The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by พิสมัย สืบเลย, 2022-12-13 23:34:19

ขุนช้างขุนแผน

ขุนช้างขุนแผน

เอกสารประกอบคูมอื ครู

กลมุ สาระการเรยี นรู ภาษาไทย

ภาษาไทย สําหรับครู

วรรณคดีและวรรณกรรม

5ช้ันมธั ยมศกึ ษาปท ่ี

ลักษณะเดน คูมือครู Version ใหม

ขยายพ้นื ทร่ี ูปเลม ใหญขนึ้ กวา เดิม จัดแบงพื้นทอ่ี อกเปน โซน
เพ่ือคน หาขอ มลู ไดง า ย สะดวก รวดเรว็ และดเู ปนระเบยี บ

กระตนุ Enคgวagาeมสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explore

เปาหมายการเรยี นรู
สมรรถนะของผูเรียน
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค

โซน 1 หนา หนา โซน 1

หนังสือเรียน หนังสือเรียน

กระตนุ ความสนใจ Engage ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNดิ ET ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT
ขอ สอบ O-NET
สาํ รวจคน หา Explore บูรณาการเชื่อมสาระ

อธบิ ายความรู Explain โซน 3

ขยายความเขา ใจ Expand กจิ กรรมสรา งเสรมิ
กิจกรรมทา ทาย
ตรวจสอบผล Evaluate

โซน 2 โซน 3 เกรด็ แนะครู

No. คมู อื ครู นกั เรียนควรรู

โซน 2

บเศูรณราษกาฐรกจิ พอเพียง

บรู ณาการอาเซียน

มมุ IT
คูมอื ครู No.

โซน 1 ขั้นตอนการสอนแบบ 5Es โซน 2 ชว ยครเู ตรยี มสอน โซน 3 ชวยครเู ตรียมนักเรยี น

เพ่อื ใหครูเตรียมจดั กิจกรรมการเรยี น เพอ่ื ชวยลดภาระครูผูสอน โดยแนะนํา เพอื่ ใหครูสะดวกตอ การจัดกิจกรรม โดย
การสอน โดยแนะนาํ ข้นั ตอนการสอนและ เกรด็ ความรสู าํ หรบั ครู ความรเู สรมิ สาํ หรบั แนะนาํ กจิ กรรมบรู ณาการเชอ่ื มระหวา งสาระหรอื
การจดั กิจกรรมแบบ 5Es อยางละเอียด นักเรียน รวมทัง้ บูรณาการความรูสอู าเซยี น กลมุ สาระการเรยี นรู วิชา กจิ กรรมสรางเสริม
เพ่ือใหนกั เรียนบรรลุตามตวั ช้ีวดั กจิ กรรมบูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง และ กจิ กรรมทาทาย รวมถึงเน้อื หาทีเ่ คยออกขอสอบ
มุม IT O-NET แนวขอ สอบ NT/O-NET ทเี่ นน การคดิ
พรอมเฉลยและคําอธบิ ายอยางละเอียด

แถบสีและสัญลักษณ ที่ใชในคูมือครู

1. แถบสี 5Es แถบสแี สดงข้นั ตอนการสอนและการจดั กจิ กรรม
แบบ 5Es เพือ่ ใหค รทู ราบวาเปน ข้ันการสอนข้นั ใด
สีแดง สเี ขียว
สีสม สฟี า สีมวง

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
2เสร�ม Engage Explore Explain Expand
Evaluate
• เปนขน้ั ที่ผูสอนเลอื กใช • เปน ข้นั ที่ผูส อน • เปน ข้นั ทผ่ี ูสอน • เปนข้นั ท่ผี สู อน
เทคนคิ กระตุน ใหผ ูเ รยี นสํารวจ • เปน ขัน้ ท่ีผสู อน
ความสนใจ เพอ่ื โยง ปญ หา และศึกษา ใหผ ูเรยี นคน หา ใหผเู รียนนําความรู
เขา สูบทเรยี น ขอมลู คําตอบ จนเกดิ ความรู ไปคิดคนตอ ๆ ไป ประเมินมโนทัศน
เชงิ ประจกั ษ ของผเู รียน

2. สัญลักษณ

สญั ลกั ษณ วตั ถปุ ระสงค สญั ลกั ษณ วตั ถปุ ระสงค

• แสดงเปา หมายการเรียนรูท่ีนกั เรียน ขอ สอบ O-NET • ชแี้ นะเนอ้ื หาทเ่ี คยออกขอ สอบ

ตอ งบรรลุตามตวั ชี้วัด ตลอดจนสมรรถนะ (เฉพาะวชิ า ชนั้ ทสี่ อบ O-NET) O-NET โดยยกตวั อยา งขอ สอบ
ที่จะตองมี และคณุ ลกั ษณะท่ีพึงเกิดขน้ึ พรอ มวเิ คราะหค าํ ตอบ
ขแอนสวอบNเนTน กาOร-คNิดET อยา งละเอยี ด
เปา หมายการเรยี นรู กบั นักเรียน
(เฉพาะระดบั ชน้ั • เปน ตวั อยา งขอ สอบทม่ี งุ เนน
หลักฐานแสดง • แสดงรอ งรอยหลักฐานตามภาระงาน มธั ยมศกึ ษาตอนตน )
ผลการเรยี นรู การคดิ และเปน แนวขอ สอบ
เกรด็ แนะครู ทค่ี รูมอบหมาย เพ่อื แสดงผลการเรียนรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT NT/O-NET ในระดบั มธั ยมศกึ ษา
ตามตวั ชี้วดั ตอนตน มที งั้ ปรนยั - อตั นยั
(เฉพาะระดบั ชนั้ พรอ มเฉลยอยา งละเอยี ด
• แทรกความรูเสริมสาํ หรบั ครู ขอ เสนอแนะ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย)
• เปน ตวั อยา งขอ สอบทม่ี งุ เนน
ขอ ควรระวงั ขอ สังเกต แนวทางการจดั
กจิ กรรมและอน่ื ๆ เพื่อประโยชนในการ การคดิ และเปน แนวขอ สอบ
จดั การเรยี นการสอน O-NET ในระดบั มธั ยมศกึ ษา
ตอนปลาย มที ง้ั ปรนยั - อตั นยั
• ขยายความรเู พ่มิ เตมิ จากเนื้อหา เพือ่ ให พรอ มเฉลยอยา งละเอยี ด

นักเรียนควรรู ครูนําไปใชอธบิ ายเพิ่มเติมใหนกั เรยี น • แนะนาํ แนวทางการจดั กจิ กรรม
ไดม ีความรมู ากข้ึน
เชอื่ มกบั สาระหรอื กลมุ สาระ
บูรณาการเชอื่ มสาระ การเรยี นรู ระดบั ชน้ั หรอื วชิ าอน่ื
ทเี่ กยี่ วขอ ง
• กจิ กรรมเสริมสรา งพฤติกรรมและปลกู ฝง
คา นิยมตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
บูรณาการ
เศรษฐกจิ พอเพยี ง
• แนะนาํ แนวทางการจดั กจิ กรรม
• ความรหู รอื กจิ กรรมเสรมิ ใหค รนู าํ ไปใช กจิ กรรมสรา งเสรมิ
ซอ มเสรมิ สาํ หรบั นกั เรยี นทคี่ วร
เตรยี มความพรอ มใหก บั นกั เรยี นกอ นเขา สู ไดร บั การพฒั นาการเรยี นรู
ประชาคมอาเซยี นใน พ.ศ. 2558 โดย
บูรณาการอาเซียน บรู ณาการกบั วชิ าทกี่ าํ ลงั เรยี น • แนะนาํ แนวทางการจดั กจิ กรรม

• แนะนําแหลง คน ควาจากเวบ็ ไซต เพ่อื ให กิจกรรมทาทาย ตอ ยอดสาํ หรบั นกั เรยี นทเี่ รยี นรู
ไดอ ยา งรวดเรว็ และตอ งการ
ครแู ละนกั เรยี นไดเขาถงึ ขอ มูลความรู ทา ทายความสามารถในระดบั
ทสี่ งู ขน้ึ
มมุ IT ท่ีหลากหลาย ทั้งไทยและตา งประเทศ

คมู อื ครู

5Es การจัดกิจกรรมตามขน้ั ตอนวฏั จักรการเรยี นรู 5Es

ขั้นตอนการสอนท่ีสัมพันธกับข้ันตอนการคิดและการทํางานทางสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย คือ
วัฏจักรการเรียนรู 5Es ซ่ึงผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแตละหนวย
ตามลําดับขนั้ ตอนการเรียนรู ดงั นี้

ข้นั ที่ 1 กระตนุ ความสนใจ (Engage) เส3ร�ม

เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพ่ือกระตุนความสนใจของผูเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณท่ีนาสนใจโดยใชเทคนิควิธีการ
และคําถามทบทวนความรหู รือประสบการณเดมิ ของผเู รยี น เพอ่ื เชอ่ื มโยงผเู รียนเขา สูความรูของบทเรียนใหม ชว ยใหผูเรยี นสามารถ
สรุปความสําคัญหัวขอและสาระการเรยี นรูของบทเรียนได จงึ เปนข้ันตอนการสอนทีส่ าํ คัญ เพราะเปน การเตรยี มความพรอ มและสราง
แรงจงู ใจใฝเ รียนรูแกผ ูเ รยี น

ขนั้ ท่ี 2 สาํ รวจคน หา (Explore)

เปน ขน้ั ทผี่ สู อนเปด โอกาสใหผ เู รยี นลงมอื ศกึ ษา สงั เกต หรอื รว มมอื กนั สาํ รวจ เพอ่ื ใหเ หน็ ขอบขา ยของประเดน็ หรอื ปญ หา รวมถงึ
วิธีการศึกษาคนควา การรวบรวมขอมูลความรูท่ีจะนําไปสูการสรางความเขาใจประเด็นหรือปญหานั้นๆ เมื่อผูเรียนทําความเขาใจใน
ประเดน็ หรือปญ หาที่จะศึกษาคน ควาอยา งถอ งแทแลว กล็ งมือปฏิบัติเพ่อื เก็บรวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธกี ารตา งๆ
เชน สัมภาษณ ทดลอง อา นคนควาขอมลู จากเอกสาร แหลง ขอ มลู ตา งๆ จนไดข อมลู ความรูทเ่ี กีย่ วขอ งกับประเด็นหรอื ปญหาที่ศกึ ษา

ข้ันที่ 3 อธิบายความรู (Explain)

เปน ข้นั ที่ผูสอนมปี ฏสิ ัมพันธกับผเู รยี น เชน ใหการแนะนํา ตั้งคาํ ถามกระตุน ใหค ดิ เพ่อื ใหผ เู รยี นคนหาคําตอบ และนําขอมูล
ความรูจากการศึกษาคนควาในข้ันท่ี 2 มาวิเคราะห สรุปผล และนําเสนอผลที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน
เขียนแผนภูมิ ผังมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน ในขั้นตอนน้ีฝกใหผูเรียนใชสมองคิดวิเคราะหและสังเคราะห
อยา งเปน ระบบ

ขัน้ ท่ี 4 ขยายความเขา ใจ (Expand)

เปนขั้นท่ีผูสอนเลือกใชเทคนิควิธีสอนตางๆ ที่สงเสริมใหผูเรียนนําความรูท่ีเกิดขึ้นไปคิดคนสืบคนตอๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะ
การเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน ผูเรียนสามารถนําความรูท่ีสรางข้ึนใหมไปเช่ือมโยง
กบั ประสบการณเ ดมิ โดยนาํ ขอ สรปุ ทไี่ ดไ ปใชอ ธบิ ายเหตกุ ารณต า งๆ หรอื นาํ ไปปฏบิ ตั ใิ นสถานการณใ หมๆ ทเ่ี กย่ี วขอ งกบั ชวี ติ ประจาํ วนั
ของตนเอง เพื่อขยายความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งข้ึน ในข้ันตอนนี้ฝกสมองของผูเรียนใหสามารถคิดริเริ่มสรางสรรคอยางมี
คุณภาพ เสรมิ สรา งวิสัยทัศนใ หก วางไกลออกไป

ข้ันที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate)

เปน ขน้ั ทผ่ี สู อนประเมนิ มโนทศั นข องผเู รยี น โดยตรวจสอบจากความคดิ ทเี่ ปลย่ี นไปและความคดิ รวบยอดทเี่ กดิ ขนึ้ ใหม ตรวจสอบ
ทักษะ กระบวนการปฏบิ ตั ิ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด หรือการเคารพความคดิ หรอื ยอมรับเหตผุ ลของคนอืน่ เพือ่ การ
สรา งสรรคค วามรรู ว มกนั ผเู รยี นสามารถประเมนิ ผลการเรยี นรขู องตนเอง เพอื่ สรปุ ผลวา มคี วามรอู ะไรเพม่ิ ขนึ้ มาบา ง เกดิ ความเขา ใจ
มากนอ ยเพียงใด และจะนําความรูเหลา นน้ั ไปประยุกตใชใ นการเรียนรเู ร่อื งอน่ื ๆ หรือในชวี ิตประจาํ วันไดอยางไร ผูเรียนจะเกดิ เจตคติ
และเห็นคณุ คา ของตนเองจากผลการเรียนรูท ี่เกดิ ขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูท่ีมีความสุขอยา งแทจ รงิ

การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามข้ันตอนวัฏจักรการเรียนรู 5Es จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเนนผูเรียน
เปนสําคัญอยางแทจริง เพราะสงเสริมใหผูเรียนไดเรียนรูตามขั้นตอนของกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง และ
ฝกฝนใหใชกระบวนการคิดและกระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะชีวิต ทักษะการทํางาน และทักษะการ
เรยี นรทู ่มี ีประสิทธภิ าพ สง ผลตอ การยกระดบั ผลสมั ฤทธิ์ของผูเรยี น ตามเปา หมายของการปฏริ ูปการศึกษาทศวรรษท่ี 2
(พ.ศ. 2552-2561) ทกุ ประการ

คมู อื ครู

คําอธิบายรายวิชา กลุม สาระการเรยี นรู ภาษาไทย
ภาคเรยี นที่ 1-2
รายวิชา วรรณคดแี ละวรรณกรรม
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปท ี่ 5 เวลา 60 ช่ัวโมง/ป
รหัสวชิ า ท…………………………………

เส4ร�ม ฝก ทกั ษะการอา น การเขยี น การฟง การดแู ละการพดู การวเิ คราะหแ ละประเมนิ คา วรรณคดแี ละวรรณกรรม
โดยฝก ทกั ษะเกยี่ วกบั การอา นออกเสยี ง ตคี วาม แปลความ และขยายความ คาดคะเนเหตกุ ารณเ รอื่ งทอี่ า น วเิ คราะห
วิจารณ แสดงความคิดเห็นโตแยงเก่ยี วกบั เรื่องท่อี าน และเสนอความคดิ ใหมอ ยางมีเหตผุ ล ฝก ทักษะการเขยี น
บรรยาย เขยี นพรรณนา เขยี นโนม นา ว เขยี นโครงการและรายงานการดาํ เนนิ โครงการ เขยี นรายงานการประชมุ
ประเมินคุณคางานเขียนในดานตางๆ ฝกทักษะการพูดสรุปแนวคิดและแสดงความคิดเห็นจากเร่ืองท่ีฟงและดู
ประเมนิ เร่อื งที่ฟงและดู และศึกษาเกี่ยวกบั ระดบั ของภาษา
วิเคราะหว ถิ ไี ทย ประเมนิ คา ความรแู ละขอ คิดจากวรรณคดแี ละวรรณกรรม ทองจาํ บทอาขยานท่กี าํ หนด
และบทรอยกรองที่มีคุณคาตามความสนใจ โดยใชกระบวนการอานเพื่อสรางความรูความคิดนําไปใชตัดสินใจ
แกป ญหาในการดําเนินชีวติ กระบวนการเขยี น เขยี นสื่อสารอยางมีประสิทธภิ าพ กระบวนการฟง การดู และ
การพดู สามารถเลอื กฟง และดู และพดู แสดงความรคู วามคดิ อยางมวี จิ ารณญาณและสรางสรรค เพ่ือใหเขาใจ
ธรรมชาตภิ าษาและหลกั ภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษาภูมปิ ญ ญาทางภาษา วิเคราะหวจิ ารณว รรณคดี
และวรรณกรรมอยา งเหน็ คณุ คา และนาํ มาประยกุ ตใ ชใ นชวี ติ จรงิ รกั ษาภาษาไทยไวเ ปน สมบตั ขิ องชาติ และมนี สิ ยั
รกั การอาน การเขยี น มมี ารยาทในการอาน การเขียน การฟง การดู และการพูด

ตัวชว้ี ัด
ท 5.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/5 ม.4-6/6

รวม 6 ตวั ชีว้ ดั

คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

˹§Ñ ÊÍ× àÃÂÕ ¹ ÃÒÂÇªÔ Ò¾¹é× °Ò¹

ภาษาไทย

วรรณคดีและวรรณกรรม ม.๕

ชัน้ มัธยมศกึ ษาปท่ี ๕

กลมุ สาระการเรียนรูภาษาไทย
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ผูเ รยี บเรียง

นายภาสกร เกดิ ออ น
นางสาวระวีวรรณ อนิ ทรประพนั ธ
นางฟองจนั ทร สขุ ยง่ิ
นางกัลยา สหชาติโกสยี 

ผตู รวจ

นางประนอม พงษเผอื ก
นางจินตนา วีรเกยี รติสนุ ทร
นางวรวรรณ คงมานสุ รณ

บรรณาธกิ าร

นายเอกรนิ ทร ส่ีมหาศาล

พมิ พครงั้ ที่ ๑๐

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบญั ญตั ิ

ISBN : 978-616-203-603-3
รหสั สนิ คา ๓๕๑๑๐๐๖

¾ÔÁ¾¤ ÃÑ§é ·èÕ 8 คณะผจู ดั ทําคมู ือครู
ประนอม พงษเผอื ก
ÃËÊÑ Ê¹Ô ¤ÒŒ 3541010 พมิ พรรณ เพญ็ ศิริ
สมปอง ประทีปชวง

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

¤íÒá¹Ð¹íÒ㹡ÒÃ㤪íÒËŒ¹í¹Ò ѧÊÍ× àÃÂÕ ¹
หนงั สือเรยี น วรรณคดแี ละวรรณกรรมเลม นี้ เปน ส่อื สําหรับใชประกอบการเรยี นการสอนรายวชิ า
พ้นื ฐาน กลุมสาระการเรียนรภู าษตาไาทมยหลชกัน้ สมตู ัธรยแมกศนกึ กษลาาปงทก่ีา๕รศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ ไดกําหนด

เนื้อหาตใหรงภตาาษมาสไาทรยะเกปานรกเรลียุมนสราูแรกะนกกาลราเรงีขย้ันพรูหื้นลฐัากนโดอยามนีจทุดํามคุงวหามเาขยาเใพจ่ืองาพยัฒในหาทศั้งกคยวภาามพรูแขลอะง
ชวยพัฒนาผูเรียนตผาูเมรียหนลใักหสสูตารมแาลระถตใัวชชภี้วาัดษาเนไทื้อหยไาดสอารยะาแงบถูกงอตออกงเปคนลหอนงแวคยกลาวรแเรลียะนเรหูตมาามะโสคมรงกสับรวาัฒงรนาธยรวริชมา
สะดวกแกการจัดกไาทรยเรสียานมการถสนอนําคแวลาะมกราูรคววัดาผมลเขปารใะจเเมกิน่ียผวลกับพหรลอักมเสกรณิมฑอกงคาปรใรชะภกาอษบาอไื่นปๆใชทต่ีจิดะตชอวสย่ือทสําาใหร
ผเู รียนไดร บั ความรแูอลยะา เงปมนีปเคระร่ือสิทงมธือภิ ศากึพษาหาความรูตลอดชวี ิต

ʨµÑ´ÐÒ´Á¡ÇµÅ¡ÇÑØÁ‹ áªà¹¡éÇÕ é×Í´Ñ‹¡ËÒáÃÒŨà»Ð´Ñ š¹Ê¡ËÒÒùÃÐàÇ‹ áÂÂÕÒ¡¹ÃÒàÃÃÌ٠àÕÂÃค¹ÕÂùวÙጠáาŒÙ ¹ม¡ÅเÒป§ นภเาอษกาภไาทพยแเลปDµะÅeนÍsเ´iเสgàอÅnรÁ‹ กิËม¹ªลสÇ‹ŒÒÂáักรãºËษาºŒÍãงÒ‹Ëณ¹บÁ·‹ ขุคíÒʤÇอลÇÂÒ§งิกÒÁÁชàภ¢ŒÒ¾าãาÔÁ¨ตพ¾ä´ิเŒ§ขôป‹ÒÂอÊนÕงสคมนบในัตชิท»áา·¡าตÃ³Ô ง¡¡ิใàว»Ðหš¹ัฒàÃม»Ðš¹นÂีค¤ÐธÇวæÒราÁµÃรมÅàÙŒ ¾มÍเÔÁè´ปอà·µ§éÑนÔÁันàŨไ‹ÁÒกท¡àอ¹ยé×ÍใËหÒใâชเ´กÂใÁนิดÕ
การติดตอส่ือสารเพื่อสรางความเขาใจเพ่ือความสัมพันธอันดีตอกัน ทําใหสามารถ
ò ปใเใเปพชชรใลสอ่ื ะนยี่ํพากกนหฒัอาแรบรนับปดธาลกรุําคกงเาวนทิจราินาแมงชกสรสีวาวูกงัิตรงรคงปหะามรบานะคควจวนวแําาากลวมมาะันกรรดใาูคแหาํ วิดลรเหจงวะนชรเิปคญิาวี รรทิตกะาราาะสงว วหบวมหทิกกนกยันาาาารใรศนณวนาสิจจอสงัาากตครกจรมณแแาปกหลรกนะละาเยี้งชทรังขาสคเธอปรโปิานมนงไูโลสสตลสอ่ืรยยาแรไี รตดคสสลอใดหนอยงทภดเา ทงนัจมู สศนติปนัตนอญตากาํ ญิสงไาปๆุขารหน่วยการเรียนรทู้ ี่
๒. ประวัตผิ ู้แต่ง ปกณิ กะ
บทละครพดู คาํ ฉนั ท เรขอื่ งอมงทั บนะรพารธพา บุรุษดานวัฒนธรรม ประเพณี สุนทรียภาพ เปนสมบัติลํ้าคาควรแกการตวัชี้วดั พเใมร ปจนพจเรัชกคี หึจ็นกงแสิะกนรรกวา้โนัคณหมมะย็มตปาาจคลงัสย้ลังัผลมฑพกอรสัเงลมรวตทแู้ดมดววร์ือก ชัังเงเ่อต้นะีี่ คี จมเดทุสม นกแ๑ย(กง่มวก้าจา็รหาเ่ีาาลเ าลพาจรณัารพวลมรจนเะมดอ้่ื้าตาิชดรทแรึงอฑเ)พชางฯะ�าิตดะชโ ล ี่ีกพมน๑ยป์ทมอ แร ิมาะค ามห่ิะรรบ้ังหดหเแกเวพยมดะคสนา มิศาัณต่านเยาเอเ่ือยปรสห ราว่กง่พงาฑะคตงนม็ กสหนตลเพคนใรราเจณ ์มสนั้ึ่น้างงะโจลงั้มิพ้ ี้นาัดฯัทพเครหเาเ้ ังเปัพจฒพดย ัชจลส รลเรา้ใ็เปรอนีรร กังด(ะโหว ฉชหาะกก ม็านยโงค็จ้ตพะายด(ลรนษสมพาเรหั้งขดมสาายทร)พูาพาเรอนกะ พวนพปทมรี ่ะิพฝิณง ช)ิถ๒ดา็นรรั้รงีบ เมีกัตฒิึงบาะะาสดพพแุตณัแปอืชสรคดอมิตโรารบัใกมรดลฑกีงจดะ่งนชทมร่อ�าเักงยตทษีเม์กาดายาเสยวัณาุสีส่นยาชทัาจ็น์ ่ียั่ญพาดส�าขร กินพฑรชุงม๒คิพเม่กว้ึ ีนารรตลิร์นอัญ รคนรฒัภาะยีคเชงยี้นอรชเปือบบ์ก นโิจโแู่มยับกน ็กไนรุเตา้ร ลทู่ คดราเไรมษบัชเรจว้ยีดรกส่ีแ้เนจทารหกม้าสง้จวรก้หามพ่าหาญ่ืองงุะ่า ่พนว ลคธไรนปแมิงงดรึ่เนงะทรงัตีฉศดห ทย้ะเาบส่ี ่ปงลเ์ิมยาคามรธอืรุไ๑ู ช็นงาืออีด นพา ้ดตพิ.ีเศกิ นย.ล่ีย ธอรข์ม๒ขานนึ้ชอ ๓างเอไธท๔เจริกมี ศ้า๘าสพ่มชน า�รีส์หะนผใย�าลนรวานงพอืสนารวนเมหะวนกคัยนสาลขรรงึ่สงัอปัชในั นรงก(ะดหผภพานรูนั้ใลาช)ดยธทา์สห่ี ดู้ไล๑กดงั ้ ตมใพ เำน หใด ถร มนพกำือะว้ จเยรำนชนวำ�ะุครำสอพนมเข๗ต๖้ำสท๕๔ันวอ๓ำ๒ิส๑ยนั.ศ.น.ล.ง. .กุ ด... ดกนพ กยัพ . กทกำก”ท“ทรำกัณจ์มมรกณัร �ำณัใรัณช้ำรำะัณ ำหำะณัหใเฑำฑยเนฑศกทฑบหค้ทำทฑดฑม์ขจ์กรพ์ช้เอำชศ์ว�ำศอก์หกห์ทีอลุณัูชถำกนรมนนง ิมิดำำกพศตะอำแปหฑพ์ม์มพรพค ในพนบุกิจรำ ์๗ริยหนหนวำิพช่ำึ รงะ๒ชะเำน๓ำกำ นส ำ๙มเำนโ๐๘ว๑มชชณัตวพกต๕ิยต ธศ๙ำำเ๙โ์ อพ๐มิเธไฑช์ เลต ๑ตนต รบุพ ิรสจื่อ๕น์กพิน๓พิ่ืือพมอระำัดวัรตว้นั๗รยิงยงีรสอคร๔ะ่ำตวๆ่ำะนพะมะกิยคำ ์ก กคคันคพร ทถูำ่พทำก่อแดำะำำตมำรถ�ำำั้รงนตถมงัถถะ ์ก ักำระหทน่งำำำคำฟ จเัคนมส คี่้ี จลำะังำหดถระัยถรเถลท่ือำ มบคัำำังนงศ๑ำ เ�ำ อสปทปนห๓อิ่งน็ ี่รบ์มล ลกเะรวหจะพกสิเงำำ้พวัณรูต ขชณันริเขอำฑปษ องพต์ ็นำจกงิใิธเ เเงณัหปีใจจบเ๑๑้จห็ฑล้ำน้ำ๑๑ูช๓บ๒้มฟชยเ์๑เำ๙๐๘ทใร.ำีบห.ำใ. .น .่ือศ ย. หธรน นกวงสนกรรก้จก้ำกคันรัณยิัณทรค์ณับกณััณำรเมำธนฑทฐดฑฑกวฑกธฑัตลิน์ฉิวียม์ณัเ์สำ์มิเก์ถกะำวกไบหศกััทฑ ปุมะน่ียจษ๑ศำกค รำ์ แวั้นะรัต รบ๔ลี รกแลไก ำ ๙รรด ้ำลณั๘้วัชบติยพ๑รย๐้บะ พ้ัง ์ฑพ ๐ร๖อ ตุญ๓รปพะ ์รพ ๑ย๙รแะร๔๖มรศะรู ่ใัสหละะ ำพเร¡ นะ๓ระพววทคพกีอครÒปู้เจ ่ำสรีปำ ปำระพำÃำดังะถสพะรแค็นถàตเรชคำิยัคนดลัน·ำำพะดุำำเำถะืดอคบมÈมรเถถจำคนรูำชะตทำ¹ำ ะ รถำ พไ้อไอื่Áดอำต๑ุทดงงัอนร๒Ëเธ้ไบรยกปเเÒ ชู่ือปจไปเªถำดกง้ำ็นทึงÒ้ใิด ุมหµ้ Ô
มทั นะพาธา
• ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๓, ๔, ๖
เปนวรรณคดีผลงานพระราชนิพนธใน
เรียนรูอนทุร้ังักนษ้ีหแ นละังสสืืบอเสราียนนใหรค างยอวยิชูคาูชพาตื้นิไฐทายนตลภอาดษไปาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปท่ี ๕ นี้42สอสดําแนบทวทรนลกกภะคาคาตรรษยสิพพากอดูรทนยะคี่สบใาอํ จื่อาฉงเอทนัรจาสอื่ทารมงก มดคเวดวณวรจ็ยาร พคมณควรรวคะากั มามดไดมงีไสกพอรโฎุูสมยเรเาึกสกางขระลซอวขาาาองเบจตเงาปซ กัวอง้ึนลายกรยะหูนิเคอลวัใรดจอื ไแขดกลอรใชะบัง
๓. ลมหกั าเษวสณสันะดรคชา�ำ ดปกทร่ีเปะ็นพมหนั าธชา์ ติกลอนเทศน์ มีลักษณะค�าประพันธ์เป็นร่ายยาวท่ีมี
สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง
• บกทารลวะิเคครรพาะูดหคแ์ ําลฉะันปทร์ะเเรมอ่ื นิ งคมณุ ทั คนา่ ะวพรราณธาคดแี ละวรรณกรรม คจเดวาา� ว้น้ถนยาควปบ�านรราสคา่ะลุดกา�ยนีท ายแ�า้าราตยฉว่ไ ะมแน่คลบ้ ี วเะทปรอหน็นานจตอ้ งึ่จยน้ ไบก)ม ลวจด่ า่งา�ังด กแ๕ว้ ดัผ ยคจน า�า� ผ“น คังซวา�แง่ึนสลครวะา�อ้รตสรยวัดุค”อ ท ซย(้างคึ่่ายนง�าขบยสิ อทมรงอ้ปตวยงั้รร แะรเพคตช ห่ันน่๕นธ ว์ า้ฉดรจะรงัะนคนส ี้ ข่งี้ ดนสึ้ ังมัไนปผี้ สันโดไ้ันปยเแวถรติดรล่ คะนหว้นั รลแรงั คลคไ �ามแใจ่ดลา�ก้วกแ็ไดัดล้

(คาถา) (คา� สรอ้ ย) พระสงฆร์ ับประเคนจตปุ จจัยจากพุทธศาสนิกชน การจดั บรรยากาศให้เหมือนปาในการเทศน์มหาชาติ
40
16

ทางคณะผเู รยี บเรยี งแบงเน้ือหาออกเปน ๒ เลม คอื
¤ÇÃÃú³¶ÇŒ¤¹´´Õ àÇŒ¾ÂÍè× à¹à»Íé× ¹š ËáÒ¹áÇÅ·ÐÒá§¹ã¹Ç¡·ÒÒçǡàÔÒ¤ÃÃÇÒàÔ Ð¤ËÃáÒÅÐหËЏลกั ภาษÊาÃÃแ¾ÊลÒะÃÐกÊาÒรÃÐใà¾ชÁÔè ภ àµาÁÔ ¨ษÒ¡าà¹ค×Íé ËรÒอบคลมุ ตวั ¾¤ชíÒ²Ñ ¶วี้ ¹ÒดัÒÁ¡»แÒÃÃลàÐèÂÕะíÒ¹สËùàŒÙ า¾‹ÇÍ×èร¾¡ะ²Ñ ÒกùàÒาüÕÂรàŒÙ¹ÃเÂÕÃร¹ÙŒáยีãÅËÐนÁŒ ¡¤Õ Ô¨ร³Ø ¡แู ÀÃÃÒกÁ¾นʵÃÒกŒÁÒ§µลÊÇÑ ÃªาÃÇÕé ง¤´Ñ 
»ÃÐàÁÔ¹¤‹ÒÇÃó¤´áÕ ÅÐÇÃóส¡าÃรÃÁะที่ ๑ การอาน สาระท่ี ๒ การเขยี น สาระที่ ๓ การฟง การดู และการพดู และ
สาระที่ ๔ หลักการใชภ าษา๗. บทวิเคร�ะห์
วสขารอรรงะณผทูเคร่ี ๕ียดควนีแรณวใลรรหะะณรผมวณคูเีครรคดรุณียดีแณบภีแลเกลาระรพยีะวรงวบรมหรรรรเวณรลณังลมกเกปุตนรรันวร้ี รชมอจมี้วยะัดคาเปงแรยอนลง่ิ บะสวมค่ือาลากหตุมานรรตเังฐัวรสาชียอืน้ีวนเกัดรกาแียารลนรเะสรรสียอาานนยรรวทะูกิชี่ชกาลวาพุมรยื้นเสพรฐาียัฒารนนนะรกาูแภศาการักนษเยรกาภียไลทานาพยรงู สเมแนนพพทุภทมงุ่ลมจยิคกทื้อซราราสศะหึงีขมือาะงหกุพะ่ึงดโพทาอในรกกมคมอาดุ ๗ชรธิรจบาาเลย ีไกหวีา้ใงรรัรดรเดา่นงาช.ลรีเาาศขรดท๑งแ้พสรกชกิอ ลบตว�า พัุกซภพร่ิมสาธิุตปแรกเร ่งึ่รคนารรา�๑ มเตลร�ามโ๒สพตรรหพินาว้คแหณุห)ะณมขมิม) รร ชใเคลลนาผ ลอนบ รัเเรนคางวระดด๑แ้รูณองง๒เงูปแสาราา๒นื่า่จ็อเ๐สตพาง.ชานอมเนหแพ๑งด.อม้ืง่น คก่าย๒งใาื้อบตป่ทงย)หรเ่ีป์ยปนย้าสลเ)กดหางัรบะี่ไราวสเรุภรดนะไมมะมจ็โราปอ่ืทก ะะาดเค้าากุงพไเเห่งใอ็พลนเัี่บกรเ้นพควรหานชปรนรีายิละวอกงัน้เร้าพา ่กงะน็สพนอื้ ้ิเตดร าบเวโธนรสารมสสรครพแตียรตทหอ์่ื ขระเาื่อว่ณังณเลงะกร่ราง่ีสปสวจดอนาคงเเศงะ ง่นคเูงดึงงรลรินใงหเปสจวลๆสนค่ือนพีชดีเสงแทา้าวรรลิร ่งงพรพัีบาแ�ม่ิาลมชมี ัตาือ่ติ กาซสกคน่าวะงเงศาสถหงตมาตึ่างยรไศั่แาสญวักุภ ุาระดมเมเิมเแาา๔ลปเดรขทปาหข้ลรมหาพวตะา รพสิ์้า�า็นอัมบรงดกปชาร่งะรไิทส พถงไรอืาเชาาวะ ปรแงปธกปถลทะปรรา่สัตะัยค ลิ์าส็นค ใยิกตลว่าริศชรนเะรมเรนมิาลไงตานาานโปทดด่�ารกมิลคอเามตสื้อน็ะาสผ้ี่ค ้แานิตลยตตะยแหอนวรแรู้รกงสุช่าเ�าุทรลมิรยวการตลส่ งุภิตร์แระญทธบ่าเาง่งยีส่ากณรชจาลหรงเ่ีส พิ่องุภพอ่ืพาลกัปิโะงัตค�าเโนางร่าาอืิเรชดกพ ดคดถล ปทพรวยกคัคงยปยัเรญีี ัยสร็น�า สฉใาอืรสากรแรถชทสเมวลอลค ะงะดาปตสึงค้งรรับคงมกิ คือรวินวค่่็งเนา�รแ�ากอกพพรน ัตนนปาณรหลปาันบรรรกื่อองาา�ทระลมะรกะ ตดผมมะมกาพปี่ท๑ะเักรแพา้วู้เรก าิใจรพรป๒ร�ขามหยลยจนัยีะาะกมสัน็นอ รคะาจ้เอพกรธาปนง่เาโกธงทรตวปพ์รพนัฉบคยรเ้ือยิ์ทาปสิ่ีรตรรธระลรรสรมวเักมั้รงะ่ื่ออเก์ระะาิามตุัภะปเสเผเื่อสงเปมาหณภวรดพากอน็่า รงู้แรอยตัมทพจ็ีนรงยรขล“ีชบนัุทศิพารตปาะแรบกัาาบา่ะกาธเชระดตรลษทสกสยสอยะหเะปะชิสณลบาีมสยนตุปทเโัตรีวมภมงภุคราขรเะรธะถิตรพตทเ์ ทนาลดาอเหศีกดชโริพพท่างขว้ริงนดัตวั็บีวจถยายี่อ ณย้ี ราถศ”ง ี ี ทมทบพพ้นาาุปรรนวะเะผทเบยภาธียาาัสกอมรรดรกมทัทอา็ชีุรกง่ือนีทหติบท้ังทมิสา้าเัู้ง่ไมนมวพมเาเบ้ธกวดะรอง็ย็จิสแอทิ้อมุทกมิรมแ้งวธินรยกแ์ิดินา้มรล้วทะพปะยรทกรพป์เ�าจะาวิยอ้าเโงรบฟอนทนุษุโต้าอมสรดฐงทุรม์้วตกานยิ่งบ็โลามรปพัยทยกรราระุฎะนอ่วกทหันงาาจรัตเเปวนดาถสก็นองั ์อนฺสกัในยห้แีนลพู่ฉญลีฺบติเา้วศร่ใเดแมนสษลฉฆดฺสาากฝนวรแ่ดาะหยึงทร่งสฝ้อ�าพ์สูงสงรวอสักะรมาเกรวรธคาสเุกร์กทสบา็มันเรูวชาดสศโารปรแทรรรกุกายเ่ชสสวปฤมิมรริญเๅาาดษนยเ็จีผจทมนู้เริพาปาิญศ็นยงคา� ถามประจ�าหน่วยการเรียนรู้
มททฺ ิปพฺพํ นิฏฺิตํ
พระมหาอปุ ราชา ๒.๓) ตัวละคร ๑. คจบงวทอาคมธวิบสาา�ามยคเรัญือ่ ขงอโคงลเกนษตตดิ รลก้อรสต�าอหนรับคปวารมะเนทิยศมเกเปษน็ ตเรสกมรยีรนมอมยแี ่านงปวคระิดเสท�าศคไญั ทอยยม่าีองะไไรรบ้าง
ประดับดว้ ยพระคาถา ๙๐ พระคาถา ๒.
กภําาหษนาดไทไวยท กุ ตปารมะทก่ีหารลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑รจแวาลมกะถบขึงท้าทรปารรชงะปบพรรนัับิพธปาบ์ รรา งุงดตตงั�าอบรนสา(ท๑พยมป)งัเิชรดแมัยะจ็สพีคสพดวงนังรคาธใะมรห์นาเเ้เปมหร็นจน็ศานววกรา่ักขทปอรกงงคเเปดรน็ิมอนงใหทกั ้เ่ีดปหี กมทคารระองสเงมลท ือพ่ี แกรลใอ้ชะมร้คัดรนบักโฟุมดงัยมคพาวกิจายาม่ิงรเขณหึน้น็า จขนาอกองคกขุณจนุ านวกาุฒนงิ ้ี
๓. คโขสค่าา้อลนมคนิยาิดตรมจิดถขาลนกออ้า� บงไคทปจนงคเปอไวทธน็าบิยมขใา้อเนรยเื่อตปงอืัจโนจคุบใลจันนในเตหกิดมาลรือ้อในชห้ชตรวีอือติ นแไดตค้กจวตงา่าอมงธนไบิ ปิยามจยาเปก็นค่าเสนมิยียมนในขบ้อใทดคทว่ีนามักเเรรีย่ือนง
๔.

๕. นแลักะเรจยีะนมคีวธิิดแีวกา่ ้ไ“ขโคอลยน่าง”ไทรก่ี ดี ขวางความเจรญิ ของประเทศชาติในปัจจบุ นั มีอะไรบา้ ง

กจิ กรรมสรา้ งสรรคพ์ ัฒนาการเรยี นรู้

สรรพส์ าระ ประเภทของชาดก ๑. ใใใขเอหเหหลขอุ้ป้น้น้นือยีคสกักักักนดิรเเบเบรอรรรทยีคียยทียนคตน่านควงเ่อเอวสขไากาภรนมยีมาปิ อนใรแแนรมพผลสาตุมงัฒัะดยอมขมงหนนอ้โคอนนาอควงปา้ทนื่าดิผชรมศัๆเ่าะน้ัหนคนเเขทลดิแ์กรอา่ศียเสรหนงะนดเพบน็้ันใงรนวเยรข่ือกน้อหงังอ้ ่ียมมโกัวคควอีาขทดิ กลรย้อ้ังจบันคเู่ใาสนคิดต“กเน่าเดิปกกนอ“ลัจษโี่ยิยแ้อจคตวมนุบลรกอใะันนกบันธแรหติบยนช“ิดรคุาโว่วอืลคยปทยไอ้ลวัจชมา”นา่ งจา่ แตุบตเรกิดิ”นั ื่อ้ไลขงท้อเ”น่ีหักลเ่ารนยี ัน้ นสคะิดทวอ้ ่านเป็น
๒.
ชำดกม ี ๒ ประเภท คอื ๓.
๑. นิบำตชำดก เป็นชำดกท่ีมำจำกพุทธวจนะ ๔.
มีปรำกฏในพระไตรปิฎก ๕๔๗ เร่ือง คนทั่วไปนิยม ๕.
เรียกว่ำ พระเจ้ำ ๕๐๐ ชำติ พระพุทธเจ้ำจะทรงเล่ำ
นิบำตชำดกก็ต่อเม่ือมีผู้อำรำธนำ คือ มีผู้มำขอร้องให้
ทรงเล่ำน่ันเอง
ทศชำติหรือสิบพระชำติของพระโพธิสัตว์
กอ่ นจะประสตู เิ ปน็ พระพทุ ธเจำ้ ซง่ึ รวมถงึ มหำเวสสนั ดร
ชำดกทนี่ บั เปน็ นบิ ำตชำดกดว้ ย เพรำะพระสำวกทง้ั หลำย เรอื่ งมในโหวสดั อถรชภณุาาดพรกาจชติ วซรรง่ึ กาเปรรา็นรมมนรฝิบาาชาผวตนรชงัมาหดากวเหิรา่อื รงหนง่ึ
เปน็ ผอู้ ำรำธนำใหพ้ ระพทุ ธเจำ้ ทรงเลำ่ ในเหตกุ ำรณเ์ มอ่ื ครง้ั
ฝ แนตโ่เบปก็นขชรำพด๒รก.ร ทษปี่แตัญตกญ่งดขวำ้ ้ึนยสโพชดำทุ ยดธภกบิก ำษรเปุชมำ็นที ววชี่ เดัำชดนียกโิงคใทรหี่ไธมมำ่ ่ไรดซำ้ป่ึงมนรำ�ำกเรฏื่อใงนมพำรจะำไกตนริทปำิฎนกส ุภไำมษ่ใชิต่ชหำรดือกนทิที่มำำนจอำิงกธพรรุทมธะวทจี่เนละ่ำ
123 ตอ่ กันมำ รวบรวมแต่งไวเ้ พ่ือเป็นข้อคดิ สอนใจผคู้ น
167

30

คณะผูเรียบเรียง

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate

ÊÒúÑÞ

บทนํา หนา
การอา นวรรณคดี ๑ - ๑๓

๑หนว ยการเรยี นรูท ่ี ๑๔ - ๔๑

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑม ทั รี

๒หนว ยการเรียนรูที่

บทละครพดู คําฉันท เรอ่ื ง มทั นะพาธา ๔๒ - ๗๓

๓หนว ยการเรียนรูท่ี ๗๔ - ๑๓๗

ลลิ ิตตะเลงพา ย

๔หนวยการเรยี นรูท่ี ๑๓๘ - ๑๕๗ บทเสรมิ

คมั ภีรฉันทศาสตร ๑๕๘ - ๑๖๗ บทอาขยาน
แพทยศ าสตรสงเคราะห ๑๖๘ - ๑๗๑
บทอาขยาน คือ บททองจาํ การเลา การบอก การสวด เร่อื ง นทิ าน ซ่ึงเปน
๕หนว ยการเรียนรทู ี่
การทองจําขอความหรือคําประพันธที่ชอบ บทรอยกรองท่ีไพเราะ โดยอาจตัดตอน
โคลนติดลอ มาจากหนงั สอื วรรณคดี เพอื่ ใหผ ทู อ งจาํ และเหน็ ความงดงามของบทรอ ยกรอง ทง้ั ใน
ตอน ความนิยมเปนเสมยี น ดา นวรรณศลิ ป การใชภ าษา เนอ้ื หา และวธิ กี ารประพนั ธ สามารถนาํ ไปเปน แบบอยา ง
ในการแตงบทรอยกรองหรือนําไปใชเพ่ือเปนขอมูลอางอิงในการพูดและการเขียน
บทเสรมิ ไดเปนอยา งดี
บทอาขยาน

บรรณานกุ รม ๑๗๒

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explore
Engage Engage Explain Expand Evaluate õตอนท่ี

กระตนุ ความสนใจ

นักเรยี นรวมกันพิจารณาภาพหนา ตอน จากนน้ั วรรณคดแี ละวรรณกรรม
ครูสนทนาซักถามกระตุน ความสนใจ ดังตอไปน้ี

• นกั เรยี นคิดวา ภาพหนาตอนที่ปรากฏเปน
ภาพจากวรรณคดเี ร่อื งใดบา ง
(แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคิดเหน็
ไดอ ยางหลากหลายข้นึ อยูกบั เหตผุ ลของ
นักเรียน โดยกลา วถึงท่มี าของภาพท่ปี รากฏ
ในหนา ตอนวา มาจากวรรณคดเี รื่องตางๆ
ดังตอไปน้ี
• มหาชาตหิ รือมหาเวสสนั ดรชาดก
• บทละครพูดคาํ ฉันท เรอื่ ง มทั นะพาธา
• ลิลิตตะเลงพา ย
• คมั ภีรฉนั ทศาสตร แพทยศาสตรส งเคราะห
• โคลนติดลอ ตอน ความนิยมเปน เสมียน)

• เหตุใดนกั เรยี นจงึ คิดวา ภาพที่ปรากฏใน
หนา ตอนมีทมี่ าจากวรรณคดเี รอ่ื งดงั กลาว
นกั เรยี นมีวธิ ีการสงั เกตอยา งไร
(แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น
ไดอ ยา งหลากหลายขึ้นอยูก ับเหตผุ ล
ของนกั เรยี น)

• จากภาพหนา ตอน นกั เรยี นคดิ วา วรรณคดไี ทย
สะทอนสภาพสงั คมและวฒั นธรรมไทย
หรือไม อยางไร
(แนวตอบ นักเรียนสามารถแสดงความคดิ เหน็
ไดอยางหลากหลายขนึ้ อยูกับเหตผุ ลของ
นกั เรยี น เปน ตนวา สะทอ นความเปล่ียนแปลง
ของยุคสมยั โดยวรรณคดีทาํ หนาทบ่ี นั ทกึ
ความเปล่ยี นแปลง)

เกรด็ แนะครู

ในการเรยี นการสอนวรรณคดีและวรรณกรรมนน้ั ครคู วรเนนทบทวนความรเู ดมิ
ของนักเรยี นเปน หลกั และรวบรวมประเด็นเกย่ี วกับความสนใจของนกั เรียนตอการ
ศึกษาวรรณคดี เพือ่ ใหน กั เรียนรว มกนั แลกเปล่ยี นประสบการณ ความรเู ดิม
ครูสามารถนําขอ มูลหรือองคค วามรดู ังกลา วของนกั เรียนมาใชใ นการจัดการเรียน
การสอน เพือ่ ตอบสนองความตอ งการหรอื ปรบั เปลี่ยนทศั นคตขิ องนักเรยี นทมี่ ี
ตอการศึกษาวรรณคดไี ดอ ยา งเหมาะสม เพ่ือใหนักเรยี นไดเกดิ การนําองคความรู
จากการเรียนการสอนวรรณคดีไปตอยอดในการศึกษาวรรณคดเี ร่ืองอนื่ ๆ รวมถงึ
เปนการสรา งพนื้ ฐานความเขา ใจสภาพสังคมและวฒั นธรรมไทยในอดตี

นอกจากนี้ ครคู วรพยายามกระตนุ ใหน กั เรยี นระดมความคดิ เกย่ี วกบั ภาพสะทอ น
ทางสงั คมและวฒั นธรรมไทยที่ปรากฏในวรรณคดี เพอ่ื ใหนกั เรียนตระหนักในคณุ คา
และความสาํ คญั ของวรรณคดแี ละวรรณกรรมทเ่ี สมอื นกระจกสะทอ นความเปลยี่ นแปลง
ทางสังคมและวฒั นธรรม

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain
Engage

Expand Evaluate
เปา หมายการเรียนรู

บทนา� 1. กระตนุ ใหนกั เรยี นรูจกั คดิ วเิ คราะหแ ละวจิ ารณ
วรรณคดแี ละวรรณกรรมตามหลักการวิจารณ
การอา นวรรณคดี เบอื้ งตน

2. เขาใจหลักการวิเคราะหลักษณะเดน
ของวรรณคดเี ช่ือมโยงกบั การเรยี นรทู าง
ประวตั ิศาสตรแ ละวถิ ชี ีวติ ของสงั คมในอดตี

3. เขาใจหลกั การวเิ คราะหแ ละประเมินคณุ คา
ดา นวรรณศิลปของวรรณคดใี นฐานะที่เปน
มรดกทางวฒั นธรรม

4. เขาใจหลกั การสังเคราะหข อคดิ จากวรรณคดี
และวรรณกรรม เพอ่ื นาํ ไปประยกุ ตใ ชใ นชวี ติ จรงิ

