โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดที่ดินและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินข้างต้นขาย ทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมครบถ้วนแล้ว โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชดใช้ค่าเสียหายในมูลหนี้ละเมิดอันเกิดจากการที่จำเลยทำนิติกรรมโอนทรัพย์สิน ให้แก่ ศ. ค่าเสียหายที่โจทก์มีสิทธิเรียกจากจำเลยผู้ทำละเมิดได้ตามกฎหมายเป็นความเสียหาย ดังที่บัญญัติไว้ ใน ป.พ.พ. มาตรา 420 เท่านั้น โดยเฉพาะความเสียหายต่อสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง หมายถึง สิทธิที่กฎหมาย รับรองคุ้มครองให้ผู้ถูกทำให้เกิดเสียหายและจำเลยจะต้องทำให้สิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดที่โจทก์มีอยู่เสียหายไป การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ แสดงว่าโจทก์มีความประสงค์ต้องการให้จำเลย ได้รับโทษทางอาญา ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีอาญาและค่าจ้างว่าความของทนายความที่โจทก์จ่ายไป เกิดจาก การใช้สิทธิของโจทก์ตามกฎหมาย จึงเป็นความเสียหายจากการใช้สิทธิ ไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดจากการ กระทำละเมิดให้โจทก์เสียสิทธิหรือทำให้สิทธิของโจทก์ที่กฎหมายรับรองว่ามีอยู่เสียหายไป ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ โจทก์ที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนในเหตุละเมิดตามกฎหมายได้ ถือไม่ได้ว่าเป็นความเสียหายที่เกิดจากการทำ ละเมิดโดยตรง ส่วนการที่โจทก์จำต้องฟ้องคดีแพ่งเนื่องจากการกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจงใจทำ ให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่อสู้คดีปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตนจาก การกระทำอันไม่สุจริตของจำเลย จึงเป็นความเสียหายที่เป็นผลโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลย จำเลยจึง ต้องใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายและค่าทนายความในการดำเนินคดีแพ่งแก่โจทก์ ตามตาราง 6 และตาราง 7 ท้าย ป.วิ.พ. ส่วนการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์สินระหว่างจำเลยกับ ศ. นั้น การที่โจทก์ต้องทำเช่นนั้นจึงเป็นความเสียหายที่เป็นผลต่อเนื่องโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลย
pg. 18 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จำเลยจึงต้องใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการ โอนทรัพย์สินแก่โจทก์เช่นกัน ส่วนค่าเสียหายเป็นกำไรที่โจทก์ควรจะได้จากการนำเงินที่ได้จากการบังคับชำระหนี้ไปลงทุนนั้น เป็น ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาอยู่นอกเหนือเจตนาของจำเลย ถือว่าเป็นค่าเสียหายที่ไกลเกินกว่าเหตุ จำเลยไม่ ต้องรับผิดต่อโจทก์ ฎีกาที่ 4641/2558 คดีละเมิด ฝ่ายที่ประมาทมากกว่า ไม่มีสิทธิฟ้องฝ่ายที่ประมาทน้อยกว่า ให้รับ ผิดในค่าเสียหายของฝ่ายที่ประมาทมากกว่า แม้ขณะเกิดเหตุที่จำเลยขับชนกับรถที่ ส. ขับสวนมา จำเลยและ ม. นั่งมาในรถคันเดียวกันและ ม. เข้า เบิกความหลังจากนั่งฟังจำเลยเบิกความแล้ว แต่การรับฟังข้อเท็จจริงว่า ส. ประมาทมากกว่าจำเลยหรือไม่นั้น ศาลพิเคราะห์จากพฤติการณ์ที่ ส. ขับรถบรรทุกซึ่งมีน้ำหนักมากแซงรถเครนในระยะกระชั้นชิดขณะที่จำเลย ขับรถแล่นสวนมา และพิจารณาจากคำเบิกความของจำเลยประกอบสภาพความเสียหายของรถ บันทึกการ ตรวจสถานที่เกิดเหตุ สนับสนุนกัน ทั้งมีบันทึกคำให้การในคดีอาญาของ ม. เป็นพยานประกอบ คำเบิกความ ของ ม. ซึ่งเป็นไปทำนองเดียวกับจำเลยจึงเป็นที่เชื่อฟังได้ ไม่ทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไป ศาลจึงมีดุลพินิจที่จะไม่ฟังว่าคำเบิกความของ ม. เป็นการผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 114 ฎีกาที่ 6964/2561 ขณะโจทก์ขับรถอยู่ในช่องเดินรถของตนซึ่งเป็นทางตรง มีโควิ่งออกมาจากข้าง ทาง โจทก์ขับรถชนโคกระเด็นไปไกลประมาณ 10 เมตร ทำให้เห็นได้ว่าเป็นการชนอย่างแรง จึงเชื่อว่าโจทก์ ขับรถด้วยความเร็วมากพอสมควร หากโจทก์ไม่ขับรถด้วยความเร็วต้องสามารถหยุดรถได้ทัน