The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ละเมิด (ภาคปกติ) 66

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Narin Ker Kirdteraphong, 2024-06-06 05:08:48

ละเมิด (ภาคปกติ) 66

ละเมิด (ภาคปกติ) 66

6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ก็ยังเป็นละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลย และมารดา ผู้เสียหายย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยแทนผู้เสียหายได้ ฎีกาที่ 1586/2562 แม้ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุ 12 ปีเศษ ยังไม่เกิน 15 ปี ไปที่ร้านจำเลยเอง ยินยอมให้จำเลยพยายามกระทำชำเราและกระทำอนาจาร แต่ผู้เสียหายยังไม่พ้นจากความปกครองดูแลของ มารดา ถือได้ว่าจำเลยพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากมารดาเพื่อการอนาจาร การกระทำของ จำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม แต่ไม่เป็นความผิดฐานพา ผู้เสียหายที่ 2 ไปเพื่อการอนาจารตามมาตรา 283 ทวิ วรรคสอง และแม้ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กอายุ 12 ปี เศษ ยินยอมให้จำเลยพยายามกระทำชำเราและกระทำอนาจาร การกระทำของจำเลยก็ถือว่าเป็นการทำที่ ละเมิดต่อกฏหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 มารดาของผู้เสียหายไม่สิ้นสิทธิ เรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยแทนผู้เสียหาย ในปัจจุบันนั้น การยินยอมที่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย จะนำมาอ้างเป็นเหตุยกเว้นความรับ ผิดทางละเมิดไม่ได้ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 9 ฎีกาที่ 6679/2557 ผู้ตายกับพวกและจำเลยที่ 1 กับพวกต่างสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยยอมรับ อันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดจากการวิวาทต่อสู้ทำร้ายกัน ผู้ตายจึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยในทาง อาญา ไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนในทางแพ่งต่อจำเลยที่ 1 เพราะความยินยอมไม่ก่อให้เกิดละเมิด จำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน แก่โจทก์ทั้งสอง และกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาไม่เป็น ธรรม พ.ศ.2540 ที่จะนำมาอ้างเป็นเหตุมิให้ยกเว้นความรับผิดทางละเมิด อันเป็นบทกฎหมายเฉพาะข้อ สัญญาซึ่งเป็นนิติกรรมโดยตรง ที่มีต่อกันในทางธุรกรรมเกี่ยวกับอำนาจต่อรองในทางเศรษฐกิจ อนึ่ง กรณีที่เข้าไปแทรกแซงการตัดสินใจของผู้อื่นโดยที่เขาไม่ยินยอมแต่มีเหตุฉุกเฉิน เช่น พบคน กำลังเดินเหม่อลอยกำลังจะข้ามถนน ปรากฏว่าเหลือบไปเห็นรถวิ่งมาด้วยความเร็วสูงจึงกระโดดผลักคนที่ กำลังเดินเหม่อลอยให้ออกไปจนได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอันตราย หรือพบคนกำลังจะฆ่าตัวตายปีนขึ้นไปบน เสาไฟฟ้าแรงสูงและกำลังจะกระโดดลงมา เช่นนี้ถือว่ามีเหตุฉุกเฉินต้องกระทำเพื่อป้องกันอันตราย เพราะฉะนั้นถ้าการเข้าแทรกแซงโดยไม่ได้รับความยินยอมจากบุคคลนั้น เป็นกรณีฉุกเฉินมีเหตุผลต้อง เข้าแทรกแซง ย่อมถือว่าเป็นเหตุฉุกเฉินที่ต้องกระทำเพื่อป้องกันอันตราย แม้ไม่ได้รับความยินยอมก็ไม่ เป็นละเมิด โดยให้สันนิษฐานตามหลักวิญญูชนย่อมให้ความยินยอม ยกตัวอย่างเช่น เกิดอุบัติเหตุจากการเดินข้ามถนนแล้วสลบไปได้รับบาดเจ็บสาหัสมีคนนำส่ง โรงพยาบาล เช่นนี้หากแพทย์ตรวจอาการและวิเคราะห์ทางวิชาชีพแล้วว่าไม่มีทางอื่นนอกจากต้องผ่าตัด ด่วน แต่ไม่สามารถติดต่อญาติหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความยินยอมแทนได้ หากต่อมาภายหลังบุคคล ดังกล่าวฟื้นขึ้นมาและพบว่าไม่มีแขนขา กรณีเช่นนี้จะกล่าวอ้างว่าแพทย์กระทำโดยฝ่าฝืนความยินยอม ไม่ได้ เพราะเป็นกรณีที่วิญญูชนทั่วไปย่อมให้ความยินยอม ไม่ถือว่าเป็นละเมิด


7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ในประเด็น “โดยผิดกฎหมาย” ตามมาตรา 420 ยังมีกรณีมาตรา 421 ด้วย กล่าวคือกระทำ โดยผิดกฎหมาย หมายความรวมถึงการใช้สิทธิเกินส่วนด้วย มาตรา 421 บัญญัติว่า “การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้น ท่านว่าเป็นการอันมิ ชอบด้วยกฎหมาย” การใช้สิทธิเกินส่วน หมายถึง ส่วนที่เกินเป็นส่วนที่ไม่มีสิทธิ กล่าวคือผู้กระทำมีสิทธิตามกฎหมาย อยู่บ้าง แต่กระทำเกินส่วนที่สิทธิของตนมี ดังนี้มาตรา 421 จึงเป็นบทขยายคำว่าโดยผิดกฎหมายตาม มาตรา 420 เพราะฉะนั้นกรณีตามมาตรา 421 ผู้กระทำต้องมีสิทธิตามกฎหมายเสียก่อน แต่ถ้าเป็นการ กระทำโดยไม่มีสิทธิเลย ให้พิจารณาตามมาตรา 420 ฎีกาที่ 2693/2524 การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดเสียหายแก่บุคคลอื่น เป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย ดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 นั้น หมายถึงเป็นการแกล้งโดยผู้กระทำ มุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้อื่นฝ่ายเดียว ข้อสังเกต การแกล้งเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตจึงเป็นการกระทำโดยไม่ชอบ และอาจเป็นละเมิดได้ หากเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 420 ฎีกาที่ 1992/2538 โจทก์เช่าดาดฟ้าของตึกแถวเลขที่300/33-34 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงดิน แดง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร ติดตั้งป้ายโฆษณาสินค้าของโจทก์ประเภทฟิล์มถ่ายภาพยี่ห้ออักฟ่า จำนวน 2 ป้ายในลักษณะด้านหลังของป้ายประกบกัน ส่วนด้านหน้าของป้ายหันออกในทิศทางตรงข้ามกัน เพื่อให้ผู้สัญจรไปมาจากทางสะพานลอยข้ามถนนสุทธิสารวินิจฉัยมุ่งหน้าไปทางด่านเก็บเงินขึ้นทางด่วนดิน แดงและในทางกลับบ้านกันเห็นป้ายโฆษณาดังกล่าวได้ทั้งสองทาง ส่วนจำเลยเป็นผู้เช่าตึกแถวเลขที่ 300/30-32 ซึ่งอยู่ติดกับตึกแถวที่โจทก์เช่าทำเป็นสำนักงานของจำเลย และจำเลยได้ใช้ดาดฟ้าของตึกแถว ที่จำเลยเช่าติดตั้งป้ายโฆษณางานในธุรกิจของจำเลยป้ายโฆษณาที่จำเลยติดตั้งสามารถมองเห็นเฉพาะผู้ที่ไป จากสะพานลอยข้ามถนนสุทธิสารวินิจฉัยมุ่งหน้าไปทางด้านด่านเก็บเงินขึ้นทางด่วนดินแดงเพียงด้านเดียว ป้ายโฆษณาของจำเลยด้านนี้ปิดบังป้ายโฆษณาของโจทก์ในด้านเดียวกัน การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดความ เสียหายแก่บุคคลอื่นอันเป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 นั้น ผู้กระทำ หรือผู้ใช้สิทธิจะต้องมีเจตนาหรือจงใจกลั่นแกล้งโดยมุ่งประสงค์ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นฝ่ายเดียว เมื่อได้ ความว่าโจทก์ติดตั้งป้ายโฆษณาสินค้าของโจทก์ประเภทฟิล์มถ่ายภาพยี่ห้ออักฟ่าบนดาดฟ้าตึกแถวเลขที่ 300/33-34 ที่โจทก์เช่าเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของโจทก์ตามสิทธิที่โจทก์มีอยู่ในตึกแถวที่ว่านั้นได้ จำเลยผู้ประกอบธุรกิจการค้าประเภทรับปรึกษาและวางโครงการเกี่ยวกับงานแสดงสินค้า รวมทั้งการรับจ้าง แสดงนิทรรศการให้แก่ผู้ผลิตสินค้าก็ย่อมมีสิทธิที่จะติดตั้งป้ายโฆษณางานในธุรกิจของจำเลยบนดาดฟ้า ตึกแถวเลขที่ 300/30-32 ซึ่งเป็นตึกแถวที่จำเลยเช่ามาทำประโยชน์ในกิจการของจำเลยได้โดยชอบด้วย เช่นกัน โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยติดตั้งป้ายโฆษณาของจำเลยภายหลังจากโจทก์ติดตั้งป้ายโฆษณาสินค้า ของโจทก์แล้วหรือไม่ ทั้งนี้เพราะการติดตั้งป้ายโฆษณาทั้งของโจทก์และของจำเลยต่างก็ติดตั้งบนดาดฟ้า


8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ของตึกแถวที่แต่ละฝ่ายเช่ามาทำประโยชน์ จึงถือได้ว่าทั้งโจทก์และจำเลยได้ใช้ประโยชน์จากตึกแถวที่เช่า ตามแดนแห่งสิทธิของสัญญาเช่าที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ตามกฎหมาย ความไม่ปรากฏว่าจำเลยติดตั้งป้ายโฆษณา ของจำเลยเพื่อจงใจกลั่นแกล้งโจทก์ โดยมุ่งประสงค์จะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การติดตั้งป้ายโฆษณา ของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ป้ายโฆษณาของจำเลยที่ติดตั้งบนตึกแถวเลขที่ 300/30-32 จะอยู่ใกล้และปิดบังป้ายโฆษณาสินค้าของโจทก์บ้างก็หาได้เป็นการละเมิดต่อโจทก์ด้วยการ ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 ไม่ ตัวอย่างของการใช้สิทธิเกินส่วน 1.1 การก่อสร้างกำแพง *ฎีกาที่ 15674/2555 จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินย่อมมีสิทธิกระทำการใด เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่น เข้ายุ่งเกี่ยวกับที่ดินของจำเลย แต่การใช้สิทธิของจำเลยต้องเป็นไปโดยสุจริต และไม่เกิดความเสียหายแก่ ผู้อื่นด้วย ที่ดินของจำเลยมีเนื้อที่เพียง 35 ตารางวา เป็นรูปสามเหลี่ยมชายธง มีความกว้างสุดประมาณ 2 เมตร ตามสภาพย่อมไม่สามารถใช้ประโยชน์ในการปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่จะบดบัง ทัศนียภาพหน้าที่ดินที่เป็นตึกแถวตั้งอยู่ได้ ซึ่งทัศนียภาพดังกล่าวเป็นคูน้ำและทางหลวงสายสุพรรณบุรี - ชัยนาท หมายเลข 340 ที่อยู่หน้าที่ดินของจำเลย ส. เจ้าของที่ดินเดิมก็คงคาดหมายเช่นนี้ จึงสร้างตึกแถวขาย แต่เมื่อมีกำแพงทึบสูงถึง 2.70 เมตร ย่อมทำให้ชั้นล่างของตึกแถวถูกบดบังและผู้อยู่ อาศัยย่อมไม่อาจเห็นทัศนียภาพดังกล่าวได้ ทำให้ผู้อยู่ในตึกแถวเสียโอกาสเห็นความเป็นไปบนทางหลวง และผู้สัญจรบนทางหลวงไม่อาจเห็นตึกแถวได้ชัดเจนเช่นกัน ย่อมทำให้ผู้อยู่ในตึกแถวเสียโอกาสในการ ค้าขาย การที่จำเลยทำกำแพงคอนกรีตทึบสูง 2.70 เมตร โดยขาดเหตุผล จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต และเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่ให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม อันเป็นการไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 โดยในฎีกานี้ จำเลยได้สร้างกำแพงทึบสูงถึง 2.70 เมตร และทำให้บดบังทัศนียภาพ และเกิดผลเสีย ต่าง ๆ ตามมา คำกล่าวอ้างของจำเลยในการสร้างกำแพงนี้ก็คือ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อยู่อาศัยบริเวณตึกนั้นทิ้ง ขยะลงมาในที่ดินของจำเลยได้ และจำเลยไม่ยอมรื้อถอนกำแพง จึงเป็นเหตุให้คดีมาสู่ศาล โดยคำพิพากษานี้ ศาลฎีกาได้วางหลักเอาไว้ว่า พิจารณาจากที่ดินของจำเลยแล้ว เป็นที่ดินที่ไม่อาจใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง อาคารได้ และการสร้างกำแพงนั้น ทำให้บดบังทัศนียภาพ และเกิดความเสียหายต่างๆตามมาต่อเจ้าของตึก และผู้อยู่อาศัย การสร้างกำแพงนี้จึงขาดเหตุผล และไม่สุจริต เป็นการไม่ชอบด้วยมาตรา 421 กลบร่องน้ำที่อยู่ติดกัน ฎีกาที่ 12973/2555 โจทก์และเจ้าของที่ดินเดิมใช้น้ำจากคลองชลประทานผ่านร่องน้ำในที่ดิน ของจำเลยที่ 1 ในการทำนามาเป็นเวลาเกินกว่าสิบปีแล้วตั้งแต่ก่อนที่ดินเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 รู้ ดีแสดงว่าจำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าถ้าจำเลยที่ 1 กลบร่องน้ำในที่ดินของจำเลยที่ 1 เสีย ผลเสียหายย่อม เกิดขึ้นแก่การทำนาและเลี้ยงปลาของโจทก์อย่างแน่นอน ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 กลบร่องน้ำในที่ดินของ จำเลยที่ 1 เพื่อ มิให้โจทก์ได้ใช้น้ำที่ไหลผ่านร่องน้ำนั้นในการทำนาและเลี้ยงปลาต่อไป ย่อมเป็นการใช้สิทธิ ซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่น เป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 421 โจทก์จึงมี


9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สิทธิฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 เปิดร่องน้ำนั้นเพื่อโจทก์จะได้ใช้น้ำที่ผ่านมาทางร่องน้ำนี้ทำนาและเลี้ยงปลา ตามเดิมต่อไปได้ ปิดกั้นทางน้ำ ฎีกาที่ 37/2529 การใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นนั้นเป็นการอันมิชอบด้วย กฎหมาย โจทก์จำเลยมีตึกแถวอยู่ติดกันและมีท่อระบายน้ำโสโครกฝังอยู่ด้านหลังของตึกแถวเป็นแนว เดียวกัน1ท่อเพื่อระบายน้ำร่วมกันไปสู่ท่อระบายน้ำสาธารณะโจทก์จำเลยมีเรื่องพิพาทกันมาก่อนแล้ว จำเลยนำแผ่นเหล็กเจาะรูเล็กๆปิดกั้นทางระบายน้ำที่จะระบายมาจากบ้านโจทก์จนเป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมขัง บ้านโจทก์เป็นการกระทำที่จงใจจะให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ถึงแม้จะกระทำในที่ดินของตนเองก็เป็นการ ใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นอันเป็นการกระทำโดยละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา421 โจทก์ร้องขอให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาในกรณีฉุกเฉินให้จำเลยรื้อถอนแผ่น เหล็กดังกล่าวออกเมื่อศาลอนุญาตแล้วโจทก์ก็เอาแผ่นเหล็กที่จำเลยนำไปปิดกั้นออกการกระทำของโจทก์ ดังกล่าวได้รับความคุ้มครองตามคำสั่งศาลอันชอบด้วยกฎหมายถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยละเมิด *ฎีกาที่ 660/2564 เดิมเมื่อมีพายุฝนตกน้ำฝนบริเวณนั้นมีการไหลระบายผ่านท่อระบายน้ำ ใต้ถนนในซอยผ่านที่ดินของจำเลยทั้งสองสู่ห้วยสาธารณะ ซึ่งจำเลยทั้งสอง จำต้องยอมรับน้ำฝนที่ไหล ระบายดังกล่าวผ่านที่ดินของตนเพื่อปล่อยให้ไหลผ่านลงสู่ห้วยสาธารณะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๙ วรรค หนึ่ง และมาตรา ๑๓๔๐ วรรคหนึ่ง การที่จำเลยทั้งสองปิดกั้นท่อระบายน้ำทำพนังกั้นน้ำ และถมกลบ ลำรางในที่ดินของตนเองจนเป็นเหตุให้เกิดน้ำเอ่อล้นและท่วมขังส่งผลกระทบไปจนถึงที่ดินของโจทก์ จึงเป็นการใช้สิทธิอันมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นเป็นละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๑ และโจทก์มีสิทธิ ที่จะปฏิบัติการให้ความเสียหายนั้นสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๗ ให้รื้อถอนคันดินบริเวณปากท่อที่ฝังใต้ ถนนในซอยและจัดทำลำรางให้มีสภาพเช่นเดิม ก่อสร้างหลุมฝังศพ ฎีกาที่ 1581/2538 ตามสภาพของหลุมฝังศพย่อมก่อให้เกิดความหวาดกลัวในเรื่องภูติผีวิญญาน และเป็นที่รังเกียจแก่ผู้ที่มิใช่ญาติผู้ตายซึ่งมีบ้านเรือนอยู่ใกล้หลุมฝังศพการที่จำเลยที่ 1 สร้างหลุมฝังศพหรือ ฮวงซุ้ยเพื่อเก็บศพของ ส.สามีจำเลยที่ 1ในที่ดินของตนเองห่างจากบ้านของโจทก์ทั้งสองประมาณ 10 เมตร โดยที่ดินของโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 เป็นที่อยู่อาศัย ไม่เคยมีหลุมฝังศพมาก่อนและไม่ปรากฎว่าบริเวณ ใกล้เคียงมีหลุมฝังศพแต่อย่างใด ทั้งตามประเพณีแห่งท้องถิ่นก็ไม่นิยมให้มีการฝังศพในเขตหมู่บ้าน ดังนี้การ กระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1337 1.2 ประเด็นการก่อสร้างปิดกั้น “ทางสาธารณะ” ฎีกาที่ 9671-9675/2544 เมื่อจำเลยใช้สิทธิของตนปลูกบ้านในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินปิด หน้าที่ดินของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถจะใช้หรือได้รับประโยชน์จากที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน นั้นได้โดยสะดวก ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายในการใช้ที่ดิน ของโจทก์ ถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ กรณีต้องบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 421และ 1337 การที่จำเลยปลูกบ้านอยู่ก่อนก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ผู้มาทีหลังต้องเสียสิทธิ


10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ดังกล่าวไม่ โจทก์จึงมีสิทธิปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนให้สิ้นไปโดยฟ้องจำเลยให้รื้อ ถอนสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยปลูกสร้างอยู่ในที่ดินของกรมชลประทานอันเป็นการกีดขวางทางที่โจทก์เข้าออก เพื่อใช้ประโยชน์ในคลองมหาสวัสดิ์อันเป็นทางสาธารณะได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 32/2559,9183/2551,387-388/2550,480/2552 วินิจฉัย ทำนองเดียวกัน) โดยที่ดินนี้เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ อยู่ในความดูแลของกรมชลประทาน ตำแหน่งของที่ดินนี้กีด ขวางทางที่โจทก์เข้าออก เพื่อที่จะสามารถไปใช้ประโยชน์ในคลองสาธารณะ กล่าวคือ จำเลยนั้นไปปลูก สร้างบ้านในที่ดินของกรมชลประทานซึ่งเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินและทำให้โจทก์ซึ่งอาศัยอยู่ ด้านหลังบ้านที่จำเลยมาสร้าง ไม่สามารถที่จะออกสู่คลองซึ่งเป็นทางสาธารณะได้ กรณีนี้จึงถือว่าเป็นการใช้ สิทธิเกินส่วนนั่นเอง ฎีกาที่ 988/2562 สะพานไม้ของโจทก์ที่ 1 สร้างอยู่บนคลองระบายพระยาพิสูตร์หรือคลองแสม ขาว ซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนมีสิทธิใช้ร่วมกัน โดยโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ใช้ประโยชน์ใน สะพานมาก่อน โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิใช้ประโยชน์ในสะพานรวมทั้งที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยทั้งสอง การที่จำเลย ทั้งสองรื้อถอนสะพานไม้ของโจทก์ที่ 1 เหลือแต่เสาบางส่วน สร้างบ้านพักคนงานคร่อมบนสะพานและทำ คานไม้สำหรับวางสิ่งของ เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ไม่สามารถนำเรือมาจอดเทียบสะพานได้ จึงเป็นการทำ ละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 1 ย่อมมีสิทธิได้รับค่าเสียหายนับแต่วันที่จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 ปัญหาในฎีกานี้คือ ต่างคนต่างใช้สิทธิและไปกระทบสิทธิซึ่งกันและกัน กรณีเช่นนี้ ถือว่ามีการ กระทำละเมิด เพราะมีการใช้สิทธิในที่สาธารณประโยชน์ที่เกินส่วน โดยประเด็นนี้จะต้องพิจารณาว่า การที่ โจทก์ได้สร้างสะพานไม้อยู่บนคลองนั้น เป็นการทำให้จำเลยไม่มีสิทธิที่จะออกสู่คลองสาธารณะหรือไม่ แต่ใน กรณีนี้ ไม่ได้ปรากฏว่าจำเลยไม่สามารถออกไปสู่คลองสาธารณะได้หรือไม่อย่างไร ตรงกันข้าม การที่จำเลย ไปรื้อสะพานของโจทก์ที่ได้ใช้งานมาก่อนหน้า เป็นการทำให้โจทก์เสียสิทธิในการใช้ประโยชน์จากสะพานนั้น โดยตามหลักกฎหมาย หากพิพาทกันในที่ดินสาธารณะ จะพิจารณาว่าใครเป็นผู้ใช้ประโยชน์ก่อน ตนนั้น ย่อมมีสิทธิที่ดีกว่า แต่ทว่าไม่สามารถจะใช้สิทธินั้นยันต่อรัฐได้ แต่ถ้าการใช้สะพานนี้ทำให้จำเลยไม่สามารถ จะออกสู่คลองสาธารณะได้ เช่นนี้ย่อมเป็นการใช้สิทธิในลักษณะที่กระทบต่อบุคคลอื่น ๆ ฎีกาที่ 8027/2546 ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตทางหลวง แต่ก็มิใช่ตัวทางหลวง ไม่ว่าจะเป็นผิวจราจร หรือทางเท้า ที่ดินของโจทก์จึงมิได้เชื่อมกับถนนกันตังเนื่องจากยังมีที่ดินพิพาทคั่นอยู่ หากโจทก์จะเข้าออก ระหว่างที่ดินของโจทก์กับถนนกันตัง โจทก์จะต้องผ่านที่ดินพิพาทเสียก่อนซึ่งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับ อนุญาตให้ทำถนนจากที่ดินของโจทก์ต่อเชื่อมกับถนนกันตังโดยผ่านที่ดินพิพาท เมื่อที่ดินของโจทก์มิได้ ติดต่อกับถนนกันตังมาแต่เดิมเนื่องจากมีที่ดินพิพาทคั่นอยู่และจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทมาก่อนที่โจทก์จะ ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของตน โจทก์จะอ้างว่าได้รับความเสียหายเป็นพิเศษเนื่องจากจำเลยครอบครอง ที่ดินพิพาทกีดขวางทางออกสู่ถนนกันตังหาได้ไม่ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 และมาตรา 1337 ในอันที่โจทก์จะขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งก่อสร้างและต้นมะพร้าวออก จากที่ดินพิพาทได้


11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กรณีพิพาทนี้ มีถนนสาธารณะอยู่ด้านหน้า และมีที่ดินสาธารณประโยชน์ที่อยู่ในความดูแลของผู้อื่น คั่นอยู่ จากนั้นก็เป็นที่ของโจทก์ ปรากฏว่า จำเลยซึ่งอยู่บนที่ดินสาธารณะที่อยู่ด้านหน้าที่ดินของโจทก์ ได้ทำการปลูกต้นไม้และสร้างห้องน้ำบดบังหน้าที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ออกสู่ทางสาธารณะไม่ได้ โดย จำเลยได้มาใช้ประโยชน์ในที่ดินสาธารณะนั้นก่อน เช่นนี้จะถือว่าเป็นการกระทบสิทธิในการออกไปสู่ทาง สาธารณะไม่ได้ เพราะศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ใช้สิทธิมาก่อน 1.3 ประเด็นการก่อสร้างสะพานลอย ฎีกาที่ 4857/2553 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และจำเลยร่วม ร่วมกันกำหนดจุดก่อสร้างสะพานลอย พิพาท เพื่อประโยชน์ในทางธุรกิจการค้าของจำเลยที่ 2 และจำเลยร่วม อันเป็นการใช้สิทธิของตนเป็นเหตุ ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ ว่าจะเป็นไปตามปกติหรือเหตุอันควร อันเป็นละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาที่ 40/2502 บทบัญญัติมาตรานี้ใช้บังคับรวมทั้งนิติบุคคลเช่นเทศบาลและจังหวัดด้วย การที่ สร้างทางเดินเท้าผ่านหน้าที่ดินของบุคคลอื่นอันเป็นเหตุให้เจ้าของที่เดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรแล้ว แม้ทางเดินเท้านั้นจะอยู่ในที่สาธารณะและเมื่อผู้สร้างสร้างแล้ว อุทิศให้เป็นทางสาธารณะด้วย เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นก็ยังคงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1337 นี้อยู่ โดยฎีกานี้ต้องการที่จะขยายความในมาตรา 1337 ว่า ใช้บังคับกับหน่วยงานปกครองท้องถิ่น หรือ หน่วยงานของรัฐด้วย กล่าวคือ จะใช้ที่ดินสาธารณะให้เป็นที่เดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่นโดยไม่จำเป็น หรือ เกินกว่าที่ควรจะคาดหมาย ก็เป็นละเมิดได้เช่นเดียวกัน 1.4 ประเด็นการวางของกีดขวางทางสาธารณะ ฎีกาที่ 624/2544 บริษัท ม. จัดสรรพื้นคอนกรีตบนที่ว่างด้านหน้าอาคารของโจทก์และจำเลย รวมตลอดถึงด้านหน้าที่ดินที่จัดสรรทุกแปลงเป็นทางสำหรับให้บุคคลที่ซื้อบ้านที่บริษัท ม. ได้จัดสรรขายใช้ เข้าออกสู่ถนนพหลโยธินได้ การที่จำเลยให้พนักงานของจำเลยและลูกค้าที่มาติดต่อกับจำเลยใช้และ นำ กระถางต้นไม้วางบนพื้นที่ไปจนถึงทางเท้าริมถนนพหลโยธินเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจใช้พื้นที่เข้าออกได้ แม้เป็นการชั่วคราวแต่ก็เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่ให้เกิดเสียหายแก่โจทก์อันเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 และยังเป็นการใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความ เสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรตามมาตรา 1337 อีกด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปได้ คำพิพากษานี้มีข้อเท็จจริงว่า มีอาคารอยู่คนละฝั่งตรงข้ามกันและมีถนนเข้าออกซอย ปรากฏว่า จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่อาคารฝั่งหนึ่ง ได้นำกระถางต้นไม้มาวางเพื่อประดับความสวยงามของอาคารตน เป็นเหตุให้ทางเท้านั้นแคบ และโจทก์ไม่สามารถจะใช้ทางเข้าออกได้อย่างสะดวก โดยฝ่ายจำเลยได้อ้างว่าใช้ ตั้งชั่วคราว กรณีเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการใช้ถนนหลวงที่ล่วงสิทธิของคนอื่น ๆ จนทำให้เกิดความเสียหายต่อ บุคคลอื่น


