pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ซึ่ง ข. ไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องได้ ทั้งจำเลยที่ 1 สามารถเปลี่ยนตัวจำเลยที่ 2 ไม่ให้ขับ รถบรรทุกต่อไปได้หากเห็นว่าไม่สมควรที่จะให้ทำหน้าที่ต่อไป จำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจสั่งการบังคับบัญชา จำเลยที่ 2 และมีอำนาจหักเอาเงินผลประโยชน์ส่วนแบ่งของ ข. มาจ่ายให้แก่จำเลยที่ 2 ได้อีกด้วย นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังมีผลประโยชน์ร่วมกับ ข. โดยได้รับส่วนแบ่งจากการให้บริการขนสินค้าให้แก่ลูกค้าเป็นราย ๆ กรณีถือได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในการที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำละเมิดด้วย ฎีกาที่ 898/2534 พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 เจ้าของรถสองแถวคันเกิดเหตุ มิได้ปฏิเสธ ว่าไม่ได้ เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 ผู้ขับรถสองแถว ขณะเจรจาเรื่องค่าเสียหายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้อ้าง ว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่ารถสองแถวคันเกิดเหตุของตนและมาร่วมในการเจรจาเรื่องค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ทุกครั้งที่มีการเจรจากันดุจจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของตน แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับว่าจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้าง และปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด ที่จำเลยที่ 2 ได้กระทำไป สำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี มีข้อความเพียงว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมชดใช้ ค่าซ่อมรถตามที่โจทก์เรียกร้อง คู่กรณีไม่ติดใจเอาความทางอาญาอีกต่อไป ดังนี้เป็นเรื่องโจทก์ในฐานะ ผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับเท่านั้น ส่วนข้อความยอมรับผิดชดใช้ค่าซ่อมรถนั้น ไม่มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ต้อง ชำระวิธีการชำระ อันจะทำให้ปราศจากการโต้แย้งกันอีก ข้อความในสำเนารายงานดังกล่าวมิใช่เป็นการระงับ ข้อพิพาทในมูลละเมิด จึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความอันจะทำให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างหลุดพ้น ความรับผิดในมูลละเมิด ผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันกับนายจ้าง ผู้ประกอบกิจการขนส่งร่วมกัน ฎีกาที่ 4781/2560 แม้จำเลยจะอ้างว่ารถยนต์กระบะบรรทุกเป็นของ บ. เอง ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ บ. เป็นผู้จ่าย ทั้ง บ. ก็ไม่ได้อยู่ในบังคับบัญชาของจำเลย แต่เมื่อรถยนต์กระบะบรรทุก คันเกิดเหตุ ปรากฏชื่อบริษัทของจำเลยอยู่ข้างตัวรถ การที่จำเลยสั่งให้ บ. เข้าไปรับสินค้าโดยใช้รถยนต์กระบะ บรรทุกคันดังกล่าว จำเลยจึงเป็นนายจ้างของ บ. ต้องรับผิดกับ บ. ในเหตุละเมิดที่เกิดขึ้น ฎีกาที่ 5112/2560 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การรับว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 และ ไม่ได้ให้การปฏิเสธในข้อที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จึงต้องถือว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างนั้นแล้ว และไม่เป็นประเด็นข้อพิพาท โจทก์จึงไม่ จำต้องนำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวซึ่งถือว่าคู่ความรับกันแล้ว ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 84(3) ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ดังนั้น จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้ กระทำไปในทางการที่จ้างนั้นตาม ป.พ.พ.มาตรา 425
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นเพียงผู้เช่าซื้อแต่ก็สามารถนำรถบรรทุกคันเกิดเหตุไปยื่นขอใบอนุญาต ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลได้ แต่จำเลยที่ 2 หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของ จำเลยที่ 2 นำรถบรรทุกคันที่เกิดเหตุไปใช้และใช้ใบอนุญาตประกอบการขนส่งส่วนบุคคลของจำเลยที่ 3 อยู่ในขณะเกิดเหตุ โดยไม่ปรากฏว่ามีการทักท้วงหรือแจ้งถอนใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ประกอบกับ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอุบัติเหตุของโจทก์ได้พบจำเลยที่ 1 ในที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1 บอกว่าเป็นลูกจ้างของเจ้า ของรถ จึงได้บันทึกไว้ในรายงานอุบัติเหตุ พฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวถือได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีผลประโยชน์ร่วมกันในการประกอบการขนส่ง โดยจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุในทางการ ที่จ้าง และในธุรกิจประกอบการขนส่งของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ดังนั้น จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิด ต่อโจทก์ด้วย ฎีกาที่ 2971/2537 จำเลยที่ 3 มีรถสำหรับท่องเที่ยวเป็นของตนเองเพื่อให้เช่าขณะที่ ส.ผู้แทน โจทก์และคณะทำสัญญาเช่ารถ จำเลยที่ 3 ยังไม่ทราบว่ารถมีไม่พอให้เช่า จึงต้องเช่ารถจากจำเลยที่ 2 เพื่อบริการแก่คณะของโจทก์แทน และจำเลยที่ 2 ผู้ให้เช่ารถจัดให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถพาคณะของโจทก์ไปยังจุดหมายตามข้อตกลง ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 นำรถเข้าร่วมบริการกับจำเลยที่ 3 โดยรับผลประโยชน์ร่วมกัน จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 นั้นเป็นลูกจ้างของจำเลย ที่ 3 อันจะเป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้น ฎีกาที่ 1340/2529 จำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่ารถยนต์แท็กซี่คันเกิดเหตุของจำเลยที่ 2 ไปรับจ้าง ผู้โดยสารเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 จึงมิใช่ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 2 ส่วนที่มีกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 22 พ.ศ. 2527 ออกตามความในพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ข้อ 5 (8) บัญญัติว่าต้องไม่นำ รถยนต์รับจ้างของบริษัทจำกัดไปให้บุคคลอื่นยืมเช่าหรือเช่าซื้อ เว้นแต่ให้เช่าเพื่อประกอบการรับจ้างบรรทุก คนโดยสารนั้น กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวก็มีไว้ใช้บังคับแก่บริษัทจำกัดที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการรับจ้าง บรรทุกคนโดยสารโดยใช้รถยนต์รับจ้าง ไม่ได้ใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไป และไม่ใช่เป็นบทบัญญัติที่จะบังคับ ให้ผู้เช่ารถยนต์ของบริษัทต้องกลายเป็นลูกจ้างของบริษัท กรณีคนงานของผู้รับเหมาช่วง ฎีกาที่ 2336/2523 จำเลยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอาคาร คนงานก่อสร้างได้กระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จำเลยต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เกิดขึ้นด้วย คนงานซึ่งถือว่าเป็น ลูกจ้างของจำเลยในทางการที่จ้างได้ทำโดยประมาท จะอ้างว่าคนงานของผู้รับเหมาช่วงเป็นผู้กระทำเพื่อให้พ้น ความรับผิดหาได้ไม่ กิจการครอบครัว
pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 2779/2535 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของ ท. สามีจำเลยที่ 2 ได้ขับรถคันเกิดเหตุไปใน ทางการที่จ้างของ ท. เมื่อรายได้จากกิจการเดินรถคันดังกล่าว ท. ได้นำมาใช้จ่ายในครอบครัว แม้ค่าเช่าซื้อรถก็ ใช้เงินที่มีอยู่ในครอบครัวที่สะสมไว้ จึงเป็นการดำเนินกิจการร่วมกัน จำเลยที่ 2 ย่อมเป็นนายจ้างของ จำเลยที่ 1 และเป็นหุ้นส่วนของ ท. ผู้เป็นสามีด้วย จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดชำระค่าเสียหายในการกระทำ ละเมิดของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ การเป็นนายจ้างลูกจ้างสาระสำคัญต้องมีสินจ้าง ไม่ใช่แค่เอื้อเฟื้อส่วนตัว ฎีกาที่ 1043/2540 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลมีนบุรีและจำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งรองผู้กำกับการตำรวจนครบาล 7 มีนบุรี ต่างมีอาชีพรับราชการ จำเลยที่ 1 เป็นแต่เพียง ผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ตามสายการบังคับบัญชาเท่านั้น หากจำเลยที่ 1 จะขับรถยนต์ให้ จำเลยที่ 2 บ้างก็น่าจะเป็นครั้งคราวตามอัธยาศัย และการที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 อาสาไปส่ง จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่สถานีตำรวจนครบาลมีนบุรีนั้นก็เป็นเรื่องเอื้อเฟื้อส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงเช่นนี้จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่ง การละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 ฎีกาที่ 5349/2533 อ. ลูกจ้างจำเลยตำแหน่งสัตวบาล มีหน้าที่ดูแลสุกรขุน ไม่มีหน้าที่ขับรถยนต์ หลังจากเลิกงาน อ. ได้ขอยืมรถยนต์จากผู้จัดการของจำเลยขับไปรับประทานอาหารข้างนอกฟาร์มของจำเลย จึงเป็นเรื่องส่วนตัวของ อ. แม้ว่าผู้จัดการของจำเลยจะรู้เห็นยินยอมให้นำรถไปใช้ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการขับรถ ไปในทางการที่จ้าง เมื่อ อ.ขับรถไปเกิดเหตุชนกันขึ้น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด เจ้าของรถใช้หรือวาน “คนอื่น” ที่ไม่ใช่ลูกจ้าง ฎีกาที่ 1980/2505 ใช้หรือวานบุคคลที่ไม่ใช่ลูกจ้างให้ขับรถยนต์ไปในธุรกิจของผู้ใช้เอง โดยผู้ถูก ใช้เป็นผู้ขับรถยนต์ได้ และเคยขับให้ผู้ใช้มาก่อนแล้วนั้น หากผู้ถูกใช้ขับรถยนต์ไปชนบุคคลอื่นเป็นการละเมิดขึ้น ผู้ใช้ก็หาจำต้องร่วมรับผิดด้วยไม่ เพราะมิได้ประมาทเลินเล่อในการใช้หรือวาน การรับใช้หรือวานขับรถยนต์ให้นั้นไม่ใช่เป็นตัวแทน เพราะมิใช่เป็นกิจการที่ทำแทนตัวการต่อบุคคล ที่ 3 แต่เป็นกิจการในระหว่างผู้ใช้กับผู้รับใช้ ไม่ได้เกี่ยวกับบุคคลที่ 3 เลย หมายเหตุแม้จะไม่เป็นนายจ้างลูกจ้างกัน ต้องวิเคราะห์ต่อไปว่าเป็นตัวการตัวแทนตามมาตรา 427 หรือไม่ ฎีกาที่ 1176/2510 เจ้าของรถยนต์นำรถยนต์ไปซ่อมที่อู่ซ่อมรถแล้วเจ้าของรถยนต์วานให้ช่างซ่อม รถขับรถคันนั้นไปส่งที่อื่น เมื่อส่งเสร็จแล้วช่างซ่อมรถขับรถกลับอู่ไปเกิดชนกับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย ระหว่างทาง ดังนี้ ช่างซ่อมรถไม่ได้เป็นตัวแทนหรือเป็นลูกจ้างของเจ้าของรถยนต์ เจ้าของรถยนต์ไม่ต้องร่วมรับ ผิดในการละเมิดนั้น
pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สัญญาจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 นั้น ผู้รับจ้างตกลงจะทำงาน สิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่ผู้ว่าจ้าง โดยผู้รับจ้างไม่ได้อยู่ในความควบคุมบังคับบัญชาของผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้าง ไม่มีสิทธิจะสั่งงานหรือบงการแก่ผู้รับจ้าง ลูกจ้างขับรถเก็บขยะของเทศบาล การที่เทศบาลจ้างบุคคลอื่นมาดำเนินการในนามของเทศบาล ก็ยังถือว่าเทศบาลเป็นนายจ้าง ฎีกาที่ 5985/2561 โจทก์ทั้งสามบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มี ช. เป็น นายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช และเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถบรรทุกคันเกิดเหตุ ในวันเกิดเหตุ ร. ขับ รถบรรทุกคันเกิดเหตุเพื่อปฏิบัติหน้าที่เก็บขนถ่ายขยะตามคำสั่งของจำเลยทั้งสอง แม้โจทก์จะไม่ได้กล่าวใน คำฟ้องว่า ที่ข้างรถบรรทุกคันเกิดเหตุมีข้อความว่า เทศบาลนครนครศรีธรรมราช แต่จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการเก็บขนขยะมูลฝอยเทศบาล นครนครศรีธรรมราชแทนจำเลยที่ 1 ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 รับว่า ร. ทำหน้าที่ขับรถบรรทุก คันเกิดเหตุเพื่อเก็บขนขยะในนามของจำเลยที่ 1 ตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 เมื่อการเก็บขนขยะเป็นภารกิจ ของเทศบาล การขับรถเก็บขนขยะของ ร. จึงเป็นการทำไปตามหน้าที่ในภารกิจของจำเลยที่ 1 พฤติการณ์ ดังกล่าวย่อมเป็นการแสดงออกแก่บุคคลทั่วไปว่า ร. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และรถบรรทุกคันเกิดเหตุ เป็นของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ดำเนินการเก็บขนขยะในนามของจำเลยที่ 1 ย่อมถือได้ ว่าจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างของ ร. ด้วย ส่วนจำเลยที่ 1 จะมีสัญญาหรือข้อตกลงกับจำเลยที่ 2 อย่างไร ก็เป็น เรื่องที่จะบังคับกันระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 เท่านั้น หาได้มีผลผูกพันกับบุคคลภายนอกซึ่งรวมถึงโจทก์ ทั้งสามด้วยไม่ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ร. ขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุไปในทางการที่จ้างของจำเลยทั้งสองและ กระทำละเมิด จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกับ ร. รับผิดในผลแห่งละเมิดที่ ร. กระทำด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 ลูกจ้างให้ผู้อื่นทำงานแทนตัวเอง ฎีกาที่ 1847/2506 คนขับรถใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถแทน คนขับมีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบไม่ให้ เกิดเหตุร้ายขึ้น เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้รถคว่ำ และบุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย คนขับจะต้องรับผิดในการละเมิดที่เกิดขึ้น เหตุที่เกิดการละเมิดนี้อยู่ในกรอบกิจการที่จ้าง นายจ้างจะต้องร่วม รับผิดด้วย แม้คนตายจะโดยสารรถโดยไม่ได้ชำระค่าโดยสาร ก็ไม่เป็นเหตุให้นายจ้างพ้นความรับผิด เมื่อทรัพย์สินของผู้ตายสูญหายไปซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการที่ลูกจ้างทำละเมิด นายจ้างจะต้องรับผิด ฎีกาที่ 852/2495 ผู้ขับรถยนต์ประจำทางยินยอมให้ผู้ตรวจตั๋ว ซึ่งไม่มีใบอนุญาตขับขี่ขับรถยนต์ คันที่ตนขับ จนเกิดชนรถยนต์ผู้อื่นเสียหายนั้น นายจ้างของผู้ขับรถประจำทางนั้น ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหาย ให้แก่เขา กรณีที่ไม่ต้องร่วมรับผิดตามมาตรา 425 1. กรณีแพทย์ขอใช้สถานที่โรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาคนไข้
pg. 11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 292/2542 จำเลยที่ 2 ทำการผ่าตัดหน้าอกโจทก์ที่มีขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กลง ที่โรงพยาบาลจำเลยที่ 1 หลังผ่าตัดแล้วจำเลยที่ 2 นัดให้โจทก์ไปทำการผ่าตัดแก้ไขที่คลินิกจำเลยที่ 2 อีก 3 ครั้ง แต่อาการไม่ดีขึ้น โจทก์จึง ให้แพทย์อื่นทำการรักษาต่อ แม้ตัวโจทก์และนายแพทย์ ด. ผู้ทำการรักษาโจทก์ ต่อจากจำเลยที่ 2 จะไม่สามารถนำสืบให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 ประมาทเลินเล่อในการผ่าตัด และรักษาพยาบาล โจทก์อย่างไร แต่เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมด้านเลเซอร์ ผ่าตัด จำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ ต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและ พฤติการณ์เป็นพิเศษ การที่นายแพทย์ ด. ต้องทำการผ่าตัดแก้ไขอีก 3 ครั้ง แสดงว่าจำเลยที่ 2 ผ่าตัดมามีข้อบกพร่องจึงต้องแก้ไขและแสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช้ความระมัดระวังใน การผ่าตัด และไม่แจ้งให้ผู้ป่วยทราบ ถึงขั้นตอนการรักษา ระยะเวลา และกรรมวิธีในการดำเนินการรักษา จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย นับว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์ พฤติการณ์ที่โจทก์ติดต่อรักษากับจำเลยที่ 2 ที่คลินิกและตกลงให้โจทก์เข้าผ่าตัดใน โรงพยาบาลจำเลยที่ 1 โจทก์จ่ายเงินให้จำเลยที่ 2 จำนวน 70,000 บาทให้จำเลยที่ 1 จำนวน 30,000 บาท ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างหรือตัวการที่ต้องร่วมรับผิด ในส่วนของค่าเสียหายนอกจากส่วนที่มี ใบเสร็จ แม้โจทก์จะมีอาการเครียดอยู่ก่อนได้รับการผ่าตัดจากจำเลยที่ 2 แต่เมื่อหลังผ่าตัดอาการมากขึ้น กว่าเดิม ความเครียดของโจทก์จึงเป็นผลโดยตรงมาจากการผ่าตัดจำเลยที่ 2 ต้องรับผิด และแม้ไม่มีใบเสร็จมา แสดงว่าได้เสียเงินไปเป็นจำนวนเท่าใดแน่นอน แต่น่าเชื่อว่าโจทก์ ต้องรักษาจริง ศาลเห็นสมควรกำหนด ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้ สำหรับค่าเสียหายอื่นนั้นเมื่อปรากฏว่าหลังจากแพทย์โรงพยาบาลอื่นได้รักษาโจทก์อยู่ใน สภาพปกติแล้ว โจทก์จึง ไม่อาจเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย อื่นอันมิใช่ตัวเงิน เหตุละเมิด เกิดวันที่ 12 เมษายน 2537 ต้องฟ้อง ภายใน 1 ปี ครบกำหนดตรงกับวันหยุดสงกรานต์วันที่ 12 ถึง 14 เมษายน วันที่ 15 และ 16 เมษายน 2538 เป็นวันเสาร์อาทิตย์ ราชการหยุดทำการ โจทก์ยื่นฟ้อง วันเปิดทำ การวันที่ 17 เมษายน 2537 ได้ คดีไม่ขาดอายุความ 2. กรณีล้างรถ ฎีกาที่ 2502/2523 จำเลยที่ 1 รับจ้างจำเลยที่ 2 และบุคคลอื่นล้างและเฝ้ารถ ซึ่งจอดอยู่ริมถนน ที่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติงานเฝ้ายามอยู่แล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ต้องทำตามคำสั่งหรืออยู่ในความควบคุม ของจำเลยที่ 2 การจ้างเช่นนี้เป็นการจ้างทำของเพราะผู้ว่าจ้างต้องการแต่ผลสำเร็จของงานคือความสะอาด และความคงอยู่ของรถ ไม่ใช่จ้างแรงงาน จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ลูกจ้างจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับ จำเลยที่ 1 ในการที่จำเลยที่ 1 ทำละเมิดต่อโจทก์ 3. รับจ้างยึดรถ ฎีกาที่ 1982/2522 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์คันเกิดเหตุ ได้ว่าจ้าง พ.ไปยึดรถคันดังกล่าวคืน มา พ.ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 2 ทำการยึดอีกต่อหนึ่ง เมื่อยึดรถได้แล้วจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์คันดังกล่าวมาเพื่อ มอบให้ พ. ระหว่างทางจำเลยที่ 2 ขับรถโดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 จ้าง พ.ไปยึดรถยนต์เป็นการจ้างทำของมิใช่จ้างแรงงาน เพราะเป็นการถือเอาความสำเร็จของงานเป็นวัตถุประสงค์
pg. 12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ของสัญญา มิใช่สัญญาระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง เมื่อ พ.จ้างจำเลยที่ 2 ไปยึดรถอีกต่อหนึ่ง จำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ อยู่ในฐานะนายจ้างและไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในการกระทำละเมิดของ จำเลยที่ 2 4. ผู้มีชื่อเป็นผู้ครอบครองหรือเจ้าของเพียงอย่างเดียว ฎีกาที่ 15199-15200/2558 จำเลยที่ 6 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 (ห้างหุ้นส่วนจำกัด) ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 6 ขับรถบรรทุกสินค้าไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 ในฐานะนายจ้างจึง ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 6 ในผลแห่งละเมิดซึ่งจำเลยที่ 6 ได้กระทำไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 425 จำเลยที่ 3 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการย่อมต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 4 ด้วย โดยไม่จำกัด จำนวนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1077 (2) และมาตรา 1087 ส่วนจำเลยที่ 2 แม้เป็น หุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด แต่พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ที่แสดงตัวออกว่าเป็นนายจ้างจำเลยที่ 6 และ เข้าไปติดต่อเจรจาเกี่ยวกับการใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตลอดมาถือได้ว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้อง จัดการงานของจำเลยที่ 4 เช่นนี้จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ทั้งหลายของจำเลยที่ 4 ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1088 ด้วย โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างหรือตัวการของจำเลยที่ 6 และในวันเกิดเหตุจำเลย ที่ 6 ขับรถไปในทางการที่จ้างหรือได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 ด้วย แต่จากทางนำสืบของโจทก์ไม่ได้ ความว่า จำเลยที่ 1 มีความเกี่ยวข้องหรือมีนิติสัมพันธ์ใดๆ กับจำเลยที่ 6 หนังสือรับรองจำเลยที่ 4 ก็ไม่มีชื่อ จำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วน และไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ร่วมลงทุนทำกิจการใดกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 หรือมีส่วน เป็นเจ้าของสินค้าที่บรรทุกมาในรถกระบะที่จำเลยที่ 6 ขับไปเกิดเหตุคดีนี้ คงได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 1 มีชื่อ เป็นผู้ครอบครองรถกระบะคันเกิดเหตุเท่านั้น ดังนี้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดใด ๆ ในผลแห่งละเมิดซึ่ง จำเลยที่ 6 กระทำ ข้อสังเกต การที่มีชื่อทางทะเบียนเป็นเจ้าของรถแล้วมีการนำรถไปชนบุคคลอื่น คนที่มีชื่อในทะเบียน จะต้องรับผิดชอบหรือไม่ นักศึกษาต้องดูว่าคนที่มีชื่อในทะเบียนนั้นเป็นผู้ครอบครองหรือเป็นนายจ้างหรือไม่ เพราะบางครั้งเจ้าของรถมอบรถให้คนอื่นไปใช้แล้วตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องเลย ถ้าเป็นอย่างนี้เหมือนกับมอบ สิทธิ์ขาดให้คนอื่นนำไปใช้ คนที่จะต้องรับผิดชอบโดยตรงคือคนที่นำรถไปใช้ เพราะฉะนั้น ไม่ได้หมายความว่ามี ชื่อทางทะเบียนและจะต้องรับผิดชอบในการที่รถไปชนทุกกรณีไป หลักที่จะช่วยให้เราวินิจฉัยได้ง่ายขึ้นอีกข้อหนึ่ง ก็คือ ในทางการที่จ้าง ในทางการที่จ้างนายจ้างต้อง ร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของลูกจ้างต้องเป็นผลมาจากการปฏิบัติงาน 1. อยู่ในขอบเขตของงานที่จ้าง (ในหน้าที่ แต่นอกเวลางานก็ได้) 2. นายจ้างยินยอมให้ลูกจ้างควบคุมดูแลทรัพย์สิน 3. ลูกจ้างมีสิทธิเลือกวิธีการหรือเส้นทางได้ 4. ลูกจ้างช่วยเหลือบุคคลภายนอก
pg. 13 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 5. ลูกจ้างย่อมมีอำนาจหน้าที่โดยปริยายที่จะป้องกันทรัพย์สินของนายจ้างในกรณีฉุกเฉินตามสมควร อันนี้อาจารย์สรุปจากแนวการวินิจฉัยของคำพิพากษาฎีกาต่างๆ 1. อยู่ในขอบเขตของงานไม่ว่าในหรือนอกเวลางาน ก่อนเวลางานปกติ ฎีกาที่ 261/2538 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 บ. ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ ขับรถยนต์และดูแลรถคันเกิดเหตุยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปทำงานโดยลำพังแต่ผู้เดียว แล้วจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ไปชนโจทก์โดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์บาดเจ็บได้รับอันตรายถึงสาหัส จำเลย ที่ 1 ขับรถยนต์ไปทำงานให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้าง แม้เหตุจะเกิดก่อนเวลาถึงเวลาทำงานตามปกติของร้าน จำเลยที่ 2 ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมกับ จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ เวลาพักกลางวัน ฎีกาที่ 970/2512 ลูกจ้างของบริษัทจำเลยทำหน้าที่ขับรถยนต์ขนดินขนหิน ขณะหยุดพักงาน ตอนเที่ยงวันได้ขับรถยนต์บรรทุก ของจำเลยออกไปจากเส้นทางที่ก่อสร้างเพื่อไปรับประทานอาหาร รถยนต์ชน จักรยานยนต์ซึ่งโจทก์นั่งซ้อนท้ายมาโดยประมาทเลินเล่อ ในการที่ลูกจ้างเอารถของจำเลยขับไปนั้นแม้จะเป็น การฝ่าฝืนระเบียบของบริษัทจำเลยที่วางไว้ แต่ก็อยู่ระหว่างเวลาที่ลูกจ้างประจำทำงานตามทางการที่จ้าง ให้แก่บริษัทจำเลยตลอดทั้งวัน ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้างของจำเลย บริษัทจำเลยต้อง รับผิด หลังเวลาเลิกงานปกติ ฎีกาที่ 3757/2553 จำเลยที่ 1 พักอยู่ที่ที่ทำงานและจะให้รถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุเป็นประจำ ในการทำงาน เหตุรถเฉี่ยวชนกันเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 22 นาฬิกา หลังจากเวลาเลิกงานตามปกติแล้ว ขณะจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุไปเติมน้ำมันแม้จะอยู่นอกเวลาทำงานแต่ก็เป็นหน้าที่ของจำเลย ที่ 1 ที่จะต้องปฏิบัติการเพื่อให้เป็นไปตามที่จำเลยที่ 2 มอบหมาย จึงเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของ จำเลยที่ 2 ป.พ.พ. มาตรา 1077 (2) ประกอบมาตรา 1087 ที่บัญญัติให้ผู้จัดการซึ่งเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัด ความรับผิดต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนไม่จำกัดจำนวนนั้น มิได้ระบุข้อยกเว้นหรือเงื่อนไข แห่งการรับผิดของผู้จัดการในหนี้ของห้างหุ้นส่วนแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 3 หุ้นส่วนผู้จัดการต้องร่วมรับผิดด้วยจึงชอบแล้ว กรณีวันหยุด ฎีกาที่ 4997/2548 จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 วันเกิดเหตุขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 พา รองประธานกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 ไปด้วย แสดงว่าจำเลยที่ 2 ขับรถไปตามคำสั่งของผู้มีอำนาจกระทำ การแทนจำเลยที่ 1 ถือว่าทำตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 แม้จะเป็นวันหยุดมิใช่วันทำงานปกติของจำเลยที่ 2 ก็
