The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus ร่วมกับแผนผังความคิด
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 112ธนพล แสนตุ้ย, 2024-01-16 10:52:40

วิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus ร่วมกับแผนผังความคิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ

วิจัยในชั้นเรียน เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus ร่วมกับแผนผังความคิด
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ

1 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus ร่วมกับแผนผังความคิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ธนพล แสนตุ้ย งานวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2566


2 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus ร่วมกับแผนผังความคิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ธนพล แสนตุ้ย งานวิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2566


ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับ ใจความโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus ร่วมกับ แผนผังความคิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ผู้วิจัย นายธนพล แสนตุ้ย อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธิดารัตน์ ถาบุตร อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม นางสกาวรัตน์ เขาวงศ์ทอง ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus ร่วมกับแผนผัง ความคิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 และเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL – Plus ร่วมกับแผนผัง ความคิด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่กำลังศึกษาใน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 40 คน โดยมาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 แผน 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ จำนวน 1 ฉบับ จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การทดสอบค่าที (t-test Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า 1. การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL – Plus ร่วมกับแผนผังความคิด เรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75.04/75.2 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 75/75 ที่ตั้งสมมติฐานไว้ ทั้งนี้เพราะการจัดการเรียนรู้ด้วย เทคนิค KWL – Plus ร่วมกับแผนผังความคิด เป็นกิจกรรมที่ฝึกให้นักเรียนได้อ่าน ได้คิดค้นหา คำตอบตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบทำให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คำสำคัญ : KWL – Plus , การอ่านจับใจความ


ข กิตติกรรมประกาศ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความโดยการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus ร่วมกับแผนผังความคิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ ๑ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ในครั้งนี้สามารถสำเร็จลุล่วงสมบูรณ์ได้ด้วยความอนุเคราะห์จาก ท่านอาจารย์ ธิดารัตน์ ถาบุตร อาจารย์นิเทศก์ ที่กรุณาปรึกษาวิจัย ตั้งแต่การเลือกหัววิจัย และเสนอแนะแนวทางในการวิเคราะห์เนื้อหาต่างๆ ช่วยดูแล แนะนำ ให้คำปรึกษาผู้วิจัยตลอดการ ทำงาน รวมถึงการให้กำลังใจ จนงานวิจัยเล่มนี้สำเร็จสมบูรณ์ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณ นางสกาวรัตน์ เขาวงศ์ทอง คุณครูพี่เลี้ยง ที่ช่วยดูแล แนะนำ ให้คำปรึกษา ตลอดจนให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิจัย และปฏิบัติหน้าที่การสอน รวมไปถึงนางจุฬาลักษณ์ บุญไชย และนางช้องมาศ จารุพงษ์ทวิช ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญ การพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ที่กรุณาตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ตลอดจนคณะ ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ที่ช่วยให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการทำวิจัยและให้ กำลังใจเสมอมา ขอขอบใจ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ทุกคนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการเก็บข้อมูล และทดลองใช้เรื่องมือการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ ท้ายนี้ ขอขอบพระคุณครอบครัวผู้วิจัยที่ช่วยอบรมเลี้ยงดู ดูแล ส่งเสริมให้ผู้วิจัยได้เรียน หนังสือ สนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษา คอยเป็นกำลังใจ และผลักดันให้ผู้วิจัย สามารถทำงาน วิจัย เล่มนี้ให้สำเร็จไปได้ด้วยดี และขอขอบคุณรุ่นพี่และเพื่อน ๆ คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาภาษาไทย ทุกคน ที่มอบความรัก และเป็นกำลังใจ ให้คำแนะนำผู้วิจัยให้สามารถทำงานวิจัยเล่มนี้สำเร็จ สมบูรณ์ ธนพล แสนตุ้ย


ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ........................................................................................................................................ก กิตติกรรมประกาศ..........................................................................................................................ข สารบัญ...........................................................................................................................................ค สารบัญตาราง.................................................................................................................................ฉ สารบัญรูปภาพ ...............................................................................................................................ช บทที่ บทที่ 1 บทนำ...............................................................................................................................1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย.......................................................1 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย.................................................................................................5 1.3 สมมุติฐานของการวิจัย..............................................................................................5 1.4 ขอบเขตของการวิจัย.................................................................................................6 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ......................................................................................................7 1.6 ประโยชน์ที่จะได้รับ...................................................................................................7 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.......................................................................................8 ๒.๑ เอกสารที่เกี่ยวข้อง.....................................................................................................9 ๒.๑.๑ เอกสารที่เกี่ยวข้องข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ......................................................................................9 2.1.2 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการอ่าน............................................................12 2.1.3 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการอ่านจับใจความ...........................................15 2.1.4 กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL- Plus .................................18 2.1.5 การหาประสิทธิภาพและดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้..........23 2.1.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน .............................................................................26 2.1.7 แผนผังความคิด..........................................................................................31 2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.................................................................................................35 2.2.1 วิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL Plus.......................35 2.2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยแผนผังความคิด.....................36 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย..........................................................................................................39 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง.....................................................................................39 3.1.1 ขอบเขตประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ...........................................................39


ง สารบัญ(ต่อ) บทที่ หน้า 3.2 การออกแบบการวิจัย.............................................................................................39 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย.........................................................................................40 3.3.1 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง........................................................................40 3.3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล.......................................................40 3.4 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย............................................40 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล............................................................................................44 3.6 การวิเคราะห์ข้อมูล.................................................................................................45 3.7 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล...............................................................................45 3.7.1 สถิติพื้นฐาน................................................................................................45 3.7.2 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ...........................................................46 3.7.3 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ..............................................................48 3.7.4 สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ....................................................48 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล...................................................................................................50 4.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล...................................................50 4.2 ลำดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล....................................................51 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................................51 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ.........................................................................53 5.1 สรุปผล...................................................................................................................53 5.2 อภิปรายผล............................................................................................................53 5.3 ข้อเสนอแนะ..........................................................................................................55 บรรณานุกรม ..............................................................................................................................57 ภาคผนวก...................................................................................................................................๖๓ ภาคผนวก ก แผนการจัดการเรียนรู้และแบบประเมินคุณภาพ.......................................๖๔ ภาคผนวก ข แบบประเมินความสอดคล้องผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง.... ๑๒๘ ภาคผนวก ค แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนผลการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ ผลการวิเคราะห์................................................................................................ ๑๓๒ ภาคผนวก ง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมการพัฒนาการจัดการ เรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL – Plus........................................................................ ๑๔๓ ภาคผนวก จ ภาพกิจกรรม.......................................................................................... ๑๔๘


จ สารบัญ(ต่อ) บทที่ หน้า ภาคผนวก ฉ บันทึกข้อความขอความอนุเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญ....................................... ๑๕๒ ภาคผนวก ช ประวัติผู้วิจัย.......................................................................................... ๑๕๔


ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ 1 ตารางรายงาประเมินนักเรียน การคัดกรองการอ่านการเขียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จังหวัดอุดรธานี...........................................................................4 ตารางที่ 2 แบบแผนการวิจัยจำแนกตามตัวแปรตาม...................................................................40


ช สารบัญรูปภาพ ตารางที่ หน้า ภาพที่ 1 ทดสอบกก่อนเรียน (Pre-test) .................................................................................. ๑๔๙ ภาพที่ 2 ทดสอบกก่อนเรียน (Pre-test) .................................................................................. ๑๔๙ ภาพที่ 3 จัดกิจกรรมระหว่างเรียน ........................................................................................... ๑๕๐ ภาพที่ 4 จัดกิจกรรมระหว่างเรียน ........................................................................................... ๑๕๐ ภาพที่ 5 คะแนนหลังเรียน (Post-test).................................................................................... ๑๕๑ ภาพที่ 6 คะแนนหลังเรียน (Post-test).................................................................................... ๑๕๑


1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 และ (ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2553 กำหนดให้การจัดการศึกษาต้องเน้น ความสำคัญทั้งความรู้คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการที่เหมาะสม ในเรื่องความรู้ เกี่ยวกับตนเอง ความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม สามารถอยู่รวมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ความรู้ เกี่ยวกับวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนา ตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ รวมไปถึงเน้นการใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง การจัดกระบวนการเรียนรู้ต้องให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของผู้เรียน คำนึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคล โดยจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ กระบวนการคิด รู้จักการประยุกต์ใช้ ความรู้ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้คิดเป็น ทำเป็นรักการ อ่านและเกิดการใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการอ่านถือเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และการเรียนรู้อื่นๆ ทุกโรงเรียนต้องจัดการเรียนการสอนภาษาไทยให้มีผู้เรียนมีความสามารถ ประสิทธิภาพในการอ่านที่ดีไม่เน้นการอ่านออกเขียนได้เพียงอย่างเดียว แต่เน้นการสอนเพื่อการ สื่อสารกับผู้อื่นอย่างมีประสิทธิภาพและใช้ภาษาแก้ปัญหาในการดำรงชีวิต และปัญหาของสังคม เน้นการสอนภาษาไทยในฐานะเป็นเครื่องมือของการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ ด้วยตนเอง สามารถนำความรู้ไปพัฒนาตนเอง นอกจากนั้นยังต้องสอนภาษาไทยเพื่อพัฒนาความคิด ผู้เรียนที่มี ความคิดจะต้องมีประสบการณ์และประมวลคำมากพอที่จะสร้างความคิดได้ลึกซึ้ง และคิดอย่างชาญ ฉลาดรอบคอบ (พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ, 2542 : 13-17) ขณะเดียวกันการสอน ภาษาไทยต้องเน้น การรักภาษาไทยในฐานะเป็นวัฒนธรรม และถ่ายทอดวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ในรูปของหลักภาษา นอกจากนี้ยังได้ส่งเสริมให้ ครูผู้สอนจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม และสื่อการเรียนรู้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และมีคุณภาพ ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของภาษาไทย โดยเฉพาะ อย่างยิ่งภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ทั้งศาสตร์และศิลป์ หากการเรียนภาษาไทยไม่ดี หรือนักเรียนไม่มีความสามารถในการใช้ภาษาไทยตามที่หลักสูตรได้กำหนดในแต่ละระดับชั้น ก็จะทำให้การเรียนรู้ในเรื่องราวต่างๆ ไม่ดีตามไปด้วย (สุนันท์ อัญชลีนุกูล, 2553: 4) ดังที่กาญจนา นาคสกุล (2539: 2) กล่าวว่า ถ้าการสอนภาษาไทยให้เด็กเป็นไปอย่างถูกต้อง ความรู้และ การฝึกฝนที่ได้จากวิชาภาษาไทยก็จะช่วยอบรม เยาวชนของชาติให้มีความรู้ ความคิด มีวินัย มีคุณธรรม วัฒนธรรม ภูมิปัญญา และค่านิยมความเป็นไทย เป็นคนที่พัฒนา โดยมีวัฒนธรรมไทย เป็นพื้นฐาน และถ้าคนในชาติเป็นผู้พัฒนาแล้วการพัฒนาประเทศให้ไปทางใดก็สามารถทำได้โดยเร็ว


2 ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการสื่อสารที่สำคัญ ช่วยสร้างสรรค์ความเข้าใจ เป็นสื่อในการ ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความเชื่อ และประสบการณ์ต่างๆ ช่วยพัฒนาความคิด ความเจริญ ของชาติ อีกทั้งแสดงเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นเอกราชของชาติ ดังนั้นผู้เรียนทุกคนจึงมีความ จำเป็นที่จะต้องศึกษาหาความรู้ให้มีความเชี่ยวชาญแตกฉาน โดยเฉพาะทักษะการอ่าน ซึ่งถือได้ว่า เป็นทักษะพื้นฐานที่ใช้ในสื่อสาร การอ่านเป็นทักษะด้านหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากต่อการศึกษา หาความรู้และพัฒนาชีวิต ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดความรู้ ยังก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และ ได้แนวคิดในการดำเนินชีวิต และยังเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาในทุกระดับ เพราะทักษะการอ่าน จะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้และมีทักษะพื้นฐานในการนำไปใช้ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น และใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตามหลักเกณฑ์ เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจในทักษะ การเขียน การฟัง และการพูด ดังที่สมพร แพ่งพิพัฒน (2555: 121) ได้กล่าวถึงความสำคัญของ การอ่านว่า การอ่านเป็นกิจกรรมสำคัญประจำวันของมนุษย์ เพราะต้องอ่านข้อความหรือหนังสือ ต่างๆ อยู่เสมอ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ และสามารถนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้มากหรือ น้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพทางการศึกษา อาชีพ โอกาส เพศ และวัยของ แต่ละบุคคลซึ่งมี ความแตกต่างกันในหลายประการ ทั้งความสนใจ ความตั้งใจ และความสามารถใน การรับรู้การอ่าน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง การอ่านถือได้ว่ามีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต เพราะการอ่านช่วยสร้างองค์ความรู้ ความสามารถทักษะพื้นฐานที่จำเป็น และลักษณะจิตใจในการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตนเองเกิดความรู้ความสามารถผ่านการถ่ายทอดความรู้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการฝึก การอบรม การสืบสานประเพณีและวัฒนธรรม ก็ล้วนแล้วทำให้เกิดการเรียนรู้ อย่างต่อเนื่องและตลอดชีวิต นอกจากการศึกษาจะช่วยในการพัฒนาตนเองแล้ว ยังส่งผลโดยตรงใน การพัฒนาครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติ อีกด้วย การอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้ทางด้านการศึกษา การพัฒนาตนเอง และช่วยเพิ่มพูนความรู้ที่สำคัญทำให้คนมีความคิดกว้างไกลและมีวิสัยทัศน์ เนื่องจากการอ่านเป็น การจุดประกายความคิดของผู้อ่านทำให้เกิดพัฒนาการทางความคิดและสติปัญญา โดยการนำ ความรู้ที่ได้จากการไปบูรณาการกับความคิดและความรู้เดิมของต้นเอง จนเกิดเป็นความคิดใหม่ใน การพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งสังคมปัจจุบันเป็นยุคโลกาภิวัตน์ที่เต็มไปด้วยความรวดเร็วของ ข้อมูลข่าวสารทางเทคโนโลยี และไร้พรมแดนของการสื่อสาร อีกทั้งมีความเจริญก้าวหน้าด้าน วิทยาการต่างๆ ทำให้เกิดการรับส่งข้อมูลข่าวสารเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย รวดเร็ว มีการรับ ข้อมูลข่าวสาร ความเชื่อ ค่านิยมและวัฒนธรรมจากสื่อหลากหลายรูปแบบ การรับสารจึงต้องใช้ทั้ง ความรู้การคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการเลือกรับสารอย่างรอบครอบเพื่อที่จะ ได้รับประโยชน์จากสารได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ การอ่านจึงเป็นเครื่องมีในการรับ ข้อมูลต่างๆ ที่จะต้องได้รับการปลูกฝังและฝึกหัดในระบบการศึกษทุกระดับ ดังที่ อาภรณ์พรรณ พงษ์สวัสดิ์ (2550:4) กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านที่มีผลต่อการดำรงชีวิตว่า การอ่าน ทำให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์หลายด้าน ทั้งด้านการเพิ่มพูนความรู้ ความคิด สติปัญญา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต โดยการเฉพาะการอ่านจับใจความซึ่งนับว่ามีความสำคัญต่อการอ่านทุกประเภท เพราะเป็นพื้นฐานที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจในสิ่งที่อ่านได้เร็วและถูกต้องตรงตามที่ผู้เขียนต้องการ