สมรรถนะของผเู รยี น

1. ความสามารถในการส่อื สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกปญหา
4. ความสามารถในการใชทักษะชวี ิต

คุณลกั ษณะอันพึงประสงค

1. มีวนิ ัย
2. ใฝเ รียนรู
3. มุงมนั่ ในการทํางาน

การอา นวรรณคดี เพอื่ ใหไ ดร บั ความรแู ละความเพลดิ เพลนิ นน้ั ผอู า นจะตอ ง กระตนุ ความสนใจ Engage

อานอยางพิจารณาไตรตรองอยางถองแท เพื่อจะไดเขาใจเรื่องราวและไดอรรถรส ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปนี้
ของบทประพนั ธน นั้ โดยการพจิ ารณาวา วรรณคดเี รอื่ งนนั้ มคี ณุ คา และมคี วามไพเราะ • นกั เรยี นคดิ วา การอา นวรรณคดมี คี วามเหมอื น
งดงามอยางไร การอานในลกั ษณะนี้ คือ การวิจกั ษว รรณคดี นอกจากการวจิ กั ษแ ลว
ผูอานวรรณคดีควรนําความรูในการวิจักษไปตอยอดเพื่อใหสามารถวิเคราะหและ และความแตกตา งจากการอา นหนงั สอื ทว่ั ไป
วจิ ารณวรรณคดอี ยางมคี ณุ คาได หรอื ไม อยา งไร
• จากท่นี กั เรยี นไดศ ึกษาวรรณคดใี นช้ันเรยี น
ท่ผี า นมา นักเรียนมีวธิ กี ารอา นวรรณคดี
อยางไร

เกร็ดแนะครู

ครูควรเนนการทบทวนความรูเดมิ ของนักเรยี นเปนหลัก และรวบรวมประเดน็
เกยี่ วกบั ความสนใจของนักเรยี นตอ การศึกษาวรรณคดี ซึง่ เปน การสรางความเขา ใจ
พืน้ ฐานทม่ี ตี อ การศึกษาวรรณคดี ครสู ามารถจัดการเรียนการสอน เพือ่ ตอบสนอง
ความตองการหรือเพอ่ื ปรับเปลย่ี นทัศนคติของนกั เรียนท่ีมตี อ การศกึ ษาวรรณคดีอยาง
เหมาะสม สามารถตอ ยอดองคค วามรู และทาํ ความเขา ใจวรรณคดเี รอื่ งตา งๆ ทน่ี กั เรยี น
จะไดศ กึ ษาในบทตอ ไปไดอยา งลกึ ซ้งึ กอใหเกิดความซาบซึ้งและเห็นคณุ คา ของ
วรรณคดีในฐานะมรดกทางวฒั นธรรม รวมถงึ เขา ใจสภาพสังคมและความนึกคดิ
ของผูคนและวถิ ีชีวติ ในอดตี ตลอดจนสามารถสังเคราะหขอคิดแลว นําไปประยกุ ต
ใชในการดาํ เนินชีวิตไดเ ปนอยา งดี

การอา นวรรณคดีนอกจากจะเปน การทําความเขา ใจบทประพนั ธท ี่นักเรียนได
ศกึ ษาอยา งลกึ ซ้ึงแลว นักเรียนยังสามารถนาํ แนวทางการอา นวรรณคดไี ปปรบั ใช
ในการศกึ ษาวชิ าอนื่ ๆ รวมถงึ ความรู ความเขา ใจทเ่ี กดิ จากการศกึ ษาวรรณคดียัง
สามารถประยกุ ตใ ชใ นการทาํ ความเขา ใจสภาพสงั คมและวฒั นธรรมไทยไดอ กี ดว ย

คูมอื ครู 1

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain

กระตนุ ความสนใจ Engage

ครสู นทนาซกั ถามกระตนุ ความสนใจ ดงั ตอ ไปน้ี ๑. ความสาำ คัญของวรรณคดี
• นักเรยี นเคยเรยี นวรรณคดเี ร่ืองใดบา ง และ
วรรณคดีเป็นมรดกที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ สามารถสะท้อนสภาพชีวิตความเป็นอยู่
นักเรียนมคี วามประทบั ใจวรรณคดีเรอื่ งใด ของคนในสมยั นน้ั ๆ ผแู้ ตง่ มกั สอดแทรกแนวคดิ คตสิ อนใจ และปรชั ญาชวี ติ ไวใ้ นบทประพนั ธ ์ ทา� ให้
มากท่ีสดุ ผอู้ า่ นเกดิ ความร ู้ ความประทบั ใจ มคี วามรสู้ กึ รว่ มไปกบั ผแู้ ตง่ ดงั นนั้ วรรณคดจี งึ มคี ณุ คา่ ทงั้ ในดา้ น
ประวัตศิ าสตร์ สงั คม อารมณ์ และคตสิ อนใจ รวมทั้งมคี ณุ คา่ ในดา้ นวรรณศิลปด์ ว้ ย
สาํ รวจคน หา Explore นอกจากวรรณคดีจะเป็นมรดกทางปัญญาของคนในชาติแล้ว วรรณคดียังเป็นเครื่องเชิดชู
อารยธรรมของชาติและยังมีคุณค่าเป็นหลักฐานทางโบราณคดี ท�าให้คนในชาติสามารถรับรู้
นกั เรยี นศึกษาเนือ้ หาการอานวรรณคดจี าก ได้ถึงเรื่องราวในอดีต การอ่านวรรณคดีจึงเป็นการส่งเสริมให้ผู้อ่านมีอารมณ์สุนทรียะและเข้าใจ
แหลงเรียนรตู า งๆ ความจรงิ ของโลกมากย่งิ ขึ้น
วรรณคดีเป็นกระจกเงาสะท้อนภาพสังคมและวัฒนธรรม ผู้อ่านจึงควรอ่านวรรณคดี
อธบิ ายความรู Explain เพอื่ ศกึ ษาเรยี นรเู้ รอ่ื งราว ความเปน็ มา ความคดิ และคา่ นยิ มของคนในสงั คมแตล่ ะสมยั การวจิ กั ษ ์
และวิจารณ์วรรณคดจี ะท�าใหน้ กั เรียนไดฝ้ กึ คดิ วเิ คราะห์ รจู้ กั สังเกต ไดค้ วามร ู้ และประสบการณ์
นกั เรยี นรว มกนั แสดงความคดิ เหน็ ในประเดน็ จากวรรณคดี วรรณคดจี ึงมคี วามส�าคัญท้ังในด้านเนอื้ หาทใี่ ห้ขอ้ คดิ คตเิ ตือนใจ และดา้ นสงั คมท่ี
ตอ ไปน้ี ให้ความรเู้ กี่ยวกบั ขนบธรรมเนียม ประเพณ ี และวัฒนธรรม รวมท้ังเปน็ หลักฐานบนั ทกึ เหตุการณ์
ทางประวตั ิศาสตร์ท่ีสา� คญั อีกประการหนงึ่ ดว้ ย
• นกั เรยี นคดิ วา วรรณคดมี คี วามสาํ คญั อยา งไร
(แนวตอบ วรรณคดีมีความสาํ คญั ในฐานะ ๒. จดุ ประสงค์ในการอา่ นวรรณคดี
ทเ่ี ปน มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ สะทอน
แนวคดิ วถิ ชี วี ติ สงั คม และวฒั นธรรมของชาติ การอา่ นวรรณคดีเพือ่ ใหไ้ ดร้ ับประโยชน์มากที่สดุ ผูอ้ ่านจา� เป็นต้องมจี ดุ ประสงคใ์ นการอ่าน
เปนเคร่อื งเชิดชอู ารยธรรม เปนหลักฐาน วรรณคดีแต่ละเร่ือง ดังนี้
ทางโบราณคดี ชว ยในการรับรูอ ดตี สงเสรมิ
สุนทรียภาพใหเ กิดขึน้ ในใจผูอ า น เม่ืออาน ๑) อ่านเพ่ือให้เกิดความรู้ เพ่ิมพูนประสบการณ์ วรรณคดีบางเรื่องมีเน้ือหาเกี่ยวกับ
แลวเกดิ ความรสู กึ รว ม ประทบั ใจ ตลอดจน เหตุการณ์ส�าคัญทางประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม มีการสอดแทรก
เสริมสรางความเขา ใจโลกและชีวิตใหเกิดข้นึ ประสบการณ์ เกร็ดความร ู้ วถิ ชี ีวิต สภาพบา้ นเมือง จงึ ทา� ให้ผู้อ่านไดร้ บั ความรู้และประสบการณ์
ในใจของผูอาน) ในเรอ่ื งต่างๆ อย่างหลากหลาย

• นกั เรยี นคดิ วา การอา นวรรณคดมี จี ดุ มงุ หมาย ๒) อา่ นเพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ คดิ วรรณคดมี กั สอดแทรกขอ้ คดิ ทง้ั ทางโลกและทางธรรมเอาไว ้ ผอู้ า่ น
ใดเปนสําคัญ จงึ สามารถนา� ขอ้ คดิ ทีไ่ ด้ไปประยกุ ต์ใช้ให้เกิดประโยชนใ์ นชวี ิตประจ�าวนั
(แนวตอบ นอกจากจะสามารถอา นวรรณคดี
เพื่อความบันเทิงแลว ยงั ตอ งทําความเขาใจ ๓) อ่านเพื่อให้เกิดความเพลิดเพลิน วรรณคดีบางเร่ืองมีเนื้อหาสนุกสนาน ตลกขบขัน
เนือ้ หา แสดงความคดิ เหน็ วจิ ารณ หรือ อกี ท้งั ส�านวนภาษาทมี่ คี วามไพเราะ สละสลวย จงึ ท�าให้ผอู้ ่านรู้สกึ สนกุ สนาน และเพลิดเพลินใน
ประเมนิ คาเรอ่ื งท่ีอา น เขาใจสนุ ทรยี ภาพของ การอ่าน
วรรณคดอี นั เกดิ จากความรูสกึ รว มท่มี ีความ
เปน สากล ขา มพน ทง้ั พนื้ ทแ่ี ละเวลา โดยยงั คง 2
คณุ คา ไวไ ดเ ปน อยา งด)ี

เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
ขอ ใดกลาวไดถ ูกตอง
ครคู วรเนน ใหน ักเรยี นปฏบิ ัติกิจกรรมท่ชี วยสรา งปฏิสัมพนั ธและรวมกนั ระดม 1. ผูป ระพนั ธสะทอ นเฉพาะความดงี ามในสมัยทแี่ ตง บทประพนั ธ
ความคดิ เพ่อื ใหน กั เรียนมสี วนรวมในการปฏิบตั กิ ิจกรรมในการพฒั นาสติปญญา 2. ผปู ระพนั ธจะแทรกแนวคดิ คตสิ อนใจ และปรชั ญาชวี ิตไวใ น
และสรางความสัมพันธอ นั ดรี ะหวางกนั กับเพ่อื นรว มชนั้ เรยี น โดยในการปฏบิ ตั ิ วรรณคดี
กจิ กรรมน้นั นักเรยี นควรชว ยกันอานและพิจารณาประเด็นตา งๆ ดวยการต้ังคาํ ถาม 3. ผูอา นวรรณคดตี อ งเขา ใจวาเรื่องท่ีอา นไมส ามารถเกดิ ขน้ึ ได
และคนหาคําตอบ เพอ่ื ทบทวนความรู ความเขา ใจของนักเรียนใหมีความเดน ชดั ในชีวติ จริง
มากย่งิ ขน้ึ จากนัน้ นักเรยี นรวมกนั อภิปรายแสดงความคิดเหน็ จากคาํ ตอบทนี่ ักเรยี น 4. ผอู านควรเนน ในการทาํ ความเขา ใจคุณคาทางวรรณศิลป
คนพบ หรือการแบงกลมุ รว มกนั ตัง้ สมมตฐิ าน เพื่อคาดเดาความหมายหรอื แนวคดิ จากบทประพนั ธเทา นั้น
ตา งๆ ทใ่ี ชในการพิจารณาวรรณคดี รวมถงึ การยกตัวอยางท่ีหลากหลายโดยเฉพาะ วเิ คราะหค าํ ตอบ ผูป ระพนั ธจ ะแทรกแนวคดิ คตสิ อนใจ และ
ตวั อยา งท่นี กั เรยี นเคยเรียนมา เพือ่ ใหนักเรยี นไดท บทวนความรูเดิม แลวนาํ มา ปรัชญาชวี ิตไวใ นวรรณคดนี ัน้ กลาวไดถูกตอง เนอ่ื งจากวรรณคดี
เช่อื มโยงกับความรใู หมท ่ีนักเรยี นไดศกึ ษาจากหนงั สอื ท่ีอาน จากน้ันนกั เรียนจงึ ทาํ หนา ทีเ่ ปนกระจกสะทอ นสภาพสังคมและวฒั นธรรมในยคุ สมยั
รวมกนั อภปิ รายแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ ท่แี ตง วรรณคดี ผูแตง จงึ ไดนาํ ประสบการณต างๆ ในชีวิตมาใช
ในการแตง วรรณคดี เพอื่ ส่อื สารเนอ้ื หาสูตัวผูอา นไดอ ยา งสมจรงิ
2 คมู อื ครู ตอบขอ 2.

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

๓. การวจิ กั ษว์ รรณคดี นกั เรียนรวมกันแสดงความคดิ เหน็ ตอ ไปน้ี
• จากคํากลา วท่ีวา “วรรณคดีเปน กระจก
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายของค�าว่า วรรณคดี
หปพรมราะากมยฏงถกคึงฎุ รว้ังเกรแรลรณา้กเใกจนรา้ พรอมรยะทหู่ รี่ไวั าด ชท้รกงั้ับฤนยษหี้กฎนยีกงั่อสางอืตวทา่้ังแวจ่ี รตดั รง่เณปดน็ีมควคีดรุณีสรโณคมา่ คสเรดช1เ ีงิมไวดื่อรแ้ รกณพ ่ ก.ศศวิล.นี ป๒พิ ถ์ ๔นึง๕ขธ๗ ์นล าะดรคัช รซสไท่งึมคยัยา� 2พนวรทิา่ ะ าวบนรา รทลณะสคคมรดเพดไี ดดู็จ้3 เงาสะทอ นสภาพสังคมและวฒั นธรรม”
และความอธิบาย นกั เรียนเห็นดว ยกับคํากลาวขางตนหรือไม
ส่วนค�าว่า วิจักษ์ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายว่า และนักเรียนคดิ วา วรรณคดสี ะทอ นคณุ คา
ความเข้าใจและตระหนกั ในคณุ คา่ ของวรรณกรรม ความนยิ ม ความซาบซึ้ง ในดานใดบา ง อยางไร
ดงั นน้ั การวจิ กั ษว์ รรณคด ี จงึ หมายถงึ การพจิ ารณาวา่ หนงั สอื นนั้ ๆ แตง่ ดอี ยา่ งไร ใชถ้ อ้ ยคา� (แนวตอบ เห็นดวย เนื่องจากวรรณคดีเกิด
ไพเราะ ลกึ ซง้ึ กินใจ หรอื มคี วามงามอยา่ งไร มคี ุณคา่ ใหค้ วามร้ ู ข้อคิด คติสอนใจ หรอื ชใ้ี หเ้ หน็ จากผแู ตง ซงึ่ เปน บุคคลในยคุ สมยั ตางๆ
สภาพชีวิต ความคิด ความเชื่อของคนในสงั คมอย่างไร ยอ มนําความคิดในยคุ สมยั ของตนมาใช
เปน พนื้ ฐานในการแตง วรรณคดแี ตละเรอ่ื ง
๔. หลกั การวิจักษว์ รรณคดี สะทอ นคณุ คาดา นตา งๆ ดงั นี้ คณุ คาดาน
ประวัติศาสตร คณุ คาดา นสงั คม คุณคา ดา น
๑) อ่านอยา่ งพนิ จิ พจิ ารณา คือ อา่ นโดยใช้การวิเคราะห ์ อ่านตง้ั แตช่ อื่ เร่ือง ผแู้ ต่ง คา� น�า อารมณ ความรสู กึ คณุ คาดา นคติสอนใจ
ค�านิยม สารบญั ไปจนถึงเนอ้ื หา และบรรณานกุ รม รวมถึงประวัติของผแู้ ตง่ ซงึ่ จะท�าใหเ้ ราเขา้ ใจ และคณุ คาดา นวรรณศิลป)
เน้ือหา มูลเหตขุ องการแตง่ แรงบันดาลใจในการแต่ง และส่งิ แฝงเรน้ ภายในหนงั สอื • นกั เรียนมีหลักการในการอานและพิจารณา
วรรณคดอี ยางไร เพอื่ ใหน กั เรยี นเขา ใจ
๒) คน้ หาความหมายพน้ื ฐานหรอื ความหมายตามตวั อกั ษร ผอู้ า่ นสามารถคน้ หาความหมาย คณุ คา ดานตา งๆ ของวรรณคดี
พนื้ ฐานหรอื ความหมายตามตวั อกั ษรไดจ้ ากบทประพนั ธท์ ผ่ี แู้ ตง่ ไดแ้ ตง่ เอาไว ้ โดยแลกเปลย่ี นความรู้ (แนวตอบ นักเรียนควรฝกฝนการอา น
กบั เพอื่ นๆ แลว้ จัดล�าดับใจความส�าคญั ของเรื่องว่า ใคร ทา� อะไร ทไ่ี หน ผลเปน็ อย่างไร วรรณคดดี ว ยการมงุ พิจารณาเหตกุ ารณใ น
การดาํ เนนิ เรอื่ ง โดยอานเนอ้ื หาใหเขา ใจ
๓) รับรอู้ ารมณข์ องบทประพันธ ์ พยายามรบั ร้อู ารมณ์ ความรสู้ กึ ของผู้แตง่ ท่ีสอดแทรก อยา งลึกซึ้ง และเขา ถงึ อารมณต า งๆ ท่ี
ลงไปในบทประพันธ์น้ัน ถ้าผู้อ่านรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกตรงตามเจตนาของผู้แต่ง เม่ืออ่าน ถา ยทอดผา นบทประพันธ จากนั้นนักเรยี น
ออกเสยี งหรือทา� นองเสนาะจะท�าให้บทประพนั ธน์ ั้นๆ มคี วามไพเราะยง่ิ ข้นึ วิเคราะหแ นวคดิ จากเรอื่ ง พรอ มวจิ ารณ
แสดงความคิดเหน็ และประเมนิ คาวรรณคดี
๔) คน้ หาความหมายของบทประพนั ธ ์ หลกั การคน้ หาความหมายของบทประพนั ธ ์ มดี งั นี้ เรือ่ งที่อานวา มคี ณุ คาในดา นใดบา ง อยา งไร
๔.๑) ค้นหาความหมายตามตัวอักษร คือ ค�าใดที่ไม่เข้าใจความหมายให้ค้นหาใน จากนนั้ นกั เรยี นนําคุณคา ทางดา นเนอ้ื หา
หรอื ขอ คิดทีไ่ ดจ ากการอานมาปรบั ใช
คา� อธิบายศพั ท ์ พจนานุกรม หรอื อภธิ านศัพท ์ เช่น ในการดําเนนิ ชวี ติ เพ่ือใหน ักเรยี นสามารถ
ดําเนินชวี ิตไดอ ยางมคี ณุ คา และเขา ใจความ
ผจญคนมกั โกรธด้วย ไมตรี เปนไปของโลก ตลอดจนธรรมชาติของ
ผจญหมทู่ รชนดี ต่อต้ัง มนษุ ยจ ากบทประพันธไดด ยี งิ่ ข้ึน)
ผจญคนจิตตโ์ ลภม ี ทรัพย์เผือ่ แผน่ า
ผจญอสตั ย์ใหย้ ัง้ หยุดดว้ ยสตั ยาฯ

(โคลงโลกนิติ: สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดศิ ร) 3

ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู

ขอใดเปนคุณคา ของวรรณคดีท่ีชดั เจนที่สุด 1 วรรณคดีสโมสร รชั กาลท่ี 6 ทรงพระกรณุ าโปรดเกลาฯ ใหตราพระราช-
1. คุณคาดา นสงั คม บญั ญัติขน้ึ ในวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 เพอ่ื สง เสรมิ การแตงหนังสือ คณะ
2. คณุ คา ดา นอารมณ กรรมการจะตรวจคัดเลือกหนงั สือทแ่ี ตง เพื่อใหเปน ยอดของหนงั สือประเภทนั้นๆ
3. คณุ คาดา นวรรณศลิ ป อาทิ ลลิ ิตพระลอเปน ยอดแหงกลอนลิลติ เพื่อรบั พระบรมราชานญุ าตใหป ระทบั
4. คณุ คา ดานประวตั ิศาสตร ตราพระราชลัญจกรรปู พระคเณศไวข า งหนาหนังสือ
วเิ คราะหค ําตอบ คณุ คาดา นวรรณศิลปถ อื เปน คุณคา ท่ีสําคัญ 2 ละครไทย สมยั สุโขทยั มกี ารรับเอาวฒั นธรรมดานการละครของอินเดียเขา มา
ทส่ี ดุ ของวรรณคดี เนอื่ งจากคณุ คา ของวรรณคดขี น้ึ อยกู บั ความงาม สมยั อยธุ ยามีการจัดระเบยี บละครไทยเปนละครชาตรี ละครนอก ละครใน โขน
ดานภาษาทมี่ คี วามสอดคลองกับคณุ คา ดานเนือ้ หาและรปู แบบ และเริม่ ผสมผสานวฒั นธรรมละครไทยกับละครตางชาติ สมยั ธนบรุ ไี ดฟ น ฟู
สว นคณุ คา ดา นอน่ื ๆ เปนคณุ คาท่ีแฝงอยใู นตัวบทวรรณคดี การละครทซี่ บเซาไปเนอ่ื งจากสงคราม สมยั รัตนโกสินทรก ารละครไทยกเ็ รม่ิ
เฟอ งฟูขน้ึ จากการทํานุบาํ รงุ ของพระมหากษัตรยิ 
ไมเดนชดั เทา คณุ คาดา นวรรณศลิ ป ตอบขอ 3. 3 ละครพดู ละครรปู แบบหนง่ึ ทร่ี ับอิทธิพลมาจากละครของยุโรป ตัวละครจะ
พูดบทของตนในการดําเนินเรื่อง อาจพูดเปน ถอ ยคาํ ธรรมดา คํากลอน คําฉันท
มีการจัดฉากและการแตง กายตามสมยั ที่ปรากฏในเร่ือง

คูม ือครู 3

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

จากทนี่ กั เรยี นศกึ ษาการอา นวรรณคดี ใหน กั เรยี น ศพั ทท์ น่ี กั เรยี นอาจตอ้ งคน้ หาจากโคลง คอื ผจญ หมายถงึ พยายามตอ่ ส ู้ พยายาม
รว มกนั ตอบคําถามตอไปนี้ เอาชนะ มกั หมายถงึ ชอบ ทรชน หมายถงึ คนชว่ั บทประพนั ธน์ ้ี หมายความวา่ พยายามเอาชนะ
ผทู้ ีม่ อี ารมณ์โกรธด้วยการผกู ไมตรี เอาชนะคนชัว่ ด้วยการทา� ดตี อบ เอาชนะผู้ทม่ี ีิจติ ใจเห็นแก่ตัว
• นกั เรยี นคดิ วา การอา นวรรณคดีดวยวธิ ีการ เหน็ แก่ไดด้ ว้ ยการเผื่อแผ่ทรัพยใ์ ห้ และเอาชนะความไม่ซือ่ สัตยด์ ว้ ยความซื่อสัตยอ์ ยูเ่ สมอ
วจิ กั ษวรรณคดี นกั เรียนตองพิจารณา อาจใชค้ า� ท๔่เี ป.๒็น)ส ญัค้นลหกั าษคณว์ า1เมพหือ่ มเสานยแอฝสงา รอคันอื เปกน็ารคควน้ามหคาคิดวหาลมกั หขมอางยผขแู้ อตง่งค เ�าชทน่ ่ตี อ้ งตีความ ซ่ึงผู้แต่ง
บทประพันธใ นดานใดบาง อยา งไร ภพ2นี้มใิ ช่หลา้
(แนวตอบ นกั เรยี นควรอานอยางพินจิ พิจารณา เกมาากสเ็ จม้ามขุตอ3ิจงอคงรหอองง หงสท์ อง เดยี วเอย
ตง้ั แตช ่อื เร่อื ง และองคประกอบตางๆ ในการ รห่วนี มชดา้วตยิ4
สรา งสรรคว รรณคดี รวมถงึ การทาํ ความเขา ใจ แลง้ น้�ามิตรโลกมว้ ย หมดสนิ้ สุขศานต์
ประวตั ผิ แู ตง เพ่ือทําความเขาใจจุดมงุ หมาย
ในการแตง วรรณคดแี ตละเร่ืองดวย นอกจาก (โลก: อังคาร กัลยาณพงศ)์
การคนหาเรอ่ื งราวหรือเหตุการณต างๆ ซึ่ง
เปน ความหมายแฝงของบทประพนั ธแ ลว ความหมายของโคลงนี้ต้องการเสนอสาระที่ว่า โลกนี้มิใช่เป็นแต่เพียงท่ีอยู่ของ
นกั เรยี นควรทาํ ความเขา ใจอารมณ ความรสู กึ คนชน้ั สูงเท่าน้ัน โดยใช้ “หงส์” เป็นสัญลกั ษณแ์ ทนคนชน้ั สูง สว่ น “กา” แทนคนช้นั ลา่ ง ซึ่งรว่ ม
ของบทประพันธ เพอ่ื ใหน ักเรียนเกิดความ อาศยั อยบู่ นโลกดว้ ยเชน่ กนั ดังน้ัน ถา้ หากยึดตดิ การแบ่งระดบั ชนช้ัน โดยไมม่ คี วามเมตตาอาทร
ซาบซึ้ง และสามารถถายทอดอารมณ ความ ใหแ้ ก่กัน โลกกจ็ ะขาดสันติสขุ
รสู กึ อนั เกิดจากรสวรรณคดีผานการอาน
ทํานองเสนาะไดอยา งไพเราะมากยง่ิ ขึ้น) ๔.๓) ค้นหาข้อคิดอันเป็นประโยชน์ในตัวบทของวรรณคดี กล่าวคือ การค้นหาข้อคิด
คติชีวิต หรือคติธรรมท่ีปรากฏในวรรณคดี ซ่ึงผู้แต่งอาจกล่าวโดยตรงหรืออาจสอดแทรกไว้ใน
• นักเรยี นคิดวา ในการศกึ ษาวรรณคดีแตล ะ วรรณคดกี ไ็ ด้ แตห่ ากกล่าวสอดแทรกไว้ ผอู้ ่านจะต้องใชก้ ารวิเคราะห์ ตคี วามเพื่อค้นหาข้อคดิ นั้น
เรือ่ ง นักเรียนตอ งพยายามคนหาความหมาย เชน่ เรอ่ื งขนุ ชา้ งขนุ แผนเปน็ เรอ่ื งความรกั ความหลงของชายสองหญงิ หนงึ่ และชวี ติ ทว่ี นุ่ วายเพราะ
ของบทประพนั ธใ นประเดน็ ใดบาง อยา งไร ความเห็นแกต่ วั ชีวิตทีม่ ากชู้หลายคคู่ รองยอ่ มไม่มคี วามสงบสุข เป็นตน้
(แนวตอบ ในการศกึ ษาความหมายของตวั บท ๕) พิจารณาว่าผู้แต่งใช้กลวิธีใดในการแต่งค�าประพันธ์ สามารถค้นหาได้จากวิธีการ
นกั เรยี นควรทําความเขาใจความหมายใน สรา้ งสรรคบ์ ทประพันธ์ ดังน้ี
3 ระดับ ไดแก 1. ความหมายตรงตัว
เปน ความหมายตามตวั อักษร 2. ความหมาย ๕.๑) การใช้บรรยายโวหาร คือ การใช้ค�าอธิบายเล่าเรื่องราว รายละเอียดให้เข้าใจ
แฝง เปนความหมายทต่ี อ งตคี วาม ท้งั สอง ตามล�าดับเหตุการณ ์ เช่น
สวนขา งตน เปน ความหมายในระดับคาํ
และ 3. ขอ คิดอันเปน ประโยชนจ ากวรรณคดี บดั มงคลพ่าห์ไท ้ ทวารัติ
ซ่งึ เกิดจากการพจิ ารณาเน้อื หาโดยรวมจาก แว้งเหวี่ยงเบยี่ งเศยี รสะบดั ตกใต้
บทประพนั ธ) อุกคลุกพลกุ เงยงดั คอคช เศกิ แฮ
เบนบ่ายหงายแหงนให ้ ท่วงทอ้ ทีถอย

(ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย: สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส)

4

นักเรยี นควรรู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
“ภพนีม้ ิใชห ลา หงสทอง เดยี วเอย
1 สัญลกั ษณ ส่ิงที่กําหนดขนึ้ เพื่อใชส อ่ื ความถึงอกี ส่ิงหนึ่ง เชน หงส กาก็เจา ของครอง รวมดวย
แทนชนชั้นสงู มีฐานะ นกพิราบแทนอสิ รภาพ เสรีภาพ เปนตน เมื่อนาํ มาใชใน เมาสมมุติจองหอง หนี ชาติ
บทประพนั ธ ผูอ า นจึงตองใชป ระสบการณในการตีความหมาย รวมถึงพืน้ ฐาน แลง นาํ้ มิตรโลกมว ย หมดสิ้นสุขศานต”
ความรู ความคดิ เก่ียวกับเรอื่ งท่อี า น โดยเฉพาะการทําความเขา ใจสิง่ ที่กวตี อ งการ ความหมายแฝงของคําวา “หงสท อง” คอื ขอ ใด
สือ่ ความหมาย 1. นกชนดิ หน่งึ
2 ภพ โลก แผน ดิน วัฏสงสาร 2. คนท่ีเยอ หย่งิ
3 สมมตุ ิ อา นวา สม - มุด หมายถงึ รสู กึ นกึ เอาวา เชน สมมตใิ หต กุ ตาเปน นอ ง 3. หงสท ่ที ําดว ยทอง
หรอื หมายถงึ ตา งวา ถือเอาวา เชน สมมตวิ า ไดม รดกสบิ ลา นจะบริจาคชว ยคน 4. คนท่รี ํ่ารวยและทาํ ตัวสงู สง
ยากจน เปน ตน คาํ วเิ ศษณ หมายถึง ทย่ี อมรับ ตกลงกันเองโดยปริยาย
โดยไมค ํานงึ ถงึ สภาพท่แี ทจริง เชน สมมตเิ ทพ เปนตน วิเคราะหค ําตอบ ความหมายแฝงเปน ความหมายทตี่ อ งตคี วาม
4 หีนชาติ หรอื หินชาติ อานวา หิน - นะ - ชาด หมายถงึ มีกําเนิดตาํ่ คําวา “หงสทอง” มีความหมายแฝงวา คนท่รี ่าํ รวยและทําตัว

4 คมู ือครู สูงสง ซ่งึ มคี วามหมายตรงขามกบั คําวา “กา” ตอบขอ 4.

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

๕.๒) การใช้พรรณนาโวหาร คือ การอธิบายความโดยการสอดแทรกอารมณ์ นกั เรียนจับคูแสดงความคิดเหน็ ตามประเด็น
ความรู้สึก หรือใหร้ ายละเอียดอย่างลึกซง้ึ ของผแู้ ต่งลงไปในบทประพันธ์ ทา� ให้ผอู้ า่ นเกิดอารมณ์ ตอไปนี้
สะเทอื นใจคล้อยตามไปกบั บทประพนั ธ์ เชน่
• นักเรียนคดิ วา การพิจารณาเกยี่ วกบั โวหาร
...ดว้ ยขา้ พระพทุ ธเจา้ กลบั มาเวลาคา่� ทงั้ นเ้ี พราะเปน็ กระลขี นึ้ ในไพรวนั พฤกษาทกุ สง่ิ ชนิดตา งๆ ชวยใหนักเรียนเขา ใจคณุ คา ทาง
สารพนั กแ็ ปรปรวนทกุ ประการ ทงั้ พน้ื ปา่ พระหมิ พานตก์ ผ็ ดั ผนั หวน่ั ไหวอยวู่ งิ เวยี นเปลยี่ นเปน็ วรรณศลิ ปใ นบทประพันธอยางไร
พยบั มดื ไมเ่ หน็ หน ขา้ พระบาทนรี่ อ้ นรนไมห่ ยดุ หยอ่ นแตส่ กั อยา่ ง แตเ่ ดนิ มากบ็ งั เกดิ ประหลาด (แนวตอบ นกั เรียนสามารถแสดงความคิดเหน็
ลางขน้ึ ในกลางพนาล ี พบพญาราชสหี ส์ องเสอื ทงั้ สามสตั วส์ กดั หนา้ ไมม่ าได ้ ตอ่ สน้ิ แสงอโณทยั ไดอ ยา งหลากหลายขนึ้ อยกู ับเหตุผลของ
จึ่งไดค้ ลาเคล่ือน ใช่จะเป็นเหมอื นพระองค์ด�าริน้นั กห็ ามิได้ พระพุทธเจ้าขา้ ... นกั เรียน เปน ตน วา การพิจารณาโวหารชนิด
ตา งๆ ท่ปี รากฏในบทประพนั ธถอื เปนการ
(มหาเวสสันดรชาดก กณั ฑ์มทั ร:ี เจ้าพระยาพระคลัง (หน)) พิจารณาคุณคาทางวรรณศิลปจ ากกลวธิ ี
การแตงวา มีความสอดคลองทางดานเนื้อหา
๕.๓) การใชเ้ ทศนาโวหาร คอื การกล่าวสั่งสอนอย่างมีเหตุผล เช่น ภาษา และรูปแบบของเรอ่ื งอยางไร และ
กลวิธีทางวรรณศลิ ปช ว ยทาํ ใหเน้อื หาของ
๏ อย่าเยย่ี งหญงิ ชั่ว ไมร่ คู้ ุณผัว ไมส่ งวนนา�้ ใจ วรรณคดีมคี วามโดดเดนไดหรือไม อยา งไร)
ลม้ิ ลมข่มเหง ล้อเลยี นไยไพ ตอ่ หน้าปราศรัย ลบั หลังนนิ ทา
• นกั เรยี นคดิ วา กลวธิ กี ารประพนั ธโดยใช
(กฤษณาสอนน้องคา� ฉนั ท์ ฉบับกรงุ ธนบุร:ี พระยาราชสุภาวดี และพระภิกษอุ ินท)์ โวหารประเภทตา งๆ มีลักษณะรว มและ
ลกั ษณะเฉพาะอยางไร
๕.๔) การใช้สาธกโวหาร คือ การยกตัวอย่างหรือเร่ืองราวมาประกอบ เพื่อเพ่ิม (แนวตอบ นักเรยี นสามารถพจิ ารณาคาํ ตอบ
รายละเอยี ดหรอื สง่ิ ท่นี า่ รู้ นา่ สนใจลงไปในบทประพันธ์ ท�าให้เขา้ ใจชัดเจนยิ่งข้นึ เชน่ ในหนงั สือเรยี นหนา 4 - 5)

...เตยี วเลย้ี วจงึ วา่ มหาอปุ ราชไมแ่ จง้ หรอื ในนทิ านอเิ ยยี งซง่ึ มมี าแตก่ อ่ นวา่ เดมิ อเิ ยยี ง • นักเรยี นคิดวา การใชโ วหารประเภทตา งๆ
อยู่กับต๋งหางซ่ึงเป็นเจ้าเมือง ต๋งหางเลี้ยงอิเยียงเป็นทหารใช้สอย ครั้นอยู่มายังมีคิเป๊ก ในการแตงสง ผลตอจุดมงุ หมายในการ
เจา้ เมอื งหนง่ึ นน้ั ยกทพั มาฆา่ ตง๋ หางตาย คเิ ปก๊ ไดอ้ เิ ยยี งไปไว ้ จงึ ตงั้ อเิ ยยี งเปน็ ขนุ นางทป่ี รกึ ษา สอื่ สารทมี่ ีความแตกตา งกนั หรือไม อยา งไร
อเิ ยียงมคี วามสุขมาเปน็ ชา้ นาน... (แนวตอบ กลวิธีการใชภ าษาหรอื การใชโ วหาร
ทแี่ ตกตา งกนั ยอ มสง ผลตอ คุณคา ทาง
(สามกก๊ ตอน กวนอไู ปรบั ราชการกับโจโฉ: เจา้ พระยาพระคลัง (หน)) วรรณศลิ ปท ีแ่ ตกตางกนั และตอบสนอง
จดุ มงุ หมายในการสอ่ื สารท่แี ตกตางกนั ดว ย)
๕.๕) การใช้อุปมาโวหาร คือ การกลา่ วเปรียบเทียบสงิ่ ท่ีเหมือนหรอื แตกตา่ งกัน เช่น

...เมือ่ กุมารอยู่ในทอ้ งแมน่ ้นั ล�าบากนกั หนา พึงเกลยี ดพงึ หนา่ ยพน้ ประมาณนกั กช็ ้นื
แลเหมน็ กลนิ่ ตดื และเออื นอนั ได ้ ๘๐ ครอก ซงึ่ อยใู่ นทอ้ งแมอ่ นั เปน็ ทเี่ หมน็ แลทอ่ี อกลกู ออกเตา้
ทเี่ ถา้ ทตี่ ายทเี่ รว่ ฝงู ตดื แลเออื นทงั้ หลายนนั้ คนกนั อยใู่ นทอ้ งแม่ ตดื แลเออื นฝงู นน้ั เรมิ ตวั กมุ าร
น้นั ไสร้ ดุจดั่งหนอนอันอยใู่ นปลาเนา่ แลหนอนอนั อยู่ในลามกอาจมนน้ั แล...

(ไตรภมู ิพระรว่ ง ตอน มนสุ สภูมิ: พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลิไทย))

5

“แมเ ปนบัว ตวั พ่เี ปน ภุมรา”ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู

คาํ ประพนั ธขา งตน ใชโวหารประเภทใด ครูควรหาบทประพนั ธทม่ี ีกลวิธีในการแตง คาํ ประพันธท หี่ ลากหลายมาใหน กั เรียน
1. พรรณนาโวหาร อาน แลวใหนักเรียนชวยกันวิเคราะห พิจารณาวา บทประพันธนนั้ มกี ลวิธีการแตง
2. เทศนาโวหาร อยางไร พรอมท้ังอธบิ ายเหตุผล และสรปุ สาระสําคญั ของบทประพนั ธ เพอ่ื ใหนักเรียน
3. สาธกโวหาร มีความรู ความเขาใจเกี่ยวกับกลวธิ ีในการแตงคําประพนั ธ อนั เปนพื้นฐานของการ
4. อปุ มาโวหาร ศึกษาเรยี นรวู รรณคดีและวรรณกรรมทกุ เรื่อง

วิเคราะหคาํ ตอบ คาํ ประพันธขางตนใชอปุ มาโวหาร เนอื่ งจาก
อปุ มาโวหารเปน การกลา วเปรยี บเทียบหรือยกขอความขนึ้ มา
เปรยี บเทียบ โดยเปรียบฝา ยหญิงสาวน้ันเปน ดอกบวั สว นฝายชาย

เปน แมลงภู ตอบขอ 4.

คมู อื ครู 5

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

1. นักเรยี นแบงกลุม กลุม ละ 4 - 6 คน แตล ะกลมุ ๖) พจิ ารณาความงาม ความไพเราะของภาษา คือ พจิ ารณาการเลือกใชค้ �า การสรรคา�
อภิปรายตามหัวขอขางลา งนี้ และการจดั วางคา� ทเี่ ลอื กสรรแลว้ ใหต้ อ่ เนอื่ งอยา่ งไพเราะ เหมาะสม ไดจ้ งั หวะ ถกู ตอ้ งตามโครงสรา้ ง
• นักเรียนคิดวา การพิจารณาคุณคาของ ภาษา กอ่ ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ อารมณ ์ และเหน็ ภาพพจน์
บทประพันธต องพิจารณาคณุ คา ดา นใดบาง
และการพิจารณาคณุ คาดานตางๆ สง ผล ๕. การพิจารณาคณุ ค่าบทประพันธ์
ตอ การประเมนิ คาบทประพันธอยา งไร
(แนวตอบ การพิจารณาคณุ คาบทประพนั ธ การพิจารณาคุณค่าบทประพันธ์จะต้องพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดถี่ถ้วนและให้ครอบคลุม
แบง ออกเปน 3 ประเภท ประกอบดว ย ทุกดา้ น ซึง่ สามารถแบ่งได้เปน็ ๓ ประเภท ดังน้ี
1. คณุ คา ดา นเนอื้ หา
2. คณุ คา ดา นวรรณศลิ ป ๕.๑ คณุ คา่ ด้านเนือ้ หา
3. คณุ คาดา นสงั คม)
• นักเรยี นคดิ วา การพิจารณารูปแบบในการ ก๑า)ร รพูปจิ แารบณบา1 คพณุ ิจคาา่รดณ้าานวเ่านง้อื าหนาป มระแี พนันวธท์นาง้ันใในชก้คา�ารปพริจะาพรันณธา์ช ดนงัิดนใี้ด ลักษณะการแต่ง
ประพันธสง ผลตอ คุณคาดา นเนอื้ หาใน ถูกต้องตามลักษณะบังคับของค�าประพันธ์นั้นๆ หรือไม่ ผู้แต่งเลือกใช้ค�าประพันธ์แต่ละชนิดได้
บทประพนั ธอ ยางไร เหมาะสมกบั เนื้อความหรือไม่
(แนวตอบ ลกั ษณะคําประพนั ธก บั เนื้อหาที่มี
ความสอดคลองกันยอ มสง ผลใหบ ทประพนั ธ ๒) องคป์ ระกอบของเรอื่ ง มแี นวทางในการพิจารณา ดงั น้ี
มคี ณุ คาทางวรรณศิลปมากย่ิงขึ้น อาทิ ๒.๑) สาระ พิจารณาว่าสาระท่ีผู้แต่งต้องการส่ือมายังผู้อ่านเป็นเร่ืองอะไร เช่น
การใชค าํ ประพันธป ระเภทโคลงในบทไหวค รู
ยอมสง ผลใหเ กดิ ความรสู ึกศักดิ์สิทธ์ิ สูงสง ให้ความรู้ ข้อเท็จจริง ความคิด หรือแสดงความรู้สึกนึกคิดออกมา ควรจับสาระส�าคัญหรือแก่น
หรือการใชว สนั ตดิลกฉันทใ นการพรรณนา ของเรื่องให้ได้ว่า ผู้แต่งต้องการส่ืออะไร สาระส�าคัญหรือแก่นของเรื่องมีลักษณะแปลกใหม ่
อารมณ ความรูสึกออนไหวของตวั ละคร) นา่ สนใจอยา่ งไร
• การวิเคราะหอ งคป ระกอบของวรรณคดี
นักเรยี นควรพจิ ารณาประเด็นใดบาง ๒.๒) โครงเรอ่ื ง พจิ ารณาวา่ ผแู้ ตง่ มวี ธิ กี ารวางโครงเรอ่ื งดหี รอื ไม ่ การลา� ดบั ความ
และนกั เรียนคดิ วา วรรณคดีท่ีมคี ณุ คา เป็นไปตามลา� ดับข้ันตอน เหตกุ ารณ ์ หรอื เรือ่ งราวอยา่ งไร มีวธิ ีการวางล�าดบั เรอ่ื งน่าสนใจอยา่ งไร
ทางวรรณศิลปควรมีองคประกอบอยางไร และมกี ารสรา้ งปมของเรือ่ งเพือ่ ใหไ้ ปถงึ จุดสูงสุดอยา่ งไร
(แนวตอบ นักเรยี นสามารถแสดงความคดิ เห็น
ไดอ ยางหลากหลายขนึ้ อยกู บั เหตุผลของ ๒.๓) ตัวละคร พิจารณาว่าตัวละครในเร่ืองมีลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ บทบาท
นักเรยี น) และคุณธรรมอยา่ งไร พฤติกรรมทแี่ สดงออกเหมาะสมหรือไม่ เหมอื นบุคคลในชวี ติ จริงมากนอ้ ย
เพียงใด
2. ครสู ุมนกั เรียน 2 - 3 กลุม สง ตวั แทนนาํ เสนอ
หนา ช้นั เรยี น ๒.๔) ฉากและบรรยากาศ พจิ ารณาวา่ ผแู้ ตง่ พรรณนาหรอื บรรยายฉาก บรรยากาศ
ได้เหมาะสม ถกู ตอ้ ง ชัดเจน และสอดคล้องกบั เร่ืองได้ดเี พียงใด

๒.๕) กลวิธีการแต่ง พจิ ารณาวิธีในการเลือกใช้ถอ้ ยคา� และการน�าเสนอว่า ผู้แตง่
นา� เสนออยา่ งไร เชน่ เสนออยา่ งตรงไปตรงมา เสนอโดยใหต้ คี วามจากสญั ลกั ษณห์ รอื ความเปรยี บ
เสนอโดยใชก้ ารสรา้ งภาพพจน์ใหเ้ หนอื ความเปน็ จรงิ เพอ่ื ดงึ ดดู ความสนใจ เปน็ ตน้ ควรพจิ ารณาวา่
วิธีการต่างๆ เหลา่ นน้ั ชวนให้น่าสนใจ น่าติดตาม และนา่ ประทบั ใจได้อย่างไร

6

เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
“เสรจ็ เสวยศวรรเยศอา ง ไอยศูรย สรวงฤๅ
ครคู วรเพม่ิ เตมิ ความรูเกี่ยวกบั การพจิ ารณางานประพนั ธประเภทบันเทงิ คดี เย็นพระยศปนู เดอื น เดน ฟา
ทั้งประเภทรอ ยแกวและรอ ยกรองวา บนั เทิงคดเี ปนเรือ่ งทแ่ี ตงจากจินตนาการ เกษมสขุ สอ งสมบรู ณ บานทวปี
มีจดุ มุงหมายสําคญั เพ่ือใหเกดิ ความบันเทิง มีการผกู เรื่องราว ตัวละคร และ ทุกขทุกธเรศหลา แหลงลวนสรรเสริญ”
เหตกุ ารณ เพ่อื มงุ ประเทอื งอารมณ ใหผูอานสะเทือนอารมณไปกับเน้ือเร่อื งอยา งมี จากบทประพันธข างตน ขอใดกลา วไมถ กู ตอง
ศิลปะ ในการอา นวรรณคดี ผอู า นควรพิจารณาองคประกอบตางๆ ของวรรณคดี 1. บทประพนั ธป ระเภทโคลงนยิ มใชค าํ ทมี่ ีศักดิ์คาํ สูง
รว มกนั เพอื่ ใหผ อู า นสามารถเขา ถงึ อารมณ ความรสู กึ ของบทประพนั ธไ ดอ ยา งลกึ ซงึ้ 2. บทประพันธขางตนมีเน้อื หายอพระเกียรติกษตั ริย
และมีความแจม ชัด สง ผลตอ อารมณ ความรสู ึกรว มของผูอานไดเ ปนอยา งดี 3. บทประพนั ธป ระเภทโคลงนยิ มใชค าํ โบราณเพอื่ สอื่ ถงึ ความศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ
4. บทประพันธข า งตน เนนการใชคาํ ภาษาบาลสี ันสกฤตเพ่อื พรรณนา
นกั เรยี นควรรู อารมณออนไหว

1 รูปแบบ เรยี กไดอีกอยา งวาฉันทลักษณของบทประพันธ ในการประพนั ธน ั้น วเิ คราะหคาํ ตอบ บทประพนั ธข า งตนเนน การใชค ําภาษาบาลี
กวตี องเลอื กใชรปู แบบบทประพนั ธห รอื ฉนั ทลกั ษณใ นบทประพันธใ หม ีความเหมาะสม สนั สกฤตเพ่ือพรรณนาอารมณอ อนไหว กลาวไมถ กู ตอง เพราะ
กบั เนื้อความในบทประพนั ธ อาทิ ลลิ ิต นยิ มใชร า ยบรรยายฉากการรบ ภาษาบาลสี นั สกฤตเปน ภาษาศกั ดิ์สิทธ์เิ หมาะทจ่ี ะใชก ับสง่ิ ทเี่ ปน

6 คูม ือครู นามธรรม และเปน ทีเ่ คารพ สักการะ ตอบขอ 4.