12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง *ฎีกาที่ 4776/2564 ขณะที่จำเลยที่ ๒ ซื้อที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ไม่ทราบ มาก่อนว่าจำเลยที่ ๑ ให้คำรับรองแก่โจทก์ทั้งหกว่าจะนำที่ดินพิพาทไปก่อสร้างอาคารพาณิชย์การซื้อขาย ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ จึงเป็นการซื้อขายโดยสุจริต ต่อมาจำเลยที่ ๒ นำที่ดินพิพาท ไปให้จำเลยที่ 3 เช่าโดยจำเลยที่ 3 นำที่ดินที่เช่าไปขออนุญาตปลูกสร้างและขออนุญาตประกอบกิจการ สถานีบริการแก๊สถูกต้องตามกฎหมาย โดยก่อนที่จะออกใบอนุญาตให้จำเลยที่ 3 ตั้งสถานีบริการแก๊สได้นั้น ต้องผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานราชการหลายหน่วยงานด้วยกัน โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยและ ผลกระทบต่าง ๆ การที่โจทก์ทั้งหกอ้างว่าการก่อสร้างสถานีบริการแก๊สอาจมีผลกระทบต่อความปลอดภัย ต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย และทรัพย์สินรวมทั้งสภาพความเป็นอยู่ของโจทก์ทั้งหกจึงเกิดจากการคาดคะเน ของโจทก์ทั้งหกเอง ซึ่งกรณีที่โจทก์ทั้งหกจะได้รับความเดือดร้อนถึงกับต้องใช้สิทธิเพื่อยังความเดือดร้อน ให้สิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๗ นั้น จะต้องได้ความว่าเป็นความเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมาย ได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควร การที่จำเลยที่ ๓ ใช้สิทธิใช้สอยทรัพย์พิพาทที่จำเลยที่ 3 เช่า จากจำเลยที่ ๒ โดยมีการขออนุญาตปลูกสร้างและขออนุญาตประกอบกิจการสถานีบริการแก๊สโดยถูกต้อง ตามกฎหมายแล้ว จึงเป็นการใช้สิทธิโดยปกติโดยมีเหตุสมควร ถือไม่ได้ว่าเป็นการใช้สิทธิเกินส่วนซึ่งมีแต่จะ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งหกหรือเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งหกเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมาย อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งหกตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๑ และมาตรา ๑๓๓๗ การกระทำของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งหก *ฎีกาที่ 2576/2562 จำเลยขุดดินในที่ดินของจำเลยนำไปขายธุรกิจรับเหมาถมดิน โดยขุดทั้ง แปลง 25 ไร่ลึกกว่า 3 เมตร ห่างจากแนวเขตที่ดินโจทก์น้อยกว่า 50 เซนติเมตร ทำให้ที่ดินจำเลยมีสภาพ เป็นบ่อขนาดใหญ่และที่ดินโจทก์มีสภาพเป็นขอบบ่อสูงชัน ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา1342 วรรคหนึ่ง บัญญัติ ว่า “บ่อ สระ หลุมรับน้ำโสโครก หรือหลุมรับปุ๋ย หรือขยะมูลฝอยนั้น ท่านว่าจะขุดในระยะสองเมตรจาก แนวเขตที่ดินไม่ได้” และตาม ป.พ.พ. มาตรา 1343 บัญญัติห้ามมิให้ขุดดินจนอาจเป็นเหตุอันตรายแก่ ความอยู่มั่นแห่งที่ดินติดต่อเว้นแต่จะจัดการเพียงพอเพื่อป้องกันความเสียหาย โดยบทบัญญัติดังกล่าวมี เจตนารมณ์ที่จะป้องกันมิให้ที่ดินซึ่งอยู่ชิดแนวเขตนั้นพังลงตามธรรมชาติเนื่องจากการขุดดินใกล้แนวเขต มากจนเกินไป และเมื่อจำเลยขุดดินของตนเองเป็นบ่อขนาดใหญ่ห่างจากแนวเขตน้อยกว่า 50 เซนติเมตร ย่อมเป็นเหตุให้ที่ดินโจทก์พังลงตามธรรมชาติได้แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยขุดดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์แต่ก็ เป็นการที่จำเลยใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์อันเป็นการละเมิด ป.พ.พ. มาตรา 421 และ เป็นการใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือ คาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินนั้นมา คำนึงประกอบ โจทก์ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวมีสิทธิจะปฏิบัติการเพื่อยังความ เสียหายเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปและไม่ลบล้างสิทธิที่จะเรียกเอาค่าทดแทน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1337 วันนี้ขอยุติการบรรยายแต่เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ


1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ ๑/๗6 วิชา ละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ บรรยายวันที่ 10 กรกฎาคม ๒๕๖6 (ครั้งที่ 7) (สัปดาห์ที่ 8) สวัสดีครับนักศึกษาคราวที่แล้วเราได้กล่าวไปว่าการทำละเมิดนั้นจะต้องเป็นการกระทำที่ผิดต่อ กฎหมาย คราวนี้เราจะมาต่อในเรื่องการใช้สิทธิที่ไม่สุจริต นะครับ ประเด็นการใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต ไม่ว่าจะเป็นการนำคดีไปฟ้องก็ดี ไปยื่นคำร้องขอบังคับคดีก็ดี ขอคุ้มครองชั่วคราวก็ดี กรณีเช่นนี้จะ ถือว่าเป็นการใช้สิทธิทางศาล นักศึกษาควรจำไว้ว่า ถ้าเรามีสิทธิตามกฎหมาย แล้วเราได้ใช้สิทธินั้นตาม กฎหมายโดยการที่ยื่นฟ้อง หรือใช้หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นศาลหรือหน่วยงานอื่น ก็แล้วแต่ เพื่อให้คุ้มครองสิทธินั้น ถ้าเป็นไปโดยสุจริตแล้ว หลักการมักจะได้รับความคุ้มครองเสมอ แต่การใช้ สิทธิโดยสุจริตนั้น จะต้องไม่กระทำโดยประมาทเลินเล่อด้วย ฎีกาที่ 7271/2560 แม้การยื่นคำร้องต่างๆของฝ่ายจำเลยในชั้นขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด จะเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย แต่พฤติการณ์ตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเป็นการกระทำโดยมีเจตนาประวิง เวลาเพื่อหวังผลในทางคดีและมีผลประโยชน์จากค่าเช่า ที่จำเลยที่ 1 ยังคงนำอาคารพิพาทออกให้ บุคคลภายนอกเช่าตลอดมาระหว่างมีข้อพิพาทในชั้นบังคับคดี อันแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้มีเจตนาใช้ สิทธิของตนโดยสุจริต จึงเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่โจทก์เป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 421 รับฟังได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่6702/2553) ข้อสังเกต ข้อเท็จจริงในคำพิพากษานี้ คือ การที่จำเลยได้ใช้ข้ออ้างต่าง ๆ เพื่อประวิงเวลา โดย ขณะที่ทำการอ้างขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดนั้น จำเลยได้นำอาคารพิพาทออกให้เช่าอยู่ ศาลมองว่า เช่นนี้เป็นการประวิงคดีโดยไม่สุจริต ไม่ใช่การสู้คดีตามปกติที่ควรจะเป็น และเมื่อเป็นการใช้สิทธิโดยไม่ สุจริต แม้จะเป็นการดำเนินคดีในชั้นศาลก็เป็นการใช้สิทธิที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ตาม มาตรา 421 ถือว่าเป็นละเมิด ฎีกาที่ 843/2539 โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจำเลยนำคดีมาฟ้องโจทก์ว่าผิดสัญญา ซื้อขายที่ดินพิพาทโดยขณะที่จำเลยยื่นฟ้องนั้นโจทก์ไม่เคยมีภูมิลำเนาและไม่เคยอาศัยอยู่ในบ้านตามที่โจทก์ ระบุในคำฟ้องในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่โจทก์แม้บุคคลที่อยู่ในบ้านจะแจ้งว่าไม่มีคนชื่อ เดียวกับโจทก์อยู่ในบ้านดังกล่าวจำเลยก็แถลงยืนยันว่าโจทก์มีภูมิลำเนาตามฟ้องโดยไม่ได้แสดงหลักฐานต่อ ศาลแสดงให้เห็นว่าได้มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าที่จะฟ้องโดยไม่ได้แสดงหลักฐานต่อศาลแสดงให้เห็นว่าได้มี การเตรียมการไว้ล่วงหน้าที่จะฟ้องโจทก์โดยไม่ให้โจทก์ทราบว่าถูกฟ้องนอกจากนี้ชื่อโจทก์ที่ระบุในคำฟ้องก็ ไม่ตรงกับชื่อโจทก์ที่แท้จริงทำให้โจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาหลังจากศาลพิพากษาแล้ว จำเลยได้นำคำพิพากษาไปให้เจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นของจำเลยทั้งๆที่ชื่อโจทก์ในคดี ที่จำเลยฟ้องไม่ตรงกับชื่อในโฉนดที่ดินพฤติการณ์ของจำเลยในการดำเนินคดีและการจดทะเบียนโอน กรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นอันเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายตาม


2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 421 ถือว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามมาตรา 420ดังนั้นการได้ ที่ดินพิพาทของจำเลยเป็นการได้ไปโดยกระทำละเมิดต่อโจทก์โจทก์จึงขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอน ที่ดินพิพาทดังกล่าวได้ ในคำพิพากษานี้ประเด็นคือการจงใจให้ที่อยู่อีกฝ่ายผิด เพื่อให้ตนเองชนะคดีโดยไม่มีการต่อสู้คดี เช่นนี้ถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เป็นละเมิด ฎีกาที่ 785/2560 จำเลยกระทำความผิดโดยปลอมแปลงเอกสารสัญญากู้เงินและใช้เอกสาร ปลอมดังกล่าว แล้วโจทก์ทั้งสองมาฟ้องคดีนี้ว่าจำเลยปลอมและใช้เอกสารสัญญากู้เงินปลอม อันเป็นสัญญา กู้เงินฉบับเดียวกัน ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายตามผลการกระทำความผิดอาญาดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดี แพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การรับฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ย่อมต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษา คดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ว่า จำเลยได้ปลอมเอกสารสัญญากู้ เงินและนำเอกสารปลอมดังกล่าวไปฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1000/2545 ของศาล ชั้นต้น แม้คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1000/2545 ของศาลชั้นต้น จะพิพากษาว่าจำเลยมิได้ปลอมและใช้ เอกสารสัญญากู้เงินปลอม และคดีถึงที่สุดแล้ว ซึ่งแตกต่างกับคำวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีนี้ ก็ถือว่าเป็นกรณีที่ มีคำพิพากษาอันเป็นที่สุดของสองศาลซึ่งต่างชั้นกัน ต่างกล่าวถึงการปฏิบัติชำระหนี้อันแบ่งแยกจากกันไม่ได้ จำต้องถือตามผลคำพิพากษาคดีนี้ ซึ่งเป็นคำพิพากษาของศาลที่สูงกว่าตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 146 ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยปลอมเอกสารสัญญากู้เงินและใช้เอกสารปลอมดังกล่าว ฟ้องโจทก์ทั้งสองตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1000/2545 ของศาลชั้นต้น ในกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นนักกฎหมาย ทราบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดีอยู่แล้วว่าการกระทำของ โจทก์นั้นไม่มีมูลความผิดฐานหมิ่นประมาท แต่ยังฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีอาญา กรณีเช่นนี้ต้องถือว่า เป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะก่อให้บุคคลอื่นเสียหาย การกระทำของจำเลย จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ย่อมเป็นการทำละเมิดแก่โจทก์ ฎีกาที่ 826/2564 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.3760/2559 ของศาลแขวงสมุทรปราการ จําเลยยกเรื่องการบรรยายฟ้องในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ พ.2283/2559 ของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งบรรยายฟ้องว่า “....จำเลยทั้งเก้ามีพฤติการณ์แสดงถึงความไม่สุจริต ฉ้อฉล หลอกลวงชาวต่างชาติ มาเป็นเหตุอ้างในฟ้อง เพื่อให้โจทก์รับผิดในข้อหาหมิ่นประมาทร่วมกับบริษัท จ. และ พ. การที่จำเลยฟ้อง โจทก์เป็นจำเลยในคดีอาญา จึงเป็นการบ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะทําให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนและ เสียหายจากการที่ต้องตกเป็นจำเลยในคดีอาญา อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากข้อความที่จำเลยอ้างว่ามีเนื้อหา หมิ่นประมาทจำเลยนั้น ก็พบว่าเป็นเพียงข้อความที่กล่าวมาในฟ้องเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีเหตุสมควรที่จะ เพิกถอนนิติกรรม ซึ่งเป็นข้อหาหนึ่งในคำฟ้อง คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ พ.2283/2559 ของศาลจังหวัด สมุทรปราการ จึงต้องถือว่าเป็นเรื่องที่คู่ความหรือทนายความของคู่ความแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใน กระบวนพิจารณาคดีในศาลเพื่อประโยชน์แก่คดีของตนตาม ป.อ. มาตรา 331 ย่อมไม่เป็นความผิดฐาน หมิ่นประมาทและจำเลยซึ่งมีอาชีพนักกฎหมายย่อมทราบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังกล่าวที่ว่า การกระทำของโจทก์ไม่มีมูลความผิดฐานหมิ่นประมาท แต่ยังมาฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีอาญา


3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง หมายเลขแดงที่อ.3760/2560 อันเป็นการใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะให้บุคคลอื่นเสียหาย ส่วนการที่ศาลจังหวัด สมุทรปราการ เพิกถอนคำสั่งที่รับฟ้องโจทก์ในส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ ๔ เป็นไม่รับฟ้องแล้วให้ไปฟ้องจำเลยที่ 4 ถึงที่ ๙ ต่อศาลที่มีอยู่ในเขตอำนาจนั้น ก็หาใช่เหตุที่จำเลยจะยกขึ้นอ้างเพื่อปฎิเสธฟ้องโจทก์ไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จงใจหรือประมาทเลินเล่อ (Intentional or negligent) หลักการที่จะพิจารณาว่ามีการละเมิด หรือไม่นั้น จะพิจารณาว่ามีการจงใจหรือประมาทเลินเล่อหรือไม่ จงใจ (Intentional) คือรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของตน แต่ไม่จำเป็นต้อง ประสงค์ต่อผลในความเสียหายนั้น ส่วนผลเสียหายจะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดไม่สำคัญ แม้ผลเสียหายจะ เกิดขึ้นมากกว่าที่ตั้งใจ ถ้าได้กระทำโดยเข้าใจว่าจะมีผลเสียหายอยู่บ้างแล้ว แม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็เป็นการ จงใจอยู่นั่นเอง ฎีกาที่ 3503/2543 การกระทำโดยเจตนาในทางอาญาและการกระทำโดยจงใจในทางแพ่งมี ความหมายทำนองเดียวกัน กล่าวคือ การกระทำโดยเจตนาในทางอาญา หมายถึงการกระทำโดยรู้สำนึกใน การกระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น ส่วนการ กระทำโดยจงใจในทางแพ่ง หมายถึง กระทำโดยรู้สำนึกถึงผลเสียหายที่จะเกิดจากการกระทำของตนหรืออีก นัยหนึ่งคือ กระทำโดยรู้ว่าจะเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น อันมีความหมายกว้างกว่าการกระทำโดยเจตนา ในทางอาญา ความแตกต่างระหว่าง จงใจทางแพ่งกับเจตนาทางอาญา เจตนา ต้องมีความมุ่งหมายอันประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะ ส่วนจงใจนั้น ไม่จำต้องมุ่งหมายต่อผลอันใดโดยเฉพาะ เพียงแต่รู้ว่าจะเกิดความเสียหายแก่เขาเท่านั้นก็เพียงพอ ฎีกาที่ 1104/2509 จำเลยถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 290 ถือว่าจำเลยได้ทำละเมิดต่อผู้ตายแล้ว เพราะการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายก็เป็น การกระทำโดยจงใจทำร้ายผู้ตายโดยผิดกฎหมายอยู่ในตัวแล้ว แม้จะไม่มีเจตนาฆ่าก็ได้ชื่อว่ากระทำละเมิด แต่การละเมิดนั้นถึงกับมีเจตนาจะฆ่าหรือทำให้ตายโดยไม่มีเจตนานั้นเป็นเรื่องของเจตนาในการทำผิดทาง อาญา เจตนากระทำกับจงใจกระทำจะตีความอนุโลมอย่างเดียวกันมิได้ ฎีกาที่ 5129/2546 จำเลยที่ 1 ได้รับมอบหมายให้สอนวิชาพลศึกษาถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้รับ มอบหมายให้ดูแลนักเรียนให้ได้รับความปลอดภัยในชั่วโมงดังกล่าวด้วย การสั่งให้นักเรียนวิ่งรอบสนามซึ่งมี ระยะทางประมาณ 200 เมตร ต่อ 1 รอบ จำนวน 3 รอบ ถือเป็นการอบอุ่นร่างกายนับเป็นสิ่งที่เหมาะสม แม้เมื่อนักเรียนวิ่งไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยในการวิ่งครบ 3 รอบแล้ว จำเลยที่ 1 ได้สั่งให้วิ่งต่ออีก 3 รอบ จะถือเป็นวิธีการทำโทษที่เหมาะสมตามควรแก่พฤติการณ์แล้วแต่การที่นักเรียนทั้งหมดยังวิ่งได้ไม่เรียบร้อย แบบเดิมอีก จำเลยที่ 1 ก็ควรหามาตรการหรือวิธีการลงโทษโดยวิธีอื่น การที่สั่งให้วิ่งต่อไปอีก 3 รอบและ เมื่อนักเรียนยังทำได้ไม่เรียบร้อย จำเลยที่ 1 ก็สั่งให้วิ่งต่อไปอีก 3 รอบ ในช่วงเวลาหลังเที่ยงวันอากาศร้อน และมีแสงแดดแรงนับเป็นการใช้วิธีการลงโทษที่ไม่เหมาะสม เพราะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของนักเรียน ซึ่งอายุระหว่าง 11 ปี ถึง 12 ปีได้ จึงเป็นการกระทำโดยไม่ชอบและเป็นความประมาทเลินเล่อ ทั้งการออก


4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กำลังกายโดยการวิ่งย่อมทำให้หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ จำนวนรอบที่เพิ่มมากขึ้น ย่อมทำให้หัวใจต้องทำงาน หนักขึ้นเมื่อเป็นเวลานานย่อมเป็นอันตรายต่อหัวใจที่ไม่ปกติจนทำให้เด็กชาย พ. ซึ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อน แล้วล้มลงในการวิ่งรอบที่ 11 และถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาเพราะสาเหตุระบบหัวใจล้มเหลว จึงเป็นผล โดยตรงจากคำสั่งของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ทราบว่าเด็กชาย พ. เป็นโรคหัวใจก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้เด็กชาย พ. ถึงแก่ความตาย แต่ความไม่รู้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นเหตุ ประกอบดุลพินิจในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้น้อยลง รู้ว่าจะเกิดความเสียหาย ฎีกาที่ 3548/2539 เมื่อคดีอาญาฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำให้ทรัพย์ของโจทก์เสียหายในการพิพากษา คดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏ ในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญามาตรา46 แม้คดีส่วนแพ่งมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้าม ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งประกอบประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 40 ก็ตาม แต่เมื่อการพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริง ตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาซึ่งเป็นข้อกฎหมายจึงต้องฟังว่าจำเลยที่1 มิได้ทำละเมิดอันจะต้อง ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ ฎีกาที่ 5521/2550 การที่จะถือว่าบุคคลหนึ่งปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของบุคคลอื่น โดยสุจริตหรือไม่สุจริตนั้น จะต้องดูในขณะที่ก่อสร้างว่าผู้ก่อสร้างรู้หรือไม่ว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของคนอื่น ถ้ารู้ ก็ถือว่าก่อสร้างโดยไม่สุจริต แต่ถ้าในขณะที่ก่อสร้างไม่รู้ว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของบุคคลอื่นเข้าใจว่าเป็นที่ดิน ของตนเองจึงสร้างโรงเรือนลงไปครั้นมาภายหลังจึงรู้ความจริงก็ถือว่าเป็นการก่อสร้างรุกล้ำโดยสุจริต จำเลย ทั้งสองรู้แล้วว่าจำเลยทั้งสองปลูกสร้างอาคารและรั้วรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ในขณะที่เริ่มก่อสร้างแต่ เพียงบางส่วน แต่จำเลยทั้งสองยังจงใจก่อสร้างต่อไปจนแล้วเสร็จ ทั้งๆ ที่โจทก์ได้แจ้งให้ทราบก่อนแล้ว การ กระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ประมาทเลินเล่อ (negligent) คือ การกระทำโดยไม่จงใจ แต่ไม่ได้ใช้ความระวังเท่าที่สมควร จะต้องใช้ ระดับความระวังนั้น ใช้มาตรฐานเทียบกับบุคคลที่มีความระวังตามพฤติการณ์เช่นเดียวกับ ผู้กระทำให้เกิดความเสียหาย ระดับความระวัง จึงขึ้นอยู่กับผู้กระทำแต่ละราย จะไม่ใช้มาตรฐานกลางของ วิญญูชน กรณีที่ผู้กระทำเป็นหญิง ชาย ผู้ป่วย คนปกติ ย่อมจะต้องมีความระมัดระวังไม่เท่ากัน ตามพฤติการณ์ ฎีกาที่ 769/2510 จำเลยเป็นหญิงอายุ 28 ปี ขับรถมาคนเดียว ขณะหยุดรถรอสัญญาณไฟเมื่อ เวลา 21 นาฬิกาได้มีคนร้ายเปิดประตูรถเข้าไปนั่งคู่และใช้ระเบิดมือขู่ให้ขับรถไป จำเลยตกใจขับรถฝ่าฝืน สัญญาณไฟ ออกไปชนรถที่แล่นสวนมาโดยไม่ได้เจตนาตามพฤติการณ์เช่นนี้ จะว่าการชนเกิดเพราะความ ประมาทของจำเลยไม่ได้ เพราะบุคคลที่อยู่ในภาวะตกตะลึงกลัวจะให้มีความระมัดระวังเช่นบุคคลปกติ หาได้ไม่ เมื่อจำเลยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำละเมิด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่ รถชนกันนั้น


5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ผู้กระทำเป็นแพทย์ ฎีกาที่ 5009/2562 แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังว่าจำเลยที่ 2 วินิจฉัยอาการผิดพลาดเนื่องจากโจทก์ มิได้ตั้งครรภ์นอกมดลูก แต่เป็นการตั้งครรภ์ภายในมดลูกและเป็นภาวะที่แท้งบุตรไม่ครบ ซึ่งอาจจะใช้วิธีการ รักษาด้วยการขูดมดลูกหรือวิธีการอื่นโดยไม่จำต้องผ่าตัดตามที่โจทก์อ้างก็ตาม แต่กรณีจะถือว่าเป็นการ กระทำโดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ นอกจากต้องพิจารณาจากมาตรฐานการรักษาตามวิชาชีพของแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระเบียบวิธีปฏิบัติในการรักษาผู้ป่วยทางด้านสูตินรีเวชแล้ว ยังต้องพิจารณาถึง พฤติการณ์แห่งคดีและเหตุผลประการอื่นประกอบด้วย เนื่องจากพยาธิสภาพของผู้ป่วยและอาการ เจ็บป่วยจากการตั้งครรภ์ในผู้ป่วยแต่ละรายนั้นอาจมีความแตกต่างกันได้ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการวินิจฉัย ของแพทย์และนำไปสู่วิธีการรักษาที่ไม่เหมือนกันได้ หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าแพทย์ได้ตรวจรักษาผู้ป่วย โดยปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบวิธีปฏิบัติตามมาตรฐานแห่งวิชาชีพแพทย์เฉพาะทางนั้นด้วย ความระมัดระวัง รอบคอบ และเหมาะสมสอดคล้องกับสภาวการณ์จำเป็นที่ต้องให้การบำบัดรักษา ผู้ป่วยโดยเร็วเพื่อให้พ้นจากความเสี่ยงภัยอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายด้วยแล้ว แม้ผลการรักษาจะไม่ เป็นไปตามข้อวินิจฉัยของแพทย์ที่ให้ไว้ก็ตาม กรณีย่อมไม่อาจถือว่าแพทย์ผู้นั้นกระทำประมาทเลินเล่อ เมื่อจำเลยที่ 2 ได้ใช้ความระมัดระวังในการตรวจรักษาอาการเจ็บป่วยจากการตั้งครรภ์ของโจทก์ตามความรู้ ความสามารถโดยปฏิบัติถูกต้องตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพเวชกรรมและเหมาะสมกับสภาวการณ์ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นการละเมิด ข้อสังเกต ให้นักศึกษาทราบไว้ว่า หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าแพทย์ได้ทำการรักษาตามวิชาชีพแล้ว และไม่มีพฤติการณ์อื่น ๆ อันจะแสดงให้เห็นว่าเป็นการประมาท ก็ต้องถือว่าแพทย์ได้ทำหน้าที่ของตนเอง ตามวิชาชีพแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการละเมิด ฎีกาที่ 9042/2560 การตรวจอัลตราซาวด์สามารถเห็นอวัยวะส่วนต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก ร่างกายของทารกในครรภ์ได้ หากจำเลยที่ 3 ไม่สามารถมองเห็นความผิดปกติหรือความพิการของทารก ในครรภ์ก็มีหน้าที่ต้องแจ้งผลการตรวจให้โจทก์ที่ 1 ทราบว่ายังไม่สามารถตรวจพบความพิการในส่วน แขนและขาของทารกได้เพราะยังมองเห็นไม่ครบถ้วน การที่จำเลยที่ 3 แจ้งว่าทารกในครรภ์มีสภาพ ร่างกายสมบูรณ์หรือไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด ทั้งๆที่สภาพร่างกายทารกมีความพิการรุนแรง ย่อมทำ ให้โจทก์ที่ 1 เสียโอกาสในการตัดสินใจว่าจะหาทางแก้ไขเยียวยาหรือดำเนินการเกี่ยวกับโจทก์ที่ 2 และหาก โจทก์ที่ 1 ทราบข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน ย่อมมีโอกาสเตรียมใจยอมรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนการ คลอดโจทก์ที่ 2 มากกว่าที่จะรู้ถึงความพิการของโจทก์ที่ 2 โดยกะทันหันกระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจ โจทก์ที่ 1 อย่างรุนแรง การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันตรวจวินิจฉัยการตั้งครรภ์ของโจทก์ที่ 1 ไม่พบ ความพิการของโจทก์ที่ 2 และไม่ได้แจ้งโจทก์ที่ 1 ทราบข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนด้วยภาษาที่โจทก์ที่ 1 จะเข้าใจได้ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออันเป็นการละเมิดทำให้โจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหาย ทางด้านจิตใจอันเป็นความเสียหายแก่อนามัย ฎีกาที่ 6092/2552 การตรวจร่างกายของผู้ป่วยถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการที่แพทย์จะ วินิจฉัยโรคว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไร พยาธิสภาพอยู่ที่ไหนและอยู่ในระยะใดเพื่อจะนำไปสู่การรักษาได้ถูกต้อง