3 และดังที่ จิรวัฒน์ เพชรรัตน์และอัมพร ทองใบ (2555: 6 ) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านไว้ ว่า การอ่านเป็นสิ่งจำเป็นต่อมนุษย์ต่อความเจริญในด้านต่างๆ ของมนุษย์มากการอ่านหนังสือ นอกจากจะทำให้ผู้อ่านเป็นคนหูตากว้างแล้ว คนอ่านจะเป็นผู้ทันต่อเห็นเหตุการณ์ความเคลื่อนไหว ของโลกปัจจุบันและอาจเป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดความสงบในใจ ส่งเสริมวิจารณญาณและ ประสบการณ์ให้เพิ่มพูนขึ้น การอ่านยังทำให้บุคคลเป็นผู้ที่มีคุณค่าในสังคมมีประสบการณ์ชีวิตและ ช่วยยกฐานะสังคม สังคมใดที่มีบุคคลที่มีประสิทธิภาพในการอ่านอยู่มากสังคมนั้นย่อมเจริญพัฒนา ไปได้อย่างรวดเร็ว หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ได้กำหนดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ใน 5 สาระ คือ สาระที่ 1 การอ่าน สาระที่ 2 การเขียน สาระที่ 3 การฟัง การดูและการพูด สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย สาระที่ 5 วรรณคดีและ วรรณกรรม (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 9) และกระทรวงศึกษาธิการได้ตระหนักถึงความสำคัญ ของทักษะการอ่าน และประโยชน์ของการอ่าน จึงได้กำหนดเรื่องการอ่านไว้ในหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหาในการ ดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน และตัวชี้วัด ท 1.1 ม. 1/2 ได้กำหนดให้ไว้ว่าการจับใจความ สำคัญจากเรื่องที่อ่าน ทำให้ผู้เรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เมื่อได้เรียนในตัวชี้วัดนี้จะต้องมี ความสามารถในการอ่านจับใจความ ผู้เรียน ควรจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ เพราะจะทำให้ ทราบถึงสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ เนื่องจากการอ่านจับใจความเป็นพื้นฐานไปสู่การอ่านในระดับที่ สูงขึ้น การอ่านจับใจความจึงเป็นการอ่าน ที่มีความสำคัญต่อการศึกษาเป็นอย่างมาก สภาพปัญหาในชั้นเรียนรายวิชาภาษาไทย ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สตรีราชินูทิศ จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2565 ผู้วิจัยได้พิจารณาถึงสาเหตุจากสภาพปัญหาพบว่านักเรียนมี ปัญหาด้านการอ่าน ซึ่งปัญหาด้านการอ่านที่พบมากที่สุด คือ ปัญหาการอ่านจับใจความ เนื่องจาก นักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถอ่านจับใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่านได้ โดยสาเหตุของปัญหาเกิดจาก การที่นักเรียนสับสนใจความหลักและใจความรอง ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่แยกแยะไม่ได้ว่าส่วนใดเป็น ประเด็นสำคัญ จึงไม่สามารถลำดับเรื่องราวจากการอ่านจับใจความได้ จึงส่งผลกระทบต่อการเรียน เมื่อให้ศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งนักเรียนไม่สามารถจับประเด็นเรื่องที่ศึกษาได้ ทักษะด้านการอ่าน จับใจความ สามารถพัฒนาทักษะด้านการอ่านจับใจความให้ดียิ่งขึ้นได้ เมื่อได้รับการฝึกฝนจากการ อ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ และอ่านหนังสืออย่างหลากหลาย โดยผลการประเมินการคัดกรองการ อ่านการเขียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีผลการประเมินที่ยังอยู่ในระดับพอใช้ซึ่งไม่เป็นไป ตามผลที่ตั้งไว้


4 ตารางรายงาประเมินนักเรียน การคัดกรองการอ่านการเขียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา ครั้งที่ จำนวนนักเรียน ตอนที่ 1 (การอ่าน) ดีมาก(คน) ดี (คน) พอใช้(คน) ปรับปรุง(คน) 2563 1 595 421 127 47 - 2 593 96 424 73 - 2566 1 548 195 214 113 26 ตารางที่ 1 ตารางรายงาประเมินนักเรียน การคัดกรองการอ่านการเขียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีราชิ นูทิศ จังหวัดอุดรธานี (งานวัดผลและประเมินผล ฝ่ายวิชาการ โรงเรียนสตรีราชินูทิศ,2563) จากตารางที่ 1 สรุปได้ว่า ผลการประเมินการคัดกรองการอ่านการเขียน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ จังหวัดอุดรธานี มีผลการประเมินอยู่ในระดับ พอใช้ ไปจนถึง ระดับดีซึ่งยังไม่ถึงที่ตั้งไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปัญหาในด้านการอ่านของนักเรียน ในปีการศึกษา 2563 ครั้งที่ 2 ซึ่งอยู่ในระดับดีเป็นส่วนใหญ่ จากปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้น ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาตำรา เอกสาร นวัตกรรม และงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาการอ่านจับใจความจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหา การอ่านจับใจความของนักเรียน ซึ่งผู้วิจัยพบว่า นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus เป็นนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้ ในการจัดการเรียนการสอน ส่งเสริมสมรรถภาพด้านการคิด และการอ่านจับใจความของนักเรียนได้ ดังที่ วัชรา เล่าเรียนดี (2547: 92-94) ได้กล่าวไว้ว่าการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL Plus แนวการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีการคิดค้นขึ้นมาอย่าง มากมายนั้น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL Plus เป็นเทคนิคการสอนที่น่าสนใจเพราะเป็น การสอนที่เน้นผู้เรียนได้ฝึกทักษะกระบวนการทางความคิด ฝึกทำความเข้าใจกับเรื่องที่อ่านโดยใช้ โครงสร้างความรู้ที่ตนเองมีอยู่ และรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL Plus ยังสามารถ ช่วยให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาใจความสำคัญของเรื่องที่อ่าน และนำเสนอออกมาในรูปแบบที่ หลากหลาย จากการศึกษาเอกสารผลการวิจัยทั้งต่างประเทศและในประเทศชี้ให้เห็นว่านักเรียนที่ ได้รับการสอนด้วยเทคนิค KWL Plus เป็นการจัดกิจกรรมการสอนอ่านที่เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ใช้ ความรู้ความเข้าใจ จากประสบการณ์เดิมของตนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ช่วยตีความหรืออธิบาย ความหมายในเนื้อเรื่อง เช่น มีการคาดคะเนเหตุการณ์ในเรื่องที่อ่าน การตรวจสอบความถูกต้องของ การคาดคะเน และตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL Plus เป็นวิธีการจัดการสอนที่มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อ ช่วยพัฒนาทักษะการอ่าน และขณะเดียวกันก็สามารถนำไปพัฒนาทักษอื่น เช่น ฟัง พูด และเขียน ได้ด้วย เพราะในแต่ละขั้นตอนของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL Plus ผู้เรียนจะได้ฝึกทักษะ ภาษาทุกด้าน คือ ฟัง พูด อ่าน เขียนไปพร้อมๆ กัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทั้งกระบวนการทาง ความคิด และฝึกทักษะทางภาษาทั้ง 4 ด้านไปพร้อมกัน


5 นอกจากการใช้วิธีการสอนแบบ KWL Plus แล้วยังมีการใช้แผนผังความคิดมาช่วยในการ อ่านจับใจความในการอ่านด้วย ดังที่ สุมาลี ระคำภา (2553: 51) กล่าวว่าปัจจุบันมีผู้แสวงหา แนวคิด เทคนิควิธี หรือกิจกรรมการเรียนการสอนใหม่ ๆ ที่ใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและ ศักยภาพของมนุษย์ในด้านทักษะกระบวนการคิด กิจกรรมแผนผังความคิด (Mind Mapping) เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางมีการนำแผนผัง ความคิดเข้ามาใช้ในการจัดกิจกรรมเพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการเรียนของนักเรียนและยังเป็น การพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งในระหว่างที่นักเรียนฝึกใช้ กิจกรรมนั้น นักเรียนจะต้องใช้สมองในกจรส์ร้างแนวคิดรวบยอดด้วยการจำแนก การจัดกลุ่ม การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูล การเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ส่วนชั้นตอนการเขียน แผนผังความคิดนั้นแสดงใช้กลไกของสมองที่ใช้ของนักเรียนอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นการพัฒนาทักษะ การคิด (Thinking Skills) ของนักเรียนด้วย ดังที่ ธัญญา ผลอนันต์ (อ้างถึงใน จุฬารัตน์ เหล่า ไพโรจน์จารี 2556: 6 ได้อธิบายแผนผังความคิดอธิบายไว้ว่า My Mapping คือ เครื่องมือในการ จัดระบบความคิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและขยายความต่อไปว่า แผนผังความคิด เป็นการใช้ ความคิดสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพสามารถแสดงให้เห็นได้ง่ายและแผนภาพความคิดกระตุ้นให้ ผู้เรียนคิดอย่างอิสระและหลากหลาย สามารถนำมาใช้ได้ทุกขั้นตอนของการเรียนการสอน ไม่ว่าจะ เป็นขั้นนำเข้าสู่บทเรียนการระดมความคิดในขั้นสอนหรือแม้แต่ขั้นตอนการสรุป ผู้วิจัยเห็นความสำคัญและสนใจในการแก้ปัญหาการอ่านจับใจความของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ปีการศึกษา 2566 จึงได้นำเทคนิคการจัดการเรียนรู้ แบบ KWL – Plus ร่วมกับแผนผังความคิด มาพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 เพื่อเป็นแนวทางให้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากเทคนิคการเรียนรู้แบบ KWL - Plus และการทำแผนผังความคิด ช่วยพัฒนากระบวนการคิดและการอ่านจับใจความของนักเรียน เริ่มจากทำความเข้าใจเรื่องที่อ่าน แยกประเด็นหลักกับประเด็นรอง และสามารถสรุปเรื่องราวจาก การอ่านได้ตามลำดับ ช่วยให้นักเรียนทำความเข้าใจด้วยตนเองอย่าง มีเหตุผล นำไปสู่การพัฒนา ความสามารถด้านการอ่านจับใจความของนักเรียนให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น 1.2 วัตถุประสงค์การวิจัย 1.2.1 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus ร่วมกับแผนผังความคิด ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL – Plus ร่วมกับแผนผังความคิด 1.3 สมมุติฐานของการวิจัย 1.3.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ โดยการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus ร่วมกับแผนผังความคิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีราชินูทิศมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75


6 1.3.2 ความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนโรงเรียนสตรีราชินูทิศ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL – Plus ร่วมกับแผนผังความคิด 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 1.4.1 ขอบเขตประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.4.1.1 ประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 3 ห้อง ห้องละ 40 คนประกอบด้วย นักเรียนชั้นม.1/9, ม.1/11 และ ม.1/14 รวมทั้งหมด 120 คน 1.4.1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในภาคเรียน ที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 1 ห้อง จำนวน 40 คน โดยมาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) 1.4.2 ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 1.4.2.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ KWL Plus ร่วมกับแผนผังความคัด 1.4.2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ • ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน • ความสามารถในการอ่านจับใจความ 1.4.3 ขอบเขตเนื้อหา ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย วิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ ประกอบด้วย 1.4.3.1 การอ่านจับใจความ จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.2 การอ่านจับใจความข่าว จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.3 การอ่านจับใจความบทความ จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.4 การอ่านจับใจความจากวรรณคดี เรื่องสมิงพระรามอาสา จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.4 การอ่านจับใจความจากบทร้อยกรอง จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.3.5 อ่านจับใจความนิทานพื้นบ้าน จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4.4 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ทำการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 6 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง 6 ครั้ง ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2566 – เดือนมกราคม 2567


7 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ ทักษะการอ่านจับใจความ หมายถึง ความรู้ความเข้าใจในการอ่านเนื้อเรื่อง จนสามารถ จับใจความที่เป็นสาระสำคัญของเรื่องจากการแปลความ ตีความ ขยายความ คิดวิเคราะห์ และสังเคราะห์ รวมทั้งเขียนสื่อความจากเรื่องที่ได้อ่าน โดยดูจากคะแนนที่ได้รับจากการนับจำนวน ข้อที่นักเรียนตอบถูกในแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านการอ่านจับใจความภาษาไทยที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้น การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL- Plus หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีขั้นตอน การจัดการเรียนรู้ดังนี้1) ขั้นกิจกรรมก่อนการอ่าน K (What you know) นักเรียนมีความรู้ อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน 2) ขั้นกิจกรรมระหว่างการอ่าน W (What you want to know) นักเรียนต้องการจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน 3) ขั้นกิจกรรมหลังการอ่าน L (What you have learned) นักเรียนได้เรียนรู้อะไรบ้างจากเรื่องที่อ่าน 4) ขั้นการสร้างแผนภาพความคิด Plus (Mapping) การเรียนรู้ด้วยแผนผังความคิด หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่กระตุ้นความคิดของ ผู้เรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้ผู้เรียนคิดอย่างอิสระและสร้างสรรค์ เพื่อจัดกลุ่มความคิด ตามลำดับความสำคัญของความคิด โดยพิจารณาจากความถูกต้องของเนื้อหาที่ผู้เรียนนำเสนอจาก เนื้อหาที่ผู้สอนกำหนดให้จากแผนการจัดการเรียนรู้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement) หมายถึง ระดับความสำเร็จที่ได้จาก ความสามารถทางร่างกายหรือสมอง ซึ่งอาจพิจารณาได้จากคะแนนที่กำหนดให้ หรือคะแนนที่ได้ จากงานที่ผู้สอนมอบให้หรือทั้งสององค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในการ วิจัยครั้งนี้ คือ ผลคะแนนหลังการเรียนที่สูงขึ้นจากคะแนนทดสอบก่อนการเรียน ประสิทธิภาพของนวัตกรรม หมายถึง การนำนวัตกรรมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไปใช้ในทดลอง และปรับปรุงพัฒนาทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 75 ตัวแรก หมายถึง E1 ค่าร้อยละของคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบระหว่างเรียนของผู้เรียน โดยคิดเป็นค่าไม่ต่ำกว่า ร้อยละ 7575 ตัวหลัง หมายถึง E2 ค่าร้อยละของคะแนนที่ได้จากการทำ แบบทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนโดยคิดเป็นค่าไม่ต่ำกว่าร้อยละ 75 1.6 ประโยชน์ที่จะได้รับ 1.6.1 ได้พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ โดยการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL – Plus ร่วมกับแผนผังความคิด ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 โรงเรียนสตรีราชินทิศ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 1.6.2 ได้ทราบความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL – Plus ร่วมกับแผนผังความคิด


8 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus ร่วมกับแผนผังความคิดของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องตามลำดับหัวข้อ ดังต่อไปนี้ 2.1 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2.1.1 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2.1.1.1 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 2.1.1.2 สาระและมาตรฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 2.1.2 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการอ่าน 2.1.2.1 ความหมายของการอ่าน 2.1.2.2 ความสำคัญของการอ่าน 2.1.2.3 ประเภทของการอ่าน 2.1.3 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการอ่านจับใจความ 2.1.3.1 ความหมายของการอ่านจับใจความ 2.1.3.2 ความสำคัญของการอ่านจับใจความ 2.1.3.3 หลักการอ่านจับใจความ 2.1.3.4 ประเภทของการอ่านจับใจความ 2.1.4 กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL- Plus 2.1.4.1 ความหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL- Plus 2.1.4.2 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL- Plus 2.1.5 การหาประสิทธิภาพและดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.1.5.1 การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.1.5.2 ดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.1.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.6.1 ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.6.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.6.3 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.6.4 ลักษณะของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ที่ดี. 2.1.7 แผนผังความคิด 2.1.7.1 ความหมายของแผนผังความคิด 2.1.7.2 การสร้างแผนผังความคิด


9 2.1.7.3 ประโยชน์ของแผนผังความคิด 2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ๒.๑ เอกสารที่เกี่ยวข้อง ๒.๑.๑ เอกสารที่เกี่ยวข้องข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ๒.๑.๑.๑ สาระและมาตรฐานกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมกันก่อนให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อ สร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดำรงชีวิต ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างมีสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความรู้พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อ แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่ การเรียนรู้ อนุรักษ์ และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทย (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๖๑: 1) หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เป็นส่วนประกอบหนึ่งในหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีวิสัยทัศน์ หลักการ จุดหมาย และสมรรถนะของผู้เรียน ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 4–55) 1. วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของ ชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมือง ไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อการประกอบอาชีพและ การศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ 2. หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้ 2.1 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและ มาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และ คุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2.2 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับ การศึกษาอย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ 2.3 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมใน การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น


10 2.4 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการเรียนรู้ 2.5 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 2.6 เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัยครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ 3. จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็น คนดี มีปัญญามี ความสุขมีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 3.1 มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเองมี วินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง 3.2 มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้ เทคโนโลยีและมีทักษะชีวิต 3.3 มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 3.4 มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 3.5 มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และ พัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนา ผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะ สำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสารมี วัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูล ข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและ ความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โดย คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 4.2 ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิด คิดสังเคราะห์การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่าง เหมาะสม 4.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและ อุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูล


11 สารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึง ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำ กระบวนการต่างๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงานและการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล จัดการ ปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและ สภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 4.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้ เทคโนโลยีด้านต่างๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคมใน ด้านการเรียนรู้การสื่อสารการทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสมและมี คุณธรรม 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึง ประสงค์เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพล โลก ดังนี้ 5.1 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 5.2 ซื่อสัตย์สุจริต 5.3 มีวินัย 5.4 ใฝ่เรียนรู้ 5.5 อยู่อย่างพอเพียง 5.6 มุ่งมั่นในการทำงาน 5.7 รักความเป็นไทย 2.1.1.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ (2551, 2-3) กำหนดสาระมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ ตัดสินใจแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต ในการแก้ปัญหาดำเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท. 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษา ค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ


12 สาระที่ 3 การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดง ความรู้ ความคิดความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษาและรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติ ของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดี และวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 2.1.2 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการอ่าน การอ่านเป็นกระบวนการในการแสวงหาความรู้ที่สำคัญต่อผู้เรียน การจัดกิจกรรม การเรียน การสอนจึงมีความจำเป็นอย่างมากที่จะทำให้ผู้เรียนนั้นเกิดทักษะด้านการอ่านอย่างมี ประสิทธิภาพ เพื่อนำทักษะไปใช้ในการเรียน และการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้ประสบผลสำเร็จในด้านทักษะ การอ่าน จึงต้องศึกษาความหมายของการอ่านเพื่อทำความเข้าใจ 2.1.2.1 ความหมายของการอ่าน สถาบันภาษาอังกฤษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2560 :97) ได้อธิบายว่าการอ่าน คือ การสื่อความรู้ ความรู้สึกนึกคิด ระหว่างผู้เขียนและผู้อ่านโดยผู้อ่านเข้าใจ ในสัญลักษณ์ เครื่องหมาย รูปภาพ ประโยค ข้อความ ตัวอักษรคำและข้อความที่พิมพ์หรือเขียน ขึ้นมาด้วยการสังเกตและพิจารณา ซึ่งมีความหมายตรงกับผู้สื่อสารเขียน โดยเป็นกระบวนการ ปฏิสัมพันธ์และ การตีความระหว่างผู้เขียนและผู้อ่าน ซึ่งจะเข้าใจมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความรู้เดิม และการทำนายความรู้เกี่ยวกับเรื่องความหมายของคำศัพท์ โครงสร้างไวยากรณ์ ตลอดจนความ เข้าใจในเรื่องความสอดคล้องต่อเนื่องของประโยคแต่ละประโยค สายใจ ทองเนียม (2560: 87) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่าน หมายถึง การรับรู้ และการทำความเข้าใจในความหมายของอักษร หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏ ผ่านกระบวนการทางความคิด ตีความทำความเข้าใจ และนำความหมายไปใช้ประโยชน์ได้ วราภรณ์ พรมอินทร์ (2561: 24) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ว่าเป็น กระบวนการในการถอดรหัสสัญลักษณ์ เครื่องหมาย รูปภาพ ประโยค ข้อความ ตัวอักษร คำ และข้อความที่พิมพ์หรือเขียนระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน ออกมาเป็นความที่ตรงกันว่าผู้เขียนต้องการ ให้ผู้อ่านทราบเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง และสิ่งที่สำคัญที่สุดในการอ่านก็คือผู้อ่านจะต้องเข้าใจ ความหมายของสิ่งที่อ่าน


13 พัชรินทร์ บุตรสันเทียะ (2562: 18) ได้ให้ความหมายของการอ่าน โดยแบ่ง ออกเป็น 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. การแปลตัวอักษร ตัวหนังสือ เครื่องหมาย ภาพ สัญลักษณ์ต่างๆ หรือสารเป็นวัจนภาษาและอวัจนภาษาด้วยความคิดอย่างเข้าใจ และก่อให้เกิดสติปัญญาในขั้น สุดท้าย 2. กระบวนการรับรู้ โดยผ่านการคิด ประสบการณ์ พฤติกรรมระหว่างผู้เขียน และผู้อ่านผู้อ่านจะเข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดประสบการณ์ ความคิด ความเชื่อ ผ่านข้อความหรือสิ่งที่อ่าน 3. การทำความเข้าใจกับสิ่งที่อ่าน และนำความรู้ไปใช้พัฒนาตนเองให้เกิด ประโยชน์ตามจุดประสงค์การอ่าน เช่น พัฒนาสติปัญญา พัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาด้านอารมณ์ให้ เกิดความบันเทิง ณัฐวดี ปิ่นวิลัย (2563: 7) การอ่าน หมายถึง การรับสาร รับรู้เรื่องราวต่างๆ ด้วยความเข้าใจเป็นการถ่ายทอดความคิด เจตนา หรือสัญลักษณ์ผ่านตัวอักษร โดยผ่านการ วิเคราะห์และนำไปใช้ประโยชน์ได้ จากการศึกษาความหมายของการอ่านที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ว่าการอ่านว่า หมายถึง การแปลความหมายและการทำความเข้าใจเกี่ยกับสัญลักษณ์ ลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏขึ้น ผ่านกระบวนการทางความคิด การความเข้าใจ และนำความหมายไปใช้ประโยชน์ได้ 2.1.2.2 ความสำคัญของการอ่าน การอ่านมีความสำคัญอย่างมากในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เป็นจุดเริ่มต้นของการ แสวงหาความรู้ เป็นบ่อเกิดของปัญญา และสามารถรับรู้ข่าวสารในเวลาอันรวดเร็ว จึงมีนักวิชาการ หลายท่านได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการอ่านไว้หลากหลาย ดังนี้ สถาบันภาษาไทย (2557: 6-7) ได้สรุปการบรรยายของสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีถึงความสำคัญของการอ่านหนังสือว่า 1. การอ่านหนังสือทำให้ได้เนื้อหาสาระความรู้มากกว่าการศึกษาหาความรู้ ด้วยวิธีอื่นๆ เช่นการฟัง 2. ผู้อ่านสามารถอ่านหนังสือได้โดยไม่มีการจำกัดเวลาและสถานที่ สามารถ นำไปไหนมาไหนได้ 3. หนังสือเก็บได้นานกว่าสื่ออย่างอื่น ซึ่งมักมีอายุการใช้งานโดยจำกัด 4. ผู้อ่านสามารถฝึกการคิดและสร้างจินตนาการได้เองในขณะอ่าน 5. การอ่านส่งเสริมให้มีสมองดี มีสมาธินานกว่า และมากกว่าสื่อ อย่างอื่นทั้งนี้เพราะขณะอ่านจิตใจจะต้องมุ่งมั่นอยู่กับข้อความ พินิจพิเคราะห์ข้อความ


14 6. ผู้อ่านเป็นผู้กำหนดการอ่านได้ด้วยตนเองจะอ่านคร่าวๆ อ่านละเอียด อ่านข้ามหรือทุกตัวอักษร เป็นไปตามใจของผู้อ่าน หรือจะเลือกอ่านเล่มไหนก็ได้ เพราะหนังสือมี มากสามารถ เลือกอ่านเองได้ 7. หนังสือมีหลากหลายรูปแบบ และราคาถูกกว่าสื่ออย่างอื่น จึงทำให้สมอง ผู้อ่านเปิดกว้างสร้างแนวคิดและทัศนคติได้มากกว่า ทำให้ผู้อ่านไม่ติดอยู่กับแนวคิดใดๆ โดยเฉพาะ 8. ผู้อ่านเกิดความคิดเห็นได้ด้วยตนเอง วินิจฉัยเนื้อหาสาระได้ด้วยตนเอง รวมทั้งหนังสือบางเล่มสามารถนำไปปฏิบัติแล้วเกิดผลดี สายใจ ทองเนียม (2560: 88) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านไว้ว่า การอ่านมี บทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เพราะต้องอ่านข้อมูล หรือข่าวสารต่างๆ และนำความรู้ ความเข้าใจมาใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหา และพัฒนาตัวเองสู้ความสำเร็จ รวมทั้งช่วยตอบสนอง ความต้องการ ด้านสุนทรียะและนันทนาการอีกด้วย วราภรณ์ พรมอินทร์ (2561: 25) การอ่านมีความสำคัญต่อการพัฒนาอาชีพ การศึกษา และเป็นหัวใจของการเรียนการสอน ช่วยให้สามารถติดตามความเคลื่อนไหวและความ กาวหน้าได้ทัน ช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ความรู้ ความคิด และวิจารณญาณของผู้อ่าน ณัฐวดี ปิ่นวิลัย (2563: 8) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านไว้ว่า การอ่านมีส่วน สำคัญที่ช่วยให้มนุษย์รับรู้และเข้าใจข้อมูลที่ผู้เขียนถ่ายทอดผ่านตัวอักษรมากขึ้น และช่วยให้มนุษย์ เข้าใจและจับประเด็นในการรับสารได้ถูกต้อง จากการศึกษาความสำคัญของการอ่านที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ว่า การอ่านมี ความสำคัญต่อทุกคนในการใช้เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการแสวงหาความรู้ การอ่านช่วยพัฒนา คุณภาพของผู้อ่านให้เป็นคนมีความรอบรู้เฉลียวฉลาด เป็นคนที่มีความคิดเหตุผล ช่วยเพิ่มทักษะ การติดต่อสื่อสารด้านอื่นๆ ด้วยเช่น การพูด ส่งผลให้แสดงออกถึงบุคลิกภาพที่ดี มีความน่าเชื่อถือ ทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต 2.1.2.3 ประเภทของการอ่าน ประเภทของการอ่านมีหลายลักษณะที่ปรากฏ จึงมีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึง ประเภทของการอ่านไว้หลากหลาย ดังนี้ นงเยาว์ ทองกำเนิด (2558: 30) ได้กล่าวถึงประเภทของการอ่านไว้ว่า การอ่าน โดยรวมแล้วมี 2 ประเภทคือ การอ่านออกเสียงและการอ่านในใจ ซึ่งมีความสำคัญต่อการอ่านเป็น อย่างมาก การเลือกประเภทการอ่านในใจหรือการอ่านออกเสียงว่าเมื่อใดมีความเหมาะสมและได้ ประโยชน์ควรพิจารณาถึง วัตถุประสงค์ในการอ่านเป็นจุดสำคัญ ซึ่งเป็นไปตามความเหมาะสมในแต่ ละโอกาสหรือในช่วงเวลานั้นๆ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2560: 20) ได้กล่าวถึงประเภทของการอ่านไว้ว่า การอ่าน แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ การอ่านเข้าคร่าว ๆ เป็นการอ่านข้ามคำ กลุ่มคำหรือประโยค เพื่อตรวจดูเฉพาะหัวข้อ หรือคำสำคัญ การอ่านเร็ว เป็นการอ่านที่ใช้การเคลื่อนตาอย่างรวดเร็วโดย


15 การรับรู้เป็นคำ กลุ่มคำ หรือประโยค เพื่อความเข้าใจเรื่องราวโดยใช้เวลาที่จำกัด การอ่านปกติ เป็นการอ่านที่ไม่ได้เร่งรีบ ต้องการความเข้าใจในเรื่องราวโดยไม่ให้พลาดประเด็นสำคัญ และการ อ่านละเอียด เป็นการอ่านเพื่อวิเคราะห์คำ กลุ่มคำและประโยค พัชรินทร์ บุตรสันเทียะ (2562: 22) เราสามารถแบ่งประเภทของการอ่านได้ตาม ลักษณะของการอ่านจะสามารถแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ การอ่านออกเสียง ซึ่งเป็นทักษะขั้นต้นของ การอ่าน และการอ่านในใจ ซึ่งเป็นทักษะการอ่านที่สูงขึ้นเพราะต้องเก็บใจความสำคัญเพื่อให้เกิด ความเข้าใจ ความคิดของ งานเขียน หากแบ่งประเภทของการอ่านตามจุดประสงค์ของการอ่านจะ เป็นในลักษณะของการอ่านจะแบ่งได้ คือ 1. อ่านเพื่อสำรวจคร่าว ๆ 2. อ่านเพื่อจับใจความสำคัญเพื่อแสวงหาความรู้ 3. อ่านสำรวจเนื้อหา เพื่อสรุปสาระสำคัญของเรื่องทั้งหมด 4. อ่านอย่างละเอียด เพื่อให้เข้าใจชัดเจน 5. อ่านวิเคราะห์วิจารณ์การที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้อ่านต้องมีทักษะการอ่าน และประสบการณ์ในการอ่านร่วมด้วย จึงจะสามารถจับใจความได้ จากการศึกษาประเภทของการอ่านที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ว่า ประเภทของการ อ่าน สามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ การอ่านออกเสียงและการอ่านในใจ โดยใน การนำมาเลือกใช้ประโยชน์ควรพิจารณาว่าควรอ่านแบบใดในโอกาสหรือเวลาที่เหมาะสม 2.1.3 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความเป็นทักษะสำคัญสำหรับการอ่านเพื่อพัฒนาตนเอง ซึ่งต้องผ่าน การฝึกฝน เพื่อสั่งสมประสบการณ์ในการอ่านอยู่สม่ำเสมอ หากขาดการฝึกฝนจะส่งผลให้ขาดโอกาส ในการแสวงหาความรู้ตามวัตถุประสงค์ของการอ่านได้ 2.1.3.1 ความหมายของการอ่านจับใจความ ดวงพร เฟื่องฟู (2560 :16) กล่าวว่า การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ หมายถึง การอ่านแล้วเข้าใจเรื่องที่อ่าน สามารถจับประเด็นสำคัญของเรื่อง ตอบคำถามจากเรื่องแปล ความหมายของเรื่องที่อ่านและเข้าใจจุดหมายพร้อมทั้งสรุปสาระสำคัญที่อ่านได้อย่างครอบคลุม ทักษพร เหมือนโพธิ์ (2561 :14) กล่าวว่า การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ เป็นกระบวนการถ่ายทอดความหมายจากสารหรือตัวอักษรแสดงออกเป็นความคิด ใช้การความ เข้าใจในเนื้อเรื่องที่อ่าน จับประเด็นและนำประสบการณ์เดิมมาช่วยในการทำความเข้าใจ ตลอดจน สามารถบอกจุดมุ่งหมายของเรื่องนั้นๆ ได้ ชฎารัตน์ ภูทางนาและอุดมลักษณ์ ระพีแสง (2562 :12) กล่าวว่า การอ่านเพื่อจับ ใจความสำคัญ เป็นกระบวนการถ่ายทอดความหมายจากสาร หรือตัวอักษรออกมาเป็นความคิด


16 การทำความเข้าใจเนื้อเรื่องที่อ่านจับประเด็นสำคัญได้ สามารถนำประสบการณ์เดิมมาใช้ในการทำ ความเข้าใจและสามารถบอกจุดมุ่งหมายสำคัญของเรื่องนั้นได้ ณัฏฐณิชา ปฐมพุทธิธรรม (2564 :13) กล่าวว่า การอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ เป็นกระบวนการอ่านที่มุ่งหาจุดมุ่งหมายของเรื่องนั้นๆ รวมไปถึงการลำดับเหตุการณ์ของเรื่อง การสรุปเรื่อง ตลอดจนการแนวคิดจากเรื่องไปใช้ในชีวิตประจำวัน จากการศึกษาความหมายของการอ่านจับใจความสำคัญที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ว่า การอ่านจับใจความสำคัญเป็นกระบวนการอ่านเพื่อสรุปสาระสำคัญเนื้อเรื่องที่ผู้เขียนต้องการสื่อ โดยผ่านกระบวนการแปลความหมาย ทำความเข้าใจกับเรื่องที่อ่าน รู้ถึงจุดประสงค์ของเรื่อง สามารถลำดับเหตุการณ์จากเรื่องได้ และสามารถสรุปความคิดสำคัญของเรื่องได้ 2.1.3.2 ความสำคัญของการอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความสำคัญเป็นทักษะกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญ เพราะผู้อ่านต้องใช้ สติปัญญาในการทำความเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายสำคัญของเรื่อง แนวคิดของเรื่อง ตลอดจนสามารถ ตอบคำถาม จากเรื่องที่อ่านได้ ซึ่งมีนักวิชาการได้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านสรุปความไว้ ดังนี้ หนังสือหลักภาษาไทย ม.1 (2559: 58) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านจับ ใจความไว้ว่า การอ่านจับใจความสำคัญมีความสำคัญอย่างยิ่งในการศึกษาหาความรู้เพื่อสร้างความ เข้าใจเกี่ยวกับข้อความหรือเรื่องนั้นเกี่ยวกับสิ่งใด มีเหตุการณ์ที่สำคัญอะไรบ้าง ซึ่งจะเป็นพื้นฐานใน การวิเคราะห์ หรือตีความเรื่องราวนั้นๆ ต่อไป สถิตาภรณ์ ศรีหิรัญ (2560: 66) ที่ให้ความสำคัญของการอ่านจับใจความสำคัญว่า มีความสำคัญกับการเชิงวิชาการ คือ การอ่านจับใจความสำคัญเป็นกิจกรรมสำคัญของการอ่านเชิง วิชาการ ผู้ที่อ่านงานเขียนทางวิชาการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถจับใจความสำคัญได้อย่าง ถูกต้องแม่นยำ ตอบคำถามจากเรื่องที่อ่านได้เป็นอย่างดี และบันทึกสาระสำคัญของเรื่องได้อย่าง ถูกต้อง ไม่บกพร่องหรือเกินกว่าความหมายที่ผู้เขียนต้องการสื่อ เมื่อนำสาระสำคัญที่จดบันทึกไว้ไป อ้างอิงก็จะไม่ทำให้ความหมายคลาดเคลื่อนไปจากที่ผู้เขียนต้องการเสนอ สายชล โชติธนากิจ (2561: 41) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านจับใจความไว้ ว่า การอ่านจับใจความสำคัญเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาหาความรู้และพัฒนาชีวิต ก่อให้เกิดความสนุกสนาน เพลิดเพลิน และส่งเสริมให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้แนวคิดในการดำเนินชีวิต และเป็นหัวใจของการศึกษาทุกระดับ จากการศึกษาความสำคัญของการอ่านจับใจความสำคัญที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ ว่า การอ่านจับใจความสำคัญเป็นทักษะที่สำคัญในการดำเนินชีวิต การอ่านจับใจความสำคัญ สามารถพัฒนาทักษะ การอ่านได้อย่างดี ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาไปในทุกด้านโดยเฉพาะด้าน การศึกษาที่ในการแสวงหาความรู้ในเรื่องที่สนใจ อ่านเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ รวมไปถึงการ นำไปใช้ได้ตรงจุดประสงค์