pg. 14 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าเกิดเหตุนอกเวลาทำการงานของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดหาได้ไม่ งานนอกหน้าที่ แต่ลูกจ้างยอมทำตามคำสั่ง ถือว่าอยู่ในทางการที่จ้าง ฎีกาที่ 1160/2546 แม้จำเลยที่ 1 จะมีหน้าที่ขนวัสดุก่อสร้าง ไม่มีหน้าที่ขับรถ และรถยนต์คัน เกิดเหตุของจำเลยที่ 3 มี ร. เป็นคนขับประจำ แต่จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 3 และที่ 4 การที่จำเลย ที่ 1 ขึ้นไปติดเครื่องยนต์ในระหว่างการทำงานให้แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นนายจ้าง โดย ร. มิได้ ควบคุมดูแล ทำให้รถแล่นไปชนโจทก์ซึ่งต่อมาภายหลังถึงแก่ความตายนั้น เห็นได้ว่าขณะเกิดเหตุละเมิด ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างยังคงมีอยู่ ต้องถือว่าการละเมิดเกิดขึ้น ขณะจำเลยที่ 1 ปฏิบัติงานใน ทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของลูกจ้าง จำเลย ที่ 3 และที่ 4 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 เปรียบเทียบกับฎีกาที่ 801/2521 ลูกจ้างประจำปั๊มน้ำมันของจำเลย มีหน้าที่เติมน้ำมันล้าง รถยนต์ ลูกจ้างแก้รถยนต์ของโจทก์ที่เครื่องยนต์ดับเพราะน้ำท่วมแล้วนำรถออกไปลองเครื่อง ไม่เป็นการ กระทำในทางการที่จ้าง รถของโจทก์เกิดอุบัติเหตุเสียหายจำเลยไม่ต้องรับผิด ลูกจ้างควบคุมดูแลทรัพย์สินของนายจ้างถือว่าอยู่ในทางการที่จ้าง ฎีกาที่ 1196/2531 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถของจำเลยที่ 2 มีที่พักอยู่ในบริเวณบริษัท ซึ่งใช้เป็นโรงรถด้วย เมื่อเลิกงานจำเลยที่ 1 รวมทั้งพนักงานขับรถคนอื่น ๆ จะนำรถเข้าจอดในโรงรถ เอากุญแจรถแขวนไว้ข้างฝาผนังโรงรถ พนักงานขับรถสามารถหยิบกุญแจไปได้ ตอนเช้าพนักงานขับรถแต่ละ คนก็ขับรถคันที่ตนขับประจำออกไปปฏิบัติงานเท่ากับว่า จำเลยที่ 2 มอบรถให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บ หลังเลิกงานเพื่อนำรถออกปฏิบัติงานในวันต่อไป แม้จะให้เอากุญแจแขวนไว้ข้างฝาก็มิได้เก็บมิดชิดรัดกุมถือ ได้ว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมให้พนักงานขับนำรถออกไปใช้เมื่อหมดเวลาทำงาน หรือในวันหยุดได้ด้วย ดังนั้น แม้วัน เกิดเหตุจะเป็นวันหยุดงานและเกิดเหตุนอกเวลาทำงานและจำเลยที่ 1 เอารถคันเกิดเหตุออกไปส่งญาติ ก็ถือ ได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดในการ ละเมิดของจำเลยที่ 1 ลูกจ้างนำรถไปเก็บที่บ้านลูกจ้างถือว่าอยู่ในทางการที่จ้าง ฎีกาที่ 10392/2553 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกไม้ยางให้แก่จำเลยที่ 2 หลัง เลิกงานจำเลยที่ 2 ยินยอมให้ลูกจ้างนำรถไปเก็บไว้เอง เพื่อประโยชน์ในการบำรุงรักษารถและนำรถกลับมา บรรทุกไม้ยางให้จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ไม่ต้องไปส่งลูกจ้าง การที่จำเลยที่ 1 ขับรถไปในเวลากลางคืน ในขณะเกิดเหตุซึ่งเป็นเวลาหลังเลิกงานด้วยความยินยอมของจำเลยที่ 2 และเพื่อนำไปเก็บไว้ยังที่พักของ จำเลยที่ 1 เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 เพื่อประโยชน์ของนายจ้างเองที่จะนำรถกลับมาใช้งานให้
pg. 15 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถชนผู้ตายและบุตรระหว่างขับรถกลับบ้าน ถือว่าเป็นการขับรถไปในทางการที่ จ้าง จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในเหตุละเมิดกับจำเลยที่ 1 ฎีกาที่ 2789/2515 ลูกจ้างได้รับอนุญาตจากผู้ดูแลไร่ของนายจ้าง ให้ขับรถคันเกิดเหตุไปซื้อ แหนบรถมาใส่รถของนายจ้างคันที่เสีย ลูกจ้างไปซื้อแหนบรถแล้ว ขณะขับกลับไร่ มีผู้ว่าจ้างให้ขับรถไปส่ง มันสำปะหลังเมื่อส่งมันสำปะหลังแล้ว ขณะขับรถกลับไร่ได้เกิดชนกับรถของบุคคลอื่นโดยความประมาทของ ลูกจ้าง เช่นนี้ถือว่ายังอยู่ในระหว่างปฏิบัติงานในทางการที่จ้างอยู่ นายจ้างต้องร่วมรับผิดในผลละเมิดที่ลูกจ้าง ได้กระทำไป สรุปแล้ว นายจ้างจะไม่ต้องรับผิดเฉพาะกรณีที่ลูกจ้างปฏิบัติกิจธุระส่วนตัวอย่างเดียว ไม่ได้ทำหน้าที่ เพื่อนายจ้างเลยเท่านั้น ถ้าเริ่มต้นลูกจ้างทำงานเพื่อนายจ้าง ต่อมาลูกจ้างหันเหจากการปฏิบัติหน้าที่โดย เคร่งครัด ยังไม่ทำให้นายจ้างพ้นจากความรับผิดไปได้ เพราะยังมีการปฏิบัติหน้าที่เพื่อนายจ้างอยู่ แต่หาก ลูกจ้างถึงขั้นทิ้งการงานไปเสียทีเดียว โดยเอาเวลาไปทำธุระส่วนตัวทั้งหมดไม่เกี่ยวกับงานของนายจ้างเลย เท่ากับเป็นการกระทำของบุคคลภายนอก นายจ้างก็ไม่ต้องรับผิดเพื่อการกระทำของลูกจ้างอีกต่อไป แต่ถ้า ทำงานเสร็จนำรถไปเก็บเรียบร้อยแล้ว จึงเอารถจากความครอบครองของนายจ้างไปทำธุระส่วนตัวถือว่าอยู่ นอกทางการที่จ้าง สำหรับวันนี้ก็ขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ ***จบการบรรยาย*** ตรวจทานC4
1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อาจารย์ สไลเกษ วัฒนพันธุ์ บรรยายวันที่ 21 สิงหาคม 2566 (ครั้งที่ 12) (สัปดาห์ที่ 14) นักศึกษาพร้อมมั้ยครับ ชั่วโมงนี้เราจะมาศึกษากัน ในเรื่องนายจ้างลูกจ้างให้จบ ในการที่นายจ้าง จะต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอกในกรณีที่ลูกจ้างทำละเมิด ซึ่งเดี๋ยวจะเก็บรายละเอียดใน ส่วนที่เหลือ เพราะส่วนใหญ่อาจารย์ก็ได้บรรยายรายละเอียดไปเกือบจะหมดแล้ว ก็ยังค้างอยู่ในหัวข้อที่ว่า นายจ้างจะไม่ต้องรับผิด เฉพาะกรณีลูกจ้างปฏิบัติธุรกิจส่วนตัวอย่างเดียว แต่ไม่ได้ทำหน้าที่เพื่อนายจ้างเลย ซึ่งโดยสรุปแล้ว นายจ้างจะไม่ต้องรับผิดเฉพาะกรณีที่ลูกจ้างปฏิบัติกิจธุระส่วนตัวอย่างเดียว ไม่ได้ทำหน้าที่ เพื่อนายจ้างเลยเท่านั้น ซึ่งหากวันนี้อาจารย์บรรยายในเรื่องนายจ้างลูกจ้างจบ ก็จะกล่าวถึงเรื่องของตัวการ ตัวแทนรวมไปถึงจ้างทำของและผู้ที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกับบุคคลไร้ความสามารถทั้งหลายต่อไป นักศึกษาครับ มีคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เราควรจะต้องติดตามอยู่เรื่องหนึ่งนะครับ นั่นก็คือฎีกาที่ 4044/2548 ฎีกาที่ 4044/2548 จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานสวนป่าไม่มีหน้าที่ขับรถหรืออำนาจสั่งใช้รถได้โดย ลำพัง ทั้งไม่ปรากฏว่าในวันเกิดเหตุผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ได้มอบหมายหรืออนุญาตให้จำเลยที่ 1 ใช้ รถ จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุของจำเลยที่ 2 ออกไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจาก หัวหน้างานสวนป่าซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา การที่ ป. ชาวบ้านที่เป็นสมาชิกหมู่บ้านป่าไม้ ซึ่งมิใช่คนงานหรือ ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 มาขอความช่วยเหลือจากจำเลยที่ 1 เนื่องจากมีอาการท้องร่วงให้นำตัวส่ง โรงพยาบาล จำเลยที่ 1 จึงขับรถยนต์บรรทุกซึ่งเป็นรถที่ใช้ในกิจการของจำเลยที่ 2 ไปส่ง ป. โดยไม่ได้รับ อนุญาตจากผู้บังคับบัญชาแล้วไปเกิดเหตุชนกับรถบรรทุกคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย เป็น เรื่องที่จำเลยที่ 1 กระทำไปโดยความเอื้อเฟื้อส่วนตัวของจำเลยที่ 1 เอง และกระทำไปโดยพลการนอกเหนือ ขอบเขตกิจการงานของจำเลยที่ 2 หาใช่เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ไม่ จำเลยที่ 2 ไม่ ต้องรับผิดในผลละเมิดที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นแก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดแล้ว จำเลย ที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดเช่นเดียวกัน ข้อสังเกต คดีนี้จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ในการขับรถ แต่เอารถของนายจ้างไปขับเพื่อช่วยเหลือคนอื่น เนื่องจากเห็นว่ามีครอบครัวของเพื่อนร่วมงานป่วยก็เลยนำรถของหน่วยงานไปรับเพื่อไปส่งโรงพยาบาล แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา กรณีเช่นนี้จะถือว่าเป็นการกระทำในทางการที่จ้างซึ่งนายจ้างหรือหน่วยงานจะต้อง ร่วมรับผิดชอบหรือไม่ ซึ่งแม้อาจารย์จะใช้คำว่านายจ้างหรือหน่วยงาน แต่นักศึกษาจะต้องแยกให้ออก นะครับว่าถ้าเป็นคำว่าหน่วยงาน ก็จะไปคาบเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ฯ ด้วย แต่หากมิใช่หน่วยงานของรัฐ เราก็จะไม่นำเรื่องนี้มาใช้ก็ให้ไปปรับว่าด้วยการเป็นนายจ้างลูกจ้าง ทั้งนี้เพราะ หน่วยงานต่างๆที่อาจารย์กล่าวถึงนั้น มีทั้งหน่วยงานที่ถือว่าเป็นหน่วยงานของรัฐหรือเป็นหน่วยงานที่มิได้ แตกต่างจากหน่วยงานที่เป็นเอกชนหรือนายจ้างที่เป็นเอกชนนะครับ
2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โดยตัวอย่างตามคำพิพากษาฎีกานี้มีการนำรถของนายจ้างพาคนป่วยไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งเป็น ความเอื้อเฟื้อส่วนตัวและทำไปนอกเหนือจากกิจการงานของหน่วยงานของนายจ้าง ซึ่งกรณีเช่นนี้ต้อง ถือว่ามิใช่เป็นการกระทำในทางการที่จ้าง ๓. ลูกจ้างมีสิทธิเลือกวิธีการหรือเส้นทาง ถือว่าอยู่ในทางการที่จ้าง ในการทำงานของลูกจ้างนั้น นักศึกษาต้องพิจารณานะครับว่าจำเป็นหรือไม่ที่การเดินทางหรือ เส้นทางของการขับรถนั้นจะจำกัดเฉพาะเส้นทางนั้นเส้นทางเดียว กล่าวคือ ลูกจ้างจะสามารถใช้ดุลพินิจ เลือกเส้นทางในการเดินทางได้หรือไม่ถ้าเคยใช้เส้นทางหนึ่งเส้นทางใดอยู่เป็นประจำ แต่ต่อมาในวันเกิดเหตุ ลูกจ้างเปลี่ยนเส้นทางไปใช้เส้นทางอื่นแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา กรณีเช่นนี้จะยังคงถือว่าอยู่ในทางการที่จ้าง หรือไม่ มาดูคำพิพากษาฎีกานี้นะครับ ฎีกาที่ 695/2536 จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยร่วมมอบหมายงานให้จำเลยที่ 1 เป็น รายวันโดยจำเลยที่ 1 มารับกุญแจรถยนต์และรับคำสั่งจากจำเลยที่ 2 เมื่อทำงานเสร็จแล้วนำกุญแจมาคืน แสดงว่าการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1 แต่ละวันจะสิ้นสุดเมื่อนำรถยนต์มาเก็บที่ห้างจำเลยร่วม และมอบ กุญแจให้จำเลยที่ 2 วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ไปบรรทุกแกลบ การที่จำเลยที่ 1 ขับรถออกไปในวันเกิดเหตุเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และจำเลยร่วม การที่จำเลยที่ 2 มอบหมายให้จำเลยที่ 1โดยลำพังขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยร่วมไปปฏิบัติงานแต่ละวันแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมไว้วางใจการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ออกนอก เส้นทางไปดูการเกณฑ์ทหารแล้วรับชาวบ้านและโจทก์ขึ้นรถคันเกิดเหตุโดยไม่ได้ขออนุญาตจำเลยที่ 2 โดยขับไปตามถนนเลียบแม่น้ำซึ่งสามารถไปห้างจำเลยร่วมได้การกระทำของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่ายังอยู่ใน ทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และจำเลยร่วม สรุปก็คือ ตามคำพิพากษาฎีกานี้จะเห็นได้ว่าลูกจ้างยังคงมีดุลพินิจในการเลือกเส้นทางการทำงาน ได้เพราะว่าการเปลี่ยนเส้นทางนั้นโดยสภาพของความเป็นจริงแล้ว ทั้งการจราจรก็ดีหรือสภาพอากาศก็ดี เป็นเรื่องปกติธรรมดาซึ่งหากรถติด ก็สามารถที่จะเปลี่ยนเส้นทางไปอีกเส้นทางหนึ่งได้มิใช่เป็นเรื่องร้ายแรง ที่จะถึงขนาดว่าลูกจ้างจะเปลี่ยนเส้นทางในการใช้รถไม่ได้เอาเสียเลย และต่อให้นายจ้างกำหนดไว้ใน ระเบียบข้อบังคับว่าลูกจ้างจะต้องใช้เส้นทางนี้เท่านั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ลูกจ้างจะขับรถออกนอก เส้นทางหรือใช้เส้นทางอื่นไม่ได้เพราะฉะนั้น ลูกจ้างจึงมีสิทธิเลือกวิธีการหรือเส้นทางในการทำงานและ ยังถือว่ายังอยู่ในทางการที่จ้าง 4. ลูกจ้างช่วยเหลือบุคคลภายนอกระหว่างทำงานแล้วเกิดอุบัติเหตุกรณีเช่นนี้จะถือว่าผู้ที่ได้รับ บาดเจ็บนั้น สามารถที่จะเรียกค่าเสียหายเอาจากนายจ้างได้หรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 689/2512 วินิจฉัยเอาไว้ดังต่อไปนี้ ฎีกาที่ 689/2512 เมื่อลูกจ้างของจำเลยยอมให้ผู้ตายโดยสารไปในรถ จำเลยจึงต้องร่วมรับผิดใน ผลแห่งการละเมิดที่ลูกจ้างจำเลยกระทำไปตามทางการที่จ้าง จำเลยจะอ้างว่าผู้ตายไม่ได้เสียค่าโดยสาร ไม่ ต้องรับผิดต่อผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะขนส่ง หาได้ไม่ บุตรบุญธรรมยังคงมีสิทธิ หน้าที่ต่อบิดามารดา รวมทั้งหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1535
3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฉะนั้น แม้โจทก์จะยกผู้ตายซึ่งเป็นบุตรให้ จ. ผู้ตายยังคงมีความผูกพันต่อโจทก์ เมื่อลูกจ้างจำเลยกระทำ ละเมิดต่อผู้ตายในทางการที่จ้าง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง (เทียบฎีกาที่ ๑๖๕๖-๑๖๕๙/๒๔๙๘) เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่ากรณีเช่นนี้ก็ยังคงถือว่ายังอยู่ในทางการที่จ้างของนายจ้าง นายจ้างจะอ้าง ว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บนั้นขึ้นรถมาโดยไม่เสียค่าโดยสาร นายจ้างจึงไม่ต้องรับผิดนั้นไม่ได้ดังนั้นการที่ลูกจ้าง ช่วยเหลือบุคคลภายนอกระหว่างเวลาทำงาน แม้นายจ้างจะมิได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากค่าโดยสารรถ แต่เมื่อเกิดละเมิด นายจ้างก็จะต้องรับผิด เพราะถือว่าเหตุเกิดในทางการที่จ้างเช่นเดียวกัน 5.ลูกจ้างมีอำนาจหน้าที่โดยปริยายที่จะป้องกันทรัพย์สินของนายจ้างในกรณีฉุกเฉินได้ตามควร ฎีกาที่ 2499/2524 จำเลยที่ 3 เข้าหุ้นกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคลดำเนินกิจการเหมืองแร่ จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ทำหน้าที่เป็นยามรักษาทรัพย์สินของเหมืองแร่ จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็น ลูกจ้างของจำเลยที่ 3 ด้วย การที่จำเลยที่ 3 มอบอาวุธปืนให้จำเลยที่ 1 ไปใช้ในการอยู่ยามและจำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงโจทก์ในขณะปฏิบัติหน้าที่ยามเพื่อรักษาทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่อยู่ในเหมือง ถือว่าเป็น การกระทำในทางการที่จ้างจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 425 ข้อสังเกต ตามคำพิพากษาฎีกานี้ลูกจ้างเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัย แล้วนายจ้างมอบอาวุธ ปืนให้ในวันเกิดเหตุลูกจ้างใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ในขณะปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อรักษาทรัพย์สิน ของนายจ้าง จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จะถือว่านายจ้างใช้ให้ลูกจ้างยิงโจทก์ได้หรือไม่ ซึ่งเราก็คงจะเห็นว่านายจ้างคงไม่ได้สั่งให้ลูกจ้างยิง แต่การที่นายจ้างมอบอาวุธปืนให้ไว้แก่ลูกจ้าง เพื่อป้องกันทรัพย์สินนั้น ก็ถือว่ามีนัยยะอยู่ในตัวของมันเองว่านายจ้างพร้อมที่จะรับผิดชอบหากว่ามี เหตุการณ์เกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้ทั้งนี้เพื่อป้องกันทรัพย์สินและการป้องกันทรัพย์สินนั้นถือว่าเป็นงานของ พนักงานรักษาความปลอดภัยจึงถือว่าอยู่ในเนื้องานแน่นอน และอยู่ในทางการจัดจ้างแน่นอน ดังนั้นลูกจ้าง จึงมีอำนาจหน้าที่โดยปริยายที่จะป้องกันทรัพย์สินของนายจ้างในกรณีฉุกเฉินได้ตามสมควร และนักศึกษา จะเห็นว่ากรณีนี้ต้องถือว่าลูกจ้างนั้นกระทำเกินกว่าเหตุแต่ก็ต้องถือว่าอยู่ในทางการที่จ้างอยู่นะครับ นักศึกษาครับมีคำพิพากษาฎีกามาอยู่เรื่องหนึ่งปี2563 ซึ่งอยากจะให้นักศึกษาได้ทราบเอาไว้ โดยข้อเท็จจริงในเรื่องนี้มีลูกจ้าง ต่อมาพนักงานลูกจ้างคนนี้ถูกปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่เดิม แต่ลูกจ้าง คนนี้ก็ยังคงอยู่ช่วยงานนายจ้างอยู่ ปรากฏว่าในวันเกิดเหตุนั้น ลูกจ้างที่พ้นจากตำแหน่งหน้าที่ไปแล้ว กลับมาช่วยขับรถแล้วไปเกิดอุบัติเหตุจึงเกิดปัญหาว่า กรณีเช่นนี้จะถือว่าลูกจ้างคนดังกล่าวเป็นลูกจ้างและ นายจ้างจะต้องร่วมรับผิดหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้นายจ้างได้ให้การต่อสู้ว่าลูกจ้างคนดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ไปตั้งนานแล้ว การที่ ลูกจ้างคนดังกล่าวมาขับรถนั้น ลูกจ้างมาขับรถเองโดยที่นายจ้างมิได้รับรู้หรือไม่ได้ว่าจ้างด้วย ซึ่งคำพิพากษา ฎีกานี้วินิจฉัยตามข้อเท็จจริงว่าการที่นายจ้างคนดังกล่าว เคยเป็นนายจ้าง แล้วยินยอมให้บุคคลที่เคยเป็น ลูกจ้างแม้จะพ้นจากตำแหน่งไปกลับมาทำงานให้เช่นนี้ต้องถือว่ายังคงเป็นลูกจ้างอยู่
4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง *ฎีกาที่ 4197/2563 (น่าสนใจ) ม. ใช้รถกระบะคันเกิดเหตุไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับคำสั่ง โดยให้จำเลยที่ ๑ นั่งรถไปที่ป่าบุห้าร้อยบริเวณที่จะออกตรวจลาดตระเวนพร้อมกับเจ้าหน้าที่อื่นด้วยและ ขอร้องให้จำเลยที่ 1 ขับรถกลับไปที่หน่วยด้วยคำภูซึ่งจำเลยที่ ๑ ก็ขับรถกระบะคันเกิดเหตุไปและอยู่ที่ หน่วยดังกล่าวคนเดียวจนถึงวันเกิดเหตุ ทั้งที่ขณะนั้นจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ แล้ว แต่กลับยินยอมให้จำเลยที่ ๑ นั่งรถไปคันเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงความผูกพันในหน้าที่เดิมอย่างไม่ขาด ตอน พฤติการณ์แห่งคดีจึงบ่งชี้ชัดแจ้งว่าจำเลยที่ ๑ ยังมีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ อยู่อย่างไม่ เปลี่ยนแปลง ส่วนจำเลยที่ ๑ จะมีสัญญาหรือข้อตกลงในการทำงานกับจำเลยที่ ๒ อย่างไร เป็นเรื่อง ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ หาได้มีผลผูกพันบุคคลภายนอกซึ่งรวมถึงโจทก์ทั้งสองด้วยไม่ เพราะการ ว่าจ้างจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างชั่วคราวอันถือเป็นการจ้างแรงงานนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕๗๕ มิได้บัญญัติ ว่าต้องทำเป็นหนังสือ จึงฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ยังเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒...การที่ ม. ใช้ให้ จำเลยที่ 1 ขับรถกระบะดังกล่าวไปที่หน่วยห้วยคำ และอยู่ประจำที่หน่วยเพื่อรอรับ ม. กับเจ้าหน้าที่อื่น พร้อมกับผู้ต้องหาที่ถูกจับ การขับรถกระบะคันเกิดเหตุของจำเลยที่ ๑ จึงอยู่ในระหว่างการปฏิบัติงานตาม หน้าที่ของจำเลยที่ ๒ หาได้เป็นการกระทำนอกอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่ ๒ ในการที่จำเลยที่ ๑ ขับรถ กระบะคันเกิดเหตุไปเบิกถอนเงินแม้เป็นธุระส่วนตัว และบริเวณที่เกิดเหตุไม่ได้อยู่ในเขตทำการที่จำเลยที่ ๒ รับผิดชอบ แต่การที่จำเลยที่ ๑ ขับรถไปกลับเป็นช่วงเวลาต่อเนื่องคาบเกี่ยวกับงานที่จำเลยที่ ๒ มอบหมาย ถือได้ว่าขณะนั้นจำเลยที่ ๑ ยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติงานให้จำเลยที่ ๒ นายจ้าง จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดร่วม ในเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๕ มีข้อคิดประการต่อมาว่าการที่นายจ้างสั่งลูกจ้างให้ไปทำงานแล้วลูกจ้างไปใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง อาจจะเป็นวิธีการที่ผิดต่อกฎหมายหรือใช้ความรุนแรงหรืออะไรก็แล้วแต่ เช่นนี้นายจ้างจะกล่าวอ้างว่า นายจ้างมิได้สั่งให้ลูกจ้างใช้วิธีการเช่นนี้เลยจะได้หรือไม่แล้วนายจ้างจะอ้างต่อไปว่ากรณีนี้มีระเบียบเอาไว้ แล้วว่าห้ามลูกจ้างใช้วิธีการเช่นนี้อย่างเด็ดขาดแต่ลูกจ้างกลับไปใช้วิธีการที่มีระเบียบห้ามไว้ทำให้ บุคคลภายนอกได้รับความเสียหายเป็นการละเมิด เช่นนี้นายจ้างจะอ้างได้หรือไม่ และนายจ้างจะอ้างต่อไป ว่าทุกครั้งที่มีการมอบหมายงานให้แก่ลูกจ้างนั้น จะมีคำสั่งคำสั่งห้ามลูกจ้างกระทำโดยประมาทอย่าง เด็ดขาด จะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง แล้วลูกจ้างไปกระทำการโดยประมาท นายจ้างจะอ้างได้หรือไม่ และนายจ้างยังอ้างต่อไปอีกว่าขั้นตอนในการทำงานที่มอบหมายให้ลูกจ้างกระทำนั้น ได้กำหนดเอาไว้อย่าง ชัดเจนแล้ว แต่ลูกจ้างกลับไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของการทำงาน เหตุละเมิดเช่นนี้นายจ้างจึงไม่ต้องรับผิด อาจารย์ถามว่าข้ออ้างเหล่านี้นายจ้างจะอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดร่วมกับลูกจ้างได้หรือไม่ ซึ่งอาจารย์ได้ สรุปไว้ให้ดังต่อไปนี้ มาตรา 425 บัญญัติว่า “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำ ไปในทางการที่จ้างนั้น”ดังนั้น มาตรา 425 เป็นความรับผิดเด็ดขาดไม่คำนึงถึงความผิดส่วนตัวของนายจ้าง นายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดที่เกิดจากการกระทำของลูกจ้าง
5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง นายจ้างจึงยกข้อต่อสู้ดังต่อไปนี้ไม่ได้ 1. นายจ้างจะอ้างว่าไม่ได้สั่งหรือมอบให้ไปกระทำโดยวิธีการผิดกฎหมายไม่ได้ 2. นายจ้างจะอ้างว่าได้มีระเบียบหรือคำสั่งห้ามไว้แล้ว ก็ไม่เป็นเหตุให้พ้นผิด 3. แม้นายจ้างจะอ้างว่าสั่งให้ทำโดยระมัดระวังแล้ว แต่ลูกจ้างประมาทเลินเล่อเองไม่ได้ 4. แม้นายจ้างจะอ้างว่าได้กำหนดวิธีการกระทำให้ละเอียด แต่ลูกจ้างไม่นำพาหรือไม่ปฏิบัติตาม คำสั่งโดยเฉพาะของนายจ้าง ก็ไม่เป็นเหตุให้กิจการที่ลูกจ้างกระทำนั้นอยู่นอกทางการที่จ้าง ๑. นายจ้างจะอ้างว่าลูกจ้างกระทำผิดทางอาญาเองไม่ได้ กรณีที่ในระหว่างการทำงาน แล้วลูกจ้างกระทำความผิดอาญา การกระทำความผิดทางอาญานั้น ถือเป็นการกระทำละเมิดบุคคลอื่น นายจ้างจะอ้างมาเป็นเหตุว่าไม่ต้องรับผิด เพราะการกระทำความผิดทาง อาญานั้นเป็นเรื่องของลูกจ้าง นายจ้างจะอ้างได้หรือไม่ นักศึกษาครับในเรื่องนี้มีกรณีที่นายจ้างสามารถที่จะกล่าวอ้างได้และก็มีกรณีที่นายจ้างกล่าวอ้าง ไม่ได้ซึ่งบางครั้งอาจจะทำให้นักศึกษาเกิดความรู้สึกสับสน เพราะฉะนั้น นักศึกษาควรจะต้องสังเกตจาก ตัวอย่างคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ศาลเคยวินิจฉัยเอาไว้เรื่องแรก คือฎีกาที่ 8304/2551 ฎีกาที่ 8304/2551 โจทก์ซื้อขายเหล็กจากบริษัท ร. โจทก์จึงเป็นเจ้าของเหล็กเมื่อ ส. ได้แสดง ตนว่าเป็นพนักงานของจำเลยและไปรับเหล็กดังกล่าวซึ่งโจทก์ว่าจ้างจำเลยให้ขนส่งแล้วแต่ไม่นำเหล็กไปส่ง ให้โจทก์ตามที่ได้ว่าจ้างกันไว้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ส. เป็นพนักงานขับรถยนต์ บรรทุกเหล็กซึ่งเป็นรถที่แล่นร่วมกับบริษัทจำเลยกระทำการยักยอกเหล็กของโจทก์ไป จำเลยจึงต้องรับผิด ชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ข้อสังเกต ฎีกานี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่านายจ้างจะต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างยักยอก ทรัพย์ไปด้วย ฎีกาที่ 10408/2555 การที่จำเลยที่ 2 ลูกจ้าง เคลื่อนย้ายเครื่องเล่นรถไฟที่พิพาทออกจากสวน สนุกไปเพื่อทำสีใหม่นั้น เป็นเพราะจำเลยที่ 1 นายจ้างสั่งการ แต่จำเลยที่ 2 กลับนำเครื่องเล่นรถไฟที่พิพาท ไปเก็บและนำไปให้จำเลยที่ 3 เช่าซื้อโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ ถือว่าจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อ โจทก์ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 2 จะทำเพื่อประโยชน์ของตนเองและจำเลยที่ 1 ไม่รู้ เห็นด้วยก็ไม่ใช่สาระสำคัญ จำเลยที่ 1 นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ลูกจ้างต่อโจทก์ตามฟ้อง 2. นายจ้างอ้างว่าลูกจ้างทำผิดระเบียบไม่ได้ ในเรื่องนี้อาจารย์ได้สรุปให้ไว้เป็นประเด็นแล้วนะครับว่า การอ้างระเบียบว่าการที่ลูกจ้างทำผิด ระเบียบนั้นไม่ใช่ข้อแก้ตัวของนายจ้างที่จะทำให้หลุดพ้นจากการที่จะต้องร่วมรับผิดทางละเมิดกับลูกจ้าง ฎีกาที่ 2571/2534 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไปเบิก น้ำมันตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ในระหว่างนั้นได้ขับรถไปเพื่อซื้อยาให้คนงานของจำเลยที่ 2 จึงเกิดเหตุ เฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ที่โจทย์ที่ 1 กำลังขับอยู่ดังนี้แม้จะได้ความว่าจำเลยที่ 1 ขับรถไปถึงยังสถานที่ เบิกน้ำมันแล้วจึงออกไปซื้อยาภายนอกสถานที่ดังกล่าวอันเป็นการผิดระเบียบของจำเลยที่ 2 และระเบียบ ของสำนักนายกรัฐมนตรีก็ตามแต่เมื่อจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้กลับไปยังที่ทำการเดิมของจำเลยที่ 2 ก็ถือว่า