6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ในขั้นตอนนี้แพทย์จักต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์มิให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ เพราะ อาจนำมาซึ่งอันตรายที่จะเกิดแก่ร่างกายหรือชีวิตของผู้ป่วยในขั้นตอนการรักษาที่ต่อเนื่องกัน การที่จำเลยที่ 3 มิได้ตรวจดูอาการของโจทก์ตั้งแต่แรกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคามด้วยตนเอง แต่วินิจฉัยโรคและสั่งการรักษาอาการของโจทก์ตามที่ได้รับรายงานทางโทรศัพท์จากพยาบาลแทนโดยไม่ได้ ตรวจสอบประวัติการรักษาของโจทก์ด้วยตนเอง แม้จำเลยที่ 3 จะสอบถามอาการและประวัติการรักษาของ โจทก์จากพยาบาลก่อนที่พยาบาลจะฉีดยาให้แก่โจทก์เพื่อทำการรักษา ก็มิใช่วิสัยของบุคคลผู้มีวิชาชีพเป็น แพทย์จะพึงกระทำ ทั้งห้องแพทย์เวรกับห้องฉุกเฉินที่โจทก์อยู่ห่างกันเพียง 20 เมตร และไม่มีเหตุสุดวิสัย อันทำให้จำเลยที่ 3 ไม่สามารถมาตรวจวินิจฉัยอาการของโจทก์ได้ด้วยตนเอง ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ประมาท เลินเล่อ เมื่อพยาบาลได้ฉีดยาบริคานิลให้แก่โจทก์ตามที่จำเลยที่ 3 สั่งการหลังจากนั้นโจทก์มีอาการแพ้ยา อย่างรุนแรงโดยโจทก์ไม่มีอาการเช่นว่านั้นมาก่อน จึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 3 ทำให้ โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ กรณีเช่นนี้ ก็ได้ใช้มาตรฐานวิชาชีพทางการแพทย์มาพิจารณาเช่นเดียวกับคำพิพากษาศาลฎีกา ตัวอย่างก่อนหน้านี้โดยศาลฎีกาได้ให้เหตุผลว่าในการตรวจรักษานั้น แพทย์ต้องวินิจฉัยและตรวจร่างกาย ของคนไข้ด้วยตนเอง กรณีเช่นนี้ถือว่าแพทย์อยู่ในวิสัยที่จะสามารถตรวจเองได้ แต่ไม่ยอมตรวจ ดังนั้นจึง เป็นการทำละเมิด ***จบ***


1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา ละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ บรรยายวันที่ 17 กรกฎาคม 2566 (ครั้งที่ 8) (สัปดาห์ที่ 9) สวัสดีครับนักศึกษา คราวที่แล้วเราได้พูดในเรื่องความรับผิดของผู้ที่เป็นแพทย์ซึ่งในยุคปัจจุบันนั้น มีคดีความที่บุคลากรทางการแพทย์ตกเป็นจำเลยเป็นจำนวนมาก และคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เกี่ยวกับ แพทย์นั้น ในระยะหลังก็ออกมามากพอสมควร โดยในเรื่องการวินิจฉัยความรับผิดของแพทย์หรือบุคลากร ทางการแพทย์นั้น อาจารย์จะให้หลักกฎหมายว่า แพทย์นั้น มีสถานะและความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วย ซึ่งแต่เดิมมีความรู้สึกว่าแพทย์นั้นเป็นผู้ให้หรือผู้ช่วยเหลือมนุษย์ที่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะฝากชีวิตไว้กับแพทย์ ต่อมาความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้มีพัฒนาการ เพราะเมื่อผู้คนในสังคมมีมากขึ้น ก็จะมีคนเจ็บและคนป่วย มากขึ้น ในขณะที่การประกอบธุรกิจ ก็มีระบบและมีความแข็งแรงมากขึ้น จึงมีการจัดระบบการให้บริการ ทางการแพทย์ดังนั้น โรงพยาบาลเอกชนจึงเกิดขึ้นขึ้นมาและเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในเรื่องการ รักษาพยาบาล โดยเราจะเห็นว่าในยุคปัจจุบันนั้นจะมีโรงพยาบาลอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะเป็นโรงพยาบาลเอกชน ที่ให้บริการทางการแพทย์และคิดค่าบริการค่อนข้างจะแพง แต่ในขณะเดียวกันโรงพยาบาลของรัฐก็ยังคงมีอยู่ ทีนี้โรงพยาบาล 2 ประเภทนี้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วย กับคนไข้กับแพทย์ถามว่าแตกต่างกันหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักศึกษาจะต้องทำความเข้าใจ อาจารย์ถามว่าการที่คนไข้เดินเข้าไปใน โรงพยาบาลแล้วไปบอกความประสงค์ว่าต้องการรักษาโรคนั้นโรคนี้ไปบอกอาการเจ็บป่วย แล้วให้แพทย์ วินิจฉัย กรณีนี้ถือว่ามีนิติสัมพันธ์หรือเป็นสัญญาหรือไม่ เพราะถ้าเป็นสัญญา ก็จะเกิดหน้าที่ตามสัญญา แต่ถ้าไม่ใช่สัญญา กรณีนี้ก็ไม่มีหน้าที่ตามสัญญา แล้วการที่แพทย์รับรักษานั้น จะถือว่ามีนิติสัมพันธ์อะไร เกิดขึ้นหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น หากนักศึกษาเดินเข้าไปในโรงพยาบาลของรัฐและแจ้งความประสงค์ว่า ต้องการให้แพทย์ตรวจ ถามว่านักศึกษามีนิติสัมพันธ์กับแพทย์ที่สังกัดโรงพยาบาลของรัฐหรือสังกัด โรงพยาบาลเอกชนหรือไม่ และนิติสัมพันธ์ดังกล่าวนี้แตกต่างกันหรือไม่และมีคำถามต่อไปว่า หากนักศึกษา เดินเข้าไปในโรงพยาบาลทั้งโรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลของรัฐ แล้วแพทย์ปฏิเสธไม่รับรักษาให้ได้ หรือไม่ซึ่งจะมีคำถามว่านิติสัมพันธ์หรือความเกี่ยวพันระหว่างคนไข้หรือผู้ป่วยกับแพทย์ที่สังกัดโรงพยาบาล ของรัฐ กับที่สังกัดโรงพยาบาลของเอกชนนั้นแตกต่างกันอย่างไร ในที่สุดก็เกิดหลักกฎหมายที่ตกผลึกว่า หากเป็นโรงพยาบาลของเอกชน การเข้าไปแสดงเจตนาที่จะ ขอรับการรักษา เราจะถือว่าเป็นคำเสนอ ส่วนโรงพยาบาลเอกชน ก็จะมีสิทธิที่จะรับคนไข้ไว้รักษาหรือไม่ ก็ได้ซึ่งจะมีลักษณะเป็นการแสดงเจตนาเสนอและสนอง แต่ประเด็นคือ กรณีนี้ถือว่าเป็นสัญญาจ้างทำของ หรือไม่ โดยผู้ป่วยนั้น ต้องการรับการรักษาและต้องการหายป่วย แต่ประเด็นก็คือแพทย์จะสัญญาได้หรือไม่ ว่าผู้ป่วยนั้นจะหายป่วย ซึ่งจะเห็นได้นะครับว่าสภาพความเป็นจริงของการรักษาคนไข้นั้น จะคล้ายกับ สัญญาจ้างทำของ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นสัญญาจ้างทำของเสียทีเดียว เพราะไม่สามารถรับประกันความสำเร็จ ของงานได้ซึ่งเรื่องนี้เคยมีคดีเกิดขึ้นไปสู่ศาลฎีกาและศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่าสัญญาระหว่างแพทย์หรือ


2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โรงพยาบาลกับคนไข้นั้น มีความละม้ายคล้ายคลึงกับสัญญาจ้างทำของ แต่ก็ไม่ใช่สัญญาจ้างทำของ และศาล เรียกว่าเป็นสัญญาจ้างรับบริการทางการแพทย์ดังนั้น เมื่อลักษณะของสัญญามีความพิเศษ เพราะฉะนั้น แม้แพทย์จะรักษาผู้ป่วยไม่หาย ก็ไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญา เพราะฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า กรณีที่เราเดินเข้าไปเพื่อต้องการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ถือว่าเกิดสัญญา เข้ารับบริการทางการแพทย์และเมื่อสักครู่อาจารย์ถามว่าหากกรณีนี้เป็นโรงพยาบาลของรัฐ จะถือว่าเกิด นิติสัมพันธ์ในทำนองเดียวกันกับโรงพยาบาลเอกชนหรือไม่ คำตอบคือในเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าเรามีกฎหมายรัฐธรรมนูญ และมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ต่างๆเยอะแยะมากมาย บัญญัติเอาไว้ว่า บุคคลทุกคน มีสิทธิเสรีภาพและคุณภาพของชีวิตนั้น ย่อมได้รับ การประกัน โดยรัฐธรรมนูญประกันสิทธิของประชาชนทุกคนในการที่จะได้รับบริการทางการแพทย์ และยังมีพระราชบัญญัติอีกหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติเวชกรรม หรือพระราชบัญญัติสถานพยาบาล เหล่านี้เป็นต้น ที่กำหนดหน้าที่ของหน่วยงานทางการแพทย์เอาไว้โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นของรัฐว่าจะต้อง ให้บริการกับประชาชน ที่มาขอรับการดูแลรักษาในเรื่องสุขภาพและอนามัย ดังนั้น ความสัมพันธ์ตรงจุดนี้ จึงเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย แม้ไม่มีการแสดงเจตนาต่อกัน แต่ความสำพันธ์นั้น ก็ต้องเกิดขึ้น เนื่องจากกฎหมายบังคับให้หน่วยงานของรัฐหรือสถานพยาบาลของรัฐนั้นต้องดูแลคนไข้หรือ ผู้เจ็บป่วย เพราะฉะนั้น เมื่อเราเริ่มต้นตรงจุดนี้ต่อมาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์เมื่อรักษาแล้ว หากผลไม่ได้เป็นไปตามที่ผู้ป่วยคาดหวัง และยังเป็นเหตุให้คนไข้หรือผู้ป่วยนั้นได้รับบาดเจ็บมากขึ้น หรือมี อาการแทรกซ้อน จึงมีข้อพิจารณาว่ากรณีเช่นนี้จะถือว่าเป็นการทำละเมิดหรือไม่ คำถามตรงจุดนี้เราก็ต้องกลับมาวิเคราะห์หลักกฎหมายละเมิดที่เราได้กล่าวกันไปแล้วว่า ละเมิดนั้น จะต้องมีการกระทำ และเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย จึงเกิดปัญหาว่า กรณีที่แพทย์รักษาคนไข้ถือว่า เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายหรือไม่ เพราะทั้งคู่มีเจตนาตรงกันที่จะรับการรักษา เนื่องจากคนไข้เข้าไป หาแพทย์เพื่อต้องการให้ทำการรักษา จึงเท่ากับยินยอมหรือไม่ เพราะฉะนั้น จึงมีคำถามว่ากรณีเช่นนี้แพทย์จะกระทำผิดต่อกฎหมายได้อย่างไร แต่ปรากฏว่า วิชาชีพทางการแพทย์นั้น นักการศึกษาได้ถอดคุณลักษณะของอาชีพแพทย์ไว้โดยบอกเอาไว้ว่าแพทย์นั้น มีหน้าที่ ไม่ว่าจะโดยพระราชบัญญัติเวชกรรมหรือโดยที่สังคมรับรู้ว่าแพทย์จะต้องให้การรักษาคนไข้หรือที่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Duty of Care กล่าวคือ หมอมีภารกิจหรือหน้าที่สำคัญ ที่จะต้องดูแลรักษาคนไข้และ เมื่อหมอถือว่าเป็นวิชาชีพ ก็จะมีมาตรฐานของวิชาชีพ ที่เราเรียกว่า Standard of Care ซึ่งมาตรฐานของ วิชาชีพนั้นมีที่มาจากแพทยสภา ซึ่งเป็นกฎหมายที่จัดตั้งแพทยสภาขึ้นมาเพื่อกำหนดมาตรฐานของวิชาชีพ ของแพทย์เพราะฉะนั้น หากแพทย์ไม่ทำการรักษาตามหน้าที่ที่ตัวเองมีเช่น คนไข้มาหาแล้วปฏิเสธไม่ทำ การรักษา ที่อาจารย์กล่าวนี้หมายถึงโรงพยาบาลของรัฐนะครับ ไม่ได้หมายถึงโรงพยาบาลเอกชน หากแพทย์ของโรงพยาบาลของรัฐปฏิเสธไม่รับคนไข้ก็ต้องถือว่าผิด Duty of Care ซึ่งถือว่ามีการกระทำ โดยเป็นการกระทำโดยการงดเว้น ไม่รักษาตามหน้าที่ของตนเอง แต่ถ้ารับที่จะดูแลรักษา ก็จะมีมาตรฐาน ทางวิชาชีพเพิ่มขึ้นไปอีก Step หนึ่งว่าเมื่อรับการรักษาแล้ว ก็จะต้องใช้Standard of Care คือมาตรฐาน


3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ในการรักษาพยาบาล หรือในแต่ละโรคหรือในแต่ละประเภทของความเจ็บป่วย ซึ่งหากแพทย์ละเว้น ก็ต้อง ถือว่าเป็นการงดเว้นการไม่กระทำตามหน้าที่ของตนเอง เมื่อมีการงดเว้น ก็ต้องถือว่ามีการกระทำ เมื่อมีการ กระทำ เราจึงค่อยมาพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวนี้เป็นการละเมิดหรือไม่ ซึ่งจะต้องพิจารณาว่าการ กระทำของแพทย์ดังกล่าวที่ไม่รับรักษา หรือรับรักษาแต่ไม่ได้รักษาตามมาตรฐานของวิชาชีพนั้น จะเป็น ละเมิด จะต้องก่อให้เกิดความเสียหาย โดยความเสียหายนี้จะต้องมีความสัมพันธ์กับการงดเว้นของแพทย์ กล่าวคือเป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำหรือการงดเว้นของแพทย์นั้น นักศึกษาครับ ในวิชาชีพของวงการแพทย์นั้น ยังมีหลักอีกประการหนึ่งที่แตกต่างจากวิชาชีพอื่น ซึ่งโดยปกติแล้ว หากแพทย์หยิบมีดขึ้นมาแล้วผ่าตัดคนไข้ต้องถือว่าเป็นการทำร้าย แต่แพทย์สามารถทำได้ ทั้งนี้เพราะคนไข้ให้ความยินยอม ดังนั้น วิชาชีพแพทย์จึงมีจุดหนึ่งที่แพทย์จะต้องกระทำและเป็นส่วนหนึ่ง ของ Standard of care นั่นก็คือมาตรฐานของวิชาชีพอันหนึ่งนั่นก็คือแพทย์จะต้องบอกข้อมูลทั้งหลาย ให้แก่คนไข้เพื่อเข้าใจและรับทราบว่ากระบวนการรักษาของแพทย์นั้น ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีการฉีดยาหรือ วิธีการผ่าตัดหรือกระทำด้วยประการใดๆก็แล้วแต่ แพทย์ได้ให้ข้อมูลที่เพียงพอเพื่อให้คนไข้ได้ตัดสินใจที่จะ ให้ความยินยอม ซึ่งเราเคยพูดถึงความยินยอมไปแล้ว ว่าความยินยอมนั้น จะต้องเกิดขึ้นโดยสมัครใจและ เข้าใจสาระสำคัญ ไม่ใช่ยินยอมเพราะเข้าใจผิด หรือยินยอมเพราะถูกข่มขู่ เพราะกรณีเหล่านี้จะถือว่าเป็น การยินยอมไม่ได้เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นวิชาชีพของแพทย์อีกประการหนึ่งก็คือแพทย์จะต้องให้ข้อมูล กับคนไข้จนเข้าใจเพื่อให้คนไข้ตัดสินใจว่าจะรับการรักษาโดยวิธีการที่แพทย์เสนอหรือไม่ ซึ่งเมื่อคนไข้รับฟัง แล้ว หากคนไข้ปฏิเสธการรักษา แพทย์ก็จะทำการรักษาตามวิธีที่เสนอไม่ได้แต่หากแพทย์ยังไปรักษาตาม วิธีการดังกล่าวโดยฝืนความยินยอมของคนไข้แม้จะกระทำด้วยความปรารถนาดีแพทย์ก็จะทำการรักษา ไม่ได้แต่มีข้อยกเว้น คือกรณีที่คนไข้ไม่ได้อยู่ในภาวะที่สามารถจะให้ความยินยอมได้เช่น ได้รับบาดเจ็บจน ไม่รู้สึกตัวหรือไม่อยู่ในภาวะที่มีสติในอันที่จะรับรู้ข้อมูลที่แพทย์จะให้ซึ่งถ้ามีข้อเท็จจริงในลักษณะเช่นนี้ แล้วมีเหตุฉุกเฉินที่แพทย์จำเป็นจะต้องทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อรักษาชีวิตของคนไข้กรณีนี้ถือว่าเป็น ข้อยกเว้นไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากคนไข้แพทย์ก็สามารถทำการรักษาได้ แต่การที่แพทย์ลืมกรรไกร ไว้ในท้องก่อนคนไข้นั้น ไม่จำต้องมีมาตรฐาน ทั้งนี้เพราะว่าสิ่งนี้ถือว่าเป็น สิ่งที่ปรากฏในตัวของมันเองที่แสดงให้เห็นถึงความบกพร่องหรือประมาทในหน้าที่ของแพทย์ *มีคำถามว่า กรณีที่คนไข้เข้าโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา หลังจากการผ่าตัดแล้วคนไข้ฟื้นขึ้น มาแล้วมีอาการหนาวสั่น แพทย์จึงสั่งให้เอากระเป๋าน้ำร้อนไปวางที่หน้าอกของคนไข้เพื่อเพิ่มอุณหภูมิและลด ความหนาวให้แก่คนไข้พยาบาลจึงนำกระเป๋าน้ำร้อนไปวางที่หน้าอก แล้วปรากฏว่ากระเป๋าน้ำร้อนนั้นรั่ว น้ำร้อนที่อยู่ในกระเป๋าดังกล่าว จึงลวกบริเวณหน้าอกของคนไข้จึงเกิดอาการช้ำและพองบวม กรณีเช่นนี้ จะถือว่าแพทย์ประมาทเลินเล่อหรือไม่ ข้อเท็จจริงนี้เป็นคำพิพากษาของศาลฎีกานะครับนั่นก็คือ ฎีกาที่ 4641/2551 นาง A เข้ารับ การผ่าตัดเนื้องอกบริเวณหน้าอกที่ศูนย์ป้องกันควบคุมโรคมะเร็ง โดยมีนายแพทย์B เป็นแพทย์ผู้ทำการ รักษาผ่าตัด เมื่อนายแพทย์B ทำการผ่าตัดเรียบร้อยแล้วได้นำนาง A ไปนอนพักฟื้นหลังผ่าตัด ที่ห้องพักฟื้น ขณะที่นาง A มีอาการหนาวสั่น นางสาว C รับราชการอยู่ในตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ 4 ประจำตึกผู้ป่วยใน


4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบผู้ป่วยที่เข้ามาพักฟื้นหลังการผ่าตัด ส่วนนางสาว D เป็นลูกจ้างชั่วคราวในตำแหน่งผู้ ช่วยเหลือคนไข้และเป็นผู้จัดเตรียมกระเป๋าน้ำร้อนเพื่อให้ความอบอุ่นแก่นาง A ต่อมามีน้ำรั่วซึมออกจาก กระเป๋าน้ำร้อน ซึ่งอาจเกิดจากการปิดจุกเกลียวไม่สนิท โดยนางสาว D ไม่ได้ตรวจสอบว่ากระเป๋าน้ำร้อนอยู่ ในสภาพปกติหรือไม่ หลังจากพบรอยแดงบริเวณหน้าอกของนาง A นางสาว C จึงได้โทรศัพท์แจ้ง นายแพทย์B การที่นาง A ถูกน้ำร้อนลวก จึงเกิดจากการที่นายแพทย์B ในฐานะแพทย์เจ้าของไข้ไม่ได้ ดูแลนาง A อย่างใกล้ชิด และมิได้กำกับดูแลนางสาว C และนางสาว D ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนให้ใช้ความ ระมัดระวังอย่างเพียงพอในการดูแลรักษานาง A การกระทำของนายแพทย์B จึงเป็นการกระทำโดย ประมาทเลินเล่อต่อนาง A ทำให้นาง A ได้รับความเสียหาย ดังนั้น กรมฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ศูนย์ ป้องกันควบคุมโรคมะเร็งสังกัดอยู่ จึงต้องรับผิดต่อนาง A ในผลการละเมิดของนายแพทย์B ซึ่งเป็น เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 ประกอบ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5 ข้อสังเกต แพทย์ซึ่งสังกัดโรงพยาบาลของรัฐนั้น ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งพระราชบัญญัติความ รับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ได้บัญญัติเอาไว้ว่า ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐทำ ละเมิดต่อบุคคลอื่น หน่วยงานจะต้องรับผิดชอบ ซึ่งโดยหลักทั่วไปแล้ว หากเจ้าหน้าที่ได้กระทำตามหน้าที่ กรณีนี้เจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดชอบ เว้นแต่จะเป็นการกระทำโดยประมาทอย่างร้ายแรง ในลักษณะที่เห็นได้ ชัดแจ้งว่าการกระทำเช่นนี้ไม่มีบุคคลอื่นกระทำกัน กรณีเช่นนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องรับผิดชอบด้วย เพียงแต่หน่วยงานของรัฐก็ยังไม่พ้นจากความรับผิด แต่เมื่อหน่วยงานของรัฐ ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว ปัญหาว่าจะมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ได้หรือไม่ คำตอบคือสามารถไล่เบี้ยได้ถามต่อไปว่ามีสิทธิที่จะไล่เบี้ยได้แค่ไหน เพียงใด ตามตัวอย่างฎีกาที่ 4641/2551 นี้จะเห็นได้ว่ากรณีนี้มีแพทย์1 คนและมีพยาบาลที่เข้ามาเกี่ยวข้องที่จะต้องรับผิดอาจารย์ ถามว่าแพทย์และพยาบาล รวมถึงโรงพยาบาล เป็นลูกหนี้ร่วมหรือไม่ คำตอบ เราอย่าลืมว่าพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ 2539 นั้น บัญญัติเอาไว้แตกต่างจากกฎหมายละเมิดทั่วๆไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวคือ ไม่ถือว่าเป็นลูกหนี้ร่วม โดยให้แต่ละคนรับผิดตามความร้ายแรงของตัวเองที่มีส่วนในการทำละเมิด และจะรับผิดมากน้อยเพียงใด กรณีนี้ก็สามารถที่จะแยกส่วนได้กล่าวคือ จะให้โรงพยาบาลรับผิดกี่ส่วน หรือจะให้แพทย์หรือพยาบาลรับผิดกี่ส่วนก็ได้ตรงจุดนี้คือพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของ เจ้าหน้าที่ฯ ซึ่งนักศึกษาอาจจะต้องไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในส่วนของมาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 9 สามมาตรานี้ซึ่งทั้งหมดที่อาจารย์กล่าวมานี้เป็นการอธิบาย ด้วยมาตรา 5 มาตรา 8 และมาตรา 9 ที่เรา กล่าวไปข้างต้น ก็คือเป็นกรณีของแพทย์ซึ่งสังกัดอยู่ที่โรงพยาบาลของรัฐ แต่หากแพทย์สังกัดโรงพยาบาลของเอกชน เราจะต้องพิจารณาว่าแพทย์ของโรงพยาบาลเอกชนนั้น เป็นลูกจ้างของโรงพยาบาลนั้นหรือไม่ หากเป็นลูกจ้าง ก็จะต้องปรับไปใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 กล่าวคือนายจ้างจะต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างและสามารถไล่เบี้ยกันได้แต่ไม่อยู่ภายใต้บังคับ


5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ฯ ซึ่งตรงจุดนี้อาจารย์ให้นักศึกษาตั้งข้อสังเกตเอาไว้ เพื่อที่จะได้วินิจฉัยให้ถูกต้อง มีข้อสังเกตต่อไปว่าในบางกรณีโรงพยาบาลเอกชนนั้นได้เปิดโอกาสให้แพทย์สามารถที่จะนำคนไข้ ของตนที่ตนเปิดรับรักษาตามคลินิกเข้ามาผ่าตัดที่โรงพยาบาลได้โดยสามารถใช้อุปกรณ์รวมไปถึงเครื่องไม้ เครื่องมือในโรงพยาบาลได้แต่แพทย์คนนั้น ต้องจ่ายค่าใช้สถานที่รวมถึงค่าน้ำค่าไฟของโรงพยาบาล โดยถือว่าคนไข้นั้น เป็นคนไข้เฉพาะของแพทย์คนดังกล่าว เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์ในกรณีนี้แพทย์จะไม่ ถือว่าเป็นลูกจ้างของโรงพยาบาล และต้องถือว่ากรณีเช่นนี้แพทย์กับโรงพยาบาลนั้นมีความสัมพันธ์กัน ในลักษณะที่เป็นตัวการตัวแทน เพราะการที่โรงพยาบาลยอมให้แพทย์มาใช้โรงพยาบาลของตัวเองและ สามารถใช้อุปกรณ์ทั้งหลายได้นั้น ต้องถือว่าอาจอยู่ในฐานะของตัวการตัวแทน แต่ไม่ใช่นายจ้างและลูกจ้าง แล้วนะครับ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าความรับผิดของแพทย์นั้นดูเหมือนจะแตกสาขาให้เราต้องวินิจฉัยเยอะ พอสมควร ต่อไปมีข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น แพทย์วินิจฉัยผิดพลาดว่า ผู้ป่วยเป็น HIV ทั้งที่เขาไม่ได้ติดเชื้อ และเขาต้องทนทุกข์อยู่กับความเข้าใจผิดคิดว่าตนติดเชื้อ hiv เป็นเวลานานถึง 20 ปีเมื่อทราบว่าตนเอง ไม่ได้ติดเชื้อจึงมาฟ้องแพทย์คนดังกล่าว เรียกค่าเสียหายทางจิตใจที่ต้องทนทุกข์ทรมาน สำหรับคำถามนี้อาจารย์ไม่มีคำตอบให้แต่ก็เป็นประเด็นว่ากรณีอย่างนี้จะถือว่า เป็นกรณีที่แพทย์ ทำละเมิดหรือไม่และมีอีกคำหนึ่งที่อาจจะเป็นประโยชน์ในการใช้วินิจฉัยก็คือ อาจารย์ได้เคยกล่าวไปแล้วว่า แพทย์นั้น ต้องมีมาตรฐานในการตรวจรักษาโรค ซึ่งออกโดยแพทยสภา ถ้าหากว่าแพทย์สามารถที่จะนำสืบ ได้ว่าเขาได้ใช้มาตรฐานตามหลักวิชาชีพแล้ว ก็จะถือว่าประมาทไม่ได้เพราะการทำสัญญารักษานั้น มิใช่การ จ้างทำของ เพราะไม่สามารถรับรองความสำเร็จของงานได้ว่าจะต้องหายจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะอาจจะ หายหรือไม่ก็ได้เป็นแต่เพียงสัญญาจ้างบริการเท่านั้น ในกรณีที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนนะครับ เรื่องที่ผู้ป่วยที่เข้าใจผิดคิดว่าติดเชื้อ hiv นั้น อาจารย์ยังไม่ทราบผลของคดีว่าตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว นะครับ จึงไม่สามารถให้คำตอบแก่นักศึกษาได้แต่ให้นักศึกษาดูตัวอย่างฎีกาที่อาจารย์ให้ไปทั้งหมด โดยให้ นักศึกษาลองกลับไปอ่านและนำหลักกฎหมายที่อาจารย์ให้ไปทั้งหมดในวันนี้ไปปรับใช้ดูนะครับ หมายเหตุ ในเรื่องนี้เท่าที่ Admin ฟังที่อาจารย์บรรยายมา อาจารย์เน้นมากเป็นพิเศษนะครับ มีโอกาสที่จะถูกนำไปออกเป็นข้อสอบเทอมนี้ได้เลย ให้ท่านสมาชิกเน้นเรื่องความรับผิดจากการทำละเมิด ของแพทย์ไว้ให้มากๆนะครับ ฎีกาที่ 6092/2552 (ออกสอบไปแล้ว) จำเลยที่ 3 มิได้ตรวจดูอาการของโจทก์ตั้งแต่แรกเข้ารับ การรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคามด้วยตนเอง แต่วินิจฉัยโรคและสั่งการรักษาอาการของโจทก์ตามที่ได้รับ รายงานทางโทรศัพท์จากพยาบาลแทนโดยไม่ได้ตรวจสอบประวัติการรักษาของโจทก์ด้วยตนเอง แม้จำเลยที่ 3 จะสอบถามจากพยาบาลก่อนที่พยาบาลจะฉีดยาให้แก่โจทก์เพื่อทำการรักษาก็ตาม ก็มิใช่วิสัยของบุคคลผู้ มีวิชาชีพเป็นแพทย์จะพึงกระทำไม่ ทั้งห้องแพทย์เวรกับห้องฉุกเฉินที่โจทก์อยู่ห่างกันเพียง 20 เมตร ไม่ ปรากฏว่ามีเหตุสุดวิสัยอันทำให้จำเลยที่ 3 ไม่สามารถมาตรวจวินิจฉัยอาการของโจทก์ได้ด้วยตนเองแต่อย่าง ใด ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ประมาทเลินเล่อ เมื่อพยาบาลฉีดยาบริคานิลให้แก่โจทก์ตามที่จำเลยที่ 3 สั่งการ