17 2.1.3.3 หลักการอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความต้องมีหลักการที่เป็นตัวชี้แนะให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจใน เรื่องที่อ่านได้แม่นยำมากขึ้น จึงมีนักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงประเภทของการอ่านจับใจความไว้ หลากหลาย ดังนี้ สถิตาภรณ์ ศรีหิรัญ (2560: 66-69) และ เล็ก ภักดี(2543: 2-3) ได้กล่าวถึง หลักการอ่านจับใจความไว้อย่างสอดคล้องกันว่าต้องสังเกตประโยคใจความสำคัญ ที่สื่อถึง สาระสำคัญของย่อหน้าผู้อ่านต้องอาจสังเกตว่าเป็นประโยคที่มีความครอบคลุมสาระสำคัญของย่อ หน้า ทว่าไม่ใช่ทุกย่อหน้า จะมีประโยคใจความสำคัญ ในกรณีที่ย่อหน้านั้นไม่มีประโยคใจความ สำคัญ ผู้อ่านต้องสรุปสาระสำคัญของย่อหน้านั้นเอง ตำแหน่งต่างๆ ของย่อหน้า มีดังนี้ 1. ตอนต้น ข้อความที่มีประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนต้นย่อหน้า มีลักษณะ การเขียนเปิดประเด็นโดยสาระสำคัญแล้วค่อยๆ ขยายประเด็นนั้นไปจนกระจ่างแจ้งชัดเจนใน ตอนท้าย 2. ตอนท้าย ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสำคัญอยู่ตอนท้าย มีลักษณะกลับกัน กับย่อหน้าที่มีประโยคใจความสำคัญตอนต้น การเขียนเริ่มต้นด้วยเนื้อความให้อ่านละเอียดของ เมื่อครบถ้วนจึงจบด้วยประโยคใจความสำคัญ 3. ตอนกลางของย่อหน้า ย่อหน้าลักษณะนี้มีหลักการคือข้อความจะเริ่มต้น ด้วยการเสนอรายละเอียดของเรื่องไประยะหนึ่ง จากนั้นจึงแสดงสาระสำคัญด้วยประโยคใจความ สำคัญในช่วงกลางๆ ของย่อหน้า แล้วเขียนขยายความเรื่องนั้นเพิ่มเติมต่อไปจนกระทั่งสิ้นสุดย่อหน้า 4. ตอนต้นและตอนท้าย ย่อหน้าลักษณะนี้เริ่มต้นด้วยประโยคใจความสำคัญ ในตอนต้นจากนั้นเขียนขยายความต่อไป แล้วขมวดความเข้าสู่ประเด็นสำคัญ นพดล มนตรี (2561: 37) ได้กล่าวถึงหลักการอ่านจับใจความไว้ว่าการจับใจความ สำคัญจะต้องตั้งจุดมุ่งหมายในการอ่านให้ชัดเจน ใช้วิธีการอ่านเรื่องราววอย่างคร่าวๆ และเก็บความสำคัญของแต่ละย่อหน้า เมื่ออ่านจบให้ตั้งคำถามว่าเรื่องที่อ่านมีใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไรและนำสิ่งที่ได้มาสรุป เรียบเรียงใจความสำคัญด้วยสำนวนของตนเอง พัชรินทร์ บุตรสันเทียะ (2562: 45) ได้กล่าวถึงหลักการอ่านจับใจความไว้ว่า หลักการอ่านจับใจความผู้อ่านต้องอ่านจับใจความในแต่ละย่อหน้า โดยสังเกตว่าประโยคสำคัญอยู่ ตำแหน่งตอนต้น ตอนกลาง ตอนท้าย หรือตอนต้นและท้ายย่อหน้า จากนั้นผู้อ่านต้องสามารถตั้ง คำถามและตอบคำถามจากการอ่านได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ ทำไม แล้วสรุป ใจความโดยการเรียบเรียงเหตุการณ์ หากผู้อ่านพบว่าในแต่ละย่อหน้ามีใจความสำคัญเท่าๆ กัน ต้อง สรุปใจความสำคัญด้วยตนเอง และอ่านทบทวนเนื้อหาและภาษาที่ใช้อีกครั้งว่าถูกต้องหรือไม่ ณัฐวดี ปิ่นวิลัย (2563: 23) หลักการจับใจความสำคัญ จะต้องมีการตั้งจุดมุ่งหมาย การอ่านตั้งคำถาม และหาข้อสรุปหลังการอ่าน เพื่อวัดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน และ เป็นประโยชน์ในการหาข้อคิดหลักของเรื่องได้ถูกต้อง


18 จากการศึกษาหลักการอ่านจับใจความ ที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ว่า หลักการจับ ใจความสำคัญคือการอ่านเพื่อจับใจความหรือข้อคิด ความคิดสำคัญหลักของข้อความ หรือเรื่องที่ อ่านสามารถตั้งคำถามและตอบคำถามจากการอ่านได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ ทำไม แล้วสรุปใจความโดยเรียบเรียงเป็นภาษาของตนเอง 2.1.3.4 ประเภทของการอ่านจับใจความ ประเภทของการอ่านจับใจความ มีลักษณะที่ปรากฏหลายประการ นักวิชาการหลาย ท่านได้กล่าวถึงประเภทของการอ่านจับใจความไว้หลากหลาย ดังนี้ จินดารัตน์ ฉัตรสอน (2558: 21) ได้กล่าวถึงประเภทของการอ่านจับใจความ ไว้ว่า การอ่านจับใจความมี 2 ประเภท ได้แก่ การอ่านจับใจความส่วนรวม และการอ่านจับใจความสำคัญ โดยการอ่านจับใจความส่วนรวมเป็นการดูความสัมพันธ์ของเรื่อง ส่วนการอ่านจับใจความสำคัญเป็น การดูประเด็นแนวคิดหลักของเนื้อเรื่อง จุฬารัตน์ อินทร์อุดม (2561 :33) ได้กล่าวถึงประเภทของการอ่านจับใจความ ไว้ว่า การอ่านจับใจความสำคัญมี 2 ลักษณะใหญ่ คือ การอ่านจับใจความส่วนรวมกับการอ่านจับใจความ สำคัญ ซึ่งการอ่านทั้งสองนี้จะต้องมีความเกี่ยวเนื่องกัน เพราะหากผู้อ่านไม่สามารถจับประเด็น ใจความส่วนรวมได้ ก็ไม่สามารถอ่านจับใจความสำคัญได้ ณัฐวดี ปิ่นวิลัย (2563: 13) ประเภทของการอ่านจับใจความที่กล่าวมา สามารถ สรุปได้ว่าประเภทของการอ่านจับใจความมี 2 ประเภท คือ การอ่านจับใจความส่วนรวม และการ อ่านจับใจความสำคัญการอ่านใจความส่วนรวมเป็นการอ่านเพื่อมองลำดับความสัมพันธ์ของเรื่อง ส่วนการอ่านจับใจความสำคัญ เป็นการอ่านที่สามารถระบุข้อคิดและประเด็นหลักของเรื่องได้ ถูกต้อง จากการศึกษาประเภทของการอ่านจับใจความที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า ประเภทของการอ่านจับใจความสำคัญมี 2 ลักษณะ คือ 1. จับใจความส่วนรวมคือ การจับเฉพาะ ประเด็นสำคัญของเรื่องให้ทราบว่าเรื่องที่อ่านเป็นเรื่องอะไร เกี่ยวกับใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร 2. จับใจความสำคัญอย่างละเอียด คือ การทำความเข้าใจรายละเอียดอื่นๆ ที่อธิบายขยาย ความหรือเพิ่มเติมใจความสำคัญให้เด่นชัดยิ่งขึ้น 2.1.4 กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL- Plus 2.1.4.1 ความหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL- Plus การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL Plus เป็นแนวคิดของ คาร์และโอเกิ้ล (Carr and Ogle) ที่พัฒนาขึ้นในปีค.ศ. 1986 เพื่อนามาใช้เป็นยุทธวิธีในการสอนอ่านควบคู่กับการส่งเสริม ความคิดขณะที่อ่านโดยมีพื้นฐานมาจากเทคนิค KWL มีนักการศึกษาได้กล่าวถึงความหมายของการ จัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWL Plusไว้ ดังนี้


19 Eileen Carr แ ล ะ Donna Olge Carr and Ogle (1987, pp.626 -631) กล่าวว่า K ในกระบวนการ KWL Plus หมายถึง Know เป็นขั้นตอนที่นักเรียนตรวจสอบหัวข้อเรื่อง ว่าตนเองมีความรู้เกี่ยวกับหัวข้อเรื่องมากน้อยเพียงใด เป็นการนำความรู้เดิมมาใช้ เพราะการ เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับ ความรู้พื้นฐาน และประสบการณ์ของผู้เรียนเป็นสิ่งสำคัญในการจัดกิจกรรม ก่อนการอ่าน ซึ่งเป็นการเตรียมนักเรียนในการเรียนรู้เนื้อหาใหม่ การบูรณาการระหว่างความรู้ พื้นฐานและ เรื่องที่นักเรียนจะอ่านเป็นสิ่งที่ช่วยให้นักเรียนสามารถสร้างความหมายของบทอ่านได้ดี และผู้อ่าน ควรได้รับการกระตุ้นความรู้พื้นฐานให้เหมาะสม ดังนั้นในขั้นตอนนี้ทฤษฎีประสบการณ์ เดิม ซึ่งเป็นทฤษฎีว่าด้วยหลักการนำความรู้พื้นฐาน ความรู้เดิม และประสบการณ์เดิมมาใช้ในการ เรียนการสอนจึงเป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องและมีความสำคัญมาก W ในกระบวนการ KWL - Plus หมายถึง Want to know เป็นขั้นตอนที่ นักเรียนจะต้องถามตนเองว่าต้องการรู้อะไรในเนื้อเรื่องที่จะอ่านบ้าง ซึ่งคำถามที่นักเรียนสร้างขึ้น ก่อนการอ่านนี้ เป็นการตั้งเป้าหมายในการอ่าน และเป็นการคาดหวังว่าจะพบอะไรในบทอ่านบ้าง L ในกระบวนการ KWL - Plus หมายถึง Learned เป็นขั้นตอนที่นักเรียน สำรวจว่าตนเองได้เรียนรู้อะไรบ้างจากบทอ่าน โดยนักเรียนจะหาคาตอบให้กับคาถามที่ตนเองตั้งไว้ ในขั้นตอน W และจดบันทึกสิ่งที่ตนเองเรียนรู้ Plus หมายถึง การสร้างแผนภูมิรูปภาพความคิด และเขียนสรุปความ หลังการอ่าน วัชรา เล่าเรียนดีและคณะ (2560: 207 - 209) ได้ให้ความหมายของเทคนิค KWL - Plus ไว้ว่าเทคนิค KWL- Plus มีพื้นฐานมาจากเทคนิค KWL ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนที่ สำคัญคือ K ระบุสิ่งที่เรียนรู้ เรื่องที่รู้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำหนด หรือหัวเรื่องที่กำหนด (W) อยากรู้ อะไรบ้าง จากสิ่งหรือเรื่องที่กำหนดในขั้นแรกและ (L) เรียนรู้อะไรบ้างจากเรื่องที่กำหนด หลังจากอ่านเสร็จแล้วที่แตกต่างกันคือ KWL – Plus มีการเพิ่มเติมการทำแผนผัง มโนทัศน์ และการสรุปของเรื่องราวต่าง ๆ ที่อ่าน เมื่อจบกระบวนการ KWL แล้ว มาลินี สุทธิเวช (2561: 27) ได้ให้ความหมายของเทคนิค KWL - Plus ไว้ว่า เป็นการใช้กระบวนการคิดเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านโดยเน้นการใช้ความรู้เดิม โดยการสอนแบบ KWL Plus แบ่งเป็น 4 ขั้นตอนคือ K (Know) ต้องรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน W (Want to Know) ต้องการรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน L (Learned) เรียนรู้อะไรจากเรื่องที่อ่าน และ P (Plus) นำมาสรุปความเป็นแผนผังความคิด จากการศึกษาความหมายของเทคนิค KWL - Plus ที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ ว่า เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่นักเรียนจะต้องมีการระดมพลังสมองในกลุ่มใช้ ประสบการณ์เดิมขแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเพื่อนในกลุ่มและครูผู้สอน โดยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน คือ K (Know) ต้องรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน W (Want to Know) ต้องการรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่อง ที่อ่าน L (Learned) เรียนรู้อะไรจากเรื่องที่อ่าน และ P (Plus) นำมาสรุปความเป็นแผนผังความคิด


20 2.1.4.2 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ KWL- Plus วัชรา เล่าเรียนดี (2548, น. 146 - 147) กำหนดขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ด้วย เทคนิค KWL - PLUS ไว้ ดังนี้ 1. ขั้น K (Know) รู้อะไรจากเรื่องที่ให้อ่านหรือจากหัวเรื่องที่กำหนด ก่อนที่ครูจะให้ผู้เรียนอ่านรายละเอียดของเรื่องที่กำหนดให้ ครูอาจเสนอชื่อเรื่อง คำสำคัญของเรื่อง เพื่อถามคำถามว่ารู้อะไร จากคำหรือชื่อเรื่อง เพื่อจะให้ทราบว่านักเรียนมีความรู้เดิมที่เกี่ยวข้องกับ เรื่องที่อ่านให้นักเรียนระดมสมอง หาคำตอบ หรือให้ระบุคำต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชื่อเรื่อง / คำ / ความคิดรวบยอดที่ระบุ 2. ขั้น W (What do we want to learn) เราอยากรู้อะไรจากคำต่างๆ ที่ระบุในขั้น K โดยให้นักเรียนตั้งคำถามจากคำที่นำเสนอ ซึ่งคำถามจะมาจากความสนใจ ใคร่รู้ของ นักเรียนเองโดยที่นักเรียนจะต้องตอบลงในตารางตรงช่อง W ต่อจากนั้นให้นักเรียนอ่านเรื่องหรือบท อ่านที่กำหนดโดยละเอียด ตรวจสอบคำตอบ ข้อเท็จจริงที่ได้จากการอ่าน ระหว่างอ่านอาจมีคำถาม เพิ่มและมีการตอบโดยกลุ่ม 3. ขั้น L1 (What did we learn) เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง นักเรียนเขียน คำตอบลงในตารางตรงช่อง L ตรวจสอบว่ามีคำถามใดบ้างที่ยังไม่มีการตอบ 4. ขั้น L2 สร้างแผนผังความคิด (Mind Mapping) นักเรียนต้องกลับไปอ่าน ทบทวนจากขั้น K เพื่อจะได้จัดประเภทของสิ่งที่เรียนรู้โดยเขียนคำสำคัญไว้ตรงกลางแผนผัง ความคิดและโยงความสัมพันธ์กับคำสำคัญย่อยเพื่ออธิบายรายละเอียดของความคิดหลัก 5. ขั้น L3 ขั้นสรุป นักเรียนเขียนหมายเลขกำกับลำดับความคิดรวบยอด แผนผังความคิดเพื่อเขียนสรุป การสรุปในขั้นนี้เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนซึ่งจะบอก ถึงความเข้าใจในเรื่องที่อ่านของนักเรียน วิไลวรรณ สวัสดิวงศ์ (2547, น. 75) ที่ได้เสนอขั้นตอนของการจัดการเรียนรู้แบบ KWL - Plus ไว้ดังนี้ 1. ขั้น K (What do I know) ขั้นตอนนี้ก่อนที่นักเรียนจะอ่านเรื่อง ครูอธิบาย ความคิดรวบยอดของเรื่องและกำหนดคำถามโดยครูกระตุ้นหรือถามให้นักเรียนได้ระดมสมอง (Brainstorms) เกี่ยวกับสิ่งที่นักเรียนรู้แล้วและนำข้อมูลที่ได้มาจำแนก แล้วเขียนคำตอบของ นักเรียนในแผนภูมิรูปภาพช่อง K (What do I know) หลังจากนั้นนักเรียนและครูร่วมกันจัด ประเภทความรู้ที่คาดการณ์ว่าอาจเกิดขึ้นในเรื่องที่จะอ่าน 2. ขั้น W (What do I want to learn) ในขั้นตอนนี้นักเรียนค้นหาความจริง จากคำถามในสิ่งที่สนใจอยากรู้ หรือคำถามที่ยังไม่มีคำตอบเกี่ยวกับความคิดรวบยอดของเรื่อง พร้อมทั้งให้นักเรียนเขียนรายการคำถามที่ตั้งไว้ ในระหว่างอ่านนักเรียนสามารถเพิ่มคำถามและ คำตอบในกลุ่มของตัวเองได้