6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จำเลยที่ 1 ยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่การงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิด ในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 ด้วย ฎีกาที่ 14931/2557 จำเลยที่ 1 ให้โจทก์เช่าตู้นิรภัยเพื่อเก็บรักษาทรัพย์สินโดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 เป็นพนักงานมีหน้าที่ในการเก็บรักษารหัสและกุญแจห้องมั่นคง การที่จำเลยที่ 2 เก็บสำเนารหัส และวิธีการเปิดห้องมั่นคงไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน จำเลยที่ 4 เก็บกุญแจห้องมั่นคงไว้ในตู้นิรภัยเล็ก และ จำเลยที่ 5 เก็บกุญแจห้องมั่นคงอีกดอกหนึ่งไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานอันเป็นการผิดระเบียบของจำเลยที่ 1 จน เป็นเหตุให้คนร้ายรื้อค้นพบและนำไปใช้เปิดห้องมั่นคงแล้วลักทรัพย์ของโจทก์ที่เก็บไว้ในตู้นิรภัยไปจึงต้องถือ ว่าเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ในการเก็บรักษารหัสและกุญแจห้องมั่นคงอัน เป็นผลโดยตรงต่อเกิดเหตุลักทรัพย์ของโจทก์ มิใช่เป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจป้องกันได้ การที่จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ประมาทเลินเล่อในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดกับ จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 อีกโสตหนึ่งด้วย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 3 โดยมิได้สั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม ศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง 3. นายจ้างอ้างว่าลูกจ้างประมาทเลินเล่อเองไม่ได้ ฎีกาที่ 5144/2549 จำเลยที่ 2 เป็นผู้ประกอบกิจการรับขนส่งตู้คอนเทนเนอร์และรับจ้างจาก จำเลยที่ 1 ให้นำตู้คอนเทนเนอร์ของโจทก์ไปบรรจุสินค้าที่โรงงานของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้อง ใช้ความระมัดระวังในการตั้งวางตู้คอนเทนเนอร์ที่รับขนส่งให้มั่นคงปลอดภัยเพื่อการนำสินค้าเข้าบรรจุ การ ที่ ป. ขับรถไปจอดภายในโรงงานของจำเลยที่ 1 จากนั้นได้ปลดขาค้ำยันของหางลากที่บรรทุกตู้คอนเทน เนอร์ลง และปลดล็อกระหว่างรถบรรทุกหัวลากกับหางลาก เมื่อบริเวณที่ตั้งวางหางลากเป็นพื้นลาดเอียง ทำให้ด้านท้ายของหางลากซึ่งรับน้ำหนักด้วยล้ออยู่สูงกว่าด้านหน้า แต่ ป. ไม่นำแผ่นเหล็กคล้ายโต๊ะที่นำติด รถไปวางรองรับน้ำหนักของตู้คอนเทนเนอร์ที่อยู่บนหางลากให้มั่นคงแข็งแรง การที่ตู้คอนเทนเนอร์ของ โจทก์ล้มลงจึงเกิดจากความประมาทเลินเล่อของ ป. จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างจะปัดความรับผิดโดยอ้างว่า เป็นความผิดของพนักงานของจำเลยที่ 1 ไม่ได้จัดเรียงสินค้าตามแนวยาวของตู้คอนเทนเนอร์และแม้ พนักงานของจำเลยที่ 1 นำบันไดไปพาดวางไว้ที่ตู้คอนเทนเนอร์และบันไดดังกล่าวกระแทกถูกอุปกรณ์ทำ ความเย็นขณะตู้คอนเทนเนอร์ล้มลง ก็ต้องถือว่าความเสียหายดังกล่าวเป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความ ประมาทเลินเล่อของ ป. อยู่นั่นเอง ไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 พ้นความรับผิด เพราะฉะนั้น จากคำพิพากษาของศาลฎีกานี้จะเห็นได้ว่านายจ้างจะปัดความรับผิดโดยอ้างว่าเป็น ความผิดของพนักงานหรือลูกจ้าง ซึ่งไม่ทำตามระเบียบที่วางไว้เพื่อเกี่ยงความรับผิดชอบเช่นนี้ไม่ได้กรณีที่ ลูกจ้างประมาทอย่างไร นายจ้างก็จะต้องร่วมรับผิดด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสักครู่ตามที่อาจารย์ได้บรรยายว่าการที่ลูกจ้างไปกระทำความผิดทางอาญาใน ระหว่างการทำงาน นายจ้างจะต้องร่วมรับผิด แต่มีบางกรณีที่ศาลวินิจฉัยว่านายจ้างไม่จำต้องรับผิดในกรณี ที่ลูกจ้างไปกระทำความผิดทางอาญาในระหว่างการทำงาน ซึ่งเรื่องนี้อาจารย์จะนำตัวอย่างมาให้ดูนั่นก็คือ กรณีที่ลูกจ้างทำผิดอาญาเป็นเหตุส่วนตัวต่างหาก เช่นนี้นายจ้างไม่จำต้องร่วมรับผิด
7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 3750/2545 การที่จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุไป บรรทุกผักและผลไม้ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้แวะรับประทานอาหารและดื่มสุราจนถูกทำ ร้ายร่างกาย ด้วยความโกรธแค้นเพราะเหตุส่วนตัวที่ถูกทำร้ายดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงขับรถบรรทุกพุ่งชนโจทก์ ที่ 5 และผู้ตายกับพวกที่ทำร้ายตนจนเป็นเหตุให้มีคนตายและบาดเจ็บเช่นนี้ เป็นเหตุส่วนตัวที่เกิดขึ้น ต่างหากไม่เกี่ยวข้องกับกิจการในทางการที่จ้างหรือกรอบแห่งการจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 นายจ้างที่ มอบหมายให้จำเลยที่ 1 ลูกจ้างไปกระทำ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่ง ละเมิดที่จำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดขึ้นต่อโจทก์ทั้งห้า ส่วนจำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยรถบรรทุกคันเกิดเหตุไว้จาก จำเลยที่ 3 ตามข้อตกลงในกรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งจำเลยที่ 4 ตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของ จำเลยที่ 3 ผู้เอาประกันภัย เพื่อความวินาศภัยอันเกิดแก่บุคคลอีกคนหนึ่งและซึ่งจำเลยที่ 3 ผู้เอาประกันภัย จะต้องรับผิดชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยที่ 3 ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบใน ผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 ที่กระทำต่อโจทก์ทั้งห้า จำเลยที่ 4 ผู้รับประกันภัยค้ำจุน จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งห้าด้วย *เอาเป็นว่าคีย์เวิร์ดของฎีกานี้ก็คือเป็นเรื่องทะเลาะวิวาทและเป็นการทะเลาะวิวาทโดยสาเหตุ ส่วนตัว ซึ่งก็ให้นักศึกษาจำ keyword ตรงนี้ไว้ว่าถ้าเป็นการที่ลูกจ้างทะเลาะวิวาททำร้ายบุคคลอื่น ด้วยสาเหตุส่วนตัวซึ่งไม่เกี่ยวกับการทำงานเลย อาจารย์ก็เข้าใจว่าศาลฎีกาคงวินิจฉัยในมุมนี้แต่มี คำพิพากษาของศาลฎีกาอีกเรื่องหนึ่งที่อาจารย์อ่านแล้วก็รู้สึกแปลกๆ คือลูกจ้างเป็นพนักงานขับรถรับส่ง ผู้โดยสารพร้อมกับกระเป๋ารถ ปรากฏว่าในวันที่เกิดเหตุนั้น ตัวลูกจ้างซึ่งเป็นคนขับรถนั้นขับรถด้วยความ รวดเร็วจนกระทั่งผู้โดยสารนั้นตกจากเก้าอี้ที่นั่ง เมื่อตกจากเก้าอี้ก็ทำให้ผู้โดยสารนั้นต่อว่าคนขับรถทำให้ คนขับรถโกรธเคือง จึงรุมทำร้ายผู้โดยสารโดยมีกระเป๋ารถเมล์ช่วย ผู้โดยสารจึงมาฟ้องว่าเป็นการทำละเมิด ทำร้ายร่างกายและฟ้องให้นายจ้างร่วมรับผิดด้วย ซึ่งเมื่อรับฟังข้อเท็จจริงแล้ว ก็เห็นว่านายจ้างน่าจะต้อง ร่วมรับผิดด้วย เพราะคนขับรถของนายจ้างนั้นขับรถด้วยความรวดเร็วทำให้ผู้โดยสารตกจากเก้าอี้และการที่ ผู้โดยสารตำหนิหรือต่อว่านั้นก็ถือว่าสมเหตุสมผล แต่ฎีกาเรื่องนี้ก็คือฎีกาที่ 1942/2520 นั้น กลับวินิจฉัยว่ามิใช่เป็นการกระทำในทางการที่จ้าง ฎีกาที่ 1942/2520 จำเลยที่ 4 เป็นนิติบุคคล มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเดินรถโดยสาร ประจำทาง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นพนักงานเก็บเงินค่า โดยสาร จำเลยที่ 3 เป็นผู้ควบคุมรถ ได้ความว่าพนักงานขับรถซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 ขับรถเลี้ยวด้วย ความเร็ว ทำให้โจทก์และผู้โดยสารอื่นตกจากม้านั่ง การที่โจทก์ต่อว่าพนักงานขับรถเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่พอใจ และร่วมกันทำร้ายร่างกายของโจทก์จนได้รับอันตรายแก่กายนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 4 ผู้เป็นนายจ้าง และมิใช่กิจการในหน้าที่ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ได้รับ ข้อสังเกต อาจารย์ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลฎีกานี้นะครับ เพราะลูกจ้างซึ่งเป็นคนขับรถมี หน้าที่ที่จะต้องขับรถด้วยความระมัดระวังแต่กลับไปขับรถด้วยความเร็วทำให้ผู้โดยสารตกเก้าอี้ต้องถือว่าเป็น การขับรถด้วยความประมาทและการถูกตำหนินั้นก็สมเหตุสมผล ดังนั้นอาจารย์จึงไม่ค่อยเห็นด้วยกับฎีกานี้
8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แต่คำพิพากษาฎีกาต่อไปที่จะกล่าวนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ชัดเจนนะครับ ไม่ถือว่าเป็นการกระทำใน ทางการที่จ้างแน่นอน ฎีกาที่ 2060/2524 บุตรโจทก์มิได้ถึงแก่ความตายเพราะจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ชนในขณะกระทำ การในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 แต่ถึงแก่ความตายเพราะเมื่อชนแล้วจำเลยที่ 1 โดยเจตนาฆ่าบุตรโจทก์ เพื่อปกปิดความผิด ได้นำบุตรโจทก์ไปทิ้งในคูน้ำริมถนนเพื่อให้จมน้ำตายการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็น คนละเรื่องคนละตอนกับที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ชนบุตรโจทก์และเห็นได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ ส่วนตัวของจำเลยที่ 1 โดยเฉพาะเจาะจงหาเกี่ยวกับการที่จำเลยที่ 2 ได้จ้างให้จำเลยที่ 1 กระทำไม่ การ กระทำของจำเลยที่ 1 ในการฆ่าบุตรโจทก์จึงไม่เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ฎีกาที่ 1484/2499 นายจ้างใช้ให้ลูกจ้างนำมะพร้าวไปส่งแก่ผู้ซื้อ ในระหว่างส่งมะพร้าวแก่กัน นั้น ผู้ซื้อโต้เถียงด่าว่าลูกจ้าง ลูกจ้างโกรธจึงชกต่อยผู้ซื้อมีบาดเจ็บ ดังนี้ ถือว่าเป็นเหตุการณ์อีกเรื่องหนึ่ง มิใช่กิจการที่นายจ้างได้มอบให้ลูกจ้างไปกระทำ นายจ้างไม่ต้องรับผิดฐานละเมิดร่วมกับลูกจ้าง ข้อสังเกต ในศาลฝรั่งเศสเคยมีคดีที่ลูกจ้างเกิดโต้เถียงกับบุคคลภายนอกแล้วได้ฆ่าผู้นั้นตายในเวลา และสถานที่ทำงานแทนที่จะทำงานให้นายจ้าง ศาลชี้ขาดว่าไม่เป็นการกระทำในหน้าที่อันจะทำให้นายจ้าง ต้องรับผิด ต่อไปเรามาดูบทบัญญัติในมาตรา 426 ซึ่งเมื่อลูกจ้างกระทำละเมิดในทางการที่จ้างและ นายจ้างจะต้องร่วมรับผิดนั้น มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง มาตรา 426 บัญญัติว่า นายจ้างซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอัน ลูกจ้างได้ทำนั้น ชอบที่จะได้ชดใช้จากลูกจ้างนั้น สรุปได้ว่า 1. ลูกจ้างทำละเมิด ซึ่งก่อนที่จะนำบทบัญญัติในมาตรา 426 มาใช้นั้น เราจะต้องวินิจฉัยให้ได้ เสียก่อนว่าลูกจ้างทำละเมิดหรือไม่ 2. นายจ้างต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิด หน้าที่ของนายจ้างเกิดตั้งแต่วันทำละเมิด (ฎีกาที่ 1909/2538) 3. เมื่อชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกแล้ว นายจ้างมีสิทธิที่จะได้รับชดใช้จากลูกจ้าง (ฎีกาที่ 142/2535) 4. ไล่เบี้ยได้เต็มจำนวน เว้นแต่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทาง ละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 หลักคือ ไล่เบี้ยคืนจากลูกจ้างได้เต็มจำนวน เว้นแต่ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่ซึ่งกฎหมายให้ไล่เบี้ยได้ตามพฤติการณ์ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย กล่าวคือ ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจ กำหนดสิทธิในการไล่เบี้ยว่า นายจ้างหรือหน่วยงานของรัฐจะไล่เบี้ยคืนจากเจ้าหน้าที่ได้แค่ไหน เพียงใด ไม่จำเป็นต้องรับผิดเต็มจำนวน ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่กับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการไล่เบี้ยนายจ้างลูกจ้าง ๕. เมื่อยังไม่ชำระหนี้บุคคลภายนอก ยังไม่มีอำนาจฟ้องลูกจ้าง (ฎีกาที่ 3373/2545 , ฎีกาที่ 3102/2544)
9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 6. ในการไล่เบี้ยของนายจ้างนั้น สามารถที่จะไล่เบี้ยได้เฉพาะค่าสินไหมทดแทนที่เป็นค่าเสียหาย โดยตรงและเป็นผลโดยตรงจากการทำละเมิดเท่านั้น ไม่รวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมในคดีก่อน ยกตัวอย่างเช่น นายจ้างไปฟ้องกล่าวหาว่าลูกจ้างไปกระทำความผิดในคดีอาญา ซึ่งคดีอาญานั้นไม่ใช่การทำละเมิดจะไปนำ ค่าทนายความรวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมที่ฟ้องในคดีอาญา มาเรียกรวมเป็นค่าเสียหายในคดีแพ่งไม่ได้ทั้งนี้ เพราะวัตถุประสงค์ในการดำเนินคดีอาญานั้นก็เพื่อต้องการให้จำเลยถูกลงโทษ แต่ไม่ใช่เป็นการเรียกร้อง เพื่อให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมในฐานละเมิด จึงถือว่าเป็นคนละเรื่อง แม้จะมีมูลเหตุกรณีจากการกระทำครั้ง เดียวกัน นั่นก็คือการกระทำผิดอาญา เพราะฉะนั้นค่าสินไหมทดแทนจะต้องเป็นค่าเสียหายที่เกิดโดยตรง จากการทำละเมิดเท่านั้น แต่ค่าเสียหายที่เกิดจากการฟ้องคดีอาญานั้นไม่ใช่ค่าเสียหายที่เกิดจากการทำ ละเมิดโดยตรง เพราะนายจ้างมีสิทธิที่จะไม่ฟ้องคดีอาญาก็ได้แต่นายจ้างไปฟ้องคดีอาญาเพราะต้องการให้ ลูกจ้างถูกลงโทษทางอาญานั่นเอง 7. สิทธิของนายจ้างเกิดเมื่อได้ใช้เงินไปแทน เมื่อนายจ้างได้ใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายหรือผู้ถูกทำละเมิด ไปเมื่อไหร่ ก็เกิดหนี้ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างซึ่งวันที่เกิดหนี้นั้น เป็นวันที่สามารถที่จะเริ่มคิดดอกเบี้ยได้ (ฎีกาที่ 7552/2550) 8.ส่วนจุดเริ่มต้นของการนับอายุความนั้น มีคำถามว่าการที่นายจ้างจะฟ้องลูกจ้างเพื่อไล่เบี้ยเอาจาก ลูกจ้างได้นั้นจะมีกำหนดอายุความเท่าไหร่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ ดังนั้นจึง ต้องใช้อายุความทั่วไปนั่นก็คืออายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30 (ฎีกาที่ 735/2537) *8 ประเด็นที่อาจารย์สรุปให้น่าจะทำให้นักศึกษามีหลักที่จะสามารถจดจำได้ง่ายขึ้น มาดูประเด็น ต่อไป เราได้เคยพูดไปแล้วว่าความเสียหายที่นายจ้างจะเรียกเอาจากลูกจ้างได้นั้น จะต้องเป็นความเสียหาย โดยตรงหรือเป็นผลโดยตรงจากการทำละเมิดที่ลูกจ้างจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก นายจ้างจึงจะต้องร่วม รับผิดด้วย ถ้าผลแห่งละเมิดเป็นผลธรรมดา กรณีเช่นนี้นายจ้างจะต้องร่วมรับผิด ฎีกาที่ 7973-7975/2548 จำเลยที่ 4 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขับรถบรรทุกวัตถุระเบิด ของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้นำไปส่งที่คลังสินค้าของจำเลยที่ 1 ไปในทางการ ที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ระหว่างการขนส่งจำเลยที่ 4 ประมาทเลินเล่อขับรถด้วยความเร็วเกินสมควร แล่นเข้าทางโค้งที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้งหักข้อศอกโดยไม่ระมัดระวังจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถควบคุมรถได้ ทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำวัตถุระเบิดซึ่งบรรทุกมาตกกระจายอยู่บนพื้นถนน หลังจากนั้นมีชาวบ้านเข้ามายุ่ง เกี่ยวกับวัตถุระเบิดที่ตกกระจายอยู่บนพื้นถนนดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดระเบิดขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตและ บาดเจ็บรวมหลายร้อยคน และทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหาย การกระทำของชาวบ้านที่ทำ ให้เกิดระเบิดขึ้นเช่นนี้เป็นเหตุแทรกแซงที่วิญญูชนคาดหมายได้เพราะเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น บนทางหลวง ก็จะมีชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงรวมทั้งประชาชนที่ใช้ยวดยานสัญจรผ่านที่เกิดเหตุจะหยุดรถลงไป มุงดูเหตุการณ์และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บาดเจ็บ รวมทั้งอาจมีคนไม่ดีซึ่งปะปนอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นถือ โอกาสหยิบฉวยเอาทรัพย์สินสิ่งของที่ตกหล่นไปได้ ทั้งการขนส่งวัตถุระเบิดครั้งนี้ก็มิได้จัดให้มีป้ายข้อความ
10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ว่า "วัตถุระเบิด" ติดแสดงไว้ให้เห็นได้ง่ายที่ด้านหน้าและด้านหลังรถบรรทุกวัตถุระเบิดคันเกิดเหตุด้วย จึง ต้องถือว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นผลใกล้ชิดสัมพันธ์ต่อเนื่องมาจากการขับรถโดยประมาทเลินเล่อของจำเลย ที่ 4 ซึ่งกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดในผล แห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 4 ด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของผู้ครอบครอง วัตถุระเบิดในขณะเกิดเหตุวัตถุระเบิดดังกล่าวระเบิดขึ้น วัตถุระเบิดที่จำเลยที่ 1 มีไว้ในครอบครองดังกล่าว เป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 437 วรรคสอง กำหนดให้จำเลยที่ 1 ผู้มีไว้ในครอบครองต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ทรัพย์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้น เกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของโจทก์ทั้งสามผู้เสียหายเอง ฎีกาที่ 9042/2560 จำเลยที่ 3 ทำหน้าที่ในการตรวจวินิจฉัยครรภ์โจทก์ที่ 1 ตรงตามเกณฑ์ มาตรฐานของการตรวจคัดกรอง การตรวจอัลตราซาวด์ในหญิงตั้งครรภ์เพื่อหาความผิดปกติของทารกแบ่ง ได้เป็น 3 ระดับ การตรวจระดับ 1 เป็นการตรวจคัดกรองอย่างง่ายดูจำนวนทารก การมีชีวิตของทารก การ ประมาณอายุครรภ์ปริมาณน้ำคร่ำ ส่วนนำของทารก ตำแหน่งทารก และความพิการบางอย่างที่สามารถ เห็นได้ง่าย จำเลยที่ 3 ให้ความเห็นในการตรวจว่า ทารกมีชีวิต เพศชาย บุตรในครรภ์1 คน รกอยู่ด้านหลัง ของมดลูกปริมาณน้ำคร่ำปกติลักษณะลำตัว ตับ กระเพาะอาหาร ไต กระเพาะปัสสาวะ ลำคอ และกระดูก สันหลังปกติความยาวของกระดูกต้นขา 21 มิลลิเมตร ตรงกับอายุครรภ์16.3 สัปดาห์การเต้นของหัวใจ และการเคลื่อนไหวของทารกอยู่ในเกณฑ์ปกติแสดงให้เห็นว่าในการตรวจอัลตราซาวด์สามารถเห็นอวัยวะ ส่วนต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกร่างกายของทารกในครรภ์ได้หากจำเลยที่ 3 ไม่สามารถมองเห็นความ ผิดปกติหรือความพิการของทารกในครรภ์ก็มีหน้าที่ต้องแจ้งผลการตรวจให้โจทก์ที่ 1 ทราบว่ายังไม่สามารถ ตรวจพบความพิการในส่วนแขนและขาของทารกได้เพราะยังมองเห็นไม่ครบถ้วน การที่จำเลยที่ 3 แจ้งว่า ทารกในครรภ์มีสภาพร่างกายสมบูรณ์หรือไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด ทั้งๆที่สภาพร่างกายทารกมีความ พิการรุนแรง ย่อมทำให้โจทก์ที่ 1 เสียโอกาสในการตัดสินใจว่าจะหาทางแก้ไขเยียวยาหรือดำเนินการ เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 และหากโจทก์ที่ 1 ทราบข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน ย่อมมีโอกาสเตรียมใจยอมรับกับ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนการคลอดโจทก์ที่ 2 มากกว่าที่จะรู้ถึงความพิการของโจทก์ที่ 2 โดยกะทันหัน กระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจโจทก์ที่ 1 อย่างรุนแรง การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันตรวจวินิจฉัยการ ตั้งครรภ์ของโจทก์ที่ 1 ไม่พบความพิการของโจทก์ที่ 2 และไม่ได้แจ้งโจทก์ที่ 1 ทราบข้อมูลที่ถูกต้องและ ครบถ้วนด้วยภาษาที่โจทก์ที่ 1 จะเข้าใจได้จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออันเป็นการละเมิดทำให้ โจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหายทางด้านจิตใจอันเป็นความเสียหายแก่อนามัย ดังนั้น จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น คู่สัญญากับโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 2 แพทย์เจ้าของไข้ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งมอบหมายให้ จำเลยที่ 3 ร่วมในการตรวจวินิจฉัยการตั้งครรภ์ของโจทก์ที่ 1 ด้วยเครื่องอัลตราซาวด์จึงต้องร่วมกันรับผิด ในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ที่ 1 ด้วย แม้โจทก์ที่ 2 พิการรุนแรงเรื่องจากมีความผิดปกติในขณะที่ โจทก์ที่ 1 ตั้งครรภ์อยู่ในความดูแลของจำเลยทั้งสาม และจำเลยที่ 3 ตรวจไม่พบ อันเป็นการกระทำละเมิด ต่อโจทก์ที่ 1 ก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้เห็นว่า ความพิการของโจทก์ที่ 2 เกิด จากการกระทำของจำเลยทั้งสามนอกจากนี้กรณีของโจทก์ที่ 2 แม้ตรวจพบความพิการก็ไม่สามารถผ่าตัด
11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แก้ไขในระหว่างทารกอยู่ในครรภ์ได้ต้องรอให้คลอดออกมาก่อน โจทก์ทั้งสองก็ไม่ได้นำสืบว่า หากจำเลยที่ 3 พบความพิการของโจทก์ที่ 2 แล้วจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เห็นว่า การที่จำเลยที่ 3 ตรวจไม่พบความ พิการนั้น ทำให้โจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหายหรือพิการมากขึ้น แต่กลับได้ความว่า หากพบความพิการของ โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 จะปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า ความพิการทางร่างกายของโจทก์ที่ 2 เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดในค่าสินไหมทดแทนแก่ โจทก์ที่ 2 นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้าง ต้องถือว่านายจ้างผิดนัดตั้งแต่วันทำละเมิด ฎีกาที่ 1909/2538 จำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างซึ่งกฎหมายกำหนดให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ลูกจ้าง ในผลแห่งละเมิดซึ่งจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 2 จึงอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้ เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วัน ทำละเมิดแก่โจทก์ โดยโจทก์ไม่จำต้องบอกกล่าวก่อน เพราะถือว่าจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นลูกหนี้ผิดนัดมาตั้งแต่ เวลาที่ทำละเมิดแล้ว ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนไม่ใช่ผู้ทำละเมิดหรือต้องร่วมรับผิดกับผู้ทำ ละเมิด จึงไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ยนับแต่วันทำละเมิด การที่โจทก์มีข้อตกลงให้การไฟฟ้านครหลวงเป็นผู้ ซ่อมโคมไฟฟ้าสาธารณะเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น และโจทก์จะจ่ายเงินค่าซ่อมให้การไฟฟ้านครหลวง ไม่ เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายมีหนังสือทวงถาม ให้จำเลยที่ 3 ชำระค่าเสียหายภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ จำเลยที่ 3 ได้รับเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2532 แต่ไม่ชำระภายในกำหนด จำเลยที่ 3จึงตกเป็นผู้ผิดนัดต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2532 ตราบใดที่นายจ้างยังไม่ได้ชดใช้ค่าเสียให้แก่บุคคลภายนอกไป ก็ยังไม่มีอำนาจฟ้องไล่เบี้ยเอา จากลูกจ้าง ฎีกาที่ 3373/2545 นายจ้างจะเรียกให้ลูกจ้างชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่ลูกจ้างก่อให้เกิดขึ้นแก่ บุคคลภายนอกในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างได้ นายจ้างจะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ บุคคลภายนอกไปแล้ว จึงจะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวคืนจากลูกจ้างได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 426 นายบุญธรรมผู้ตายเป็นลูกจ้างโจทก์ขับรถส่งสินค้าโดยประมาท ทำให้ทรัพย์สินบุคคลภายนอก เสียหาย ศาลพิพากษาให้โจทก์และผู้ตายใช้ค่าเสียหาย เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งเป็นผู้เสียหาย โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสามในฐานะทายาทของ ผู้ตายชดใช้หนี้ดังกล่าวให้แก่โจทก์