6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง หลังจากนั้นโจทก์มีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์มีอาการเช่นว่านั้นมาก่อน อาการแพ้ยา ดังกล่าวจึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 3 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการกระทำ ละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาที่ 15067/2557 แม้อาการป่วยของโจทก์จะเกิดขึ้นจากความผิดปกติในร่างกายของโจทก์ เอง โดยจำเลยทั้งสองมิได้เป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้นหรือกระทำการใด ๆ ให้โจทก์เกิดโรคมะเร็งก็ตาม แต่การแจ้ง ผลการตรวจผิดพลาดทำให้อาการโรคมะเร็งไตของโจทก์ลุกลามแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ อีกโดยตาม ใบมรณบัตรยังระบุว่าโรคมะเร็งของโจทก์ลุกลามแพร่กระจายไปยังสมองเป็นเหตุให้โจทก์ถึงแก่ความตายใน ที่สุด ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสองมิได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์จึงฟังไม่ขึ้น มาดูฎีกาใหม่ตัวนี้ ฎีกาที่ 5958/2564 ฎีกานี้เกิดขึ้นที่จังหวัดภูเก็ต กล่าวคือ มีการแข่งขันเวคบอร์ด ซึ่งคล้ายๆ สกีน้ำ ปรากฏว่าผู้ป่วยคนนี้เป็นนักกีฬาทีมชาติเข้าร่วมแข่งขันด้วย และในวันดังกล่าวได้ประสบอุบัติเหตุ ขาได้ไปเกี่ยวกับเชือกของเรือ แล้วได้รับบาดเจ็บเส้นเลือดขาด เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ปรากฏ ข้อเท็จจริงว่าโรงพยาบาลนี้โฆษณาเอาไว้ว่ามีบริการเฮลิคอปเตอร์ฉุกเฉิน สามารถที่จะพาคนไข้ที่มี อาการฉุกเฉินเข้ารับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าญาติของนักกีฬาท่านนี้ก็ได้นำตัวนักกีฬามาเข้า โรงพยาบาลดังกล่าวโดยหวังว่าจะให้โรงพยาบาลใช้เฮลิคอปเตอร์ส่งคนไข้ที่จะต้องได้รับการผ่าตัดด่วนจาก ภูเก็ตเข้ากรุงเทพฯ แต่ในวันดังกล่าวทางโรงพยาบาลแจ้งว่าเฮลิคอปเตอร์ไม่ว่าง แต่ได้จัดรถยนต์นำส่งตัว ผู้ป่วยจากจังหวัดภูเก็ตเข้ากรุงเทพฯโดยคนไข้รอรถอยู่ 5 ชั่วโมง และนั่งรถจากภูเก็ตเข้าโรงพยาบาลใหญ่ที่ กรุงเทพฯอีก 12 ชั่วโมง รวมเป็น 17 ชั่วโมง ปรากฏว่าในที่สุดผู้ป่วยจะต้องตัดขาทั้งๆที่เป็นนักกีฬาทีมชาติ คนไข้จึงมาฟ้องโรงพยาบาล ว่าทำละเมิดโดยการที่ไม่ได้ให้การรักษาตามที่ได้ประกาศโฆษณาเอาไว้ศาลจึง วินิจฉัยว่ากรณีเช่นนี้โรงพยาบาลได้โฆษณาเอาไว้ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่าโรงพยาบาลสามารถทำตามที่ ได้โฆษณาเอาไว้แต่เมื่อเกิดเหตุขึ้นจริง ปรากฏว่าไม่สามารถกระทำตามที่โฆษณาเอาไว้ได้ประกอบกับเหตุ ที่ว่าโรงพยาบาลดังกล่าวนี้เป็นโรงพยาบาลที่มีแพทย์ย่อมทราบอาการของคนไข้ว่าการที่ล่าช้าใน กระบวนการส่งตัวคนไข้โดยใช้เวลาถึง 17 ชั่วโมงนั้น มีโอกาสที่จะทำให้เส้นเลือดของคนไข้ที่ขานั้นตาย เพราะฉะนั้น จึงเป็นสิ่งที่สามารถคาดเห็นได้ล่วงหน้า ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่ากรณีนี้เป็นความประมาทของ โรงพยาบาล ผู้กระทำเป็นครู ฎีกาที่ 4466/2551 ธนูที่เกิดเหตุใช้ประกอบการแสดงละครวิชาภาษาไทย ซึ่งจำเลยที่ 4 ทำหน้าที่สอนวิชาดังกล่าวให้แก่นักเรียน นอกจากจำเลยที่ 4 จะต้องทำหน้าที่ให้ความรู้อบรมสั่งสอน นักเรียนในวิชาภาษาไทยแล้ว ยังถือว่าจำเลยที่ 4 ได้รับมอบหมายให้ดูแลนักเรียนซึ่งยังเป็นผู้เยาว์ให้ได้รับ ความปลอดภัย ให้ประพฤติตนอยู่ในระเบียบข้อบังคับของโรงเรียน ไม่ไปก่อเรื่องเดือดร้อนเสียหายใด ๆ แก่ ผู้อื่น การที่จำเลยที่ 4 สั่งให้นักเรียนทำธนูเป็นอุปกรณ์การเรียน จำเลยที่ 4 น่าจะใช้ความระมัดระวัง คาดหมายหรือเล็งเห็นได้ว่าอาจเกิดอันตรายแก่กายได้ หากนักเรียนนำไปใช้ยิงเล่นใส่กัน และจำเลยที่ 4 ไม่ได้สั่งให้นักเรียนนำธนูไปทำลายทิ้งหรือเก็บไว้ในที่ปลอดภัยหรือห้ามมิให้นำธนูไปใช้เล่นกัน เพราะยังมีธนู


7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ในห้องเรียนอีกหลายคันเช่นวิสัยผู้มีอาชีพครูทั่วไปจะถือปฏิบัติ แต่จำเลยที่ 4 ปฏิบัติไม่ชอบและขาดความ รอบคอบจึงเป็นความประมาทเลินเล่อ ถือได้ว่าจำเลยที่ 4 มีส่วนกระทำละเมิดเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย แก่ร่างกาย ตามคำพิพากษาศาลฎีกานี้ จะเห็นได้ว่า หน้าที่ของครูไม่ได้มีเฉพาะในเรื่องการเรียนการสอนอย่าง เดียว แต่ต้องดูแลรักษาความปลอดภัยแก่เด็กนักเรียนด้วย ฎีกาที่ 7383/2558 อ. ครูประจำชั้นของโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนของจำเลยมีส่วน ประมาทเลินเล่อในการดูแลความปลอดภัยของโจทก์โดยละเลยไม่รีบนำโจทก์ไปให้แพทย์ตรวจรักษา ดวงตา หลังจากทราบว่าโจทก์ถูกเด็กชาย ณ. ใช้หนังยางยิงแท่งดินสอถูกดวงตาข้างซ้าย ซึ่งการกระทำของ เจ้าหน้าที่ของจำเลยดังกล่าวน่าเชื่อว่ามีส่วนทำให้ดวงตาข้างซ้ายของโจทก์ติดเชื้อ โดย ว. จักษุแพทย์พยาน โจทก์เบิกความยืนยันว่า หากดวงตาข้างซ้ายของโจทก์ไม่ติดเชื้อก็อาจจะไม่ถึงขนาดสูญเสียการมองเห็น เมื่อ โจทก์นำสืบรับฟังได้ว่า โจทก์ต้องสูญเสียการมองเห็นในเวลาต่อมาตามใบรับรองแพทย์ โดยจำเลยมิได้นำสืบ หักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้ให้เห็นเป็นอย่างอื่น เช่นนี้ จำเลยจึงต้องรับผิดในผลของความ ประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ของจำเลยดังกล่าวตาม พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 มาตรา 5 ประกอบ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 *ในกรณีนี้ที่ถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาท เพราะครูไม่ได้พาเด็กไปพบแพทย์โดยเร็วหลังจากเกิด เหตุ ทั้ง ๆ ที่ตาเป็นอวัยวะสำคัญ จึงถือว่าเป็นการประมาท ผู้กระทำเป็นทนายความ ฎีกาที่ 21730/2556 จำเลยที่ 4 เป็นทนายความอันเป็นวิชาชีพด้านกฎหมาย จึงต้องมีความ ละเอียดรอบคอบและมีหน้าที่ต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์เป็นพิเศษทั้งการว่าความใน ศาลย่อมมีผลกระทบต่อคู่ความที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการฟ้องคดีล้มละลาย หากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เด็ดขาด บุคคลผู้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดย่อมถูกจำกัดสิทธิต่าง ๆ หลายประการตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 จำเลยที่ 4 จึงควรใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 4 เพียงตรวจสอบหมายเลข ประจำตัวประชาชนของ พ. ลูกหนี้ในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ที่ให้ไว้ต่อธนาคาร ท. ขณะทำสัญญา ค้ำประกัน แล้วนำหมายเลขประจำตัวประชาชนดังกล่าวไปขอคัดสำเนาทะเบียนราษฎร ปรากฏว่าบุคคลที่มี หมายเลขประจำตัวประชาชนดังกล่าวคือโจทก์ ตามแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร จำเลยที่ 4 จึงฟ้อง โจทก์เป็นคดีล้มละลาย ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีชื่อแตกต่างจาก พ. และจำเลยที่ 4 ก็มีข้อมูลของ พ. ตามสำเนา ทะเบียนบ้าน และยื่นสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวประกอบคำฟ้องด้วย ดังนี้ หากจำเลยที่ 4 ตรวจสอบ สำเนาทะเบียนบ้าน กับแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎร จำเลยที่ 4 ก็จะทราบได้โดยง่ายว่า ชื่อและ นามสกุล วันเดือนปีเกิด รวมทั้งชื่อบิดามารดาโจทก์กับ พ. นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อันแสดงว่าโจทก์และ พ. เป็นคนละคนกัน แต่จำเลยที่ 4 หาได้กระทำไม่ ไม่สมกับเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญด้านกฎหมายใน วิชาชีพทนายความ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ เมื่อโจทก์ต้องถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด อันเป็นผล โดยตรงจากการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 4 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นการละเมิดต่อโจทก์


8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ข้อสังเกต สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทนายความทุกคนพึงระวัง คือการใช้ความระมัดระวังและละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะการฟ้องร้องผิดตัวบุคคล ไม่ว่าจะมีชื่อนามสกุลเหมือนกันหรือไม่ เลขบัตรประชาชนอะไร ตรง ตามสำเนาทะเบียนบ้านหรือไม่ หากไม่ตรวจสอบรายละเอียดให้ดีๆ จนมีผลทำให้มีการดำเนินคดีกับบุคคล ที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่นนี้ย่อมถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาท และเป็นละเมิด ฎีกาที่ 6040/2551 การที่จำเลยที่ 2 ฟ้องเรียกให้โจทก์ชำระค่าบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ โดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้เช่าหมายเลขโทรศัพท์จากจำเลยที่ 1 แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ขอเช่าใช้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่หมายเลขดังกล่าวใช้ชื่อว่า ร. ยื่นคำขอเข่าใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยใช้บัตรประจำตัว ประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านที่มีการปลอมแก้ไขชื่อจาก น. เป็น ร. ซึ่งเป็นคนละคนกับโจทก์ ก่อนฟ้อง คดีจำเลยที่ 2 สามารถตรวจความถูกต้องของข้อมูลผู้เช่าใช้บริการหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวได้ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตรวจสอบตามสมควรกลับฟ้องโจทก์ให้รับผิดใช้ค่าบริการโทรศัพท์ระหว่าง ประเทศอันเป็นการประมาทเลินเล่อหรือไม่ไยดีต่อผลแห่งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่โจทก์ ถือได้ว่า จำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 จึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์เพื่อการละเมิดตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 5 ผู้กระทำเป็นธนาคาร ฎีกาที่ 6740/2553 โจทก์เก็บสมุดเช็คไว้ในลิ้นชักโต๊ะในห้องทำงานซึ่งเป็นห้องส่วนตัว มีกระจก โดยรอบ ปกติไม่มีผู้ใดเข้าไป ผู้ที่ลักเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปคือ ศ. และ พ. ซึ่งเป็นลูกจ้างในร้านของโจทก์ นั่นเอง ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ได้เก็บรักษาเช็คพิพาทดังเช่นวิญญูชนจะพึงกระทำแล้ว ส่วน การที่โจทก์เคยมอบหมายให้บุคคลอื่นกรอกข้อความในเช็คแทนนั้น ก็หาใช่เป็นข้อที่แสดงว่าโจทก์ปล่อยปละ ละเลยไม่เก็บเช็คพิพาทไว้ให้ดีไม่ โจทก์จึงมิใช่เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่ออันจะถือว่าเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยก ข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นต่อสู้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์เป็นที่ไว้วางใจของประชาชนการจ่ายเงินตามเช็คที่มี ผู้มาขอเบิกเงินจากธนาคารเป็นงานส่วนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งจะต้องปฏิบัติอยู่เป็นประจำ จำเลยที่ 1 ย่อม มีความชำนาญในการตรวจสอบลายมือชื่อในเช็คว่าเป็นลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายหรือไม่ยิ่งไปกว่าบุคคล ธรรมดา ทั้งต้องมีความระมัดระวังในการจ่ายเงินตามเช็คยิ่งกว่าวิญญูชนทั่ว ๆ ไป ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าลายมือ ชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นลายมือชื่อปลอมมิใช่ลายมือชื่อของโจทก์การที่จำเลยที่ 1 จ่ายเงิน ตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่ผู้ที่นำมาเรียกเก็บเงินทั้งที่มีตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์ที่ให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 กับมีเช็คอีกหลายฉบับที่โจทก์เคยสั่งจ่ายไว้อยู่ที่จำเลยที่ 1 จึงเป็นการขาดความระมัดระวังของจำเลยที่ 1 ผู้ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ถือได้ว่าการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทดังกล่าวเป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1 เอง ข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะมีการนำเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปเรียกเก็บเงินจากบัญชีเงินฝากกระแส รายวันของโจทก์ที่ธนาคารจำเลยที่ 1 เงินในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ที่ธนาคารจำเลยที่ 1 เงิน ในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ไม่มีจ่ายเงินตามเช็ค แต่จำเลยที่ 1 ได้อนุมัติให้จ่ายเงินตามเช็ค พิพาททั้งสองฉบับไปก่อน ดังนี้เงินที่จำเลยที่ 1 จ่ายไปตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับจึงเป็นเงินของจำเลยที่ 1 มิใช่ของโจทก์ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายที่เกิดแก่จำเลยที่ 1 เอง เมื่อโจทก์ไม่ใช่เป็นผู้สั่งจ่าย


9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธินำเงินจำนวนนี้ไปลงรายการเบิกเงินเกินบัญชีในบัญชี เงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ส่วนโจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแก่ โจทก์ดังนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรให้เพิกถอนรายการลงบัญชีเงินฝากของโจทก์ในบัญชีกระแสรายวันในส่วน ที่เกี่ยวกับเช็คพิพาททั้งสองฉบับ แม้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์หาได้ฟ้องขอให้ เพิกถอนรายการที่ลงบัญชีดังกล่าว แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำเงินจำนวนตามเช็คไปลงรายการเบิกเงิน เกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ศาลมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนรายการดังกล่าวได้ไม่ เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเงินที่จำเลยที่ 1 จ่ายไปตาม เช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเงินของจำเลยที่ 1 มิใช่ของโจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ ร่วมกันคืนเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ได้ 6. ผู้กระทำเป็นผู้รับจ้างซ่อมรถ ฎีกาที่ 555/2553 รถยนต์กระบะคันพิพาทเข้าซ่อมที่อู่ของจำเลยที่ 2 และในระหว่างที่ทำการ ซ่อมรถยนต์ได้ถูกคนร้ายลักไป ถือได้ว่ารถยนต์กระบะพิพาทอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 2 ดังนั้น จำเลยที่ 2 จะต้องเก็บรักษารถยนต์กระบะคันพิพาทไว้ในที่ปลอดภัยในระหว่างการซ่อม ทั้งต้องใช้ความ ระมัดระวังตามสมควรเพื่อมิให้รถยนต์กระบะคันพิพาทต้องสูญหายหรือเสียหาย เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ อย่างแน่ชัดว่าจำเลยที่ 2 นำรถยนต์กระบะคันพิพาทไปจอดไว้บริเวณที่ว่างหน้าอู่โดยไม่มีรั้วรอบขอบชิดอัน เป็นเครื่องป้องกันการเคลื่อนย้ายรถยนต์และไม่ได้จัดให้มีผู้ดูแลรักษารถยนต์แต่อย่างใด ทั้งเมื่อรถยนต์คัน พิพาทหายไปจำเลยที่ 2 ก็ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ ช. เจ้าของรถยนต์กระบะคันพิพาทเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท ซึ่งเท่ากับว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับผิดในเหตุที่รถยนต์กระบะคันพิพาทหายไปในระหว่างที่อยู่ ในความครอบครองของตน ตามพฤติการณ์ดังกล่าวนับได้ว่า เป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ที่ไม่ ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้รถยนต์กระบะคันพิพาทต้องสูญหาย การปฏิบัติต่อลูกค้าของ จำเลยที่ 2 ในการนำรถยนต์ที่นำมาซ่อมแล้วไม่เสร็จจอดไว้บริเวณหน้าอู่ มิได้เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลย ที่ 2 ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้รถยนต์สูญหายแต่อย่างใดและการที่ไม่เคยมีรถยนต์ สูญหายหรือได้รับความเสียหายมิได้เป็นหลักประกันว่าจำเลยที่ 2 ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว ข้อสังเกต กรณีเช่นนี้เป็นกรณีที่อู่ซ่อมรถไม่ทำการดูแลรักษารถที่นำมาซ่อมให้ดี ไม่เก็บรักษารถนั้น ไว้ในที่ที่ มีความปลอดภัยและควรเก็บ จนรถนั้นถูกคนร้ายลักไป กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นความรับผิดของอู่ซ่อม รถ ผิดทั้งสัญญาจ้างทำของและเป็นละเมิดด้วย 7. ผู้กระทำเป็นคณะกรรมการ ฎีกาที่ 5395/2540 หน้าที่ของคณะกรรมการเปิดซองประกวดราคาเป็นไปตามระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ คือต้องตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอราคา แคตตาล็อก หรือแบบรูปและ รายละเอียดของพัสดุที่เสนอขึ้นไป และคัดเลือกพัสดุซึ่งเสนอขึ้นไปนั้นให้ถูกต้องตรงกับที่กำหนดไว้ การที่ จำเลยที่ 1 ที่ 2ตรวจคุณลักษณะของสมุดตัวอย่างที่ร้านพัฒนาพานิชเสนอขายแต่เพียงใช้มือจับและตาดู เท่านั้น แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2จะไม่มีความรู้ในเรื่องคุณลักษณะของเนื้อในของสมุดที่ต้องตรวจคุณลักษณะก็ ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้รับการ แต่งตั้ง มอบหมายให้เป็นกรรมการเปิดซองประกวดราคาจำเลยที่ 1


10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ที่ 2 จะต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ขวนขวายดำเนิน การศึกษางานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เพียงแต่ตรวจคุณลักษณะเนื้อใน ของสมุดโดยการจับด้วยมือ และดูด้วยตาเท่านั้นยังไม่เพียงพอและเมื่อปรากฏว่าสมุดที่ร้าน พ. เสนอขายไม่ใช่ขนาดตามที่กำหนดไว้ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงถือว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้ โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าหน้าที่แผนกพัสดุ จำเลยที่ 4 เป็นหัวหน้าแผนกพัสดุ และเป็นผู้เห็นชอบให้ซื้อสมุดที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 เสนอมา ซึ่งตามระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วย การพัสดุ พ.ศ. 2524 ข้อ 22 ได้กำหนดหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พัสดุ ไว้ ว่าก่อน ดำเนินการซื้อหรือจ้างทุกวิธีนอกจากการซื้อที่ดินตามข้อ 23 ให้เจ้าหน้าที่พัสดุทำรายงานเสนอหัวหน้าส่วน ราชการดังต่อไปนี้ (1) เหตุผลและความจำเป็นที่ต้องซื้อหรือจ้าง(2) รายละเอียดของพัสดุที่จะซื้อหรือจ้าง และตามข้อ 42(4) กำหนดว่า เมื่อได้ดำเนินการไปแล้วได้ผลประการใดให้เสนอความเห็นพร้อมด้วยเอกสาร ที่ได้รับไว้ทั้งหมดต่อหัวหน้า ส่วนราชการเพื่อสั่งการโดยเสนอผ่านหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ ดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นเจ้าหน้าที่โดยตรง ที่จะต้องตรวจสอบคุณสมบัติของพัสดุที่จะซื้อ แต่จำเลยที่ 3 ที่ 4 ปล่อยปละ ละเลยไม่ตรวจสอบคุณลักษณะของกระดาษที่จัดซื้อ เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้โจทก์ ได้รับ ความเสียหายเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์เช่นกัน จำเลยที่ 5 ผู้ช่วยผู้อำนวยการการประถมศึกษา จังหวัดจำเลยที่ 6 ผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัด จำเลยที่ 7 รองผู้ว่าราชการจังหวัด และจำเลยที่ 8 ผู้ว่าราชการจังหวัดมีหน้าที่เพียงแต่เสนอความเห็นตามลำดับชั้นว่าควรจัดซื้อพัสดุหรือไม่ โดยไม่มีหน้าที่ ตรวจสอบคุณลักษณะเนื้อในของสมุดดังกล่าว การที่จำเลยที่ 8 เป็นผู้อนุมัติให้จัดซื้อ ซึ่งหากไม่มีการเสนอ ความเห็นตามขั้นตอนจากคณะกรรมการรับซองคณะกรรมการเปิดซองและตรวจรับพัสดุแล้ว จำเลยที่ 8 ก็ ไม่อาจสั่งการจัดซื้อได้เพราะไม่ผ่านขั้นตอนในการจัดซื้อตามระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรี ส่วนจำเลยที่ 7 เมื่อจำเลยที่ 8 อนุมัติให้จัดซื้อเพียงแต่ลงลายมือชื่อในสัญญาซื้อขายในฐานะผู้ซื้อเท่านั้นเอง ดังนี้ จำเลย ที่ 5 ถึงที่ 8จึงไม่ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โจทก์เสียหายไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาที่ 2217/2548 จำเลยที่ 9 ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ลงนามอนุมัติจัดซื้อหนังสือ แบบทดสอบประเมินผลฉบับบูรณาการชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งเป็นหนังสือประกอบหลักสูตรเท่านั้น โดย วิธีกรณีพิเศษ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดซื้อและซื้อจากร้านสหกรณ์กลาโหม จำกัด ซึ่งมิใช่หน่วย ราชการหรือรัฐวิสาหกิจ อันเป็นการขัดระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหาร ราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2522 แม้หนังสือที่ขออนุมัติจัดซื้อได้ผ่านการตรวจสอบของจำเลยร่วมที่ 1 ซึ่ง เป็นหัวหน้าส่วนการคลัง องค์การบริหารส่วนจังหวัด จำเลยร่วมที่ 2 ซึ่งเป็นปลัดจังหวัด และจำเลยร่วมที่ 3 ซึ่งเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้นก็ตาม แต่จำเลยที่ 9 เป็นผู้อนุมัติชั้นสุดท้ายต้องไตร่ตรองให้ ละเอียดรอบคอบ ไม่ใช่เพียงแต่ลงนามอนุมัติผ่านไปตามความเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชาเท่านั้น เมื่อการ อนุมัติจัดซื้อเป็นเหตุให้โจทก์ซื้อหนังสือพิพาทแพงไป การกระทำของจำเลยที่ 9 จึงเป็นความประมาท เลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ ข้อสังเกต ฎีกาที่ 2217/2548 นี้ ถือว่าขัดต่อฎีกาที่ 5395/2540 เพราะฉะนั้น ก็ให้นักศึกษา มั่นใจว่าหากฎีกาขัดกันเช่นนี้อาจารย์จะไม่นำมาออกเป็นข้อสอบนะครับ


11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 8. ผู้กระทำเป็นคณะกรรมการนิติบุคคลหมู่บ้าน ฎีกาที่ 5378/2561 นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร พ. ได้ว่าจ้างบริษัท ค. ทำหน้าที่บริหารจัดการ กิจการรวมถึงการดูแลบำรุงรักษาซ่อมแซมสาธารณูปโภคและบริหารสาธารณะต่าง ๆ ของหมู่บ้านจัดสรรให้ เป็นไปตามมาตรฐานและสามารถรองรับการใช้ประโยชน์ของสมาชิก แม้สัญญาว่าจ้างดังกล่าวสิ้นสุดลง แต่ก็ ไม่ปรากฏว่ามีคู่สัญญาฝ่ายใดบอกเลิกสัญญา จึงต้องถือว่านิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร พ. ได้ว่าจ้างบริษัท ค. บริหารจัดการกิจการของหมู่บ้านจัดสรรต่อไป ก่อนการว่าจ้างผู้รับเหมาให้ซ่อมแซมถนนและฝาท่อระบาย น้ำของหมู่บ้าน ปรากฏว่าผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการของบริษัท ค. ได้รับมอบหมายจากนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร พ. ให้ติดต่อจัดหาผู้รับเหมาสามรายที่เคยร่วมงานกันและมีผลงานดีไว้ใจได้เสนอราคาค่าซ่อมให้จำเลยทั้ง เจ็ดพิจารณา จำเลยทั้งเจ็ดลงมติเลือกบริษัท จ. ซึ่งเสนอราคาต่ำสุดเป็นผู้รับจ้างดำเนินงาน แต่เมื่อทางนำ สืบโจทก์ทั้งสิบไม่ปรากฏว่าผู้รับเหมาทั้งสามรายที่บริษัท ค. หามาเป็นบริษัทในเครือเดียวกัน เป็นพรรคพวก กัน เอื้อเฟื้อประโยชน์กัน ฮั้วประมูลกัน ร่วมกันเสนอราคาค่าก่อสร้างในลักษณะสมยอมราคา หรือมีส่วนได้ เสียโดยตรงหรืออ้อมของจำเลยทั้งเจ็ด จึงน่าเชื่อว่าจำเลยทั้งเจ็ดลงมติคัดเลือกบริษัท จ. ด้วยความโปร่งใส และตรงไปตรงมาตามข้อมูลและใบเสนอราคาที่ฝ่ายบริหารจัดการของบริษัท ค. นำเสนอ การกำหนดราคา กลางงานก่อสร้างเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีที่วางหลักเกณฑ์ให้ใช้เฉพาะหน่วยงานภาครัฐ ไม่อาจนำมาใช้ กับภาคเอกชนได้ และตามข้อบังคับนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร พ. ก็มิได้ระบุให้ต้องมีการประเมินราคากลาง ก่อน การที่จำเลยทั้งเจ็ดลงมติคัดเลือกบริษัท จ. โดยไม่มีการประเมินราคากลางจึงไม่เป็นการกระทำที่ส่อ พิรุธขาดความรอบคอบ หรือฝ่าฝืนต่อข้อบังคับของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร พ. ทั้งการดำเนินกิจการของ จำเลยทั้งเจ็ดอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของที่ประชุมใหญ่สมาชิกของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร หากจำเลยทั้ง เจ็ดดำเนินกิจการของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร พ. ด้วยความประมาทเลินเล่อ ไม่ชอบมาพากล หรือไม่ คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของสมาชิก สมาชิกก็มีสิทธิที่จะเข้าชื่อร้องขอให้เรียกประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อ ซักฟอกคณะกรรมการ หรือไม่ลงคะแนนเสียงเลือกกรรมการชุดเดิมให้กลับมาทำหน้าที่อีกได้ แต่หลังจาก การซ่อมแซมแล้วเสร็จ มีการนัดประชุมใหญ่สามัญเพื่อเลือกคณะกรรมการนิติบุคคลชุดใหม่ ปรากฏว่า สมาชิกส่วนใหญ่ได้ลงคะแนนเลือกจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ให้กลับมาเป็นคณะกรรมการ อัน แสดงว่าสมาชิกส่วนใหญ่ให้การยอมรับและไว้วางใจในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละโดยไม่หวัง ผลตอบแทนของจำเลยทั้งเจ็ด ข้อนำสืบของโจทก์ทั้งสิบไม่มีพยานบ่งชี้ให้ฟังได้ว่าจำเลยทั้งเจ็ดลงมติคัดเลือก บริษัท จ. ให้ดำเนินงานซ่อมแซมถนนและฝาท่อระบายน้ำในวงเงินสูงกว่าความเป็นจริงด้วยความประมาท เลินเล่อ การกระทำของจำเลยทั้งเจ็ดจึงไม่เป็นการกระทำละเมิดที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นิติบุคคล หมู่บ้านจัดสรร พ. ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันรับผิดชำระเงินนิติบุคคลหมู่บ้าน จัดสรร พ. นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ****จบการบรรยาย****