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

๕.๒ คณุ ค่าดา้ นวรรณศลิ ป์ นกั เรียนสง ตัวแทนกลมุ นาํ เสนอหนา ช้นั เรยี น
ตามหวั ขอตอ ไปนี้
การพจิ ารณาคุณคา่ ด้านวรรณศิลป์ มแี นวทางในการพจิ ารณา ๒ ประการ ดงั นี ้
๑) การสรรค�า คือ การเลือกใชค้ �าใหส้ อ่ื ถึงความคดิ ความเขา้ ใจ ความร้สู กึ และ • นกั เรียนคิดวา การพจิ ารณาคุณคาทาง
วรรณศิลปในบทประพนั ธตองพจิ ารณาใน
อารมณไ์ ดอ้ ย่างงดงาม ประเด็นใดบาง และคณุ คาดังกลาวมคี วาม
๑.๑) การเลอื กใชค้ �าใหเ้ หมาะสมกบั ประเภทของค�าประพนั ธ์ การพจิ ารณาคณุ คา่ สอดคลอ งกันอยา งไร
(แนวตอบ พิจารณาดานการสรรคําและการใช
ด้านวรรณศิลป์ต้องพิจารณาตั้งแต่การเลือกประเภทของค�าประพันธ์ว่า ผู้แต่งเลือกประเภทของ โวหาร ตอ งมคี วามสอดคลองกนั เพ่ือใหได
คา� ประพนั ธ์ไดเ้ หมาะสมกบั งานเขยี นหรอื ไม ่ โดยเฉพาะในบทรอ้ ยกรอง ผแู้ ตง่ จะตอ้ งเลอื กชนดิ ของ อรรถรส ทง้ั รสคํา รสความ และจินตภาพ
ค�าประพนั ธ์ใหเ้ หมาะสมและตอ้ งรู้จกั เลอื กใช้ค�า เรียบเรยี งถ้อยคา� ให้ไพเราะ สละสลวย เหมาะสม อันเกิดจากกลวิธีทางภาษา)
กับชนดิ ของค�าประพนั ธ( ์๑ด)ัง นโคี้ ลง 1นิยมใช้ค�าท่ีมีศักดิ์ค�าสูงหรือค�าโบราณ ใช้พรรณนาเรื่องราวท่ี
ศักดส์ิ ทิ ธิ ์ สงู สง่ เช่น บทไหว้ครู บทเทิดพระเกียรติ เป็นต้น ดงั บทประพนั ธ์ • นักเรียนคิดวา การสรรคํามาใชใ น
บทประพันธส งผลตอคุณคา ทางวรรณศลิ ป
ไพรนิ ทรนาศเพย้ี ง พลมาร อยา งไร
พระด่ังองค์อวตาร แตก่ ี้ (แนวตอบ การสรรคํามคี วามสําคญั อยางย่ิง
แสนเศิกห่อนหาญราญ รอฤทธิ์ พระฤๅ ตอ คุณคา ทางวรรณศลิ ปใ นบทประพันธ
ดาลตระดกเดชล้ ี ประลาตหลา้ แหล่งสถาน เน่อื งจากกลวิธกี ารเลือกใชค าํ เปน การส่ือ
ความคดิ อารมณ ความรสู กึ ถายทอดผาน
(ลลิ ิตตะเลงพ่าย: สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชโิ นรส) เสียงและความหมายจากบทประพันธส ู
ผูอานได)
(บ๒ท)ป ฉระนั พทนั ์ 2นธยิน์ มผี้ ใ้แู ชตค้ ง่ า� ไทดม่ีเ้ ลาอื จกาสกรภราคษา� าทบี่มาีศลัก ี -ด ส์คิ นั �าสสกูงฤเปตน็ เบพทอื่ เใทหิดส้ อพดรคะเลกอ้ ยี งรกตบั ิ คร ุ
ลหุของฉนั ทลักษณ์ และเป็นค�าประพันธท์ ่ีมแี บบแผน ดังบทประพันธ์ • นกั เรยี นคดิ วา การเลอื กใชคําใหเหมาะกบั
ลกั ษณะคําประพนั ธสง ผลตอ คุณคา ทาง
ฟังถ้อยด�ารัสมะธุระวอน ดนนุ ี้ผิเอออวย วรรณศลิ ปในบทประพันธอยางไร
จักเปน็ มุสาวะจะนะดว้ ย บ มติ รงกะความจรงิ (แนวตอบ การเลอื กใชภ าษาระดบั คําใน
อันชายประกาศวะระประทาน ประดพิ ัทธะแดห่ ญงิ บทประพันธน อกจากจะตอ งคํานงึ ถงึ
หญิงควรจะเปรมกะมะละยิง่ ผิวะจติ ตะตอบรัก ความหมายในบทประพนั ธแ ลว ยังตองคํานึง
ถึงความไพเราะของเสยี งทส่ี อดคลองกับ
(บทละครพูดค�าฉันท์ เรอ่ื ง มัทนะพาธา: พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยู่หวั ) ลักษณะคาํ ประพนั ธ เพือ่ สรา งอารมณ
ความรสู ึกจากบทประพนั ธไดอ ยา งลกึ ซึ้ง)

บทประพันธ์น้ีผู้แต่งได้เลือกสรรค�าที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤตเพ่ือให้
สอดคลอ้ งกับลกั ษณะบงั คับครุ ลหขุ องค�าประพนั ธ์

7

ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู

“เร่อื ยเรื่อยมาเรียงเรียงนกบินเฉียงไปทั้งหมตู วั เดียวมาพลัดคู 1 โคลง เปน รอ ยกรองที่มรี ะเบยี บบงั คบั ฉนั ทลักษณ บังคับคณะ คาํ เอก คําโท
เหมอื นพ่ีอยูผ ูเ ดียวดาย” และสัมผสั เปนสําคัญ แบงออกเปน 3 ประเภทใหญๆ คอื 1. โคลงสุภาพ ไดแ ก
โคลงสองสุภาพ โคลงสามสภุ าพ และโคลงสสี่ ุภาพ 2. โคลงดน้ั ไดแ ก โคลงสองด้ัน
จากบทประพนั ธขางตน ถานกั เรยี นแบง วรรคการอา นจัดเปน โคลงสามดน้ั และโคลงสด่ี นั้ ววิ ธิ มาลี 3. โคลงโบราณ ไดแ ก โคลงหา นอกจากน้ี ยงั มี
คําประพนั ธป ระเภทใด และมลี ักษณะเดนอยา งไร การคิดคน ฉนั ทลักษณประเภทโคลงขึน้ มาใหม เชน โคลงจิตรลดา โคลงวชิ ชมุ าลี
งานประพันธป ระเภทโคลง เชน โคลงโลกนติ ิ นริ าศนรินทรคาํ โคลง
1. ราย / ใชภาษาในการพรรณนาอยา งเรียบงา ย โคลงนริ าศสุพรรณ
2. กาพย / พรรณนาอารมณ ความรูสึกคิดถึง 2 ฉนั ท เปนรอยกรองทีม่ บี ังคบั ครุ ลหุ หรือคําท่ีมีเสียงหนกั เบา บังคบั จํานวนคํา
3. โคลง / พรรณนาอารมณส ะเทอื นใจ และสัมผสั เปน สําคัญ ฉนั ทมหี ลายชนิด ซึง่ แตล ะชนิดมลี ีลาของเสยี งท่เี หมาะสมใน
4. กลอน / เลนเสยี งสัมผัสไพเราะ การดาํ เนินเร่อื งหรือเน้ือความของเรอื่ งแตกตางกนั เชน สทั ทลุ วกิ กฬี ต ฉนั ทม ีลีลา
ของเสียงสงา งามดจุ เสือผยอง จงึ เหมาะสาํ หรับใชเ ปนบทไหวค รู บทโศกของเทพ
วิเคราะหค ําตอบ เปนคําประพนั ธป ระเภทกาพยโดยพจิ ารณา และกษัตริย ตวั อยา งคําประพนั ธป ระเภทฉนั ท เชน วชิ ชมุ มาลา มาณวกฉันท
จากจาํ นวนคาํ 1 บท มี 2 บาท บาทละ 11 คาํ รวม 22 คาํ ดังน้ี สาลนิ ฉี นั ท โตฎกฉันท อีทิสังฉนั ท เปนตน
“เรือ่ ยเร่อื ยมาเรยี งเรียง นกบนิ เฉยี งไปทง้ั หมู
ตวั เดียวมาพลัดคู เหมือนพ่อี ยูผ เู ดยี วดาย” คมู อื ครู 7
และจะเหน็ วาเปน การพรรณนาอารมณ ความรูส กึ วาเหงาคดิ ถึง
นางผเู ปนทร่ี กั ตอบขอ 2.

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู

ครสู มุ นกั เรียน 2 - 3 คน แสดงความคดิ เห็นใน (๓) กาพย์ นิยมใช้ค�าธรรมดา ค�าทีเ่ รียบงา่ ย ใช้พรรณนาเหตุการณห์ รือ
ประเดน็ ตอ ไปนี้ อารมณ์สะเทือนใจ ดังบทประพนั ธ์

• นกั เรยี นบอกวธิ กี ารสรรคาํ ใหม คี วามสอดคลอ ง จ�าปาหนาแน่นเน่ือง คลก่ี ลีบเหลืองเรืองอรา่ ม
กับลักษณะคาํ ประพนั ธประเภทตา งๆ คิดคะนงึ ถึงนงราม ผวิ เหลอื งกวา่ จา� ปาทอง
(แนวตอบ การพิจารณาคณุ คา ดา นวรรณศลิ ป
ในบทประพันธ ผูแตง ตอ งพิจารณาเลอื กชนิด (กาพย์เห่เรือ: เจ้าฟ้าธรรมธเิ บศร)
ของคาํ ประพนั ธใ หม คี วามเหมาะสมกบั ลกั ษณะ
คาํ ประพนั ธ เพอื่ ใหเ กดิ ความไพเราะ สละสลวย (บ๔ท)ป กระลพอันนธ 1น์นิยผ้ี มู้แใตช่ง้คเล�าอืธรกรใมชค้ด�าาท คอี่ า� ่าทนีเ่ เรขียา้ บใจงา่งยา่ ย เ ปสน็่ือคคา�วปามระหพมนั าธย์ทไดีน่ ช้ ิยดัมเนจ�านไป
แสดงถงึ คณุ คาทางวรรณศลิ ปข องบทประพนั ธ ขับร้องในการละเลน่ ตา่ งๆ เชน่ บทสกั วา บทละคร บทเสภา เปน็ ต้น ดงั บทประพนั ธ์
ดังรายละเอยี ด ตอ ไปน้ี 1. โคลง นิยมใชคํา
ที่มเี สยี งหนกั หรอื คําโบราณ 2. ฉนั ท นิยมใช โอ้เจ้าแกว้ แววตาของพเ่ี อย๋ เจา้ หลบั ใหลกระไรเลยเป็นหนกั หนา
คาํ ภาษาบาลีสันสกฤต 3. กาพย นิยมใชคาํ ดังน่มิ น้องหมองใจไม่นา� พา ฤๅขัดเคืองคดิ วา่ พี่ทอดท้งิ
ธรรมดา อานเขา ใจงา ย สื่อความไดชัดเจน
มกั ใชพ รรณนาเหตกุ ารณห รอื อารมณส ะเทอื นใจ (เสภาเร่อื งขนุ ชา้ งขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎกี า: ไม่ปรากฏช่อื ผ้แู ต่ง)
4. กลอน นยิ มใชคาํ ธรรมดา เรียบงาย นิยม
นาํ ไปขบั รอ งในการละเลนตา งๆ 5. รา ย (บ๕ท)ป รรา่ะยพ2 นันธยิ ์นมี้ผใชู้แค้ ตา� ง่ โใบชรค้าา�ณธแรลระมนดยิ าม เแรตียง่บรงวา่มยก บัพโรครลณง นไมาอน่ ายิ รมมแณต์สง่ ระา่เทยทืองน้ั เใรจอ่ื ง
นิยมใชค ําโบราณและนยิ มแตงรวมกับโคลง นอกจากรา่ ยยาวมหาชาติกลอนเทศนเ์ ทา่ น้ันที่แตง่ ด้วยรา่ ยยาวตลอดท้งั เรอ่ื ง ดงั บทประพันธ์
ไมน ยิ มแตง รายทง้ั เรอื่ ง มีเพียงรายยาว
มหาเวสสนั ดรชาดกเทาน้ันท่ีแตง รา ยเพ่ือ สองขัตติยายุรยาตร ยังเกยราชหอทัพ ขุนคชขับช้างเทียบ ทวยหาญเพียบแผ่นภู
พรรณนาอารมณ ความรสู กึ และจินตภาพ
ท้งั เรื่อง) ดบูมัดหเดิม๋ียาวดไทาดทาฤษษ ฎสี รพะรพะรศารศีสพารร้ีอริกมบโดรยมขธาบตวุ นไ ขอโองภคา์อสดโิศศวภริตส3 อชง่วกงษชัตวรลิยิต4์ พค่าองผยลน ฤสข้มัตเรกพลิชี้ยัยง

ขยายความเขา ใจ Expand กลกุกอ่ ง ฟอ่ งฟ้าฝ่ายทักษณิ ผนิ แวดวงตรงทัพ นับคา� รบสามครา เปน็ ทักษณิ าวรรตเวียน
ว่ายฉวัดเฉวียนอัมพร ผ่านไปอดุ รโดยด้าว พลางบพิตรโททา้ ว ท่านต้งั สดุด ี อยนู่ า
1. นกั เรยี นยกตัวอยางบทประพนั ธท มี่ ีการสรรคาํ
ใหเ หมาะสมกบั ประเภทของคําประพนั ธ คนละ ฯลฯ
1 ประเภท
(ลิลติ ตะเลงพา่ ย: สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ิตชิโนรส)
2. ครสู ุม นักเรยี น 5 - 6 คน ออกมานําเสนอหนา
ชัน้ เรียน จากนั้นนกั เรียนบนั ทึกความเขาใจ บทประพันธ์น้ีผู้แต่งเลือกใช้ค�าโบราณท่ีเหมาะสมและถูกหลักการประพันธ์
ลงในสมดุ มักแตง่ รวมกับโคลง

๑.๒) การเลือกใช้ค�าโดยคา� นงึ ถึงเสยี ง เกิดจากการทผี่ ูแ้ ต่งเลอื กใช้คา� เลยี นเสยี ง
ธรรมชาติ ค�าท่ีเล่นเสียงวรรณยุกต์ การเลน่ ค�า เสยี งหนักเบา การหลากค�า การใชค้ �าพ้องเสยี งและ
ค�าซา้� การใชล้ ลี าจงั หวะของค�าซ่งึ ทา� ใหเ้ กิดความไพเราะได้ ดังบทประพันธ์

8

นักเรียนควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
“ความดีเรานด่ี ใี ดดนี า้ํ ใจทใ่ี หแกคนท้งั ปวงอภยั รแู ตใหไปไมหวง
1 กลอน เปน รอ ยกรองทบี่ งั คบั คณะ สมั ผสั และเสยี งวรรณยกุ ต ไมเ ครง ครดั เรอ่ื ง เจ็บทรวงหวงใยใหร ูทน”
จาํ นวนคาํ ในวรรค มกั ใชค าํ ทเ่ี รยี บงา ย กลอนจงึ มกั เปน ฉนั ทลกั ษณท ชี่ าวบา นนยิ มนาํ
มาประพนั ธร อ งเลน กนั ซง่ึ กลอนสามารถแบง เปน กลมุ ใหญไ ด คอื กลอนสภุ าพ กลอน จากบทประพนั ธข า งตน หากนกั เรยี นแบง วรรคการอา นจดั เปน
ลาํ นาํ และกลอนตลาด นอกจากน้ี ยงั สามารถแบง ประเภทของกลอนไดจ ากคาํ ขน้ึ ตน คาํ ประพนั ธป ระเภทใด และมีจดุ มุงหมายในการสือ่ สารอยางไร
และลกั ษณะการประพนั ธไ ดห ลายประเภท และมชี อ่ื เรยี กตา งกนั ออกไป เชน กลอน
สภุ าพ กลอนสกั วา กลอนดอกสรอ ย กลอนเสภา กลอนบทละคร เปน ตน ขอ คาํ ประพันธ จุดมงุ หมาย
2 รา ย เปน รอ ยกรองทมี่ บี งั คบั คณะ สมั ผสั รา ยบางประเภทบงั คบั คาํ เอก คาํ โทดว ย
รา ยแบง ออกเปน ประเภทตา งๆ ดงั ตอ ไปน้ี 1. รา ยสภุ าพ 2. รา ยดนั้ 3. รา ยยาว 1. โคลง เพอื่ ตเิ ตียน
4. รา ยโบราณ
3 โศภติ งามหรอื ดี เปน ภาษาสนั สกฤต สว นในภาษาบาลใี ชว า โสภติ 2. ราย เพื่อติชม
4 ชวลติ รงุ เรอื ง รงุ โรจน สวา ง
3. กาพย เพอ่ื สั่งสอน
8 คูม ือครู
4. กลอน เพอ่ื แนะนํา

วิเคราะหคาํ ตอบ จดั เปน กลอน จุดมงุ หมายเพอื่ แนะนําใหทําหรือ
ปฏิบัติ ดังน้ี “ความดีเรานด่ี ใี ด ดีนา้ํ ใจท่ีใหแกคนท้ังปวง

อภัยรูแ ตใ หไปไมหวง เจบ็ ทรวงหวงใยใหรทู น”

ตอบขอ 4.

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู

(๑) การใชค้ า� เลยี นเสยี งธรรมชาต ิ ทา� ใหเ้ สยี งไพเราะ เกดิ จนิ ตภาพชดั เจน นักเรียนรวมกันตอบคําถามตอ ไปนี้
• นกั เรยี นคดิ วา การใชคําเลียนเสยี งธรรมชาติ
ดังบทประพันธ์
มลี ักษณะอยางไร และกลวิธีดังกลา วสงผล
เกือบรุ่งฝูงชา้ งแซ่ แปร๋นแปร๋น ตอ คณุ คาทางวรรณศิลปอยา งไร
กรวดปา่ มาแกร๋นแกรน๋ เกริ่นหยา้ น (แนวตอบ การใชคําทีเ่ กิดจากการเลียนเสียง
ฮมู ฮมู อ่มู อึงแสน สนั่นรอบ ขอบแฮ ธรรมชาติ ชว ยใหผ อู า นอา นแลว เกดิ จนิ ตภาพ
คกึ คึกทกึ เสทือนสะท้าน ถิน่ ไมไ้ พรพนม ทั้งทางดา นภาพและบรรยากาศจากความ
ไพเราะของเสียง)
(นิราศสุพรรณ: สุนทรภู)่ • นักเรียนคิดวา การเลน เสยี งวรรณยุกตม ี
ลักษณะอยา งไร และกลวิธดี งั กลาวสงผลตอ
บทประพันธ์นี้บรรยายลักษณะธรรมชาติของสตั ว์ โดยผู้แตง่ ได้ยกตวั อยา่ ง คุณคา ทางวรรณศิลปอ ยางไร
คา� ทเี่ กิดจากการเลยี นเสยี งธรรมชาตขิ องชา้ ง ไดแ้ ก ่ แปรน๋ แปรน๋ แกรน๋ แกรน๋ ฮมู ฮูม เม่อื ผ้อู า่ น (แนวตอบ การเลนเสียงสูงๆ ตาํ่ ๆ คลายการ
อา่ นแล้วทา� ให้เกิดจนิ ตนาการภาพชา้ งทก่ี �าลงั สง่ เสียงร้องตามธรรมชาติ ผนั เสยี งวรรณยกุ ตห ลากหลายระดบั เปน การ
สรา งความไพเราะดานเสยี งโดยตรง)
(๒) การเล่นเสียงวรรณยกุ ต ์ คือ การเลน่ เสยี งสงู ๆ ต่�าๆ ในวรรคเดยี วกนั • นกั เรียนคิดวา การเลนคาํ มลี ักษณะอยางไร
คลา้ ยการผนั เสยี งวรรณยกุ ต ์ โครงสรา้ งของคา� เหมอื นกนั ไดแ้ ก ่ พยญั ชนะตน้ สระ และพยญั ชนะทา้ ย และกลวิธีดังกลา วสงผลตอคุณคาทาง
แตกต่างกันที่รูปวรรณยุกต์ เพ่ือสร้างความหลากหลายของระดับเสียง ซึ่งท�าให้เกิดความไพเราะ วรรณศลิ ปอยา งไร
ดา้ นเสยี งโดยตรง ดังบทประพันธ์ (แนวตอบ การใชค ําเดยี วกนั แตม ีความหมาย
แตกตางกันซํา้ หลายแหง ในบทประพนั ธ
เสนาสูสู่ส ู้ ศรแผลง หนึ่งบท)
ยิงคา่ ยหลายเมอื งแยง แย่งแย้ง
รกุ รน้ ร่นรนแรง ฤิทธร์ิ บี
ลวงลว่ งลว้ งวังแวง้ รวบเร้าเอามา

(โคลงอักษรสามหมู่: พระศรมี โหสถ)

บทประพนั ธน์ แ้ี สดงใหเ้ หน็ ความสามารถของผแู้ ตง่ ทเ่ี ลอื กใชค้ า� ทมี่ พี ยญั ชนะตน้ ขยายความเขา ใจ Expand
สระ และพยัญชนะท้ายเสยี งเดียวกัน แตกต่างกันทีเ่ สยี งวรรณยุกต ์
(๓) การเลน่ ค�า คอื การใช้ค�าเดยี วกนั ซ�้าหลายแห่งในบทประพันธ์หนงึ่ บท 1. นกั เรยี นยกตวั อยา งบทประพนั ธท มี่ กี ารเลน เสยี ง
แตค่ �าที่ซ้�ากนั นนั้ มคี วามหมายตา่ งกัน ดงั บทประพนั ธ์ การใชคาํ เลยี นเสยี งธรรมชาติ การเลนเสียง
วรรณยุกต และการเลน คาํ คนละ 1 ประเภท
นวลจันทรเ์ ป็นนวลจรงิ เจา้ งามพริ้งยง่ิ นวลปลา
คางเบือนเบอื นหน้ามา 2. ครสู มุ นักเรยี น 5 - 6 คน ออกมานําเสนอหนา
เพียนทองงามดง่ั ทอง ไไมม่่เงหามมเือทนา่ นเจ้อา้ งเหบ่มอื ตนาชดา1พยราย ชน้ั เรียน จากนน้ั นักเรียนบันทกึ ความเขาใจ
กระแหแหห่างชาย ลงในสมดุ
แก้มช�า้ ชา�้ ใครตอ้ ง ด่งั สายสวาทคลาดจากสม
ปลาทุกทกุ ข์อกกรม อนั แก้มนอ้ งช้า� เพราะชม
เหมือนทุกข์พีท่ ีจ่ ากนาง

(กาพยเ์ หเ่ รอื : เจา้ ฟ้าธรรมธเิ บศร)

9

“ครนื ครืนใชฟ า รอ ง ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู
เรียมครวญ
หึง่ หงึ่ ใชลมหวน พไ่ี ห” ครคู วรเพมิ่ เตมิ ความรเู กย่ี วกบั การพจิ ารณาคณุ คา ทางวรรณศลิ ปข องบทประพนั ธ
คาํ ประพนั ธข า งตน มคี วามโดดเดน ทางวรรณศิลปด า นใดมากท่ีสดุ ซง่ึ ถอื เปน สวนสาํ คญั ในการพิจารณาคุณคา ของบทประพนั ธ โดยเปนการพจิ ารณา
1. การเลน คํา ศิลปะในการแตง บทประพนั ธว า มกี ลวธิ กี ารใชค าํ ใหเกิดความไพเราะอยางไร
2. การเลนคาํ ซํ้า โดยเฉพาะอยางยิ่งในการพิจารณาบทรอยกรองมักใหค วามสําคญั ดานความไพเราะ
3. การเลนเสียงวรรณยกุ ต ของบทประพนั ธ ซึง่ อาจเกิดจากรสคาํ ท่ีกวเี ลือกใช และรสความทีใ่ หความหมาย
4. การใชคาํ เลียนเสยี งธรรมชาติ ประทบั ใจผอู าน โดยความไพเราะท่ีเกดิ จากรสคาํ นัน้ เกดิ จากการทกี่ วเี ลือกใชค าํ
ภาษากวี ซ่ึงมลี กั ษณะพเิ ศษเปนคําที่มีความไพเราะ เหมาะสมกับบทประพนั ธแ ตล ะ
วเิ คราะหค าํ ตอบ คาํ ประพนั ธข า งตน มกี ารใชค าํ เลยี นเสยี งธรรมชาติ บทท้ังในดา นเสยี งและความหมาย โดยถอื เปน การเนน ยาํ้ และสือ่ อารมณท ีม่ คี วาม
เขมขน ชดั เจนในบทประพนั ธม ากยิง่ ข้นึ
พจิ ารณาจากคําวา “ครนื ครืน” และ “หึ่งหึง่ ” ตอบขอ 4.

นกั เรยี นควรรู

1 ตาด ชือ่ ผาชนิดหน่ึง ทอดวยไหมควบกบั เงินแลง หรือทองแลงจาํ นวนเทากนั

คูมือครู 9

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู

ครสู มุ นกั เรยี น 2-3 คน อธบิ ายตามหวั ขอ ตอ ไปนี้ ผแู้ ตง่ เลน่ คา� ดว้ ยการนา� คา� ทม่ี เี สยี งพอ้ งกนั แตค่ วามหมายตา่ งกนั มาเรยี งรอ้ ย
• นักเรยี นคดิ วา การซ้ําคาํ ในบทประพนั ธมี เขา้ ดว้ ยกัน เพอ่ื สอื่ ความว่าสิง่ นั้นท�าให้จติ ประหวัดไปถึงนางผู้เป็นทร่ี ัก ไดแ้ ก่
เลน่ คา� ว่า นวลจันทร์ เป็นชื่อปลานวลจันทร์กบั ผิวของนางผู้เป็นทร่ี ัก
ลกั ษณะอยางไร และกลวธิ ดี ังกลาวสง ผล เล่นค�าวา่ แกม้ ชา�้ เปน็ ชอื่ ปลาแกม้ ชา�้ กบั อาการแกม้ ชา�้ ของนางผเู้ ปน็ ทร่ี กั
ตอคณุ คาทางวรรณศิลปอยา งไร เลน่ ค�าว่า ทกุ เป็นชอื่ ปลาทุกกบั ความทกุ ขท์ ตี่ ้องจากนางมา
(แนวตอบ การใชคําคําเดยี วซ้าํ หลายแหง ในบท
ประพันธห นึง่ บท โดยคาํ ที่ซ้ํานั้นมคี วามหมาย (๔) การซา้� คา� คอื การใชค้ า� เดยี วกนั ซา�้ หลายแหง่ ในบทประพนั ธห์ นงึ่ บท
เดียวกนั กลวธิ ดี ังกลา วเปน การเนน ยํา้ ในความหมายเดียวกัน เพ่ือย�้านา�้ หนักความให้หนกั แน่นขนึ้ ดังบทประพนั ธ์
เนื้อความใหมีนา้ํ หนกั ชดั เจน และสง ผลให
ผอู า นเกิดอารมณส ะเทือนใจยิ่งข้นึ ) จา� ใจจ�าจากเจา้ จา� จร
• นกั เรียนคิดวา การเลน เสียงสมั ผัสในบท จา� นริ าศแรมสมร แมร่ า้ ง
ประพนั ธม ลี กั ษณะอยา งไร และกลวธิ ดี งั กลา ว เพราะเพือ่ จักไปรอน อริราช แลแม่
สงผลตอ คุณคา ทางวรรณศิลปอ ยางไร จา� ทกุ ข์จา� เทวษว้าง สวาทวา้ หว่ันถวิล
(แนวตอบ การใชค าํ ใหม เี สยี งสมั ผสั คลอ งจองกนั
โดยมีสัมผัส 2 ลักษณะ คือ สัมผสั นอกซงึ่ เปน (ลิลิตตะเลงพา่ ย: สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชิโนรส)
สมั ผัสตามฉนั ทลักษณและสมั ผสั ในสงผลให
บทประพนั ธม ีความไพเราะมากย่งิ ขนึ้ สมั ผสั บทประพันธ์น้ีพรรณนาถึงอารมณ์ ความรู้สึกของพระมหาอุปราชาที่ต้อง
ในมี 2 ลกั ษณะ คอื สมั ผัสพยัญชนะและ ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา ขณะเดินทางน้ันมีความรู้สึกรักและคิดถึงนางผู้เป็นที่รัก ผู้แต่งเลือกใช้
สัมผสั สระ) ถอ้ ยค�าที่มลี ักษณะค�าซ้�ามาแตง่ เป็นบทประพนั ธ์ ทง้ั น้เี พือ่ ใหเ้ กดิ ความไพเราะ ลึกซึง้ เกดิ อารมณ์
ความรู้สึกคล้อยตามไปกับบทประพันธ์และตัวละครในเร่ือง เช่น จ�าใจ จ�าจาก จ�าจร จ�านิราศ
ขยายความเขา ใจ Expand จ�าทุกข ์ และจ�าเทวษ อันแสดงถึงความรู้ ความสามารถของผูแ้ ตง่ ในการเลือกสรรถอ้ ยค�ามาใชไ้ ด้
อยา่ งดยี ิง่
1. นกั เรยี นยกตวั อยา งบทประพนั ธท ม่ี กี ารเลน เสยี ง
โดยการซา้ํ คาํ และการเลนเสยี งสัมผสั คนละ (๕) การเล่นเสียงสัมผัส คือ การใช้ถ้อยค�าให้มีเสียงสัมผัสคล้องจองของ
1 ประเภท พรอ มอธบิ ายวา กลวธิ ีดงั กลา ว บทรอ้ ยกรอง โดยการสมั ผสั ม ี ๒ ชนดิ คอื สมั ผสั นอกและสมั ผสั ใน สมั ผสั นอกเปน็ สมั ผสั บงั คบั ตาม
สง ผลตอคุณคาทางวรรณศลิ ปอ ยางไร ลกั ษณะคา� ประพนั ธ ์ สว่ นสมั ผสั ในเปน็ สมั ผสั ทไี่ มบ่ งั คบั แตค่ า� สมั ผสั ในทา� ใหบ้ ทประพนั ธน์ นั้ ไพเราะ
ยงิ่ ขน้ึ ม ี ๒ ลักษณะ คือ สัมผสั พยญั ชนะและสัมผัสสระ ดงั บทประพันธ์
2. ครสู ุมนกั เรียน 5 - 6 คน ออกมานาํ เสนอ
หนา ชั้นเรยี น จากนนั้ นกั เรยี นบนั ทึกความ ถงึ เขาขวางว่างเวงิ้ ชะวากวงุ้ เขาเรยี กทุ่งสงขลาพนาสณั ฑ์
เขาใจลงในสมดุ เปน็ ปา่ รอบขอบเขนิ เนินอรัญ นกเขาขันคเู รยี กกันเพรยี กไพร

(นิราศเมอื งแกลง: สุนทรภ)ู่

สมั ผสั พยญั ชนะ เชน่ วา่ ง - เวง้ิ - วาก - วงุ้ เขา - ขนั - ค ู เพรยี ก - ไพร
สมั ผสั สระ เช่น (สง)ขลา - พนา รอบ - ขอบ เขิน - เนนิ เรียก - เพรียก

10

เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEดิT

ครคู วรเพมิ่ เตมิ ความรเู กยี่ วกบั การพจิ ารณาคณุ คา ทางวรรณศลิ ปข องบทประพนั ธ “ลางลงิ ลงิ ลอดไม ลางลิง
แลลกู ลงิ ลงชิง ลูกไม”
ซ่งึ ถอื เปน สว นสาํ คญั ในการพจิ ารณาคุณคาของบทประพนั ธ โดยจะตอ งพจิ ารณา คําประพันธข างตนไมเดน ชดั ในดานใด
ศลิ ปะในการแตง บทประพันธตง้ั แตภาษาในระดับคํา ซึ่งใหค วามงดงามท้ังทางดา น
รปู เสยี งของคาํ ความหมาย และอารมณท ม่ี คี วามลกึ ซง้ึ อกี ดว ย โดยครูสามารถ 1. การซํ้าคาํ
2. การเลนคาํ
ยกตวั อยา งบทกวที ม่ี คี วามไพเราะดา นการใชค ํา ดงั ตอไปน้ี 3. การเลนเสยี งสัมผัส
“ซอ นกลนิ่ กลนิ่ แกว ซอน นาสา เรียมฤๅ
ตาดวาตาดพสั ตรา หนมุ เหนา 4. การเลน เสยี งวรรณยกุ ต

สลาลิงเลห ซ องสลา นุชเทียบ ถวายฤๅ วเิ คราะหคําตอบ คาํ ประพันธขางตน เดนในการซ้าํ คํา เลน คํา
สวาทดัง่ เรยี มสวาทเจา จากแลวหลงครวญ”
จากนน้ั ครูสามารถอภิปรายแลกเปล่ียนความคิดเห็นกบั นกั เรียนเก่ียวกบั และเลนเสียงสมั ผัส แตไ มมกี ารเลน เสียงวรรณยุกต ตอบขอ 4.

ความหมายของคาํ และความไพเราะของเสยี งจากการใชคาํ นอกจากความไพเราะ
ของเสยี งท่เี กิดจากการใชคาํ แลวยงั กอ ใหเ กดิ รสความ สงผลตอ อารมณ ความรูสกึ
ทเี่ ขมขนจากการใชค าํ ในบทกวีไดเ ปน อยางดี

10 คมู อื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู

ส่วนค�าฉันท์มีเสียงหนัก - เบาท่ีเรียกว่า ครุ ลหุ ท�าให้เกิดจังหวะในการอ่าน นักเรยี นรว มกันตอบคําถามตอ ไปน้ี
บางจงั หวะท�าใหเ้ กดิ อารมณเ์ ศรา้ บางจงั หวะจะเกดิ อารมณส์ นกุ สนาน คกึ คกั โดยเฉพาะการอา่ นท่ี • นักเรยี นคดิ วา โวหารภาพพจนมีความหมาย
เน้นอารมณ์ตามเนื้อหา จะท�าให้บทประพนั ธน์ ้นั ไพเราะย่ิงขึ้น ดังบทประพันธ์
วา อยางไร และมจี ุดมุงหมายในการส่ือสาร
อ้าเพศก็เพศนุชอนงค์ อรองคก์ ็บอบบาง อยางไร
ควรแตผ่ ดงุ สริ สิ อาง ศุภลกั ษณป์ ระโลมใจ (แนวตอบ โวหารภาพพจนเ ปนการพลกิ แพลง
ภาษาอยา งมชี นั้ เชงิ โดยไมก ลา วอยาง
(ฉนั ทย์ อเกยี รติชาวนครราชสีมา: พระยาอุปกิตศลิ ปสาร) ตรงไปตรงมา เพอ่ื ใหผ ูอานมีสวนรว มในการ
คิดและการตีความ ผูอ านเกิดอารมณ ความ
๒) การใชโ้ วหารภาพพจน์ คอื การพลกิ แพลงภาษาทใ่ี ชพ้ ดู หรอื เขยี นทที่ า� ใหผ้ อู้ า่ น รสู กึ รวมกับบทประพนั ธ สามารถสอื่ ความ
เห็นภาพ ไดอ้ ารมณ์ ได้ความรสู้ ึก ไดข้ อ้ คิด การใช้โวหารมีหลายลกั ษณะ ดงั น้ี เขา ใจสผู อู า นไดอ ยา งแยบยลและคมคาย)
• นักเรียนบอกลักษณะการใชโ วหารภาพพจน
(๑) การเปรยี บเทยี บของสองสงิ่ ทมี่ ลี กั ษณะคลา้ ยกนั โดยใชค้ า� เปรยี บวา่ เหมอื น ประเภทตางๆ พรอมระบุวา โวหารภาพพจน
ดจุ ดงั เฉก เช่น ราว ประหน่ึง กล เรียกวา่ อุปมา เช่น การเปรยี บการหมายปองหญงิ สาวเหมอื น แตละชนดิ สง ผลตอกลวธิ ีทางวรรณศิลป
ปองดอกไมบ้ นสวรรค ์ ดงั บทประพันธ์ อยางไร
(แนวตอบ นักเรยี นสามารถกลาวถงึ กลวิธกี าร
พีห่ มายน้องดจุ ปองปาริกชาติ มณฑาไทเทวราชในสวนสวรรค์ ใชโวหารภาพพจนไ ดอ ยา งหลากหลาย ซ่ึง
โวหารภาพพจนแ ตล ะชนดิ ยอ มสง ผลตอ
(เพลงยาวนายนรนิ ทรธเิ บศร์: นรนิ ทรธเิ บศร)์ กลวธิ กี ารสื่อสารและสง ผลตอ อารมณ ความ
รูส กึ ของผูอ านทม่ี คี วามแตกตางกนั นกั เรียน
(๒) การเปรยี บเทยี บโดยโยงความคดิ อยา่ งหนงึ่ ไปสคู่ วามคดิ อกี อยา่ งหนงึ่ โดยใช้ สามารถกลาวถึงภาพพจนป ระเภทอปุ มา
คา� เปรยี บวา่ เปน็ คอื เรียกวา่ อปุ ลักษณ ์ เช่น การเปรียบปลาน้�าเงนิ ท่ีมเี กลด็ สีเงนิ สวยงามเป็น อุปลักษณ บุคคลวตั อติพจน ปฏิพากย
เงนิ บริสุทธิ์ ดงั บทประพนั ธ์ สทั พจน นามนยั สญั ลกั ษณ และอปุ มา
นิทัศน หนา 11 - 13)
น�้าเงนิ คอื เงินยวง ขาวพรายชว่ งสีส�าอาง
ไมเ่ ทียบเปรียบโฉมนาง งามเรืองเร่อื เนื้อสองสี

(กาพย์เหเ่ รือ: เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)

บางครั้งการเปรียบเทียบอาจไม่มีค�าแสดงให้เห็นเด่นชัด ผู้อ่านจะต้องวิเคราะห์
ด้วยตนเอง เชน่ การเปรยี บพระกณั หา พระชาลเี ปน็ แวน่ แก้วท่สี ่องสว่าง ดงั บทประพนั ธ์

...จง่ึ ตรสั วา่ โอเ้ จา้ แวน่ แกว้ สอ่ งสวา่ งอกของแมเ่ อย่ แมเ่ คยไดร้ บั ขวญั เจา้ ทกุ เวลา เปน็ ไร ขยายความเขา ใจ Expand
เล่าเจา้ จ่งึ ไมม่ าเหมือนทกุ วัน...
1. นกั เรยี นยกตัวอยา งบทประพนั ธที่มีการใช
(มหาเวสสันดรชาดก กัณฑม์ ทั รี: เจ้าพระยาพระคลงั (หน)) โวหารภาพพจนประเภทตางๆ ประกอบดว ย
ภาพพจนอุปมา อปุ ลักษณ บคุ คลวตั อตพิ จน
(๓) การสมมติส่ิงต่างๆ ให้มีอากัปกิริยาอาการเหมือนมนุษย์ มีอารมณ์ และมี ปฏิพากย สทั พจน นามนยั สัญลักษณ และ
ความร้สู ึก เรยี กวา่ บุคคลวัตหรือบุคลาธิษฐาน เช่น การแสดงกริ ยิ าอาการของภูเขาท่ีปลายโน้ม อปุ มานทิ ศั น คนละ 1 ประเภท พรอ มอธบิ ายวา
ลงมาเหมือนการไหว ้ ดงั บทประพนั ธ์

11 กลวธิ ดี งั กลา วสงผลตอ คุณคา ทางวรรณศิลป
อยา งไร
2. ครสู ุม นักเรยี น 5 - 6 คน นําเสนอหนา ชนั้ เรยี น
จากนน้ั นักเรียนบันทกึ ความเขา ใจลงในสมุด
กจิ กรรมสรา งเสรมิ
เกร็ดแนะครู

นกั เรยี นสงั เกตคาํ ที่ใชภ าพพจนแบบตางๆ พรอ มพจิ ารณา ครูควรเพมิ่ เติมความรูเ ก่ยี วกับโวหารภาพพจนวา การใชโ วหารภาพพจนเปน การ
ความหมายทน่ี าํ มาเปรยี บเทยี บวา มคี วามสอดคลอ งกนั หรอื ไม พลิกแพลงภาษาใหแปลกออกไปจากทใ่ี ชโ ดยท่วั ไป กอ ใหเกิดจินตภาพ สรา งอารมณ
พรอ มพจิ ารณาสาระสาํ คญั ทก่ี วตี อ งการสอ่ื นกั เรยี นบนั ทกึ ความเขา ใจ หรือรสของความสะเทอื นใจดวยวธิ กี ารสอ่ื ความหมายโดยนยั
ลงในสมดุ
ครสู ามารถเพม่ิ เตมิ ความรู ความเขาใจเกยี่ วกับโวหารภาพพจนด วยการอา น
กจิ กรรมทาทาย บทประพนั ธท มี่ ีโวหารภาพพจนแ ตกตา งกันใหนกั เรยี นฟง จากน้นั ใหน ักเรยี นบอกวา
โวหารภาพพจนใ นแตละขอมีความแตกตา งกันอยางไร เพ่ือใหน กั เรยี นสามารถตง้ั
นกั เรียนพจิ ารณาความเปรยี บท่มี ีเน้อื หาสอดคลองกัน เชน สมมตฐิ านเบอ้ื งตน เพื่อสรางความรู ความเขา ใจพื้นฐานจากเรอื่ งท่นี กั เรยี นไดฟ ง
ความเปรียบท่ีวา ดวยความเศรา เสยี ใจหรอื ความรัก พรอมพิจารณา และสรา งความเขาใจพ้ืนฐานไดดวยตนเอง ชว ยใหน กั เรียนสามารถนาํ ความรู
วา บทประพันธดงั กลา วมกี ารใชสอื่ เปรยี บเทยี บ หรอื ส่งิ ที่นํามา ความเขาใจของตนเองไปประยกุ ตใ ชในการศึกษาวรรณคดเี รือ่ งอน่ื ได และเกิด
เปรยี บเทยี บแตกตา งกันหรือไม อยางไร นกั เรยี นบนั ทกึ ความคิดรวบยอดจากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมดว ยตนเอง
ความเขา ใจลงในสมดุ
คมู อื ครู 11

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explain Expand Evaluate
Explore
อธบิ ายความรู
Explain

นกั เรียนรว มกนั ตอบคาํ ถามตอไปนี้ สัตภัณฑบ์ รรพตทั้งหลาย อ่อนเอียงเพยี งปลาย
• นกั เรียนเคยอา นบทประพันธท ม่ี กี ารใชสง่ิ ใด ประนอมประนมชมชยั

สิง่ หนึง่ เปนสญั ลกั ษณแทนอีกส่ิงหนง่ึ หรอื ไม (๔) การเปรยี บเทยี บโดยการก(บลทา่ พวาเกกยนิ เ์ อจรรางิวัณ เร: ยีพกระวบา่ า ทอสตมพิเดจจ็ พนร ์ 1ะเชพน่ทุ ธ เถลา้ิศมหลอี ้าานยภยุาลนื ัยเ)ปน็
แลวผแู ตงใชส ่ิงใดเปนสัญลักษณ และแทนสง่ิ ร้อยปีก็จะรักมทั นาไมใ่ ห้ลดลง ดังบทประพันธ์
ใด
(แนวตอบ นกั เรยี นสามารถแสดงความคดิ เหน็ ได ผิวะอายุจะยืน ศตะพรรษะฤกวา่
อยา งหลากหลายขึ้นอยกู บั เหตผุ ลของนกั เรียน ก็จะรักมัทนา บ่มหิ ยอ่ นฤดิหรรษ์
เปน ตนวา ใชเมฆฝนแทนอุปสรรค ใชดวงดาว
แทนจุดมุง หมายสงู สุดของชวี ิต ใชดอกไม (บทละครพูดคา� ฉนั ท์ เรอื่ ง มัทนะพาธา: พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอย่หู วั )
แทนผหู ญิง)

ขยายความเขา ใจ Expand เรียกว่า ปฏิพากย(๕์ 2)เ ชก่นา รใกชา้คร�าบทอ่ีมกีควว่าาเสมียหงมขาอยงขนัด�้าแทย่ีก้งรกะันซ ิบแ ตแ่เตม่ก่ือลพับิจไามร่มณีเสาแียลง ้วมแลีคะวโาลมกเทปี่ว็นุ่นไปวาไดย ้
แต่กลบั ไมม่ ีเสยี ง ดังบทประพนั ธ์
นักเรียนยกตัวอยางบทประพันธท มี่ ีการใช
โวหารภาพพจน พรอ มอธิบายวา โวหารภาพพจน แทบฝ่งั ธารท่ีเราเฝ้าฝนั ถึง เสียงน�้าซึ่งกระซิบสาดปราศจากเสียง
ดงั กลา วสง ผลตอคณุ คาทางวรรณศิลปอยางไร จกั รวาลวนุ่ วายไร้ส�าเนยี ง โลกนเ้ี พียงแผน่ ภพสงบเยน็

(แนวตอบ นกั เรียนสามารถยกตัวอยา งได (วารดี รุ ยิ างค:์ เนาวรัตน์ พงษไ์ พบลู ย)์
อยางหลากหลายขน้ึ อยกู ับเหตผุ ลของนกั เรียน)
(๖) การใช้ค�าเลียนเสียงธรรมชาติ เรียกว่า สัทพจน์ เช่น เสียงนกยูงร้องดัง
กะโต้งโหง่ เปน็ การเลยี นเสียงร้องของนกยงู ดังบทประพันธ ์

ยูงทองร้องกะโต้งโหง่ ดัง เพียงฆอ้ งกลองระฆัง
แตรสงั ขก์ งั สดาลขานเสยี ง

(กาพย์พระไชยสรุ ยิ า: สนุ ทรภู่)

(๗) การใช้ค�าท่ีบ่งบอกลักษณะของส่ิงใดส่ิงหนึ่งแทนส่ิงนั้นทั้งหมด เรียกว่า
นามนัย เช่น การใช้ฉตั รแทนความเป็นกษัตริย ์ ดังบทประพันธ์

...จง่ึ พระปน่ิ ปกั ธาษตร ีบรุ รี ตั นหงสา ธกบ็ ญั ชาพภิ าษ ดว้ ยมวลมาตยากร วา่ นครรามนิ ทร์
ผลดั แผน่ ดนิ เปลย่ี นราช เยียวววิ าทชงิ ฉตั ร เพ่อื กษตั ริย์สองส้ ู บรา้ งรเู้ หตผุ ล...