21 3. ขั้น L1 (What did I learn) ในขั้นตอนนี้นักเรียนบันทึกความรู้ที่ได้ ระหว่างการอ่านและหลังการอ่าน ลงในช่อง L (What did I learn) พร้อมทั้งตรวจสอบคำถามที่ยัง ไม่ได้ตอบ 4. ขั้น L2 (Mapping) นักเรียนนำข้อมูลที่ได้จัดประเภทไว้ในขั้นตอน K (What do I know) เขียนชื่อเรื่องไว้ในตำแหน่งตรงกลางและเขียนองค์ประกอบหลักของแต่ละ หัวข้อ พร้อมทั้งเขียนอธิบายเพิ่มเติมในแต่ละประเด็น 5. ขั้น L3 (Summarizing) ขั้นตอนนี้นักเรียนช่วยกันสรุปและเขียนสรุป ความคิดรวบยอดจากแผนภูมิความคิดซึ่งการเขียนในขั้นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อครูและนักเรียนในการ ประเมินความเข้าใจของนักเรียน มาลินี สุทธิเวช (2561: 31) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ของเทคนิค KWL - Plus ไว้ว่า ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus มี 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 กิจกรรมก่อนอ่าน ขั้น K นักเรียนเชื่อมโยงความรู้เดิมกับเรื่องที่ครูจะ ให้อ่าน ครูกระตุ้นตั้งคำถามให้นักเรียนระดมสมอง เพื่อค้นหาสิ่งที่นักเรียนรู้ แล้วเขียนบันทึกสิ่งที่รู้ ในตารางช่อง K ขั้นที่ 2 กิจกรรมระหว่างการอ่าน ขั้น W ให้นักเรียนร่วมกันตั้งคำถามจาก หัวข้อเรื่องที่ครูกำหนดให้ พร้อมทั้งเขียนบันทึกคำถามไว้ในตารางช่อง W ขั้นที่ 3 กิจกรรมหลังการอ่าน ขั้น L นักเรียนตรวจสอบผลการอ่านของตนเอง สรุปรายละเอียด พร้อมทั้งตอบคำถามจากเรื่องที่อ่าน และบันทึกความรู้ที่ได้ไว้ในตารางช่อง L ขั้นที่ 4 สร้างแผนภาพความคิด ขั้น Plus นักเรียนสรุปความสำคัญของเรื่องที่ อ่าน แล้วจัดทำเป็นแผนภาพความคิด มิ่งขวัญ สุขสบาย (2562 :32) ได้กล่าวว่า KWL - Plus ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ 4 ขั้นตอน คือ 1. ขั้นกิจกรรมเตรียมการอ่าน นักเรียนรู้อะไร หรือขั้น K (What we know) เป็นขั้นที่ครูใช้กิจกรรมที่เร้าความสนใจของผู้เรียนเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่เนื้อหาที่จะอ่าน โดยครูใช้การ สนทนาซักถามให้นักเรียนร่วมกันระดมสมองเกี่ยวกับสิ่งที่อ่านว่ามีความรู้เกี่ยวกับหัวข้อนี้อย่างไร แล้วบันทึกลงในช่อง K 2. ขั้นกิจกรรมระหว่างอ่าน นักเรียนต้องการรู้อะไร หรือขั้น W (What we want to know) ให้นักเรียนตั้งคำถามในสิ่งที่ตนเองต้องการรู้ซึ่งคำถามอาจจะมาจากการอภิปราย แล้วบันทึกคำถามเหล่านั้นลงในช่อง W 3. ขั้นกิจกรรมหลังการอ่าน นักเรียนได้เรียนรู้อะไรหรือขั้น L1 (What we have learned) เมื่อนักเรียนพบคำตอบที่ตั้งไว้ให้บันทึกลงช่อง L ทบทวนคำตอบ ให้นักเรียน อภิปรายถึงสิ่งที่รู้มาทั้งหมดและจัดประเภทของข้อมูลหาความสัมพันธ์ของข้อมูลหลังจากนี้จะเป็น กิจกรรมเพิ่มเติมในขั้นตอนหลักของ KWL


22 4. ขั้นกิจกรรมการสร้างแผนผังความคิด (Mind Mapping) และการเขียนสรุป ความ (Summarizing) นักเรียนนำความรู้ที่ได้ มาจัดประเภทข้อมูลเพื่อหาความสัมพันธ์ของข้อมูล แล้วนำมาเขียนเป็นผังความคิดและเขียนสรุปความตามแผนผังความคิด ซึ่งวิธีการสอนดังกล่าวครู ควรอธิบายวิธีการดำเนินกิจกรรมให้นักเรียนเข้าใจ ให้ความรู้เกี่ยวกับแผนผังความคิด กระตุ้นให้ นักเรียนตั้งคำถามและค้นหาคำตอบ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติตามขั้นตอนของ KWL - Plus อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการเสริมแรงหรือให้กำลังใจผู้เรียน ผู้วิจัยได้สรุปขั้นตอนของวิธี KWL - Plus เพื่อใช้ในการทดลอง ดังนี้ 4.1 ขั้นกิจกรรมเตรียมการอ่าน K (What we know) นักเรียนรู้อะไร ครูตั้งคำถามให้นักเรียนระดมสมองเกี่ยวกับสิ่งที่อ่าน 4.2 ขั้นกิจกรรมระหว่างอ่าน W (What we want to know) นักเรียน ต้องการรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ให้นักเรียนอ่านแล้วค้นหาคำตอบ 4.3 ขั้นกิจกรรมหลังการอ่าน L (What we have learned) นักเรียนได้ เรียนรู้อะไร ให้นักเรียนตอบคำถามจากการอ่าน 4.4 ขั้นกิจกรรมการสร้างแผนผังความคิดและการเขียนสรุปความ (Mind Mapping and Summarizing) Buehl (2004, อ้างถึงใน วัชรา เล่าเรียนดี 2553, น. 145) เสนอขั้นตอนไว้ 7 ขั้น ดังนี้ ขั้นที่ 1 ระบุสิ่งที่นักเรียนจะระลึกว่านักเรียนรู้สิ่งในช่อง K ในขั้นนี้นักเรียนจะ ระลึกว่านักเรียนรู้อะไรบ้างหรือคิดว่ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่านซึ่งครูจะถามนักเรียนทีละคน เพื่อเชื่อมต่อรายละเอียดของเรื่องจากความคิดของแต่ละคน และบันทึกสิ่งที่นักเรียนรู้ไว้ในช่อง K - What we know ขั้นที่ 2 ระบุว่านักเรียนต้องการเรียนรู้อะไร ลงในช่อง W ขั้นนี้ใช้คำถาม นักเรียนเกี่ยวกับหัวข้อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล อาจเป็นคำถามข้อมูลที่บันทึกไว้ในช่อง หรืออาจเป็น คำถามสิ่งที่นักเรียนสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่จะอ่าน และบันทึกคำถามลงในช่อง W - What do I want to learn ขั้นที่ 3 จัดประเภทความรู้และสิ่งที่ต้องรู้แนะนานักเรียนเพื่อตัดสินใจในการ จัดประเภท รายการต่างๆ ของข้อมูลลงในช่อง K และช่อง W ประเภทของข้อมูลที่นักเรียนคาดว่า จะใช้ เช่น แบ่ง สถานที่ สาเหตุ เหตุผลที่เกิดขึ้น การจัดระบบข้อมูลเป็นขั้นตอนแรกที่จะทำให้ นักเรียนสามารถสรุปได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้นักเรียนมองเห็นข้อมูลที่ไม่สามารถจัดเข้า กลุ่มได้ ขั้นที่ 4 การอ่านบทความ (Fead the Article) ในขณะที่นักเรียนอ่านเรื่อง นักเรียนจะค้นหาคำตอบและขยายความเข้าใจต่อเรื่อง ครูควรกระตุ้นการตั้งคำถาม เพื่อตอบคำถาม ข้อมูลใหม่บันทึก ความรู้ไว้ในช่อง L - What we have learn


23 ขั้นที่ 5 ระบุข้อมูลใหม่ หลังการอ่านนักเรียนระบุข้อมูลใหม่ที่ค้นพบจากการ อ่านข้อมูลที่ได้ใหม่นี้นักเรียนนำไปรวมกับประเภทของข้อมูลที่ได้จัดข้อมูลใหม่ที่ค้นพบจากการอ่าน ข้อมูลที่ได้ใหม่นี้นักเรียนจะนำไปรวมกับกับประเภทของข้อมูลที่ได้จัดประเภทของข้อมูลไว้แล้วหาก มีความจำเป็นอาจจัดประเภทของข้อมูลเพิ่มเติม ขั้นที่ 6 สร้างแผนภาพความคิด หลังจากที่นักเรียนได้เติมข้อความในแผนภาพ ตามตาราง KWL สมบูรณ์แล้ว นักเรียนแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มนำข้อมูลที่ได้จัดประเภทไว้มาสร้าง แผนภูมิรูปภาพความคิด ซึ่งแผนภูมิรูปภาพความคิดนี้จะช่วยให้นักเรียนมองเห็นภาพรวมของเรื่องที่ ได้อ่านและช่วยสังเคราะห์สรุปผลการเรียนรู้จากการอ่านได้ดียิ่งขึ้น ขั้นที่ 7 ระบุสิ่งที่จะศึกษาต่อในอนาคต หลังจากนักเรียนได้สร้างแผนภูมิ ความคิดเสร็จสมบูรณ์ นักเรียนเกิดความกระจ่างชัดในสิ่งที่นักเรียนรู้และตัดสินใจที่จะเพิ่มข้อมูล สำหรับคำถามในช่อง W ที่ยังไม่สามรถหาคำตอบได้ ได้จัดเตรียมการอ่านเพื่อการศึกษาค้นคว้า ต่อไป จากการศึกษาการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ KWL - Plus ที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้แบบ KWL - Plus สามารถนำมาใช้ในการจัดการเรื่องที่นักเรียน ต้องอ่าน คิด และทำความเข้าใจ เรื่องที่อ่านไว้สำหรับฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการ แก้ปัญหา และการคิดแบบต่างๆ ได้ โดยคงสาระและขั้นตอนการจัดกิจกรรมตามขั้นตอนของ KWL โดยเพิ่มเติม ในส่วนของการทำแผนผังความคิด(Mapping) และการสรุปใจความสำคัญของเรื่องที่ อ่าน อ่านเพื่อ ความเข้าใจและการสรุปความที่มีขั้นตอนเป็นกระบวนการโดยมีขั้นตอน4 ขั้นตอนคือ 1. K -What we know หมายถึง ความรู้ที่มีอยู่แล้ว 2. W = Want to Know หมายถึง สิ่งที่ ต้องการรู้จากการอ่าน 3. L - What we have learn หมายถึง สิ่งที่รู้หลังจากการอ่าน 4. Plus = หมายถึงการเขียนแผนภูมิและการเขียนสรุปความ 2.1.5 การหาประสิทธิภาพและดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.1.5.1 ประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ เผชิญ กิจระการ (2544 : 44-51) ได้สรุปถึง การหาประสิทธิภาพของสื่อ เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) บทเรียนโปรแกรม ชุดการสอน แผนการสอน แบบฝึก ทักษะ เป็นต้น ส่วนมากใช้วิธีการหาค่าประสิทธิภาพเชิงประจักษ์ (Empirical Approach) วิธีการนี้ จะนำสื่อไปทดลองใช้กับกลุ่มนักเรียนเป้าหมาย การหาประสิทธิภาพของสื่อ ประสิทธิภาพที่ส่วน ใหญ่จะพิจารณาจากเปอร์เซ็นการทำแบบฝึกหัดหรือกระบวนการเรียน หรือแบบทดสอบย่อย โดยแสดงเป็นตัวเลข 2 ตัว เช่น E1 /E2 = 80/80, E1/E2 = 85/85, E1/E2 = 90/90 เป็นต้น เกณฑ์ประสิทธิภาพ (E1 /E2) มีความหมายแตกต่างกันหลายลักษณะ ในที่นี้จะยกตัวอย่าง E1 /E2 = 80/80 ดังนี้ 1.1 เกณฑ์ 80/80 ในความหมายที่ 1 ตัวเลย 80 ตัวแรก (E1) คือนักเรียน ทั้งหมดทำแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบย่อยได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ถือว่าเป็นประสิทธิภาพของ


24 กระบวนการส่วน 80 ตัวหลัง (E2) คือ นักเรียนทั้งหมดที่ทำแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ส่วนการหาค่า E1 และ E2 ดังนี้ E = [ ∑ x N (100) A ] เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้ ∑ x แทน คะแนนรวมของผู้เรียนจากแบบทดสอบย่อยระหว่างเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบ N แทน จำนวนผู้เรียน E = [ ∑ F N (100) B ] เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ∑ x แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบหลังเรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบ N แทน จำนวนผู้เรียน 1.2 เกณฑ์ 80/80 ในความหมายที่ 2 ตัวเลข 80 ตัวแรก คือ จำนวน นักเรียนร้อยละ 80 ทำแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) ได้คะแนนร้อยละ 80 ทุกคน ส่วนตัวเลข 80 หลัง (E2) คือนักเรียนทั้งหมดทำแบบทดสอบหลังเรียนครั้งนั้น ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 เช่น มีนักเรียน 40 คน ร้อยละ 80 ของนักเรียนทั้งหมด คือ 32 คน แต่ละคนได้คะแนนจากการ ทดสอบหลังเรียนของนักเรียนทั้งหมด (40 คน) ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 1.3 เกณฑ์ 80/80 ในความหมายที่ 3 ตัวเลข 80 ตัวแรก (E1) คือ จำนวน นักเรียนทั้งหมดทำแบบทดสอบหลัง (Post-test) ได้คะแนนร้อยละ 80 ทุกคน ส่วนตัวเลข 80 ตัว หลัง (E2) คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 80 ที่นักเรียนทำเพิ่มจากแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) โดยเทียบกับคะแนนที่ทำก่อนการเรียน (Pre-test) 1.4 เกณฑ์ 80/80 ในความหมายที่ 4 ตัวเลข 80 ตัวแรก (E1) คือ จำนวน นักเรียนทั้งหมดทำแบบทดสอบหลัง (Post-test) ได้คะแนนร้อยละ 80 ส่วนตัวเลข 80 ตัวหลัง (E2) หมายถึงนักเรียนทั้งหมดที่ทำแบบทดสอบหลังเรียนแต่ละข้อมีจำนวนร้อยละ 80 ถ้านักเรียน


25 ทำข้อสอบข้อใดมีจำนวนนักเรียนไม่ถึงร้อยละ 80 แสดงว่า สื่อไม่มีประสิทธิภาพ และชี้ให้เห็นว่า จุดประสงค์ที่ตรงกับข้อนั้นมีความบกพร่อง) สรุปว่าเกณฑ์ในการหาประสิทธิภาพของสื่อการเรียนการสอนจะนิยมตั้งเป็นตัวเลข 3 ลักษณะ คือ 80/80, 85/85และ 90/90 ทั้งนี้อยู่กับธรรมชาติของวิชา และเนื้อหาที่นำมา สร้างสื่อนั้น ถ้าเป็นวิชาที่ค่อนข้างยากก็อาจจะตั้งเกณฑ์ไว้ 80/80 หรือ 85/85 สำหรับเนื้อหาที่ ง่ายก็อาจจะตั้งเกณฑ์ไว้90/90 เป็นต้น เมื่อคำนวณแล้วค่าที่ถือว่าใช้ได้ คือ 87.50/87.50 หรือ 87.50/90 เป็นต้น 2.1.5.2 ดัชนีประสิทธิผลแผนการเรียนรู้ ตัวเลขที่แสดงความก้าวหน้าทางการเรียนของผู้เรียน โดยเปรียบเทียบคะแนนที่ เพิ่มขึ้นจากคะแนนการทดสอบก่อนเรียนกับคะแนนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียนและคะแนนเต็ม หรือคะแนนสูงสุดกับคะแนนที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนเมื่อมีการประเมินสื่อการสอนที่ผลิตขึ้นดู ประสิทธิผลทางการสอนและการวัดประเมินผลสื่อการสอนนั้น ตามปกติการหาค่าความแตกต่างของ คะแนนใน 2 ลักษณะ คือ ความแตกต่างของคะแนนทดสอบก่อนเรียนและคะแนนทดสอบหลังเรียน หรือการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมได้กำหนดสูตรค่าดัชนี ประสิทธิผลไว้ดังนี้ (เผชิญ กิจระการ. 2544: 31-33) ดัชนีประสิทธิผล (E.I) = ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียน − ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน (จำนวนนักเรียน × คะแนนเต็ม) – ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน หรือ (E.I) = p2− p1 100− p1 เมื่อ E.I แทน ดัชนีประสิทธิผล P2 แทน ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียน P1 แทน ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน 100 แทน คะแนนสูงสุดที่นักเรียนสามารถทำได้ ดัชนีประสิทธิผลสามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อประเมินสื่อ โดยเริ่มจากการทดสอบก่อน เรียนซึ่งเป็นตัววัดว่าผู้เรียนมีความรู้พื้นฐานอยู่ในระดับใด รวมถึงการวัดทางด้านความเชื่อเจตคติ และความตั้งใจของผู้เรียนนำคะแนนที่ได้จากการทดสอบมาแปลงให้เป็นค่าร้อยละค่าคะแนนสูงสุดที่ เป็นไปได้จากนั้นนำนักเรียนเข้ารับการทดลอง เสร็จแล้วทำแบบทดสอบหลังเรียน นำคะแนนที่ได้มา หาค่าดัชนีประสิทธิผล โดยนำคะแนนก่อนเรียนไปลบจากคะแนนหลังเรียนได้เท่าใดนำมาหารด้วย ค่าที่ได้ จากการทดสอบก่อนเรียนสูงสุดที่ผู้เรียนจะสามารถทำได้ ลบด้วยคะแนนทดสอบก่อนเรียน โดยทำให้อยู่ในรูปร้อยละ