1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา ละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ บรรยายวันที่ 24 กรกฎาคม 2566 (ครั้งที่ 9) (สัปดาห์ที่ 10) สวัสดีครับนักศึกษาวันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผลที่เกิดขึ้น ความเสียหายเป็นผลมาจากการกระทำนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผลของการกระทำ (Causation) ในระบบ Civil Law เยอรมันแบ่งเป็น 2 ทฤษฎี 1. ทฤษฎีเงื่อนไข (Theory of Conditions) หรือทฤษฎีผลโดยตรง ถือว่าถ้าไม่มีการกระทำแล้ว ความเสียหายย่อมไม่เกิด แม้ว่าการกระทำนั้นจะมากหรือน้อย แต่ถ้าการกระทำนั้นมีส่วนที่ก่อให้เกิดความ เสียหาย ก็ถือว่าการกระทำนั้นเป็นต้นเหตุของความเสียหาย ผู้กระทำจึงต้องรับผิด โดยไม่คำนึงว่ายังมีเหตุ อื่นที่ก่อให้เกิดความเสียหายนั้นด้วย เพราะถ้าไม่มีเหตุทุก ๆ ประการรวมเข้าด้วยกันแล้ว ผลก็ย่อมไม่เกิดขึ้น แต่ละเหตุจึงมีน้ำหนักเท่ากัน 2. ทฤษฎีมูลเหตุเหมาะสม (Theory of Adequate) หรือทฤษฎีผลธรรมดา ถือว่าผลที่ผู้กระทำ จะต้องรับผิดนั้น ต้องเป็นผลตามปกติที่ควรจะเกิดจากการกระทำ ไม่ห่างไกลจนไม่สามารถจะคาดหมายได้ ประเด็นนี้จะพิจารณาว่าการกระทำใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายนั้น เป็นผลที่คาดหมายได้หรือไม่และเป็น ผลธรรมดาที่ย่อมเกิดหรือไม่ ส่วนระบบ Common Law นั้น ศาลอังกฤษถือตามทฤษฎีมูลเหตุเหมาะสม คดี Re Polemis ค.ศ.1921 ลูกจ้างที่ขนของลงเรือทำไม้กระดานตกลงไปข้างล่างท้องเรือ ซึ่งมีไอ น้ำมันจากเครื่องของเรือ เมื่อไม้กระดานตกไปก็เกิดประกายไฟขึ้นมา ทำให้เรือไหม้ ข้าวของเสียหาย ความเสียหายเกิดจากแผ่นกระดานตกลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้การที่ไม้กระดานตกลงไปใต้ท้องเรือ จะเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะทำให้เกิดความเสียหายถึงขั้นไฟไหม้เรือ แต่เมื่อเป็นผลโดยตรงจาก ความประมาทของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิด คดี Polemis V. Furness, Withy & Co, 1921 จำเลยได้เช่าเรือโจทก์เพื่อบรรทุกน้ำมันเบนซิน และหรือน้ำมันปิโตรเลียมบรรจุในถังระหว่างเดินทางในทะเล มีคราบน้ำมันที่รั่วออกมาจากถังบรรจุน้ำมันไป ตกค้างอยู่ใต้ท้องเรือ และบางส่วนได้กลายเป็นไอน้ำมัน (Petrol/Vapour) ซึ่งเมื่อเรือเข้าจอดเทียบท่า คนงานของจำเลยได้ทำไม้กระดานสำหรับทอดเดินข้ามตกลงไปในท้องเรือ เป็นเหตุทำให้เกิดประกายไฟจน ไฟลุกลาม และไอน้ำมันดังกล่าวเกิดจุดระเบิดขึ้น เรือได้รับความเสียหายทั้งหมด (Totally Destroyed) คดี Wagon Mound ค.ศ.1961 โจทก์กำลังซ่อมเรืออยู่ ลูกจ้างของโจทก์ใช้ไฟฟ้าเชื่อมโลหะ จำเลยเช่าเรือของโจทก์และอยู่ห่างจากท่าเรือของโจทก์ 600 ฟุต ได้เติมน้ำมันเรือ ลูกจ้างของจำเลย ประมาทเลินเล่อทำให้น้ำมันจำนวนมากไหลลงสู่อ่าว หลังจากนั้น 60 ชั่วโมง ได้เกิดไฟลุกไหม้เพราะเศษ โลหะที่หลอมตัวจากการเชื่อมโลหะทำให้วัตถุติดไฟง่ายลุกไหม้ตกลงไปใต้ท่าเทียบเรือและลามไปทำให้


2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง น้ำมันลุกเป็นไฟ จนทำให้ท่าเรือของโจทก์เสียหาย ศาลอังกฤษยกฟ้องเพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าว เป็นความเสียหายที่ไม่มีเหตุที่จำเลยจะคาดเห็นได้ ฎีกาที่ 2086/2523 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงในการต่อ ท่อสูบถ่ายน้ำมันเบนซินจากเรือบรรทุกน้ำมันเข้าคลังน้ำมันของจำเลยที่ 3 ที่ 4 เมื่อเดินเครื่องสูบน้ำมันแล้ว เป็นเหตุให้น้ำมันเบนซิน 5,195 ลิตร รั่วไหลตกลงไปในแม่น้ำแผ่กระจายไปบนผิวน้ำถ่านที่เหลือจากการหุง ต้มทิ้งลงในแม่น้ำตามปกติทำให้เกิดไฟลุกไหม้น้ำมันเบนซินบนผิวน้ำลุกลามไหม้บ้านเรือนทรัพย์สินของ โจทก์อย่างรวดเร็วเป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยทั้ง สองต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยกฎหมายในประเทศเรานั้น ได้ใช้ทั้งสองทฤษฎีข้างต้นผสมผสานกัน แต่เท่าที่สังเกตจาก คำพิพากษาส่วนมาก ทฤษฎีเงื่อนไขจะเป็นทฤษฎีที่ใช้มากกับคำวินิจฉัยของศาลไทย โดยท่านอาจารย์จิตติฯ เห็นว่า ศาลไทยไม่ได้ยึดติดทฤษฎีใดเป็นสรณะ แต่เอามาใช้ควบคู่กัน แล้วแต่ว่าทฤษฎีใดจะเป็นธรรมกับ คู่กรณีที่สุด เป็นที่มาของทฤษฎีผลโดยตรงที่ไม่ไกลไปกว่าเหตุ ศาลฎีกาใช้คำว่า ผลโดยตรงจากการกระทำ หาใช่เป็นผลที่ไกลเกินกว่าเหตุ (ฎีกาที่ 1089/2519, 4171/2529, 2571/2541, 7292/2543) ใช้ไม้พายตีหน้าจนตกเรือนและจมน้ำตาย (ฎีกาที่ 1150/2498) ขับรถยนต์ชนรถโจทก์ไปกระแทกเสาไฟฟ้าเสียหาย (ฎีกาที่ 1431/2498) ครูพละลงโทษเด็กให้วิ่งรอบสนามโดยไม่รู้ว่ามีโรคประจำตัว ฎีกาที่ 5129/2546 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาพลศึกษา ได้สั่งให้นักเรียนชั้น ม.1 วิ่ง รอบสนามระยะทาง 200 เมตร ต่อ 1 รอบ จำนวน 3 รอบ เป็นการอบอุ่นร่างกายก่อนการเรียนวิชาพล ศึกษาในภาคปฏิบัติและได้สั่งให้นักเรียนวิ่งรอบสนาม ต่ออีก 3 รอบ เป็นการกระทำโทษที่วิ่งไม่เป็นระเบียบ เรียบร้อย ซึ่งเหมาะสมตามสมควรแก่พฤติการณ์แต่การที่สั่งให้วิ่งรอบสนามต่อไปอีก 3 รอบ และเมื่อ นักเรียนยังทำไม่ได้เรียบร้อย ก็สั่งให้วิ่งต่อไปอีก 3 รอบ ในช่วงเวลาหลังเที่ยงวันเพียงเล็กน้อย สภาพอากาศ ร้อนและมีแสงแดดแรง นับเป็นการใช้วิธีการลงโทษนักเรียนที่ไม่เหมาะสมและไม่ชอบเพราะจำเลยที่ 1 น่าจะเล็งเห็นได้ว่าการลงโทษนักเรียนซึ่งมีอายุระหว่าง 11 ถึง 12 ปีด้วยวิธีการดังกล่าวอาจเป็นอันตราย ต่อสุขภาพของนักเรียนได้เป็นความประมาทเลินเล่อ จนทำให้เด็กชาย พ. ซึ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อนล้มลง ใน การวิ่งรอบสนามรอบที่ 11 และถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาเพราะสาเหตุระบบหัวใจล้มเหลว การตายของ เด็กชาย พ. จึงเป็นผลโดยตรงจากการวิ่งออกกำลังตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ทราบว่า เด็กชาย พ. เป็นโรคหัวใจ ก็ตาม มิใช่เกิดจากเหตุสุดวิสัย ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้ เด็กชาย พ. ถึงแก่ความตาย แต่ความไม่รู้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นเหตุประกอบดุลพินิจในการกำหนดค่า สินไหมทดแทนให้น้อยลง ฎีกาที่ 1011/2503 เมื่อจำเลยขับขี่รถจักรยานยนต์เข้าชนรถ 3 ล้อ โดยประมาทแล้ว ผู้ตายซึ่ง โดยสารมาในรถ 3 ล้อ ก็ตกกระเด็นลงไปล้มนอนอยู่ที่ทางรถราง พอดีกับรถรางแล่นมาถึงแล้วทับครูดไปใน ระยะ 1 วา รถรางจึงสามารถหยุดนิ่งได้ทำให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บมากและถึงตายเพราะพิษบาดแผลนั้น


3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โดยรถรางมิได้แล่นมาเร็วผิดธรรมดา กรณีเช่นนี้ถือว่า ความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากความประมาท ของจำเลย จำเลยย่อมมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาท *ฎีกาที่ 8789/2559 การที่จำเลยที่ 1 ขับรถชนรถคันอื่นจนทำให้เกิดความเสียหายแก่รถอื่น ถึง 3 คัน ย่อมเป็นผลโดยตรงอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ซึ่งขับรถด้วยความเร็ว สูงในขณะเมาสุรา *แต่ตามตัวอย่างข้อเท็จจริงที่เป็นข่าวในปัจจุบันที่เราเพิ่งเคยได้เห็น กรณีที่มีการทะเลาะวิวาทกัน หลังจากนั้นผู้เสียหายเข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล แล้วคู่กรณีตามไปยิงซ้ำจนถึงแก่ความตาย ต้องถือว่า กรณีนี้เป็นเหตุแทรกแซงที่ไม่อาจคาดหมายได้ แต่กรณีที่ลูกจ้างของจำเลยประมาทขับรถชนรถของโจทก์จนต้องจอดรถทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุ หลังจากนั้นมีคนมาขโมยยางรถของโจทก์ไป กรณีเช่นนี้ถือว่าความเสียหายนั้นไม่ขาดตอน เพราะ วิญญูชน สามารถที่จะคาดหมายว่าจะเกิดเหตุดังกล่าวได้ดังนั้นยางรถยนต์ที่ถูกลักไปจึงเป็นผลโดยตรง ฎีกาที่ 1898/2518 โจทก์รับจ้างขนส่งยางรถยนต์ของบริษัท ย. โดยมอบหมายให้ห้างหุ้นส่วน จำกัด ล.รับขนส่งให้อีกทอดหนึ่ง ฉ.ลูกจ้างของจำเลยขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยโดยประมาท เป็นเหตุ ให้ชนกับรถยนต์ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ล.ที่บรรทุกยางรถยนต์ดังกล่าวแล่นสวนทางมา ทำให้ยางรถยนต์ที่ บรรทุกมาตกลงไปจากรถ แล้วถูกคนร้ายลักไป โจทก์ได้ชำระราคายางรถยนต์ที่สูญหายให้แก่บริษัท ย.ไป แล้ว ดังนี้เห็นได้ว่า การที่ยางรถยนต์ถูกคนร้ายลักไป เกิดขึ้นเพราะความผิดของ ฉ.คนขับรถของจำเลยที่ขับ รถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถบรรทุกยาง ซึ่งถ้าไม่ชน ก็คงไม่ถูกคนร้ายลักในที่เกิดเหตุการสูญหายของ ยางรถยนต์จึงเป็นผลโดยตรงจากการละเมิด จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในผลแห่งละเมิดของ ฉ.คนขับรถของจำเลยที่ชนรถบรรทุกยางรถยนต์ ฎีกาที่ 7973-7975/2548 จำเลยที่ 4 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขับรถบรรทุกวัตถุระเบิด ของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้นำไปส่งที่คลังสินค้าของจำเลยที่ 1 ไปในทางการ ที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ระหว่างการขนส่งจำเลยที่ 4 ประมาทเลินเล่อขับรถด้วยความเร็วเกินสมควร แล่นเข้าทางโค้งที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้งหักข้อศอกโดยไม่ระมัดระวังจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถควบคุมรถได้ ทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำวัตถุระเบิดซึ่งบรรทุกมาตกกระจายอยู่บนพื้นถนน หลังจากนั้นมีชาวบ้านเข้ามายุ่ง เกี่ยวกับวัตถุระเบิดที่ตกกระจายอยู่บนพื้นถนนดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดระเบิดขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตและ บาดเจ็บรวมหลายร้อยคน และทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหาย การกระทำของชาวบ้านที่ทำ ให้เกิดระเบิดขึ้นเช่นนี้เป็นเหตุแทรกแซงที่วิญญูชนคาดหมายได้เพราะเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น บนทางหลวง ก็จะมีชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงรวมทั้งประชาชนที่ใช้ยวดยานสัญจรผ่านที่เกิดเหตุจะหยุดรถลงไป มุงดูเหตุการณ์และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บาดเจ็บ รวมทั้งอาจมีคนไม่ดีซึ่งปะปนอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นถือ โอกาสหยิบฉวยเอาทรัพย์สินสิ่งของที่ตกหล่นไปได้ทั้งการขนส่งวัตถุระเบิดครั้งนี้ก็มิได้จัดให้มีป้ายข้อความ ว่า "วัตถุระเบิด" ติดแสดงไว้ให้เห็นได้ง่ายที่ด้านหน้าและด้านหลังรถบรรทุกวัตถุระเบิดคันเกิดเหตุด้วย จึง ต้องถือว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นผลใกล้ชิดสัมพันธ์ต่อเนื่องมาจากการขับรถโดยประมาทเลินเล่อของจำเลย


4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ที่ 4 ซึ่งกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดในผล แห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 4 ด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 ฎีกาที่ 1358-1369/2506 การที่จำเลยรื้อห้องแถวดังกล่าวทำให้สามีโจทก์เสียใจไปกระโดดน้ำ ตาย การที่โจทก์ต้องเสียค่าทำศพสามีและไม่ได้ขายสินค้านั้น ความเสียหายนั้นหาได้เกิดจากการกระทำของ จำเลยไม่ฉะนั้นจะเรียกร้องให้จำเลยรับผิดหาได้ไม่ กรณีที่ความเสียหายไกลกว่าเหตุ เช่น ผู้เช่าผิดสัญญาไม่ส่งคืนทรัพย์ที่เช่า ผู้ให้เช่าจะเรียกค่าขาด ประโยชน์ที่จะมีรายได้จากการฉายภาพยนตร์ไม่ได้เพราะถือว่าเป็นความเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ ฎีกาที่ 2078/2497 ค่าเสียหายที่ผู้ให้เช่าฟ้องเรียกจากผู้เช่าเนื่องจากผู้เช่าละเมิดไม่ยอมออกเมื่อ ครบกำหนดเช่าสำหรับค่าเสียหายนั้นเมื่อผู้ให้เช่าสืบว่าถ้าผู้ให้เช่าได้ฉายภาพยนต์ในตึกพิพาทแล้ว กะว่าจะ ได้ประโยชน์วันละ 2,000 บาท เมื่อปรากฎว่าตึกพิพาทเป็นโรงงิ้วจะต้องทำการดัดแปลงสถานที่และร้องขอ อนุญาตต่อเจ้าหน้าที่ แต่จำเลยก็ยังมิได้ขออนุญาตนั้นเป็นค่าเสียหายที่ห่างไกลกว่าเหตุจึงให้ยกเสีย กรณีที่มีการขับรถบนถนนที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ และอีกด้านหนึ่งเป็นภูเขา ส่วนอีกด้านหนึ่ง เป็นลำคลอง ผู้เสียหายตกใจจึงกระโดดลงจากรถจนได้รับบาดเจ็บ กรณีเช่นนี้ถือว่าเกิดจากการ ตัดสินใจของผู้เสียหายเอง ฎีกาที่ 114/2510 จำเลยไม่ได้ขับรถเร็วและทางลากไม้ที่ขับมานั้นเป็นทางจำกัดบังคับให้ขับโดย ข้างหนึ่งเป็นคลอง อีกข้างหนึ่งเป็นเขาจะขับให้ห่างคลองไปอีกไม่ได้เพราติดเขา การที่ล้อพ่วงเอียงนั้นก็ เนื่องจากที่ตรงนั้นเป็นหลุมเอาหินกองไว้หินแตก เป็นเหตุให้ระดับล้อที่ผ่านไปทรุดต่ำลง และรถคันที่จำเลย ขับก็ไม่ได้คว่ำ ถ้าผู้ตายไม่ด่วนตัดสินใจกระโดดจากรถเหมือนคนอื่น ก็คงไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด ดังนี้ หาใช่ความประมาทของจำเลยไม่ แต่ถ้าคนขับรถนั้นได้ขับรถด้วยความประมาท ผู้ตายจึงกระโดดลงจากรถก่อนในระยะกระชั้นชิด ก่อนที่จะเกิดอันตรายขึ้นและในที่สุดก็ได้เกิดอันตรายขึ้นจริงๆเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายดังกล่าว กรณีนี้ถือ ว่าเป็นผลใกล้ชิดเนื่องจากการขับรถประมาทของจำเลย ฎีกาที่ 1436/2511 เมื่อคดีฟังได้ว่า จำเลยขับรถด้วยความประมาทแล้ว แม้ผู้ตายจะกระโดดลง จากรถก่อน หากแต่ในระยะกระชั้นชิดกับภยันตรายที่จะเกิดขึ้น และในที่สุดได้เกิดขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยง ภยันตรายเฉพาะหน้านั้น ก็ยังต้องถือว่าการกระทำของผู้ตายเป็นผลอันเกิดใกล้ชิดและเนื่องมาจากเหตุขับ รถประมาทของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาท กรณีที่ผู้ตายและผู้เสียหายถูกกักขังทำร้ายร่างกายในห้องประมาณ 3 เดือนโดยไม่มีทางหลบหนี ผู้ตายจึงตัดสินใจกระโดดลงจากห้องลงมาถึงแก่ความตาย เช่นนี้ถือว่าเป็นผลโดยตรงจากการถูก ทรมาน *ฎีกาที่ 4904/2548 ผู้ตายและผู้เสียหายทั้งสามถูกกักขังและถูกทำร้ายร่างกายในลักษณะการ ทรมานอยู่ในห้องพักที่เกิดเหตุเป็นระยะเวลาประมาณ 3 เดือน โดยไม่มีหนทางหลบเลี่ยงให้พ้นจากการถูก ทรมานหรือขอความช่วยเหลือจากผู้ใดได้เห็นได้ว่าผู้เสียหายทั้งสามและผู้ตายต้องตกอยู่ในสภาพถูกบีบคั้น ทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน การที่ผู้ตายตัดสินใจกระโดดจากห้องพัก


5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เพื่อฆ่าตัวตายนั้นอาจเป็นเพราะผู้ตายมีสภาพจิตใจที่เปราะบางกว่าผู้เสียหายอื่น และไม่อาจทนทุกข์ทรมาน ได้เท่ากับผู้เสียหายอื่นจึงได้ตัดสินใจกระทำเช่นนั้นเพื่อให้พ้นจากการต้องทนทุกข์ทรมาน พฤติการณ์ฟังได้ว่า การตายของผู้ตายมีสาเหตุโดยตรงมาจากการถูกทรมานโดยทารุณโหดร้าย ต่อไปเรามาดูเรื่องการละเมิดโดยการหมิ่นประมาทในทางแพ่งกันบ้าง มาตรา 423 ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียง หรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดีหรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ ดีท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อ ตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้ ผู้ใดส่งข่าวสาส์นอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสาส์นนั้นมีทางได้เสียโดย ชอบในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสาส์นเช่นนั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ ข้อพิจารณา ความรับผิดตามมาตรา 423 นี้ข้อความที่กล่าวหรือไขข่าวนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่ฝ่าฝืน ต่อความจริงหรือเป็นความเท็จ หากข้อความที่กล่าวเป็นความจริงก็จะไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรานี้และ ก่อให้เกิดผลในความเสียหายในทางชื่อเสียงเกียรติคุณ ซึ่งความเสียหายต่อชื่อเสียงนั้นเราไม่ถือว่าเป็นความ เสียหายที่ไม่ใช่ตัวเงิน ดังนั้น การคิดคำนวณค่าเสียหายหรือการชดใช้ค่าทดแทนหรือค่าเสียหาย ก็จะมี หลักเกณฑ์ในการเลือกใช้ต่างหาก คือจะต้องไปใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 438 ประกอบ มาตรา 447 ความเสียหายประการที่สองที่เกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรานี้ก็คือความเสียหายที่เกิดแก่ ทรัพย์สินหรือทางทำมาหาได้หรือกระทบต่อความเจริญก้าวหน้าของบุคคลอื่น ซึ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นความ เสียหายที่สามารถคำนวณเป็นเงินได้ องค์ประกอบของมาตรา 423 อีกประการหนึ่ง ก็คือข้อความอันเป็นเท็จที่ว่านั้น โดยหลักแล้ว ผู้กระทำจะต้องรู้ว่าเป็นความเท็จด้วย หากผู้เผยแพร่หรือไขข่าวนั้นไม่รู้ว่าข้อความนั้นเป็นความเท็จ ก็จะไม่เข้าเงื่อนไขของมาตรานี้ เปรียบเทียบความผิดฐานหมิ่นประมาทในทางแพ่งกับความผิดฐานหมิ่นประมาท การหมิ่นประมาทในทางแพ่งนั้น ข้อความต้องฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง แต่การหมิ่นประมาทในทาง อาญานั้น แม้ข้อความจะเป็นความจริงก็อาจมีความผิดได้เพราะกฎหมายห้ามไม่ให้พิสูจน์หากเป็นเรื่อง ส่วนตัวและไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน นอกจากนี้การหมิ่นประมาทในทางแพ่งนั้น แม้ผู้กระทำจะไม่มีเจตนา แต่หากควรจะรู้ว่าข้อความ ดังกล่าวไม่เป็นความจริง ก็ถือว่าเป็นละเมิด ส่วนการหมิ่นประมาทในทางอาญานั้น ผู้กระทำจะต้องหมิ่น ประมาทโดยมีเจตนาเท่านั้น การหมิ่นประมาทในทางแพ่งนั้น อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงหรือทางทำมาหาได้แต่การ หมิ่นประมาทในทางอาญานั้น จะต้องเสียหายต่อชื่อเสียง ทำให้ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง


6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง องค์ประกอบของความผิด 1.ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย 2.ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง 3. เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ หรือทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของบุคคลอื่น 4. รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริงหรือควรจะรู้ได้ การกล่าวหรือไขข่าวนั้น หมายถึง การแสดงข้อความให้บุคคลที่สามทราบ โดยคำว่า “กล่าว”นั้นคือ พูดด้วยตนเอง ส่วนคำว่า “ไขข่าว” คือฟังจากคนอื่นแล้วนำไปเผยแพร่ต่อ จะเป็นด้วย ถ้อยคำพูด คำที่เขียน ด้วยกิริยาอาการ หรือวิธีอื่น หรือโดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสีภาพยนตร์ละคร โทรทัศน์อินเทอร์เน็ต หรือแฟกซ์ที่ทำให้ปรากฏด้วยแผ่นเสียงหรือสิ่งบันทึกเสียง โดยการกระจายเสียง การป่าวประกาศด้วยวิธีอื่นใดก็ได้ แต่การด่าหรือดูหมิ่นซึ่งหน้านั้น ไม่ใช่การหมิ่นประมาท และมีข้อสังเกตประการต่อไปว่าการ กล่าวหรือการไขข่าวนั้น จะต้องมีลักษณะเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง ฎีกาที่ 6018/2541 จำเลยเป็นทนายความให้ จ. ซึ่งถูกโจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกและขอดำเนินคดี อย่างคนอนาถา ในการไต่สวนคำร้อง จำเลยได้ซักค้านโจทก์ว่า "โจทก์เป็นโจรรุ่นเดียวกับ เสือขาวใช่ไหม" ดังนี้ การที่จำเลยซักค้านโจทก์ดังกล่าว เป็นการถามพยานในเวลาพิจารณาคดีเพื่อการวินิจฉัย ชั่งน้ำหนักคำ พยาน ไม่ใช่ข้อความที่ยืนยันว่าโจทก์ เป็นโจร จึงไม่เป็นการใส่ความ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการกระทำ ละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาที่ 7055/2539 โจทก์ได้บรรยายสรรพคุณเกี่ยวกับยาโคบาลเคคินว่าเป็นยาบำรุงร่างกาย ส่วนยาโคบาล บีดับบลิว ว่าเป็นยาช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและระบบการหายใจ กับมีภาพ โคบาลขี่ม้าคึกคะนองติดอยู่ที่แผงยาด้วย และโจทก์ประสงค์จะใช้ภาพโคบาลขี่ม้าคึกคะนองเป็นเครื่องหมาย การค้าของโจทก์ด้วยก็ตาม การที่จำเลยที่ 3 ใช้ข้อความว่า "เป็นยาปลุกคึกน้องใหม่" กับยาของโจทก์ ดังกล่าวย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าหากบริโภคยาของโจทก์แล้วร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าคึกคะนอง ยังไม่มี ความหมายชัดเจนพอให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเป็นยาปลุกกำหนัดทางเพศสำหรับข้อความที่ว่า "ยังถูกเพ่งเล็งว่ายา ของโจทก์เป็นยาม้าเทียม" เมื่อจำเลยที่ 3ได้กล่าวเป็นทำนองยกขึ้นเปรียบเทียบและมิได้เป็นการกล่าว ยืนยันว่ายาของโจทก์เป็นยาม้าแต่อย่างใด ดังนี้ข้อความที่จำเลยที่ 3 ลงพิมพ์ไปนั้นไม่เป็นข้อความอัน ฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาที่ 952/2534 โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีหน้าที่ตามกฎหมายหรือระเบียบปฏิบัติ อย่างไรในการที่จะต้องตรวจร่างกายหรือจิตใจของโจทก์เสียก่อนจึงจะให้ความเห็นได้ และมิได้บรรยายว่า จำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้ความเห็นเป็นผลร้ายโดยตรงแก่โจทก์การที่จำเลยซึ่งเป็นแพทย์ได้ให้ ความเห็นอย่างเป็นกลางในวิชาความรู้ทางการแพทย์ และมิได้ยืนยันเป็นเด็ดขาดว่าโจทก์เป็นโรคชนิดใด ถือ ได้ว่าจำเลยให้ความเห็นโดยสุจริตไม่เป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความเป็นเท็จอันจะเป็นการละเมิดต่อ