หรือหากหยุดไม่ ทันลักษณะการชนต้องไม่รุนแรงอย่างผลที่เกิดเหตุเช่นนี้ การที่โจทก์ขับรถผ่านถนนที่เกิดเหตุซึ่งเป็นเขตชุมชนมี ป้ายเตือนให้ลดความเร็ว บริเวณข้างทางมีบ้านเรือนที่อยู่อาศัย มีผู้คนสัญจรผ่านไปมา จึงต้องระมัดระวังลด ความเร็วลง พฤติการณ์ดังกล่าวของโจทก์รับฟังได้ว่า เหตุละเมิดเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ด้วย มิใช่จำเลยประมาทเพียงฝ่ายเดียว ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วว่าจำเลยมีส่วนประมาทในการก่อให้เกิดความ เสียหายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโจทก์ จำเลยไม่อุทธรณ์ข้อเท็จจริงนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น รับฟังได้ว่า โจทก์กับจำเลยประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ทั้งสองฝ่ายจึงไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายต่อกันได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 ฎีกาที่ 5439/2561 เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของโจทก์และจำเลยที่เจ้าหน้าที่ของแต่ละฝ่ายกระทำ ไปนั้น การกระทำของเจ้าหน้าที่จำเลยเป็นเพียงก่อให้เกิดบัญชีเงินฝากที่ไม่ถูกต้องด้วยความประมาทเลินเล่อ แต่การสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากที่ถูกต้องของโจทก์เข้ามาบัญชีเงินฝากที่ไม่ถูกต้องดังกล่าว ทำให้ ธ. สามารถ เบิกถอนเงินออกจากบัญชีไปเกิดความเสียหายตามที่โจทก์ฟ้องนั้น เกิดจากความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ ของโจทก์ผู้มีอำนาจสั่งจ่ายที่ไม่ตรวจสอบให้ถูกต้อง และโจทก์ไม่มีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่ของ โจทก์ เป็นเหตุให้มีการกระทำทุจริตของ ธ. ได้ อันถือว่าทำละเมิดต่อโจทก์ที่ร้ายแรงกว่าการกระทำของ เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่เป็นเพียงการเปิดบัญชีเงินฝากโดยไม่ตรวจสอบให้ถูกต้อง ทำให้มีบัญชีเงินฝากที่ไม่ ถูกต้องขึ้น แล้วใช้บัญชีเงินฝากดังกล่าวเรียกเก็บเงินจากการสั่งจ่ายโดยเจ้าหน้าที่ของโจทก์จากบัญชีเงินฝากที่ ถูกต้องและหมุนเวียนการใช้บัญชีเงินฝากดังกล่าวสร้างความเสียหายแก่โจทก์เป็นเวลาหลายปีได้ ดังนั้นโจทก์มี
pg. 19 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ส่วนก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าจำเลย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 วรรคหนึ่ง และ มาตรา 438 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ค่าสินไหมทดแทนกรณีทำให้ตาย มาตรา 443 มาตรา 445 ได้แก่ ค่าปลงศพ มาตรา 443 วรรคหนึ่ง ค่าใช้จ่ายอันจำเป็น มาตรา 443 วรรคหนึ่ง ค่ารักษาพยาบาลก่อนตาย มาตรา 443 วรรคสอง ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ก่อนตาย มาตรา 443 วรรคสาม ค่าขาดไร้อุปการะ มาตรา 443 วรรคสอง ค่าขาดแรงงาน มาตรา 445 (ประเด็นนี้อาจารย์บอกว่าให้กลับไปท่องว่ามีอะไรบ้าง) ค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพ รวมถึง ค่าส่งศพกลับภูมิลำเนา ค่าโลงศพ ค่าซื้อที่ฝังศพ ทำฮวงซุ้ย ค่าก่อเจดีย์บรรจุอัฐิตามสมควร ค่าของชำร่วยงานศพ ค่าดอกไม้ บุหรี่ถวายพระ แต่ไม่รวมค่า เดินทางไปเคารพศพ 10 ปี ค่าใช้จ่ายร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดก ค่าขาดไร้อุปการะ ต้องเป็นค่าอุปการะตามกฎหมาย ไม่ใช่ค่าอุปการะตามความเป็นจริง บุคคลที่จะมี สิทธิเรียกค่าขาดไรอุปการะได้ คือ มารดา บิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย และแม้ตามความเป็นจริงจะไม่อุปการะก็ เรียกได้เพราะเป็นสิทธิตามกฎหมาย ความเสียหายเกี่ยวกับความรู้สึกด้านจิตใจ ซึ่งเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน มาตรา 446 ฎีกาที่ 4404/2564 แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือ ความตกใจ โดยการขู่เข็ญตาม ป.