26 2.1.6 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.1.6.1 ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชนิดา ยอดสาลี และกาญจนา บุทส่ง (2559: 13) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงวามรู้หรือทักษะที่ต้องใช้สติปัญญา และสมรรถภาพทางสมองที่ได้รับมาจากการอบรมสั่ง สอน แสดงออกมาในรูปของความสำเร็จ สามารถวัดได้จากการแสดงออกมาทั้ง 3 ด้าน คือพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย ด้านทักษะพิสัย และใช้แบบทดสอบความสามารถในการเรียนรู้เกี่ยวกับเนื้อหา วิชาที่เรียน สุดา มากบุญ (2559) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ ความสามารถที่บุคคลจะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้น อันเกิดจากกระบวนในการแสวงหาความรู้โดยวิธีการ สอนและอบรม ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถทางสมอง ความรู้ทักษะ ความรู้สึก ค่านิยมต่างๆ Good (1973, p.7 อ้างถึงใน ณัฏฐ์ชญา อินพูลวงษ์, 2559) ได้กล่าวถึงความหมาย ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จ หรือความสามารถ ในการแสดงออกที่ได้รับจากทักษะหรือองค์ประกอบจากการเรียน Eysenck, Arnold and Meili (1972 อ้างถึงใน กนกภรณ์ เทสินทโชติ, 2560) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ หมายถึง ขนาดของความสำเร็จที่ได้จากการทำงานที่ต้องอาศัย ความพยายามอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำที่ต้องอาศัยความสามารถทั้งทางร่างกายและ ทางสติปัญญา กล่าวสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถที่บุคคลจะ พัฒนาให้ดีขึ้นที่เกิดจากกระบวนการแสวงหาความรู้โดยวิธีการสอน ซึ่งประกอบด้วยการแสดงออก ทางความสามารถด้านทักษะและความรึความเข้าใจ 2.1.6.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดผลสัมฤทธิ์ในการเรียน หากพิจารณาตามจุดมุ่งหมายและลักษณะของ เนื้อหาวิชา จะมีการวัด 2 ด้าน คือการวัดในด้านการปฏิบัติ และการวัดในด้านเนื้อหาวิชา ซึ่งต้องอาศัยเครื่องมือในการวัดหลายชนิดเข้ามาช่วยในการวัด จึงจะสามารถวัดได้อย่างถูกต้องและ ครบถ้วน เยาวดี วิบูลย์ศรี (2540: 14) ได้กล่าวว่า แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์เป็นเครื่องมือ สำหรับช่วยให้ครูสามารถตัดสินผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ เพราะเป็นวิธีการ ประเมินพฤติกรรมของนักเรียนที่มีความเป็นอิสระได้มากกว่าวิธีอื่น เมื่อเทียบกับกระบวนการเรียนรู้ ที่มีอยู่ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ที่ใช้ในโรงเรียน มุ่งวัดความรู้ในแต่ละวิชาและทักษะต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์พื้นฐานที่สำคัญ 2 ประการ คือ 1. เพื่อเป็นเครื่องมือในการวัดผลสัมฤทธิ์ของ นักเรียนอันเป็นข้อมูลที่ได้รับสำหรับ การประเมินผลการเรียนการสอนเป็นรายบุคคล 2. เพื่อเป็น การตรวจสอบความสามารถของนักเรียน แต่ละคน ซึ่งมีความแตกต่างกันในธรรมชาติ


27 สมบูรณ์ ตันยะ (2545: 143) ได้ให้ความหมายว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนเป็นแบบทดสอบที่ใช้สำหรับวัดพฤติกรรมทางสมองของผู้เรียน ว่ามีความรู้ ความสามารถในเรื่องที่เรียนรู้มาแล้ว หรือได้รับการฝึกฝนอบรมมาแล้ว สมพร เชื้อพันธ์ (2547: 59) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบหรือชุดของข้อสอบที่ใช้วัดความสำเร็จ หรือความสามารถในการทำกิจกรรม การเรียนรู้ของนักเรียนที่เป็นผลมาจาก การจัดกิจกรรมการเรียนการรู้ของครูผู้สอน ผ่านจุดประสงค์ การเรียนรู้ที่ตั้งไว้มากน้อยเพียงใด บุญชม ศรีสะอาด (2556: 53) กล่าวว่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของบุดคลในด้านวิชาการ ซึ่งเป็นผลจาก การเรียนรู้ในเนื้อหาสาระ และตามจุดประสงค์ของวิชาหรือเนื้อหาที่สอน โดยทั่วไปจะวัดผลสัมฤทธิ์ ในวิชาต่าง ๆ สามารถจำแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. แบบทดสอบอิงเกณฑ์ (Criterion Referenced Test) หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้นตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม มีคะแนนจุดตัด หรือคะแนนเกณฑ์ สำหรับใช้ตัดสินว่าผู้สอบมีความรู้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้หรือไม่ การวัดตรงตาม จุดประสงค์เป็นหัวใจสำคัญของข้อสอบในแบบทดสอบประเภทนี้ 2. แบบทคสอบอิงกลุ่ม (NomReferenced Test) หมายถึง แบบทดสอบที่มุ่งสร้างเพื่อวัดให้ครอบคลุมหลักสูตร จึงสร้างตาม ตารางวิเคราะห์หลักสูตร ความสามารถในการจำแนกผู้สอบตามความเก่งอ่อนได้ดีเป็นหัวใจสำคัญ ของข้อสอบประเภทนี้ การรายงานผลการสอบอาศัยคะแนนมาตรฐาน ซึ่งเป็นคะแนนที่สามารถให้ ความหมายแสดงถึงสถานภาพความสามารถของบุคคลนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลอื่นๆ ที่ใช้เป็น กลุ่มเปรียบเทียบ โดยทั่วไปจะวัดผลสัมฤทธิ์ใน วิชาต่างๆ ที่เรียนตามโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาต่างๆ และให้หลักการเกี่ยวกับการสร้างแบบทดสอบชนิดเลือกตอบไว้ กล่าวสรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง เครื่องมือที่ใช้ สำหรับวัดและประเมินพฤติกรรม และความสามารถในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนที่เป็น ผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอน 2.1.6.3 ขั้นตอนการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2554: 97-98) ได้กล่าวถึงขั้นตอนในการสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ ดังนี้ 1. วิเคราะห์หลักสูตรและการสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร 2. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ 3. กำหนดชนิดของข้อสอบและศึกษาวิธีสร้าง 4. เขียนข้อสอบ 5. ตรวจทานข้อสอบ


28 6. จัดพิมพ์แบบทดสอบฉบับทดลอง 7. ทดลองและวิเคราะห์ข้อสอบ 8. จัดทำข้อสอบฉบับจริง สุทธิวรรณ พีรศักดิ์โสภณ (2557) ได้กล่าวถึงขั้นตอนในการสร้างแบบทดสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ ดังนี้ 1. กำหนดจุดมุ่งหมายของการสอบให้แน่ชัดว่าจะสอบเพื่ออะไร สอบกับใคร ในระดับชั้นใด 2. กำหนดลักษณะของสิ่งที่จะวัดในการสร้างเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนผู้วัดต้องรู้ว่าสิ่งที่ต้องการจะวัดนั้นคืออะไร เช่น ต้องการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิต ศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วัดจะต้องรู้ว่าในสาระของกลุ่มวิชาคณิตศาสตร์นี้มี จุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนอย่างไร ประกอบด้วยเนื้อหาใดบ้างต้องการให้ผู้เรียนบรรลุ พฤติกรรมใดบ้าง พฤติกรรมเหล่านั้นเป็นอย่างไร ต้องกำหนดให้ชัดเจน ซึ่งอาจศึกษาค้นคว้าจาก เอกสาร ตำรา และทฤษฎีต่าง ๆ ได้ในขั้นตอนนี้เราอาจพิจารณาจากตารางวิเคราะห์หลักสูตรที่ได้ จัดทำไว้ 3. กำหนดชนิดของเครื่องมือที่ใช้ในการวัด ในการกำหนดชนิดของเครื่องมือที่ ใช้วัดนั้น พิจารณาจากคุณลักษณะของสิ่งที่เราจะวัดว่า คืออะไร ซึ่งดูได้จากตารางวิเคราะห์หลักสูตร และต้องดูด้วยว่าใช้วัดพฤติกรรมใด จะวัดกับใคร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไรด้วย เพราะเครื่องมือที่ใช้วัด มีหลายชนิดแต่ละชนิดก็เหมาะกับคุณลักษณะที่จะวัดต่างกัน ดังนั้นผู้สร้างต้องรู้ลักษณะของ เครื่องมือแต่ละชนิดด้วย 4. เขียนข้อสอบ เมื่อกำหนดได้แล้วถึงชนิดของเครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ ก็ เริ่มลงมือเขียนข้อสอบ โดยเขียนให้สอดคล้องกับคุณลักษณะหรือพฤติกรรมที่ต้องการจะวัด และให้ ถูกต้องตาม หลักวิชาของการเขียนข้อสอบแต่ละชนิดด้วย 5. ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบแก้ไข เมื่อเขียนข้อสอบเสร็จแล้วควรให้ ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญควรประกอบด้วยบุคคล 2 ฝ่าย คือ ผู้เชี่ยวชาญใน เนื้อหาสาระวิชา และผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ทางด้านวัดผลเป็นผู้พิจารณาคำถามและคำตอบว่า ถูกต้องตามหลักวิชาหรือไม่ ข้อสอบวัดได้ตรงตาม จุดประสงค์หรือไม่ อีกทั้งภาษาที่ใช้ในการเขียน ข้อสอบถูกต้องตามหลักวิชาหรือไม่ 6. การทดลองใช้ข้อสอบ หลังจากที่ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาตรวจสอบแก้ไข แล้วก็นำแบบทดสอบไปทดลองใช้ แล้วนำผลจากการทดลองมาวิเคราะห์เพื่อหาคุณภาพและพัฒนา แบบทดสอบต่อไป ในการทดลองใช้อาจต้องทำหลาย ๆ ครั้ง จนสามารถพัฒนาแบบทดสอบได้มี คุณภาพเป็นที่พอใจจึงนำไปใช้จริงในการสอบต่อไป


29 7. สร้างเกณฑ์ในการแปลความหมายคะแนน การสร้างเกณฑ์ในการแปล ความหมายคะแนนก็เพื่อต้องการบอกให้ทราบว่า ถ้าบุคคลใดสอบได้คะแนนเท่าไร เขาจะเป็นผู้ที่มี ความสามารถหรือมีลักษณะพฤติกรรมอย่างไร 8. การเขียนรายงานและคู่มือการใช้การเขียนรายงานและคู่มือการใช้จะทำให้ ผู้นำไปใช้ได้รู้ถึงขั้นตอนในการสร้างแบบทดสอบนั้น และรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินกาสอบว่า จะปฏิบัติอย่างไร คะแนนที่แต่ละคนสอบได้จะแปลความหมายอย่างไร ซึ่งจะเป็นข้อมูลให้ผู้ใช้ เลือกใช้แบบทดสอบได้เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายในการสอบด้วย กล่าวโดยสรุป การสร้างแบบทดสอบ ต้องมีการวางแผนให้รอบคอบ คำนึงถึง ศักยภาพของผู้เรียน เป็นสำคัญต้องมีการวิเคราะห์หลักสูตรและการสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตร กำหนดจุดประสงค์ การเรียนรู้ กำหนดชนิดของข้อสอบและศึกษาวิธีสร้างเขียนข้อสอบ ตรวจทาน ข้อสอบให้ละเอียด 2.1.6.4 ลักษณะของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ที่ดี แบบทดสอบที่ดีมีคุณภาพย่อมทำให้ผลการวัดที่ได้มีความถูกต้อง แต่ถ้าแบบทดสอบ มีคุณภาพไม่ดีย่อมทำให้ผลการวัดมีความผิดพลาด ดังนั้นในการวัดผลการศึกษาคุณภาพของ เครื่องมือย่อมเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ (สิริพร ทิพย์คง, 2545: 195; พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2545: 135 – 161) ได้กล่าวถึงลักษณะของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดีไว้ดังนี้ 1. ความเที่ยงตรงเป็นแบบทดสอบที่สามารถนำไปวัดในสิ่งที่เราต้องการวัดได้ อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการวัด 2. ความเชื่อมั่น แบบทดสอบที่มีความเชื่อมั่น คือ สามารถวัดได้คงที่ไม่ว่าจะ วัดกี่ครั้งก็ตาม เช่น ถ้านำแบบทดสอบไปวัดกับนักเรียนคนเดิมคะแนนจากการสอบทั้งสองครั้งควรมี ความสัมพันธ์กันดี เมื่อสอบได้คะแนนสูงในครั้งแรกก็ควรได้คะแนนสูงในการสอบครั้งที่สอง 3. ความเป็นปรนัย เป็นแบบทดสอบที่มีคำถามชัดเจน เฉพาะเจาะจงความ ถูกต้องตาม หลักวิชา และเข้าใจตรงกัน เมื่อนักเรียนอ่านคำถามจะเข้าใจตรงกัน ข้อคำถามต้อง ชัดเจนอ่านแล้วเข้าใจตรงกัน 4. การถามลึก หมายถึง ไม่ถามเพียงพฤติกรรมขั้นความรู้ความจำ โดยถาม ตามตำรา หรือถามตามที่ครูสอน แต่พยายามถามพฤติกรรมขั้นสูงกว่าขั้นความรู้ความจำได้แก่ ความเข้าใจ การนำไปใช้การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า 5. ความยากง่ายพอเหมาะ หมายถึง ข้อสอบที่บอกให้ทราบว่าข้อสอบข้อนั้นมี คนตอบถูกมากหรือตอบถูกน้อย ถ้ามีคนตอบถูกมากข้อสอบข้อนั้นก็ง่ายและถ้ามีคนตอบถูกน้อย ข้อสอบข้อนั้นก็ยาก ข้อสอบที่ยากเกินความสามารถของนักเรียนจะตอบได้นั้นก็ไม่มีความหมาย เพราะไม่สามารถจำแนกนักเรียนได้ว่าใครเก่งใครอ่อน ในทางตรงกันข้ามถ้าข้อสอบง่ายเกินไป นักเรียนตอบได้หมดก็ไม่สามารถจำแนกได้เช่นกัน ฉะนั้นข้อสอบที่ดีควรมีความยากง่ายพอเหมาะ ไม่ยากเกินไปไม่ง่ายเกินไป