7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โจทก์เมื่อการกระทำของจำเลยตามฟ้องโจทก์ไม่เป็นละเมิด ศาลก็พิพากษายกฟ้องในชั้นตรวจคำฟ้องได้โดย ไม่จำต้องรับฟังพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ต่อไป บรรยายฟ้องว่าผู้เสียหายทั้งสองไม่มีความยุติธรรมในใจให้กับตัวเองจริงหรือไม่ แม้จะเป็นการ บรรยายแบบกึ่งคำถาม แต่เป็นการกล่าวทำนองตำหนิว่าผู้เสียหายทั้งสองไม่มีความยุติธรรมอัน เนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษา ย่อมเป็นความผิดฐานดูหมิ่นผู้พิพากษา *ฎีกาที่ 8244/2563 จำเลยฟ้องผู้เสียหายทั้งสองอ้างว่าผู้เสียหายทั้งสองปฏิบัติหรือละเว้นการ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีเจตนาช่วยเหลือ ก. และ ส. ให้ พ้นจากการกระทำความผิด เป็นการกล่าวหาว่าผู้เสียหายทั้งสองกระทำความผิดอาญาโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่า ผู้เสียหายทั้งสองไม่ได้กระทำความผิด การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จและที่จำเลยฟ้องว่า ผู้เสียหายทั้งสองไม่มีความยุติธรรมในใจให้กับตัวเองจริงหรือไม่ แม้จะเป็นการบรรยายแบบกึ่งคำถาม แต่ เป็นการกล่าวทำนองตำหนิว่าผู้เสียหายทั้งสองไม่มีความยุติธรรม ฟ้องจำเลยมีข้อความที่ดูหมิ่นผู้เสียหายทั้ง สองอัน เนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษา เป็นความผิดฐานดูหมิ่นผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือ พิพากษาคดี การกล่าวหรือไขข่าวอันเป็นเท็จนั้น จะต้องมีบุคคลที่ 3 มาร่วมรับรู้หรือรับฟังด้วย เพราะฉะนั้น การพูดคนเดียวย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ หรือถ้ามีบุคคลอื่นมาแอบฟังโดยที่ไม่รู้ ก็ไม่เป็น ความผิด ฎีกาที่ 110/2516 จำเลยมีจดหมายซึ่งมีข้อความหมิ่นประมาทส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนถึง โจทก์โดยตรงไปยังสำนักงานโจทก์ แสดงเจตนาของจำเลยว่าจะให้โจทก์เท่านั้นทราบข้อความในจดหมาย มิใช่เจตนาเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม แม้เสมียนของโจทก์ทราบข้อความจากจดหมายที่จำเลย ส่งไปถึงตัวโจทก์นั้น ก็เป็นเรื่องนอกเหนือเจตนาของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 การกล่าวหรือไขข่าวต้องเป็นการแสดงต่อบุคคลที่สาม ดังนั้น การสนทนาผ่านโปรแกรม Facebook แบบกลุ่มปิดในกลุ่มเดียวกัน ไม่เป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายให้บุคคลอื่นรับทราบ ข้อความที่สนทนา ดังนั้นจึงไม่เป็นละเมิดตามมาตรา 423 *ฎีกาที่ 6681/2562 แม้ ป.พ.พ. มาตรา 423 ไม่ได้บัญญัติว่าเป็นการกล่าวหรือไขข่าวต่อบุคคล ที่สาม แต่การกล่าวหรือไขข่าวที่แพร่หลายได้ก็ต้องมีบุคคลที่สามอยู่ การพูดคนเดียวไม่มีคนได้ยินย่อมไม่เป็น การกล่าวให้แพร่หลาย ดังนั้นถ้ามีคนแอบฟังโดยคนพูดไม่รู้ การพูดดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการจงใจกล่าว หรือไขข่าวแพร่หลาย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า พ. เป็นผู้เริ่มต้นการตั้งโปรแกรมสนทนาผ่านบัญชีเฟสบุ๊ค เม สเซนเจอร์ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ให้บริการส่งข้อความและข้อมูลมัลติมีเดียสนทนาโต้ตอบกันผ่านระบบ อินเทอร์เน็ตที่เข้าในระบบเพื่อพูดคุยกัน โปรแกรมสนทนาดังกล่าวเป็นแบบระบบปิดมีสมาชิกเพียง 3 คน คือจำเลยทั้งสองและ พ. บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าไปดูหรืออ่านข้อความสนทนาได้ การสนทนาดังกล่าว


8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ที่มีการพูดถึงโจทก์และพนักงานอื่นรวมอยู่ด้วยจึงเป็นการกล่าวที่จำเลยทั้งสองและ พ. ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกัน สนทนาร่วมกันโดย พ. เข้าร่วมสนทนากับจำเลยทั้งสองหลายครั้ง จึงมิใช่เป็นการที่จำเลยทั้งสองกล่าวหรือ ไขข่าวแพร่หลาย ส่วนการที่โจทก์แอบดูและอ่านข้อความสนทนาและนำไปเผยแพร่ให้บุคคลอื่นรับทราบเอง ย่อมไม่ทำให้การสนทนาระหว่างกลุ่มบุคคลทั้งสามเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายให้บุคคลอื่นรับทราบ ได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ****จบการบรรยาย****


1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา ละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ บรรยายวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 (ครั้งที่ 10) (สัปดาห์ที่ 11) สวัสดีครับนักศึกษา คราวที่แล้วเราได้พูดคุยกันเรื่องหมิ่นประมาทในทางแพ่ง โดยอาจารย์ได้ ยกตัวอย่างไปหลายเรื่องนะครับ วันนี้เราจะต่อในเรื่องละเมิดในทางแพ่งให้จบ คราวที่แล้วจบด้วย คำพิพากษาเรื่องในสถานที่ทำงานมีการเปิดข้อความไลน์กลุ่มและมีการคุยวิพากษ์วิจารณ์กล่าวหาถึงเพื่อน ร่วมงานอีกคนหนึ่งในไลน์ ซึ่งในไลน์กลุ่มนั้นมีบุคคล 3 คน และต่อมาเพื่อนร่วมงานที่โดนวิพากษ์วิจารณ์ ไปพบข้อความในไลน์กลุ่มโดยบังเอิญ มีปัญหาว่าเป็นการกล่าวไขข่าวแพร่หลายซึ่งจะถือว่ามีบุคคลที่สาม หรือไม่และคำพิพากษาฎีกาวินิจฉัยว่าข้อความไลน์กลุ่มนั้นเป็นเรื่องระหว่างบุคคลในกลุ่มเดียวกันที่พูดคุย กันและเป็นไลน์กลุ่มปิดที่ไม่ได้เปิดให้บุคคลภายนอกเข้าไปจึงไม่ถือว่ามีบุคคลที่สาม และอาจารย์ได้ตั้ง คำถามว่าถ้าไลน์กลุ่มนั้นมีบุคคลมากกว่าสามคนหรือจำนวนเยอะผลของการวินิจฉัยจะเป็นอย่างเดียวกัน หรือไม่ กรณีนี้อาจารย์ไม่แน่ใจว่าถ้ามีคนในไลน์กลุ่มจำนวนเยอะผลวินิจฉัยจะเปลี่ยนหรือไม่ แต่ตำราของ ท่านอาจารศักดิ์ถนอมชาต มีประเด็นว่า การไขข่าวแพร่หลายจะต้องมีบุคคลภายนอกมารับรู้ ถ้าเป็นเรื่อง ระหว่างผู้กระทำความผิดด้วยกันหรือเป็นตัวการด้วยกันในการนินทา กรณีแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นบุคคลที่สาม เพราะถือว่าเป็นตัวการที่สมรู้กันกระทำความผิด ถ้านำเหตุผลของอาจารศักดิ์ถนอมชาต มาอธิบาย ว่าในกรณีที่เขาเปิดไลน์กลุ่มกันและวิพากษ์วิจารณ์กัน ถือว่าเขาร่วมกันจะใส่ความหรือหมิ่นประมาทเพื่อน ร่วมงานอีกคนโดยไม่ให้รู้ ถ้าเป็นแบบนี้เป็นเหตุผลที่พอไปได้และเป็นเหตุที่ทำไมสามคนถึงไม่มีบุคคลที่สาม เพราะว่าเป็นตัวการร่วมกันในการที่ร่วมกันนินทาใส่ความหรือหมิ่นประมาท กรณีข่าวในปัจจุบันออกว่าเกิดเหตุระเบิดที่สุไหงโกลกเข้าข่ายเป็นการกระทำละเมิดหรือไม่และใคร อยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบบ้าง แต่ข้อเท็จจริงที่แน่ชัดเราไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อาจารย์สมมุติจาก ข้อมูลข่าวสารที่เราได้อ่านได้ทราบมาว่า ที่ตลาดที่ชุมชนมีบุคคลอาศัยอยู่เยอะมีการซื้อขายระหว่างคนไทย และคนมาเลเซีย คนมาเลเซียข้ามแดนมาซื้อสินค้าที่ตลาดนี้เยอะมากและเป็นตลาดเก่าแก่ที่ตั้งมานานแล้ว และสถานที่เกิดเหตุเป็นโกดังสินค้าที่มีเจ้าของโกดังเอาสินค้ามาขายส่งทั้งในตลาดและขายส่งไปยังประเทศ มาเลเซียซึ่งมีสินค้าหลากหลาย ตามข่าวบอกว่าก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 ถึง 2 เดือน มีรถบรรทุกขนเอาพลุ ดอกไม้ไฟดอกไม้เพลิงวัตถุระเบิดประมาณ 2 คันรถมาเก็บไว้ในโกดัง และคนที่เห็นเรื่องนี้ได้ไปร้อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบอกว่ามีการขนพลุดอกไม้ไฟดอกไม้เพลิงวัตถุระเบิดมาเก็บไว้ขอให้หน่วยงานของรัฐ ไปตรวจสอบ ปรากฏว่าช่วงนี้โกดังเก็บสินค้าเก่าและชำรุดเจ้าของโกดังก็เลยไปว่าจ้างให้ผู้รับเหมาเข้ามาทำ การซ่อมแซมโกดังให้แข็งแรง เมื่อว่าจ้างเสร็จเจ้าของโกดังก็ไม่อยู่และผู้รับเหมาได้เข้ามาทำซ่อมแซมโกดัง โดยการเชื่อมโลหะซ่อมบำรุงตามที่ได้รับว่าจ้างมาและสันนิษฐานว่าเกิดประกายไฟจากการเชื่อมโลหะ


2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง กระเด็นไปถูกวัตถุระเบิดพลุทำให้ไหม้และเกิดระเบิดขึ้น มีคนบาดเจ็บร้อยกว่าคน บ้านเรือนแถวนั้นไหม้ เสียหาย กรณีนี้มีการทำละเมิดเกิดขึ้นหรือไม่และมีตัวละครอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง จากปัญหานี้เราควรจะตั้งต้นจากลูกจ้างที่ไปเชื่อมเหล็กและเกิดประกายไฟไปถูกวัตถุระเบิดในโกดัง ทำให้เกิดระเบิดขึ้น ซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้รับจ้างทำของที่เข้ามาซ่อมบำรุงโกดัง มีปัญหาว่าลูกจ้างรู้หรือไม่ว่า ในโกดังมีพลุดอกไม้ไฟวัตถุระเบิด ถ้าห่อดอกไม้ไฟวัตถุระเบิดเขียนไว้ว่าคือดอกไม้ไฟวัตถุระเบิดถือว่าลูกจ้าง รู้และถือว่าการกระทำของลูกจ้างกระทำโดยประมาท แต่ถ้าไม่ได้เขียนไว้ถือว่าลูกจ้างไม่รู้ หากลูกจ้างรู้และ ได้กระทำโดยประมาทตัวนายจ้างคือผู้รับเหมาก็ต้องรับผิดด้วยตามมาตรา 425 ต่อไประหว่างเจ้าของโกดังกับผู้รับเหมา เจ้าของโกดังทราบแน่นอนว่าโกดังมีพลุดอกไม้ไฟวัตถุ ระเบิด ถ้าหากว่าเจ้าของโกดังจ้างผู้รับเหมาให้เข้ามาซ่อมพวกโลหะต่างๆที่เป็นเหล็กที่ต้องมีการเชื่อมเมื่อมี การออกคำสั่งใดๆที่ต้องมีการเชื่อมโลหะทั้งหลาย ถือว่าผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นเจ้าของโกดังมีส่วนในการออกคำสั่ง จะต้องเอาเรื่องจ้างทำของมาใช้กรณีตามมาตรา 428 กำหนดไว้ระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้างทำของ คือจะ ผิดละเมิดเมื่อผู้ว่าจ้างทำของจะต้องมีส่วนผิดในการเลือกผู้รับจ้าง จะต้องมีส่วนผิดในงานที่ท ำ และถ้าผู้ ว่าจ้างทำของมีส่วนผิดก็บวกผู้ว่าจ้างทำของเข้ามาในกระบวนการทำละเมิดด้วยอีกคนหนึ่ง ทีนี้ตามข่าวบอกว่าไม่มีข้อเท็จจริงว่าเจ้าของโกดังขอใบอนุญาตที่จะมีไว้ในความครอบครองซึ่งพลุ หรือวัตถุระเบิดหรือไม่ซึ่งพลุหรือวัตถุระเบิดเป็นวัตถุอันตรายโดยสภาพของตัวมันเองและเกี่ยวกับเรื่องของ ความมั่นคงของรัฐด้วย ปรากฏว่ามีกฎหมายหลายฉบับที่กำหนดเกี่ยวกับการใช้การครอบครองการจำหน่าย วัตถุระเบิดไว้และมีหน่วยงานที่เกี่ยวของคือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณะสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม หน่วยงานพวกนี้ต้องดูแลไม่ให้เกิดภยันตรายจากวัตถุที่เป็น อันตรายโดยสภาพของมัน ซึ่งมีประกาศร่วมกันว่าหน่วยงานทุกหน่วยหากจะทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับพลุวัตถุ ระเบิดจะต้องมีการแจ้งซึ่งกัน และกันและออกข้อบังคับบอกว่าการจะมีไว้ในครอบครองห้ามใกล้ชุมชน โรงเรียน สาธารณสถาน และจะต้องมีรั้วและโกดังจะต้องห่างจากรั้ว 20 เมตรเป็นต้น ซึ่งจะมีรายละเอียดที่ ดูแลเรื่องพวกนี้ไว้ทั้งหมด ถ้าหากข้อเท็จจริงบอกว่าเจ้าของโกดังขออนุญาต เงื่อนไขก็จะไม่เข้าเพราะโกดัง อยู่ในชุมชนและในตลาดไม่สามารถอนุญาตได้แสดงว่าเจ้าของโกดังลักลอบเก็บพลุไว้จริงตามที่มีคนแจ้ง ว่ามีคนลักลอบขนเอาพลุดอกไม้ไฟหรือวัตถุระเบิดมาเก็บไว้ในโกดังเพื่อขาย เท่ากับว่าเจ้าของโกดังไม่ปฏิบัติ ตามระเบียบหรือกฎหมายว่าด้วยการควบคุมพลุดอกไม้ไฟหรือวัตถุระเบิด และเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่ จะต้องขอใบอนุญาต หากไม่ทำเป็นการทำผิดกฎหมาย เมื่อเกิดระเบิดขึ้นจากการที่ลูกจ้างของผู้รับเหมาทำ การเชื่อมโลหะ ถามว่าเจ้าของโกดังมีส่วนที่จะต้องรับผิดด้วยหรือไม่ เจ้าของโกดังมีส่วนร่วมด้วยตั้งแต่จ้างผู้ รับจ้างทำของเข้ามาทำการซ่อมบำรุงโกดังจึงมีส่วนโดยตรง มีปัญหาว่าเมื่อเกิดเหตุขึ้นมาทางฝ่าย เจ้าของโกดังปฏิเสธว่าตนไม่ทราบไม่อยู่ ทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของผู้รับจ้างทำของได้หรือไม่ นักศึกษา ต้องเอามาตรา 428 มาปรับใช้ว่ารับผิดแค่ไหนและมีเหตุยกเว้นความรับผิดหรือต้องรับผิดเพียงใด


3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้นมีคนที่ต้องรับผิดชอบคือ ลูกจ้าง และลูกจ้างมีสิทธิปฏิเสธได้ว่าตนไม่ทราบ ว่าโกดังมีวัตถุระเบิดซึ่งขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง ถ้าลูกจ้างรู้ถือว่าลูกจ้างประมาทเลินเล่อและเรื่องการควบคุม เรื่องวัตถุระเบิดทั้งหลายมีข้อกำหนดควบคุมว่าห้ามมิให้ทำกิจกรรมหรือทำการใดๆที่ก่อให้เกิดประกายไฟที่ ใกล้กับวัตถุระเบิดและข้อกำหนดนี้ประกาศใช้แก่ผู้ขอใบอนุญาตทั่วๆไป ต่อมาคนที่ต้องรับผิดชอบคือ นายจ้าง และเจ้าของโกดัง และความเสียหายที่เกิดขึ้นมีความตาย คนบาดเจ็บ ทรัพย์สินที่เสียหาย มีคำถามต่อไปว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องมีส่วนรับผิดชอบในผลของการทำละเมิดในครั้งนี้ด้วยหรือไม่ สมมุติที่ชาวบ้านไปแจ้งต่อหน่วยงานรัฐว่ามีการลักลอบเก็บพลุดอกไม้ไฟและให้หน่วยงานไปตรวจสอบแต่ยัง ไม่ทันได้ตรวจสอบเกิดเหตุเสียก่อน และเจ้าของโกดังไม่ได้ขออนุญาตในการเก็บพลุดอกไม้ไฟ ถามว่า หน่วยงานของรัฐมีส่วนรับผิดชอบในการละเมิดในครั้งนี้หรือไม่ หน้าที่ของของหน่วยงานรัฐคือควบคุม ตรวจสอบแต่เขาไม่ทราบว่ามีการเก็บพลุไว้ในที่ชุมชนเพราะมีการลักลอบเก็บไว้ถือว่าหน่วยงานรัฐไม่รู้ แต่ พอมีคนมาร้องเรียนแล้วแต่ยังไม่ไปตรวจสอบหรือเตรียมจะไปตรวจสอบแต่เกิดเหตุเสียก่อน ถามว่าการมี ดอกไม้ไฟวัตถุระเบิดในที่ชุมชนเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือไม่ เป็นเรื่องที่กระทบเทือนต่อชีวิตทรัพย์สินของ ประชาชนหรือไม่ คำตอบคือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องไปดำเนินการ เมื่อไม่ไปดำเนินการถือว่ามีการกระทำด้วย การงดเว้นหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องกระทำ แต่ถ้าไม่มีคนไปร้องเรียนถือว่าหน่วยงานรัฐไม่รู้ คำถามที่ยากที่สุดคือ การระเบิดที่เกิดขึ้น ความตาย การสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินที่เกิดขึ้น เป็น ผลจากการทำละเมิดในครั้งนี้หรือไม่ พิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล การที่หน่วยงาน รัฐไม่ไปตรวจสอบภายในเวลาที่สมควรคาดเดาได้หรือไม่ว่าจะเกิดการสูญเสียเกิดขึ้น มีเหตุแทรกแซงอย่าง อื่นที่ไม่อาจคาดหมายได้หรือไม่ ผลที่เกิดขึ้นใกล้ชิดกับการที่หน่วยงานรัฐไม่ไปตรวจสอบหรือไม่ ซึ่งเป็น ประเด็นที่ยาก นักศึกษาต้องตอบเองเพราะอาจารย์ก็ไม่รู้ แต่จะบอกว่าเป็นเรื่องที่ต้องเอาความรู้เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับผลมาตอบ และอาจารย์เห็นหลายครั้งว่าข้อสอบมักจะเอาเหตุการณ์ใน ปัจจุบันมาตั้งเป็นคำถาม ล่าสุดวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญก็เอาคดีที่ผู้สมัครสส.ถือหุ้นจำนวนหนึ่งที่ไม่มากนัก จะเป็นบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือไม่ มาออกเป็นข้อสอบและเอาคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งซึ่ง วินิจฉัยเป็นที่สุดว่าหุ้นที่ถือมีจำนวนน้อยไม่เป็นนัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจหรือการกำหนดทิศทางของ บริษัทที่เป็นสื่อมวลชนจึงไม่ขาดคุณสมบัติสำหรับวิชาละเมิดอาจารย์ได้ส่งสัญญาณเตือนแล้วนะครับว่าเหตุ เกิดที่สุไหงโกลกน่าสนใจหากมีการถามประมาณนี้ต้องจับประเด็นอะไรและต้องวิเคราะห์อะไรบ้าง กลับมาต่อเรื่องหมิ่นประมาทในทางแพ่ง 2.ข้อความอันฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง หากเป็นการเอาความจริงมากล่าวไม่สามารถปรับตามมาตรา 423 ได้เลย แต่การเอาความจริงมา กล่าวอาจเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลได้ตามมาตรา 420 และเป็นการหมิ่นประมาทในทางอาญา


4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ถ้าคำถามถามในเชิงหมิ่นประมาทในทางละเมิดจะต้องตอบประการแรกคือมาตรา 423 ก่อนว่าเข้า องค์ประกอบตามมาตรา 423 หรือไม่ หากไม่เข้านักศึกษาต้องตอบต่อไปว่าเข้ามาตรา 420 หรือไม่ให้จบ เพราะอาจเป็นมาตรา 420 ก็ได้ 2.1 ข่าวจริง ฎีกาที่ 21420/2556 ข้อเท็จจริงที่จะทำให้การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายเป็นการทำละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 423 วรรคหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนก็คือการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายนั้น ฝ่าฝืนต่อความจริง หากการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายความจริงก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำละเมิด การที่ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ อ. ประสบปัญหาเรื่องสภาพคล่อง แล้ว ร. ในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ ไทย อ. ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และหม่อมราชวงศ์ จ. ในฐานะปลัดกระทรวงการคลัง ร่วมกันแถลงข่าว ณ ทำเนียบรัฐบาล เผยแพร่รายชื่อบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์รวม 10 บริษัท โดยมีชื่อของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ อ. รวมอยู่ด้วย ซึ่งการแถลงข่าวของบุคคลดังกล่าวเป็น การแถลงต่อสาธารณชนตามปกติวิสัย เพื่อยุติกระแสความตื่นตระหนกต่อความมั่นคงทางการเงิน ของ ประเทศตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 57 วรรคหนึ่ง ดังนี้ คำแถลงข่าวของบุคคลดังกล่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็น การ กล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง การการะทำของบุคคลดังกล่าวจึงไม่เป็นการทำ ละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ทั้งสอง ฎีกาที่ 238/2514 การที่จำเลยไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงว่า โจทก์เป็น ผู้ไม่นิยมการปกครองระบอบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นคนไทยคนหนึ่งเป็น ที่น่ารังเกียจของประชาชนไทยโดยทั่วไป และการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงว่า โจทก์เป็นคนโลภอำนาจทางการเมืองหรือมักใหญ่ใฝ่สูง ยอมทิ้งตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มารับ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และกลายเป็นผู้ที่ประชาชนชิงชังจนไม่อาจอยู่ในประเทศไทยได้ ดังนี้ย่อมเป็นที่ เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของโจทก์ ฎีกาที่ 3053/2530 การที่จำเลยให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ว่าจำเลยฟ้องโจทก์เป็น คดีอาญาในข้อหาฉ้อโกงนั้น เป็นการโต้ตอบโจทก์เนื่องจากโจทก์บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขาย ทั้งทวงเงิน ค่างวดและริบมัดจำด้วย การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นการ กระทำละเมิดต่อโจทก์ 2.2 การทำหนังสือร้องเรียนตามความเป็นจริง ฎีกาที่ 3367/2535 เหตุที่โจทก์ถูกออกจากงานเนื่องจากจำเลยที่ 1 ทำหนังสือร้องเรียนต่อ ธนาคารให้พิจารณาลงโทษโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างของธนาคาร เนื่องจากโจทก์ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก แต่ การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการแจ้งให้ธนาคารทราบเท่านั้น ธนาคารจะพิจารณาและมีคำสั่งลงโทษโจทก์ หรือไม่เป็นเรื่องของธนาคาร แม้การที่จำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงธนาคารเป็นการกระทำให้โจทก์ได้รับ ความ