(ลลิ ติ ตะเลงพ่าย: สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานชุ ิตชิโนรส)

(๘) การใช้ส่ิงใดส่ิงหนึ่งแทนอีกสิ่งหน่ึง โดยที่ท้ังสองส่ิงน้ีมีคุณสมบัติร่วมกัน
เรียกว่า สญั ลกั ษณ ์ เชน่ การใช้หงสเ์ ป็นสญั ลักษณแ์ ทนวงศต์ ระกลู ดงั บทประพันธ์

12

นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT
คาํ ประพนั ธใ นขอ ใดมจี ดุ มงุ หมายในการแนะนาํ สงั่ สอน
1 อตพิ จน เปน โวหารภาพพจนท ใี่ ชเ ปรยี บเทยี บ โดยกลา วเกนิ จรงิ หรอื กลา วนอ ย 1. หา มเพลงิ ไวอ ยา ให มคี วนั
กวา ความเปน จรงิ ซงึ่ การพดู ในชวี ติ ประจาํ วนั กม็ กี ารนาํ โวหารภาพพจนช นดิ นม้ี าใช 2. หา มสรุ ยิ ะแสงจนั ทร สอ งไซร
เชน 3. หา มอายใุ หห นั คนื เลา
4. หา มดงั่ นไ้ี วไ ด จงึ่ หา มนนิ ทา
- รกั คณุ มากทส่ี ดุ ในสามโลก
- ทาํ งานหนกั มากเลอื ดตาแทบกระเดน็ วเิ คราะหค าํ ตอบ จากคําประพันธ “หา มดง่ั นี้ไวได จึ่งหา มนนิ ทา”
- รอ งไหจ นนาํ้ ตาเปน สายเลอื ด สาระสาํ คัญของบทประพนั ธน ี้ คือ การนินทาเปน เรอื่ งธรรมดา
2 ปฏพิ ากย เปน โวหารภาพพจนท ใ่ี ชค าํ ทมี่ คี วามหมายตรงกนั ขา มหรอื ขดั แยง กนั
มากลา ว ซง่ึ การพดู ในชวี ติ ประจาํ วนั กม็ กี ารนาํ โวหารภาพพจนช นดิ นมี้ าใช เชน ของโลก คนเราไมส ามารถหามผอู น่ื ไมใ หน นิ ทาได ตอบขอ 4.
- รกั ยาวใหบ น่ั รกั สน้ั ใหต อ
- เสยี นอ ยเสยี ยาก เสยี มากเสยี งา ย
- กระซบิ เสยี เสยี งดงั

12 คมู ือครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain
Expand Evaluate

ตรวจสอบผล Evaluate

เสยี สินสงวนศกั ดไ์ิ ว ้ วงศ์หงส์ 1. นักเรียนสรปุ สาระสําคญั เก่ยี วกับความหมาย
เสยี ศักดิส์ ู้ประสงค์ ส่ิงรู้ และความสาํ คญั ของวรรณคดี จดุ มงุ หมาย
เสีย รเู้ ร่งด�ารง ความสตั ย ์ ไว้นา ในการอา นวรรณคดี คุณคาของวรรณคดี
เสีย สัตยอ์ ย่าเสยี สู้ ชีพม้วยมรณา และวิธีพจิ ารณาคณุ คาวรรณคดี
(โคลงโลกนติ ิ: สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร)
2. นักเรยี นสามารถยกตัวอยา งบทประพันธทีม่ ี
(๙) การเปรยี บเทยี บโดยใชเ้ รอื่ งราวหรอื นทิ านมาประกอบ เรยี กวา่ อปุ มานทิ ศั น์ การสรรคาํ ใหเ หมาะสมกับประเภทของ
เช่น การนา� เร่อื งหมกู ับราชสหี ม์ าเปรยี บกับคนขลาดเขลาทท่ี ้าทายผู้ฉลาดกว่า ดังบทประพนั ธ์ คําประพันธ

หมเู หน็ สีหราชทา้ ชวนรบ 3. นักเรียนสามารถยกตัวอยางบทประพนั ธทีม่ ี
กูสตี่ ีนกูพบ ทา่ นไซร้ การเลนเสยี ง โดยการใชคาํ เลียนเสยี งธรรมชาติ
อยา่ กลวั ท่านอยา่ หลบ หลีกจาก กนู า การเลนเสียงวรรณยกุ ต การซ้ําคํา การเลนเสียง
ท่านสี่ตีนอยา่ ได ้ วากเวว้ างหนี สัมผสั และการเลน คํา
(โคลงโลกนติ ิ: สมเด็จพระเจ้าพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร)
4. นักเรียนสามารถยกตวั อยางบทประพนั ธท ม่ี ี
๕.๓ คุณค่าด้านสงั คม การใชโวหารภาพพจนป ระเภทตางๆ
การพิจารณาคณุ คา่ ด้านสังคม ผอู้ ่านจะตอ้ งพิจารณาจากแนวคดิ การให้คติเตอื นใจ
การแสดงใหเ้ หน็ ถึงวถิ ีชีวติ ความเชอื่ ขนบธรรมเนียม ประเพณที ี่ผแู้ ต่งได้แทรกไว้ในบทประพันธ์ 5. นักเรียนสามารถยกตวั อยางบทประพันธท ี่
ดังบทประพันธ์ สะทอ นคณุ คา ทางสงั คมและวฒั นธรรม
พรอ มความเรียงสรปุ สาระสาํ คญั

ใดใดในโลกลว้ น อนิจจัง หลกั ฐานแสดงผลการเรียนรู
คงแต่บาปบญุ ยัง เทยี่ งแท้
คือเงาติดตวั ตรัง ตรึงแน่น 1. ความเรยี งสรุปสาระสาํ คญั เก่ียวกบั ความหมาย
ตามแต่บุญบาปแล้ กอ่ เกอื้ รักษา และความสาํ คัญของวรรณคดี จดุ มุง หมาย
(ลลิ ติ พระลอ: ไม่ปรากฏชื่อผ้แู ตง่ ) ในการอานวรรณคดี คุณคาของวรรณคดี
และวิธพี ิจารณาคณุ คา วรรณคดี
ผู้แต่งแสดงแนวคิดเร่ืองบาปบุญว่าติดตามตัวเราเหมือนเงาตามตัว ใครท�ากรรม
ไวเ้ ชน่ ใด ย่อมได้รับผลกรรมน้ัน 2. ตวั อยา งบทประพันธท ีม่ ีการสรรคําใหเหมาะสม
กบั ประเภทของคาํ ประพนั ธ
ทองประศรดี ีใจได้ฤกษย์ าม ไดส้ บิ สามปีแล้วหลานแกว้ กู
3. ตัวอยา งบทประพันธที่มีการเลน เสียง โดย
จะโกนจุกสุกดิบข้นึ สิบค�า่ แกท�าน้า� ยาจนี ตม้ ต้นหมู การใชค ําเลยี นเสียงธรรมชาติ การเลน เสยี ง
(บทเสภาขนุ ชา้ งขุนแผน ตอน ก�าเนดิ พลายงาม: สนุ ทรภู่) วรรณยุกต การซ้ําคํา การเลนเสียงสมั ผสั
และการเลนคาํ
ผู้แต่งแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของผู้คนสมัยก่อนท่ีเม่ือพ้นวัยเด็กเข้าสู่วัยรุ่นจะต้อง
โกนจกุ เพราะเปน็ ความเชอื่ วา่ จะช่วยปอ้ งกนั โรคภัยไข้เจบ็ ได้ จนเกิดเป็นประเพณีโกนจกุ ข้ึน 4. ตวั อยา งบทประพันธท มี่ ีการใชโวหารภาพพจน
ประเภทตา งๆ
การวิจักษ์วรรณคดีท�าให้ผู้อ่านมองเห็นคุณค่าท่ีผู้แต่งตั้งใจสอดแทรกเอาไว ้
เห็นความงามและความไพเราะของวรรณคดี ท�าให้อ่านงานประพันธ์นั้นอย่างเพลิดเพลิน 5. ตวั อยา งบทประพันธทสี่ ะทอ นคณุ คา ทางสังคม
เกดิ ความซาบซงึ้ ตระหนกั ในคุณคา่ ของงานประพนั ธ ์ และเกดิ ความภูมใิ จในฐานะทีเ่ ปน็ มรดก และวฒั นธรรม พรอ มความเรยี งสรปุ สาระสาํ คญั
ของชาติ ซึ่งควรค่าแกก่ ารอนุรกั ษแ์ ละสบื ทอดตอ่ ไป
13

ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT เกร็ดแนะครู
“เถลงิ การกุศลสบื สราง เบญจางค ศลี เฮย
เนืองนวิ ทั ธวาง วางเวน ครคู วรตรวจสอบความรู ความเขา ใจของนกั เรยี นจากหลกั ฐานแสดงผลการเรยี นรู
บาํ เทิงหฤทัยทาง บุญเบ่ือ บาปนา เพอื่ ใหค รทู ราบพนื้ ฐานความรู ความเขา ใจของนกั เรยี นแตล ะคน ครสู ามารถนาํ ความรู
แสวงสคั มัคโมกขเรน รอดรื้อสงสาร” ความเขา ใจดงั กลา วมาใชเ ปน พน้ื ฐานสําหรบั การออกแบบการเรยี นการสอน และครู
บทประพนั ธขา งตน มเี นือ้ หาสอดคลองกับคําสอนทาง สามารถเพ่ิมเตมิ เนอ้ื หาหรอื เนนยาํ้ ประเดน็ ทน่ี กั เรยี นไมเ ขา ใจใหนกั เรยี นเกดิ ความรู
พระพทุ ธศาสนาในขอ ใด ความเขาใจไดชัดเจนมากย่ิงข้ึน
1. การทาํ ทาน
2. การรกั ษาศีล นักเรียนสามารถนาํ องคความรูท่ีไดจากการจดั การเรยี นการสอนไปประยกุ ตใ ช
3. การใชขนั ตธิ รรม ในการวเิ คราะหวจิ ารณวรรณคดีไทยเร่อื งอ่นื ๆ ทัง้ ในบทเรยี นนี้ รวมถึงการอาน
4. การบรจิ าคทรัพยท าํ บุญ วรรณคดีและวรรณกรรมประเภทตา งๆ ไดอยางหลากหลาย เปนการตอ ยอด
องคค วามรแู ละสรา งเสริมความเขา ใจของนกั เรียนไดเ ปนอยางดี นอกจากความรู
วิเคราะหคําตอบ การรกั ษาศีล สอดคลอ งกับสาระสาํ คญั ของเรอ่ื ง ความเขา ใจของนักเรยี นท่ีเกดิ จากการประยกุ ตความรทู ี่ไดเรยี นมาใชใ นการพจิ ารณา
บทประพันธแ ลว การทาํ ความเขาใจบทประพนั ธประเภทตางๆ ยงั สง ผลดีตอตัว
ซง่ึ กลา วถงึ การบําเพ็ญบุญ รกั ษาศลี เพอื่ บรรลุธรรม ตอบขอ 2. นกั เรยี น ใหนกั เรียนสามารถพัฒนาความคดิ ใหม ีความลกึ ซงึ้ ไดมากยิง่ ข้นึ

คูมือครู 13

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Explain Expand Evaluate
Engage

Explore

เปาหมายการเรยี นรู

1. วเิ คราะหว จิ ารณว รรณคดเี รอื่ งมหาเวสสนั ดรชาดก
กัณฑม ทั รี ตามหลกั การวจิ ารณเ บอ้ื งตน

2. วิเคราะหล กั ษณะเดนของวรรณคดเี ร่ืองมหา
เวสสนั ดรชาดก กัณฑมัทรี เชอ่ื มโยงกบั การ
เรยี นรูทางประวตั ศิ าสตรแ ละวิถชี ีวติ ของสงั คม
ในอดีต

3. วเิ คราะหแ ละประเมินคุณคา วรรณคดเี ร่ือง
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑมทั รี
• ดา นเนือ้ หา
• ดา นวรรณศิลป
• ดานสังคม

4. สงั เคราะหข อ คดิ จากวรรณคดเี รอื่ งมหาเวสสนั ดร
ชาดก กณั ฑม ทั รี เพอื่ นาํ ไปประยกุ ตใ ชใ นชวี ติ จรงิ

สมรรถนะของผเู รยี น มหาเวสสนั ดรชาดก
กัณฑม ทั รี
1. ความสามารถในการสือ่ สาร
2. ความสามารถในการคดิ เปน กัณฑท่ี ๙ ในมหาเวสสนั ดรชาดก ของ
3. ความสามารถในการใชท ักษะชีวติ เจาพระยาพระคลงั (หน) เปนกณั ฑท แ่ี สดงถงึ
ความอาลยั รกั ทแี่ มม ตี อ ลกู โดยใชถ อ ยคาํ ทปี่ ระทบั ใจ
คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค ñหนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ใหเ กดิ ความโศกเศรา รว มไปกบั พระนางมทั รี กณั ฑม ทั รี
จงึ มคี วามดเี ดน ทงั้ ในดา นเนอ้ื เรอ่ื ง และการใชถ อ ยคาํ ให
1. มวี ินัย กระทบอารมณ อกี ทง้ั ยงั สอดแทรกเรอ่ื งราวความรกั ทแี่ ม
2. ใฝเ รียนรู มตี อลูกอนั เปนแบบอยา งและขอคิดทีม่ ปี ระโยชน
3. ซ่อื สตั ยสจุ ริต
4. มงุ มั่นในการทาํ งาน มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม ทั รี
5. รกั ความเปนไทย ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง

• ท ๕.๑ ม.๔-๖/๑, ๒, ๓, ๔, ๖ • การวเิ คราะหแ์ ละประเมินคณุ คา่ วรรณคดแี ละวรรณกรรม
เรอ่ื ง มหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑ์มทั รี

กระตนุ ความสนใจ Engage

ครถู ามนกั เรยี นเกย่ี วกบั มหาเวสสนั ดรชาดกวา 14
• นักเรยี นเคยเรียนมหาเวสสันดรชาดกหรอื ไม

ถา เคยเรยี นนกั เรยี นเรียนกัณฑใ ด

เกร็ดแนะครู

ครใู หความรนู กั เรยี นเกยี่ วกับเรอ่ื งมหาชาติวา แบงเปน 13 กณั ฑ กณั ฑท่ีนักเรียน
กําลงั ศกึ ษาอยูน เ้ี ปนกณั ฑมัทรี ครูใหน ักเรยี นทบทวนความรูก อนเริ่มเรยี น โดยให
นักเรยี นสบื คนเรื่องยอกัณฑก มุ ารซ่งึ เปน กัณฑกอ นกณั ฑม ัทรี แลว นํามาชว ยกนั เลา
เรอื่ งยอ ฝก ทกั ษะการเลาเร่ือง และการทํากิจกรรมรวมกัน แลกเปลี่ยนเชื่อมโยง
ความรขู องนกั เรยี นแตล ะคน ครกู ระตนุ ใหนักเรยี นมีปฏสิ มั พันธซ งึ่ กันและกันใหท กุ คน
เปน สวนหนง่ึ ของการทาํ กิจกรรมรวมกนั

ครูนํานักเรยี นสนทนาเกย่ี วกับการแตงวรรณคดีศาสนา ซง่ึ ตา งจากพระธรรม
คําสอนในพระพุทธศาสนา เพราะกวไี ดถือเอาความงามทางอรรถรสเปน สาํ คัญ
จะบรรยายความงดงามทางธรรมชาตแิ ละเหตุการณตางๆ ดวยถอยคาํ ทกี่ อใหเกิด
อารมณลกึ ซ้ึงกินใจ และกวีจะนาํ ขอคิดในหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนามาสอดแทรก
ใหเ ห็นถงึ แกนแทของชวี ิต ซ่ึงผอู านจะไดรบั ขอ คดิ ความรูท่จี ะนาํ ไปใชใ นชีวติ จริง

14 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Engage

กระตนุ ความสนใจ

๑. คว�มเปน ม� ครกู ระตุนความสนใจของนักเรยี น โดยให
นกั เรยี นเลา เร่ืองเกีย่ วกับมหาเวสสนั ดรชาดก
เรอ่ื งมหาเวสสนั ดรชาดก เปน็ วรรณคดเี กย่ี วกบั พระพทุ ธศาสนามที มี่ าจากคมั ภรี ์ “จรยิ าปฎิ ก” จากประสบการณข องนักเรียน เชน เคยเหน็ จาก
และคัมภรี ์ “ชาดก” พระสตุ ตนั ตปฎิ ก หมวดขุททกนกิ าย ซ่งึ กล่าวถงึ มลู เหตุของการตรสั เลา่ เรื่อง ภาพจิตรกรรมฝาผนงั ทว่ี ัด โบสถ หรอื งานเทศน
มหาชาติว่า เมือ่ ทรงตรัสรู้แล้วจงึ เสดจ็ ไปโปรดพระราชบดิ าและพระประยรู ญาต ิ ขณะทปี่ ระทับ ณ มหาชาตปิ ระจาํ ทอ งถ่นิ เปนตน
วัดนิโครธาราม เมืองกบิลพัสดุ์ เมื่อบรรดาพระประยูรญาติมาเฝ้า ต่างมีใจกระด้างด้วยทิฐิมานะ
ถอื ตนมยิ อมเคารพไหว ้ พระพทุ ธเจา้ จงึ แสดงปาฏหิ ารยิ เ์ หาะขน้ึ ไปบนอากาศเหนอื พระประยรู ญาต ิ สาํ รวจคน หา Explore
ยงั ใหส้ น้ิ มานะละพยศในใจ บงั เกดิ ศรทั ธาเลอื่ มใสและถวายอภวิ าทบงั คม เมอื่ เหตเุ ปน็ ดงั นนั้ กเ็ กดิ
ฝนโบกขรพรรษตกลงมาเป็นเคร่ืองแสดงความปราโมทย์ยินดี ด้วยเหตุทรงละพยศในใจพระญาติ 1. นักเรียนคน ควาความเปนมา และรวบรวม
ทั้งปวงให้ศรทั ธาเล่อื มใสได้ รายชอ่ื กณั ฑต างๆ ของมหาเวสสนั ดรชาดก
ความนภา่ าอยศั หจลรรังยเมใ์ นื่อเพหรตะแุรหาชง่ ฝบนิดนาแ ี้ พลระะพอรงะคปจ์ รงึ ะตยรูรสั ญวา่าฝตนิทโั้งบปกวขงรทพูลรลราษก1ทลต่ีับก มพารนะไี้สมาอ่วศักจจรึงรไยดเ์้ทลูลยถ เาพมรถาึงะ
ในชาตกิ อ่ นเมอื่ ครง้ั ทพี่ ระองคย์ งั ทรงเปน็ พระโพธสิ ตั วเ์ สวยพระชาตเิ ปน็ พระเวสสนั ดรนนั้ ฝนชนดิ น้ี 2. นักเรยี นศกึ ษาเนอื้ เรื่องมหาเวสสันดรชาดก
ก็เคยตกมาแล้วครั้งหนึ่ง พระสาวกท้ังหลายจึงกราบทูลอาราธนาให้ทรงเล่าเรื่องน้ี พระองค์จึง กัณฑมัทรี
ทรงเทศน์เรื่องมหาเวสสันดรชาดก เพราะฉะนั้น อาจกล่าวได้ว่าฝนโบกขรพรรษเป็นสาเหตุที่
ท�าให้พระพทุ ธเจา้ ทรงเทศนเ์ รือ่ งมหาเวสสันดรชาดก ซง่ึ เปน็ หนง่ึ ในสบิ พระชาตสิ ุดท้ายก่อนบรรลุ 3. นกั เรยี นศึกษาลักษณะคาํ ประพนั ธประเภท
ธรรมวเิ ศษ โดยแต่ละพระชาตทิ รงบ�าเพ็ญบารมีแตกต่างกัน ดังนี้ รา ยยาวท่มี ีคาถาบาลีขน้ึ ตน

อธบิ ายความรู Explain

พระชาติท่ี ช่อื ชาดก การเสวยพระชาติของพระโพธิสัตว์ นักเรียนอา นความเปนมาของเรอ่ื ง
มหาเวสสนั ดรชาดกในหนา 15 แลว ตอบคําถาม
๑ เตมิยชาดก (เต) พระเตมีย์กมุ ารบา� เพญ็ เนกขมั มบารมี (การออกบวช) ดงั นี้

๓ มหาชนกชาดก (ชะ) พระชนกกุมารบา� เพ็ญวริ ิยบารมี • เรือ่ งมหาเวสสันดรชาดกมีความสัมพันธก บั
๔ พระพทุ ธศาสนาอยา งไร
๕ สวุ ณั ณสามชาดก (ส)ุ พระสวุ รรณสามบ�าเพญ็ เมตตาบารมี (แนวตอบ มหาเวสสันดรชาดกเปนเรื่องราว
๖ พระชาติสดุ ทายของพระโพธสิ ัตวกอนจะ
๗ เนมริ าชชาดก (เน) พระเนมิราชกมุ ารบ�าเพญ็ อธษิ ฐานบารมี เสวยพระชาติเปน พระพุทธเจา ซ่ึงแสดง
๘ ใหเห็นความมานะ อุตสาหะ ความเพยี ร
๙ มโหสถชาดก (มะ) มโหสถกุมารบ�าเพ็ญปญั ญาบารมี พยายามในการบาํ เพญ็ ทานบารมี การ
๑๐ ประสบกบั ความยากลําบากกอ นการบรรลุ
ภรู ิทตั ชาดก (ภู) พญานาคช่อื ภรู ิทตั บ�าเพญ็ ศีลบารมี นพิ พาน และเปน ผถู า ยทอด เผยแผพ ระธรรม
คําสอนในกาลตอ มา)
จนั ทกมุ ารชาดก (จะ) พระจนั ทกุมารบ�าเพ็ญขันตบิ ารมี

พรหมนารทชาดก (นา) พระพรหมนารทกมุ ารบา� เพญ็ อุเบกขาบารมี

วธิ ุรชาดก (วิ) พระวิธรุ บัณฑิตบา� เพญ็ สัจจบารมี

มหาเวสสันดรชาดก (เว) พระเวสสนั ดรบา� เพญ็ ทานบารมี

15

บรู ณาการเช่ือมสาระ บรู ณาการอาเซียน

ครูบรู ณาการความรเู รือ่ งความสมั พันธระหวางทาํ นองกับลักษณะ ความเช่ือเก่ียวกับเน้อื เร่ืองมหาชาตทิ ี่ปรากฏเปนความเช่อื ทางพระพทุ ธศาสนา
ภาษาในมหาเวสสันดรชาดก กณั ฑมทั รี โดยเชื่อมกบั กลมุ สาระการ เปน สง่ิ สําคญั ตอ การสรา งสรรคท างศลิ ปกรรมท้ังมวล ซ่ึงเปน ไปตามลกั ษณะสังคม
เรยี นรศู ิลปะ วิชาดนตรี ซง่ึ สามารถอธบิ ายไดโ ดยใชห ลกั การทางดนตรี ทอ งถ่นิ ครใู หนกั เรียนศึกษาเรือ่ งพระเวสสนั ดรของประเทศสมาชิกอาเซียนอืน่ ๆ
โดยครแู นะเรอื่ งลกั ษณะการเปลย่ี นแปลงทางภาษาจากการเคลอ่ื น ท่นี ับถอื พระพทุ ธศาสนา ไดแก พมา ลาว วามคี วามเหมอื นหรอื ความแตกตางจาก
ทํานองเทศนวา เปลยี่ นเสียงนอกเขาสเู สียงในในลักษณะการเทศน ของไทยอยา งไร
เสียงท่ีสูงขึน้ 1 ชวงบันไดเสยี ง (Octave) เกิดเสยี งนาสิก (Nasal)
เพม่ิ ขน้ึ กอ นทเ่ี ปลย่ี นระดบั เสยี งใหส งู ขน้ึ ในแตล ะชว ง ลกั ษณะการเพม่ิ นักเรยี นควรรู
ของเสียงนาสกิ มี 2 ลกั ษณะ ดังน้ี
1 โบกขรพรรษ อานวา โบก - ขอ - ระ - พดั เปน ฝนที่มีลักษณะพิเศษ ดังนี้
• การเพมิ่ เสยี งนาสกิ ในระดบั เสยี งเดียวกันกอ นท่จี ะเปล่ียน • มีสีแดงดจุ ทบั ทมิ • เม็ดฝนไมต ิดรา งกาย
ระดับเสียงใหส งู ขึ้น • ภาชนะไมสามารถรองรับได • ผปู ระสงคจะใหเ ปย กกจ็ ะเปยก

• การเพมิ่ เสยี งนาสกิ ในระดบั ทตี่ า่ํ กวา ระดบั หนงึ่ เสยี ง กอ นทจี่ ะ
เปลย่ี นระดบั เสยี งใหส ูงข้ึน

ครใู หน กั เรยี นแบงกลมุ ฝก ขับรองทาํ นองดงั กลาว

• ผไู มป ระสงคจะใหเปยกกจ็ ะไมเปย ก
• เม่อื ตกลงสูพ นื้ จะซึมหายไป ไมข งั นอง
คูม ือครู 15

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

1. นักเรียนแบง กลมุ แตล ะกลุมชว ยกันอธิบาย ๒. ประวตั ผิ ู้แต่ง
เก่ยี วกบั ลักษณะเดน ทางวรรณศิลปในเรือ่ ง
มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑมัทรี สํานวนของ ผแู้ ตง่ เรอื่ งมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม์ ทั ร ี คือ เจ้าพระยา
เจาพระยาพระคลงั (หน) พระคลัง นามเดิมว่า หน เป็นเสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่า เดิม
(แนวตอบ มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม ทั รขี อง เป็นหลวงสรวิชิต เคยตามเสด็จพระราชด�าเนินราชการสงคราม
เจา พระยาพระคลงั (หน) ไดร บั ยกยองวา ดีท่ีสุด ในสมยั รชั กาลท ่ี ๑ เมอื่ ครง้ั หลวงสรวชิ ติ รบั ราชการอยทู่ กี่ รงุ ธนบรุ ี
ในเชิงพรรณนาโวหารคร่ําครวญ ลีลากลอนรา ย มคี วามดคี วามชอบมาก โดยเฉพาะฝมี อื ในการเรยี บเรยี งหนงั สอื
ยาวทุกวรรคทุกตอนแพรวพราวดว ยการเลนคํา รชั กาลที ่ ๑ จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ้ังเปน็ พระยาพิพัฒโกษา
สมั ผัส เลนเสยี ง สาํ นวนเปรียบเทยี บ ทาํ ให ต่อมาต�าแหน่งเจ้าพระยาพระคลังว่างลง รัชกาลท่ี ๑
ผูอานเพลดิ เพลนิ ไดอรรถรสหรอื ฟง เทศนได จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระยาพิพัฒโกษาขึ้นเป็นเจ้าพระยา
ประทับใจ เนือ้ หาเนน ไปในเชงิ บรรยายภาพ พระคลัง (หน) พระยาพิพัฒโกษามีบุตรชาย ๒ คน คนหนึ่งเป็น
ของพระนางมทั รีตามหาลกู ทยี่ งั เยาวม าก ยงั ไม จินตกวี และอีกคนหนึ่งเป็นครูพิณพาทย์ ส่วนบุตรหญิง คือ ราชาธริ าช ผลงานการประพันธ์
อดนม ความหว งหาอาทรของแมม ปี รากฏในการใช เจา้ จอมมารดานมิ่ เปน็ เจา้ จอมมารดาสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ ของเจ้าพระยาพระคลงั (หน)
คาํ พรรณนาโวหาร การราํ พงึ ราํ พนั และครา่ํ ครวญ กรมพระยาเดชาดศิ ร ในรัชกาลท ่ี ๒
ถงึ ลกู อยา งเศรา โศก ผอู า นหรอื ฟงกัณฑน ีจ้ ะรสู ึก เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๓๔๘ ในสมัยรัชกาลท่ี ๑
เศรา ใจเปนอยางมาก ผแู ตงเนนใหผอู านเกดิ หนังสือที่เจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่งที่สา� คญั ไดแ้ ก ่ มหาชาติกลอนเทศน์หรอื เวสสนั ดรชาดก
ความซาบซ้งึ ในการพรรณนาความรกั ของแมท ่ีมี แกมัณส้ ฑม์กเดุมจ็ าพรรแะลมะหกาัณสฑมณ์มัทเจรา้ ี กโดรมยพทรั้งะสปอรงมกาัณนฑชุ ติ ์นชี้นโิ นับรไสด1จ้วะ่าไแดตท้ ่งรไงดน้ดพิ ีเนยธ่ียข์มน้ึ อไกีมส่มา� ีสน�าวนนวหนนขงึ่ อในงภผาู้ใดยหสู้ไลดงั ้
ตอ ลกู ในเชงิ การใชโ วหารทางวรรณศลิ ปเดน ชัด กย็ ังเว้นกณั ฑท์ งั้ สองนี้ เพราะของเดมิ ดเี ย่ยี มอยแู่ ลว้
ทีส่ ุด และรสวรรณคดพี ิโรธวาทังโดยการแสรง
แสดงวา หงึ หวง ทําใหโกรธเพ่อื ดบั ความเศรา โศก ๓. ลักษณะค�ำ ประพันธ์
เกินไปจนอาจเสียสติ และมีรสวรรณคดสี ัลลา
ปงคพิสยั ใชถ อยคาํ ใหเ กดิ ความรสู กึ สะเทือนใจ มหาเวสสันดรชาดกที่เป็นมหาชาติกลอนเทศน์ มีลักษณะค�าประพันธ์เป็นร่ายยาวท่ีมี
โดยการบรรยายผา นตวั ละครท่แี สดงใหเ หน็ ถึง คาถาบาลีนา�
ความเปนแมใ นชีวิตจรงิ ทุกยุค ทกุ สมยั )
ร่ายยาว บทหนง่ึ ไมจ่ า� กดั จา� นวนวรรค ซง่ึ นยิ มตง้ั แต ่ ๕ วรรคขน้ึ ไป โดยแตล่ ะวรรคไมจ่ า� กดั
2. นกั เรยี นอธบิ ายลกั ษณะคําประพันธร ายยาว จ�านวนค�า แตไ่ ม่ควรน้อยกว่า ๕ ค�า ซึ่งค�าสดุ ทา้ ยของวรรคหน้าจะสง่ สัมผสั ไปวรรคหลงั ค�าใดก็ได้
มหาเวสสันดรชาดก เวน้ คา� สุดท้าย และอาจจบลงดว้ ย “คา� สรอ้ ย”  (คา� สร้อย เชน่ ฉะน ี้ ดังน้ ี นน้ั เถิด นั้นแล แลว้ แล
(แนวตอบ รา ยยาวมหาเวสสนั ดรชาดกเปน รา ย ดว้ ยประการฉะนี ้ เป็นต้น) ดังแผนผงั และตวั อยา่ งบทประพนั ธ ์ ดังนี้
ยาวสาํ หรับเทศน จะมคี าํ บาลขี ้นึ กอ นแลว แปล
เปน ภาษาไทย แลว จงึ มีรายตาม ในระหวา ง (คาถา)
เน้ือเรอื่ งจะมคี ําบาลีคน่ั เปน ระยะๆ คําบาลนี นั้ (คา� สรอ้ ย)
เกย่ี วเนอ่ื งกับขอ ความที่ตามมา)
16

เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT
กณั ฑมทั รีสะทอนใหเ ห็นเรื่องใดชัดเจนที่สดุ
ครแู นะความรเู รอื่ งการอา นออกเสยี งคาํ ประพนั ธป ระเภทรา ยวา นยิ มอา นหลบ 1. ความยากลําบากในการใชชวี ติ อยูในปา
เสยี งสงู ใหต าํ่ ลงในระดบั ของเสยี งทใ่ี ชอ ยู สว นเสยี งตรที หี่ ลบตา่ํ ลงนน้ั อาจเพย้ี นไปบา ง 2. ความทกุ ขที่เกดิ จากการไมรคู วามจริง
เชน นอ ยนอ ย เปน นอยนอย เปน ตน แตค าํ ทม่ี เี สยี งจตั วา แมจ ะหลบเสยี งตา่ํ ลงมกั จะ 3. ความจงรักภักดขี องภรรยาที่มีตอ สามี
ไมเ พยี้ น ครใู หน กั เรยี นฝก อา นออกเสยี ง โดยสงั เกตตามหลกั การขา งตน 4. รักใครเลาจะเทารกั อนั ย่งิ ใหญข องแม
วเิ คราะหค าํ ตอบ กณั ฑม ัทรี เปนกัณฑท ี่ตอ จากทานกณั ฑท่ี
นกั เรียนควรรู พระเวสสันดรทรงบรจิ าคกุมารท้ังสองใหแ กพ ราหมณช ูชก
เมอื่ พระนางมทั รรี เู ร่ืองก็ทรงครํา่ ครวญ เศรา โศกทีพ่ รากจากลูก
1 สมเด็จพระมหาสมณเจา กรมพระปรมานชุ ิตชโิ นรส พระนามเดมิ วา พระองค ท้ังสอง แสดงใหเ ห็นความรักของแม ซง่ึ ตรงกบั ขอ 4. รกั ใครเลา จะ
เจา วาสกุ รี ทรงเปน พระโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา จฬุ าโลกมหาราชกบั เทา รกั อันย่ิงใหญของแม ตอบขอ 4.
เจา จอมมารดาจยุ ทรงมีความเชย่ี วชาญทางดา นอักษรศาสตร ทรงพระนพิ นธ
วรรณคดีไวห ลายเรือ่ ง เชน กฤษณาสอนนอ งคาํ ฉันท รา ยยาวมหาเวสสันดรชาดก
เปนตน

16 คมู ือครู

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain

อธบิ ายความรู Explain

สา มทฺที ส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรบวรราชธิดามหาสมมุติวงศ์วิสุทธิ 1. นกั เรียนสรปุ ความจากเรือ่ งยอ มหาเวสสนั ดร-
สบื สันดานมา วราโรหา ทรงพระพกั ตร์ผวิ ผอ่ งดจุ เนื้อทองไม่เทียมสี ยสสสฺ ินี มพี ระเกียรติยศ ชาดก กัณฑม ัทรเี ปน สาํ นวนภาษาของนักเรียน
อันโอฬารล�้าเลิศวิไลลักษณ์ยอดกษัตริย์ อันทรงพระศรัทธาโสมนัสนบนิ้วประนมน้อม
2. ครสู มุ นกั เรยี น 2 - 3 คน มานาํ เสนอหนา ชน้ั เรยี น
พระเศียรเคารพทาน ท้าวเธอก็ช่ืนบานบริสุทธิ์ด้วยปิยบุตรมิ่งมกุฎทานอันพิเศษ ฝ่ายฝูง
ขยายความเขา ใจ Expand
อมรเทเวศทุกวิมานมาศมนเทียรทุกหมู่ไม้ก็ยิ้มแย้มพระโอษฐ์ตบพระหัตถ์อยู่ฉาดฉาน ร้อง1
นกั เรยี นเขยี นแผนผงั ลาํ ดบั เหตกุ ารณจ ากเรอ่ื งยอ
สาธุการสรรเสริญเจริญทานบารมี ท้ังสมเด็จอมรินทร์เจ้าฟ้าสุราลัย อันเป็นใหญ่ในดาวดึงส์ (แนวตอบ ตวั อยา งแผนผังลาํ ดับเหตกุ ารณ ดังนี้
• เทวดาขวางทางพระนางมัทรี
สวรรค์ก็มาโปรยปรายทพิ ยบปุ ผากรอง ท้งั พวงแกว้ และพวงทองก็โรยร่วงจากกลบี เมฆกระทา� • พระนางมัทรีทูลถามพระเวสสันดรถงึ กมุ าร

พสกัรกะเาวรสบสูชันาดแรกร่สามชเฤดๅ็จษนผี า้เู งปพ็นรพะรยะาภมัสทั ดราี 2ทอา้ ติ วิ เเธมอาทะรองกมิ รนิ ะาทปา� อกนาุโเรมนทนดา้วทยาปนระเกวาสรสฺ ดนังนตฺ ี้แรสลฺส้วแลแห่ง ทง้ั สอง
• พระเวสสนั ดรแสรงตอ วา พระนางมัทรที ่กี ลับ
๔. เรอ่ื งยอ่
ผดิ เวลา
กัณฑ์มทั รีเปน็ กัณฑ์ท ี่ ๙ จากเรอ่ื งมหาเวสสนั ดรชาดก เร่ิมตัง้ แตเ่ ทวบตุ ร ๓ องค์นิรมิตกาย • พระนางมทั รตี ดั พอพระเวสสนั ดร
เป็นสัตว์ร้ายขวางทางพระนางมัทรี เกิดลางแก่พระนางมัทรี พระนางจึงทรงวิงวอนขอทาง • พระนางมัทรคี ร่ําครวญตามหาสองกมุ าร
ต่อสัตว์ร้ายทั้งสาม เมื่อเสด็จกลับถึงอาศรม พระนางทูลถามพระเวสสันดรถึงพระกุมารท้ังสอง • พระเวสสนั ดรบอกความจรงิ วา ทรงบริจาค
พระเวสสนั ดรจงึ ทรงตดั พอ้ ตอ่ วา่ ถงึ การทก่ี ลบั มาผดิ เวลา พระนางมทั รที รงเฝา้ รา� พงึ รา� พนั ถงึ สองกมุ าร
พลางเทยี่ วเสดจ็ ตามหาจนสลบไป ครนั้ พอพระนางมทั รที รงฟน้ื คนื สตแิ ลว้ พระเวสสนั ดรจงึ ตรสั บอก สองกุมารใหพ ราหมณชูชก
ความจรงิ วา่ ไดพ้ ระราชทานสองกมุ ารเปน็ ทานแกช่ ชู ก พระนางมทั รจี งึ ทรงอนโุ มทนาบตุ รทานบารมี • พระนางมทั รีคิดไดจงึ อนโุ มทนาทานดวย)

ตรวจสอบผล Evaluate

สรรพส์ าระ ชาดก 1. นกั เรียนอธิบายการใชส าํ นวนโวหารในการ
ประพนั ธเ รื่องมหาเวสสันดรชาดก กัณฑม ทั รี
คำ� ว่ำ ชำดก มำจำกค�ำว่ำ ชำตก ชำต แปลว่ำ เกิด 17 ของเจา พระยาพระคลงั (หน)

ก (ปจั จัย) แปลวำ่ ผู้, หมวด 2. นกั เรยี นเขยี นแผนผงั ลาํ ดบั เหตกุ ารณจ ากเรอ่ื ง
ยอ มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม ทั รี
ชำตกหรอื ชำดก แปลวำ่ ผเู้ กดิ แลว้ ชำดกทรี่ จู้ กั กนั แพรห่ ลำย

มี ๑๐ พระชำติ เรียกว่ำ ทศชำดก หรอื ทศชำต ิ ในท่ีนค้ี ือพระพุทธเจำ้

กอ่ นจะตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจำ้ พระองคท์ รงเสวยพระชำต ิ ๑๐ พระชำต ิ

ไดแ้ ก่

๑. เตมยิ ชำดก ๖. ภรู ิทตั ชำดก

๒. มหำชนกชำดก ๗. จันทกุมำรชำดก

๓. สวุ ัณณสำมชำดก ๘. พรหมนำรทชำดก

๔. เนมิรำชชำดก ๙. วิธรุ ชำดก

๕. มโหสถชำดก ๑๐. มหำเวสสันดรชำดก

ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT นักเรยี นควรรู

“พระนางมทั รเี ฝา รําพงึ ราํ พันถึงสองกมุ าร พลางเท่ียวเดนิ ตามหา 1 ดาวดงึ ส ชอ่ื สวรรคช น้ั ท่ี 2 แหง สวรรค 6 ชนั้ ไดแ ก จาตมุ หาราชกิ า ดาวดงึ ส
จนสลบไป” ยามะ ดสุ ติ นมิ มานรดี และปรนิมมิตวสวัตดี ดาวดึงสอยบู นเขาพระสุเมรุ เปน
เมืองใหญท ่ีสรา งอยางงดงาม มเี สียงดนตรีบรรเลงอยอู ยางไพเราะ มพี ระอินทร
ขอใดสอดคลอ งกบั ขอความขา งตน เปนผูครอง
1. หวงใดเลา จะเทาพอแมห วง 2 พระภัสดา สามี มักใชกับชนช้ันสูง และนํามาแตง คําประพนั ธในวรรณคดี
2. หวงใดเลาจะเทาพอแมหวง
3. หาใดเลา จะเทาพอ แมหา มุม IT
4. ใหใดเลาจะเทา พอแมให
วเิ คราะหค าํ ตอบ ขอท่สี อดคลองกับขอความขา งตน คอื ขอ 1. ศกึ ษาเกี่ยวกบั เนอ้ื เรอื่ งเทศนมหาชาติกณั ฑต า งๆ เพิม่ เตมิ ไดท ่ี
หว งใดเลาจะเทา พอ แมห ว ง ซงึ่ พจิ ารณาไดวา เพราะความเปน http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/poonsak/mahachat/
หว งลกู พระนางมทั รจี งึ ราํ พงึ รําพันและตามหาสองกมุ ารจนตัวเอง chadok_09.html
สลบไป แสดงใหเหน็ วาพระนางมัทรมี คี วามวติ กกงั วลเปนหว งลกู
คูมือครู 17
อยา งมาก ตอบขอ 1.

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain

กระตนุ ความสนใจ Engage

ครเู ปด วซี ดี รี า ยยาวมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม ทั รี ๕. เน้ือเรือ่ ง
ใหน กั เรยี นฟง แลว ใหน กั เรยี นอา นออกเสยี งเนอ้ื เรอื่ ง
พรอ มกนั ตามทว งทาํ นองจงั หวะรา ยยาวทฟี่ ง จากวซี ดี ี ย� ปน รฺ า มหาปวึ อุนนฺ าเทตวฺ า พฺราหฺมณสสฺ ปยิ ปุตเฺ ตสุ ทินฺเนสุ ยาว พฺรหมฺโลกา เอกโกลา
หล� ชาต�, เตนาปิ ภชิ ชฺ ิตหทยา วยิ หมิ วนตฺ วาสิโน เทวตาโย เตส� พฺราหมฺ เณน นยี มานาน� ต� วลิ าปํ สุตวฺ า,
สาํ รวจคน หา Explore มนตฺ ยึส,ุ สเจ มททฺ ี สกาลสเฺ สว อสสฺ ม� อาคมิสฺสติ, สา ตตฺถ ปตุ เฺ ต อทสิ ฺวา, เวสสฺ นตฺ ร� ปจุ ฺฉติ ฺวา, พรฺ าหฺมณสสฺ
ทินนฺ ภาว� สตุ ฺวา, พลวสิเนเหน ปทานปุ ท� ธาวติ วฺ า, มหนตฺ � ทุกขฺ � อนุภเวยยฺ าติ
1. นกั เรยี นรวบรวมคาถาบาลจี ากเนอ้ื เร่ือง
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑมัทรี แลว จดบันทกึ ยํ โกลาหลํ อันว่าโกลาหลอันใดเป็นวิสัยแสนกัมปนาท รฺ า เมาะ เวสฺสนฺตเรน
ลงสมดุ อันพระมหาบุรุษราชชาติอาชาไนยเช้ือชินวงศ์ ทรงบ�าเพ็ญเพิ่มโพธิสมภาร ด้วยเดชอ�านวยทาน
โพธิสัตว์ เป็นปจั ฉิมปรมัตถบารมีอันหมายมั่น ตํ โกลาหลํ กบ็ งั เกิดมหศั จรรยใ์ นไตรภพ จบจน
2. นกั เรียนอานเน้ือเร่อื งมหาเวสสันดรชาดก พรหเมศ ทินฺเนสุ ปางเมื่อท้าวเธอยกสองดรุณเยาวเรศผู้ยอดรัก ราวกะว่าจะแขวะควักซ่ึง
กัณฑม ัทรี ดวงเนตรท้ังสองข้างวางไว้ในมือพราหมณ์ เฒ่าก็พาสองกุมารพะงางามไปทางกันดาร ควรจะ
สงสารแสนอนาถอนาถา ด้วยพระลูกเจ้าเป็นก�าพร้า พรากพระชนนีแต่น้อยๆ ยังไม่วายนม
3. นักเรียนศกึ ษาลกั ษณะนิสัยของตวั ละครในเรือ่ ง พราหมณ์ย่ิงขู่ข่มเข่นเข้ียวค�ารามตีต้อนให้ด่วนเดิน ตามป่ารกระหกระเหินหอบหิวแล้วไห้โหย มี
มหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑมทั รี โดยคนควาจาก แตเ่ สยี งเธอโอดโอยสะอน้ื รอ้ งรา� พนั สง่ั ทกุ เสน้ หญา้ กห็ วนั่ ๆ วงั เวงวเิ วกปา่ พระหมิ พานต์ เตสํ ลาลปติ ํ
แหลง เรยี นรตู า งๆ สุตฺวา ฝ่ายฝูงเทพทุกสถานพิมานไม้ไศลเกร่ินเนินแนวพนาวาส ได้สลับค�าประกาศสองกุมาร
ทรงพระกันแสงสงั่ ศาส์นจนสดุ เสยี ง ดัง่ ทิพยพมิ านจะเอนเอยี งอ่อนลงชอ้ ยชด เทพเจา้ กเ็ ศร้าสลด
อธบิ ายความรู Explain พลิ าปเหลยี วมาแลดดู มู ไิ ด้ ภิชฺชิตหทยา วยิ ป้ิมประหนงึ่ วา่ ดวงหทยั จะปะทุทะลลุ ่นั ละเอียดออก
ทุกอกองค์ ด้วยทรงพระอาลัยนั้นใหญ่หลวง ก็พากันกุมกรข้อนทรวงทรงพระกันแสงโศกอยู่
นักเรยี นอา นเนื้อเร่ืองมหาเวสสนั ดรชาดก ซบเซา จึ่งปรารภว่า ชาวเราเอ่ยจะคิดไฉนดี ถ้าแม้นสมเดจ็ พระมทั รเี ธอกลบั เขา้ มาแตก่ าลยงั วนั
กัณฑม ทั รี ในหนา 18 แลวตอบคาํ ถามตอไปน้ี มทิ นั เยน็ อทสิ วฺ า เมอื่ ทา้ วเธอมไิ ดเ้ หน็ พระเจา้ ลกู เธอกจ็ ะทลู ถาม ครัน้ แจง้ ความว่าพราหมณ์พาไป
นางก็จะอาลัยโลดแล่นไปตามติดไมค่ ดิ ตาย มหนตฺ ํ ทุกฺขํ คดิ ไปคดิ ไปแลว้ ใจหายเหน็ นา่ น�้าตาตก
• เพราะเหตใุ ดพระอนิ ทรจึงสั่งเทพบริวารให ว่าโอ้โอ๋อกมัทรีเอ่ย จะเสวยพระทุกข์แทบถึงชีวิตจะปลิดปลง ด้วยพระลูกรักท้ังสองพระองค์นี้
แปลงกายไปขวางสกดั กัน้ พระนางมทั รีไว แล้วแล
เพอ่ื ไมใ หร ีบกลบั ไปยังอาศรม
(แนวตอบ บรรดาเทพยดาตา งปรวิ ิตกวา ภิกขฺ เว ดูกรสงฆ์ผทู้ รงศีลสงั วรญาณ เทวสงฺฆาโย ฝ่ายฝงู เทพทกุ สถานพมิ านไมไ้ พรพนม
พระนางทรงทุกขโ ศกหากกลบั ออกจากปาและ มอี ารมณอ์ นั รอ้ นเรา่ สว่ นเทพยเจา้ จอมสากล จง่ึ มเี ทวยบุ ลบงั คบั แกเ่ ทพอนั ดบั ทงั้ สามองค์ อนั ทรง
ทราบเร่ืองจะทรงติดตามไปทวงพระกุมาร มหิทธิฤทธิศักดาว่า ท่านเอ่ยจงนิรมิตบิดเบือนกายกลายอินทรีย์ เป็นพยัคฆราชสีห์สองเสือ
ทง้ั สองคนื จากชชู กจะทาํ ใหพ ระเวสสนั ดร สามสัตว์สกัดหน้านางพระยามัทรีไว้ ต่อทิพากรคลาไคลคล้อยเย็นเห็นดวงพระจันทร์ขึ้นมา
ทรงบําเพญ็ ทานบารมีไมสําเร็จ) อยู่รางๆ ท่านจึงลุกหลีกหนทางให้แก่นางงาม ตโย เทวปุตฺตา ส่วนเทพยเจ้าท้ังสามก็อ�าลา

• เทพสามองคท ีต่ องแปลงกายไปขวาง ลเปีล็นาศพผยาัคดฆแพผญลงาเสจือา� แโคลรง่งเป1คน็�าพรนญรา้อไกงรสอรงรคาช์หผนา่ึงดเแปผ็นดเเสสือยี เงหสลนือน่ั งเดนงั่ ่ือสงาคยะอนสนอลีงยนั่ ่อตลงหอดยปัดา่สะอบงัดคบห์ านทงึ่
พระนางมทั รี แปลงกายเปนอะไรบาง
(แนวตอบ พญาไกรสร พยัคฆพญาเสอื โครง 18
และเสอื เหลอื ง)

เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
ขอใดไมใช ภาพพจน
ครูใหน ักเรยี นฝก การอานเนือ้ เร่อื งที่เปน คําบาลี พรอ มท้ังคําประพันธท ีเ่ ปนราย 1. จะเอาแตย ูงยางในปาพระหิมพานตม าตางฉัตรเงินและฉัตรทอง
ควบคูก ัน หากนกั เรียนมขี อสงสัยหรือติดขัด ครูใหน กั เรียนศึกษาหลกั การอาน 2. ยกเศยี รพระมทั รขี นึ้ ใสต กั วกั เอาวารมี าโสรจสรงลงทอี่ รุ ะพระมทั รี
คาํ บาลีเพ่มิ เตมิ และครูแนะนําวา ควรอานอยา งไรใหถกู ตองตามลกั ษณะคาํ ประพนั ธ 3. ทัง้ จกั จนั่ พรรณลองไนเรไรรอ งอยูหร่งิ ๆ ระเร่อื ยโรยโหยสําเนียง
จากนนั้ ครูทบทวนความเขา ใจของนักเรียน โดยจัดกิจกรรมใหน กั เรียนรว มกันเลา ด่งั เสียงสงั คตี ขบั ประโคมไพร
เรอ่ื งยอ ตามความเขาใจของตนเอง 4. เสดจ็ ดว นๆ ดะดุมเดินเมลิ มงุ ละเมาะไมมองหมอบ แตย า ง
เหยียบเกรียบกรอบกเ็ หลยี วหลัง
นกั เรียนควรรู วเิ คราะหคาํ ตอบ ขอ 1. ใชภาพพจนอุปมา มีคาํ วา “มาตาง” คือ
เปรียบวายงู ยางในปาหมิ พานตห รือจะมาแทนฉตั รเงนิ ฉัตรทองได
1 เสือโครง เสอื ทม่ี ีขนาดใหญท่ีสุดในประเทศไทย ลาํ ตัวมีสีเหลืองและลายสดี ํา ขอ 2. กลาวถึงวา พระเวสสันดรยกพระเศยี รของพระนางข้นึ วาง
พาดตามขวาง ลกั ษณะนสิ ยั ชอบเลน นาํ้ มากกวา เสอื ชนดิ อนื่ มกั อยลู าํ พงั เพยี งตวั เดยี ว บนตกั และเอาน้าํ มาพรมทอี่ กใหพ ระนางฟน ขอ 3. และขอ 4. ใช
ยกเวน ในฤดูผสมพันธุ ภาพพจนส ทั พจนเลียนเสยี งธรรมชาติ “ลองไนเรไรรองอยูห รงิ่ ๆ”
และเสียงเดนิ “ยางเหยยี บเกรยี บกรอบ” ขอทไี่ มใ ชภาพพจน
18 คูมือครู ตอบขอ 2.