อ. มาตรา 392 แต่เมื่อโจทก์มิได้บรรยายการกระทำดังกล่าวมาในคำฟ้อง ทั้ง ไม่ระบุในคำขอท้ายฟ้องไว้ จึงถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่อาจ ลงโทษจำเลยได้การที่จำเลยใช้อาวุธปืนเล็งข่มขู่ผู้ร้อง แม้จะไม่ได้ทำให้ผู้ร้องบาดเจ็บ แต่ก็เป็นการทำให้ผู้ร้อง เสียหายแก่ร่างกายและอนามัยของผู้ร้อง เพราะการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ร้องตกใจกลัวเป็นความเสียหาย เกี่ยวกับความรู้สึกด้านจิตใจ ซึ่งเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 ผู้ร้องถูกกระทำละเมิดจึงชอบที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้ได้ เรื่องอายุความเป็นรายละเอียดในทางปฏิบัติอาจารย์จะไม่พูดถึงนะครับ แต่ฝากให้ไปดูค่าสินไหมใน ความเสียหายมานะครับ อาจารย์จะออกในประเด็นที่พูดคุยกัน ไม่เอากรณีพิเศษมาออกข้อสอบ สรุปเรื่องละเมิด ดูมาตรา 420 การปรับว่าเป็นละเมิดหรือไม่ และกรณีที่ใช้สิทธิเกินส่วนตามมาตรา 421 ในข้อสอบละเมิดจะต้องมีการวินิจฉัยว่ามีการกระทำละเมิดเกิดขึ้นหรือไม่ เมื่อมีการกระทำละเมิดแล้ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นผลที่เกิดจากการกระทำละเมิดหรือไม่ ตัวละครที่เกี่ยวข้องที่มาเรียกร้องสิทธิได้และ บุคคลอื่นที่ต้องมาร่วมรับผิดกับการกระทำละเมิด อาจารย์บอกว่านายจ้างลูกจ้างง่ายเกินไป ส่วนตัวการตัวแทน มีประเด็นที่แทรกอยู่ และดูประเด็นอื่นๆมาด้วยนะครับ อายุความไม่ออกข้อสอบนะครับ
pg. 20 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการทำข้อสอบละเมิดนะครับ ถ้าข้อสอบละเมิดได้รับเลือกให้ออกสอบ ***จบการบรรยาย*** สรุปโดย A08 ตรวจทาน C2
pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กัน ฎีกาโจทก์ข้อนี้จึงเป็นเรื่องนอกประเด็น และไม่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับ วินิจฉัย จำเลยไม่ได้หลอกลวงโจทก์ให้แต่งงาน แต่โจทก์สมัครใจยินยอมแต่งงานกับจำเลย การแต่งงาน และจัดงานฉลองสมรสเกิดจากความสมัครใจของโจทก์ เป็นการยอมรับผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ตนเอง ตามกฎหมายถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ไม่ได้ จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดและไม่จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ฎีกาที่ 2830/2563 เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2529 จำเลยจดทะเบียนสมรสกับนางสาว พ.และ เลิกร้างกันโดยไม่ได้จดทะเบียนหย่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 โจทก์กับจำเลยได้รับพิธีสมรสพระราชทาน และจัดงานฉลองสมรส วันที่ 12 ธันวาคม 2556 โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงิน 3 ล้านบาทพร้อม ดอกเบี้ย อ้างว่าการกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติคุณ ถูกกลั่น แกล้งจากเพื่อนร่วมงาน และถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้หลอกลวงโจทก์ โจทก์ทราบ ว่าจำเลยมีภริยาและบุตร แต่แยกกันอยู่โดยไม่ได้จดทะเบียนหย่า จำเลยออกค่าใช้จ่ายในการแต่งงานโดยไม่ เคยร่วมหลับนอนกับโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ทางพิจารณาปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2560 โจทก์จำเลยแถลง รับข้อเท็จจริงว่า ก่อนโจทก์จำเลยแต่งงาน โจทก์เคยคุยโทรศัพท์กับนางสาว พ. แต่นางสาว พ.ไม่ได้แสดงตน ว่าเป็นภริยาของจำเลย ก่อนจัดพิธีแต่งงาน นาง ส.บอกโจทก์ว่า แต่งงานกับจำเลยทำไม จำเลยมีภริยาแล้ว และยังไม่ได้หย่า โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า โจทก์จำเลยไม่เคยอยู่บ้านเดียวกัน ส่วนจำเลย เบิกความว่า จำเลยทะเลาะกับโจทก์อย่างรุนแรงเป็นเหตุให้โจทก์ไล่จำเลยออกจากบ้านที่พักอาศัยด้วยกันซึ่ง เป็นทาวน์เฮ้าส์ที่จำเลยให้โจทก์ถือว่าเป็นเรือนหอ หลังจากฉลองสมรสพระราชทานจำเลยไม่สามารถเข้าไปอยู่ ในทาวน์เฮ้าส์ได้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หากโจทก์เพิ่งรู้ว่าจำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนหย่าภายหลังเข้าพิธีแต่งงานกับจำเลย โจทก์น่าจะอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยก่อนจนกระทั่งรู้ความจริง พฤติการณ์ที่โจทก์กับจำเลยไม่ได้อยู่ร่วมกัน หลังจากวันที่จัดงานฉลองสมรสจึงเป็นพิรุธ ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้อง สำหรับวันนี้ขอจบการบรรยายเพียงเท่านี้ พบกันชั่วโมงหน้า สวัสดีครับ จบการบรรยาย