5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง เสียหายแต่ก็เป็นการใช้สิทธิในฐานะประชาชนที่จะเสนอเรื่องราวร้องทุกข์ได้ส่วนการที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 เบิกความต่อศาลในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง ร. โดยกล่าวถึงคำพิพากษาที่โจทก์ถูกลงโทษจำคุก ก็เป็นการ กระทำตามหน้าที่ในฐานะพยาน อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายมิใช่เป็นการใช้สิทธิของจำเลยโดย เจตนาแกล้งให้โจทก์เสียหายฝ่ายเดียว ทั้งเป็นการไขข่าวตามความเป็นจริง จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาที่ 1355/2506 จำเลยยื่นคำร้องทุกข์ไปยังผู้บังคับบัญชาโจทก์กล่าวหาว่าโจทก์กลั่นแกล้งให้ จำเลยได้รับความเดือดร้อน โดยบรรยายรายละเอียดด้วยว่า โจทก์กระทำอย่างใดต่อจำเลยบ้าง แล้วขอให้สั่ง สอบสวนพฤติการณ์ที่โจทก์กระทำต่อจำเลยนั้น ดังนี้ เมื่อได้ความว่าพฤติการณ์ตามที่จำเลยร้องเรียนไปนั้น เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแก่จำเลยจริง จำเลยกล่าวไปโดยไม่มีข้อความที่ผิดกฎหมายหรือฝ่าฝืนความจริง แม้ผลของการสอบสวนโจทก์จะปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำการไปตามหน้าที่ราชการแล้ว โจทก์ก็จะอ้างว่าคำ ร้องของจำเลยที่ว่าโจทก์กลั่นแกล้งนั้นเป็นการฝ่าฝืนต่อความจริงหาได้ไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็น การละเมิดโจทก์ ฎีกาที่ 1216/2535 การที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบลิฟต์ให้แก่โจทก์ตามสัญญาและโจทก์ได้รับเงินจาก มหาวิทยาลัยผู้ว่าจ้างก่อสร้างอาคารในงานส่วนติดตั้งลิฟต์แล้วแต่ไม่ยอมจ่ายเงินให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงร้องเรียนต่อมหาวิทยาลัยผู้ว่าจ้าง มหาวิทยาลัยจึงเรียกโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปไกล่เกลี่ยนั้น การที่จำเลย ที่ 1 ร้องเรียนต่อมหาวิทยาลัยเป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 ที่จะกระทำได้โดยชอบธรรม ไม่เป็นการกลั่นแกล้ง โจทก์จึงไม่เป็นละเมิด แต่หากเรื่องที่ร้องเรียนนั้นไม่เป็นความจริง ก็ถือว่าเป็นการนำข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงไป เผยแพร่หรือไปไขข่าวต่อบุคคลอื่นให้เกิดความเสียหาย จึงเป็นละเมิดตามมาตรา 423 ฎีกาที่ 104/2534 แม้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมการค้าต่างประเทศจะพูดกับจำเลยที่ 1 ผู้มา ขอให้โจทก์ช่วยตรวจสอบเรื่องของจำเลยที่ 1 ว่า " ผมไม่ชอบให้พ่อค้าเร่งข้าราชการ ผมรู้หน้าที่ของผมดี ผมไม่ชอบ " ก็ไม่ใช่ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ เชื่อว่าเกิดจากความไม่พอใจที่จำเลยที่ 1 มาเร่งรัด ประกอบกับโจทก์ ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติโดยไม่ชักช้า โจทก์จึงไม่มีอคติในการทำงาน การที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนต่อ ผู้บังคับบัญชาของโจทก์ว่าโจทก์ไม่ยอมทำงานเอาแต่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ มีอคติในการทำงาน และกระทำ การหน่วงเหนี่ยวเป็นกำแพงป้องกันการส่งสินค้าออก จึงเป็นการร้องเรียนกล่าวหาที่ฝ่าฝืนต่อความจริง เป็น การละเมิดต่อโจทก์ 2.3 การโฆษณาเท็จ ฎีกาที่ 2118/2553 ข้อมูลเปรียบเทียบศักยภาพของจำเลยในใบแผ่นพับโฆษณา จำเลยแสดงผล การเปรียบเทียบให้เห็นว่าโรงพยาบาลของจำเลยดีกว่า น่าใช้บริการมากกว่า เพราะมีผู้ประกันตนที่รับได้ จำนวนมากที่สุด สะดวกสบายกว่า มีจำนวนเครือข่ายหลายแห่งกว่า มีประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วย มากกว่าเพราะมีผู้เข้าร่วมโครงการประกันสังคมเป็นจำนวนมากกว่าใคร โรงพยาบาลของจำเลยใหญ่กว่า เพราะมีเตียงจำนวนมากกว่า มีความมั่นคงกว่าเพราะมีประกันอุบัติเหตุให้ด้วย การโฆษณาแผ่นพับของ


6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง จำเลยดังกล่าวเป็นการจูงใจให้บุคคลมาใช้บริการของจำเลย ซึ่งตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 38 บัญญัติว่า "ห้ามมิให้ผู้รับอนุญาตหรือผู้ดำเนินการ โฆษณา หรือประกาศหรือยินยอมให้ผู้อื่น โฆษณาหรือประกาศด้วยประการใดๆ ซึ่งชื่อ ที่ตั้งหรือกิจการของสถานพยาบาลหรือคุณวุฒิหรือ ความสามารถของผู้ประกอบวิชาชีพสถานพยาบาล เพื่อชักชวนให้มีผู้มาขอรับบริการจากสถานพยาบาล ของตน โดยใช้ข้อความอันเป็นเท็จหรือโอ้อวดเกินความจริง หรือน่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดใน สาระสำคัญเกี่ยวกับการประกอบกิจการของสถานพยาบาล" ดังนั้น การที่จำเลยระบุในแผ่นพับในช่อง ผู้ประกันตนที่รับได้ว่า โจทก์รับได้ 25,000 คน ช่องระยะเวลาเข้าร่วมโครงการประกันสังคมว่า โจทก์เพิ่ง เริ่มเข้า ช่องขนาดโรงพยาบาลว่า โจทก์มี 150 เตียง ช่องประสบการณ์การบริหารงานโรงพยาบาล ด้านโครงการประกันสังคมว่าโจทก์ไม่มีประสบการณ์เลย ซึ่งความเป็นจริงทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่า โจทก์ มีจำนวนผู้ประกันตนที่รับได้ 50,000 คน โจทก์มีเตียง 400 เตียง และโจทก์เข้าร่วมโครงการประกันสังคม ตั้งแต่ปี 2535 โจทก์จึงมีประสบการณ์ตั้งแต่ปีที่เข้าร่วมโครงการเป็นต้นมา จึงเป็นการที่จำเลยเผยแพร่แผ่น พับโฆษณาไม่ตรงกับความจริงโดยมีเจตนาให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่า โรงพยาบาลจำเลยมีศักยภาพดีกว่า โรงพยาบาลโจทก์เป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่ามีประสบการณ์มากกว่า จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อความจริงโดยใช้ ข้อความอันเป็นเท็จหรือโอ้อวดเกินความจริงเป็นความผิดต่อ พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 38 และเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ คำว่า สิทธิ หมายความถึงประโยชน์ของโจทก์ที่มีอยู่ และ จำเลยหรือบุคคลอื่นต้องเคารพหรือได้รับการรับรองคุ้มครองตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการ จงใจทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายแก่สิทธิเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 และมาตรา 423 ข้อสังเกต เมื่อเข้ามาตรา 423 แล้วอาจเป็นมาตรา 420 ได้ และถ้าตอบข้อสอบแค่มาตรา 423 ไม่ได้ตอบ 420 จะถูกตัดคะแนนหรือไม่ จากที่อาจารย์ตรวจข้อสอบมาไม่ได้ตัดคะแนนนะครับ ถ้าเป็นเรื่อง ที่เข้ามาตรา 423 ตรงๆและไม่ได้ปรับมาตรา 420 มา แต่ถ้าไม่เข้ามาตรา 423 แล้วจะต้องปรับมาตรา 420 มาด้วยจึงจะได้คะแนนดี 3.การกล่าวหรือไขกล่าวนั้น เป็นที่เสียหาย คือทำให้บุคคลที่ 3 ที่ได้ยินข้อความรู้สึกดูหมิ่นหรือเสื่อม คลายความนับถือ หรือเสื่อมความนิยม ขาดความเคารพ โดยแยกความเสียหายออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่น หรือที่เรียกว่าหมิ่นประมาทในทางชื่อเสียง เหมือนเช่นการหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 2. เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่น หรือเรียกว่าหมิ่นประมาท ในทางทรัพย์สิน ไม่เกี่ยวกับชื่อเสียงของตัวบุคคล ฎีกาที่ 1479/2542 โจทก์เคยได้รับเลือกเป็นกรรมการสหภาพแรงงานการประปาแห่งประเทศ ไทย เคยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างศาลแรงงาน กรรมการสภาที่ปรึกษาเพื่อพัฒนา แรงงานแห่งชาติ และโจทก์ยังมีอาชีพเป็นตัวแทนหาประกันชีวิตของบริษัท ท. แม้ตำแหน่งต่าง ๆ ดังกล่าว


7 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ข้างต้นจะไม่ได้รับการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งมิใช่เนื่องจากการหมิ่นประมาทของจำเลยก็ตาม แต่การที่โจทก์เคย ได้รับเลือกตั้งหรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ดังกล่าวย่อมแสดงว่าโจทก์เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงดี ได้รับการ ยกย่องจากเพื่อนร่วมงานอย่างมาก นอกจากนั้นการที่โจทก์เป็นตัวแทนหาประกันชีวิต โจทก์จะต้องไม่เป็น บุคคลที่มีความประพฤติเสียหาย จึงจะมีผู้เชื่อถือซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตผ่านโจทก์ฉะนั้น การที่จำเลย กล่าวหาโจทก์ในเรื่องที่แสดงว่าโจทก์ไม่ซื่อสัตย์ ย่อมต้องกระทบต่อชื่อเสียงเกียรติคุณและทางทำมาหาได้ ของโจทก์อันทำให้โจทก์เสียหาย ฎีกาที่ 242/2515 การที่จำเลยด่าบุตรโจทก์อันมีความหมายทำนองว่า โจทก์และบุพการีเป็นคน สำส่อน มีบุตรกับชายอื่นซึ่งมิใช่สามีของตนนั้น เป็นความเสียหายเกี่ยวกับชื่อเสียงและตัวบุคคลไม่เกี่ยวกับ การค้าขายของโจทก์ โจทก์จะอ้างว่าประชาชนดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์และเรียกค่าเสียหาย เนื่องจากรายได้ จากการค้าขายของโจทก์ตกต่ำลงหลังเกิดเหตุได้ไม่ เพราะเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุมาก ข้อสังเกต ฎีกานี้เป็นฎีกาเก่าแต่ปัจจุบันการมีชื่อเสียงส่งผลต่อการค้าขาย หากไม่ดังก็ค้าขายไม่ดี แต่ตราบใดที่ยังไม่มีคำวินิจฉัยใหม่ก็ต้องตอบตามฎีกานี้นะครับ หากเป็นความเสียหายทางอื่นนอกจากสองประการดังกล่าวข้างต้นนั้น กรณีนี้จะไม่เข้าเงื่อนไข บทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 423 ฎีกาที่ 378/2483 ไม่มีกฎหมายในเรื่องละเมิดให้รับผิดใช้ค่าเสียหายในการได้รับความอับอาย ขายหน้า ความรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในเรื่องละเมิดเกี่ยวกับการทำให้เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ นั้น มีแต่เฉพาะการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริง ฎีกาที่ 3925/2531 ความรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในเรื่องละเมิดเกี่ยวกับการทำให้เสียหายแก่ ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณนั้น มีแต่เฉพาะการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนความจริง ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 เท่านั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนใน กรณีต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติยศเพราะถูกจำคุกตามคำพิพากษา ค่าจ้างทนายความต่อสู้คดีที่โจทก์ผู้ สั่งจ่ายถูกผู้ทรงฟ้องไม่ใช่เป็นผลโดยตรงอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาและแม้จะเป็นเรื่องละเมิดก็นับว่า เป็นค่าเสียหายที่ไกลเกินกว่าเหตุ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเอาแก่จำเลย ข้อสังเกตอีกประการคือ เรื่องสิทธิในความเป็นส่วนตัวนั้นไม่ใช่เรื่องของมาตรา 423 แต่ถือว่าเป็น เรื่องของมาตรา 420 ฎีกาที่ 4893/2558 การที่ชายหญิงมีเพศสัมพันธ์กันโดยความยินยอมพร้อมใจในสถานที่อัน มิดชิดและเหมาะสมเป็นวิถีชีวิตตามปกติของสังคมมนุษย์ และถือเป็นสิทธิในความเป็นส่วนตัว ซึ่งได้รับการ รับรองและคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 34 ที่บัญญัติว่า "สิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวย่อมได้รับความคุ้มครอง" ดังนั้น แม้จำเลยทั้งสองจะเป็นสื่อมวลชน มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การ โฆษณาหรือสื่อความหมายโดยวิธีอื่น ๆ แต่ก็หาอาจกระทำการใด ๆ ที่เป็นการก้าวล่วงหรือกระทบกระเทือน


8 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ต่อสิทธิในความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่น การที่จำเลยทั้งสองนำข่าวการมีเพศสัมพันธ์ของชายหญิงคู่หนึ่งซึ่ง หนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ๆ เคยนำเสนอภาพและข่าวไปก่อนหน้านั้น แต่ยังไม่ได้ระบุว่าชายหญิงในภาพเป็นใคร มาเผยแพร่ซ้ำโดยระบุในเนื้อข่าวว่า ชายในภาพที่กำลังมีเพศสัมพันธ์กับหญิงคนรักคือโจทก์ ย่อมถือได้ว่า เป็นการกระทำที่เป็นการก้าวล่วงหรือกระทบกระเทือนต่อสิทธิในความเป็นส่วนตัวของโจทก์ จึงเป็นการ ละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 มิใช่เป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ตามมาตรา 423 โจทก์จึงไม่อาจเรียกให้จำเลยทั้งสองรับผิดในความเสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณและความเสียหายแก่ ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของตนโดยประการอื่นอันเป็นค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำ ละเมิดตามมาตรา 423 ได้ โจทก์คงเรียกได้เฉพาะค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิในความเป็นส่วนตัวเท่านั้น ประเด็น การจะเป็นมาตรา 423 ต้องมีการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อหรือไม่ หลาย ตำราเขียนไว้ว่ามาตรา 423 มิได้บัญญัติว่าจะต้องกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อไว้ ฉะนั้นประเด็นว่า มีการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อหรือไม่ ไม่จำเป็น ขอให้มีเพียงการกระทำโดยรู้สำนึกก็พอแล้ว 4. ผู้กระทำควรจะรู้ได้ว่าไม่จริง ฎีกาที่ 4008/2526 หนังสือพิมพ์เสนอข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ว่า โจทก์ประพฤติตนอย่าง คนไร้ศีลธรรม มีส่วนพัวพันเป็นผู้จ้างวานฆ่าผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ มีนิสัยชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ หาใช่เป็น การแสดงความคิดเห็นหรือขัดความโดยสุจริตชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ไม่ เมื่อข้อความนั้นไม่เป็นความจริง ย่อมเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. ม.423 และการกล่าวหรือ ไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงนั้นกฎหมายมิได้บัญญัติว่าต้องทำโดยจงใจหรือประมาท เลินเล่อ แม้ผู้กล่าวหรือไขข่าวมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรรู้ได้ก็ต้องรับผิด ข้อสังเกต เรื่องนี้ถ้าเป็นคำถามจะถามว่าจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์มิได้ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยจงใจ หรือประมาทเลินเล่อ จำเลยจึงไม่มีความรับผิด ถ้ามีข้อต่อสู้แบบนี้นักศึกษาต้องตอบว่ามาตรา 423 ไม่ได้ บัญญัติว่าต้องมีการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ฉะนั้น แม้ไม่บรรยายหรือกล่าวหามาในฟ้องก็ต้อง รับผิด เพียงแต่กระทำโดยรู้สำนึกก็เป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 423 ได้ ฎีกาที่ 1590/2528 การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงอันเป็น การทำละเมิดตาม ป.พ.พ. ม.423 นั้นผู้กระทำจะต้องรู้หรือควรจะรู้ได้ว่าไม่จริง จำเลยลงพิมพ์โฆษณา ข้อความในหนังสือพิมพ์เพื่อให้นักข่าวของตนซึ่งถูกฆ่าตายได้รับความเป็นธรรม ถึงหากข่าวนั้นจะไม่เป็น ความจริงโดยมีผู้แอบอ้างชื่อโจทก์นำสร้อยไปมอบให้ภริยารัฐมนตรี เพื่อวิ่งเต้นล้มคดีที่โจทก์ตกเป็น ผู้ต้องหาจ้างวานฆ่านักข่าว แต่เมื่อมีเหตุที่จำเลยจะคาดคิดเช่นนั้นได้ จำเลยก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าไม่จริง การ กระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการทำละเมิด


9 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มีเรื่องน่าสนใจ คือ ผู้เสียหายต้องการจะบวชเป็นพระจึงไปติดต่อพระอุปัชฌาย์เพื่อขอบวชพระ จำเลยเมื่อรู้ข่าวว่าผู้เสียหายต้องการบวชพระก็ไปบอกผู้ใหญ่บ้านว่าผู้เสียหายเป็นผู้ร้ายปล้นทรัพย์ เคยติด คุกมาก่อน ทั้งที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ผู้ใหญ่บ้านไปคัดค้านต่อพระอุปัชฌาย์ไม่ให้ บวชพระให้ผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่าเมื่อผู้ใหญ่บ้านทราบเรื่องจากจำเลยก็ไปบอกเจ้าอาวาสวัด ทันทีโดยไม่ได้มีการตรวจสอบข้อมูลว่าเป็นจริงหรือเท็จแต่อย่างใด ภายหลังผู้ใหญ่บ้านแจ้งข้อมูลที่ได้รับมา จากจำเลยอีกทอดให้เจ้าอาวาสวัดทราบเรื่อง เจ้าอาวาสวัดก็ไปบอกข้อมูลดังกล่าวให้พระอุปัชฌาย์ทราบ ทันทีเช่นกัน ส่วนทางฝั่งผู้เสียหายเมื่อติดต่อขอบวชพระแล้ว ก็มีการจัดงานเลี้ยงรวมถึงเตรียมงานบวชที่จะ เกิดขึ้น แต่ปรากฏว่าพอถึงวันที่จะบวช พระอุปัชฌาย์ก็แจ้งผู้เสียหายว่ามีข้อมูลเช่นนี้ จึงไม่สามารถบวชให้ ได้คำถามกรณีเช่นนี้ถือว่าใครทำละเมิดและต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนบ้าง ตอบกรณีเช่นนี้ต้องแยกพิจารณา เป็นรายบุคคลไป กรณีจำเลย ถือว่าเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่ เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่น หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขา โดยประการอื่น ถือว่าจำเลยกระทำละเมิดและต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 423 แก่ผู้เสียหายแล้ว กรณีผู้ใหญ่บ้าน ถือว่าเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่ เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่น หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขา โดยประการอื่น ถือว่าได้กระทำละเมิดและต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 423 ต่อผู้เสียหายแล้ว เช่นกัน เนื่องจากผู้ใหญ่บ้านมีหน้าที่ดูแลคนในชุมชน มีหน้าที่ที่จะต้องตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับมาเสียก่อน แต่กรณีนี้กลับรับฟังข้อมูลจากจำเลยเพียงคนเดียวแล้วนำไปบอกต่อทันที กรณีดังกล่าวนี้ จะถือว่า ผู้ใหญ่บ้านไม่รู้ว่าข้อความดังกล่าวฝ่าฝืนต่อความจริงไม่ได้ กรณีเจ้าอาวาส แม้จะเป็นการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่ เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่น หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขา โดยประการอื่น แต่เมื่อเจ้าอาวาสเป็นพระและจำพรรษาอยู่ภายในวัด จึงไม่ได้มีหน้าที่ในการตรวจสอบ ข้อมูลแต่อย่างใด การกล่าวหรือไขข่าวดังกล่าวเป็นการกล่าวจากข้อมูลที่ได้รับมาจริงเท่านั้น จึงไม่ถือ เจ้าอาวาสว่ากระทำละเมิดและต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย กรณีพระอุปัชฌาย์ การที่พระอุปัชฌาย์จะบวชหรือไม่บวชพระให้นั้น ไม่ได้มีกฎหมายบังคับว่าพระ อุปัชฌาย์จะต้องบวชให้ทุกคน ดังนั้นแม้พระอุปัชฌาย์จะได้รับข้อมูลมาผิดโดยเป็นการฟังความข้างเดียวก็ ตาม ก็ต้องถือว่าเป็นการใช้ดุลยพินิจของพระอุปัชฌาย์ในการที่จะบวชหรือไม่บวชให้ผู้เสียหาย ไม่ถือว่าพระ อุปัชฌาย์กระทำละเมิดต่อผู้เสียหาย เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 844/2494 (ประชุมใหญ่)


10 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง *ฎีกาที่ 844/2494 (ประชุมใหญ่) น่าสนใจ การที่จำเลยไปแจ้งต่อผู้ใหญ่บ้านว่า เขาเป็นผู้ร้าย ปล้นทรัพย์ฆ่าคน ซึ่งจำเลยรู้อยู่ว่าไม่เป็นความจริงทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใหญ่บ้านคัดค้านต่อพระอุปัชฌาย์ ผู้ใหญ่บ้าน มีหนังสือถึงพระอุปัชฌาย์ พระอุปัชฌาย์จึงไม่บวชเขานั้น นับได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดแล้ว พี่ชายของเขาผู้ เป็นเจ้าภาพและออกเงินซื้อของในการอุปสมบท ย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ ข้อสังเกต ท่านอาจารย์ให้ข้อสังเกตว่าคำพิพากษาศาลฎีกานี้เป็นคำพิพากษาที่มีมานานแล้วก็จริง แต่เป็นคำพิพากษาที่น่าสนใจ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีการวินิจฉัยเฉพาะตัวจำเลยเท่านั้น ไม่ได้มีข้อเท็จจริง ของผู้ใหญ่บ้าน เจ้าอาวาส หรือพระอุปัชฌาย์แต่อย่างใด แต่อาจารย์อยากเอามาตั้งเป็นคำถามให้นักศึกษาดู ว่ากรณีเช่นนี้นักศึกษาจะตอบกันได้หรือไม่และจะตอบว่าอย่างไร และการกล่าวต่อบุคคลที่สาม หมายความ ว่าคนที่ฟังไม่ใช่ผู้เสียหาย ประเด็นต่อมามีเรื่องกรณีนักท่องเที่ยวไปโรงแรมและมาเขียนรีวิววิจารณ์โรงแรมว่าโรงแรมราคา แพงแต่บริการไม่สมราคา โรงแรมจึงจ้างทนายยื่นหนังสือว่าจะฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทและให้ลูกค้าโพสต์ ขอโทษ มีคำถามว่าการที่เราไปเที่ยวโรงแรมและไม่พอใจกับการบริการไม่คุ้มกับราคาที่จ่ายไปจึงม ารีวิว วิพากษ์วิจารณ์โรงแรมถือว่าเป็นการหมิ่นประมาท โดยการไขข่าวแพร่หลายข้อความอันฝ่าฝืนต่อความเป็น จริงหรือไม่ ซึ่งข้อความที่กล่าวไขข่าวจะต้องไม่เป็นความจริง และต้องเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง ไม่ใช่คำด่า คำเปรียบเปรยการคาดคะเน คำขู่ พูดล้อเล่นล้อเลียนจึงจะผิดตามมาตรา 423 ส่วนการแสดงความคิดเห็น ไม่ใช่การยืนยันข้อเท็จจริง ฎีกาที่ 1752/2514 ข้อความโฆษณาที่ล้อเลียนคำพูดของผู้เสียหายผู้ซึ่งอยู่ในฐานะที่อาจถูก บุคคลอื่นล้อเลียนได้ด้วยข้อความอย่างเดียวกัน แม้จะหยาบคายหรือกล่าวเกินไปบ้าง แต่ก็รวมอยู่ใน ข้อความล้อเลียนย่อมไม่เป็นหมิ่นประมาท ข้อยกเว้นที่ไม่เป็นละเมิด มีหลายกรณี 1.คนที่ไขข่าวมีส่วนได้เสียในการส่งข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นผู้ส่งหรือผู้รับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 2.เอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ คือ บรรดาสส.ทั้งหลายในรัฐสภามีเอกสิทธิ์ในการอภิปราย แต่การ อภิปรายต้องอภิปรายอยู่ในรัฐสภาหรือเป็นการถ่ายทอดที่อยู่ในสภา ถ้าการถ่ายทอดนั้นออกมานอกเขตสภา หรือออกไปข้างนอกถ้าไปเกี่ยวของกับบุคคลที่สามที่ไม่ได้อยู่ในสภา ไม่ได้เป็นสมาชิกรัฐสภา อาจจะเป็น ความผิดฐานหมิ่นประมาท อาจจะเป็นละเมิดตามมาตรา 423 ได้ และบุคคลที่พิมพ์โฆษณาทั้งหลายที่มีการ ถ่ายทอดในสภาก็ได้รับยกเว้นด้วยตามมาตรา 124 ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน 3.เอกสิทธิ์ตาม ป.อ.มาตรา 329 คือถ้ามีส่วนได้เสียตามธรรมนองคลองธรรม และกฎหมายยังให้ เอกสิทธิ์แก่คู่ความทนายความในการแถลงให้การต่อสู้คดีในศาลด้วย ดังนั้นการกล่าวข้อความต่างๆในศาล ได้รับเอกสิทธิ์ตามมาตรา 331 นำมาใช้ยกเว้นความรับผิดในทางแพ่งตามมาตรา 423 ด้วย


11 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง 4.ความยินยอมไม่เป็นละเมิด หรือกรณีสมัครใจวิวาทกันก็ไม่เป็นผู้เสียหายในฐานละเมิด ในกรณีที่เป็นทั้งหมิ่นประมาทและเป็นคดีอาญาด้วยก็จะเป็นเรื่องคดีแพ่ง เกี่ยวเนื่องคดีอาญา กรณีที่มีการกระทำความผิดอาญาไม่ได้หมายความว่าจะเป็นละเมิดทุกกรณีอาจเป็นละเมิดหรือไม่ก็ได้ เพราะการจะเป็นละเมิดต้องมีความเสียหายเกิดขึ้น และกรณีที่เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาต้องฟัง ข้อเท็จจริงที่ยุติในคดีอาญา ดังนั้นคดีแพ่งฐานละเมิดจึงไม่ต้องนำสืบเพิ่มเติมสามารถเอาข้อเท็จจริงที่ฟังยุติ ในคดีอาญามาฟังเป็นข้อยุติในคดีแพ่งได้ ถ้าคดีอาญาศาลตัดสินไม่เป็นความผิด เมื่อมาฟ้องละเมิดจะไม่เป็น ละเมิดเสมอไปหรือไม่ ตามมาตรา 424 บอกว่า ในการพิพากษาคดีข้อความรับผิดเพื่อละเมิดและ กำหนดค่าสินไหมทดแทนนั้น ท่านว่าศาลไม่จำต้องดำเนินตามตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายลักษณะอาญา อันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญา หรือไม่ ดังนั้นการพิจารณาคดีแพ่งละเมิดแยกออกต่างหากจากคดีอาญาและใช้วิธีพิจารณาในส่วนแพ่ง เป็นหลัก ไม่ได้ใช้วิธีพิจารณาคดีอาญา และตามป.วิ.อ.มาตรา 47 บอกว่า คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้อง เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งโดยไม่ต้องคำนึงถึงว่า จำเลย ต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำผิดหรือไม่ หมายความว่าจะผิดอาญาหรือไม่ ไม่สำคัญแค่ดูว่าเข้าองค์ประกอบ ผิดละเมิดหรือไม่ก็พอแล้ว ฎีกาที่ 2998/2561 น่าสนใจ ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานปลอมสัญญาเงินกู้ เบิกความเท็จ เมื่อโจทก์มาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งปลอมสัญญากู้จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่อง คดีอาญาตามป.วิ.อ.มาตรา 46 จึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ ฎีกานี้มีประเด็นแฝงคือ ฟ้องคดีอาญาในศาลอาญาและฟ้องคดีแพ่งที่ศาลพิจารณาคดีส่วนแพ่ง และ ศาลตัดสินแตกต่างกัน คดีที่หนึ่งศาลตัดสินว่าให้ใช้เงินตามสัญญากู้คดีถึงที่สุด ต่อมาฝ่ายที่แพ้คดีสัญญาเงินกู้ มาฟ้องว่าเป็นสัญญากู้ปลอม เบิกความเท็จศาลตัดสินว่าเป็นสัญญากู้ปลอมและเบิกความเท็จเป็นความผิด อาญา ทั้งสองคดีจึงตัดสินต่างกันมีปัญหาว่าใช้คำตัดสินคดีไหนมาบังคับ คำตอบคือเมื่อเป็นคดีแพ่ง เกี่ยวเนื่องคดีอาญาต้องถือตามคดีอาญาเป็นหลัก กรณีถ้าเป็นการผิดกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่กฎหมายอาญาจะเป็นละเมิดหรือไม่ ฎีกาที่ 3360/2528 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 424 บัญญัติว่า ในการพิพากษา คดีข้อความรับผิดเพื่อละเมิด และกำหนดค่าสินไหมทดแทนนั้น ศาลไม่จำต้องดำเนินตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมายลักษณะอาญาอันว่าด้วยการที่จะต้องรับโทษ และไม่จำต้องพิเคราะห์ถึงการที่ผู้กระทำละเมิด ต้องคำพิพากษาลงโทษทางอาญาหรือไม่ ฉะนั้นการที่ศาลเคยพิพากษาในคดีอาญาว่าจำเลยไม่มีเจตนา ลักทรัพย์และยกฟ้องโจทก์ก็ไม่จำต้องฟังว่าจำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เพราะจำเลยอาจกระทำผิด กฎหมายอย่างอื่น เช่น กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ในการยึดทรัพย์ของลูกหนี้ไว้ แล้วก็ได้ จึงต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่