30 6. อำนาจจำแนก หมายถึง แบบทดสอบนี้สามารถแยกนักเรียนได้ว่าใครเก่ง ใครอ่อนโดย สามารถจำแนกนักเรียนออกเป็นประเภท ๆ ได้ทุกระดับอย่างละเอียดตั่งแต่อ่อนสุด จนถึงเก่งสุด 7. ความยุติธรรม คำถามของแบบทดสอบต้องไม่มีช่องทางชี้แนะให้นักเรียนที่ ฉลาดใช้ไหวพริบในการเดาได้ถูกต้องและไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่เกียจคร้านซึ่งดูตำราอย่างคร่าวๆ ตอบได้ และต้องเป็นแบบทดสอบที่ไม่ลำเอียงต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง สุทธิวรรณ พีรศักดิ์โสภณ (2557) ได้กล่าวถึงลักษณะของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ที่ ดีไว้ ดังนี้ 1. ความเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง การวัดในสิ่งที่ต้องการจะวัดได้อย่าง ถูกต้อง 2. ความเชื่อมั่น (Reliability) หมายถึง การวัดที่ให้ผลแน่นอน สม่ำเสมอ คง เส้นคงวา (Consistency) เป็นที่มั่นใจหรือเชื่อถือในผลที่วัดได้จริง ถึงแม้จะมีการวัดซ้ำอีกผลที่ได้ก็ ย่อมแน่นอนไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม 3. ความเป็นปรนัย (Objectivity) หมายถึง ความแจ่มชัดของคำถามที่ทำให้ ผู้ตอบเข้าใจ ความหมายได้ถูกต้องตรงกัน ข้อคำถามที่มีความเป็นปรนัยต้องมีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ 1. ข้อคำถามมีความชัดเจนว่าต้องการถามอะไร 2. การตรวจให้คะแนนได้ตรงกันไม่ว่าจะให้ใครตรวจก็ตาม 3. คะแนนที่ได้สามารถแปลความหมายได้ตรงกัน 4. อำนาจจำแนก (Discrimination) เป็นความสามารถในการแยกหรือจำแนก บุคคลที่มี คุณลักษณะ หรือความสามารถแตกต่างกันออกจากกันได้ 5. ความยากพอเหมาะ (Difficulty) เป็นคุณลักษณะของข้อสอบที่ไม่ยาก เกินไปหรือง่ายเกินไป 6. วัดอย่างลึกซึ้ง (Searching) หมายความว่า ลักษณะของคำถามวัดได้ ครอบคลุมพฤติกรรมที่ต้องการวัด และไม่เป็นคำถามที่วัดแต่เพียงความรู้ความจำอย่างเดียว 7. ยุติธรรม (Fair) เป็นลักษณะของคำถามที่ไม่ถามเพื่อเปิดโอกาสให้คนกลุ่ม ใดกลุ่มหนึ่งหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้เปรียบในการตอบมากกว่าคนในกลุ่มหนึ่งหรือบุคคลหนึ่ง 8. มีความจำเพาะเจาะจง (Definite) ไม่ถามหลายแง่หลายมุมในข้อเดียวกัน ควรถามคำถามเดียวในแต่ละข้อ 9. มีประสิทธิภาพ (Efficiency) ในแง่ของการนำไปใช้ ประหยัดเวลาและ งบประมาณ


31 10. มีการจูงใจให้ตอบ (Examplary) อาจทำได้โดยเรียงข้อสอบข้อง่ายๆ ไว้ตอนแรกๆ แล้วค่อยๆ ยากขึ้นตามลำดับ หรืออาจใช้รูปภาพประกอบคำถามเพื่อดึงดูดความสนใจ ให้ผู้ตอบอยากตอบ นอกจากนี้รูปแบบการจัดพิมพ์ข้อสอบควรให้ดูสวยงามน่าตอบ สรุปได้ว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ดีต้องเป็นแบบทดสอบที่มีความเที่ยงตรงความ เชื่อมั่นความเป็นปรนัย ถามลึก มีความยากง่ายพอเหมาะ มีค่าอำนาจจำแนก และมีความยุติธรรม 2.1.7 แผนผังความคิด 2.1.7.1 ความหมายของแผนผังความคิด แผนผังความคิด (Mind Mapping) มีลักษณะเป็นแผนภาพหรือแผนผังที่สร้างขึ้น จากความเข้าใจหรือความสามารถในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างมนทัศน์หลักกับมโนทัศน์ ย่อยเป็นการแสดงโครงสร้างของการคิด กระบวนการคิดและความสัมพันธ์ของกระบนการคิดตั้งแต่ ต้นจนจบช่วยให้มองเห็นภาพรวมของความคิดและเค้าโครงของความคิดในเรื่องที่กำลังคิด สุวิทย์ มูลคำ (2547, หน้า 10) ได้อธิบายว่า ความหมายของแผนผังความคิดไว้ว่า หมายถึงความคิดความเข้าใจที่สรุปเกี่ยวกับการจัดกลุ่มสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือเรื่องหนึ่งที่เกิดจากการ สังเกตหรือ การได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งนั้นหรือเรื่องนั้นแล้วใช้คุณลักษณะหรือคุณสมบัติที่มี ลักษณะคล้ายคลึงกันจัดเข้าเป็นกลุ่มเดียวกันซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความหมายของแผนผังความคิดไว้ดังนี้ กู๊ด (Good 1973, หน้า 170 อ้างถึงใน นุซนาถ สอนสง 2549, หน้า 75) ได้ให้ความหมายของแผนผังความคิดไว้ 3 ลักษณะ ดังนี้ 1. ความคิดหรือสัญลักษณ์ของส่วนประกอบที่สามารถจำแนกหรือแยกแยะ ออกเป็นกลุ่ม 2. สัญลักษณ์เชิงความคิดทั่ว ไปเกี่ยวกับสถานการณ์หรือวัตถุ 3. ความพึงพอใจหรือภาพของความคิดโดยรวม คอลเลตต์ (Colette 1973, อ้างถึงใน นุชนาถ สอนสง 2549, หน้า 75) ได้ให้ ความหมายไว้ในทำนองเดียวกันว่า แผนผังความคิดหมายถึงการจัดประเภทของวัตถุหรือเหตุการณ์ ต่างๆ มารวมเข้าไว้ด้วยกันโดยใช้ความเหมือนหรือความแตกต่างเป็นเกณฑ์ในการจัดหรือกำหนด ประเภทของวัตถุหรือเหตุการณ์นั้นๆ มนัส บุญประกอบ (2542 อ้างถึงใน มหิศร นันตโลหิต 2550, หน้า 49-50 ได้กล่าวถึง โครงสร้างแผนผังความคิดประกอบด้วยส่วนสำคัญ ดังนี้ 1. คมโนทัศน์ซึ่งอาจเขียนด้วยคำสามานยนามหรือวลี 2. คำเชื่อโยงมักใช้คำริยาหรือวโดยเขียนกำกับไว้บนแนวเส้นเชื่อมโยงแต่บาง ทีก็ไม่จำเป็นต้องเขียนกำกับไว้เสมอไป


32 3. เส้นเชื่อมโยงใช้ลากโยงความสัมพันธ์ระหว่างมโนทัศน์ด้วยเส้นตรงหรือเส้น โค้งบางทีอาจแสดงทิศทางความสัมพันธ์ด้วยหัวลูกศรทางเดียวหรือสองทิศทางกำกับไว้ด้วย บรูเนอร์ (Bruner, อ้างถึงใน นุซนาถ สอนสง 2549, หน้า 80-81) ได้อธิบายว่า แผนผังความคิดประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 อย่าง ดังนี้ 1. ชื่อ (Name) เป็นคำหรือข้อความที่ใช้เรียกกลุ่มหรือหมวดหมู่ของ ประสบการณ์โดยใช้ลักษณะเฉพาะร่วมเป็นเกณฑ์ในการจำแนก 2. ตัวอย่างมโนทัศน์ (Example) หมายถึงตัวอย่างของมโนทัศน์ซึ่งมีทั้ง ตัวอย่างของมโนทัศน์เชิงบวกและเชิงลบตัวอย่างของมนทัศน์เชิงบวกคือตัวอย่างของมนทัศน์ที่ สอดคล้องกับตัวอย่างของมโนทัศน์ที่เราจัดให้สวนตัวอย่างของมโนทัศน์เชิงลบนั้นเป็นตัวอย่างของ มนทัศน์ไม่สอดคล้องกับตัวอย่างของมโนทัศน์ที่เราจัดให้ 3. คุณลักษณะเฉพาะ (Attibutes) หมายถึงคุณลักษณะเฉพาะที่สำคัญที่เรา ใช้เป็นลักษณะร่วมหรือเป็นเกณฑ์ในการจัดสิ่งต่างๆ (ตัวอย่าง) ให้เป็นหมวดหมู่เดียวกันแต่ต้องระวัง อย่าให้ลักษณะที่ไม่สำคัญเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา 4. คุณค่าของคุณลักษณะเฉพาะ (Attribute Value) ในการจำแนกสิ่งต่างๆ โดยใช้คุณลักษณะนั้นเราจะพบว่าคุณลักษณะบางอย่างมีคุณค่าหลายระดับฉะนั้นเราจึงต้อง พิจารณาระดับคุณค่าของคุณลักษณะในการจัดหมวดหมู่ 5. กฎเกณฑ์หรือคำจำกัดความ (Rule) คือการให้คำนิยามหรือข้อความที่ รูปลักษณะที่สำคัญหรือจำเป็นของมโนทัศน์ จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า แผนผังความคิด หมายถึง การจัดกลุ่มความคิดรวบ ยอดเพื่อแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ เชื่อมโยงของความคิด แล้วจัดลำดับความคิดหลักและความคิด รองของเรื่อง แสดงออกมาเป็นแผนผังให้มีความสัมพันธ์กันอย่างมีระบบ 2.1.7.2 การสร้างแผนผังความคิด แผนผังความคิด เป็นเทคนิคที่พัฒนาการทำงานในสมอง มีรูปแบบการสร้าง หลากหลายรูปแบบตัวอย่างดังต่อไปนี้ ทิศนา แขมมณี (2550, หน้า 389 - 392 ได้กล่าวว่า ขั้นตอนการสร้างแผนผัง ความคิดไว้มีรายละเอียด ดังนี้ 1. เขียนความคิดรวบยอดหลักไว้ตรงกลาง แล้วแตกสาขาออกเป็นความคิด รวบยอดย่อยๆ 2. เขียนคำที่เป็นตัวแทนความหมายของความคิดนั้นๆ ลงไปและใช้รูปทรง เรขาคณิต แสดงระดับของคำ คำใดอยู่ในขอบเขตหรือระดับเดียวกัน ใช้รูปทรงเรขาคณิตเดียวกัน ล้อมกรอบคำนั้น


33 3. ลากเส้นเชื่อมโยงความคิด เพื่อแสดงความสัมพันธ์ของความคิดต่างๆ เส้นที่อาจใช้เป็นเส้นตรงเส้นโค้ง หรืออาจใช้ลูกศร แสดงความเชื่อมโยงความคิด 4.ใช้สัญลักษณ์ต่างๆ เป็นตัวแทนความหมายของความคิดและความรู้สึกต่างๆ นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความหมายของการสร้างแผนผังความคิดไว้ดังนี้ วัชรา เล่าเรียนดี (2552, หน้า61 - 63) ได้เสนอขั้นตอนการสร้างแผนผังความคิดไว้ ดังนี้ 1. เขียนชื่อเรื่องที่จะเรียนรู้ตรงกลางหน้ากระดาษ เขียนวงกลมล้อมรอบ คำนั้น 2. จากชื่อเรื่องที่วงกลมลากเส้นตรงกลางออกจากวงกลมโดยรอบ เขียนหัวข้อ ย่อยบนเส้นหรือใต้เส้นจากชื่อเรื่องในวงกลม 3. ลากเส้นต่อจากเรื่องย่อยแต่ละเรื่องกำกับด้วยคำโยงบนเส้นไว้ดังนี้ 4. สำหรับข้อเท็จจริงแต่ละประเด็นอาจะแยกย่อยและโยงเส้นได้อีก วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2545, หน้า 184) ได้ศึกษาถึงวิธีการเขียนแผนผังความคิด (Mind Mapping) 1. ควรเตรียมกระดาษเปล่าที่ไม่มีเส้นบรรทัดและวางกระดาษภาพแนวนอน 2. วาดภาพสีหรือเขียนคำหรือข้อความที่สื่อหรือแสดงถึงเรื่องที่ทำ Mind Mapping กลางหน้ากระดาษโดยใช้สีอย่างน้อย 3 สีและต้องไม่ตีกรอบด้วยรูปทรงเรขาคณิต 3. คิดถึงหัวเรื่องสำคัญที่เป็นส่วนประกอบของเรื่องที่ทำ Mind Mapping โดยให้เขียนเป็นคำที่มีลักษณะเป็นหน่วยหรือเป็นคำสำคัญ (Key Word) สั้นๆ ที่มีความหมายบน เส้นซึ่งแต่ละเส้นจะต้องแตกออกจากศูนย์กลางไม่ควรเกิน 8 กิ่ง 4. แตกความคิดของหัวเรื่องสำคัญแต่ละหัวเรื่องในข้อ 3 ออกเป็นกิ่งหลายๆ กิ่งโดยเขียนคำหรือวลีบนเส้นที่แตกออกไปลักษณะของกิ่งควรเอนไม่เกิน 60 องศา 5. แตกความคิดรองลงไปที่เป็นส่วนประกอบของแต่ละกิ่งในข้อ 4 โดยเขียน คำหรือวลีเส้นที่แตกออกไปซึ่งสามารถแตกความคิดออกไปได้เรื่อยๆ ตามที่ความคิดจะไหลอออกมา 6. การเขียนคำควรเขียนด้วยคำที่เป็นคำสำคัญ (Key Word) หรือคำหลักหรือ เป็นวลีที่มีความหมายชัดเจน 7. คำวลีสัญลักษณ์หรือรูปภาพใดที่ต้องการเน้นอาจใช้วิธีการทำให้เด่น เช่น การล้อมกรอบหรือใสกล่องเป็นต้น 8. ตกแต่ง Mind Mapping ให้มีสีสันสวยงามสดใสน่าสนใจ จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การสร้างแผนผังความคิดสามารถสร้างได้หลาย ลักษณะ เช่น แบบก้างปลา แบบวงกลม และแบบรูปภาพ ขึ้นอยู่กับความถนัดหรือความต้องการ ของผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนเกิดจินตนาการในการนำเสนอความคิดรวบยอดที่ตนได้จับใจความสำคัญ ของเรื่องนั้น ๆ ทำให้เข้าใจเนื้อหาจากเรื่องเพิ่มมากขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น


34 2.1.7.3 ประโยชน์ของแผนผังความคิด สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2544, หน้า 21) ได้กล่าวถึง ประโยชน์ของแผนที่ความคิด (Mind Mapping) กับการใช้งานด้านการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ด้านผู้เรียน ผู้เรียนสามารถนำแผนผังความคิด มาใช้สำหรับการจดบันทึก ความรู้ การสรุป การอภิปราย ทบทวนความรูเดิม การจัดระบบข้อมูลที่กระจัดกระจายให้เป็นระเบียบ ตลอดจนการวางแผนการทำงาน การเสนอผลงาน และการเขียนรายงาน 2. ด้านผู้สอน ครูผู้สอนสามารถนำแผนผังความคิดมาใช้เป็นเครื่องมือในการวาง แผนการสร้างหลักสูตร แผนการสอน การประเมินผลการเรียนรู้ การประเมินโครงการ การเตรียม บทเรียน การเสนอผลงานการบันทึกการประชุม การสรุป การอภิปราย ใช้ในการระดมความคิด การตรวจสอบความรู้ของผู้เรียนและให้ระบบผู้เรียนสรุปความเข้าจากบทเรียน นอกจากนี้ยังมีผู้กล่าวถึงประโยชน์ของแผนผังความคิดไว้ ดังนี้ น้ำผึ้ง มีนิล (2545, หน้า 30) ได้กล่าวถึง ประโยชน์ของแผนผังความคิดในด้าน ต่างๆ ได้แก่ 1. เป็นเครื่องมือที่ใช้สำรวจความรู้เดิมของผู้เรียน ทำให้ได้ข้อมูลที่ เป็นประโยชน์สำหรับครูผู้สอน 2. เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดและแสดงแบบของการคิดที่ เข้าใจง่ายสามารถอธิบาย และมองเห็นได้อย่างเป็นระบบชัดเจน 3. เป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ โดยใช้แผนที่ความคิดสรุปสิ่งที่เรียนเพื่อจะ ทำให้เกิดความคงทนของการเรียนรู้เพราะผู้เรียนจะเห็นถึงความสัมพันธ์ของสิ่งที่เรียนไปทั้งหมด ชัยฤทธิ์ ศิลาเดช (2545, หน้า 219) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแผนผังความคิด ไว้ดังนี้ 1. ช่วยทำให้เกิดความรวดเร็วในการเขียนข้อมูลที่ซับซ้อนหรือเป็นประโยชน์ ให้เร็วขึ้น 2. ช่วยให้สมองทั้งสองข้างใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมองซีกซ้ายเป็น เรื่องเกี่ยวกับภาษาตรรกะ การเรียงลำดับ การวิเคราะห์ ซึกขวาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมองเห็น ภาพรวมจินตนาการ สีสันและมิติ 3. ช่วยในการระลึกถึงข้อมูลต่าง ๆ เพราะข้อมูลได้มีการบันทึกความจำไว้ อย่างมีโครงสร้างเป็น 4. ช่วยในการจัดเก็บข้อมูล ข่าวสาร เป็นรูปโครงสร้างและมีความสัมพันธ์กัน 5. ช่วยในการพัฒนาสมองซีกขวาเกี่ยวกับการใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มากขึ้น จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า แผนผังความคิด ช่วยในการจัดข้อมูลที่กระจัด กระจายให้เป็นระเบียบ ใช้ในการระดมความคิด และนำเสนอผลงาน เพื่อทำให้เกิดความรวดเร็วใน