12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง อาจารย์เคยกล่าวไว้นะครับว่าหากมิใช่นายจ้างลูกจ้าง นักศึกษาจะต้องพิจารณาต่อไปว่า เขาเป็นตัวการตัวแทนกันหรือไม่ ดังนั้นเราจะพูดในเรื่องตัวการตัวแทนกันต่อนะครับ ความรับผิดในการกระทำละเมิดของตัวการตัวแทน ตามมาตรา 427 มาตรา 427 บัญญัติว่า “บทบัญญัติในมาตราทั้ง 2 ก่อนนั้น ท่านให้ใช้บังคับแก่ตัวการและตัวแทน ด้วยโดยอนุโลม” ซึ่งตัวการนั้น เราสามารถเทียบได้ว่าเป็นนายจ้าง ส่วนตัวแทนก็คือลูกจ้าง และกิจการที่มอบหมาย ให้กระทำแทนนั้น ก็สามารถเทียบได้ว่าเป็นในเรื่องของทางการที่จ้าง นักศึกษาจำได้หรือไม่ครับว่า หลักสัญญาว่าด้วยตัวการตัวแทนนั้น จะมีคู่สัญญาที่เรียกว่าเป็นตัวการ มอบหมายให้ตัวแทนไปทำกิจการ ซึ่งโดยทั่วๆไปนั้น เราเข้าใจว่าสัญญาตัวการตัวแทนนั้น เป็นการ มอบหมายให้ไปทำนิติกรรม ซึ่งแต่เดิมสมัยแรกๆนั้น ศาลก็วินิจฉัยว่าถ้ามิได้มอบหมายให้ไปทำนิติกรรม ก็ไม่ใช่สัญญาตัวแทน แม้เป็นละเมิดก็ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะมิใช่เป็นเรื่องตัวการตัวแทน ตามบทบัญญัติว่า ด้วยกฎหมายตัวการตัวแทน แต่ในท้ายที่สุดแล้วต่อมาวิวัฒนาการของกฎหมาย ศาลก็ได้วางหลักเอาไว้ว่า แม้ตัวการจะมอบหมายให้ตัวแทนไปทำกิจกรรมหรือทำอะไรก็แล้วแต่ ที่แม้จะไม่ใช่เป็นการทำนิติกรรม สัญญา แต่ไปทำละเมิด ก็สามารถเข้าบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 427 ซึ่งเป็นการ ขยายคำว่าตัวการตัวแทน ตามมาตรา 427 นี้ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นการมอบหมายให้ไปทำนิติกรรมสัญญา เท่านั้น แต่มอบหมายให้ไปทำอะไรก็ได้ทั้งสิ้น ให้นักศึกษาจำหลักตรงนี้เอาไว้นะครับ หลักเดิม ต้องเป็นเรื่องที่ตัวการตั้งตัวแทนไปติดต่อหรือมีความสัมพันธ์กับบุคคลที่ 3 (ฎีกา เหล่านี้นักศึกษาไม่ต้องจำแล้วนะครับ) ฎีกาที่ 619/2507 ความรับผิดของตัวการในผลแห่งละเมิดที่ตัวแทนกระทำไปตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427 นั้น จะต้องเป็นเรื่องที่ตัวการตั้งตัวแทนให้ไปทำการติดต่อหรือมี ความสัมพันธ์กับบุคคลที่ 3 โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นตัวการร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น ตัวแทน เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกถ่านของจำเลยที่ 2 ได้ทำการติดต่อหรือมี ความสัมพันธ์กับบุคคลที่ 3 อันจะเข้าลักษณะเป็นตัวแทนแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการตัวแทนตามที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาที่ 1980/2505 ใช้หรือวานบุคคลที่ไม่ใช่ลูกจ้างให้ขับรถยนต์ไปในธุระกิจของผู้ใช้เอง โดยผู้ ถูกใช้เป็นผู้ขับรถยนต์ได้และเคยขับให้ผู้ใช้มาก่อนแล้วนั้น หากผู้ถูกใช้ขับรถยนต์ไปชนบุคคลอื่นเป็นการ ละเมิดขึ้น ผู้ใช้ก็หาจำต้องร่วมรับผิดด้วยไม่ เพราะมิได้ประมาทเลินเล่อในการใช้หรือวาน การรับใช้หรือวาน ขับรถยนต์ให้นั้นไม่ใช่เป็นตัวแทน เพราะมิใช่เป็นกิจการที่ทำแทนตัวการต่อบุคคลที่ 3 แต่เป็นกิจการใน ระหว่างผู้ใช้กับผู้รับใช้ไม่ได้เกี่ยวกับบุคคลที่ 3 เลย ฎีกาที่ 528/2523 การที่จำเลยที่ 1 ขับรถไปชนรถโจทก์ที่ 1 เพราะจะรีบไปซื้อเนื้อตามที่จำเลย ที่ 3 ใช้ให้ไปซื้อและการไปซื้อเนื้อเพื่อทำเนื้อสะเต๊ะขายเป็นกิจการค้าของจำเลยที่ 3 ก็ตามการที่จำเลยที่ 1 ขับรถชนรถโจทก์ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดในการเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 3 เพราะมิใช่กิจการที่ทำ แทนตัวการต่อบุคคลที่สาม จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
13 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ปัจจุบัน ขยายออกไปถึงการมอบหมายกิจการโดยไม่จำต้องเกี่ยวกับนิติกรรมสัญญาก็ได้ เช่น 1.มอบหมายให้ขับรถ ฎีกาที่ 3399/2558 รถโดยสารคันเกิดเหตุมีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถและเป็นผู้ประกอบการ ขนส่ง โดยรถคันดังกล่าวนำมาใช้สำหรับการรับ - ส่งนักเรียนของโรงเรียน ส. มาตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2547 ทั้งกิจการโรงเรียน ส. ก็เป็นกิจการของครอบครัวจำเลยที่ 2 ซึ่งทำสืบทอดต่อเนื่องมาจากบิดา แม้ ต่อมาจะได้มีกฎหมาย คือ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 ออกมาใช้บังคับและในมาตรา 24 มี ข้อบัญญัติว่า เมื่อได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบแล้ว ให้โรงเรียนในระบบเป็นนิติบุคคลนับแต่ วันที่ได้รับใบอนุญาต และให้ผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้แทนของนิติบุคคล แต่ในมาตรา 25 (3) ยังมีข้อบัญญัติ ว่า เมื่อโรงเรียนในระบบเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 24 แล้ว ผู้รับใบอนุญาตยังต้องโอนทรัพย์สินอื่นซึ่งเป็น ทุนนอกจากที่ดินให้แก่โรงเรียนในระบบภายในเวลาที่ผู้อนุญาตกำหนด เมื่อรถโดยสารคันเกิดเหตุยังไม่ได้มี การโอนทางทะเบียนเป็นของโรงเรียน ส. การที่จำเลยที่ 1 ขับรถโดยสารคันเกิดเหตุไปก่อเหตุละเมิด ย่อม ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการที่ได้มอบหมายหรือมีคำสั่งหรือจ้างวานใช้ให้จำเลยที่ 1 ขับรถโดยสารคันเกิด เหตุ เพื่อให้สมประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 2 และโรงเรียน ส. จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในผลละเมิด ร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย ฎีกาที่ 5545/2542 จำเลยที่ 1 ทำงานเป็นแคดดี้อยู่ในสนามกอล์ฟของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ได้ ขับรถกอล์ฟบรรทุกผู้เล่นกอล์ฟชนโจทก์ได้รับบาดเจ็บที่เข่าซ้ายและหลังเท้าซ้ายจำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ดูแล ครอบครอง เพราะการใช้รถคันเกิดเหตุจะต้องผ่านการซื้อบัตรรถกอล์ฟโดยตรงจากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงได้รับประโยชน์ส่วนแบ่งเป็นค่าเช่าจากผู้เล่นกอล์ฟ และแม้การที่จำเลยที่ 1 ขับรถคันเกิดเหตุจะมิใช่ หน้าที่โดยตรงของจำเลยที่ 1 แต่ก็ถือได้ว่าเป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งที่จำเลยที่ 2 มอบหมายให้ทำ จำเลยที่ 1 จึง เป็นตัวแทน ของจำเลยที่ 2 ในด้านบริการแก่ผู้เล่นกอล์ฟ จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวการจึงต้องร่วมรับผิดในผล แห่งละเมิด * ข้อสังเกต จากคำพิพากษาคดีนี้เราต้องวินิจฉัยว่าแคดดี้นั้นขับรถในทางการที่จ้างหรือไม่ ซึ่งเรา จะต้องวินิจฉัย 2 เรื่อง เรื่องแรก คือแคดดี้นั้นเป็นลูกจ้างของสนามกอล์ฟหรือไม่ ซึ่งต้องถือว่าเป็นลูกจ้าง ของสนามกอล์ฟและการที่แคดดี้ขับรถนั้น เป็นการกระทำในทางการที่จ้างหรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้สนามกอล์ฟ ให้การต่อสู้ว่าไม่เคยมอบหมายให้แคดดี้ต้องขับรถ เพราะลักษณะงานที่กำหนดไว้นั้น แคดดี้เพียงแต่ต้องถือ ถุงกอล์ฟและส่งไม้กอล์ฟให้แก่ลูกค้า คดีนี้เข้าใจว่าคงจะมีประเด็นว่า เป็นนายจ้างกับลูกจ้างหรือไม่ศาลจึงวินิจฉัยโดยปิดปากเอาไว้เลย ว่าแม้จะไม่ได้เป็นนายจ้างหรือลูกจ้าง แต่เมื่อแคดดี้มีหน้าที่ที่จะต้องให้บริการลูกค้าแทนนายจ้าง แม้ไม่เป็น ลูกจ้างที่มีหน้าที่ต้องขับรถ แต่ก็ต้องถือว่าแคดดี้เป็นตัวแทนของสนามกอล์ฟ ดังนั้นไม่ว่าสถานะอะไร ก็แล้วแต่ สนามกอล์ฟก็ไม่รอด และถ้ามีคำถามทำนองนี้นักศึกษาควรจะต้องตอบคำถามโดยวินิจฉัย เสียก่อนว่า แคดดี้เป็นลูกจ้างหรือไม่ ซึ่งอาจารย์เห็นว่าเป็นลูกจ้าง เพราะได้รับค่าตอบแทนและรับคำสั่ง บังคับบัญชาจากสนามกอล์ฟแน่นอน ก็ถือว่าเป็นลูกจ้าง ส่วนการที่แคดดี้ไปขับรถนั้น ถือว่าเป็นการกระทำ ในทางการที่จ้างหรือไม่ ซึ่งไม่ว่านักศึกษาจะตอบโดยนัยยะของการจ้างแรงงานตามมาตรา 425 หรือ 427
14 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ในเรื่องตัวการตัวแทน ก็ไม่พ้นในเรื่องละเมิด เพราะฉะนั้น หากเราวินิจฉัยว่าเป็นลูกจ้างและการขับรถนั้น ถือว่าเป็นบริการที่สนามกอล์ฟได้ให้บริการและแคดดี้มีหน้าที่ ดังนั้น การขับรถตรงจุดนี้จึงต้องถือว่าเป็น การขับรถในทางการที่จ้าง ซึ่งตรงนี้ก็คงจะไม่หลุด แต่หากมันหลุดตรงจุดนี้ไป เพราะสนามกอล์ฟให้การต่อสู้ ว่าไม่เคยมอบหมายให้แคดดี้ทำการขับรถ ดังนั้นอาจารย์เข้าใจว่าเรื่องนี้ศาลก็เลยวินิจฉัยโดยออกในเรื่อง ของตัวการตัวแทน ซึ่งวิธีการตอบข้อสอบนักศึกษาก็อาจจะมัดข้อเท็จจริงเอาไว้ทั้งสองมาตรา ซึ่งอาจารย์ ขอให้นักศึกษามีstep ในการวินิจฉัยเอาไว้ในลักษณะเช่นนี้ก็คงจะทำข้อสอบได้ ฎีกาที่ 1236/2541 จำเลยที่ 3 ขับรถยนต์โดยสารชนรถจักรยานยนต์โจทก์ เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ ถึงแก่ความตาย แม้หนังสือแสดงการจดทะเบียนรถจะระบุชื่อผู้อื่นเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ ใช้รถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุประกอบการขนส่งผู้โดยสาร โดยมีจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นลูกจ้างกระทำไปใน ทางการที่จ้างในขณะเกิดเหตุ การที่จำเลยที่ 4 พนักงานขับรถ ใช้ให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพนักงานเก็บเงินค่า โดยสารขับรถยนต์โดยสารไปส่งผู้โดยสารแทนนั้น เป็นการแสดงออกชัดว่าจำเลยที่ 4 ได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนตนในการปฏิบัติหน้าที่ผู้ขับรถยนต์ฉะนั้นในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็น บุคคลภายนอกอันเกิดจากการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 3 เช่นนี้ กรณีต้องด้วยบทบัญญัติ แห่ง ป.พ.พ. มาตรา 420 , 425 , 427 , 797 และ 820 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 จึงต้องรับผิดร่วมกับ จำเลยที่ 3 ด้วย 2. มอบหมายให้จุดพลุ ฎีกาที่ 4622/2557 จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดงานเลี้ยงฉลองเทศกาลปีใหม่ขึ้นที่บ้านของตนเอง การ จุดพลุเป็นพิธีการส่วนหนึ่งของการเปิดงาน การที่จำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 ทำการจุดพลุ อันเป็น สัญญาณเริ่มต้นเปิดงานต้องถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการจุดพลุเปิดงานเลี้ยง ฉลองเทศกาลปีใหม่ที่จำเลยที่ 2 จัดให้มีขึ้น เมื่อจำเลยที่ 1 ทำการจุดพลุโดยประมาทเป็นเหตุให้เกิดเพลิง ไหม้ทรัพย์สินของโจทก์ร่วมทั้งสองเสียหาย อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ร่วมทั้งสอง จำเลยที่ 2 ใน ฐานะตัวการย่อมต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำไปตามคำสั่งที่ จำเลยที่ 2 ใช้ให้กระทำแทนจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 ประกอบมาตรา 427 จำเลยที่ 2 จึงต้อง ร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมทั้งสองด้วย ข้อสังเกต จะเห็นได้ว่าคนที่จุดพลุในคดีนี้ไม่ใช่ลูกจ้าง จึงต้องวินิจฉัยว่าเป็นตัวแทนของบุคคลที่ใช้ให้ จุดพลุหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยว่าถือว่าเป็นตัวการตัวแทน และเป็นข้อตอกย้ำหลักกฎหมายที่ว่าในเรื่อง ตัวการตัวแทนนั้น การมอบหมายไม่จำเป็นที่จะต้องมอบหมายให้ไปทำนิติกรรมสัญญา ก็ถือว่าเข้าลักษณะ เป็นสัญญาตัวการตัวแทนได้ 3.มอบหมายให้ระวังไฟ ฎีกาที่ 3812/2540 จำเลยที่ 1 พาคนไปถางป่าในสวนแล้วจุดไฟเผาและขอให้จำเลยที่ 2 ช่วย ดูแลไฟอย่าให้ลุกลาม จำเลยที่ 2 ได้ขอให้จำเลยที่ 3 ไปช่วยระวังไฟด้วย ถือไว้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็น ตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการช่วยดูแลระมัดระวังมิให้เพลิงลุกลามไปยังที่อื่น แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาด
15 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ความระมัดระวังจนเป็นเหตุให้เพลิงลุกลามเข้าไปไหม้สวนยางพาราของโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิด กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในผลแห่งละเมิดด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420,427 4. จ้างบุคคลอื่นทำงานโดยจ้างทำของหรือจ้างขนส่ง ไม่เป็นนายจ้าง แต่อาจเป็นตัวการตัวแทน เพราะฉะนั้น ให้นักศึกษาจำหลักเอาไว้นะครับว่าหากมิใช่เป็นเรื่องของนายจ้างกับลูกจ้างแล้ว นักศึกษาจำเป็นจะต้องวินิจฉัยต่อไปนะครับว่านิติสัมพันธ์หรือความสัมพันธ์ของบุคคลดังกล่าวนั้นจะมี สถานะเป็นตัวการตัวแทนหรือไม่ เพื่อจะได้เชื่อมโยงไปยังมาตรา 427 ต่อไปว่าเข้าหลักกฎหมายหรือไม่ ฎีกาที่ 2116/2553 จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของโครงการอาคารชุด ซึ่งจะต้องดำเนินการก่อสร้าง อาคารและระบบสาธารณูปโภคของโครงการรวมทั้งจัดให้มีวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามประกาศโฆษณาขาย อาคารชุดดังกล่าว การที่จำเลยที่ 1 จ้างเหมาบุคคลอื่นติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัยของอาคารชุด จำเลยที่ 1 ต้องดูแลให้ระบบป้องกันอัคคีภัยดังกล่าวใช้งานได้สมบูรณ์ตามวัตถุประสงค์ หากระบบป้องกันอัคคีภัยไม่ สามารถใช้งานได้หรือใช้งานได้ไม่สมบูรณ์ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชอบในการดำเนินการแก้ไขให้สามารถใช้ งานได้ตามที่โฆษณาไว้ จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับจ้างเหมาจากจำเลยที่ 1 ให้ติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัยให้แก่ อาคารชุด จึงเป็นการกระทำการแทนจำเลยที่ 1 เมื่อพนักงานของจำเลยที่ 2 เชื่อมสายไฟเข้าระบบผิดทำให้ กระแสไฟฟ้าลัดวงจรเกิดความเสียหายแก่ระบบป้องกันอัคคีภัยดังกล่าว จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในผลแห่ง ละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้าง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการต้อง ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนก่อให้เกิดขึ้นดังกล่าวด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 427 ประกอบมาตรา 425 ฎีกาที่ 5106/2560 พฤติการณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ก็ยังอยู่ในอำนาจสั่งการหรือ ควบคุมดูแลของจำเลยที่ 3 สัญญาว่าจ้างขนส่งกระเบื้องดังกล่าวจึงไม่ใช่กรณีที่จำเลยที่ 1 รับเอาการงาน ของจำเลยที่ 3 ไปทำโดยเด็ดขาดและอิสระดังนั้นในส่วนที่จำเลยที่ 1 ทำแทนนั้นย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 เป็น ตัวแทนของจำเลยที่ 3 เข้าลักษณะสัญญาตัวแทนด้วยสัญญาว่าจ้างขนส่งกระเบื้องดังกล่าวจึงมีทั้งสัญญา จ้างทำของและสัญญาตัวแทนรวมอยู่ในสัญญาเดียวกันจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของ จำเลยที่ 1 ตามมาตรา 427 ข้อสังเกต ฎีกานี้ได้วางหลักกฎหมายเอาไว้ว่า แม้จะมีสัญญาขนส่ง แต่อาจจะมีความสัมพันธ์ที่ซ้อน กัน กล่าวคือ อาจจะเป็นได้ทั้งสัญญาขนส่งและอาจจะเป็นเรื่องของสัญญาตัวการตัวแทนได้ด้วย เพราะฉะนั้น จึงสรุปได้ว่าการเป็นตัวการตัวแทนนั้น สามารถที่จะควบคู่ไปกับการมีนิติกรรมอย่างอื่นได้เสมอ หรืออาจจะกล่าวว่าควบคู่ไปกับสัญญาอื่นได้เสมอนั่นเอง 5. มอบหมายให้แพทย์ตรวจคนไข้ ในเรื่องนี้อาจารย์เคยบรรยายไปแล้วก็ขอข้ามไปได้เลยนะครับ แต่ให้นักศึกษาดูฎีกาไว้แล้วกัน ฎีกาที่ 9042/2560 จำเลยที่ 3 ทำหน้าที่ในการตรวจวินิจฉัยครรภ์โจทก์ที่ 1 ตรงตามเกณฑ์ มาตรฐานของการตรวจคัดกรอง การตรวจอัลตราซาวด์ในหญิงตั้งครรภ์เพื่อหาความผิดปกติของทารกแบ่ง ได้เป็น 3 ระดับ การตรวจระดับ 1 เป็นการตรวจคัดกรองอย่างง่ายดูจำนวนทารก การมีชีวิตของทารก การ ประมาณอายุครรภ์ ปริมาณน้ำคร่ำ ส่วนนำของทารก ตำแหน่งทารก และความพิการบางอย่างที่สามารถเห็น
16 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ได้ง่าย จำเลยที่ 3 ให้ความเห็นในการตรวจว่า ทารกมีชีวิต เพศชาย บุตรในครรภ์ 1 คน รกอยู่ด้านหลังของ มดลูกปริมาณน้ำคร่ำปกติ ลักษณะลำตัว ตับ กระเพาะอาหาร ไต กระเพาะปัสสาวะ ลำคอ และกระดูกสัน หลังปกติ ความยาวของกระดูกต้นขา 21 มิลลิเมตร ตรงกับอายุครรภ์ 16.3 สัปดาห์ การเต้นของหัวใจและ การเคลื่อนไหวของทารกอยู่ในเกณฑ์ปกติ แสดงให้เห็นว่าในการตรวจอัลตราซาวด์สามารถเห็นอวัยวะส่วน ต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกร่างกายของทารกในครรภ์ได้ หากจำเลยที่ 3 ไม่สามารถมองเห็นความ ผิดปกติหรือความพิการของทารกในครรภ์ก็มีหน้าที่ต้องแจ้งผลการตรวจให้โจทก์ที่ 1 ทราบว่ายังไม่สามารถ ตรวจพบความพิการในส่วนแขนและขาของทารกได้เพราะยังมองเห็นไม่ครบถ้วน การที่จำเลยที่ 3 แจ้งว่า ทารกในครรภ์มีสภาพร่างกายสมบูรณ์หรือไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่สภาพร่างกายทารกมี ความพิการรุนแรง ย่อมทำให้โจทก์ที่ 1 เสียโอกาสในการตัดสินใจว่าจะหาทางแก้ไขเยียวยาหรือดำเนินการ เกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 และหากโจทก์ที่ 1 ทราบข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน ย่อมมีโอกาสเตรียมใจยอมรับกับ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนการคลอดโจทก์ที่ 2 มากกว่าที่จะรู้ถึงความพิการของโจทก์ที่ 2 โดยกะทันหัน กระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจโจทก์ที่ 1 อย่างรุนแรง การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันตรวจวินิจฉัยการ ตั้งครรภ์ของโจทก์ที่ 1 ไม่พบความพิการของโจทก์ที่ 2 และไม่ได้แจ้งโจทก์ที่ 1 ทราบข้อมูลที่ถูกต้องและ ครบถ้วนด้วยภาษาที่โจทก์ที่ 1 จะเข้าใจได้ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออันเป็นการละเมิดทำให้ โจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหายทางด้านจิตใจอันเป็นความเสียหายแก่อนามัย ดังนั้น จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น คู่สัญญากับโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 2 แพทย์เจ้าของไข้ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งมอบหมายให้ จำเลยที่ 3 ร่วมในการตรวจวินิจฉัยการตั้งครรภ์ของโจทก์ที่ 1 ด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ จึงต้องร่วมกันรับผิด ในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ที่ 1 ด้วย แม้โจทก์ที่ 2 พิการรุนแรงเนื่องจากมีความผิดปกติในขณะที่โจทก์ที่ 1 ตั้งครรภ์อยู่ในความดูแลของ จำเลยทั้งสาม และจำเลยที่ 3 ตรวจไม่พบ อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 ก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสอง ไม่มีพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้เห็นว่า ความพิการของโจทก์ที่ 2 เกิดจากการกระทำของจำเลยทั้งสาม นอกจากนี้ กรณีของโจทก์ที่ 2 แม้ตรวจพบความพิการก็ไม่สามารถผ่าตัดแก้ไขในระหว่างทารกอยู่ในครรภ์ ได้ต้องรอให้คลอดออกมาก่อน โจทก์ทั้งสองก็ไม่ได้นำสืบว่า หากจำเลยที่ 3 พบความพิการของโจทก์ที่ 2 แล้วจะดำเนินการอย่างไร เพื่อให้เห็นว่า การที่จำเลยที่ 3 ตรวจไม่พบความพิการนั้น ทำให้โจทก์ที่ 2 ได้รับ ความเสียหายหรือพิการมากขึ้น แต่กลับได้ความว่า หากพบความพิการของโจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 1 จะปฏิบัติ ตามที่แพทย์แนะนำ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า ความพิการทางร่างกายของโจทก์ที่ 2 เป็นผลโดยตรงจากการ กระทำของจำเลยทั้งสาม จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดในค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 2 6.มอบหมายให้ไปขนปูนให้วัด ฎีกาที่ 1133/2516 (ประชุมใหญ่) การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพลาธิการกองพลทหารม้า สั่งให้ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพลขับและสังกัดอยู่ในกองพลเดียวกัน ขับรถยนต์ของทางราชการกองพลทหารม้าไปขน ปูนซีเมนต์ให้วัดซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการวัดอยู่ด้วย กิจการดังกล่าวมิใช่ราชการของกองทัพบกจำเลยที่ 3 ทั้งมิได้เกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 1 แต่ประการใด ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการ และจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทน ของจำเลยที่ 2 ในกิจการนี้โดยปริยาย เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กลับกองพลทหารม้าได้ชนรถยนต์โจทก์
17 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทนจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นตัวการย่อมต้อง รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ทำไปนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 427 ประกอบด้วยมาตรา 820 แม้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 จะเป็นข้าราชการทหารสังกัดอยู่ในกองพลทหารม้าซึ่งอยู่ในบังคับ บัญชาของกองทัพบกจำเลยที่ 3 ก็ตาม แต่การขนปูนซีเมนต์ดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลยที่ 2 มิได้เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 3 แต่อย่างไร การใช้รถยนต์ของทางราชการก็ดี การเติม น้ำมันของทางราชการก็ดี หาทำให้กิจการส่วนตัวจำเลยที่ 2 กลายเป็นงานราชการของจำเลยที่ 3 ไปไม่ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นแก่โจทก์ หลักที่นักศึกษาต้องจำนั่นก็คือ กรณีตัวแทนต้องทำเพื่อประโยชน์ตัวการ ไม่ใช่ตัวเอง ฎีกาที่ 5549/2543 จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุ โดยในขณะเกิดเหตุจำเลยให้นาย นิดยืมเงิน 5,000 บาท โดยให้ น.ขับรถยนต์ของจำเลยคันดังกล่าวไปรับเงินจากภรรยาของจำเลย แล้ว น. ขับรถยนต์ไปเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์คันอื่นโดยละเมิด เป็นเหตุให้ ณ. และ บ.ถึงแก่ความตาย เมื่อการที่ น.นำรถยนต์ที่จำเลยให้ยืมเพื่อไปรับเงินที่จำเลยให้ยืมจากภรรยาของจำเลยนั้น มิใช่เป็นการทำการแทน จำเลย แต่เป็นการทำเพื่อกิจการและประโยชน์ของ น. เอง ดังนี้ น. จึงมิใช่ตัวแทนของจำเลย จำเลย ย่อมไม่ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่ง น.ได้กระทำไปดังกล่าว ลักษณะของการเป็นตัวแทน แบ่งได้ ๔ ประเภท 1. เป็นตัวแทนโดยชัดแจ้ง ไม่ว่าจะโดยลายลักษณ์อักษร หรือโดยวาจาก็ตาม 2. เป็นตัวแทนโดยปริยาย 3. เป็นตัวแทนเชิด 4. เป็นตัวแทนให้สัตยาบัน กล่าวคือ ไม่ได้เป็นตัวแทนแต่แรก แต่ไปทำกิจการใดแล้วต่อมาให้ สัตยาบันก็ถือว่า คนที่ให้สัตยาบันนั้นเป็นตัวการ 1. ตัวแทนโดยชัดแจ้ง ฎีกาที่ 10499/๒๕55 โจทก์เป็นผู้ซื้อรถคันพิพาทโดยสุจริตในการขายทอดตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่ง ขายของชนิดนั้น ย่อมได้รับความคุ้มครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1332 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตรวจสอบทราบ ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2543 แล้วว่าโจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อรถคันพิพาทได้ไปจากบริษัท จ. ก็ควรจะไปขอ คืนรถคันพิพาทจากโจทก์โดยการเตรียมเงินไปชดใช้ราคาที่ซื้อมาให้แก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1332 แต่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 กลับใช้วิธีไปแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีในวันดังกล่าวแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ผู้เช่าซื้อ ในข้อหายักยอกรถคันพิพาท ทั้งที่ได้มีการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2542 แล้ว และปล่อยให้ระยะเวลาล่วงเลยนานถึง 1 ปี 4 เดือนเศษ เพิ่งจะมาแจ้งความร้องทุกข์ภายหลังจากทราบ แล้วว่าโจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อรถคันพิพาทไปจากบริษัท จ. พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 หลีกเลี่ยงการปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1332 โดยจงใจอาศัยอำนาจของเจ้าพนักงานในการที่จะ ปฏิบัติตาม ป.วิ.อ. ว่าด้วยการค้นและยึดสิ่งของใด ๆ ซึ่งน่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีข้อหายักยอกที่เพิ่ง แจ้งความร้องทุกข์ในภายหลังมายึดรถคันพิพาทไป จำเลยที่ 1 จะใช้สิทธิในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รถคัน