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

ต่างองค์ก็กระท�าสีหนาทน่าพิลึกแสยงขน ก็พากันจรดลไปนอนคอยท่ีช่องแคบขวางมรคา 1. นักเรียนสรุปหลักการเขียนคําอานภาษาบาลี
ทพ่ี ระนางเธอจะเสด็จมา สู่พระบรรณศาลา นัน้ แล (แนวตอบ หลักการเขยี นคาํ อา นภาษาบาลี
สรปุ ได ดงั นี้
สา มททฺ ี ปางนนั้ สว่ นสมเดจ็ พระมทั รศี รสี นุ ทรเทพกญั ญา จา� เดมิ แตพ่ ระนางเธอลลี าลว่ งลบั • พยญั ชนะทไี่ มป รากฏสระใดประกอบใหเ ขา ใจ
พระอาวาส พระทัยนางให้หว่ันหวาดพะวงหลังต้ังพระทัยเป็นทุกข์ถึงพระเจ้าลูกมิลืมเลย วามเี สยี งสระ อะ อยดู วย ใหอา นออกเสียง
เดินพลางทางเสวยพระโศกพลาง พระนัยนเนตรท้ังสองข้างไม่ขาดสายพระอัสสุชล พลางพิศดู เหมือนมีสระ อะ ประกอบ ไมต องอา น
กผสล็ากยาลผหาลยยใกุดน3ลปกับรลเะาปยง็นไงพคดรอ์แทกลีน่ ดะายวงงมเเคโดดยียยไรดดอ้ พาารษศะอัยพนทาารยถงพสเนัดอตกยร็รอ่วยงแเู่ โปถรน็ ยวนโรนาติ ย้นยดกผ์ อ็แดิ กกสล้วงั เงเกกมตดูน1พมเิกอหุลงตแไุ ฉแกนมมไ่ยกมังับท้ไกดม่ี า้เผีกหล็บลเเงปอ2็นาถดพัดอ่มุ นกพ่ันมวกาง็ ออกเสียง อะ เต็มเสียงนกั เพราะ อะ เปน
รอ้ ยกรองไปฝากลกู เมอ่ื วนั วาน กเ็ พย้ี นผิดพสิ ดารเปน็ พวงผล ผดิ วิกลแตก่ อ่ นมา สพพฺ า มยุ ฺหนฺติ สระเสยี งส้ัน (รสั สะ) และเปนเสยี งเบา (ลหุ)
เม ทิสา ทั้งแปดทิศก็มืดมิดมัวมนทุกหนแห่ง ทั้งขอบฟ้าก็ดาดแดงเป็นสายเลือดไม่เว้นวาย เชน สรณํ อานออกเสยี งวา สะ-ระ-ณัง
หขอายงเแหมอื ่ยดัเงปนน็ ้อลยาองรยา้ ู่นยิไดปเรดอียบวขา้ ทงั้งทอิกนขฺ ทณิ รียก์ขฺก็ิเสพียรวะๆนัยสนั่นเรนะตรรัวกร็พิกร่าแงๆสรกอยคู่พานร4าบยันพดรา้อลยพลในิกจพิตลใัดจ • พยัญชนะที่มจี ดุ (พนิ ทุ) อยขู างลา ง ใหอา น
ลงจากพระอังสา ท้ังขอน้อยในหัตถาที่เคยถือก็เล่ือนหลุดลงจากมือไม่เคยเป็นเห็นอนาถ พยญั ชนะตวั นน้ั เปน ตวั สะกด
เอ๊ะ ประหลาดหลากแล้วไม่เคยเลย โอ้อกเอ๋ยมหัศจรรย์จริงยิ่งคิดก็ยิ่งกริ่งๆ กรอมพระทัย • ถาพยญั ชนะที่อยขู า งหนาพยัญชนะทมี่ จี ุด
เป็นทุกข์ถงึ พระลูกรักท้ังสองคน เดินพลางนางก็รีบเกบ็ ผลาผลแตต่ ามได้ ใส่กระเช้าสาวพระบาท ไมประกอบดว ยสระใดๆ ใหอ า นออกเสยี งดจุ
บทจรดุ่ม เดินมาโดยด่วน พอประจวบจวนพญาพาฬมฤคราช สะดุ้งพระทัยไหวหวาดวะหวีด ไมหนั อากาศในภาษาไทย
ว่ิงวน แวะเข้าข้างทาง พระทรวงนางสั่นระรัวริกเต้นดั่งตีปลา ทรงพระกันแสงโศกาไห้พิไรร่�าว่า • พยัญชนะตัว ย ร ล ว ถา อยหู ลังพยัญชนะ
กรรมเอ๋ยกรรม กรรมของมัทรี โอเวลาปานฉะน้ีพระลูกน้อยจะคอยหา อนึ่งมรคาก็ช่องแคบ ตวั อนื่ ใหออกเสยี งผสมกับพยญั ชนะตวั หนา
หว่างคีรีเป็นตรอกน้อยรอยวิถีท่ีเฉพาะจร ทั้งสามสัตว์ก็มาเนื่องนอนสกัดหน้า คร้ันจะลีลา • นคิ หติ (อํ) จดั เปน พยญั ชนะตัวหนงึ่ ในภาษา
หลีกลดั ตดั เดาไปทางใดกเ็ หลือเดนิ ทั้งสองข้างเป็นโขดเขนิ ขอบคนั ขึน้ กัน้ ไว้ นเี จ โวลมฺพเก สรุ เิ ย บาลี ประกอบกบั สระ อะ อิ อุ
ทง้ั เวลากเ็ ยน็ ลงเยน็ ลงไรๆ จะคา่� แลว้ ยงั ไมเ่ หน็ หนา้ พระลกู แกว้ ของแมเ่ ลย อกเอย๋ จะทา� ไฉนดี จง่ึ จะ • พยัญชนะ ส มีเสยี งคลา ยตวั s ในภาษา
ไดว้ ิถที างทจ่ี ะครรไล พระนางจง่ึ ปลงหาบคอนลงวอนไหวแ้ ล้วอภิวาทน์ ขา้ แตพ่ ญาพาฬมฤคราช อังกฤษ และแมเปนตวั สะกดกใ็ หอ อกเสียงได
อันเรืองเดช ท่านก็เป็นพญาสัตว์ในหิมเวศวนาสณฑ์ จงผินพักตร์ปริมณฑลทั้งสามรา มารับ เล็กนอ ย
วันทนาน้อมไปด้วยทศนัขเบญจางค์ เม เมาะ มยา แห่งน้องนางนามชื่อว่ามัทรี ราชปุตฺตี • พยัญชนะ ย ทซ่ี อ นหนาตัวเอง ในคําวา
น้องก็เป็นกัลยาณีหน่อกษัตริย์มัททราชสุริยวงศ์ อน่ึงน้องเป็นเอกองค์อัครบริจาริกากรแห่ง อาหเุ นยโย ปาหเุ นยโย ใหอ า นออกเสยี งคลา ย
พระเวสสันดรราชฤๅษีอันจ�าจากพระบุรีมาอยู่ไพร น้องน้ีก็ตั้งใจสุจริตติดตามมาด้วยกตเวที อยั ยะ หา มออกเสียงเปน เอยยะ
อน่ึงพระสรุ ิยศรีกย็ �่าสนธยาสายัณห์แล้ว เป็นเวลาพระลกู แก้วจะอยากนมกา� หนดเสวย พระพ่เี จ้า • คําท่ลี งทายดวย ตวา ตวาน ใหอ อกเสยี งตวั
ของน้องเอย๋ ท้งั สามรา ขอเชญิ กลบั ไปยังรตั นคหู าหอ้ งแก้ว แลว้ จะไดเ้ ชยชมซึ่งลูกรักและเมียขวัญ ต สะกด และออกเสยี งตวั ต นั้นอีกกึง่ เสียง
อน่ึงน้องน้ีจะแบ่งปันผลไม้ให้สักกึ่ง คร่ึงหนึ่งนั้นน้องจะขอไปฝากพระหลานน้อยๆ ท้ังสองรา เชน ปริเทวติ วา อานวา ปะ-ริ-เท-วติ -ตะ-วา
เปน ตน )

2. นักเรียนเขียนคาํ อานภาษาบาลีที่นกั เรยี น
รวบรวมไดลงสมุด

มคฺคํ เม เทถ ยาจิตา พระพีเ่ จา้ ทัง้ สามของนอ้ งเอย่ จงมจี ติ คิดกรุณาสงั เวชบา้ ง ขอเชิญล่วงครรไล
ใหห้ นทางพนาวนั อนั สัญจร แก่น้องทีว่ งิ วอนอยู่น้ีเถดิ
19

บูรณาการเชอ่ื มสาระ นกั เรยี นควรรู

จากกิจกรรมการเขียนคําอา นภาษาบาลี ครบู ูรณาการเชื่อมโยง 1 เกด ไมตนขนาดใหญ ผลสกุ มีรสหวาน รบั ประทานได ชาวประมง
ความรเู ขา กบั กลมุ สาระการเรยี นรสู งั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม นยิ มนาํ ไมเกดมาทาํ เรอื โดยใชวิธสี ลกั เขา ล่ิมแทนตะปู เพ่ือยึดไมกระดาน
วชิ าพระพทุ ธศาสนาทม่ี หี นว ยการเรยี นรพู ทุ ธศาสนสภุ าษติ เพอ่ื ให เขา กบั โครงของเรอื เพราะถาใชต ะปจู ะเกิดสนมิ นอกจากน้ี ดอกเกดยังเปนดอกไม
นกั เรยี นฝก อา นคาํ บาลสี นั สกฤต ซง่ึ เปน ลกั ษณะคาํ ประพนั ธส ว นหนง่ึ ประจําจังหวดั ประจวบคีรีขนั ธ
ของเนอ้ื เรอ่ื ง การฝกอานพทุ ธศาสนสภุ าษติ สอนใจในวิชาพระพทุ ธ- 2 กาหลง ไมพ มุ ชนิดหนึ่ง สว นปลายใบหยกั เวาลกึ ดอกใหญ สขี าว ออกดอก
ศาสนา จะชว ยใหนกั เรยี นสามารถอา นเน้ือเรื่องมหาเวสสันดรชาดก เปนชอสน้ั ตามงา มใบ มชี อ่ื พน้ื เมือง เชน กาแจะ กโู ด (มลายู-นราธิวาส) สม เสยี้ ว
ทมี่ ลี ักษณะคาํ ประพันธเ ปน คาถาบาลไี ดถูกตอ ง คลอง ชัดเจนย่งิ ขนึ้ (ภาคกลาง) เสยี้ วนอย (เชียงใหม) และยงั เปนดอกไมป ระจาํ จังหวดั สตูล
3 สายหยุด ช่อื ไมเ ถาเนื้อแขง็ ดอกสเี หลือง กลิ่นหอมจะหมดไปในตอนสาย
มีช่อื เรยี กอ่นื อกี เชน กลว ยเครือ เครือเขาแกลบ เสลาเพชร เปน ตน
4 แสรกคาน เครือ่ งใสข องสาํ หรบั ห้วิ หรอื หาบ ทําดว ยหวาย มี 4 สาย สว นบน
ทําเปนหสู ําหรบั สอดไมค าน สวนลา งสานขัดกนั เปน ส่ีเหลยี่ มสําหรับวางกระจาด

คมู อื ครู 19

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

1. นกั เรียนอธิบายลักษณะคาํ ประพนั ธรายยาว ตมตฺถ� ปกาเสนโฺ ต สตฺถา อาห พหกุ ารุ ฺ สฺ หิต�
ท่ีขน้ึ ตนบทดว ยคาถาบาลี ตสสฺ า ลาลปฺปมานาย พาฬา ปนถฺ า อปกฺกมนุ ฺติ
(แนวตอบ รายยาวท่ีใชค าถาบาลนี ํา บทหนงึ่ มี 4 สตุ ฺวา เนลปตึ วาจ� ปุตตฺ กา ปํสุกุณฺ ิตา
บาท เรียกวา 1 คาถา บาทของคาถากําหนด อมิ มหฺ ิ น� ปเทสมฺหิ วจฺฉา พาลาว มาตร�
ดว ยการวางครุ ลหตุ ามบญั ญตั แิ หงฉนั ทลกั ษณ ปจฺจุคคฺ ตา ม� ติฏฺนตฺ ิ ปตุ ฺตกา ปํสกุ ุณฺ ิตา
ของฉนั ทแ ตละชนดิ กลาวคอื ในวรรณคดีและ อิมมหฺ ิ น� ปเทสมหฺ ิ หส� าวปู รปิ ลฺลเล
วรรณกรรมไทยที่เกย่ี วเนอื่ งกบั พระพทุ ธศาสนา ปจจฺ ุคฺคตา ม� ตฏิ ฺนตฺ ิ ปตุ ตฺ กา ปํสกุ ุณฺ ิตา
มหาเวสสนั ดรชาดกจะระบจุ ํานวนคาถาของ อมิ มหฺ ิ น� ปเทสมฺหิ อสสฺ มสฺสาวทิ ูรโต
แตละกัณฑไวด ว ย เชน กณั ฑกมุ ารมี 101 คาถา ปจฺจุคฺคตา ม� ติฏฺนตฺ ิ สมนตฺ ามภธิ าวิโน
กัณฑม ทั รมี ี 90 คาถา เปน ตน ) เต มิคา วยิ อุกฺกณณฺ า วตตฺ มานาว กมปฺ เร
อานนทฺ โิ น ปมุทติ า ชาลึ กณหฺ าชนิ า จโุ ภ
2. นักเรยี นคดั ลอกคําประพันธทเี่ ปน คาถาบาลี ตยฺ ชฺช ปตุ เฺ ต น ปสฺสามิ ปกขฺ ี มตุ ตฺ าว ปฺ ชรา
ลงสมดุ 4 - 6 บท จากนน้ั เขยี นคาํ อา นใหถ กู ตอ ง ฉคลิ วี มคิ ี ฉาปํ
ตามหลักการอา นภาษาบาลี นาํ สมดุ สง ครู

ฯลฯ

ตโย เทวปุตฺตา ส่วนเทพเจ้าทั้งสามองค์ได้ทรงฟังพระเสาวนีย์ พระมัทรีเธอไหว้วอน
ขอหนทาง พระพกั ตรน์ างนองไปดว้ ยนา้� พระเนตร เทพเจ้าก็สังเวชในวิญญาณ กพ็ ากนั อุฏฐาการ
คลาไคลใหม้ รคาแกน่ างพระยามทั รี พอแจม่ แจง้ แสงสศี ศธิ รนางกย็ กหาบคอนขน้ึ ใสบ่ า่ เปลอ้ื งเอา
พระภษู ามาคาดพระถนั ใหม้ นั่ คง วงิ่ พลางนางทรงกนั แสงพลาง ยะเหยาะเหยา่ ทกุ ฝยี า่ งไมห่ ยอ่ นหยดุ
พักหนึ่งก็ถึงท่ีสุดบริเวณพระอาวาสท่ีพระลูกเจ้าเคยประพาสแล่นเล่น ประหลาดแล้วแลไม่เห็น
ก็ใจหาย ดั่งว่าชีวิตนางจะวางวายลงทันที จ่ึงตรัสเรียกว่าแก้วกัณหาพ่อชาลีของแม่เอ่ย แม่มา
ถึงแล้ว เหตุไฉนไยพระลูกแก้วจ่ึงมิมาเล่าหลากแก่ใจ แต่ก่อนแต่ไรสิพร้อมเพรียง เจ้าเคยวิ่งระรี่
เรยี งเคยี งแขง่ กนั มาคอยรบั พระมารดา ทรงพระสรวลสา� รวลรา่ ระรน่ื เรงิ รบี รบั เอาขอคาน แลว้ กพ็ า
กันกราบกรานพระชนนี พ่อชาลีเจ้าเลือกเอาผลไม้ แม่กัณหาฉะอ้อนวอนไหว้ว่าจะเสวยนม
ผทมเหนอื พระเพลาพลางฉอเลาะแมน่ ตี้ า่ งๆ ตามประสาทารกเจรญิ ใจ วจฉฺ า พาลาว มาตรํ มอี ปุ ไมย
เสมือนหนึ่งลูกทรายทรามคะนองปองท่ีว่าจะชมแม่เม่ือสายัณห์ โอพระจอมขวัญของแม่เอ่ย
เจ้ามิเคยได้ความยากย่างเท้าลงเหยียบดิน ริ้นก็มิได้ไต่ไรก็มิได้ตอม เจ้าเคยฟังแต่เสียงพ่ีเล้ียงเขา
ขับกล่อมบ�าเรอด้วยดุริยางค์ ยามบรรทมธุลีลมก็มิได้พัดมาแผ้วพาน แม่สู้พยาบาลบ�ารุงเจ้าแต่
เยาว์มา เจ้ามิได้ห่างพระมารดาสักหายใจ โอความเข็ญใจในคร้ังน้ีนี่เหลือขนาด ส้ินสมบัติพลัด

หญํสาตาวิยังแเสตม่ตือัวนตห้องนไ่ึงปลหูกาหมงาสเ์เลหี้ยมงรลาูกชแปลักะษเลิน้ียงปผัรวาทศุกจเวาลกามุจแลมิน่มทา1์ไสปลตะกเคจล้าไุกวใ้เนปโ็นคกล�านพหรน้าอทงั้งสสิ้นอสงีทองอคง์

20

เกรด็ แนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT
“ครนั้ คลาดแคลว เคล่อื นคลอ ยเขา สดู งปานประหน่ึงวา จะหลงลมื
ครูแนะความรูเรื่องเครือ่ งกณั ฑเ ทศนในเร่อื ง “ประเพณีการเทศนมหาชาติ” ของ ลูกสละผวั ตอ มืดมวั จ่งึ กลับมา ทําเปน บบี นา้ํ ตาตอี กวา ลกู หาย
พระเจา บรมวงศเธอ พระองคเ จา วรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธพงศ มีความ ใครจะไมร ูแ ยบคายความคิดหญงิ ถาแมน เจา อาลยั อยูด วยลูกจริงๆ
ตอนหนึ่งวา “เครอื่ งกณั ฑม กั มเี ครอื่ งสรรพาหาร ผลไมก บั วตั ถปุ จ จยั คอื เงนิ ตราเรานดี่ ๆี เหมอื นวาจา กจ็ ะรีบกลับเขา มาแตว วี่ ันไมทันรอน”
และผา ไตร อนั นเี้ ปน ธรรมเนยี มไมใ ครข าดที่มีเคร่ืองบริขารอื่นตา งๆ เพ่ิมเตมิ อีกดว ย ผกู ลา วขอความขางตนมจี ดุ ประสงคใ ด
ก็มีมากบรขิ ารสําหรบั มหาชาติทีถ่ อื วาถกู แบบแผนนั้นมักจดั เปน จตปุ จ จยั คอื 1. 1. ตอ งการใหคลายความเศราโศกโดยการทําใหโกรธแทน
ผา ไตรนัน้ อนุโลมเปนตวั จวี รปจ จัย 2. สรรพาหาร ผลไม อนุโลมเปน บิณฑบาตปจ จัย 2. ตองการใหสํานึกผิดและหยุดการตดั พอตอวา ผูพูด
3. เสื่อ สาด อาสนะ ไมกวาด เล่อื ย สว่ิ ขวาน อนุโลมในเสนาสนะปจจัย 4. ยาและ 3. ตอ งการใหป รับปรงุ ตวั กลบั ใหต รงเวลา
เครอ่ื งยาตา งๆ น้ําผ้ึง น้ําตาล อนุโลมคลิ านปจ จยั บริขาร” 4. ตอ งการใหรวู าผพู ดู รูทันความคดิ
วเิ คราะหค ําตอบ ขอความขา งตนเปนตอนทีพ่ ระเวสสนั ดรตัดพอ
นกั เรียนควรรู ตอ วา พระนางมัทรที ีก่ ลบั มาถงึ อาศรมมดื คาํ่ โดยมจี ุดประสงค
เพือ่ ทีจ่ ะคลายความเศราโศกของพระนางมทั รีทีห่ าลูกไมพบ
1 มุจลนิ ท เปน สระใหญใ นปา หิมพานต บริเวณขอบสระจะมตี นจกิ ข้ึนโดยรอบ จงึ แสรงตอวา พระนาง ตอบขอ 1.

20 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

ครูสุม นักเรียน 2 - 3 คน ชวยกันอภปิ รายตาม
หวั ขอตอ ไปน้ี
อนั ผอ่ งแผว้ แม่กลับเข้ามาถงึ แล้วไดเ้ ชยชมช่ืนสบาย ท่เี หน่อื ยยากก็เสื่อมหายคลายทุกขท์ ุเลาลง • นักเรียนคิดวา ความโศกเศรา เสยี ใจของ
ลืมสมบัติทั้งวงศาในวังเวียง โอแต่ก่อนเอยแม่เคยได้ยินเสียงเจ้าเจรจาแจ้วๆ อยู่ตรงน้ี อิทํ
ปทวลฺ ชํ นัน่ กร็ อยเท้าพอ่ ชาลี นี่ก็บทศรีแม่กัณหาพระมารดายังแลเห็น โนน่ ก็กรวดทราย เจ้า พระนางมทั รีทห่ี าลกู ไมพ บแสดงใหเ ห็นอะไร
และนักเรียนรับรูค วามรสู ึกของพระนางมัทรี
ยังรายเล่นเป็นกองๆ สิ่งของทั้งหลายเป็นเครื่องเล่นยังเห็นอยู่ น ทิสฺสเร แต่ลูกรักท้ังคู่ ไปดว ยหรือไม อยางไร
ไเสปยีองยเไู่นหอ้ื นนไกมนเ่ หรี่ น็า�่ รเลอ้ ยงสอา� ยรําโญส รองั สเรสฺ ยี โกมคโคู่อขูพยรบัะอขานั ศทรมงั้ จเจกั า้ จเน่ัอย๋พนราร่ อณศั ลจอรงรไยนใ์1เจรไแร2ตรอ้ก่ งอ่ อนยดหู่ นู รส่ี งิ่ กุ ๆใสรดะเว้ รยอื่ สยที โรอยง (แนวตอบ เม่ือพระนางมัทรีหาลูกไมพบแลว
โหยส�าเนียงด่ังเสียงสังคีตขับประโคมไพร โอเหตุไฉนเหงาเงียบเมื่อยามน้ี ท้ังอาศรมก็หมองศรี เกิดความประหวน่ั พร่นั พรึง แสดงใหเ หน็ ถึง
เสมือนหนึ่งว่าจะเศร้าโศก เออชะรอยว่าพระเจ้าลูกจะวิโยคพลัดพรากไปจากอกพระมารดา ความเปน แมท ีห่ ว งใยลูกโดยท่ัวไป แมว า
เสียจริงแล้วกระมังในครั้งนี้ นางก็กลับเข้าไปทูลพระราชสามีด้วยสงสัยว่า พระพุทธเจ้าข้า พระนางมัทรจี ะเปนตวั ละครสําคัญท่ชี ว ย
ประหลาดใจกระหม่อมฉัน อันสองกุมารไปอยู่ไหนไม่แจ้งเหตุหรือพากันไปเที่ยวลับพระเนตร สนับสนนุ ใหพระเวสสันดรบรรลธุ รรมใน
นอกต�าแหน่ง สิงห์สัตว์ท่ีร้ายแรงคะนองฤทธิ์มาพานพบขบกัดตัดชีวิตพระลูกข้าพาไปกินเป็น พระชาตสิ ดุ ทา ยนี้ กอ นจะเสวยพระชาตเิ ปน
อาหาร ถึงกระนน้ั ก็จะพบพานซึง่ กเลวระรา่ ง มิเลือดกเ็ นอื้ จะเหลืออยูบ่ า้ งสักสิ่งอนั แต่พอแมไ่ ดร้ ู้ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ก็ตอ งฝา ฟน อุปสรรค
ส�าคัญว่าเป็นหรือตาย สุดท่ีแม่จะมุ่งหมายสุดประมาณแล้ว จ่ึงตรัสว่า โอ้เจ้าแว่นแก้วส่องสว่าง ทางใจ การขมกล้ันความรูสึกอยางมนษุ ย
อกของแม่เอ่ย แม่เคยได้รับขวัญเจ้าทุกเวลา เป็นไรเล่าเจ้าจ่ึงไม่มาเหมือนทุกวัน มตา หรือว่า ปุถุชนท่วั ไปที่มีความรูสึกหวงหาอาทรลกู
พระลกู เจ้าอาสญั สญู สิ้นพระชนมานอยใู่ นปา่ พระหิมพานต์น้แี ล้วแล การทพ่ี ระนางมทั รเี กดิ ความทกุ ขใ จ ทําให
เหน็ พฒั นาการทางดานจติ ใจของตัวละคร
อทิ � ตโต ทกุ ขฺ ตร� สลลฺ วทิ โฺ ธ ยถา วโณ 21 ที่มีความเปลีย่ นแปลงจากมนษุ ยสูการเปน
ตฺยชฺช ปตุ เฺ ต น ปสสฺ ามิ ชาลึ กณหฺ าชนิ � จโุ ภ ตัวละครในอดุ มคติ กวสี ามารถพรรณนา
อทิ �ปิ ทตุ ยิ � สลฺล� กมฺเปติ หทย� มม อารมณ ความรสู กึ ของตัวละครไดด ีเยี่ยม
ยฺ จ ปุตฺเต น ปสฺสามิ ตวฺ ฺ จ ม� นาภภิ าสสิ ทาํ ใหร ับรูไ ดถึงความวติ กกงั วลของพระนาง
อชชฺ เจ เม อมิ � รตฺตึ ราชปตุ ตฺ น สส� สิ มทั รที ่ีมีความหวั่นเกรงอยตู ลอดเวลาวา จะ
มฺ เ โอกฺกนฺตสตตฺ � ม� ปาโต ทกขฺ สิ โน มต� เกดิ เรอื่ งรา ยข้นึ กบั ลกู ตามทไี่ ดป ระสบกับ
นนุ มททฺ ี วราโรหา ราชปุตฺตี ยสสสฺ ินี ลางรา ย ดงั ทเ่ี กดิ ปรากฏการณแ ปลกประหลาด
ปาโต คตาสิ อจุ ฉฺ าย กมิ ิท� สายมาคตา ดอกไมทเี่ คยเก็บกลบั กลายเปน ผลไม
นนุ ตฺว� สททฺ มสุโสสิ เย สร� ปาตุมาคตา ทอ งฟามีสแี ดงด่ังสายเลือด)
สีหสฺส วนิ ทนฺตสสฺ พฺยคฺฆสฺส จ นกิ ชู ติ � • พระนางมัทรเี ปน พระมารดาที่เลยี้ งดู
อาหุ ปุพฺพนิมติ ตฺ � เม วิจรนฺตฺยา พฺรหาวเน พระโอรส พระธิดาอยางใกลชดิ นักเรียน
ขณติ โฺ ต เม หตฺถา ปติโต อคุ ฺควี ฺ จาปิ อ�สโต เห็นดวยหรอื ไม อยางไร
ตทาห� พฺยตถฺ ติ า ภตี า ปุถ� กตวฺ าน อฺ ชลึ (แนวตอบ เหน็ ดว ย ดงั ความวา “โอแตก อ นเอย
สพพฺ า ทิสา นมสสฺ ิสสฺ � อปิ โสตถฺ ิ อโิ ต สิยา แมเคยไดย นิ เสียงเจา เจรจาแจวๆ อยูตรง
มา เหว โน ราชปตุ ฺโต หโต สเิ หน ทปี นิ า นี้ นน่ั กร็ อยเทา พอชาลี นีก่ ็บทศรแี มกัณหา
พระมารดายงั แลเหน็ โนนกก็ รวดทราย
เจายงั รายเลนเปน กองๆ สงิ่ ของทงั้ หลาย
เปน เครอ่ื งเลน ยงั เหน็ อยู”)
ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
เกร็ดแนะครู

“เมอ่ื แรกจากไอศวรรยม าอยดู งกป็ ลงจติ มไิ ดค ดิ เปน จติ สอง หวงั วา ครแู นะเรอื่ งสถานทีท่ จ่ี ะมีการเทศนมหาชาติวา ชาวบานจะชว ยกนั ตกแตง
จะเปน เกือกทองฉลองบาทยคุ ลท้งั คแู หง พระคุณผัวไปกวา จะสิน้ บุญ ประดบั ประดาดว ยตน กลวย ตน ออยใหด ูเปน ปา สมมติ เหมือนกบั วาเปน นิโครธาราม
ตวั ตายตามไปเมอื งผ”ี สถานท่ีที่พระพทุ ธเจาประทานเทศนาเร่ืองมหาเวสสันดรชาดก นอกจากนั้นก็ประดบั
ประดาดวยราชวัตรฉตั รธงอีกดวย เวลาคาํ่ ก็จุดประทปี โคมไฟ สวนนา้ํ ทตี่ ้งั ในบริเวณ
จากขอความขา งตนมีลกั ษณะเดน ทางวรรณศิลปอยา งไร

แนวตอบ ลกั ษณะเดนทางวรรณศิลปข องขอความขางตน คอื ปรมิ ณฑลทีม่ ีการเทศนม หาชาติ ถือกันวา เปน น้าํ มนตปด เสนียดจญั ไร ครใู หนักเรียน
มกี ารใชโวหารภาพพจนอปุ ลักษณ ซึง่ เปนการเปรียบเทียบสง่ิ หนง่ึ ชวยกนั อธบิ ายการจัดสถานท่ที มี่ กี ารเทศนจากประสบการณข องนักเรียนเพิม่ เติม
เปนอีกสิ่งหน่ึง โดยพระนางมัทรีเปรยี บตนเองเปน เกอื กทองฉลอง
พระบาทของพระเวสสนั ดร
นักเรยี นควรรู

1 ลองไน หรือแมม ายลองไน คอื จกั จน่ั ขนาดใหญ ลาํ ตวั และปก มีสฉี ูดฉาด
มอี วัยวะทาํ เสยี ง เสยี งจักจัน่ ประเภทนี้จะหาวกองกงั วานไดย นิ ไปไกล

2 เรไร เปนจกั จัน่ สีน้าํ ตาลขนาดใหญ ตวั ผูมอี วัยวะพเิ ศษ ทาํ ใหเกิดเสยี งสงู ตา่ํ
มีกงั วาน
คูม อื ครู 21

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

นักเรยี นรวมกนั อภปิ รายตอบคาํ ถามตอไปนี้ ทารกา วา ปรามฏฺา อจฉฺ โกกตรจฉฺ ภิ ิ
• การทพ่ี ระเวสสนั ดรเงียบไมพดู จาสงผลตอ สีโห พฺยคโฺ ฆ จ ทปี ิ จ ตโย พาฬา วเน มิคา
เต ม� ปริยาวร�ุ มคฺค� เตน สายมฺหิ อาคตา
พระนางมัทรีอยางไร อห� ปติฺ จ ปุตฺเต จ อาจรยิ มวิ มาณโว
(แนวตอบ เมอื่ พระนางมทั รีกลบั มาถงึ ทพ่ี ักและ อนฏุ ฺ ิตา ทวิ ารตฺตึ ชฏินี พรฺ หฺมจารินี
ไมพบลกู ทัง้ สองกก็ ระวนกระวายใจ เพราะ อชนิ านิ ปรทิ หติ ฺวา วนมลู ผลหาริยา
กอนนี้มีลางบอกเหตไุ มดี คอื เทวดาแปลง วิจรามิ ทิวารตตฺ ึ ตมุ หฺ � กามา หิปตุ ตฺ กา
กายมาขวางทางกลับจากปา เมือ่ ทูลถามพระ อิท� สุวณณฺ หาลทิ ทฺ � อาภต� ปณฑฺ ุเวฬวุ �
เวสสนั ดรแทนท่จี ะไดคาํ ตอบท่ีจะทาํ ใหคลาย รกุ ขฺ ปกฺกานิ จาหาสึ อเิ ม โว ปตุ ตฺ กีฬนา
ความกงั วล กลับกลายเปน วา พระเวสสันดร อิท� มูฬาลวิ ตฺตก� สาลุก� ชิ ฺ ชโรทกฺ �
ทรงเงียบ ไมพดู จาดวยแตอ ยา งใด ก็ยิง่ ทําให ภุฺ ช ขทุ ฺเทน ส�ยตุ ตฺ � สห ปุตฺเตหิ ขตตฺ ยิ
พระนางรูสึกเศราและเปน กังวลมากกวา เดิม ปทมุ � ชาลิโน เทหิ กมุ ุท� ปน กมุ ารยิ า
และเร่ิมตดั พอ ถึงความหลังเมอ่ื ครัง้ ที่พระนาง มาลเิ น ปสสฺ นจจฺ นฺเต สิวปิ ุตฺตานิ อวหฺ ย
ไดเสดจ็ ตดิ ตามพระเวสสันดรมาอยูใ นปา) ตโต กณหฺ าชินา ยาติ นิสาเมหิ รเถสภ
• เหตุใดพระนางมทั รีจึงกลา วเปรยี บเทียบ มฺ ชุสฺสราย วคคุยา อสสฺ ม� อปุ คจฉฺ นฺตยิ า
ตัวพระนางวา “อุปมาเสมือนหน่งึ พฤกษา สมานสุขทกุ ฺขมหฺ า รฏฺ า ปพฺพาชิตา อโุ ภ
ลดาวลั ยย อ มจะอาสัญลงเพราะลกู เปน อปิ สวิ ิปตุ เฺ ต ปสฺเสสิ ชาลึ กณฺหาชิน� จุโภ
แทเ ทีย่ ง” นักเรียนเขาใจวา อยา งไร สมเณ พรฺ าหมฺ เณ นนู พฺรหมฺ จริยปรายเน
(แนวตอบ เพราะพระนางมทั รมี ีความรัก อห� โลเก อภิสสึ สลี วนฺเต พหสุ สฺ เุ ต
พระกมุ ารทง้ั สองพระองคมาก ทรงเล้ียงดู ตฺยชฺช ปตุ ฺเต น ปสฺสามิ ชาลึ กณหฺ าชิน� จุโภติ
อยางใกลช ิด ถาไมมพี ระกมุ ารทงั้ สองพระองค
แลวก็ไมส ามารถมชี วี ติ อยไู ด จะเห็นไดจ าก เม่ือสมเด็จพระมัทรีเธอกราบทูลพระราชสา1มีสักเท่าใดๆ ท้าวเธอมิได้ตรัสปราศรัย
คําประพนั ธวาพระนางหมดกําลงั ตามหา แจ�มาน่มริเครยจไาด้เคนือางงแยค่ิงก้นลเหุ้มมกือลนัดหขนัด่ึงอคุรราั้งผนะี้ ผเม่า่ืวอรจ้อากนบขุร้อีทนุเรพศร2มะาทกร็พวรง้อทมรหงพน้ราทะกั้งลันูกแผสัวงเวป่า็นเเจพ้าื่อแนมท่เอุก่ขย์
และส้ินสติไป)
ส�าคญั วา่ จะเปน็ สุขประสายากเม่ือยามจน คร้ันลกู หายท้ังสองคนก็สิน้ คดิ บงั คมทูลพระสามีก็มไิ ด้
ตรัสปรานีแต่สักนิดสักหน่อยหน่ึง ท้าวเธอก็ขังขึงตึงพระองค์ดูเหมือนทรงพระขัดเคืองเต็มเดือด
ดว้ ยอนั ใด นางกเ็ ศรา้ สรอ้ ยสลดพระทยั ดงั่ เอาเหลก็ แดงมาแทงใจใหเ้ จบ็ จติ นเี่ หลอื ทน อปุ มาเหมอื น

คพนระไขค้หุณนเอัก่ยแลเ้วมมื่อิหแนรก�าจยาังกแไพอทศยว์เรอรายย3์มาาพอิษยู่ดมงากว็ปางลซง�้จาใิตหม้เิไวดท้คนิดาเป็นเหจ็นิตชสีวอางนี้คหงวจังวะ่าไมจะ่รเอปด็นไเปกสือักก4กท่ีวอันง

ฉลองบาทยุคลท้ังคู่แห่งพระคุณผัวกว่าจะส้ินบุญตัวตายตามไปเมืองผี อนิจจาเอ่ย วาสนามัทรี

ไมส่ มคะเนแลว้ พระทลู กระหม่อมแก้วจึ่งชิงชังไมพ่ ดู จา ท5ง้ั ลกู รักดงั แก้วตากห็ ายไป อกเอ่ยจะอยู่

ไปไยให้ทนเวทนา อุปมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัลย์ย่อมจะอาสัญลงเพราะลูกเป็นแท้เที่ยง
22

นกั เรยี นควรรู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT
“เจา มเิ คยไดความยากยา งเทา ลงเหยียบดนิ ร้ินกม็ ิไดไ ตไ ร
1 ขอน คาํ แสดงกิริยา อาการ หมายถึง ตหี รอื ทบุ เชน “ขอนพระทรวงทรง ก็มิไดต อม”
พระกนั แสง” หมายถงึ ทุบอกแลวรองไห ขอใดเปน ลกั ษณะเดน ของขอความขางตน
2 ทเุ รศ ไมไ ดห มายความวา นาเกลียด แตหมายความวา ไกล มาจากคําวา 1. เปนสํานวน
ทร+ุ อีศ 2. มกี ารอางถึง
3 ไอศวรรย ความเปน เจา เปนใหญ ความเปนพระเจา แผนดิน อาํ นาจ สมบัตแิ หง 3. ใชค วามเปรียบ
พระราชาธบิ ดี หรอื ใชวา ไอศุรยิ หรือไอศรู ย กม็ ี 4. เลน เสียงสัมผัสสระ
4 เกอื ก รองเทา ลกั ษณนามวา คู หรอื ขา ง ราชาศพั ทใ ชว า รองพระบาท วเิ คราะหคาํ ตอบ จากขอความขา งตนเปนที่มาของการใชส าํ นวน
หรอื ฉลองพระบาท วา “รนิ้ ไมใหไ ตไรไมใ หต อม” หมายความวา เล้ยี งดอู ยา งดี
5 พฤกษาลดาวัลย ช่อื ไมเ ถาชนดิ หนง่ึ ดอกสีขาว ออกเปน ชอ กล่นิ หอมเย็น แสดงใหเ หน็ ถึงการประคบประหงมลูกดวยความรกั ความอบอนุ
แตใ นความวา “อุปมาเสมือนหนง่ึ พฤกษาลดาวัลยยอ มจะอาสัญลงเพราะลกู เปน เปน สาํ นวนท่ยี งั คงมใี ชใ นปจจบุ นั ดงั นน้ั จงึ ตอบขอ 1.
แทเ ท่ียง” หมายถงึ ไมผล ซึ่งเปรยี บวา ไมผลทตี่ ายเพราะถกู ตดั ผล

22 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู

ถ้าแม้นพระองค์ไม่ทรงเล้ียงมัทรีไว้ จะน่ิงมัธยัสถ์ตัดเยื่อใยไม่โปรดบ้าง ก็จะเห็นแต่กเลวระร่าง จากทน่ี กั เรยี นอา นเนอื้ เรอ่ื งในหนา 23 นแี้ ลว
ซากศพของมัทรอี นั โทรมตายกายกลิ้งอยูก่ ลางดงเสียเป็นมน่ั คงนแี้ ล้วแล ใหน กั เรยี นแบงเปน 2 กลุม เพอ่ื อภิปรายตอนที่
อถ มหาสตฺโต สมเด็จพระราชสมภารเมื่อได้สดับสารพระมัทรีเธอแสนวิโยคโศกศัลย์ พระเวสสันดรทรงแสรง ตดั พอ ตอ วาหงึ หวง
สุดก�าลัง ถึงแม้นจะมิตรัสแก่นางมั่งจะมิเป็นการ จ�าจะเอาโวหารการหึงเข้ามาหักโศกให้เสื่อมลง พระนางมัทรี โดยนกั เรียนแสดงความคดิ เห็น
จึ่งเอื้อนโองการตรัสประภาษว่า นนุ มทฺทิ ดูกรนางนาฏพระน้องรัก ภทฺเท เจ้าผู้มีพักตร์อัน โตแยง กนั ดวยเหตผุ ล
ผุดผ่องเสมือนหน่ึงเอาน้�าทองเข้ามาทาบทับประเทืองผิว ราวกะว่าจะลอยลิ่วเล่ือนลงจากฟ้า
กใค็ตร้อไงดอ้เหย่า็นงเปว็นรขาวโัญรหตาาเตพ็มรห้อลมงดล้วะยลเาบยญทจุกาขง์ปคลจุกริตเป1รลูป้ือจง�าอเราิญรมโฉณม์ชปารยะใโหล้เมชโยลชกื่นล่อจแะหนล่ังมนวอิไนลเลดักินษยณืน์ • กลมุ ท่ี 1 เหน็ ดว ยกบั วธิ กี ารของพระเวสสนั ดร
ราชปุตฺตี ประกอบไปด้วยเช้ือศักด์ิสมมุติวงศ์พงศ์กษัตรา เออก็เมื่อเช้าเจ้าจะเข้าป่าน่าสงสาร (แนวตอบ เปนวธิ ีการท่ีใชค วามโกรธมาแทนท่ี
ปานประหนึ่งว่าจะไปมิได้ ท�าร้องไห้ฝากลูกมิรู้แล้ว คร้ันคลาดแคล้วเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ดง ความเศรา พระเวสสันดรแสรงบริภาษตอ วา
ปานประหนึ่งว่าจะหลงลืมลูกสละผัวต่อมืดมัวจึ่งกลับมา ท�าเป็นบีบน้�าตาตีอกว่าลูกหาย ในสง่ิ ทีท่ รงรูดีวา พระนางมทั รไี มไ ดเ ปนเชน
ใครจะไม่รู้แยบคายความคดิ หญิง ถ้าแมน้ เจา้ อาลัยอยู่ด้วยลกู จรงิ ๆ เหมอื นวาจา กจ็ ะรบี กลบั เขา้ นั้น เพอื่ ใหพระนางมัทรีโกรธใหมากท่สี ุดจน
ทมางั้ แฤตๅษ่วีส่ีวิทันธไม์ว่ททิ ันยารธอรน2คนเธอรอรนพ่ีเจเ์ ท้าพเทาี่ยรวกั พษเผ์ นมู้ จีพรักนตอรน์อตันาเมจสรญินุกใเจห็นชแมลน้วกกน็ชม่าเไพมล้ในดิ ไเพพลรวนิ ันไมส่เามรินพไันดท้ ่ีจหะรมือี ลมื ความกงั วล รอ นรนทจ่ี ะหาลกู ซงึ่ เปน หลกั
เเจสา้มปือะนผหลนไ่ึมงภป้ ุมรระินหบลินาดวระสวส่อดนสเทกุ ี่ยทวรซาับมเซสาวบยเไอมาเ่ เคกยสกรนิสุคเนจธ้ามฉาวเยลชศมิ3ชพอบบดลอิ้นกกไ็หมล้องันฉวนั ิเศอษยู่จตึ่ง้อชงา้ปรอะปุสมงคา์ จติ วทิ ยาทไ่ี ดผ ล สามารถหนั เหความทกุ ขเ ศรา
หลงเคล้าคลึงรสจนลืมรัง เข้าเถื่อนเจ้าลืมพร้าได้หน้าแล้วลืมหลังไม่แลเหลียวเที่ยวทอดประทับ ของพระนางมัทรมี าเปนความโกรธเคือง
มากลางทาง อันว่าพระยานางสิเป็นหน่อกษัตริย์จะไปไหนก็เคยมีแต่กลดกั้น พานจะเกรงแสง ไมพ อใจแทน)
พระสุริยันไม่คลาเคล่ือน เจ้ารักเดินด้วยแสงเดือนชมดาวพลาง ได้น�้าค้างกลางคืนชื่นอารมณ์
สมคะเน พอมาถึงก็ท�าเสขึ้นเสียงเลี่ยงเลี้ยวพาโลว่าลูกหาย เออนี่เจ้ามิหมายว่าใครๆ ไม่รู้ทัน • กลุมที่ 2 ไมเ หน็ ดว ยกบั วิธีการของ
กระนน้ั กระมัง หรือเจา้ เหน็ วา่ พี่น้เี ป็นชีอดจิตคิดอนจิ จงั ท้งิ พยศ อดอารมณ์เสีย เจา้ เป็นแต่เพยี ง พระเวสสันดร
เมียควรหรือมาหม่ินได้ ถ้าแม้นพี่อยู่ในกรุงไกรเหมือนแต่ก่อนเก่า หากว่าเจ้าท�าเช่นนี้ กายของ (แนวตอบ แมว าทา ยท่สี ดุ แลว วิธีการของ
มัทรกี จ็ ะขาดสะบน้ั ลงทนั ตาดว้ ยพระกรเบ้ืองขวาของอาตมานแี้ ลว้ แล พระเวสสันดรจะไดผล แตก ารแสรงทําเปน
สา มททฺ ี สว่ นสมเดจ็ พระยอดมงิ่ เยาวมาลยม์ ทั รี เมอื่ ไดส้ ดบั คา� พระราชสามบี รภิ าษณานาง โกรธก็เปนการทํารา ยจิตใจของพระนาง
มทั รมี ากเกนิ ไป พระนางมทั รซี ง่ึ หวนั่ วติ กจาก
ลางบอกเหตเุ กยี่ วกับลูกทั้งสองอยูตลอดเวลา
ทไ่ี ปเกบ็ ผลไมใ นปา และเมอ่ื กลบั มาถงึ อาศรม
กย็ ังไมพ บลูกใหค ลายความกังวล กลับตอ ง
มาผจญกับการแสรงหึงหวงของพระเวสสันดร
พระนางมัทรีย่ิงดูนา สงสาร นาเห็นใจ)

ทค่ี วามโศกกเ็ ส่อื มสรา่ งสงบจติ เพราะเจบ็ ใจ จึ่งกม้ พระเศียรลงกราบไหวแ้ ล้ววนั ทนาพลาง นางจง่ึ
ทลู สนองพระราชบญั ชาวา่ พระพทุ ธเจา้ ขา้ ควรมคิ วรสดุ แทแ้ ตจ่ ะทรงพระ4กรณุ าโปรดทโี่ ทษานโุ ทษ
เป็นล้นเกล้า ด้วยข้าพระพุทธเจ้ากลับมาเวลาค่�าทั้งน้ีเพราะเป็นกระลีขึ้นในไพรวัน พฤกษาทุก
สิ่งสารพันก็แปรปรวนทุกประการ ท้ังพ้ืนป่าพระหิมพานต์ก็ผัดผันหว่ันไหวอยู่วิงเวียนเปลี่ยนเป็น
พยบั มดื ไมเ่ หน็ หน ขพา้ บพพรญะบาารทาชนสรี่ ีหอ้ น์สอรนงเไสมือห่ ทยั้งดุ สหายมอ่ สนัตแวต์สส่ กกั ัดอหยนา่ ้างไมแ่มตาเ่ ดไดนิ ้มตาก่อบ็สงัิ้นเแกสดิ งปอรโะณหทลัยา5ดจลึ่งไาดง้
ขึ้นในกลางพนาลี

23

ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรยี นควรรู

ขอ ใดใชค าํ ถามเชิงวาทศิลป 1 เบญจางคจริต หรือเบญจกัลยาณี คอื หญงิ ท่ีมลี กั ษณะงาม 5 ประการ ไดแก
1. เออนี่เจา มิหมายวา ใครๆ ไมรูทันกระนน้ั กระมัง ผมงาม เนื้องาม (คอื เหงือกและรมิ ฝปากแดงงาม) ฟน งาม ผิวงาม และวยั งาม
2. แมไมร เู ลยวาเจา จะหนีพระมารดาไปสูพาราใดไมรทู ี่ 2 วทิ ยาธร หรอื พทิ ยาธร เปน อมนษุ ยพวกหน่งึ มีฐานะต่ํากวาเทวดา มวี ิชา
3. ทาํ เปนบีบนํ้าตาตอี กวาลูกหาย ใครจะไมรูแยบคายความคดิ หญงิ กายสทิ ธ์ิ สามารถเหาะเหนิ เดนิ อากาศได
4. เจา เคยเคยี งเรียงหมอนแนบขางทกุ ราตรี แตนแ้ี มจะกลอมใคร 3 สุคนธมาเลศ คือ คาํ วา “สุคนธ-” มีความหมายวา เครือ่ งหอม และคาํ วา
“มาเลศ” ทีม่ าจากคาํ วา “มาล”ี มคี วามหมายวา ดอกไม โดยเขาลิลิต คือ
ใหน ิทรา เปลี่ยนจากสระ - ี เปนสระ เ- แลวแลวเติม ศ ขา งทาย
วิเคราะหคาํ ตอบ การใชค าํ ถามเชิงวาทศิลป คอื การถามโดยไม 4 กระลี เปนคาํ นาม แปลวา สิง่ ราย เหตุรา ย โทษ คาํ วเิ ศษณ แปลวา รา ย
ตองการใหต อบ ทง้ั นีเ้ พราะรคู าํ ตอบดอี ยูแ ลว แตเปน การเนน ยา้ํ ถงึ ประสมกับคาํ อ่ืน เชน กระลชี าติ กระลียุค เปนตน
ความรสู กึ ทีย่ ากจะยอมรับ จึงใชว ิธีถามเพอื่ สื่อความคบั ขอ งใจ 5 อโณทยั กรอ นเสยี งมาจากคําวา “อรโุ ณทยั ” แปลวา พระอาทิตยเ พิง่ ข้นึ
ขอ 1. ขอ 2. และขอ 3. เปนประโยคบอกเลา บอกใหท ราบความ
ในใจ ขอ 4. เปนประโยคคาํ ถาม “แตน ีแ้ มจะกลอมใครใหนทิ รา” คมู ือครู 23
คําวา “ใคร” ที่แมถามน้นั ไมไ ดตองการใหต อบ แตห มายถึงวา

ไมมีใครอีกแลวท่ีแมจ ะไดเ ลย้ี งดูเหมือนลกู ตอบขอ 4.