35 การเขียนข้อมูลที่ซับซ้อน การสร้างแผนผังสร้างขึ้นโดยอาศัยการทำงานประสานกันของสมองทั้งสอง ซีกโดยซีกขวาจะทำหน้าที่สังเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ จินตนาการความงามศิลปะและ ส่วนซีกข้าย หน้าที่ในการวิเคราะห์ภาษาสัญลักษณ์ ลำดับความสำคัญความเป็นเหตุเป็นผล ทำให้เกิด ประสิทธิภาพในการคิดเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแผนผังความคิดเป็นสื่อที่สะท้อนถึงความคิดของผู้เรียนซึ่ง กระบวนการคิดสร้างสรรค์ด้วยแผนผังความคิดโดยการเขียนคำจากจุดศูนย์กลาง มีการกระจาย ความคิดย่อยออกไปรอบทิศทาง เป็นการสะท้อนถึงการได้รับแนวความคิดที่สำคัญ จะทำให้เกิด ความเข้าใจมากขึ้นและนำไปสู่แนวคิดใหม่ที่สำคัญและหลากหลาย เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ อย่างมีเหตุผล ช่วยในการท่องจำ สามารถวางแผนและจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง เพื่อใช้เป็น แนวทางในการประเมินการตัดสินใจ 2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.2.1 วิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL Plus จินดารัตน์ ฉัตรสอน (2558) ทำวิจัย เรื่องความสามารถในการอ่านจับใจความ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึก ผล ปรากฏว่า คะแนนหลังจากการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึกสูงกว่าคะแนนการ ทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL ร่วมกับแบบฝึก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 01 ทั้งนี้อาจเนื่องจากแบบฝึกการอ่านจับใจความของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีการลำดับขั้นตอนการเรียนรู้ให้นักเรียนเข้าใจง่าย สามารถทำแบบฝึกได้ด้วยตนเอง เรื่องราวใน แบบฝึกทั้ง 5 ชุดเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจและใกล้ตัวกับนักเรียน จึงทำให้นักเรียนสนใจและ กระตือรือร้นที่จะเรียน จึงส่งผลให้นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของแบบฝึกการ อ่านจับใจความ มิ่งขวัญ สุขสบาย (2561) ศึกษาวิจัย เรื่องประสิทธิภาพจัดการเรียนรู้ด้วย เทคนิค KWL Plus เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านเชิงวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 6 ผลการศึกษาพบว่าประสิทธิภาพ E1E/2 เท่ากับ 81.47/84.51 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL Plus ช่วยส่งเสริมและกระตุ้นให้นักเรียนอ่านวิเคราะห์ บทอ่านได้ดีขึ้น คนที่เก่งจะช่วยเหลือคนที่อ่อนกว่า สมาชิกในกลุ่มจะร่วมกันรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ ของเพื่อนในกลุ่มทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวิธีคิดและแนวทางการปฏิบัติ เมื่อต้องฝึกปฏิบัติเป็น รายบุคคลทำให้นักเรียนสามารถอ่านเชิงวิเคราะห์ตามขั้นตอน KWL - Plus ได้ด้วยตนเอง มาลินี สุทธิเวช (2561) ผลการวิจัยพบว่า การอ่านสรุปความโดยใช้การจัดการ เรียนรู้ด้วยเทคนิคKWL - Plus เป็นการสอนอ่านที่ช่วยพัฒนาความสามารถในการอ่านสรุปความ ของนักเรียนได้ดีขึ้น เพราะมีกระบวนการเป็นลำดับ ขั้นตอน เริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามและฝึกให้ นักเรียนคิดหาคำตอบด้วยตนเอง ซึ่งปกตินักเรียนจะไม่ค่อยสนใจ การอ่าน ไม่ชอบอ่านเนื้อหาที่มี ขนาดเยอะ แต่เมื่อนักเรียนได้รับ การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL Plus นักเรียนเกิดความสนุก อยากเรียน อยากรู้ อยากอ่านเพิ่มขึ้น และเป็นกิจกรรมการอ่านที่ส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจในสิ่งที่ อ่านมากขึ้น พร้อมทั้งนักเรียนได้เรียนรู้วิธีการเรียบเรียงภาษาที่มาจากความเข้าใจของตนเอง


36 ณัฐวดี ปิ่นวิลัย (2563) ผลการวิจัยพบว่า การนำนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ ด้วยเทคนิค KWL Plus มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาภาษาไทย สามารถแก้ไขปัญหา และพัฒนาความสามารถด้านการอ่าน จับใจความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน โยนออฟอาร์คได้ ทำให้นักเรียนมีความสามารถด้านการอ่านจับใจความอยู่ในระดับที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผล มาจากการจัดการเรียนรู้ตามขั้นตอนของกรอบแนวคิดที่ผู้วิจัยตั้งไว้โดยเริ่มจากนักเรียนเกิด กระบวนการเรียนรู้ด้วยเอง ซึ่งเกิดจากการคิดเชื่อมโยงความรู้เดิม ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง การประมวลความรู้จากการศึกษา และการสรุปสิ่งที่ได้ จากงานวิจัยที่กล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยจึงทำเทคนิคการสอนอ่าน KWL - Plus มาใช้ในงานวิจัยเพราะผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจความหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน มีการพัฒนาด้านการอ่านจับใจความดีขึ้นหลังจากที่ผู้สอนจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus สามารถพัฒนาทักษะทางภาษาของผู้เรียนได้ โดยเฉพาะทักษะการอ่าร ตลอดจนทำให้นักเรียนได้ฝึก ทักษะการคิดอย่างเป็นลำดับขั้นตอน ส่งผลให้มีความสามารถในการอ่านสูงกว่าการสอนปกติ นอกจากนี้ผู้เรียนยังมีเจตคติที่ดีที่มีต่อการจัดกิจกรรมด้วยเทคนิค KWL - Plus อยู่ในระดับมาก ดังนั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL – Plus จึงมีความเหมาะสมที่จะนำมาให้ในการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อนส่งเสริมให้นักเรียน สามารถพัฒนาการอ่านให้ดีและมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้น ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยเลือกนำเอาเทคนิค KWL – Plus มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะเป็นเทคนิคที่ช่วยพัฒนาทักษะการอ่านอย่างเป็นระบบและได้ผลที่ดี 2.2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยแผนผังความคิด สุเมธ ทุนกิจใจ (2561) ได้จัดทำงานวิจัยเกี่ยวกับ การสร้างแบบฝึกทักษะ เพื่อพัฒนาการอ่านจับใจความสำคัญโดยใช้เทคนิคแผนผังความคิด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 โรงเรียนบ้านป่าไม้แดง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ผลปรากฎว่า การสร้างแบบฝึก ทักษะเพื่อพัฒนาการอ่านจับใจความสำคัญโดยใช้เทคนิคแผนผังความคิด ที่สร้างขึ้นมีค่า ประสิทธิภาพเท่ากับ 84.68/83.89 ความก้าวหน้าของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ใช้ แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาการอ่านจับใจความสำคัญโดยใช้เทคนิคแผนผังความคิด มีค่าเฉลี่ยร้อยละ หลังเรียน สูงกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละก่อนเรียน โดยมีความก้าวหน้าทางการเรียนร้อยละ 31.43 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาการอ่านจับใจความ สำคัญโดยใช้เทคนิคแผนผังความคิด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.45 อยู่ในระดับมากที่สุด บุญสนอง วิเศษสาธร (2562) ศึกษาผลการสอนโดยใช้แผนผังความคิดที่มีต่อ ทักษะและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาผลการวิจัย พบว่านักศึกษามีทักษะการวิเคราะห์ ข้อมูล การนำเสนอและการแปลผลหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องสถิติและการวิเคราะห์ข้อมูล หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01


37 กรรภิรมย์ แก้ววัน (2563) ได้ศึกษาเรื่อง ผลการใช้ชุดการสอนเพื่อฝึกทักษะการ อ่านจับใจความโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับ แผนผังความคิด (Mind Mapping) วิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 สรุปได้ว่าประสิทธิภาพของชุดการสอน มีประสิทธิภาพเท่ากับ80.94/83.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 5/7 5 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนก่อนและหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และดัซนี ประสิทธิผลของการเรียนด้วยชุดการสอนเพื่อฝึกทักษะการอ่านจับใจความ มีค่าเท่ากับ 0.6929 แสดงว่านักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.29 ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วย ชุดการสอนเพื่อฝึกทักษะการอ่านจับใจความ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ลักขณา โททอง (2561) เรื่องการพัฒนาการอ่านจับใจความสำคัญกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้แผนผังความคิดประกอบแบบฝึก ทักษะผลการวิจัยพบว่า (1) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้เทคนิค แผนผังความคิดประกอบแบบฝึกทักษะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 85.20/82.78 (2) ค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดการ เรียนรู้การอ่านจับใจความสำคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้เทคนิคแผนผังความคิดประกอบแบบฝึกทักษะมีค่าเท่ากับ 0.6973 หรือคิดเป็นร้อยละ 69.73 (3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้เทคนิคแผนผังความคิดประกอบแบบฝึกทักษะ มีความแตกต่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ (4) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจการ อ่านจับใจความ โดยใช้เทคนิคแผนผังความคิดประกอบแบบฝึกทักษะโดยรวมอยู่ใน ระดับมาก รัตน์ติยา ใช้สอย (2565) ได้ทำวิจัยเกี่ยวกับ การจัดการเรียนรู้ด้วยแผนผัง ความคิด ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ผลปรากฏว่า แผนการ จัดการเรียนรู้ด้านการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ด้วยการจัดการเรียนรู้ด้วยแผนผัง ความคิด มีประสิทธิภาพ 79.68/78.75 อีกทั้งผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยแผนผังความคิด หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 75 พบว่าสูงกว่า เกณฑ์คือ มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ ร้อยละ 78.75 หมายความว่า การจัดการเรียนรู้ด้วยแผนผัง ความคิด ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ด้านการอ่านของ นักเรียนสูงขึ้นและเป็นไปตามเกณฑ์ร้อยละ 75 จากตัวอย่างการวิจัย ผู้วิจัยสรุปได้ว่า เทคนิค KWL Plus เป็นกลวิธีการสอนอ่าน เพื่อจับใจความและการอ่านจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถ้าผู้เรียนมีความรู้เดิม และประสบการณ์เดิม เกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน จะทำให้จับใจความออกมาได้ดี เพราะแต่ละขั้นตอนของเทคนิค KWL Plus กระตุ้นให้ผู้เรียนฝึกตั้งคำถามค้นหาคำตอบด้วยตนเอง การใช้เทคนิคแผนผังความคิดจึงเป็นอีกวิธี หนึ่งที่จะทำให้ผู้เรียนมีการเรียบเรียงข้อมูลที่ได้มาอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้ผู้เรียนมีกระบวนการใน การจับใจความสำคัญ และเข้าใจเรื่องที่อ่านได้มากยิ่งขึ้น ผู้เรียนมีการใช้สมองทั้งสองซีกในการทำ กิจกรรม เกิดจินตนาการ สร้างสรรค์ชิ้นงานของตนเอง ส่งผลให้จดจำเนื้อหาได้ดีและนานขึ้น


38 ผู้วิจัยจึงได้นำการจัดการเรียนรู้ด้วยแผนผังความคิดมาปรับใช้กับเทคนิค KWL Plus เพราะต้องการ ให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพในการอ่านจับใจความเพิ่มมากขึ้น ผู้เรียนจะสามารถสรุปความออกมาเป็น รูปภาพหรือแผนผังที่เข้าใจได้ง่าย ส่งผลให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาที่เรียนได้เป็นอย่างดี


39 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับ ใจความ โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคนิค KWL - Plus ร่วมกับแผนผังความคิดของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ วิจัยดำเนินตามขั้นตอนดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. การออกแบบการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5. การเก็บรวบรวมข้อมูล 6. การวิเคราะห์ข้อมูล 7. สถิติที่ใช้ในการวิจัย 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.1.1 ขอบเขตประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.1.1.1 ประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 3 ห้อง ห้องละ 40 คนประกอบด้วย นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/9 , ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/11 และ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/14 รวมทั้งหมด 120 คน 3.1.1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี จำนวน 1 ห้อง จำนวน 40 คน โดยมาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) 3.2 การออกแบบการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ ด้วยเทคนิค KWL - Plus โดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pretest – Posttest Design (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2538 : 249) และแบบกลุ่มเดี่ยวสอบหลัง One Group Posttest – Only Design (พวงรัตน์ ทวี รัตน์, 2540 : 60-61) ซึ่งมีแบบแผนการวิจัยการวิจัย


40 ตาราง 2 แบบแผนการวิจัยจำแนกตามตัวแปรตาม ตัวแปรตาม แบบแผนการวิจัย หมายเหตุ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน One Group Pretest – Posttest Design ใช้แบบทดสอบฉบับเดิม ทักษะการเการอ่านจับใจความ One Group Posttest – Only Design ตารางที่ 2 แบบแผนการวิจัยจำแนกตามตัวแปรตาม 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 3.3.1 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง 3.3.1.1 แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความด้วยเทคนิค KWL Plus ร่วมด้วยแผนผังความคิด วิชาภาษาไทย จำนวน 6 แผนการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ละ 1 ชั่วโมง รวม 6 ชั่วโมง 3.3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 3.3.2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับ ใจความ เป็นแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัยโดยการเลือกตอบ (Multiple choice) 4 ตัวเลือก จำนวน 1 ฉบับ จำนวน 30 ข้อ 3.3.2.2 แบบประเมินทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่านจับใจความ เป็นแบบมาตรา ส่วนประเมินค่า 3 ระดับ โดยใช้เกณฑ์การประเมิน (Rubric Score) ประเมินทักษะการอ่านจับ ใจความที่ใช้วัดในครั้งนี้ 4 ทักษะ 1 ฉบับ 3.4 การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยของเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองและ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบนวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความ ด้วยเทคนิค KWL Plus ร่วมด้วยแผนผังความคิด วิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ 4) แบบประเมิน ทักษะการอ่าน เรื่อง การอ่านจับใจความ ดังนี้ 3.4.1 แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความด้วยเทคนิค KWL Plus ร่วมด้วยแผนผังความคิดวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับใจความ จำนวน 6 แผนการเรียนรู้ ตามขั้นตอน ดังนี้ 3.4.1.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สาระที่ 1 การอ่าน มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหาในการดำเนิน ชีวิต และมีนิสัยรักการอ่าน ตัวชี้วัด ท 1.1 ม. 1/2 จับใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่านท 1.1


41 ม.1/9 มีมารยาทในการอ่านจากหนังสือเรียนหลักภาษา และการใช้ภาษาเพื่อการไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การอ่านจับใจความ 3.4.1.2 วิเคราะห์และกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ และกิจกรรมการเรียนรู้ 3.4.1.3 แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความด้วยเทคนิค KWL Plus ร่วมด้วยแผนผังความคิด เรื่อง การอ่านจับใจความ จำนวน 6 แผนการเรียนรู้ โดยให้สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์การเรียนรู้และกิจกรรมการเรียนรู้ในชุดการเรียนรู้ที่เตรียมไว้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1. การอ่านจับใจความ จำนวน 1 ชั่วโมง 2. การอ่านจับใจความข่าว จำนวน 1 ชั่วโมง 3. การอ่านจับใจความบทความ จำนวน 1 ชั่วโมง 4.การอ่านจับใจความจากวรรณคดี จำนวน 1 ชั่วโมง 5. การอ่านจับใจความจากบทร้อยกรอง จำนวน 1 ชั่วโมง 6. อ่านจับใจความนิทานพื้นบ้าน จำนวน 1 ชั่วโมง 3.4.1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ซึ่งเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาไทยและการวัดผลและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิง เนื้อหา (Content Validity) ของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item objective congruence: IOC) ระหว่างจุดประสงค์การเรียนรู้เนื้อหา กระบวนการ จัดการเรียนรู้ และการวัดประเมินผล โดยให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละท่านพิจารณาตรวจสอบให้ คะแนน ดังนี้ ให้คะแนนเป็น +1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความเหมาะสม และสอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความเหมาะสมและสอดคล้องกัน ให้คะแนนเป็น –1 เมื่อแน่ใจว่าองค์ประกอบของแบบทดสอบ มีความไม่ เหมาะสมและไม่สอดคล้องกัน จากนั้นนำคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบ โดยดัชนี ความสอดคล้องขององค์ประกอบที่มีค่า IOC ที่ใช้ได้มีค่าระหว่าง 0.67 – 1.00 3.4.1.5 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้ตามข้อเสนอ และข้อแนะนำ แผนการ จัดการเรียนรู้ที่แก้ไขแล้วนำไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 42 คน คละความสามารถ เพื่อดูความเหมาะสมของกระบวนการจัดการเรียนรู้ เวลาที่ใช้ ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข 3.4.1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความด้วยเทคนิค KWL Plus ร่วมด้วยแผนผังความคิด เรื่อง การอ่านจับใจความ ไปใช้กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป 3.4.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย เรื่อง การอ่านจับ ใจความ ทดสอบก่อนและหลังเรียน เป็นแบบทดสอบปรนัยโดยการเลือกตอบ (Multiple choice) 4 ตัวเลือก จำนวน 1 ฉบับ จำนวน 30 ข้อ ตามขั้นตอนดังนี้


Click to View FlipBook Version