18 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง พิพาทเพื่อติดตามและเอารถคันพิพาทคืนจากโจทก์ไม่ได้ เว้นแต่จำเลยที่ 1 จะได้ชดใช้ราคารถคันพิพาทแก่ โจทก์ เพราะสิทธิของจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ตกอยู่ภายใต้บังคับ ป.พ.พ. มาตรา 1332 และแม้ว่ารถคันพิพาทจะเป็นรถคันเดียวกับรถคันที่จำเลยที่ 1 ให้เช่าซื้อไปในคดี ข้อหายักยอก อันน่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีดังกล่าวก็ตาม แต่ก็มีผลสืบเนื่องมาจากการที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รถคันพิพาทเช่นกัน โจทก์ย่อมได้รับความคุ้มครองดังกล่าว จำเลยที่ 1 ซึ่ง เป็นตัวการผู้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ทำการแทนในการยึดรถคันพิพาทจากโจทก์โดยไม่ชดใช้ราคาที่ซื้อมา จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 427 2. ตัวแทนโดยปริยาย เช่น มอบหมายให้ขับรถ ฎีกาที่ 981/2532 จำเลยใช้ให้ ย. ขับรถยนต์ไปทำธุรกิจให้จำเลยโดยมีจำเลยนั่งไปด้วย ย่อมถือ ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการ และ ย.เป็นตัวแทนของจำเลยในกิจการนี้โดยปริยาย เมื่อ ย. ขับรถยนต์โดยประมาท ชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย ถือได้ว่า ย.กระทำละเมิดภายในขอบอำนาจแห่งฐานะตัวแทน จำเลยซึ่งเป็นตัวการจึงต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดที่ ย.ได้กระทำไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา 427 ประกอบด้วย มาตรา 420 3. ตัวแทนเชิด กรณีต่อไปนี้ ไม่ใช่นายจ้างลูกจ้าง ไม่ใช่ตัวการตัวแทนโดยตรง แต่กรณีเช่นนี้ ถือว่าสหกรณ์หรือผู้มีชื่อติดอยู่ที่รถนั้นเชิดให้คนขับรถเป็นตัวแทน หากไปก่อให้เกิดเหตุละเมิดกับบุคคลอื่น กรณีเช่นนี้จะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย 3.1 สหกรณ์แท็กซี่ ฎีกาที่ 1627/2544 รถแท็กซี่คันเกิดเหตุมีชื่อจำเลยที่ 2 และหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยที่ 2 ปรากฏอยู่ข้างรถ การที่จำเลยที่ 1 นำรถคันดังกล่าวออกมาขับรับผู้โดยสาร ย่อมเป็นการแสดงออกต่อโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 2 เจ้าของรถในการรับจ้างบรรทุก ผู้โดยสาร จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดที่เกิดขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 427,821 3.2 ผู้มีชื่อประกอบการขนส่ง (การเดินรถเป็นตัวการ ผู้เข้าร่วมเดินรถเป็นตัวแทน) ฎีกาที่ 239/2557 ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุก หมายเลขทะเบียน 80 - 5273 ชุมพร รับจ้างบรรทุกสินค้าอันเป็นการประกอบการขนส่งในนามของจำเลยที่ 2 จึงต้องถือว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการขับรถยนต์บรรทุกดังกล่าว ดังนั้น จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวการจึงต้องรับผิด ในผลแห่งละเมิดที่ตัวแทนของตนได้กระทำไป ตาม ป.พ.พ. มาตรา 427 และ 820 นักศึกษาครับมีคำพิพากษาฎีกาใหม่ที่น่าสนใจในเรื่องนี้นั่นก็คือ ฎีกาที่ 355/2563 (น่าสนใจ) จำเลยที่ 2 ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่ มีรถแท็กซี่ให้เช่ามากถึง 60 คัน จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ประกอบกิจการให้เช่ารถแท็กซี่รายใหญ่ จำเลยที่ 2 เช่าซื้อรถแท็กซี่คันเกิดเหตุจาก โจทก์ซึ่งจดทะเบียนประเภทรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน อันเป็นรถยนต์สาธารณะตาม พ.ร.บ. รถยนต์พ.ศ.2522 มาตรา 4 ซึ่งอยู่ในความควบคุมของนายทะเบียนและผู้ตรวจการขนส่งทางบก โดยมีชื่อและ ตราสัญลักษณ์ของโจทก์ติดอยู่ที่ประตูรถด้านหน้าทั้งสองข้าง แล้วจำเลยที่ 2 นำรถแท็กซี่ไปให้จำเลยที่ 1 เช่า
19 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ขับรับส่งคนโดยสารในนามของโจทก์เพื่อประโยชน์แก่กิจการของตน ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ประกอบกิจการ รับจ้างขนส่งคนโดยสารต้องอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติดังกล่าวเช่นเดียวกับโจทก์แม้คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18871/2557 ที่วินิจฉัยว่าโจทก์และจำเลยที่ 2 มีผลประโยชน์ร่วมกันในการประกอบกิจการขนส่งคนโดยสาร รถแท็กซี่คันเกิดเหตุ ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวก็ตาม แต่ใน สัญญาเช่าซื้อข้อ 4 ระบุว่าผู้เช่าซื้อจะไม่นำทรัพย์สินที่เช่าซื้อไปให้เช่าจำเลยที่ 2 ย่อมต้องทราบดีว่าจำเลยที่ 2 ไม่สามารถนำรถที่ตนเช่าซื้อจากโจทก์ให้ผู้อื่นหรือจำเลยที่ 1 เช่าได้การที่จำเลยที่ 2 เช่าซื้อรถแท็กซี่ของ โจทก์เพื่อนำออกให้เช่าโดยที่โจทก์ได้จดทะเบียนรถแท็กซี่เป็นรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารตามกฎหมายแล้ว ทั้งจำเลยที่ 2 ใช้ชื่อและตราสัญลักษณ์ของโจทก์ที่ติดอยู่ด้านข้างรถแท็กซี่นำไปให้จำเลยที่ 1 เช่าขับรถส่งคน โดยสารเพื่อประโยชน์แก่กิจการของตน ส่วนโจทก์ก็ได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้ประกอบกิจการขนส่งคน โดยสารด้วย เพราะโจทก์สามารถให้เช่าซื้อรถยนต์ได้มากขึ้น พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 2 มีผลประโยชน์ร่วมกันในการประกอบกิจการขนส่งคนโดยสาร โจทก์และจำเลยที่ 2 มิได้ผูกนิติสัมพันธ์กันแต่ เฉพาะนิติกรรมการเช่าซื้อเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 2 นำรถแท็กซี่คันเกิดเหตุไปให้จำเลยที่ 1 เช่าขับรับคนโดยสาร จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับโจทก์เชิดให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของตนในการประกอบกิจการรับขน คนโดยสารด้วย จำเลยที่ 2 กับโจทก์จึงต้องร่วมกันรับผิดในการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นลูกหนี้ ร่วมกัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 821 มาตรา 427 ประกอบมาตรา 425 นักศึกษาครับ อาจารย์มีคำถามให้นักศึกษาไปทำเป็นการบ้าน คำถามมีอยู่ว่านางสาวหญิงเป็นบุตรไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายเขียว แอบหยิบกุญแจรถที่นาย เขียวเก็บใส่ไว้ในลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินแล้วไม่ได้ปิดกุญแจให้เรียบร้อย เอารถออกไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อน มีนายชายซึ่งต่างคนต่างเมา ระหว่างทางที่ขับออกมาจากสถานบันเทิงด้วยความเร็วไปชนนายเอกได้รับ ความเสียหายเป็นเงิน 200,000 บาท นางสาวหญิงขับต่อไประยะหนึ่งรู้สึกว่าถ้าขับต่อรถต้องชนอีก นายชายอาสาจะช่วยขับแทน นางสาวหญิงก็ยอมให้นายชายขับรถแทน ปรากฏว่านายชายขับรถชนท้ายรถ อีกคันที่เขาจอดรอสัญญาณไฟอยู่เกิดความเสียหายขึ้น มีการเจรจาค่าเสียหายกัน นางส้มแม่ของนายชาย เห็นว่าค่าเสียหายที่ลูกตัวเองชนประมาณ 30,000 บาท จึงตกลงกับตำรวจชดใช้ค่าเสียหายไปและมีการทำ บันทึกไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจ แต่ต่อมากลับไม่ยอมปฏิบัติตามสัญญา เช่นนี้ให้วินิจฉัยว่านางสาว หญิง นายเขียว นายชายและนางส้ม จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่เพียงใด นักศึกษาครับ ในเรื่องนี้มีผู้เสียหาย 2 ราย รายแรกก็คือนายเอก รายที่ 2 เป็นผู้เสียหายที่จอดรถ อยู่ซึ่ง 2 กรณีนี้ถือว่าผู้เสียหายนั้นเราแยกออกจากกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เพราะเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นคน ละครั้ง ดังนั้น นักศึกษาจะต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงออกเป็น 2 กรณีโดยกรณีแรก ต้องวินิจฉัยว่าการที่ ลูกแอบเอากุญแจรถออกไป แล้วนำรถไปขับและขับด้วยความเร็ว ต้องถือว่าลูกสาวนั้นกระทำโดยประมาท เมื่อกระทำโดยประมาท ก็ต้องถือว่าเป็นการทำละเมิดและค่าเสียหายก็ได้กำหนดมาแล้วว่า 200,000 บาท ซึ่งกรณีที่มีการชนในครั้งแรกนั้น ต้องวินิจฉัยว่าใครจะต้องร่วมรับผิดชอบ ซึ่งตามข้อเท็จจริงนั้นจะเห็นว่านายเขียวนั้นเป็นบิดา แต่อาจารย์ยังไม่ได้บรรยายเรื่องผู้รับผิดชอบ แทนบุคคลผู้ให้ความสามารถนะครับ ซึ่งมีประเด็นว่าบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น จะต้องร่วมรับผิดชอบ
20 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กับบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยหรือไม่ ซึ่งเราจะอธิบายกันต่อไปในมาตรา 429 กับมาตรา 430 โดยทั้ง สองมาตรานี้มีความแตกต่างกันอยู่ ซึ่งนักศึกษาจะต้องหาจุดแตกต่างให้เจอนะครับ เพราะหากมีคำถาม เกี่ยวกับบทมาตรา 429 กับมาตรา 430 ก็แสดงว่าผู้ที่ตั้งคำถามนั้น ต้องการที่จะทราบว่านักศึกษาสามารถ ที่จะแยกความแตกต่างระหว่าง 2 มาตรานี้ได้หรือไม่ เพราะฉะนั้น อาจารย์ก็ทิ้งการบ้านเอาไว้ให้นักศึกษา นะครับว่านายเขียวจะต้องร่วมรับผิดชอบกับลูกสาวหรือไม่และหากต้องร่วมรับผิดชอบ จะต้องวินิจฉัยให้ได้ ว่าต้องร่วมรับผิดชอบในฐานะอะไร ส่วนกรณีที่ 2 นั้น ต้องวินิจฉัยว่าบุคคลใดจะต้องร่วมรับผิดชอบบ้าง ซึ่งจะมีความยุ่งยากกว่ากรณี แรกเสียด้วยซ้ำ เพราะมีข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเข้ามาว่านายชายอาสาสมัครเข้ามาขับรถ โดยนายชายนั้นเราจะ ถือว่าเป็นการจัดการงานนอกสั่งหรือไม่ หรือเป็นตัวการตัวแทนหรือไม่ เพราะหากถ้าเป็นตัวการตัวแทน ก็ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าเป็นตัวแทนของบุคคลใด และหากนายชายเข้ามาแล้ว จะมีการยึดโยงข้อเท็จจริงไปถึง นางสาวหญิงด้วยหรือไม่และใครเป็นผู้ครอบครองรถ และมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าแม่ของนายชายก็คือนาง ส้มนั้นจะต้องเข้ามาร่วมรับผิดชอบตามมาตราไหน และนายเขียวจะต้องร่วมรับผิดในกรณีที่ 2 นี้ด้วยหรือไม่ 3.3 ผู้ว่าจ้างรักษาความปลอดภัยเป็นตัวการ ฎีกาที่ 12849/2558 จำเลยที่ 2 เจ้าของอาคารศูนย์การค้า ซ. จัดลานจอดรถเพื่อให้บริการแก่ ร้านค้าที่มาเช่าพื้นที่และลูกค้าของร้านค้าเพื่อจอดรถยนต์ขณะเข้าไปใช้บริการยังร้านค้าที่เช่าพื้นที่ในอาคาร ศูนย์การค้าและมอบให้บริษัท น. เป็นผู้จัดการให้บริการด้านสาธารณูปโภคทั้งหมด รวมทั้งการรักษาความ ปลอดภัยภายในอาคารและนอกอาคารโดยมีการแบ่งผลประโยชน์จากการจัดเก็บรายได้จากร้านค้าที่เช่า พื้นที่และรับบริการ จำเลยที่ 2 กับบริษัท น. เป็นบริษัทในเครือเดียวกันและมีวัตถุประสงค์ในการประกอบ กิจการค้าหาประโยชน์จากการใช้อาคารศูนย์การค้า ซ. ร่วมกัน โดยจำเลยที่ 2 จัดเก็บค่าเช่าพื้นที่อาคาร ส่วนบริษัท น. จัดเก็บค่าบริการด้านสาธารณูปโภค การที่บริษัท น. เข้าทำสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัย กับจำเลยที่ 1 เพื่อให้จัดพนักงานรักษาความปลอดภัยมาดูแลรักษาความปลอดภัยที่อาคารศูนย์การค้าจึง เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ในการใช้พื้นที่อาคารศูนย์การค้า จำเลยที่ 2 เจ้าของอาคารศูนย์การค้าจัดให้มี พนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 คอยดูแลรักษาความปลอดภัยอาคารศูนย์การค้าย่อมแสดงให้ผู้ มาใช้บริการที่อาคารศูนย์การค้าเข้าใจว่าจำเลยที่ 2 มอบหมายให้จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนดูแลรักษาความ ปลอดภัยให้แก่ลูกค้า พฤติการณ์ของบริษัท น. กับจำเลยที่ 2 ซึ่งประกอบการค้าร่วมกัน ย่อมถือได้ว่าบริษัท น. กับจำเลยที่ 2 เป็นตัวการด้วยกันในการทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 1 รักษาความปลอดภัยอาคาร ศูนย์การค้า เมื่อรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยสูญหายเพราะความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ผู้รับประกันภัย อีกกรณีหนึ่งคือ กรณีที่ธนาคารปล่อยให้พนักงานออกหนังสือค้ำประกันปลอม ฎีกาที่ 5724/2562 จำเลยมอบอำนาจให้ จ. ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยออกหนังสือค้ำประกัน แทนจำเลยได้ตามเงื่อนไข การที่ จ. ออกหนังสือค้ำประกันที่สาขาของจำเลย โดยใช้กระดาษแบบฟอร์มของ จำเลย ถือได้ว่า ทางปฏิบัติของจำเลยผู้เป็นตัวการ ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควร จะเชื่อว่าการออกหนังสือค้ำประกันดังกล่าวเป็นการกระทำอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทน หนังสือ
21 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ค้ำประกันจากธนาคารจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญในการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ เมื่อโจทก์ยอมรับหนังสือค้ำประกัน เป็นหลักประกันการชำระเงินค่าสินค้าของ ม. การที่ ม. ไม่ชำระหนี้ค่าสินค้าให้โจทก์ความเสียหายของ โจทก์จึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำละเมิดของ จ. ซึ่งเป็นลูกจ้างและตัวแทนของจำเลย จำเลยจึงต้องรับ ผิดต่อโจทก์ อาจารย์ขออีก 1 ฎีกานะครับ เป็นเรื่องของผู้ที่เป็นหุ้นส่วนกัน โดยเราถือว่าหุ้นส่วนแต่ละคนนั้น เป็นตัวแทนซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น หากเกิดการทำละเมิดโดยลูกจ้างหรือตัวแทนของหุ้นส่วนคนใด คนหนึ่ง หุ้นส่วนทุกคนจะต้องรับผิดชอบในผลละเมิดนั้นด้วยกัน ฎีกาที่ 2377/2561 จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ใช้ชื่อตนเองประกอบกิจการสถานพยาบาลว่า นัทพันธุ์-ธนิกานต์ คลินิก อันมีลักษณะเป็นการตกลงกันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันในการให้บริการ อันมี ลักษณะเป็นห้างหุ้นส่วนที่ต้องถือว่าหุ้นส่วนทุกคนเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตาม ป.พ.พ.มาตรา 1033 วรรค สอง จึงต้องบังคับตามมาตรา 1042 ในเรื่องความเกี่ยวพันระหว่างหุ้นส่วนผู้จัดการกับผู้เป็นหุ้นส่วน ทั้งหลายอื่นนั้น ให้บังคับด้วยตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยตัวแทน เมื่อจำเลยที่ 1 เป็น ตัวแทนของจำเลยที่ 2 ในการร่วมกันให้บริการที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามคำฟ้องของโจทก์และ การนำพยานหลักฐานเข้าสืบฟังว่า การกระทำละเมิดดังกล่าวเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นหุ้นส่วน ของห้างหุ้นส่วนโดยมีจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำกิจการร่วมกันอันมีลักษณะเป็นห้างหุ้นส่วนที่เป็นตัวแทน ซึ่งกันและกัน การกระทำละเมิดของหุ้นส่วนคนหนึ่งถือเป็นการกระทำแทนผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นที่เป็นตัวการ ด้วย จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลของการกระทำละเมิดนั้นด้วย ตาม ป.พ.พ.มาตรา 427 ก็เป็นอันจบมาตรา 427 ครั้งหน้าเราจะบรรยายต่อในเรื่องมาตรา 428 นะครับ วันนี้อาจารย์ขอยุติ การบรรยายแต่เพียงเท่านี้สวัสดีครับ สรุปและตรวจทานความถูกต้องโดย Admin
pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา ละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ. ไสลเกษ วัฒนพันธุ บรรยายวันที่ 28 สิงหาคม 2566 (ครั้งที่ 13) (สัปดาห์ที่ 15) สวัสดีครับ วันนี้เราจะขึ้นเรื่องผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้างทำของในกรณีที่มีการทำละเมิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายจะมี ความเกี่ยวพันจะต้องมีการรับผิดชอบกันอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ก็บัญญัติอยู่ในมาตรา 428 มาตรา 428 บัญญัติว่า “ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่ บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำหรือในคำสั่ง ที่ตนให้ไว้หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง” องค์ประกอบของมาตรา 428 โดยหลักผู้ว่าจ้างไม่ต้องรับผิดในการทำละเมิดของผู้รับจ้าง เว้นแต่ผู้ว่าจ้างมีส่วนผิดใน 3 กรณีดังต่อไปนี้ 1. ผิดเพราะการงานที่สั่งให้ทำกรณีนี้หมายถึงการงานที่ผู้ว่าจ้างให้ทำนั้นเป็นการละเมิดด้วยตัวของเนื้อ งานนั้นเอง 2. ผิดเพราะคำสั่งที่ตนให้ไว้เช่น เกิดการละเมิดเพราะผู้ว่าจ้างได้สั่งไปถึงรายละเอียดของการงานให้ผู้รับ จ้างทำตาม และการละเมิดเกิดจากการสั่งการดังกล่าว 3. ผิดเพราะการเลือกหาผู้รับจ้างไม่เหมาะสมกับงาน เช่น เลือกผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติมาทำงาน โดยพื้นฐานของสัญญาจ้างทำของ ผู้ว่าจ้างไม่มีสิทธิจะออกคำสั่งบังคับบัญชาผู้รับจ้าง ดังนั้นหากมีความ เสียหายเกิดขึ้นก็ถือเป็นผลจากการกระทำของผู้รับจ้างเองไม่ใช่การกระทำของผู้ว่าจ้าง ดังนั้นโดยหลักผู้ว่าจ้าง จึงไม่ต้องรับผิด ความรับผิดของผู้ว่าจ้างนั้นเป็นความรับผิดที่ผู้ว่าจ้างเป็นผู้กระทำละเมิดเอง ตามมาตรา 428 จึงใช้คำว่ารับผิดเพื่อความเสียหายไม่ใช่ร่วมรับผิด ดังนั้นมาตรา 428 จึงมิใช่เป็นความรับผิดเพื่อละเมิดซึ่งเกิด จากการกระทำของบุคคลอื่น หากแต่เกิดจากความผิดของผู้ว่าจ้างเองที่จงใจหรือประมาทเลินเล่อ ส่วนความ เสียหายนั้นเกิดจากผู้รับจ้างก่อให้เกิดขึ้น 1. ผิดเพราะการงานที่สั่งให้ทำ กรณีนี้หมายถึงการงานที่ผู้ว่าจ้างให้ทำเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย เป็นการละเมิดสิทธิของคนอื่น ตัวเนื้องานจึง เป็นการละเมิดด้วยตัวของการงานนั้นเอง เช่น การมอบหมายให้ผู้รับจ้างไปขุดดินในบริเวณใกล้กับที่ดินของคนอื่น ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับที่ดินข้างเคียงได้ ถือว่าเรื่องที่สั่งนั้นเป็นการละเมิดด้วยตัวของการงานนั้นเอง เมื่อ ผู้รับจ้างทำตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าจ้าง จึงถือว่าตัวผู้ว่าจ้างเป็นผู้กระทำละเมิดเองต้องรับผิดตามมาตรา 428 ฎีกา 1999/2538 การที่ที่ดินของโจทก์พังทลายลงเกิดจากการกระทำของคนงานของจำเลยร่วม ที่ขุดดินใกล้เขตที่ดินของโจทก์มากเกินไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่ได้ใช้ความระมัดระวังเท่าที่ควร ถือเป็นการ ละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งจำเลยร่วมจะต้องเป็นผู้รับผิด จำเลยผู้ว่าจ้างเป็นผู้กำหนดให้จำเลยร่วมผู้รับจ้างว่าจะขุด บริเวณใดเห็นได้ว่าจำเลยร่วมได้ทำตามคำสั่งของจำเลย แม้จะเป็นการจ้างทำของ จำเลยก็จะต้องร่วม รับผิด ด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 428 ผู้ว่าจ้างเป็นผู้เลือกวิธีการตอกเสาเข็มเพราะเห็นว่าค่าใช้จ่ายน้อยกว่า ทั้งที่รู้ดีว่าการตอกเสาเข็มจะ ทำให้ที่ดินข้างเคียงถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง จึงถือว่าผู้ว่าจ้างเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ จึงต้อง รับผิดตามมาตรา 428
pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 984/2531 จำเลยจ้าง น.ตอกเสาเข็มเพื่อสร้างอาคารชุดโดยจำเลยเลือกจ้างให้ผู้รับจ้างฝัง เสาเข็มโดยวิธีตอกเพราะเห็นว่าเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีเจาะทั้ง ๆ ที่ตระหนักดีว่าการตอกเสาเข็มจะทำให้ ที่ดินข้างเคียงถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง อันเป็นเหตุให้อาคารโจทก์และผู้อื่นในบริเวณใกล้เคียงเสียหาย แต่จำเลยก็ไม่สนใจ ถือได้ว่าจำเลยผู้ว่าจ้างเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำจึงต้องรับผิดในความเสียหาย ดังกล่าวต่อโจทก์ โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เสียหายอย่างไร โดยแยกเป็นรายการและคำนวณค่าซ่อมรวมไว้ ซึ่งสามัญชนทั่ว ๆ ไปพอจะเข้าใจถึงสภาพของความเสียหายและค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับแล้ว ทั้งจำเลยก็มิได้ หลงต่อสู้คดี ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ เป็นเรื่องที่โจทก์จะได้นำสืบในชั้นพิจารณาฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่ขัดต่อ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 เสาเข็มเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีน้ำหนักมากจึงต้องหาพื้นที่ในการวางให้มั่นคง เพื่อป้องกันการทรุดตัว ของพื้นดิน เมื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างเป็นผู้เลือกที่วางเสาเข็มและตอกเสาเข็ม ถือว่าจำเลยต้องรับผิดชอบ ต่อโจทก์ฐานะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 428 ฎีกาที่ 7873/2542 จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงที่ดินโจทก์ ได้ปลูกสร้างอาคารชุดสูง 33 ชั้น จำนวน 4 อาคารเพื่อขายหรือให้เช่า ระหว่างก่อสร้างอาคารดังกล่าว บ้านและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินของโจทก์ เกิดความเสียหาย ดังนี้ จำเลยเป็นเจ้าของโครงการอาคารชุดและได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ให้ดำเนินการก่อสร้างอาคารในโครงการทั้งหมด แม้จำเลยจะทำสัญญาว่าจ้างบริษัทอื่นให้ดำเนินการก่อสร้างใน ส่วนต่าง ๆ แทน แต่จำเลยก็ยังคงเป็นเจ้าของกิจการก่อสร้างในโครงการทั้งหมด และตามสัญญาว่าจ้างดังกล่าว เช่น สัญญาซื้อเสาเข็มคอนกรีตปรากฏตามสัญญาว่า จำเลยจะต้องจัดหาสถานที่สำหรับกองเสาเข็มและจัด ทำทางเพื่อให้รถบรรทุกเสาเข็มเข้าไปส่งยังจุดทำงานได้โดยสะดวก และสัญญาว่าจ้างตอกเสาเข็มปรากฏตาม สัญญาว่า จำเลยต้องรับผิดชอบกรณีที่มีความเสียหายของอาคารข้างเคียง เนื่องจากความสั่นสะเทือนหรือจาก แรงดันของดินจากการตอกเสาเข็ม เช่นนี้ถือว่าจำเลยต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ทั้งสองในฐานะเป็นผู้ผิดในส่วน การงานที่สั่งให้ทำ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 428 ถ้าวิศวกรเป็นลูกจ้างของผู้ว่าจ้าง ก็ต้องถือว่าวิศวกรนั้นเป็นตัวแทนของผู้ว่าจ้าง จึงถือว่าผู้ว่าจ้างเป็น ผู้สั่งให้ตอกเสาเข็ม ถ้าผู้ว่าจ้างเห็นแล้วว่าการกระทำของตัวแทนของตนอาจก่อให้เกิดความเสียหายแล้วยังไม่ สั่งให้หยุดกระทำ ก็จะถือว่าผู้ว่าจ้างนั้นเป็นผู้มีส่วนผิดในส่วนการงานที่ตนได้สั่งให้ทำ ต้องรับผิดตาม มาตรา 428 ฎีกาที่ 1942/2543 แม้จำเลยที่ 1 อยู่ในฐานะเป็นผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 6 และที่ 7 ตอกเสาเข็มในการ ก่อสร้างภัตตาคาร แต่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 มิได้ปล่อยให้จำเลยที่ 6 และที่ 7 ตอกเสาเข็มไปตาม แบบแปลน โดยลำพัง จำเลยที่ 1 ให้ ก. เป็นวิศวกรผู้ควบคุมดูแลการตอกเสาเข็มทั้งหมด ก. จึงอยู่ในฐานะตัวแทนของ จำเลยที่ 1 เมื่อ ก. เห็นแล้วว่าการตอกเสาเข็มของจำเลยที่ 6 และที่ 7 ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์แต่มิได้ สั่งห้ามหรือให้เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานเพื่อมิให้โจทก์ต้องเสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ผิดในส่วนการ งานที่สั่งให้ทำด้วย ผู้ว่าจ้างได้จ้างบริษัทรับเหมาเข้ามาทำการก่อสร้างตามแบบแปลน หากผู้รับจ้างทำงานแล้วเกิด ความเสียหายแก่บุคคลภายนอก ถือว่าผู้ว่าจ้างผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำต้องรับผิดตามมาตรา 428 ฎีกาที่ 551/2540 จำเลยที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยที่ 4 จ้างจำเลยที่ 1 ต่อเติมอาคารทำให้อาคาร โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำเพราะเป็นการต่อเติม
pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง อาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากทางราชการประกอบกับไม่ปรากฏแน่ชัดว่าความเสียหายของโจทก์เกิดขึ้นเพราะ การกระทำของจำเลยคนใด จำเลยทั้งสี่จึงต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา 428 และมาตรา 432 วรรคหนึ่ง ข้อสังเกต ฎีกานี้ก่อนเริ่มก่อสร้างก็เป็นการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นการกระทำละเมิดในตัว อยู่แล้ว และเมื่อผู้ว่าจ้างได้ให้บริษัทเข้ามาทำการก่อสร้างอาคารต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ถือว่ามีส่วนผิด ในการที่ไปสั่งให้ผู้รับจ้างก็ทำการงานจึงเป็นการละเมิด ผู้ว่าจ้างจะต้องรับผิดตามตามมาตรา 428 ฎีกาที่ 2335/2551 บันทึกข้อตกลงข้อ 1. มีข้อความระบุว่า ความเสียหายจากการก่อสร้างอาคาร ที่มี ผลทำให้อาคารทาวน์เฮาส์เสียหายจะดำเนินการสำรวจโดยสถาบันซึ่งทั้งสองฝ่ายยอมรับภายในเดือนตุลาคม 2537 ไม่มีการตกลงว่าจะต้องชดใช้เงินจำนวนเท่าใด คู่กรณีตกลงจะชำระเมื่อใด และที่ไหน อย่างไรทั้งตามข้อตกลง ดังกล่าวจำเลยที่ 1 ก็ยังคงต้องรับผิดในมูลหนี้ละเมิดตามเดิม จึงไม่เป็นการตกลงระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์และ จำเลยที่ 1 อันจะทำให้บันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ความรับผิดของจำเลยที่ 1 ใน มูลหนี้ละเมิดยังคงมีอยู่ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ได้ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 428 ได้ ตามสัญญาจ้างเหมาจำเลยที่ 1 ต้องทำการก่อสร้างตามแบบแปลนและคำสั่ง ของจำเลยที่ 3 เมื่อจำเลยที่ 3 ผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำจึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างรับผิดในความเสียหายของโจทก์ที่ 1 ที่เกิดขึ้นจากการทำการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ในที่ชุมนุมชน ซึ่งมีอาคารบ้านเรือนตลอดจนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ตั้งอยู่ใกล้ชิดติดกันมาก่อนแล้ว ข้อสังเกต ผู้ว่าจ้างได้จ้างบริษัทรับเหมาเข้ามาทำการก่อสร้าง โดยบริษัทที่ว่าจ้างได้จ้างบริษัทวิศวกร เข้ามาควบคุมการก่อสร้างอาคารอีกทอดหนึ่ง ซึ่งผู้ว่าจ้างไม่ได้เป็นผู้สั่งให้มีการจ้างบริษัทวิศวกรเข้ามาควบคุม งานอีกที แต่ปล่อยให้เป็นการดำเนินการของบริษัทแรกที่ตนเองจ้างมา โดยบริษัทวิศวกรที่จ้างมาในครั้งหลังนี้ เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างทั้งหมดโดยเฉพาะในการตอกเสาเข็ม จึงถือว่าผู้ว่าจ้างไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ใน การสั่งการให้ตอกเสาเข็ม ผู้ว่าจ้างจึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 428 ฎีกาที่ 162/2544 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 428 บัญญัติว่า "ผู้ว่าจ้างทำของ ไม่ ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้าง เว้นแต่ ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำหรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง" โจทก์จึงมี หน้าที่จะต้องนำสืบให้ได้ความว่าจำเลยเป็นผู้ผิดตามมาตรา 428 ดังกล่าว แต่ข้อเท็จจริงตามทางนำสืบ ของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ผิดในส่วนสั่งให้ทำหรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้แก่ผู้รับจ้างอย่างไร และในการเลือก ผู้รับจ้างคือบริษัท ฟ. ซึ่งเป็นผู้ตอกเสาเข็มและก่อสร้างฐานรากก็ปรากฏว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ เป็นพิเศษในการก่อสร้างอาคารสูง การที่จำเลยว่าจ้างบริษัท ป. เป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบ ย่อมหมายความว่าจำเลยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือสั่งการในการทำงานแต่อย่างใด เพราะเป็นหน้าที่ของบริษัท ทั้งสอง เมื่อความเสียหายเกิดขึ้น โจทก์จะต้องไปเรียกร้องค่าเสียหายเอาจากผู้ก่อสร้างคือบริษัท ฟ. ซึ่งเป็นผู้ทำละเมิด จำเลยไม่ได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันทำให้จำเลยต้องรับผิดตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 428 ข้อพิจารณา ตามข้อเท็จจริงในฎีกานี้ปรากฏว่าบริษัทที่เป็นผู้ควบคุมงานนั้นไม่ใช่ตัวแทนของ ผู้ว่าจ้าง ทั้งบริษัทที่เป็นผู้ตอกเสาเข็มก็เป็นบริษัทที่ผู้ควบคุมงานจ้างมาอีกที ไม่ได้เป็นลูกจ้างของผู้ว่าจ้างแต่
pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง อย่างใด จึงถือไม่ได้ว่าผู้ว่าจ้างได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการงานที่สั่งให้ตอกเสาเข็มนั้น ผู้ว่าจ้างจึงไม่ต้องรับผิด ตามมาตรา 428 สรุปได้ว่า ถ้าผู้ว่าจ้างมีส่วนรับรู้ในการทำงานของผู้รับจ้าง และผู้ว่าจ้างรับรู้ในเรื่องเนื้องาน ของผู้รับจ้างทำของ และรู้ด้วยว่าการทำงานของผู้รับจ้างนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น หากผู้ว่าจ้าง รับรู้แล้วผู้ว่าจ้างย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปแก้ไข หากไม่เข้าไปแก้ไขย่อมถือว่าผู้ว่าจ้างยอมเข้าเสี่ยงภัยเอง และยอมรับความเสียหายที่จะเกิดแก่บุคคลภายนอก จึงถือว่าผู้ว่าจ้างมีส่วนผิดในการที่ปล่อยให้ผู้รับเหมา ทำงานไป กรณีที่ 2 ผิดเพราะคำสั่งหรือคำบงการของผู้ว่าจ้าง กรณีนี้หมายถึงการงานที่สั่งให้ทำไม่เป็นละเมิดในตัวเอง แต่วิธีการที่สั่งทำให้เกิดความเสียหาย การสั่ง ในที่นี้อาจจะเป็นเพียงคำสั่งในเชิงแนะนำ เพราะผู้ว่าจ้างไม่มีอำนาจสั่งในลักษณะบังคับบัญชา จึงไม่ถึงขั้นเป็นคำสั่ง ในกรณีจ้างแรงงาน หรือคำสั่งในสัญญาตัวแทน ถ้าเมื่อใดที่เป็นคำสั่งที่ผู้รับจ้างจะต้องทำก็จะเข้ากรณีที่ผู้ว่าจ้าง ต้องรับผิดชอบในคำสั่งนั้น (กล่าวคือ แม้การสั่งการนั้นจะเพียงเป็นคำแนะนำ หากผู้รับจ้างทำตามและก่อให้เกิด ความเสียหาย ผู้ว่าจ้างก็ต้องรับผิดตามมาตรา 428 แล้ว) และข้อสำคัญคือ หากผู้ว่าจ้างรับรู้ว่าการทำงานของ ผู้รับจ้างนั้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ผู้ว่าจ้างย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปแก้ไข หากไม่เข้าไปแก้ไข ย่อมถือว่าผู้ว่าจ้างยอมเข้าเสี่ยงภัยเอง จึงถือว่าผู้ว่าจ้างมีส่วนผิดในการที่ปล่อยให้ผู้รับเหมาทำงานไป ฎีกาที่ 8906/2560 พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างที่รับทราบการดำเนินการก่อสร้าง ตลอดจนการเจรจาและการแก้ปัญหาความเสียหายของบ้านโจทก์ทั้งสองจากการกระทำของจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็น ผู้รับจ้างที่ทำละเมิด เป็นเหตุให้บ้านของโจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 6 กระทำไปตามคำสั่ง หรือคำบงการของจำเลยที่ 1 ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบ้านของจำเลยทั้งสองจึงเกิดจากการกระทำตามคำสั่งของ จำเลยที่ 1 โดยตรง จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองตามมาตรา 428 ฎีกาที่ 1882/2542 กำแพงรั้วของโจทก์เกิดความเสียหายจากการตอกเสาเข็มของผู้รับจ้างก่อสร้าง จากจำเลย โดยจำเลยได้คอยควบคุม ดูแลอยู่ตลอดเวลา ถือว่าการตอกเสาเข็มเป็นไปตามคำสั่งของจำเลยโดยตรง แต่โจทก์บรรยายฟ้องคดีนี้ว่า ในระหว่าง การก่อสร้างบ้านจำเลยได้มีการใช้ปั้นจั่นตอกเสาเข็ม ปรากฏว่า แรงสั่นสะเทือนจากการตอกเสาเข็ม โจทก์เกรงว่าอาจทำให้กำแพงรั้วคอนกรีตและตัวบ้านเสียหาย โจทก์ได้สั่งให้ จำเลยแก้ไขแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยและยังใช้ปั้นจั่นตอกเสาเข็มต่อไปจนเสร็จ โดยไม่ได้แก้ไขเรื่องแรงสั่นสะเทือน หรือเปลี่ยนแปลงเครื่องตอกเสาเข็ม อีกทั้งมิได้หาทางป้องกัน มิให้เกิดความเสียหายแก่บ้านโจทก์ และด้วยความ ประมาทเลินเล่อของจำเลยทำให้กำแพงรั้วคอนกรีตคานและหลังคา ค.ส.ล. บนกำแพงรั้วคอนกรีตของบ้านโจทก์ รวมทั้งอุปกรณ์ตกแต่งอื่น ๆ ที่ติดอยู่ภายในกำแพงรั้วคอนกรีตได้รับความเสียหาย อันเป็นการบรรยายฟ้องให้จำเลย รับผิดจากการกระทำของจำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 มิใช่ให้จำเลยรับผิด ตาม มาตรา 428 เพราะตามคำฟ้องไม่ได้บรรยายว่าจำเลยว่าจ้างใคร และมีส่วนผิดในการงานที่สั่งให้ทำอย่างไร แม้ ความรับผิดตามมาตรา 420 อาจซ้อนกับมาตรา 428 ได้ แต่คำฟ้องโจทก์ก็จะต้องแสดงให้แจ้งชัดสภาพ แห่ง ข้อหาและคำขอคำบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรับผิดตามมาตรา 428 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 390/2550 จำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างเป็นผู้กำหนดวิธีการให้ผู้รับจ้างตัดต้นไม้และให้คนควบคุมดูแล การตัดต้นไม้ตลอดเวลา แต่ในวันที่มีการตัดต้นไม้และทำให้ไม้ล้มพาดสายไฟฟ้าแรงสูงในที่ดินของโจทก์ขาด ก่อให้เกิดความเสียหายกลับไม่มีผู้ใดควบคุม การที่ผู้รับจ้างไม่มีความรู้ความชำนาญในการตัดต้นไม้ที่จะก่อให้เกิด ความเสียหายแก่สิ่งก่อสร้างข้างเคียงหรือไม่ยอมทำตามวิธีการที่ถูกต้อง ถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่ง ให้ทำ หรือในคำสั่งที่ให้ไว้ หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา 428 กรณีที่ 3 ผิดเพราะการเลือกผู้รับจ้าง ในการที่ว่าจ้างใครมาทำงาน โดยหลักผู้ว่าจ้างอยู่ในวิสัยที่จะต้องคัดเลือกผู้รับจ้างที่มีความรู้ ความชำนาญหรือสามารถจะทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี หากผู้ว่าจ้างเลือกคนที่ไม่มีความสามารถ เข้ามาทำการงานจนก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอก ผู้ว่าจ้างก็ต้องรับผิดตามมาตรา 428 เพราะเลือกผู้รับจ้างมาทำการงานไม่เหมาะสมกับการงานที่ให้ทำ ฎีกาที่ 2835/2552 จำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้าง ท. ให้รับเหมาก่อสร้างบ้านโดยจำเลยที่ 2 เป็นคนมา ติดต่อรับเงินค่าจ้างจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีสิทธิที่จะบอกกล่าวให้ ท. ทำงานตรงไหนก็ได้ตามที่ ต้องการ จำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งให้ ท. เปลี่ยนแปลงขนาดเสาเข็มที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ราคาแพงกล่าวเดิม และเป็น คนเอาเงินให้ ท. ไปซื้อ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชอบในการ กระทำของตัวแทน ดังนั้น แม้ ท. จะเป็นผู้ดำเนินการตอกเสาเข็มแต่จำเลยที่ 1 ก็มีส่วนผิดในส่วนการงานที่สั่ง ให้ทำ และการที่ ท. ไม่ได้เรียนวิชาช่างมาโดยตรง เพิ่งรับเหมางานก่อสร้างให้จำเลยที่ 1 เป็นงานแรก ก็เกิด เหตุทำให้บ้านของโจทก์ทั้งสองเกิดรอยร้าวเสียหายแสดงว่า ท. เป็นผู้ขาดความรู้ความสามารถ การที่จำเลยที่ 1 ว่าจ้างให้ ท. เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างถือว่าเป็นความผิดของจำเลยที่ 1 ในการเลือกหาผู้รับจ้างมาก่อสร้างด้วย ทั้งเมื่อจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นคดีอาญา จำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อ โจทก์ทั้งสอง และแม้โจทก์ทั้งสองจะมิได้ฟ้อง ท. ก็ไม่เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 พ้นความรับผิด ความรับผิดในการกระทำละเมิดของผู้ไร้ความสามารถหรือคนวิกลจริต กรณีบิดามารดาผู้อนุบาล ตามมาตรา 429 และมาตรา 430 มาตรา 429 บัญญัติว่า “บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้อง รับผิดในผลที่ตนทำละเมิด บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย เว้นแต่ จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น” มาตรา 429 เป็นการกำหนดว่าแม้การกระทำละเมิดจะเกิดจากผู้เยาว์หรือคนวิกลจริตก็ตาม แต่บุคคล เหล่านั้นก็ยังคงต้องรับผลแห่งการละเมิดที่ตนได้กระทำ รวมทั้งยังกำหนดต่อไปว่า บิดามารดาหรือผู้อนุบาล ของบุคคลดังกล่าวต้องร่วมรับผิดด้วย เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นว่าบุคคลเหล่านั้นได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแล ผู้เยาว์หรือคนวิกลจริตแล้ว ดังนั้น มาตรา 429 จึงเป็นการยืนยันหลักว่า ผู้ไร้ความสามารถไม่ว่าจะเป็นผู้เยาว์ หรือคนวิกลจริตย่อมทำละเมิดได้และต้องรับผิดในการทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 ของตน เพราะละเมิดเป็นนิติเหตุไม่ใช่นิติกรรม ความสามารถของผู้ทำละเมิดไม่เป็นข้อสำคัญ ผู้ไร้ ความสามารถในมาตรานี้รวมทั้งผู้เยาว์ บุคคลวิกลจริต จึงไม่มุ่งหมายแต่เฉพาะคนไร้ความสามารถตามคำสั่ง ศาลเท่านั้น
pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง แต่ถ้าผู้เยาว์เป็นเด็กไร้เดียงสาไม่รู้สำนึกในการกระทำของตัวเองหรือคนวิกลจริตที่ถึงกับไม่รู้สภาพ การกระทำของตัวเอง ถือว่าไม่มีการกระทำย่อมไม่เป็นละเมิดตามมาตรา 420 แต่ถ้าเหตุที่เด็กไร้เดียงก่อให้เกิด ความเสียหายเกิดจากการงดเว้นของผู้ดูแล ก็จะถือว่าผู้ดูแลเป็นผู้กระทำละเมิดเองตามมาตรา 420 เช่น เด็ก วัยหัดเดินเอื้อมมือไปคว้าสร้อยเพชรแล้วทำให้เพชรตกหายไป อันเป็นการทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย เพราะ พ่อแม่ไม่ดูแลเด็กให้ดีถือว่าพ่อแม่กระทำละเมิดเองเพราะงดเว้นไม่ดูแลเด็กให้ดี กรณีผู้ที่ต้องร่วมรับผิดเพื่อการละเมิดของผู้เยาว์คือ บิดามารดาซึ่งเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วย กฎหมาย ถ้าบิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน บุตรเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของมารดา แต่ไม่ใช่บุตร ชอบด้วยกฎหมายของบิดา ดังนั้น บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรานี้ แต่ต้องไปพิจารณา ตามมาตรา 430 และบิดามารดาในที่นี้ย่อมหมายถึงผู้รับบุตรบุญธรรมที่ต้องรับผิดตามมาตรานี้ด้วย และบิดา มารดาที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีหน้าที่ดูแลผู้เยาว์คือต้องมีอำนาจปกครองตาม มาตรา 1566 ด้วย ไม่ใช่เพียงมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูตามมาตรา 1564 เท่านั้น ส่วนผู้ที่ต้องร่วมรับผิดเพื่อการละเมิดของผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถ ก็คือ ผู้อนุบาล หากไม่มีผู้ อนุบาลที่ศาลตั้ง ผู้รับดูแลก็จะเป็นผู้ที่ต้องร่วมรับผิดตามมาตรา 430 มาตรา 430 บัญญัติว่า “ครูบาอาจารย์ นายจ้าง หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่ เป็นนิตย์ก็ดี ชั่วคราวก็ดี จำต้องรับผิด ร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่าง ที่อยู่ในความดูแลของตน ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้น ๆ มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร” ฎีกาที่ 9084/2539 จำเลยที่ 2 เป็นบิดาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ การที่จำเลยที่ 1 ไปกระทำละเมิดต่อผู้อื่นจะนำ ป.พ.พ.มาตรา 429 มาปรับใช้บังคับในส่วนที่เกี่ยวกับการที่ จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ไม่ได้ แต่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ปกครองดูแลจำเลยที่ 1 ต้องนำ ป.พ.พ. มาตรา 430 มาปรับใช้บังคับ ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ศาลจึงนำ ป.พ.พ.มาตรา 430 มาใช้บังคับให้จำเลย ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ได้โดยชอบ จากพยานหลักฐานในคดีนี้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในสำนวนว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้นำกุญแจรถยนต์จี๊ปไป เก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินในร้านขายของของจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 2 และที่ 3 เคยยอมโดยปริยายให้ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ไปที่ไร่ที่กิ่งอำเภอวังจันทร์ โดยไม่เคยว่ากล่าวตักเตือนจำเลยที่ 1 การที่ศาลอุทธรณ์ รับฟังข้อเท็จจริงมาดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ แม้คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งคู่ความต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่ศาลฎีกาเห็นสมควร วินิจฉัยข้อเท็จจริงในส่วนนี้ใหม่ตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 243 (3)(ก), 247 จำเลยที่ 2 เป็นผู้บอกจำเลยที่ 3 ให้นำกุญแจรถยนต์จี๊ปไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินในร้านขายของ ของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 ขับรถไม่ค่อยเป็นไม่สามารถขับรถยนต์ออกถนนใหญ่ได้ ซึ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ทราบดีและยังทราบว่าจำเลยที่ 1 เคยขับรถยนต์ไปที่ไร่ที่กิ่งอำเภอวังจันทร์ด้วย ตามพฤติการณ์ดังกล่าว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ควรจะเก็บกุญแจรถยนต์จี๊ปไว้ในที่ซึ่งจำเลยที่ 1 ไม่สามารถนำออกไปใช้ได้ การที่จำเลย ที่ 2 ให้จำเลยที่ 3 นำกุญแจรถยนต์จี๊ปไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเก็บเงินในร้านขายของของจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่ได้ใส่ กุญแจในขณะที่จำเลยที่ 3 ขายของ จนเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 แอบหยิบเอากุญแจไปใช้ขับรถยนต์จี๊ป โดยประมาทชนรถยนต์เก๋งที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดา
pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลจำเลยที่ 1 บุตรผู้เยาว์ตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการทำละเมิดต่อโจทก์ บิดาหย่าขาดจากมารดาโดยให้อำนาจปกครองบุตรอยู่ที่มารดาแต่เพียงฝ่ายเดียว จึงถือไม่ได้ว่าบิดา เป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจดูแลบุตรผู้เยาว์ บิดาจึงไม่ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของบุตรผู้เยาว์ ตามมาตรา 429 (แต่ถ้าบิดามีส่วนในการดูแลลูกชั่วครั้งชั่วคราว และการกระทำละเมิดเกิดขึ้นในระหว่างที่อยู่ ในความดูแลของบิดา บิดาก็อาจจะต้องรับผิดตามความเป็นจริงตามมาตรา 430 ได้) ฎีกาที่ 10239/2546 ขณะเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยที่ 2 จดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 แล้ว โดยมี ข้อตกลงกันว่าให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์อยู่ในอำนาจปกครองของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 2 จึงไม่มีอำนาจปกครองเพื่อจัดการดูแลบุตรผู้เยาว์ตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป การที่จำเลยที่ 3 ไปกระทำ ละเมิดต่อผู้อื่น จะนำป.พ.พ. มาตรา 429 มาปรับใช้บังคับในส่วนที่เกี่ยวกับการที่จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิด ด้วยหรือไม่ ไม่ได้ ข้อสังเกต ความแตกต่างเรื่องภาระการพิสูจน์ของมาตรา 429 และมาตรา 430 มาตรา 429 เป็นความรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถ โดยเหตุที่ไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง ในการควบคุมดูแลผู้ที่อยู่ในปกครองของตน ซึ่งตามมาตรานี้ กฎหมายสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบิดามารดาหรือ ผู้อนุบาลบกพร่องต่อหน้าที่ ดูแลไม่ดีจึงเกิดความเสียหายขึ้น แต่เป็นข้อสันนิษฐานไม่เด็ดขาด กฎหมาย เปิดโอกาสให้นำสืบหักล้างได้ จึงเป็นหน้าที่ของบิดามารดาหรือผู้อนุบาลที่จะต้องพิสูจน์หักล้าง หากไม่พิสูจน์ หรือพิสูจน์ไม่ได้ก็จะต้องรับผิด มาตรา 430 กับมาตรา 429 มีข้อแตกต่างกันอยู่ว่า มาตรา 429 ภาระการพิสูจน์ที่จะปฏิเสธ ความรับผิดตกอยู่แก่ผู้ปกครองหรือพ่อแม่หรือผู้อนุบาล ส่วนมาตรา 430 นั้น ภาระการพิสูจน์ว่าผู้ปกครอง ผู้ดูแลไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรตามหน้าที่ตกอยู่แก่ผู้เสียหาย ถ้าข้อสอบออกมาตรา 430 และมาตรา 429 ขอให้นักศึกษาตอบเรื่องภาระการพิสูจน์ไปด้วย ข้อพิจารณา 1. แม้เด็กหรือผู้เยาว์นั้นไม่ได้อยู่กับบิดามารดาแต่ฝากคนอื่นดูแล แต่ก็ไม่ใช่ข้อปฏิเสธความรับผิด ของบิดามารดา เพราะบิดามารดายังคงมีหน้าที่ตามกฎหมายในการให้การอุปการะเลี้ยงดูบุตรและมีหน้าที่ ตามกฎหมายที่จะต้องปกครองดูแลบุตรของตนอยู่ตามมาตรา 1566 ฎีกาที่ 9774/2544 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 ผู้เยาว์ นำสืบข้อเท็จจริง ได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ที่บ้านไปโรงเรียน รถจักรยานยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับเป็นของเพื่อนจำเลยที่ 1 และขณะเกิดเหตุอยู่ในช่วงเวลาไปเรียนหนังสือ ที่โรงเรียนของจำเลยที่ 1 เท่านั้น มิได้พิสูจน์ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 เพราะการใช้อำนาจปกครองของบิดามารดารวมถึง การที่จะต้องคอยอบรมสั่งสอนดูแลตลอดจนควบคุมบุตรผู้เยาว์ มิให้ออกไปประพฤติตนเสียหายแก่บุคคล หรือทรัพย์สินของผู้อื่นด้วย การที่บุตรผู้เยาว์ทำละเมิดในระหว่างที่ไปเรียนหนังสือ ย่อมมิใช่ข้อที่บิดามารดา จะยกขึ้นปฏิเสธความรับผิดได้ จำเลยที่ 1 ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์และที่บ้านของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีรถจักรยานยนต์ ปกติจำเลยที่ 1 จะขับออกไปหาซื้อของนอกบ้านแสดงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 สามารถ
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ขับรถจักรยานยนต์ได้และเคยขับรถจักรยานยนต์ออกนอกบ้าน แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ใช้ความ ระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลบุตรผู้เยาว์ โดยปล่อยปละละเลยให้บุตรผู้เยาว์ของตนขับรถจักรยานยนต์ ออกนอกบ้านทั้งที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ซึ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ควรรู้ว่าการขับรถจักรยานยนต์โดยผู้เยาว์ที่ยัง ไม่ผ่านการสอบใบอนุญาตขับขี่นั้น ย่อมเสี่ยงต่ออุบัติเหตุหรือเกิดอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ได้โดยง่าย การที่จำเลยที่ 1 สามารถไปขับรถจักรยานยนต์ของผู้อื่นในวันเกิดเหตุจึงมีส่วนมาจากการปล่อย ปละละเลยไม่ดูแลหรือห้ามปรามจำเลยที่ 1 ตามหน้าที่ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มาแต่ต้น เมื่อจำเลยที่ 1 ไปขับรถจักรยานยนต์ชนรถของผู้อื่นเสียหายเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องรับผิดร่วมในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย ฎีกาที่ 5752/2534 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ออกไปเที่ยวใช้หนังสติ๊กยิงด้วยกระสุนในทางเดินสาธารณะ ในเวลากลางคืนจนเกิดเหตุคดีนี้ ทั้งปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มักออกเที่ยวกลางคืนด้วยกันบ่อย ๆ การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แสดงว่า บิดามารดามิได้ดูแลอบรมสั่งสอนตามสมควรแก่หน้าที่ ระหว่างนั้นแม้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 จะไปอยู่บ้านญาติช่วยเลี้ยงกระบือหรือช่วยทำนา แต่การที่ผู้เยาว์ทำละเมิด ในขณะที่มิได้พักอาศัยอยู่กับบิดามารดา ย่อมมิใช่ข้อที่บิดามารดาจะยกขึ้นปฏิเสธความรับผิดได้ จำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 7 ถึงที่ 10นำสืบเพียงว่าได้สั่งสอนให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้เป็นคนดี มิได้พิสูจน์ว่าตนได้ใช้ ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 ข้อสังเกต แต่ถ้าเป็นกรณีที่บิดามารดาให้ลูกไปเรียนหนังสือที่ต่างจังหวัดแล้วฝากตากับยายดูแล หากลูกไปกระทำละเมิดขึ้น และบิดามารดาสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นแล้ว บิดามารดาก็ไม่ต้องร่วมรับผิด 2. การอบรมสั่งสอนนั้น ลำพังว่ากล่าวตักเตือนอย่างเดียวไม่พอ ฎีกาที่ 974/2508 มารดาต้องรับผิดฐานละเมิดร่วมกับผู้เยาว์ด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแล มารดาเห็นบุตรถือปืน จึงว่ากล่าวตักเตือนบุตรไม่เชื่อฟังกลับเอาปืนไปซ่อนเสีย พอลับหลังมารดา ก็เอาปืนมาเล่นอีก ถือว่า การว่ากล่าวตักเตือนของมารดาเพียงเท่านี้ หาเพียงพอกับการที่จะต้องใช้ ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลของตนในฐานะเป็นมารดาไม่ มารดาจึงต้องร่วมรับผิดในการที่บุตร ประมาทเลินเล่อเอาปืนยิงผู้อื่นตาย 3. การปล่อยให้ผู้เยาว์ขับขี่รถถือว่าไม่ใช้ความระมัดระวัง ฎีกาที่ 1557/2523 จำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์อายุ 15 ปี นำรถยนต์ในบ้านออกมาขับขี่ไปไหนมาไหน ได้โดยจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาไม่ได้ควบคุมดูแลจำเลยที่ 1 ให้ดีจำเลยที่ 1 จะขับรถยนต์ดังกล่าว สักกี่ครั้งก็ไม่ได้สังเกต เช่นนี้ถือว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถชน รถของโจทก์เสียหายอันเป็นการกระทำละเมิดแก่โจทก์จำเลยที่ 2 ที่ 3 ย่อมต้องรับผิดด้วยตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 ฎีกาที่ 9774/2544 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 ผู้เยาว์ นำสืบข้อเท็จจริง ได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ที่บ้านไปโรงเรียน รถจักรยานยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับเป็นของเพื่อนจำเลยที่ 1 และขณะเกิดเหตุอยู่ในช่วงเวลาไปเรียนหนังสือ