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู

จากตอนท่พี ระนางมทั รีตดั พอ เมือ่ พระเวสสันดร คลาเคล่ือน ใชจ่ ะเปน็ เหมือนพระองค์ดา� รนิ ้ันกห็ ามิได้ พระพุทธเจา้ ขา้ ตงั้ แต่เกลา้ กระหมอ่ มฉัน
แสรง หึงหวงตอวา นกั เรยี นอธบิ ายประเด็นตอ ไปนี้ ตกมาเปน็ ขา้ นอ้ ย พระองคเ์ หน็ พริ ธุ รอ่ งรอยรา้ วรานทตี่ รงไหน ทอดพระเนตรสงั เกตไวแ้ ตป่ างกอ่ น
จึงเคืองค่อนด้วยค�าหยาบยอกใจเจ็บจิตจนเหลือก�าลัง พระคุณเอ่ยจะคิดดูม่ังเป็นไรเล่าว่ามัทรีน้ี
• นกั เรยี นคดิ วา พระนางมทั รีมีอารมณ เป็นข้าเก่าแต่ก่อนมาด่ังเงาตามพระบาทาก็เหมือนกัน นอกกว่าน้ันท่ีแน่นอนคือนางไหนอันสนิท
ความรสู กึ อยางไร ชิดใช้แตก่ ่อนก1าล ยงั จะตดิ ตามพระราชสมภารมาบ้างละหรอื ไดแ้ ตม่ ัทรีท่ีแสนด้อื ผู้เดยี วดอก ไมร่ ู้
(แนวตอบ พระนางมทั รตี ัดพอตอพระเวสสนั ดร
ดว ยความนอ ยใจ เพราะวา พระนางมัทรี จกั ปลนิ้ ปลอกพลกิ ไพลเ่ อาตวั หนี มทั รสี ตั ยาสวามภิ กั ดริ์ กั ผวั เพยี งบดิ ากว็ า่ ได้ ถงึ จะยากเยน็ เขญ็ ใจ
บริสทุ ธใิ์ จ ไมไดเปนดงั ทีพ่ ระเวสสันดรตอ วา ก็ตามกรรม วนมูลผลหาริยา อุตสาหะตระตรากตระตร�าเตร็ดเตร่หาผลาผลไม้ ถึงท่ีไหนจะ
บวกกบั กาํ ลงั ทกุ ขใ จเปน หว งลกู ทาํ ใหพ ระนาง รกเร้ียวก็ซอกซอนอุตส่าห์เที่ยวไม่ถอยหลังจนเน้ือหนังข่วนขาดเป็นริ้วรอย โลหิตไหลย้อยทุก
ตัดพอถงึ ความซื่อสัตยต อหนา ที่ การเปนแม หยอ่ มหนาม อารามจะใครไ่ ดผ้ ลาผลไมม้ าปฏบิ ตั ลิ กู บา� รงุ ผวั ถงึ กระไรจะคมุ้ ตวั กท็ ง้ั ยากนา่ หลากใจ
และภรรยา เห็นไดว า พระนางมัทรีตกใจตอ อกของใครจะอาภัพยับพิกลเหมือนอกของมัทรีไม่มีเนตร น่าท่ีจะสงสารสังเวชโปรดปรานีว่ามัทรี
เหตกุ ารณท ีพ่ ระเวสสันดรแสรง ทาํ ไมส ามารถ น้ีเป็นเพ่ือนยากอยู่จริงๆ ช่างค้อนติงปริภาษณาได้ลงคอไม่คิดเลย พระคุณเอ่ยถึงพระองค์จะ
รบั มอื หรือทําใจไดใ นทนั ทจี งึ ระบายความรสู ึก สงสัย ก็น้�าใจของมัทรีน้ีกตเวทีเป็นไม้เท้าก้าวเข้าสู่ที่ทางทดแทน รามํ สีตาวนุพฺพตา อุปมา
เศรา เสยี ใจ ความโกรธเคอื งออกมา)

ขยายความเขา ใจ Expand แม้นเหมือนสีดาอันภักดีต่อสามีรามบัณฑิต ปานประหนึ่งว่าศิษย์กับอาจารย์ พระคุณเอ่ย
เกล้ากระหม่อมฉานท�าผิดแต่เพียงน้ีเพราะว่าล่วงราตรีจ่ึงมีโทษ ขอพระองค์จงทรงพระกรุณา
โปรดซึ่งโทษานโุ ทษกระหม่อมฉนั มทั รีแต่ครั้งเดยี วนเี้ ถิด
1. นักเรยี นรว มกนั อภปิ รายในประเด็นตอไปน้ี
• นักเรยี นคดิ วา บทบาทและพฤติกรรมของ อเิ ม เต ชมพฺ ุกา รกุ ขฺ า เวทสิ า สนิ ฺธวุ ารติ า
พระนางมทั รเี ปน เรอื่ งปกตธิ รรมดาหรอื ไม ววิ ิธานิ รุกฺขชาตานิ เต กมุ ารา น ทิสสฺ เร
ในปจ จบุ นั อสสฺ ตถฺ า ปนสา เจเม นิโครฺ ธา จ กปิตฺถนา
(แนวตอบ การเปน แมแ ละภรรยาทดี่ ี ทําหนา ที่ วิวิธานิ ผลชาตานิ เต กุมารา น ทสิ สฺ เร
ดวยความซ่ือสัตย เตม็ ใจ และดว ยความรกั อเิ ม ติฏฺ นฺติ อารามา อย� สีตทู กา นที
ความหวังดเี ปนส่งิ ทีพ่ บเห็นไดใ นทุกยุคทุก ยตถฺ สฺสุ ปพุ ฺเพ กีฬสึ ุ เต กมุ ารา น ทสิ ฺสเร
สมยั ไมว า จะเปน อดตี ปจ จุบัน หรือแมแ ตใ น ววิ ธิ านิ ปุปผฺ ชาตานิ อสฺมึ อปุ ริ ปพพฺ เต
อนาคต) ยานสสฺ ุ ปพุ เฺ พ ธารึสุ เต กุมารา น ทสิ ฺสเร
วิวธิ านิ ผลชาตานิ อสฺมึ อุปริ ปพฺพเต
2. ครขู ออาสาสมคั ร 3-4 คน มาแสดงความคดิ เหน็ ยานสฺสุ ปุพเฺ พ ภุฺ ชสึ ุ เต กมุ ารา น ทิสฺสเร
ในประเดน็ คาํ ถามขา งตน อิเม โน หตฺถิกา อสฺสา พลิพททฺ า จ โน อเิ ม

เยหิสสฺ ุ ปพุ ฺเพ กีฬึสุ เต กุมารา น ทิสฺสเร
อิเม สามา สโสลูกา พหกุ า กทลมี ิคา
เยหสิ สฺ ุ ปุพฺเพ กีฬสึ ุ เต กุมารา น ทสิ สฺ เร
อเิ ม หส� า จ โกฺ จา จ มยุรา จิตรฺ เปขุณา

24

เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
ขอใดสะทอ นเรือ่ งความเขาใจในธรรมชาตขิ องมนุษย
ครแู นะนกั เรยี นเกย่ี วกบั วรรณศลิ ปใ นวรรณคดเี รอ่ื งมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม ทั รี 1. ถงึ จะยากเย็นเหน็ ใจก็ตามกรรม
ซงึ่ มลี กั ษณะเดน คอื มสี มั ผสั ภายในวรรคของรา ย เปน สมั ผสั อกั ษรคลอ งจองกนั แมว า 2. ไมรจู ักปลน้ิ ปลอกพลกิ ไพลเ อาตวั หนี
จะไมใชส มั ผัสบังคบั แตหากมกี จ็ ะชวยทําใหร า ยมีความไพเราะมากขน้ึ การเรียงรอย 3. ชา งคอนติงบริภาษไดลงคอไมคิดเลย
ถอ ยคาํ มจี ังหวะ เชน “ก็กลายกลับเปนดอกดวงเดียรดาษอนาถเนตร” “สะดงุ พระทยั 4. ทีค่ วามโศกกเ็ ส่ือมสรางสงบจิตเพราะเจบ็ ใจ
ไหวหวาดวะหวดี วิง่ วน แวะเขา ขางทาง พระทรวงนางส่ันระรัวริกเตน ด่งั ตปี ลา” วิเคราะหค ําตอบ ขอ 1. สะทอนเรอื่ งเวรกรรม ขอ 2. แสดงให
“พระพายรําเพยพดั มาฉวิ เฉื่อย เรไรระรี่เรอ่ื ยรอ งอยูห รง่ิ ๆ” เปนตน เหน็ ลักษณะนิสยั ทซ่ี ือ่ ตรง ไมห ลอกลวง เชน เดียวกบั ขอ 3. การ
บรภิ าษหรือกลา ววาซํา้ เตมิ โดยไมเหน็ ใจเปน พฤติกรรมอยา งหนงึ่
นักเรยี นควรรู ทอี่ าจจะจรงิ หรือไมก ็ได ซงึ่ ไมมคี วามชัดเจนวาเปนธรรมชาตขิ อง
มนุษยหรือไม ในขณะที่ขอ 4. ความเศราโศกของมนุษยน ัน้ ยอม
1 ปลิน้ ปลอก หรอื ปล้นิ ปลอ น หมายถึง ใชอุบายลอ ลวงเพ่อื ใหส าํ เรจ็ ตาม หกั ลงไดดว ยอารมณโกรธและความเจ็บใจ สะทอ นใหเหน็ วามี
เปา หมายของตน ความเขาใจในธรรมชาตขิ องมนุษย ตอบขอ 4.

24 คูมือครู

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู

เยหสิ ฺสุ ปพุ เฺ พ กีฬึสุ เต กุมารา น ทสิ ฺสเร นกั เรยี นอธบิ ายความรเู กี่ยวกับภาษาบาลีวา
อิมา ตา วนคมุ พฺ าโย ปุปฺผิตา สพฺพกาลกิ า • ภาษาบาลีมีอทิ ธิพลตอ วรรณกรรมไทย
ยตถฺ สฺสุ ปุพฺเพ กฬี ึสุ เต กุมารา น ทิสฺสเร
อิมา ตา โปกขฺ รณี รมมฺ า จกฺกวากูปกูชิตา อยางไร
มณฑฺ าลเกหิ สฺ ฉนฺนา ปทุมุปปฺ ลเกหิ จ (แนวตอบ ภาษาบาลเี ปน ภาษาทใ่ี ชถ ายทอด
ยตฺถสสฺ ุ ปพุ เฺ พ กีฬึสุ เต กมุ ารา น ทสิ สฺ เร พระธรรมคาํ สอนของพระพทุ ธศาสนา สงั คมไทย
น เต กฏฺานิ ภินนฺ านิ น เต อทุ กมาภต� เปน สงั คมทผี่ คู นนบั ถอื พระพทุ ธศาสนาเปน
อคคฺ ิปิ เต น หาสโิ ต กนิ นฺ ุ มนฺโทว ฌายสิ สว นใหญ การใชภาษาบาลีในวรรณกรรมไทย
ปิโย ปิเยน สงฺคมฺม สโมห� พฺยปหฺ ติ จึงมมี าก โดยเฉพาะที่ไดรบั อทิ ธพิ ลหรือ
ตฺยชชฺ ปุตฺเต น ปสสฺ ามิ ชาลึ กณฺหาชิน� จุโภติ แนวคิดจากพระพทุ ธศาสนา มักพบการใช
ภาษาบาลสี อนแทรกอยแู ทบทกุ เร่อื งของ
วรรณคดีและวรรณกรรมไทยสมยั กอ น)

น โข โน เทว ปสฺสามิ เยน เต นิหตา มตา ขยายความเขา ใจ Expand
กาโกลาปิ น วสสฺ นตฺ ิ มตา เม นนู ทารกา
น โข โน เทว ปสฺลามิ เยน เต นหิ ตา มตา
สกุณาปิ น วสสฺ นฺติ มตา เม นูน ทารกาติ นกั เรยี นรจู ักวรรณกรรมเรอื่ งใดบา งท่ีมีภาษา
ตมตถฺ � ปกาเสนฺโต สตถฺ า อาห บาลี ใหน กั เรียนเลา ความเปนมาของวรรณคดแี ละ
สา ตตฺถ ปรเิ ทวิตฺวา ปพฺพตานิ วนานิ จ วรรณกรรมไทยทีน่ ักเรียนพบวามีการใชภ าษาบาลี
ปนุ เทวสสฺ ม� คนฺตวฺ า สามกิ สสฺ นฺติ โรทติ ในการประพนั ธ และยกตวั อยา งบทประพันธใ น
น โข โน เทว ปสสฺ ามิ เยน เย นิหตา มตา วรรณคดีเรอื่ งน้ันประกอบ
กาโกลาปิ น วสฺสนฺติ มตา เม นูน ทารกา
น โข โน เทว ปสฺสามิ เยน เต นหิ ตา มตา (แนวตอบ นกั เรยี นตอบไดห ลากหลายข้นึ อยกู บั
สกณุ าปิ น วสสฺ นตฺ ิ มตา เม นนู ทารกา ประสบการณการอานงานวรรณกรรมของนกั เรยี น
น โข โน เทว ปสสฺ ามิ เยน เต นิหตา มตา แตล ะคน ครพู ิจารณาคาํ ตอบวา มกี ารใชภาษาบาลี
หรือไม อยางไร ตวั อยางเชน ลิลติ ตะเลงพา ย)

วิจรนตฺ ี รุกฺขมเู ลสุ ปพพฺ เตสุ คหุ าสุ จ
อิติ มททฺ ี วราโรหา ราชปุตฺตี ยสสฺสินี
พาหา ปคฺคยฺห กนทฺ ิตวฺ า ตตเฺ ถว ปติตา ฉมาติ

เมอื่ สมเดจ็ พระยอดมง่ิ เยาวมาลยม์ ทั รี กราบทลู พระราชสามสี กั เทา่ ใดๆ ทา้ วเธอจะไดป้ ราศรยั
กไ็ มม่ ี พระนางยงิ่ หมองศรโี ศกกา� สรดสะอกึ สะอน้ื ถวายบงั คมคนื ออกมาเทยี่ วแสวงหาพระลกู รกั
ทุกหนแห่ง กระจ่างแจ้งด้ว1ยแสงพระจันทร์ส่องสว่างพ้ืนอัมพรประเทศวิถี นางเสด็จจรลีไป
หยุดยืน2ในภาคพื้นปรมิ ณฑลใต้ตน้ หวา้ จงึ่ ตรัสว่า อเิ ม เต ชมฺพกุ า รกุ ฺขา ควรจะสงสารเอ่ยด้วย

ต้นหว้าใหญ่ใกล้อาราม งามด้วยกิ่งก้านประกวดกัน ใบชอุ่มประชุมช่อเป็นฉัตรชั้นดั่งฉัตรทอง

25

ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู

“หรอื เจาเหน็ วาพนี่ เ้ี ปน ชีอดจิตคดิ อนิจจังท้ิงพยศ อดอารมณเสยี ครแู นะใหน กั เรยี นศึกษาวรรณคดีเรอื่ งมหาเวสสนั ดรชาดกวา มีแนวคดิ เร่อื งความ
เจา เปน แตเ พยี งเมียควรหรอื มาหมิ่นได ถาแมนพ่ีอยูใ นกรุงไกร กตัญูรูคณุ การประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตนเจรญิ รอยตามปฏปิ ทาของพระโพธิสัตวเวสสันดร
เหมอื นแตก อนเกา หากวา เจา ทําเชน น้ี กายของมัทรีก็จะขาดสะบ้นั น่ันคอื บชู าคารวะทานดว ยความเสียสละ กําจดั ความเห็นแกต ัวลดลงทลี ะนอยๆ
ลงทันตาดวยพระกรเบอ้ื งขวาของอาตมานี้แลว แล” ก็จักไดช อื่ วา เปนผมู สี ว นชว ยใหโลกสันนวิ าส คอื สงั คมนาอยูอาศยั ข้นึ

เนื้อความขางตนสะทอ นใหเหน็ เรอื่ งใด นักเรยี นควรรู
แนวตอบ สะทอนความรูเก่ียวกบั คา นิยมในสมัยโบราณเรอ่ื งสิทธิ
ของสตรีวา สตรเี ปน เหมอื นทรพั ยส มบตั ิของสามี สามีมสี ทิ ธิในการ 1 พน้ื ปรมิ ณฑล พ้ืนท่โี ดยรอบ ในที่น้ีหมายถึง อาณาบริเวณ
ลงโทษภรรยาเพราะถือวา เปนเจาของ เปนผใู หความคมุ ครอง 2 ตน หวา ไมตนขนาดใหญ ผลสุกมสี ีมว งดาํ รบั ประทานได เปน ตนไมป ระจาํ
ดงั ท่คี าํ วา “สาม”ี มคี วามหมายวา เจาของ เชน สามธี รรม จงั หวดั เพชรบุรี
มีความหมายวา เจาของธรรม ซงึ่ หมายถึง พระพทุ ธเจา เปน ตน
ซ่ึงแตกตางจากปจจุบันทส่ี ตรีมิไดเปนเพยี งสมบตั ิของสามีเทานนั้
แตมบี ทบาททดั เทียมกับบรุ ษุ ในการดูแลชวยเหลือครอบครัว

คมู อื ครู 25

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู

จากบทครา่ํ ครวญหาลกู ของพระนางมทั รี แสงพระจันทรด์ ้ันส่องตอ้ งน้า� คา้ งที่ขงั ให้ไหลลงหยดย้อย เหมอื นหนง่ึ น�า้ พลอยพรอ้ ยๆ อยพู่ รายๆ
“สุดสายนัยนาท่ีแมจะตามไปเลง็ แล สดุ โสตแลว ที่ โตป้อรงยกโับรยแรสองบกปรวรดมิ ทณรฑาลยกทเ็ ี่ใหตม้ตอื ้นนอกรนั ่ามวงาามมวดาง่ั วไมดปู้เปาร็นชิ วานตว1ใงนแเวมวอื งสดวั่งรบรุคคคม์ ลาเปอลากูแไกว้ว้ มลากูรระกัแนเงจแา้ กแลม้งเ่ อมย่า
แมจ ะซบั ทราบฟง สาํ เนยี ง สดุ สรุ เสยี งทแ่ี มจ ะราํ่ เรยี ก เจ้าเคยมาอาศัยนั่งนอน ประทับร้อนส�าราญร่มร่ืนๆ ส�ารวลเล่นเย็นสบาย พระพายร�าเพยพัดมา
พไิ รรอ ง สดุ ฝเ ทา ทแ่ี มจ ะเยอ้ื งยอ งยกยา งลงเหยยี บดนิ ฉวิ เฉอ่ื ย เรไรระรเ่ี ร่ือยรอ้ งอย่หู รง่ิ ๆ แตล่ ูกรักของแม่ทัง้ ชายหญงิ ไปอย่ไู หนไม่เหน็ เลย มหานโิ ครฺ ธ-
ก็สดุ สิ้นสุดปญ ญาสุดหาสุดคน เหน็ สดุ คดิ จะไดพ าน ชาตํ อนจิ จาๆ เอย่ เหน็ แตไ่ ทรทองถดั กนั ไป กงิ่ กา้ นใบรากหอ้ ยยน่ื ระยา้ เจา้ เคยมาหอ้ ยโหนโยนชงิ ชา้
พบประสบรอยพระลูกนอ ยแตส กั นิดไมมเี ลย” ชวนกนั แกวง่ ไกว แลว้ เล่นไล่ปดิ ตาหาเรน้ แทบหลังบริเวณพระอาวาส อมิ า ตา โปกฺขรณี รมฺมา
เจ้าเคยมาประพาสสรงสนานในสระศรีโบกขรณีต�าแหน่งนอกพระอาวาส นางเสด็จลีลาศไป
• จากเนื้อความท่ียกมามีความโดดเดนทาง เท่ียวเวียนรอบ จ่ึงตรัสว่าน้�าเอ๋ยเคยมาเปี่ยมขอบเป็นไรจ่ึงขอดข้นลงขุ่นหมอง พระพายเจ้าเอ๋ย
ดานวรรณศิลปอ ยางไร เคยมาพัดต้องกลีบอุบล พากล่ินสุคนธ์ขจรรสมารวยรื่นเป็นไรจึ่งเสื่อมหอมหายช่ืนไม่เฉ่ือยฉ�่า
(แนวตอบ จากเนอื้ ความที่ยกมามีความโดด ฝูงปลาเอ๋ยเคยมาผุดคล่�าด�าแฝงฟอง บ้างก็ขึ้นล่องว่ายอยู่ลอยเล่ือนชมแสงเดือนอยู่พรายๆ
เดนในการเลน คาํ คือ การใชค าํ วา “สุด” เป็นไรจึ่งไมว่ ่ายเวยี นวง นกเจ้าเอ่ยเคยบนิ ลงไลจ่ กิ เหยื่อทกุ เวลา วันนี้แปลกเปล่าตาแมแ่ ลไมเ่ ห็น
ซํา้ แทรกไปเปนระยะๆ การใชคาํ ในลกั ษณะนี้ พระลูกเอ่ยเจ้าเคยมาเที่ยวเล่น แม่แลไม่เห็นแล้ว โอ้แลเห็นแต่สระแก้วอยู่อ้างว้างวังเวงใจ
ชว ยเนน ความรสู กึ ใหเ หน็ อยา งเดน ชดั เปน การ ยนูงายงกา็เงสใหด็จญค่ไรพรรไรละลห่วงงต�าพบนลัส2แเทด่ีนยวดคง้นเยห็นายพะรเะยลือูกกตเางีมยลบ�าสเงนัดาเเหนงินาป่าไดท้ยุกินสแุมตท่เสุมียพงุ่มดพุเฤหกวษ่าลาปะเ่ามสอูง
นาํ คาํ คาํ เดยี วกนั นนั้ มาแทรกไปในชวงท่กี วี
ตองการแสดงความรูสกึ วาเศรา อยา งทส่ี ุด
หรือตองการเนน คําน้นั )

ขยายความเขา ใจ Expand ร้องก้องพนาเวศ พระกรรณเธอสังเกตว่าสองดรุณเยาวเรศเจ้าร้องขานอยู่แว่วๆ ให้หวาดว่า

นกั เรียนยกบทประพันธจ ากมหาเวสสันดรชาดก กส�ลาเานดียกงลเุ้มสเียขง้าพสรุมะนลอูกนแกน้วาเจงก้า็ขย่ิงาสนะรทับ้อพนรถะอมนารพดราะทนัยาเทงเวสษด3ค็จรลวีลญาเขเส้าดไป็จหด่วานดูเๆห็นดหะมดู่สุ่มัตเดวิน์จเตมุบิลามทุ่ง
กัณฑอ่นื ท่ีมลี ักษณะการเลน คําเหมอื นกณั ฑมัทรี ละเมาะไม้มองหมอบ แต่ย่างเหยียบเกรียบกรอบก็เหลียวหลัง พระโสตฟังให้หวาดแว่วว่า
พรอมอธบิ ายลกั ษณะการเลน คาํ จากบทประพันธน ้นั สา� เนียงเสยี งพระลูกแกว้ เจา้ บ่นอยูง่ มึ ๆ พมุ่ ไมค้ รม้ึ เปน็ เงาๆ ชะโงกเงอ้ื ม พระเนตรเธอแลเหลอื บ
ให้ลายเลื่อมเห็นเป็นรูปคนตะคุ่มๆ อยู่คล้ายๆ แล้วหายไป สมเด็จอรไทเธอเที่ยวตะโกนกู่กู๋ก้อง
(แนวตอบ จากกณั ฑช ชู ก ความวา “นางพราหมณี พระพักตร์เธอฟูมฟองนองไปด้วยน้�าพระเนตรเธอโศกา จึ่งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะน้ีเอ่ยจะ
บา นน้ีนม่ี ันหนักหนา มนั มาเคยี งคอยอยทู ท่ี าทาง มิดึกด่ืน จวนจะส้ินคืนค่อนรุ่งไปเสียแล้วหรือกระไรไม่รู้เลย พระพายร�าเพยพัดมารี่เร่ือยอยู่
จะตกั นํ้ากูนจ่ี ะไดไ ปวา อะไรสักคาํ หนอยหนง่ึ ก็ไมมี ไเฉป่ือในยฉยวิามอนก้ี แฝมูง่นลใี้ ิงหคอ้ ่าอ่งนบห่างิว4ชสะุดนลีทะ่ีนหออ้ นยหทล้ังับดกา็กวเลดิ้งอื กนลกับเ็ เคกลล่อื ือนกคตลัว้ออยยลู่ยง้ัวลเับย้ียไม้ สดุ ที่แมจ่ ะตดิ ตามเจ้า
ใจอะไรเชนนีน้ ี่มันชางรายเหลอื ตะละวายักขนี ีผีเสอ้ื ทั้งนกหกก็งัวเงียเหงา
มเิ ทามันมารมุ รา่ํ ดากูนเ่ี ปลาๆ เขามานม่ี ากมุง เงยี บทุกรวงรัง แตแ่ มเ่ ท่ยี วเซซังเสาะแสวงทกแหง่ หอ้ งหมิ เวศทว่ั ประเทศทุกราวปา่ สดุ สายนัยนา
ด่ังวาฝูงกาเขา มาเตน ตามตอมรุงก็บมปิ าน สนิ้ ทง้ั ทแ่ี ม่จะตามไปเล็งแล สุดโสตแล้วท่ีแม่จะซบั ทราบฟังส�าเนียง สดุ สรุ เสียงท่ีแมจ่ ะร�่าเรียกพไิ รร้อง
โคตรปรานมนั ดา เลน ” มกี ารเลน คําวา “น่”ี ซงึ่ ทาํ ให สุดฝีเท้าท่ีแม่จะเย้ืองย่องยกย่างลงเหยียบดิน ก็สุดสิ้นสุดปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด จะได้
เห็นการแสดงอารมณไมพอใจไดเ ดน ชัดขึน้ )

พานพบประสบรอยพระลูกน้อยแต่สักนิดไม่มีเลย จึ่งตรัสว่าเจ้าดวงมณฑาทองทั้งคู่ของแม่เอ๋ย
หรือวา่ เจ้าท้งิ ขว้างวางจิตไปเกิดอ่นื เหมือนแมฝ่ นั เม่อื คืนนแ้ี ลว้ แล

26

นักเรียนควรรู กจิ กรรมสรา งเสรมิ

1 ปาริชาต หรือปาริฉัตร เปนตน ไมป ระจาํ สวรรคช้นั ดาวดงึ ส ในสวนนนั ทวัน นักเรียนอธบิ ายการเลน คําในวรรณคดีและวรรณกรรมไทยวา
ของพระอินทร มีลักษณะใดบาง ใหน ักเรียนยกตวั อยางบทประพันธห รอื เนอ้ื ความ
2 พนัส ปา พง ดง (มาจาก พน แตเพิ่มตวั ส เพอื่ ความสะดวกในการสนธิ) ท่ีมีการการเลนคําลักษณะตา งๆ จดบันทกึ ลงสมดุ
3 เทวษ การครํ่าครวญ ความลาํ บาก
4 บาง สตั วเ ลยี้ งลกู ดว ยนม รปู รา งคลา ยกระรอกมหี นงั เปน พงั ผดื สองขา งของลาํ ตวั กจิ กรรมทาทาย
ใชกางถลารอน หากินในเวลากลางคนื ในสาํ นวนไทยมคี าํ กลาววา “บา งชา งย”ุ
ซ่งึ มีที่มาจากนิทานสภุ าษิตไทย กลาวถึงสัตว 3 ชนดิ คอื นก หนู และคา งคาว นกั เรียนพิจารณาเน้ือเร่ืองมหาเวสสันดรชาดก กณั ฑมทั รี
ทตี่ องแตกแยกกนั เพราะเช่อื คาํ ยุยงของบาง ใชเ ปรยี บเทียบกับคนทชี่ อบพูดสอ เสยี ด ที่ปรากฏแทรกคาํ วา “เอย ” หรอื “เอย ” วา มกี ารใชใ นลกั ษณะใด
ยยุ งใหค นอ่นื แตกแยกกนั โดยยกเนอ้ื ความตอนนน้ั ประกอบ จดบนั ทึกลงสมดุ

26 คูมอื ครู

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู

ภิกฺขเว ดูกรสงฆ์ผู้ทรงพรหมจารี เม่ือสมเด็จพระมัทรีทรงก�าสรดแสนกัมปนาท เพียง นกั เรยี นพิจารณาวธิ กี ารของพระเวสสันดร
พระสันดานจะขาดจะดับสูญ ปริเทวิตฺวา นางเสวยพระอาดูรพูนเทวษในพระอุรา น�้าพระ แลวอภปิ รายประเดน็ ตอไปนี้
อัสสุชลนาเธอไหลนองคลองพระเนตร ทรงพระกันแสงแสนเทวษพิไรร�่า ต้ังแต่ประถมยามค่�าไม่
หย่อนหยดุ แตส่ กั โมงยาม นางเสดจ็ ไตเ่ ต้าตดิ ตามทุกต�าบล ละเมาะไม้ไพรสณฑศ์ ขิ ริน ทกุ ห้วยธาร • พระเวสสันดรแกไขความทกุ ขโ ศกของ
ละหานหินเหวหุบห้องคูหาวาส ทรงพระพิไรร้องก้องประกาศเกร่ินส�าเนียง พระสุรเสียงเธอ พระนางมทั รไี ดสาํ เร็จหรอื ไม อยางไร
กเย็มือัวกหเมยน็องรเะหยม่อือทนกุ หอนก่ึงสจตั ะวเ์ศพร้ารโะศพกาแยสรนา� เวพิปยโพยคดั เทมุกื่อกยงิ่ ากม้าปนัจจบุสุษมบัยง1กทเ็ บั้งริกัศบมาีพนรผะกสาุรกิโรยทรัยัศสม่อีพงรอะยจู่รันาทงๆร (แนวตอบ พระเวสสันดรแกไขไดสําเรจ็
ข้ึนเรืองฟ้า เสียงชะนีเหน่ียวไม้ไห้หาละห้อยโหย พระก�าลังนางก็อิดโรยพิไรร�่าร้อง พระสุรเสียง จากที่กวีบรรยายวา “ท่คี วามโศกก็เสอ่ื มสราง
เธอกู่ก้องกังวานดง เทพเจ้าทุกพระองค์กอดพระหัตถ์เง่ียพระโสตสดับสาร พระเยาวมาลย์เธอ สงบจิตเพราะเจ็บใจ” แตก ็คลายโศกเพียงช่วั
เที่ยวหาพระลูก พระนางเธอเสวยทุกข์แสนเข็ญ ต้ังแต่ยามเย็นจนรุ่งเช้าก็สุดสิ้นท่ีจะเท่ียวค้น ครชู ั่วคราว เพราะหลงั จากนน้ั พระนางมทั รี
สทิบุกหต�า้าแโยหชนน่ง2์โแดหย่งนลิยะมสานมาหงนจึ่เงธเซอซเทังเ่ียขว้าหไปาสู่พปรณะฺณอารศสรโมยบชังนคมมคบฺคาํทถพ้ารจะะภคัสลดี่คาลาปยรขะยหานย่ึงมวร่าคชีวากาจ็ไดะ้ ก็กลบั ไปตามหาลูกท้ังสองในปาอกี ครงั้
วางวายท�าลายล่วง สองพระกรเธอข้อนทรวงทรงพระกันแสงครวญคร่�าแล้วร�าพันว่า โอ้เจ้า กอนจะเปน ลมหมดสติไป)
ขด้วางมสนุรทิยีทันะจเันลทวรนทหั้งิมคเู่ขวอศง3ปแรมะ่เเอท่ยศทแิศมแ่ไมด่รนู้เใลดยวถ่า้าเจร้าู้แจจะ้งหปนรีพะรจะักมษา์ใรจดแามไป่ก็สจู่ะพตาราามใเดจไ้ามไ่รปู้ทจี่ นหสรุดือแจระง
นี่ก็เหลือท่ีแม่จะเท่ียวแสวงสืบเสาะหา เมื่อเช้าแม่จะเข้าไปสู่ป่า พ่อชาลีแม่กัณหายังทูลส่ัง • เหตใุ ดวิธีการของพระเวสสนั ดรจึงทาํ ให
แมย่ งั กลบั หลงั มาโลมลูบจบู กระหมอ่ มจอมเกล้าทัง้ สองรา กลิ่นยังจบั นาสาอย่รู วยร่นื โอพ้ ระลกู พระนางมัทรีคลายความเศรา โศกไดในทส่ี ดุ
ข้าน้ีจะไม่คืนเสียแล้วกระมังในคร้ังน้ี กัณหาชาลีลูกรักแม่นับวันแต่ว่าจะแลลับล่วงไปเสียแล้ว (แนวตอบ พระเวสสนั ดรทรงรอเวลาทเี่ หมาะสม
ใหพ ระนางมัทรเี ศราโศกจนถึงที่สดุ กอ นจะ
ตดั สินใจบอกความจริงวามอบบตุ รทง้ั สอง
เปนทานใหแกพ ราหมณชูชกไป ทัง้ นเ้ี พ่อื ให
เปน ไปตามความมุง มั่นตั้งใจในทาน
พระนางมัทรจี ึงอนุโมทนาในทานดว ย)

ละหนอ ใครจะกอดพระศอเสวยนมผทมด้วยแมเ่ ลา่ ยามเมือ่ แมจ่ ะเข้าท่บี รรจถรณ์ เจา้ เคยเคียง ขยายความเขา ใจ Expand
เรียงหมอนนอนแนบข้างทุกราตรี แต่น้ีแม่จะกล่อมใครให้นิทรา โอ้แม่อุ้มท้องประคองเคียง
วเลิบี้ยัตงิพเจล้าัดมพารกา็หกมไมา่ยเปม็นั่นผลสใ�าหค้อัญาเวพ่าศจผะิดไดป้อระยมู่เปา็ณนเพเื่อจน้าเยอาากแจตะ่หฝ่วางกสผงีพสาึ่งรล4นูก่ีหทรั้งือสมอางสควนมมคิรลู้ว้อ่างจใหะก้แลมับ่น้ี นักเรียนรวมกันแลกเปลย่ี นความคดิ เห็นใน
ติดต้องข้องอยู่ด้วยอาลัย เจ้าท้ิงช่ือและโฉมไว้ให้เปล่าอกในวิญญาณ์ เม่ือเช้าแม่จะเข้าไปสู่ป่า ประเด็นตอไปนี้
ยงั ไดเ้ หน็ หน้าเจ้าอยหู่ ลัดๆ ควรละหรือมาสลดั แม่นไ้ี ว้ เหมอื นจะเตอื นใหแ้ ม่น้ีบรรลยั เสยี จรงิ แล้ว
ควรจะสงสารเอย่ ด้วยนางแก้วกลั ยาณี นอ้ มพระเกศลี งทลู ถามหวงั จะตดิ ตามพระลูกรกั ทงั้ สองรา • กวีตองการสื่อเรอื่ ง “ทาน” เปนแนวทาง
กราบถวายบงั คมลาลกุ เลอื่ นเขยอ้ื นยกพระบาทเยอ้ื งยา่ ง พระกายนางใหเ้ สยี วสน่ั หวนั่ ไหวไปทง้ั องค์ การยึดถือปฏิบตั ิของพระเวสสันดร
ดจุ ชายธงอันต้องก�าลังลมอยลู่ ่ิวๆ สนิ้ พระแรงโรยเธอโหยหวิ ระหวยทรวง พระศอเธอหงุบงว่ งดวง ในหมายความวา อยา งไร
พระพักตร์เธอผิดเผือดให้แปรผัน จะทูลส่ังก็ยังมิทันท่ีว่าจะทูลเลย แต่พอตรัสว่าพระคุณเจ้าเอ๋ย (แนวตอบ แมวาการบําเพญ็ บตุ รทานจะเปน
คา� เดยี วเทา่ นนั้ กห็ ายเสยี งเอยี งพระกายบา่ ยศโิ รเพฐน์ พระเนตรหลบั หบั พระโอษฐล์ งทนั ที วสิ ฺ ญี เรอ่ื งทย่ี ากจะเขาใจ แตกวตี องการสอ่ื ใหเห็น
หุตฺวา นางก็ถึงวิสัญญีสลบลงตรงหน้าฉาน ปานประหน่ึงว่าพุ่มฉัตรทองอันต้องสายอัสนีฟาด วา การเสยี สละทานทย่ี งิ่ ใหญ เพื่อใหบรรลุผล
จะนาํ ไปสปู ระโยชนส ุขของคนสวนใหญใ น
ภายภาคหนา )

ขาดระเนนเอนแล้วกล็ ม้ ลงตรงหน้าพระท่ีนง่ั เจ้านนั้ แล 27

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT นกั เรียนควรรู

ขอใดใชภ าพพจนบ ุคคลวัต 1 ปจจุสมยั อา นวา ปด -จุด-สะ-ไหม แปลวา เวลาเชา มืด
1. ควรละหรือมาสลดั แมน ้ไี ว เหมือนจะเตือนใหแมน ้บี รรลยั เสยี จรงิ 2 โยชน อานวา โยด หมายถึง ชอื่ มาตราวดั ความยาวของไทยในสมยั กอน
400 เสน เปน 1 โยชน หรอื เม่ือเทียบมาตรวดั ความยาวตามระบบสากลจะเทา กบั
แลว 16 กิโลเมตร
2. จ่ึงตรัสวานา้ํ เอย เคยมาเปย มขอบเปนไรจ่ึงขอดขนลงขุน หมอง 3 หิมเวศ ปาหมิ พานต มาจากคาํ วา “หิมวา” เตมิ ศ ซง่ึ เปนการเขา ลิลติ เขาไป
3. จ่งึ ตรัสวา โอเจา แวนแกว สอ งสวางอกของแมเอย เปน หมิ เวศ
4. แตยา งเหยียบเกรยี บกรอบก็เหลียวหลงั 4 หวงสงสาร การเวียนวา ยตายเกิดไปดว ยอาํ นาจกเิ ลส วบิ าก และกรรม วนเวยี น
วิเคราะหคําตอบ ภาพพจนบ คุ คลวตั คอื การสมมตสิ ง่ิ ตา งๆ ใหม ี เรอ่ื ยไป หากยังไมสามารถตัดกิเลส วบิ าก และกรรมได
กิรยิ าอาการและความรสู กึ เหมือนมนษุ ย ขอทใ่ี ชภาพพจนบ ุคคลวัต
คอื ขอ 2. “จงึ่ ตรัสวา น้าํ เอยเคยมาเปย มขอบเปนไรจึง่ ขอดขนลง
ขุนหมอง” ใหส ภาพที่นาํ้ แหง ขอดมอี ารมณความรสู กึ เหมอื นมนษุ ย

คอื มอี ารมณขนุ หมอง ตอบขอ 2.

คูมอื ครู 27

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Explain Expand
อธบิ ายความรู

จากบทคร่าํ ครวญของพระเวสสนั ดรเม่ือ
ทอดพระเนตรเหน็ พระนางมทั รสี ลบไป นกั เรียน
วิเคราะหค ุณคา ดานวรรณศลิ ป อถ มหาสตฺโต ปางนั้นสมเด็จพระเวสสันดรอดุลดวงกษัตริย์ ตรัสทอดพระเนตรเห็น
พระอคั เรศถงึ วสิ ญั ญภี าพสลบลงวนั นนั้ พระทยั ทา้ วเธอส�าคญั วา่ พระนางเธอวางวาย สะดงุ้ พระทยั
(แนวตอบ เมื่อพระเวสสนั ดรเหน็ พระนางมัทรีสลบ แเหนจต่ันา้าย่เหจสวะรีย่าือเงอโมสอาาาป้อตลน่า่าิกชิจงาัฏแจอ1นตา3ันมรห่ี รสัทร�่างัือรรขม้อีเจแ์ งา้าลนเปพะั่นน็พี่เหอปิณร๋ย่าือพชมาบา้ าทุญเยปจพ์ะ4็นจ่ีนเกอะ้ีนลเาอ้ออพายงรแปแะตรลบเ่ะ้วรมโนรฆคณะหมเศมใจนาอ้าลเกพาจใ2นน่ือะ่ีหเอนอรายาือกาแเากปตศ่เ็นนสเบจนั่ียร้าหงเิมจวรักาอืณตจมพ่ันาารยกแะจลัน้ เาะมเปกเรรพน็ุทไรี่เไอพปองดันในารจนว�่าะงรเวจ้ออัดะงา
ไปกต็ กใจนึกวา พระนางมทั รีสิน้ ใจ พระเวสสนั ดรได เอาแต่ยูงยางในป่าพระหิมพานต์มาต่างฉัตรเงินและฉัตรทอง จะเอาแต่แสงพระจันทร์อันผุดผ่อง
ราํ พันดวยความเศราสลดใจ โดยพรรณนาไดอยา ง มค่าอตยา่คงลปารยะลทงีปทแี่โศก้วกงศาัลมยโ์อภจึ่งาผสันอพนรจิะจพาักมตทั รร์มีเาอพย่ ิจมาราณตาายกอ็รเู้วน่าจยอังนไมา่อถไารสญ้ ัญาตจทิ ่ึงก่ี เขล้าาไงปดยงังคพรรั้นะทคัน้าวธเกธุฎอี5
กินใจดวยการใชค วามเปรียบ ดังความวา “เจาจะ จับเอาคนทีอันเต็มไปด้วยน้�ามาทันใด ต้ังแต่พระองค์ทรงพระผนวชไพรมาได้ถึงเจ็ดเดือนปลาย
เอาปา ชฏั นีห่ รือมาเปนปาชา จะเอาพระบรรณศาลา จะได้ต้องพระกายนางมัทรีหามิได้ เมื่อความทุกข์พ้นวิสัยมิอาจท่ีจะก�าหนดว่าอาตมะนี้เป็น
น่หี รอื มาเปนบริเวณพระเมรทุ อง จะเอาแตเสียง ดาบสฤๅษี ยกเศียรพระมัทรขี ้นึ ใสต่ ักวกั เอาวารมี าโสรจสรงลงทอี่ รุ ะพระมทั รี หวังวา่ จะใหช้ ุ่มชื่น
สาลกิ าอนั ร่ํารองนั่นหรือมาเปนกลองประโคมใน ฟ้นื สมปฤๅดีคนื มาแห่งนางพระยานน้ั แล
จะเอาแตเ สียงจกั จ่ันและเรไรอนั รา่ํ รอ งนนั่ หรอื มา
ตา งแตรสังขและพณิ พาทย จะเอาแตเมฆหมอกใน ตมตถฺ � ปกาเสนฺโต สตฺถา อาห
อากาศนนั่ หรอื มาเปน เพดาน จะเอาแตย งู ยางในปา พระ ตมชชฺ ปตฺต� ราชปตุ ตฺ ึ อทุ เกนาภิสิฺ จิถ
หิมพานตมาตางฉตั รเงนิ และฉตั รทอง จะเอาแตแสง อสสฺ ตถฺ � น� วทิ ิตฺวาน อถ น� เอตมพฺรวตี ิ
พระจนั ทรอ ันผดุ ผอ งมาตางประทปี แกวงามโอภาส” อาทเิ ยเนว เต มททฺ ิ ทกุ ขฺ � นกขฺ าตมุ ิจฉฺ ิส�
กวใี ชค าํ วา “มาตา ง” แสดงการเปรยี บสภาพแวดลอ ม ทลิทฺโท ยาจโก วุฑฺโฒ พรฺ าหมฺ โณ ฆรมาคโต
ทีอ่ ยูในปากบั ความพรงั่ พรอ มอลังการของวงั และ ตสฺส ทินฺนา มยา ปตุ ตฺ า มทฺทิ มา ภายิ อสฺสส
เลน คาํ โดยการใชคาํ ซา้ํ กนั หลายท่ี ท้งั คําวา “มาตาง” ม� ปสสฺ มททฺ ิ มา ปุตเฺ ต มา พาฬหฺ � ปรเิ ทวยิ
และคาํ วา “จะเอาแต” ซงึ่ กลาวขึน้ ตน ความเปรียบ
ซํ้าๆ เพ่ือแสดงความตา่ํ ตอยนอ ยนดิ ของส่ิงทเ่ี ปน อยู
เทียบกับสิง่ ท่ีละทิ้งมา)

ขยายความเขา ใจ Expand ลจฺฉาม ปตุ เฺ ต ชวี นตฺ า อโรคา จ ภวามฺหเส
ปุตฺเต ปสุฺ จ ธฺ ฺ จ ยฺ จ อฺ � ฆเร ธน�
ทชชฺ า สปปฺ รุ โิ ส ทาน� ทิสวฺ า ยาจกมาคเต
จากบทคร่าํ ครวญของพระเวสสันดรเมอื่ เหน็ อนุโมทาหิ เม มทฺทิ ปุตตฺ เก ทานมุตตฺ มนตฺ ิ
พระนางมัทรีสลบไปมคี วามไพเราะกินใจอยางยิ่ง อนโุ มทามิ เต เทว ปุตตฺ เก ทานมุตฺตม�
ทตวฺ า จิตฺต� ปสาเทหิ ภิยฺโย ทาน� ทโท ภว
• นกั เรยี นบอกสาํ นวนเปรยี บเทยี บวา มอี ะไรบา ง โย ตวฺ � มจฺเฉรภเู ตสุ มนุสฺเสสุ ชนาธิป
(แนวตอบ มีสํานวนการเปรียบ ดังนี้ พรฺ าหมฺ ณสสฺ อทา ทาน� สีวนี � รฏฺ วฑฺฒโนติ
กวใี ชส าํ นวนการเปรยี บ คอื กระทอ มมงุ ใบไม นินนฺ าทติ า เต ปวี สทฺโท เต ติทวิ งฺคโต
เทยี บกบั พระเมรทุ อง เสยี งนกรอ งในปา เทยี บกบั สมนฺตา วชิ ฺชุตา อาคู คริ ีนว� ปฏสิ สฺ ตุ าติ
เสียงกลองประโคมใน เสยี งจกั จนั่ เรไรเทยี บ 28
กบั เสยี งแตร สงั ข และพิณพาทย เมฆหมอก
เทยี บกบั เพดาน นกยงู นกยางในปา เทยี บ
กบั ฉตั รเงิน ฉตั รทอง แสงพระจนั ทรเ ทียบกบั
เปลวไฟในโคมแกว) ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT

นักเรียนควรรู

1 ปาชฏั ปาท่มี ีตน ไมข ้นึ อยหู นาแนน โดยมากเปน ไมเลือ้ ยและไมห นาม ขอใดไมมี ความเปรยี บ
2 พระบรรณศาลา กระทอมท่ีปลกู สรา งโดยใชใบไมม ุงลอม 1. วามัทรนี เ้ี ปนขา เกา แตก อนมาดัง่ เงาตามพระบาทากเ็ หมือนกัน
2. จะเอาพระบรรณศาลานีห่ รอื มาเปน บรเิ วณพระเมรทุ อง
3. ปานประหน่ึงพมุ ฉตั รทองอันตองสายอัสนีฟาด
3 สาลิกา นกวงศเ ดียวกบั นกก้งิ โครง ลาํ ตัวสีนํา้ ตาลเขม หัวสดี าํ ขอบตาและ 4. จงึ่ ตรัสวา เจา ดวงมณฑาทองทั้งคขู องแมเอย
ปากสีเหลือง มีแตม ขาวทป่ี ก ปลายหางสีขาว กินแมลงและผลไม พบท่วั ทกุ ภาค วเิ คราะหคําตอบ ขอ 1. เปรียบวา พระนางมัทรตี ิดตามรบั ใช
ของประเทศไทย พระเวสสนั ดรเหมอื นเงาตามพระบาท ขอ 2. เปรียบกระทอ มทีพ่ ัก
4 พณิ พาทย หรือปพ าทย ชือ่ เรยี กวงดนตรไี ทยซึง่ ประกอบดวยเครอื่ งเปา คือ เปน พระเมรทุ อง ขอ 3. ใชค าํ วา “เจา ดวงมณฑาทองทง้ั ค”ู แทนลกู
ปผสมกบั เคร่อื งตี ไดแ ก ระนาดและฆอ งวงชนดิ ตา งๆ เปนหลกั และเครอื่ งกํากับ ท้งั สอง ขอ ท่ไี มมีความเปรียบ คือ “ปานประหนง่ึ พมุ ฉัตรทอง
จังหวะ เชน ฉง่ิ ฉาบ กรบั โหมง ตะโพน กลองทัด กลองแขก และกลองสองหนา อนั ตอ งสายอสั นฟี าด” เพราะไมไ ดแ สดงใหเ หน็ วา กาํ ลงั เปรยี บเทยี บ
5 พระคนั ธกุฎี เปน ชอื่ กฎุ ที ป่ี ระทบั ของพระพทุ ธเจา อะไรกบั อะไร กลาวถึงแตเพียงวา เหมอื นฉัตรทองท่โี ดนฟาผา

ตอบขอ 3.