12 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ฎีกาที่ 484/2494 ในคดีที่โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษทางอาญา และให้จำเลย คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ด้วยนั้นแม้ศาลจะฟังว่า จำเลยเอาทรัพย์ไปจริงแต่มิได้เจตนาลักยังไม่เป็นความผิดฐาน ลักทรัพย์ก็ดี ศาลก็พิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่จำเลยเอาไปให้แก่โจทก์ได้ คราวหน้าจะมาเก็บประเด็นสำคัญให้สมบูรณ์และต่อด้วยเรื่องความรับผิดในการกระทำละเมิดของ บุคคลอื่น เช่น นายจ้างลูกจ้าง ตัวแทนตัวการ หน่วยงานของรัฐกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นต้น ***จบการบรรยาย*** ตรวจทานC4


pg. 1 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง สรุปคำบรรยายเนติบัณฑิตสมัยที่ 1/76 วิชา กฎหมายละเมิด (ภาคปกติ) บรรยายโดย อ.ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ บรรยายวันที่ 7 สิงหาคม 2566 (ครั้งที่ 11) (สัปดาห์ที่ 12) สวัสดีครับนักศึกษา คราวที่แล้วอาจารย์บอกไว้ว่าเราจะเริ่ม เรื่องความรับผิดเพื่อละเมิดจากการ กระทำของผู้อื่น หมายความว่า ตัวเองไม่ได้ทำละเมิด แต่จะต้องไปรับผิดในการกระทำละเมิดของบุคคลอื่น มีใครบ้าง ก็คือ นายจ้างกับลูกจ้าง คือ นายจ้างไม่ได้ทำลูกจ้างทำ แต่ว่านายจ้างต้องไปร่วมรับผิดด้วย ผู้ว่าจ้าง ทำของกับผู้รับจ้างทำของ มันมีบางกรณีที่ผู้ว่าจ้างจะต้องไปร่วมรับผิดด้วยในการทำละเมิดของผู้รับจ้างทำของ อันนี้เป็นอีกกรณีหนึ่ง และอีกกรณีหนึ่ง ก็คือ ผู้อนุบาล บิดามารดา ผู้แทนโดยชอบธรรม ที่จะต้องรับผิดชอบใน การทำละเมิดของคนไร้ความสามารถหรือผู้ไร้ความสามารถ นอกจากนี้ครูบาอาจารย์หรือบุคคลที่รับดูแล ผู้ไร้ความสามารถชั่วคราวก็ต้องมีความรับผิดในละเมิดจากการที่ผู้ไร้ความสามารถนั้นไปทำละเมิดบุคคลอื่น แม้จะดูแลเขาชั่วคราวไม่ได้เป็นผู้อนุบาลหรือผู้ที่ต้องดูแลผู้ไร้ความสามารถตาม กฎหมาย จริงๆ แล้วยังมี อีก 2 กลุ่ม ที่เมื่อเกิดละเมิดแล้วแม้ตัวเองไม่ได้ทำก็ต้องร่วมรับผิดด้วย คือ มีบุคคลหลายคนทำละเมิดร่วมกัน ก็ต้องไปรับผิดในการกระทำละเมิดของบุคคลอื่นด้วย อันนี้เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่เพิ่มเข้ามา และอีกกลุ่มหนึ่ง คือ นิติบุคคลทำละเมิด ผู้ที่จะต้องร่วมรับผิดด้วยก็คือนิติบุคคลกับผู้แทนนิติบุคคล ปกติแล้วคนทำละเมิดไม่ใช่ ตัวนิติบุคคลในตัวของมันเองเพราะมันทำอะไรไม่ได้ มันจะต้องทำด้วยผู้แทนนิติบุคคล ทีนี้เมื่อทำละเมิดเกิดขึ้น โดยผู้แทนของนิติบุคคล นิติบุคคลก็ต้องรับผิดชอบในการกระทำของบุคคลอื่น และสุดท้ายอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำละเมิดหน่วยงานของรัฐจะต้องรับผิดในการทำละเมิด ซึ่งเราจะมาแยกย่อยในแต่ละกลุ่ม โดยจะเอาตัวอย่างของแต่ละกลุ่มที่เกิดขึ้น เช่น นายจ้างลูกจ้าง ตัวการตัวแทน ผู้ไร้ความสามารถกับผู้ดูแลผู้ไร้ความสามารถ แต่ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหาดังกล่าว อาจารย์มีเรื่องที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้และอาจารย์คิดว่า น่าสนใจ คือ เนื่องจากคราวที่แล้วเราจบด้วยการละเมิดด้วยการหมิ่นประมาท เรื่องที่กำลังเป็นข่าวอยู่ก็มี ผู้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี เราคุยแบบวิชาการนะครับ เราไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าจริงๆแล้ว เหตุการณ์มันเกิดขึ้นอย่างไร แต่เราสมมุติข้อเท็จจริงว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วอาจารย์จะทิ้งให้นักศึกษาเก็บไป ปรับใช้ตัวบทกฎหมายว่าด้วยละเมิดว่ามันเป็นละเมิดหรือไม่ อย่างไร และจะต้องใช้ค่าเสียหายกันหรือไม่ อย่างไร ข้อเท็จจริงที่เรารับทราบจากทางหน้าหนังสือพิมพ์ ก็คือ มีว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เตรียมตัว ที่จะมีการเสนอชื่อให้รัฐสภาโหวตเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่ามีผู้หวังดีออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าชาย ที่จะเป็น แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนนี้ มีกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์และมีการหลบเลี่ยงภาษีโดยการที่ซื้อที่ดิน มาแปลงใหญ่ มีเจ้าของหลายคนและแทนที่จะไปโอนกันภายในครั้งเดียว และมีการจ่ายภาษีจากเงินก้อนเดียว ของราคาที่ดินทั้งแปลง แต่ปรากฏว่ามีการแบ่งโอนทยอยโอนทีละคนๆ เนื่องจากที่ดินแปลงใหญ่นี้


pg. 2 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง มีเจ้าของหลายคน แล้วผลจากการที่โอนอย่างนี้ทำให้ยอดเงินซื้อขายที่ต้องชำระภาษีที่ดินหรือภาษีธุรกิจการค้า ลดลง ภาษีของรัฐก็หายไปจำนวนหลายร้อยล้านบาท ก็เปิดเผยข้อมูลนั้นออกมาจริงเท็จประการใดยังไม่มีใคร ทราบ เมื่อเปิดเผยออกมาแล้วแน่นอนที่สุดคนที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีก็เกิดความรู้สึกว่าตัวเองได้รับ ความเสียหาย ต้องถามนักศึกษาว่าข้อเท็จจริงที่เกิดอย่างนี้มีการกระทำความผิดทางอาญาหรือมีการกระทำ ละเมิดทางแพ่งเกิดขึ้นหรือไม่ และจะต้องใช้บทบัญญัติของกฎหมายเรื่องอะไรมาปรับสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น นี้บ้าง ทุกอย่างเป็นข้อมูลสมมุติทั้งหมดเรื่องจริงอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้ สิ่งที่ต้องพิจารณา ข้อแรก มีการกระทำความผิดทางอาญาฐานหมิ่นประมาทเกิดขึ้นหรือไม่ เราจะตอบคำถามนี้ได้ต้อง รู้ตัวบทหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาก่อน คือ มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดู หมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่ เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คือ ทุกอย่างที่อาจารย์ยกตัวบทขึ้นมาและให้นักศึกษาปรับ นักศึกษาต้องมัดข้อเท็จจริงเอาเอง ว่าถ้าเขาเท็จจริงเป็นอย่างนี้ ถ้าข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้นแล้วจะเป็นหรือไม่ ใส่ความตามประมวลกฎหมายอาญานั้นจำได้ใช่หรือไม่ครับว่า ไม่ว่าจริงหรือเท็จถ้าทำให้เขาถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง เสียชื่อเสียง เป็นหมิ่นประมาททั้งสิ้น แม้จะเอาความจริงมาพูดก็เป็นหมิ่นประมาทได้ ถึงมีคำกล่าว ว่าในคดีอาญายิ่งจริงยิ่งหมิ่นประมาท ถ้าตัวเองไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาเรื่องของเขามาพูด ดังนั้น การที่มีคนออกมาพูด ว่าจ่ายภาษีไม่ถูกต้อง จะด้วยวิธีการใดๆ ก็แล้วแต่ จริงไม่จริงไม่ทราบ แต่ถามว่าเข้าองค์ประกอบที่จะเป็น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 หรือไม่ คนที่ถูกเอ่ยถึงเสียชื่อเสียงหรือไม่ ถูกเกลียดชัง หรือไม่ กลายเป็นคนไม่ดีหรือไม่ กรณีนี้เข้าองค์ประกอบนะครับในเบื้องต้น ต่อไปหมิ่นประมาทที่มันจะเป็น หมิ่นประมาท แม้จะเอาความจริงมาพูดถ้าตัวเองไม่มีส่วนได้เสีย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่มีสิทธิที่จะพูด ต่อไปมาดูว่ากรณีนี้เข้าข้อยกเว้นที่ให้สามารถที่จะให้พูดเรื่องของชาวบ้านได้หรือไม่ นักศึกษาดู นะครับ มาตรา 329 ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต (1) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม (2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ (3) ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ (4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท การที่คนอื่นจ่ายภาษีไม่ถูกต้อง ไม่ครบ ถ้าเป็นความจริงตัวเองมีส่วนได้เสียหรือไม่ อันนี้นักศึกษา ต้องคิดนะครับ อันนี้คือข้อพิจารณามาตรา 329 (1) เพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสีย เกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าเข้า (1) หรือไม่ก่อน


pg. 3 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง อีกข้อหนึ่ง นักศึกษาดู (3) นะครับ แสดงความคิดเห็นติชม ปัญหาว่าเขามีส่วนได้เสียในการที่จะติชม อะไรหรือไม่ ปัญหาว่าคนอื่นเสียภาษีไม่ถูกต้องประชาชนจะติชมได้หรือไม่ ถือว่าเป็นเรื่องปกติหรือไม่ มี 2 อนุมาตราที่นักศึกษาจะต้องพิจารณา ถ้าเข้าข้อยกเว้นสามารถจะแสดงความคิดเห็นหรือติชมได้ ก็จะไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท อาจารย์ก็ไม่ ทราบเหมือนกันว่าจะผิดหรือไม่ผิด แต่นักศึกษาจะต้องวิเคราะห์ว่ามันมีข้อยกเว้นให้สามารถจะพูดเรื่อง การเสียภาษีไม่ถูกต้อง หรือแสดงความคิดเห็นว่าเขาเสียภาษีไม่ถูกต้องได้หรือไม่ ถ้าเป็นเรื่องปกติที่แสดง ความคิดเห็นได้ มันก็ไม่ผิดอาญาเพราะว่าเข้าข้อยกเว้น ทีนี้เมื่อไม่ผิดทางอาญา การทำละเมิดที่สืบเนื่องมาจาก การกระทำความผิดอาญามันก็ไม่เกิด ไม่มี แต่ถ้าฟังว่ากรณีนี้ไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะเอาเรื่องของชาวบ้าน ว่าเขาเสียภาษีมากน้อยแค่ไหนมาพูด มันเป็นความผิดทางอาญา มันก็เป็นละเมิดในตัวของมันเอง เพราะเป็น คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งยุติตามคดีอาญาว่ามีการหมิ่นประมาท อันนี้คือ ประเด็นที่ 1 ว่าผิดอาญาหรือไม่ผิดอาญา และไปบวกกับจะเป็นการกระทำละเมิดในทางแพ่งหรือไม่ ถ้าไม่ผิดอาญา ตรงนี้มันก็ไม่เป็นละเมิด แต่อย่าลืมนะครับว่าการไม่ผิดอาญาไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็น ละเมิดโดยอัตโนมัติ เพราะว่าการพิจารณาความรับผิดทางละเมิดนั้น ไม่จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงที่ยุติใน คดีอาญา คดีอาญาอาจจะไม่ผิด แต่อาจจะเป็นละเมิดได้ จำได้หรือไม่ครับ ข้อนี้นักศึกษาต้องแยกให้ออก นะครับ เพราะว่าความรับผิดทางแพ่งในเรื่องละเมิดให้ใช้วิธีพิจารณาคดีทางแพ่ง ไม่ได้ใช้วิธีพิจารณาคดี ทางอาญา จึงแยกออกจากกัน ถ้าผิดอาญาเราก็ปรับตามมาตรา 420 เป็นละเมิดทั่วไปได้ ทีนี้กลับมาดูต่อไปว่ากรณีที่เอาเรื่องเขา ไม่เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ถูกต้องมันเข้ามาตรา 423 ที่เราเพิ่งเรียนกันไปเมื่อชั่วโมงก่อนได้หรือไม่ มาตรา 423 ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหาย แก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขา โดยประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่ การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้ ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบ ในการนั้นด้วยแล้ว ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ มาตรา 423 ผู้ใดกล่าว ไขข่าว เรื่องนี้มีการกล่าว หรือไขข่าวหรือไม่ เพราะมีการแถลงข่าว แน่นอน เรื่องนี้มีการไขข่าวเพราะมีการแถลงข่าว มีการเชิญนักข่าว และกรณีนี้จะปรับกับมาตรา 423 ได้หรือไม่ ต้องเป็นเรื่องที่ไม่จริงและรู้ว่าไม่จริง หรือควรรู้ว่าไม่จริง กรณีนี้ข้อเท็จจริงก็ยังไม่รู้นะครับว่าเขารู้ว่าไม่จริง หรือ เขารู้ว่ามันจริง แล้วการแสดงความคิดเห็นอันนี้เขาแสดงความคิดเห็นติชมโดยสุจริตที่จะเข้าข้อยกเว้นหรือไม่ อันนี้ต้องพิจารณา แล้วถามว่าแคนดิเดตนายกท่านนี้เสียภาษีถูกต้องหรือไม่ ตอนนี้รู้หรือไม่ว่าจริงหรือไม่จริง ไม่มีใครรู้ ในเมื่อไม่มีใครรู้เขาแถลงข่าวออกมาและขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ แล้วเขาขอให้แสดง พยานหลักฐานว่าจริงเท็จเป็นอย่างไร กรณีนี้เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงหรือไม่ การที่จะเป็น หมิ่นประมาท


pg. 4 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง โดยการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายจะต้องเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง เราวางหลักกันไว้ว่า การคาดคะเนไม่ใช่ แสดงความคิดเห็นไม่ใช่ มันก็ไม่เข้าเพราะไม่ได้ยืนยันว่าข้อความนั้นเป็นจริง กรณีนี้นักศึกษาต้องวินิจฉัยว่าเป็น การยืนยันข้อเท็จจริง หรือการคาดคะเน หรือขอให้สังคมตรวจสอบ นักศึกษาไปหาคำตอบนะครับว่า กรณีอย่างนี้ถ้าสมมุติว่าเราจะต้องวินิจฉัยว่ามันเป็นการกระทำ ละเมิดหรือไม่ เราจะตอบในแนวไหนได้บ้าง แนวที่ 1 คือ เป็นการละเมิดตามมาตรา 420 หรือไม่ แนวที่ 2 เป็นการละเมิดตามมาตรา 423 หรือไม่ ซึ่งมันไปได้ทั้ง 2 กรณี แล้วข้อสำคัญ ก็คือ ข้อยกเว้นที่ทำให้สามารถที่จะแสดงความคิดเห็นได้ ติชมได้ เข้าหรือไม่ที่จะเป็นข้อยกเว้น เพราะถ้าเข้าเขาก็สามารถที่จะแสดงความคิดเห็นได้ มันก็ไม่เป็นหมิ่น ประมาท แต่ว่าอาจารย์ไม่ยืนยันใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าเราไม่แน่ใจในเรื่องข้อเท็จจริงที่มีการเปิดเผยออกมา หรือมีการกล่าวหากันทางสื่อ แต่ขอให้นักศึกษาลองซ้อมในการปรับตัวบทมาตรา 420 มาตรา 423 และ ข้อยกเว้นทั้งหลายว่ามันจะเป็นการทำละเมิดหรือไม่ เพียงใด และเรื่องนี้ในที่สุดแล้วถ้าเขาไม่ถอยกัน เขามีการ ต่อสู้กัน เราจะมีฎีกาให้อ่านอีกเรื่องหนึ่งแน่นอนในอนาคตข้างหน้า ต่อไปเป็นเรื่องความรับผิดในการกระทำละเมิดของลูกจ้าง การกระทำละเมิดของลูกจ้าง นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้าง และนายจ้างซึ่งได้ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อละเมิดอันลูกจ้างได้ทำลง ชอบที่จะได้รับชดใช้จากลูกจ้างนั้น ประเด็นสำคัญที่เราต้องพิจารณาในเรื่องนี้ ก็คือ เป็นนายจ้างลูกจ้างกันหรือไม่ แล้วการละเมิดนั้นเกิดขึ้นใน ทางการที่จ้างหรือไม่ ฎีกาเกี่ยวกับนายจ้างลูกจ้างนั้นมีเยอะมากและมีข้อเท็จจริงค่อนข้างหลากหลาย ดังนั้น อาจารย์จะพยายามเอาตัวอย่างมาให้นักศึกษาเห็นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหตุใดถึงให้นายจ้างต้องร่วมรับผิด กับลูกจ้าง เพราะว่านายจ้างเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากผลงานที่ลูกจ้างทำ ลูกจ้างปฏิบัติงานภายใต้การควบคุม หรือคำสั่งของนายจ้าง คือ นายจ้างเป็นผู้ที่มีอำนาจบังคับบัญชาลูกจ้างโดยตรงนั่นเอง เหตุที่ให้นายจ้างต้องมา รับผิดต่อผู้เสียหายที่ถูกทำละเมิด เพราะว่านายจ้างมีฐานะการเงินที่แข็งแรงกว่า ก็เลยคุ้มครองผู้เสียหายซึ่งเป็น บุคคลภายนอก อันนี้คือเหตุผลในตัวของมันเอง และไม่ปล่อยให้ผู้เสียหายต้องรับบาปเคราะห์เสียเองในขณะที่ นายจ้างได้รับผลประโยชน์แต่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย อันนี้คือเหตุผลที่กฎหมายเรื่องละเมิดกำหนดให้ นายจ้างต้องร่วมรับผิดกับการทำละเมิดของลูกจ้าง ฎีกาที่ 4859/2538 ว. และจำเลยที่ 1 ต่างทำหน้าที่ในสวนสาธารณะที่เกิดเหตุของเทศบาลจำเลย ที่ 3 ได้เสียบปลั๊กและปล่อยกระแสไฟฟ้า เพื่อป้องกันหนูไม่ให้มากัดทำลายต้นกล้าไม้ในสวนซึ่งเป็นของจำเลย ที่ 3 เป็นการทำงานเพื่อประโยชน์ของ จำเลยที่ 3 ถือว่าเป็นงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ส. เป็นเพียง ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชาย น. ในการดำเนินคดีแทนเด็กชาย น. มิได้เป็นโจทก์ในฐานะส่วนตัวจำเลยที่ 3 จะอ้างการกระทำของ ส. ซึ่งมิได้เป็นผู้ต้องเสียหายเพื่อให้พ้นความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 หาได้ไม่ เด็กชาย น. ได้รับความเสียหายแก่ร่างกาย


pg. 5 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ถึงสมองฝ่อเป็นอัมพาต ตลอดชีวิต พูดไม่ได้ ย่อมจะต้องได้รับการดูแลรักษาในสภาพที่ป่วยเจ็บจนกว่าจะถึงแก่ ความตาย ตามสภาพเช่นนี้ค่าดูแลรักษาที่จะต้องใช้จ่ายต่อไปจึงมีลักษณะเป็นค่าใช้จ่ายอันต้องเสียไป อันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดให้เสียหายแก่ร่างกายในอนาคตและเด็กชาย น. ย่อมเสียความสามารถ ประกอบการงานสิ้นเชิงทั้งในเวลาปัจจุบันและในเวลาอนาคตโจทก์ชอบที่จะเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าว จากจำเลยทั้งสามได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 วรรคหนึ่ง ฎีกาที่ 298/2551 บันทึกข้อตกลงที่จำเลยที่ 1 ผู้กระทำละเมิดยอมรับผิดต่อ น.ซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์ คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ว่าจะนำรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายไปซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีดังเดิม แม้ว่าจำเลย ที่ 1 จะยอมรับผิดชอบในค่ารักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บด้วย แต่ก็ไม่มีข้อตกลงที่เป็นการสละสิทธิเรียกร้องใน ค่าเสียหายส่วนอื่นที่เจ้าของรถยนต์มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 1 ได้อีก ข้อตกลงดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็น การระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วย ต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงไม่เป็น สัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะคันเกิดเหตุไปติดต่อธุรกิจการค้าให้แก่จำเลยที่ 2 การกระทำละเมิดของ จำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โจทก์นำรถยนต์คันเกิดเหตุไปซ่อมจนรถอยู่ในสภาพเดิม และโจทก์ออกใบสั่งจ่ายค่าสินไหมทดแทน รถยนต์กับใบเสร็จรับเงินและปลดหนี้ให้แก่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุรับเงินไปเรียบร้อยแล้ว ถือว่า โจทก์ได้ชำระเงินค่าซ่อมรถให้แก่อู่ซ่อมรถแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย ทั้งสอง ฎีกาที่ 8157/2538 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 มีหน้าที่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่าปลงศพให้โจทก์ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 443 วรรคหนึ่ง ดังนั้น แม้ ว.จะเป็นผู้จ่ายแทนโจทก์โดย ว.ไม่ได้เรียกร้องเงินนี้และโจทก์ไม่ได้ชำระเงินจำนวนนี้แก่ ว. ก็ตาม โจทก์ก็มีสิทธิเรียกค่าปลงศพจากจำเลยที่ 2 ได้ จำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องควบคุมดูแลจำเลยที่ 1 ไม่ให้กระทำการใด ๆ อันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น เมื่อจำเลยที่ 2 ปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ก็ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งละเมิด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 425 แต่จำเลยที่ 2 มีสิทธิ ที่จะได้รับชดใช้จากจำเลยที่ 1 ได้ตามมาตรา 426 สรุปว่า ถ้ามีข้อเท็จจริงได้ความว่าเป็นนายจ้างลูกจ้างกัน และมีการทำละเมิดโดยลูกจ้างเกิดขึ้นในช่วง ของการทำงาน ก็ปรับเข้ากับมาตรา 425 ทีนี้คำถามเริ่มจะตามมาแล้วว่า นายจ้างรับลูกจ้างเข้ามาทำงานแล้วมีสัญญาให้ทดลองงานเป็นเวลา 6 เดือน ลูกจ้างไปทำละเมิดในระหว่างทดลองงานถือว่านายจ้างต้องรับผิดหรือไม่ ในระหว่างทดลองงาน กรณีหนึ่ง หรือจ้างลูกจ้างมาให้ค่าตอบแทนเป็นรายวัน ให้ค่าตอบแทนเป็นรายสัปดาห์ เป็นรายเดือน เป็นรายปี หรือลูกจ้างตามผลงานเรียกว่า “ลูกจ้าง” แต่ให้ค่าตอบแทนตามผลงาน มีความแตกต่างกันหรือไม่ ถ้าบุคคล


pg. 6 “ผ ่ าคา บรรยายกร ๊ ุ ป” ห ้ ามนา ไฟล ์ สร ุ ปของทางเพจไปเผยแพร ่ ท ุ กช ่ องทาง ที่เรียกว่าลูกจ้างนี้ได้ค่าตอบแทนในลักษณะที่แตกต่างกันไปทำละเมิด จะทำให้นายจ้างยกค่าตอบแทนที่ แตกต่างกันมาปฏิเสธความรับผิดได้หรือไม่ ผู้ที่อยู่ในขั้นทดลองงานก็เป็นลูกจ้างในความหมายตามมาตรา 425 ฎีกาที่ 3825/2524 การที่นายจ้างรับบุคคลใดเข้าทำงานจะเป็นการรับไว้ประจำหรือ อยู่ในขั้นทดลองงานก็ตาม ย่อมถือได้ว่าได้มีการรับบุคคลนั้นเพื่อการทำงานของตนแล้ว จึงอยู่ในฐานะลูกจ้าง ของนายจ้าง หรือแม้จะเป็นเพียงลูกจ้างรายวัน ฎีกาที่ 17440/2555 จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 3 ขับรถบรรทุกเฉี่ยวชนรถโดยสารของโจทก์ ได้รับความเสียหายแม้ขณะเกิดเหตุเป็นเวลา 20 นาฬิกา แต่จำเลยที่ 1 ยังคงสวมใส่ชุดทำงาน ในวันรุ่งขึ้น จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการห้างจำเลยที่ 3 ไปพบพนักงานสอบสวนกับจำเลยที่ 1 โดยมิได้ปฏิเสธความรับผิด ว่าจำเลยที่ 1 มิได้กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 แต่กลับยอมรับต่อตัวแทนฝ่ายโจทก์และพนักงาน สอบสวนว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 และยังร่วมเจรจาต่อรองค่าเสียหายโดยไม่ได้แจ้งหรือ แสดงพฤติการณ์ใดให้เห็นว่าเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 แสดงว่าจำเลยที่ 2 รับโดยปริยาย แล้วว่าการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำในทางการที่จ้างซึ่งจำเลยที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดต่อ โจทก์ จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการที่ยินยอมเสนอเงินชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะเป็น เพียงลูกจ้างรายวันและขณะเกิดเหตุจะล่วงเลยเวลาทำงานตามปกติของจำเลยที่ 1 แล้วก็ตาม แต่ก็ยังถือว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและเมื่องานที่ทำเป็นกิจการของนายจ้าง จึงเป็นการปฏิบัติงานในทางการที่จ้าง ที่จำเลยที่ 3 ในฐานะนายจ้าง และจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดต่อ โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยไม่จำกัดความรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ห้างก่อให้เกิดขึ้นด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างลูกจ้าง การที่จะดูว่าเป็นสัญญาจ้าง มีนายจ้างหรือลูกจ้างหรือไม่ สาระสำคัญอีกอันหนึ่งที่นักศึกษาต้องดู ก็คือ บุคคลที่จะเรียกว่าเป็นนายจ้างได้ต้องมีอำนาจบังคับบัญชา ถ้าไม่มีอำนาจบังคับบัญชาแล้ว แม้จะเรียกว่า สัญญาจ้างก็ไม่ใช่นายจ้างลูกจ้างตามความหมายของมาตรา 425 ฎีกาที่ 5042/2552 จำเลยที่ 2 มีอำนาจบังคับบัญชาสั่งการจำเลยที่ 1 ได้ ความสัมพันธ์ระหว่าง จำเลยที่ 1 กับที่ 2 จึงไม่น่าจะเป็นเพียงผู้เช่าและผู้ให้เช่าตามจำเลยกล่าวอ้าง พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมี น้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถคันเกิดเหตุไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ฎีกาที่ 3653/2543 ข. เจ้าของรถนำรถบรรทุกมาร่วมกิจการขนส่งกับจำเลยที่ 1 ผู้ประกอบการ ขนส่ง โดยพ่นตัวหนังสือชื่อย่อของจำเลยที่ 1 ไว้ข้างรถบรรทุก ขณะเกิดเหตุมีจำเลยที่ 2 ซึ่ง ข. จัดหาเป็น ผู้ขับรถบรรทุกดังกล่าว เพื่อบริการขนส่งสินค้าแก่ลูกค้าหรือจะไปในที่แห่งใด ย่อมอยู่ในความดูแล


Click to View FlipBook Version