pg. 9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ที่โรงเรียนของจำเลยที่ 1 เท่านั้น มิได้พิสูจน์ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 เพราะการใช้อำนาจปกครองของบิดามารดารวมถึง การที่จะต้องคอยอบรมสั่งสอนดูแลตลอดจนควบคุมบุตรผู้เยาว์มิให้ออกไปประพฤติตนเสียหายแก่บุคคล หรือทรัพย์สินของผู้อื่นด้วย การที่บุตรผู้เยาว์ทำละเมิดในระหว่างที่ไปเรียนหนังสือ ย่อมมิใช่ข้อที่บิดามารดา จะยกขึ้นปฏิเสธความรับผิดได้ จำเลยที่ 1 ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์และที่บ้านของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีรถจักรยานยนต์ ปกติจำเลยที่ 1 จะขับออกไปหาซื้อของนอกบ้านแสดงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 สามารถ ขับรถจักรยานยนต์ได้และเคยขับรถจักรยานยนต์ออกนอกบ้าน แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ใช้ ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลบุตรผู้เยาว์ โดยปล่อยปละละเลยให้บุตรผู้เยาว์ของตนขับ รถจักรยานยนต์ออกนอกบ้านทั้งที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ซึ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ควรรู้ว่าการขับรถจักรยานยนต์ โดยผู้เยาว์ที่ยังไม่ผ่านการสอบใบอนุญาตขับขี่นั้น ย่อมเสี่ยงต่ออุบัติเหตุหรือเกิดอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน ของผู้อื่นได้โดยง่าย การที่จำเลยที่ 1 สามารถไปขับรถจักรยานยนต์ของผู้อื่นในวันเกิดเหตุจึงมีส่วนมาจากการ ปล่อยปละละเลยไม่ดูแลหรือห้ามปรามจำเลยที่ 1 ตามหน้าที่ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มาแต่ต้น เมื่อจำเลยที่ 1 ไปขับรถจักรยานยนต์ชนรถของผู้อื่นเสียหายเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย อันเป็นการ ละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องรับผิดร่วมในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย แต่กรณีที่ผู้เยาว์หาเลี้ยงชีพเองโดยใช้รถจักรยานยนต์ไปทำงาน ถือว่าผู้เยาว์มีวุฒิภาวะพอสมควรที่บิดา มารดาจะไว้วางใจให้ผู้เยาว์ดำรงชีวิตในสังคมโดยที่จะไม่ก่อความเดือดร้อนแก่บุคคลอื่น ถือว่าบิดามารดาได้ใช้ ความระมัดระวังดูแลผู้เยาว์ตามสมควรแก่การดูแลแล้วจึงเข้าข้อยกเว้นไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 429 ฎีกาที่ 8138/2555 ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มีอายุ 19 ปีเศษ ใกล้บรรลุนิติภาวะ แม้จะยังเป็น ผู้เยาว์และต้องอยู่ในความปกครองดูแลของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาตามกฎหมายก็ตาม แต่ จำเลยที่ 1 ก็ทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองไม่เป็นภาระแก่บิดามารดา การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 อนุญาตให้ จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ก็เนื่องมาจากต้องใช้เป็นพาหนะในการเดินทางไปทำงาน ทั้งจำเลยที่ 1 ได้รับ ใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีวุฒิภาวะพอสมควรที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะ ไว้วางใจจำเลยที่ 1 ในการดำรงชีวิตในสังคมที่จะไม่ก่อความเดือดร้อนเสียหายแก่ผู้อื่น นอกจากนี้ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 เคยขับรถจักรยานยนต์ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น หรือเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน อยู่เสมอ อันจะทำให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ควรต้องทักท้วงหรือห้ามปรามมิให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์อีกจนกว่าจะ บรรลุนิติภาวะ เช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ใช้ความระมัดระวังดูแลจำเลยที่ 1 ตามสมควรแก่หน้าที่ ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นแล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ กรณีสุดวิสัยที่จะใช้ความระมัดระวังได้ โดยหลักแล้วถ้าบุตรผู้เยาว์ยังไม่บรรลุนิติภาวะ บิดามารดาก็มีหน้าที่ในการใช้ความระมัดระวังดูแล บุตรผู้เยาว์ของตน เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นว่าตนเองได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลบุตรแล้วจึงไม่ต้องร่วมรับ ผิดกับบุตรผู้เยาว์ด้วย (และต้องตอบด้วยว่าผู้ที่มีภาระการพิสูจน์ว่าเข้าข้อยกเว้นก็คือบิดามารดา) 1. การเปลี่ยนตัวคนขับโดยสุดวิสัยที่บิดามารดาจะรู้เห็น เช่น บุตรเอารถไปเที่ยวสถานบันเทิง ปรากฏว่าเพื่อนของตนมาขับรถแทน กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการสุดวิสัยที่บิดามารดาจะรู้เห็นได้ จึงถือว่าบิดา มารดาได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่การดูแลบุตรผู้เยาว์ของตนแล้ว
pg. 10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 2118/2540 จำเลยร่วมบุตรโจทก์นำรถยนต์ของโจทก์พาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวสถานบันเทิง โดยจำเลยร่วมให้ ฉ. เป็นผู้ขับไปยังสถานบันเทิง ครั้นเลิกจากเที่ยวเมื่อเวลา 3 นาฬิกาของวันใหม่เปลี่ยนให้ จำเลยที่ 1 ขับกลับจากสถานบันเทิงแล้วเกิดเหตุการที่จำเลยที่ 1 ออกจากบ้านไปเที่ยวและที่จำเลยร่วมยอมให้ จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ของโจทก์พาจำเลยร่วมกับเพื่อน ๆ กลับจากเที่ยวสถานบันเทิงไม่มีพฤติการณ์ใดที่ส่อให้ เห็นว่าจำเลยที่ 1 จะต้องไปทำหน้าที่ขับรถยนต์ของโจทก์แทน ฉ. การที่จำเลยที่ 1 อาสาขับรถยนต์โจทก์ ตอนขากลับต้องถือว่าเป็นการสุดวิสัยของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาจะรู้เห็นได้ ถือว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่ในขณะนั้นแล้ว เพราะไม่ได้ความว่าจำเลย ที่ 2 และที่ 3 ได้ใช้ให้ไปกระทำหรือรู้แล้วยังยอมให้กระทำ ดังนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิด ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 แต่หลังเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ในฐานะบิดาผู้แทนโดยชอบธรรมของจำเลยที่ 1 ได้ตกลงต่อหน้าพนักงานสอบสวนยินยอมชดใช้ ค่าเสียหายในการละเมิดของจำเลยที่ 1 ข้อตกลงดังกล่าวจึงผูกพันจำเลยที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 3 มิได้ตกลงยินยอม ชดใช้ค่าเสียหายแต่อย่างใด จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 3 จำเลยร่วมรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์และมีอาการเม าสุรา การที่จำเลยร่วมนำรรรถยนต์ของโจทก์ซึ่งเป็นมารดาออกไปให้จำเลยที่ 1 ขับไปเที่ยวเช่นนี้ ตามพฤติการณ์ ต้องเล็งเห็นว่าจะต้องเกิดอุบัติภัยอย่างแน่แท้ จึงถือได้ว่าจำเลยร่วมมีส่วนก่อให้เกิดเหตุละเมิดในคดีนี้ด้วย จำเลยร่วมจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิดนั้น 2. บุตรผู้เยาว์ให้บุคคลอื่นยืมรถเองโดยไม่บอกบิดามารดา เมื่อบุตรผู้เยาว์ให้บุคคลอื่นยืมรถเอง โดยไม่บอกบิดามารดา บิดามารดาจึงไม่อาจรู้เห็นด้วย ฉะนั้นจึงเป็นการสุดวิสัยที่บิดามารดาจะใช้ ความระมัดระวังดูแลบุตรผู้เยาว์ได้บิดามารดาจึงไม่ต้องร่วมรับผิด ฎีกาที่ 2732/2528 การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขอยืมรถยนต์ของ โจทก์ไปใช้และเกิดความเสียหายโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดามิได้รู้เห็นด้วยและโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ยืมโดยมิได้บอกกล่าวจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีโอกาสทักท้วงโจทก์และห้ามปราม จำเลยที่ 1 จึงเป็นการสุดวิสัยที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาจะใช้ความระมัดระวังดูแลจำเลยที่ 1 ตามสมควรแก่หน้าที่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ ข้อพิจารณา เคยมีคดีตัวอย่างอยู่เรื่องหนึ่งในอดีต ซึ่งมีข้อเท็จจริงว่า มีเด็กหญิงคนหนึ่งอายุ 16 ปี เป็นที่รักใคร่เอ็นดูแก่เพื่อนของพ่อแม่ เพื่อนมักจะมารับเด็กผู้หญิงคนดังกล่าวไปเที่ยวด้วยเสมอ ปรากฏว่าวันหนึ่ง เพื่อนของพ่อแม่ได้พาเธอไปเที่ยว แล้วเธอก็ได้ขับรถคันดังกล่าวขึ้นทางด่วนแล้วไปชนรถตู้รับส่งคนโดยสารทำให้มี คนตาย 9 คน จึงมีปัญหาว่า ผู้เสียหายจะเรียกร้องให้ใครรับผิดในฐานละเมิดได้บ้าง ระหว่างพ่อแม่หรือเพื่อนพ่อแม่ ที่ให้ยืมรถ เมื่อกรณีนี้เด็กหญิงยังคงเป็นผู้เยาว์ ไม่ได้บรรลุนิติภาวะ แต่บิดามารดากลับปล่อยให้บุตรของตน ซึ่งไม่มีใบขับขี่ขับรถ และบิดามารดาไม่ได้พิสูจน์ว่าตนเองได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่เหตุที่เกิดขึ้น บิดามารดาจึงต้องเข้ามาร่วมรับผิดในฐานละเมิดด้วยตามมาตรา 429 และเพื่อนพ่อแม่ที่มารับเด็กหญิงไปทานข้าว และยอมให้ขับรถนั้น ถือว่าบิดามารดามอบความไว้วางใจให้เพื่อนคนดังกล่าวดูแลบุตรของตน จึงถือว่าเป็นผู้รับ ดูแลผู้เยาว์เป็นครั้งคราว และรถคันดังกล่าวก็เป็นรถของเพื่อนของพ่อแม่ แต่ก็ยังคงนำรถคันดังกล่าวไปให้เด็กหญิง
pg. 11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ขับทั้งที่รู้ว่าเด็กหญิงไม่มีใบขับขี่ ดังนั้นเพื่อนของพ่อแม่จึงต้องร่วมรับผิดด้วยตามมาตรา 430 ซึ่งทั้งบิดามารดา และเพื่อนนั้นต้องรับผิดร่วมกันอย่างลูกหนี้ร่วม 3. เก็บกุญแจรถไม่ดีหากบิดามารดาเก็บกุญแจรถไม่ดีแล้วปล่อยให้บุตรของตนหรือคนไร้ความสามารถ เอารถไปใช้ได้ ถือว่าผู้ที่ดูแลหรือบิดามารดานั้นประมาท ใช้ความระมัดระวังไม่เพียงพอจึงต้องร่วมรับผิด ในผลละเมิดที่เกิดขึ้นด้วย ฎีกาที่ 528/2523 แม้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาจะเคยห้ามปรามจำเลยที่ 1 ผู้เป็นบุตรผู้เยาว์ไม่ให้เอา รถยนต์ไปใช้ และเก็บลูกกุญแจรถไว้เองโดยเก็บไว้ในที่สูงก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 รู้ที่เก็บและเคยเอารถออกไปขับ ย่อม แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถ หาได้ใช้ความระมัดระวังในเรื่องนี้ตามสมควรแก่หน้าที่ ดูแล ไม่ถือว่าจำเลยที่ 2 นำสืบพิสูจน์หักล้างความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 429 ไม่ได้ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 ขับรถไปชนรถโจทก์ที่ 1 เพราะจะรีบไปซื้อเนื้อตามที่จำเลยที่ 3 ใช้ให้ไปซื้อและการไป ซื้อเนื้อเพื่อทำเนื้อสะเต๊ะขายเป็นกิจการค้าของจำเลยที่ 3 ก็ตาม การที่จำเลยที่ 1 ขับรถชนรถโจทก์ก็ถือไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 ทำละเมิดในการเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 3 เพราะมิใช่กิจการที่ทำแทนตัวการต่อบุคคลที่สาม จำเลย ที่ 3 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย 4. แต่ถ้าบิดามารดาเก็บกุญแจดีแล้ว แต่ผู้เยาว์กลับใช้ความพยายามในการนำรถไป ถือว่าบิดามารดา ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ของตนแล้ว จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในเหตุละเมิดที่ผู้เยาว์ได้กระทำ ฎีกาที่ 6967/2541 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 มีอายุ 15 ปีเศษ และ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะออกไปกิจธุระนอกบ้าน จำเลยที่ 2 ได้นำรถจักรยานยนต์ คันเกิดเหตุเข้าไปเก็บไว้ในบ้านพร้อมกับใส่กุญแจล็อกคอรถจักรยานยนต์ เพื่อป้องกันมิให้จำเลยที่ 1 นำ รถจักรยานยนต์ออกไปใช้ และจำเลยที่ 2 นำเอากุญแจติดตัวไปด้วยการที่จำเลยที่ 1 ได้นำกุญแจรถยนต์กระบะไป ไขออกได้โดยบังเอิญ แล้วนำไปให้เพื่อนรุ่นพี่ต่อสายไฟตรงติดเครื่องยนต์ให้ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ที่มี นิสัยหรือความประพฤติไม่ดีมาก่อน เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่ นั้นเหมาะสมกับอุปนิสัยและความประพฤติของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นบุตรแล้วทุกประการ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับ ผิดในเหตุละเมิดที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 5. กรณีพ่อแม่เก็บปืนไม่ดีและไม่ได้ป้องกันหรือใช้ความระมัดระวังตามสมควร บิดามารดาย่อมต้องรับผิด ในผลละเมิดด้วย ฎีกาที่ 985/2515 บิดามารดาเก็บปืนไว้ใต้หมอนในห้องนอน โดยมิได้ถอดแมกกาซีนออก และมิได้ ห้ามปรามมิให้บุตรเข้าไป เพื่อป้องกันเหตุร้ายอันอาจจะเกิดจากอาวุธปืนนั้น ถือว่าบิดามารดามิได้ใช้ ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลของบิดามารดา เมื่อบุตรเอาปืนไปเล่นเป็นเหตุให้ปืนลั่นถูกเพื่อนตาย บิดามารดาต้องร่วมรับผิดกับบุตรในผลละเมิดด้วย คำถาม นายเอกเป็นพนักงานขับรถของบริษัทเอ จำกัด ได้รับคำสั่งจากผู้จัดการบริษัทให้ขับรถบรรทุก สินค้าไปส่งให้ลูกค้าที่ต่างจังหวัด ก่อนออกเดินทาง นายเอกชวนนางโทและเด็กชายตรีซึ่งเป็นบุตรของนางโท ให้นั่งรถไปเป็นเพื่อนด้วย เมื่อส่งสินค้าเรียบร้อยเป็นเวลาพลบค่ำ นายเอกขับรถกลับระหว่างทางเกิดรู้สึกง่วงนอน จึงขอให้เด็กชายตรีซึ่งขับรถได้ขับแทน เด็กชายตรีเห็นนายเอกหลับ จึงถือโอกาสขับออกนอกเส้นทางเพื่อแวะไปหา ญาติสนิทซึ่งอยู่ไม่ไกล และขับโดยใช้ความเร็วสูงเพื่อไม่ให้เสียเวลา แต่เนื่องจากไม่คุ้นชินกับถนนประกอบกับถนน
pg. 12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ไม่มีแสงไฟ เมื่อถึงทางโค้งจึงเกิดเฉี่ยวชนนายจัตวาซึ่งเดินบนไหล่ทางจนได้รับบาดเจ็บ และรถไถลตกข้างทางทำให้ นางโทได้รับบาดเจ็บด้วย ให้วินิจฉัยว่า นายเอก นางโท เด็กชายตรีและบริษัทเอ จำกัดมีความรับผิดอย่างไร ข้อพิจารณา ในการตอบคำถามนั้นให้ไล่ความรับผิดของแต่ละตัวละครก่อน โดยเริ่มจากเด็กชายตรีซึ่งเป็น ผู้ขับรถ จะเห็นได้ว่าเด็กชายตรีนั้นขับรถโดยประมาท นอกจากนี้เด็กชายตรีก็ยังไม่มีใบขับขี่ เด็กชายตรีจึงต้องรับ ผิดในผลของการละเมิดที่ขับรถไปเฉี่ยวชนนายจัตวาซึ่งเดินบนไหล่ทางจนได้รับบาดเจ็บ เด็กชายตรีจึงต้องรับผิด ตามมาตรา 428 หลังจากนั้นเราก็จะต้องมาวิเคราะห์กันว่าใครบ้างที่จะต้องร่วมรับผิดกับเด็กชายตรีด้วย เด็กชายตรีมาขับรถเนื่องจากนายเอกซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทเอ จำกัด วานให้เด็กชายตรีช่วยขับ การที่นายเอกวานให้เด็กชายตรีช่วยขับรถนั้นถือว่าเด็กชายตรีเป็นตัวแทนของนายเอก และการที่นายเอกวานให้ เด็กชายตรีซึ่งเป็นเด็กที่ไม่มีใบขับขี่ขับรถแทนนั้นเป็นการกระทำโดยประมาท ทั้งนี้การที่นายเอกได้รับคำสั่งจากบริษัทให้ขับรถบรรทุกสินค้าไปส่งให้ลูกค้าที่ต่างจังหวัดนั้น ถือว่ายังคง อยู่ในทางการที่จ้าง แม้จะมีการวานให้เด็กชายตรีขับรถแทนก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่นายเอกทำผิดระเบียบข้อบังคับของ บริษัทเองซึ่งเป็นเรื่องที่บริษัทจะต้องไปว่ากล่าวกับนายเอกต่อไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะตราบใดที่รถยังไม่กลับมาสู่ บริษัทก็จะยังคงถือว่านายเอกกระทำการอยู่ในทางการที่จ้าง ดังนั้นการที่นายเอกปล่อยให้บุคคลอื่น ซึ่งเป็นเพียง ผู้เยาว์ ไม่มีใบขับขี่ให้ขับรถแทนนั้นถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาท นายจ้างหรือบริษัทเอจึงต้องรับผิดด้วยใน ทางการที่จ้างตามมาตรา 425 ทั้งนี้นางโท มารดาของนายตรีซึ่งเป็นผู้ปกครอง ต้องร่วมรับผิดด้วยตามมาตรา 429 เว้นแต่ตนเอง จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าได้ใช้ความระมัดระวังพอสมควรแก่เหตุแล้ว แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านางโทได้ ห้ามปรามมิให้นายตรีซึ่งเป็นเพียงผู้เยาว์ขับรถแทนนายเอก จึงต้องถือว่านางโทนั้นไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง พอสมควรแก่เหตุจึงต้องร่วมรับผิดตามมาตรา 429 แม้การบาดเจ็บของนางโทจะเกิดจากการกระทำโดยประมาทของเด็กชายตรี ซึ่งบริษัทเอจะต้องร่วมรับผิด ด้วยก็ตาม แต่เมื่อนางโทมีส่วนเกี่ยวข้องในความผิดที่เกิดขึ้น ในการคิดค่าเสียหายจึงต้องนำส่วนที่นางโทประมาท มาหักลบค่าเสียหายที่คำนวณได้ด้วย ดังนั้นในการตอบข้อสอบนักศึกษาจะต้องฝึกจับประเด็นให้ถูก เพราะนักกฎหมายที่ประสบความสำเร็จ ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่สามารถจับประเด็นได้ถูกตั้งแต่ต้น สำหรับการบรรยายของอาจารย์นั้นก็เหลือเพียงชั่วโมง เดียว คราวหน้าถ้ามีเวลาเท่าใดอาจารย์ก็จะบรรยายเท่านั้น ถ้าเรื่องใดอาจารย์ไม่ได้บรรยายอาจารย์ก็จะไม่นำ มาออกข้อสอบ ชั่วโมงนี้ขอจบการบรรยายเพียงเท่านี้ ขอบคุณนักศึกษาทุกท่าน ***จบการบรรยาย*** สรุปโดย A03 ตรวจทานC4
pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา ละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ บรรยายวันที่ 4 กันยายน 2566 (ครั้งที่ 14 )(สัปดาห์ที่ 16 ) สวัสดีครับวันนี้เป็นชั่วโมงสุดท้ายนะครับ คราวที่แล้วจบกันที่เรื่องบุคคลที่จะต้องร่วมรับผิดกับผู้กระทำ ละเมิดในกรณีที่เป็นคนไร้ความสามารถและจบที่มาตรา 430 มาตรา 431 วันนี้มีกรณีที่นักศึกษาควรจะรู้ว่า กรณีที่มีการทำละเมิดและมีผู้ร่วมกันกระทำละเมิด กับกรณีที่มีบุคคลหลายคนกระทำละเมิดโดยไม่ได้ร่วมกัน การอ้างอิงตัวบทกฎหมายในเวลาให้เหตุผลตอบความรับผิดจะต้องมีความชัดเจนในกรณีที่ร่วมกันกระทำ ละเมิดและกรณีที่บังเอิญกระทำละเมิดในเวลาเดียวกัน การกระทำละเมิดของผู้ร่วมกระทำ มาตรา 432 ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด ท่านว่าบุคคล เหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่ สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย อนึ่ง บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วน เท่า ๆ กัน เว้นแต่โดยพฤติการณ์ ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น ข้อพิจารณา กรณีที่เป็นกระทำละเมิดร่วมกันได้จะต้องเป็น ตัวการร่วมโดยกลับไปใช้หลักตาม ป.อ. คือแบ่งหน้าที่กันทำไม่จำเป็นต้องทำทุกส่วน แต่เมื่อแบ่งหน้าที่กันทำแล้วทุกคนที่เป็นตัวการต้องร่วมกัน รับผิดชอบในการกระทำองค์รวมทั้งหมด และมาตรา 432 นั้นให้หมายรวมถึงผู้ยุยงส่งเสริม ซึ่งก็คือผู้ใช้หรือจะ เป็นผู้สนับสนุนก็ได้ แต่ไม่ว่าเป็นผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนในความรับผิดละเมิดถือว่าเป็นตัวการร่วมกันทำละเมิด และสิ่งที่ต้องระลึกไว้คือ มาตรา 432 ต้องเป็นกรณีที่กระทำละเมิดโดยจงใจถึงจะมีการร่วมกระทำละเมิดได้ มีคำถามว่า ถ้านิติบุคคลกระทำละเมิด ผู้แทนนิติบุคคลถือว่าเป็นตัวการร่วมหรือไม่ การที่นิติบุคคลจะ ทำละเมิดได้นั้นทำด้วยตนเองไม่ได้ต้องทำผ่านผู้แทนนิติบุคคลที่มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล ฉะนั้น ในทางทฤษฎีจึงยังถกเถียงกันอยู่ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ไม่จำเป็นต้องปรับมาตรา 432 กับนิติบุคคล เพราะเป็น ผู้แทนนิติบุคคลที่แสดงเจตนาแทนนิติบุคคลนั้นเอง ฎีกาที่ 1472/2506 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 วรรคท้ายเป็นบทบัญญัติ สำหรับแยกความรับผิดระหว่างผู้ละเมิดด้วยกัน มิใช่ว่ารับผิดต่อเจ้าหนี้ ซึ่งมีวรรค 1 บัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว ว่า ต้องร่วมกันรับผิดใช้คำว่า "ร่วมกันใช้" มีความหมายว่า แต่ละคนจำต้องชำระหนี้ซึ่งสิ้นเชิง แต่เจ้าหนี้จะ เรียกชำระหนี้จากคนใดทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ ถึงกระนั้นลูกหนี้ทั้งหมดก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่า หนี้นั้นจะได้ชำระสิ้นเชิงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 การทำให้ทรัพย์เขาเสียหายโดยผิดกฎหมายเป็นละเมิด เมื่อร่วมกันกระทำก็เป็นการร่วมกันทำละเมิด และต้องร่วมกันรับผิด กฎหมายมุ่งหมายถึงการกระทำมิใช่ดูผลของความเสียหายว่าแยกกันได้หรือไม่ แม้จะไม่
pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง รู้ตัวว่าคนไหนก่อให้เกิดความเสียหาย แต่ถ้าเป็นพวกที่ทำละเมิดร่วมกันแล้ว ก็ต้องรับผิดร่วมกันทั้งหมด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 ฎีกาที่ 2786/2529 กรณีที่มีจำเลยหลายคนร่วมกันกระทำความผิดการบังคับให้คืนหรือใช้ราคา ทรัพย์ต้องบังคับตาม ป.พ.พ.มาตรา 432 ซึ่งจำเลยแต่ละคนจะต้องชำระหนี้ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง อันมีฐานะ เช่นเดียวกับลูกหนี้ร่วม ฎีกาที่ 6721-6722/2562 เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้พูดจาหรือกระทำ การใด ๆ อันอาจถือได้ว่าเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการใช้อาวุธมีดแทงโจทก์ร่วม ตาม พฤติการณ์จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีเจตนาเพียงต้องการชกต่อยทำร้ายโจทก์ร่วมเท่านั้น การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดแทงโจทก์ร่วมจึงเป็นการกระทำโดยลำพังของจำเลยที่ 1 อันเป็นการตัดสินใจของจำเลยที่ 1 โดย ฉับพลันในขณะนั้นเอง ดังนั้นการที่โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสจากการถูกจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดแทง จึงมิใช่ ผลโดยตรงอันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันทำ ร้ายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส คงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายเท่านั้นการพิจารณาคดีส่วนแพ่งศาล จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 เมื่อคดีอาญาฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ทำร้ายโจทก์ร่วม ซึ่งแม้จะไม่ปรากฏโดยชัดแจ้งว่าโจทก์ร่วมได้รับ บาดเจ็บจากการถูกชกต่อยทำร้ายแต่ก็ต้องถือว่าโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้ชดใช้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรง แห่งละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคหนึ่ง *ฎีกาที่ 6234/2564 (ฎีกานี้ได้คุยกันตั้งแต่ชั่วโมงแรก) ตามบทบัญญัติมาตรา 50, 54 วรรคหนึ่ง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 17, 45 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.การศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542 และมาตรา 4 นิยามศัพท์ "การศึกษาภาคบังคับ" "สถานศึกษา" "เด็ก" แห่ง พ.ร.บ. การศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 เป็นบทบังคับให้ประชาชนผู้มีสัญชาติไทยมีหน้าที่เข้ารับการศึกษาภาคบังคับ และเป็นหน้าที่ของรัฐจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนผู้มีสัญชาติไทยตามที่กฎหมายบัญญัติ เริ่มตั้งแต่ก่อนวัยเรียน คือ ชั้นอนุบาล 1 ถึง 3 จนจบการศึกษาภาคบังคับ คือ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำเลยที่ 1 เปิดสอนการศึกษา ภาคบังคับ จึงเป็นสถานศึกษาตามนิยามศัพท์แห่ง พ.ร.บ.การศึกษาภาคบังคับฯ โดยไม่คำนึงว่าเป็นโรงเรียน เอกชนหรือรัฐ จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่จัดการศึกษาภาคบังคับให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและ กฎหมาย แม้มาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯ และมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.การศึกษาภาคบังคับฯ ยัง ไม่ได้แก้ไขกำหนดอายุของเด็กก่อนวัยเรียน ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน แต่จำนวนชั้นปีที่ต้อง ได้รับการศึกษาภาคบังคับตามกฎหมายทั้งสองฉบับ สอดคล้องกับอายุเด็กซึ่งเริ่มตั้งแต่อายุย่างเข้าปีที่เจ็ดจนถึง อายุย่างเข้าปีที่สิบหก แสดงว่าการศึกษาภาคบังคับไม่ว่าเป็นการจัดการศึกษาโดยรัฐหรือเอกชน ต้องทำอย่าง ต่อเนื่อง จะให้ออกกลางคันหรือจำหน่ายนักเรียนออกจากทะเบียนนักเรียนโดยไม่มีเหตุตามกฎหมาย กฎหรือ ระเบียบที่เกี่ยวข้องไม่ได้ มูลเหตุที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ออกจากโรงเรียนของจำเลยที่ 1 ไม่ได้เกิดจากความผิด ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 1 โดยคณะกรรมการบริหารของโรงเรียน แสดงเจตนาให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 สิ้นสภาพการเป็นนักเรียน มีผลเป็นการจำหน่ายนักเรียนออกจากทะเบียนนักเรียนโดยปราศจากอำนาจตาม
pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ตราสารจัดตั้งนิติบุคคลโรงเรียนจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำผิดต่อหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและ กฎหมาย กระทบสิทธิขั้นพื้นฐานของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ที่จะได้รับการศึกษาภาคบังคับอย่างต่อเนื่อง การ กระทำของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจให้บริการทางการศึกษา จึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามซึ่งเป็น ผู้บริโภค ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์นั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้ง โรงเรียน จึงเป็นผู้แทนนิติบุคคลของจำเลยที่ 1 ตาม พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 มาตรา 24 ต้อง ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดในผลแห่งละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และมาตรา 1167 ประกอบมาตรา 427 จำเลยที่ 4 ผู้อำนวยการโรงเรียน มีหน้าที่และความ รับผิดชอบในการจัดทำทะเบียนนักเรียน กับปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามตราสารจัดตั้งของโรงเรียนตาม พ.ร.บ. โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 มาตรา 39 (4) (6) แต่กลับทำผิดหน้าที่ จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 รับผิดในผลแห่งการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ประกอบ มาตรา 432 ข้อสังเกต ผู้รับผิดชอบมีกรรมการโรงเรียน ผู้อำนวยการโรงเรียน บุคคลเหล่านี้ถือว่าร่วมกันกระทำ ละเมิด คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. 1113/2561 ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การกำหนดให้ ผู้สอบคัดเลือก (เพศหญิง) เข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจเข้าตรวจร่างกายพร้อมกันคราวเดียวหลายคนโดยแต่ ละคนต้องถอดเสื้อออกและถือไว้เพื่อรับการตรวจร่างกายกับแพทย์ เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสมก่อให้เกิดภาพที่ไม่ สมควร และอาจเป็นการล่วงละเมิดต่อสิทธิส่วนตัวเกินจำเป็น และเมื่อวิธีการจัดการตรวจร่างกายเช่นนี้ไม่มีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการ หรือแบบ แผนของทางราชการให้กระทำได้ ประกอบกับพฤติการณ์แห่งการกระทำเห็นได้ว่าขาดความระมัดระวัง และ ขาดมาตรการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนแก่ผู้เข้ารับการตรวจร่างกาย การป ฏิบัติหน้าที่ของ คณะกรรมการตรวจร่างกายจึงมีผลกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิส่วนตัวของผู้สมัครสอบคัดเลือก (เพศหญิง) เกินความจำเป็นอันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยมาตรา 4 มาตรา 26 และมาตรา 29 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หน่วยงานของรัฐจึงต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตาม มาตรา 5 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 โดยศาลมีอำนาจ วินิจฉัยค่าสินไหมทดแทนได้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตามมาตรา 438 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งละพาณิชย์ พิพากษาให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 100,000 บาท ให้แล้ว เสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา
pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ตามมาตรา 432 วรรคท้าย ศาลอาจใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายตามส่วนแห่งความผิดก็ได้ ฎีกาที่ 751/2498 ความเสียหายอันเกิดจากการละเมิดครั้งเดียวกันนั้นอาจเกิดจากหลายคนกระทำ ขึ้นก็ได้และศาลอาจกำหนดความรับผิดให้ฝ่ายหนึ่งรับผิดในเรื่องค่าสินไหมทดแทนหนักกว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ตาม พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิดที่ต่างได้ทำลง ฎีกาที่ 615-616/2523 รถยนต์ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับวิ่งคู่กันไปแล้วเกิดกระแทกกันรถยนต์ที่ จำเลยที่ 1 ขับเสียหลักวิ่งข้ามเกาะกลางถนนไปชนสามีและบิดาโจทก์ถึงตายเป็นเรื่องต่างทำละเมิด ไม่ใช่ ร่วมกันทำละเมิดจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ในผลแห่งการทำ ละเมิดของจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1 ประมาทมาก ศาลให้จำเลยที่ 1,3 ใช้ค่าเสียหาย 9 ส่วน จำเลยที่ 2 ใช้ 1 ส่วน ฎีกาที่ 2818/2563 ค่าสินไหมทดแทนในการกระทำละเมิดนั้น ศาลจะพิจารณาตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 438 วรรคหนึ่ง คือวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่ง ละเมิด และ ในกรณีที่ต่างฝ่ายต่างมีส่วนร่วมในการทำละเมิด ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 442 บัญญัติให้นำมาตรา 223 มาใช้บังคับโดยอนุโลม เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำวินิจฉัยข้างต้นว่า ผู้ตายบุตรของ โจทก์ร่วมกับพวกอีกหลายคนเป็นฝ่ายก่อเหตุทะเลาะวิวาทและทำร้ายจำเลยก่อนโดย ขว้างก้อนหินตลอดจนใช้ มีดฟันแล้วต่างเข้าวิวาทต่อสู้กันจนจำเลยบาดเจ็บและผู้ตายถึงแก่ความตาย พฤติการณ์ของผู้ตายกับพวกที่มี ส่วนทำความผิดก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไม่ยิ่งหย่อนกว่าจำเลยไม่สมควรได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จากจำเลย จึงไม่กำหนดให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหม ทดแทนแก่โจทก์ร่วม ฎีกาที่ 2794/2565 แม้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีหมายเลขแดงที่ 11988/2561 ให้โจทก์ในฐานะนายจ้างชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการทำละเมิดของลูกจ้างเป็นค่าขนส่งสินค้าไปกลับและค่า ตรวจเช็กสภาพเครื่องให้แก่บริษัท อ. และให้จำเลยในฐานะผู้รับจ้าง บริษัท อ. ดำเนินการทางพิธีการศุลกากร นำสินค้าออกจากคลังสินค้าของโจทก์ร่วมกันรับผิดชำระค่าเสียหายดังกล่าวก็ตาม แต่ระหว่างโจทก์ผู้ทำการขน ย้ายสินค้าออกจากคลังเก็บสินค้า กับจำเลยผู้รับจ้างให้ดำเนินการเกี่ยวกับการนำสินค้าเข้าผ่านพิธีการศุลกากร และนำสินค้าออกจากคลังสินค้าของโจทก์จะมีความรับผิดต่อกันหรือไม่อย่างไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าจำเลยมีส่วน ก่อให้เกิดความเสียหายด้วยหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า พนักงานขับรถยกของโจทก์กระทำโดย ประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียวเป็นเหตุให้ลังสินค้าพลิกตกกระแทกพื้นสินค้าได้รับความเสียหาย โดยจำเลยมิได้มี ส่วนกระทำโดยประมาทเลินเล่อด้วย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ความรับผิดของลูกหนี้ร่วมตาม ป.พ.พ. มาตรา 296 ที่บัญญัติให้ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กัน เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นดังที่โจทก์ ฎีกานั้น จะบังคับแก่กรณีนี้ได้ต่อเมื่อลูกหนี้ร่วมแต่ละคนจะมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นเท่านั้น เมื่อจำเลย มิได้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหาย แม้โจทก์ได้ชำระหนี้เต็มจำนวนที่โจทก์ต้องร่วมรับผิดกับจำเลย โจทก์ก็ไม่ อาจรับช่วงสิทธิมาฟ้องไล่เบี้ยให้จำเลยชำระเงินกึ่งหนึ่งของจำนวนที่โจทก์ชำระได้ ฎีกาที่ 2074/2563 ป.พ.พ. มาตรา 442 และมาตรา 223 วรรคหนึ่ง เป็นการกำหนดความรับผิด และค่าเสียหายต่อกันโดยให้ศาลพิจารณาถึงพฤติการณ์ว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากัน เพียงใดซึ่งต้องถือเอาการกระทำละเมิดมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา หาได้ถือเอาความเสียหายของผู้ตายหรือ
pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ของจำเลยที่ 1 ว่ามีมากน้อยกว่ากันเพียงใด มาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาไม่ เหตุรถเฉี่ยวชนกันเกิดจากการ กระทำละเมิดอันเป็นความประมาทของผู้ตายและของจำเลยที่ 1 ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน อันฟังได้ว่าต่างฝ่ายต่าง กระทำละเมิดต่อกัน และมีส่วนประมาทพอกันแล้วก็ไม่อาจเรียกค่าเสียหายต่อกันได้ กรณีจึงฟังได้ว่าผู้ตายก็มี ส่วนกระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 1 พอกัน ดังนั้น โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายย่อมไม่อาจเรียกให้จำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิดรับผิดใช้ค่าเสียหายได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิดไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสี่ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็น นายจ้างและตัวการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยรถยนต์กระบะที่จำเลยที่ 1 ขับย่อมไม่ต้อง รับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสี่เช่นเดียวกัน กรณีต่างคนต่างทำละเมิด ไม่ใช้มาตรา 432 1. หากความเสียหายแยกกันได้ ก็ต้องรับผิดในผลที่แต่ละคนก่อให้เกิดขึ้น ฎีกาที่ 368/2518 2. หากความเสียหายไม่อาจแยกกันได้ แต่ละคนก็จะต้องรับผิดในผลอันเกิดขึ้นรวมกัน ตามทฤษฎี เงื่อนไขหรือความเท่ากันแห่งเหตุที่ว่า แม้จะมีเหตุอื่นที่มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายนั้นอยู่อีก จำเลยก็ยังต้อง รับผิดในความเสียหายนั้นอยู่เสมอ เว้นแต่ศาลเห็นว่าบางกรณีอาจจะไม่เป็นธรรมหากจะให้จำเลยรับผิดใน ความเสียหายทั้งสิ้น ซึ่งศาลมีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนได้ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด ตามมาตรา 438 ศาลจึงอาจกำหนดค่าเสียหายตามส่วนแห่งความผิดได้ ฎีกาที่ 1544/2520 ฎีกาที่ 6896/2538 การที่รถยนต์โดยสารทั้งสองคันวิ่งแข่งกันมาและต่างชนโจทก์นั้นแม้จะเป็น กรณีต่างคนต่างประมาทเลินเล่อก็ตาม แต่ความประมาทเลินเล่อของคนขับรถทั้งสองไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นต่อโจทก์ คนขับรถทั้งสองจึงต้องร่วมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม โดยคนขับรถทั้งสองหรือ คนใดคนหนึ่งต้องรับผิดต่อโจทก์เต็มจำนวน ฎีกาที่ 534/2534 การที่ ด. บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายเป็นเพราะจำเลยกับ ส. ต่างประมาท มิใช่ เป็นการร่วมกระทำละเมิด เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายอันเดียวกัน จึงเป็นกรณีบุคคลหลายคน เป็นหนี้อันจะแบ่งแยกจากกันชำระมิได้ ผู้กระทำละเมิดทุกคนต้องร่วมรับผิดในความเสียหายต่อโจทก์อย่าง ลูกหนี้ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 301 ประกอบมาตรา 291 ศาลจะวินิจฉัยว่า จำเลยประมาทน้อยกว่า ส.จึงให้จำเลยรับผิดเพียง 3 ใน 10 ส่วน ตามความร้ายแรงแห่งละเมิดหาได้ไม่ เพราะ ด. มิได้มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วย ผู้กระทำละเมิดแต่ละคนจะรับผิดมากน้อยเพียงใดเป็นเรื่องระหว่าง ผู้กระทำละเมิดด้วยกันเอง ข้อสังเกต มาตรา 432 เป็นกรณีที่จงใจร่วมกันทำละเมิด แต่ถ้าต่างคนต่างทำละเมิดหรือต่างคนต่าง ประมาทและก่อให้เกิดละเมิดอ้างมาตรา 301 ประกอบมาตรา 291 อาจารย์บอกว่าให้อ้างมาตราให้ถูกต้องด้วย ฎีกาที่ 139/2565 ความผิดฐานขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 โจทก์ร่วมทั้งสามไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานนี้ โดยตรงจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยหนักกว่าโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นใน ความผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมทั้งสามและศาลอุทธรณ์ ภาค 3 รับพิจารณาในข้อหานี้โดยกำหนดโทษใหม่เป็นจำคุก 4 ปี จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวแม้ คู่ความมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้น
pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง วินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ออกมาจากค่าย สุรธรรมพิทักษ์ แล้วเปลี่ยนช่องเดินรถไปทางขวาที่มีรถยนต์กระบะของจำเลยแล่นอยู่ โดยผู้ตายไม่ตรวจตรารถ ที่วิ่งมาในทางตรงให้ปลอดภัยทำให้รถทั้งสองคันเฉี่ยวชนกัน ผู้ตายมิได้ใช้ความระมัดระวังในการเปลี่ยนช่องเดิน รถถือว่าผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วย ส่วนจำเลยขับรถยนต์ในขณะมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 182 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เกินกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ตามที่กฎหมายกำหนด อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (2) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งประสงค์จะเอาผิดและลงโทษผู้ขับขี่ที่เมาสุรา หรือของมึนเมาอย่างอื่น เนื่องจากสุราหรือของมึนเมาทำให้สมรรถภาพในการควบคุมยานพาหนะด้อย ประสิทธิภาพลง อันอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้โดยง่าย จำเลยขับรถผ่านที่เกิด เหตุซึ่งเป็นทางตรงและเป็นช่วงเวลากลางวัน หากจำเลยไม่อยู่ในอาการมึนเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น จำเลยก็น่าจะหักรถหลบหรือหยุดรถได้ทันก่อนที่จะเกิดการเฉี่ยวชนกันขึ้น เหตุเฉี่ยวชนจึงเกิดจากความ ประมาทของจำเลยด้วยเช่นกัน เมื่อจำเลยมีส่วนประมาท จำเลยจึงไม่หลุดพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดเมื่อ จำเลยและผู้ตายต่างเป็นฝ่ายประมาทก่อให้เกิดมูลหนี้ขึ้น กรณีจึงต้องบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ที่บัญญัติว่า ถ้าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 223 มาใช้บังคับโดยอนุโลม และมาตรา 223 บัญญัติว่า ถ้าฝ่ายผู้เสียหายได้ มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไซร้ ท่านว่าหนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน แก่ฝ่ายผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดนั้นต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้ เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร ข้อสังเกต ถ้ามียานพาหนะที่เดินด้วยเครื่องจักรกล ให้ปรับมาตรา 437 ไปด้วยว่าผิดหรือไม่ ฎีกาที่ 1472/2547 จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ขับรถยนต์โดยสารนำนักทัศนาจรไปเที่ยวและพาเข้าพักที่ รีสอร์ท จึงมีหน้าที่ดูแลรักษารถยนต์โดยสารดังกล่าวในระหว่างที่พักอยู่ที่รีสอร์ทให้ปลอดภัยด้วย อันเป็นหน้าที่ ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 เมาสุราไม่เฝ้ารถยนต์โดยสารเอง แต่กลับให้ ก. พนักงาน ประจำรถนอนเฝ้ารถยนต์โดยสารแทน ทั้งที่ได้ยิน ก. พูดว่าจะออกไปเที่ยวข้างนอก และยังได้เสียบกุญแจรถไว้ ที่สวิตช์ติดเครื่องยนต์ มิได้นำไปเก็บรักษาไว้ให้ปลอดภัย จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ ก. ถือโอกาสลักลอบขับรถยนต์โดยสารดังกล่าวไปเที่ยวข้างนอกและทำละเมิดต่อโจทก์ การที่ ก. ขับรถยนต์ โดยสารดังกล่าวโดยประมาทเลินเล่อพลิกคว่ำเฉี่ยวชนราวเหล็กกันอันตรายพร้อมเสาของโจทก์เสียหาย ถือได้ ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมกับ ก. ทำละเมิดต่อโจทก์ด้วย ความเสียหายดังกล่าวจึงเป็นผลโดยตรงจากการที่จำเลย ที่ 1 ประมาทเลินเล่อไม่ควบคุมดูแลรักษารถยนต์โดยสารอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลให้ปลอดภัยตามหน้าที่ ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ร่วมทำละเมิดด้วย ส่วนจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้าง ความรับผิดเพื่อความเสียหายที่เกิดจากทรัพย์สิน ความรับผิดกลุ่มนี้เป็นความรับผิดโดยไม่ต้องพิจารณาถึงความผิด โดยเป็นบทสันนิษฐานความรับผิดใน กรณีที่ไม่มีการกระทำละเมิดของบุคคลตามมาตรา 420 แต่กฎหมายสันนิษฐานความรับผิดสำหรับความ เสียหายที่เกิดขึ้น บางมาตราเป็นบทสันนิษฐานเด็ดขาด แต่บางมาตราก็เป็นบทสันนิษฐานไม่เด็ดขาด
pg. 7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ มาตรา 433 ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้ แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์ หรือ ตามพฤติการณ์อย่างอื่น หรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึง เพียงนั้น อนึ่ง บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์ นั้นโดยละเมิด หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้น ๆ ก็ได้ ข้อพิจารณา 1. มาตรานี้ผู้ดูแลหรือผู้ที่เลี้ยงสัตว์มีภาระการพิสูจน์ 2. สัตว์จะดุร้ายหรือไม่ จะเล็กหรือใหญ่ก็ไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญคือต้องไม่ใช่สัตว์ป่าที่ไม่มีเจ้าของ หรือ เจ้าของทิ้งแล้ว 3. ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ เช่น กัด ขวิด ชน เป็นพาหะนำโรค เห่าหอนจนเดือดร้อนรำคาญ ทำลายข้าวของ 4. ผู้รับผิดคือ เจ้าของ หรือ ผู้รับเลี้ยงรักษา เช่น ผู้ยืม ผู้เช่า (รับผิดเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น) 5. ผู้เสียหาย พิสูจน์เพียงว่าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ 6. เหตุยกเว้นความรับผิด 7. สิทธิไล่เบี้ย คือ ไปไล่เบี้ยจากคนที่ยั่ว เร้าสัตว์ที่ทำให้เกิดอันตรายขึ้น ฎีกาที่ 6088/2559 ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 111 บัญญัติห้ามมิให้ผู้ขับขี่ จูงไล่ต้อนหรือปล่อยสัตว์ไปบนทางเท้าในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรและไม่มีผู้ควบคุมเพียงพอ เมื่อ จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าของสุนัขจึงเป็นผู้ดูแลสัตว์จะต้องดูแลควบคุมมิให้สัตว์กีดขวางการจราจร การที่สุนัข ของจำเลยทั้งสองวิ่งข้ามถนนตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของโจทก์ในระยะกระชั้นชิด ย่อมเป็นผลโดยตรงที่ทำให้ รถจักรยานยนต์ของโจทก์ล้ม เมื่อไม่ปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยทั้งสองว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ขับ รถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วสูงและไม่ใช้ความระมัดระวังอย่างไร ดังนั้น เหตุละเมิดจึงเกิดจากความประมาท เลินเล่อของจำเลยทั้งสองที่ไม่ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการควบคุมดูแลสุนัข เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้น เพราะสัตว์ จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 433 วรรคหนึ่ง ฎีกาที่ 2488/2523 สุนัขในบ้านจำเลยออกจากบ้านไปกัดโจทก์ ภริยาจำเลยรับว่าเป็นเจ้าของ เมื่อ กรณีเป็นที่สงสัย ต้องสันนิษฐานว่าสุนัขเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1474 จำเลยจึงเป็นเจ้าของสุนัขด้วยสุนัขหลบหนีออกไปได้ขณะจำเลยเปิดประตู สุนัขจึงออกไปกัดโจทก์ได้แสดงว่า จำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรในการเลี้ยงดูสุนัขจำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์รวมทั้งทดแทน ความตกใจและทุกข์ทรมานด้วย ฎีกาที่ 2628/2526 การที่ ป. ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูโคแทนจำเลยทั้งสองปล่อยโคขึ้นไปกินหญ้าบน ไหล่ถนนอันเป็นทางหลวงระหว่างจังหวัดโดยอิสระไม่ผูกเชือกหรือจับจูงไว้ เป็นการปล่อยปละละเลยไม่
pg. 8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ระมัดระวังดูแลสัตว์ตามสมควรเพราะถนนมิใช่ที่เลี้ยงสัตว์สาธารณะ จำเลยทั้งสองจึงเป็นฝ่ายประมาทก่อน แต่ การที่ ด. เห็นโคเดินอยู่ข้างถนนแล้วยังขับขี่รถจักรยานยนต์เข้าใกล้และบีบแตร เป็นเหตุให้โคตกใจและขวิด รถจักรยานยนต์ทำให้ ด. ถึงแก่ความตาย ถือได้ว่าเป็นความประมาทของ ด. ส่วนหนึ่งด้วย ฎีกาที่ 889/2510 เจ้าของช้างมอบช้างให้บุตรไปดูแลเลี้ยงรักษาและทำงานหาประโยชน์ โดย เจ้าของช้างไม่ได้เกี่ยวข้องในการเลี้ยงหรือรับจ้าง เมื่อช้างทำความเสียหายขึ้นโดยละเมิดเจ้าของช้างไม่ต้องรับ ผิด บุตรผู้เลี้ยงรักษาช้างเท่านั้นต้องรับผิด ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น *มาตรา 434 ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นก่อสร้างไว้ชำรุด บกพร่องก็ดี หรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอก็ดี ท่านว่าผู้ครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้น ๆ จำต้องใช้ค่าสินไหม ทดแทน แต่ถ้าผู้ครองได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อปัดป้องมิให้เกิดเสียหายฉะนั้นแล้ว ท่านว่าผู้เป็น เจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนั้น ให้ใช้บังคับได้ตลอดถึงความบกพร่องในการปลูกหรือค้ำจุนต้นไม้ หรือกอไผ่ด้วย ในกรณีที่กล่าวมาในสองวรรคข้างต้นนั้น ถ้ายังมีผู้อื่นอีกที่ต้องรับผิดชอบในการก่อให้เกิดเสียหายนั้น ด้วยไซร้ ท่านว่าผู้ครองหรือเจ้าของจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้นั้นก็ได้ (อาจารย์บอกว่าให้ไปท่องมาตรานี้ให้ได้)* ข้อพิจารณา ไม่ใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด สามารถนำสืบยกเว้นความรับผิดได้ต้องเป็นเหตุจากโรงเรือนชำรุด บกพร่องหรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอ แต่ถ้าเป็นของตกหล่นจากโรงเรือนเป็นมาตรา 436 1. ความเสียหายอันเกิดจากทรัพย์ที่ต้องรับผิด มี 3 ประเภท คือ โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ 2. เหตุที่ให้รับผิด เพราะชำรุดบกพร่องหรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอ 3. ผู้รับผิด คือ ผู้ครอง กับ เจ้าของสิ่งปลูกสร้าง 4. สิทธิไล่เบี้ย มาตรา 434 วรรคสาม 5. สิทธิในการป้องกันภยันตรายล่วงหน้า มาตรา 435 โรงเรือนใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง รวมถึงส่วนประกอบของโรงเรือนด้วย ฎีกาที่ 2140/2520 จำเลยให้เช่าตึกของจำเลยทั้งสามชั้นแต่จำเลยยังใช้ตึกของจำเลยบางส่วนเป็น ที่ตั้งบริษัทและสำนักงานของจำเลยอยู่ ถือว่าจำเลยยังครองตึกของจำเลยอยู่ หากความเสียหายของโจทก์ เกิดขึ้นเพราะเหตุที่ตึกของจำเลยก่อสร้างไว้ชำรุดบกพร่องหรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอ จำเลยซึ่งเป็นทั้งผู้ครอง และเจ้าของตึกจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ สิ่งปลูกสร้าง เช่น ป้ายโฆษณา สะพาน ฎีกาที่ 158/2540 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของเสาโครงเหล็กและตาข่ายสนามฝึกกอล์ฟซึ่งจำเลยที่ 2 ทราบดีอยู่แล้วว่าผู้ออกแบบโครงสร้างได้ออกแบบผิดพลาดมาตั้งแต่แรกและไม่ได้มาตรฐานตามหลักวิชาที่จะ รับแรงปะทะจากพายุธรรมดาได้ ทั้งก่อนเกิดเหตุได้มีสัญญาณบอกเหตุว่าโครงเหล็กบางส่วนล้มลง