28 คมู อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู

ตสฺส เต อนุโมทนตฺ ิ อโุ ภ นารทปพฺพตา นกั เรยี นชวยกนั วิเคราะหป ระเดน็ ตอ ไปนี้
อนิ ฺโท จ พรฺ หมฺ า จ ปชาปตี จ โสโม ยโม เวสสฺ วณฺโณ จ ราชา • เหตใุ ดพระนางมทั รจี ึงยอมรับและเขาใจใน
สพเฺ พ เทวานโุ มทนฺติ ตาวตึสา สอนิ ทฺ กา
อติ ิ มทฺที วราโรหา ราชปตุ ตฺ ี ยสสสฺ นิ ี การตดั สินใจของพระเวสสันดรที่บรจิ าค
เวสสฺ นฺตรสฺส อนโุ มทิ ปุตฺตเก ทานมุตตฺ มนฺติ สองกมุ ารใหแ กพ ราหมณช ชู ก
(แนวตอบ เพราะเมอื่ พระนางควบคมุ สติ
ภิกฺขเว ดูกรภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลวิสุทธิสิกขา เมื่อสมเด็จพระมัทรีเธอได้สมปฤๅดีคืนมา ควบคมุ อารมณ ความรสู ึกโศกเศรา เสียใจได
นางพระยาเจ้าละอายแก่เทพดานัก ด้วยตัวมานอนอยู่บนตักพระราชสามีมิบังควร อุฏฺาย จึง กท็ รงเขา ใจในการกระทําของพระเวสสันดร
ไดใ นที่สุด)

อุฏฐาการโดยด่วนเล่ือนพระองค์ลงจากตักพระราชสามี พระมัทรีจึ่งทูลถามว่าพระพุทธเจ้าข้า ขยายความเขา ใจ Expand
พระลกู รกั ทง้ั สองราไปอยไู่ หนนะฝา่ พระบาท ทา้ วเธอจงึ่ ตรสั ประภาษวา่ ดกู รเจา้ มทั รี อนั สองกมุ ารนี้
พ่ีให้เป็นทานแก่พราหมณ์แต่วันวานน้ีแล้ว พระน้องแก้วเจ้าอย่าโศกศัลย์ จงต้ังจิตของเจ้าน้ันให้
โสมนสั ศรทั ธา ในทางอนั กอ่ กฤดาภนิ หิ ารทานบารมี ลจฉฺ าม ปตุ เฺ ต ชวี นตฺ า ถา้ เราทงั้ สองนย้ี งั มชี วี ติ นกั เรียนรว มกนั แสดงความคิดเห็นในประเด็น
สืบไป อันสองกุมารน้ีไซร้ก็คงจะได้พบกันเป็นม่ันแม่น ถึงแสนสัตพิธรัตน์เครื่องอลงการซ่ึง ตอไปน้ี
พระราชทานไปน้ันเรากจ็ ะไดด้ ้วยพระทัยหวงั ทชฺชา สปปฺ รุ ิโส ทานํ มทั รเี อ่ย อันอริยสตั บุรุษ
เห็นปานดั่งตัวพ่ีฉะน้ี ถึงจะมีข้าวของสักเท่าใดๆ ทิสฺวา ยาจกมาคเต ถ้าเห็นยาจกเข้ามาใกล้ • การทพี่ ระนางมทั รีทาํ ใจยอมรบั การใหทาน
ไไซหรวเ้ว้ ปอน็ นแขตอท่ ไามนย่ พ่อาทห้อริใกนะทภ1าางยทนานอกไจมนอ่ แม่ิ ตห่ชนน้ั า� ลพูกรจี่ กัะยใคอรดใ่ สหงอ้ สชั าฌรพตั ีย่กิ งัทยากนใอ2หกี เ้ ปน็นะเทจาา้ นมไทั ดร้ ี อนั สองกุมารน้ี ลูกไดสะทอ นใหเห็นสงิ่ ใด
ถา้ แมน้ มบี คุ คล (แนวตอบ การทพ่ี ระนางมทั รีทําใจยอมรบั
ผู้ใดปรารถนาเน้ือหนังมังสังโลหิตดวงหทัยนัยนเนตรทั้งซ้ายขวา พี่ก็จะแหวะผ่าให้เป็นทานไม่ การใหทานลกู ซ่งึ เปนเร่อื งท่ยี ากเย็นท่ีสุด
ยอ่ ทอ้ ถึงเพยี งน้ี มทั รีเอ่ย จงศรัทธาดว้ ยช่วยอนุโมทนาทานในกาลบดั นเ้ี ถดิ ของผเู ปน แม สะทอ นใหเ ห็นความแนวแน
สมเด็จพระมัทรีทูลสนองพระโองการว่า พระพุทธเจ้าข้า แต่วันวานนี้เหตุไฉนจึ่งไม่แจ้ง เขม แขง็ การขม ใจเพ่ือเปาหมายทยี่ ง่ิ ใหญ
ยุบลสารให้ทราบเกล้า ท้าวเธอจึ่งตรัสเล่าว่าพระน้องเอ่ย พ่ีจะเล่าให้เจ้าฟังก็สุดใจ ด้วยเจ้ามา การตระหนักถงึ หนา ท่แี ละเปาหมายของตน
แต่ป่าไกลยังเหน่ือยนัก พี่เห็นว่าความร้อนความรักจะรุกอก ด้วยสองดรุณทารกเป็นเพ่ือนไร้ พระเวสสันดรตรัสขอใหพ ระนางอนโุ มทนา
เจา้ มทั รเี อย่ จงผอ่ งใสอยา่ สอดแคลว้ อนั สองพระลกู แกว้ ไปไกลเนตร พระนางจงึ่ ตรสั วา่ พระพทุ ธเจา้ ในการบาํ เพ็ญทานบารมีของพระองค
ข้าอนั สองกมุ ารน้ี เขกอลใ้าหกน้ ร้�าะพหรมะอ่ หมฤฉทาัยนพไดรอ้ะอตุ งสคาจ์หงะผถอ่ นงอแมผยว้ อ่อมยพา่ มยมีาจับฉารลิยบธา� รรรงุ มมอา3กขศุ อลออนยุโมา่ มทานปาะดป้วนย พระนางกท็ รงทาํ ตามดวยความภักดี ทําให
ปิยบตุ รทานบารมี การบรจิ าคพระชาลแี ละพระกณั หาเปน ทาน
ในน�้าพระทัยของพระองค์เลย ท้าวเธอจึ่งตรัสว่าพระน้องเอ่ย ถ้าพ่ีมิได้ให้ด้วยเล่ือมใสศรัทธา แกช ชู กไมก อความขุนขอ งหมองใจใหแก
แท้แล้ว ท่ีไหนเลยแผ่นดินดานจะกัมปนาทหวาดหวั่นไหวจลาจล ท้าวเธอเล่านุสนธ์ิมหัศจรรย์ ผูใดอกี ผลแหงทานบารมใี นคร้งั นีจ้ ึงเต็ม
อนั มีอยู่ในกัณฑ์กุมารบรรพ กลับมาเลา่ ให้พระมัทรฟี งั แต่ในกาลหนหลังนี้แล้วแล เปย มบริบรู ณอยา งนาปต ิ นับวา น้ําพระทยั
สา มทฺที ส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรบวรราชธิดามหาสมมุติวงศ์วิสุทธิสืบสันดานมา ของพระนางมทั รีมีสว นสําคัญอยางยงิ่
วราโรหา ทรงพระพักตรผ์ ิวผ่องดุจเนื้อทองไมเ่ ทยี มสี ยสสสฺ ินี มพี ระเกียรติยศอนั โอฬารล้า� เลิศ ในการสนับสนุนการบําเพ็ญทานบารมี
ของพระเวสสันดร)

วิไลลักษณ์ยอดกษัตริย์ อันทรงพระศรัทธาโสมนัสนบน้ิวประนมน้อมพระเศียรเคารพทาน

29

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรยี นควรรู

ขอใดมีการเลนเสียงสัมผสั อกั ษรมากทสี่ ดุ 1 ทานพาหิรกะ ทานภายนอก
1. ขา พระบาทน่รี อ นรนไมหยดุ หยอ นแตสักอยาง 2 อัชฌตั กิ ทาน ทานภายใน คือ การใหทานโดยสละเลือดเน้ือและชีวิตของตนให
2. สุดฝเทาทีแ่ มจะเย้อื งยองยกยา งลงเหยยี บดิน แกผูอ ื่น
3. เจา มเิ คยไดความยากยา งเทา ลงเหยยี บดิน 3 มัจฉริยธรรม ในทางพระพทุ ธศาสนา หมายถงึ ความตระหน่ี หรือความหวง
4. พระสุรเสยี งเยอื กเยน็ ระยอทุกอกสตั ว 5 ประการ ไดแ ก อาวาสมจั ฉรยิ ะ ตระหนท่ี อี่ ยู กลุ มจั ฉรยิ ะ ตระหนส่ี กลุ ลาภมจั ฉรยิ ะ
วิเคราะหคาํ ตอบ ขอทีม่ ีการเลน เสียงสัมผัสอักษร คือ ขอ 1. ตระหน่ลี าภ วณั ณมจั ฉริยะ ตระหนี่วรรณะ และธัมมมจั ฉริยะ ตระหน่ธี รรม
รอ น-รน, หยดุ -หยอ น-อยา ง ขอ 2. เย้อื ง-ยอง-ยก-ยาง-เหยียบ
ขอ 3. ได- ดนิ , ยาก-ยาง-เหยยี บ และขอ 4. สุ(ร)-เสียง-สัตว, มมุ IT

เยือก-เยน็ -(ระ)ยอ ดังนั้นตอบขอ 2. ศึกษาเก่ียวกับทานพาหริ กะ หรอื ทานภายนอกเพ่ิมเตมิ ไดที่
http://www.mcu.ac.th/thesis_file/254902.pdf
29
คูมือครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Expand

ขยายความเขา ใจ

นักเรียนสรปุ เน้ือเรือ่ งมหาเวสสนั ดรชาดก ท้าวเธอก็ชื่นบานบริสุทธิ์ด้วยปิยบุตรม่ิงมกุฎทานอันพิเศษ ฝ่ายฝูงอมรเทเวศทุกวิมานมาศ
กณั ฑมัทรี โดยเรียงลาํ ดบั เหตุการณเ ปนขอ ๆ มนเทียรทุกหมู่ไม้ก็ยิ้มแย้มพระโอษฐ์ตบพระหัตถ์อยู่ฉาดฉาน ร้องสาธุการสรรเสริญเจริญ
ทานบารมี ทั้งสมเด็จอมรินทร์เจ้าฟ้าสุราลัย อันเป็นใหญ่ในดาวดึงส์สวรรค์ก็มาโปรยปรายทิพย
(แนวตอบ สรปุ เนอ้ื เรอ่ื งเรยี งลําดบั เหตกุ ารณ บุปผากรอง ท้ังพวงแก้วและพวงทองก็โรยร่วงจากกลีบเมฆกระท�าสักการบูชาแก่สมเด็จนาง
เปน ขอ ๆ ไดด งั น้ี พระยามัทรี ท้าวเธอทรงกระท�าอนุโมทนาทาน เวสฺสนฺตรสฺส แห่งพระเวสสันดรราชฤ ๅษีผู้เป็น
พระภัสดา อิติ เมาะ อิมนิ า ปกาเรน ด้วยประการดงั นี้แล้วแล
• เทวดาจาํ แลงมาขวางทางพระนางมทั รี
• พระนางมทั รีขอหนทาง มทฺทปิ พฺพํ นิฏฺ ิตํ
• พระนางมัทรีกลบั พระอาศรม ประดบั ดว้ ยพระคาถา ๙๐ พระคาถา
• พระนางมทั รีทูลถามพระเวสสันดร
• พระเวสสนั ดรตัดพอพระนางมัทรี สรรพส์ าระ
• พระนางมทั รที ลู ตอบ
• พระนางมทั รคี รวญที่ตน หวา
• พระนางมทั รีสลบ
• พระเวสสนั ดรชว ยใหพระนางมัทรีฟน
• พระนางมทั รฟี น
• พระเวสสนั ดรเลา ความจริง
• พระนางมทั รอี นุโมทนาทาน)

ตรวจสอบผล Evaluate ชำดกม ี ๒ ประเภท คือ ประเภทของชาดก

1. นักเรียนสรปุ เร่อื งยอ มหาเวสสันดรชาดก ๑. นิบำตชำดก เป็นชำดกที่มำจำกพุทธวจนะ
กัณฑมัทรีได
มีปรำกฏในพระไตรปิฎก ๕๔๗ เร่ือง คนทั่วไปนิยม
2. นกั เรยี นยกบทประพนั ธท ีม่ ีลักษณะการเลน คํา
จากมหาเวสสันดรชาดกกณั ฑอืน่ ได เรียกว่ำ พระเจ้ำ ๕๐๐ ชำติ พระพุทธเจ้ำจะทรงเล่ำ

นิบำตชำดกก็ต่อเม่ือมีผู้อำรำธนำ คือ มีผู้มำขอร้องให้

ทรงเลำ่ นั่นเอง

ทศชำติหรือสิบพระชำติของพระโพธิสัตว์

กอ่ นจะประสตู เิ ปน็ พระพทุ ธเจำ้ ซงึ่ รวมถงึ มหำเวสสนั ดร ภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ชำดกทน่ี บั เปน็ นบิ ำตชำดกดว้ ย เพรำะพระสำวกทงั้ หลำย ในวัดอรณุ ราชวรารามราชวรมหาวิหาร

เปน็ ผอู้ ำรำธนำใหพ้ ระพทุ ธเจำ้ ทรงเลำ่ ในเหตกุ ำรณเ์ มอ่ื ครงั้ เรอ่ื งมโหสถชาดก ซึ่งเป็นนิบาตชาดกเรือ่ งหน่งึ

ฝนโบกขรพรรษตกดว้ ยพทุ ธบำรมที วี่ ดั นโิ ครธำรำม

๒. ปัญญำสชำดก เป็นชำดกที่ไม่ได้ปรำกฏในพระไตรปิฎก ไม่ใช่ชำดกท่ีมำจำกพุทธวจนะ

แต่เป็นชำดกท่ีแต่งข้ึนโดยภิกษุชำวเชียงใหม่ ซ่ึงน�ำเร่ืองมำจำกนิทำนสุภำษิตหรือนิทำนอิงธรรมะท่ีเล่ำ

ตอ่ กันมำ รวบรวมแต่งไว้เพอ่ื เป็นข้อคดิ สอนใจผคู้ น

30

เบศรู ณรากษารฐกจิ พอเพียง ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
ขอ ใดแสดงใหเหน็ ภาพเคลอื่ นไหว
จากเรื่องมหาเวสสนั ดรชาดกปรากฏความเชือ่ ทว่ี า หากผูใดบูชากณั ฑมัทรี 1. นางจงึ เซซังเขา ไปสพู ระอาศรมบงั คมบาทพระภสั ดา ประหนึง่ วา
เกดิ ในโลกหนา จะเปน ผมู ่งั ค่ังสมบรู ณด ว ยทรัพยส มบตั ิ นักเรียนคิดวา การท่ีจะเปน ชีวาจะวางวายทําลายลว ง
ผมู งั่ คงั่ รา่ํ รวย หรอื มที รพั ยส นิ เพยี งพอทจี่ ะสามารถเลยี้ งดตู นเองไดอ ยา งไมเ ดอื ดรอ นนนั้ 2. พลางพิศดูผลาผลในกลางไพรทัง้ นางเคยไดอาศัยทรงสอย
ตองปฏิบตั ติ นอยางไร อยูเ ปน นิตยผดิ สังเกต
3. รัศมพี ระจนั ทรก็มวั หมองเหมอื นหนงึ่ จะเศราโศกแสนวปิ โยค
ใหน ักเรยี นรวมกันอภปิ รายและสรุปแนวคดิ ในการดําเนนิ ชวี ิตแบบพอเพยี งวา เมอื่ ยามปจ จุสมยั
ควรเปนอยางไร 4. ทั้งเวลากเ็ ย็นลงเยน็ ลงไรๆ จะคํา่ แลวยังไมเห็นหนา ลกู แกว
ของแมเ ลย
30 คูมอื ครู วิเคราะหคาํ ตอบ ขอทีแ่ สดงใหเห็นภาพการเคล่ือนไหว คือ
นางจงึ เซซังเขาไปสพู ระอาศรมบังคมบาทพระภัสดา ประหน่ึงวา
ชวี าจะวางวายทาํ ลายลว ง มีคําทแี่ สดงกิริยาอาการของการ
เคลือ่ นไหววา “เซซงั ” ตอบขอ 1.

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain
กระตนุ ความสนใจ Engage

๖. คำ�ศัพท์ ความหมาย ครยู กคําศัพทจ ากบทเรยี นมา 4 - 5 คาํ แลวให
อภินิหาร บุญอนั ยิง่ ทท่ี า� ไว้ นกั เรยี นอธิบายความหมายของคําศพั ททคี่ รยู กมา
คา� ศพั ท์ (กเฬวระ) ซากศพ รวมกัน จากนน้ั ครูสรุปความหมายของศัพทคาํ น้นั
กฤดาภินิหาร เสยี งบนั ลอื เสียงสนน่ั หวน่ั ไหว
กเลวระ ชาวสวรรคพ์ วกหนึ่ง มีความชา� นาญในวชิ าขับร้อง ดนตรี สาํ รวจคน หา Explore
กมั ปนาท ม้าตระกลู ทีด่ ี ก�าเนิดด ี ผ้มู ีความร้รู วดเรว็
คนธรรพ์ หญิงสาวรุ่น นักเรยี นศกึ ษาคาํ ศพั ทเ พิ่มเตมิ โดยเฉพาะคาํ ท่ี
ชาติอาชาไนย สวรรคช์ ั้นท่ ี ๒ ซง่ึ มพี ระอินทร์เป็นใหญ่ เปน ภาษาบาลแี ละคน หาความหมายของคาํ ศพั ทน นั้
ดรณุ เรศ ภพทงั้ สาม ได้แก่ กามภพ1 รูปภพ2 และอรปู ภพ3
ดาวดึงส์สวรรค ์ ทานท่ีเปน็ สง่ิ นอกกาย ได้แก ่ เงินทอง สิ่งของเคร่อื งใช้ อธบิ ายความรู Explain
ไตรภพ ดวงอาทิตย์
ทานพาหริ กะ ส�านักของฤๅษีหรอื ผู้บา� เพญ็ พรต โรงท่มี ุงด้วยใบไม้ 1. นกั เรยี นนําเสนอความรเู กีย่ วกบั คําศัพทใ น
ทพิ ากร ลกั ษณะงาม ๕ ประการ คือ ผมงาม ผวิ งาม เนื้องาม ฟันงาม บทเรยี นเพ่ิมเติม เพือ่ ใหเกิดความเขา ใจใน
บรรณศาลา และวัยงาม เนือ้ เรอ่ื ง แนวคิด และจดุ มุงหมายของเรอ่ื ง
เบญจางคจรติ ความจรงิ อนั เปน็ ท่ีสุด ประโยชนอ์ ยา่ งยงิ่ ชอื่ พระอภิธรรมปิฎก โดยคําศพั ทท นี่ กั เรียนนําเสนอหนา ชนั้ ควรเปน
ภายหลงั ท่ีหลงั ชอื่ ทิศ (ตะวนั ตก) คําศัพททม่ี ักปรากฏในวรรณกรรมศาสนา
ปรมตั ถ (ปารชิ าตก์) ตน้ ไม้ในสวนของพระอนิ ทร์ที่สวรรค์ชั้นดาวดงึ ส์ เรอ่ื งอ่ืน เชน คาํ วา ไตรภพ คนธรรพ ดาวดงึ ส
ปัจฉมิ พระพรหมผูเ้ ปน็ ใหญ่ สวรรค เปน ตน
ปาริชาต สตั วร์ ้าย สตั วท์ ก่ี ินสัตว์อนื่ เปน็ อาหาร
พรหมเมศร์ รอ้ งไห ้ คร�่าครวญ บน่ เพอ้ ร่�าไร ร�าพนั 2. นักเรยี นคดั เลือกคําศพั ทจากบทเรยี นมา
พาฬมฤคา อยางนอ ย 5 คาํ ใหน ักเรียนบอกความหมาย
พลิ าป 31 และระบุที่มาวามาจากวรรณกรรมเรอื่ งใด

ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT เกร็ดแนะครู

ขอใดกลาวถงึ ส่งิ ของเคร่อื งใช จากทนี่ ักเรียนอา นเนือ้ เรอื่ งมหาเวสสันดรชาดก ครจู ดั กจิ กรรมใหนักเรยี นได
1. ถา จะคลี่คลายขยายมรคากไ็ ดส ิบหา โยชนโดยนยิ ม ตอยอดทักษะการใชภาษาจากคาํ ศพั ทในบทเรยี น โดยใหน ักเรยี นอา นออกเสียงให
2. แสรกคานบันดาลพลกิ พลดั ลงจากพระองั สา ถูกตอ งตามหลกั เกณฑการอานคําท่ีเปนภาษาบาลี นักเรียนฝก แยกคาํ ศัพทท ่ีเปน
3. โบกขรณีตาํ แหนง นอกพระอาวาส คาํ สมาสควบคูไปกับการฝก อา น
4. บษุ บกกเ็ บิกบานผกากร
วิเคราะหค าํ ตอบ ขอ 1. กลา วถึง ระยะทางทีไ่ กล 15 โยชน นักเรยี นควรรู
ขอ 2. กลา วถงึ สาแหรกท่ีหลุดลงจากบา ขอ 3. สระโบกขรณอี ยู
ดานนอกของทบี่ ําเพญ็ บารมีหรอื ก็คือทีพ่ กั ของพระเวสสันดร และ 1 กามภพ หรอื กามภูมิ เปน ดินแดนของสรรพสตั วทย่ี งั มกี ามตัณหา
ขอ 4. ดอกไมต างกบ็ าน ขอ ท่กี ลา วถงึ ส่งิ ของเครือ่ งใช คือ ขอ 2. 2 รูปภพ ภพสาํ หรบั สัตวท ม่ี ีจติ เหนือไปจากการมีความสุขในกามและสมาธิท่ีมี
“แสรกคานบันดาลพลกิ พลัดลงจากพระองั สา” กลาวถึงแสรกและ อารมณเปนรปู ธรรม พอใจในสมาธทิ ไี่ มม อี ารมณเ ปน รปู ธรรม
คาน “แสรก” หรอื “สาแหรก” เปน เครือ่ งใสข องคลายกระจาด 3 อรูปภพ ภพสําหรบั สัตวท มี่ จี ติ ใจไมเกีย่ วของกับกาม แตย งั พอใจในความสขุ ท่ี
ปกติทําจากหวายโยง 4 เสน ตอนบนจับเปน หสู าํ หรบั สอดคานหาบ เกิดจากสมาธิที่มอี ารมณเ ปน รูปธรรม ถอื เปนจติ ทสี่ ูงกวา จติ ท่ีเกยี่ วขอ งกบั กาม

ตอบขอ 2. คมู ือครู 31

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Explore Explain Expand Evaluate
Engage Explain

อธบิ ายความรู

จากการศึกษาภาษาตา งประเทศในภาษาไทย คา� ศพั ท์ ความหมาย
โดยเฉพาะคําบาลใี นภาษาไทย นักเรยี นอธิบาย พูนเทวษ ความเศรา้ โศกท่ีมากมาย
อิทธพิ ลของภาษาบาลใี นภาษาไทย โพธสิ มภาร บญุ บารมีของพระมหากษัตริย์
มหาบรุ ุษ1 บรุ ษุ ผูย้ ิง่ ใหญ่ ในทีน่ ้หี มายถงึ พระพุทธเจา้
(แนวตอบ อทิ ธพิ ลของภาษาบาลีในภาษาไทย มจั ฉรยิ ะ ความตระหน่ี
เกดิ จากการเผยแผพ ระพทุ ธศาสนา จงึ มกี ารใช ลาวณั ย์ ความงาม ความน่ารัก
คาํ ศัพทท ่มี าจากภาษาบาลีในภาษาไทยจาํ นวนมาก วายนม หย่านม อดนม หยุดกนิ นมแม ่ (ใชก้ ับเดก็ )
และไทยยมื วิธีสรางคําจากภาษาบาลี การสรา ง วทิ ยาธร ผมู้ ีวชิ ากายสิทธ์ิ เทพบตุ รพวกหน่ึงมีหนา้ ท่บี รรเลงดนตรี
คาํ ดวยวธิ ีสมาส ซง่ึ มที ้งั ที่มแี ละไมมีสนธิ) วสิ ญั ญภี าพ สลบ หมดความรู้สกึ ส้นิ สต ิ อาการที่ไมร่ ้สู กึ ตัว
สมปฤๅดี (สม-ปะ-รือ-ดี) ความรู้สกึ ตัว
ขยายความเขา ใจ Expand สรุ าลัย ที่อยูข่ องเทวดา สวรรค์
เสาวนีย์ ค�าสง่ั ของพระราชิน ี ในทน่ี ้หี มายถงึ คา� พูดของพระนางมัทรี
นกั เรยี นสามารถยกตัวอยา งการใชค ําศพั ทใ น โสมนัส ความเบกิ บาน ความสขุ ใจ ความปลาบปลื้ม
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑม ทั รีทีม่ กี ารสรางคาํ อชั ฌตั ิกทาน ทานทเ่ี ป็นสง่ิ ภายในตวั ไดแ้ ก ่ เลือดเนอื้ อวัยวะ
แบบสมาสอยางมีสนธแิ ละไมมสี นธิ อัสนี สายฟา้ หมายถึง ฟ้าผา่
อาวาส วัด ผูค้ รอบครอง
(แนวตอบ ตัวอยา งการสรา งคําศัพทแบบสมาส อินทรยี ์ ร่างกายและจิตใจ
ในเรื่องมหาเวสสันดรชาดก กัณฑม ทั รี อุฏฐาการ ลกุ ขนึ้

• การสรางคําโดยวิธีสมาสอยา งมสี นธิ เชน
กฤษดาภินิหาร = กฤษดา อภนิ หิ าร

• การสรางคาํ โดยวิธีสมาสอยางไมมีสนธิ เชน
พนู เทวษ โพธสิ มภาร มหาบุรษุ )

ตรวจสอบผล Evaluate

1. นกั เรยี นรวบรวมและบอกความหมายของคาํ ศพั ท
พรอมระบชุ ือ่ วรรณกรรรม

2. นกั เรียนยกตัวอยางคาํ ศัพทท่ีเปนคาํ สมาสได

32

เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
“เพยี งพระสันดานจะขาดจะดับสญู ”
ครแู นะเรอื่ งการเรยี นรคู าํ ราชาศพั ทว า จะชว ยใหน กั เรยี นเขา ถงึ รสวรรณคดี เพราะ ขอใดคอื ความหมายของคําทขี่ ดี เสน ใต
ในวรรณคดีเรอ่ื งมหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑม ทั รมี ีคําราชาศัพทป นอยูมาก เชน เสวย 1. ชีวิต
พระชนนี ตรสั พระสรวล พระเศยี ร พระเสาวนยี  พระเพลา พระราชบญั ชา พระอสั สชุ ล 2. อปุ นสิ ัย
เปน ตน ทงั้ นกี้ ารใชคาํ ราชาศพั ทเ พอ่ื ใหเ หมาะสมกบั เรื่องราวของตวั ละครในเรอ่ื งที่ 3. รา งกาย
เปน กษัตรยิ  นกั เรยี นหาคําราชาศพั ทจากเร่ืองนี้เพ่มิ เตมิ จัดแยกเปนหมวดหมู บนั ทึก 4. นิสยั ท่ตี ิดตวั มาแตเกิด
ลงสมดุ วเิ คราะหคําตอบ ความหมายของคาํ วา “พระสันดาน” โดยความ
หมายแทจริงแลว หมายถึง นิสยั ที่ติดตัวมาต้ังแตเกิด อาจดีหรอื
นักเรียนควรรู ไมดี แตมักใชไปในทางไมด ี แตเมอ่ื พิจารณาจากบริบทหรอื คําที่
แวดลอ มของขอความขา งตน คํานี้ควรมีความหมายวา “ชีวติ ”
1 มหาบุรษุ บรุ ุษท่สี มบูรณดว ยลกั ษณะ 32 ประการ ยอ มมคี ติ 2 อยาง คอื ซ่งึ หมายถงึ รา งกายและจติ วญิ ญาณ มีความเหมาะสมท่สี ดุ คอื
1. ถา อยคู รองเรอื นจะไดเ ปน พระเจา จกั รพรรดิผทู รงธรรมเ ปนใหญในแผนดนิ ชวี ติ จะดับสญู หรือตาย ตอบขอ 1.
2. ถา ออกบวชจะไดเ ปน พระอรหนั ตส มั มาสมั พทุ ธเจา ลกั ษณะมหาบรุ ษุ 32 ประการ
เกดิ จากกรรมดีทพ่ี ระพุทธองคท รงบาํ เพญ็ ส่ังสมไวใ นอดตี ชาตติ างๆ

32 คูม ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain
กระตนุ ความสนใจ Engage

๗. บทวเิ คร�ะห์ ครหู รอื นกั เรยี นนาํ ภาพตวั ละครในมหาเวสสนั ดร-
ชาดกมาใหนกั เรยี นพจิ ารณารวมกัน และเลาเร่อื ง
๗.๑ คณุ คา่ ด้านเน้อื หา จากภาพใหเช่อื มโยงกับเนอ้ื เรอ่ื งท่ีนักเรียนอา นมา

๑) รปู แบบ มหาเวสสันดรชาดก กณั ฑม์ ทั ร ี แตง่ ด้วยค�าประพันธ์ประเภทรา่ ยยาว สาํ รวจคน หา Explore
นา� ดว้ ยคาถาบาลที ่อนหนึ่ง แล้วแต่งเปน็ รา่ ยยาวมีคา� บาลีแทรก เปน็ การใช้รูปแบบค�าประพันธ์ได้
แเหมม1ไ่ ดาะอ้ สยมา่ กงดับียเนิ่ง้ือหาสาระส�าคัญของเรื่องที่จะช่วยให้นักเรียนมีความซาบซ้ึงในความรักของผู้เป็น นักเรยี นศกึ ษาคุณคา ของวรรณคดีไทยเรอื่ ง
มหาเวสสันดรชาดก ทัง้ ดานเนื้อหา วรรณศลิ ป
๒) องคป์ ระกอบของเร่อื ง และสังคม
๒.๑) สาระ เปน็ การกล่าวถึงความรกั ของแมท่ ่มี ีต่อลูกว่า เปน็ ความรกั ท่ียิ่งใหญ่
อธบิ ายความรู Explain
การพลดั พรากจากลูกยอ่ มน�าความทกุ ขโ์ ศกมาส่แู ม่อยา่ งยากจะหาสงิ่ ใดเปรยี บได้
๒.๒) โครงเร่ือง มีการวางโครงเรื่องได้ดี โดยการผูกเรื่องให้เทพบุตร ๓ องค ์ นกั เรยี นแบงกลุม แลว รวมกนั อภปิ รายประเด็น
ตอ ไปน้ี
บนาร�ิ มเพติ ญ็ กาบยตุ เรปทน็ าสนตั บวาร์ รา้ มยมแี ากขพ่ วราางหทมาณงพช์ รชู ะกน2 าเมงมอ่ื ทัพรรมีะนใิ หาเ้งสเดสจ็ดกจ็ ลกบัลอบั ามศารแมลไว้ ดไท้มนัพ่ เบวลสาอทงกพ่ี มุระาเรวกสท็ สรนั งดเศรจรา้ะทโศรกง
เสียพระทัยจนสลบไป ต่อมาภายหลังได้ทรงทราบว่าพระเวสสันดรได้ประทานสองกุมารให้แก่ • การทาํ ทานอันย่ิงใหญค ร้ังสาํ คญั ของ
พราหมณช์ ชู ก พระนางมทั รกี ท็ รงคลายความเศรา้ โศกและเตม็ พระทยั อนโุ มทนาในบตุ รทานบารมที ่ี พระเวสสนั ดรประกอบดวยการบรจิ าค
พระเวสสนั ดรทรงบ�าเพ็ญ สง่ิ ใดบาง
(แนวตอบ ชา งปจ จัยนาค ซง่ึ เปนชา งคูบาน
๒.๓) ตวั ละคร มหาเวสสันดรชาดก กัณฑม์ ัทร ี มตี วั ละครทส่ี �าคัญ ดงั นี้ คูเมือง สองกุมาร คือ พระกณั หาและ
พระเวสสันดร พระชาลี และพระนางมทั รซี ง่ึ พระอินทร
แปลงเปนพราหมณม าทลู ขอพระนางไป)
(๑) มคี ณุ ธรรมสงู เหนอื มนษุ ย ์ ยากทมี่ นษุ ยท์ วั่ ไปจะทา� ได ้ ไดแ้ ก ่ การบรจิ าค
บุตรของตน คือ พระชาลีและพระกัณหา ซึ่งเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ให้เป็นทาน • ทานทพ่ี ระเวสสันดรทาํ เปน การชวยเหลอื
แก่ชชู ก นบั เปน็ การบ�าเพ็ญทานอันยงิ่ ใหญป่ ระการหน่งึ ดังบทประพันธ์ ผูอน่ื อยางไร
(แนวตอบ การใหท านเปน การเสียสละสิ่งของ
...ท้าวเธอจึ่งตรัสประภาษว่าดูกรเจ้ามัทรี อันสองกุมารนี้พ่ีให้เป็นทานแก่พราหมณ์ อนั เปนของตนแกผูอ น่ื ดวยเมตตาจิต ใหเกิด
แต่วันวานนี้แล้ว พระน้องแก้วเจ้าอย่าโศกศัลย์ จงตั้งจิตของเจ้าน้ันให้โสมนัสศรัทธาในทาง ความปติ ปราโมทย เปน แบบอยา งในการ
ประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ าม)
อสอันงกก่อุมกาฤรดนาี้ไภซิรน้กิหค็ างรจทะาไนดบพ้ าบรกมนั ี เลปจ็นฺฉมาัน่ มแมปน่ ุตถฺเตงึ แสชนีวสนตัฺตพาธิ รถัต้านเร3์เาคทรอ่ืั้งสงออลงนงกี้ยาังรมซีชง่ึ ีวพิตรสะืบรไาปชทอาันน

ไปน้นั เรากจ็ ะได้ดว้ ยพระทยั หวงั ทชชฺ า สปปฺ รุ ิโส ทานํ มทั รเี อ่ย อนั อรยิ สตั บรุ ุษเห็นปานดง่ั
ตัวพ่ีฉะนี้ ถึงจะมขี ้าวของสกั เทา่ ใดๆ ทิสฺวา ยาจกมาคเต ถ้าเหน็ ยาจกเขา้ มาใกล้ ไหวว้ อน
ขอไมย่ ่อท้อในทางทาน จนแตช่ ้นั ลูกรักยอดสงสารพี่ยงั ยกใหเ้ ปน็ ทานได้...

33

บรู ณาการเชื่อมสาระ นักเรียนควรรู

ครบู ูรณาการความรูเร่อื งการใหทานกับกลุมสาระการเรียนรู 1 ความรกั ของผเู ปน แม เปน แนวคดิ ของเรอ่ื ง มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม ทั รี
สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม วชิ าพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ อธบิ าย ความรกั ทมี่ คี วามเมตตากรณุ าและหวงใยลกู เปน ความรักท่ปี ระกอบไปดว ยความ
ความหมายของการให “ทาน” อนั เปน แนวคดิ หลกั ของวรรณคดี เสียสละ ปรารถนาใหลูกมีความสขุ หวงั ใหพ น ทกุ ขท งั้ ปวง เชน พระนางมทั รหี ว งใย
เรอ่ื งมหาเวสสนั ดรชาดกวา “ทาน” หมายถงึ การให การใหธ รรมะ สองกมุ ารกลวั จะไดร บั อนั ตราย เปน ตน
เปน ทาน การแบง ปน สง่ิ ทเ่ี ปน วตั ถแุ ละสง่ิ ทไ่ี มใ ชว ตั ถแุ กส รรพสตั ว เพอ่ื 2 พราหมณชชู ก เกดิ ในตระกลู พราหมณซ ง่ึ ถือวา ตนมกี ําเนิดสูงกวา ผูอื่น แตชชู ก
อนเุ คราะห สงเคราะห ตอบแทน และบชู าคณุ ดว ยเจตนาอันบรสิ ุทธ์ิ กย็ ากจนเข็ญใจตองเทีย่ วขอทานเลยี้ งชีพ ชูชกอาศัยอยใู นหมบู านทุนนวฐิ ซึง่ อยตู ดิ
โดยไมหวงั ส่ิงใดตอบแทนนัน่ เอง รวมถึงการใหอภัยดวย ครูให กบั เมอื งกลงิ คราษฎร ชชู กมีรปู รางหนา ตานา เกลียด ประกอบดวยลักษณะของ
นกั เรียนพิจารณาแนวคดิ เรอื่ งทานตามหลกั ธรรมทางพระพุทธศาสนา บรุ ษุ โทษ 18 ประการ และยงั มนี สิ ยั โลภมาก ตระหนี่ หลงเมยี ซง่ึ กค็ อื นางอมติ ตดา
แลว นาํ มาอธบิ ายลกั ษณะนสิ ยั และเปาหมายการบริจาคทานของ จนยอมเดินทางยากลําบากเพอื่ ไปทลู ขอสองกุมารจากพระเวสสันดรตามความ
พระเวสสนั ดร ตอ งการของนางอมิตตดา
3 สัตพธิ รัตน แกว 7 ประการของพระจกั รพรรดิ ไดแ ก จกั รแกว ชางแกว มาแกว
มณีแกว นางแกว ขนุ คลงั แกว และขุนพลแกว

คมู ือครู 33

กระตุนความสนใจ สํารวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Expand Evaluate
Explain Explain
อธบิ ายความรู

1. นกั เรยี นอธิบายลกั ษณะเดนของตัวละครในเรอ่ื ง ทรงเจ็บพระทัย เพื่อจะ(ไ๒ด) ้คมลีคาวยาคมวเาขม้าโใศจกในเศธรร้ารทม่ีพชารตะกิขุมอางรมทนั้งุษสยอ์ งเหชา่นย ไปกา รเปท็�นาใกหา้พรใรชะ้นจิตางวมิทัทยารี1
มหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑม ัทรี เพอ่ื ใหพ้ ระนางมทั รบี รรเทาความเศรา้ ลง มเิ ชน่ นนั้ พระนางมทั รจี ะทรงโศกเศรา้ จนอาจเปน็ อนั ตราย
• วิเคราะหวา ลักษณะเดน น้นั สงผลตอการ ต่อพระวรกายได้ ดงั บทประพนั ธ์
ดําเนินเร่อื งอยางไร
(แนวตอบ ตวั ละครในเรือ่ งมหาเวสสันดรชาดก ...ส่วนสมเด็จพระยอดม่ิงเยาวมาลย์มัทรี เมื่อได้สดับค�าพระราชสามีบริภาษณานาง
กณั ฑมัทรี มลี ักษณะเดนท่ีสง ผลตอ การดําเนนิ ท่คี วามโศกกเ็ ส่ือมสร่างสงบจิตเพราะเจบ็ ใจ...
เรื่อง ดังน้ี
• พระเวสสนั ดรมีคณุ ธรรมสูงและเขาใจใน พระนางมัทรี
ธรรมชาตขิ องมนษุ ย มีความมุงมั่น (๑) มคี วามจงรกั ภกั ดตี อ่ พระสวาม ี ดงั บทประพันธ์
พยายามทีจ่ ะทาํ ใหเปาหมายสําเรจ็ ผล
• พระนางมัทรเี ปนผูเ สียสละและเปน ภรรยา ...ว่ามัทรีน้ีเป็นข้าเก่าแต่ก่อนมาดั่งเงาตามพระบาทาก็เหมือนกัน นอกกว่าน้ันท่ี
ที่ซอ่ื สตั ยตอ สามี มคี วามเปนแมเ ต็มเปย ม แน่นอนคือนางไหนอันสนิทชิดใช้แต่ก่อนกาล ยังจะติดตามพระราชสมภารมาบ้างละหรือ
เลย้ี งดูลูกอยา งดี ความทกุ ขเศรา ของ ได้แต่มัทรีที่แสนดื้อผู้เดียวดอก ไม่รู้จักปลิ้นปลอกพลิกไพล่เอาตัวหนี มัทรีสัตยาสวามิภักดิ์
พระนางมัทรีเกิดจากความรักลูก สงผลตอ รกั ผวั เพียงบดิ าก็ว่าได้ ถงึ จะยากเยน็ เขญ็ ใจก็ตามกรรม...
การดําเนินเรอ่ื ง คอื เมื่อพระนางมทั รหี าลกู
ทัง้ สองไมพ บก็เศราสลด วติ กกงั วลอยาง ดงั บทประพนั ธ์ (๒) เปน็ ยอดกลุ สตร ี ทรงปฏบิ ตั หิ นา้ ทภ่ี รรยาและมารดาไดส้ มบรู ณค์ รบถว้ น
มาก เปน เหตใุ หพ ระเวสสนั ดรใชอบุ ายเพอ่ื
ใหพระนางสงบใจลงได) ...โอพระจอมขวัญของแม่เอ่ย เจ้ามิเคยได้ความยากย่างเท้าลงเหยียบดิน ริ้นก็
มิได้ไต่ไรก็มิได้ตอม เจ้าเคยฟังแต่เสียงพี่เลี้ยงเขาขับกล่อมบ�าเรอด้วยดุริยางค์ ยามบรรทม
2. นกั เรยี นรว มกนั อภิปรายประเดน็ คาํ ถามตอ ไปน้ี ธลุ ลี มกม็ ไิ ดพ้ ดั มาแผว้ พาน แมส่ พู้ ยาบาลบา� รงุ เจ้าแตเ่ ยาวม์ า เจ้ามไิ ด้หา่ งพระมารดาสกั หายใจ
• พระเวสสันดรแกไ ขความทกุ ขเศรา ของพระ โอความเข็ญใจในคร้ังนี้น่ีเหลือขนาด สิ้นสมบัติพลัดญาติยังแต่ตัวต้องไปหามาเล้ียงลูกและ
นางมทั รที ตี่ ดิ ตามหาลกู อยา งไร เพราะเหตใุ ด เลี้ยงผัวทุกเวลา...
(แนวตอบ เมื่อพระเวสสนั ดรทรงเห็นพระนาง
มัทรีเศรา โศกเปนอันมาก จึงหาวิธีตัดความ (๓) มคี วามอดทน ทรงไม่ย่อทอ้ ต่อความยากลา� บาก ดงั บทประพนั ธ์
ทกุ ขโศกดว ยการแกลง กลาวหาพระนางวาคดิ
นอกใจไปคบหากบั ชายอ่นื จงึ ไดก ลบั มาถงึ ...อุตสาหะตระตรากตระตร�าเตร็ดเตร่หาผลาผลไม้ ถึงที่ไหนจะรกเร้ียวก็ซอกซอน
อาศรมในเวลามดื คา่ํ ) อุตส่าห์เท่ียวไม่ถอยหลังจนเน้ือหนังข่วนขาดเป็นร้ิวรอย โลหิตไหลย้อยทุกหย่อมหนาม
อารามจะใคร่ไดผ้ ลาผลไมม้ าปฏบิ ตั ลิ กู บา� รงุ ผวั ถึงกระไรจะคุม้ ตัวกท็ ั้งยากน่าหลากใจ...

34

เกร็ดแนะครู ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
“เดนิ พลางนางก็รบี เก็บผลาผลแตต ามได ใสก ระเชา สาวพระบาท
ตวั ละครในเรอ่ื งมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม ทั รี คอื พระเวสสนั ดรมคี วามเขา ใจใน บทจรดุม เดนิ มาโดยดว น”
ธรรมชาตขิ องมนษุ ยเ ปน อยา งดที รงใชอ บุ ายทท่ี าํ ให “ความโศกกเ็ สอ่ื มสรา งสงบจติ ขอใดไมอ าจอนุมาน ถงึ พระนางมัทรีไดจากขอ ความขางตน
เพราะเจ็บใจ” ครแู นะใหนักเรยี นศึกษาแนวทางการวิจารณวรรณกรรมดวยแนวคดิ 1. ทรงทําหนา ท่เี ปน อยา งดี
ทางจติ วทิ ยาเพอื่ อธิบายการกระทําของพระเวสสนั ดรที่คลายความโศกดวยความ 2. ทรงลาํ บาก
โกรธ นกั เรียนเขยี นงานวจิ ารณว รรณกรรมท่แี สดงใหเหน็ บทบาทความสาํ คญั ของตวั 3. ทรงหนุ หนั
ละครท่ีมตี อ การดําเนนิ เรอื่ ง ความยาวอยา งนอ ยครึ่งหนากระดาษ 4. ทรงเรง รบี
วิเคราะหค ําตอบ จากบทประพนั ธขา งตน กลาวถึงพระนางมทั รี
นักเรยี นควรรู ท่รี ีบเกบ็ ผลไมใสก ระเชา ซึง่ แสดงใหเหน็ การทําหนา ทขี่ องมารดา
และภรรยาที่จะตองดแู ลเอาใจใสคนในครอบครัว แตก็ทรงเรงรีบ
1 จิตวิทยา เปนแนวคิดทส่ี ามารถนาํ มาศึกษาวรรณคดแี ละวรรณกรรม โดยศึกษา เดนิ เทา ซง่ึ แสดงใหเ หน็ วา ทรงมคี วามลาํ บาก แตท ไ่ี มอ าจอนมุ านได
ลกั ษณะนสิ ยั และการกระทาํ ของตวั ละครในเรือ่ ง ท้ังนีถ้ อื วา ความดเี ดนของวรรณคดี คอื ทรงหุนหัน ความเรง รีบของพระนางไมอาจสรุปวาพระนาง
อยูท ี่การเปดเผยส่งิ ที่ซอนเรน อยภู ายในจติ สาํ นกึ หนุ หัน ซงึ่ หมายถงึ ไมย ับยง้ั ใจ ตอบขอ 3.

34 คูมือครู

กระตุน ความสนใจ สาํ รวจคน หา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Evaluate
Explain Expand Explain

อธบิ ายความรู

(๔) มจี ิตกุศล เชน่ เดยี วกบั พระเวสสนั ดร จงึ ทรงอนโุ มทนากับการบ�าเพ็ญ นกั เรียนคิดวา มหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑม ทั รี
บุตรทานของพระเวสสันดร ดังบทประพนั ธ์ ที่นําเสนอดว ยคําประพันธประเภทรา ยมีความ
เหมาะสมกับเนือ้ หาอยา งไร จงอธบิ าย
1
(แนวตอบ บทประพันธท ี่แตง เปนรา ยโดยมี
...ส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรบวรราชธิดามหาสมมุติวงศ์วิสุทธิสืบสันดานมา คาถาบาลนี ํา ชวยใหผ อู านเกิดความซาบซงึ้ ใน
วราโรหา ทรงพระพักตร์ผิวผ่องดุจเนื้อทองไม่เทียมสี ยสสฺสินี มีพระเกียรติยศอันโอฬาร การพรรณนาอารมณ ความรสู กึ ของตัวละคร
ล้�าเลิศวิไลลักษณ์ยอดกษัตริย์ อันทรงพระศรัทธาโสมนัสนบน้ิวประนมน้อมพระเศียร โดยอารมณท ่เี ห็นไดช ดั ที่สดุ คือ สัลลาปงคพิสัย
เคารพทาน ท้าวเธอกช็ ่ืนบานบรสิ ุทธดิ์ ้วยปยิ บุตรม่งิ มกุฎทานอนั พเิ ศษ... หรือความเศรา โศก เสยี ใจ และพโิ รธวาทงั ซึง่ เปน
การแสดงอารมณเกรย้ี วโกรธ ไมพอใจ เปนตอนท่ี
โดยผแู้ ตง่ บรรยายฉ๒า.๔ก)แ ฉละาบกรแรลยะาบกรารศย2ไาดกส้ ามศจ ริงฉสาอกดเปคล็นอ้ ปง่ากบับรเิเนวื้อณเรทอ่ื ่ีตงั้ง ดองัาบศทรมปขระอพงนัพธร์ะเวสสันดร พระเวสสนั ดรแสรงตอ วา พระนางมัทรี การแตง
ดว ยรา ยทําใหการดําเนนิ เรือ่ งใสร ายละเอยี ดตา งๆ
...กระจ่างแจ้งด้วยแสงพระจันทร์ส่องสว่างพื้นอัมพรประเทศวิถี นางเสด็จจรลีไป ไดดี ทั้งฉากและบรรยากาศ พฤตกิ รรมของตวั
หยุดยืนในภาคพ้ืนปริมณฑลใต้ต้นหว้า จ่ึงตรัสว่า อิเม เต ชมฺพุกา รุกฺขา ควรจะสงสาร ละคร ลว นทาํ ใหเห็นภาพชัดเจน)
เอ่ยด้วยต้นหว้าใหญ่ใกลอ้ าราม งามดว้ ยก่ิงกา้ นประกวดกนั ใบชอ่มุ ประชุมช่อเปน็ ฉตั รช้นั ดั่ง
ฉัตรทอง แสงพระจันทร์ดั้นส่องต้องน้�าค้างที่ขังให้ไหลลงหยดย้อย เหมือนหน่ึงน�้าพลอย ขยายความเขา ใจ Expand
พร้อยๆ อยูพ่ รายๆ ต้องกบั แสงกรวดทรายทใ่ี ตต้ ้นอร่ามวามวาวดเู ปน็ วนวงแวว ดัง่ บคุ คลเอา
แก้วมาระแนงแกล้งมาโปรยโรยรอบปริมณฑลก็เหมือนกัน งามด่ังไม้ปาริชาตในเมืองสวรรค์ หากนกั เรียนเปน พระเวสสนั ดร นกั เรยี นคดิ วา
มาปลกู ไว้... มวี ธิ กี ารใดนอกจากการแสรง ตดั พอ หงึ หวงทจ่ี ะชว ย
คลายความทกุ ขโ ศกของพระนางมทั รไี ด ใหน กั เรยี น
๒.๕) กลวธิ กี ารแตง่ มหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม์ ทั ร ี แตง่ ดว้ ยคา� ประพนั ธป์ ระเภท เสนอวิธกี ารแกไ ขสถานการณดงั กลาว
ร่ายยาวที่มีคาถาบาลีน�า เป็นตอนท่ีว่าด้วยพระนางมัทรีเสด็จเข้าป่าหาผลไม้ เม่ือเสด็จกลับมา
ไมพ่ บพระกมุ ารจงึ ออกตาม ซงึ่ ในกณั ฑม์ ทั รนี ้ี ผแู้ ตง่ เนน้ ใหผ้ อู้ า่ นเกดิ ความซาบซงึ้ 3ในการพรรณนา (แนวตอบ เม่ือพระนางมทั รีมาถึงอาศรม
ความรักขอ4งแมท่ มี่ ีตอ่ ลูก ลลี าของค�าประพนั ธท์ ่ีเดน่ ชดั ท่สี ุด คอื สัลลาปงั คพิสัย รองลงมา คอื พระเวสสันดรอาจจะกลาวทวนถามถึงความต้งั ใจ
พิโรธวาทัง ซึ่งปรากฏในตอนที่พระเวสสันดรทรงเห็นพระนางมัทรีทรงเศร้าโศกเสียพระทัยมาก เมอ่ื แรกเรมิ่ ออกจากเมืองมาอยูปา ยาํ้ ถึงเปา หมาย
จึงทรงคดิ หาวธิ ตี ดั ความเศรา้ โศก ดว้ ยการตรสั บรภิ าษพระนางมทั รวี ่า คิดนอกใจไปคบกับชายอ่ืน ท่พี ระนางมัทรเี ห็นดวยและเลือกท่ีจะรวมตดิ ตาม
ทา� ใหพ้ ระนางมทั รที รงเจบ็ พระทยั และตดั พอ้ ตอ่ วา่ พระเวสสนั ดรกอ่ นทพ่ี ระนางจะเสดจ็ ออกตามหา ชว ยเหลอื สง เสริม พระเวสสนั ดรกลา วจนแนใจ
พระโอรส พระธิดาด้วยพระวรกายที่อิดโรยจนสลบไป ตอนนี้เป็นช่วงท่ีสะเทือนอารมณ์และ ในความมุงหมายอยา งเดียวกันในเร่อื งการใหท าน
บบี คน้ั จติ ใจมาก สง่ ผลใหผ้ อู้ า่ นเกดิ ความรสู้ กึ สงสารและเหน็ ใจพระนางมทั รที ต่ี อ้ งสญู เสยี พระโอรส แลว จงึ แจงเรือ่ งการใหทานลกู ทั้งสองแกพ ราหมณ
พระธิดาไป แตเ่ มื่อทรงทราบความจรงิ พระนางก็ทรงเขา้ ใจ คลายเศร้า และอนุโมทนาทานบารมี ชชู กใหพ ระนางมทั รีรู)
กบั พระเวสสนั ดรดว้ ย นบั วา่ ผแู้ ตง่ ใชก้ ลวธิ ใี นการนา� เสนอไดน้ า่ สนใจและสรา้ งอารมณส์ ะเทอื นใจไดด้ ี

35

กจิ กรรมสรา งเสรมิ นกั เรียนควรรู

นกั เรยี นอธบิ ายความรูเกย่ี วกับรสวรรณคดี ซ่ึงไดแก เสาวรจนี 1 สืบสันดาน เปนการสบื เชื้อสายมาโดยตรง คาํ สุภาพใชวา สืบสกุล สบื สาย
นารีปราโมทย พโิ รธวาทงั สลั ลาปงคพิสยั จัดทําเปนใบงานสง ครู โลหิต ซงึ่ มคี วามหมายในทศิ ทางเดยี วกนั
2 ฉากและบรรยากาศ การใชถ อ ยคําพรรณนาฉากและภมู ิประเทศรอบบรเิ วณ
กิจกรรมทา ทาย อาศรม กวีใชถ อ ยคาํ พรรณนากระทบอารมณผูอานใหเ กิดความวงั เวง หวาดหวั่น
ไปกับตวั ละครไดด ี
นกั เรยี นยกเนอ้ื ความจากเรอ่ื งมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม ทั รี 3 สลั ลาปงคพสิ ยั บทครา่ํ ครวญ ราํ พนั เศรา โศก อาลัยอาวรณ
ทแ่ี สดงใหเ หน็ รสวรรณคดแี ตล ะรส ซง่ึ ไดแ ก เสาวรจนี นารปี ราโมทย 4 พโิ รธวาทงั บทแสดงอารมณโ กรธ เกร้ยี วกราด
พิโรธวาทงั สลั ลาปงคพสิ ัย จัดทําเปน ใบงานสง ครู
มมุ IT

ศึกษาเกี่ยวกบั บทวเิ คราะหค ณุ คาดานตา งๆ ของเร่ืองมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑ
มทั รเี พิม่ เติม ไดที่ http://www.mwit.ac.th/~saktong/learn5/64.pdf
คูมือครู 35

กระตุนความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Expand Evaluate
Explain
อธบิ ายความรู

เรอ่ื งมหาเวสสันดรชาดก กณั ฑม ทั รี เปน ๗.๒ คณุ ค่าดา้ นวรรณศิลป์
วรรณคดที ่มี ีความโดดเดนทางวรรณศิลป กวีมคี วาม
สามารถในการสรรคาํ ชวยในการถายทอดความ ๑) การสรรค�า ในบทประพันธ์น้ ี ผูแ้ ตง่ ได้เลอื กใชถ้ อ้ ยค�าท่สี ่อื ความคดิ ได ้ ดังนี้
รูส กึ ใหเ กดิ อารมณสะเทอื นใจ นกั เรียนจงอธบิ าย ๑.๑) การใช้ถ้อยค�าให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ การใช้ถ้อยค�าให้เกิดอารมณ์
ลักษณะการใชถอยคําทที่ าํ ใหเกิดความรูสกึ ดงั กลา ว
ความรู้สึกในมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรีน้ัน ผู้แต่งเลือกใช้ถ้อยค�าได้เหมาะสมกับอารมณ์ที่
(แนวตอบ กวใี ชถอ ยคาํ รําพงึ รําพนั เม่อื ครัง้ ที่ ต้องการจะถ่ายทอด ดังตวั อย่างตอ่ ไปน้ี
พระนางมัทรีคร่ําครวญหาลกู ท้งั สอง การใชถ อยคาํ
สํานวนเชิงตัดพอ ท้งั ตอนที่พระเวสสนั ดรแสรงตอวา (๑)  การใช้ถ้อยค�าร�าพึงร�าพัน เป็นการร�าพัน บรรยายผ่านตัวละครที่ให้
พระนางมทั รี และตอนทพ่ี ระนางมัทรีกลาวตอบ อารมณ์ ความสะเทือนใจและตรงใจผู้เป็นแม่ในชีวิตจริงในทุกยุคทุกสมัย เป็นการเพิ่มความรัก
พระเวสสันดร นอกจากนีเ้ ม่ือพระเวสสนั ดรแสรง ความผูกพันให้ผู้อ่านและผ้ฟู งั ท่เี ปน็ แม่และลูกไดอ้ ย่างดียิ่ง ดังบทประพนั ธ์
ตัดพอ ตอ วาก็ใชถอ ยคาํ แสดงความหึงหวงให
พระนางมัทรเี จบ็ ใจจนลมื เร่ืองลูกไปช่ัวขณะ การใช ...เม่ือเช้าแม่จะเข้าไปสู่ป่า พ่อชาลีแม่กัณหายังทูลสั่ง แม่ยังกลับหลังมาโลมลูบจูบ
คาํ ซ้ําวา “สดุ ” เพอื่ แสดงใหเห็นความทุกขหมดจิต กระหม่อมจอมเกล้าทั้งสองรา กลิ่นยังจับนาสาอยู่รวยร่ืน...ใครจะกอดพระศอเสวยนมผทม
หมดใจของพระนางมทั รี) ด้วยแมเ่ ล่า ยามเม่ือแม่จะเขา้ ท่บี รรจถรณ์ เจา้ เคยเคยี งเรยี งหมอนนอนแนบข้างทกุ ราตรี แต่น้ี
แมจ่ ะกล่อมใครให้นทิ รา...

ขยายความเขา ใจ (๒) การใช้ถอ้ ยคา� ส�านวนเชงิ ตัดพอ้ ทา� ใหเ้ กิดอารมณ์สงสาร เวทนา และ
Expand บบี คนั้ จติ ใจผู้อ่าน ผฟู้ ังอยา่ งยิ่ง ดังบทประพันธ์
1
นักเรียนรว มกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ...อกของใครจะอาภัพยับพิกลเหมือนอกของมัทรีไม่มีเนตร น่าท่ีจะสงสารสังเวช
ความเขา ใจทางดา นวรรณศิลป โปรดปรานีวา่ มทั รนี ้เี ปน็ เพื่อนยากอยู่จรงิ ๆ ช่างค่อนตงิ ปรภิ าษณาไดล้ งคอไม่คดิ เลย พระคุณ
เอ่ยถึงพระองค์จะสงสัย ก็น�้าใจของมัทรีน้ีกตเวทีเป็นไม้เท้าก้าวเข้าสู่ท่ีทางทดแทน ราม�
• บทตดั พอ ตอวา เปน ตอนทีม่ ีความโดดเดนใน สตี าวนุพฺพตา อุปมาแมน้ เหมอื นสีดาอันภกั ดีตอ่ สามรี ามบัณฑติ ปานประหน่งึ วา่ ศษิ ยก์ บั
การใชถอ ยคาํ อยา งไร อาจารย์ พระคณุ เอย่ เกลา้ กระหมอ่ มฉานทา� ผดิ แตเ่ พยี งนเ้ี พราะวา่ ลว่ งราตรจี ง่ึ มโี ทษ ขอพระองค์
(แนวตอบ บทตดั พอ ตอ วา เปน บททม่ี คี วามสาํ คญั จงทรงพระกรุณาโปรดซ่งึ โทษานุโทษกระหมอ่ มฉันมัทรีแต่ครง้ั เดยี วนเี้ ถดิ
ตอ เรือ่ งมาก เปน บทท่กี ระตนุ ใหมกี ารดาํ เนิน
เร่ืองไปสูเหตกุ ารณต างๆ สามารถรับรแู ละ (๓) การใช้ถ้อยค�าแสดงอารมณ์หึงหวงให้เจ็บแค้นเพ่ือดับความโศกเศร้า 
เขา ใจอารมณ ความรสู ึกของตวั ละคร รวมไป ดว้ ยสา� นวนกระทบกระแทกอารมณใ์ หป้ วดร้าวใจ ดังบทประพนั ธ์
ถึงเขาใจในพฤติกรรมของตวั ละครทมี่ ีความ
ทุกขโศกอยา งยิ่ง) ...จ�าจะเอาโวหารการหึงเข้ามาหักโศกให้เส่ือมลง จ่ึงเอื้อนโองการตรัสประภาษว่า
นนุ มทฺทิ ดูกรนางนาฏพระน้องรัก ภทฺเท เจ้าผู้มีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนหนึ่งเอาน้�าทอง
เข้ามาทาบทับประเทืองผิว ราวกะว่าจะลอยลิ่วเลื่อนลงจากฟ้า ใครได้เห็นเป็นขวัญตา
เต็มหลงละลายทุกข์ปลุกเปลื้องอารมณ์ชายให้เชยช่ืน จะน่ังนอนเดินยืนก็ต้องอย่าง

36

เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEิดT
“นอกกวา น้ันทแ่ี นน อนคอื นางไหนอันสนิทชดิ ใชแ ตกอ นกาล
ครเู พม่ิ เตมิ ความรใู หน กั เรยี นเกยี่ วกบั การเสวยพระชาตขิ องพระพทุ ธเจา วา เมอื่ ได ยังจะตดิ ตามพระราชสมภารมาบา งละหรือ ไดแตม ทั รีทแี่ สนด้ือ
แสดงอรยิ สัจธรรมทัง้ 4 คอื ทุกข สมุทัย นโิ รธ มรรค พระองคไ ดต รสั เทาความหลัง ผเู ดยี วดอก ไมร ูจกั ปลน้ิ ปลอกพลิกไพลเอาตัวหนี”
ถึงผมู ีนามปรากฏในเรือ่ งมหาเวสสนั ดรชาดกน้นั เมื่อกลบั มาในชาตินี้ คือ ขอใดเปน นาํ้ เสยี งของผูพูด
1. เคียดแคน
• พระเจา กรุงสญชยั คือ พระเจา สทุ โธทนะ 2. เอาจรงิ เอาจัง
• พระนางผุสดี คอื พระนางสิริมหามายา 3. เหน็ อกเห็นใจ
• พระนางมัทรี คอื พระนางยโสธราพมิ พา 4. ประชดประชนั
• พระชาลี คอื พระราหลุ วเิ คราะหคาํ ตอบ จากเนือ้ ความขา งตน ผูพดู คอื พระนาง
• พระกณั หา คอื นางอุบลวรรณาเถรี มัทรีวากลาวตดั พอ โดยมนี ํ้าเสียงประชดประชัน เปนการกลา ว
ตอบโตเพราะเจ็บใจโดยมไิ ดมคี วามเคียดแคน เห็นอกเห็นใจ
นกั เรียนควรรู หรือเอาจริงเอาจงั ในเร่อื งทพ่ี ูด ตอบขอ 4.

1 ไมมีเนตร ในท่ีนี้หมายถึง ไมมใี ครเลยจะเหน็ ไดถงึ ความทกุ ขของพระนางมทั รี

36 คูม อื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Evaluate
Expand Expand

ขยายความเขา ใจ

วราโรหา พร้อมดว้ ยเบญจางคจริตรปู จา� เริญโฉมประโลมโลกล่อแหลมวไิ ลลักษณ์ ราชปตุ ตฺ ี 1. นกั เรยี นยกเนอื้ ความตอนทม่ี กี ารใชอ ปุ มาโวหาร
ประกอบไปดว้ ยเชอื้ ศกั ดส์ิ มมตุ วิ งศพ์ งศก์ ษตั ราเออกเ็ มอ่ื เชา้ เจา้ จะเขา้ ปา่ นา่ สงสารปานประหนง่ึ จากนน้ั อภิปรายในประเด็นตอไปน้ี
ว่าจะไปมิได้ ทา� ร้องไห้ฝากลกู มิรู้แล้ว ครั้นคลาดแคล้วเคลอื่ นคลอ้ ยเข้าส่ดู ง ปานประหน่งึ วา่ • การใชอ ปุ มาโวหารในเนอื้ ความที่ยกมานน้ั
จะหลงลมื ลูกสละผัวต่อมืดมวั จง่ึ กลับมา ทา� เปน็ บบี น้�าตาตอี กว่าลูกหาย ใครจะไม่รแู้ ยบคาย ทําใหเ กดิ จินตภาพหรือไม อยางไร
ความคิดหญิง ถ้าแม้นเจ้าอาลัยอยู่ด้วยลูกจริงๆ เหมือนวาจา ก็จะรีบกลับเข้ามาแต่วี่วันไม่ (แนวตอบ ตวั อยางเชน เนอ้ื ความทวี่ า
ทันรอน เออน่ีเจ้าเท่ียวพเนจรนอนตามสนุกใจ ชมนกชมไม้ในไพรวันสารพันท่ีจะมี ท้ังฤๅษี “นางก็เศราสรอ ยสลดพระทัยด่งั เอาเหลก็
สทิ ธ์วิทยาธรคนธรรพ์เทพารักษ์ผู้มีพักตร์อันเจริญ เหน็ แล้วกน็ ่าเพลิดเพลนิ ไมเ่ มนิ ได.้ .. แดงมาแทงใจใหเจบ็ จติ นเี่ หลอื ทน อปุ มา
เหมอื นคนไขห นกั แลว มหิ นาํ ยงั แพทยเ อายา
(๔) การใช้ค�าซ้า� และค�าที่มเี สียงพยัญชนะต้นเหมอื นกัน ดังบทประพนั ธ์ พิษมาวางซํ้าใหเวทนา เห็นชวี านีค้ งจะไม
รอดไปสกั กว่ี นั ” จากเน้อื ความทีย่ กมาทาํ ให
...อกแม่น้ีให้อ่อนหิวสุดละห้อย ท้ังดาวเดือนก็เคลื่อนคล้อยลงลับไม้ สุดที่แม่จะ เหน็ ภาพความเจบ็ ปวดอยา งมากของ
ติดตามเจา้ ไปในยามนี้ ฝงู ลิงค่างบา่ งชะนีทนี่ อนหลับ กก็ ลงิ้ กลบั เกลอื กตวั อยู่ยั้วเยี้ย ทั้งนก พระนางมทั รวี า ยากท่จี ะทนอยไู ด เจบ็ จน
หกก็งัวเงียเหงาเงียบทุกรวงรัง แต่แม่เที่ยวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศทั่วประเทศ จะขาดใจตาย)
ทุกราวป่า สุดสายนัยนาท่ีแม่จะตามไปเล็งแล สุดโสตแล้วที่แม่จะซับทราบฟังส�าเนียง สุด
สรุ เสยี งทแ่ี มจ่ ะรา�่ เรยี กพไิ รรอ้ งสดุ ฝเี ทา้ ทแ่ี มจ่ ะเยอื้ งยอ่ งยกยา่ งลงเหยยี บดนิ กส็ ดุ สน้ิ สดุ ปญั ญา 2. นกั เรยี นยกเนื้อความทแี่ สดงใหเ ห็นการใช
สดุ หาสดุ คน้ เห็นสุดคดิ จะได้พานพบประสบรอยพระลกู น้อยแต่สกั นิดไมม่ เี ลย... อปุ มาโวหารทแ่ี สดงความเศรา โศกของ
พระนางมัทรี โดยยกใหตางจากตวั อยา ง
๒) การใชโ้ วหาร ในบทประพนั ธก์ วไี ดเ้ ลอื กใชส้ ำ� นวนภำษำกอ่ ใหเ้ กดิ จนิ ตภำพ ดงั นี้ ในขอ 1.
๒.๑) การใช้อุปมาโวหารที่แสดงความเศร้าโศกของพระนางมัทรีจนสลบไป (แนวตอบ ตัวอยางเชน “...ท่พี ระลูกเจา เคย
ประพาสแลนเลน ประหลาดแลวแลไมเห็นก็
เปน็ จดุ เดน่ ของกณั ฑม์ ทั รที ที่ ำ� ใหผ้ อู้ ำ่ นเกดิ อำรมณส์ ะเทอื นใจดว้ ยควำมสงสำร กำรใชถ้ อ้ ยคำ� แสดง ใจหาย ดงั่ วา ชีวติ นางจะวางวายลงทนั ท.ี ..”
ควำมสำมำรถของกวใี นด้ำนกำรประพันธ์ได้อยำ่ งเด่นชดั ดังบทประพันธ์ เมื่อพระนางมทั รีมาถงึ ท่พี ักแลวไมเ หน็ สอง
กมุ ารกใ็ จหาย ซึง่ กวใี ชโ วหารอุปมาวา
...ควรจะสงสารเอ่ยด้วยนางแก้วกัลยาณี น้อมพระเกศีลงทูลถามหวังจะติดตาม “ด่ังวา ชีวิตนางจะวางวายลงทันที”)
พระลูกท้ังสองรา กราบถวายบังคมลาลุกเล่ือนเขย้ือนยกพระบาทเยื้องย่าง พระกายนางให้
เสียวส่ันหว่ันไหวไปทั้งองค์ ดุจชายธงอันต้องก�าลังลมอยู่ลิ่วๆ สิ้นพระแรงโรยเธอโหยหิว
ระหวยทรวง พระศอเธอหงุบง่วงดวงพระพักตร์เธอผิดเผือดให้แปรผัน จะทูลสั่งก็ยังมิทันที่
ว่าจะทูลเลย แต่พอตรัสว่าพระคุณเจ้าเอ๋ยค�าเดียวเท่าน้ัน ก็หายเสียงเอียงพระกายบ่าย
ศิโรเพฐน์ พระเนตรหลับหับพระโอษฐ์ลงทันที วิสญฺญี หุตฺวา นางก็ถึงวิสัญญีสลบลงตรง
หน้าฉาน ปานประหน่ึงว่าพุ่มฉัตรทองอันต้องสายอัสนีฟาดขาดระเนนเอนแล้วก็ล้มลง
ตรงหน้าพระทน่ี งั่ เจา้ นน้ั แล

37

ขอ สแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT เกรด็ แนะครู

ขอความใดมเี จตนาโนม นา ว ครูชใี้ หนกั เรียนเหน็ ลักษณะเดนทางวรรณศิลปของวรรณคดีเรือ่ งมหาเวสสันดร
1. บญุ พ่ีนีน้ อยแลว นะเจา เพอ่ื นยาก เจา มาตายจากพ่ีไปในวงวัด ชาดก กัณฑม ัทรี ซ่ึงมกี ารใชโวหารดเี ยย่ี มเขาถงึ อารมณไดดี ท้ังนีก้ วีเลอื กใชคําทม่ี ี
2. พระนอ งแกว เจาอยา โศกศลั ย จงต้งั จิตของเจาน้ันใหโ สมนสั ลักษณะคลอ ยตามกันเพอื่ เพม่ิ ความรสู ึกใหม ากขน้ึ หรือลดนอ ยลง การคลอยตามกนั
นจี้ ะเขียนสอดคลองกัน เชน สภาพความรูสกึ นึกคดิ อารมณ หรอื สถานการณต างๆ
ศรัทธา นาํ มาเปรยี บเทียบหรอื กลา วใหเหน็ ความเปนไปอยา งเดียวกัน เพิม่ ความรูส ึกใหม นี าํ้
3. อนิจจาเอย วาสนามทั รีไมส มคะเนแลว พระทลู กระหมอมแกว หนกั ยง่ิ ข้ึน จากน้นั ครจู ึงใหนักเรียนยกบทประพันธท ่ีแสดงใหเ ห็นการใชโวหาร
ดงั กลา ว
จงึ่ ชงิ ชงั ไมพดู จา
4. ถา แมน เจา อาลัยอยดู วยลูกจรงิ ๆ เหมอื นวาจา กจ็ ะรีบกลับเขา มา คมู อื ครู 37

แตวีว่ นั ไมท นั รอน
วเิ คราะหคาํ ตอบ ขอทม่ี ีเจตนาโนม นาว คอื “พระนองแกวเจา
อยา โศกศลั ย จงตง้ั จติ ของเจานนั้ ใหโสมนัสศรัทธา” ผพู ูด คือ
พระเวสสันดรโนม นาวโดยใชค ําวา “จง” ซึง่ คาดหมายใหพระนาง
มัทรีเชื่อและปฏบิ ัติตาม และบอกแนวทางในการปฏบิ ตั วิ าตองตัง้ ใจ

ใหมีศรทั ธา ตอบขอ 2.

กระตุน ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Evaluate
Expand Expand
ขยายความเขา ใจ

1. นกั เรยี นแสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกับคณุ คา ๒.๒) การใชค้ า� องิ สา� นวนสภุ าษติ เปน็ การทา� ใหเ้ กดิ คตหิ รอื แงค่ ดิ กบั ผอู้ า่ นไดเ้ ปน็
ดานสังคม อย่างดี ดังบทประพันธ์
• มหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑมัทรี สะทอ นให
เห็นคณุ คาดา นสงั คมเรือ่ งใดทเ่ี ปน เร่ือง ...โอพระจอมขวัญของแม่เอ่ย เจ้ามิเคยได้ความยากย่างเท้าลงเหยียบดิน ริ้นก็มิได้ไต่
ใกลต วั นักเรียนที่สุด ไรกม็ ไิ ด้ตอม...
(แนวตอบ คณุ คา ดานสงั คมท่เี ปนเรอ่ื งใกลต ัว
ทีส่ ุด เปน เรือ่ งของการสะทอ นใหเ หน็ ...อกเอย่ จะอย่ไู ปไยใหท้ นเวทนา อุปมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวลั ย์ ยอ่ มจะอาสัญลง
ธรรมชาตขิ องมนษุ ย ความรกั ยอ มนาํ มา เพราะลูกเปน็ แท้เท่ียง...
ซ่ึงความทกุ ข การพรากจากคนทรี่ กั ของทรี่ กั
เปน ความทกุ ขอ ยางยง่ิ โดยเฉพาะอยางยง่ิ ...อุปมาเสมือนหน่ึงภุมรินบินวะว่อนเที่ยวซับซาบเอาเกสรสุคนธมาเลศ พบดอกไม้
ความรกั ความหว งใยท่ีบิดามารดามีตอบตุ ร อันวิเศษต้องประสงค์หลงเคล้าคลึงรสจนลืมรัง เข้าเถ่ือนเจ้าลืมพร้าได้หน้าแล้วลืมหลัง
เปน สิ่งที่ปรากฏอยใู นทกุ สงั คม) ไม่แลเหลยี ว...

2. นักเรยี นรวบรวมสํานวนในเร่ืองมหาเวสสันดร- ๗.๓ คณุ ค่าด้านสังคม
ชาดก กณั ฑมัทรี พรอมระบคุ วามหมายของ
สาํ นวนนนั้ ๑) สะทอ้ นคา่ นยิ มเกย่ี วกบั สงั คมไทย ในสมยั โบราณถอื วา่ ภรรยาเปน็ ทรพั ยส์ มบตั ิ
(แนวตอบ สํานวนทีร่ วบรวมได มดี ังนี้ ของสาม ี สามมี สี ทิ ธเิ หนอื ภรรยาทกุ ประการ ถา้ สามเี ป็นกษตั รยิ ์ อ�านาจนั้นกจ็ ะมากยิ่งขนึ้ ดงั ค�าที่
• ร้นิ ไมใหไ ตไ รไมใหต อม หมายความวา ดแู ล พระเวสสนั ดรทรงตรสั แก่พระนางมทั รีว่า
อยางดไี มใ หม ีแมแตสิ่งเล็กๆ นอ ยๆ มาทาํ
อันตรายได ...เจา้ เปน็ แตเ่ พยี งเมยี ควรหรอื มาหมนิ่ ได้ถา้ แมน้ พอ่ี ยใู่ นกรงุ ไกรเหมอื นแตก่ อ่ นเกา่ หากวา่
• ฝากผฝี ากไข หมายความวา ขอยดึ เปน ทีพ่ งึ่ เจ้าทา� เชน่ นี้ กายของมัทรีกจ็ ะขาดสะบั้นลงทนั ตาด้วยพระกรเบอ้ื งขวาของอาตมาน้แี ล้วแล
ในยามเจบ็ ไขไ ดป ว ยและแกช รา
• เขา เถอื่ นอยา ลืมพรา หมายความวา เม่ือจะ นอกจากนี ้ ผหู้ ญิงจะตอ้ งดูแลปรนนบิ ัติสาม ี ซอ่ื สัตยต์ อ่ สามี ส่วนลกู นนั้ ถือเป็น
ทาํ การใดใหเ ตรยี มพรอ ม) สมบัติของพ่อแม่ ต้องเคารพเชื่อฟัง และพ่อแม่สามารถยกลูกของตนให้ผู้อ่ืนได้ ดังเช่นที่
พระเวสสันดรยกพระกณั หา พระชาล ี ใหแ้ กช่ ูชก

๒) สะทอ้ นใหเ้ หน็ ธรรมชาตขิ องมนษุ ย ์ ความรกั นา� มาซงึ่ ความทกุ ข ์ ความโศกเศรา้
เสียใจ เช่น เม่ือลูกพลัดพรากจากไปพ่อแม่ย่อมเกิดความทุกข์เพราะความรัก ความเป็นห่วง
กังวล โศกเศร้า เมื่อคิดว่าลูกของตนล้มหายตายจากไป แต่ความโศกเศร้าเสียใจจะบรรเทาลง
ได้เม่ือโกรธ เจ็บใจ หรือเม่ือเกิดความเข้าใจในสิ่งท่ีผู้อ่ืนท�า ตัวอย่างเช่น ตอนท่ีพระเวสสันดร
ตรสั บริภาษพระนางมทั ร ี เพอ่ื ให้พระนางมัทรโี กรธจนลืมความโศกเศร้า ดงั บทประพนั ธ์

...สมเด็จพระราชสมภารเมื่อได้สดับสารพระมัทรีเธอแสนวิโยคโศกศัลย์สุดก�าลัง
ถึงแม้นจะมิตรัสแก่นางม่ังจะมิเป็นการ จ�าจะเอาโวหารการหึงเข้ามาหักโศกให้เส่ือมลง
จ่ึงเอือ้ นโองการตรัสประภาษว่า...

38

เกร็ดแนะครู ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEิดT
“นางก็เศราสรอ ยสลดพระทยั ด่งั เอาเหล็กแดงมาแทงใจใหเจบ็ จิต
ครแู นะความรแู ละใหน กั เรยี นพจิ ารณาองคป ระกอบของชาดก ดังน้ี นเี่ หลอื ทน อปุ มาเหมือนคนไขหนกั แลว มิหนาํ ยังแพทยเอายาพิษมา
1. ปรารภเร่ือง คอื บทนําเร่อื งหรอื อบุ ตั เิ หตุ จะกลาวถึงมูลเหตหุ รอื ที่มาของ วางซา้ํ ใหเ วทนา”
จากขอ ความดงั กลาวดีเดน ในดานใดมากทสี่ ดุ
ชาดกเรอื่ งนน้ั เชน มหาเวสสนั ดรชาดก 1. ภาพพจนอ ปุ ลกั ษณ
2. อดตี นทิ าน หรือ ชาดก หมายถงึ เร่อื งราวนทิ านทพ่ี ระพทุ ธองคต รสั เลา 2. ภาพพจนบุคคลวตั
3. ประชุมชาดก หรือประมวลชาดก เปนเนือ้ ความสดุ ทา ยของชาดกกลาวถึง 3. ภาพพจนส ทั พจน
4. ภาพพจนอ ปุ มา
บคุ คลในชาดก คอื ผูใ ดทีก่ ลับชาตเิ ปนใครบางในปจจุบัน วิเคราะหค าํ ตอบ กวใี ชภาพพจนอปุ มาเปรียบความเศราสรอย
สลดใจของพระนางมทั รวี า เหมอื นกบั เอาเหล็กแดงมาแทงใจให
มมุ IT เจ็บจติ มินําซ้าํ หมอผรู ักษายังเอายาพิษมาทาซ้ําใหยงิ่ เจบ็ ปวด
ทุรนทุราย เปน การเปรยี บเทยี บเพื่อถายทอดอารมณ ความรสู กึ
ศึกษาเก่ียวกับคุณคา ดา นตา งๆ ของเรื่องมหาเวสสนั ดรชาดก กณั ฑม ทั รี ที่เจ็บใจมากจนไมส ามารถเอย ออกมาดวยถอ ยคาํ ธรรมดา
เพมิ่ เตมิ ไดท่ี http://www.mwit.ac.th/~saktong/learn5/64.pdf ตอบขอ 4.

38 คูมอื ครู

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคน หา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Evaluate
Expand Expand

ขยายความเขา ใจ

๓) สะท้อนความเช่ือของสังคมไทย จากบทประพันธ์ตอนที่พระนางมัทรีเสด็จ 1. นกั เรยี นจดั กลมุ กลมุ ละ 5 - 6 คน รว มกนั ระดม
ออกสปู่ า่ เพอ่ื เกบ็ ผลไมใ้ หพ้ ระกณั หา พระชาล ี และพระเวสสนั ดรเสวยเปน็ ประจา� ผลไมต้ า่ งๆ กเ็ พย้ี น ความคดิ แลว เลา เกี่ยวกบั “งานเทศนม หาชาติ
ผิดปกติซงึ่ ถอื เปน็ ลางรา้ ย ดงั บทประพันธ์ ประจําทอ งถิน่ ของตนเอง” หรอื ทรี่ ูจ ัก ดังนี้
• เร่อื งท่นี กั เรียนเลา มีความเก่ียวขอ งกับความ
...เหตุไฉนไม้ที่มีผลเป็นพุ่มพวงก็กลายกลับเป็นดอกดวงเดียรดาษอนาถเนตร แถวโน้น เชือ่ ทางพระพทุ ธศาสนาและวิถีชวี ติ ของ
ก็แก้วเกดพิกุลแกมกับกาหลง ถัดน่ันก็สายหยุดประยงค์และยมโดย พระพายพัดก็ร่วงโรย คนในสังคมอยางไร
รายดอกลงมนู มอง แมย่ ังได้เกบ็ เอาดอกมารอ้ ยกรองไปฝากลูกเม่อื วนั วาน ก็เพีย้ นผิดพสิ ดาร (แนวตอบ มหาเวสสนั ดรชาดกเปน เร่อื งที่มี
เป็นพวงผล ผดิ วกิ ลแตก่ อ่ นมา สพฺพา มุยหฺ นฺติ เม ทสิ า ท้งั แปดทิศก็มืดมิดมัวมนทกุ หนแห่ง ความใกลชิดกบั ทองถนิ่ ไทยทุกทีท่ ีน่ บั ถือ
ท้ังขอบฟ้าก็ดาดแดงเป็นสายเลือดไม่เว้นวายหายเหือดเป็นลางร้ายไปรอบข้าง ทกฺขิณกุขิ พระพทุ ธศาสนา เพราะเปน เร่อื งราวเกีย่ วกับ
พระนยั นเนตรก็พร่างๆ อยู่พรายพร้อย ในจิตใจของแม่ยังนอ้ ยอยู่นดิ เดยี ว ทัง้ อนิ ทรยี ก์ เ็ สียวๆ ทม่ี าหรอื กําเนดิ ของพระพทุ ธเจา )
สนั่ ระรวั รกิ แสรกคานบันดาลพลิกพลดั ลงจากพระองั สา ท้ังขอน้อยในหตั ถาที่เคยถือก็เลื่อน
หลุดลงจากมือไม่เคยเป็นเหน็ อนาถ... 2. นกั เรยี นแลกเปลยี่ นเรอื่ งเลา ภายในกลมุ จากนน้ั
ชวยกันเขยี นเรอ่ื งทน่ี าสนใจหรือสรุปเรอ่ื งเลา
แปลความ เป็นลางร้าย ๙ ประการ ได้แก่ ของเพื่อนๆ ในกลุมลงกระดาษ จัดเปน ปา ย
๑. ไมผ้ ลกลับกลายเปน็ ไม้ดอก ๖. ใจเหมอื นจะขาด นิเทศในชัน้ เรยี น ชวยกนั ตกแตงใหสวยงาม

๒. ไม้ดอกกลับกลายเปน็ ไม้ผล ๗. กายรู้สึกเสยี วๆ สนั่ ๆ
๓. มดื มัวไปทัง้ ๘ ทศิ ๘. ไมค้ านที่หาบสาแหรกพลัดตกจากบ่า
๔. ขอบฟ้าแดงเป็นสายเลือด ๙. ขอทีใ่ ชส้ อยผลไม้หลดุ มอื
๕. ตาพรา่
พระพทุ ธศาสน๔า )โ ดสยเะรทอ่ื ้อง น“มเหก่ีายเววกสสับนั ขดนรบชาธดรกร”ม เเปนน็ ียชมาปดกรทะเพี่ พทุ ณธศี าอสันนเกิ ปช็นนปนรยิ ะมเพนา�ณมีทาเ่ีเลกา่ ี่ยขวาเนน1จื่อดั งเกปับน็
เทศนม์ หาชาตปิ ระจ�าทุกปีมาตัง้ แต่คร้งั อดตี โดยจะจัดสถานที่ใหส้ อดคลอ้ งกับเร่อื งราว ให้เปน็ ปา่
ทอี่ ดุ มไปดว้ ยไมผ้ ล มกี ารบรรเลงดนตรไี ทยประกอบกณั ฑเ์ พอ่ื ชว่ ยสรา้ งอารมณร์ ว่ มใหก้ บั ผฟู้ งั เทศน์
ทง้ั น้พี ระสงฆ์ทีม่ าเปน็ ผเู้ ทศน์ จะเปน็ พระสงฆ์ที่เทศนไ์ ด้อยา่ งไพเราะ ใช้ภาษางา่ ยๆ เพ่อื ให้เข้าถงึ
ผู้ฟังทกุ เพศ ทุกวยั ปจั จุบันเทศนม์ หาชาตจิ ดั เป็นงานประจา� ปีของทกุ ทอ้ งถิ่นทั่วทกุ ภาค

มหาเวสสันดรชาดก กณั ฑม์ ทั ร ี ของเจา้ พระยาพระคลงั (หน) ได้รบั การยกย่องวา่
เป็นเลิศในเชิงพรรณนาโวหาร ลีลาการใช้ถ้อยค�าของร่ายยาวทุกตอนแพรวพราวด้วยการเล่น
ค�าสมั ผสั เล่นเสียง และสา� นวนโวหารเปรยี บเทียบ นอกจากจะมคี วามงดงามดา้ นวรรณศลิ ปแ์ ล้ว
เนอื้ หากณั ฑม์ ทั รยี งั กลา่ วถงึ ความรกั ความหว่ งใยของมารดาทม่ี ตี อ่ บตุ ร และเหน็ ถงึ การบรจิ าคทาน
อันย่งิ ใหญ่ของพระเวสสันดร ซ่ึงนอกจากจะให้สาระความรูแ้ ล้ว ยงั ให้คติสอนใจและแงค่ ิดแก่
ผู้ฟังและผู้อ่านอกี ดว้ ย

39

ขอสแอนบวเนน Oก-าNรคEดิT นักเรียนควรรู

ขอ ใดสะทอ นใหเ หน็ วา พระนางมทั รที รงเลย้ี งกมุ ารทงั้ สองอยา งใกลช ดิ 1 เรอ่ื ง “มหาเวสสันดรชาดก” เปนชาดกทีพ่ ทุ ธศาสนิกชนนยิ มนํามาเลา ขาน
1. ทง้ั เวลากเ็ ย็นลงไรๆ จะคํา่ แลว ยังไมเห็นหนาพระลูกแกวของแม การท่ชี าวพทุ ธไทยนยิ มฟง เทศนม หาชาตกิ ันอยางแพรห ลาย นอกจากจะมีความ
เพลิดเพลินในการฟง ดว ยทว งทลี ลี าทาํ นองทไี่ พเราะแลว สาเหตุอีกประการหน่ึง
เลยทงั้ สองคน คือ ความเช่ือเร่อื งอานสิ งสข องการฟงเทศนม หาชาติวา หากผใู ดฟงเทศนม หาชาติ
2. ยง่ิ คดิ ก็ยง่ิ กรง่ิ ๆ กรอมพระทัยเปนทุกขถึงพระลกู รัก 13 กณั ฑ 1,000 พระคาถา จบภายในวันเดียว จะมอี านสิ งสถ ึง 5 ประการ ดังนี้
3. นางเสด็จไตเตาทุกตําบลละเมาะไมไพสณฑ
4. น่ันกร็ อยเทาพอชาลี น่ีกบ็ ทศรแี มก ัณหา 1. จะไดเ กดิ ในยคุ พระศรอี ริยเมตไตรย ซึง่ จะมาอบุ ตั เิ ปนพระพุทธเจาในอนาคต
วเิ คราะหคาํ ตอบ ขอ ทแี่ สดงใหเ หน็ วา พระนางมทั รเี ลย้ี งดพู ระกณั หา 2. จะไดไปสสู คุ ตโิ ลกสวรรค เสวยทพิ ยสมบัตอิ นั โอฬาร
พระชาลีอยางใกลชดิ จนกระท่งั จําไดแมแ ตร อยเทาของพระกัณหา 3. จะไมไปเกิดในอบายเมือ่ ตายแลว
พระชาลี ท้งั น้ีเพราะพระนางคอยเฝาระวงั สงั เกตดแู ลกมุ ารท้ังสอง 4. จะเปน ผมู ลี าภ ไมตรี มีความสขุ
5. จะไดบรรลุมรรคผลนพิ พาน เปน พระอรยิ บุคคลในพระพุทธศาสนา
อยา งใกลช ดิ ไมใหไ กลหไู กลตา ตอบขอ 4.

คมู ือครู 39

กระตนุ ความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขา ใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain Evaluate
Expand Expand
ขยายความเขา ใจ

1. นักเรียนสรุปความรูเกย่ี วกบั การฟง เทศน ปกณิ กะ
มหาชาติของพุทธศาสนิกชนชาวไทย จำกพระนิพนธ์เร่ืองพระมำลัยค�ำหลวง ของเจ้ำฟำธรรมธิเบศร พระศ¡รีอÒำÃรàิย·เÈม¹ตไÁตËรยÒ1ไªดÒ้ใµห้Ô
(แนวตอบ เทศนมหาชาติเรื่องมหาเวสสันดรชาดก
เปน เรอื่ งของพระพทุ ธเจา ตอนเสวยพระชาตเิ ปน พระมำลยั มำบอกแกช่ ำวโลกว่ำ
พระเวสสนั ดร ซง่ึ เปนชาติสดุ ทา ยที่ทรงบําเพ็ญ
ทานบารมอี ยา งยอดย่งิ คอื บุตรทารทานบารมี “ให้ท�ำมหำชำติเนืองนันต์ เครื่องสิ่งละพัน จงบูชำให้จบทิวำนั้น ต้ังประทีปพันบูชำดอกปทุม
ไดแก การบรจิ าคโอรสธดิ าและมเหสใี หเ ปนทาน
จึงถือวา ชาดกนีส้ าํ คัญกวา ชาดกอื่นๆ ถ้วนพัน...”
จงึ เรยี กวา “เทศนมหาชาติ” แปลวา ชาตทิ ี่
ยิง่ ใหญส าํ คญั เพราะเปนชาติสุดทายกอ น ท�ำให้เกิดควำมเช่ือว่ำ กำรฟังเทศน์มหำชำติให้จบในวันเดียวจะได้บุญมำก และจะได้ไปเกิด
ทีพ่ ระองคจะทรงตรสั รเู ปน พระพุทธเจา)
ในยุคของพระศรอี ำรยิ เมตไตรย
2. ครูขออาสาสมคั ร 3 - 4 คน มานาํ เสนอ
ประสบการณการอานเร่อื งเก่ยี วกบั การเทศน กำรเทศน์มหำชำตินิยมท�ำกันหลังออกพรรษำ เลยหน้ำกฐินไปแล้ว ระหว่ำงเดือน ๑๒ ถึง
มหาชาติ
เดอื นอ้ำย

กำรเทศน์มหำชำติมีอยู่ทั้งหมด ๑๓ กัณฑ์ เป็นเร่ืองรำวเกี่ยวกับพระเวสสันดร อันเป็น

พระชำติสุดท้ำยของพระโพธิสัตว์ก่อนที่จะมำประสูติเป็นเจ้ำชำยสิทธัตถะ และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ำ

ในกำรเทศน์มหำชำติจึงนิยมจัดตกแต่งสถำนที่บริเวณพิธีให้มีบรรยำกำศคล้ำยอยู่ในปำตำมท้องเร่ือง

มหำเวสสนั ดรชำดก อบุ ำสกอบุ ำสกิ ำมกั จะรบั เปน็ เจำ้ ของกณั ฑเ์ ทศนค์ นละ ๑ กณั ฑ ์ และจดั ชดุ เครอื่ งบชู ำ

ตำมจ�ำนวนพระคำถำในกณั ฑน์ ัน้ ๆ ดังนี้

๑. กณั ฑท์ ศพร ๑๙ พระคำถำ ๘. กัณฑก์ ุมำร ๑๐๑ พระคำถำ

๒. กัณฑห์ ิมพำนต์ ๑๓๔ พระคำถำ ๙. กณั ฑม์ ัทร ี ๙๐ พระคำถำ

๓. ทำนกณั ฑ ์ ๒๐๙ พระคำถำ ๑๐. กณั ฑ์สกั กบรรพ ๔๓ พระคำถำ

๔. กณั ฑ์วนประเวศ ๕๗ พระคำถำ ๑๑. กณั ฑ์มหำรำช ๖๙ พระคำถำ

๕. กัณฑช์ ูชก ๗๙ พระคำถำ ๑๒. กณั ฑฉ์ กษตั ริย ์ ๓๖ พระคำถำ

๖. กัณฑจ์ ุลพน ๓๕ พระคำถำ ๑๓. นครกัณฑ์ ๔๘ พระคำถำ

๗. กัณฑม์ หำพน ๘๐ พระคำถำ

พระสงฆร์ ับประเคนจตปุ จ จัยจากพุทธศาสนิกชน การจดั บรรยากาศให้เหมอื นปา ในการเทศน์มหาชาติ

40

นกั เรียนควรรู ขอสแอนบวเนนOก-าNรคEดิT
คําประพนั ธในขอใดแสดงถงึ ความเชอื่ ตางจากขอ อืน่
1 พระศรอี าริยเมตไตรย ในสมยั พระพทุ ธกาล พระศรีอารยิ เมตไตรยทรงเปน 1. ทัง้ แปดทศิ กม็ ดื มดิ มวั มนทกุ หนแหง ทั้งขอบฟา กด็ าดแดง
พระสงฆสาวกของพระพทุ ธเจา พระนามวา “พระอชติ เถระ” และไดรับพระพุทธ เปน สายเลอื ด
พยากรณจ ากพระพุทธเจาวา จะไดเ ปน พระพทุ ธเจาพระองคท ่ี 5 และองคสุดทา ย 2. ท้ังขอนอ ยในหตั ถาทเ่ี คยถอื กเ็ ล่ือนหลุดลงจากมือไมเ คยเปน เห็น
แหงภัทรกปั นี้ อนาถ
3. ฝายฝูงอมรเทเวศทกุ วมิ านมาศมนเทียรทุกหมไู มก ย็ ม้ิ แยม
พทุ ธศาสนกิ ชนเชอ่ื วาเมอื่ ศาสนาของพระโคตมพุทธเจาสน้ิ สุดไปแลว โลกจะ พระโอษฐต บพระหัตถอยฉู าดฉาน
ลวงเขา สยู ุคแหงความเสอื่ มถอย อายขุ ัยของมนุษยลดลงจนเหลอื 10 ป ก็เขาสยู คุ 4. แสรกคานบนั ดาลพลิกพลัดลงจากพระอังสา
มิคสญั ญี ผสู ลดใจกับความชว่ั ก็หนั มารวมกลุมกนั ทาํ ความดี จนอายุขัยเพิ่มขน้ึ ถงึ วเิ คราะหคาํ ตอบ ขอ 1. ขอ 2. และขอ 4. แสดงใหเ หน็ ความเชือ่
1 อสงไขยป จากนัน้ จึงลดลงอีกจนเหลอื 80,000 ป เชอื่ วาในยคุ นีจ้ ะมีพระโพธสิ ตั ว เร่อื งลางบอกเหตุ ความรูส กึ สังหรณใจวาจะเกดิ เรือ่ งไมด ีขึ้น
พระองคหน่ึงทบี่ ําเพญ็ บารมีครบ 16 อสงไขยแสนมหากัป ลงมาตรสั รูเปน เปนปรากฏการณทแ่ี ปลกแตกตางไปจากเดมิ สว นขอ 3.
“พระเมตไตรยพุทธเจา” แตกตางไปจากขออืน่ เพราะแสดงใหเห็นความเช่อื เกีย่ วกบั เทพเจา
ตอบขอ 3.
40 คมู ือครู

กระตนุ ความสนใจ สาํ รวจคนหา อธบิ ายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล
Engage Explore Explain
Expand Evaluate

ตรวจสอบผล Evaluate

ค�าถามประจา� หนว่ ยการเรียนรู้ 1. นกั เรยี นอธบิ ายลกั ษณะเดน ของตวั ละครในเรอื่ ง
มหาเวสสนั ดรชาดก กัณฑม ทั รี และวิเคราะห
๑. เรอ่ื งมหาเวสสันดรชาดก กณั ฑ์มทั ร ี แสดงบุคลิกลักษณะของพระนางมทั รีอยา่ งไร ลักษณะเดน ของตัวละครกบั การดาํ เนินเร่ือง
๒. “แมม่ าสละเจา้ ไวเ้ ปน็ กา� พรา้ ทง้ั สององค ์ เสมอื นหนง่ึ ลกู หงสเ์ หมราชปกั ษนิ ปราศจาก
2. นักเรยี นยกเนื้อเรอ่ื งตอนท่ีมีการใชอ ปุ มาโวหาร
มุจลินท์ไปตกคลุกในโคลนหนองส้ินสีทองอันผ่องแผ้ว” บทประพันธ์ข้างต้นมี ทีท่ ําใหเกิดจนิ ตภาพได
ความหมายวา่ อย่างไร และผู้พูดกล่าวด้วยอารมณ์ความรู้สึกอยา่ งไร
๓. “กณั ฑม์ ทั รเี ปน็ กณั ฑท์ ม่ี สี า� นวนโวหารรา� พนั ที่ไพเราะนา่ ฟงั มาก” นกั เรยี นเหน็ ดว้ ยกบั 3. นักเรียนระบสุ าํ นวนพรอมความหมายในเร่ือง
ค�ากล่าวน้หี รือไม่ จงอธิบายและยกตัวอยา่ งประกอบใหเ้ หน็ จริง มหาเวสสันดรชาดก กัณฑมทั รไี ด
๔. คณุ ธรรมทีป่ รากฏในเนื้อเร่ืองมหาเวสสันดรชาดก กัณฑม์ ัทรี มอี ะไรบ้าง จงอธิบาย
โดยยกตวั อย่างประกอบ หลักฐานแสดงผลการเรยี นรู
๕. นักเรียนคิดว่ามหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี ให้แนวคิดด้านใดบ้าง และนักเรียน
สามารถน�าไปใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่างไร 1. บันทึกลําดบั เหตุการณข องเรื่องยอ
2. ตัวอยางบทประพนั ธท ่มี กี ารใชภ าพพจนอ ุปมา
กจิ กรรมสร้างสรรค์พัฒนาการเรยี นรู้ 3. บนั ทึกการเขยี นคําอานภาษาบาลีในเนอ้ื เรอื่ ง
4. การแสดงความคดิ เห็นโตแยงกันอยา งมีเหตผุ ล
๑. ให้นักเรียนแต่งบทประพันธป์ ระเภทร่ายเพ่อื เทิดพระคุณแม ่ กา� หนดความยาวตาม
ความเหมาะสม ในประเดน็ วธิ กี ารขจัดความเศราของ
พระนางมัทรี
๒. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ แสดงบทบาทสมมตเิ รอ่ื งมหาเวสสนั ดรชาดกตอนท่นี ักเรยี นสนใจ 5. สํานวนท่ปี รากฏในเร่ืองมหาเวสสันดรชาดก
แลว้ นา� เสนอหน้าชนั้ เรยี น กณั ฑมทั รี

๓. ให้นกั เรียนศกึ ษาเรอื่ งมหาเวสสันดรชาดกในกัณฑอ์ ่นื ๆ แลว้ อภิปรายหนา้ ชนั้ เรยี น
เพ่ือแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ กับเพ่อื นๆ

41

แนวตอบ คําถามประจาํ หนวยการเรยี นรู
1. พระนางมัทรเี ปน แมแ ละภรรยาทดี่ ี มีความรัก ความหวงใยตอ ลกู มีทั้งความซือ่ สัตยแ ละอดทนตอ สามี
2. บทประพันธท ่ยี กมา หมายความวา พระนางมทั รตี องทําใหล กู ทัง้ สอง คอื พระกณั หา พระชาลตี องพรากจากแม ไมมีใครคอยดูแลปกปก รกั ษา เปรียบเหมอื น

ลูกหงสท่ขี าดผดู ูแลตอ งไปคลุกในโคลนตม ลกู ทงั้ สองก็คงลาํ บากตรากตราํ พระนางมทั รีพูดดวยความเศราและหว งใยลูก
3. เห็นดวย กณั ฑม ทั รีเปนกณั ฑท ่มี สี ํานวนโวหารนาฟง มาก เหน็ ไดจ ากความท่ีวา “...นางก็ถงึ วิสญั ญีสลบลงตรงหนาฉาน ปานประหนึ่งวาพุมฉัตรทองอนั ตองสาย

อัสนฟี าดขาดระเนนเอนแลวกล็ มลงตรงหนาพระทนี่ ง่ั เจา นั้นแล” กวใี ชอุปมาโวหารกลาวเปรยี บไดอ ยางชดั เจน ถอ ยคําสํานวนสัมผัสคลอ งจองไพเราะและให
ความหมายดี
4. คุณธรรมจากกณั ฑมทั รี ไดแก การบําเพญ็ ทานทย่ี ง่ิ ใหญเหนือกวา ทานใดทั้งปวงของพระเวสสันดร ท่ียอมใหทานลกู แกพราหมณ การขมใจ และความซื่อสตั ย
อดทนในการปฏิบัตหิ นาท่อี ยา งดีของพระนางมัทรี
5. แนวคดิ ทีไ่ ดจ ากกัณฑมทั รีท่ีสามารถนําไปใชในชีวิตได เชน การปฏบิ ัตหิ นา ท่ขี องตนเองใหดีที่สดุ จะนําไปสคู วามสาํ เรจ็ ไดตามเปา หมาย การมคี วามอดทน
อดกลน้ั ในการทําการใดๆ การระลกึ ถงึ พระคณุ ของบิดามารดา เปนตน

คูม ือครู 41


Click to View FlipBook Version